เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ได้ให้การต้อนรับคณะผู้แทนระดับสูงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และคณะ เพื่อหารือแนวทางและกระชับความร่วมมือในการกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเต็มรูปแบบ

คณะทำงานของทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือข้อราชการ ณ ห้องพรหมนอก ก่อนที่ พล.ต.ท.จิรภพ จะนำคณะผู้แทนจีนเข้าเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เพื่อแสดงศักยภาพทางเทคโนโลยีและระบบการทำงานที่บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ ทั้งสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ของไทย

เพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและความจริงจังในการปฏิบัติงาน ทางการไทยได้เปิดเผยผลงานสำคัญในการจับกุม MR. YUANKE SONG ผู้ต้องหารายสำคัญชาวจีนที่ก่อเหตุพยายามติดสินบนเจ้าพนักงานหรือฮั้วประมูล สร้างความเสียหายในประเทศจีนมูลค่ากว่า 270 ล้านบาท โดยจับกุมได้ที่บ้านพักหรูและได้ดำเนินการเพิกถอนวีซ่า (ตม.83) เตรียมส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีนตามกฎหมาย

ซึ่งความสำเร็จนี้เป็นผลจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกระหว่างกัน หลังจากที่ พล.ต.ท.จิรภพ เดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรี 6 ชาติ ณ นครคุนหมิง เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลพิกัดสถานที่ตั้ง (Location Sharing) ของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยทางการจีนยืนยันว่าข้อมูลการสืบสวนของไทยตรงกับฐานข้อมูลของจีน ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนปฏิบัติการทลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ร่วมกันในเร็ว ๆ นี้

The post ไทย-จีน กระชับสัมพันธ์ ผนึกกำลังปราบอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ โชว์ศักยภาพศูนย์ ACSC จับผู้ร้ายข้ามแดนคดีสำคัญ appeared first on THE STANDARD.

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อประสานงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

คณะทำงานร่วม 3 สัญชาติ ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายหลัก 2 แห่ง ได้แก่ KK Park และ ชเวก๊กโก ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะฐานบัญชาการใหญ่ของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ จากการตรวจสอบพบว่า อาคารสูงและสำนักงานที่เคยเป็นแหล่งกบดานของกลุ่มมิจฉาชีพ ได้ถูกทางการเมียนมาดำเนินการทุบทำลายทิ้งอย่างถาวรจนเหลือเพียงซากปรักหักพัง เพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ในการ ตัดรากถอนโคน และป้องกันไม่ให้กลุ่มจีนเทาหรือเครือข่ายสแกมเมอร์สามารถกลับมาใช้สถานที่เหล่านี้เป็นฐานปฏิบัติการได้อีก

ต่อมาในเวลา 14.20 น. ณ ห้องประชุมสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ฝั่งเมียนมา ได้มีการจัดประชุมไตรภาคี โดยมีผู้แทนระดับสูงจากทั้ง 3 ประเทศเข้าร่วม ได้แก่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช (ไทย), พล.ต.ต.มิน ไทก์ เมียว (Min Htike Myo) รองผู้บัญชาการตำรวจเมียนมา (เมียนมา) และ หลิวจงอี้ (จีน)

ที่ประชุมได้บรรลุข้อตกลงและกำหนดมาตรการขั้นเด็ดขาดร่วมกัน ดังนี้:

• จัดตั้งกลไกแลกเปลี่ยนข้อมูล: ประเทศไทยจะใช้กลไกของ ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูล
• ตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force): เพื่อแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานและขยายผลเครือข่ายภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง โดยยึดหลักการ อาชญากรรมไร้พรมแดน การปราบปรามต้องไร้พรมแดน
• ตัดวงจรปัจจัยพื้นฐาน: ดำเนินนโยบายตัดระบบสาธารณูปโภค ทั้งกระแสไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ต ในพื้นที่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
• ลดขั้นตอนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน: อำนวยความสะดวกในการส่งตัวกลุ่มชาวต่างชาติที่หลบหนีออกจากเมียนมากลับประเทศต้นทาง เพื่อความรวดเร็ว ลดภาระเจ้าหน้าที่ฝั่งไทย และรับรองความปลอดภัยของทุกฝ่าย

