คำ ผกา – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 01 Feb 2025 09:24:07 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ตาม ‘คำ ผกา’ เดินหาหน่วยเลือกตั้ง อบจ.เชียงใหม่ https://thestandard.co/provincial-election-01022025-13/ Sat, 01 Feb 2025 09:17:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1037104 provincial-election-01022025-13

ทีมข่าว THE STANDARD ติดตามบรรยากาศวันเลือกตั้งนายกองค์ […]

The post ตาม ‘คำ ผกา’ เดินหาหน่วยเลือกตั้ง อบจ.เชียงใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
provincial-election-01022025-13

ทีมข่าว THE STANDARD ติดตามบรรยากาศวันเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ พร้อมพูดคุยกับ ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา นักเขียนและนักจัดรายการ ซึ่งกำลังจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งใกล้บ้านพักที่อำเภอสันทราย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อไปตรวจรายชื่อและบ้านเลขที่หน้าหน่วยเลือกตั้งโรงเรียนวัดสันคะยอม กลับไม่พบชื่อของตนเอง จึงต้องเดินเท้าไปยังหน่วยเลือกตั้งศาลาอเนกประสงค์บ้านสันคะยอมใต้ หมู่ที่ 7 ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 500 เมตร ทั้งนี้ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงหน่วยเลือกตั้ง

 

ลักขณามองว่าการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นปีนี้มีความพิเศษ เพราะอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีบรรยากาศของการหาเสียงที่คึกคัก สะท้อนให้เห็นการมีส่วนร่วมของประชาชน และบ่งบอกว่านักการเมืองเองก็ไม่ดูเบากับการเลือกตั้งในทุกระดับ พร้อมยกแนวคิดของ ทามาดะ โยชิฟูมิ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ที่ระบุว่า ‘การเลือกตั้งคือแบบฝึกหัดที่ดีที่สุดสำหรับประชาธิปไตย’

 

“ทุกครั้งที่ไปเลือกตั้งคือการฝึกซ้อม เราจะรู้ว่าเลือกแล้วเราผิดหวัง เราจะได้บทเรียน ทำไมคนนี้พูดแบบนี้ แต่พอเลือกไปแล้วกลับทำอีกอย่าง โดยไม่ต้องไปตัดสินว่าใครดีหรือไม่ดี เพราะประชาชนสั่งสมบทเรียนจากการเลือกตั้งแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน” ลักขณาระบุ

 

เธอเชื่อว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นคราวนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเมืองระดับชาติ รวมถึงการเลือกตั้งปี 2570 พรรคการเมืองจะเก็บเกี่ยวความผิดพลาดเพื่อเดินทางไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งผลประโยชน์ทุกอย่างจะตกอยู่กับประชาชนทั้งสิ้น

สำหรับลักขณา เธอเป็นชาวสันคะยอม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่โดยกำเนิด ปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินรายการ ‘คุยคลายข่าว’ ทางสถานีโทรทัศน์ NBT เธอเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่มักแสดงความเห็นอย่างฉะฉานและตรงไปตรงมา

 

คำผกา คำผกา คำผกา คำผกา

The post ตาม ‘คำ ผกา’ เดินหาหน่วยเลือกตั้ง อบจ.เชียงใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สนธิญา ร้อง ปอท. ตรวจสอบ ‘คำ ผกา’ ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ บอกถ้าไม่มี 250 ส.ว. ชัชชาติเป็นนายกฯ ไปแล้ว https://thestandard.co/sonthiya-tcsd-for-check-kam-phaka/ Mon, 06 Jun 2022 12:19:02 +0000 https://thestandard.co/?p=638596 สนธิญา สวัสดี

วันนี้ (6 มิถุนายน) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ศูนย์รับแจ้งค […]

The post สนธิญา ร้อง ปอท. ตรวจสอบ ‘คำ ผกา’ ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ บอกถ้าไม่มี 250 ส.ว. ชัชชาติเป็นนายกฯ ไปแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
สนธิญา สวัสดี

วันนี้ (6 มิถุนายน) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สนธิญา สวัสดี เข้าพบ ร.ต.อ.หญิง พรสถิตย์ บุราญรัตน์ รอง สว. (สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. เพื่อร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา และผู้จัดรายการ ช่อง Voice TV ในข้อหากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2561 มาตรา 14 และ 15 เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมาย

 

สนธิญากล่าวว่า สำหรับกรณี คำ ผกา ได้จัดรายการทีวีเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กล่าวพาดพิงการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ในลักษณะที่กล่าวหาว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)​ อาจจะได้เห็น ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว

 

สนธิญากล่าวอีกว่า ในการโหวตแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ครั้งนั้นพรรคเพื่อไทยไม่ได้เสนอชื่อชัชชาติในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อโหวตด้วยซ้ำไป และการโหวตเพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรค 2  

 

อีกทั้ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงสนับสนุนของ ส.ว. จำนวน 250 คนในการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด ดังนั้นการกล่าวของ คำ ผกา จึงไม่เป็นความจริง และทำให้ประชาชนเข้าใจผิด

 

สนธิญายังยืนยันว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในความคิดเห็นที่เท่าเทียมกัน และหากเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ให้เอาข้อเท็จจริงมานำเสนอต่อกันจะดีกว่า

 

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐานต่อไป

The post สนธิญา ร้อง ปอท. ตรวจสอบ ‘คำ ผกา’ ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ บอกถ้าไม่มี 250 ส.ว. ชัชชาติเป็นนายกฯ ไปแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
สกลธี ฟ้องหมิ่นประมาท แขก คำ ผกา และ วิโรจน์ อาลี 2 พิธีกร Voice TV จัดรายการหยาบคาย-ด้อยค่าเรื่องในอดีต https://thestandard.co/bkk-election-2022-sakol-pattayakul-6/ Fri, 22 Apr 2022 08:24:40 +0000 https://thestandard.co/?p=620147 สกลธี ภัททิยกุล

วันนี้ (22 เมษายน) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก สกลธี ภัททิ […]

The post สกลธี ฟ้องหมิ่นประมาท แขก คำ ผกา และ วิโรจน์ อาลี 2 พิธีกร Voice TV จัดรายการหยาบคาย-ด้อยค่าเรื่องในอดีต appeared first on THE STANDARD.

]]>
สกลธี ภัททิยกุล

วันนี้ (22 เมษายน) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก สกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ได้ยื่นฟ้อง ลักขณา ปันวิชัย หรือ แขก คำ ผกา และ วิโรจน์ อาลี 2 พิธีกรช่อง Voice TV เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

 

จากกรณีถูกจำเลยทั้ง 2 กล่าวถึงโพสต์ต่างๆ ในอดีตของตนเองที่เป็นการแสดงออกอุดมการณ์ทางการเมืองด้วยถ้อยคำลักษณะด้อยค่าและหยาบคาย ผ่านรายการ Talking Thailand ซึ่งออกอากาศทางเพจของ Voice TV เมื่อวันที่ 24 มีนาคมและ 11 เมษายน 2565 

 

โดยศาลอาญาให้รับคำฟ้องไว้พิจารณาเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.967/2565 และนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 เวลา 9.00 น. 

The post สกลธี ฟ้องหมิ่นประมาท แขก คำ ผกา และ วิโรจน์ อาลี 2 พิธีกร Voice TV จัดรายการหยาบคาย-ด้อยค่าเรื่องในอดีต appeared first on THE STANDARD.

]]>
คำ ผกา แนะผลักดันพุทธพาณิชย์-ของขลังให้เป็นอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย https://thestandard.co/dart-to-care-buddhist-commerce-talisman/ Sun, 31 Oct 2021 07:04:35 +0000 https://thestandard.co/?p=554294 เครื่องรางของขลัง

วันนี้ (31 ตุลาคม) แขก คำ ผกา หรือ ลักขณา ปันวิชัย กล่า […]

The post คำ ผกา แนะผลักดันพุทธพาณิชย์-ของขลังให้เป็นอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครื่องรางของขลัง

วันนี้ (31 ตุลาคม) แขก คำ ผกา หรือ ลักขณา ปันวิชัย กล่าวในกิจกรรม DART TO CARE เพราะแคร์ถึงต้องคุย หัวข้อ ‘มูเตรวย ข้าว มัน ยาง อ้อย พุทธพาณิชย์เสือตัวที่ 5 ของเศรษฐกิจไทย’ เสนอผลักดันพุทธพาณิชย์และอุตสาหกรรมเครื่องรางของขลังให้กลายเป็นอุตสาหกรรมธุรกิจสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

 

ลักขณากล่าวว่า เราถูกสอนมาว่ามีพุทธแท้-พุทธเทียม มีพุทธที่ดีกับพุทธที่ไม่ดี พุทธที่ดีจะต้องซื่อตรงต่อพระไตรปิฎก ควรจะสำรวม พูดน้อยๆ ตื่นเช้ามากวาดลานวัด ปฏิบัติกรรมฐาน เราจะรู้สึกว่านี่คือพุทธแท้ พุทธที่ดี ส่วนพุทธที่ไม่ดี เราก็ถูกสอนว่าคือ พวกขายสังฑทาน วัดท่าไม้ พุทธพาณิชย์ หยอดเงินไปทั่ว เดี๋ยวดูดวง เดี๋ยวสะเดาะเคราะห์ เดี๋ยวก็ปล่อยปลา เดี๋ยวสร้างพระราหู เดี๋ยวก็ขายของดำ 8 อย่าง ในความรู้แบบมาตรฐานมันมีความดูถูกพุทธพาณิชย์ ซึ่งลักขณากล่าวว่าคำสอนนี้คือ “เราถูกสอนให้เราอายในแบบตัวเราที่เราเป็น” 

 

