ชุมชนแออัด – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 28 Feb 2023 04:58:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มักกะสันคอมเพล็กซ์: เมกะโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ บนพื้นที่อยู่อาศัยคนจนเมือง https://thestandard.co/makkasan-complex-mega-project/ Tue, 28 Feb 2023 04:58:14 +0000 https://thestandard.co/?p=756484

ในปี 2561 คณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาต […]

The post มักกะสันคอมเพล็กซ์: เมกะโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ บนพื้นที่อยู่อาศัยคนจนเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในปี 2561 คณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มีมติเห็นชอบในหลักการสำหรับพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระหว่างสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในทางคมนาคมและการขนส่ง จากนั้นปี 2562 ได้มีการเปิดประมูลสัมปทานให้กลุ่มเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงนี้ รวมถึงร่วมลงทุนในการก่อสร้างและพัฒนาพื้นที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

 

หนึ่งในนั้นคือ โครงการพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน หรือที่รู้จักกันในนาม มักกะสันคอมเพล็กซ์ โดยโครงการนี้ในปัจจุบันมีการเปิดประมูลสัมปทานแล้ว 1 ครั้ง บนพื้นที่ 140 ไร่ ผู้ได้รับสัมปทานคือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์)

 

สำหรับโครงการเมกะโปรเจกต์ชิ้นนี้มีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน ให้เป็นสถานีกลางเพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งจะทำให้สถานีมักกะสันเป็นศูนย์กลางของเส้นทางรถไฟเชื่อมสามสนามบิน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังภาคตะวันออกและสิ้นสุดที่สนามบินอู่ตะเภา 

 

รวมถึงเปลี่ยนโฉมสถานีมักกะสันเป็นสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง หรือ City Air Terminal ออกแบบให้มีเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเครื่องบินและเคาน์เตอร์สำหรับเช็กอินเที่ยวบิน รวมถึงผู้โดยสารสามารถเช็กอินการเดินทางและสัมภาระจากสถานีมักกะสันได้ทันที ไม่ต้องนำกระเป๋าเดินทางติดตัวไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ที่จอดรถรายวันจำนวน 500 คัน พื้นที่ออฟฟิศ และพื้นที่มิกซ์ยูส (Mixed Use) ต่างๆ ทั้ง ศูนย์อาหาร ศูนย์การค้า รวมไปถึงคอนโดมิเนียม

 

พื้นที่ทั้งหมดของโครงการพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน และมักกะสันคอมเพล็กซ์ อยู่ใต้การดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีขนาดพื้นที่รวมทั้งสิ้น 497 ไร่ โดยจะแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่

 

  1. โครงการปรับปรุงสถานีรถไฟมักกะสันและมักกะสันคอมเพล็กซ์ จำนวน 140 ไร่

 

  1. พื้นที่ราว 180 ไร่ ที่ปัจจุบันคือโรงงานมักกะสัน จะนำมาพัฒนาเป็นพื้นที่สำนักงาน พื้นที่การค้า และศูนย์ข้อมูลต่างๆ 

 

  1. พื้นที่ราว 38 ไร่ จะมีการดำเนินตามแผนของ รฟท. เพื่อปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย พิพิธภัณฑ์รถไฟ และพื้นที่ของส่วนราชการ

 

  1. พื้นที่ราว 150 ไร่ จะเปิดพื้นที่ให้บริษัทเอกชนมาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีการศึกษาว่าอาจจะพัฒนาเป็นโรงพยาบาล คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ และโรงเรียนนานาชาติ 

 

โดยที่ดิน 150 ไร่แปลงสุดท้ายที่กล่าวถึงนี้ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร (โรงพยาบาลรถไฟ) สถานีตำรวจรถไฟมักกะสัน และ 5 ชุมชนที่มีผู้อยู่อาศัยรวมกันกว่า 3,000 ครัวเรือน หรือประมาณกว่า 10,000 คน

 

หมายเหตุ: ปัจจุบัน (พ.ศ. 2565) พื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรแน่นอนแล้วมีเพียงส่วนที่ 1 สำหรับส่วนที่ 2-4 ยังไม่มีการกำหนดตัวเลขของการแบ่งพื้นที่เป็นลายลักษณ์อักษร รายละเอียดในส่วนของขนาดพื้นที่ภายใต้โครงการนี้จึงเป็นเพียงการประมาณการ และอาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

 

เบื้องต้น บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ได้วางแผนงานสำหรับส่วนที่ 1 หรือส่วนของโครงการปรับปรุงสถานีรถไฟมักกะสันและมักกะสันคอมเพล็กซ์ จำนวน 140 ไร่ ใต้งบประมาณลงทุนประมาณ 2.24 แสนล้านบาท ดังนี้

 

บริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างสิ่งปลูกสร้างและให้บริการต่างๆ ดังที่ปรากฏในสัญญา โดยรัฐบาลจะมอบงบสนับสนุน 1.19 แสนล้านบาท และทางบริษัทจะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือ หรือประมาณ 1.05 แสนล้านบาท เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทางบริษัทจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ต่างๆ จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปจนครบระยะเวลาสัญญา 50 ปี  

 

นอกจากเงินลงทุนจำนวน 1.05 แสนล้านบาทข้างต้นแล้ว บริษัทยังต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่ปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาทอีกด้วย โดยเมื่อสัญญาสิ้นสุดลงในปี 2612 ทรัพย์สินต่างๆ ที่ทางบริษัทสร้างและพัฒนาทั้งหมดบนพื้นที่นี้จะเป็นของ รฟท. 

 

สำหรับพื้นที่ในส่วนที่ 2-4 ที่ยังไม่ได้มีเปิดการประมูลสัมปทาน สิทธิความเป็นเจ้าของพื้นที่ยังคงอยู่ที่ รฟท.

 

ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันแบ่งเป็นพื้นที่ 5 ชุมชน จำนวน 3,000 กว่าครัวเรือน ชุมชนมีพื้นที่ที่หลากหลาย นับตั้งแต่บ้านเรียงรายริมทางรถไฟ ไปจนถึงบ้านแออัดกระจุกตัวเป็นกลุ่มก้อน

 

ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน

 

แม้ว่าการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ 497 ไร่ ใต้โครงการสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน และมักกะสันคอมเพล็กซ์ จะสำเร็จไปแล้วบางพื้นที่ หากบางส่วนอย่างพื้นที่ส่วนที่ 4 จำนวน 150 ไร่ ที่วางแผนจะให้บริษัทเอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ยังคงตกอยู่ใต้ข้อขัดข้องบางประการ

 

หนึ่งในนั้นคือการขับไล่ผู้อยู่อาศัยใน 5 ชุมชน จำนวนกว่า 3,000 ครัวเรือน ประกอบด้วย ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน, ชุมชนนิคมมักกะสัน, ชุมชนหลังวัดมักกะสัน, ชุมชนหลังโรงพยาบาลเดชา และชุมชนโรงเจมักกะสัน 

 

เนื่องจากชุมชนทั้ง 5 ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่จะมีการนำมาพัฒนาและสร้างราคาภายใต้โครงการเมกะโปรเจกต์นี้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาทาง รฟท. จึงเริ่มดำเนินงานในการเข้าไปประชาสัมพันธ์และขอพื้นที่คืน เพื่อที่จะได้ทำการส่งมอบพื้นที่ให้กับทางบริษัทผู้รับสัมปทานในอนาคต

 

เพราะเหตุใดการดำเนินงานของ รฟท. จึงมีความล่าช้า ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ดึงดันที่จะไม่ยอมย้ายออกจริงหรือเปล่า หรือมีเหตุปัจจัยอื่นใดที่เป็นข้อจำกัดในการโยกย้ายถิ่นฐานของคนจนเมืองเหล่านี้?

 

จากการลงพื้นที่บริเวณชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน พบว่าชุมชนนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ 18 ไร่ บริเวณริมทางรถไฟมักกะสันทอดตัวอยู่ระหว่างถนนนิคมมักกะสันและถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มีขนาดประมาณ 500 ครัวเรือน มีประชากรประมาณ 2,050 คน โดยแบ่งเป็นบ้านที่มีทะเบียนบ้านแน่ชัดจำนวน 304 หลังคาเรือน และไม่มีทะเบียนบ้านอีกประมาณ 200 ครัวเรือน

 

ลักษณะความเป็นอยู่ของชาวชุมชนมักกะสัน มีทั้งผู้อยู่มาตั้งแต่แรกเดิมอย่างคนในครอบครัวทำงานเกี่ยวข้องกับ รฟท. คนที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพในบริเวณพื้นที่เศรษฐกิจโดยรอบ เช่น ถนนเพชรบุรี ถนนสุขุมวิท หรือตามห้างสรรพสินค้าบริเวณประตูน้ำและราชประสงค์ และยังมีบางส่วนที่ย้ายมาจากชุมชนอื่น อย่างบริเวณประตูน้ำและพื้นที่ข้างเคียงที่ถูกไล่ออกจากพื้นที่ เพราะมีบริษัทเอกชนเข้ามาครอบครอง คนเหล่านี้ก็มาอาศัยรวมกันอยู่ในชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน โดยอาศัยปลูกบ้านขนาดเล็กตั้งเรียงรายกันเป็นชุมชนแออัดขนาดใหญ่ ในพื้นที่ข้างโรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร 

 

สุมิตรา วุฒิวารี ประธานชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน เล่าให้ฟังว่า พื้นที่นี้เป็นชุมชนที่มีคนอยู่อาศัยมาไม่ต่ำกว่า 100 ปี อย่างน้อยที่สุดยายของตนก็อยู่มาตั้งแต่ปี 2478 โดยที่ดินเป็นพื้นที่ของ รฟท. ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ในอดีตเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ รฟท. และโรงงานมักกะสัน เมื่อมีการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานที่มาทำงานให้กับโรงงานมักกะสัน บ้านพักที่การรถไฟจัดสรรจึงมีไม่เพียงพอกับความต้องการที่อยู่อาศัย แรงงานและครอบครัวจึงได้ปลูกจับจองพื้นที่รกร้างโดยรอบโรงงานเพื่อปลูกสร้างบ้าน

 

เมื่อมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น ทาง รฟท. ก็มีการเรียกเก็บค่าเช่ารายปี ปีละประมาณ 80 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวบ้าน และเก็บมาเรื่อยๆ จนถึงประมาณปี 2524 รฟท. ก็เลิกเก็บค่าเช่าโดยไม่ทราบสาเหตุ 

 

ต่อมาในปี 2528 พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในขณะนั้น เห็นว่าชุมชนบริเวณดังกล่าวมีผู้คนอยู่อาศัยในลักษณะของประชากรแฝงอยู่จำนวนมาก จึงต้องการจัดระเบียบใหม่ เพื่อให้คนในชุมชนแออัดต่างๆ สามารถเข้ารับการบริการจากกรุงเทพมหานครได้ง่ายขึ้น เช่น การเข้าถึงโรงเรียน การเข้าถึงสถานพยาบาล และการมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเพื่อให้ง่ายแก่การติดต่อ 

 

แผนผังชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันในปัจจุบัน

 

