ตลาดหุ้นไทย – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 17 Dec 2025 13:04:52 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ศูนย์กลางฟอกเงินสแกมเมอร์อยู่ในตลาดหุ้นและกองทุนไทย? https://thestandard.co/scammer-money-laundering-thai-stock-market-risk/ Wed, 17 Dec 2025 09:35:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1155758 scammer-money-laundering-thai-stock-market-risk

กัมพูชาเป็นประเทศที่มีเครือข่ายสแกมเมอร์มากกว่า 60 แห่ง […]

The post ศูนย์กลางฟอกเงินสแกมเมอร์อยู่ในตลาดหุ้นและกองทุนไทย? appeared first on THE STANDARD.

]]>
scammer-money-laundering-thai-stock-market-risk

กัมพูชาเป็นประเทศที่มีเครือข่ายสแกมเมอร์มากกว่า 60 แห่ง ที่มูลค่าความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลกรวมแล้วมากถึงหลักล้านล้านบาท และตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเอาเงินเปื้อนเลือดและน้ำตาของเหยื่อจำนวนมาก มาฟอกให้สะอาดในประเทศไทย 

 

 

แก๊งหลอกลวงจะต้องฟอกเงินด้วยวิธีต่างๆ แต่คำถามคือทำไมพวกเขาถึงเข้ามายังระบบตลาดหุ้นและกองทุนไทยได้อย่างง่ายดาย และจริงหรือไม่ที่ตอนนี้เรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางการอำนวยความสะดวกต่อการฟอกเงินระดับโลก 

 

 

 

ล้างเงินเลือด ให้กลายเป็นเงินสะอาด

 

อาชญากรรมจากการหลอกลวงสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เงินที่ได้มาต่อให้มากแค่ไหนก็ถือเป็นเงินสกปรก ดังนั้นอาชญากรสแกมเมอร์จะต้องหาวิธีจัดการกับเงินจำนวนมาก ทั้งการเก็บเป็นเงินสด และการกระจายฝากไว้ในบัญชีธนาคารด้วยชื่อของคนอื่นเพื่อรอเอาเงินออกจากบัญชีไปซื้อเหรียญคริปโต เปลี่ยนเงินเป็นพระเครื่อง เป็นรถสปอร์ต นาฬิกาหรู บ้างก็เอาไปซื้อทอง หรือเปลี่ยนเงินปึกใหญ่เป็นโฉนดหนึ่งฉบับ

 

ศาสตราจารย์ ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยอธิบายให้รายการ KEY MESSAGES ฟังว่า วิธีการฟอกเงินสามารถเป็นไปได้หลายวิธีอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น และช่วงนี้ที่จะเห็นอยู่บ่อยครั้งก็คือการเอาเงินไปเปิดร้านปลอมๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำการค้าขายจริงๆ เพียงแค่ต้องการทำให้เงินสกปรกมีที่มาที่ไปเท่านั้น

 

“ผู้ที่ไปเป็นล่ามในธุรกิจพวกนี้เล่าให้ฟังว่า กิจการเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ดำเนินการในระยะยาว ไม่มีใครตั้งใจจะปักหลักอยู่ถาวร เจ้าของกิจการมักตั้งเป้าว่าจะทำเงินให้ได้ระดับหนึ่ง ก่อนจะนำเงินทั้งหมดมาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในกรณีที่กลับประเทศของตนเองไม่ได้เพราะถูกขึ้นบัญชีดำ ไทยจึงกลายเป็นสวรรค์

 

“ไทยเป็นทั้งแหล่งเกษียณและแหล่งพักเงิน คล้ายกับรูปแบบการฟอกเงินในยุคก่อนที่ยังพึ่งพาเงินสด เมื่อได้เงินจากการหลอกลวงมา ก็โอนเข้าบัญชีไทย ก่อนจะถอนออกมาเป็นเงินสด

 

“ในท้ายที่สุดเงินสดเหล่านี้ต้องถูกจัดการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เข้าสู่ระบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน คอนโด เปิดร้านอาหาร ร้านหม่าล่า หรือกิจการใดก็ตาม เพื่อเปลี่ยนเงินสดให้กลายเป็นกิจการ และให้กิจการนั้นสร้างเงินสดที่ดูบริสุทธิ์ออกมาอีกครั้ง

 

“ในกัมพูชานิยมใช้วิธีทำดีลกับร้านค้าต่างๆ โดยนำเงินไปผ่านร้านนั้นโดยไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้าจริง เสียค่าดำเนินการประมาณ 10-15% เงินก็จะกลายเป็นรายได้จากการขายสินค้า ก่อนจะย้อนกลับสู่มือของกลุ่มทุนอาชญากรรมอีกครั้ง”

 

อย่างไรก็ตาม การไปถึงขั้นซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือเปิดกิจการบังหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย อาชญากรสแกมเมอร์จำนวนมากมีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำของหลายประเทศ หรือมีบัญชีหมุนเงินอยู่แล้ว หากเปิดบัญชีใหม่จำนวนมากด้วยชื่อตนเองย่อมเป็นที่ผิดสังเกต วิธีการแก้ปัญหาคือการใช้นอมินีหรือที่เรียกกันว่า ‘บัญชีม้า’

 

ข้อมูลจากตำรวจไซเบอร์อธิบายรูปแบบของบัญชีม้าในไทยว่ามี 2-3 ประเภทหลัก แบบแรกคือ ‘บัญชีม้าบุคคล’ เป็นคนทั่วไปที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารด้วยชื่อตัวเอง เพื่อเป็นทางผ่านในการโยกย้ายเงินจากธนาคารหนึ่งไปยังอีกธนาคารหนึ่ง ส่วนแบบที่สองคือ ‘บัญชีม้าห้างหุ้นส่วน’ หมายถึงการเปิดบัญชีในนามบริษัทที่ดูผิวเผินเหมือนมีเงินหมุนเวียนประหนึ่งทำธุรกิจจริงๆ แต่พอเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ กลับพบว่าบริษัทที่ใช้อ้างในการเปิดบัญชีไม่มีอยู่จริง ที่อยู่บริษัทเป็นแค่ที่ดินว่างเปล่า ไม่มีอาคาร ไม่มีการทำธุรกิจ ที่ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าแล้วทำไมถึงเปิดบัญชีหรือจดเป็นบริษัทได้ 

 

และอีกประเภทหนึ่งคือ ‘บัญชีม้าเทศ’ หมายถึงบัญชีม้าที่เปิดโดยชาวต่างชาติ และจะโอนเงินผิดกฎหมายโดยใช้ซิมผีหรือซิมม้าที่ไม่ได้ลงทะเบียนชื่อจริง เพื่อกดเงินสดผ่านตู้ ATM ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการยืนยันตัวตนทางมือถือ

 

แม้การฟอกเงินในรูปแบบที่ว่ามาเหมือนจะมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่เรื่องราวนี้ถือเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ในขบวนการฟอกเงินของอาชญากรสแกมเมอร์ เพราะเป็นการฟอกเงินในรูปแบบเอกชนขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง จำนวนเงินหมุนเวียนอาจจะยังไม่มากมายนักเมื่อเทียบกับการฟอกเงินในระดับที่ใหญ่กว่า มีตัวละครจำนวนมากที่จะทำให้วิธีการฟอกเงินซับซ้อนและถูกจับได้ยากยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเงินที่ว่านี้มีจำนวนมหาศาลอย่างที่คาดไม่ถึง และเกี่ยวพันกับผลประโยชน์รัฐและประชาชนมากกว่าที่คิด

 

มหากาพย์ฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นและกองทุนไทย

 

เมื่อเงินสกปรกของแก๊งหลอกลวงมีมากถึงหลักพันล้าน หมื่นล้าน หรือแสนล้านบาท การฟอกเงินแบบเดิมๆ เริ่มไม่เพียงพออีกต่อไป จึงเกิดไอเดียเอาเงินเข้าไปยังตลาดหุ้นหรือกองทุนต่างๆ ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยขนาดใหญ่และตกลงให้บริษัทประกันนำเงินไปลงทุนในหุ้น รีเควสให้เอาเงินไปฟอกในเซกเตอร์ขนาดใหญ่ของประเทศอย่างอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน Entertainment Complex สถาบันทางการเงิน แม้แต่กระดานคริปโต ไปจนถึงความพยายามเข้ายึดกุมสถาบันหลักของไทยผ่านการฟอกเงินกับหน่วยงานรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ บลจ. หรือบริษัทที่รัฐถือหุ้นอยู่

 

พอต้องการเอาเงินเข้าตลาดหุ้นหรือกองทุน แต่เงินยังคงเป็นเงินสกปรก สิ่งที่แก๊งสแกมเมอร์จำเป็นต้องมีคือ ‘บริษัทบังหน้า’ หรือหา ‘นายหน้า’ มาจัดการเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยเรื่องที่มาของเงินที่จะเอาเข้ากองทุนหรือซื้อหุ้น เช่นกรณีบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง Prince Group ที่เปิดทำการอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย แต่จริงๆ แล้วเป็นที่ไว้ใช้ฟอกเงินเทา แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นผ่านกลไกของตลาดหลักทรัพย์หรือผ่านการตั้งกองทุน หรือกรณีที่บอร์ดบริษัทหลายเจ้าดูไม่มีความเชื่อมโยงกัน แต่เมื่อสืบทราบกลับพบว่าเป็นกลุ่มฟอกเงินเดียวกัน แล้วมารวมอยู่ในกองทุน หุ้น หรือ บลจ. เดียวกัน จนกลายเป็นมหากาพย์การฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นและกองทุนของรัฐและเอกชนในไทย 

 

อีกวิธีหนึ่งก็ง่ายดายกว่าที่คิด คือกรณีที่บริษัทแห่งหนึ่งมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 10 ล้านบาท อยู่ไปสักพักเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 600 ล้านบาท แล้วเพิ่มเป็นพันล้านบาท จากนั้นก็ปิดบริษัทไปดื้อๆ ฟอกเงินจนเสร็จแล้วหนีหายไปโดยไม่ถูกจับกุม

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินรายหนึ่งเล่าให้รายการ KEY MESSAGES ฟังว่า เหตุผลที่สังคมเพิ่งได้มองเห็นความผิดปกติที่เกิดในตลาดหุ้น กองทุน หรือกระดานคริปโต ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความคุ้นชินที่เห็นข่าวของเหล่าเศรษฐี นักการเมือง นักธุรกิจที่ทำธุรกิจปกติ แต่ต้องการฟอกเงินเพื่อเลี่ยงภาษีกันจนชินตาอยู่แล้ว เลยไม่มีใครคาดคิดว่าเป็นเงินของสแกมเมอร์ ทว่าเริ่มมีคนจับสังเกตพฤติกรรมการฟอกเงินของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติในไทยได้จากเคสบริษัทพลังงานแห่งหนึ่ง ที่พบว่ามี Unknown Player หรือผู้เล่นจากไหนไม่รู้กระโดดเข้ามากวาดหุ้นในราคาสูงจนได้ไปมากกว่า 20% 

 

นอกจากนี้ มีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์สืบค้นเส้นทางการเงินที่ผิดปกติของบริษัทบริหารสินทรัพย์เจ้าหนึ่ง ที่พบว่าบริษัทนี้มีความเกี่ยวข้องกับ ‘นายหน้า B’ ผู้ถูกขึ้นแบล็กลิสต์เกือบทั่วโลกจากการทำสแกมเมอร์และฟอกเงิน และปัจจุบันมาทำธุรกิจที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ชัดเจนอยู่แถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

มีภาพถ่ายจำนวนมากหลุดออกสู่สาธารณะว่านายหน้า B รายนี้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเจ้าของธนาคารแห่งหนึ่งที่ปล่อยกู้แก่โครงการคาสิโนของแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองในประเทศอาเซียน นักธุรกิจจีน-กัมพูชาเทาที่ทางการจีนและสหรัฐฯ หมายหัวขึ้นบัญชีดำ จากการฉ้อโกงออนไลน์ ค้ามนุษย์ ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล สับเปลี่ยนเงินเทาเป็นสินทรัพย์ต่างๆ ในรูปแบบไฮบริดสแกม

 

ด้วยความใกล้ชิดที่ว่านี้ ทำให้เหล่านักวิชาการและนักการเงินเกิดข้อสงสัยว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งนี้มีที่มาของเงินที่บริสุทธิ์แท้จริงหรือไม่ แต่ด้วยความที่บริษัทบริหารสินทรัพย์นี้ลงทุนในกองทุนประเภทหุ้นกู้ที่ดึงเงินจากนักลงทุนหลายรายมาใช้ จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าใครเป็น UBO หรือผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง 

 

แหล่งข่าวของเรายังระบุอีกว่า มีกรณีที่น่าสนใจเกิดขึ้นกับสหกรณ์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ และมีสินทรัพย์รวมแล้วหลักล้านล้านบาท เพราะโดยปกติแล้วสหกรณ์จะถูกหน่วยงานรัฐดูแลเพื่อไม่ให้เอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เพราะหากล้มขึ้นมาจะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่อยู่ๆ กลับมีร่างประกาศกระทรวงฉบับหนึ่ง เนื้อหาโดยสรุปคือการระบุว่าสหกรณ์ห้ามลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่ถ้าจะลงทุนจริงๆ ต้องลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. ที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐถือหุ้น และหนึ่งในนั้นคือบริษัทที่ผู้ถือหุ้นใหญ่มีความเชื่อมโยงกับนายหน้า B 

 

นั่นเท่ากับว่าหากประกาศดังกล่าวถูกบังคับใช้จริง กลุ่มเครือข่ายที่มีความเชื่อมโยงกับนายหน้า B ทั้งนักการเมืองต่างชาติ อาชญากร นักธุรกิจสีเทา ก็จะสามารถนำเงินเทาที่ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนเข้าไปปะปนกับสินทรัพย์ระดับประเทศ และไม่ใช่แค่ว่าเอาเงินสกปรกไปปน แต่เมื่อเลือกเข้ามาลงทุนในบริษัทที่รัฐถือหุ้นและสามารถส่งอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐได้ ก็สามารถได้รับสิทธิพิเศษบางอย่าง เช่น เข้ามาบริหารจัดการสินทรัพย์ของสหกรณ์ได้ด้วย แต่โชคดีที่มีผู้คัดค้านการออกประกาศฉบับนี้จนทำให้ถูกตีตกไปเสียก่อน

 

นอกจากนี้ จากการเปิดเผยข้อมูลของนักวิชาการหลายกลุ่ม ยังระบุอีกว่าบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดังกล่าวยังเป็นผู้ดูแลกองทุนรวมที่จัดตั้งโดยรัฐบาลไทยอีกด้วย

 