ผลสืบเนื่องจากการรื้อถอนฐานที่มั่น ทำให้กลุ่มสแกมเมอร์ชาวจีนจำนวนมากที่พยายามหลบหนีออกจากพื้นที่ ถูกเจ้าหน้าที่ทางการเมียนมาจับกุมตัวไว้ได้ โดยหลิวจงอี้และคณะ ได้เดินทางไปตรวจสอบห้องกักตัวในเมืองเมียวดี ซึ่งขณะนี้มีผู้ต้องหาชาวจีนถูกควบคุมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อรอเข้าสู่กระบวนการผลักดันและส่งตัวกลับไปดำเนินคดีตามกฎหมายที่สาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไป

The post 3 ชาติผนึกกำลังปิดฉาก ‘KK Park – ชเวก๊กโก’ ทุบทำลายฐานบัญชาการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เตรียมส่งตัวผู้ต้องหากลับจีนล็อตใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (14 พฤศจิกายน) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะตำรวจไทย เดินทางเข้าร่วมการประชุม The Six-Party Ministerial Meeting ณ เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 13 – 15 พฤศจิกายน 2568

การประชุมดังกล่าวเป็นการรวมตัวของหัวหน้าหน่วยบังคับใช้กฎหมาย 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, ไทย, เมียนมา, เวียดนาม, ลาว และกัมพูชา ตามคำเชิญของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้และปราบปราม อาชญากรรมโทรคมนาคมและอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน

การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการเสริมสร้างความพยายามของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยจะเน้นหนักในเรื่องมาตรการร่วมกันในการ:

• กำหนดเป้าหมาย ที่เป็นฐานปฏิบัติการของกลุ่มสแกมเมอร์
• การแบ่งปันข้อมูลด้านการข่าว
• ความร่วมมือในการบริหารจัดการ และควบคุมสถานการณ์อาชญากรรมระหว่างประเทศ

คณะตำรวจไทยที่เข้าร่วมการประชุมนี้ ประกอบด้วยผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาคในการปราบปรามภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น

The post ตำรวจไทยร่วม 6 ประเทศประชุมที่จีน ปราบอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) ที่ สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้เข้าควบคุมตัว เฉอ จื้อเจียง ผู้ต้องหาคนสำคัญที่ถูกทางการจีนออกหมายแดง (หมายจับตำรวจสากล) ในความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงประชาชนผ่านเว็บพนันออนไลน์ เพื่อส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีนในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำสั่งศาล

เฉอ จื้อเจียง ถูกตำรวจไทยจับกุมตัวเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2565 โดยถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรมมาโดยตลอดเพื่อรอการส่งตัวกลับจีน ตามคำขอของทางการจีน ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2566

ในระหว่างที่ถูกคุมขัง เฉอ จื้อเจียงได้ยื่นคำโต้แย้งทางกฎหมายเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า กฎหมายดังกล่าว ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ส่งตัวเฉอ จื้อเจียงกลับไปยังประเทศจีนภายใน 90 วัน

ขณะถูกควบคุมตัว เฉอ จื้อเจียงมีสีหน้าเรียบเฉยและปฏิเสธที่จะตอบคำถามใด ๆ จากสื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม ในเวลา 13.30 น. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช พร้อมด้วย จ้าว เมิ่งเทา ที่ปรึกษาฝ่ายการเมืองสถานทูตจีน ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงการส่งตัวในครั้งนี้

พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า การดำเนินการนี้เป็นความร่วมมือสูงสุดระหว่างไทยและจีน โดยยืนยันว่าถึงแม้ผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องสแกมเมอร์เลย แต่จากข้อมูลพบว่า เฉอ จื้อเจียงเป็นผู้สร้างชเวโก๊กโก่ (เขตเศรษฐกิจพิเศษสุ่ยโกกู่) ทั้งคาสิโนแบบออนกราวน์และออนไลน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นแหล่งที่ตั้งของสแกมเมอร์จำนวนมาก อีกทั้งยังมีข้อมูลว่าเป็นผู้มีอิทธิพลและสนิทสนมกับผู้นำท้องที่ในบริเวณดังกล่าว

“ผู้ต้องหารายนี้ให้การปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องสแกมเมอร์เลย แต่จากข้อมูล เราพบว่า เฉอ จื้อเจียง เป็นผู้สร้างชเวโก๊กโก่ สร้างคาสิโน ทั้งแบบ ออนกราวและออนไลน์ และในพื้นที่ที่เขาสร้างก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ของสแกมเมอน์จำนวนมาก” พล.ต.ท.จิรภพ กล่าว

