ณัฐพล ใจจริง – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 13 Nov 2024 08:30:31 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ศาลยกฟ้อง ณัฐพล ใจจริง-ฟ้าเดียวกัน คดีทายาทกรมพระยาชัยนาทฯ เรียก 50 ล้าน ข้อหาละเมิดไขข่าวฯ https://thestandard.co/court-dismisses-defamation-case-nattaphon-jaijing/ Wed, 13 Nov 2024 08:30:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1008143 ณัฐพล ใจจริง

วันนี้ (13 พฤศจิกายน) มีรายงานว่า ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพาก […]

The post ศาลยกฟ้อง ณัฐพล ใจจริง-ฟ้าเดียวกัน คดีทายาทกรมพระยาชัยนาทฯ เรียก 50 ล้าน ข้อหาละเมิดไขข่าวฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพล ใจจริง

วันนี้ (13 พฤศจิกายน) มีรายงานว่า ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษา ยกฟ้องคดีที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต (โจทก์) ฟ้อง ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี : การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500 รวมถึงบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการหนังสือทั้งสองเล่มนี้ (รวมจำเลยทั้งหมด 5 คน) ในข้อหา ‘ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง’ และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท

 

สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันได้เผยแพร่คำพิพากษา โดยประเด็นแรก ข้อความในวิทยานิพนธ์และหนังสือมิได้กล่าวพาดพิงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยจอมพล ป. ไม่มีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในตัวโจทก์ อีกทั้งเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร สิ้นพระชนม์ก่อนแล้ว จึงเป็นการฟ้องที่กล่าวอ้างว่าเสียหายต่อผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้วไม่ได้ แม้เป็นหลานของกรมพระยาชัยนาทฯ ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย

 

ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงตามเนื้อหาในหนังสือเป็นอย่างไรโจทก์ไม่ทราบและยังไม่เกิด ดังนั้นเมื่อข้อความในหนังสือไม่สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานได้

 

ประเด็นที่สอง ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อกรมพระยาชัยนาทฯ โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่อนุสาวรีย์กรมพระยาชัยนาทฯ รวมถึงการชุมนุมกดดันให้ยกเลิกชื่อถนนอันเป็นนามวิภาวดีรังสิตตามภาพข่าว ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมอันสืบเนื่องมาจากข้อความในวิทยานิพนธ์และหนังสือแต่อย่างใด จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์

 

ประเด็นที่สาม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป

 

สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นจาก ศ. ดร.ไชยันต์ ไชยพร ได้กล่าวหาและแจ้งแก่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา ทายาทกรมพระยาชัยนาทฯ ว่าวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) และหนังสืออีก 2 เล่ม คือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี : การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500 ที่เขียนโดย ณัฐพล ใจจริง ทำให้กรมพระยาชัยนาทฯ ซึ่งเป็นต้นราชสกุลรังสิตได้รับความเสียหาย

 

ในเดือนมีนาคม 2564 ม.ร.ว.ปรียนันทนา (หลาน) จึงได้ฟ้องร้อง ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1, รศ. ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2, ชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อฯ เป็นจำเลยที่ 3, อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรีฯ เป็นจำเลยที่ 4, ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 และ ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ต่อศาลแพ่งในข้อหา ‘ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง’ และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท

 

ประเด็นสำคัญในวันนี้อยู่ที่การพิจารณาคำร้องของ ม.ร.ว. ปรียนันทนา ที่ขอให้ศาลออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวโดยสั่งระงับการเผยแพร่วิทยานิพนธ์และหนังสือทั้ง 3 รายการจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ทนายความของ ม.ร.ว.ปรียนันทนา กล่าวว่า เหตุที่ดำเนินการฟ้องร้องในคดีนี้เพราะโจทก์ได้รับความเสื่อมเสียจาก ‘การกระทำที่บิดเบือน’ ของจำเลยในการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกรมพระยาชัยนาทฯ ซึ่งฝ่ายโจทก์เชื่อว่า ‘เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยตั้งใจ ไม่ใช่ผิดพลาดแบบไม่ตั้งใจ’

 

ก่อนหน้านี้ ณัฐพลชี้แจงถึงประเด็น ‘ข้อผิดพลาด’ ในวิทยานิพนธ์ของเขาในส่วนที่เกี่ยวกับกรมพระยาชัยนาทฯ ว่า หลังจากมีการทักท้วงในเรื่องนี้เขาไม่ได้นิ่งนอนใจและได้รีบตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องในทันที และพบว่าเขาอ่านเอกสารผิดพลาดจริง จึงได้แสดงเจตจำนงขอแก้ไขประเด็นนี้ต่อบัณฑิตวิทยาลัยในทันที แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้แก้ไข ซึ่งเป็นกฎที่ใช้กับวิทยานิพนธ์ทุกเล่มที่ผ่านกระบวนการสอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว และบัณฑิตวิทยาลัยได้ดำเนินการระงับการเผยแพร่วิทยานิพนธ์ในเวลาต่อมา

The post ศาลยกฟ้อง ณัฐพล ใจจริง-ฟ้าเดียวกัน คดีทายาทกรมพระยาชัยนาทฯ เรียก 50 ล้าน ข้อหาละเมิดไขข่าวฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
8 พฤศจิกายน 2490 – รัฐประหาร 2490 ปิดฉากบทบาทคณะราษฎรในการเมืองไทย https://thestandard.co/onthisday-08112490/ Wed, 08 Nov 2023 03:11:08 +0000 https://thestandard.co/?p=863562 รัฐประหาร 2490

ผศ.ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิ […]

The post 8 พฤศจิกายน 2490 – รัฐประหาร 2490 ปิดฉากบทบาทคณะราษฎรในการเมืองไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐประหาร 2490

ผศ.ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยการเมืองและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เขียนบทความถึงการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ระบุว่าการรัฐประหารดังกล่าวเกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างกลุ่มทหารและกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยม มีผลทำให้รัฐบาลพลเรือนของกลุ่มปรีดี พนมยงค์ ตกจากอำนาจไป และเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมามีอำนาจของกลุ่มทหารและกลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยม ตลอดจนเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มอำนาจทางการเมืองให้กับพระมหากษัตริย์ภายหลังการปฏิวัติในปี 2475

 

ในช่วงเวลาก่อนการรัฐประหาร กลุ่มอนุรักษ์-กษัตริย์นิยม และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นปรปักษ์ทางการเมือง ได้ดำเนินการกล่าวหาโจมตีรัฐบาลของปรีดีและรัฐบาลของ พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ถึงความไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การฉ้อราษฎร์บังหลวง การเป็นคอมมิวนิสต์ การไม่สามารถคลี่คลายการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และปรีดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวรรคต

 

เช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 คณะทหารที่เรียกตนเองว่า ‘คณะรัฐประหาร’ สามารถยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ โดยประกาศข้ออ้างในการรัฐประหารคือ

 

 รัฐประหารเพื่อประเทศชาติ

 

  1. รัฐประหารล้มรัฐบาล พล.ร.ต. ถวัลย์ เพื่อสถาปนาการเทิดทูนชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประพฤติตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
  2. รัฐประหารเพื่อเชิดชูเกียรติของทหารบกที่ถูกย่ำยีให้ฟื้นกลับคืน
  3. รัฐประหารเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและค่าครองชีพให้แก่ประชาชน
  4. สืบหาผู้ปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และนำตัวฟ้องร้องตามกฎหมาย 
  5. รัฐประหารเพื่อขจัดลัทธิคอมมิวนิสต์

 

ผลจากการรัฐประหารคือการล้มเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2489 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 (ฉบับชั่วคราว) หรือรัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม โดยมีการฟื้นฟู ‘อภิรัฐมนตรี’ องค์กรตามระบอบเก่าให้กลับมาอีกครั้งภายหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ทำให้บทบาทและอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎรหมดลง ขณะที่ปรีดีและ พล.ร.ต. ถวัลย์ ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ

 

อ้างอิง: 

The post 8 พฤศจิกายน 2490 – รัฐประหาร 2490 ปิดฉากบทบาทคณะราษฎรในการเมืองไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอนฟ้องซึ่งกันและกัน ม.ร.ว.ปรียนันทนา ถอนฟ้องกุลลดา คดีวิทยานิพนธ์ณัฐพล ส่วนอีก 5 จำเลยคดีดำเนินต่อไป https://thestandard.co/priyanandana-rangsit-bailed-kullada-ketbunchu/ Thu, 22 Jun 2023 08:15:26 +0000 https://thestandard.co/?p=806709 ม.ร.ว.ปรียนันทนา

วันนี้ (22 มิถุนายน) วิญญัติ ชาติมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ T […]

The post ถอนฟ้องซึ่งกันและกัน ม.ร.ว.ปรียนันทนา ถอนฟ้องกุลลดา คดีวิทยานิพนธ์ณัฐพล ส่วนอีก 5 จำเลยคดีดำเนินต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ม.ร.ว.ปรียนันทนา

วันนี้ (22 มิถุนายน) วิญญัติ ชาติมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ในฐานะทนายความของ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด จำเลยที่ 2 ในคดีที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ฟ้องศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ฐานความผิดละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง ต่อ 6 จำเลย ประกอบด้วย

 

  • จำเลยที่ 1 ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เรื่อง การเมืองไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) โดยวิทยานิพนธ์ของเขาได้รับการประเมินโดยกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 ท่าน ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปีการศึกษา 2552

 

  • จำเลยที่ 2 กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

  • จำเลยที่ 3 ชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ

 

  • จำเลยที่ 4 อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

 

  • จำเลยที่ 5 ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

 

  • จำเลยที่ 6 ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน

 

วิญญัติกล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ศาลแพ่งนัดสืบพยานโจทก์คดีดังกล่าว โดยทั้งฝ่ายโจทก์ คือ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต และจำเลยที่ 2 คือ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ได้ถอนฟ้องซึ่งกันและกัน

 

วิญญัติกล่าวว่า การที่โจทก์ถอนฟ้องเกิดจากการที่เราได้แสดงความกังวลกรณีอาจารย์กุลลดาจะต้องมาขึ้นศาลขณะที่มีอายุและปัญหาสุขภาพในขณะนี้ ประกอบกับประเด็นสำคัญคือความเกี่ยวข้องของการทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ใช่สาเหตุหลักของการที่โจทก์มองว่าได้รับผลกระทบ

 

ดังนั้นจึงมีการคุยกันระหว่างฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยที่ 2 ว่ามีแนวทางที่จะจบกันได้หรือไม่ เพื่อความเป็นไปได้ที่จะมีการถอนฟ้องกัน โดยเป็นการถอนฟ้องซึ่งกันและกัน เนื่องจากมีอีกคดีที่อาจารย์กุลลดาเป็นโจทก์ฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนา เช่นกัน หลังจากที่อาจารย์กุลลดาถูกฟ้องในคดีนี้

 

สำหรับการพูดคุยกันทั้ง 2 ฝ่าย ได้นำมาทำเป็นเอกสารเสนอต่อศาลเพื่อให้ศาลรับทราบ และเมื่อโจทก์ถอนฟ้องไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อกันอีก

 

ศาลจึงจำหน่ายคดีออก ส่วนอีกคดีที่อาจารย์กุลลดาฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนา ก็ได้ถอนฟ้องด้วยเช่นกัน

 

ส่วนจำเลยคนอื่นๆ อีก 5 จำเลย คดียังดำเนินต่อไปตามกระบวนการ

The post ถอนฟ้องซึ่งกันและกัน ม.ร.ว.ปรียนันทนา ถอนฟ้องกุลลดา คดีวิทยานิพนธ์ณัฐพล ส่วนอีก 5 จำเลยคดีดำเนินต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
คำถาม 6 ประการจาก ณัฐพล ใจจริง ถึงจุฬาฯ ปม ‘บวรศักดิ์’ สอบวิทยานิพนธ์ https://thestandard.co/nattapoll-chaiching-review-thesis/ Mon, 17 Oct 2022 12:26:11 +0000 https://thestandard.co/?p=696488 ณัฐพล ใจจริง

ณัฐพล ใจจริง คือชื่อนักวิชาการผู้มีผลงานการศึกษาด้านประ […]

The post คำถาม 6 ประการจาก ณัฐพล ใจจริง ถึงจุฬาฯ ปม ‘บวรศักดิ์’ สอบวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพล ใจจริง

ณัฐพล ใจจริง คือชื่อนักวิชาการผู้มีผลงานการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ที่ถูกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งกรรมการสอบสวนวิทยานิพนธ์หลังจบปริญญาเอกแล้วสิบกว่าปี โดยวิทยานิพนธ์ของเขาได้รับการประเมินโดยกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 ท่านลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาฯ เมื่อปีการศึกษา 2552 เรื่อง การเมืองไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) 

 

นอกจากจะถูกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งกรรมการสอบสวน โดยให้ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานกรรมการแล้ว

 

ณัฐพลกลายเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาทจาก 6 จำเลย โดยจำเลยที่ 2 คือ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์ที่ปรึกษา ส่วนอีก 4 จำเลย คือ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันและผู้ที่เกี่ยวข้อง

 

ณัฐพล ใจจริง

ผู้ถูกสอบร้องสภามหาวิทยาลัยในฐานะที่สภาฯ เป็นผู้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง 

ล่าสุดณัฐพลยื่นจดหมายเปิดผนึกลงวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ถึงสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งคำถามถึงการทำงานของกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดที่ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน 

 

เนื่องจากผลการทำงานของกรรมการชุดนี้มี ‘รายงานข่าว’ ซึ่งยังไม่ได้รับการยืนยันจากสภามหาวิทยาลัย แต่กลับมีการเผยแพร่รายงานทาง Top News เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 โดยใช้ถ้อยคำหัวข้อเรื่อง ณัฐพลโดนคดีฟ้องแพ่ง 50 ล้าน ผลสอบจุฬาฯ ถอดวิทยานิพนธ์ล้มเจ้า 

 

และปรากฏข้อความทาง Facebook ของ อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ วันที่ 15 กรกฎาคม 2565 ถึงผลการสอบสวนของกรรมการชุดบวรศักดิ์ ระบุว่า “ผมได้ยินมาว่าผลสอบ ณัฐพล ใจจริง เรื่องวิทยานิพนธ์ที่มี Data Falsification และ Data Fabrication ที่จุฬาฯ ตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสอบสวน ได้ผลออกมาเป็นที่เรียบร้อย และคณะกรรมการดังกล่าวได้นำผลการสอบสวนส่งให้ทางผู้บริหารของจุฬาฯ เรียบร้อยแล้วเช่นกัน…”

 

บวกกับจดหมายเปิดผนึกของ เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ กรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ทักท้วงถึงการทำงานของเลขานุการกรรมการชุดบวรศักดิ์ 

 

เขมรัฐเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ขอให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยพิจารณาเรื่องนี้ด้วยความรอบคอบ หลังจากได้ไปดูเอกสารสอบสวนข้อเท็จจริงด้วยตัวเองที่ศูนย์กฎหมาย จุฬาฯ ตึกจามจุรี 5 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565

 

โดยเขมรัฐระบุเนื้อหาในจดหมายตอนหนึ่งถึงการรายงานของ ปาริชาต สถาปิตานนท์ เลขานุการชุดบวรศักดิ์ ที่นำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยว่าไม่ได้เปิดโอกาสให้ณัฐพลโต้แย้งหรือแก้ข้อกล่าวหา และมีการนำเอาข้อมูลปลอม (Fake News / Misinformation) มานำเสนอในการประชุมสภามหาวิทยาลัย กล่าวหาณัฐพล ทำให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้รับข้อมูลที่ไม่จริงมาประกอบการตัดสินใจ ควรจะมีการสอบสวนอย่างเร่งด่วนว่าทำไมถึงเกิดขึ้น เพราะอาจมีผลทำให้กระบวนการหาข้อเท็จจริงที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นโมฆะ และต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ทั้งหมดหากต้องพิจารณาเรื่องนี้ในศาล