อีกเส้นทางการเงินที่น่าสนใจคือประเด็นค่าเงินบาทแข็งขึ้น โดยผลส่วนหนึ่งมาจากการนำไปซื้อขายทองคำ เพราะมีการจับสัญญาณความผิดปกติในการส่งออกทองไปกัมพูชา พบว่ามียอดพีคในช่วงเลือกตั้ง จึงอาจเป็นไปได้ว่าเงินจากแก๊งสแกมเมอร์ถูกโยกเข้ามาในไทยทั้งรูปแบบดอลลาร์ หรือ USDT แล้วแปลงเป็นเงินบาทเพื่อซื้อทองรูปพรรณ เป็นอีกหนึ่งวิธีฟอกเงินที่ง่ายดายกว่าการทำธุรกรรมกับสถาบันทางการเงินหรือผู้ให้บริการดิจิทัลต่างๆ เพราะการซื้อทองไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของลูกค้าว่าเอาเงินจากไหนมาซื้อ

 

กลายเป็นว่าพอแค่มีเงินก็ซื้อทองได้แล้ว พวกเขาก็เริ่มสะสมทองมากขึ้นเรื่อยๆ พอมีความจำเป็นต้องใช้เงินหรืออยากโยกสินทรัพย์ของตัวเองกลับไปยังกัมพูชา พฤติกรรมดังกล่าวที่เกิดมากขึ้นในไทยอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า จากความต้องการเอาเงินสกุลอื่นที่ไม่มีที่มาที่ไป มาแปลงเป็นเงินบาท และนำเงินบาทไปซื้อทอง

 

จากเรื่องราวเหล่านี้ บางคนอาจมองว่านี่คือความจริงที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ บางคนอาจมองว่าเป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรง เพราะถึงจะเห็นได้ชัดว่าเส้นทางการเงินจำนวนหนึ่งมีความผิดปกติ แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเงินที่มาจากขบวนการสแกมเมอร์ รวมถึงข้อมูลที่แต่ละคนถืออยู่ ก็ยังคงกระจัดกระจาย ยังไม่สามารถนำมารวมกันเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางการฟอกเงินที่มีหลายสายและมีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ

 

จากข้อมูลจำนวนมากที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน มูลค่าของเงินลงทุนที่นายหน้า B นำเข้ามายังตลาดหุ้นไทย มีมากกว่า 20,000 ล้านบาท ยังไม่รวมเงินลงทุนตามบริษัทอีกมากที่อยู่นอกตลาดหุ้นรวมแล้วหลายพันล้านบาท เวลานี้ไม่ใช่แค่ชื่อของนักการเมืองกัมพูชา หรือนักธุรกิจจีนและกัมพูชาเท่านั้นที่ถูกพูดถึง แต่ยังมีการพาดพิงชื่อของข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจชื่อดังของไทย ไปจนถึงนักการเมืองและอดีตนักการเมืองระดับชาติ ที่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงมีความสัมพันธ์กับนายหน้าฟอกเงินระดับโลก 

 

และด้วยอำนาจที่กลุ่มคนเหล่านี้มีอยู่ในมือ สิ่งที่จะต้องพิสูจน์ทราบให้แน่ชัดคือพวกเขามีส่วนร่วมด้วยช่วยกัน อำนวยความสะดวกให้แก๊งอาชญากรข้ามชาติสามารถฟอกเงินในไทยได้ง่ายดายขึ้นหรือไม่ ไปจนถึงข้อครหาที่รุนแรงยิ่งกว่าอย่างการตั้งคำถามของสังคมว่าหรือจริงๆ แล้ว บุคคลเหล่านี้อาจมีสถานะคล้ายกับนายจ้างที่โยนเงินให้นายหน้า B ไปฟอกด้วยกันแน่

 

เรื่องราวนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพฤติกรรมต้องสงสัยของเครือข่ายสแกมเมอร์ที่เข้ามาฟอกเงินในตลาดหุ้นและกองทุนไทย สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คงไม่ใช่แค่ตัวอย่างของกลุ่มนายหน้า B เพียงคนเดียว แต่ขบวนการเหล่านี้ยังมีผู้เล่นและนายหน้าอีกมาก ที่ยังคงใช้ประเทศไทยเป็นฐานที่มั่นในการฟอกเงินแบบนี้ต่อไป 

 

ไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินโลก?

 

ถ้าเรามองเฉพาะเส้นทางการเงินอย่างเดียว เราจะเห็นแค่ความผิดปกติทางตัวเลข แต่ถ้าถอยออกมาดูทั้งภาพใหญ่ เราจะได้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างรัฐไทยที่ไม่แข็งแรง การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ความเจ็บปวดของผู้คนที่ถูกหลอกลวง และอำนาจบางอย่างที่ทำให้ไทยไม่สามารถจัดการกับขบวนการฟอกเงินของเหล่าอาชญากรสแกมเมอร์ได้อย่างจริงจัง หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ดูจะมีแอกชันต่อการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มข้นอย่างกรณีของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ 

 

โครงสร้างรัฐไม่แข็งแรงมีความหมายกว้างขวาง ทั้งจากการที่ข้าราชการมักตอบว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะอยู่นอกเหนือขอบเขตความรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ จะต้องหาเจ้าภาพมาจัดการเรื่องนี้ก่อนจึงจะเริ่มแก้ปัญหาได้ รวมถึงการขาดการประสานงานด้านข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง หรือหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชนและภาคประชาชน เช่น กลต. ปปง. ธนาคารแห่งประเทศไทย ตำรวจไซเบอร์ และกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

การฟอกเงินสกปรกในทุกกระบวนการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่เป็นปัญหาที่รอไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความทุกข์ยากของประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะรวย จะจน จะอายุมากหรืออายุน้อย ทุกคนมีโอกาสที่จะถูกสแกมเมอร์หลอกให้สูญเสียทุกอย่างได้พอๆ กัน ดังนั้นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของรัฐ คือการเร่งตัดวงจรการทำงานของสแกมเมอร์ ตัดเส้นทางการเงิน ตรวจสอบความผิดปกติในตลาดหุ้นและกองทุนอย่างจริงจัง และถ้าอย่างไรก็ยังหาเจ้าภาพรับผิดชอบไม่ได้ รัฐก็ควรจะต้องตั้งหน่วยงานหรือคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ 

 

แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากเกิดการตั้งคณะทำงานขึ้นมาจริงๆ แล้วพบว่าบุคคลที่นั่งหัวโต๊ะมีความเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กับผู้ถูกกล่าวหาว่าอยู่ในขบวนการฟอกเงินของกลุ่มอาชญากรรมสแกมเมอร์ ความกังวลของนักวิชาการและนักการเงินที่ติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด คือหน่วยงานไหนจะกล้าทำงานโดยไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อน ไหนจะความกังวลที่ว่าจะเกิดการใช้อำนาจกดดันไม่ให้การจัดการคืบหน้าหรือเปล่า สังคมจะรู้ได้อย่างไรว่ารายงานผลการปฏิบัติงานที่ออกมาจะเป็นรายงานที่เป็นจริงและถูกต้อง หรือจากกรณีที่มีรายชื่อของบริษัทไทยอยู่ในบัญชีดำของทางการสหรัฐฯ แต่เราก็ยังไม่ได้เห็นว่ารัฐไทยติดตามจัดการไปถึงไหนแล้ว 

 

รัฐไทยจะต้องทำให้ทุกคนเห็นว่าเราจริงจังกับเรื่องนี้จะทำอย่างไรให้วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดหายไปจากสังคม เพื่อเป็นตัวอย่างให้อาชญากรทั่วโลกได้เห็นว่าไทยมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด มีกระบวนการปราบปรามอาชญากรรมจริงจัง ไม่นิ่งเฉย ไม่นิ่งนอนใจ แสดงให้โลกเห็นว่าไทยใส่ใจกับการแก้ปัญหานี้ 

 

เพราะถ้าไม่แก้ สุดท้ายแล้วไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางของสิ่งที่เราไม่อยากจะเป็น เราจะเปลี่ยนจากความต้องการเป็น Financial Hub ดึงดูดการลงทุนที่ดี เป็นศูนย์กลางการอำนวยความสะดวกในการฟอกเงินระดับโลก และคงไม่มีใครได้ทันคาดคิดว่าพื้นที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการฟอกเงินสกปรกจำนวนมหาศาล ก็คือตลาดหุ้นและกองทุนของไทย

 

และด้วยความยากลำบากจากหลากหลายปัจจัยและเหตุผล ก็อาจจะทำให้ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ ขบวนการฟอกเงินสกปรกที่ถูกระบุว่ามีอยู่จริงในประเทศไทย ไม่ได้รับการแก้ไขทันท่วงที แล้วค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลาเหมือนกับปัญหาอีกมากในประเทศนี้

The post ศูนย์กลางฟอกเงินสแกมเมอร์อยู่ในตลาดหุ้นและกองทุนไทย? appeared first on THE STANDARD.

]]>
CGSI มองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกปีหน้ายังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ชี้สถานการณ์การเมืองซับซ้อนขึ้น https://thestandard.co/cgsi-set-index-target-2569/ Fri, 12 Dec 2025 10:08:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1154083 CGSI มองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกปีหน้ายังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ชี้สถานการณ์การเมืองซับซ้อนขึ้น

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) […]

The post CGSI มองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกปีหน้ายังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ชี้สถานการณ์การเมืองซับซ้อนขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
CGSI มองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกปีหน้ายังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ชี้สถานการณ์การเมืองซับซ้อนขึ้น

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ได้จัดงานแถลงข่าว Analysts meet Media Outlook 2026 เพื่อนำเสนอมุมมองของทีมนักวิเคราะห์ CGSI ต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2569 และวิเคราะห์เจาะลึกในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมกลยุทธ์การลงทุน

 

โดย CGSI ตั้งเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2569 ที่ 1,400 จุด มองช่วงครึ่งปีแรกหุ้นไทยยังถูกกดดันจากการเมืองในประเทศ แต่คาดฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งปีหลัง จากการเมืองชัดเจน รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ดอกเบี้ยลด เงินทุนต่างชาติไหลเข้าหลัง Valuation น่าสนใจและ Underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค

พัชระนนท์ ชีวะเกรียงไกร ประธานเจ้าหน้าที่ CGSI เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศ ภาษีสหรัฐ ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูง และกระทบต่อเศรษฐกิจ ในปีหน้าปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะยังฉุดรั้งตลาดหุ้นไทยอยู่ แต่ยังมีความหวังจากการเมืองที่จะชัดเจนขึ้น หลังมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้า

 

“ปีนี้ธุรกิจหลักทรัพย์เผชิญกับความยากลำบาก ปีหน้ายังไม่สดใสนัก เราเองในปีนี้เร่งปรับตัว รุกธุรกิจไปในสายต่างๆ อย่างวาณิชธนกิจ และบริการการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ด้วยจุดแข็งจากการมีเครือข่ายและพันธมิตรทั่วโลก ในปีหน้าจะเห็นความร่วมมือระหว่าง CGSI กับบริษัทแม่ของเรา China Galaxy Securities และพันธมิตรมากขึ้น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGSI กล่าว

 

ด้านเกษม พันธ์รัตนมาลา ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ CGSI เปิดเผยว่า ในปี 2569 คาดดัชนี SET สิ้นปีอยู่ที่ 1,400 จุด เท่ากับ P/E 15 เท่าในปี 2570 หรือ -0.75SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี ทั้งนี้ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่ P/E 15 เท่าปี 2568 หรือ P/E 13 เท่าหากตัด DELTA ออก จึงสะท้อนโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ ขณะที่ตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคมาตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

 

“Valuation หุ้นบ้านเราน่าสนใจ ตอนนี้ถ้าตัด DELTA ออก จะเทรด P/E ที่ 13 เท่า สามปีแล้วที่หุ้นไทยUnderperform ตลาดในภูมิภาค จึงมองว่าปีหน้านี้ หุ้นไทยน่าจะมีโอกาส rebound ได้” ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ CGSI กล่าว

 

เกษม มองว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2569 หุ้นไทยจะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยมองว่าสถานการณ์การเมืองซับซ้อนขึ้น หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้กระทบคะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย เท่ากับเปิดความเสี่ยงให้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสม มองว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรคภูมิใจไทยจะจับมือพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล

 

เกษม มองว่า หุ้นไทยจะฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง 2569 หลังมีรัฐบาลใหม่หนุนความเชื่อมั่นและเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาบริหารกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญๆ ก็จะยิ่งหนุนความเชื่อมั่นมากขึ้น นอกจากนี้ หุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย หลังตั้งแต่ปี 2566 มีเงินทุนไหลออกสูงถึง 4.53 แสนล้านบาท

 

กลยุทธ์การลงทุนในปี 2569 ช่วงครึ่งปีแรก แนะเลือกลงทุนหุ้น Defensive เนื่องจากเป็นหุ้นที่ปลอดภัย และช่วงครึ่งปีหลังให้เพิ่มการลงทุนหุ้นวัฏจักรที่อิงกับกระแสการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยหุ้น Top Picks ประกอบด้วย ADVANC, BCPG, BDMS, CPN, MOSHI, MTC, PR9, SCB และ TRUE

 

ทั้งนี้ มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปีหน้า จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป GDP จะเติบโตเพียง 1.9% จากที่คาด 2.0% ในปีนี้ เนื่องจากการลงทุนขนาดใหญ่ถูกชะลอจนกว่าจะประกาศผลการเลือกตั้ง เชื่อว่าหากรัฐบาลชุดปัจจุบันได้เป็นรัฐบาลอีก โครงการคนละครึ่งก็จะเดินหน้าต่อ ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำ ทำให้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยคาดอัตราดอกเบี้ยสุดท้าย (terminal rate) จะอยู่ที่ 0.75% ในปี 2569

 

สำหรับหุ้นรายกลุ่ม เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโต 14% yoy ในปี 2569 จากฐานที่ต่ำในปีนี้ มองว่าตลาดคอนโดมิเนียมผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2/2568 ช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เห็นความต้องการคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น และจะฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบปีหน้าจะลดลง ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีแรงขับเคลื่อนจากการกระจายฐานการผลิตตามกลยุทธ์ China Plus One (China+1) ซึ่งประเทศในอาเซียนเป็นจุดหมายที่นักลงทุนจีนและบริษัทข้ามชาติเลือกตั้งโรงงาน คาดว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะมีกำไรปกติเติบโต 3.1% ในปี 2569

 