จากการสืบสวนยังพบอีกว่า ผู้ต้องหาชาวจีนหลายรายที่หลบหนีคดีมักจะพยายามขอสัญชาติที่สองหรือสาม เช่น สัญชาติกัมพูชา เพื่อความคล่องตัวในการเดินทางและใช้เป็นช่องทางในการต่อสู้คดีเพื่อไม่ให้ถูกส่งตัวกลับจีน

พล.ต.ท.จิรภพ ยังระบุว่า ทางการจีนได้ให้ความเชื่อมั่นว่าจะยกระดับความร่วมมือกับประเทศไทยในการปราบปรามสแกมเซ็นเตอร์อย่างจริงจังและมากขึ้น โดยในวันพรุ่งนี้ (13 พฤศจิกายน) มีกำหนดการจะเดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อเข้าร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางในการร่วมกันปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์ที่เคลื่อนไหวในประเทศเพื่อนบ้าน

The post คุมตัวเฉอ จื้อเจียง กลับจีนในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตำรวจ ยืนยันเป็นเจ้าพ่อคุมพื้นที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชเวโก๊กโก่ appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้ร่วมภารกิจสำคัญในการส่งตัว She Zhijiang (เฉอ จื้อเจียง) ผู้ต้องหาคนสำคัญซึ่งถูกระบุว่าเป็นเบื้องหลังขบวนการสแกมเมอร์และเจ้าของอาณาจักรชเวโก๊กโก่ ให้กับทางการจีนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

การส่งมอบตัวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ส่งตัวผู้ต้องหารายนี้เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน

เฉอ จื้อเจียง ถูกทางการจีนออกหมายจับในหลายข้อหาสำคัญ ดังนี้:

• จัดตั้งและบริหารเว็บไซต์การพนันออนไลน์ข้ามชาติ
• ฟอกเงินจากกิจกรรมผิดกฎหมาย
• ร่วมกันจัดตั้งขบวนการอาชญากรรม โดยตั้งบริษัทบังหน้าในหลายประเทศ

มีการพบหลักฐานว่า ผู้ต้องหารายนี้ใช้ประเทศเมียนมาเป็นฐานตั้งบริษัทบังหน้าทำธุรกิจพนันออนไลน์ข้ามชาติ โดยมีเงินหมุนเวียนกว่า 280 ล้านหยวน และฟอกเงินออกต่างประเทศกว่า 150 ล้านหยวน

ในวันนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอศ.ตร.) พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน CIB ได้ควบคุมตัวเฉอ จื้อเจียง จากเรือนจำไปยังห้องควบคุมของ สถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิ

เพื่อนำตัวส่งให้ทางการจีนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป การส่งมอบตัวครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือที่สำคัญในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างสองประเทศ

The post ตำรวจคุมตัวเฉอ จื้อเจียง เจ้าพ่อชเวโก๊กโก่ ส่งทางการจีนดำเนินคดี appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) เวลาประมาณ 11.30 น. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิ เพื่อเตรียมดำเนินการส่งตัว She Zhijiang (เฉอ จื้อเจียง) ผู้ต้องหาสำคัญซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ กลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยมีรายงานว่า การส่งมอบตัวจะดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเป็นทางการตั้งแต่ช่วงเที่ยงเป็นต้นไป โดย พล.ต.ท.จิรภพ เป็นตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการประสานงาน ขณะที่ทางการจีนได้จัดส่งเครื่องบินมารับตัวผู้ต้องหารายนี้กลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีนในวันนี้

การส่งตัวในครั้งนี้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ที่พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ส่งตัวเฉอ จื้อเจียง กลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีนตามคำขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด หลังถูกทางการจีนกล่าวหาในความผิดฐานเปิดบ่อนกาสิโนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จากการออกคำสั่งสร้างและดำเนินกิจการเว็บพนันออนไลน์ถึง 239 แห่ง รวมถึงมีส่วนร่วมในการสร้างเมืองใหม่ในชเวโก๊กโก่ (Shwe Kokko) ประเทศเมียนมา และมีหุ้นส่วนในบ่อนกาสิโน

เดือนสิงหาคม 2565 เฉอ จื้อเจียง ถูกทางการจีนส่งคำขอให้ไทยจับกุม ก่อนจะถูกจับได้ในเดือนเดียวกัน จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน 2565 อัยการสูงสุดได้อนุมัติให้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน จนกระทั่งวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขังไว้ก่อน ต่อมาในเดือนตุลาคม 2566 เฉอ จื้อเจียง ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น และมีการยื่นโต้แย้งข้อกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไทย

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไทย ทำให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนในที่สุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568

เฉอ จื้อเจียง เป็นบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัวในคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการพนันออนไลน์ข้ามชาติ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้บริหารกลุ่ม Yatai International Holdings Group (หยาไถ่ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง กรุ๊ป) และถูกเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ชเวโก๊กโก่ ในรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา

ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกกล่าวหาในระดับสากลว่าเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมไซเบอร์สแกม การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม และการค้ามนุษย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฉอเป็นผู้ต้องหาตามหมายแดงของตำรวจสากล (Interpol Red Notice) ก่อนจะถูกจับกุมในประเทศไทย การส่งตัวกลับครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างไทยและจีนในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ

The post ตำรวจไทยส่งเฉอ จื้อเจียง เจ้าพ่อพนัน-สแกมเมอร์ชเวโก๊กโก่ ขึ้นเครื่องกลับจีน appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (9 พฤศจิกายน) เมื่อเวลา 15.30 น. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม และ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบช.น. และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการจากหลายหน่วยงาน นำกำลังเข้าตรวจค้นคอนโดหรูแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 16 แขวงคลองเตย กรุงเทพฯ ตามหมายค้นศาลอาญา ที่ ค.124/2568

ปฏิบัติการครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนได้ 4 ราย ประกอบด้วย Xiahou Xin (อายุ 29 ปี), Liu Ming (อายุ 28 ปี), Li Lei (อายุ 22 ปี), และ Zeng Lingquan (อายุ 21 ปี) ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกของแก๊งสแกมเมอร์

จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ยึดของกลางสำคัญหลายรายการ โดยพบว่าห้องพักดังกล่าวถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการสำหรับหลอกลวงเหยื่อ:

• คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 2 เครื่อง: ใช้สำหรับการ ตัดต่อวิดีโอเพื่อสแกนใบหน้า (Deepfake)
• คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 2 เครื่อง: ใช้สำหรับ ทำข้อมูลการเงินเพื่อนำเงินออกในประเทศกัมพูชา
• โทรศัพท์มือถือ 60 เครื่อง
• ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) จำนวน 2 ถุง พร้อมอุปกรณ์การเสพ

พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นการขยายผลจากข้อมูลสืบสวน เนื่องจากทราบเบาะแสว่ามีกลุ่ม บอสหนุ่มชาวจีนรายใหญ่หลบหนีจากกัมพูชาเข้ามาซ่อนตัวในไทย ผู้ต้องหาทั้ง 4 รายนี้เดินทางเข้าไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวผ่านสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา

จากการสอบสวน ผู้ต้องหายอมรับว่า รับงานดัดแปลงคลิปวิดีโอและทำธุรกรรมทางการเงินให้กลุ่มสแกมเมอร์ชาวจีน ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram โดยอ้างว่าไม่รู้จักกับผู้ว่าจ้างหรือบอสชาวจีนโดยตรง พวกเขาจะได้รับรายได้ประมาณ 20,000 – 30,000 หยวนต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ กว่า 130,000 บาท พร้อมรับเงินพิเศษหากทำงานได้เกินเป้า

ก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหาทั้งหมดเคยเดินทางไปยังประเทศที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ เช่น กัมพูชา และมาเลเซีย ทำให้รู้จักกับเครือข่ายที่มีทั้งชาวมาเลเซีย 1 คน และชาวกัมพูชา 3 คน

พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่จนพบกลุ่มชาวจีนต้องสงสัย 4 ราย แอบขนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากเข้าไปในคอนโดหรู จากนั้น พล.ต.ต.ธีรเดช ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น. แฝงตัวเป็นช่างอาคารจนทราบว่าภายในห้องใช้เป็นฐานปฏิบัติการสแกมเมอร์ ก่อนจะนำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมได้ในที่สุด

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 4 คนให้การรับสารภาพ และถูกแจ้งข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และ ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเจ้าหน้าที่จะทำการขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการและตรวจสอบข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ในวันพรุ่งนี้ (10 พฤศจิกายน) เวลา 10.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมแถลงผลการปราบปรามสแกมเมอร์ครั้งใหญ่ โดยศูนย์ PCT – WARROOM IAC และ MONEY CASH BACK

The post บุกรังแก๊งสแกมเมอร์ จับ 4 ชาวจีนย้ายฐานจากกัมพูชาซุกกลางกรุงฯ ใช้เอไอตัดคลิปหลอกเพื่อนร่วมชาติ appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (27 ตุลาคม) ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันแถลงถึงมาตรการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ทั้งแก๊งสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ โดยยืนยันว่าปัญหาดังกล่าวได้ถูกยกระดับเป็นวาระสำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

