ชยพล สท้อนดี – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 07 Aug 2025 14:14:10 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ชยพลแนะรัฐบาลเสริมกำลังกองทัพ ผนวกนโยบายซื้ออาวุธให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในประเทศ https://thestandard.co/chayapol-urges-military-buildup/ Thu, 07 Aug 2025 13:01:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1105009

วันนี้ (7 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา ชยพล สะท้อนดี สส. กทม […]

The post ชยพลแนะรัฐบาลเสริมกำลังกองทัพ ผนวกนโยบายซื้ออาวุธให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (7 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา ชยพล สะท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการการศึกษาและแก้ไขกฎหมายอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ แถลงแนะนำรัฐบาลกรณีการซื้อยุทโธปกรณ์

 

ชยพลระบุว่า ด้วยความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มีความขัดแย้งกันบริเวณชายแดน ในเรื่องของการส่งกำลังบำรุงที่ทำให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ และอุปกรณ์สนับสนุนต่างๆ เป็นต้น ซึ่งปัญหาบริเวณชายแดนที่เกิดการปะทะกันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชานั้นอาจจะยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ ทำให้จากเดิมที่คิดว่ามีทรัพยากรเพียงพอ อาจจะไม่พอ อาจจะยืดยาวกว่าที่วางแผนไว้ และไม่ทราบว่าจะยุติลงเมื่อไหร่ ทำให้การส่งกำลังบำรุงยุทโธปกรณ์ไปยังหน้างานต้องวางแผนกันให้ดี

 

ชยพลแนะนำไปยังรัฐบาลว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดี อีกทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวไว้ว่า หากเหล่าทัพไหนต้องการยุทโธปกรณ์อะไร ให้รีบจัดเตรียมทำเรื่องขอมา จะมีการอนุมัติซื้อยุทโธปกรณ์เป็นพิเศษ ถือเป็นโอกาสดีที่จะผนวกใช้แนวคิดกลไกในการผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีในบางส่วน เพื่อที่จะใช้โอกาสนี้ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศไทย และให้ประเทศไทยยืนได้ด้วยตนเอง หากดูสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาในขณะนี้ มองได้ว่า อาจมีการยกระดับ และเป็นที่จับตาดูของประชาคมโลกมากขึ้นกว่าเดิม

 

ฉะนั้น ถ้าเราจะหวังพึ่งยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศในอนาคตอาจมีการสะดุดได้เช่นเดียวกัน หากต่างประเทศไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชา ระหว่างนี้เราสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการในไทยได้ ในการจะสนับสนุนยุทโธปกรณ์และทรัพยากรต่างๆ ที่สามารถหาได้ในไทย ซึ่งเป็นโอกาสที่รัฐบาลควรคว้าเอาไว้

 

ด้าน น.ต.ดร.บดินทร์ สันทัด อนุกรรมาธิการศึกษาและแก้ไขกฎหมายอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวว่า ยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในการปะทะที่ผ่านมาเป็นยุทธภัณฑ์สิ้นเปลือง เช่น กระสุน มีการใช้งานไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งอนุกรรมาธิการฯ เห็นว่า เป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลจะหันมาสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพราะประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตกระสุนหลายรายการ และมีหลายโครงการที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน บริษัทเอกชนที่สามารถผลิต กระสุนขนาด 30 มม., กระสุนและอาวุธประจำกาย และกระสุนปืนใหญ่หลายขนาด

 

“จึงคิดว่าเป็นโอกาสที่ไทยจะหันมาสนับสนุนยุทธภัณฑ์ภายในประเทศให้จริงจัง เพื่อผู้ผลิตและผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อนำกำไรส่วนเกินไปศึกษาวิจัย ขีดความสามารถอุตสาหกรรมป้องกันภายในประเทศให้ต่อยอดมากกว่านี้ โดยเฉพาะสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นส่วนสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการพึ่งพาอุตสาหกรรมป้องกันภายในประเทศในอนาคต” ชยพลกล่าว

 

ชยพลกล่าวต่อว่า สำหรับร่างกฎหมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศร่างเสร็จแล้ว แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาปรับปรุงกฎหมาย ขณะที่ภาคเอกชนก็มีความพร้อมในการผลิตยุทโธปกรณ์ เพียงแต่ขาดกลไกการสนับสนุนบริษัทที่ผลิตยุทโธปกรณ์ให้สามารถพัฒนาขีดความสามารถของตนเองและจับคู่พัฒนายุทโธปกรณ์ร่วมกันได้จากภาครัฐ

The post ชยพลแนะรัฐบาลเสริมกำลังกองทัพ ผนวกนโยบายซื้ออาวุธให้เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ข้อเสนอ-คำวิจารณ์ ต่องบประมาณกองทัพ 2 แสนล้าน ใช้ถูกที่หรือไม่ https://thestandard.co/key-messages-200-billion-military/ Fri, 30 May 2025 01:46:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1080159

ช่วงค่ำวันที่ 29 พฤษภาคม การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิ […]

The post ข้อเสนอ-คำวิจารณ์ ต่องบประมาณกองทัพ 2 แสนล้าน ใช้ถูกที่หรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ช่วงค่ำวันที่ 29 พฤษภาคม การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 ทวีความเข้มข้น เมื่อ สส. ของพรรคประชาชน เรียงคิวลุกขึ้นอภิปรายงบของกองทัพและกระทรวงกลาโหมด้วยประเด็นหลากหลาย ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ภาพรวม งบประมาณทหารเกณฑ์ รวมถึงทหารผ่านศึก

 

งบกั๊กเกิดจากความอ่อนแอของ รมว.กลาโหม

 

ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงงบประมาณของกระทรวงกลาโหมประจำปี 2569 ซึ่งมีวงเงิน 204,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 2.36% หรือกว่า 4,700 ล้านบาทจากปี 2568 ชยพลเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เพื่อให้กองทัพไทยเป็นที่ยอมรับ และลบคำสบประมาทที่เกิดขึ้นตลอดมา

 

“ผมอยากให้กองทัพ เลิกกั๊กแล้วพักก่อนดีมั้ย เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้าย ที่จะช่วยรัฐบาลในการหาเงิน ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะพังจริง ใช้เงินให้ถูกที่ จ่ายเงินให้ได้ประสิทธิภาพ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้”

 

งบประมาณก้อนใหญ่ของกองทัพแบ่งเป็นสามส่วนหลัก ได้แก่ แผนงานด้านบุคลากร 108,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,500 ล้านบาท, แผนยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ (งบซื้อซ่อมอาวุธ) 63,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 3,300 ล้านบาท, และแผนงานด้านพื้นฐานความมั่นคง (ค่าเบี้ยเลี้ยง, ค่าเกณฑ์ทหาร, ค่าอาภรณ์ภัณฑ์, ค่าเช่ารถ, ค่าตึก, ค่าน้ำ, ค่าไฟ) 27,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 187 ล้านบาท

 

ชยพลยังได้กล่าวถึงปัญหาประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอาวุธของกองทัพ โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ การ ‘วางแผนให้ดี, ซื้อให้พอ, และซ่อมให้ถึง’ เขายกตัวอย่างกรณีเรือฟรีเกตของกองทัพเรือที่ต้องการ 8 ลำ แต่กลับตั้งงบประมาณซื้อเพียงปีละ 1 ลำ การวางแผนที่ไม่ดีเช่นนี้ ทำให้เสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการต่อเรือในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีกรณีเรือหลวงภูมิพลที่ถูกใช้งานอย่างหนักจนเลยห้วงการซ่อมบำรุงตามวงรอบปกติ ทำให้เครื่องยนต์เสีย ต้องเสียงบประมาณซ่อมเพิ่ม 240 ล้านบาท ทั้งที่เรือมีอายุยังไม่ถึง 10 ปี

 

ประเด็นเรื่องความโปร่งใสเป็นอีกหนึ่งจุดที่นายชยพลให้ความสำคัญ เขาตั้งข้อสังเกตถึง ‘มาตรฐานยุทโธปกรณ์’ ที่แต่ละเหล่าทัพมีมาตรฐานของตนเอง ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องผ่านการรับรองหลายครั้งและใช้เวลานาน รวมไปถึงการกำหนดคุณสมบัติใน TOR ที่กีดกันผู้ผลิตสัญชาติไทย เช่น ข้อกำหนดว่าสินค้าต้องเคยประจำการในประเทศต้นทางของผู้ผลิตมาก่อน

 

ชยพลได้กล่าวถึง ‘ค่าโง่เรือดำน้ำ’ กว่า 16,000 ล้านบาทที่จ่ายไปแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับเรือ เขายังวิจารณ์การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอนุมัติหลักการสำหรับเรือฟรีเกตมากกว่า 1 ลำไม่ได้ โดยอ้างว่าเงินไม่เหลือเพราะต้องนำไปจ่ายค่าเรือดำน้ำ

 

ชยพลเสนอให้กระทรวงการคลังยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อเรียกเงิน 16,000 ล้านบาทคืนจากกองทัพเรือ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น, และ ครม. ที่อนุมัติโครงการเรือดำน้ำ เขาสรุปด้วยการเสนอให้มีการตัดงบประมาณส่วนที่ไม่โปร่งใสและไม่มีประสิทธิภาพ เช่น เงินราชการลับและเงินค่าใช้จ่ายสนับสนุนในการส่งกำลังบำรุง รวมกว่า 14,000 ล้านบาทในปี 2569

 