กลุ่มค้าปลีก แนวโน้มปี 2569 ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน การจับจ่ายที่เพิ่มขึ้นช่วงปลายปีนี้มาจากโครงการคนละครึ่งและเที่ยวดีมีคืนกระตุ้นระยะสั้น ไม่สามารถสร้างโมเมนตัมต่อไปปีหน้าได้ ขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ ยังกดดันต่ออุปสงค์ระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดกำไรผู้ค้าปลีกจะโต 7.9% ในปี 2569 แม้ดีขึ้นจากปีนี้ แต่ไม่มากพอที่จะหนุนกลุ่มค้าปลีกขึ้นมาซื้อขาย P/E ที่สูงขึ้นได้ แนะนำเลือกลงทุนเฉพาะบริษัทที่เห็นแนวโน้มการเติบโตที่ชัดเจน

 

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในปี 2569-2570 สินเชื่อน่าจะขยายตัวเพียง 1.1-2.0% จากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และ GDP ที่เติบโตชะลอตัว ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรก่อนตั้งสำรองคาดไว้ที่ -3.0% ในปี 2569 และ +1.6% ในปี 2570

 

ส่วน ROE โดยรวมคาดจะอยู่ที่ 8.9-9.3% ในปี 2569-2570 แนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคาร เพราะกลุ่มนี้ขาดปัจจัยบวกระยะสั้น แต่ยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง โดยกลุ่มธนาคารซื้อขายที่ P/BV 0.68 เท่าในปี 2569 หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตห้าปีที่ 0.64 เท่าเล็กน้อย

 

กลุ่มโทรคมนาคม เชื่อว่าปริมาณการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจะเปิดโอกาสให้บริษัทโทรคมนาคมไทยใช้กลยุทธ์ upsell ซึ่งจะทำให้รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) ของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลุ่มโทรคมนาคม เนื่องจาก ARPU จะเข้าสู่วงจรการเติบโตด้วยแรงขับเคลื่อนจากปริมาณการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งาน AI smartphone และ AI app และการประเมินมูลค่ากลุ่มโทรคมนาคมที่ EV/EBITDA 8 เท่าในปี 2569 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ยังไม่สะท้อนการเติบโตของ ARPU

 

กลุ่มพลังงาน แม้กลุ่ม OPEC+ เดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตสำรอง แต่คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันต่อ เพราะประเทศกลุ่ม non-OPEC ยังคงเพิ่มปริมาณการผลิต ส่งผลให้ตลาดมีอุปทานน้ำมันส่วนเกินกดดันราคา สำหรับก๊าซธรรมชาติและ LNG คาดว่าปี 2569 ความต้องการ LNG ทั่วโลกจะเติบโตราว 2% yoy หนุนด้วยการฟื้นตัวของอุปสงค์ในจีน และความต้องการก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นในปี 2569 ค่าการกลั่นตลาดมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ช่วงต้นปี 2569 ส่วนต่างราคาดีเซลอาจทรงตัวระดับสูงจากภาวะอุปทานที่ยังตึงตัว ตามการลดลงของการส่งออกจากรัสเซีย และการปิดโรงกลั่นในหลายภูมิภาคทั่วโลก

 

กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่ากำลังการผลิตรอบใหม่จะเริ่มทะลักเข้าสู่ตลาดตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2568 เป็นต้นไป โดยกำลังการผลิตเอทิลีนทั่วโลกมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจนถึงปี 2571 ขณะที่การฟื้นตัวของสเปรดอาจต้องรออีก 1-2 ปีหลังจากนั้น ดังนั้นประเมินว่าจำเป็นต้องมีการประกาศปิดกำลังการผลิตรวมราว 11 ล้านตันต่อปีในช่วงปี 2569-2571 ในการทำให้ตลาดเอทิลีนโลกกลับเข้าสู่จุดสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน

 

กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร (สุกร, เนื้อไก่) ในปี 2569 คาดภาพรวมรายได้มีแนวโน้มชะลอตัว ราคาสุกรมีทิศทางอ่อนตัว ขณะที่เนื้อไก่จะได้รับแรงหนุนจากการบริโภค เพราะเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าในภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลง yoy สะท้อนผลกระทบจากราคาสุกรที่อ่อนตัวและยอดขายสาขาเดิมที่ชะลอ ในปีหน้ามองว่าความต้องการในประเทศจะอ่อนแอและความอ่อนไหวต่อราคาจะกดดันการบริโภคโปรตีน ซึ่งผู้ผลิตที่มีโมเดลค้าปลีกหรือเน้นส่งออกจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า ขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่บางรายเผชิญความเสี่ยงจากมาร์จิ้นที่ลดลง

 

กลุ่มเทค การเร่งลงทุนในระบบพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น compute, memory, networking, power และ cooling เพื่อรองรับความต้องการของ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ยังคงเป็นแกนหลักของธีมเทคโลกในปี 2569 กลยุทธ์การลงทุน เน้นลงทุนบริษัทที่มีศักยภาพการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และลดน้ำหนักหุ้นที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นเกินพื้นฐาน รวมถึงหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีอัตรากำไรต่ำ อยู่ในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ดั้งเดิม คาดว่าปี 2569 จะเป็นลักษณะการฟื้นตัวแบบ L-shaped โดยยังมีความเสี่ยงด้านขาลงที่สำคัญจากความเป็นไปได้ของอุปสงค์ที่ถูกทำลาย เป็นผลจากผลกระทบของมาตรการภาษีที่ยืดเยื้อ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลกที่อ่อนแอลง

 

ขณะที่ภควัต พิสุทธิพันธุ์ รักษาการผู้บริหารสูงสุด สายงานธุรกิจลูกค้ารายย่อย CGSI กล่าวว่า จากภาพสะท้อนทิศทางการลงทุนในปีหน้าที่ยังคงเผชิญแรงกดดัน การเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดและบริหารความเสี่ยงได้เป็นสิ่งสำคัญ CGSI มีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ทั้งการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เช่น บริการ Cross Border Trading, บริการ Private Fund, ตราสาร DR สำหรับลงทุนหุ้นต่างประเทศ และกองทุนรวมต่างๆ ที่นักลงทุนเลือกลงทุนได้ตามความเหมาะสมและตามความเสี่ยงที่แต่ละรายมีความแตกต่างกัน

The post CGSI มองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกปีหน้ายังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ชี้สถานการณ์การเมืองซับซ้อนขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือหุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด https://thestandard.co/predictions-2026-india-ai-stocks/ Wed, 03 Dec 2025 02:58:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1150876 เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือ หุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด

ท่ามกลางภูมิทัศน์การลงทุนโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ป […]

The post เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือหุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือ หุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด

ท่ามกลางภูมิทัศน์การลงทุนโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ปี 2026 เศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายรูปแบบใหม่ ซึ่งมี 10 Predictions สำคัญทางเศรษฐกิจที่จะมีผลกระทบต่อภาพการลงทุน รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร

 

สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ระบุว่าในปี 2026 คาดการณ์ว่าจะมี 10 การคาดการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือ 10 Predictions ปี 2026 ดังนี้

 

เปิด 10 ปรากฏการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2026:จาก Trade War สู่ K-Shape Recovery

 

สิทธิชัยประเมินภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคไว้ 10 ประเด็นสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นโลก ดังนี้

  • ตลาดหุ้นจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) แต่จะเห็นสัญญาณการชะลอตัวลง ซึ่งยังสามารถลงทุนได้แต่ต้องคัดเลือกหุ้นมากขึ้น
  • วัฏจักรการลดดอกเบี้ย (Easing) ของธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะยุติลงในช่วงกลางปี หรือประมาณปลายไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ซึ่งรวมถึงทิศทางดอกเบี้ยของไทยด้วย
  • จีนจะหยุดการอัดฉีดเงินแบบหว่านแห และหันไปใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีฉบับใหม่ที่เน้นการลงทุนเจาะจงในกลุ่ม Semiconductor มากกว่าการอุดหนุนทางการค้า (Trade-in Subsidies) แบบเดิม
  • สงครามการค้า (Trade War) จะกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจใช้ความได้เปรียบทางการเมืองมาเป็นข้อต่อรองกับจีน ซึ่งจะประจวบเหมาะกับช่วงที่สัญญาแร่หายาก (Rare Earth Agreement) กำลังจะหมดอายุในเดือนตุลาคมพอดี
  • ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการปรับลดดอกเบี้ยที่เร็วและแรงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งหากประธาน Fed คนใหม่ลดดอกเบี้ยแรงอีก ความเชื่อมั่นอาจลดลง ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าและเป็นผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
  • K-Shape Recovery ที่ชัดเจนขึ้น ปรากฏการณ์ “คนจนจนลง คนรวยรวยขึ้น” จะรุนแรงขึ้น กลยุทธ์คือต้องเน้นหุ้นที่มี Pricing Power หรืออำนาจในการขึ้นราคาได้โดยไม่กระทบยอดขาย เช่น กลุ่มสินค้าหรูหรา (Luxury) อย่าง Benz, BMW หรือ Louis Vuitton ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่า
  • การเติบโตเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) โดย เศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้ โดยคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ โต 1.5%, เศรษฐกิจโลกโต 1.3% และเศรษฐกิจเอเชียโต 1.7% ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่อง
  • ยุโรปฟื้นตัว นำโดยเยอรมนี ซึ่งเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะเยอรมนีที่จะฟื้นตัวได้มากที่สุดในภูมิภาค
  • ‘อินเดีย’ ไททันตัวใหม่ เศรษฐกิจอินเดียจะผงาดแซงหน้าญี่ปุ่น ขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก
  • การเมืองร้อนแรง ต้องจับตาการเลือกตั้งกลางเทอม (Midterm Election) ของสหรัฐฯ และการเลือกตั้งในประเทศไทย ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ

 

เจาะเทรนด์ Tech: หมดยุคเก็งกำไร Capex สู่ยุค ‘Earning Play’

 

ในฝั่งของหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นตัวขับเคลื่อนโลก สิทธิชัยมองว่าปีหน้าจะมีความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Capex) ไปสู่การสร้างรายได้จริง (Monetization) มีประเด็นสำคัญ ดังนี้

  • ชิป 1 นาโนเมตรมาแล้ว TSMC จะเปิดตัวเทคโนโลยี 1 นาโนเมตรในช่วงปลายปี ตามด้วย Samsung และ Intel ในปี 2027 พร้อมกับการพูดถึงเทคโนโลยีควอนตัม (Quantum) ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
  • จีนเร่งเครื่อง Semiconductor แม้จะถูกกีดกัน แต่จีนจะมีพัฒนาการก้าวกระโดด (Breakthrough) ทั้งด้าน Memory, เครื่องมือผลิตชิป และเทคโนโลยี Deep Seek
  • AI เปลี่ยนโฉมสู่ภาคปฏิบัติ โลกจะเห็นการใช้งานหุ่นยนต์ (Robotics), Humanoid Robot และระบบอัตโนมัติ (Autonomous) มากขึ้น รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน Cyber Security และ PC จะกลับมาฟื้นตัว
  • เน้นกลุ่มหุ้น Earning Play ยุคของการเก็งกำไรจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Capex Play) จบลงแล้ว ตลาดจะหันมาโฟกัสหุ้นที่สร้างรายได้จาก AI ได้จริง หรือหุ้นที่มีกำไรเติบโตชัดเจน โดยเน้นกลุ่ม Magnificent 7 และหุ้นที่เกี่ยวเนื่อง เช่น Space Exploration
  • สงครามยุคใหม่ กลุ่ม Defense หรือการป้องกันประเทศยังน่าสนใจ แต่รูปแบบจะเปลี่ยนจากอาวุธดั้งเดิมอย่างรถถัง เป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense System) เพื่อรองรับสงครามสมัยใหม่ เช่นในไต้หวันและเกาหลี

 

กลยุทธ์หุ้นไทย ลุ้น Q1 ไปต่อ รอจังหวะ ‘ของถูก’ เมื่อหลุด 1,200 จุด

 

สำหรับตลาดหุ้นไทย สิทธิชัยวางฉากทัศน์ (Scenario) แบ่งตามไตรมาสไว้ดังนี้:

  • ในไตรมาส 1/2026 มีมุมมองเชิงบวก คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,350-1,400 จุด รับอานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน และสถิติ Pre-election Rally ในช่วง 3 เดือนก่อนเลือกตั้งที่มักดันตลาดไทยขึ้นได้ 2-3%
  • ในไตรมาส 2/2026 การลงทุนต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะดอกเบี้ยอาจเริ่มหยุดลด จีนหยุดกระตุ้นเศรษฐกิจ และเข้าสู่ Low Season ของภาคท่องเที่ยว แนะนำให้ขายทำกำไร (Take Profit) แล้วสลับเงินไปกลุ่ม Defensive ที่มีอำนาจกำหนดราคาได้ เช่น โรงพยาบาล (Healthcare), ค้าปลีก (Commerce) และสื่อสาร (ICT)
  • ในไตรมาส 3/2026 ภาพบรรยากาศในตลาดหุ้นไทยอาจดูขมุกขมัวจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าและเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หากเศรษฐกิจไม่ถดถอย (Non-Recession) กลุ่มธนาคาร (Bank) อาจเป็นจุดกลับตัวที่น่าสนใจเมื่อดอกเบี้ยหยุดลด
  • ไตรมาส 4/2026 ตลาดจะฟื้นตัวรับข่าวหลังจบการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ รัฐบาลใหม่ของไทยเริ่มเบิกจ่ายงบลงทุน และเทคโนโลยีใหม่จาก TSMC มีชิป 1 นาโนเมตร เปิดตัว ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนของกลุ่มเทคโนโลยีอีกครั้ง

 

สิทธิชัย ระบุว่า ระดับดัชนีที่ 1,200 จุด หรือต่ำกว่า ถือเป็น Good Entry Point สำหรับนักลงทุนที่รอจังหวะสะสมหุ้น โดยมองว่าแม้ตลาดจะมีความผันผวน แต่ยังคงแนะนำให้ Stay Invested หรืออยู่ในตลาดต่อไป โดยเน้นเลือกหุ้นรายตัวอย่างระมัดระวัง และจับตาจังหวะการเข้าซื้อในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีหน้า

The post เจาะลึก 10 Predictions ปี 2026: ชี้เป้า ‘อินเดีย’ ผงาด-AI เข้าสู่ยุคทำเงิน พร้อมแผนรับมือหุ้นไทย ส่อหลุด 1,200 จุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
กว่าจะมาเป็น ‘สุดยอด’ ของตลาดทุนไทย https://thestandard.co/set-awards-investor-compass-quality-stocks-esg/ Tue, 02 Dec 2025 02:00:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1150089

ในตลาดหุ้นไทยที่มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กว่า 800 บริษัท […]

The post กว่าจะมาเป็น ‘สุดยอด’ ของตลาดทุนไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในตลาดหุ้นไทยที่มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กว่า 800 บริษัท คำถามสำคัญที่ท้าทายนักลงทุนทุกคนคือ เราจะคัดเลือกหุ้นที่มี “คุณภาพ” ที่ธุรกิจมีแนวโน้มจะเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาวออกมาได้อย่างไร?