ไชยชนก เผยว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) ซึ่งเป็นความร่วมมือของ 68 ประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและสร้างมาตรการในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการร่วมมือกันระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ทุกส่วน

ด้าน พล.ต.ท. จิรภพ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้ใช้กำลังในทุกภาคส่วน รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานภายนอกเพื่อมุ่งมั่นปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างจริงจัง

กรณีที่มีการประสานข้อมูลจากประเทศเกาหลีใต้ว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย พล.ต.ท. จิรภพ ยอมรับว่ามีจริง แต่ฐานปฏิบัติการของแก๊งเหล่านี้ในประเทศไทยไม่ได้มีความใหญ่โตเหมือนกรณีในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเพียงการแฝงตัวตามที่พักอาศัย โดยผู้กระทำผิดใช้เส้นทางธรรมชาติในการลักลอบเข้ามาในไทยและก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นฐานปฏิบัติการหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการหลอกลวง

ส่วนที่ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นทางผ่านไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านเพื่อก่ออาชญากรรมนั้น เป็นเรื่องที่กำลังควบคุมอยู่ ซึ่งยอมรับว่าไม่ง่าย แต่หลังจากรับภารกิจนี้จากทางรัฐบาล จะมีการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

พล.ต.ท. จิรภพ กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่าตำรวจไทยพยายามจับกุมและยึดอุปกรณ์ ซิมบ็อกซ์ (Sim Box) ว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะมีการจับกุมเกิดขึ้นในประเทศไทยและมีการประสานข้อมูลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตำรวจไทยไม่ได้รับการตอบรับกลับมา ซึ่งอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ไม่สามารถทำงานได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านและแปลงเป็นสัญญาณโทรศัพท์เพื่อใช้โทรออกหลอกลวงเหยื่อได้ ส่วนมากผู้ต้องหาที่จับได้จะเป็นคนจีนที่ใช้ชื่อคนไทยในการเช่าบ้าน และอุปกรณ์เหล่านี้ลักลอบนำเข้าหรือสั่งซื้อจากจีนผ่านพัสดุที่ตรวจสอบไม่พบ

ไชยชนก ขยายความเพิ่มเติมว่า ตัวอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ที่ขายในตลาดไม่ใช่ความผิด แต่การสั่งซื้อนำเข้าซิมบ็อกซ์ที่ประกอบการแล้วถือเป็นการผิดกฎหมาย ทั้งนี้บางหน่วยงาน เช่น คอลเซ็นเตอร์ของธนาคารที่มีใบอนุญาตอย่างชัดเจนมีความจำเป็นต้องใช้ซิมบ็อกซ์ ตนจึงได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงฯ เข้าประชุมในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาว่า การนำเข้าอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์แบบแยกชิ้นส่วนจะมีกฎหมายใดควบคุมได้หรือไม่ เนื่องจากทุกการสั่งซื้อจะมีระบบติดตาม (tracking)

นโยบายส่วนหนึ่งที่จะทำให้ระบบสแกมเมอร์ไปต่อไม่ได้ คือนโยบายจำกัดปริมาณซิมต่อบุคคล และการตรวจสอบการลงทะเบียนอย่างเคร่งครัดที่ต้องมีจำกัดไม่เกิน 5 เบอร์ต่อคน โดยได้ให้ กสทช. ไปทำการบ้านเพิ่มกับผู้ประกอบการโทรศัพท์ (operator) ว่าจะต้องมีการดำเนินการอย่างไร

เมื่อสอบถามว่า มาตรการป้องกันเครือข่ายสแกมเมอร์ที่ผ่านมา มุ่งเน้นการจัดการปัญหาในประเทศ แต่ความร่วมมือระหว่างประเทศไม่มีผลจริงหรือไม่ ไชยชนก กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่งส่งจดหมายไปทางกัมพูชาเพื่อขอความร่วมมือติดตามที่อยู่ IP แอดเดรส คอมพิวเตอร์ที่เข้าข่ายการก่อเหตุทางอาชญากรรม และอีกส่วนหนึ่งที่สามารถขอความร่วมมือได้คือเส้นทางการเงิน และผู้ร่วมปฏิบัติการจากประเทศอื่น โดยเป็นการที่ไทยขอให้ประเทศอื่นเข้าไปขอความร่วมมือหรือกดดันประเทศที่เป็นฐานปฏิบัติการเครือข่ายสแกมเมอร์