ลักขณากล่าวต่อไปว่า ปัญหาของพุทธพาณิชย์ก็คือ เราไม่เคยยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อตัว เป็นตัวตน เป็นอัตลักษณ์ของเรา เราไม่เคยยอมรับว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของเรา ถ้าเราละทิ้งปมด้อยนั้นแล้วเผชิญหน้ากับมัน แล้วยอมรับเถอะว่าพุทธพาณิชย์เป็นอัตลักษณ์ของความเป็นไทย แล้วเผชิญหน้ากับมันทั้งทางเศรษฐกิจและทางความรู้ ผลประโยชน์ทั้งหมดจะเกิดขึ้นองค์ความรู้กับภาคเศรษฐกิจไทยอีกมหาศาล และจะกลายมาเป็น Soft Power ที่เราใฝ่ฝัน

 

“ดังนั้น ก้าวที่ 1 ของการผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องรางของขลังในฐานะตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เราต้องเปลี่ยนชุดความคิดเราเกี่ยวกับพุทธพาณิชย์ อย่าบอกว่าเงินกับวัดมันไปด้วยกันไม่ได้ ยอมรับเถอะว่าศาสนากับทุนนิยมมันหนีกันไม่พ้น แล้วถ้าวัดหรือศาสนจักรจะต้องเกี่ยวพันกับเรื่องเงิน เราก็ทำให้มิติของความเป็นมิจฉาชีพค่อยๆ เบาบางลง” ลักขณา หรือเจ้าของนามปกกา คำ ผกา กล่าว

 

ลักขณากล่าวอีกด้วยว่า เพราะฉะนั้นควรทำมาหากินกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสุจริตและตรวจสอบได้ และมีความภาคภูมิใจที่มากพอที่จะยกระดับและแตกแขนงมันออกไปอีกหลายแบบ เพื่อผลักดันพุทธพาณิชย์ให้เป็นเสือเศรษฐกิจไทยอีกตัว ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เหมือนข้าว มัน ยาง อ้อย ที่เป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของเศรษฐกิจไทย

The post คำ ผกา แนะผลักดันพุทธพาณิชย์-ของขลังให้เป็นอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘มือที่สาม’ ปีศาจร้ายทำลายชีวิตคู่ หรือจริงๆ แล้วชีวิตคู่ไม่จำเป็นต้องจบแบบเทพนิยายเสมอไป? https://thestandard.co/bitch-talk-third-person/ https://thestandard.co/bitch-talk-third-person/#respond Fri, 16 Nov 2018 13:09:23 +0000 https://thestandard.co/?p=149133

ความสนใจของ ‘มวลชน’ ที่ติดตามข่าวดาราคงไม่มีอะไรจะ ‘แซ่ […]

The post ‘มือที่สาม’ ปีศาจร้ายทำลายชีวิตคู่ หรือจริงๆ แล้วชีวิตคู่ไม่จำเป็นต้องจบแบบเทพนิยายเสมอไป? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ความสนใจของ ‘มวลชน’ ที่ติดตามข่าวดาราคงไม่มีอะไรจะ ‘แซ่บ’ เท่ากับข่าว หย่าร้าง เตียงหัก รักสามเส้า เมียหลวง เมียน้อย ล่าสุดกรณีของ แอฟ สงกรานต์ และ แมท ภีรนีย์

 

ความเดิมจากตอนที่แล้วที่เรายังจำกันได้คือ ข่าวแยกบ้านกันอยู่ระหว่างแอฟกับสงกรานต์ แต่ยังไม่ลงทะเบียนหย่าร้างตามกฎหมาย และเช่นเดียวกัน การตามข่าวดาราก็เหมือนกับการติดตามซีรีส์ของเทพนิยาย อันเริ่มจากความรักของผู้ชายที่หล่อเหลา ฐานะดี กับหญิงสาวแสนดี แสนสวย

 

ภาพงานแต่งงานของดารา เซเลบริตี้ คือภาพงานแต่งงานของเจ้าหญิงเจ้าชายในฝันของเหล่ามนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเรา อีกทั้งเป็นภาพต้นแบบว่า หากเราแต่งงานก็จะพยายามทำอะไรให้ดูคล้ายความเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายในฝันอันจุติมาจากเทพนิยายที่เคยอ่านสมัยยังเด็ก

 

ชีวิตคู่ของคนทั้งคู่ก็ดำเนินตามพล็อตเทพนิยายด้วยการมีลูกที่น่ารัก เติมเต็มภาพ ครอบครัวสวยงามในอุดมคติ พ่อหล่อ แม่สวย ลูกก็บิวตี้ฟูล

 

บุคลิกของแอฟคือมงกุฎยอดเพชรของภาพผู้หญิงในอุดมคติ มีความงามอันหาที่ติไม่ได้ กิริยาวาจาเรียบร้อย งดงาม การศึกษาดี รสนิยมดี มารยาทดี ไม่เคยแต่งตัวโป๊ ไม่เคยลงรองพื้นผิดเบอร์ ไม่เคยพูดจาหยาบคาย (เห็นว่าคำหยาบที่สุดที่เคยพูดคือคำว่า เพ้อเจ้อ) เป็นแม่ที่ดี เป็นภรรยาที่เพียบพร้อม ดังนั้น ในการรับรู้ของ ‘มวลชน’ ที่ติดตามข่าวดารา นิยายเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า สงกรานต์นั้นคือผู้ชายผู้โชคดีที่ได้นางแก้วไปครอง

 

เมื่อได้นางแก้วไปครองแล้ว สิ่งที่สังคมไทยไปคาดหวังกับ ‘ผัว’ ของนางแก้วคือ ควรทะนุถนอม รักษา เห็นคุณค่า ยกย่อง คำน้อยก็ไม่ควรให้นางแก้วที่ดีขนาดนี้ต้องบอบช้ำ มัวหมอง

 

แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น…

 

จะเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าแอฟกลับไปอยู่บ้านตัวเอง และในความดีงาม เพียบพร้อม กุลสตรี ย่อมไม่ปริปากตำหนิใคร พูดจานิ่งๆ เรียบๆ ชี้แจงทุกอย่าง as a matter of fact ไม่มีดราม่า ไม่มีโวยวาย ไม่ได้เรียกร้องขอความสงสารเห็นใจจากใคร

 

กองเชียร์ทางบ้านก็ได้แต่ส่งกำลังใจ เทความเกลียดชังไปให้ฝ่ายชายเล็กๆ ว่า ไม่มีปัญญารักษานางแก้วเอาไว้ได้ แต่นางแก้วก็คือนางแก้ว ไม่มีใครพรากความสง่างามไปจากเธอได้

 

เธอคือต้นแบบของเรา เราอยากเป็นแบบเธอ เราอยากสวย อยากสง่า อยากนิ่งสงบ อยากเข้มแข็งเด็ดขาดให้ได้อย่างเธอ

 

บ้างก็ภาวนาให้สงกรานต์คิดได้ว่าสูญเสียอะไรไป แล้วอัญเชิญนางแก้วกลับไปเป็นที่เทิดทูนดังเดิม

 

แต่แล้วดราม่าเรื่องนี้ก็เข้มข้นขึ้น เมื่อตัวละครที่ต้องกลายเป็นนางอิจฉาปรากฏตัวขึ้น และมันทำให้กองเชียร์นางแก้วช้ำใจยิ่งนัก เพราะนอกจากจะไม่มีซีน ‘ผู้ชายกลับใจ ขอคืนดี’ ดันมีการประกาศว่ากำลังคบหาดูใจกับผู้หญิงอีกคนที่ชื่อ แมท

 

แล้วผู้หญิงที่ชื่อแมทก็ช่างจะสมศักดิ์ศรี ‘ตัวอิจฉา’ เพราะเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับ กุลสตรีในอุดมคติ นั่นคือมีความสวยแบบร้ายๆ สวยแบบแรงๆ พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา เสียงดัง ไม่ระย่อต่อคำถามนักข่าว ไม่ตอบคำถามนักข่าวตามขนบ ไม่พยายามจะเป็น ‘คนดี’ ซึ่งก็ถูกทำให้คนออกมาด่าว่าไร้ยางอายอะไรไปนู่น

 

แมทไม่ออกมาร้องไห้ขอความเห็นใจ แถมยังตอกกลับทุกคนว่า ไม่ต้องห่วง จะเจ็บทีหลัง จะถูกหลอก หรืออะไร รอให้มันเจ็บจริง น้ำตาเช็ดหัวเข่าจริงค่อยว่ากัน ส่วนที่ใครๆ เตือนมาว่าผู้ชายนิสัยไม่ดี ก็ไม่สน เพราะเขาดีกับแมท จบนะ

 

น่าสนใจไปกว่านั้นคือประเด็นเรื่องมือที่สาม

 

เพราะด้านหนึ่งคนก็บอกว่า อ้าว ผัวเมียเขาเลิกกันแล้ว ทีนี้ใครจะไปคบใครใหม่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ไปด่าเขาทำไม

 

ส่วนที่ยืนกรานจะด่าก็บอกว่า ถ้าคบหลังจากหย่าร้างก็ไม่ว่าหรอก แต่นี่เป็นมือที่สาม ไปทำให้ผัวเมียเขาต้องบาดหมาง ถ้าไม่มีเธอคนนี้ผัวเมียเขาก็ไม่เลิกกัน หน้าด้าน รู้ว่าผู้ชายเขามีลูกมีเมียแล้วยังจะไปยุ่งกับเขาอีก

 

จะว่าฉันเป็นคนชั่วก็ได้ ตามชื่อคอลัมน์ว่า Bitch ฉันกลับเห็นว่า มือที่สามคือ Default Mode และไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร

 