ชยพลเน้นย้ำว่า ปัญหาเหล่านี้มีต้นเหตุมาจาก พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาตรา 43 ที่ทำให้การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นไปตามมติของสภากลาโหมที่เต็มไปด้วยนายพล และความอ่อนแอของรัฐมนตรีกลาโหม ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงไม่สามารถรับหลักการของร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 ได้

 

แนะบันได 3 ขั้น เปลี่ยนผ่านทหารเกณฑ์สู่สมัครใจ

 

เชตวัน เตือประโคน สส. ปทุมธานี พรรคประชาชน อภิปรายถึงการจัดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมแบบใหม่ เปลี่ยนผ่านทหารสมัครใจ 100% ว่า กระทรวงกลาโหมของบประมาณปี 2569 ไว้ 204,434 ล้านบาท เพิ่มมา 4,713 ล้านบาท แต่เหมือนทุกปีคือไม่มีรายละเอียด เราต้องแยกประเภทเองว่ามีอะไรบ้างที่น่าจะเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารบ้าง จากที่คำนวณแล้วทั้งเงินเดือน เงินเพิ่มการครองชีพ เบี้ยเลี้ยง ค่าอาภรณ์ภัณฑ์ต่างๆ ตกอยู่ที่ราว 14,000 ล้านบาท เป็นเรื่องดีที่กองทัพมีโครงการพลทหารออนไลน์ แต่หากมีผู้สมัครใจเพิ่มด้วยอัตราเร่งแบบปัจจุบันนี้ก็มองไม่เห็นอนาคตเลยว่าจะเปลี่ยนผ่านได้เมื่อไหร่ รัฐบาลต้องแสดงความจริงใจเรื่องนี้ผ่านการจัดงบประมาณด้วย ทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเข้ามา ไม่ใช่ให้แต่ละหน่วย แต่ละค่าย ไปคิดทำกันเองตามมีตามเกิด ตามยถากรรม

 

เชตวันเสนอบันได 3 ขั้น เปลี่ยนผ่านการเกณฑ์ทหารสู่ระบบสมัครใจ คือ

 

1. รีดไขมัน ลดกำลังพลลงได้อีก จากทหารธุรการ มีความจำเป็นขนาดไหนที่กองทัพจะต้องเอาทหารกองประจำการ ที่มีวุฒิปริญญาตรี, ปวช.-ปวส. ไปนั่งทำงานใน บก.ร้อย หากกองทัพต้องการคนไปทำงานธุรการจริงๆ ล่าสุด พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนกลาโหม ก็ผ่านสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถเปิดรับบุคคลทั่วไปมาทำหน้าที่นั้นได้ทันที

 

2. ไขมันทหารรับใช้บ้านนายพล ที่กองทัพบอกว่าไม่มี ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ ล่าสุดเป็นข่าวเป็นว่านายสั่งให้ไปวิ่งแกร็บหาเงิน ซึ่งตรงนี้ล้ำกว่าการไปรับใช้ในบ้าน ตัดหญ้า ซักกางเกงใน ธรรมดาไปเลย ถือเป็นการเอาทหารรับใช้ไป ลงทุนสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย

 

3. ทหารถูกปล่อยตัวกลับรอปลด นายรับเงินเดือนแทน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลับตาคนละข้าง พลทหารได้กลับบ้านได้อยู่กับลูกเมีย ไปหางานหาการอื่นทำ ส่วนนายได้เงินเดือน หากเกณฑ์คนไปให้นายได้ปล่อย เพื่อกินเงินเดือน หมายความว่าเรามีทหารเกินความจำเป็นสามารถลดได้อีก

 

4. เทคโนโลยีที่ล้าสมัย เราไม่ได้ต้องการจำนวนคนมากมายเพื่อจะไปรบ แต่เราต้องการคนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงต้องการยุทโธปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือแม้แต่การรับสมัครคนเข้าเป็นทหารก็สามารถใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยได้

 

เชตวันกล่าวต่อว่า บันไดขั้นที่ 2 เงินเดือน สวัสดิการ และสิทธิมนุษยชนที่ไม่ถูกละเมิด หากประชาชนไม่กลัวว่าต้องตายในค่าย สิทธิมนุษยชนไม่ถูกละเมิด รวมถึงมีสวัสดิการที่ดี คนก็พร้อมที่จะสมัครไปเป็นทหารทั้งสิทธิประโยชน์ที่กองทัพบกใช้จูงใจบุคคลให้เข้าเป็นทหารกองประจำการทั้งสวัสดิการรักษาพยาบาลกรณีอุบัติหรือเจ็บป่วย เงินช่วยเหลือกรณีประสบภัย ค่าตอบแทนพิเศษทุกอย่างดีแล้ว สำหรับเรื่องเงินเดือนตนมองว่าควรอยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือน จะทำให้ได้ยอดสมัครใจในการเป็นทหารมากขึ้น

 

ส่วนบันไดขั้นที่ 3 ระบบทหารอาสา เลิกบังคับเกณฑ์ได้ทันที จะทำให้เราได้คนที่มีประสิทธิภาพเข้ามาอยู่ในกองทัพ เพราะคัดสรรผ่านการสอบข้อเขียน ผ่านการทดสอบร่างกาย ผ่านการสอบสัมภาษณ์ เราจะได้คนที่ตั้งใจมาเป็นทหาร ไม่ใช่ได้คนที่ ‘ซวย’ จับได้ใบแดง โดยมี 2 โมเดลคือทหารอาสาทั้งหมดสามารถเปิดรับทันที 50,000 นาย ไม่ต้องมีการเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น ปีต่อไปอีก 50,000 ได้ยอดทหารสะสมตามต้องการ เมื่อถึงปี 2571 ก็ค่อยมารับคนตามที่ขาด และโมเดลทหารอาสาและทหารสมัครใจคือรับทหารอาสา 25,000 และเกณฑ์อีก 25,000 ทั้ง 2 โมเดลนี้ เราสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ ระบบเกณฑ์สู่ระบบสมัครใจ โดยที่ไม่มีใครต้องโดน ‘ใบแดง’ ได้ทันทีในปีงบประมาณ 2569 นี้เลย

 

กิจการพิเศษเกาะกินงบทหารผ่านศึก

 

ร.อ.ท. ธนเดช เพ็งสุข สส. กทม. พรรคประชาชน อภิปรายถึงงบประมาณขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ว่า โดยเปิดเผยถึงงบอุดหนุนจากรัฐบาลที่ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายดำเนินงานกว่า 42 ล้านบาท เงินอุดหนุนการให้การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกกว่า 1,316 ล้านบาท เงินอุดหนุนการให้การสงเคราะห์โรงพยาบาลทหารผ่านศึกกว่า 99 ล้านบาท การจัดตั้ง เครือข่ายทหารผ่านศึกและทหารนอกประจำการเพื่อความมั่นคงกว่า 1,880 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในองค์การบริหารองค์การทหารผ่านศึกกว่า 12 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบสำหรับวีรบุรุษของประเทศนี้ ซึ่งไม่ได้บ่งบอกอะไรเลยว่าเงินจะถึงมือพวกเขาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ และไม่ได้บอกเลยว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเกียรติศักดิ์ที่ทำไว้กับประเทศนี้จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นอย่างไร

 

“ก่อนหน้านี้ที่มีการอภิปรายงบตั้งแต่ปี 2567-2568 พวกเราไม่เคยอภิปรายงบองค์กรนี้ เพราะพวกเราเชื่อโดยสมัครใจว่าองค์กรนี้จะเป็นองค์กรที่บริสุทธิ์ มีความสุจริตและเที่ยงธรรม และจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ทหารผ่านศึกมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่ตนทราบมา กลับไม่ใช่ กลับกลายเป็นองค์กรแสวงหาผลประโยชน์ เป็นแหล่งที่กลุ่มทุนกลุ่มยี่ปั๊วมากอบโกยเงินทอง และเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของทหารประเทศนี้ และมานั่งนับเงินบนคราบเลือดของเขา”

 

ร.อ.ท. ธนเดช กล่าวต่อว่า จากที่กล่าวไปข้างต้นองค์กรนี้ไม่ได้ทำเพื่อทหารผ่านศึกด้วยความเต็มใจ พร้อมเปิด 7 กิจการพิเศษที่เป็นขุมทรัพย์ขององค์การทหารผ่านศึก ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ที่เกาะกินทหารผ่านศึกอยู่จนถึงทุกวันนี้ ทั้งเป็นยี่ปั๊วรายใหญ่ในการขายหวยของประเทศนี้ รวมถึงเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีโรงงานในอารักษ์ที่มีพ่อค้าคนกลางที่ไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง ศาลหลักเมืองของคนไทยก็อยู่ในการกำกับดูแล รวมถึงจะมีการทำธุรกิจด้านพลังงาน มีโรงพิมพ์เป็นของตัวเอง และมีเกษตรอุตสาหกรรมและการบริการ

 

นอกจากนี้ ร.อ.ท. ธนเดช กล่าวอีกว่า เรื่องฉาวและเรื่องขุมทรัพย์ไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีเรื่องเบียดบัง ผอ.อผศ. ทำอยู่ คือ ปัจจุบันให้เครือญาติของตัวเองได้สิทธิพิเศษในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ได้นอนห้อง VIP ห้องคู่ โดยการขอตั๋วเด็กนอนมา 2 ปีแล้ว จึงฝากไปยังรัฐมนตรีกลาโหมดำเนินการ ซึ่งหาก อผศ. จัดงบประมาณเช่นนี้ยังไงก็ไม่รอด และคงไม่มีทางได้เห็นคุณภาพชีวิตของทหารผ่านศึกดีขึ้น ตนเคยเสนอไว้แล้วว่าเราต้องเอาความต้องการของทหารผ่านศึกเป็นที่ตั้ง ฟื้นฟูสมรรถภาพ และฝึกอาชีพดูแลครอบครัวของเขา ก่อนความต้องการของผู้บริหาร