จึงสั่งการให้ทางกรุงเทพมหานคร จัดตั้งชุมชนขึ้นมาหลายชุมชน และมอบทะเบียนบ้านให้กับคนในชุมชนต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงสาธารณูปโภคได้ง่ายขึ้น เพราะการที่รัฐออกทะเบียนบ้านรับรองสิทธิอาศัยในพื้นที่ให้ จะเป็นเอกสารที่นำไปใช้ประกอบในการขอใช้สาธารณูปโภค อย่างเช่น น้ำประปาหรือว่าไฟฟ้า หากที่ผ่านมาก็ยังคงติดขัดปัญหาอื่นๆ ทำให้ผู้คนในชุมชนยังไม่ได้รับสาธารณูปโภคที่เพียงพอ

 

บางครัวเรือนแม้มีทะเบียนบ้านแล้ว ก็ยังไม่สามารถยื่นเรื่องขอใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวงได้ เนื่องด้วยจะต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าของที่ดิน หรือ รฟท. เสียก่อน เมื่อไม่มีการให้อนุญาตจาก รฟท. ทำให้ชาวบ้านในชุมชนยังต้องขอใช้ไฟฟ้าต่อจากบ้านหลังอื่นในละแวกใกล้เคียงที่ได้รับการอนุมัติ และประสบปัญหาการใช้ไฟฟ้าราคาแพง ถึงหน่วยละ 11-14 บาท และอาจจะสูงขึ้นไปอีกเมื่อเป็นการใช้ไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน อันเนื่องมาจากการคำนวณค่าไฟ

 

ไม่ใช่ไม่พยายาม


บ่อยครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ไล่ที่ชุมชนเมือง คนในสังคมมักมองว่า ปัญหาของคนจนในสลัมจำนวนมากเกิดจากการไม่เตรียมตัว ไม่เตรียมความพร้อม ไม่ตระหนักว่าไม่ใช่ที่ของตน และดื้อแพ่งไม่ยอมย้ายออก แต่สำหรับสุมิตรา เธอให้มุมมองที่แตกต่างออกไป

 

เธอชี้แจงว่าที่จริงแล้วคนในชุมชนมีความพยายามในการเตรียมความพร้อมอยู่แล้ว ที่ผ่านมาคนในชุมชนจำนวนมากตระหนักดีว่าพวกตนไม่ได้มีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย เพราะบ้านตั้งอยู่ในพื้นที่ของ รฟท. ไม่ใช่พื้นที่ของตนเอง ที่ผ่านมาชุมชนเมืองก็มักจะถูกไล่ออกจากพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง 

 

สุมิตราและสมาชิกรายอื่นในชุมชนจึงมีความคิดว่า ชุมชนต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยขึ้นมา อย่างตัวเธอและชุมชนมีความพยายามในการเตรียมความพร้อมมานาน ก่อนหน้าจะมีข่าวเรื่องการไล่รื้อ อย่างเช่น การตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับสร้างบ้านมั่นคง 

 

“เราเคยตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อสร้างบ้านมั่นคงมาก่อนแล้วรอบหนึ่งในช่วงปี 2547 ตอนนั้นเราร่วมทำงานกับ พอช. (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)) เขาก็ถามว่าคุณอยู่ที่ดินรถไฟมันมั่นคงไหม อยากมีบ้านมั่นคงไหม แล้วเสนอว่าเราน่าจะทำการออมกัน เพราะถ้าสักวันมีการไล่รื้อเกิดขึ้น เราจะได้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง อย่างน้อยถ้ามีการไล่รื้อขึ้นมาก็จะได้มีข้อต่อรอง เราไม่ได้ต่อรองเพื่อจะดื้อแพ่ง เราต่อรองเพื่อให้คุณหาที่ให้เราอยู่ แต่ตอนนั้นทำได้แค่พักหนึ่งก็เลิกไป เพราะคนในชุมชนก็ยังไม่มีข้อมูลมาก ยังเชื่อเราครึ่งหนึ่ง ไม่เชื่อเราครึ่งหนึ่ง แต่เรารู้แล้วว่าการที่เราออมทรัพย์ เราจะได้บ้านแน่นอน แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะได้บ้านแบบไหนเท่านั้นเอง”

 

อย่างไรก็ดี ความพยายามในการออมเงินเพื่อบ้านมั่นคงของสุมิตราในปี 2547 ต้องล้มเลิกไปในช่วงปี 2555 เนื่องจากความไม่ชัดเจนในแผนงานการออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนสำหรับการสร้างบ้านในอนาคต

 

โซนชุมชนติดริมรางรถไฟ บริเวณชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันโซน 5 ซึ่งสามารถทะลุถนนเพชรบุรีได้ จึงมักมีประชาชนสัญจรเป็นเส้นทางตัดเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทางไปทำงาน

 

เตรียมพร้อมก่อนไล่รื้อ

 

หลังจากที่สมาชิกชุมชนได้ทราบถึงข่าวการสร้างทางรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ชุมชนก็เริ่มตระหนักว่าใกล้ถึงเวลาที่จะต้องโยกย้าย แม้ว่าชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันจะยังไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงเหมือนกับชุมชนอื่นๆ ที่ประสบปัญหาการขับไล่และรื้อพื้นที่จากการสร้างรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน เฉกเช่น ชุมชนแดงบุหงา หรือชุมชนบุญร่มไทร บริเวณถนนพญาไท ที่มีข้อพิพาทถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อไล่ผู้อยู่อาศัยออกจากพื้นที่ 

 

แต่เมื่อชุมชนอื่นที่อยู่ใต้พื้นที่การพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน มันก็ค่อนข้างแน่ชัดว่าภายในเวลาอีกไม่นาน ชุมชนแห่งนี้ก็อาจประสบชะตากรรมเดียวกันกับเพื่อนบ้านในย่านเขตราชเทวี ทางชุมชนจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยการริเริ่มตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ตอนที่รู้ว่าโครงการ (การพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน) เข้ามา พี่ก็ไปคุยกับชาวบ้านว่า ถ้าเขาจะมีโครงการตรงนี้เข้ามาเราจะว่าอย่างไร ก็จับกลุ่มนั่งคุยกัน บางคนก็บอกว่าเขาจะกลับบ้านนอก บางคนบอกถ้าหัวหน้าทำอย่างไรฉันก็จะทำด้วย ถ้าจะย้ายก็จะย้ายด้วย เราก็บอกเขาไปว่าถ้าจะไปด้วยกัน มันจะต้องมีมาตรการอย่างนี้นะ ต้องมาออมเงินกัน เราออมแล้วเราถึงจะเรียกร้องเรื่องที่อยู่อาศัยได้” สุมิตรากล่าว

 

ใบเสร็จรับเงินการออมทรัพย์ของชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน

 

สุมิตราเล่ารายละเอียดว่า ตัวเธอเองเคยร่วมงานกับ พอช. มาก่อน เป็นเวลาหลายปีที่เธอรับรู้ถึงปัญหาการไล่รื้อที่อยู่อาศัยของชุมชนต่างๆ เธอจึงเข้าไปพูดคุยกับ พอช. และทางหน่วยงานก็ได้เสนอให้ชุมชนเริ่มออมทรัพย์อีกครั้ง เพราะหลักการทำงานของ พอช. และโครงการบ้านมั่นคง คือการที่ชุมชนหรือบุคคลที่จะเข้าร่วมโครงการนี้จะต้องมีประวัติในการออมทรัพย์ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยในแต่ละเดือน เพื่อเป็นหลักประกันชั้นต้นว่าคนในชุมชนมีวินัยทางการเงิน และสามารถผ่อนบ้านได้ในอนาคต

 

“โมเดลของ พอช. คือ ไม่ว่าจะมีเงินน้อยเงินมากไม่เป็นไร แต่อยากให้ออมเพื่อแสดงศักยภาพว่าเราจะสามารถผ่อนบ้านได้ในอนาคต พี่ก็เลยมาชวนคนที่นี่ทำ มานั่งคุยกัน มาออมกัน ทุกวันนี้เราออมกันเดือนละ 500 บาท แต่ถ้าบางเดือนใครไม่มีก็พอพูดคุยกันได้”

 

แม้ว่าทางชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันจะกลับมาทำการออมทรัพย์อีกครั้ง ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียทั้งหมด หนึ่งข้อกังวลหลักคือเรื่องการกำหนดระยะเวลาในการขับไล่ออกจากพื้นที่ ที่ไม่สัมพันธ์กับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในโครงการบ้านมั่นคงแห่งใหม่ที่ยังไม่แล้วเสร็จ

 

เมื่อชุมชนแห่งนี้และชุมชนอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าเริ่มประสบปัญหา ระหว่างอาคารหลังใหม่ยังอยู่ระหว่างการปรึกษาหาข้อสรุป แต่ รฟท. ก็ขยับรุกคืบขับไล่ผู้อยู่อาศัยออกจากพื้นที่โดยไม่มีที่อยู่อาศัยแห่งใหม่รองรับ ทาง พอช. จึงเสนอให้รวมกลุ่มกันขึ้นมาเพื่อดำเนินการและประสานงานให้เป็นไปในทิศทางเดียว ชุมชนจึงได้ร่วมกันจัดตั้งเป็น เครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ (ชมฟ.) รวมถึงเข้าร่วมกับ เครือข่ายสลัมสี่ภาคและพีมูฟ (P-move) เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลให้เข้ามาแก้ไขปัญหาการขับไล่ของ รฟท. 

 

ณ เวลานี้ได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาในหลายประเด็น โดยทางรัฐบาลออกคำสั่งให้การเคหะแห่งชาติ เข้ามาดูแลในส่วนของการสร้างอาคารหลังใหม่ เพื่อให้คนในชุมชนที่ถูกไล่รื้อเข้าอยู่อาศัย ที่บริเวณซอยหมอเหล็งและบึงมักกะสัน 

 

พื้นที่บริเวณชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันโซน 6 ยังมองเห็นปล่องจากโรงปูนน่ำเฮง และป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ในย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร รายละเอียดเรื่องข้อตกลงและการหาที่อยู่อาศัยใหม่สามารถอ่านได้ที่ ‘แสงสุดท้ายที่ชุมชนบุญร่มไทร การต่อสู้ของคนจนเมืองริมทางรถไฟ เมื่อถูกขับไล่จากภาครัฐ’

 

เมื่อต้นทุนในการย้าย ไม่ใช่แค่ค่าบ้าน

 

อัญชลี อันทะศรี อายุ 42 ปี ชาวชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน เล่าให้ฟังว่า ตนเองอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด มีความผูกพันกับที่แห่งนี้มาก และการย้ายออกจากชุมชนในครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลเพียงวิถีชีวิตของเธอเพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงลูกอีก 2 คนที่ยังอยู่ในวัยเรียน ซึ่งหากต้องย้ายออกไปอยู่ในพื้นที่อื่นที่ไกลจากที่ตั้งของโรงเรียนในปัจจุบัน ก็คงต้องพิจารณาเรื่องของการย้ายโรงเรียนเช่นกัน

 

“ตอนที่รู้ข่าวว่าจะต้องย้ายก็ใจหาย ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะมีลูก 2 คนที่เรียนอยู่แถวนี้ ถ้าย้ายตอนนั้นก็ไม่รู้จะย้ายไปไหน จะไปเริ่มใหม่อย่างไร ลูกจะไปเรียนที่ไหน จะไปทำงานอะไร” อัญชลีกล่าว

