วันนี้ (3 มีนาคม) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จัดแถลงในหัวข้อ ‘แฉเพื่อชาติ ตายยกรัง’ โดยจัดทำแผ่นไวนิลที่มีเนื้อหาคำพิพากษาศาลฎีกา กรณีเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ พื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 5,083 ไร่ พร้อมนำสัญลักษณ์ สิ่งก่อสร้าง ประกอบด้วย สนามฟุตบอลช้างอารีน่า, สนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต, ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น, บริษัท ศิลาชัยบุรีรัมย์ (1991) จำกัด, บ้านพัก ศักดิ์สยาม ชิดชอบ / บ้านพัก เนวิน ชิดชอบ และเครือข่าย รวมถึงบ้านพักของชาวบ้านที่แพ้คดี รฟท. ถูกคำพิพากษาให้รื้อถอนขับไล่ 

โดยก่อนเริ่มแถลง ชูวิทย์ได้เลียนแบบท่าทาง สนธิ ลิ้มทองกุล ที่จัดรายการ ‘ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง’ โดยถือไม้เท้าเดินแบบคนชรา งอหลัง พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ถึงสนธิว่า “จะมาแฉผมทำไม ข้อมูลผมอยู่ใน Google เยอะแยะ ผมไม่ได้กลัวอะไรคุณอยู่แล้ว จะมาว่าผมเรื่องอาบอบนวดทำไม เพราะคุณยังเคยมาอาบอบนวดผมเลย ทำไมถึงมาว่ากันได้”  

จากนั้นชูวิทย์กล่าวถึงศุภวัฒน์ที่เป็นลูกจ้างของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ของศักดิ์สยาม โดยศุภวัฒน์มีเงินเดือน 9,000 บาท แต่กลับมีรายชื่อปรากฏถือหุ้น 119 ล้านบาท และพบว่าศักดิ์สยามโอนเงินให้ศุภวัฒน์จำนวน 40 ล้านบาท และศุภวัฒน์มีรายชื่อบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 7.5 ล้านบาท รวมถึงศุภวัฒน์ยังให้บริษัทตัวเองกู้เงินจำนวน 221 ล้านบาท โดยไม่มีดอกเบี้ยและสัญญาเงินกู้ และยังรับงานก่อสร้างของกรมทางหลวงหลายโครงการ มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท 

ส่วนที่ดินเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่เป็นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างของเครือข่ายชิดชอบ ซึ่งเป็นพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 5,083 ไร่ และมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ รฟท. เป็นจำเลย และโจทก์เป็นศุภวัฒน์ 1 คดี และชาวบ้าน 35 คนอีก 1 คดี สุดท้าย รฟท. ชนะคดีและมีการขับไล่ชาวบ้าน 35 คนออกจากพื้นที่ แต่ รฟท. กลับไม่ไล่เครือข่ายชิดชอบออกจากพื้นที่ 

ชูวิทย์กล่าวต่อไปว่า เหตุนี้จึงเป็นที่มาของการสร้างอาคารต่างๆ ทั้งสนามฟุตบอลช้างอารีน่าและสนามแข่งรถ มีข้อมูลว่าการสร้างดังกล่าวมีการนำเงินหลวงมาใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด ไม่ใช่เงินส่วนตัว แต่กลับไม่เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนได้ใช้ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวตนเองมองว่าเลวร้ายที่สุดเท่าที่พรรคภูมิใจไทยทำต่อประเทศชาติ 

นอกจากนี้ ยังพบว่า รฟท. ได้ไปร้องศาลปกครองเพื่อขอให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวจากตระกูลชิดชอบให้ย้ายออก และยังเรียกร้องให้กรมที่ดินจ่ายค่าเสียหายอีก 700 ล้านบาทให้กับ รฟท. ซึ่งมองว่าเจตนาที่ รฟท. ร้องศาลปกครองแบบนี้เป็นการประวิงเวลาแทนการฟ้องขับไล่โดยตรง และหากกรมที่ดินจ่ายก็จะเป็นการนำภาษีประชาชนมาจ่าย ซึ่งจะส่งผลเสียทั้งขึ้นและล่อง