 

แน่นอนว่าการดูตัวเลขกำไรเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะตลาดทุนต้องการมากกว่าแค่ความหวือหวา แต่มองหารากฐานที่แข็งแกร่งและความสม่ำเสมอ

 

หนึ่งในตัวกรองเชิงคุณภาพที่สำคัญที่สุด ที่ช่วยให้นักลงทุนมีข้อมูลเลือกตัดสินใจ “หุ้นดี” ที่มีคุณภาพระดับสูงและมีความรับผิดชอบ คือรางวัลที่ชื่อว่า SET Awards

 

SET Awards เป็นมากกว่างานมอบรางวัลประจำปี แต่เป็นกลไกที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งใจสร้างขึ้น เพื่อส่งเสริมบริษัทที่มีมาตรฐานการดำเนินงานในระดับสากล และคู่ควรกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะเดียวกันยังเป็นต้นแบบให้แก่ภาคธุรกิจอื่นๆ อีกด้วย

 

หลายคนอาจไม่ทราบว่า SET Awards ไม่ใช่รางวัลที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2546 และดำเนินมาถึงปีนี้เป็นปีที่ 22 ด้วยเป้าหมายที่ต้องการส่งเสริมศักยภาพการเติบโตของตลาดทุนไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.), ผู้บริหารสูงสุด (CEO), บริษัทหลักทรัพย์, บริษัทสมาชิก, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน

 

รางวัลนี้เป็นเหมือน “เข็มทิศ” ที่กำหนดทิศทางให้ผู้เกี่ยวข้องต้องพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ยึดหลักความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญ ด้วยการ เผยแพร่รายละเอียดเกณฑ์การตัดสินที่ชัดเจนในทุกปี เพื่อให้ทุกคนนำไปใช้เป็นแนวทางพัฒนาองค์กรให้เติบโตและตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

 

หัวใจของรางวัลที่ไม่ใช่แค่เรื่องของกำไร

 

SET Awards ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มรางวัลหลัก ที่สะท้อนภาพการเติบโตขององค์กรในแบบองค์รวม คือ

 

1. กลุ่มรางวัล BUSINESS EXCELLENCE

รางวัลนี้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการสร้าง ผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม ในด้านต่างๆ เน้นไปที่ความโดดเด่นทางธุรกิจและผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดทุนเติบโตอย่างมีคุณภาพ

 

2. กลุ่มรางวัล SUSTAINABILITY EXCELLENCE

รางวัลนี้คือการตอกย้ำว่า การเติบโตในระยะยาวสำคัญที่สุด โดยเน้นการสนับสนุนให้บริษัทบูรณาการ แนวคิดความยั่งยืน หรือ ESG (Environment, Social, Governance) เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจ ซึ่งหมายถึงการทำกำไรที่ต้องมาพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และการมีธรรมาภิบาลที่ดี

 

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้กำหนด รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ (SET Awards of Honor) เพื่อยกย่องผู้ที่สามารถรักษาความโดดเด่นในสาขาต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นเลิศที่สม่ำเสมอ

 

กลุ่มรางวัล Business Excellence ประกอบด้วย 8 ประเภทรางวัล โดยมีบริษัทได้รับรางวัลยอดเยี่ยมรวมทั้งสิ้น 24 บริษัท และได้รับรางวัล SET Awards of Honor ทั้งสิ้น 8 บริษัท (รวมกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์)

 

ส่วนกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence มีบริษัทได้รับรางวัล Sustainability Awards ทั้งสิ้น 28 บริษัท รางวัล Supply Chain Management Awards ทั้งสิ้น 7 บริษัท โดยในจำนวนนี้ มี 3 บริษัทที่ได้รับทั้ง 2 ประเภทรางวัล และ Sustainability Awards of Honor 6 บริษัท

 

สุดยอดหุ้นของตลาดทุนไทย 2025

 

ในปี SET Awards 2025 เราก็ได้เห็นโฉมหน้าของ “สุดยอด” แห่งตลาดทุนไทยอีกครั้ง บริษัทที่ได้รับรางวัลต่างพิสูจน์แล้วว่า พวกเขาคือ ผู้นำแห่งความยั่งยืนตัวจริง และเป็น ต้นแบบของการบริหารงานที่ยอดเยี่ยม

 

โดยกลุ่มรางวัล Business Excellence นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) รับรางวัล Best CEO Awards ของ SET ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ขณะที่นางสาววาสนา จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอ็กโซติค ฟู้ด (XO) รับ 2 รางวัล ได้แก่ Best CEO Awards ของ mai และ Young Rising Star CEO Awards

 

set awards 2025

 

ขณะที่รางวัล Best Company Performance Awards มีบริษัทที่ได้รับรางวัลแบ่งตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ฝั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

กลุ่ม Market Cap. สูงกว่า 100,000 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH)

 

กลุ่ม Market Cap. สูงกว่า 30,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100,000 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.ทีทีดับบลิว (TTW)

 

กลุ่ม Market Cap. สูงกว่า 10,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.ทีคิวเอ็ม อัลฟา (TQM)

 

กลุ่ม Market Cap. สูงกว่า 3,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ (NSL)

 

กลุ่ม Market Cap. ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.เอกรัฐวิศวกรรม (AKR)

 

ฝั่งตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

 

กลุ่ม Market Cap. สูงกว่า 1,500 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC)

 

กลุ่ม Market Cap. ไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว (SECURE)

 

นอกจากนี้ ยังมีรางวัลที่น่าสนใจคือ กลุ่มของ Innovative Company Awards โดยบริษัทที่ได้รับรางวัล Best Innovative Company Awards ในปีนี้ได้แก่ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ผ่านนวัตกรรมที่ชื่อว่า Mobilix โซลูชันกรีนโลจิสติกส์แบบครบวงจร

 

หากมองโดยผิวเผินรางวัล SET Awards อาจเป็นเหมือนเกียรติยศเฉพาะตัวของแต่ละบริษัทในตลาดทุน แต่จริงๆ แล้วรางวัลเหล่านี้กำลังทำหน้าที่เป็นตัวช่วยสะท้อน

 

หากมองโดยผิวเผิน SET Awards อาจเป็นเพียงแค่เกียรติยศเฉพาะตัวของแต่ละบริษัทในตลาดทุนที่ได้รับรางวัลเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว รางวัลเหล่านี้กำลังทำหน้าที่เป็น ตัวช่วยสะท้อนคุณภาพของตลาดทุนไทย ที่หลายคนอาจมองข้ามไป

 

รางวัลนี้ยังทำหน้าที่เป็นแบบอย่าง (Role Model) ให้กับบริษัทต่างๆ ในตลาดในการยกระดับตัวเองขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่บริษัทเท่านั้นที่พัฒนาตัวเอง แต่ตัวรางวัลเองก็มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องตลอด 22 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทการลงทุนของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังเช่นในปีนี้ที่มีการเพิ่มรางวัลใหม่ที่น่าสนใจ ได้แก่รางวัล Best Securities Company Awards ด้านการให้บริการ Digital Wealth Service

 

การมองหาบริษัทที่ได้รับรางวัล SET Awards คือการเลือกที่จะลงทุนในรากฐานที่แข็งแกร่ง และร่วมกันผลักดันให้ตลาดทุนไทยเต็มไปด้วยบริษัทที่มีคุณภาพสูงและเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดไป

The post กว่าจะมาเป็น ‘สุดยอด’ ของตลาดทุนไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% https://thestandard.co/us-unemployment-thai-growth-cut/ Tue, 25 Nov 2025 12:50:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1147531 แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4%

The post แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4%

The post แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลออกหมายจับ ‘แอน จักรพงษ์’ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน https://thestandard.co/anne-jakkaphong-arrest-warrant/ Tue, 25 Nov 2025 09:02:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1147372 ศาลออกหมายจับ แอน จักรพงษ์ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน

วันนี้ (25 พฤศจิกายน) ที่ ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง […]

The post ศาลออกหมายจับ ‘แอน จักรพงษ์’ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลออกหมายจับ แอน จักรพงษ์ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน

วันนี้ (25 พฤศจิกายน) ที่ ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1440/2566 ซึ่งเป็นคดีข้อพิพาทระหว่าง นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล (บุตรชาย นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ หรือ แอน จักรพงษ์ เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง

 

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องโดยระบุพฤติการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2566 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงและปกปิดข้อเท็จจริง โดยชักชวนให้โจทก์ร่วมลงทุนซื้อหุ้นกู้ของบริษัทจำเลยที่ 1

 

โจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วว่าสถานะทางการเงินของบริษัทไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ตามกำหนด แต่ยังคงดำเนินการหลอกลวงจนได้ทรัพย์สินจากโจทก์ไปเป็นจำนวนเงิน 30,000,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งประทับรับฟ้องไว้พิจารณา ก่อนจะมีการสืบพยานจนเสร็จสิ้น

 

ในวันนัดฟังคำพิพากษาวันนี้ เมื่อถึงเวลาตามกำหนด ปรากฏว่า จักรพงษ์ (จำเลยที่ 2) ไม่ได้เดินทางมาศาลและไม่ได้มีการแจ้งเหตุขัดข้องใดๆ

 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 แสดงให้เห็นถึงเจตนาจงใจหลบหนี จึงมีคำสั่งดังนี้:

 

1. ออกหมายจับ: ให้ จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ มาฟังคำพิพากษา

 

2. สั่งปรับนายประกัน: เนื่องจากไม่สามารถส่งตัวจำเลยได้ตามนัด ถือว่าผิดสัญญาประกัน ศาลสั่งปรับนายประกันเต็มตามวงเงินสัญญา และให้ออกคำบังคับชำระค่าปรับภายใน 15 วัน

 

ทั้งนี้ ศาลได้กำหนดนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ใหม่อีกครั้ง ใน วันที่ 26 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น.

The post ศาลออกหมายจับ ‘แอน จักรพงษ์’ ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีฉ้อโกงหุ้นกู้ 30 ล้านบาท สั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่นสมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/webull-thai-stocks-trading/ Tue, 25 Nov 2025 01:00:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1146871 Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL]

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ วีบู […]

The post Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่นสมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL]

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “Webull Thailand” บริษัทย่อยของ Webull Corporation (NASDAQ : BULL) ได้ประกาศเปิดให้เทรดหุ้นไทยบนแพลตฟอร์มอย่างเป็นทางการ

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 1

 

ไม่ใช่เพียงข่าวเปิดตัวบริการใหม่เท่านั้น แต่คือ “เหตุการณ์สำคัญ” ของตลาดทุนไทย เมื่อ Webull Thailand บริษัทย่อยของโบรกเกอร์สัญชาติอเมริกันที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 24 ล้านบัญชี ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และเดินหน้าผสานเทคโนโลยีระดับโลกเข้ากับตลาดทุนไทยแบบเต็มรูปแบบ

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 2

 

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวต้อนรับ

 

งานเปิดตัว Webull ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ เต็มไปด้วยสื่อมวลชน นักวิเคราะห์ นักลงทุนรายย่อย โดยมีกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงาน

 

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการว่า “วันนี้ต้องขอต้อนรับ Webull เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการครับ รู้สึกยินดีมากที่จะได้กล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่ของเราอีกหนึ่งราย โดยเป็นสมาชิกหมายเลข 9 ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นคนรุ่นใหม่และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยให้ตลาดทุนไทยคึกคักและทันสมัยขึ้น”

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 3

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

วิสัยทัศน์จาก Webull Thailand “พาคนไทยกลับบ้าน”

 

หนึ่งในจุดที่โดดเด่นที่สุดของงาน คือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของ ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand ที่สะท้อนความตั้งใจจริงของบริษัทต่อการยกระดับตลาดไทย

 

“เราอยากพาคนไทยกลับบ้าน กลับมามองตลาดหุ้นไทยที่มีเสน่ห์อยู่เสมอ” ชลเดช กล่าว และอธิบายว่าแม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาอาจเผชิญความท้าทาย แต่สำหรับนักลงทุนที่มองในเชิงมูลค่า นี่คือจังหวะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะหุ้นไทยหลายตัว เทรดต่ำกว่า Value หุ้นใหญ่หลายกลุ่ม โดยเฉพาะธนาคาร มี Dividend 5-8% ซึ่งหาได้ยากในต่างประเทศ นอกจากนี้ ตลาดไทยยังเต็มไปด้วยบริษัทที่ “เห็นได้จริง จับต้องได้” อยู่รอบตัวผู้บริโภคไทย

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 4

ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand

 

“ถ้ามองหุ้นไทยตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจมากครับ และ Webull เองก็มีความพร้อม เพราะเรามีใบอนุญาตในไทย รวมถึงใบอนุญาตในอีก 13 ประเทศทั่วโลก เราจึงสามารถพาคนไทยไปลงทุนในต่างประเทศได้ และในทางกลับกันก็สามารถพานักลงทุนรายย่อยทั่วโลกให้หันมามองตลาดไทยได้เช่นกัน นี่คือพันธกิจสำคัญของเราที่อยากพาหุ้นไทยไปสู่สายตานักลงทุนทั่วโลก” ชลเดช กล่าว

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 5

 

ชลเดช ยังกล่าวถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการนำเสนอให้ได้ทดลองเทรดหุ้นไทยบนแพลตฟอร์ม “นักลงทุนหุ้นไทยที่เราให้ความสำคัญมีสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่เทรดหุ้นไทยอยู่แล้ว ส่วนอีกกลุ่มคือคนที่อาจยังไม่เคยลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ เราอยากชวนกลับมามองตลาดไทย เพราะหุ้นไทยมีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ที่มีปันผลสูง 7-8% ซึ่งในต่างประเทศแทบหาไม่ได้”

 

“หุ้นไทยเป็นหุ้นที่อยู่รอบตัวเรา มองเห็นธุรกิจได้จริง ถ้าราคาไม่ขึ้นก็ยังเป็นโอกาสซื้อของดีในราคาถูก และถ้านโยบายภาครัฐมีบัญชีลดหย่อนภาษีสำหรับซื้อหุ้นรายตัว เราก็อยากให้ทุกคนเริ่มซ้อมวิเคราะห์หุ้นไทยผ่านแพลตฟอร์มดี ๆ ครับ”

 

เหตุผลสำคัญของการเลือกเปิดตัว ‘เทรดตลาดหุ้นไทย’ ตอนนี้

 