 

คำตอบที่เรียบง่ายแสดงถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างผู้คน วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย และอาชีพ เพราะสำหรับคนจนเมืองแล้ว การย้ายที่อยู่อาศัยไม่ใช่เพียงการย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่เป็นเสมือนการเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยต้นทุนก้อนใหม่ ที่หลายคนก็ไม่แน่ใจนักว่าจะมีต้นทุนเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายเหล่านั้นหรือไม่

 

เธอเล่าถึงความกังวลต่อไปว่า “ไม่ใช่ว่าเราดื้อ เราจะไม่ยอมย้าย เรารู้ว่าที่ดินที่เราอยู่ถ้าพูดมันก็คือบุกรุก แต่ตอนที่รู้ว่าจะต้องย้ายเราก็กังวลเป็นธรรมดา เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าจะต้องไปอยู่ที่ไหน เราเองก็พิการมีปอดข้างเดียว ทำให้ทำงานหนักไม่ได้ มันหางานทำยาก สามีทำงานอยู่แถวนี้ถ้าย้ายไปไกลก็ไม่รู้ว่าจะหางานได้ไหม แล้วถ้าย้ายตอนนั้นจะหาเงินที่ไหนมาย้าย”

 

อัญชลี อันทะศรี อายุ 42 ปี ชาวชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน

 

เธอสะท้อนต่อว่า อย่างในกรณีที่คนในชุมชนทำงานเกี่ยวกับการค้าขาย การที่ต้องโยกย้ายถิ่นฐานมันคือการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เพราะตัวผู้ขายเองก็ต้องหาพื้นที่ขายของแห่งใหม่ และยังไม่สามารถรับประกันเรื่องจำนวนลูกค้าได้อีกด้วย

 

“จริงๆ เวลาที่คนในชุมชนส่วนมากเขาไม่อยากย้ายไม่ใช่เพราะเขาหวงที่ หรือเขาเห็นแก่ตัวหรอกพี่ แต่คือถ้าเราไปที่อื่นไกลๆ เราจะทำมาหากินอย่างไร คนในชุมชนแบบนี้ส่วนมากก็ทำงานขายของ แล้วพอย้ายที่ไปที่ใหม่ก็ต้องหาที่ขายของใหม่ หาลูกค้าใหม่ แล้วเขาจะทำอย่างไร ไปไหนก็ไม่ใช่ว่าจะเอาของไปขายได้เลย เขาก็มีเจ้าที่เจ้าถิ่นอยู่ มีร้านเดิมอยู่ ไปขายมั่วก็ไม่ได้”

 

หรือหากยกตัวอย่างอาชีพอื่น เช่น คนในชุมชนที่ประกอบอาชีพขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มันเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงที่จะเปลี่ยนพื้นที่ประกอบการทำงานในทันที เพราะในแต่ละเขตก็มีผู้ประกอบการหน้าเดิมอยู่แล้ว หากเราเป็นสมาชิกหน้าใหม่เข้าไปก็คงไม่ได้รับการยอมรับ ยังไม่รวมกับเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนของเสื้อวินที่ลงทุนกันไปแล้วพอสมควร

 

สิ่งที่อัญชลีเล่าสะท้อนให้เห็นว่าสำหรับคนในชุมชน มีความตระหนักอยู่เสมอว่าความเปลี่ยนแปลงต้องมาถึง และพวกเขาก็ไม่ได้จะขัดขืนความเปลี่ยนแปลงนั้น 

 

หากการพลิกพื้นที่อย่างถอนรากถอนโคนและไม่มีเวลาให้ตั้งตัวเป็นสิ่งที่รุนแรงเกินไปสำหรับคนที่ไม่มีโอกาสทางเศรษฐกิจอื่นรองรับ

 

สำหรับพวกเขา การย้ายที่อยู่อาศัยนั้นไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนสถานที่ตั้งของบ้านหรือเปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบ แต่หมายรวมถึงการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน เปลี่ยนโรงเรียนของลูกหลาน เปลี่ยนแนวทางการทำมาค้าขาย เปลี่ยนอาชีพ และการเปลี่ยนอาชีพสำหรับคนที่เป็นแรงงานไร้ทักษะ หรือแรงงานทักษะต่ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย รวมถึงการหาทำเลค้าขายประกอบธุรกิจที่ใกล้กับที่อยู่ใหม่ด้วย โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

 

รถเข็นขายของ อุปกรณ์หาเลี้ยงชีพของผู้อยู่อาศัยรายหนึ่งจอดไว้ริมทางเดินภายในชุมชนโซน 5 ผู้อยู่อาศัยภายในชุมชนโซน 5 ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพหาบเร่ขายของที่ตลาด หรือส่วนอื่นๆ รอบบริเวณชุมชน รถเข็นถือเป็นอุปกรณ์เลี้ยงชีพที่ค่อนข้างสำคัญของผู้คนในชุมชน

 

หนทางที่ขรุขระเหมือนทางรถไฟ

 

สำหรับขบวนรถไฟสำหรับการเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ของชุมชมริมทางรถไฟมักกะสันที่มีการเตรียมความพร้อมมาบ้าง มีการออมทรัพย์สำหรับการก่อสร้างบ้านมั่นคง อันเป็นความคาดหวังว่าจะเป็นแหล่งพักพิงแหล่งใหม่ที่ถาวร แต่ก็ยังมีหินก้อนใหญ่มาขวางกลางรางรถไฟ จนเกือบไถลตกราง หินก้อนนั้นก็คือการแพร่ระบาดของโรคโควิด

 

แต่เดิมในชุมชนแห่งนี้ หนึ่งครอบครัวอาจประกอบด้วยสมาชิกครอบครัว 3-4 คน เป็นแรงงานหรือเป็นผู้ที่สามารถหารายได้เพียง 1-2 คน โดยรายได้เฉลี่ยของแต่ละครอบครัวตกเดือนละประมาณ 8,000-15,000 บาท เมื่อคนหาเช้ากินค่ำในชุมชนต้องประสบกับโรคระบาดโควิด ที่ตัดขาดหนทางในการทำมาหากินแทบทั้งสิ้น สถานการณ์ทางการเงินในชุมชนก็เลวร้ายลงไปอีก 

 

“บ้านหนึ่งก็มีแรงงานแค่คนเดียว แล้วพอโควิดมาก็ตกงานกันเยอะมาก เกินครึ่งชุมชน แบบอยู่กัน 4 คน บางทีก็ทำงานคนเดียว อีกคนตกงาน บางคนก็ป่วยบ้าง พิการบ้าง ต้องเลี้ยงคน 3-4 คน บางทีก็ทำงานได้ไม่กี่วัน ไม่จ้างเต็มเดือนเหมือนแต่ก่อน สัปดาห์หนึ่งได้ทำ 2-3 วัน แล้วเดือนหนึ่งจะได้เท่าไร แล้วต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เลี้ยงคน 3-4 คนจะพอไหมล่ะ” สุมิตราเล่า

 

ภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์พักคอยระหว่างช่วงการระบาดของโควิด

 

เธอย้อนความต่อไปว่า หลังจากที่โรคโควิดแพร่ระบาด การออมทรัพย์ของชุมชนก็ต้องสะดุดไป เพราะคนในชุมชนตกงานเป็นจำนวนมาก การจะแบ่งเงิน 500 บาทมาเพื่อออมเงินรายเดือนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งสำหรับหลายๆ ครอบครัวนอกจากจะขาดรายได้แล้ว ยังต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติมตามมาอีก อย่างเช่นรายจ่ายรายการใหม่ที่ผุดขึ้นมาจำนวนมากจากการเรียนในรูปแบบออนไลน์ 

 

“ยิ่งบ้านที่มีเด็ก มีลูกนะ เด็กไปโรงเรียนไม่ได้ ต้องไปหาคอมพิวเตอร์ หามือถืออะไรมาให้เรียนออนไลน์ อยู่บ้านก็แพงขึ้นอีก ทั้งค่ากินค่าอยู่ลูก ไหนจะค่าอินเทอร์เน็ต ค่าไฟก็เพิ่ม แต่หาเงินได้น้อยลง แล้วคนมันจะทำอย่างไร บางทีก็ไม่พอจะมาออม ป้าก็ต้องเคี่ยวเข็ญให้มาออมให้ได้ เท่าไรก็เอามาก่อน” 

 

ลำไย อายุ 73 ปี เดิมภูมิลำเนาอยู่ที่ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร มาอาศัยอยู่ในชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันโซน 6 ได้ 30-40 ปีแล้ว ลำไยเล่าว่า เดิมแรกเริ่มเข้ามาประกอบอาชีพขายลาบ ขายน้ำตก เข็นรถอยู่ย่านมักกะสัน-ราชปรารภกับสามี ปัจจุบันสามีเสียชีวิตไปแล้ว

 

นอกจากการขาดรายได้แล้ว อีกปัญหาที่ตามมาจากการระบาดคือปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเพราะความสิ้นไร้ไม้ตอกและหาทางออกไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อการแพร่ระบาดของโควิดทำให้คนตกงานมากขึ้น และเมื่อคนไร้อาชีพ ขาดรายได้ ก็เป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม

 

“ปัญหาก็มาเป็นทอดๆ ตอนแรกคนก็ตกงาน ตกงานมันไม่มีอะไรทำก็อยู่บ้าน มานั่งมั่วสุมกันบ้าง กินเหล้าบ้างทำอะไรบ้าง พอไม่มีเงินก็เครียด ก็ไปปล้นไปจี้ ไปขโมยของเขา”

 

อีกปัญหาที่เป็นปัญหาใหญ่ในชุมชนก็คือ พอไม่สามารถหาเงินได้จากการทำงานโดยสุจริต หลายคนก็หันหน้าไปพึ่งพาการเสี่ยงโชคอย่างการพนัน หรือบางคนก็ต้องไปเงินกู้นอกระบบ ที่ท้ายที่สุดเงินที่หมุนเวียนไม่เพียงพอก็ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านี้ ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้

 

“อีกอันที่เป็นปัญหาคือคนไม่มีเงิน ก็หาทางได้เงินไวแหละ ก็ไปเล่นการพนันบ้าง ไปกู้เงินนอกระบบอะไรต่างๆ พอไม่มีจ่ายก็มาทำเรื่องไม่ดีพวกนี้” 

 

สุมิตราสะท้อนต่อไปว่า จริงๆ แล้วปัญหาอาชญากรรมเกิดเพราะสภาวะว่างงานและ ไม่มีอันจะกิน ถ้าหากมีการหยิบยื่นโอกาส มอบหนทางในการจัดหางานให้คนในชุมชน ก็จะทำให้คนมีกินและทำให้คนไม่ว่าง การจัดหางานจึงอาจเป็นวิธีที่น่าสนใจในการแก้ปัญหา 

 

“ปัญหามาจากไม่มีงาน ง่ายๆ ก็คือหางานให้ทำ อย่างน้อยพอมีอะไรทำก็จะไม่ว่าง ไม่ต้องมานั่งมั่วสุมกัน”

 

เธอเล่าต่อไปว่า เธอได้พูดคุยกับทางเครือเจริญโภคภัณฑ์ไปบ้าง ให้ลองพิจารณารับคนในพื้นที่ชุมชนเข้าไปทำงานใต้โครงการพัฒนารถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ที่กำลังจะก่อสร้าง เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คนในชุมชนมีงานและรายได้