The post ข้อเสนอ-คำวิจารณ์ ต่องบประมาณกองทัพ 2 แสนล้าน ใช้ถูกที่หรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: แฉ IO คุกคามคนเห็นต่าง พิเชษฐ์ไม่ต้องรับผิดชอบ คนอภิปรายรับผิดชอบเอง! | THE STANDARD NOW https://thestandard.co/thestandardnow260368-2/ Wed, 26 Mar 2025 14:36:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1056995

ชยพล ชำแหละ IO กองทัพคุกคามคนเห็นต่างจนประท้วงวุ่น R […]

The post ชมคลิป: แฉ IO คุกคามคนเห็นต่าง พิเชษฐ์ไม่ต้องรับผิดชอบ คนอภิปรายรับผิดชอบเอง! | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชยพล ชำแหละ IO กองทัพคุกคามคนเห็นต่างจนประท้วงวุ่น – วิโรจน์ชี้นี่คือรัฐซ้อนรัฐ ตามข้อบังคับพิเชษฐ์ไม่ต้องรับผิดชอบ คนอภิปรายเขารับผิดชอบเอง มีที่ไหนผู้บังคับบัญชายังตกเป็นเป้าหมาย – อ.โอฬาร ย้ำสภาควรเป็นพื้นที่พูดคุยปกป้องประชาชนที่ถูกคุกคาม หรือจะมีการดีลกันไว้แล้ว นี่คือการทำลายระบบประชาธิปไตย

The post ชมคลิป: แฉ IO คุกคามคนเห็นต่าง พิเชษฐ์ไม่ต้องรับผิดชอบ คนอภิปรายรับผิดชอบเอง! | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

]]>
จบศึกซักฟอก ‘ดีลแลกประเทศ’ สะท้อนเรื่องอะไรที่มากกว่า ‘พ่อ-ลูกชินวัตร’ https://thestandard.co/key-messages-country-trade-deal/ Wed, 26 Mar 2025 13:39:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1056978 จบศึกซักฟอก ดีลแลกประเทศ

“หากใครนอนหลับไปตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม 256 […]

The post จบศึกซักฟอก ‘ดีลแลกประเทศ’ สะท้อนเรื่องอะไรที่มากกว่า ‘พ่อ-ลูกชินวัตร’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จบศึกซักฟอก ดีลแลกประเทศ

“หากใครนอนหลับไปตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม 2566 แล้วตื่นลืมตาขึ้นมาอีกทีวันนี้ (24 มีนาคม) คงได้แต่แปลกใจว่าทำไมทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลจากคณะรัฐประหารก่อนหน้านี้”

 

ส่วนหนึ่งของการกล่าวเปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เสมือนการลั่นกลองรบให้พรรคร่วมฝ่ายค้านเดินทัพ ใช้กลไกการตรวจสอบเปิดโปงความบกพร่องล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลภายใต้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์เสมือนหุ่นเชิดให้ ‘บุคคลในครอบครัว’ ชี้นำชักใย

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งด้วยกรอบเวลา 2 วันที่ค่อนข้างจำกัดกับยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้านที่บีบเป้าหมายให้แคบเหลือเพียงนายกรัฐมนตรีคนเดียว ช่วยไม่ได้ที่บางห้วงบางตอนที่ฝ่ายค้านอภิปรายจะไม่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้เก้าอี้ของนายกรัฐมนตรีมากนัก ส่วนมากเป็นโวหารจิกกัด หรือ ‘แซะ’ ให้พอแสบคัน ซ้ำร้ายยังถูก ‘กี้กี้’ คำพูดติดตลก ซึ่งเชื่อได้ว่าจะกลายเป็นวาทะแห่งปีของรัฐสภา มาบดบังแย่งชิงพื้นที่สื่อไปจากข้อกล่าวหาต่างๆ ที่พุ่งมายังรัฐบาลด้วย

 

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

บรรดาคอการเมืองที่ตามติดขอบสนามบางราย ถึงขั้นก่ายหน้าผาก เนื่องจากคาดหวังมาตรฐานดั้งเดิมของขุนพลพรรคส้ม ตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนปัจจุบัน ที่เคยเขย่างบประมาณกองทัพ ขบวนการค้ามนุษย์ ตลอดจนตำนาน ‘ตั๋วช้าง’ แต่มาบัดนี้กลับวนเวียนอยู่กับกิจการในครอบครัวชินวัตรอันมั่งคั่ง และความจริงหลังหน้าต่างโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ที่ยังไม่ได้คำตอบ ท้ายสุด ‘กี้กี้’ กลับเป็นสิ่งเดียวที่ติดอยู่ในสมองคนหมู่มาก

 

ถึงกระนั้นเอง ความเดือดดาลก็พุ่งสูงขึ้น เมื่อ ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน เปิดเผยข้อมูลลับเรื่องปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพ หรือ IO ที่เติบโตขึ้นอย่างมาก และยังมีการจับตาเป้าหมายหลายคนที่มีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ตลอดจนบุคคลทางการเมืองอย่าง ทักษิณ ชินวัตร, ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า และ อนุทิน ชาญวีรกูล การลุกขึ้นประท้วงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนเกือบถึงขั้นที่ประธานซึ่งคุมการประชุมขณะนั้น จะสั่งยุติการอภิปราย และห้ามเปิดเผยข้อมูลบนจอในห้องประชุม

 

ถึงแม้ข้อกล่าวหาเรื่องการทำนิติกรรมอำพรางของนายกรัฐมนตรีและที่ดินเสี่ยงผิดกฎหมาย Thames Valley น่าจะเป็นส่วนสำคัญในยุทธการโรยเกลือที่ฝ่ายค้านสามารถเดินหน้าขยายผลเอาผิดทางอาญาและจริยธรรมต่อนายกรัฐมนตรีได้ แต่ข้อเท็จจริงก็ฟ้องว่าเรื่องที่ ‘แตะไม่ได้’ จริงๆ ของรัฐบาลนี้ จนถึงขั้นเกือบเซ็นเซอร์กันนั้นคือปัญหาภายในพื้นที่สนธยาของกองทัพ ที่ สส. พรรคประชาชน ตั้งข้อสังเกตว่าเข้มข้นเสียยิ่งกว่าสมัยรัฐบาลทหารเสียอีก

 

ปรากฏการณ์ของเวทีซักฟอกนี้จึงเป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่า ‘ดีลแลกประเทศ’ นั้นไปไกลเกินกว่าคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีหรือการชักใยโดยบุคคลนอกระบบแล้ว แต่เป็นแลกอำนาจบริหารประเทศไปกับการจำยอมถูกบงการโดยระบอบอำนาจเก่าที่เอารัฐบาลพลเรือนมาเป็นฉากหน้ากางกั้น และแม้แต่คนสำคัญในรัฐบาลก็ยังตกเป็นเป้าหมายเสียเอง

 

ชยพล สท้อนดี, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล

ชยพล สท้อนดี, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล 

แถลงข่าวแสดงความไม่เห็นด้วยที่รองประธานสภาเกือบวินิจฉัยให้หยุดการอภิปราย

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

นายกฯ Gen Y ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ไฟต์เพื่อพ่อเต็มที่

 

ตลอดการอภิปราย 2 วัน แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงเพียง 5 ครั้ง พร้อมปฏิเสธไม่เป็นความจริงในทุกๆ เรื่อง 

 

ทั้งการเลี่ยงจ่ายภาษี ใช้ตั๋ว P/N โอนหุ้นจากเครือญาติ ยืนยันไม่มีหลบเลี่ยง, การซื้อที่ดินอัลไพน์, การครอบครองที่ดินโรงแรม Thames Valley Khao Yai ของตระกูลชินวัตร, การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า, การพักรักษาตัวของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงการดีลกับปีศาจเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่าทุกเรื่องที่ซักฟอกมาไม่ได้เกิดขึ้นในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร

 

แต่ไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ถูกวิจารณ์ความเป็นนายกฯ Gen Y คือคำที่ใช้โต้กลับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่แฝงน้ำเสียงเหน็บแนม ยอกย้อน เช่น “ที่สมาชิกอาวุโสพูดมาไม่เป็นความจริง”, “แม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่มั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐบาลมากกว่าท่านแน่นอน” จนถึง “อย่างน้อยท่านจะได้รู้ว่าการถูกเข้าใจผิดเป็นอย่างไร” 

 

แม้จะดูหลักแหลมและสร้างสีสัน แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนว่า นายกรัฐมนตรียังไม่ได้มุ่งเน้นจะหักล้างข้อกล่าวหาด้วยข้อเท็จจริงที่ครอบคลุมทั่วถึง หรืออย่างน้อยแสดงความจริงใจต่อการชี้แจง ตรงกันข้ามกลับเป็นการตอบโต้ระหว่างกันมากกว่า

 

แพทองธาร ชินวัตร เดินทางกลับ

แพทองธาร ชินวัตร เดินทางกลับ 

หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ 

ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

นอกจากนี้เนื้อหาส่วนใหญ่ที่ทำให้แพทองธาร ลุกขึ้นชี้แจงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับทักษิณ ทั้งดีลข้ามประเทศและการครอบงำที่ย้ำว่าเป็นเพียงคำที่ถูกกล่าวหา 

 

“ที่จริงไม่ใช่แค่ดิฉันที่ถูกกล่าวหาเรื่องการถูกครอบงำ ท่านเองก็ถูกกล่าวหาว่าถูกครอบงำเช่นกัน ต่างกันตรงที่ตนถูกกล่าวหาถูกครอบงำโดยคุณพ่อ แต่ท่านถูกครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ” 