บอกตามตรงว่าถ้าไม่มีคนใหม่ บางทีเราก็ไม่กล้าเลิกกับคนเก่าหรอก นึกออกไหม ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ คนจำนวนมาก ‘ทน’ อยู่กับคนที่คบกันอยู่ทั้งๆ ที่ไม่มีความสุข เพราะรู้สึกดีกว่าอยู่คนเดียว บ้างก็อยู่ไปเพราะความเคยชิน จนกระทั่งไปพบเจอกับ ‘บุคคลที่สาม’ หรือ ‘มือที่สาม’

 

ถ้ามือที่สามที่เราเจอมีคุณภาพที่ดีกว่าคนที่เราอยู่ด้วยในปัจจุบันในทุกทาง อยู่ด้วยแล้วมีความสุขกว่า อยู่ด้วยแล้วสบายใจกว่า อยู่ด้วยแล้วสบายกายกว่า อยู่ด้วยมัน ‘ใช่’ มากกว่า

 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นมี 2 ทางคือ

  1. มีความกล้าหาญพอที่จะไปบอกเลิกกับแฟนว่า ขอโทษนะ ฉันเจอคนที่ฉันอยากอยู่กับเขามากกว่าเธอ
  2. เป็นคนขี้ขลาดแล้วคบซ้อนไปเรื่อยๆ จนแฟนตัวเองจับได้ แล้วเป็นฝ่ายขอเลิกไปเอง

 

การเข้ามาของมือที่สามยังอาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกทางหนึ่งได้เหมือนกันนั่นคือ พบว่าไม่ได้อยากใช้ชีวิตกับมือที่สาม ไม่ได้อยากคบต่อ แต่การที่มีมือที่สามเข้ามาทำให้เราตระหนักว่า ชีวิตคู่ของเรากับแฟนยังไงก็ไม่รอด ดังนั้นหลังจากลังเลมานาน ก็ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าเลิกกันดีกว่า

 

มือที่สามทำให้เราเลิกกับแฟน แต่เราก็ไม่คบกับมือที่สามต่อ และอาจไปใช้ชีวิตโสดเล่นๆ เย็นๆ ใจจนกว่าจะเจอคนที่รู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตด้วยจริงๆ

 

หรืออีกทางหนึ่ง มือที่สามอาจทำให้เราตระหนักว่า ผัวเราหรือเมียเราที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ที่เราคิดว่าน่าเบื่อมากนั้นไม่จริงเลย พอไปลองคบกับมือที่สามถึงรู้ว่าผัวเราโคตรดี เมียเราโคตรดี ทีนี้พอรู้แล้วเลยกลับมาอยู่กับคู่ของตัวเองแบบตาสว่าง เห็นคุณค่า แล้วตระหนักว่า เออ คนนี้แหละ คือคนที่ ‘ใช่’ สำหรับเราแล้ว แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเอาเองว่า พอจะกลับไปหาแฟนหลังจากเลิกกับมือที่สาม แฟนเรานั้นเขาก็เป็นอื่นไปแล้ว หรือเขากลับเป็นฝ่ายหมดรักเราไปเสียเองหรือเปล่า

 

ทีนี้ถ้ามีคนบอกว่ามือที่สามเข้ามาไม่ได้หรอกถ้าชีวิตคู่ดีงามพรั่งพร้อม ซึ่งก็ไม่จริงอีกนั่นแหละ หลายๆ คู่อยู่ด้วยกันมาดีๆ ไม่เคยมีปัญหาอะไร ไม่มีใครทำอะไรผิด ทุกอย่างปกติดีทุกอย่าง จนกระทั่งมีมือที่สามโผล่เข้ามาแล้ว เรื่องเหล่านี้มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล หากมันเกิดแรงดึงดูดอันเกินจะต้านทาน

 

ซึ่งหลายคนก็จะบอกว่า ของแบบนี้ควรหักห้ามใจ แต่ ‘คน’ นะ ไม่ใช่ ‘สัตว์’ จะได้สมสู่กันไปตามสัญชาตญาณ ควรจะคำนึงคำมั่นสัญญา ความรับผิดชอบ ศีลธรรม บลา บลา บลา

 

แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับฉัน ฉันคิดว่าการที่เราแต่งงานกับใครสักคนมันไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นหนี้ชีวิตคนนั้นไปจนตายจนไม่อาจมีชีวิตของตนเองได้เลย การแต่งงานไม่ใช่การจดจับจองเป็นเจ้าของชีวิตของกันและกันโดยไร้เงื่อนไข

 

หากฉันพบรักใหม่ในขณะที่มีผัวอยู่ และพบว่ารักใหม่นั้นเกินจะต้านทาน ฉันจะต้องบอกเลิกผัวให้เป็นกิจจะลักษณะ ทำอย่างถูกต้อง ถ้ามีลูกก็ต้องคุยกันเรื่องความรับผิดชอบที่มีต่อลูก ถ้ามีทรัพย์สมบัติก็ต้องจัดการแบ่งสรรปันส่วนอย่างยุติธรรม และนั่นทำให้ฉันคิดว่า การแต่งงานของคนสองคนควรจะเริ่มต้นจากการนั่งคุยกันให้เข้าใจว่า ชีวิตคู่ของเรานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นนิรันดร

 

คู่แต่งงานทั้งหลายควรจะ realistic ให้มาก แล้วทำการตกลงกันให้ดีว่า หากแต่งงานกันไปจะกี่ปีก็ตาม แล้วใครคนใดคนหนึ่งเกิดไปพบรักใหม่ให้เข้าใจว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ อีกฝ่ายหนึ่งแม้จะทำใจได้ยาก แต่ก็ควรจะต้องทำใจให้ได้ ไม่ต่างจากการซื้อหุ้นผิดตัวแล้วขาดทุนย่อยยับ การลงทุนมีความเสี่ยงฉันใด การแต่งงานก็ต้องแบกรับความเสี่ยงว่า ผัวเรา เมียเรา ไม่ใช่ของของเรา แล้วเราไม่ควรจะบังคับใครให้จำใจอยู่กับเราเพียงเพราะ ‘เราแต่งงานกันแล้ว’ เพราะการแต่งงานไม่ใช่การจองจำ

 

คนจำนวนมากบอกว่าทนอยู่เพราะลูก บางคนทนอยู่เพราะความรับผิดชอบ บางคนทนอยู่เพื่อให้ได้ชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี แล้วก็อยู่กันไปแบบเก็บกด จำนวนมากก็ไม่รู้ตัวว่าเก็บกด แต่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีอยู่ แต่มักมีความไร้สุขบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ติดตัวอยู่เสมอ

 

แต่สำหรับฉันมันจะดีกว่าไหม ที่เราจะกล้าเลิกกับใครสักคนเพียงเพราะหมดรัก ไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เขาทำความผิดความชั่วใดๆ

 

และหากเราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับใคร เราพึงตระหนักอยู่เสมอว่า โดยที่เราไม่จำเป็นต้องทำความผิดอะไรเลย คู่ของเราก็อาจไปพบรักใหม่และอยากไปใช้ชีวิตกับคนอื่นได้เสมอ

 

สิ่งที่อารยชนทั้งหลายพึงทำน่าจะมีแค่ การชี้แจง บอกกล่าวต่อกันอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นอาจนำมาซึ่งการออกแบบความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างกัน เช่น บางคนอาจจะยังต้องทำธุรกิจร่วมกัน บางคนอาจต้องสัมพันธ์กันในฐานะพ่อแม่ของลูก บางคนอาจมีกิจกรรมบางอย่างที่ทำด้วยกันแล้วมีความสุข การมีแฟนใหม่ไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งการยุติกิจกรรมนั้นๆ ที่เราทำแล้วมีความสุขด้วยกัน

 

สำหรับฉัน ถ้าเราไม่คิดว่าการแต่งงานหรือชีวิตคู่เท่ากับการจองจำใครสักคนไว้ในชีวิตเราตราบชั่วนิจนิรันดร์ ปรากฏการณ์ ‘มือที่สาม’ ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร

 

คนที่เป็นมือที่สามก็ไม่ใช่ปีศาจชาติชั่ว เพราะในหลายกรณีเราไม่มีวันรู้หรอกว่า เราไม่ได้อยากอยู่กับคนคนนี้ตราบเท่าที่เรายังไม่เจอคนใหม่ (ยิ่งเขียนยิ่งฟังดูชั่วมาก แต่ใครจะกล้าปฏิเสธว่ามันไม่จริง)

 

หลายคนอาจจะบอกว่า ‘มือที่สาม’ มันชั่ว มันตั้งใจเข้ามาแย่ง มันตั้งใจเข้ามาทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่จะทำอย่างไรได้ หากเขาเข้ามาแล้วดัน ‘แย่ง’ ได้จริง (จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ) ถ้าเขาแย่งได้จริงก็แปลว่าคนของเรามันมีความอยากไปกับเขาด้วยนี่นา

 

ถ้าคนของเรารักหนักแน่นมั่นคง ต่อให้มือที่สามเอาช้างมาลากก็คงไม่ไป Myth ของชีวิตคู่และการแต่งงานที่ร้ายแรงที่สุดคือ Myth ที่บอกว่า เมื่อปลงใจแต่งงานกับใครแล้ว หรือใช้ชีวิตคู่กับใครแล้วต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ชีวิตคู่นั้น ความรักนั้นอยู่ไปชั่วนิรันดร หรือในคำสาบานว่าจนกว่าความตายจะมาพรากเราไป

 