 

ทั้ง 3 ส่วนนี้ ประกอบด้วยรายงานจาก Top News, ข้อความทาง Facebook อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และจดหมายเปิดผนึกของ เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ เป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้ณัฐพลและกุลลดายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงสภาจุฬาฯ แต่ยื่นคนละฉบับ คนละวัน และคนละวิธีการ 

 

ณัฐพล ใจจริง

กุลลดายื่นจดหมายด้วยตัวเอง และณัฐพลยื่นร้องเรียนแล้วทางอีเมล 

กุลลดาเดินทางไปยื่นด้วยตัวเองเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่หน้าห้องประชุมสภามหาวิทยาลัย โดยมี ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเลขานุการสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือ ท่ามกลางศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของจุฬาฯ ที่ถือช่อดอกไม้มาให้กำลังใจกุลลดา รวมถึงณัฐพลก็มาร่วมให้กำลังใจด้วย

 

ส่วนณัฐพลยื่นทางอีเมลเป็นจดหมายลงวันที่ 23 สิงหาคม 2565 เรียน นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิการบดี และกรรมการสภามหาวิทยาลัยทุกท่าน เรื่อง ขอความเป็นธรรม

 

ใจความสำคัญคือการชี้แจง ขอความเป็นธรรม และตั้งคำถามต่อประเด็นที่ถูกร้องเรียน ถูกกล่าวหา และกำลังมีคดีถูกฟ้องร้องในศาล

 

ณัฐพล ใจจริง

คำถาม 6 ประการจาก ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถึงจุฬาฯ 

เนื้อหาในจดหมายของณัฐพลประกอบด้วยเนื้อหา 5 ข้อ โดยข้อสุดท้ายคือข้อ 5 มีรายละเอียดเป็นคำถาม 6 ประการ (5.1-5.6) รายละเอียดดังนี้

 

ข้อ 5 ในจดหมายของณัฐพล ระบุว่า ข้าพเจ้าใคร่เรียนถามนายกสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี และกรรมการสภามหาวิทยาลัย ดังต่อไปนี้

 

5.1 คณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงชุดนี้กล่าวหาข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าสร้างหลักฐานเท็จเพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ต่อกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามข่าวที่ปรากฏจริงหรือไม่

 

5.2 ตลอดช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าถูกคณะกรรมการฯ เรียกเข้าไปให้ถ้อยคำ จวบจนถึงการทำหนังสือชี้แจงตอบกลับข้อกล่าวหาไปเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 นั้น ข้าพเจ้าตอบคำถามคณะกรรมการฯ ไปโดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยได้รับเอกสารที่เกี่ยวกับคณะกรรมการฯ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชุดนี้ว่าประกอบด้วยผู้ใดบ้าง มีขอบเขตอำนาจหน้าที่เพียงใด เป็นไปตามบทบัญญัติข้อใดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นการตรวจสอบเฉพาะประเด็นในวิทยานิพนธ์หรือตรวจสอบทั้งฉบับ ตลอดจนไม่มีการแจ้งว่าข้าพเจ้ามีสิทธิและหน้าที่อย่างไรบ้างในกระบวนการดังกล่าวนี้ จนทำให้ข้าพเจ้าต้องทำหนังสือตั้งคำถามต่อกระบวนการที่ไม่เปิดเผยโปร่งใส ขาดความชัดเจนนี้ไป พร้อมกับคำตอบที่ส่งให้คณะกรรมการฯ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 (โปรดดูเอกสารแนบ 3) มีความสรุปว่า

 

1. คณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงมีคำสั่งเรียกให้ข้าพเจ้ามาเข้ากระบวนการพิจารณาทางปกครอง โดยไม่แจ้งที่มาของการก่อตั้งตนเองว่ามาจากประกาศจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฉบับใด มีเขตอำนาจหน้าที่เพียงใด และอ้างอิงฐานอำนาจทางกฎหมายใดในการดำรงอยู่ของคณะกรรมการฯ นี้ต่อข้าพเจ้า อันมีผลกระทบต่อสิทธิของข้าพเจ้าในฐานะคู่กรณีในกระบวนการพิจารณาทางปกครองนี้

 

2. คณะกรรมการฯ มิได้จดแจ้งรายชื่อบุคคลที่ดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการอันเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง และมิได้แจ้งสิทธิและหน้าที่ของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคู่กรณีในกระบวนพิจารณาทางปกครองนี้ ให้ได้ทราบตามสมควร ซึ่งข้าพเจ้ามีสิทธิที่จะได้รับทราบรายชื่อของบุคคลที่ประกอบกันขึ้นเป็นคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง และมีสิทธิโต้แย้งคัดค้านบุคคลที่ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้ามีตามมาตรา 13, มาตรา 14 และมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 การที่คณะกรรมการฯ มิได้แจ้งสิทธิหน้าที่ของข้าพเจ้าดังกล่าวนี้ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาทางปกครองที่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 อีกด้วย

 

3. การที่คณะกรรมการฯ มีหนังสือเชิญข้าพเจ้าไปเข้าร่วมกระบวนพิจารณาทางปกครอง ซึ่งเป็นการพิจารณาทางปกครองที่ข้าพเจ้าต้องปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการฯ โดยคณะกรรมการฯ มิได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบถึงสิทธินำทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองครั้งดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้นการที่คณะกรรมการฯ มิได้แจ้งสิทธิของข้าพเจ้าดังกล่าวนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาทางปกครองที่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ด้วยเช่นกัน

 

นอกจากนี้ข้าพเจ้าขอเรียนให้สภามหาวิทยาลัยทราบอีกว่า ในการสอบสวนข้าพเจ้าโดยเหล่าคณะกรรมการฯ ทางออนไลน์เมื่อวันที่ 28 กันยายนนั้น เลขานุการคณะกรรมการฯ ได้สอบสวนข้าพเจ้าด้วยคำถามที่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับขอบเขตเนื้อหาในการทำวิทยานิพนธ์ แต่เป็นคำถามที่สะท้อนความมีอคติ เช่น ถามข้าพเจ้าว่า “ทำไมข้าพเจ้าจึงไม่ชอบพวกรอยัลลิสต์?” เป็นต้น

 

คำถามของเลขานุการคณะกรรมการฯ ผู้นี้ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่า กรรมการฯ ได้กลายเป็นคู่กรณีกับข้าพเจ้าไปเสียแล้ว แทนที่จะเป็นกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างปลอดอคติ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าใคร่ขอให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยโปรดฟังการสอบสวนจากการบันทึกเทปครั้งนั้นด้วยตนเอง แทนการอ่านจากเอกสารที่ถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่แล้ว เนื่องจากการถอดข้อความสอบสวนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นอาจมีการตัดข้อความทำนองนี้และน้ำเสียงต่างๆ ออกไปจนหมดสิ้น ด้วยเหตุที่กระบวนการนี้ได้ละเมิดต่อสิทธิของข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ลงนามรับรองเอกสารการสอบสวนฉบับนี้จากคณะกรรมการฯ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอเรียนให้สภามหาวิทยาลัยทราบว่า การสอบสวนนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คณะกรรมการฯ ชุดนี้ดำเนินการอย่างผิดปกติ อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิของข้าพเจ้า

 

ข้าพเจ้าจึงใคร่เรียนถามนายกสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี และกรรมการสภามหาวิทยาลัยว่า การกระทำทั้งหลายของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นการละเมิดสิทธิของข้าพเจ้าที่พึงได้รับตามกระบวนการที่เปิดเผย โปร่งใส และเป็นธรรมหรือไม่?

 

5.3 ข้าพเจ้าใคร่เรียนถามว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้แจ้งให้พวกท่านทราบหรือไม่ว่า คณะกรรมการสอบสวนฯ ดำเนินการที่ละเมิดต่อข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าต้องมีหนังสือโต้แย้งอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนฯ หากคณะกรรมการสอบสวนฯ ไม่ได้แจ้งการดำเนินการที่ผิดพลาดของคณะกรรมการสอบสวนฯ ต่อสภามหาวิทยาลัย นั่นอาจหมายความว่าคณะกรรมการสอบสวนฯ ไม่ต้องรับผิดชอบแต่ประการใดหรือไม่ และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความผิดพลาดนี้

 

5.4 ข้าพเจ้าขอสอบถามว่า นอกจากคณะกรรมการฯ ไม่ดำเนินการตามกฎหมายอันเป็นการละเมิดสิทธิของข้าพเจ้าแล้ว แต่ยังดำเนินการทำสิ่งที่ผิดต่อไป ด้วยการสอดแทรกข้อกล่าวหาเรื่องหนังสือพิมพ์เอกราชเพิ่มเข้ามาโดยพลการ อีกทั้งไม่เคยสอบถามหรือขอเอกสารจากข้าพเจ้าเลย ซ้ำร้ายยังรายงานเท็จต่อสภามหาวิทยาลัย เพื่อโน้มน้าวให้สภามหาวิทยาลัยมีมติลงโทษข้าพเจ้านั้น สภามหาวิทยาลัยจะดำเนินการสอบสวนพฤติกรรมของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนี้หรือไม่ อย่างไร? ในฐานะที่สภามหาวิทยาลัยเป็นองค์กรสูงสุดของมหาวิทยาลัยมีกฎระเบียบในการลงโทษการรายงานเท็จต่อสภามหาวิทยาลัยอย่างไร?  

 

5.5 สภามหาวิทยาลัยสามารถดำเนินการโดยปราศจากกฎ ประกาศ และระเบียบอื่นใดในการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และ/หรือลงโทษข้าพเจ้าได้หรือไม่?

 

5.6 หลังจากข้าพเจ้าได้ส่งคำตอบให้กับผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 ท่าน และปรากฏว่า 3 ใน 4 ท่านไม่มีความเห็นแย้งหรือคำถามเพิ่มเติม แสดงว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าข้าพเจ้ากระทำผิด แต่คณะกรรมการสอบสวนฯ กลับรายงานความเท็จต่อสภามหาวิทยาลัยและเสนอให้สภามหาวิทยาลัยลงโทษข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอเรียนถามว่าสภามหาวิทยาลัยจะยึดถือมติของผู้เชี่ยวชาญ 3 ใน 4 ท่านหรือไม่ โดยถือว่าการสอบสวนได้ข้อยุติแล้ว หรือจะดำเนินการหาวิธีใหม่เพื่อลงโทษข้าพเจ้าต่อไปให้จงได้  

 

นอกจากนี้ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยโปรดเข้าศึกษาเอกสารตอบโต้ระหว่างข้าพเจ้ากับคณะกรรมการสอบสวนฯ และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วยตนเอง แทนที่จะรับทราบผ่านการสรุปโดยคณะกรรมการฯ

 

ด้วยเหตุที่วิทยานิพนธ์ข้าพเจ้ามีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อศึกษานโยบายต่างประเทศและบทบาทของสหรัฐฯ ที่มีต่อการเมืองไทยในช่วงต้นของสงครามเย็น หนึ่งในประเด็นสำคัญของการศึกษาคือความสัมพันธ์และมุมมองของสหรัฐฯ ที่มีต่อกลุ่มการเมืองต่างๆ ในประเทศไทยขณะนั้น ดังนั้นวิทยานิพนธ์เล่มนี้จึงไม่ได้มุ่งศึกษาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

 

ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าขอเรียนให้ทราบว่า ข้าพเจ้าทำวิทยานิพนธ์เล่มนี้ขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความสุจริต เพื่อนำเสนอความรู้ที่ได้ค้นคว้าต่อสังคม อันมีกระบวนการสอบโดยคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ที่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของมหาวิทยาลัยอย่างถูกต้องและได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการสอบฯ อย่างเป็นเอกฉันท์ให้ข้าพเจ้าสอบผ่านในระดับดีมาก

 

กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นว่าวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้าเป็นความจริงสูงสุดตลอดกาล เพราะข้าพเจ้าตระหนักดีว่าความรู้ต่างๆ เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ และโลกของเรามีวิทยาการความรู้ที่ก้าวหน้าขึ้นมาได้เพราะมีการถกเถียง เปลี่ยนแปลง หรือหักล้างความรู้เก่าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น วิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้าจึงเป็นเพียงแบบจำลองของความรู้ที่ถูกผลิตขึ้นโดยมนุษย์ในยุคสมัยหนึ่งๆ เท่านั้น (ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในบทนำของวิทยานิพนธ์) ดังนั้นหากในอนาคตมีนักวิจัยหรือนักวิชาการค้นพบข้อมูลใหม่ หรือหอจดหมายเหตุมีการเปิดเอกสารใหม่ หรือมีการตีความด้วยมุมมอง (Approach) ทฤษฎี (Theory) หรือกระบวนทัศน์ (Paradigm) ใหม่ ก็ย่อมจะเกิดความรู้ใหม่ หรือแม้แต่หากมีผู้ไม่เห็นด้วย ก็ย่อมสามารถโต้แย้งถกเถียงด้วยวิถีทางวิชาการตามธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นที่ยอมรับกันในวงวิชาการไทยและสากล

 

กล่าวโดยสรุป ข้าพเจ้าใคร่เรียนให้สภามหาวิทยาลัยทราบว่า นับตั้งแต่ที่ข้าพเจ้ายื่นคำชี้แจงต่อประธานกรรมการฯ ไปเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 จวบจนปัจจุบันนั้น คณะกรรมการฯ ก็มิได้แจ้งผลการสอบสวนหรือร้องขอเอกสารเพิ่มเติมจากข้าพเจ้าอีกเลย แต่กลับปรากฏข่าวข้างต้นว่าคณะกรรมการฯ ได้สรุปผลการสอบวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้าเสร็จสิ้นแล้วว่าข้าพเจ้ามีความผิดจริง ประกอบกับดูเหมือนจะมีการสอดแทรกข้อกล่าวหาใหม่เรื่องหนังสือพิมพ์เอกราชเข้ามาโดยไม่เคยแจ้งกับข้าพเจ้า ทั้งยังมีการรายงานเท็จต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยเพื่อโน้มน้าวให้สภามหาวิทยาลัยมีมติลงโทษข้าพเจ้าอีกด้วย  

 

ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการลงมติใดๆ ของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงควรวางอยู่บนคำวินิจฉัยของผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก ต้องไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเข้ามาเองโดยพลการ หากมีคำถามใหม่ก็ต้องให้โอกาสข้าพเจ้าชี้แจงตอบคำถามตามกระบวนการที่เปิดเผยและยุติธรรม และหากผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มีความเห็นว่าข้าพเจ้าไม่มีความผิด คณะกรรมการฯ ก็ต้องกล้ายืนยันตามหลักวิชา ข้อเท็จจริง โดยไม่เกรงกลัวต่อกระแสการเมืองใดๆ

 

ข้าพเจ้ายังหวังว่านายกสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี และกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ที่มีใจเที่ยงธรรมทั้งหลายย่อมเห็นว่าการกระทำดังกล่าวข้างต้นไม่เพียงไม่ยุติธรรมต่อข้าพเจ้าในฐานะอดีตนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่กลับจะสร้างความเสื่อมเสียเกียรติยศให้แก่มหาวิทยาลัยอย่างยากที่จะฟื้นฟูได้ การดำเนินการที่ละเมิดกฎหมายของคณะกรรมการฯ นี้ย่อมสร้างผลกระทบต่อวงวิชาการไทยที่ต้องเผชิญกับความหวาดกลัวต่อภัยคุกคามต่อเสรีภาพทางวิชาการที่นับวันมีแต่จะหดแคบลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าจึงหวังว่ากรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่างๆ เป็นผู้มีลูกศิษย์ลูกหา ประกอบคุณูปการต่อประเทศชาติ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักนับถืออย่างมากจะไม่ทนนิ่งเฉยต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้  