 

แม้จะผ่านศึกซักฟอกด้วยเสียงไว้วางใจ 319 ต่อ 162 แบบชิลๆ มีพรรคร่วมยกมือให้อย่างท่วมท้น มี สส.งูเห่าโหวตให้อีก 10 เสียง แต่แพทองธารย้ำว่า ไม่ขอพึ่งเสียงจาก สส. งูเห่า และหากใครวิ่งเต้นไปหาทักษิณขอให้ดูว่าวิ่งทางไหนแล้วจะเป็นผล เพราะได้คุยกับทักษิณแล้วว่าจะไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเวลานี้ 

 

INFO คะแนนโหวต ไว้วางใจ แพทองธาร

 

ซักฟอกครั้งแรกในชีวิตของประวิตร 

 

อีกหนึ่งในไฮไลต์ที่ถูกจับจากคนไทยทั้งประเทศ สื่อทุกแขนงจับตามองตั้งแต่เปิดตัวว่าจะร่วมซักฟอกนายกรัฐมนตรีไข่ในหินของศัตรูหมาย 1 ทักษิณ ชินวัตร คือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเข้าปฏิบัติหน้าที่ สส. แบบบัญชีรายชื่อ เพียงหนึ่งเดียวของพรรคพลังประชารัฐในรอบ 1 ปี 8 เดือน และร่วมอภิปรายฯ ครั้งแรกในชีวิต 

 

หลังจากที่มีกระแสข่าวก่อนหน้าว่ามีการพูดคุยหลังบ้าน และเตรียมสร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์ด้วยการมอบเวลาโควตาของพลังประชารัฐให้ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซักฟอกนายกฯ แทน 

 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ปรากฏตัวในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เตรียมอภิปราย 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ปรากฏตัวในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เตรียมอภิปราย 

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

แต่สุดท้าย พล.อ. ประวิตร ใช้เวลาในการอภิปรายเองและใช้เวลาทั้งสิ้น 10 นาที เช่น การบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว, นโยบายต่างประเทศและความมั่นคง เช่น เรื่อง MOU 44, ร่างกฎหมายประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) และนายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำนิติกรรมอำพรางหลีกเลี่ยงภาษี ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 

 

“จึงเห็นใจนายกรัฐมนตรีที่ต้องมาเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องที่ไม่มีประสบการณ์ ประเทศชาติไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือได้”

 

ทั้งนี้ เมื่อลงมติแล้วนั้นพบว่าพรรคพลังประชารัฐ 19 เสียงโหวตไม่ไว้วางใจ และมีงูเห่าโหวตไว้วางใจ 1 คน คือ กาญจนา จังหวะ สส. ชัยภูมิ ที่ตัวยังอยู่กับลุง แต่ใจนั้นอยู่ที่อื่นตั้งนานแล้ว

 

กลุ่มนายกรัฐมนตรีและผู้นำฝ่ายค้านทักทายซึ่งกันและกันบนบัลลังก์คณะรัฐมนตรี หลังจบการลงมติไม่ไว้วางใจ 

กลุ่มนายกรัฐมนตรีและผู้นำฝ่ายค้านทักทายซึ่งกันและกันบนบัลลังก์คณะรัฐมนตรี หลังจบการลงมติไม่ไว้วางใจ 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

The post จบศึกซักฟอก ‘ดีลแลกประเทศ’ สะท้อนเรื่องอะไรที่มากกว่า ‘พ่อ-ลูกชินวัตร’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ‘ชยพล’ เปิดต่อ ขบวนการ IO ร่างทองที่ยังไม่ได้พูด หลังถูกสั่งห้ามอภิปราย | News Digest #141 https://thestandard.co/news-digest-26032025/ Wed, 26 Mar 2025 13:13:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1056966

ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน เปิดต่อข้อมูล ‘ขบวนกา […]

The post ชมคลิป: ‘ชยพล’ เปิดต่อ ขบวนการ IO ร่างทองที่ยังไม่ได้พูด หลังถูกสั่งห้ามอภิปราย | News Digest #141 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน เปิดต่อข้อมูล ‘ขบวนการ IO ร่างทอง’ ที่ยังไม่ได้พูด หลังถูกขัดตลอดทาง จนกระทั่งประธานสภาสั่งห้ามอภิปราย

The post ชมคลิป: ‘ชยพล’ เปิดต่อ ขบวนการ IO ร่างทองที่ยังไม่ได้พูด หลังถูกสั่งห้ามอภิปราย | News Digest #141 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ปิดปากแฉ IO กองทัพ รัฐบาลเพื่อไทยอ่อนไหวยิ่งกว่ายุคประยุทธ์? | THE STANDARD NOW https://thestandard.co/thestandardnow260368/ Wed, 26 Mar 2025 10:50:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1056907

ปิดปากแฉ IO กองทัพคุกคามคนเห็นต่าง รัฐบาลเพื่อไทยอ่อนไห […]

The post ชมคลิป: ปิดปากแฉ IO กองทัพ รัฐบาลเพื่อไทยอ่อนไหวยิ่งกว่ายุคประยุทธ์? | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปิดปากแฉ IO กองทัพคุกคามคนเห็นต่าง รัฐบาลเพื่อไทยอ่อนไหวยิ่งกว่ายุคประยุทธ์? คุยกับแขกรับเชิญ 3 ท่าน

 

  • ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน
  • วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน
  • รศ. ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

 

พบกันในรายการ THE STANDARD NOW กับ อ๊อฟ ชัยนนท์ วันที่ 26 มีนาคม 2568 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ทาง YouTube และ TikTok ของ THE STANDARD

The post ชมคลิป: ปิดปากแฉ IO กองทัพ รัฐบาลเพื่อไทยอ่อนไหวยิ่งกว่ายุคประยุทธ์? | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชยพล เปิดข้อมูล ขบวนการ IO ยกระดับ ล็อกเป้าคนเห็นต่าง พบชื่อบุคคลสำคัญในรัฐบาลถูกจับจ้องฐานแอบอ้างสถาบันฯ แสวงผลประโยชน์ https://thestandard.co/no-confidence-debate-2568-43/ Tue, 25 Mar 2025 14:58:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1056535

วันนี้ (25 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 […]

The post ชยพล เปิดข้อมูล ขบวนการ IO ยกระดับ ล็อกเป้าคนเห็นต่าง พบชื่อบุคคลสำคัญในรัฐบาลถูกจับจ้องฐานแอบอ้างสถาบันฯ แสวงผลประโยชน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (25 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 2 ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า นายกรัฐมนตรีไม่รักษาสัญญาที่เคยบอกกับประชาชนไว้ว่าจะปฏิรูปกองทัพ ทำลายโอกาสที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศของเราไปสู่ประชาธิปไตยอย่างที่ประชาชนต้องการ มีคนบางกลุ่มบางฝ่าย พยายามทำให้อำนาจของกองทัพอยู่เหนืออำนาจของรัฐบาลพลเรือน อยู่เหนืออำนาจของประชาชน และยังใช้กลไกของกองทัพเข้ามาแทรกแซงการเมืองอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ประเทศของเราขาดเสถียรภาพ ไม่สามารถที่จะพัฒนาระบอบประชาธิปไตยได้อย่างต่อเนื่อง 

 

ชยพลชี้ว่า กลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งที่กองทัพใช้เพื่อแทรกแซงการเมืองก็คือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือที่เรามักเรียกกันสั้นๆ ว่า IO อีกทั้งเมื่อจะเกิดรัฐประหาร ไม่ใช่ว่าทหารจะลากรถถังออกมายึดอำนาจได้ แต่มักจะต้องมีสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมหรือบรรยากาศรัฐบาลถูกโจมตีกล่าวหารุนแรงขึ้นก่อนแล้ว กองทัพจึงจะอ้างว่า พวกเขาจำเป็นต้องออกมาเพื่อควบคุมสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งคำถามก็คือ แล้วสถานการณ์หรือบรรยากาศความขัดแย้งต่างๆ นั้น มันเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติหรือไม่

 

“ขบวนการเหล่านี้ มีเป้าหมายก็เพื่อสร้างกระแสสังคม สร้างความเชื่อผิดๆ สร้างความไม่พอใจ สร้างความหวาดกลัว สร้างความเกลียดชัง หรือสร้างความขัดแย้ง จนนำไปสู่สถานการณ์ที่ผู้อยู่เบื้องหลังได้ประโยชน์ เช่น นำไปสู่การขับไล่รัฐบาล นำไปสู่การทำลายคู่ขัดแย้งทางการเมือง นำไปสู่การลุกฮือของประชาชนบางกลุ่ม หรือนำไปสู่การรัฐประหาร” 

 

ชยพลได้แนะนำเอกสารของหน่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของคนในกองทัพหรือที่เรียกตัวเองว่าเป็น Cyber Team ซึ่งเอกสารส่วนใหญ่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจที่รักประชาธิปไตย พวกเขารับไม่ได้กับปฏิบัติการที่เสื่อมเสียเกียรติภูมิของกองทัพ พวกเขารับไม่ได้กับการใช้อำนาจสั่งให้ข้าราชการไปปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดชังกัน ขัดแย้งกัน

 