เมื่อเราไปยึดมั่นถือมั่นกับ Myth อันนี้ เราจึงจะต้องโกรธมาก แค้นมาก เมื่อรักเป็นอื่นหรือเมื่อคู่เราเป็นอื่น โดยลืมคิดไปว่า การ ‘เป็นอื่น’ นั้นอาจจะดีก็ได้ เช่น เราอาจมีผัวใหม่ดีกว่าเดิม หรือเราอาจได้อยู่คนเดียว มีความสุขกว่าเดิม ผัวเราอาจได้อยู่กับเมียใหม่ที่เข้ากันได้ดีกว่าสมัยมีเราเป็นเมีย หรือต่อให้พัง เละตุ้มเป๊ะด้วยกันทุกฝ่าย แต่ ความรัก การแต่งงาน และชีวิตคู่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเราอยู่ดี แต่เป็นเพียง ‘ส่วนหนึ่ง’ ของชีวิตเราเท่านั้น เพราะในชีวิตของคนคนหนึ่งก็มีทั้งเรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องครอบครัว เรื่องสวน เรื่องสัตว์เลี้ยง เรื่องเงิน เรื่องการท่องเที่ยว เดินทาง เรื่องงานอดิเรกต่างๆ

 

ชีวิตคู่พังไม่ได้แปลว่าอื่นๆ ในชีวิตต้องพังตาม และเรายังสามารถมีคู่ใหม่ได้เสมอถ้าอยากมี แต่ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตาจะมี

 

ความตลกที่สุดของการยึดมั่นถือมั่นใน Myth อันนี้ก็เมื่ออ่านข่าวดาราแล้วเอา Myth ของตัวไปด่า ไปตัดสิน ไปสวมวิญญาณผู้พิพากษาทางศีลธรรม ไปโกรธไปแค้นแทนพวกเขาทั้งปวง ทั้งๆ ที่ในชีวิตของเขาเหล่านั้นอาจจะพบกับความสุขความเจริญด้วยกันทุกฝ่ายก็เป็นได้ หรือหากจะไม่สุขมันก็ไม่ใช่ปัญหาของเราอยู่ดี

 

แต่ก็นั่นแหละ ข่าวดาราก็เหมือนละคร นับประสาอะไรกับกรณีแอฟกับสงกรานต์ ทุกวันนี้ยังมีคนลุ้นให้ แบรด พิตต์ กับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน มาคืนดีกันจนสามารถเขียน Fake News ออกมาเป็นวรรคเป็นเวร

 

โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เราก็ยังรักเทพนิยายอยู่ร่ำไป และรอคอย Happy Ending เพื่อเยียวยาบาดแผลในชีวิตจริงของตน

 

ภาพประกอบ: Karin Foxx.

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ‘มือที่สาม’ ปีศาจร้ายทำลายชีวิตคู่ หรือจริงๆ แล้วชีวิตคู่ไม่จำเป็นต้องจบแบบเทพนิยายเสมอไป? appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/bitch-talk-third-person/feed/ 0
ผู้หญิงยุค 2018 และนิยามสุดแซ่บของความรักแบบฉบับ คำ ผกา https://thestandard.co/thestandarddaily-kam-phaka/ https://thestandard.co/thestandarddaily-kam-phaka/#respond Wed, 24 Oct 2018 07:54:12 +0000 https://thestandard.co/?p=136374

The post ผู้หญิงยุค 2018 และนิยามสุดแซ่บของความรักแบบฉบับ คำ ผกา appeared first on THE STANDARD.

]]>

The post ผู้หญิงยุค 2018 และนิยามสุดแซ่บของความรักแบบฉบับ คำ ผกา appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/thestandarddaily-kam-phaka/feed/ 0
คุยสดกับสาวสุดสตรอง ‘คำ ผกา’ วิเคราะห์ ‘เมีย 2018’ สะท้อนอะไรในสังคมไทย – THE STANDARD Daily 21 สิงหาคม 2561 https://thestandard.co/thestandarddaily21082561/ https://thestandard.co/thestandarddaily21082561/#respond Wed, 22 Aug 2018 02:38:15 +0000 https://thestandard.co/?p=115338

THE STANDARD Daily ประจำวันที่ 21 สิงหาคม&nbs […]

The post คุยสดกับสาวสุดสตรอง ‘คำ ผกา’ วิเคราะห์ ‘เมีย 2018’ สะท้อนอะไรในสังคมไทย – THE STANDARD Daily 21 สิงหาคม 2561 appeared first on THE STANDARD.

]]>

THE STANDARD Daily ประจำวันที่ 21 สิงหาคม 2561 เวลา 20.00 

 

  • คุยสดกับสาวสุดสตรอง ‘แขก คำผกา’ (ลักขณา ปันวิชัย) วิเคราะห์ ‘เมีย 2018’ สะท้อนอะไรในสังคมไทย และเราเรียนรู้อะไรจากละครเรื่องนี้ได้บ้าง
  • พร้อมประเด็นข่าวน่าสนใจ สรุปยอดนักท่องเที่ยวเยือนไทย 7 เดือนแรกปี 2561
  • รวม 12 ข้อที่ควรรู้ของ ‘Panya’ แอปฯ เกมโชว์ยอดฮิต

 

สามารถติดตาม THE STANDARD Daily ได้เป็นประจำทุกวันจันทร์ศุกร์ เวลา 20.00 เป็นต้นไป ที่ Facebook Live และ Youtube Live ของ thestandardth

The post คุยสดกับสาวสุดสตรอง ‘คำ ผกา’ วิเคราะห์ ‘เมีย 2018’ สะท้อนอะไรในสังคมไทย – THE STANDARD Daily 21 สิงหาคม 2561 appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/thestandarddaily21082561/feed/ 0
เซ็กซ์ในสวน เรื่องต้องห้ามหรือเรื่องธรรมดาที่สังคมไทยต้องเลิกหลอกตัวเอง https://thestandard.co/sex-in-the-park/ https://thestandard.co/sex-in-the-park/#respond Tue, 21 Aug 2018 02:52:22 +0000 https://thestandard.co/?p=115075

สิ่งที่น่าขบขันที่สุดในข่าวว่าด้วยคนมีเพศสัมพันธ์กันในส […]

The post เซ็กซ์ในสวน เรื่องต้องห้ามหรือเรื่องธรรมดาที่สังคมไทยต้องเลิกหลอกตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>

สิ่งที่น่าขบขันที่สุดในข่าวว่าด้วยคนมีเพศสัมพันธ์กันในสวนสาธารณะคือ ความพยายามจะอธิบายว่ามนุษย์ที่เที่ยวไปซั่มกันในสวนนั้นไม่ใช่คนไทย เพราะเมื่อมีคนไปพบเจอแล้วบอกให้หยุดก็ไม่หยุด สงสัยเป็นเพราะฟังภาษาไทยไม่ออกแน่ๆ ต้องไม่ใช่คนไทยแน่ๆ คนไทยไม่มีวันทำอะไรอย่างนั้น เพราะคนไทยเราขี้อาย รู้จักยับยั้งชั่งใจ เรื่องมีเซ็กซ์กันเรี่ยราดเราคนไทยไม่ทำ เรามีเพศสัมพันธ์กันอย่างสุภาพ เรียบร้อย นั่งพับเพียบด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ แต่นิสัยคนไทย สุภาพ สำรวม จบนะ

 

ไอ้ที่เจอเศษซากถุงยางเป็นร้อยเป็นพันอันน่ะ ต้องเจ๊ก แขก ฝรั่ง ไทใหญ่ พม่า ทั้งหมดแน่ค่ะคุณเจ้าขา เราต้องติดป้ายห้ามมีเซ็กซ์ในสวนสัก 5 ภาษานะเจ้าคะ ให้ไอ้อีต่างชาติที่ซั่มกันไม่รู้ไม่เลือกสถานที่ทำเป็นหมาติดสัดเดือนสิบสองต้องสำเหนียกเสียบ้างว่าจะมาทำบัดสีบัดเถลิงแบบนี้ในเมืองไทยมิได้

 

ดังนั้นเมื่อมีแต่ต่างชาติทั้งนั้นแหละที่ไปมีเซ็กซ์กันในสวน สิ่งที่เราอยากรู้คือ โอ๊ย พวกคุณมึงจะดั้นด้นไปเอากันในสวนให้ยุงกัดกันทำไมคะ ทำไมไม่พลอดรักกันเย็นๆ ในห้องแอร์ บนที่นอนนุ่มๆ หมอนดีๆ ที่บ้าน โรคจิตหรือเปล่า?

 

สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงลูกทุ่ง อ่านวรรณกรรมไทยเก่าๆ คงเคยอ่านเคยฟังว่าการเข้าพระเข้านาง หรือเพลงเกี้ยวพาราสีในหลายกรณี ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นนอกบ้านทั้งสิ้น และหลายครั้งชวนให้เข้าใจได้ทันทีว่าบทอัศจรรย์พระนางเข้าด้ายเข้าเข็มกันนั้นมักเกิดที่กลางทุ่ง ในสวน ในเถียงนา ลอมฟาง ฯลฯ โอ้ เพลง เสียสาวที่สวนหอม ก็ลอยเข้าหัวมาเลย

 

อึ๋ย แล้วทำไมคนไทยในเพลง ในวรรณกรรม เขาเที่ยวไปอะจึ๊กอะจั๊กโอ้โลมปฏิโลมกันนอกบ้านล่ะ? (อ้าว แล้วที่บอกว่าคนไทยไม่มีวันจะไปสอดใส่กันในสวน ในที่แจ้ง มันก็ชักจะไม่จริงแล้วสิ?)