 

ขอแสดงความนับถือ (ณัฐพล ใจจริง)

 

ณัฐพล ใจจริง

ณัฐพลชี้แจงความมีอยู่จริงของหนังสือพิมพ์เอกราช เป็นคนละฉบับกับที่ ไชยันต์ ไชยพร กล่าวหา

นอกจากคำถาม 6 ข้อแล้ว เนื้อหาในจดหมายของณัฐพลยังชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่า อ้างอิงหนังสือพิมพ์ที่ ‘ไม่มีอยู่จริง’ โดยการชี้แจงนี้อยู่ในข้อ 1 จากเนื้อหาทั้งหมด 5 ข้อของจดหมาย

 

“ข้าพเจ้าขอเรียนให้สภามหาวิทยาลัยทราบว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงไม่เคยสอบถามข้าพเจ้าทั้งทางเอกสาร วาจา หรือในทางใดๆ เลยถึงประเด็นความกังขาในเรื่องหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 ทั้งที่หากคณะกรรมการฯ เรียกเอกสารดังกล่าว ข้าพเจ้าย่อมเต็มใจที่จะแสดงสำเนาหนังสือพิมพ์เอกราชที่ข้าพเจ้ามีอยู่เพื่อคลายความสงสัยของคณะกรรมการฯ ในทันที แต่ที่ผ่านมานั้นไม่ปรากฏการแสดงความจำนงใดๆ จากคณะกรรมการฯ เลย แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการฯ กลับกล่าวหาข้าพเจ้า

 

“จากรายงานข่าวของ Top News สรุปได้ว่า มีการกล่าวหาว่าข้าพเจ้าสร้างเอกสารอ้างอิงเท็จในทำนองว่า หนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 ที่ข้าพเจ้าอ้างอิงในวิทยานิพนธ์นั้นไม่มีอยู่จริง ข้อกล่าวหานี้มีเนื้อหาทำนองเดียวกันกับข้อกล่าวหาของ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร ที่กล่าวหาข้าพเจ้าในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ว่า หนังสือพิมพ์เอกราชปี 2490 ที่ข้าพเจ้าอ้างอิงในวิทยานิพนธ์นั้นไม่มีอยู่จริง เนื่องจากหนังสือพิมพ์เอกราชมีขึ้นครั้งแรกในปี 2500 ต่อข้อกล่าวหาข้างต้นนี้” เนื้อหาจดหมายของณัฐพล

 

ข้อ 1 ในจดหมายของณัฐพล ระบุว่า ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า หนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 ที่ข้าพเจ้าใช้อ้างอิงในวิทยานิพนธ์นั้นมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์การหนังสือพิมพ์ของไทยเป็นหนังสือพิมพ์ที่ออกที่กรุงเทพฯ โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งคือ อิศรา อมันตกุล นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ คนสำคัญที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น และนายกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยท่านแรก ซึ่งเป็นคนละฉบับกับหนังสือพิมพ์เอกราชที่ ศ.ดร.ไชยันต์ ใช้กล่าวหาข้าพเจ้า โดยหนังสือพิมพ์เอกราชที่มีชื่อเหมือนกันนี้ ตามประวัติเป็นหนังสือพิมพ์ในระดับท้องถิ่นของจังหวัดลำปางที่ก่อตั้งขึ้นทีหลังเมื่อปี 2500 

 

กรณีนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจยื่นฟ้อง ศ.ดร.ไชยันต์ ฐานหมิ่นประมาทข้าพเจ้าต่อศาลอาญา เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1701/2565 ดังที่ได้ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว

 

ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์เอกราช 2 ฉบับนี้ ต่อมาได้มีผู้ใช้นามปากกา ‘ผีดำผีแดง’ อธิบายรายละเอียดโดยสังเขปไว้ในบทความชื่อ ณัฐพลกับไชยันต์ ใครบิดเบือนหลักฐานเพื่อสาดโคลนผู้อื่นกันแน่ ในสื่อออนไลน์ประชาไท เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 บทความนั้นได้แสดงภาพถ่ายหัวหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 ประกอบ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยทำสำเนาคัดออกมาจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติเมื่อครั้งค้นคว้าทำวิทยานิพนธ์เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี ในการนี้ข้าพเจ้าได้แนบหัวหนังสือพิมพ์เอกราชที่ข้าพเจ้ามีมาพร้อมกันนี้ด้วย โดยเป็นการเปิดเผยเพียงบางส่วนก่อน และจะเปิดเผยต่อไปในชั้นศาล (โปรดดูเอกสารแนบฉบับที่ 1)

 

แสดงหลักฐานหนังสือพิมพ์เอกราชที่อ้างอิงในวิทยานิพนธ์ โต้ข้อกล่าวหาเท็จ 

ณัฐพลแนบภาพหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 เพื่อเป็นหลักฐานถึงการมีอยู่จริงของหนังสือพิมพ์ฉบับที่อ้างอิงในวิทยานิพนธ์ เพื่อโต้ข้อกล่าวหาที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนำไปแจ้งต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย โดยยืนยันว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความเท็จ ซึ่งการชี้แจงนี้อยู่ในข้อ 2 จากเนื้อหา 5 ข้อในจดหมาย

 

ข้อ 2 ในจดหมายของณัฐพล ระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ข้าพเจ้ายังคงไม่ได้รับทราบผลการสอบสวนใดๆ อย่างเป็นทางการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากได้รับฟังการนำเสนอข่าวจากสื่อฝ่ายขวาที่ดูราวกับทราบผลล่วงหน้าอันเป็นผลสอบไม่เป็นคุณกับข้าพเจ้าแล้ว ยังปรากฏรายงานข่าวเปิดเผยความไม่โปร่งใสในการสอบหาข้อเท็จจริงและการรายงานเท็จต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยในกรณีตรวจสอบวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้า อันปรากฏอยู่ในเว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 10 สิงหาคม 2565 อันมีเรื่องราวโดยสังเขปว่า กรรมการสภามหาวิทยาลัยท่านหนึ่งคือ รศ.ดร.เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ เห็นความผิดปกติในกระบวนการสอบข้อเท็จจริงวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้า จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงนายกสภามหาวิทยาลัย เพื่อแย้งผลการสอบสวนและกระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมายในกระบวนการสอบวิทยานิพนธ์ ดังข้อความที่ว่า:

 

“คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหานี้ต่อณัฐพล และไม่มีการเรียกหลักฐานเอกสารหนังสือพิมพ์เอกราชดังกล่าวจากณัฐพล” การกระทำดังกล่าวของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นการละเมิด (Violate) สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการอธิบาย โต้แย้ง หรือแก้ข้อกล่าวหา และทราบว่ากรรมการทุกท่านทราบว่าไม่ได้ทำตามขั้นตอนการสอบสวนที่ถูกต้อง แต่ก็ยังดำเนินการต่อ… โดยข้อนี้ผมถือว่าร้ายแรงมาก เป็นการละเมิดกระบวนการพิจารณาอย่างเป็นธรรม (Violate Due Process) ของณัฐพลอย่างชัดเจน ควรจะมีการสอบสวนอย่างเร่งด่วนว่าทำไมถึงเกิดขึ้น เพราะอาจมีผลทำให้กระบวนการหาข้อเท็จจริงที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นโมฆะ และต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ทั้งหมด หากต้องพิจารณาเรื่องนี้ในศาล”

 

ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้ายังคงรอผลสอบสวนอย่างเป็นทางการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่นั้น เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบข่าวความผิดปกติในกระบวนการสอบสวนวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้าดังกล่าวในความรู้สึกแรกนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจและรู้สึกขอบคุณที่มีผู้ชี้แจงเหตุผิดปกติในกระบวนการสอบสวนวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ในทางกลับกันยิ่งเมื่อข้าพเจ้าอ่านเนื้อความในหนังสือร้องเรียนโดยละเอียดแล้ว ซึ่งหากเอกสารนี้เป็นความจริงแล้วการลำดับสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการนี้ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าผิดหวังและเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิในระดับเอกอุของประเทศ และหลายท่านเกี่ยวข้องกับการร่างและบังคับใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นจะสามารถกระทำการดังกล่าวได้  

 

ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงนำแสดงหลักฐานหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 ตามภาพข้างต้นนี้แสดงต่อท่าน เพื่อเป็นหลักฐานถึงการมีอยู่จริงของหนังสือพิมพ์ฉบับที่ข้าพเจ้าอ้างอิงในวิทยานิพนธ์ ข้าพเจ้าใคร่เรียนให้ท่านทราบว่าข้อกล่าวหาที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงมีต่อข้าพเจ้า และนำไปแจ้งต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยนั้นเป็นความเท็จ

 

 

นี่ไม่ใช่การชี้แจงครั้งแรก

การชี้แจงในจดหมายของณัฐพลในปี 2565 ฉบับนี้ไม่ใช่การชี้แจงครั้งแรก เพราะณัฐพลเคยชี้แจง ยอมรับ และขอแก้ไข 1 ใน 31 จุดที่ไชยันต์ร้องเรียนมาแล้วเมื่อปี 2561 แต่จุฬาฯ ไม่ให้แก้ไขเนื่องจากไม่มีระเบียบให้แก้ไข และผลคือมหาวิทยาลัยระงับการเผยแพร่วิทยานิพนธ์ทั้งบนชั้นหนังสือและทางเว็บไซต์ 

 

โดยการชี้แจงครั้งล่าสุดนี้อยู่ใน ข้อ 3.1 จากเนื้อหา 5 ข้อของจดหมาย ขณะที่ข้อ 3 มีรายละเอียดทั้งหมด 7 ข้อ (3.1-3.7)

 

ข้อ 3 ในจดหมายของณัฐพล ระบุว่า ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสนี้ชี้แจงประเด็นสำคัญบางประเด็นที่นักวิชาการและสื่อฝ่ายขวาร่วมกันโจมตีและกล่าวหาว่า ข้าพเจ้าพยายามสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกทั้งยังเป็นประเด็นที่อยู่ในคำถาม 31 ข้อของ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร ที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงใช้เป็นเกณฑ์ในการสอบสวนข้าพเจ้าดังต่อไปนี้

 

3.1 กรณีกรมขุนชัยนาทนเรนทรเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ข้าพเจ้าขอเรียนว่า เมื่อปี 2561 ข้าพเจ้าได้เคยชี้แจงเรื่องนี้แก่คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ไปตั้งแต่ในครั้งนั้นแล้วว่าข้าพเจ้ายอมรับความผิดพลาดจากการอ่านเอกสาร อันมิใช่การสร้างข้อมูลเท็จแต่อย่างใด ซึ่งคณะกรรมการฯ ครั้งนั้นไม่ติดใจแต่ประการใด และสั่งการให้ข้าพเจ้าทำเรื่องขอแก้ไขข้อความดังกล่าวต่อบัณฑิตวิทยาลัย แต่สุดท้ายทางบัณฑิตวิทยาลัยไม่อนุญาตให้มีแก้ไข ปรับปรุง ข้อความใดๆ ในวิทยานิพนธ์ เนื่องจากกระบวนการสอบได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้ายอมรับความผิดพลาดในประเด็นดังกล่าวและแสดงเจตนาขอแก้ไขไปแล้ว แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีระเบียบให้แก้ไข

 

ขณะที่ข้อ 3.2-3.7 มีการชี้แจงรายละเอียดแต่ละประเด็นที่ถูกโจมตีกล่าวหาในประเด็นต่างๆ 

 

โดยณัฐพลอ้างอิงข้อมูลจากหลักฐาน เช่น หนังสือ, งานวิจัย, เอกสารจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ NARA, บทความวิชาการ, บันทึกของทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยที่บันทึกไว้ในหนังสือ, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร, ข้อความและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ปรากฏสอดแทรกตามหนังสือหรือเอกสารต่างๆ ที่ถูกผลิตขึ้นร่วมสมัยหรือในภายหลัง

 

หัวข้อที่ชี้แจงในข้อ 3.2-3.7 ประกอบด้วย 

 

3.2 กรณีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม

 

3.3 บทบาทของพระบรมราชชนนีในเหตุการณ์รัฐประหาร 2490  

 

3.4 กรณีบทบาทของกรมขุนชัยนาทฯ ในเหตุการณ์รัฐประหาร 2490

 

3.5 กรณีข้อความในเชิงอรรถที่ 27 หน้า 231 ของวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้า

 

3.6 กรณีพระองค์เจ้าธานีนิวัตทรงไม่โปรด ปรีดี พนมยงค์ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาจากแหล่งอ้างอิงใด

 

สำหรับข้อ 3.7 กรณีการเขียนพระนามของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผิดเป็น ‘พระพันวษาอัยยิกาเจ้า’ ณัฐพลระบุว่า ข้าพเจ้ายอมรับความผิดพลาดจึงขอแก้ไขเป็น ‘พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า’ แทน

 

ความเห็น ‘4 ผู้ทรงคุณวุฒิ’ ผ่าน 3 มุมมองกรรมการชุด ‘บวรศักดิ์-เขมรัฐ-ณัฐพล’

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในปี 2564 ประกอบด้วยกรรมการ 5 ท่าน คือ  

 

  1. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานกรรมการ

 

  1. สุจิต บุญบงการ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกรรมการ

 

  1. นรนิติ เศรษฐบุตร นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกรรมการ

 

  1. ธีรยุทธ วิไลวัลย์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมการ

 

  1. ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดีด้านวิชาการและการเชื่อมโยงกับสังคม เป็นเลขานุการ

 

ทั้งนี้ กรรมการ 5 ท่านได้ส่งข้อมูลอันประกอบด้วย วิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง และข้อร้องเรียน 31 ข้อของ ไชยันต์ ไชยพร ให้กับผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ซึ่งเป็นคนนอก ไม่ใช่กรรมการ 4 ใน 5 ท่านของกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธาน 

 

ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่านเป็นผู้อ่านวิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง และอ่านข้อร้องเรียน 31 ข้อของ ไชยันต์ ไชยพร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นแก่คณะกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธาน

 

ต่อมาเลขานุการของคณะกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธานคือ ปาริชาต สถาปิตานนท์ ได้นำเสนอรายงานการสอบข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

 

ขณะที่ เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ กรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเภทคณาจารย์ประจำ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ขอให้มีการสอบสวนอย่างรอบคอบ หลังจากได้ไปดูเอกสารสอบสวนข้อเท็จจริงด้วยตัวเองที่ศูนย์กฎหมาย จุฬาฯ ตึกจามจุรี 5 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565

 

โดยเขมรัฐระบุเนื้อหาในจดหมาย 4 ข้อ ซึ่งประเด็นสำคัญอย่างยิ่งคือข้อ 3 และ 4 

 

เขมรัฐระบุในข้อ 3 และ 4 ถึงการรายงานของ ปาริชาต สถาปิตานนท์ ที่นำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยว่าไม่ได้เปิดโอกาสให้ณัฐพลโต้แย้งหรือแก้ข้อกล่าวหา และมีการนำเอาข้อมูลปลอม (Fake News / Misinformation) มานำเสนอในการประชุมสภามหาวิทยาลัย กล่าวหาณัฐพล ทำให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้รับข้อมูลที่ไม่จริงมาประกอบการตัดสินใจ 

 