 

“มีช่วงหนึ่งที่ทางซีพีเขาเข้ามาคุย บอกว่าถ้าจะเข้ามาทำงานมาก่อสร้างเขากลัวว่าคนในชุมชนจะไปเกเรใส่ ป้าก็บอกเขาไปว่า อันนี้ป้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ถ้ามีงานมีอะไรให้ทำก็น่าจะเลิกเกเร หางานให้เราได้ไหม ถ้ามีงานอะไรจะเป็นก่อสร้าง หรืออะไรที่คนในชุมชนเราพอทำได้ก็เอาไปทำหน่อย มีโควตาให้บ้าง ถ้าคุณจะเปิดทำการ งาน รปภ. งานแม่บ้านก็เอาเราไปบ้าง เขาก็บอกว่าจะเอาไปพูดคุยกันดู ถ้าได้จริงๆ มันก็ดี”

 

ลุงสมเดช อาศัยอยู่ในบ้านขนาดเล็กใจกลางชุมชนมักกะสัน พร้อมด้วยสุนัขหลายชีวิตที่เป็นดุจมิตรสหายที่ใกล้ชิด

 

การขอเช่าพื้นที่ที่ไม่คาดคิด

 

แม้ทางชุมชนจะมีความพยายามเตรียมความพร้อมมาพอสมควร ผ่านการริเริ่มการออมทรัพย์และการเข้าไปพูดคุยกับทาง พอช. และเพิ่งมาสะดุดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด แต่แผนการเตรียมความพร้อมของทางชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน ก็อาจจะไม่เพียงพอกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

 

ตามแผนการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันจะตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนที่ 4 จำนวน 150 ไร่ อันเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการเปิดประมูลสัมปทาน ไม่คาบเกี่ยวกับพื้นที่ส่วนที่ 1 จำนวน 140  ไร่ที่บริษัทได้รับสัมปทานไปก่อนหน้า รวมไปถึงบ้านจำนวนหนึ่งปลูกอยู่ใต้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่จำนวน 2 ป้าย ที่มาเช่าพื้นที่ของการรถไฟทำเป็นป้ายโฆษณาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางชุมชนเป็นเวลาหลาย 10  ปี

 

ทางชาวบ้านจึงพอใจชื้นได้ว่า จนกว่าทางรัฐจะมีแผนงานการพัฒนาพื้นที่ที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีผู้ได้รับสัมปทานในการพัฒนาพื้นที่ และยังอยู่ในช่วงเวลาที่สัญญาของป้ายโฆษณา 2 ชิ้นนี้ยังไม่หมดลง พวกเขาจะยังสามารถอาศัยอยู่ที่เดิม เมื่อบ้านหลังใหม่ใต้ความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติสร้างเสร็จ ก็ค่อยย้ายถิ่นที่อยู่

จนกระทั่งป้ายโฆษณาดังกล่าวหมดสัญญากับการรถไฟไปเมื่อปีที่ผ่านมา 

 

สุมิตราเล่าถึงเรื่องนี้ว่า “เราโชคดีอยู่อย่างคือตอนรู้เรื่องโครงการพัฒนาพื้นที่ (ปี 2558) การรถไฟยังไม่หมดสัญญากับป้าย แต่ตอนนี้ป้ายเขาเลิกสัญญาแล้ว เพราะพักหลังเขาต่อปีต่อปี แต่ก่อนนี้ 10 ปี 20 ปี 30 ปี ทุกวันนี้เราก็ยังอยู่แบบเสียวๆ ตอนนี้เราก็อาศัยป้าย ถ้าป้ายยังอยู่ เราก็ยังอยู่ได้ ถ้าป้ายไม่อยู่ เราไปแน่นอน พอมันไม่มั่นคงเราก็ปลุกระดมพี่น้องว่าให้มาทำออม แล้วก็มาเรียกร้องกัน อย่างน้อยถ้าป้ายไม่เช่าต่อ เราขอเช่าเอง แบบนี้”

 

ในท้ายที่สุด การยื่นเรื่องขอเช่าพื้นที่ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันใต้ป้ายโฆษณาก็เกิดขึ้น หากผู้ยื่นขอเช่าพื้นที่กับทางเจ้าของพื้นที่อย่าง รฟท. ไม่ใช่ชาวบ้านชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน แต่เป็นทางเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่เดินเรื่องทำการขอเช่าพื้นที่จาก รฟท. เพื่อใช้เป็นพื้นที่เก็บเครื่องจักรกลหนักในโครงการก่อสร้างส่วนที่ 1 หรือบริเวณตัวสถานีรถไฟฟ้ามักกะสันที่อยู่ใต้การบริการของบริษัท รวมถึงมีแผนการในอนาคตที่อาจจะสร้างเป็นพื้นที่จอดรถ

 

บรรยากาศบริเวณลานกว้างที่เคยเป็นสนามฟุตบอล ออกกำลังกายของชุมชน ถูกคลุมด้วยโครงเหล็กยักษ์ของป้ายโฆษณา

 

“คือซีพีเขาเช่าฝั่งตรงข้ามใช่ไหม ตอนนี้ 140 ไร่ แล้วเขาจะมาขอเช่าตรงนี้ (พื้นที่ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันไม่อยู่ในพื้นที่สัมปทานที่ทางบริษัทได้รับแล้ว) เพิ่มตรงข้างหน้าให้เป็นที่จอดรถ แต่ป้าไปประท้วงว่าคุณทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในสัญญาเช่าของคุณ”

 

เมื่อมีการเช่าพื้นที่เพิ่มเติมเกิดขึ้น ในขณะที่ยังมีชาวบ้านอยู่อาศัย และโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติเพื่อรองรับคนในชุมชนยังสร้างไม่แล้วเสร็จ ทางชุมชนจึงได้ยื่นข้อเสนอไปกับ รฟท. ว่า พวกตนนั้นเข้าใจดีว่าท้ายที่สุดแล้วต้องย้ายออก แต่ ณ เวลานี้พวกตนขออยู่ตรงนี้ไปก่อนได้หรือไม่ เมื่อการสร้างที่อยู่อาศัยเสร็จสิ้นแล้ว พวกตนก็ยินดีที่จะย้ายออกไปในทันที เพราะถ้าต้องออกทันทีในตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนเหมือนกัน

 

“เราก็เลยไปประท้วงว่าที่จะมาเช่าเพิ่มมาทำที่จอดรถ เรายังขอไม่ให้ได้ไหม เราขอเช่าตรงนี้แทนได้ไหม เอามาทำเป็นบ้านคนให้เราอยู่ไปก่อน ให้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของเราไปจนกว่าตึกจะเสร็จ แต่ตอนนี้ทางนั้นเขาขอเช่าแล้ว และยังตกลงกันอยู่ ป้าก็ประท้วงว่ามันไม่ได้ ก็นี่มันเป็นชุมชน คุณจะไล่คนมาทำที่จอดรถได้อย่างไร ป้าก็ยังไม่รู้ว่าระบบมันเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าเขาคุยกันอย่างไร แต่ตอนนี้คือตรงนี้ยังขอไม่ให้ได้ไหม”

 

ถึงแม้การที่ชาวบ้านยังไม่ยอมย้ายออกนั้นอาจดูเผินๆ ว่าเป็นการดื้อแพ่งและเอาเปรียบเอกชนคู่สัญญา ที่ทำสัญญาไว้กับรัฐและได้ลงทุนไปแล้ว ในขณะเดียวกันนั้น

 

พื้นที่อยู่อาศัยอันแออัดภายในชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันโซน 5 ในภาพพื้นที่แคบๆ ดังกล่าวมีบ้านพักอยู่จำนวน 5 หลัง

 

การเยียวยาที่ไม่เท่าเทียม

 

ตามสัญญาฉบับเดิมที่บริษัทเอเชีย เอรา วัน จำกัด ได้ทำกับ รฟท. ระบุไว้ว่า ทางบริษัทจะเข้ามาบริหารงานและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของโครงการพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน และมักกะสันคอมเพล็กซ์ ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2564 โดยทางบริษัทจะต้องชำระค่าใช้จ่ายจำนวน 10% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือประมาณ 10,671 ล้านบาท ภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2564 

 

กล่าวอย่างง่ายคือ ทางบริษัทจะต้องชำระเงินให้กับรัฐจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อเข้ามาเทกโอเวอร์โครงการการพัฒนาในส่วนของสถานีแอร์พอร์ต เรล ลิงก์

 

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อบริษัทไม่สามารถชำระเงินให้กับทางรัฐได้ทันกำหนดเวลา ทางบริษัทจึงทำหนังสือเพื่อหารือกับทางรัฐบาล โดยให้ระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เป็นเหตุให้กระทบต่อผลประกอบการของบริษัท และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์เองก็มีจำนวนผู้ใช้ลดลง ทางบริษัทจึงยื่นขอให้รัฐออกมาตรการเยียวยาออกมา ต่อมาในวันที่ 20 ตุลาคม 2564 มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่เพื่อแก้ไขสัญญา ดังนี้

 

จากเดิมที่บริษัทจะต้องจ่ายเงินก้อนแรกจำนวน 10,671 ล้านบาทในคราวเดียว จะเปลี่ยนเป็นการผ่อนชำระเงินจำนวน 10,671 ล้านบาทออกเป็น 7 งวดย่อย โดย 6 งวดจะชำระ 1,067 ล้านบาทต่องวด และงวดสุดท้ายจะชำระ 4,269 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย

 

ซึ่งจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีการตกลงผ่อนชำระในอัตราที่น้อยกว่าสัญญาฉบับแรกอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังไม่มีการชำระเงินครั้งแรก และไม่มีการเซ็นสัญญาฉบับใหม่แต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมอื่นๆ เข้ามาใน MOU ฉบับดังกล่าว เช่น เสนอให้มีการขยายเวลาสัญญาสัมปทานจากเดิม 50 ปีเป็นระยะเวลาที่นานกว่านั้น และรัฐต้องจ่ายค่าก่อสร้างในส่วนของตัวเองจำนวน 1.19 ล้านบาทให้กับทางบริษัท เร็วขึ้นจากที่สัญญาฉบับแรกรัฐจะมีระยะเวลาผ่อนชำระเงินทั้งสิ้น 10 ปี แต่ในข้อเสนอฉบับนี้รัฐจะต้องทยอยจ่ายให้ครบใน 7 ปี ทำให้รัฐมีเวลาชำระเงินสั้นลงถึง 3 ปี ในขณะที่บริษัทกลับได้โอกาสในการผ่อนชำระที่ยาวนานขึ้น ทั้งที่ควรจะมีการจ่ายเงินงวดแรกมาตั้งแต่ปี 2564

 

ซึ่งจนถึงปัจจุบัน มีแนวโน้มว่าจะมีการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมอีกครั้งภายในเดือนมีนาคม 2566

 

คำถามที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้คือ ในขณะที่ภาครัฐสามารถมีข้อตกลงเยียวยาและผ่อนปรนขอบเขตระยะเวลาต่างๆ ให้กับเอกชนขนาดใหญ่ได้ ทั้งการผ่อนปรนการชำระหนี้ ยืดเวลาการชำระหนี้ รวมถึงโอกาสในการขยายระยะเวลาสัญญา