นอกจากนี้ ชูวิทย์ยังเรียกร้องไปยัง นิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่า รฟท. คนปัจจุบัน เข้ามาจัดการเรื่องดังกล่าวขอให้ทำอย่างถูกต้อง เพราะศักดิ์สยามมีการตั้งบริษัทลูกเข้ามาประมูลโครงการต่างๆ ของการรถไฟ 

จากนั้นชูวิทย์กล่าวถึงผลคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ศักดิ์สยามยุติการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ว่าวันนี้ฟ้าดินบันดาลให้เป็นจริง เห็นว่าใครทำผิด และตนอยากให้ศักดิ์สยามติดคุกนานกว่าที่ตนเคยติดคุกมา และต้องรับในสิ่งที่ทำ เพราะตนเชื่อว่าศักดิ์สยามต้องติดคุก 100% 

นอกจากนี้ ชูวิทย์เปิดเผยเอกสารที่มีชื่อ จิตต์อรุณ อนุพันธ์นัณท์ คนสนิทของ ปลิว ตรีวิศวเวทย์ เจ้าของ ช.การช่าง ซึ่งจิตต์อรุณนำเงินจำนวนหลายสิบล้านบาทไปให้กับนักการเมืองที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเอกสารที่นำมาโชว์พบว่าจิตต์อรุณและพนักงานของ ช.การช่างอีก 15 คน มีรายชื่อครอบครองที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จำนวน 700 ไร่ ในตำบลหนองย่างเสือ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีกำหนดให้ที่ดินแก่ชาวบ้านที่ยากไร้ทำเกษตร แต่ฝ่ายกฎหมายของผู้ว่าฯ กลับแนะนำให้แปลงสินทรัพย์เป็นทุนเพื่อจำนอง โดยให้ ช.การช่างไปขอสินเชื่อยื่นร่วมเป็นกลุ่ม โดยอ้างให้ปลูกต้นไม้ยืนต้นในที่ดินดังกล่าว เพื่อให้ ส.ป.ก. ยึดคืนได้ยาก ซึ่งกระบวนการทั้งหมดปลิวรู้ดี เพราะมีเอกสารบันทึกภายในบริษัทเป็นหลักฐาน 

ระหว่างนั้นชูวิทย์ได้นำโมเดลขบวนรถไฟสีส้มมาโชว์ พร้อมกล่าวว่า รถไฟสายสีส้มและศักดิ์สยามเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด อีกทั้งยังกล่าวไปถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าเกรงกลัวพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นฐานเสียงจึงต้องปกป้อง และยังถามไปยังนายกฯ อีกว่าต้องการแค่นี้เหรอ ไม่อยากให้ประเทศเจริญหรือ ทำไมให้คนเหล่านี้เข้ามามีตำแหน่งในการบริหารประเทศ เพราะเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดของประเทศ

ชูวิทย์ยังได้กล่าวถึงการประมูลการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มว่าเป็นอาถรรพ์มาก เพราะต้องรอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และยังกล่าวถึงบริษัทที่เข้ามาประมูลจะต้องมี 3 คุณสมบัติคือ 1. ระบบราง 2. อุโมงค์ 3. สถานี ซึ่งมีหลายบริษัทเข้ามาประมูล ทั้งนี้ การที่ ช.การช่างได้รับงานดังกล่าวไปมองว่าทำให้เกิดความเสียหาย 700% 

จากนั้นชูวิทย์ได้ฉีดสเปรย์ใส่โมเดลรถไฟสีส้มและใช้ค้อนทุบ พร้อมมีการตัดเค้กเขากระโดง

The post ชูวิทย์ จัดแถลง ‘แฉเพื่อชาติ ตายยกรัง’ เปิดข้อมูลตระกูลชิดชอบ-ช.การช่าง ชี้ฟ้าดินบันดาลคำพิพากษาศักดิ์สยาม appeared first on THE STANDARD.

เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่ของวงการฟุตบอลเลยทีเดียวสำหรับเลานจ์รับรองพิเศษรูปแบบใหม่ที่ Buriram United เปิดตัวห้องนอนชมการแข่งขันฟุตบอลแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ณ สนามช้างอารีนา สนามเหย้าของสโมสร

Dream Power Club, Lounge VIP ห้องนอนชมการแข่งขันฟุตบอลบนเตียงไฟฟ้าแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสโมสรฟุตบอล Buriram United และ Dunlopillow แบรนด์ที่นอนอันดับ 1 จากเกาะอังกฤษ ภายใต้แนวคิดที่ว่า ‘ความสบายเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มอรรถรสการชมกีฬา’ ด้านในตกแต่งหรูหราด้วยเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์สีขาวสะอาด มีเตียงนอนไฟฟ้าปรับระดับได้เป็นตัวเอก หันหน้าเข้าสู่สนามแข่ง มีผนังและประตูกระจกติดฟิล์มกันแสงบานโตเผยภาพให้เห็นเต็มตา

นอกจากเตียงนอนไฟฟ้าที่ปรับระดับได้หลายองศา Dream Power Club ยังให้บริการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม โดยทั้งหมดนี้เป็นระดับเดียวกับโรงแรม 5 ดาว

Dream Power Club, Lounge VIP เปิดให้บริการแล้ว และใครที่อยากมาลองประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้จะต้องเป็นแขกพิเศษที่ได้รับการ์ดเชิญจากแบรนด์เท่านั้น เราแนะนำให้คุณติดตามแฟนเพจของ Buriram United และ Dunlopillo เพราะคุณอาจเป็นผู้โชคดีได้รับสิทธิ์นั้นก็เป็นได้

ภาพ: Dunlopillo

The post ดูบอลในสนามทำไมให้ร้อน? Buriram United จับมือ Dunlopillo เปิดห้องดูบอลแบบเอ็กซ์คลูซีฟระดับเดียวกับโรงแรม 5 ดาว appeared first on THE STANDARD.

ยูจินโฮ หัวหน้าฝ่ายเอเชียคัพ จากสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย AFC ตัดสินใจและยืนยันว่า สนามบุรีรัมย์จะเป็นสนามที่มาทดแทนของเชียงใหม่ สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีรอบสุดท้ายในช่วงเดือนมกราคม 2563

โดยเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 16.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ การกีฬาแห่งประเทศไทย, ฝ่ายจัดการแข่งขันและกิจกรรมฟุตบอล สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC) ร่วมกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จัดการประชุม เพื่อสรุปเรื่องความคืบหน้าการจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้าย ในช่วงเดือนมกราคม 2563

ในการประชุมครั้งนี้นำโดย ยูจินโฮ หัวหน้าฝ่ายเอเชียนคัพ ของ AFC พร้อมด้วยคณะทำงาน, ตัวแทนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย, สนามกีฬาติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา, สนามกีฬาธรรมศาสตร์ รังสิต และสนามช้างอารีนา จังหวัดบุรีรัมย์

ภายหลังการประชุม ยูจินโฮ หัวหน้าฝ่ายเอเชียนคัพ กล่าวว่า

“อย่างที่หลายท่านทราบว่าสนามเชียงใหม่ไม่พร้อมสำหรับการจัดการแข่งขันครั้งนี้ ทางเอเอฟซีก็ได้เดินทางมาตรวจที่สนามบุรีรัมย์ ที่เป็นอีกตัวเลือกในการทดแทน และหลังจากที่เราได้ตรวจสอบสนามในช่วงที่ผ่านมา ก็คิดว่าสนามบุรีรัมย์มีความพร้อมในการจัดการแข่งขัน จึงได้ตัดสินใจและยืนยันว่า สนามบุรีรัมย์จะเป็นสนามที่มาทดแทนของเชียงใหม่