ชลเดช ได้ให้เหตุผลสำคัญในการเปิดบริการเทรดหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ไว้บน 3 ปัจจัยแบบชัดเจนว่า

 

1. สเกลผู้ใช้พร้อมแล้ว

Webull เปิดให้บริการเทรดหุ้นสหรัฐฯ ในไทยมากว่า 1 ปี และในปัจจุบันมี ผู้ใช้ลงทะเบียนกว่า 1,000,000 ราย เปิดบัญชีสำเร็จผ่าน KYC แล้วกว่า 300,000-400,000 ราย สเกลนี้ถือเป็นฐานที่แข็งแรงสำหรับการเปิดให้เทรดหุ้นไทยเพิ่ม

 

2. หุ้นไทยกำลัง undervalued

ชลเดช มองว่าตลาดไทยอยู่ใน “จุดคุ้มค่าที่นักลงทุนควรกลับมามองใหม่”

 

3. โอกาสจากนโยบายภาครัฐในปีหน้า

โดยเฉพาะความเป็นไปได้ของบัญชี TISA (Thailand Individual Savings Account) ที่อาจเปิดให้ลดหย่อนภาษีจากการซื้อหุ้นรายตัว ส่งผลให้ความสนใจในตลาดไทยอาจกลับมาคึกคักกว่าเดิม

 

“หุ้นใหญ่หลายตัวซื้อขายต่ำกว่า Value และมีอัตราปันผลระดับ 5–7% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นระดับที่ต่างประเทศหาได้ยาก อีกทั้งนโยบายภาครัฐปีหน้ามีโอกาสเห็นบัญชี TISA ที่ให้นักลงทุนซื้อหุ้นรายตัวแล้วลดหย่อนภาษีได้ ทำให้ไตรมาส 4 ปี 2025 ถือเป็นจังหวะเหมาะสมที่สุดในการเปิดตลาดหุ้นไทยครับ”

 

Webull บริษัทหลักทรัพย์จาก Nasdaq ที่เติบโตบนเครือข่าย 14 ประเทศทั่วโลก

 

แม้หลายคนในตลาดไทยเพิ่งเริ่มคุ้นชื่อ Webull แต่ในระดับโลก บริษัทนี้มี Footprint ที่ใหญ่และแข็งแรงอย่างมาก “วันนี้ Webull เปิดบริการครอบคลุมตั้งแต่อเมริกา แคนาดา เม็กซิโก บราซิล ไปจนถึงสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ แอฟริกาใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งเชื่อว่าเราเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายแรกที่มีเครือข่ายครบขนาดนี้ครับ” ชลเดช กล่าว

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 6

 

Webull ใช้แพลตฟอร์มเดียวทั่วโลก พัฒนาโดยวิศวกร 500-600 คน รองรับผู้ใช้ใน 14 ประเทศ สำหรับไทย จุดเด่นคือมีข้อมูลและเครื่องมือครบครันที่สุด ทั้งกราฟ เทคนิคอล อินดิเคเตอร์ สัญญาณซื้อขาย ราคาเฉลี่ยต้นทุน และข้อมูลพื้นฐาน เทียบเท่ามาตรฐานการเทรดหุ้นต่างประเทศ

 

Webull แพลตฟอร์มอันดับ 1* ของประเทศไทย

 

ความพร้อมของแพลตฟอร์มและการลงทุนลงมืออย่างจริงจังของโบรกเกอร์สัญชาติอเมริกานี้ สะท้อนมายังคะแนนเรตติงจากผู้ใช้งาน และอาจเรียกได้ว่า Webull เป็นแพลตฟอร์มอันดับ 1* ของประเทศไทย ไปเสียแล้ว

 

“Webull เป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยได้รับคะแนน Rating & Review จากผู้ใช้งานจริงบน iOS และ Android ที่ให้เรตติงเฉลี่ย 4.7-4.8 ดาว ซึ่งถือว่าสูงมาก ผู้ใช้ในไทยกว่า 1 ล้านรายที่ลงทะเบียน และกว่า 300,000 รายที่เปิดบัญชีแล้ว สามารถลงทุนทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศได้ในบัญชีเดียว ฝากเงินเป็นเงินบาทแล้วซื้อหุ้นไทยได้ทันที หรือจะแลกเป็นดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้นต่างประเทศก็ทำได้อย่างราบรื่นครับ”

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 7

 

นอกจากนี้ ชลเดช ยังได้ชูจุดเด่น Webull และอนาคตของตลาดต่อไปที่จะเชื่อมต่อเพื่อพาคนไทยไปพบกับโอกาสให้ได้ทราบกัน “จุดเด่นของ Webull คือการเทรดข้ามประเทศได้ 24 ชั่วโมง นักลงทุนไทยสามารถดูหุ้นแม่ในต่างประเทศแบบเรียลไทม์ และปีหน้าตลาดอเมริกาหลายแห่งก็เตรียมเปิดเทรด 24 ชั่วโมงเต็มรูปแบบ ตามสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย”

 

“นักลงทุนไทยที่ลงทุนต่างประเทศกว่า 60% ลงทุนในอเมริกา อีกประมาณ 20% ลงทุนในฮ่องกงและจีน ดังนั้นตลาดถัดไปหลังจากไทยและอเมริกาที่เราจะผลักดันคือฮ่องกง ซึ่งเรามีทีมประจำอยู่แล้ว ทำให้เชื่อมต่อตลาดได้ไม่ยากครับ” ชลเดช กล่าว

 

ฉลองการเปิดเทรดหุ้นไทยด้วยสิทธิพิเศษ 2 ต่อ

 

เนื่องในโอกาสเปิดตัวฟังก์ชันการเทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ในฐานะบริษัทสมาชิกหมายเลข 9 เพื่อให้บริการธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จึงได้ต่อยอดมอบสิทธิพิเศษที่คุ้ม 2 ต่อ** ให้แก่นักลงทุน

 

ต่อที่ 1: ซื้อหุ้นไทย 1 รายการ รับ DR หุ้นสหรัฐฯ ฟรี 10 หน่วย

 

ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นไทยอย่างน้อย 1 รายการ (มูลค่าเท่าใดก็ได้) ภายในระยะเวลาที่กำหนด จะได้รับ DR (Depositary Receipt) หุ้นสหรัฐฯ สัปดาห์ละ 10 หน่วย จากบริษัทชั้นนำรวม 7 รายการ อาทิ Apple, Tesla, Alphabet, Nvidia รวมสูงสุด 70 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 200 บาทเมื่อจบแคมเปญ (ช่วงเวลา 18 พ.ย. – 30 ธ.ค. 2568 เวลา 17.00 น.)

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.webull.co.th/activity/THstock-trading

 

ต่อที่ 2: ส่วนลดค่าคอมมิชชัน 30% ทั้งหุ้นไทยและหุ้นสหรัฐฯ

  • หุ้นไทย: จาก 0.04% เป็น 0.028%
  • หุ้นสหรัฐฯ: จาก 0.10% เป็น 0.07%
  • สิทธิประโยชน์นี้มีผลตั้งแต่ 1 พ.ย. 2568 – 31 ม.ค. 2569 สำหรับผู้ลงทุนที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.webull.co.th/en/activity/commission-discount

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 8

 

Webull พร้อมลงทุนเต็มที่เพื่อยกระดับนักลงทุนไทยทุกคน

 

ไม่เพียงแต่การเป็นโบรกเกอร์ที่อัดแน่นด้วยหลักทรัพย์คุณภาพที่มีให้เลือกสรร และแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง แต่ Webull Thailand ก็พร้อมติดอาวุธทางความรู้ของนักลงทุนอีกด้วย

 

“ปีหน้า Webull จะจัดสัมมนาให้ความรู้ต่อเนื่องทุกเดือน สลับหัวข้อตามเทรนด์การลงทุน ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และ DR ส่วนกรณีที่พอร์ตนักลงทุนติดดอย เราจะไม่ให้คำแนะนำโดยตรง แต่จะร่วมวิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยพื้นฐานกับนักวิเคราะห์ เพื่อช่วยจัดพอร์ตใหม่ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลครับ”

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 9

 

นอกจากนี้ ชลเดช ได้แสดงความหนักแน่นและจริงจังในการยกระดับนักลงทุนไทยผ่านเครื่องมือแพลตฟอร์มที่ครบครัน “เราลงทุนมหาศาลกับข้อมูลและระบบหลังบ้าน แม้สิ่งที่ผู้ใช้เห็นว่าฟรี เช่น ข้อมูลเรียลไทม์ ข้อมูลพื้นฐาน และกราฟเทคนิคัล จะมีต้นทุนสูงมาก แต่นี่คือหัวใจที่จะทำให้นักลงทุนไทยแข่งขันกับนักลงทุนทั่วโลกได้ เราจึงเน้นสองเรื่องคือ ข้อมูลต้องครบถ้วนทันนักลงทุนต่างชาติ และเครื่องมือต้องดี เหมือนมีอาวุธให้นักลงทุนรายย่อยสู้ในตลาดโลก”

 

ในท้ายที่สุด ชลเดช ได้ให้คำมั่นปิดท้ายกับนักลงทุนในการเป็นผู้ที่จะช่วยผลักดันให้นักลงทุนได้คว้าโอกาสใหม่อย่างไร้รอยต่อ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุดกลับไป

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 10

 

“วันนี้การลงทุนเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อทั่วโลก ทุกคนสามารถเทรดได้ทุกอย่าง เรามีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ไทย ให้มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย เครื่องมือครบ และข้อมูลที่ดีที่สุด และเรายินดีร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันตลาดทุนไทย พร้อมมอบคุณค่าสูงสุดให้กับนักลงทุนครับ” ชลเดช กล่าวปิดท้าย

 

*แอปฯ Webull ได้รับคะแนน Rating & Review สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ในหมวดแอปฯ โบรกเกอร์ ทั้งบน App Store และ Play Store ในไทย (ณ วันที่ 26 ก.ย. 2568)

 

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

 

***คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 11

The post Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่นสมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี https://thestandard.co/opinion-shin-corp-tax-19-issues/ Wed, 19 Nov 2025 04:39:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1144886

เมื่อเช้าได้ไปเล่าเรื่องคดีคุณทักษิณแพ้คดีภาษีจากการขาย […]

The post สรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อเช้าได้ไปเล่าเรื่องคดีคุณทักษิณแพ้คดีภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปแบบสั้นๆ ในรายการ Morning Wealth ของ THE STANDARD WEALTH แต่ยังมีหลายเรื่องที่อยากเล่าเพิ่ม พอดีเห็นหน้าเฮียวิทย์เลยขอเขียนไล่เรียงเป็นประวัติศาสตร์ 8 นาที เพื่อสรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทำไมวันนี้ศาลฎีกาจึงให้ อดีตนายกทักษิณ ต้องชำระภาษีรวม 17,629 ล้านบาท

 

1. ชิน คอร์ปอเรชั่น คือบริษัทที่คุณทักษิณและคุณหญิงพจมานร่วมกันสร้างตั้งแต่ปี 2526 เคยเป็นบริษัทแม่ของ AIS และถือเป็นกลุ่มกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ณ เวลานั้น ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรหลายครั้งและเพิ่งถูกควบรวมกับ GULF ไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

 

2. ช่วงก่อนคุณทักษิณลงเลือกตั้งปี 2544 ทุกคนรู้หลักการพื้นฐานอยู่แล้วว่านักการเมืองต้องไม่ถือกิจการที่อาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐ โดยเฉพาะกิจการที่เป็นสัมปทานจากรัฐอย่างโทรคมนาคม

 

ปี 2542 คุณทักษิณตั้งบริษัทชื่อ Ample Rich Investments Ltd. ที่เกาะ British Virgin Islands (BVI) ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษี และมีความลับสูงเรื่องโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยคุณทักษิณมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นเพียงผู้เดียว แล้วขายหุ้นชินของตัวเอง จำนวนเกือบๆ 33 ล้านหุ้นให้ Ample Rich ในราคา PAR หุ้นละ 10 บาท คุณทักษิณไม่มีกำไรก็ไม่ต้องเสียภาษีอะไร ฝั่งบริษัท Ample Rich ก็บันทึกต้นทุนไปว่าได้มาเกือบ 33 ล้านหุ้น ต้นทุนหุ้นละ 10 บาท

 

3. ปี 2543 โครงสร้างภายใน Ample Rich ก็ปรับให้คนถือหุ้นเป็นคุณโอ๊ค ลูกชายซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ทำให้กระดาษทั้งหมดแสดงภาพว่าตัวทักษิณไม่ได้มีหุ้นชินคอร์ปโดยตรงอีกต่อไป ตอนยื่นบัญชีทรัพย์สินจึงไม่เห็นหุ้นบริษัท Ample Rich ในบัญชีทรัพย์สินของคุณทักษิณด้วย

 

ต่อมาในปี 2544 ชินคอร์ปแตกพาร์หุ้นจาก 10 บาทเป็น 1 บาท ทำให้หุ้นในมือ Ample Rich เพิ่มจาก 33 ล้านเป็นประมาณ 330 ล้านหุ้น และมีต้นทุนบัญชีหุ้นละ 1 บาทแทน

 

หลังจากนั้นช่วงกลางปี 48 มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น Ample Rich นิดหน่อย คือให้คุณเอม ลูกสาวคนโตมาถือหุ้นด้วย สัดส่วนผู้ถือหุ้นตอนนี้ คุณโอ๊คถือหุ้น 80% คุณเอมถือหุ้น 20% โดยทั้งคู่ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท Ample Rich ด้วย

 

4. ช่วงต้นปี 2549 ซึ่งคุณทักษิณยังเป็นรัฐบาลอยู่ มีการประกาศ พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 เพื่อปลดล็อคให้กิจการโทรคมนาคมสามารถให้คนต่างชาติถือหุ้นได้ 49% จากเดิม 25% โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับวันที่ 21 มกราคม 2549

 

อีก 2 วันหลังจากจากกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ 23 มกราคม 2549 ครอบครัวคุณทักษิณและคุณหญิงพจมานขายหุ้นชินคอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณ 49% ให้กลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,000 ล้านบาท โดยราคาขายวันนั้นคือหุ้นละ 49.25 บาท น่าจะเป็นดีลแรกที่ได้ใช้ประโยชน์จากกฎหมายใหม่ในเวลานั้นทันที

 

5. การขายภาษีครั้งนั้น ทุกคนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากกำไร เพราะมีกฎหมายยกเว้นภาษีให้สำหรับบุคคลธรรมดาที่ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น ทุกคนที่ขายเป็นบุคคลธรรมดา + ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ เลยทำให้ค่าหุ้น 73,000 ล้านบาท ได้รับยกเว้นภาษีทั้งจำนวน

 