ข้อมูลที่จะเปิดเผย นำมาจากเอกสารภายในของขบวนการไอโอของกองทัพ รวมทั้งเอกสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการนี้ ประกอบไปด้วย เอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ กองทัพบก, เอกสารรายงานการทำงานของไซเบอร์ทีมภายใต้ ศปก. ร่วมฯ หรือศูนย์ปฏิบัติการร่วมของทหาร และตำรวจ โดยเอกสารรายงานการทำงานเหล่านี้ มีทั้งรายงานประจำสัปดาห์ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาจนถึงรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเอกสารสรุปยุทธศาสตร์ประจำปีของทีมไซเบอร์ รวมถึงเอกสารประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักรของ กอ.รมน. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ

 

ชยพลนำเอกสารลับของกองทัพบก ซึ่งจากเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ซึ่งทำให้ทราบว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2566 กองทัพได้ประชุมแผนงานด้านสารนิเทศเพื่อความมั่นคง และได้วิเคราะห์ว่ามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านสถาบันฯ ในประเทศไทยโดยกลุ่มเหล่านี้มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน ซึ่งคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ และวิเคราะห์แบบนี้ จึงสั่งให้ทุกเหล่าทัพจัดตั้ง ‘คณะทำงานความมั่นคงพิเศษ’ ขึ้นมา ตามแนวทางที่ทีม ศปก. ร่วมฯของกองทัพบกนำเสนอ 

 

ทั้งนี้ คณะทำงานความมั่นคงพิเศษที่สั่งให้ทุกเหล่าทัพจัดตั้งขึ้นมานั้น มีหน้าที่ประสานงานร่วมกัน โดยให้จัดทำโครงสร้าง และแนวทางการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงาน ทั้งในระดับนโยบาย ระดับผู้ประสานงาน และระดับทีมปฏิบัติการ รวมทั้งสั่งให้แต่ละหน่วยงานส่งบัญชี Influencers ที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่แล้วหรือสร้างขึ้นมาไปให้ ศปก. ร่วมฯ ทราบด้วย

 

ชยพลได้โชว์หนังสือนำส่งรายชื่อ Influencers ของ ทร. และเอกสารแนบท้าย สไลด์ บันทึกข้อความ ส่งบัญชี Influencers ให้ ผบ.ทร. ทราบ ซึ่งตัวอย่างหนังสือนำส่งรายชื่อกำลังพลของกองทัพเรือที่ทำหน้าที่เป็น Influencers หนังสือลงวันที่ 31 มกราคม 2568 เมื่อต้นปีนี้ และ Influencers แต่ละคนจะระบุชื่อบัญชีผู้ใช้ของตนเองในแต่ละแพลตฟอร์ม ที่มีกำลังพลในรายชื่อทั้งหมด 131 นาย แต่ละคนก็มีกันคนละหลายบัญชี กระจายตามแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งข้อมูลที่ส่งให้ ผบ.ทร. รับทราบ ประกอบไปด้วยชื่อกำลังพล ตำแหน่งของตัวเอง ชื่อของบัญชีโซเชียลมีเดียในแต่ละแพลตฟอร์ม ยอดคนติดตาม กับยอดคนกดไลก์

 

Influencers ของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นบัญชีของคนหรือหน่วยงานที่มีตัวตนจริงๆ หรือเป็นบัญชีที่ปกปิดตัวตน จะถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการ IO ด้วยสไลด์ คณะทำงาน สั่งการ แผน IRC (Information-Related Capabilities) เช่น ตามเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. ที่มีการสั่งให้ทุกหน่วยงานเริ่มดำเนินการตามแผนงาน IRC ที่ ศปก. ร่วมฯ ทีม ทบ. นำเสนอในทันที และได้มีการเน้นย้ำว่าให้เพิ่ม ‘การดำเนินการเชิงรุกต่อ HVT’ โดย IRC และ HVT (High Value Targets) หมายถึง ‘ขีดความสามารถที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสาร’ เช่น เครื่องมือ เทคนิค หรือกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายแผนงาน IRC เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ IO ของกองทัพ

 

ชยพลกล่าวอีกว่า IRC เป็นเรื่องที่สอนกันในกองทัพทั่วโลก เป้าหมายเพื่อสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจของศัตรู แต่ในกรณีที่ตนอภิปรายนั้น ใครคือศัตรูของกองทัพไทย ซึ่งตามเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. และเอกสารไซเบอร์ทีมของกองทัพนั้น HVT คือ ‘กลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญ และมีผลกระทบต่อสถาบันฯ สูง’ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จะมีจำนวน และหน้าตาเปลี่ยนไปบ้างตามแต่ละสถานการณ์ 

 

โดยเป้าหมายสำคัญของกองทัพไทย ตั้งแต่ช่วงปลายสมัยรัฐบาลทหารของ คสช. ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลพลเรือนของแพทองธาร ซึ่งจากเอกสารคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. นอกจากจะสั่งให้ทุกเหล่าทัพจัดตั้งคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ และให้ เริ่มดำเนินการปฏิบัติการ IO ภายใต้ ศปก. ร่วมฯ แล้ว ในเอกสารข้อที่ 8 ยังสั่งให้ กอ.รมน. หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการสูงสุด จัดทำข้อมูลแผน และแนวทางการดำเนินงานในมิติสถาบันฯ รวมถึงข้อมูลสถานการณ์ และเป้าหมายบุคคล และกลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหว

 

ชยพลตั้งคำถามว่า นายกรัฐมนตรีเคยใส่ใจเข้าไปตรวจสอบบ้างหรือไม่ ว่า กอ.รมน. ที่ท่านนายกฯ เป็นผู้อำนวยการส่งข้อมูลอะไรไปให้ทีม IO ของกองทัพบ้าง และจากเอกสารก็จะพบว่า คณะทำงาน ทบ. ยังสั่งการให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายร่วมให้ตรงกัน และมีการสั่งการให้กำหนดเป้าหมายที่มีผลกระทบต่อสถาบันฯ สูง จำนวน 73 เป้าหมาย และกำหนดอีก 10 เป้าหมาย ที่เป็นเป้าหมายเร่งด่วนกลุ่มแรก เพื่อการดำเนินการ

 

นอกจากนั้น ยังสั่งการให้ ศปก. ร่วมฯ จัดตั้ง Cyber Team ทำหน้าที่ วางแผน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการในแต่ละมิติ และมีมาตรการที่สอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดผลการดำเนินงาน เกิดผลลัพธ์ตามเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา กระชับการบัญชาการให้ทุกเหล่าทัพ รวมศูนย์ไปอยู่ภายใต้ ศปก. ร่วมฯ หรือศูนย์ปฏิบัติการร่วม โดยมี Cyber Team ที่ตั้งขึ้นมาใหม่รับผิดชอบปฏิบัติการ IO โดยเฉพาะ

 

“ผมเชื่อมั่นว่า หลังจากที่ประชาชนไม่ยอมให้ พล.อ. ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกแล้ว หากเรามีนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนใหม่ที่มีสำนึกประชาธิปไตย มีเจตจำนงที่จะปฏิรูปกองทัพ ขบวนการ IO ของกองทัพที่ก่อร่างขึ้นมาใหม่นี้ จะต้องถูกตรวจสอบ ถูกทบทวน แต่ขบวนการ IO นี้กลับสุขสบายดี แถมเติบโตจนน่ากลัว ภายใต้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร และจากที่ตนติดตาม ในปัจจุบัน Cyber Team นี้ จะประชุมกันทุกวันพุธหรือพฤหัสบดี โดยสถานที่ประชุมก็อยู่ใกล้ๆ ตรงแถวสะพานเกษะโกมล ห่างจากสภาของพวกเราไปแค่ประมาณ 2 กิโล”

 

ชยพลยังได้โชว์ผังโครงสร้างทีมไซเบอร์ของกองทัพทั้งในระดับ staff และระดับผู้บัญชาการ โดยในระดับ staff หรือระดับผู้ปฏิบัติการนั้น จะประกอบไปด้วย บุคลากรจากกองทัพ และตำรวจ ส่วนในระดับผู้บัญชาการนั้น จะประกอบไปด้วย นายทหารระดับเสนาธิการ, รองแม่ทัพภาค และผู้บังคับการ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลแพทองธารในปัจจุบัน คอยบัญชาการ Cyber Team นี้ คือ รอง ผอ.ศปก.ร่วมฯ และเป็นอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งนายทหารท่านนี้ คือคนที่มีบทบาทสำคัญในการไล่จับ ไล่ฟ้อง ไล่ปราบ กิจกรรมต่อต้านรัฐประหารตั้งแต่ในยุค คสช. ช่วงแรก แต่เมื่อมาถึงยุครัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็ได้ ย้ายเข้ามากรุงเทพฯ และมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามม็อบราษฎร 

 

อีกทั้งโครงสร้างการบัญชาการของขบวนการ IO ตอนนี้ ดูจะสะท้อนสิ่งที่เราอาจจะเรียกได้ว่า เป็นรัฐซ้อนรัฐ กองทัพซ้อนกองทัพได้เป็นอย่างดี ประเทศของเรากำลังเกิดอำนาจรัฐที่อาศัยกลไกของกองทัพ ซ้อนขึ้นไปอยู่เหนืออำนาจของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง และยังเกิดอำนาจของกองทัพที่ซ้อนขึ้นไปอยู่เหนือผู้บัญชาการกองทัพในระบบราชการปกติอีกด้วย

 

จากเอกสารรายงานการทำงานของ Cyber Team กลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายของกองทัพจะถูกติดตาม ถูกสอดแนม และที่สำคัญคือ จะถูกขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัว มองหาจุดอ่อนต่างๆ หรือไม่ก็จะปั้นเรื่องขึ้นมาเป็น ‘ข้อมูล Dark Side’ หรือข้อมูลด้านมืด เพื่อใช้โจมตีเป้าหมาย 

 