 

ก็คงต้องเริ่มอธิบายกันยาวๆ แบบนี้เลยว่า คอนเซ็ปต์บ้านสมัยใหม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘พื้นที่ส่วนตัว’ และ ‘ห้องส่วนตัว’ มันเพิ่งจะปรากฏตัวให้เห็นบนโลกนี้แค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น แม้แต่อพาร์ตเมนต์ในญี่ปุ่นทุกวันนี้เรายังสามารถพูดได้เลยว่าเป็นห้องที่ไม่มี ‘ห้องนอน’ เพราะในห้อง 1 ห้องเป็นทั้งห้องครัว กินข้าว พักผ่อน รับแขก และเมื่อจะนอนจึงคลี่เอาฟุตง หรือที่นอนมาปู ตอนเช้าก็เก็บที่นอนเข้าตู้ technically คือไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ห้องนอน’

 

บ้านคนไทยสมัยก่อนก็เช่นกัน (แม้แต่ในยุโรปตั้งแต่ยุคกลาง) ไม่มีธรรมเนียมใดๆ ว่าด้วยการมีห้องนอน หรือห้องส่วนตัวที่เป็นสัดเป็นส่วน โดยมากมีห้องโถงกลาง อเนกประสงค์ มีชานบ้านไว้นั่งเล่น เวลานอนก็ปูเสื่อ ปูที่นอน หามุมนอนของใครของมัน ลูกหลาน พ่อแม่ ตายาย ก็นอนรวมๆ เรียงๆ กันเป็นตับ

 

ว่ากันว่าถ้าเป็นลูกสาวก็นอนใกล้พ่อใกล้แม่หน่อย ลูกชายอาจต้องระเห็จไปนอนชานบ้าน เพราะมักออกไปเตร็ดเตร่กลางคืน จะได้ไม่รบกวนใครเวลากลับมาดึกๆ ความเป็นสัดเป็นส่วนอันเดียวที่มีอยู่สำหรับการนอนน่าจะเป็นมุ้ง อย่างไรก็ตาม ครอบครัวไทยสมัยก่อน พี่ๆ น้องๆ ก็นอนบนที่นอนเดียวกัน ในมุ้งหลังเดียวกัน เป็นเรื่องปกติ

 

นั่นแหละ เมื่อไม่มีห้องนอน ไม่มีห้องส่วนตัว หนุ่มสาวหรือมนุษย์คนไหนอยากจะอะจึ๊กอะจั๊กกัน จะมาอะจึ๊กอะจั๊กในบ้าน ก็แหม มุมนั้นก็มีคนขูดมะพร้าว มุมนี้ลูกหลานก็เล่นหมากเก็บ อีกมุมก็อาจกำลังเล่าเรื่องผีเอ็นเตอร์เทนกันอยู่ ก็คงต้องขยิบหูขยิบตา ชวนกันออกไปหามุมลี้ลับ มุมปลอดคน มุมลับตา แล้วได้บรรยากาศแบบมีแสงเดือนแสงดาวได้ก็ยิ่งโรแมนติก เซ็กซ์ที่เกิดขึ้นนอกบ้านก็คงมาด้วยเหตุนี้

 

ยิ่งเซ็กซ์ระหว่างหนุ่มสาวที่เพิ่งจีบกัน พ่อแม่ยังไม่รู้ หรือประเภทโรมิโอและจูเลียตที่ลักลอบรักกันโดยที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย การพบกัน การพลอดรักก็ยิ่งต้องหลบซ่อน สุดท้ายก็จะจบลงด้วยการท้อง ท้องแล้วก็ไปขอขมา ขอขมาแล้วก็แต่งงาน

 

ว่ากันว่าการแต่งงานของคนไทยสมัยก่อนล้วนแต่เป็นการแต่งงานแบบรักกันหนาพากันหนีทั้งนั้น ทำกันจนเป็นธรรมเนียม อยากแต่งกับใครก็อะจึ๊กอะจั๊กกันจนท้อง จะได้มีข้ออ้างที่จะเป็นผัวเป็นเมียกันแบบไม่มากเรื่องมากความ พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ต้องทำเป็นโกรธๆ เพื่อเรียกค่าเสียหายสักหน่อย ให้ดูสวยๆ ดูว่าเป็นฝ่ายถูกปู้ยี่ปู้ยำ

 

เพราะฉะนั้นการมีเซ็กซ์เอาต์ดอร์จึงมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมมากกว่าที่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องศีลธรรมหรือความวิปริตวิตถาร อย่างน้อยที่สุดก็เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของการออกแบบบ้าน การจัดพื้นที่ใช้สอยของบ้าน และพัฒนาการของมัน และเราก็ได้เห็นแล้วว่าในยุคหนึ่ง เซ็กซ์เอาต์ดอร์เป็นเรื่องจำเป็น เพราะไม่มีพื้นที่ในบ้านให้มีเซ็กซ์โดยสงบและปราศจากการรบกวน

 

เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องกลับตาลปัตรกับที่เราเข้าใจกันในสมัยนี้ (เนื่องจากเราเกิดมาในยุคที่มีคอนเซปต์เรื่องพื้นที่ส่วนตัว มีการสอนกันใหม่ว่าเด็กต้องถูกแยกห้องนอน แยกเตียงกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็กมากๆ เพราะสำหรับมนุษย์สมัยใหม่ ไม่มีอะไรจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเท่ากับเรื่อง ‘พื้นที่ส่วนตัว’ อีกต่อไปแล้ว)

 

ที่คิดว่าเซ็กซ์ในบ้านคือความลับตา คือความสำรวมกิริยา คือความไม่กระทำอนาจารให้ผู้อื่นเห็น ตรงกันข้าม ในยุคที่คนอยู่ในบ้านที่เน้นการเปิดโล่งและพื้นที่ใช้สอยร่วมกัน เซ็กซ์ที่เกิดขึ้นในบ้านต่างหากคือเซ็กซ์ที่เสี่ยงจะกลายเป็นการกระทำอนาจารให้ผู้อื่นเห็นโดยไม่จำเป็น ดังนั้นเซ็กซ์ที่ไพรเวตที่สุดคือเซ็กซ์ที่ไปทำนอกบ้านที่สถานที่อันลับตาคน

 

จนเมื่อการเข้าสู่สังคมสมัยใหม่ของเรามาพร้อมกับการจัดระเบียบเซ็กซ์ ตั้งแต่เซ็กซ์ที่ถูกต้องคือเซ็กซ์ระหว่างหญิง-ชาย, ผัว-เมีย ไปจนถึงการบอกว่าเซ็กซ์ที่มีคุณค่ามีศีลธรรมคือเซ็กซ์เพื่อการมีลูก บางสังคมยังลงไปในรายละเอียดว่า เซ็กซ์ที่ดีต้องไม่มีการทำออรัล ต้องไม่ใช่เซ็กซ์ทางทวารหนัก ต้องไม่โลดโผนโจนทะยาน ต้องไม่ทำบนพื้น ต้องทำในเวลากลางคืนเท่านั้น เรื่อยไปจนถึงการบอกว่าเซ็กซ์ที่ดี เซ็กซ์ที่ปกติ คือเซ็กซ์ที่ทำในห้องหับที่มิดชิด เป็นส่วนตัว และในทุกกิจกรรมบนโลกใบนี้ หากจะมีกิจกรรมไหนที่เราพึงทำโดยระวังที่สุด ไม่ให้คนเห็น ก็คือกิจกรรมตอนเรามีเซ็กซ์กันนั่นเอง (ด้วยเหตุดังนั้นพวกคลิปหลุดมันจึงดูเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องหมดอนาคตเอามากๆ)

 

เมื่อเซ็กซ์ถูกทำให้เป็นเรื่องลี้ลับ เรื่องส่วนตัว เรื่องไม่ควรพูด เรื่องไม่พึงเปิดเผย เป็นเรื่องสกปรก เป็นเรื่องน่าอาย เป็นเรื่องที่เราต้องแสร้งทำราวกับว่าไม่มีการจ้ำจี้อยู่บนโลกใบนี้ และตัวเราก็ไม่เคยทำ ไอ้ที่เกิดๆ ลูกออกมาเป็นแค่ Birds and Bees จุ๊กๆจิ๊กๆ ทำนิดๆ หน่อยๆ แค่พอมีลูกไม่เกี่ยวกับความอยากความเสี้ยนใดๆ ในอีกทางหนึ่ง เซ็กซ์จึงเหมือนการแอบกินขนมหลังห้อง และแอบไม่ให้ครูเห็น ยิ่งลักลอบ ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งสนุก

 

กลุ่มคนที่เที่ยวออกไปมีเซ็กซ์เอาต์ดอร์จึงมีทั้งคนที่ชอบความตื่นเต้น รู้สึกฟินกับความเสี่ยงที่อาจมีคนมาเห็น รู้สึกฟินกับความท้าทายที่ได้ทำอะไรแหกกฎ มีทั้งกลุ่มที่เรียกว่า exhibitionist คือพวกชอบโชว์ ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองเจ๋ง อยากเป็นที่สนใจของผู้คน ในโลกโซเชียลมีเดียที่เราเป็นส่วนหนึ่งของมันอยู่ทุกวันนี้ เราก็จะเห็นว่ามันกลายเป็นพื้นที่ให้คนที่เป็น exhibitionist ได้มาโชว์กันเยอะแยะหลากหลาย ทั้งโชว์ตรงๆ โชว์อ้อมๆ ซึ่งอาจจะทำให้การเที่ยวออกไปโชว์ ‘ของสด’ กลางแจ้งค่อยๆ ลดความจำเป็นลงก็เป็นได้

 

กลุ่มคนที่เป็น exhibitionists นั้นถือว่าเป็นรสนิยม และยังถกเถียงกันได้อีกว่าจะถือเป็นโรคจิตหรือไม่เป็น เพราะฉะนั้นการออกกฎหมาย การห้าม การปรับ การจับ จึงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก อย่างมากก็แค่ทำให้การโชว์ของพวกเขาทำได้ยากขึ้นอีกเล็กน้อย

 

แต่เราคงใช้กฎหมายไปสั่งให้คนเลิกเป็น exhibitionists ไม่ได้ กฎหมายช่วยได้แค่ ไม่ให้ exhibitionists เหล่านั้นไปรบกวนชีวิตประจำวันของผู้อื่นมากเกินไปเท่านั้น

 