6. แต่ดันมีหุ้นตัวปัญหาอยู่จำนวนนึง คือ ส่วนที่คุณโอ๊คและคุณเอมขายไปจำนวนเกือบ 330 ล้านหุ้น เพราะที่มาของหุ้นจำนวนนี้มาจากที่บริษัท Ample Rich ถือไว้ตั้งแต่ปี 42 เนี่ยแหละ เพราะถ้าบริษัท Ample Rich ขายหุ้นชินเอง ต่อให้ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ก็เสียภาษีอยู่ดี เพราะไม่ใช่บุคคลธรรมดา ถ้าขายไปจริงๆ Ample Rich ก็จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากกำไรแทบจะเต็มๆ เพราะหุ้นมูลค่า 49.25 บาท แต่ต้นทุนแค่บาทเดียว

 

7. เพื่อให้การขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี มันเลยมีขั้นตอนแทรกมานิดนึง นั่นคือ วันที่ 23 มกราคม 2549 (วันเดียวกับที่ขายหุ้น 73,000 ล้านบาท) กรรมการบริษัท Ample Rich (คุณโอ๊คและคุณเอม) สั่งให้บริษัทขายหุ้นให้คุณโอ็คและคุณเอมในสัดส่วนคนละครึ่ง 50/50 ในราคาทุนหุ้นละ 1 บาท โดยซื้อขายกันตรงๆ นอกตลาดหลักทรัพย์

 

จากนั้นทั้งคู่ในฐานะบุคคลธรรมดา ก็เอาหุ้นที่ได้มานี้ไปขายในตลาดหลักทรัพย์เพื่อรับสิทธิปลอดภาษีในวันที่ 23 มกราคม 2549 นั่นเอง

 

เรียกว่าบริษัทขายหุ้นให้ 1 บาทแล้วคนซื้อเอามาขายต่อในวันเดียวกันแต่ได้ราคา 49.25 บาทเลย

 

จุดนี้แหละที่ตอนหลังศาลฎีกาจะหยิบมาชี้ว่าธุรกรรมพวกนี้ “มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ” ไหม? หรือตั้งใจทำขึ้นมาเพราะอยากจะเลี่ยงภาษีอย่างเดียว

 

8. ถ้ากลับไปจุดตั้งต้น Ample Rich ตั้งขึ้นมาโดยระบุวัตถุประสงค์บนหน้ากระดาษว่าเพื่อลงทุนหากำไร มันเลยมีคำถามว่า การขายหุ้นราคา 49.25 บาทในราคาบาทเดียว แถมขายในวันเดียวกันด้วยนะ มันเป็นไปได้ไง ทำไมบริษัทถึงยอมเอาเงินทิ้งน้ำเฉยๆ ซะงั้น?

 

พอมันหาเหตุผลทางการลงทุนหรืออย่างอื่นมาสนับสนุนไม่ได้เลย ทางสรรพากรเลยตีว่าการที่คุณได้หุ้นในราคาบาทเดียวซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดขนาดนี้ ส่วนต่างมันคือประโยชน์ที่คิดคำนวณมูลค่าเป็นเงินได้เลยนะ

 

สรรพากรเลยใช้ช่องนี้แหละประเมินว่า เออ ถึงคุณจะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี แต่การที่คุณซื้อหุ้นชินคอร์ปได้ในราคาสุดพิเศษขนาดนี้เนี่ยแหละ ส่วนต่าง 48.25 บาทต่อหุ้น รวมแล้วราวๆ 15,883.9 ล้านบาท คือเงินได้ที่ทั้งคู่ต้องนำมาเสียภาษี สรรพากรก็เลยส่งหมายเรียกไปหาทั้งคู่ให้เคลียร์ประเด็นนี้และประเมินภาษีเงินได้ของปีภาษี 2549 (ปีที่ขายหุ้นชินคอร์ป) ในที่สุด

 

9. ทั้งคุณโอ๊คและคุณเอมยื่นต่อสู้คดีไปตั้งแต่ชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งเป็นด่านแรกก่อนจะขึ้นศาลภาษี (คดีภาษีไปฟ้องศาลภาษีทันทีไม่ได้) แต่ทั้งคู่แพ้ เลยไปสู้คดีกันที่ศาลภาษีอากรกลางต่อ

 

ระหว่างพิจารณาอยู่ในศาลภาษีอากรกลาง เมื่อปี 2553 ก็มีอีกคดีของคุณทักษิณมีคำพิพากษาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองตัดสินว่า หุ้นชินคอร์ปที่บริษัท Ample Rich เคยถือไว้จนกระทั่งมาถึงมือของคุณโอ๊คคุณเอม จนขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่จริงแล้วทั้งหมดนั้นเป็นของคุณทักษิณทั้งหมดเลยนะ ทั้งบริษัท Ample Rich ทั้งคุณโอ๊คคุณเอมเป็นแค่ nominee ของคุณทักษิณเฉยๆ เพราะคุณทักษิณคือตัวการผู้มีอำนาจควบคุมตัวจริง

 

10. ในปีเดียวกัน คุณโอ๊คคุณเอมเลยนำผลของคำพิพากษาของคดีนั้นมาเพิ่มเป็นข้อต่อสู้ในศาลภาษีว่า ศาลฎีกายืนยันแล้วนะว่าหุ้นเป็นของคุณทักษิณ ไม่ใช่ของพวกผม พวกผมเป็นแค่ nominee

 

ศาลภาษีก็เห็นด้วยว่าเงินได้ก็ต้องเป็นของคุณทักษิณสิ ไม่ใช่เงินได้ของคุณโอ๊คคุณเอมซะหน่อยก็เลยจบคดีโดยพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคําวินิจฉัยอุทธรณ์ ส่วนคุณโอ๊คคุณเอมไม่ต้องรับผิดชอบค่าภาษีในส่วนนี้แล้ว

 

ทางฝั่งสรรพากรก็จบไป ไม่ได้อุทธรณ์คดีต่อ และไม่ได้ออกหมายเรียกคุณทักษิณแล้วด้วย

 

11. หลังศาลวินิจฉัยเมื่อปี 2553 ว่าเจ้าของตัวจริงคือคุณทักษิณ ที่จริงสรรพากร “สามารถ” ออกหมายเรียกคุณทักษิณได้ทันทีเพราะรู้ข้อเท็จจริงแล้ว แต่ไม่ทำ (ให้ข้อสังเกตเพิ่มว่าช่วงปี 2553 เป็นรัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ และปี 2554 เป็นรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์)

 

ปล่อยเวลาผ่านไปจนปี 2560 รัฐบาลพลเอกประยุทธก็แจ้งสรรพากรว่าเฮ้ย ข้อเท็จจริงคือคุณทักษิณคือเจ้าของหุ้นตัวจริงใช่มั้ย รู้มาตั้งแต่ปี 2553 แล้วด้วย งั้นแจ้งประเมินภาษีให้คุณทักษิณมาชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาย้อนหลังของปี 2549 จากเรื่องหุ้นชินคอร์ปจาก Ample Rich ด้วยสิ

 

12. ข้อต่อสู้ของคุณทักษิณ คือ เฮ้ย ถ้ายื่นภาษีแล้วจะประเมินภาษีย้อนหลัง ก็ทำได้นะ แต่อายุความคดีภาษีมันยืดได้สูงสุด 5 ปี ในเมื่อเป็นเรื่องภาษีเงินได้ของปีภาษี 2549 ซึ่งเราจะยื่นภาษีช่วงต้นปี 2550 ดังนั้น อายุความมันต้องไปจบแถวๆ 30 มีนาคม 2555 สิ

 

ทีนี้ สรรพากรก็รู้เรื่องคุณทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงตั้งแต่ปี 2553 แล้วนี่ เพราะลูกชายลูกสาวสู้คดีในศาลภาษีอยู่ แต่คุณไม่ได้ส่งหมายเรียกอะไรให้ผมเลย ผมกับลูกๆ เป็นคนละคนกัน มาถึงก็ตู้มเรียกประเมินภาษีผมเลยโดยไม่ส่งหมายเรียกระบุชื่อผมภายในอายุความก่อนได้ไง แบบนี้มันก็ไม่ถูกสิ มันผิดขั้นตอน

 

ทั้งศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีภาษีก็เห็นด้วยว่าสรรพากรติดกระดุมเม็ดแรกผิด ถ้ากระบวนการมันไม่ถูกต้องแต่แรกก็ไม่ต้องไปพิจารณาไส้ในต่อแล้ว คุณทักษิณเลยชนะคดีตลอดด้วยเหตุผลนี้

 

13. แต่สรรพากรสู้ยิบตายันศาลฎีกา คราวนี้ปี 2568 คดีพลิก ศาลฎีกาตัดสินให้คุณทักษิณแพ้ทั้งที่เคยชนะมา 2 ศาลแรก ทำให้คุณทักษิณต้องจ่ายภาษี 17,629 ล้านบาท

 

อ้าวแล้วเหตุผลเรื่องผิดขั้นตอนไม่ส่งหมายเรียกที่คุณทักษิณเคยชนะ 2 ศาลแรกล่ะ ศาลฎีกาคิดยังไง?

 

14. ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า nominee = หุ่นเชิดของคุณทักษิณ โดยคุณทักษิณเป็นตัวการ ส่วนลูกชายลูกสาวก็เป็นตัวแทนโดนเชิดอยู่ด้านหลัง

 

ดังนั้น ตอนหมายเรียกส่งถึงลูกชายลูกสาวตั้งแต่ตอนแรกสุดมันก็เลย “ผูกพัน” ถึงคุณทักษิณที่เป็น “ตัวการ” ด้วยไปแล้ว

 

ศาลเห็นว่าในเมื่อหมายเรียกมันถูกต้องตั้งแต่ตอนส่งให้ตัวแทนของคุณทักษิณ ไม่ต้องถามหาหมายเรียกระบุชื่อคุณทักษิณอีกแล้ว

 

15. ศาลฎีกาอธิบายเพิ่มเติม (ในเชิงสั่งสอน) อีกว่า การไปตั้งบริษัทที่ BVI ฝากหุ้นไว้ ควบคุมผ่านลูกชายลูกสาว แล้วซื้อหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทมาได้ในราคาบาทเดียว จนสุดท้ายเอาไปขายต่อในตลาดหลักทรัพย์เพื่อรับสิทธิ์ยกเว้นภาษี ธุรกรรมเหล่านี้มันไม่มี “เหตุผลทางเศรษฐกิจ“ อะไรเลยนอกเหนือจากการหาประโยชน์และช่องทางหลบเลี่ยงภาษีเป็นเรื่องร้ายแรง ขาดคุณธรรมทางภาษี ถ้าปล่อยให้ทำได้เดี๋ยวอีกหน่อยจะกลายเป็นแบบอย่างของสังคมใช้นํามาอ้างเพื่อ ประโยชน์ทางภาษีส่วนตนเช่นนี้ได้อีก ไม่งั้นก็จะไม่แฟร์กับคนอื่นที่ทำทุกอย่างตรงไปตรงมาแล้วเสียภาษีถูกต้อง

 

สรุป ศาลเลยให้ประเมินภาษีตามสรรพากรนี้แหละ คุณทักษิณแพ้คดีในชั้นศาลฎีกา ต้องจ่ายภาษีรวมค่าปรับทั้งหมด 17,629 ล้านบาท ตอนนี้คดีถึงที่สุดแล้วด้วย ไปต่อไม่ได้แล้ว

 

16. เงิน 17,629 ล้านบาท คำนวณจากไหน? เงินก้อนนี้มาจากโครงสร้าง 3 ส่วน ได้แก่

 

(1) ค่าภาษี โดยคิดจากฐานส่วนต่างกำไร 15,883.9 ล้านบาท

 

อัตราภาษีสูงสุดปี 2549 อยู่ที่ 37% (ไม่ใช่ 35% แบบทุกวันนี้) เลยคำนวณภาษีได้ประมาณ 5,877 ล้านบาท

 

(2) เบี้ยปรับ เกิดจากการจ่ายภาษีไม่ครบ ค่าปรับเพราะยื่นภาษีแต่จ่ายภาษีไม่ครบอีก 1 เท่าของค่าภาษีที่ค้าง เลยคำนวณเบี้ยปรับได้ 5,877 ล้านบาท

 

(3) เงินเพิ่ม เป็นเหมือนดอกเบี้ยเพราะจ่ายภาษีช้ากว่ากำหนด โดยปกติจะคิดในอัตรา 1.5% ต่อเดือน แต่พอดีมันหลายปี เลยทบกันมาเรื่อยๆ ซึ่งกฎหมายกำหนดเพดานให้เงินเพิ่มคิดได้สูงสุดเท่ากับค่าภาษี คือ อีก 5,877 ล้านบาท

 

รวม 3 ก้อนนี้เลยได้ค่าภาษี + เบี้ยปรับ + เงินเพิ่ม = 17,629 ล้านบาท

 

ทำไปทำมาได้กำไร 15,883.9 ล้านบาท แต่โดนภาษีไป 17,629 ล้านบาท ภาษีแพงกว่ากำไรอีก

 

17. คุณทักษิณจะเอาเงิน 17,629 ล้านบาท จากที่ไหนมาจ่าย?

 

แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้ไม่ใช่เงินน้อยๆ ถ้าเอาไปสร้างตึก สตง. ใหม่ เราจะสร้างได้พร้อมกัน 8 ตึกเลย แถมยังมีเงินเหลือทอนด้วย ซึ่งกระบวนการบังคับจัดเก็บภาษีจะกลับไปเป็นหน้าที่ของทางสรรพากรอีกครั้ง

 

โดยปกติ คุณทักษิณก็จะต้องชำระภาษีตามจำนวนดังกล่าว โดยอาจเจรจาทำเรื่องขอลดเบี้ยปรับกับทางกรมสรรพากรได้ และค่าภาษีจำนวนนี้ก็อาจจะขอผ่อนได้ด้วย ส่วนจะต้องผ่อนกี่งวด งวดละกี่บาทก็ค่อยไปว่ากัน เพราะมีลำดับในการพิจารณาภายในกรมสรรพากรเองอยู่แล้ว

 

แต่ถ้าคุณทักษิณไม่ชำระก็จะไปสู่กระบวนการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อนำมาชำระค่าภาษีที่ค้างชำระต่อไป ถ้าทรัพย์สินอยู่ต่างประเทศ ทางการไทยอาจขอความร่วมมือตามไปยึดอายัดทรัพย์สินที่ต่างประเทศด้วย

 

18. คำพิพากษาศาลฎีกานี้ เป็นการวางรากฐานใหม่ว่าการวางแผนภาษีทำได้ตราบเท่าที่มีเหตุผลที่รับฟังได้มาสนับสนุนก็ยังพอยอมรับได้ แต่ถ้าไม่เห็นเจตนาอื่นเลยนอกจากแค่จะหลบเลี่ยงภาษี ศาลมองว่าขาด “เหตุผลทางเศรษฐกิจ“ ก็จะไม่สนใจธุรกรรมนั้นแต่จะมองไส้ในเลยว่าสาระสำคัญเป็นอย่างไรกันแน่ ซึ่งแนวคิดนี้ในทางทฤษฎีเรียกว่า หลักทั่วไปของการป้องกันการเลี่ยงภาษี (General Anti-Avoidance Rule: GAAR)

 

หลักคิดเรื่อง GAAR มีหลายประเทศอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย จีน เยอรมัน หรือ อินเดีย ก็ใช้หลักนี้ ในเชิงวิชาการเลยน่าสนใจว่าคำพิพากษาศาลฎีกานี้เป็นหมุดหมายว่าประเทศไทยยอมรับ GAAR มาอยู่ในการพิจารณาคดีภาษีอากรในอนาคตแล้วใช่มั้ย (ตอนผมเรียก ป.เอก กฎหมายภาษี ทำดุษฎีนิพนธ์เรื่อง GAAR พอดี) ถ้าใช่ จะทำให้การวางแผนภาษีของคนรวยแบบ agressive tax planning อาจจะเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ และต้องปรับแผนการวางแผนภาษีกันใหม่รึเปล่า

 

19. คนไทยได้อะไรจากเรื่องนี้?