 

บรรยากาศริมรางรถไฟสถานีมักกะสันช่วงกลางวันและกลางคืน

 

แต่ในขณะเดียวกันการเยียวยา ข้อตกลง และการขยายเวลาในการไล่รื้อ กับชาวชุมชนที่ส่วนหนึ่งเองก็เป็นพนักงานและลูกจ้างของ รฟท. กลับยังไม่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีที่อยู่รองรับอย่างชัดเจนแล้ว รอเพียงแต่ให้อาคารเหล่านั้นสร้างเสร็จก็ตาม 

 

จนถึงตอนนี้ข้อพิพาทเรื่องการขอเช่าที่ดินของชาวชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน ว่าชาวชุมชนจะสามารถเช่าอยู่ในพื้นที่ไปก่อน จนกว่าอาคารเพื่อรองรับพวกเขาจะแล้วเสร็จหรือไม่ หรือจะต้องโดนโยกย้ายไปที่ใดก่อนก็ยังคงเต็มไปด้วยความคลุมเครือ เพราะ ณ ปัจจุบันยังไม่ได้มีการเปิดประมูลและพิจารณาโครงการพัฒนาที่ดินในเฟสดังกล่าว และถ้าหากต้องโยกย้ายก่อน ที่ดินบริเวณดังกล่าวใครจะได้สิทธิ์เป็นผู้เช่าต่อไป

 

รวมไปถึงข้อสรุปของปัญหาเรื่องการไล่รื้อชุมชนที่อาศัยบนที่ดินของ รฟท. จะเป็นอย่างไร เราจะได้นำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ในโอกาสต่อไป

 

เรื่อง: ธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์ 

ภาพ: พีระพล บุณยเกียรติ

The post มักกะสันคอมเพล็กซ์: เมกะโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ บนพื้นที่อยู่อาศัยคนจนเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
มักกะสันคอมเพล็กซ์: เมกะโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ บนพื้นที่อยู่อาศัยคนจนเมือง https://thestandard.co/makkasan-complex-on-residential-area/ Sun, 19 Feb 2023 11:00:16 +0000 https://thestandard.co/?p=752483

ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน นับว่าเป็นชุมชนแออัดขนาดใหญ่กลา […]

The post มักกะสันคอมเพล็กซ์: เมกะโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ บนพื้นที่อยู่อาศัยคนจนเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน นับว่าเป็นชุมชนแออัดขนาดใหญ่กลางกรุงเทพมหานคร ด้วยตัวเลขผู้อยู่อาศัยกว่า 3,000 ครัวเรือน

 

พื้นที่แห่งนี้อยู่ใต้แผนการจัดสรรและดำเนินการปรับเปลี่ยนพื้นที่ตามโครงการพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน หรือที่รู้จักกันในนาม ‘มักกะสันคอมเพล็กซ์’ อันเป็นส่วนหนึ่งของเมกะโปรเจกต์รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินของรัฐบาลสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 

 

โครงการมักกะสันคอมเพล็กซ์ตั้งอยู่บนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เนื้อที่ราว 497 ไร่ แบ่งย่อยพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ มีบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (เครือเจริญโภคภัณฑ์) เป็นผู้ได้รับสัมปทานในพื้นที่ส่วนที่ 1 เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังได้ทำการขอเช่าพื้นที่ในส่วนที่ 4 เพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นจุดพักอุปกรณ์ก่อสร้าง หากปัจจุบันพื้นที่ส่วนนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนคนจนเมืองมากกว่า 10,000 ชีวิต

 

ท่ามกลางการขับไล่ชุมชนออกจากพื้นที่ ผู้คนในชุมชนได้รวมตัวกันเพื่อต่อรองขอเช่าพื้นที่เดิมเพื่ออยู่อาศัยระหว่างที่บ้านพักแห่งใหม่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เนื่องด้วยเงื่อนไขนานัปการด้านสถานะทางเศรษฐกิจของผู้คนในชุมชน ซึ่งล้วนแต่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ

 

THE STANDARD พาไปสำรวจพื้นที่ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสัน พื้นที่อยู่อาศัยของคนจนเมืองขนาดใหญ่อีกพื้นที่ นอกเหนือจากชุมชนคลองเตย 

 

 

ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันแบ่งเป็นพื้นที่ 5 ชุมชน จำนวน 3,000 กว่าครัวเรือน ชุมชนมีพื้นที่ที่หลากหลาย นับตั้งแต่บ้านเรียงรายริมทางรถไฟ ไปจนถึงบ้านแออัดกระจุกตัวเป็นกลุ่มก้อน 

 

 

ตัวอักษรพร้อมหมายเลขสีแดงที่ถูกฉีดพ่นบนฝาบ้านแต่ละหลัง เป็นสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อระบุจำนวนบ้านในพื้นที่ชุมชนที่จะทำการผลักดันออกจากพื้นที่

 

 

ผู้อยู่อาศัยในชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันล้วนเต็มไปด้วยผู้คนหาเช้ากินค่ำ ทั้งรถเข็นแผงลอย ตลอดจนแรงงานในภาคส่วนต่างๆ สังเกตได้จากเครื่องมือทำมาหากินที่ถูกจอดไว้รอบที่พักอันแออัด

 

 

ผู้อยู่อาศัยในชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันนำผักที่เหลือขายจากตลาดสายหยุดในช่วงเช้ามาวางแผงหน้าบ้านของตนเพื่อขายต่อให้ผู้คนในชุมชน

 

 

เก้อ ประกอบอาชีพขายผักสด โดยเก้อจะไปรับผักมาจากตลาดสี่มุมเมืองในช่วงเช้า เพื่อมาจัดใส่รถเข็นเดินขายไปตามเส้นทางประจำ 

 

“ต้องขายให้หมดในแต่ละวันครับ เก็บไม่ได้ผักมันเน่าเหี่ยวครับผม” 

 

 

พัฒน์ อายุ 60 ปี อาศัยอยู่ที่ชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันโซน 6 กับลูกสาวและสามี เธอและสามีประกอบอาชีพขายไก่ทอด ปลาทอด บริเวณย่านนานา ออกขายประมาณ 7 โมงเช้าของทุกวัน ไปจนถึงบ่ายหรือจนของหมด 

 

 

แนวบ้านที่เบียดกันอย่างแออัด ประกบสร้างด้วยวัสดุที่ไม่เข้ากัน คือภาพคุ้นตาของที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง

 

 

ด้วยลักษณะพื้นที่ที่ค่อนข้างแคบของชุมชนริมทางรถไฟมักกะสันโซน 5 จึงมีการใช้ทุกพื้นที่ของตัวบ้าน เช่น ฝาผนังบ้านถูกใช้เป็นที่แขวนเสื้อผ้า เนื่องจากบ้านบางหลังไม่มีพื้นที่ทั้งในบ้านและนอกบ้านที่กว้างพอจะใช้เป็นพื้นที่ตากผ้าหรือใช้วางของ

 

 

ข้าวสารของผู้อยู่อาศัยที่นำมาตากแห้งริมทางรถไฟบริเวณโซน 6 เนื่องด้วยพื้นที่จำกัดของที่อยู่อาศัย 

 

 

ทางเข้าชุมชนริมทางมักกะสันโซน 5 และ 6 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างแออัด น้ำเจิ่งนองหลังฝนตก เป็นสภาพปกติของถนนหนทางในชุมชนแห่งนี้

 

เรื่องและภาพ: พีระพล บุณยเกียรติ / Plus Seven

The post มักกะสันคอมเพล็กซ์: เมกะโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ บนพื้นที่อยู่อาศัยคนจนเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกาหลีใต้เร่งอพยพประชาชนราว 500 ราย หลังเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ย่านชุมชนแออัดแห่งสุดท้ายในกรุงโซล https://thestandard.co/seoul-major-fire-in-a-slum/ Fri, 20 Jan 2023 10:38:43 +0000 https://thestandard.co/?p=739892

วันนี้ (20 มกราคม) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการเ […]

The post เกาหลีใต้เร่งอพยพประชาชนราว 500 ราย หลังเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ย่านชุมชนแออัดแห่งสุดท้ายในกรุงโซล appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (20 มกราคม) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการเกาหลีใต้อพยพประชาชนประมาณ 500 รายออกจากที่พักอาศัย หลังเกิดเหตุไฟไหม้บริเวณชุมชนหมู่บ้านกูรยอง ซึ่งเป็นชุมชนแออัดแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในกรุงโซล เมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้

 

ทางด้านชินยองโฮ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงประจำเขตคังนัม ได้เผยรายละเอียดผ่านทางโทรทัศน์ว่า ไฟเริ่มลุกไหม้ในช่วงเช้าที่ผ่านมา เวลาประมาณ 06.28 น. ในเขตที่ 4 ของชุมชนดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยชุดแรกได้รีบเดินทางมายังที่เกิดเหตุในเวลาประมาณ 5 นาทีต่อมา และสามารถดับไฟได้ทั้งหมดเวลาประมาณ 11.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะนี้ยังไม่พบรายงานผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ ทางการเชื่อว่ามีอาคารบ้านเรือนราว 60 หลังถูกไฟไหม้ในพื้นที่ความเสียหายราว 2,700 ตารางเมตร โดยมีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่มากกว่า 800 นาย ทั้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และเฮลิคอปเตอร์อีกจำนวน 10 ลำ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือในเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้

 

ขณะที่ยุนซอกยอล ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ ซึ่งขณะนี้กำลังเข้าร่วมงานประชุมสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้แถลงการณ์ผ่านทางทำเนียบรัฐบาลว่า ตนได้รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ระดมบุคลากรและอุปกรณ์ที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อเข้าช่วยอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย รวมทั้งดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่กู้ภัยอย่างเต็มความสามารถ

 

ทั้งนี้ ชุมชนแออัดกูรยองถือเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมของเกาหลีใต้ เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของย่านคังนัม ซึ่งถือเป็นย่านที่รวบรวมความเจริญไว้ และประกอบไปด้วยตึกอาคารระฟ้ามากมาย โดยตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านกูรยองเพียงไม่ถึง 1 กิโลเมตร เป็นชุมชนแออัดที่ประชาชนชาวเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อยอาศัยอยู่ในบ้านที่คับแคบซึ่งสร้างจากไม้และสังกะสี

 

โดยรัฐบาลเขตคังนัมเคยให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ของตนตั้งแต่ปี 2019 ว่า ชุมชนแออัดแห่งนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้สูง นอกจากนี้ หมู่บ้านกูรยองยังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตน้ำท่วมเมื่อเดือนสิงหาคม 2022 ซึ่งนับเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนในกรุงโซลไปอย่างน้อย 13 ราย ทั้งยังมีผู้พักอาศัยบางส่วนที่ติดอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของบ้าน เช่นเดียวกับที่ภาพปรากฏในภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Parasite ที่เคยสะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นในสังคมเกาหลีใต้ได้อย่างตลกร้าย

 

ภาพ: Yonhap / AFP

 

อ้างอิง: 

 

The post เกาหลีใต้เร่งอพยพประชาชนราว 500 ราย หลังเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ย่านชุมชนแออัดแห่งสุดท้ายในกรุงโซล appeared first on THE STANDARD.