“ข้อ 3. ในกรณีการอ้างอิงหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ที่มีการกล่าวหาว่าณัฐพลอ้างเอกสารอ้างอิงเท็จในรายงานสอบสวนข้อเท็จจริงที่ส่งให้สภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ผมได้ทราบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ว่า “คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหานี้ต่อณัฐพล และไม่มีการเรียกหลักฐานเอกสารหนังสือพิมพ์เอกราชดังกล่าวจากณัฐพล” การกระทำดังกล่าวของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นการละเมิด (Violate) สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการอธิบาย โต้แย้ง หรือแก้ข้อกล่าวหา และทราบว่ากรรมการทุกท่านทราบว่าไม่ได้ทำตามขั้นตอนการสอบสวนที่ถูกต้อง แต่ก็ยังดำเนินการต่อ (ดูจากรายงานการประชุมคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ที่มีมติให้ดำเนินการหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์เอกราช) โดยข้อนี้ผมถือว่าร้ายแรงมาก เป็นการละเมิดกระบวนการพิจารณาอย่างเป็นธรรม (Violate Due Process) ของณัฐพลอย่างชัดเจน ควรจะมีการสอบสวนอย่างเร่งด่วนว่าทำไมถึงเกิดขึ้น เพราะอาจมีผลทำให้กระบวนการหาข้อเท็จจริงที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นโมฆะ และต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ทั้งหมดหากต้องพิจารณาเรื่องนี้ในศาล

 

“ข้อ 4 และเป็นที่แน่นอนว่า หนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 มีอยู่จริงนั้นหมายความว่าการนำเสนอของเลขานุการสอบข้อเท็จจริงในการประชุมสภามหาวิทยาลัยครั้งที่ผ่านมา มีการนำเอาข้อมูลปลอม (Fake News / Misinformation) มานำเสนอในการประชุมในการกล่าวหาณัฐพลอย่างผิดๆ ทำให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้รับข้อมูลที่ไม่จริงมาประกอบการตัดสินใจ การนำ Fake News / Misinformation ในประกอบการนำเสนอในการประชุมสภามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเรื่องใดๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นและไม่ควรบันทึกในรายงานการประชุม หรือถ้าจะบันทึกก็ควรมีหมายเหตุว่าเป็น Fake News / Misinformation” เขมรัฐ ระบุในจดหมายเปิดผนึก

 

ข้อ 4 ในจดหมายของณัฐพล ระบุว่า หลังจากคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงมีคำสั่งเรียกข้าพเจ้าไปให้ข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการสอบฯ แล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 คณะกรรมการสอบฯ ส่งเอกสารความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 4 ท่านที่ตรวจสอบวิทยานิพนธ์ให้ข้าพเจ้า และสั่งให้ข้าพเจ้าตอบคำถามและคำวิจารณ์ต่างๆ กลับไป ข้าพเจ้าจึงทำหนังสือชี้แจงกลับไปยังประธานคณะกรรมการสอบฯ ในหนังสือลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 (โปรดดูเอกสารแนบที่ 2)

 

จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 ท่านที่คณะกรรมการฯ ส่งมาให้ข้าพเจ้าพิจารณานั้น ข้าพเจ้าพบว่าผู้เชี่ยวชาญมิได้มีความเห็นไปในทางเดียวกัน หรือมิได้มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าข้าพเจ้ามีความผิด โดยข้าพเจ้าขอสรุปสาระสำคัญดังต่อไปนี้

 

4.1 ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 1 ประเด็นสำคัญและร้ายแรงของผู้เชี่ยวชาญท่านนี้คือ การกล่าวหาว่าข้อความที่ปรากฏในวิทยานิพนธ์ของข้าพเจ้าที่ว่า “…จากการเปิดเผยในการประชุมสภาผู้แทนฯ ในปลายเดือนสิงหาคม 2500 ถึงการประชุม 4 จอมพล เพื่อจับกุมพระมหากษัตริย์นี้ การประชุม 4 จอมพล ดังกล่าว จอมพล ป. มิได้เข้าร่วมประชุมด้วย” เข้าลักษณะสร้างข้อมูลเท็จ ทั้งปลอมแปลงและดัดแปลงข้อมูลออกมาเป็นข้อความที่ร้ายแรงขั้นอุกฤษฏ์…”

 

ข้าพเจ้าได้ส่งคำชี้แจงและตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าว กลับไปยังประธานคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ว่าผู้เชี่ยวชาญท่านนี้บกพร่องในการอ่านเอกสารเองอย่างเห็นได้ชัดความว่า 

 

ในกรณีนี้ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่า ในหน้า 1,033 ของรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10/ 2500 (สามัญ) อันเป็นเอกสารที่ทางคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่งตั้งส่งมาให้ข้าพเจ้า มีข้อความระบุว่า “เขาบอกว่าอย่างนี้ครับ บอกว่า ฯพณฯ รัฐมนตรีมหาดไทย นายพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ โปรดเสนอให้มีการจับกุมองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและรัฐมนตรีบางคนและนักการเมืองบางคนว่าอย่างนี้ครับ” ฉะนั้นจากคำอธิบายในข้อ 1.4 และ 1.5 

 

ข้าพเจ้าจึงขอปฏิเสธข้อกล่าวหาร้ายแรงดังกล่าวของผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 1

 

สำหรับสาเหตุที่บุคคลสำคัญในรัฐบาลจอมพล ป. จะกระทำเช่นนั้น ปรากฏในรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 10/2500 (สามัญ) ชุดที่ 2 วันที่ 29 สิงหาคม 2500 ปรากฏข้อความในหน้า 1,031-1,032 ได้เท้าความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต้นเดือนกุมภาพันธ์ว่า “ในการประชุมพรรคเสรีมนังคศิลา ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นี่ผมก็ได้มาจากในพรรคของท่านนั้นเอง ซึ่งประชุมเฉพาะก่อนที่ประชุมเฉพาะ ส.ส. มนังคศิลา ประเภท 1 เขาบอกว่า ฯพณฯ นายพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงให้ที่ประชุมทราบต่อหน้า ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่าได้มีหลักฐานแน่นอนว่า ประทานโทษครับ ในหลวงทรงมอบเงิน 7 แสนบาทให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับ ควง อภัยวงศ์ มาเล่นการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ นี่ข่าวมันออกมาว่าอย่างนี้”

 

ส่วนความจริงจะเป็นเช่นไรนั้นข้าพเจ้ามิอาจทราบได้ แต่เรื่องดังกล่าวมีการอภิปรายไว้ในสภาผู้แทนฯ และมีการบันทึกเป็นหลักฐานของทางราชการไว้ ดังนั้นข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนในดุษฎีนิพนธ์จึงเป็นการสรุปสาระสำคัญจากหลักฐานต่างๆ เช่น รายงานการประชุมสภาผู้แทนฯ ที่ข้าพเจ้าสามารถสรุปรวบรวมมาได้ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเท่านั้น

 

4.2 ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 2 นอกจากจะวิจารณ์แล้วยังเห็นว่า “ข้อเด่นของงานวิทยานิพนธ์นี้อยู่ที่การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองและการต่างประเทศนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี 2500 ได้อย่างละเอียดรอบด้านและชวนติดตาม งานยังวิเคราะห์บทบาทของสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศได้อย่างลุ่มลึก แนวการวิเคราะห์ที่โดดเด่นคือ แนวทางที่ผู้วิพากษ์อยากใช้คำว่า ‘ย้ายขุนเขา’ ในนัยของการไม่ใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเสมอไป เพราะนับแต่ยุคอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 เป็นอย่างช้า กงล้อประวัติศาสตร์ก็ได้ถูกขับเคลื่อนโดย ‘ผู้มีส่วนได้เสีย’ ที่หลากหลาย ในที่นี้ผู้เขียนได้ให้น้ำหนักและความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ การตีแผ่การแทรกแซงการเมืองไทยของสหรัฐฯ ที่ย้อนไปจน ‘ถึงต้นน้ำ’ คือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วยทำให้เกิดความกระจ่างชัดว่าการแทรกแซงทางการเมืองของสหรัฐฯ มิใช่พึ่งจะเริ่มในยุคนี้ ทุกอย่างเป็นมาเป็นไปบนวิถีที่มหาอำนาจนั้น คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งตนเป็นที่ตั้ง คุณูปการของงานวิทยานิพนธ์ในส่วนนี้ไม่อาจมองข้ามได้” และท่านมิได้กล่าวหาว่าข้าพเจ้ามีพฤติกรรมดังที่ท่านที่ 1 กล่าวหาแต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 2 ยังเสริมถึงลักษณะธรรมชาติของการสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการอีกว่า “ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนใคร่ย้ำในส่วนท้ายของการวิพากษ์งานวิทยานิพนธ์ เรื่อง การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) เมื่อได้ถูกเขียนออกมาแล้ว ต้องนับเป็นสมบัติทางวิชาการของแผ่นดิน และย่อมเป็นปกติวิสัยที่งานจะมีทั้งข้อเด่นและข้อด้อย แทนที่จะมุ่งทำลายหักล้างและด้อยค่างาน ควรที่ผู้ศึกษาจะพึงใช้วิจารณญาณแยกแยะด้วยใจเป็นธรรม ระมัดระวังในด้านที่เป็นข้อด้อย และยังประโยชน์ในด้านที่เป็นข้อเด่น ในด้านของผู้วิพากษ์ต้องขอสารภาพว่า ผู้วิพากษ์ไม่ได้มีความชำนาญประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาที่ผู้เขียน (ณัฐพล) ศึกษา การวิพากษ์เป็นการตรวจสอบการใช้ข้อมูลหลักฐานจากงานวิทยานิพนธ์ของผู้เขียนเป็นสำคัญ จึงเป็นไปได้ที่งานวิพากษ์นี้อาจมีข้อบกพร่อง และผู้วิพากษ์เองก็มิได้เห็นว่างานวิพากษ์นี้จะเป็นข้อยุติ และถ้าจะเป็นก็เป็นเพียงอีกมุมมองหนึ่งทางวิชาการของนักวิชาการคนหนึ่งต่องานวิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง”

 

4.3 ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 3 ให้คำแนะนำและตระหนักถึงการปรากฏของข้อความที่ข้าพเจ้าตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดไว้ในวิทยานิพนธ์ครั้งนั้น โดยท่านที่ 3 ได้เขียนไว้ในรายงานว่า “อย่างไรก็ดี ผู้เขียน (ณัฐพล) ได้ระบุไว้ในข้อ 1.8 หน้า 25 ว่า ภาพการเมืองไทยที่ปรากฏจากงานวิจัยชิ้นนี้ยังคงรอการยืนยันและโต้แย้งหรือถกเถียงจากการค้นคว้าวิจัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป” ซึ่งท่านหมายความว่า ท่านเห็นว่าข้าพเจ้าตระหนักดีว่าการสร้างองค์ความรู้ในวิทยานิพนธ์เปรียบเหมือนแบบจำลองทางความรู้ที่รอการยืนยันหรือหักล้างต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นวิถีปกติแห่งโลกทางวิชาการ และท่านให้คำแนะนำหลายประการต่อข้าพเจ้า เช่น การค้นคว้าเอกสารไทยให้มากขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าขอน้อมรับคำแนะนำที่มีคุณค่าเหล่านี้เพื่อใช้ในการค้นคว้าต่อไปในอนาคต และที่สำคัญท่านมิได้กล่าวหาว่า ข้าพเจ้ามีพฤติกรรมดังที่ท่านที่ 1 กล่าวหาแต่อย่างใด

 

4.4 ส่วนผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 4 นั้น ท่านตรวจสอบแล้วเห็นว่าข้อความส่วนใหญ่และการอ้างอิงเหมาะสม ยอมรับได้ ให้ข้าพเจ้าปรับปรุงเล็กน้อย และที่สำคัญท่านมิได้กล่าวหาว่าข้าพเจ้ามีพฤติกรรมดังที่ท่านที่ 1 กล่าวหาแต่อย่างใด

 

อาจสรุปได้ว่า จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 ท่านที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่งตั้งข้างต้นนั้น สามารถจำแนกความเห็นได้ดังนี้ คือ 1 ท่านวิพากษ์วิจารณ์และตั้งข้อกล่าวหาข้าพเจ้าอย่างรุนแรง ส่วน 2 ท่านนั้นวิจารณ์ แนะนำ ชี้ให้เห็นถึงคุณูปการของวิทยานิพนธ์ และตระหนักว่าวิทยานิพนธ์คือแบบจำลองของความรู้ที่รอการหักล้างหรือยืนยันทางวิชาการต่อไปในอนาคต และที่สำคัญไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหารุนแรงอย่างคนแรก และอีก 1 ท่านมีความเห็นในทางเป็นคุณแก่ข้าพเจ้า และที่สำคัญไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหารุนแรงอย่างคนแรกเช่นกัน

 

ความเห็นของข้าพเจ้าข้างต้นจึงมีความสอดคล้องกับข้อความในหนังสือร้องเรียนของ รศ.ดร.เขมรัฐ ที่ปรากฏตามข่าวในส่วนที่ว่า  “…หลังจากที่ณัฐพลทำจดหมายตอบคำวิพากษ์ของผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 4 คนส่งมายังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก็ได้ส่งคำตอบของณัฐพลดังกล่าวไปยังผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 4 ทางไปรษณีย์ เพื่อพิจารณาคำตอบของณัฐพล โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิเพียงคนเดียวที่มีการโต้แย้งการตอบกลับมารอบที่ 2 ซึ่งอาจแปลว่าผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 คนพอใจหรือเห็นด้วยกับคำตอบส่วนใหญ่ของณัฐพล” ณัฐพลระบุในข้อ 4 ของจดหมายที่มีทั้งหมด 5 ข้อ

The post คำถาม 6 ประการจาก ณัฐพล ใจจริง ถึงจุฬาฯ ปม ‘บวรศักดิ์’ สอบวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไขปมจุฬาฯ ตั้ง ‘บวรศักดิ์’ นั่งประธานสอบ ‘ณัฐพล-กุลลดา’ ปมปัญหาวิทยานิพนธ์ https://thestandard.co/chula-borwornsak-nattapon-kullada/ Thu, 08 Sep 2022 10:38:39 +0000 https://thestandard.co/?p=678394

ปัจจุบันสถานะของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง ถู […]

The post ไขปมจุฬาฯ ตั้ง ‘บวรศักดิ์’ นั่งประธานสอบ ‘ณัฐพล-กุลลดา’ ปมปัญหาวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปัจจุบันสถานะของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง ถูกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระงับการเผยแพร่นับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 หลังมีการร้องเรียนจาก ไชยันต์ ไชยพร ในปี 2561 แต่กระบวนการดำเนินการของมหาวิทยาลัยยังไม่สิ้นสุดลงที่การระงับเผยแพร่นับแต่วันนั้น  

 

ไชยันต์ ไชยพร ทำหนังสือถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ตามมาด้วยในปี 2564 นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกร้องผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งกรรมการสอบสวนวิทยานิพนธ์

 

จากนั้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน และ ปาริชาต สถาปิตานนท์ เป็นเลขานุการ ในปี 2564 

 

แม้ว่าก่อนหน้านั้นมหาวิทยาลัยเคยมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวน หลังมีการร้องเรียนจาก ไชยันต์ ไชยพร ในปี 2561 โดยมี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน พิจารณาพบว่ามีข้อผิดพลาด 1 จุด จาก 31 จุดที่ไชยันต์ร้องเรียน โดย ไชยวัฒน์ ค้ำชู ได้สรุปผลว่า

 

“ข้าพเจ้าใคร่จะชี้ให้เห็นว่า เมื่อกรรมการฯ ได้เรียกณัฐพลมารับทราบข้อร้องเรียนของ ศ.ดร.ไชยยันต์ ณัฐพลได้รีบทำการตรวจสอบและยอมรับความผิดพลาดในหน้า 105 โดยไม่ได้โต้แย้งและพยายามหาทางแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นความผิดพลาดโดยบริสุทธิ์ใจมากกว่าจะเป็นความตั้งใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 