พล.ต.ท. จิรภพ กล่าวเสริมว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการได้รับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน หากเราวิเคราะห์ข้อมูลและเขาให้ความร่วมมือทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ เราจะต้องใช้วิธีพยายามพูดคุย และร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ หากใช้วิธีบุกเข้าไปโจมตีเหมือนอย่างที่ประเทศเกาหลีใต้เคยทำ อาจถูกมองว่าทำเกินไปและเกิดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ยังไม่สามารถประสานกับประเทศเพื่อนบ้านให้ร่วมมือได้เต็มที่ ก็จะดำเนินวิธีทางอื่น เช่น การจับกุมเครือข่ายที่อาจมีการกระจายทรัพย์สินในประเทศไทย

ส่วนการประชุมในระดับ JBC (Joint Boundary Committee – คณะกรรมการชายแดนร่วม) ที่เรื่องสแกมเมอร์ถูกจัดเป็นเงื่อนไขที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องร่วมมือกับประเทศเรา พล.ต.ท. จิรภพ กล่าวว่า สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้อันดับแรกคือต้องเชื่อใจเขา เรามีข้อมูลแล้วก็ต้องส่งข้อมูลไป พร้อมทั้งต้องระมัดระวัง เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ที่การส่งข้อมูลทำให้เกิดการแตกตื่นและมีการหลบหนี ดังนั้น เราต้องลองส่งข้อมูลไปแล้วดูผลผลิตปฏิกิริยากลับมา

ไชยชนก กล่าวเสริมในตอนท้าย เพื่อความสบายใจและความมั่นใจว่า ประเด็นสแกมเมอร์ที่เป็นหนึ่งใน 4 ประเด็นในที่ประชุม JBC นั้น ทุกฝ่ายพยายามทำอย่างระมัดระวัง แต่ถ้ามีการละเมิดในครั้งนี้อีก ก็คงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของประเทศไทย ระหว่างนี้เราต้องติดตามการตอบรับความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นต่อไป

The post ​ดีอี-ตำรวจ ลุยปราบสแกมเมอร์ ยกระดับวาระโลก ยอมรับติดปัญหา ประเทศเพื่อนบ้านไม่เคยให้ความร่วมมือ appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (26 กันยายน) นักกีฬาแบดมินตัน วิว – กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ได้รับการประดับยศ ร้อยตำรวจตรี เป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) หลังได้รับเหรียญเงินโอลิมปิก 2024 

และมีผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ก่อนหน้านี้ วิว กุลวุฒิ ดำรงยศ สิบตำรวจโท และได้มีการเสนอเลื่อนชั้นยศเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรหลังจากเรียนจบปริญญาตรี

โดย กุลวุฒิ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Kunlavut Vitidsarn – กุลวุฒิ วิทิตศานต์’

ระบุว่า “ผมขอขอบคุณ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และ พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก. สำหรับหนึ่งวันสำคัญของผมในวันนี้

ในการเข้าพบ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อเข้ารับพิธีประดับยศว่าที่ร้อยตำรวจตรี อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจครับผม”

The post ประดับยศ ‘วิว กุลวุฒิ’ ขึ้นเป็น ร้อยตำรวจตรี หลังคว้าเหรียญเงินโอลิมปิก 2024 appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (5 กันยายน) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ จำนวน 249 ราย ดังนี้

โดยมีตำแหน่งที่สำคัญดังนี้

1. พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

2. พล.ต.ท. สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

3. พล.ต.ท. อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง จเรตำรวจแห่งชาติ

4. พล.ต.ท. ธนพล ศรีโสภา รองจเรตำรวจแห่งชาติ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

5. พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

6. พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ดำรงตำแหน่ง รองจเรตำรวจแห่งชาติ

7. พล.ต.ท. สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

8. พล.ต.ท. อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

9. พล.ต.ท. ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

10. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม ดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

รายละเอียดเพิ่มเติม https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/85414.pdf

วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศตำรวจชั้นนายพล รวม 100 ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

รายละเอียดเพิ่มเติม https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/85414.pdf

The post ราชกิจจาฯ เผยแพร่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตำรวจ 249 ตำแหน่ง ‘สำราญ’ นั่งรอง ผบ.ตร. ‘จิรภพ’ ขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร. appeared first on THE STANDARD.