]]>
โตเกียวเตรียมแจกเงิน 1 ล้านเยนต่อบุตร 1 คน สำหรับครอบครัวที่ย้ายออกจากเมืองหลวง ลดประชากรแออัด https://thestandard.co/million-yen-per-child-to-leave-tokyo/ Tue, 03 Jan 2023 10:51:41 +0000 https://thestandard.co/?p=732383

กรุงโตเกียวของญี่ปุ่นเตรียมออกนโยบายมอบเงินให้ครอบครัวท […]

The post โตเกียวเตรียมแจกเงิน 1 ล้านเยนต่อบุตร 1 คน สำหรับครอบครัวที่ย้ายออกจากเมืองหลวง ลดประชากรแออัด appeared first on THE STANDARD.

]]>

กรุงโตเกียวของญี่ปุ่นเตรียมออกนโยบายมอบเงินให้ครอบครัวที่ตัดสินใจย้ายบ้านออกจากเขตเมืองหลวง เพื่อลดปัญหาประชากรแออัด โดยจะมอบเงินให้สูงสุด 1 ล้านเยนต่อบุตร 1 คน (ประมาณ 264,000 บาท) จากระดับก่อนหน้านี้ที่ 300,000 เยน

 

ญี่ปุ่นตัดสินใจเพิ่มจำนวนเงินดังกล่าวเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนย้ายออกจากเมืองหลวงกันมากขึ้น ซึ่งนโยบายใหม่จะมีผลในเดือนเมษายนนี้ โดยเพิ่มเติมจากนโยบายเดิมที่ทางการจะสนับสนุนทางการเงินขั้นพื้นฐานสูงสุด 3 ล้านเยน (ราว 792,000 บาท) ให้กับครอบครัวที่ย้ายถิ่นฐาน

 

ผู้ที่อาศัยอยู่ใน 23 เขตของกรุงโตเกียว ซึ่งประกอบกันเป็นเขตเมืองหลัก รวมถึงผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่โดยรอบ ได้แก่ จังหวัดไซตามะ ชิบะ และคานางาวะ มีสิทธิ์ได้รับเงินสนับสนุนการย้ายถิ่นฐานภายใต้โครงการนี้ และต้องอยู่อาศัยในพื้นที่ใหม่อย่างน้อย 5 ปี มิเช่นนั้นจะต้องคืนเงินให้กับรัฐ ยกตัวอย่างเช่น หากคู่สามีภรรยาที่มีลูกอายุต่ำกว่า 18 ปี 2 คน ย้ายถิ่นฐานและเริ่มต้นธุรกิจใหม่ในพื้นที่ที่อยู่อาศัยใหม่ พวกเขาจะได้รับเงินสนับสนุนสูงถึง 5 ล้านเยน

 

แม้ประชากรในกรุงโตเกียวจะลดลงเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากหลายบริษัทอนุญาตให้สามารถทำงานทางไกลได้หลังเกิดโควิดระบาด แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงมองว่ามีความจำเป็นที่จะต้องลดประชากรในเขตเมืองหลวงลงอีก รวมถึงควรสนับสนุนให้ประชาชนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองที่ไม่เป็นที่นิยมในประเทศ ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุและมีจำนวนประชากรลดลง เนื่องจากคนหนุ่มสาวมักจะตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงโตเกียว โอซาก้า หรือเมืองใหญ่แห่งอื่นๆ

 

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าว่าจะมีประชาชนราว 10,000 คน ย้ายออกจากกรุงโตเกียวภายในปี 2027 โดยปัจจุบันโตเกียวมีประชากรหนาแน่นถึง 35 ล้านคน หรือเทียบให้เห็นภาพคือคนไทยครึ่งประเทศไปอัดแน่นอยู่ในจังหวัดเดียว

 

แฟ้มภาพ: Yuichi Yamazaki / Getty Images

อ้างอิง:

The post โตเกียวเตรียมแจกเงิน 1 ล้านเยนต่อบุตร 1 คน สำหรับครอบครัวที่ย้ายออกจากเมืองหลวง ลดประชากรแออัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธา ลงพื้นที่เชียงใหม่ เก็บข้อมูลที่อยู่อาศัย ระบุที่ดินอยู่ในมือรัฐ-คนรวยมากเกินไป https://thestandard.co/pita-visits-chiang-mai/ Sat, 10 Dec 2022 08:57:39 +0000 https://thestandard.co/?p=722262

วันนี้ (10 ธันวาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทน […]

The post พิธา ลงพื้นที่เชียงใหม่ เก็บข้อมูลที่อยู่อาศัย ระบุที่ดินอยู่ในมือรัฐ-คนรวยมากเกินไป appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (10 ธันวาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ชุมชนสามัคคีพัฒนา บริเวณหลังวัดโลกโมฬี ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นชุมชนแออัดของผู้มีรายได้น้อย โดยชุมชนดังกล่าวมีแนวโน้มจะรื้อถอนและย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงภูมิทัศน์

 

พิธาเปิดเผยว่า ลงพื้นที่วันนี้รู้สึกย้อนแย้ง เพราะเดิมจะมาร่วมงาน Chiang Mai Design Week พูดคุยเรื่อง Soft Power ความคิดสร้างสรรค์ แต่ในขณะเดียวกันพื้นที่ที่จัดงานมีการดึงดูดนักท่องเที่ยว ยกให้เป็นเมืองน่าอยู่ เมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม แต่ประชาชนยังมีปัญหาเรื่องปากท้อง ที่อยู่อาศัย หรือที่เรียกว่าคนจนเมือง ซึ่งพบได้ในทุกจังหวัด แต่ประชาชนกลุ่มนี้ในจังหวัดเชียงใหม่กลับเป็นคนที่ถูกหลงลืมจากเมืองที่มีการพัฒนา ลักษณะคล้ายๆ กันกับปทุมธานี ที่มีบ้านอยู่บนคลองเหมือนเชียงใหม่ มีการแย่งการใช้ที่ดิน สภาพที่เห็นในวันนี้มีอยู่ทั่วประเทศจนชินตา ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ควรมีภาพอย่างนี้อยู่ในประเทศไทย 

 

ทั้งนี้ บริเวณพื้นที่คลองแม่ข่าจะได้รับการพัฒนาปรับภูมิทัศน์ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการย้ายถิ่นฐานและค่าชดเชย ซึ่งในหลักการการดูแลคนจนเมืองนั้น ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่การดูแลของภาครัฐนั้น อย่างน้อยประชาชนต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม อีกทั้งการโยกย้ายที่อยู่ควรพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการเรียนหนังสือ เพราะหากย้ายไปยังที่ดินที่รัฐมีอยู่ แต่ไกลจากที่อยู่เดิมคงไม่ได้ เพราะประชาชนมีที่ทำงานหรือเรียนหนังสือตามที่อยู่เดิมมานานหลายสิบปี 

 

สำหรับการแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยในระยะสั้น การลงพื้นที่ในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการ เพราะต้องการให้แน่ใจว่ากระบวนการแก้ไขเป็นไปตามที่ได้รับรายงานในสภา ซึ่งหากไม่ลงพื้นที่จะมีเพียงรายงานว่าไม่พบปัญหา มีการดูแลอย่างเต็มที่ ดังนั้นการลงพื้นที่ทำให้ทราบข้อเท็จจริง ได้รับฟังปัญหาและข้อมูลหลากหลายด้านจากชาวบ้าน ว่าเหมือนเช่นที่ได้รับรายงานหรือไม่

 

พิธากล่าวต่อไปว่า การแก้ไขปัญหาระยะยาวจะต้องผลักดันเรื่องรัฐสวัสดิการ การปลดล็อกท้องถิ่น เพื่อให้คนในพื้นที่ดูแลแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ที่ผ่านมามีข่าวสลัม 4 ภาค สมัชชาคนจน ยื่นหนังสือไปยังกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ผู้ที่มารับเรื่องก็จะเป็นข้าราชการจากส่วนกลาง ซึ่งเมื่อถึงวาระก็จะโยกย้าย มีเพียงการรายงานปลัดกระทรวง แต่ประชาชนไม่ได้รับข้อมูล และหน่วยงานในพื้นที่ก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่หากปลดล็อกท้องถิ่นให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด หรือมีการเลือกตั้งในท้องถิ่น ก็จะมีผู้รับผิดชอบสามารถดำเนินการได้โดยคนในพื้นที่ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เมื่อครบวาระ 4 ปีประชาชนก็สามารถเลือกใหม่ได้

 

การดำเนินการหลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ เข้าหารือที่สภา ให้ข้าราชการที่รับผิดชอบทราบว่ามีผู้แทนรู้ปัญหาหรือข้อมูลต่างๆ แล้ว และจะใช้กลไกของกรรมาธิการ ซึ่งพรรคก้าวไกลอยู่ในกรรมาธิการคณะหลายคณะ อาทิ กรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อขับเคลื่อน 3 เรื่อง ได้แก่

 

  1. การมีส่วนร่วมของประชาชน
  2. มีการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการ
  3. มีการชดเชยที่เหมาะสม 

 

รวมทั้งจะมีการผลักดัน 3 เรื่อง คือ 1. การปลดล็อกที่ดิน 2. รัฐสวัสดิการ 3. การกระจายอำนาจ ควบคู่ไปด้วย

 

“โดยทั่วไปแล้วรัฐจะถือครองที่ดินประมาณร้อยละ 30 ของที่ดินทั้งประเทศ แต่ในประเทศไทยพบว่ารัฐบาลถือครองที่ดินมากเกินไป เพราะที่ดินของประเทศกว่า 320 ล้านไร่ พบว่ารัฐบาลถือครองที่ดินมากกว่าร้อยละ 60 ของที่ดินทั้งหมด โดยเป็นที่ดินที่ทหารถือครองกว่า 8 ล้านไร่ อีกทั้งยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนรวยอีกกว่า 6 แสนไร่ ซึ่งจริงๆ แล้วที่ดินของประเทศไทยจำนวน 320 ล้านไร่ หากเอามาแบ่งเฉลี่ยแล้วมีเพียงพอต่อประชาชนทั้งประเทศอย่างแน่นอน” พิธากล่าวในที่สุด

 

 

เรื่องและภาพ: พงศ์มนัส ทาศิริ

The post พิธา ลงพื้นที่เชียงใหม่ เก็บข้อมูลที่อยู่อาศัย ระบุที่ดินอยู่ในมือรัฐ-คนรวยมากเกินไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
กทม. ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวให้ผู้ประสบภัยเพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่ เล็งถอดบทเรียนการรับมือเหตุในชุมชนแออัด https://thestandard.co/bangkok-host-temporary-shelter-for-bon-kai-incident/ Wed, 22 Jun 2022 00:24:08 +0000 https://thestandard.co/?p=644785 บ่อนไก่

วันนี้ (21 มิถุนายน) ภายหลังเหตุการณ์เพลิงไหม้ชุมชนพัฒน […]

The post กทม. ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวให้ผู้ประสบภัยเพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่ เล็งถอดบทเรียนการรับมือเหตุในชุมชนแออัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
บ่อนไก่

วันนี้ (21 มิถุนายน) ภายหลังเหตุการณ์เพลิงไหม้ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ถนนพระรามที่ 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. ต่อมาเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ระดมกำลังเข้าระงับเหตุ จนเพลิงเริ่มสงบลงในช่วงเวลาประมาณ 16.30 น.