 

“อนึ่ง ประเด็นว่าด้วยการพยายามแข่งขันและช่วงชิงอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับคณะราษฎร และการพยายามฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มิใช่ข้อถกเถียงหลักของวิทยานิพนธ์ของณัฐพล และมิใช่ประเด็นใหม่ในวงการวิชาการไทยศึกษาแต่ประการใด”  

 

(ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ)

 

กรรมการสอบสวนชุด ‘บวรศักดิ์’ และข้อทักท้วงจาก ‘เขมรัฐ’ หนึ่งในกรรมการสภามหาวิทยาลัย

 

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในปี 2564 ประกอบด้วยกรรมการ 5 ท่านคือ  

 

1. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานกรรมการ

 

2. สุจิต บุญบงการ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกรรมการ

 

3. นรนิติ เศรษฐบุตร นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกรรมการ

 

4. ธีรยุทธ วิไลวัลย์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมการ

 

5. ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดีด้านวิชาการและการเชื่อมโยงกับสังคม เป็นเลขานุการ

 

ทั้งนี้ กรรมการ 5 ท่านได้ส่งข้อมูลอันประกอบด้วย วิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง และข้อร้องเรียน 31 ข้อของ ไชยันต์ ไชยพร ให้กับ ‘ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน’ ซึ่งเป็นคนนอก ไม่ใช่กรรมการ 4 ใน 5 ท่านของกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธาน 

 

‘ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน’ เป็นผู้อ่านวิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง และอ่านข้อร้องเรียน 31 ข้อของ ไชยันต์ ไชยพร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นแก่คณะกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธาน 

 

ต่อมา เลขานุการของคณะกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธานคือ ปาริชาต สถาปิตานนท์ ได้นำเสนอรายงานการสอบข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

 

ขณะที่ เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ กรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเภทคณาจารย์ประจำ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ขอให้มีการสอบสวนอย่างรอบคอบ หลังจากได้ไปดูเอกสารสอบสวนข้อเท็จจริงด้วยตัวเองที่ศูนย์กฎหมาย จุฬาฯ ตึกจามจุรี 5 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565

 

โดยเขมรัฐระบุเนื้อหาในจดหมาย 4 ข้อ ซึ่งประเด็นสำคัญอย่างยิ่งคือข้อ 3 และ 4 

 

เขมรัฐระบุในข้อ 3 และ 4 ถึงการรายงานของ ปาริชาต สถาปิตานนท์ ที่นำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยว่า ไม่ได้เปิดโอกาสให้ณัฐพลโต้แย้งหรือแก้ข้อกล่าวหา และมีการนำเอาข้อมูลปลอม (Fake News/Misinformation) มานำเสนอในการประชุมสภามหาวิทยาลัย กล่าวหาณัฐพล ทำให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้รับข้อมูลที่ไม่จริงมาประกอบการตัดสินใจ 

 

ข้อ 3 ในกรณีการอ้างอิงหนังสือพิมพ์ ‘เอกราช’ ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 ที่มีการกล่าวหาว่าณัฐพลอ้างเอกสารอ้างอิงเท็จในรายงานสอบสวนข้อเท็จจริงที่ส่งให้สภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ผมได้ทราบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ว่า ‘คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหานี้ต่อณัฐพล และไม่มีการเรียกหลักฐานเอกสารหนังสือพิมพ์เอกราชดังกล่าวจากณัฐพล’ การกระทำดังกล่าวของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นการ ละเมิด (Violate) สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการอธิบาย โต้แย้งหรือแก้ข้อกล่าวหา และทราบว่ากรรมการทุกท่านทราบว่าไม่ได้ทำตามขั้นตอนการสอบสวนที่ถูกต้อง แต่ก็ยังดำเนินการต่อ (ดูจากรายงานการประชุมคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ที่มีมติให้ดำเนินการหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์เอกราช) โดยข้อนี้ ผมถือว่าร้ายแรงมาก เป็นการละเมิดกระบวนการพิจารณาอย่างเป็นธรรม (Violate Due Process) ของณัฐพลอย่างชัดเจน ควรจะมีการสอบสวนอย่างเร่งด่วนว่าทำไมถึงเกิดขึ้น เพราะอาจจะมีผลทำให้กระบวนการหาข้อเท็จจริงที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นโมฆะ และต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ทั้งหมด หากต้องพิจารณาเรื่องนี้ในศาล

 

ข้อ 4 และเป็นที่แน่นอนว่าหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 มีอยู่จริงนั้น หมายความว่าการนำเสนอของเลขานุการสอบข้อเท็จจริงในการประชุมสภามหาวิทยาลัยครั้งที่ผ่านมา มีการนำเอาข้อมูลปลอม (Fake News/Misinformation) มานำเสนอในการประชุมในการกล่าวหานายณัฐพลอย่างผิดๆ ทำให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้รับข้อมูลที่ไม่จริงมาประกอบการตัดสินใจ การนำ Fake News/Misinformation ประกอบการนำเสนอในการประชุมสภามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเรื่องใดๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นและไม่ควรบันทึกในรายงานการประชุม หรือถ้าจะบันทึกก็ควรมีหมายเหตุว่าเป็น Fake News/Misinformation เขมรัฐระบุในจดหมายเปิดผนึก 

 

(รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด)

 

จดหมายเปิดผนึกของ ‘เขมรัฐ’ นำมาสู่การยื่นจดหมายด้วยตนเองของ ‘กุลลดา’ ต่อสภามหาวิทยาลัย 

 

25 สิงหาคม กุลลดายื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อถึงสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเลขานุการสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือ ข้อเรียกร้องประกอบด้วย

 

1. ให้สภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการสอบสวนซึ่งมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน และมี ปาริชาต สถาปิตานนท์ เลขานุการ เป็นผู้นำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย 

 

2. ให้สภาจุฬาฯ ตรวจสอบความถูกต้องของการสอบสวนและการรายงานผลที่ปาริชาตนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย หากเป็นการรายงานเท็จ ไม่ตรงกับผลการสอบสวนดังที่เขมรัฐได้เปิดเผยแล้ว สภามหาวิทยาลัยจะต้องดำเนินการสอบสวนต่อผู้เกี่ยวข้องต่อไป

 

3. ให้สภาจุฬาฯ ให้เกียรติและยึดมั่นต่อผลการพิจารณาของคณะกรรมการชุดที่มี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน และได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อปี 2561 เพราะข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ตามมาภายหลังล้วนมีสาระสำคัญไม่ต่างไปจากข้อเรียกร้องที่คณะกรรมการชุดแรกได้พิจารณาครบถ้วนแล้ว

 

กุลลดากล่าวกับปมทองในขณะยื่นจดหมายเปิดผนึกว่า ขอให้สภาจุฬาฯ พิจารณาเรื่องนี้ เพราะจะมีผลกระทบต่อคดีที่กุลลดากำลังถูกฟ้องร้องในศาล

 

กุลลดาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า เราต้องมาทักท้วงเพราะจะมีผลเสียต่อคดีที่ถูกฟ้องร้องอยู่ 

 

นักวิชาการผู้นี้กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันอายุ 76 ปี มีโรคประจำตัว และยังอยากทำงานวิชาการต่อถ้าสุขภาพเอื้ออำนวย ส่วนตัวมองการเมืองไทยมานาน และอาจจะมองไม่เหมือนใคร การทำงานวิชาการใช้ข้อมูลจากเอกสารชั้นต้นในต่างประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างจากเอกสารในไทย และการได้อ่านเอกสารในต่างประเทศทำให้มองภาพแล้วเห็นอะไรได้ชัดเจนมากขึ้น 

 

(ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง)

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ย้อนกลับไปเมื่อปีการศึกษา 2552 ณัฐพล ใจจริง เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ โดย กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ 

 

วิทยานิพนธ์ได้รับการประเมินโดยกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 ท่านลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาฯ มี ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก สำหรับกรรมการอีก 4 ท่านคือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, วีระ สมบูรณ์ และ กุลลดา ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา

 

– ต่อมาในปี 2561 จุฬาฯ ตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวนโดยมี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน หลังได้รับการร้องเรียนจาก ไชยันต์ ไชยพร 

 

– 14 กุมภาพันธ์ 2562 คณะกรรมการบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีมติให้ระงับการเผยแพร่วิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง

 

– ปี 2563 สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ตีพิมพ์ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500’ ของ ณัฐพล ใจจริง

 

– ในปี 2564 จุฬาฯ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้ง โดยมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน หลังมีการร้องเรียนอีกครั้งจาก ไชยันต์ ไชยพร ตามมาด้วยการร้องเรียนของ นันทิวัฒน์ สามารถ ศิษย์เก่าจุฬาฯ 

 

– ขณะที่ในปีเดียวกันคือปี 2564 ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท จาก 6 จำเลย โดยจำเลยที่ 1 คือ ณัฐพล ใจจริง และจำเลยที่ 2 คือ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด 

 

THE STANDARD ได้รับการเปิดเผยจาก วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกุลลดาว่า คำฟ้องของ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ฝ่ายโจทก์ระบุว่า ได้ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 จาก ไชยันต์ ไชยพร ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น ไชยันต์และบวรศักดิ์ยังเป็นพยานฝ่ายโจทก์ด้วย

 

(วิญญัติ ชาติมนตรี)

 

ทนายจำเลยตั้งข้อสังเกต ‘บวรศักดิ์’ เป็นพยานฝ่ายโจทก์ จะมีการตั้งธงการสอบสวนไว้หรือไม่

 

ล่าสุด (5 กันยายน) วิญญัติให้สัมภาษณ์ THE STANDARD กรณีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน เมื่อต้นปี 2564

 

ต่อมาเดือนมีนาคม 2564 ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาทต่อ 6 จำเลย โดยมีบวรศักดิ์เป็นพยานฝ่ายโจทก์ 

 

วิญญัติตั้งข้อสังเกตโดยกล่าวว่า การที่โจทก์ในคดีดังกล่าวอ้างบวรศักดิ์เป็นพยาน ทั้งๆ ที่ผลการสอบสวนยังเพิ่งเริ่มต้นและยังไม่มีข้อสรุป ทำให้มีข้อกังวลและข้อสงสัยว่าคณะกรรมการที่จุฬาฯ ตั้งขึ้นคนหนึ่งคือ บวรศักดิ์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเป็นพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งการสอบสวนโดยพยานฝ่ายโจทก์ หากจะมีการตั้งธงในลักษณะให้คุณให้โทษกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่

 

และระหว่างที่มีชื่อเป็นพยานฝ่ายโจทก์นั้น อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ และความน่าเชื่อมั่นต่อจุฬาฯ ด้วยหรือไม่

 

“ยิ่งถ้าผลการสอบสวนออกมาแล้ว หากเป็นผลร้ายต่อผู้ถูกสอบสวนอาจจะทำให้ฝ่ายจำเลยไม่ได้รับความยุติธรรม กระทบต่อน้ำหนักความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการชุดนี้และจุฬาฯ มากๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตจำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบสถานะความเป็นกลางของคณะกรรมการชุดนี้ในทุกๆ ด้านต่อไป” วิญญัติกล่าว  

 

ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นกลางในมุมของจุฬาฯ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 บีบีซีไทย เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของ เอกก์ ภทรธนกุล ผู้ช่วยอธิการบดีด้านสื่อสารองค์กร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า อธิการบดีได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยมี ‘ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นกลาง’ เข้าร่วม ให้พิจารณาและนำเสนอต่อมหาวิทยาลัยโดยเร็ว พร้อมยืนยันว่าจุฬาฯ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่กรณีเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อมีผู้ส่งเอกสารร้องเรียนเข้ามาหลายทาง จึงต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสภามหาวิทยาลัย ก่อนที่สภามหาวิทยาลัยจะมีมติให้ฝ่ายบริหารไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในที่สุด

 

…เป็น ‘คำสั่งลับ’ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยต้องการให้คณะกรรมการทำหน้าที่ได้อย่างอิสระและปราศจากแรงกดดันใดๆ แต่เมื่อกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว ทางจุฬาฯ พร้อมจะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ

 

“กรอบถูกเปิดกว้าง เพื่อให้คณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริงมาประกอบการตัดสินใจดำเนินการของทางมหาวิทยาลัยต่อไป เพราะทุกวันนี้แต่ละคนพูดไม่เหมือนกันเลย บางทีก็มีประเด็นที่จับนั่นจับนี่มาผสมโรง จับการเมืองมาผสมโรง ประเด็นสำคัญอยู่ที่วิชาการบริสุทธิ์ ทุกสิ่งที่ทำเป็นประเด็นที่เราต้องการทำให้เกิดความถูกต้อง บริสุทธิ์ และเป็นธรรมทางวิชาการ” ผู้ช่วยอธิการบดีจุฬาฯ ระบุกับบีบีซีไทย

 

อ้างอิง: 

The post ไขปมจุฬาฯ ตั้ง ‘บวรศักดิ์’ นั่งประธานสอบ ‘ณัฐพล-กุลลดา’ ปมปัญหาวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘กุลลดา’ ร้องสภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการชุด ‘บวรศักดิ์’ ปมวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ https://thestandard.co/kullada-kesboonchoo-nattapon-thesis/ Thu, 25 Aug 2022 09:47:29 +0000 https://thestandard.co/?p=671962

วันนี้ (25 สิงหาคม) กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์คณะ […]

The post ‘กุลลดา’ ร้องสภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการชุด ‘บวรศักดิ์’ ปมวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (25 สิงหาคม) กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อถึงนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณี ไชยันต์ ไชยพร ร้องเรียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

  1. ให้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการร้องเรียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง ซึ่งมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.​ 2558 และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานกรรมการ

 

ซึ่งรายงานดังกล่าว ปาริชาต สถาปิตานนท์ กรรมการและเลขานุการ ได้นำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย 

 

กุลลดาเห็นว่า ส่อว่าอาจเป็นรายงานเท็จ ดังที่ เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ กรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นความผิดปกติในกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง และการรายงานผลอาจจะแย้งกับผลการสอบสวนจริง

 

  1. ให้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตรวจสอบความถูกต้องของการสอบสวนและการรายงานผลดังกล่าว ที่ปาริชาตนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย

 

ทั้งนี้ หากเป็นการรายงานเท็จ ไม่ตรงกับผลการสอบสวนดังที่เขมรัฐได้เปิดเผยแล้ว สภามหาวิทยาลัยจะต้องดำเนินการสอบสวนต่อผู้เกี่ยวข้องต่อไป

 

  1. ให้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เกียรติและยึดมั่นต่อผลการพิจารณาของคณะกรรมการชุดที่มี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน และได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อ พ.ศ. 2561 เพราะข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ตามมาภายหลังล้วนมีสาระสำคัญไม่ต่างไปจากข้อเรียกร้องที่คณะกรรมการชุดแรกได้พิจารณาครบถ้วนแล้ว

 

กุลลดาระบุว่า ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธาน พิจารณาพบว่ามีข้อผิดพลาด 1 จุด จาก 31 จุด จากการร้องเรียนในประเด็นต่างๆ ของ ไชยันต์ ไชยพร และไชยวัฒน์ได้สรุปผลว่า 

 

“ข้าพเจ้าใคร่จะชี้ให้เห็นว่า เมื่อกรรมการฯ ได้เรียกนายณัฐพลมารับทราบข้อร้องเรียนของ ศ.ดร.ไชยันต์ นายณัฐพลได้รีบตรวจสอบและยอมรับความผิดพลาดในหน้า 105 โดยไม่ได้โต้แย้งและพยายามหาทางแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นความผิดพลาดโดยบริสุทธิ์ใจมากกว่าจะเป็นความตั้งใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