“สนามบุรีรัมย์ถือว่ามีความพร้อม อาจจะต้องปรับปรุงบางส่วนเล็กน้อย พื้นสนามก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ที่ไปตรวจมา ทางเราก็มีข้อกำหนดที่จะรวบรวมเป็นเอกสารและส่งมอบให้กับบุรีรัมย์ต่อไป

“ในส่วนของราชมังคลากีฬาสถาน ได้มีการไปตรวจสอบในหลายส่วน และทางการกีฬาแห่งประเทศไทย ก็ได้ดำเนินการและอธิบายแผนงานที่จะปรับปรุงสนาม ทางเราก็รับทราบและติดตามต่อไปพร้อมให้ทางการกีฬาแห่งประเทศไทย ยืนยันการปรับปรุงสนามให้แล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือนธันวาคม

“ทางเราก็เชื่อว่า หลังจากที่ได้เดินทางมาตรวจสนามในหลายครั้ง รวมถึงแผนงานต่างๆ ที่เสนอมาให้เราได้ดู ผมเชื่อว่าทั้งสี่สนามจะมีความพร้อมและส่งมอบ จัดการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ได้สำเร็จ” ยูจินโฮ กล่าว

ฝ่ายจัดการแข่งขันและกิจกรรมฟุตบอล สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC) ก็จะจัดพิธีจับสลากแบ่งสายการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ โรงแรมสวิส โซเทล รัชดา ในวันที่ 26 กันยายน 2562 เวลา 14.30 น.

นอกจากนี้ทาง AFC มีกำหนดการเดินทางมาประเทศไทย เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าการปรับปรุงสนามอีกครั้งในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน และจะส่งมอบภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2562 ต่อไป

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post AFC เลือก ช้างอารีนา แทนสนามกีฬาสมโภช 700 ปี ศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี appeared first on THE STANDARD.

ชาวบุรีรัมย์ 30,000 คน เต็มความจุสนามช้างอารีนา จังหวัดบุรีรัมย์ ตะโกน ‘ลุงตู่’ เป็นจังหวะ ต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ขณะลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์

ขณะที่ พลเอก ประยุทธ์ มาพร้อมผ้าขาวม้าเต็มเอว เดินทักทายพร้อมทำมือสัญลักษณ์ไอเลิฟยู ประกบข้างด้วยเจ้าของสนาม นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และภรรยา รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกินให้กับผู้แทนชาวบ้าน ก่อนจะกล่าวว่ายินดีและดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาที่นี่และได้เห็นความรัก ความสามัคคี

พลเอก ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ที่เดินทางมาลงพื้นที่ที่บุรีรัมย์ไม่ได้มาเพื่อทางการเมือง แต่เพราะตนเองรักทุกคน และย้ำด้วยว่าไม่เคยมีใครเรียกร้องให้ใครทำงานหรือทำประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่แผ่นดินที่เรียกร้องให้ตนทำเพื่อประเทศชาติ วันนี้เราต้องตอบแทนแผ่นดิน สร้างคนดีให้แผ่นดิน พร้อมย้ำด้วยว่ารัชกาลที่ 10 เป็นรัชสมัยแห่งการปฏิรูป

นายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณมิตรภาพที่ชาวบุรีรัมย์มีให้ในครั้งนี้ที่ต้อนรับอย่างอบอุ่นเหมือนครอบครัวเดียวกัน

“วันนี้ท่านผูกเสี่ยวผมมาถึงคอแล้ว ผมก็ต้องเป็นเพื่อนท่านและเป็นครอบครัวเดียวกับท่าน” พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังพูดทิ้งท้ายว่า

“บ้านเมืองจะอยู่ได้เพราะคนไทยทั้งประเทศ ใครจะอยู่ต่างประเทศก็ให้อยู่ไป”

Photo : Thaigov.go.th

The post ประยุทธ์ขอชาวบุรีรัมย์เป็นครอบครัวเดียวกัน ส่งเสียง ‘ลุงตู่’ ดังกึกก้องสนามช้างอารีนา appeared first on THE STANDARD.