 

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีรายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการลื่นล้มและสำลักควันจำนวน 4-5 ราย มีบ้านเรือนได้รับความเสียประมาณ 30 หลังคาเรือน ส่วนผู้ป่วยที่อยู่ตามบ้านสามารถช่วยออกมาได้ทันเวลา

 

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แบ่งการดำเนินงานจากเหตุการณ์เป็นสองรูปแบบ ส่วนเฉพาะหน้าคือการดูแลผู้ที่ประสบภัยและเดือดร้อนทั้ง 30 หลังคาเรือน ที่คาดว่ามีประชาชนประมาณ 100 คน กทม. ได้ตั้งศูนย์บรรเทาชั่วคราวอยู่ที่ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบ่อนไก่ (ศูนย์เยาวชนบ่อนไก่) โดยมีทีมแพทย์ ไฟส่องสว่าง และอาหารไว้รองรับสำหรับการพักค้างคืน

 

ด้าน ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) กล่าวหลังจากลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย และประสานกับสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยว่า หลังจากนี้ให้นำเหตุการณ์นี้มาถอดบทเรียนเพื่อปรับปรุงการดูแลและแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น ซึ่งครั้งนี้ยังถือว่าโชคดีที่จุดเกิดเหตุอยู่ห่างสถานีดับเพลิงหลักเพียง 600 เมตร ทำให้รถดับเพลิงเข้าถึงได้เร็ว แต่ถ้าเกิดในชุมชนที่อยู่ห่างออกไป เข้าถึงได้ยาก และไม่มีประปาหัวแดง อาจจะเกิดความสูญเสียมากกว่านี้ 

 

The post กทม. ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวให้ผู้ประสบภัยเพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่ เล็งถอดบทเรียนการรับมือเหตุในชุมชนแออัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชัชชาติ ลงพื้นที่ติดตามเหตุเพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่ คาดเพลิงเผาวอดหลายสิบหลังคาเรือน https://thestandard.co/the-fire-in-the-bonkai-community/ Tue, 21 Jun 2022 10:24:47 +0000 https://thestandard.co/?p=644626 เพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่

วันนี้ (21 มิถุนายน) เมื่อเวลา 13.10 น. พนักงานสอบสวนสถ […]

The post ชัชชาติ ลงพื้นที่ติดตามเหตุเพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่ คาดเพลิงเผาวอดหลายสิบหลังคาเรือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่

วันนี้ (21 มิถุนายน) เมื่อเวลา 13.10 น. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ลุมพินี รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่ ซอยปลูกจิต ถนนพระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร (กทม.) จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยรถดับเพลิงสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 คัน อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและใกล้เคียง พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

 

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น อยู่ในชุมชนแออัด ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้และห้องเช่าเกือบร้อยหลังคาเรือน ยังไม่ทราบต้นเพลิงเกิดที่บ้านหลังใด มีกลุ่มควันและไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะเป็นบ้านไม้ทั้งหลัง ทำให้ลุกลามไปยังห้องเช่าและบ้านเรือนใกล้เคียงทันที เจ้าหน้าที่ต้องเร่งระดมฉีดน้ำทุกด้าน ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงแล้ว เพลิงยังไม่มีทีท่าว่าจะดับ เนื่องจากเป็นบ้านไม้เชื้อเพลิงอย่างดี ประกอบกับมีลมกระโชกและหัวฉีดไม่เพียงพอ น้ำใช้ฉีดก็หมด ขณะที่ชาวบ้านในชุมชนหอบข้าวของวิ่งหนีตายอย่างชุลมุนวุ่นวาย

 

เจ้าหน้าที่กู้ภัยเปิดเผยเบื้องต้นว่า จากการสอบสวนทราบว่ามีประกายไฟที่สายไฟฟ้าก่อนลุกลามลงหลังคาบ้านไม้ 2 ชั้น และลุกลามอย่างรวดเร็ว ประกอบกับภายในชุมชนเป็นบ้านไม้ที่หลังคาติดกัน เมื่อเกิดเพลิงไหม้จึงลุกลามอย่างรวดเร็ว

 

เบื้องต้นจากการประเมินด้วยสายตามีบ้านเรือนได้รับความเสียหายไม่ต่ำกว่า 20 หลังคาเรือน นอกจากนี้เนื่องจากเป็นชุมชนและมีซอยแคบทำให้รถดับเพลิงและการลำเลียงน้ำเข้าไปฉีดดับเพลิงค่อนข้างยากลำบาก

 

ทั้งนี้ บริเวณโดยรอบจุดที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เจ้าหน้าที่พยายามใช้น้ำสกัดโดยมีประชาชนในละแวกใกล้เคียงมาเฝ้าสังเกตการณ์ รวมถึงผู้ที่พักอาศัยอยู่ภายในบ้านที่เกิดเพลิงไหม้ 

 

โดยหนึ่งในชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เปิดเผยว่า ตนอาศัยอยู่กับลูกน้องที่ทำอาชีพแม่บ้านด้วยกันภายในบ้าน 10 คน ตอนเกิดเหตุเมื่อรู้จึงรีบกลับมาที่บ้านเพื่อที่จะขนของ แต่ก็ไม่ทัน ไฟไหม้บ้านหมด รวมถึงกลุ่มลูกน้องที่เพิ่งได้รับเงินเดือนและเก็บเอาไว้ในบ้านก็ถูกไฟเผาหมด

 

ขณะที่อีกหนึ่งผู้ประสบภัยเปิดเผยว่า ตนพักอาศัยอยู่ที่จังหวัดปทุมธานีแต่มีบิดาพักอาศัยอยู่ภายในชุมชนแห่งนี้ เมื่อทราบเรื่องจึงรีบขับรถมาเพื่อเข้าไปดูบิดา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้ รู้สึกร้อนใจ 

 

ต่อมาเมื่อเวลา 15.05 น. หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่นัดหมายไว้ล่วงหน้า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ได้ให้เจ้าหน้าที่เทศกิจนำมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ชุมชนบ่อนไก่อย่างเร่งด่วนเพื่อติดตามสถานการณ์

 

เวลา 15.15 น. ธีระยุทธ ภูมิศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร เปิดเผยกับวิทยุ จส.100 ว่า สามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว อยู่ระหว่างการดับถ่าน เบื้องต้นมีบ้านเรือนประชาชนเสียหายประมาณ 30 หลังคาเรือน เมื่อดับถ่านเรียบร้อยแล้วจึงจะเข้าไปตรวจสอบจำนวนบ้านทั้งหมดในชุมชนอีกครั้ง

 

ส่วนคอนโดใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากความร้อนจากการให้ความช่วยเหลือ ขณะนี้แก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว สำนักงานเขตปทุมวันได้เตรียมพื้นที่ให้คนที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ครั้งนี้อาศัยชั่วคราวที่ศูนย์เยาวชนบ่อนไก่

 

สำหรับประชาชนที่พักอาศัยในชุมชน สามารถลงทะเบียนแจ้งความเสียหายต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตปทุมวัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตั้งโต๊ะรับแจ้งความในพื้นที่ที่ศูนย์เยาวชน เพื่อที่ประชาชนสามารถนำใบที่สำนักงานเขตออกให้ไปขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้

 

สำหรับบ้านต้นเพลิงเสียหายทั้งหลัง อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเบื้องต้นรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย สาเหตุจากเป็นลมและมีอาการสำลักควันไฟ ไม่พบผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนี้

 

เพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่

The post ชัชชาติ ลงพื้นที่ติดตามเหตุเพลิงไหม้ชุมชนบ่อนไก่ คาดเพลิงเผาวอดหลายสิบหลังคาเรือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชัชชาติลงพื้นที่ชุมชนแออัดใจกลางทองหล่อ ตั้งเป้าพัฒนาคุณภาพชีวิต นำระบบออมเงินกลุ่มมาช่วย เพื่อจัดตั้งบ้านมั่นคง ยืนยันไม่ได้ช่วยคนผิด แต่ช่วงเปลี่ยนผ่านต้องดูแลกัน https://thestandard.co/chadchart-sittipunt-290565-2/ Sun, 29 May 2022 07:44:32 +0000 https://thestandard.co/?p=635305 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

วันนี้ (29 พฤษภาคม) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราช […]

The post ชัชชาติลงพื้นที่ชุมชนแออัดใจกลางทองหล่อ ตั้งเป้าพัฒนาคุณภาพชีวิต นำระบบออมเงินกลุ่มมาช่วย เพื่อจัดตั้งบ้านมั่นคง ยืนยันไม่ได้ช่วยคนผิด แต่ช่วงเปลี่ยนผ่านต้องดูแลกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

วันนี้ (29 พฤษภาคม) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) พร้อมด้วย ดร.ยุ้ย-เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ลงพื้นที่ชุมชนหลังสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ทองหล่อ เขตวัฒนา เพื่อสำรวจพื้นที่ชุมชนแออัดที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง และสำรวจคลองเป้ง ซึ่งอยู่ติดกับชุมชน พร้อมทั้งพบปะประชาชนที่มาฉีดวัคซีน

 

ชัชชาติระบุว่า ทองหล่อถือเป็นพื้นที่ใจกลางเมือง แต่กลับมีชุมชนแออัดที่ซ่อนอยู่ 3-4 แห่ง เช่น ชุมชนหลัง สน.ทองหล่อ ชุมชนริมคลองเป้ง ชุมชนลีลานุช มีประชากรรวมกันอยู่ 300-400 หลังคาเรือน ซึ่งหลักๆ หลายชุมชนอยู่อย่างผิดกฎหมาย ไม่มีโฉนด รุกล้ำพื้นที่ลำรางสาธารณะ และกลุ่มคนเหล่านี้เป็นคนที่ขับเคลื่อนเมืองที่ทำงานอยู่ในพื้นที่เอกมัย ทองหล่อ เช่น อาชีพแม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) 

 

ทั้งนี้ จะต้องพยายามปรับให้คนในชุมชนไปอยู่ในที่ที่ถูกกฎหมาย มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง โดยเริ่มจากการออมในชุมชน จากนั้นจึงขยับขยายไปหาที่ที่ถูกกฎหมาย

 

ชัชชาติระบุต่อว่า ช่วงเปลี่ยนถ่ายที่ชาวบ้านจะต้องหาพื้นที่ถูกกฎหมายให้คนในชุมชนก็ต้องดูแลคุณภาพชีวิตด้วย โดยได้เชิญนักวิชาการจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาดูพื้นที่ เพราะสาธารณสุขใน กทม. มีความซับซ้อน มีหลายระดับ แต่หน้าที่ กทม. คือการทำงานขั้นปฐมภูมิ ซึ่งเป็นด่านแรกที่มาเผชิญปัญหา ตอนนี้ กทม. มีศูนย์สาธารณสุขที่มีอยู่ 69 แห่งทั่ว กทม. แต่ศูนย์สาธารณสุขก็อยู่ไกลชุมชน ดังนั้นแนวนโยบายคือจะต้องนำการให้บริการสาธารณสุขลงมาในพื้นที่ชุมชน โดยคนในชุมชนไม่ต้องไปที่สาธารสุข แต่ปัญหาคือบุคลากรของ กทม. ไม่ได้มีจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องมีเครือข่ายร่วมกับคลินิกชุมชนอบอุ่น แต่ที่ผ่านมาอาจมีปัญหาเรื่องการทุจริตอยู่บ้าง 