ทั้งนี้ ชยพลได้ยกตัวอย่าง เช่น พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่ถูกระบุว่ามีพฤติกรรมต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้น และมีการรายงานว่าทีมไซเบอร์ได้ ‘ดำเนินการสร้างภาพจำ’ ไปแล้ว 29 คอนเทนต์ โดยใช้ข้อมูล Dark Side เช่น ชอบเอาข้อมูลของตำรวจไปบอก สนธิ ลิ้มทองกุล ที่บ้านพระอาทิตย์ ในสมัยที่เป็นรักษาการ ผบ.ตร. และได้รับรถหรูมาจากบริษัทเอกชนที่อาจตกแต่งบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษี 

 

รวมถึงถูกยื่น ป.ป.ช. ใช้ไต่สวนว่าปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ในเอกสารยังระบุอีกว่า ให้ขยายผลสร้างภาพจำว่ามีคดีทุจริตจัดซื้อรถจักรยานยนต์ Tiger สมัยเป็น ผบ.ตร. และนอกจากข้อมูล Dark Side ก็ยังมีการสะกดรอยตาม ตามไปทุกที่ เกือบทุกวัน ตามไปถ่ายรูปตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงตึกจอดรถของพรรคเพื่อไทย แอบถ่ายรูปรถตู้ Alphard สีดำของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ มาใส่ไว้ในรายงานด้วย

 

อีกทั้งในเอกสาร ยังมีการระบุเป้าหมาย คือ พรรณิการ์ วานิช ซึ่งถูกระบุพฤติกรรมว่ามีแนวคิดต่อต้านสถาบันฯ และสนับสนุนกลุ่มเห็นต่าง มีการดำเนินการสร้างภาพจำด้วยข้อมูล Dark Side ว่า มีแนวคิดสนับสนุนแนวร่วมของคอมมิวนิสต์ในอดีต และยังมีเรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการชู้สาว

 

นอกจากนี้ยังมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกระบุว่า มีพฤติกรรมต่อต้านสถาบันฯ ต่อต้านรัฐบาล มีรายงานการดำเนินการสร้างภาพจำด้วยข้อมูล Dark Side เช่น มีการระบุให้ทุกหน่วยทำไอโอด้อยค่าเรื่องการหาเสียง ยุให้สร้างความแตกแยกภายในพรรค ไปจนถึงบิดเบือนโจมตีเรื่องส่วนตัวต่างๆ ซึ่งเอกสารที่โชว์อยู่นี้เป็นรายงานปฏิบัติการ IO ในช่วงก่อนเลือกตั้ง นั่นหมายความว่า กองทัพไทยเจตนาใช้ทรัพยากรของรัฐทำ IO เพื่อแทรกแซงการเมืองในช่วงเลือกตั้งด้วยอย่างชัดเจน เป็นการกระทำผิดกฎหมาย และไม่เกี่ยวอะไรกับการรักษาความมั่นคงหรือการปกป้องสถาบันฯ

 

นอกจากนั้น กองทัพภายใต้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ยังจัดกลุ่มเป้าหมายออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น ทุนต่างชาติ, ผู้ที่มีบทบาทจุดประเด็นในสังคม, กลุ่มสร้างกระแสชี้นำแนวคิดเยาวชน และกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักวิชาการ และ NGOs 

 

ชยพลยังกล่าวถึง Cyber Attacks โดยหยิบยก Social Bot คือบัญชี Social Media ที่ไม่ได้ใช้คนจริงๆ ไปเล่น แต่เขียนโปรแกรมให้โพสต์ ให้แชร์ แบบอัตโนมัติ Bot พวกนี้มักจะถูกเขียนโปรแกรมให้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมาย Influencers หรือ บัญชีที่มีผู้ติดตามเยอะๆ แล้วโพสต์ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการออกไป โดยเฉพาะข่าวปลอม เพื่อให้คนจริงๆ แชร์ต่อๆ กันไปในโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์ม จึงแบนการใช้ Social Bot เพราะถือว่าเป็นสแปมรูปแบบหนึ่ง และกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระจายข่าวปลอมหรือ Fake News และจากเอกสารของทีมไซเบอร์ของกองทัพไทยภายใต้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ได้รายงานว่ากองทัพบก และกองบัญชาการกองทัพไทยได้ใช้งาน Social Bot มากถึง 226 ตัว 

 

ชยพลยังกล่าวถึงดีลแลกประเทศว่านายกรัฐมนตรี อาจจะชอบใจ ที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านถูก IO กองทัพโจมตี แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตระหนักว่า ตัวเองทำดีลเพื่อแลกกับการสยบยอมไม่แตะต้องกองทัพนั้น จะทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ถ้ายังปล่อยให้ขบวนการขยายตัว เติบโตยิ่งกว่านี้อยู่ รัฐบาลทหาร และไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือน กองทัพก็ยะแทรกแซงการเมืองได้อย่างตามอำเภอใจ ส่งผลให้เซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตย เพราะในเอกสารของ กอ.รมน.ประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงฯ ยังระบุถึงกลุ่มชื่อบุคคลที่แสวงหาประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบัน ซึ่งมีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร, ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า และ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่สุดท้ายก็ไม่มีใครรอด เพราะเขาต้องการการผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับกองทัพไว้ฝ่ายเดียว

 

“ผมก็เกิดมาในครอบครัวทหารหลายคนก็อยากเห็นกองทัพไทยทันสมัย แต่ยังมีนายพลบางกลุ่มหาผลประโยชน์จากกองทัพ ไปยุ่งเกี่ยวการเมือง และนายพลอีกกลุ่ม ก็มักแอบอ้างสถาบันฯ หากนายกรัฐมนตรีไม่ดำเนินการตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ละทิ้งการปฏิรูปกองทัพ ยอมปล่อยให้ทหารบางกลุ่มใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือคุกคาม ปลุกปั่น สร้างความแตกแยก และหากยอมรับให้กองทัพอยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาลพลเรือน จะกลายเป็นรัฐซ้อนรัฐ กองทัพซ้อนกองทัพ เมื่อไรที่นายพลบางกลุ่มสร้างสถานการณ์จนสุกงอม พวกเขาก็พร้อมที่จะก่อรัฐประหารอีกครั้ง” ชยพลกล่าว

The post ชยพล เปิดข้อมูล ขบวนการ IO ยกระดับ ล็อกเป้าคนเห็นต่าง พบชื่อบุคคลสำคัญในรัฐบาลถูกจับจ้องฐานแอบอ้างสถาบันฯ แสวงผลประโยชน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สส. ประชาชน อัดพิเชษฐ์ไม่กล้าหาญ สยบยอมกองทัพ หลังสั่งชยพลยุติอภิปรายแฉหน่วยงาน IO ของกองทัพ https://thestandard.co/no-confidence-debate-2568-42/ Tue, 25 Mar 2025 14:37:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1056525

วันนี้ (25 มีนาคม) ภายหลัง พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประ […]

The post สส. ประชาชน อัดพิเชษฐ์ไม่กล้าหาญ สยบยอมกองทัพ หลังสั่งชยพลยุติอภิปรายแฉหน่วยงาน IO ของกองทัพ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (25 มีนาคม) ภายหลัง พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้สั่งให้ ชยพล สท้อนดี สส. พรรคประชาชน ยุติการอภิปรายแฉหน่วยงาน IO ของกองทัพ โดยระบุว่ามีเนื้อหาพาดพิงสถาบันและคนนอกหลายครั้ง สภาอาจรับผิดชอบไม่ไหว ทำให้ สส. ประชาชน ลุกขึ้นประท้วง ก่อนประธานในที่ประชุมจะให้ชยพลอภิปรายต่อ 10 นาที แต่ห้ามเผยแพร่สไลด์ขึ้นจอ

 

จากนั้นชยพลพร้อมด้วย ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้แถลงข่าวยืนยันว่าเอกสารทั้งหมดเป็นของจริงที่ได้รับมาจากหลายฝ่าย และเรื่องที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปิดเนื้อหาได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดกระบวนการที่จะเซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตยและไล่โจมตีประชาชนอย่างไรบ้าง หากได้อภิปรายต่อไปจะเจอคำอธิบายว่าทำไมสถานการณ์การเมืองในสภาถึงเป็นไปอย่างที่เป็นอยู่ เพราะมีความสอดคล้องกันแบบแปลก ทำให้ตนถูกห้ามไม่ให้อภิปรายต่อ

 

ด้านวิโรจน์ระบุว่า พรรคเพื่อไทยจะรู้สึกน่าจะเสียดายมากๆ เพราะหากจะต้องการปกป้อง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชยพลกำลังอภิปรายว่าวันนี้มีกองทัพบางส่วนทำตัวอยู่ยอดพีระมิดและเป็นรัฐอิสระเหนือรัฐ ซึ่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นหัวหน้าสูงสุดของ กอ.รมน. ก็ตกเป็นเหยื่อที่ถูกโจมตีและถูกคุกคาม สะท้อนชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีและ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่แก้ไขตรงนี้ ไม่ใช่แค่ฝ่ายค้าน นักวิชาการ และประชาชน 

 

“แพทองธารบอกว่าลาออกจากการเป็นลูกไม่ได้ ผมอยากจะบอกว่าถ้าคุณไม่สนใจเรื่องนี้ แม้แต่ชีวิตหรือครอบครัวคุณก็ปกป้องไม่ได้ เป็นการแสดงความขลาดเขลาอย่างมากของพรรคเพื่อไทย ในฐานะที่เคยอภิปรายเรื่องของ IO มาก่อน เนื้อหาในวันนี้ไม่ได้เสียงไปกว่าผมเลย ในวันนั้นผมอภิปรายในรัฐบาลที่สืบทอดจากเผด็จการประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่ในขณะนั้น ยังมีความกล้าหาญกว่า พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ซึ่งไม่มีความกล้าหาญไม่สมกับที่จะดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอกีต่อไป”