ส่วนกลุ่มที่ชอบไปเซ็กซ์เอาต์ดอร์เพื่อความตื่นเต้น เร้าใจ และยิ่งเสี่ยงต่อการถูกจับได้ ถูกพบเห็นก็ยิ่งฟินมากขึ้นเท่านั้น สำหรับคนกลุ่มนี้ กฎหมาย ข้อห้ามต่างๆ คือปัจจัยของความตื่นเต้น ยิ่งออกกฎหมายมาก พวกเขายิ่งอยากทำ ดังนั้น ‘กฎ’ ที่ออกมาจึงไม่ช่วยอะไร นอกจากช่วยให้พวกเขา ‘ฟิน’ มากขึ้น

 

ทีนี้ยังเหลืออีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่กลุ่มคนที่ฟินเพราะความเสี่ยงต่อการถูกเห็น หรือกลุ่มที่ฟินเพราะชอบให้คนมาเห็น คือกลุ่มที่คล้ายๆ กับคนในยุคที่บ้านไม่มี ‘ห้องส่วนตัว’  นั่นคือการมีเซ็กซ์เอาต์ดอร์เป็น ‘ความจำเป็น’

 

ความจำเป็นนี้มีตั้งแต่กลุ่มผู้ค้าบริการทางเพศ ‘ตลาดล่าง’ การผ่อนคลายกำหนัดของผู้มีรายได้น้อยกับผู้ให้บริการราคามิตรภาพนั้น การไปใช้บริการห้องของโรงแรมม่านรูดจึงเป็นสิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ทั้งยังเสียเวลาโดยใช่เหตุ เพราะเวลาที่ใช้ประกอบกิจกรรมอาจจะไม่เกิน 20 นาที จะคุ้มอะไรกับการนั่งรถไปโรงแรมครึ่งชั่วโมง กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะแต่งตัว

 

อุตสาหกรรมคลายกำหนัดแบบด่วน กระชับ กะทัดรัด ย่อมเยานี้จึงต้องอาศัยซอกหลืบต่างๆ ในเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่นั่นเอง สิ่งที่เราเรียกว่า ‘มุมมืด’ ของเมืองนั้นสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในเมืองเดียวกับเราอาจจะไม่ใช่ ‘มุมมืด’ แต่เป็น ‘สวนสวรรค์อันลี้ลับ’ ไปจนกระทั่งเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ของพวกเขาก็เป็นได้

 

ความจำเป็นของคนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มคนที่มีเซ็กซ์ ‘ต้องห้าม’ เช่น

  • เซ็กซ์ของเด็กนักเรียนหรือของหนุ่มสาวที่ไม่มีที่อยู่อาศัยอันพอจะมีพื้นที่ส่วนตัวให้ประกอบกิจกรรมทางเพศได้อย่างเหมาะสมที่บ้านของตนเอง
  • เซ็กซ์ของเกย์ชายที่ต้องแอ๊บแมนไม่ให้โลกรู้
  • เซ็กซ์ซ่อนชู้ในทุกลักษณะ
  • casual sex ของกลุ่มคนที่นิยมการ cruising แบบลาดตระเวนเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ถ้าเจอก็เจอ ถ้าได้ก็ได้ ถ้าใช่ก็สบตา ส่งสัญญาณที่รู้กัน ‘ทำ’ เสร็จก็แยกทาง ไม่ต้องรู้ชื่อ ไม่ต้องจำหน้า ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

 

ถ้าเราพินิจความจำเป็นเหล่านี้ เราจะเข้าใจว่าการห้ามไม่ให้คนมามีเซ็กซ์กันในสวน ก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ และคงไม่มีสังคมไหนในโลกนี้ที่ไม่มีกิจกรรมทางเพศกันในสวน

 

ทั้งนี้แต่ละสังคมก็จัดการกับเรื่องนี้ต่างๆ กันออกไป เช่น

  • มีก็ไม่เป็นไร แค่ดูแลเรื่องความสะอาดปลอดภัยให้กับทุกคนที่เข้าไปแชร์พื้นที่สาธารณะเหล่านั้นร่วมกัน และระวังที่จะไม่ไปละเมิดกิจกรรมของกันและกัน ไม่ล้ำเส้น เช่น ถ้ามีคู่รักไปจ้ำจี้กันในจุดที่มีลูกเล็กเด็กแดงวิ่งเล่นอยู่เต็มไปหมด อันนั้นก็ถือว่าเป็นการไม่เคารพการใช้พื้นที่ของผู้อื่น มีความผิดเท่าๆ กับคนที่ไปเปิดเพลงออกลำโพงดังๆ ในสวน ในขณะที่คนอื่นเขานั่งชมธรรมชาติกันเงียบๆ นั่นแหละ
  • อนุญาตให้มีเซ็กซ์และอื่นๆ ได้ในบางสวน บางเวลา กำหนดไปเลยว่าทำได้ภายใต้เงื่อนไขอะไรบ้างจึงไม่ผิดกฎหมาย อันนี้เชื่อว่าเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของคนที่มีความจำเป็นต้องมีเซ็กซ์นอกบ้านอย่างที่ได้แจกแจงไปข้างต้น หรืออย่างน้อยก็มองว่าการพลอดรักในสวนท่ามกลางธรรมชาตินั้นก็เป็นความรื่นรมย์ เป็นสุนทรียะอย่างหนึ่งที่มนุษย์พึงมีได้ตามความเหมาะสม

 

เซ็กซ์ในสวนนั้น สิ่งที่ต้องทำง่ายมากคือมองเซ็กซ์เหมือนกิจกรรมอื่นๆ ที่คนออกมาทำกันในที่สาธารณะ นั่นคือไม่ทำให้พื้นที่นั้นสกปรก ไม่ทิ้งขยะ ไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น และในซอกหลืบมุมมืด ‘รัฐ’ ไม่ได้มีหน้าที่ไปจับคนซั่มกัน แต่มีหน้าที่ทำให้พื้นที่ต่างๆ เหล่านั้นปลอดภัย และมีบริการโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม เช่น ห้องน้ำ ก๊อกน้ำ ถังขยะ แสงสว่างที่เหมาะสม

 

น่าสนใจว่าสังคมไทยไม่ได้มองกิจกรรมเซ็กซ์ในสวนในมิติของเมือง สถาปัตยกรรม ความหลากหลายของกลุ่มประชากรในเมืองกับความจำเป็นและฟังก์ชันของพื้นที่สาธารณะของเมือง เพื่อจัดการพื้นสาธารณะอย่างมีหัวจิตหัวใจ คิดเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับประชากรในเมืองที่มีทั้งคน ‘มี’ และคน ‘ขาด’

 

หนักว่านั้นเรายังมีวิธีการแก้ปัญหาแบบไม่ยอมรับความจริง ชอบทำตัวเป็นพวก in denial คือละล่ำละลักออกมาก่อนว่าไม่มี ไม่จริง หากจำนนด้วยหลักฐานว่ามันมีจริงๆ สิ่งเดียวที่คิดได้คือต้องกวาดล้าง ต้องห้าม ต้องหยุด ใช้กฎหมายจัดการ ใช้อำนาจของราชการไปจัดระเบียบ ซึ่งก็รู้กันอีกว่าแสดงท่าขึงขังกันไปอย่างนั้นเองในช่วงที่เป็นข่าว ลึกๆ ก็รู้ว่าทำไม่ได้และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำ

 

แต่ดันไม่รู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ

 

สังคมไทยหยุดหลอกตัวเองได้เมื่อไร เมื่อนั้นแหละที่สมองถึงจะเริ่มทำงาน

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post เซ็กซ์ในสวน เรื่องต้องห้ามหรือเรื่องธรรมดาที่สังคมไทยต้องเลิกหลอกตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/sex-in-the-park/feed/ 0
เมียหลวง เมียน้อย และผัวนอกใจ เรื่องซั่มหยำฉ่ากับเมีย 2018 https://thestandard.co/miia2018-unfaithful-relationship/ https://thestandard.co/miia2018-unfaithful-relationship/#respond Mon, 06 Aug 2018 11:35:06 +0000 https://thestandard.co/?p=112071

การแต่งงานในโลกนี้น่าจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม   กลุ่ม […]

The post เมียหลวง เมียน้อย และผัวนอกใจ เรื่องซั่มหยำฉ่ากับเมีย 2018 appeared first on THE STANDARD.

]]>

การแต่งงานในโลกนี้น่าจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม

 

กลุ่มแรก ความรัก เซ็กซ์ และการแต่งงาน ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะมองว่าการแต่งงานเป็นส่วนขยายของการสร้างครอบครัวที่มีฟังก์ชันหน้าที่ทางเศรษฐกิจ การเมือง เป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างตระกูลสองตระกูล ไม่ใช่แค่คนสองคน มีฟังก์ชันในการผลิตทายาท ผู้สืบสายตระกูล มีผลต่อความมั่งคั่ง ต่อการจัดการแรงงาน และการจัดการมรดก

 

สังคมที่แยกความรัก เซ็กซ์ และการแต่งงานออกจากกันนั้น การแต่งงานมักเกิดขึ้นผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Arranged Marriage ผ่านแม่สื่อแม่ชัก หรือในอีกสำนวนหนึ่งเรียกว่า เป็นการแต่งงานแบบคลุมถุงชน

 

การแต่งงานในลักษณะนี้ ผู้ชายอาจมี ‘ความรัก’ และ ‘เซ็กซ์’ กับผู้ชายด้วยกัน กับเด็กชาย หรือสามารถไปแสวงหาความตื่นเต้นทางกามารมณ์กับผู้หญิงอื่นๆ เพราะผู้หญิง ที่เป็นเมียและแม่ของลูกนั้น ย่อมคงสถานะความเป็นเมียและแม่ของลูกไม่แปรเปลี่ยน และไม่เกี่ยวกับความรัก ความโรแมนซ์ และเซ็กซ์