 

จากคดีนี้ อย่างน้อยมีเรื่องนึงที่เรายังสบายใจได้ คือ ศาลยังเห็นว่าเรายังมีสิทธิวางแผนภาษีได้เต็มที่ เพราะไม่มีกฎหมายฉบับไหนบอกให้เราต้องเสียภาษีให้แพงที่สุด เพียงแต่ว่าขอบเขตคือการวางแผนต้องอยู่บนพื้นที่ขาวสะอาด ไม่ทำอะไรเทาๆ เพราะจากนี้ไปมีความเป็นไปได้ว่าถ้าทำอะไรเทาแล้วไม่เห็นเจตนาอื่นนอกจากจะหลบภาษีนี้ จากนี้ไปอาจจะรอดยากมาก

 

เราคงได้ถกเถียงกันต่อว่าการวางแผนภาษีแบบ “ไม่ขาดคุณธรรมทางภาษี” หน้าตาควรเป็นแบบใด

 

ใจนึงรู้สึกคิดถึง ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร (คุณพ่อของคุณดิว วีรวัฒน์ วลัยเสถียร) ซึ่งเป็นมือวางแผนภาษีของดีลชินคอร์ปให้คุณทักษิณ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่น่าจะได้ฟังความเห็นอีกด้านของท่านด้วยว่าการวางแผนภาษีครั้งนั้นมีคุณธรรมทางภาษีอย่างไร ศาลตัดสินได้เหมาะสมหรือไม่

 

คดีนี้คือหนึ่งในคำพิพากษาภาษีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และคงเป็นบรรทัดฐานใหม่ของคดีหลีกเลี่ยงภาษีอีกนานหลายสิบปี

The post สรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปิดตำนานบัฟเฟตต์ – หมดยุค VI https://thestandard.co/end-buffett-vi-era/ Mon, 17 Nov 2025 12:57:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1144315 ปิดตำนาน บัฟเฟตต์ - หมดยุค VI

ภายในสิ้นปี 2025 นี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งอายุ 95 ปีแล้ […]

The post ปิดตำนานบัฟเฟตต์ – หมดยุค VI appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปิดตำนาน บัฟเฟตต์ - หมดยุค VI

ภายในสิ้นปี 2025 นี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งอายุ 95 ปีแล้วก็จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ เบิร์กเชียร์ แฮททาเวย์ ที่เขาบริหารมาแทบจะตลอดชีวิตการลงทุนของเขา และทำให้เขากลายเป็น ‘ตำนาน VI’ ที่ยังมีชีวิตที่ได้เผยแพร่ ‘หลักการ VI’ ที่เริ่มก่อตั้งโดย เบน เกรแฮม ให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าเป็นเทคนิคการลงทุนที่สุดยอดและเหนือกว่าหลักการอื่นๆ โดยผลงานการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทบต้นระยะยาวที่เกือบ 20% ต่อปี ซึ่งทำให้เงินลงทุนเริ่มต้น 100 ดอลลาร์ กลายเป็นเงินประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 163 ล้านบาท ในเวลา 60 ปี

 

หลักการหรือเรื่องราวของ ‘VI’ นั้น เริ่มต้นหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจและตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ซึ่งได้ทำให้นักลงทุนแทบทั้งตลาดเสียหายล้มละลายแทบหมดตัว และเป็นจุดที่เบน เกรแฮม ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์และนักลงทุนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มคิดถึงหลักการวิเคราะห์หุ้นและการลงทุนที่เป็นระบบและเป็นวิชาการที่ถูกต้อง เพื่อที่จะทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนและ ‘ไม่เสี่ยง’

 

หลักการใหญ่ๆ ของเบน เกรแฮมถูกรวมอยู่ในหนังสือ 2 เล่มคือ ‘Securities Analysis’ ที่เขียนร่วมกับ David Dodd ลูกศิษย์ที่เรียนปริญญาเอกกับเขาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในปี 1934 กับ ‘The Intelligent Investor’ ที่เขียนขึ้นเพื่อให้นักลงทุนทั่วไปได้อ่านในปี 1949 ซึ่งทั้ง 2 เล่มนี้กลายเป็น ‘ไบเบิล’ ของนักลงทุนแบบ VI ทั่วโลก

 

ข้อคิดสำคัญที่เป็นหัวใจของหลักการของเบน เกรแฮม ที่ต่อมาคนเรียกว่า ‘Value Investing’ หรือการลงทุนแบบที่ ‘เน้นความถูก’ ของหุ้น นั้นกล่าวว่า

 

  • บริษัทหรือหุ้นนั้นมี ‘มูลค่าที่แท้จริง’ หรือ Intrinsic Value ซึ่งอิงอยู่กับทรัพย์สิน กำไรและกระแสเงินสด ที่สามารถประเมินหรือประมาณการได้
  • การซื้อหุ้นนั้น จะต้องมี ‘ส่วนเผื่อความปลอดภัย’ หรือ Margin of Safety นั่นก็คือ ราคาหุ้นต้องต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากพอเพื่อที่จะป้องกันความผิดพลาดต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
  • ตลาดหุ้นนั้นมักจะขึ้นลงรุนแรงและทำให้หุ้นแต่ละตัวขึ้นลงรุนแรงได้มากกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ซึ่งเบน เกรแฮมเรียกว่า ‘Mr Market’ หรือ ‘นายตลาด’

 

ดังนั้น เราสามารถฉกฉวยทำกำไรได้จากความแตกต่างนี้ คือ ‘ซื้อถูก-ขายแพง’
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักศึกษาในชั้นเรียนของเบน เกรแฮม ที่ทำคะแนนสูงระดับ A+ รวมถึงได้ฝึกและทำงานในบริษัทจัดการลงทุนของเขา และต่อมาก็มาบริหารกองทุนที่ตนเองตั้งขึ้นซึ่งสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเบิร์กไชร์ แฮททาเวย์

 

ผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ‘สุดยอด’ และถูกเผยแพร่ไปทั่วประเทศ จากผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในเมืองเล็กเหมือน ‘ต่างจังหวัด’ อย่างโอมาฮา ชื่อเขาก็ดังระเบิดจากหนังสือของ George Goodman ชื่อ ‘Supermoney’ ในปี 1972 ที่มีบทหนึ่งกล่าวถึงบัฟเฟตต์โดยเฉพาะ และตั้งแต่นั้นมา ชื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ และ Value Investing ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการลงทุนสุดยอดที่ทุกคนต่างก็ยอมรับและเรียนรู้เพื่อที่จะสามารถลงทุนได้อย่าง ‘ชาญฉลาด’

 

หลักการ กลยุทธ์ และชุมชนคน VI เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ บัฟเฟตต์เองนั้น เริ่มจากการลงทุนตามแนวของเบน เกรแฮม จนถึงปี 1972 เมื่ออายุได้ 42 ปี และพอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก เขาก็เริ่มเปลี่ยนแนวทางไปอย่างมีนัยสำคัญ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การหันมาลงทุนในหุ้นที่โดดเด่น มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ถือหุ้นในอัตราส่วนที่มากหรือทั้งหมดของบริษัทแบบที่เรียกว่าเป็น ‘เจ้าของ’ และถือหุ้นยาวมากแทบจะตลอดไป แทนที่จะซื้อหุ้นถูกและขายไปเมื่อหุ้นแพงและมีกำไรเป็นกอบเป็นกำแล้วในสไตล์ของเบน เกรแฮม

 

โดยหุ้นที่เขาลงทุนเป็นตัวแรกตามคำแนะนำของชาลี มังเกอร์ก็คือ หุ้นขายช็อกโกแลต ‘ซีแคนดี’ ในปี 1972 ตามด้วยหุ้นหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ปี 1973 หุ้นใหญ่อย่างหุ้นประกัน GEICO ในปี 1976 หุ้นโคคาโคลา ปี 1988 หุ้นมีดโกนยิลเล็ต และอื่นๆ รวมถึงหุ้นไอบีเอ็มและหุ้นแอปเปิลในช่วงหลังๆ นี้ ที่เป็นกิจการทั้งโดดเด่นและใหญ่โตระดับประเทศและโลก โดยที่หุ้นเหล่านั้นไม่ใช่หุ้นถูก ขอให้เป็นหุ้นที่มี ‘ราคายุติธรรม’ ก็พอ เพราะบัฟเฟตต์เชื่อว่าหุ้นเหล่านั้นจะโตไปเรื่อยๆ จนทำให้ราคาที่เขาจ่ายในวันแรกนั้น ‘ต่ำมาก’

 

ตัวอย่างเช่น เขาซื้อซีแคนดี้ทั้งบริษัทด้วยเงินเพียง 25 ล้านเหรียญ ในปี 1972 แต่ถึงวันนี้เขาได้รับเงินสดคืนมาถึง 2,000 ล้านเหรียญหรือ 80 เท่าแล้วจากเงินปันผลในเวลา 50 ปี เช่นเดียวกับหุ้นแอปเปิลที่เขาเริ่มซื้อมาในปี 2016 ที่ราคาหุ้นละประมาณ 35 เหรียญ ด้วยเงิน 1 พันล้านเหรียญ แต่ถึงวันนี้เขาน่าจะมีกำไรประมาณ 175 พันล้านเหรียญ คำนวณจากราคาหุ้นที่ประมาณ 185 เหรียญต่อหุ้นที่เขาขายไปบ้างแล้วบางส่วน

 

การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์และแนวทางการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาสามารถสร้างผลงานการลงทุนระดับสุดยอดให้กับการลงทุน ‘แบบ VI’ ได้ยาวนานจนถึงวันนี้ เพราะถ้าเขายังยึดหลักการแบบ เบน เกรแฮม อยู่ เขาก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักตั้งแต่ประมาณปี 1972 มาจนถึงวันนี้

 

เพราะตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณปี 1973-1974 ที่ตลาดหุ้นอเมริกาประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้น อานิสงส์จากสงครามเวียดนาม วิกฤติราคาน้ำมันและเงินเฟ้อครั้งใหญ่ จนถึงปี 1976 ก่อนที่เบน เกรแฮมจะตายนั้น เขาได้เริ่มแสดงความเห็นและให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์และวารสารการลงทุนว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาไม่เชื่อแล้วว่าการลงทุน ‘แบบ VI ดั้งเดิม’ จะสามารถเอาชนะตลาดได้สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่” พูดง่ายๆ มันคือ ‘อวสานของ VI’ แล้วในสายตาของเบน เกรแฮม

 

เหตุผลก็คือ 1. นักลงทุน เฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนสถาบันเก่งขึ้นเรื่อยๆ และมีจำนวนมาก 2. ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหุ้นกระจายไปสู่สาธารณะอย่างรวดเร็วและทุกคนเข้าถึงได้เท่ากันโดยที่แทบจะไม่มีต้นทุน ดังนั้น ราคาหุ้นทุกตัวก็สะท้อนกับข่าวสารทันที ไม่มีใครสามารถซื้อหุ้นที่ ‘ราคาถูก’ ได้ต่อเนื่องยาวนาน หรือก็คือ ‘ตลาดมีประสิทธิภาพ’ ตามที่นักวิชาการได้เสนอทฤษฎีและพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีใคร รวมถึง VI ที่จะสามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้

 

ผมเองก็เชื่อว่า ถ้ายังลงทุนซื้อ-ขายหุ้นในระยะสั้นหรือแม้แต่ในระยะกลาง 2-3 ปี วิธีแบบ VI ของเบน เกรแฮมก็อาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้วแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยหรือเวียดนามที่หลายคนบอกว่าตลาดยัง ‘ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ’ นัก

 

แต่การลงทุนแบบ VI ในเวอร์ชั่นของบัฟเฟตต์ล่ะ ยังใช้ได้อยู่ไหม ในวันที่บัฟเฟตต์เองก็กำลังเลิกลงทุน และก็ไม่เคยพูดตรงๆ ว่า ‘VI อวสานแล้ว’ แบบเดียวกับ เกรแฮม แต่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน เขาก็เคยพนันว่า ผลตอบแทน 10 ปี ของ S&P 500 จะชนะผลตอบแทนจากกองทุน Hedge Fund ระดับเซียนได้ และผลก็คือ เขาพูดถูก นอกจากนั้น ในระยะหลังๆ เขาเองก็แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีแทนที่จะพยายามเลือกหุ้นและนั่นก็อาจจะเป็นสัญญาณว่า ‘VI จบแล้ว’ เหมือนกัน

 

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ บัฟเฟตต์เองก็คงตระหนักในความจริงเรื่องนี้ เพราะตัวเลขผลตอบแทนรายปีที่เบิร์กไชร์ทำได้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานั้น แพ้ตลาดมาก ผลตอบแทนทบต้นย้อนหลัง 20 ปี ของบัฟเฟตต์อยู่ที่ประมาณ 4.5% ในขณะที่ S&P 500 ให้ผลตอบแทน 6% และของ Nasdaq ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นไฮเทค นั้นสูงถึง 8% ต่อปี และนี่คือช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นผ่านวิกฤตในปี 2008 ด้วย

 