 

“อนึ่ง ประเด็นว่าด้วยการพยายามแข่งขันและช่วงชิงอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับคณะราษฎร และการพยายามฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มิใช่ข้อถกเถียงหลักของวิทยาพลของนายณัฐพล และมิใช่ประเด็นใหม่ในวงการวิชาการไทยศึกษาแต่ประการใด”

 

ทั้งนี้ กุลลดาระบุด้วยว่า ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างถึงที่สุด

 

สำหรับการมายื่นหนังสือในวันนี้มี ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเลขานุการสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือ 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กุลลดาเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท จาก 6 จำเลย โดยจำเลยที่ 1 คือ ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ ซึ่งกุลลดาเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ โดยวิทยานิพนธ์ในคดีที่ถูกฟ้องนี้ กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 ท่านได้ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2552 

 

กรรมการ 5 คน ประกอบด้วย

 

  1. ไชยวัฒน์ ค้ำชู ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
  2. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
  3. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
  4. วีระ สมบูรณ์
  5. กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์ที่ปรึกษา

 

โดย ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก (Excellent)

 

เมื่อ พ.ศ. 2561 หลังจาก ไชยันต์ ไชยพร ได้ร้องเรียนจนนำมาสู่การตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวน โดยมี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธานแล้ว

 

ไชยันต์ ไชยพร ได้ร้องเรียนอีกครั้ง กระทั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการร้องเรียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง เมื่อ พ.ศ. 2564 ประกอบด้วยกรรมการ 5 คนคือ  

 

  • บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานกรรมการ

 

  • สุจิต บุญบงการ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกรรมการ

 

  • นรนิติ เศรษฐบุตร นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกรรมการ

 

  • ธีรยุทธ วิไลวัลย์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมการ

 

  • ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดีด้านวิชาการและการเชื่อมโยงกับสังคม เป็นเลขานุการ

The post ‘กุลลดา’ ร้องสภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการชุด ‘บวรศักดิ์’ ปมวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพล ผู้เขียน ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี’ ฟ้องหมิ่นประมาทไชยันต์ กล่าวหาใช้ข้อมูลเท็จ เรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท https://thestandard.co/nattapon-jaijing-defamation-lawsuit-chaiyan-chaiyaporn/ Fri, 15 Jul 2022 09:23:47 +0000 https://thestandard.co/?p=654337 ณัฐพล ใจจริง

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประ […]

The post ณัฐพล ผู้เขียน ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี’ ฟ้องหมิ่นประมาทไชยันต์ กล่าวหาใช้ข้อมูลเท็จ เรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพล ใจจริง

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้ทำการฟ้อง ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุว่า ไชยันต์มีพฤติกรรมใส่ร้ายตนเอง ต่างกรรมต่างวาระหลายครั้ง โดยการโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กของตนเองในชื่อ ‘Chaiyan Chaiyaporn’ ซึ่งเป็นการโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จต่อบุคคลที่สาม อันเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

 

ขณะที่มูลเหตุของการฟ้องครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ไชยันต์โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กของตนเอง กล่าวหาว่าณัฐพลใช้ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ เอกราชนิวส์ ที่ไม่มีอยู่จริงมาอ้างอิงเป็นส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ และพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อสร้างกระแสความรู้สึกให้ผู้อ่านเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เป็นความจริง

    

โดยความจริงแล้วข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ เอกราชนิวส์ เป็นข้อมูลที่มีอยู่จริง และสามารถเข้าถึงได้ ณ หอสมุดแห่งชาติ ดังนั้น วิทยานิพนธ์ของณัฐพลจึงใช้ข้อมูลที่มีอยู่จริง สามารถตรวจสอบได้ตามหลักวิชาการ

 

สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ยังได้เผยแพร่คำฟ้องพร้อมสรุปเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า แม้ไชยันต์จะเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่การกระทำของ ไชยันต์ ไชยพร ไม่ใช่การทำงานวิชาการ แต่เป็นการใส่ความโจทก์ คือ ณัฐพล ใจจริง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่น ได้รับความเสียหายทั้งในด้านชื่อเสียง เกียรติยศ ความน่าเชื่อถือทางวิชาการ และฐานะทางสังคม ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้บุคคลที่ได้เห็นหรืออ่านข้อความนั้นเกิดความรู้สึกเกลียดชังต่อโจทก์ และทำให้โจทก์เสื่อมเสียความน่าเชื่อถือ และเสื่อมความนิยมศรัทธาในหมู่นิสิตนักศึกษา และกลุ่มผู้อ่านที่ติดตามงานเขียนของโจทก์ ซึ่งกระทบต่ออาชีพการงานและทางทำมาหาได้ ยังไม่รวมถึงการที่โจทก์ต้องเสียเวลาอย่างมากในการติดตามการแสดงความเห็นอันเป็นเท็จของไชยันต์ ที่พาดพิงผลงานของโจทก์มาเป็นแรมปี

 

ดังนั้น นอกจากการฟ้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 325, 326 แล้ว ณัฐพล ใจจริง จึงขอใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง เป็นเงิน 1,000,000 บาท

 

สำหรับณัฐพล เป็นผู้เขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ที่ได้การประเมินระดับ ‘ดีมาก’ จากบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) และเป็นผู้เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี: การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500 ตีพิมพ์ในนามสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ในปี 2556 และ 2563 ตามลำดับ รวมทั้งหนังสือที่ว่าด้วยการเมืองไทยเล่มอื่นๆ อีกจำนวนมาก เช่น กบฏบวรเดช: เบื้องแรกปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม 2475 (2559) และ ตามรอยอาทิตย์อุทัย: แผนสร้างชาติไทยสมัยคณะราษฎร (2563) ที่ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มติชน

 

อ้างอิง:

The post ณัฐพล ผู้เขียน ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี’ ฟ้องหมิ่นประมาทไชยันต์ กล่าวหาใช้ข้อมูลเท็จ เรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘สงครามเย็นจบแล้ว ความรู้แบบเก่าหมดความขลัง’ สัมภาษณ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ 90 ปี 24 มิถุนา 2475 https://thestandard.co/nattapoll-chaiching-politics-interview/ Thu, 23 Jun 2022 12:00:00 +0000 https://thestandard.co/?p=645556 ณัฐพล ใจจริง

เรื่องราวในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุ […]

The post ‘สงครามเย็นจบแล้ว ความรู้แบบเก่าหมดความขลัง’ สัมภาษณ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ 90 ปี 24 มิถุนา 2475 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพล ใจจริง

เรื่องราวในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนา 2475 กลับมาสู่การรับรู้ของสังคมในวงกว้างอีกครั้ง เมื่อเกิดปรากฏการณ์ ‘ทะลุฟ้า-ทะลุเพดาน’ ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และเกิดกลุ่มแนวร่วมของนิสิต-นักศึกษา-ประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวในชื่อ ‘คณะราษฎร 2563’ เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องหลังเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 ซึ่งประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีตามกติการัฐธรรมนูญ 2560 โดยเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวกับที่มาหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ประกอบกับมีคดียุบพรรคการเมืองใหม่อย่าง ‘อนาคตใหม่’ ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวชุมนุมเมื่อปี 2563 นำโดยเยาวชนคนรุ่นใหม่ ผู้แสดงความไม่พอใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

 

THE STANDARD สัมภาษณ์ ‘ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง’ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ผู้เขียนหนังสือ ตามรอยอาทิตย์อุทัย แผนสร้างชาติไทยสมัยคณะราษฎร ในวาระ 123 ปี ชาตกาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม สำนักพิมพ์มติชน, ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ​, ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ซึ่งผลงานเขียนของนักวิชาการผู้นี้จัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของหนังสือที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ในทศวรรษนี้นิยมอ่าน 

 

ณัฐพล ใจจริง

 

สมัยที่อาจารย์ณัฐพลเป็นนักเรียน ตอนนั้นได้เรียนประวัติศาสตร์ที่เน้นเหตุการณ์ยุคไหน และประวัติศาสตร์ 24 มิถุนา 2475 ได้รับรู้เมื่อไร 

ผมเป็นคนเจเนอเรชันเอ็กซ์ เกิดในยุคสงครามเย็น เติบโตและเรียนรู้ในยุคสงครามเย็นตอนปลาย ก็อย่างที่ทราบกันเป็นยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์ เดินตามอเมริกา อะไรที่เป็นภัยต่อความมั่นคง โดยเฉพาะคติเรื่องเกี่ยวกับชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงไป 

 

ดังนั้นบทบาทของรัฐก็คือการหล่อหลอมให้เด็กๆ ในยุคนั้นเติบโตขึ้นมาภายใต้บล็อกหรือแบบที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตร บรรยากาศทางสังคม ทีวีที่มีน้อยช่อง วิทยุกระจายเสียงที่มีอยู่แบบเดียว พูดอยู่ไม่กี่เรื่อง ข่าวก็เป็นอย่างที่รัฐกำหนด ไม่มีใครแหกกรอบอะไร 

 

การศึกษาในช่วงนั้นก็คือการใส่โปรแกรมเข้าไปในหัวของเด็ก ภาษาปัจจุบันก็คือการใส่ซอฟต์แวร์เข้าไปในหัวของเด็ก ดังนั้นวิชาสังคม ภาษาไทย ก็จะพูดเรื่องความเป็นไทยคืออะไร ประวัติศาสตร์ก็จะพูดแต่ ‘ประวัติศาสตร์มหาบุรุษ’ มหาบุรุษเป็นผู้รักษาเอกราชของชาติ ประชาชนไทยควรจะต้องตระหนักและสำนึกถึงผู้พาประเทศชาติให้อยู่รอดอยู่เสมอ จะประมาณอย่างนี้ เน้นมหาบุรุษ มหาราชต่างๆ ในประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นนักรบ เป็นนักกู้ชาติ เป็นนักรักษาเอกราช ตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงสร้างภาษาไทย, หลักศิลาจารึกหลักแรก, พระนเรศวรเป็นนักการทหารที่เข้มแข็ง, พระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นผู้ตั้งกรุงเทพฯ, รัชกาลที่ 5 เป็นผู้รักษาให้ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัย และพระราชกรณียกิจต่างๆ เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ในอดีตจะถูกใส่เข้ามาในหลักสูตรมากมาย 

 

แต่เรียนสมัยนั้นก็ไม่ได้สงสัยอะไร ไม่มีบรรยากาศที่ก่อให้เกิดการคิด ก็คือเชื่อและสอบให้จบกันไป ไม่ได้รู้สึกว่าความรู้นั้นมีปัญหา 

 

ส่วน 24 มิถุนา 2475 ก็เรียนตอนมัธยมปลาย ม.5-6 เรียนอยู่นิดเดียว และมาเรียนเยอะๆ สมัยเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เข้ามหาวิทยาลัยปี 2532 เรียนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็จะเรียนประวัติศาสตร์การเมืองไทยค่อนข้างเยอะ จะพูดถึง 2475 เยอะ ได้อ่านเยอะตอนเข้าสู่มหาวิทยาลัย เหมือนอีกโลกหนึ่งเลย ความรู้ทั้งหมดที่เราเรียนมาแทบใช้ไม่ได้ แล้วหลักสูตรกระทรวงศึกษาสอนในสิ่งที่ไม่เหมือนในมหาวิทยาลัย เป็นคนละเวอร์ชัน เพราะไม่มีคำถาม มีแต่ความเชื่อ แต่ในมหาวิทยาลัยจะมีแต่คำถาม อ่านหนังสือหลากหลาย ทั้งแนวกระแสหลัก กระแสรอง ขณะที่สมัยเด็กๆ อ่านอยู่แบบเดียว เป็นหลักสูตรแห่งชาติแบบนั้น    

 

ณัฐพล ใจจริง

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายทศวรรษ เหตุการณ์ 24 มิถุนา 2475 จะถูกพูดถึงเฉพาะในรั้วมหาวิทยาลัย กระทั่งปี 2563 ถูกพูดถึงในวงกว้าง มีปรากฏการณ์ทะลุฟ้า-ทะลุเพดาน โดยมีหนังสือของอาจารย์อยู่ในลำดับต้นๆ ที่เยาวชนคนรุ่นใหม่นิยมอ่าน อาจารย์มองปรากฏการณ์นี้อย่างไร 

ผมว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กยุคปัจจุบันได้อ่านหนังสือที่หลากหลาย เพราะว่าสงครามเย็นมันจบแล้ว โลกเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นเขามีทางเลือกมากขึ้น พวกเขาโชคดีที่เกิดมาในยุคสงครามเย็นจบ โลกเปิดกว้างมากขึ้น โลกเข้าสู่ยุคสมัยใหม่มากขึ้น เทคโนโลยี บรรยากาศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เพียงแต่ว่ามีปัญหานิดหน่อยคือ ในช่วงหลังรัฐประหารจะค่อนข้างแย่ แต่โดยรวมแล้วดีกว่าผมที่เกิดในยุคสงครามเย็น ซึ่งสมัยนั้นผมแทบไม่ตั้งคำถามอะไรเลย ขณะที่เด็กยุคใหม่จะตั้งคำถามมากขึ้น 

 

เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้กะลาเปิดคือ สงครามเย็นจบ โลกเปลี่ยนแปลงไป โลกไม่ได้แบ่งค่ายแบบเดิมอีก ดังนั้นกะลาที่ครอบคนรุ่นใหม่ก็ถูกเปิดออก การเดินทางมีราคาถูกลง เด็กๆ ไปเที่ยวเมืองนอกมากขึ้น ได้ดูโลกมากขึ้น เขาก็เห็นความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นความรู้แบบเดิมๆ ที่เคยครอบพวกเขาไว้ มันถูกตั้งคำถาม ความรู้แบบเก่าเสื่อมลง หมดความขลัง ไม่ขลังแล้ว ไม่ได้เป็นความรู้ที่สามารถครอบจักรวาลได้อีกแล้ว เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไป โลกสมัยใหม่เป็นเรื่องวิทยาการ การศึกษา เสรีภาพ ประชาธิปไตย โลกสมัยใหม่เกิดขึ้น

 

ผมเกิดในยุคสงครามเย็น เติบโตและเรียนรู้ในยุคสงครามเย็นตอนปลาย มาเข้ามหาวิทยาลัยในยุคประชาธิปไตย กะลาถูกแง้มออกในบรรยากาศแบบมหาวิทยาลัย ความสงสัยจึงเริ่มต้นขึ้นในสมัยปริญญาตรี ตั้งคำถามและสงสัย แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะว่าเพิ่งหลุดพ้นออกจากยุคสงครามเย็น กำแพงเบอร์ลินเพิ่งทลายลง ผมได้เห็นเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โลกก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป บรรยากาศแบ่งค่ายโลกคอมมิวนิสต์-โลกเสรีก็เริ่มหมดไป การพูดถึงโลกคอมมิวนิสต์ในชั้นเรียนก็ไม่ได้เป็นอันตรายอีกแล้ว ไม่ได้น่ากลัวแล้วก็ไม่ได้น่าสนใจอีกแล้ว บรรยากาศมีเสรีภาพมากขึ้น 

 

ณัฐพล ใจจริง

 

จุดเริ่มต้นศึกษา 2475

ผมเริ่มคิดและค้นคว้า 2475 อย่างจริงจังช่วงเรียนปริญญาโท ส่วนตอนปริญญาตรีไม่ได้สงสัยมาก คือเรียนให้จบ มาคิดมากช่วงปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงประชาธิปไตยของไทย เรามีบรรยากาศประชาธิปไตยมากขึ้น เรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ให้สิทธิเสรีภาพในทางวิชาการ 