 

เซ็กซ์กับเมียเป็นไปเพื่อให้มีลูก ดังนั้นจึงเป็นไปได้อีกว่า หากเมียมีลูกชายสำหรับสืบสายตระกูลไม่ได้ ผู้ชายก็สามารถมีเมียคนที่สองหรือสามได้อีก จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราพบบทกวีในศตวรรษที่ 15-16 จำนวนไม่น้อยที่พรรณนาถึงความรักอันลึกซึ้งระหว่างชายกับชาย หรือชายกับเด็กชาย ในขณะเดียวกันชายเหล่านั้นก็มีลูก มีภรรยา มีครอบครัว

 

ในปัจจุบันหลายๆ สังคมยังปฏิบัติต่อการแต่งงานและการสร้างครอบครัวในฐานะ ‘หน้าที่ทางสังคม’ หรือมองการแต่งงานด้วยปัจจัยของอัตประโยชน์นิยม และไม่เกี่ยวกับความรักโรแมนติก

 

ปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ ความเฟื่องฟูของอาชีพเมียเก็บในสังคมจีน หลังประเทศมั่งคั่ง ร่ำรวย เกิดเศรษฐีใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าการแต่งงานของคนเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นการแต่งงานเพื่อตอบสนองความสำเร็จทางหน้าที่ การงาน หรือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มตระกูล หรือแต่งงานกับคนที่พ่อแม่จัดหาให้ ไม่นับการมีลูกได้แค่ 2 คนตามที่รัฐบาลกำหนด (ยิ่งตอกย้ำให้เราเห็นว่า การแต่งงานและการมีครอบครัวนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกับความรักความหลงส่วนบุคคล แต่มีฟังก์ชันกับรัฐด้วย)

 

เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีเหล่านี้ ได้สร้างเทรนด์แห่งไลฟ์สไตล์อันใหม่ขึ้น นั่นคือการมีและ สะสมเมียเก็บประหนึ่งเป็นเรื่องเสริมบารมี เสริมฐานะ ยิ่งมีเมียเก็บโปรไฟล์ดีเท่าไร ยิ่งเป็นหน้าเป็นตาแก่ตนเท่านั้น ไม่ใช่แค่โปรไฟล์ดี คนซูเปอร์ริชเหล่านี้ยังแข่งขัน ‘เลี้ยงดู’ เมียเก็บ ว่าใครสามารถซื้อเพนต์เฮาส์ให้เมียเก็บได้หรูกว่าใคร ใครซื้อซูเปอร์คาร์ให้เมียเก็บใครได้แพงกว่าใคร ใครซื้อข้าวของ อัญมณีให้เมียเก็บใครได้มากกว่าใคร

 

พูดง่ายๆ คือ เมียเก็บกลายเป็นเครื่องแสดงสถานะทางสังคมประหนึ่งสินค้า Luxury ชิ้นหนึ่งของผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองนั่นเอง

 

ถามว่าเมียหลวงไม่โกรธเหรอ

 

ในระบบนี้ สิ่งที่เมียหลวงมองเมียเก็บเหมือน ‘งานอดิเรก’ ของสามี ไม่ต่างจากการไปตีกอล์ฟ ไม่ต่างจากการสะสมเครื่องลายคราม กังไส เล่นบอนไซ ตราบเท่าที่เมียหลวงยังเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิ์ในทรัพย์สิน มรดก และดำรงตำแหน่งนางพญาในอาณาจักรของตน

 

แล้วนางบำเรอต้องการอะไร คำตอบก็น่าจะเหมือนมีคนมาถามเราว่า ทุกวันนี้ทำงานไปเพื่ออะไร?

 

สำหรับคนที่เป็นนางบำเรอ พวกเขามองว่าที่เป็น Full Time Career เป็นอาชีพ มีความเป็นโปรเฟสชันแนล แล้วพวกเธอก็คงชั่งใจแล้วว่า ระหว่างเป็นเมียไอ้หนุ่มมนุษย์เงินเดือนอันดาษดื่น สู้มายึดอาชีพนางบำเรอผู้แสนหรูหราราคาแพงแล้ว ชีวิตมันดีกว่าเห็นๆ

 

แล้วไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนางบำเรอระดับ Tier 1 ได้ ดังนั้นการเป็นพวก ‘เธอ’ มันได้ใช่สิ่งที่ต้องมานั่งสมเพชเวทนา สงสารตัวเองว่า พิโธ่พิถัง ต้องกินน้ำใต้ศอก รักคนมีเจ้าของแล้ว น้ำตาเช็ดหัวเข่า – ไม่ใช่เลย เว้นแต่นางบำเรอคนนั้นเกิดอยากจะเลิกเป็นนางบำเรอ แล้วอยากเป็น ‘เมีย’ หรือ เกิดหลงรักผู้อุปถัมภ์ของตนขึ้นมาจริงๆ ซึ่งผู้จะประกอบอาชีพนางบำเรอก็คงต้องแบกรับและบริหารความเสี่ยงในจุดนี้ไป

 

กลุ่มที่สอง ความรัก เซ็กซ์ และการแต่งงาน เป็นเรื่องเดียวกัน

กลุ่มคนหัวสมัยใหม่มองว่า การแต่งงานแบบคลุมถุงชนนั้นช่างป่าเถื่อน ล้าหลัง และเป็นระบบครอบครัว ที่อำนวยให้ผู้อาวุโสและมีอำนาจในตระกูลกุมอำนาจและสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดผ่านการ Manipulate หรือจัดแจง เรื่องใครควรแต่งงานกับใคร ใครควรมีลูกกี่คน ใครควรจะได้เลี้ยงลูกใคร ใครควรได้ทรัพย์สินอะไรจากใคร ใครควรได้มรดกมากกว่าใคร

 

ไม่เพียงเท่านั้น คนหัวสมัยใหม่ยังมองว่า การแต่งงานในระบบที่บอกว่า ความรักกับการแต่งงานเป็นคนละเรื่องกันนั้น ยังกดขี่ข่มเหงผู้หญิงเหลือเกิน กักขังผู้หญิงให้เป็นแม่เครื่องผลิตลูก ขังพวกเธอไว้ในปริมณฑลของการเป็นเมีย เป็นแม่เท่านั้น แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้ชายไปนอกใจ ไปมีความสัมพันธ์ ไปมีความรัก กามารมณ์กับบุคคลอื่นๆ ได้อย่างเรี่ยราด น่าละอายเหลือเกิน

 

ที่น่ากลัวคือ ผู้หญิงในระบบนี้ก็สืบทอดการกดขี่ผู้หญิงด้วยกันเอง เช่น แม่ก็บังคับลูกสาวแบบที่ตัวเองบังคับมา ลูกสาวเมื่อแต่งงานมีลูกที่เป็นลูกสาว ก็กดขี่บังคับลูกสาวของตัวเองต่อไปอีก ดังที่เราจะเห็นจากนิยาย ละคร อันมีตัวร้ายเป็นคุณหญิงย่า คุณหญิงยาย หรือบรรดาแม่ผัวตัวแสบทั้งหลายแหล่ที่คอยจัดแจงชีวิตของลูกๆ หลานๆ ภายในบ้าน

 

ที่ร้ายที่สุด คนรุ่นใหม่มองว่า การแต่งงานที่ปราศจากความรักและเป็นการคลุมถุงชนนั้นผดุงไว้ซึ่งระบบชนชั้นวรรณะ – โอว ลองนึกถึงนวนิยายหลายเรื่องที่คุณชายผู้ซึ่งเพิ่งเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก แล้วมาตกหลุมรักของเด็กคนรับใช้ในบ้าน – เรื่องแบนนี้จำต้องโดนคุณหญิงย่ากีดกันอย่างหาที่สุดไม่ได้ นางเอกแสนจนก็จะถูกกลั่นแกล้งทำร้าย แต่สุดท้ายความรักจะชนะทุกสิ่ง ความรักจะครองโลก คุณหญิงย่าจะหัวใจวายตาย คุณชายกับคนใช้จะแต่งงานกัน มีลูก มีหลานสืบไป

 

ความรักที่แท้ทรูนั้นย่อมไม่มีชนชั้นวรรณะ เพราะมันเป็นเรื่องหัวใจของคนสองคน ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ ไม่มีเรื่องการเมือง ความรักนั้นอยู่เหนือเหตุและผลเสมอ และความรักย่อมเสียสละ ย่อมอุทิศตน บลา บลา บลา

 

ความรักโรแมนติกแบบนี้ทำให้คนหนุ่มสาวลุกขึ้นมากบฏและท้าทายอำนาจของคนแก่ และสถาปนาคุณค่าใหม่เกี่ยวกับความรักและการแต่งงานขึ้นมาเป็นบรรทัดฐานของสังคม นับอย่างหยาบๆ คือในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา

 

เมื่อความรักเป็นเรื่องของคนสองคน การแต่งงานจึงมีภาพอุดมคติของการผดุงความรักระหว่างสามีและภรรยา

 

อาณาบริเวณของครอบครัวต้องเป็นพื้นที่แห่งความรัก ความอบอุ่น ของผัวเมีย พ่อแม่ลูก ไม่ใช่พื้นที่แห่งการใช้อำนาจ ผู้หญิงและผู้ชายต้องเท่าเทียมกัน เคียงบ่าเคียงไหล่กัน มิใช่ใครเป็นช้างเท้าหน้าหรือช้างเท้าหลัง และสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมีคือ ความซื่อสัตย์และความรักเดียวใจเดียว

 

น่าแปลกใจมากว่าความรักโรแมนติกนี้มาพร้อมกับการประกาศความเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวระหว่างผัวและเมีย

 