    

ทั้งนี้ ชัชชาติมองว่า หากจะให้บริการที่ทั่วถึงจะต้องมี 3 แนวทาง คือ มีเครือข่ายชุมชนอบอุ่น โดยร่วมกับภาครัฐ เอกชน และคนในชุมชน เพื่อมาดูแลสุขภาพในเบื้องต้น เช่น การฉีดวัคซีนในชุมชน ตรวจโควิด และหลังจากนี้จะหารือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพราะเป็นเจ้าของเงิน ว่าจะเบิกจ่ายอย่างไรให้สะดวก และ กทม. จะทำหน้าที่ร่วมได้อย่างไร โดยให้สำนักอนามัยเข้าไปดูแลในเรื่องของคุณภาพ

 

แนวทางที่ 2 คือใช้เทคโนโลยีเทเลเมดิซีน (Telemedicine) มาเชื่อมต่อในการดูแลผู้ป่วยจากระบบทางไกล

 

แนวทางที่ 3 คือการขยายเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสส. ให้เข้มแข็งขึ้นและเพียงพอกับพื้นที่และจำนวนประชากรของ กทม. ซึ่งถือเป็น 3 แนวทางในการบริหารสาธารสุขของ กทม. ได้

 

ชัชชาติเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการให้มากขึ้น ด้วยการลงพื้นที่ดูแลประชาชนให้ใกล้ชิดชาวบ้านมากขึ้น และปรับเปลี่ยนเวลาการให้บริการให้เหมาะสมกับชุมชนแต่ละพื้นที่ รวมถึงเพิ่มแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลคนเมือง เช่น โรคซึมเศร้า โรคผู้สูงอายุ ออฟฟิศซินโดรม ให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาประชาชนไม่มั่นใจระบบสาธารณสุขในด่านแรกของ กทม. จึงไปรักษาตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่และโรงพยาบาลเอกชน

 

ชัชชาติยังย้ำด้วยว่า ต้องดูด้านคุณภาพชีวิต ขยะ น้ำ ของคนในชุมชนด้วย อย่างคุณภาพน้ำก็ต้องดูแล โดยใช้วิธีการบำบัดน้ำเสียและให้ชุมชนช่วยกันดูแล โดยหลังจากนี้จะมีการไปหารือ ทั้งนี้ ต้องร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน องค์การมหาชน หรือ พอช. และการเคหะแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมให้ชาวชุมชนแออัดเกิดการออมเงิน รวมตัวเป็นกลุ่มออมเงิน เพื่อจัดหาพื้นที่จัดตั้งหมู่บ้านมั่นคง โดยจะเริ่มต้นจากพื้นที่ของราชการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ อาจไม่ได้ใกล้ทองหล่อ แต่ก็ขยับออกไปไม่ไกล แต่ยังไม่สามารถตอบได้ในเรื่องของกรอบระยะเวลา เพราะต้องแล้วแต่สถานการณ์ 

 

สำหรับการลงพื้นที่ของชัชชาติวันนี้ หนึ่งในชาวบ้านเป็นคุณยายอายุประมาณ 70 ปี ได้เดินออกมาร้องขอให้ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. ช่วย บอกว่าเธออยู่ใจกลางเมือง แต่กลับไม่มีน้ำใช้ ต้องอาศัยต่อท่อประปามาจาก สน.ทองหล่อ เข้าใจดีว่าพื้นที่ชุมชนไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาดูพื้นที่และช่วยเหลือ

 

ขณะที่ชาวบ้านบางคนที่ระบุว่าเป็นแฟนคลับ นำป้ายไวนิลมาติดไว้ที่ตัวบ้านตั้งแต่ช่วงการหาเสียง พร้อมระบุว่า อยากให้ชัชชาติช่วยหาทางออกให้กับชาวบ้านในชุมชน

 

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

The post ชัชชาติลงพื้นที่ชุมชนแออัดใจกลางทองหล่อ ตั้งเป้าพัฒนาคุณภาพชีวิต นำระบบออมเงินกลุ่มมาช่วย เพื่อจัดตั้งบ้านมั่นคง ยืนยันไม่ได้ช่วยคนผิด แต่ช่วงเปลี่ยนผ่านต้องดูแลกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทีมแพทย์ชนบทออกปฏิบัติการวันแรก ตั้งเป้าตรวจโควิดแบบ ATK 2.5 แสนรายใน 7 วัน https://thestandard.co/day-1-with-rural-doctor-society/ Wed, 04 Aug 2021 08:54:36 +0000 https://thestandard.co/?p=521372 rural doctor society

ทีมแพทย์ชนบท ประกอบด้วยแพทย์ 400 ชีวิต จาก 40 ทีม ลงปฏิ […]

The post ทีมแพทย์ชนบทออกปฏิบัติการวันแรก ตั้งเป้าตรวจโควิดแบบ ATK 2.5 แสนรายใน 7 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
rural doctor society

ทีมแพทย์ชนบท ประกอบด้วยแพทย์ 400 ชีวิต จาก 40 ทีม ลงปฏิบัติการ 24 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร ตั้งเป้าตรวจ Antigen Test Kit (ATK) 2.5 แสนรายใน 7 วัน หวังค้นหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุดเพื่อนำเข้าระบบ Home Isolation (HI) โดยนี่คือการมาปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพครั้งที่ 3 ของทีมแพทย์ชนบท นำโดย นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท 

 

นพ.สุภัทรระบุว่า การสู้กับเชื้อโรคครั้งนี้​ เป้าหมายคือค้นหาผู้ติดเชื้อให้มาก​ เจอให้เร็ว รักษาจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์เร็ว​ นำเข้าระบบ​ Home Isolation จะได้ลดอัตราป่วยหนักที่ต้องการเตียงโรงพยาบาล (เพราะเตียงโรงพยาบาลล้นสุดๆ แล้ว)​ และลดอัตราการเสียชีวิตอันเนื่องจากการเข้าไม่ถึงยาหรือเข้าไม่ถึงโรงพยาบาลลงได้ เราคงลดอัตราการติดเชื้อไม่ได้​โดยง่าย แต่หวังว่าจะลดอัตราเตียงล้นโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และลดอัตราตายลงได้บ้าง

 

“สำหรับปฏิบัติการ ​7 ​วันในครั้งนี้​ เน้นลงชุมชนแออัด​ เพราะที่นั่นคือจุดระบาดโควิดของกรุงเทพฯ ​และปริมณฑล​ คนในชุมชนแออัดมีหน้าที่การงานทั่วกรุง​ หากไม่สามารถคุมการระบาดในชุมชน​แออัด​ได้​ ก็จะไม่สามารถ​ลดจำนวนผู้ป่วย​และลดอัตราตายลงได้ เราคาดว่าจากอัตราการติดเชื้อที่พบประมาณ ​15% แปลว่าเราจะพบผู้ติดเชื้อที่ต้องดูแลกว่า​ 32,500 คน​ ซึ่งหากคนกลุ่มนี้ได้รับการดูแลดี​ ได้ยาเร็ว ป่วยน้อย​ ความต้องการเตียงโรงพยาบาลลดลง​ วิกฤตเตียงล้นก็จะดีขึ้น​” นพ.สุภัทรกล่าว

 

rural doctor society

rural doctor society

rural doctor society

rural doctor society

rural doctor society

rural doctor society

rural doctor society

rural doctor society

rural doctor society

rural doctor society

The post ทีมแพทย์ชนบทออกปฏิบัติการวันแรก ตั้งเป้าตรวจโควิดแบบ ATK 2.5 แสนรายใน 7 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แพทย์ชนบทโรงพยาบาลบ่อเกลือ บุกกรุง ลงพื้นที่ตรวจเชิงรุกหาผู้ติดโควิดตามชุมชน กทม. ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 แล้ว https://thestandard.co/rural-doctor-proactively-visit-the-area-covid-in-bkk/ Fri, 16 Jul 2021 11:37:42 +0000 https://thestandard.co/?p=513612 แพทย์ชนบท

ทีมแพทย์ชนบท 6 ทีม มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ตั้ง […]

The post แพทย์ชนบทโรงพยาบาลบ่อเกลือ บุกกรุง ลงพื้นที่ตรวจเชิงรุกหาผู้ติดโควิดตามชุมชน กทม. ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
แพทย์ชนบท

ทีมแพทย์ชนบท 6 ทีม มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม หลังประกาศภารกิจแพทย์ชนบทบุกกรุง ช่วยตรวจเชิงรุกในชุมชนแออัด กทม. และวันนี้ (16 กรกฎาคม) ก็เป็นวันที่ 3 แล้วที่ทีมแพทย์ชนบทลงพื้นที่ตรวจคัดกรองโควิดเชิงรุกใน 16 ชุมชน คาดว่าได้คัดกรองประชนไปแล้วประมาณ 15,000 คน 

 

สำหรับทีมแพทย์ทั้ง 6 ทีม มาจากโรงพยาบาลสิชล, โรงพยาบาลขอนแก่น, โรงพยาบาลจะนะ, โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อำเภอนาทวี, โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย และโรงพยาบาลบ่อเกลือ รวมทั้งแพทย์จากโรงพยาบาลตากใบที่บินเดี่ยวมาช่วย ทั้งหมดเป็นกลุ่มแพทย์ชนบทชุดแรกที่อาสามาช่วยตรวจค้นหาเชิงรุกใน กทม.

 

ที่ชุมชนซอยวัดหงศ์รัตนาราม เขตบางกอกใหญ่ เป็นทีมแพทย์จากโรงพยาบาลบ่อเกลือ จังหวัดน่าน หัวหน้าชุดคือ ‘หมอหวาย’ นพ.นิธิวัชร์ แสงเรือง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ่อเกลือ พร้อมพยาบาลอีก 2 คน และพนักงานขับรถพยาบาล เร่งมือกันตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit ให้กับผู้พักอาศัยในชุมชน ซึ่งจุดนี้จะคัดกรองประมาณ 500 คน 

 

หลังจากเปิดตรวจและพบผู้ติดเชื้อ นพ.นิธิวัชร์ ได้แจ้งผลตรวจให้กับผู้ที่พบเชื้อด้วยตัวเอง พร้อมให้คำแนะนำให้กักตัวสังเกตอาการที่บ้านเบื้องต้นก่อน เพราะเป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียว หากมีอาการผิดปกติให้รีบแจ้งโรงพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่โดยเร็ว

 

ในบรรดา 6 ทีมที่ลงปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุงในครั้งนี้ ทีมจากโรงพยาบาลบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เป็นทีมที่เล็กที่สุด มากัน 4 คน นำทีมโดย นพ.นิธิวัชร์ ที่นำรถกระบะที่ใช้รับคนไข้บนดอย ขับรถเข้ากรุงมาเข้าชุมชนแออัดแทน โดยมีทีมเทคนิคการแพทย์กลางเข้ามาช่วยเติมในทีมอีก 2 คน เพื่อให้กระบวนการทำงานทำได้เร็วและครบถ้วน

 

The post แพทย์ชนบทโรงพยาบาลบ่อเกลือ บุกกรุง ลงพื้นที่ตรวจเชิงรุกหาผู้ติดโควิดตามชุมชน กทม. ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>