 

พอเรียนจบเริ่มมีเงินก็เริ่มซื้อหนังสือเก่า เริ่มสะสม จากนวนิยายวรรณกรรมก่อน แล้วก็เริ่มมาเก็บการเมือง พอมาเรียนปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์ ก็มาเก็บตำราเก่าๆ ด้านการเมือง เริ่มอ่าน 2475 สนใจเพราะเป็นจุดเริ่มต้นประชาธิปไตย จึงสนใจมากขึ้น

 

เมื่อศึกษา 2475 ก็พบว่ามีคำอธิบายอยู่ 2 แบบตามความเข้าใจของผม ณ ตอนนั้น ก็คือ 1. อธิบายแบบอนุรักษนิยม คือมองว่าคณะราษฎรเป็นพวกเนรคุณ เป็นข้าราชการที่เนรคุณ เพราะกินข้าวแดงแกงร้อนแล้ว ทำไมมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำไมทำแบบนั้น จากทัศนะอนุรักษนิยมก็จะมองว่าการกระทำที่เปลี่ยนแปลงผู้มีพระคุณเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม สำหรับพวกเขามองว่าเงินเดือนที่สมาชิกคณะราษฎรได้รับเป็นเงินที่มาจากผู้มีพระคุณ 

 

ส่วนอีกมุมหนึ่งที่อ่านเจอเป็นมุมมองแบบมาร์กซิสต์ ก็จะบอกว่าคณะราษฎรมาจากชนชั้นกลาง เปลี่ยนแปลงไปก็เป็นการปฏิวัติของกระฎุมพี มองว่าเปลี่ยนแปลงไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ต้องการเลื่อนขั้นเป็นนายพลเสนาบดี เป็นพวกกระฎุมพี (คนชั้นกลาง ชนชั้นพ่อค้า) ไม่เคยสนใจคนข้างล่าง ซึ่งผมมองว่ามันก็ไม่จริงทั้งหมด 

 

ผมก็เพียงแต่หาวิธีการศึกษาแบบอื่น ดังนั้นผมเริ่มตั้งคำถามว่า เราจะศึกษา 2475 ในแง่มุมอื่นบ้างได้ไหม 

 

การเรียนรัฐศาสตร์สมัยผม เวลาพูดถึงปัญหาการพัฒนาการเมืองก็มักจะพูดเพียงเรื่องบทบาทกองทัพ ความขัดแย้งในสังคมไทย ความขัดแย้งในการเมืองไทยก็มีแต่กองทัพกับพลเรือน มีอยู่แค่นี้ ผมก็เลยคิดว่ามีตัวแปรอื่นไหม มีสมการอื่นไหมในการเมืองไทย ที่ไม่ใช่เพียง 2 ตัวนี้ 

 

ช่วงนั้นบรรยากาศเปิด มีงานวิชาการจากโลกตะวันตก คนไทยเริ่มตั้งคำถามมากขึ้น ทำให้คิดไปถึงตัวแสดงอื่นที่ไม่มีอยู่ในสมการการเมืองไทยที่ดำรงอยู่อย่างยาวนาน เริ่มคิดและได้เห็นเหตุการณ์ 2535 ความวุ่นวาย และการยุติลง 

 

ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ผมคิดได้เพราะบริบทเอื้อ คือ สงครามเย็นจบ แล้วเกิดกระแสวิชาการใหม่ๆ มีการตั้งคำถามให้คิดมากขึ้น หลักฐานใหม่ๆ ถูกเปิดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 2540 มีการตีพิมพ์งานสำคัญหลายชิ้น เช่น งานของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล เรื่อง สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น, งานของท่านชิ้น 100 ปี ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน (ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน) ท่านบันทึกเพราะท่านเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในช่วงต้นระบอบใหม่ ท่านเป็นราชองครักษ์ของรัชกาลที่ 7 ท่านก็จดบันทึกไว้อย่างซื่อตรง บันทึกเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจว่ากลุ่มคนชั้นสูงคิดและทำอะไร 

 

ก่อนหน้านั้นอาจจะมีข้อจำกัดแห่งยุคที่ทำให้เราไม่ได้บวกสมการตรงนี้เข้ามา เรามองไม่เห็นในยุคนั้น เรามองแต่กองทัพ เมื่อเอกสารใหม่จากชนชั้นนำออกมา เราก็จะเห็นมากขึ้นว่าท่านทั้งหลายเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน ทำให้เราเข้าใจสมการที่หายไปมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นก็นำไปสู่การเขียนบทความหลายๆ ชิ้น เป็นการนำเสนอความรู้แบบใหม่ที่เกิดขึ้นต่อสังคม 

 

ณัฐพล ใจจริง

 

ในช่วงปลายรัชสมัยที่แล้ว ประชาชนผู้ที่สนใจการเมืองไทยหรือนักวิชาการเองมักจะย้อนไปพูดถึงเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงยุคเดือนตุลา 2516-2519 แต่ทำไมอาจารย์จึงเลือกให้ความสำคัญกับการศึกษายุค 2475 และจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยศึกษามาก่อนที่จะมีกระแสวงกว้างในปี 2563 

สนใจ 2475 เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตย ประกอบกับการเรียนรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งถ้าเรียนภาษาไทยอาจจะต้องย้อนกลับไปสุโขทัย เมื่อเรียนรัฐศาสตร์ก็ต้องเริ่มต้นที่ประชาธิปไตย 2475 

 

อีกอย่างหนึ่ง ความสำเร็จ 14 ตุลา 2516 สำหรับผมเป็นเพียงยอดน้ำแข็งของบารมีของสถาบันฯ ที่ทำให้เหตุการณ์นั้นยุติลงได้ แต่ยอดน้ำแข็งนั้นก็จะมีอดีตและเรื่องราวเช่นเดียวกัน จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับ 2516  

 

ดังนั้นผมก็เลยถอยไปดูในอดีตว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อเกิดการปฏิวัติ 2475 เกิดระบอบใหม่ ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจจำกัดแบบนี้แล้ว เหตุใดบารมีทางการเมืองจึงเกิดขึ้นอย่างมากในปี 2516 จึงกลับไปย้อนอดีตจุดเริ่มต้นประชาธิปไตย และพัฒนาการขึ้น-ลงอย่างไรในตลอดช่วงตั้งแต่ 2475-2516 สำหรับผม ปี 2516 คือผลลัพธ์ของการสะสมหลังปี 2490 หรือหลังปี 2500 มากกว่าหลัง 2475 

 

ณัฐพล ใจจริง

 

ผ่านมายี่สิบกว่าปี สิ่งที่อาจารย์ศึกษาได้รับการพูดถึงในวงกว้าง อาจารย์มองอย่างไร

ผมว่าคนรุ่นใหม่ได้เปรียบที่เขามีตัวเร่งมากกว่าผม เขาคงได้เห็นเหตุการณ์สำคัญ เช่น เหตุการณ์รัฐประหาร 2549 เหตุการณ์รัฐประหาร 2557 เขาได้เห็นแล้วคงตั้งคำถามว่า เราเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้ว แล้วเกิดเหตุนี้อีกได้อย่างไรจากข่าวที่เห็น 

 

เขาคงไปอ่านงานเก่า ได้ทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นในจุดเริ่มต้น กระทั่งเกิดสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคเขา คงจะเทียบเคียงแบบนั้น เพราะผมเชื่อว่ามนุษย์เราสามารถเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันได้ ทำไมเป็นเช่นนั้น 

 

บางคนเป็นผลผลิตของช่วงเวลา บางคนมีความคิดแตกต่างออกไป ตอนศึกษา 2475 ทำเพราะอยากทำ แต่ผ่านมายี่สิบกว่าปีจนถึงวันนี้ ความเปลี่ยนแปลงก็ถือว่ามาเร็ว และหลังจากนี้อัตราเร่งอาจจะเร็วกว่านี้อีก เพราะมีเทคโนโลยี มีเครื่องมือมากกว่าเดิม  

 

ณัฐพล ใจจริง

 

90 ปี 2475 อาจารย์มองความคืบหน้าหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างไร 

ผมว่ามนุษย์เราอยู่ด้วยความหวัง แม้หลายคนจะบอกว่ารัฐธรรมนูญก็แก้ยาก อะไรก็แก้ยาก อะไรก็ทำไม่ได้ เหมือนสิ้นหวัง แต่อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นคนสร้างสังคม สร้างระบบความเชื่อ แต่สิ่งที่มนุษย์สร้างนั้นก็จะมากำหนดมนุษย์อีก มนุษย์สร้างสังคม สังคมก็ครอบงำมนุษย์ มนุษย์ที่อยู่ในช่วงนี้ก็มักจะคิดว่าตัวเองไม่สามารถต่อสู้กับสังคมหรือความเชื่อได้ แต่อย่าลืมว่ามนุษย์เราสร้างสังคม เราก็จะสร้างสังคมใหม่ได้เช่นเดียวกัน มันจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างลงตัว สามารถเห็นหรือตระหนักรู้พร้อมกัน สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้ดีขึ้นได้ สร้างสังคมใหม่ไปเรื่อยๆ ถ้าคิดว่าสังคมกำหนดอย่างเดียวก็ทำให้เราสิ้นหวัง อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นคนสร้างสังคม เราสร้างใหม่ได้

 

ณัฐพล ใจจริง

 

อาจารย์อยู่ในยุคที่ค้นคว้าจากเอกสารจนถึงยุคโซเชียลมีเดีย มองว่าโซเชียลมีเดียจะเปลี่ยนแปลงการเมืองได้มากหรือไม่ 

ผมว่าเป็นตัวเร่ง ทำให้เขาไม่อยู่ในกะลา ไม่ใช่ยุคอะนาล็อก ผมเป็นรุ่นที่ยังค้นข้อมูลจากบัตรคำบัตรข้อมูลซึ่งเป็นกระดาษกันอยู่ คนรุ่นใหม่คงไม่รู้จักแล้วอาจสงสัยว่าเอาวัตถุโบราณที่เป็นต้นไม้มีลิ้นชักเล็กๆ มากมายเข้ามาตั้งในห้องสมุดทำไม เด็กยุคใหม่ไม่ค้นแบบนั้นกันแล้ว ความรู้กำลังเปลี่ยน ไม่ได้ถูกครอบงำว่ามีแบบเดียวอีกแล้ว ความรู้มีหลายชุด ต่อสู้กันไปทั้งระบบความคิด ความเชื่อทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงของความรู้

The post ‘สงครามเย็นจบแล้ว ความรู้แบบเก่าหมดความขลัง’ สัมภาษณ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ 90 ปี 24 มิถุนา 2475 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลชี้คดีฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ อยู่ในอำนาจศาลแพ่ง ไม่ใช่ศาลปกครอง ทนายเผยเป็นสัญญาณอันตรายต่อวงวิชาการ https://thestandard.co/court-ruled-lawsuit-against-thesis-advisor-nattaphon-jaijang-is-under-jurisdiction-of-civil-court/ Tue, 08 Feb 2022 10:47:34 +0000 https://thestandard.co/?p=591839 กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

วันนี้ (8 กุมภาพันธ์) ความคืบหน้าคดี ม.ร.ว.ปรียนันทนา ร […]

The post ศาลชี้คดีฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ อยู่ในอำนาจศาลแพ่ง ไม่ใช่ศาลปกครอง ทนายเผยเป็นสัญญาณอันตรายต่อวงวิชาการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

วันนี้ (8 กุมภาพันธ์) ความคืบหน้าคดี ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อ ณัฐพล ใจจริง, กุลลดา เกษบุญชู มี้ด และสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน รวม 6 จำเลย จากกรณีตีพิมพ์หนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ของ ณัฐพล ใจจริง เนื้อหาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ปีการศึกษา 2552 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง การเมืองไทยสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) ซึ่งมีกุลลดาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และวิทยานิพนธ์ผ่านการประเมินจากกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 คน ด้วยมติเอกฉันท์ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) โดย 1 ใน 5 กรรมการ คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ขณะที่หนึ่งในพยานฝ่ายโจทก์ในคดีนี้คือ ไชยันต์ ไชยพร หัวหน้าโครงการวิจัย ‘จากมวลชนปฏิวัติสู่มวลชนประชาธิปไตยกับพระมหากษัตริย์: การศึกษาพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย’ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า

 

ล่าสุดวันนี้ ศาลแพ่งนัดฟังคำวินิจฉัยของศาลปกครอง จากกรณีจำเลยที่ 2 กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ขอให้ส่งสำนวนให้ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองหรือไม่ เนื่องจากจำเลยที่ 2 และทีมทนายเห็นว่าคดีนี้ควรจะอยู่ในอำนาจศาลปกครอง เพราะเป็นการฟ้องในขณะกุลลดาทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ มาตรา 5 วางหลักว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้

 

ดังนั้นจำเลยที่ 2 และทีมทนายจึงเห็นว่า โจทก์ต้องฟ้องหน่วยงานรัฐต่อศาลปกครอง ไม่สามารถฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐได้

 

ด้าน วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกุลลดา จำเลยที่ 2 ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่าหลังจากศาลแพ่งทำความเห็นในสำนวนคดีส่งศาลปกครองว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลใดแล้ว 

 

ผลปรากฏว่า ศาลแพ่งและศาลปกครองเห็นพ้องกันให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาในศาลแพ่ง โดยสรุปใจความว่า ฟ้องโจทก์บรรยายฟ้อง เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 (กุลลดา) ไม่ทักท้วงข้อความในวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 (ณัฐพล) เป็นการจงใจและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่ทำหน้าที่สมกับฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่อ้างอิงในวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 ตามวิสัยของผู้ที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ปล่อยปละละเลยให้มีการอนุมัติวิทยานิพนธ์ซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จ จนกระทั่งมีการนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนทั่วไป ทำให้เป็นที่เสียหายต่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และราชสกุลรังสิตนั้น

 

เป็นการกระทำอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไปของบุคคลซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ให้คำปรึกษาหลักในการทำวิทยานิพนธ์ โดยมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ หรือคำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดแต่อย่างใด มิได้เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยละเลยต่อหน้าที่

 

ศาลปกครองกลางเห็นว่า การทำหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ในการให้คำปรึกษาและคำแนะนำแก่นิสิตเกี่ยวกับเนื้อหาทางทฤษฎี แนวคิด และวิธีการศึกษาวิจัย รวมถึงการเขียนวิทยานิพนธ์ และการใช้ภาษา เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไปในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก ตามข้อ 69 ของข้อบังคับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ. 2551 เท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือดำเนินกิจการทางปกครอง อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

 

ศาลแพ่งออกนั่งพิจารณา แจ้งความเห็นของศาลปกครองให้คู่ความทราบว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม คดีนี้จึงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลนี้ต่อไป

 

ให้เลื่อนไปกำหนดวันนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยทั้ง 6 ในวันที่ 11 มีนาคม 2565 เวลา 09.30 น.