 

วิโรจน์กล่าวว่า พิเชษฐ์สยบยอมแม้กระทั่งกองทัพ นั่งอยู่บนบัลลังก์ได้แต่พยักหน้า ต้องถามพรรคเพื่อไทยว่าพร้อมที่จะบริหารประเทศจริงๆ หรือไม่ จะปล่อยให้ทหารอยู่ในฐานะรัฐซ้อนรัฐที่จับครอบครัวนายกรัฐมนตรีเป็นตัวประกันหรือไม่ เป็นความน่าอดสูอย่างยิ่ง

 

ขณะที่ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า มีความพยายามที่จะสกัดกั้นชยพล ปิดปากฝ่ายค้านไม่ให้อภิปรายไม่ไว้วางใจจนจบ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นการพูดถึงการปฏิบัติการของกองทัพที่พยายามคุกคามประชาชน อยู่ในญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และอยู่ในอำนาจนายกรัฐมนตรีที่ควบคุมกอ.รมน. ทำให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีขาดภาวะผู้นำไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ถูกรองประธานสภาห้ามไม่ให้พูด 

 

ทั้งนี้ มองว่าเหตุการณ์ในวันนี้ถือเป็นความอัปยศในสภาผู้แทนราษฎรและเป็นการปิดกั้นกลไกตรวจสอบถ่วงดุล การที่สส.เพื่อไทยประท้วงและระบุว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่รู้ถือเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่รู้ว่ากองทัพกำลังสอดแนมประชาชน สะกดรอยตามประชาชน และคุกคามสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของประชาชน รวมถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.กอ.รมน. ซึ่งตนหวังว่านายกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมลุกขึ้นมาตอบว่าทราบเรื่องนี้หรือไม่ และจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้

 

ด้านชยพลย้ำด้วยว่า การที่สภาบอกว่ารับผิดชอบไม่ไหวถามว่ารับผิดชอบอะไร เพราะตนกำลังพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ถ้าอยู่ในประเทศแบบนี้หากรัฐบาลแบบนี้ ทุกคนตกทรัพย์เป็นเป้าโจมตีได้ทุกคน ไม่มีใครปลอดภัย แม้แต่ตัวรัฐบาลเองและไม่มีเสถียรภาพ ต่อไประบบประชาธิปไตยจะเป็นอย่างไร ถ้าผู้นำโดนเป็นเป้าหมายเองยืนยันว่าความเสียหายจะเกิดต่อไปหากตนไม่เอาข้อมูลมาเปิดเผย ทั้งนี้ขอให้ติดตามเนื้อหาดังกล่าวทางโซเชียลมีเดียของพรรค

The post สส. ประชาชน อัดพิเชษฐ์ไม่กล้าหาญ สยบยอมกองทัพ หลังสั่งชยพลยุติอภิปรายแฉหน่วยงาน IO ของกองทัพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กมธ.การทหาร เรียกร้องความโปร่งใสกรณีเรือหลวงสุโขทัย หวัง รมว.กลาโหม คนใหม่แก้ปัญหา https://thestandard.co/htms-sukhothai-incident-review/ Thu, 19 Sep 2024 06:22:03 +0000 https://thestandard.co/?p=985281

วันนี้ (19 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา ชยพล สท้อนดี สส. กทม […]

The post กมธ.การทหาร เรียกร้องความโปร่งใสกรณีเรือหลวงสุโขทัย หวัง รมว.กลาโหม คนใหม่แก้ปัญหา appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (19 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าการติดตามกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง โดยระบุว่า ภายหลังตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าว กองทัพเรือย้ำมาตลอดว่าต้องกู้เรือเพื่อรวมหลักฐาน ก่อนจะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดแก่ประชาชน 

 

อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นกองทัพเรือได้เปิดการประมูลเพื่อคัดเลือกบริษัทที่จะมากู้เรือ วงเงิน 200 ล้านบาท แต่ต่อมาถูกเปิดหลักฐานว่าการประมูลการกู้เรือนั้นทำไม่ถูกต้อง กองทัพเรือก็ได้เปลี่ยนท่าทีและล้มเลิกการประมูล ก่อนจะยอมให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยกู้เรือ แต่กลายเป็นว่า ไม่มีการกู้เรือเลยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ

 

ชยพลกล่าวต่อไปว่า คณะกรรมาธิการการทหารชุดปัจจุบันติดตามและขอหลักฐานมาโดยตลอด แต่ขอไป 13 อย่าง ได้มาเพียง 1 อย่างเท่านั้น คือข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างเรือหลวงสุโขทัย ซึ่งไม่ได้มีสาระสำคัญ อีกทั้งไม่ได้รับการตอบกลับอะไรจากกองทัพเรือเลย 

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราสูญเสียเรือรบมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท ชีวิตกำลังพล 20 นาย สูญหาย 5 นาย แต่ผู้ใหญ่ในกองทัพเรือที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ก็ยังไม่ยอมรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง มีเพียงคำสัญญาที่ไม่เคยเป็นจริง จะสะดุ้งยืดอกรับผิดชอบอะไรหรือไม่ หรือเป็นความพยายามของกองทัพเรือที่จะยืดเวลารอให้ตัวเองลอยลำพ้นการรับผิดชอบ” ชยพลกล่าว

 

ด้าน จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส. ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังมีข้อสงสัยอีกหลายประเด็น ทั้งการให้เรือรบออกไปทำหน้าที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพเรือ รวมถึงการสั่งให้เรือรบที่กำลังจะล่มกลับสัตหีบ ทั้งที่ต้องเดินทางอีกครึ่งวัน และกระบวนการสอบสวนที่ยังไม่โปร่งใส 

 

ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดมาก ว่าการสูญเสียทั้งหมดนี้ถูกปิดคดี ไม่มีใครรับผิดชอบทั้งความผิดทางวินัยและอาญา ดังนั้น จึงขอฝากไปยัง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึง พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส ถอดบทเรียนเพื่อปรับปรุงกองทัพเรือให้ดีขึ้น

The post กมธ.การทหาร เรียกร้องความโปร่งใสกรณีเรือหลวงสุโขทัย หวัง รมว.กลาโหม คนใหม่แก้ปัญหา appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิโรจน์แอบภูมิใจทำสุทินกลัวได้ ผนึกชยพลวิจารณ์งบกลาโหมทำกองทัพอ่อนแอในระยะยาว https://thestandard.co/wiroj-proud-chayapol-sutin-mod/ Thu, 20 Jun 2024 13:14:51 +0000 https://thestandard.co/?p=947776 วิโรจน์ ชยพล งบกลาโหม

วันนี้ (20 มิถุนายน) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ […]

The post วิโรจน์แอบภูมิใจทำสุทินกลัวได้ ผนึกชยพลวิจารณ์งบกลาโหมทำกองทัพอ่อนแอในระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิโรจน์ ชยพล งบกลาโหม

วันนี้ (20 มิถุนายน) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วาระแรก ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในประเด็นของการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลในด้านความมั่นคง

 

งบกลาโหมสะท้อนความไม่ตั้งใจพัฒนากองทัพ

 

วิโรจน์อภิปรายถึงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่สะท้อนถึงการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ จะพบว่ากระทรวงกลาโหมมีอัตราการเบิกรายจ่ายลงทุนต่ำอย่างน่าเป็นห่วง สะท้อนถึงอาการของ ‘โรคไม่ตั้งใจส่งเสริมความมั่นคงของประเทศให้สอดรับกับบริบทของภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกใบนี้’

 

ปัญหาลักษณะนี้ไม่ได้เพิ่งเกิด ตนเองเคยอภิปรายเรื่องนี้ร่วมกับ สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ในตอนนั้นเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งปัญหานี้ย้อนไปตั้งแต่งบประมาณของกระทรวงกลาโหมในปี 2566

 

วิโรจน์ชี้ว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้กระทรวงกลาโหมขาดงบมาพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ คืองบบุคลากรที่มีสัดส่วนสูงมาก แม้ในภาพรวมจะลดลงแล้ว แต่ไม่ได้เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างภายในของกระทรวงเลย โดยงบบุคลากรลดลงเพียง 2,500 ล้านบาท คิดเป็น 2.31% ขณะที่ภาพรวมทั้งกระทรวงได้งบประมาณเพิ่มขึ้น 2,600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.31% และงบประมาณในภาพรวมก็เพิ่มขึ้นทุกเหล่าทัพ เมื่อเห็นการลดลงของงบบุคลากรแล้วอาจจะนึกดีใจคิดว่ากองทัพมีการปรับตัว แต่ขอยืนยันนี่เป็นการลดแบบธรรมชาติ ไม่ได้ลดจากการปรับปรุงโครงสร้างภายใน

 

วิโรจน์เผยว่า ท้ายสุดแล้วกระทรวงกลาโหมลดงบประมาณไปได้เพียง 34 ล้านบาท เป็นการลดแบบพอเป็นพิธี เพราะกลัวฝ่ายค้านด่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเคยยอมรับกลางสภามาแล้วแบบไม่กระมิดกระเมี้ยนว่ากลัวก้าวไกล 

 

“จริงๆ ผมแอบภูมิใจนะที่ผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการการทหารที่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ถึงเพียงนี้ มือผมนี่สั่นเลยครับ รอรับพวงมาลัยจากท่านเลย ผมอยากบอกท่านรัฐมนตรีด้วยว่าคราวหลังเอาพวงมาลัยมาแลกกับวิโรจน์ อย่าเอาไปให้กับคนที่เขาไม่อยากรับเลย”