แต่ถ้าคิดย้อนหลังแค่ 10 ปี เพื่อที่จะวัดผลตอบแทนเฉพาะในช่วงปัจจุบันที่เป็นช่วงบูมและไม่มีภาวะวิกฤตจริงๆ ตัวเลขก็คือ เบิร์กไชร์ให้ผลตอบแทนที่ 13.9% ต่อปี S&P อยู่ที่ 12.7% และ Nasdaq สูงถึง 15.5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลักการ VI แบบบัฟเฟตต์นั้น ใช้แทบไม่ค่อยได้แล้วในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมา คือผลตอบแทนของ ‘โคตรเซียน VI’ อย่างบัฟเฟตต์ก็แค่เท่าๆ กับตลาด แต่แพ้ในตลาดของโลกยุคใหม่คือ Nasdaq ค่อนข้างมาก

 

ความเห็นของผมในฐานะที่เป็น VI ยุคแรกของไทย และเห็นวิวัฒนาการของ VI ไทยมาตลอดคืออะไร

 

ผมคิดว่าเราก็คงตามสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา ยุคแรกเริ่มและต่อเนื่องไปสัก 10-15 ปี นั้น การลงทุนแบบ VI ดั้งเดิม คือซื้อหุ้นที่ถูกมากและขายหุ้นไปเมื่อแพงหรือราคาหุ้นขึ้นไปมาก ทำผลงานได้ดี อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากการที่หุ้นตกลงไปมากหลัง ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ และคนที่เป็น VI ก็ยังมีน้อย ทำให้ตลาดหุ้นไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ หาหุ้นถูกได้เกลื่อนตลาด

 

ต่อมา การลงทุนแนวหุ้น ‘ซูเปอร์สต็อก’ เน้นที่หุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน โดยหุ้นอาจจะไม่ได้ถูกมาก ก็เริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะราคาหุ้นนอกจากปรับตัวขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้นแล้ว ค่า PE ก็ปรับตัวขึ้นอย่างมากมายด้วย

 

แต่ก็คงคล้ายกับบัฟเฟตต์ในช่วง 20 ปีหลัง ตลาดหุ้นไทยในช่วง 5-6 ปี นี้ ก็ตกต่ำลงตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มถดถอยลง ‘แบบถาวร’ และส่งผลให้หุ้น ‘ซูเปอร์สต็อก’ ที่อยู่ในเศรษฐกิจเก่าด้อยลงในแง่ของคุณค่าทางธุรกิจ ผลก็คือ หุ้นแบบ VI ทุกประเภทก็ไม่ไปไหนมานานหลายปีหรืออาจจะตลอดไป สำหรับผมแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่เรียกว่า ‘หมดยุค VI’ ในตลาดหุ้นไทย และอาจจะเป็นในอเมริกาด้วย

 

ส่วนคนที่เป็น VI และเปลี่ยนไม่ได้นั้น คงต้องไปลงทุนในตลาดอื่น เช่น เวียดนาม หรืออินเดีย เป็นต้น ที่ตลาดหุ้นอาจจะยังไม่มีประสิทธิภาพ สามารถหาหุ้นถูกและหุ้นดีแบบ VI ได้

The post ปิดตำนานบัฟเฟตต์ – หมดยุค VI appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว https://thestandard.co/opinion-global-market-10-stocks/ Sun, 16 Nov 2025 05:51:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1143853 ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ Nasdaq มีการ […]

The post ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ Nasdaq มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดกว่าก็คือ หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่เป็นผู้นำและมีขนาดใหญ่จำนวนประมาณ 7-10 ตัวที่นักลงทุนเรียกว่า “หุ้น 7 นางฟ้า” มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าดัชนีและหุ้นอื่นๆ มาก

 

การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานโดยที่มีช่วงปรับตัวลงน้อยกว่ามากนั้น ทำให้หุ้นดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น จนถึงนาทีนี้เราคงต้องเรียกว่าเป็น “หุ้นยักษ์” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมาก หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือ Nvidia นั้นมีมูลค่าถึงกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 162.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10 เท่าของ Market Cap. ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด 700-800 ตัวของตลาดหุ้นไทย

 

และถ้าเปรียบบริษัทเหมือนกับประเทศๆ หนึ่งในโลกที่ผลิตสินค้าและบริการให้กับโลก หุ้น NVIDIA ก็ใหญ่ขนาดที่เรียกว่าใหญ่กว่าทุกประเทศในโลกยกเว้นสหรัฐฯ และจีนในแง่ของ GDP พูดง่ายๆ Market Cap. ของ Nvidia ใหญ่กว่า GDP ของประเทศเยอรมันที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกที่ประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์เช่นเดียวกัน

 

“หุ้นยักษ์” ที่เป็นหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีทางด้าน AI กลุ่ม 7 นางฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยหุ้น Nvidia, Apple, Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, Broadcom, Meta, Tesla, Berkshire Hathaway และ JPMorgan มี Market Cap. รวมกันประมาณ 25.7 ล้านล้านดอลลาร์ นับที่วันสิ้นเดือนตุลาคม 2025 เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นในดัชนี S&P 500 ที่ 61 ล้านล้านดอลลาร์ ก็เท่ากับว่าหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวรวมกันมีมูลค่าเท่ากับ 42.2% ของหุ้นทั้งตลาด และหุ้น เอนวิเดียที่เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่สุดเพียงตัวเดียวก็มีมูลค่าประมาณ 8.2% ในดัชนี S&P 500 แล้ว

 

พูดอย่างหยาบๆ ก็คือ หุ้นตัวใหญ่ที่สุดในตลาด 10 ตัวนั้น ได้ “Dominate” หรือ “ครอบงำ” ตลาด S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว คือหุ้นอเมริกาจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มหุ้น 10 ตัวนี้ เป็นหลัก ตลาดหุ้นจะบูมหนักหรือเกิดวิกฤติในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับ “หุ้นนางฟ้า” เหล่านี้ และประเทศสหรัฐจะแพ้หรือชนะจีนในการต่อสู้แข่งขัน ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของหุ้นกลุ่มนี้

 

นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างก็เชื่อกันว่า อนาคตของสหรัฐก็คือการเติบโตของสินค้าบริการที่นำโดย AI ที่แทบจะ “กินรวบ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด เพราะถ้ามองจากสัดส่วนของ Market Cap. ที่สูงถึง 42.2% นั้นก็อาจจะแปลว่า ในอนาคต คนก็จะใช้หรือทำอะไรเกี่ยวกับ AI มากมายในชีวิตประจำวัน รายจ่ายต่างๆ ที่จ่ายไปก็อาจจะจ่ายให้กับ AI เกือบครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมด โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

แต่หลายคนก็อาจจะคิดว่าจริงหรือ? จำนวนไม่น้อยก็อาจจะคิดว่า “คิดเวอร์กันไปเอง” โลกยังไปไม่ถึงจุดนั้น จริงอยู่ AI นั้นมีความสำคัญสุดยอด การปฎิวัติ AI กำลังเกิดขึ้นก็จริง แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่มันจะมาทำงานแทนคนมากเสียจนคนเริ่มไร้ความหมายและตกงานกันไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้กับหุ้นก็คือ การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่งที่ดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบหลุดโลกและไม่ช้าหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงอย่างแรงจนอาจจะเกิดหายนะได้

 

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนคนจะคิดกันว่า ตลาดหุ้นอเมริกากำลัง “กระจุกตัว” มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อานิสงค์จากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ขนาดใหญ่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะ “กลืนกิน” ธุรกิจรุ่นเก่าที่แทบจะไม่โตอีกต่อไปแล้ว

 

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ตลาดหุ้นอื่นๆ ในโลกก็คงไม่เหมือนอเมริกา เพราะประเทศอื่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีหุ้นเทค AI ที่ยิ่งใหญ่เท่า ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นไทยที่เราเป็น “เศรษฐกิจเก่า” ดังนั้น หุ้นไทยก็คง “ไม่กระจุกตัว” และหุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็คงไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับตลาด จริงไหม? ลองมาดูกัน

 

ตลาดหุ้นไทย ณ ประมาณสิ้นเดือนตุลาคม 2568 มี Market Cap. ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวมีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 7.8 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 46.3% ซึ่งสูงกว่าตลาด S&P 500 ที่อยู่ที่ 42.2% น่าตกใจใช่ไหมครับ และหุ้นใหญ่ที่สุดตัวเดียวคือหุ้นเดลต้ามี Market Cap. 2.73 ล้านล้านบาทหรือเท่ากับ 16.2% เทียบกับหุ้น Nvidia ที่ 8.2% งงไหมครับ? ที่ตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นยักษ์ 10 ตัวก็ครอบงำตลาดหุ้นไทย และครอบงำมากกว่าตลาดหุ้นอเมริกาด้วยซ้ำ

 

ลองมาดูตลาดหุ้นเวียตนามที่คนไทยไปลงทุนกันมาก “อัตราการครอบงำ” ของหุ้นยักษ์ Top 10 ของเวียตนามก็คือ หุ้นยักษ์ 10 ตัว มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ตลาดมี Market Cap. รวมประมาณ 9.33 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 42.6% หุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น VIC หรือวินกรุ๊ปมีมูลค่าประมาณ 9.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของตลาดทั้งหมด นี่ก็กระจุกตัวสูงกว่า S&P 500 เช่นเดียวกันแม้จะน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย

 

มาดูตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่ก็มีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมากแม้ว่าจะไม่ใช่ AI มากนักยกเว้นหุ้น Samsung หุ้น Top 10 จำนวน 10 ตัว มี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าหุ้นทั้งตลาดเท่ากับ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตราการกระจุกตัวของหุ้นยักษ์ก็คือ 43% สูงกว่า S&P 500 ที่ 42.2% และหุ้นซัมซุงที่ใหญ่ที่สุดมี Market Cap. 4.54 แสนล้านดอลลาร์เท่ากับ 18.53% ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ทั้งหมด

 

ตลาดหุ้นไต้หวันนั้น ถ้าจะพูดไปก็คล้ายๆ ตลาดเกาหลีในแง่ที่มีหุ้นยักษ์ AI ระดับโลกจริงๆ ก็คือหุ้น TSMC ที่มี Market Cap. ใหญ่มโหฬารที่ 1.52 ล้านล้านดอลลาร์หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 49 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งตลาดของไทย และคิดเป็น 58.8% ของตลาดหุ้นไต้หวันที่มีมูลค่า 2.59 ล้านล้านดอลลาร์

 

หุ้นยักษ์ 10 ตัวของไต้หวันมี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้มีสัดส่วนเท่ากับ 76.8% ของตลาดหุ้นทั้งหมด และจึงน่าจะเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราการกระจุกตัวสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถ้าจะพูดไปก็คือ ตลาดหุ้นไต้หวันนั้นถูกครอบงำสมบูรณ์แบบด้วยหุ้น 10 ตัว หรือบางทีอาจจะบอกได้ด้วยว่าถูกครอบงำด้วยหุ้นตัวเดียวคือ TSMC

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นประเทศที่มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากแต่มักอยู่ในเทคโนโลยียุคก่อนอย่างเช่น รถยนต์สันดาป เครื่องจักรกล หรืออิเลคโทรนิกส์รุ่นก่อนๆ

 

หุ้นยักษ์ 10 ตัวซึ่งนำโดยโตโยต้าและหุ้นซอฟแบ้งค์ที่เป็นผู้นำทางด้านการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลรวมถึง AI มี Market Cap. รวมกัน 1.52 ล้านล้านดอลลาร์ จากตลาดหุ้นทั้งหมดที่มีมูลค่าตลาดของหุ้น 5.54 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตรากระจุกตัวจึงอยู่ที่ 27.4% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา หุ้น Toyota ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดก็มี Market Cap. เพียง 2.68 แสนล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 8.71 ล้านล้านบาท คิดเป็นแค่ 4.84% ของมูลค่ารวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในขณะนี้ ไม่ได้มีอาการของการเก็งกำไรและการกระจุกตัวของหุ้นใหญ่แต่อย่างใด

 

สุดท้ายก็คือตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน ตลาดจีนนั้นมีความซับซ้อนในแง่ที่ว่ามีตลาดหุ้นหลายแห่งรวมถึงตลาดฮ่องกงซึ่งมักจะแยกออกจากจีน และหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นหุ้นเทคและหุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะไปจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ด้วยการเปรียบเทียบต่างๆ เรื่องของการกระจุกตัวของหุ้นจึงเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ผมเองพยายามจะทำและใช้ข้อมูลแบบหยาบๆ เพื่อจะดูว่าตลาดหุ้นจีนนั้นเป็นอย่างไรเทียบกับตลาดอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว

 

หุ้น Top10 ที่ผมเลือกนั้นเริ่มจากตัวที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น Tencent ที่มี Market Cap. 5.94 แสนล้านดอลลาร์ ตามด้วย Alibaba และหุ้นอื่นๆ เช่น ธนาคารขนาดใหญ่ หุ้นให้บริการโทรศัพท์มือถือ หุ้น PetroChina และตบท้ายด้วยหุ้น Xiaomi ที่อยู่อันดับ 10 ผลรวมของ Market Cap. เท่ากับ 2.79 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่ตลาดหุ้นนั้นคิดจากตลาดในแผ่นดินใหญ่จีนไม่รวมฮ่องกงมีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 11.87 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้อัตราการกระจุกอยู่ที่ 23.5% น้อยกว่าของตลาดญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็มีสัดส่วนแค่ 5% ของตลาดหุ้นโดยรวม

 

โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะมีหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาดเดียวกันจนทำให้หุ้นเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมายแบบเหลือเชื่อ และทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวสูงในแง่ที่ว่าหุ้นแค่ 10 ตัวรวมกันมีสัดส่วนหรือมีน้ำหนักสูงมากในตลาด เช่น 40% ขึ้นไปนั้น คือตลาดหุ้นไต้หวัน ไทย เกาหลีใต้ เวียดนาม และสหรัฐฯ ที่มา “รั้งท้าย” ไม่ใช่อันดับ 1 อย่างที่คิด

 

ส่วนหุ้นที่ไม่มีอาการกระจุกตัวของหุ้นเลยน่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับตลาดหุ้นจีน ที่ไม่มีหุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงต่อเนื่องจนกลายเป็นหุ้นยักษ์ระดับโลกและทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่เพียง 10 ตัว ที่จะกำหนดชะตากรรมของตลาดหุ้นทั้งหมด

 

มองอีกด้านหนึ่งก็คือ หุ้นของตลาดที่มีการกระจุกตัวสูงอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นยักษ์ 10 ตัวนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วราคาอาจจะแพงจัดเป็นฟองสบู่ที่อาจจะแตกได้ในเร็ววัน เพราะราคาขึ้นมาจากการเก็งกำไรใน “อนาคต” ของบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจระดับที่ปฏิวัติโลกที่อาจจะไม่จริง หรือถึงจะจริง แต่บริษัทเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้กำไรมากมายอย่างที่คิดเพราะบริษัทอาจจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้น

The post ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>