 

วิญญัติกล่าวว่า อ.กุลลดา ถูกฟ้องในคดีนี้ ทั้งที่ไม่ใช่การกระทำในทางส่วนตัว เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ผ่านขั้นตอนที่จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เช่นเดียวกับการที่มหาวิทยาลัยแต่งตั้งกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 คน ประกอบด้วย

ไชยวัฒน์ ค้ำชู ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 

นครินทร์ เมฆไตรรัตน์

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

วีระ สมบูรณ์

กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา

 

ซึ่งทั้ง 5 คน ได้ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้วิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) โดย ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ เป็นผู้เขียนเหตุผลที่กรรมการประเมินให้ Excellent  

 

วิญญัติกล่าวด้วยว่า อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ไม่ควรถูกฟ้องโดยลำพัง แต่ควรฟ้องต้นสังกัด ซึ่งจำเลยที่ 2 เคยยื่นคำร้องให้เรียกจุฬาฯ มาเป็นจำเลยร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 เรื่องร้องสอด แต่ปรากฏว่าศาลยกคำร้อง 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณอันตรายต่อวงการวิชาการ บ่งบอกว่า นิสิตนักศึกษาที่จะทำวิทยานิพนธ์จะมีความยากในการหาอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์กับนิสิตมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องโดยที่มหาวิทยาลัยต้นสังกัดไม่ต้องรับผิดชอบหากถูกฟ้องในอนาคต

The post ศาลชี้คดีฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ อยู่ในอำนาจศาลแพ่ง ไม่ใช่ศาลปกครอง ทนายเผยเป็นสัญญาณอันตรายต่อวงวิชาการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟ้องวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ สะท้อนความขัดแย้ง-แตกต่างทางความคิด ข้ามรัชสมัย https://thestandard.co/nattapoll-chaiching-reflects-conflict/ Wed, 01 Dec 2021 14:37:13 +0000 https://thestandard.co/?p=566684 ณัฐพล ใจจริง

ข้อเท็จจริงชนวนการฟ้องร้อง กรณีวิทยานิพนธ์ของ ‘ณัฐพล ใจ […]

The post ฟ้องวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ สะท้อนความขัดแย้ง-แตกต่างทางความคิด ข้ามรัชสมัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพล ใจจริง

ข้อเท็จจริงชนวนการฟ้องร้อง

กรณีวิทยานิพนธ์ของ ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องร้อง โดยณัฐพลในฐานะผู้เขียน เป็นจำเลยที่ 1 อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์คือ ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ เป็นจำเลยที่ 2 ส่วนอีก 4 จำเลยคือสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวและผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งหมดเป็น 6 จำเลย

 

ขณะที่ฝ่ายโจทก์คือ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร มอบหมายให้ทนายความยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อ 6 จำเลย ฐานความผิดละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง

 

หนึ่งในพยานฝ่ายโจทก์คือ ‘ไชยันต์ ไชยพร’ นอกจากเขาจะเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว ยังเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ‘จากมวลชนปฏิวัติสู่มวลชนประชาธิปไตย กับ พระมหากษัตริย์: การศึกษาพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย’ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า

 

 

วิทยานิพนธ์ที่ถูกฟ้องเป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2552 เรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ ณัฐพล ใจจริง เขียนก่อนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2552 จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ทั้ง 5 ท่านได้ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) โดย ‘ไชยวัฒน์ ค้ำชู’ ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก

   

สำหรับกรรมการ 5 ท่าน ประกอบด้วย

  • ไชยวัฒน์ ค้ำชู ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
  • นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
  • สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
  • วีระ สมบูรณ์
  • กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์ที่ปรึกษา

 

 

นักวิชาการประวัติศาสตร์มองเป็นความขัดแย้งทางความคิดข้ามรัชสมัย

THE STANDARD สัมภาษณ์ ‘ชาญวิทย์ เกษตรศิริ’ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงปัญหาการฟ้องร้องงานวิชาการในอดีตและคดีฟ้องร้องกรณีล่าสุด

 

ชาญวิทย์กล่าวว่า กรณีวิทยานิพนธ์ถูกฟ้องร้องในอดีตที่ผ่านมามักจะเป็นปัญหาเรื่องว่าคนนี้ขโมยงานคนโน้น คนโน้นขโมยงานคนนี้ ขโมยไอเดียบ้างหรือไม่ก็ก๊อบปี้บ้าง แต่เรื่องที่ฟ้องกันใหญ่โตมโหฬารแบบกรณี ณัฐพล ใจจริง อาจจะเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองของประเทศไทยยุคปัจจุบัน

 

“ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกทางความคิดในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 9 และสืบต่อมารัชกาลที่ 10 ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเรื่องเล็กจึงถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบารมีเดิม อำนาจเดิม รับไม่ได้กับวิธีคิด วิธีมอง วิธีตีความปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงรัชสมัยที่แล้วแบบนี้

 

“ฉะนั้นเมื่อบังเอิญมีปัญหาเชิงอรรถกรณีการใช้เอกสาร ก็เป็นโอกาสที่กลุ่มบารมีเดิม อำนาจเดิม จะทำเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา 

 

“แต่ในแง่ของผม ถ้ามองอีกด้านหนึ่งก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งอาจจะไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เกิดความคิดความอ่าน เกิดความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์การเมืองของไทยในช่วงรัชกาลที่แล้ว

 

“คือเราต้องยอมรับว่าในช่วงรัชกาลที่แล้วซึ่งเป็นรัชสมัยที่ยาวมากๆ มีปรากฏการณ์อะไรหลายอย่าง ถ้าใช้คำของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ก็คือปรากฏการณ์ที่เห็นอย่างชัดเจนในเรื่องการตอกย้ำสิ่งที่เรียกว่าราชาชาตินิยม ถ้าเรากลับไปดูเราก็จะเห็นชัดเจนขึ้น ความขัดแย้งที่มาถกเถียงกันต้องขึ้นศาลเป็นคดีความแบบนี้ ทำให้เกิดภาพที่ชัดเจน

 

“หรือถ้าจะยืมคำของอาจารย์เกษียร เตชะพีระ ใช้คำสั้นๆ มากๆ ‘The Bhumibol Consensus’ (ฉันทามติภูมิพล) ซึ่งผมแปลเป็นภาษาไทยว่า ฉันทามติในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามองข้ามไป”

 

 

ความขัดแย้งในสายธารเดียวกันในรอบทศวรรษ

 

ชาญวิทย์กล่าวถึงความขัดแย้งในรอบสิบกว่าปีมานี้เป็นความต่อเนื่องนับแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ถึงปัจจุบันว่า เป็นความขัดแย้งที่อยู่ในกระแสเดียวกัน จุดเปลี่ยนสำคัญคือวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540, การขึ้นมามีอำนาจของทักษิณปี 2544, การรัฐประหารทักษิณปี 2549, การรัฐประหาร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2557 กระทั่งความขัดแย้งในปัจจุบันปี 2564 ซึ่งกระบวนการตุลาการตีความข้อเรียกร้องปฏิรูปเป็นการล้มล้าง

 

“เริ่มจากยุคต้มยำกุ้ง วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งเปิดโอกาสให้คนแบบ ทักษิณ ชินวัตร วิธีคิดวิธีเล่นการเมืองแบบทักษิณขึ้นมาเป็นกระแสใหญ่ ทำให้กลุ่มบารมีเดิม กลุ่มอำนาจเดิมรับไม่ได้ ช่วงนั้นเกิดปรากฏการณ์ ‘เสื้อเหลือง’ ผมคิดว่าช่วงปลายรัชสมัยที่แล้วจะเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

 

“ความขัดแย้งมาเห็นชัดเจนเมื่อมีการรัฐประหารล้ม ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 ตามมาด้วยปรากฏการณ์แบ่งสี มี ‘เสื้อเหลือง-เสื้อแดง’ มีการปราบปราม มีกระบวนการตุลาการจัดการมาโดยตลอด

 

“ต่อมาเกิดการรัฐประหารล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2557 ความขัดแย้งก็ต่อเนื่องเป็นกระแสเดียวกัน ซึ่งยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน

 

“กระบวนการตุลาการยาวนานมาจนถึงกระทั่งตีความว่า เรียกร้องให้มีการปฏิรูป แปลว่า ล้มล้าง ผมว่าความขัดแย้งนี้มาในกระแสเดียวกัน

 

“ส่วนงานเขียนที่เป็นงานซึ่งถูกมองว่าคุกคาม ทำลายความน่าเชื่อถือกลุ่มอำนาจเก่า หนังสือแบบนี้มีไม่น้อยและเด็กๆ ที่เคลื่อนไหวอ่านอะไรกันบ้าง บางครั้งก็น่าตกใจ อ่านอะไรที่เราไม่คิดว่าจะอ่าน อย่างเช่น Common Sense สามัญสำนึก

 

 

มองเสรีภาพทางวิชาการผ่านกรณีณัฐพล

สำหรับข้อถกเถียงถึงเสรีภาพทางวิชาการกับข้อกล่าวหาว่าเป็นการบิดเบือน ชาญวิทย์กล่าวว่า “เสรีภาพก็ต้องมีขอบเขต มันไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่พูดได้ตามใจคือไทยแท้ อะไรแบบนั้น ไม่ใช่แน่ๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องอ้างอิงข้อมูล แต่ในกรณีนี้ส่วนที่มีปัญหาเชิงอรรถ อาจารย์ณัฐพลก็ขอแก้ไขกับทางจุฬาฯ แล้ว ถ้าจะยกเฉพาะกรณีขึ้นมาก็เฉพาะกรณีนี้

 

“ในส่วนหนึ่งผมคิดว่าอาจารย์ณัฐพลเขาก็ยอมรับไปแล้วเรื่องเชิงอรรถก็น่าจะจบ ถ้าในประเทศที่เป็นอารยะแล้ว เป็นประชาธิปไตยแล้ว เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเล็ก อาจจะขอโทษและชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วเรื่องก็จบ แต่กรณีนี้การที่ไม่จบเพราะมีความขัดแย้งกันซึ่งอยู่ลึกมาก ไม่ใช่ประเด็นวิชาการเพียวๆ แต่เป็นความขัดแย้งเรื่องตัวบุคคลด้วย มองอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของสังคมไทย แม้กระทั่งจำนวนตัวเลขค่าเสียหาย 50 ล้านบาท อะไรแบบนี้มันก็ใหญ่โตมโหฬารเกินที่มนุษย์ธรรมดาจะคิดออก

 

“ในแง่ของผม ผมมองว่างานของอาจารย์ณัฐพลและงานของคนจำนวนไม่น้อยเลยที่พูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งซึ่งเปิดหูเปิดตา เพราะแต่ก่อนเราคิดว่าสถาบันกษัตริย์ไทยก็เหมือนๆ กับสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษ เหมือนๆ สถาบันจักรพรรดิของญี่ปุ่น แต่ผมว่าในกรณีของไทยไม่ใช่

 

“เพราะฉะนั้นวิธีมองของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์เกษียร เตชะพีระ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ หลายท่านที่ถูกจัดเป็นกลุ่มฝ่ายซ้าย ‘กลุ่มไม่เอาเจ้า’ ซึ่งเปิดให้เราเห็นสังคมไทยมากกว่าที่เราเคยเห็น ทำให้เราไม่เพ้อฝันหรือมีลักษณะไม่สัมผัสกับความเป็นจริงยิ่งกว่าอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์

 

“มันคล้ายๆ ยุคทศวรรษ 1960 ช่วงสงครามเย็น ยุคที่นักวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกตะวันตก ในสหรัฐอเมริกามองสังคมไทย ผมว่าเขาโรแมนติกกับมัน แต่เขาไม่ได้มองในอีกด้านหนึ่งที่มันไม่ใช่

 

“คืออย่างถ้าเราดูประวัติศาสตร์ไทยที่เป็นฉบับทางการ ก็จะเป็นอย่างนั้นคือเป็นเรื่องการฝันเฟื่อง

 

“แต่ถ้ามองอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราเรียกว่าพัฒนาการทางด้านการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของสยามไทย มันเป็นประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดมากๆ เหยื่อรายแรกๆ อาจจะเป็นพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย ที่เสนอเรื่องการปฏิรูป เสนอเรื่องว่าจะต้องมีรัฐธรรมนูญ เสนอว่าพระมหากษัตริย์ไม่ควรที่จะมามีบทบาทในการเมืองการปกครอง ควรจะมีนายกรัฐมนตรี ควรจะมีคณะรัฐมนตรีทำงาน อย่างในกรณีการปฏิรูปของญี่ปุ่น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็เสนอแบบนี้ แต่จบลงที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ต้องไปอยู่นอกประเทศ ไปบวชเป็นพระจนกระทั่งอายุมาก เมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคตจึงได้กลับมาเมืองไทย ผมว่านี่คือเหยื่อรายแรก

 

“ถ้าเรามองต่อมาอีกอย่างไม่โรแมนติกเกินไป เมื่อถึงรัชกาลที่ 6 ก็มีคนอย่างกลุ่ม ร.ศ. 130 จะเรียกว่า กบฏหมอเหล็งหรือปฏิวัติหมอเหล็งก็ตาม นี่ก็อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะเห็นบ้านเมืองของไทยเป็นสมัยใหม่ มีรัฐธรรมนูญ มีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่สำเร็จ ถูกจับติดคุกยาวเลย แล้วมาสำเร็จในยุคคณะราษฎร 2475”

 

 

ชาญวิทย์เผย ถูกขอให้เป็นพยาน

 

สำหรับกรณีที่ฝ่ายโจทก์มีนักวิชาการที่เห็นต่างกับวิทยานิพนธ์ของณัฐพลเป็นผู้ให้ข้อมูลกับโจทก์และเป็นพยานฝ่ายโจทก์ด้วยนั้น ชาญวิทย์กล่าวว่า “ทางฝ่ายจำเลยคืออาจารย์กุลลดาก็ขอให้ผมไปเป็นพยานจำเลย ซึ่งผมได้ตอบตกลงด้วยความยินดี และอวยพรขอให้อาจารย์ปลอดภัยทั้งจากมารร้ายทางวิชาการและขอให้ปลอดภัยทั้งจากโรคห่าโควิด

 

“เป็นเรื่องประหลาดที่อาจารย์กุลลดาโดนฟ้องอยู่คนเดียว กรรมการคนอื่นไม่โดน เขาอาจจะเลือก เพราะงานวิชาการของอาจารย์กุลลดาก็คงไม่เป็นที่พอใจของคนกลุ่มหนึ่งจำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน” ชาญวิทย์กล่าว

 

 

ทนายความเผย เคสอาจารย์กุลลดา ต้องฟ้องศาลปกครอง

 

ความคืบหน้าล่าสุด (1 ธันวาคม) วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกุลลดา จำเลยที่ 2 ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า วานนี้ (30 พฤศจิกายน) ศาลแพ่งนัดฟังคำสั่งคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 โดยศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 เนื่องจากเห็นว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ มีผลให้จำเลยที่ 1 ไม่อาจยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ การสู้คดีฝ่ายจำเลยจะไม่มีข้อต่อสู้หรือเหตุผลในการต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 สามารถมาเบิกความต่อศาล ให้ข้อเท็จจริงในฐานะพยานจำเลยอื่นๆ ได้แม้ไม่สามารถยื่นข้อต่อสู้ของตัวเอง

 

ทนายความจำเลยที่ 2 กล่าวด้วยว่า จำเลยที่ 2 และทีมทนายเห็นว่าคดีนี้ควรจะอยู่ในอำนาจศาลปกครอง เนื่องจากเป็นการฟ้องในขณะอาจารย์กุลลดาทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ มาตรา 5 วางหลักว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้

 

ดังนั้นทนายจึงเห็นว่า โจทก์ต้องฟ้องหน่วยงานรัฐต่อศาลปกครอง ไม่สามารถฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐได้ ทีมทนายจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ขอให้ส่งสำนวนให้ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองหรือไม่ ซึ่งศาลแพ่งจะทำความเห็นในสำนวนคดีส่งศาลปกครองว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลใด ถ้าหากศาลปกครองมีความเห็นต่างกับศาลแพ่ง ก็จะต้องส่งสำนวนคดีนี้ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลต่อไป ทั้งนี้ ศาลแพ่งนัดฟังความเห็นของศาลปกครอง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 09.30 น.

The post ฟ้องวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ สะท้อนความขัดแย้ง-แตกต่างทางความคิด ข้ามรัชสมัย appeared first on THE STANDARD.

]]>