 

วิโรจน์อธิบายว่า งบบุคลากรลดลงเพราะกำลังที่รับบรรจุช่วงสงครามเย็นที่ทยอยครบกำหนดเกษียณในช่วงเวลานี้พอดี ไม่ได้เกิดจากความพยายามของกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี แต่แทนที่จะรีบเปลี่ยนผ่านให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ควบรวมหน่วยงานต่างๆ ก็ไม่ทำ และเคยได้รับคำชี้แจงในคณะกรรมาธิการการทหารว่ากำลังพิจารณาอยู่ แต่จะเป็นทางการในช่วงปี 2570 ซึ่งประจวบเหมาะกับการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งกองทัพก็อาจจะไปต่อรองขอขยายความอ่อนแอออกไปอีก

 

“จะชวนนายทหารระดับสูงมายืนพนมมือแล้วบริกรรมคาถาหรือครับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัตว์ปีกทั้งหลายที่ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด จบลงด้วย แล้วทุกอย่างจะดีเอง สาธุ อย่างนั้นหรือครับ” วิโรจน์กล่าว

 

นอกจากนี้โครงการ Early Retire ก็ไม่ปรากฏในงบ 2568 และการลดจำนวนนายพลลงครึ่งหนึ่งก็เป็นไปอย่างต้วมเตี้ยม กว่าจะครบตามเป้าหมายคือเหลือ 284 นาย ก็ต้องรอถึงปี 2571 และถ้าไม่คิดควบรวมหน่วยงานที่ซับซ้อนในกระทรวงกลาโหม นายพลอีก 965 นายก็จะดำรงอยู่ต่อไป

 

งบซ่อมบำรุงยานเกราะไม่เท่ารถประจำตำแหน่งนายพล

 

ขณะที่งบประมาณซ่อมบำรุงของกองทัพบก พบว่างบประมาณในการจัดหาสิ่งอุปกรณ์และชิ้นส่วนซ่อมคงคลังหรือเงินซื้ออะไหล่ กลับลดลง 580 ล้านบาท จากงบปี 2567 จึงเชื่อได้ว่ายานเกราะจำนวนมากที่นอนรออะไหล่นานแรมปีก็ยังต้องรอต่อไป โดยเฉพาะยานเกราะล้อยางที่มีความสำคัญ กลับได้รับงบเพียง 40 ล้านบาท จะทำให้กองทัพสามารถรักษาสภาพยานเกราะให้มีความพร้อมใช้ 2 ใน 3 ได้อย่างไร

 

และเมื่อนำงบซ่อมยานเกราะล้อยาง งบการจ้างซ่อมของกองทัพบก มารวมกัน 195 ล้านบาท แล้วเทียบกับงบประมาณประจำตำแหน่งของนายพล 550 ล้านบาทต่อปี สะท้อนถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อความกินหรูอยู่สบายของบรรดานายพลที่ไม่คำนึงถึงการปฏิบัติงานของทหาร มากกว่าการจัดสรรงบประมาณเพื่อความมั่นคง

 

สำหรับงบประมาณในการฝึกศึกษาทางการทหารมารวมกับงบในการเตรียมกำลังพลป้องกันประเทศเป็น 2,747 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากงบปี 2567 มา 582 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพราะอะไร เพิ่มเพราะเกี่ยวข้องกับการฝึกการปฏิบัติภารกิจร่วมกับเทคโนโลยีป้องกันประเทศ มีงบเกี่ยวกับโดรนหรือแอนตี้โดรนหรือไม่ หากไม่มีจะเพิ่มได้อย่างไร ในเมื่อยอดการเกณฑ์ทหารลดลง ยอดบุคลากรก็ลดลงเช่นกัน

 

“กองทัพจะไม่มีพื้นที่ทางการคลัง ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอต่อการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ไม่มีงบลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จะทำให้กองทัพอ่อนแอในระยะยาว มีเพียงความพร้อมในการก่อการรัฐประหาร และประหัตประหารชีวิตประชาชนเท่านั้นเอง” วิโรจน์กล่าว

 

วิโรจน์ยังทิ้งท้ายว่าประชาชนควรจะคาดหวังกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าจะสามารถเปลี่ยนผ่านให้กองทัพอยู่ภายใต้พลเรือน แต่ที่ผ่านมางบประมาณไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญได้เลย

 

“รัฐมนตรีพลเรือนกลับเป็นเพียงหุ่นเชิด เป็นโฆษกคอยแก้ต่างให้กองทัพ ดำเนินนโยบาย ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของ พล.อ. ประยุทธ์ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อาจจะทำได้ดีกว่า พล.อ. ประยุทธ์ ทำเองด้วยซ้ำ น่าผิดหวังมากที่คุณสุทินไม่สามารถโอบรับความหวังของประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้เลย” วิโรจน์ทิ้งท้าย

 

แนะรัฐบาลใช้ดาวเทียมด้านการทหาร

 

หลังจากนั้น ชยพล สท้อนดี สส. กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า งบประมาณของประเทศจะจัดสรรให้ดีก็ต้องจัดสรรให้มียุทธศาสตร์ มีตัวชี้วัดประสิทธิภาพ และมีแผนงานระยะยาว การใช้เงินถึงจะทำให้เกิดผลลัพธ์มีประสิทธิภาพสูงสุด ต้องอาศัยยุทธศาสตร์จัดสรรงบประมาณ

 

ชยพลเสนอให้กระทรวงกลาโหมมีความกล้าหาญ พากองทัพเดินหน้า ตั้งเป้าหมายการพัฒนาในด้านที่กองทัพไทยยังขาดอยู่ โดยใช้กลไกของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพราะฉะนั้นเราควรเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายในการพัฒนาอาวุธสัญชาติไทยให้เกิดขึ้นจริง และตั้งเป้าหมายในการสนับสนุนยกระดับคุณภาพอาวุธสัญชาติไทย โดยมีตัวชี้วัดคืออัตราการก้าวหน้าของสัดส่วนการบรรจุอาวุธสัญชาติไทยเข้าประจำการในกองทัพ จนเป้าสุดท้ายคือการส่งออกอาวุธให้กับประเทศอื่นๆ ต่อได้ในอนาคต

 

ถ้าเราดูสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณในปี 2568 งบที่ถูกใช้ไปกับการซื้อหรือซ่อมยุทโธปกรณ์ของทุกหน่วยงานรวมกันมีสัดส่วนอยู่ที่ 11% ส่วนงบที่ใช้เพื่อการวิจัยและพัฒนามีเพียง 0.37% เท่านั้น ต่างจากประเทศอื่นที่ใช้งบประมาณจำนวนมากในการพัฒนา ดังนั้นการตั้งเป้าหมายในการจัดสรรงบประมาณถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และที่สำคัญเลยคือต้องมีวิสัยทัศน์ ตั้งเป้าหมายที่จะพาประเทศขยับไปข้างหน้าอีกด้วย

 

“สิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินสำคัญคือระยะที่ไกลกว่าที่ตามองเห็น ซึ่งตัวแปรสำคัญของสิ่งนี้คือการตรวจจับเป้าหมายที่เร็วกว่าและไกลกว่าข้าศึก เพราะฉะนั้นการหาข่าว การสอดแนม และการหาเป้าหมายระยะไกล จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และสิ่งเหล่านี้จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคือเครือข่ายดาวเทียม” ชยพลกล่าว

 

ชยพลชี้ว่าประเทศไทยยังไม่มีระบบการปกป้องเครือข่ายดาวเทียมของเราเลย สิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้คือความร่วมมือระหว่างเรากับประเทศพันธมิตรในการช่วยกันแจ้งเตือนว่ามีดาวเทียมดวงไหนของใครเข้าใกล้เครือข่ายดาวเทียมของเราบ้าง เพราะชาติพันธมิตรเรามีเครือข่ายในการติดตามความเคลื่อนไหวของดาวเทียมทุกดวงทั่วโลก ก็จะพยายามช่วยเราสอดส่องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นการติดตามใกล้ชิดขนาดนั้น เป็นเพียงการแจ้งเตือน 

 

จากทั้งหมดนี้เราสามารถนำความต้องการในการซื้อของกองทัพ หรือก็คืองบซื้อซ่อม หันมาสร้างเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ เพียงแต่เราปรับนโยบายการบริหาร และการใช้จ่ายงบประมาณกันใหม่ ตรงส่วนไหนที่สามารถยกให้เอกชนไทยทำแทนได้ ก็ควรต้องยกไปเพื่อให้เอกชนสามารถมีส่วนร่วมในการแข่งขันและเติบโต จากงบประมาณของกระทรวงกลาโหมและในส่วนที่เอกชนไทยสามารถทำได้แล้ว

 

“ผมเพียงอยากขอให้ทุกท่านกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะมองเห็นความเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเราเคยมีสิทธิ์จะขึ้นรถไฟขบวนแรกกับหลายต่อหลายอุตสาหกรรม จะเป็นเรื่องข้าว การเกษตร ยานยนต์ อุตสาหกรรมหนัก สิ่งทอ หรืออื่นๆ แต่เราก็ค่อยๆ ถอยร่นลงมาจากการเป็นผู้นำ กลายเป็นต้องเล่นเกมของผู้ตามแทน” ชยพลกล่าว

The post วิโรจน์แอบภูมิใจทำสุทินกลัวได้ ผนึกชยพลวิจารณ์งบกลาโหมทำกองทัพอ่อนแอในระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>