เปิดศักราชใหม่กับวงการฟุตบอลไทย 2018 หลังจากช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาทางสโมสรยักษ์ใหญ่ในการแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดในประเทศได้เดินหน้าเสริมทัพกันอย่างคึกคัก หลังจากที่ตลาดซื้อขายนักเตะเปิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา

วันนี้ THE STANDARD จะพาไปดูความพร้อมของแต่ละทีม บวกกับสิ่งที่น่าสนใจ และน่าจับตามองก่อนการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งแผนงานของสมาคมกีฬาฟุตบอล และบริษัท ไทยลีก จำกัด เริ่มต้นใช้งานอย่างเต็มที่ในฤดูกาลนี้

การส่งออกแข้งไทย และนำเข้าแข้งอาเซียน

เป็นหนึ่งข่าวดีส่งท้ายปีสำหรับวงการฟุตบอลไทย เมื่อ ซานเฟรซเซ ฮิโรชิมา สโมสรฟุตบอลในเจลีก บรรลุข้อตกลงยืม ธีรศิลป์ แดงดา ไปร่วมทีมเป็นเวลา 1 ปี ส่งผลให้เจ้ามุ้ยเป็นนักฟุตบอลไทยคนที่ 2 ต่อจาก ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ได้สร้างผลงานและชื่อเสียงให้กับนักฟุตบอลไทยจนเป็นที่ยอมรับ และได้เปิดประตูแห่งโอกาสให้กับนักเตะคนอื่นได้เดินทางไปค้าแข้งในฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น ประเทศซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นทีมชั้นนำของเอเชีย  

นอกจากธีรศิลป์ แดงดาแล้ว ยังมีการรายงานข่าวจากสโมสรจากประเทศญี่ปุ่นที่ให้ความสนใจดึงตัวสตาร์ดังชาวไทยคนอื่นๆ ตั้งแต่ ธีราทร บุญมาทัน ทริสตอง โด หรือแม้กระทั่ง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของไทย ที่เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาได้ลงฝึกซ้อมทักษะผู้รักษาประตูริมหาดแห่งหนึ่ง ยังได้รับการแชร์ไปไกลทั่วโลก จน L’Équipe สื่อชื่อดังของฝรั่งเศสได้แชร์คลิปการฝึกซ้อมอีกด้วย

แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ แต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของนักฟุตบอลไทยเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในเวทีโลก และน่าสนใจว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้ฟุตบอลไทยจะสามารถลดช่องว่างกับทีมชั้นนำในเอเชียได้มากน้อยขนาดไหน หลังจากที่นักฟุตบอลไทยเริ่มได้รับโอกาสในสนามแข่งขันสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ระหว่างที่ไทยกำลังเดินหน้าส่งออกนักเตะสู่ญี่ปุ่น ในไทยลีกเอง นโยบายการเปิดโควตานักฟุตบอลอาเซียนในการแข่งขันไทยลีกก็ได้เริ่มต้นใช้งานอย่างเป็นทางการในการแข่งขันไทยลีก 1 โดยใช้ระบบ 3+1+1 ลงทะเบียนผู้เล่นต่างชาติใดก็ได้ 3 คน สัญชาติเอเชีย 1 คน และนักเตะจากอาเซียน 1 คน แต่ยังคงลงสนามได้ 3+1 เท่าเดิม

การเปิดใช้โควตาอย่างเป็นทางการทำให้สโมสรใหญ่ในไทยลีกเดินหน้าบุกตลาดอาเซียนด้วยการดึงสตาร์ดังจากทั่วภูมิภาคมาโลดแล่นในเวทีการแข่งขันไทยลีก

Photo: เชียงราย ยูไนเต็ด

เริ่มจากโปลิศ เทโร เอฟซี ที่ประกาศคว้าตัว อ่องธู ดาวยิงทีมชาติเมียนมา เช่นเดียวกับเชียงราย ยูไนเต็ด แชมป์ช้างเอฟเอคัพปีล่าสุด ก็ได้เปิดตัว จอ โค โค กองหน้าทีมชาติเมียนมา จากย่างกุ้ง ยูไนเต็ด รวมถึงชลบุรี เอฟซี ที่ได้ ซูลฟาห์มี อารีฟิน กองกลางทีมชาติสิงคโปร์มาร่วมทัพ

แชมป์เก่าบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดก็ไม่น้อยหน้า ดึงตัว ฮอง วู แซมสัน ศูนย์หน้าไนจีเรีย-เวียดนาม มาจาก ฮานอย ทีแอนด์ที เอฟซี ทีมดังของประเทศเวียดนามมาร่วมทีม

โดยจุดประสงค์ของการเปิดโควตานักเตะอาเซียนในไทยลีกครั้งนี้ ทาง พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศและโฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้เคยให้สัมภาษณ์กับทาง THE STANDARD ไว้ว่า จะเป็นการช่วยพัฒนาฟุตบอลในอาเซียน โดยเน้นการลดช่องว่างระหว่างลีกเพื่อยกระดับฟุตบอลในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น เหมือนที่ญี่ปุ่นต้องการลดช่องว่างระหว่างทีมในเอเชียกับยุโรป โดยเปิดโควตาให้กับนักฟุตบอลอาเซียนเพื่อช่วยส่งเสริมวงการฟุตบอลในภูมิภาคให้แข็งแรงขึ้น

ซึ่งหากนักฟุตบอลอาเซียนประสบความสำเร็จในไทยลีก จะเป็นผลดีต่อทั้งฟุตบอลไทย และวงการฟุตบอลในบ้านเกิดของแต่ละประเทศอีกด้วย

โอกาสแชมป์เปิดกว้าง ทีมดังเสริมทัพดุช่วงท้ายปี 2017

ตลาดซื้อขายนักเตะในไทยลีกนอกจากการนำเข้านักฟุตบอลอาเซียนแล้ว สโมสรใหญ่ในไทยลีกยังเดินหน้าเสริมทัพกันอย่างดุเดือด เริ่มกันที่ทีมอันดับที่ 3 ของไทยลีก 2017 สโมสรแบงค็อก ยูไนเต็ด มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นครั้งใหญ่ เมื่อตัดสินใจปล่อยตัว ดราแกน บอสโควิช นักเตะต่างชาติตัวหลัก ที่เป็นดาวซัลโวในฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งยิงไป 38 ประตู ให้กับทีมการท่าเรือ เอฟซี รวมถึงมีการปล่อยตัวนักเตะอย่าง โจโจ้ เจย์ซี จอห์น และกิลแบร์โต มาเชนา พ้นจากทีมอีกด้วย

Photo: แบงค็อก ยูไนเต็ด

แต่แข้งเทพก็ได้ 3 นักเตะบราซิลเลียนอย่าง วานเดอร์ หลุยซ์ และ เอเวอร์ตัน กอนซาเวส 2 นักเตะจากเชียงราย ยูไนเต็ด รวมถึง ร็อบสัน แฟร์นานเดส จากปารานา ซีรีบี ประเทศบราซิล นอกจากนี้ยังได้นักเตะดาวรุ่งชาวไทยอย่าง สิทธิโชค กันหนู มาร่วมทีมอีกด้วย

สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด กับ อเล็กซานเดอร์ กามา กุนซือชาวบราซิลที่พาเชียงราย ยูไนเต็ดคว้าแชมป์แรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรกับช้างเอฟเอคัพ 2017 ก็ได้สตาร์คนดังของไทยลีกไปถึง 2 คนอย่าง เคลย์ตัน ซิลวา ศูนย์หน้าชาวบราซิลวัย 30 ปี จากเซี่ยงไฮ้ เซินซิน ในไชน่าลีกวัน ประเทศจีน รวมถึง กิลแบร์โต มาเชนา จากแบงค็อก ยูไนเต็ด

Photo: การท่าเรือ เอฟซี

การท่าเรือ เอฟซี ถือเป็นอีกหนึ่งทีมที่เสริมทัพได้อย่างดุดัน โดยได้ ดราแกน บอสโควิช ดาวยิงวัย 31 ปีที่ยิงไปทั้งหมด 38 ประตูในไทยลีก รวมถึงได้นักเตะอย่าง นูรูล ศรียานเก็ม และ บดินทร์ ผาลา สองนักเตะดีกรีทีมชาติไทยมาร่วมทีม พร้อมกับ การดึงตัว คิมซังฮวาน กองกลางชาวเกาหลีใต้วัย 30 ปี จากวุลซาน ฮุนได ในเคลีก ประเทศเกาหลีใต้มาร่วมทีม

Photo: บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

แชมป์เก่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ทำการเปิดตัว 30 นักเตะภายในงานบุรีรัมย์ เคานต์ดาวน์ 2018 พร้อมกับชื่อสนามเหย้าใหม่ ‘ช้างอารีนา’ โดยภายในรายชื่อ 30 คนนั้นมีการดันนักเตะดาวรุ่งจากอคาเดมีของสโมสรขึ้นมาเสริมทัพในฤดูกาลนี้

Photo: บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

โดย นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังคงให้คำมั่นสัญญากับแฟนบอลว่า “ฤดูกาลหน้าไม่ว่าใครจะอยู่หรือไป บุรีรัมย์จะเป็นแชมป์อีก”

ส่วนเอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด ที่ดูจะเสียนักเตะหลักอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา ที่เดินรอยตามชนาธิป สรงกระสินธ์ ไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่ง ธีราทร บุญมาทัน ทริสตอง โด และกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่ต่างมีข่าวว่าสโมสรจากต่างประเทศให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ทำให้แชมป์เก่าเมื่อปี 2016 อาจเสียผู้เล่นตัวหลักไปหลายคนก่อนฤดูกาลจะเริ่มต้นขึ้น

แต่ทาง โค้ชแบน-ธชตวัน ศรีปาน ผู้ฝึกสอนทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดก็ได้ดึง 2 นักเตะไทยอย่าง เจนรบ สำเภาดี กัปตันทีมชาติไทยรุ่น U23 ปี จากโปลิศ เทโร เอฟซี และ สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ มาร่วมทีม

ทำให้การลุ้นแชมป์ไทยลีกปีนี้น่าจะดุเดือดขึ้นกว่าการแข่งขันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และที่สำคัญคือตลาดซื้อขายนักเตะสำหรับไทยลีก ฤดูกาล 2018 ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนเต็มๆ ก่อนจะปิดตลาดในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2018 ก่อนฤดูกาลจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2018 นี้

อ้างอิง:

• www.buriramunited.com/main_news/detail/326
• www.espnfc.com/blog/football-asia/153/post/3332803/thailand-need-to-crown-a-new-champion-unearth-a-striker-for-2018
• www.goal.com
• www.facebook.com/portfootballclubofficial/photos/a.713808385405624.1073741829.712932145493248/1486448758141579/?type=3&theater

The post มองไทยลีก 2018 นักเตะไทยไปญี่ปุ่น เสริมทัพนักเตะอาเซียน และตำแหน่งแชมป์ที่เปิดกว้าง appeared first on THE STANDARD.