พันธสัญญาของการแต่งงานคือการบอกว่า จู๋และจิ๋มนี้ฉันจะไม่มีวันใช้ร่วมกับใคร และหากต้องการไปใช้กับคนอื่น ต้องเลิกรา หย่าร้าง แล้วจึงค่อยไปมีความสัมพันธ์ใหม่ การมีซ้อน ซ่อนชู้ ถือเป็นความผิด ถือเป็นหยามน้ำหน้า หมิ่นเกียรติกันอย่างให้อภัยไม่ได้

 

ยิ่งไปกว่านั้นการมากชู้หลายเมียของผู้ชายในสังคมที่เทิดทูนอุดมคติชุดนี้ยังถูกมองว่าเป็นความป่าเถื่อน ล้าหลัง เห็นแก่ตัว อนารยะ สมควรถูกประณาม และถูกลงโทษ

 

กฎหมายการหย่าร้างในหลายประเทศจึงออกมาว่า หากการหย่าร้างนั้นเกิดจากการที่ผู้ชายนอกใจภรรยา ผู้ชายต้องสละสินทรัพย์ให้แก่ภรรยา จนแทบหมดเนื้อหมดตัว เรียกได้ว่า ต้องเดินออกจากบ้านไปหาเมียใหม่แบบตัวเปล่าเล่าเปลือยกันเลยทีเดียว

 

นี่เองที่ทำให้เกิดพล็อตคลาสสิกเรื่องเมียหลวงเมียน้อยไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่ละครอย่าง น้ำเซาะทราย มาจนถึง เมีย 2018 ที่โด่งดัง เปรี้ยงปร้างอยู่ตอนนี้

 

แต่ความรักและการแต่งงานของคนสมัยใหม่ในปัจจุบัน สามารถแยกกลุ่มที่หนึ่งกับกลุ่มที่สองออกจากกันได้โดยสิ้นเชิงจริงหรือเปล่า?

 

เปิดพล็อตละคร เมีย 2018 เมียหลวงสง่างาม เมียน้อยกรี๊ดกร๊าด และผัวนอกใจ ที่สุดท้ายไม่เหลือใคร

ความรัก เซ็กซ์ และการแต่งงานของคนทั้งหลายรวมทั้งในละคร เมีย 2018 สำหรับฉันมันคือไฮบริดของอุดมคติชีวิตคู่ระหว่างกลุ่มที่ 1 กับ กลุ่มที่ 2

 

แต่ที่น่าสนใจคือ ผู้ชายอย่างธาดาจะมาแต่งงานกับอรุณา เพราะความรักหรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อแต่งแล้ว ครอบครัว เมีย และลูก คือความดีงามที่เทิดทูนไว้บนหิ้ง เป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบ อยู่สวยๆ เป็นแม่ที่ดี เมียที่ดี แต่กามารมณ์นั้นไปเรี่ยราดอยู่นอกบ้านเท่าไรก็ได้ ในขณะที่อรุณาเห็นว่า หัวใจของชีวิตคู่คือความซื่อสัตย์และการไม่ใช้สามีร่วมกับใคร

 

และในเส้นเรื่องของละครที่ต้องการส่งผ่านความเป็นสมัยใหม่และความก้าวหน้าของผู้หญิง

 

อรุณาย่อมไม่ยอมจำนนทนเพื่อลูก หรือใดๆ เมื่อสามีไม่ซื่อสัตย์ หยามเกียรติกัน เธอก็เดินออกมาจากชีวิตคู่สวยๆ มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ กอบกู้ Self Esteem ของตนเองด้วยการกลับมาทำงาน จนประสบความสำเร็จ และดูเหมือนว่า เธอน่าจะพบรักใหม่กับผู้ชายที่ดีกว่าผัวเก่าในไม่ช้า

 

ถามว่านี่ปรากฏการณ์ใหม่ในละครและวรรณกรรมไทยหรือไม่? คำตอบคือไม่เลย

 

พล็อตเรื่องที่วางบุคลิกของผู้หญิงให้เก่งและแกร่ง กล้าเดินออกมาจากชีวิตคู่แย่ๆ สามารถเป็น Single Mom แต่งงานใหม่ได้ ค้นพบอาชีพการงานที่น่าภาคภูมิใจ เป็นพล็อตยอดนิยมในนักเขียนหญิง ทั้งทมยันตี เพ็ญแข วงส์สง่า สุวรรณี สุคนธา โบตั๋น นันทนา วีรชน สีฟ้า กฤษณา อโศกสิน ฯลฯ

 

เรียกได้ว่า ตั้งแต่ทศวรรษที่ 80s เป็นต้นมา นักเขียนหญิงของไทยได้สมาทานแนวคิด สตรีนิยมคลื่นลูกที่หนึ่งมาไว้ในงานเขียนของตนเองเรียบร้อยแล้ว และปฏิเสธแนวคิดเรื่องการทนอยู่ในชีวิตแต่งงาน เพื่อรักษาหน้าตา เพื่อลูก หรืออื่นๆ ทั้งยังพยายามจะบอกผู้หญิงให้พึ่งพิงตนเองให้ได้ในทางเศรษฐกิจ เพื่อจะสามารถเดินออกมาจากชีวิตคู่ได้สวยๆ เลิศๆ เชิดๆ

 

เมีย 2018 จึงเป็นเพียงการผลิตซ้ำวาทกรรมผู้หญิงดี ผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงแกร่ง แม่ที่แสนดี และรางวัลของเธอในท้ายที่สุดก็คือ การจะได้เป็นผู้หญิงที่น่าปรารถนาของทุกผู้ทุกคน มีผู้ชายดีๆ มารุมจีบ มาขอแต่งงาน ซึ่งเธอจะแต่งด้วยหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ เธอคือผู้หญิงที่ใครๆ ก็อยากได้ อยากมี อยากเป็น

 

แน่นอนว่า ภาพของเมียน้อยหรือนางบำเรอยังคงสภาพความเป็น ‘ฮิสทีเรีย’ ไว้อย่างครบถ้วนคือ กรี๊ดกร๊าด ไร้เหตุผล เอาแต่ใจ มุ่งเอาชนะคะคานอย่างโง่ๆ ทะนงในความสวยของตนเอง ไร้ซึ่งศีลธรรม คุณธรรม คิดว่าความสวย ความสาว และเซ็กซ์ดีๆ พร้อมมารยาสาไถยในทางดาร์กต่างๆ นั้นจะนำมาสู่ชัยชนะ นั่นคือแย่งผัวผู้อื่นมาเป็นผัวของตน

 

ถ้าอรุณาเป็นสีขาว กันยาก็เป็นสีดำ

 

ส่วนผู้ชายที่มากชู้หลายใจอย่างธาดา สุดท้ายก็ถูกลงโทษ ไม่เหลือใครในชีวิต เพราะมี ‘นางแก้ว’ อยู่ในมือแล้วรักษาเอาไว้ไม่ได้

 

ดังนั้นคนที่จะมีความสุข ประสบความสำเร็จในที่นี้ก็คือ ผู้หญิงดีๆ และผู้ชายดีๆ เช่น อรุณาและวศิน

 

เราคาดหวังอะไรจากละคร?

 

ดึงสติสู่โลกความเป็นจริงที่เมียน้อย เมียหลวง ไม่ได้เป็นดั่งนิยาย

ในชีวิตจริงที่เมียน้อยไม่ได้ชั่วเหมือนกันยา ผู้ชายอย่างธาดาก็ไม่ได้หล่อซิกซ์แพ็กน่าแย่งน่าหลง เมียหลวงทั้งหลายก็ไม่ได้ทั้งสวย บอบบาง แข็งแกร่ง คมคาย เหมือนอรุณา ละครก็ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้รู้ว่า ความดีมีจริง ความชั่วมีจริง บาปกรรมมีจริง ใครทำดีต้องได้ดี ใครทำชั่วต้องได้ชั่ว โอ้…โลกนี้ยังไม่แตกสลายหรอกนะ แม้ในชีวิตจริงของเราจะไม่เจอสิ่งที่เป็นอุดมคติแบบนี้ แต่มันต้องมีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกสิ

 

ถ้าเราเป็นเมียหลวง เราต้องสวย ต้องสง่า ต้องมีสติ ต้องแกร่ง ต้องยึดมั่นในความดีเหมือนอรุณา แล้วสักวันหนึ่งเราจะชนะ

 

ทว่าในชีวิตจริง ผู้หญิงที่เผชิญกับภาวะที่สามีนอกใจไปเป็นอื่น อาจจะไม่ได้เจอเมียน้อยแบบกันยา แต่เป็นเมียน้อยที่สวย สง่า และแค่เห็นผัวเราเป็นเครื่องเล่นทางเพศ เล่นเบื่อแล้วก็อยากถีบหัวส่งกลับไปให้เมียหลวงที่บ้าน เพราะการมีผัวเป็นตัวเป็นตนมันเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสเกินไป และอาจมีเมียน้อยที่ยอมควักเงินจ่ายจ้างให้ผู้ชายกลับไปหาเมียที่บ้านก็ได้อีกเหมือนกัน

 

หรืออาจมีเมียน้อยที่ทั้งทรงอิทธิพล อำนาจ สามารถบีบบังคับให้ผู้ชายทิ้งลูกทิ้งเมียมาแต่งงานกับตัวเอง ด้วยการแบล็กเมลในทางใดทางหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

หรืออาจจะมีเมียอีกจำนวนมากในโลกนี้ที่อยากไล่ผัวออกจากบ้าน อยากหย่าร้าง อยากไสหัวไอ้ผู้ชายห่วยๆ คนนี้ออกไปจากชีวิตเสียที ภาวนาว่าเมื่อไรมันจะมีเมียน้อย จะมีรักใหม่ มันจะได้ออกไปจากชีวิตตรู – และอย่างที่ฉันเขียนไว้เสมอว่า การเอาคนเข้ามาในชีวิต ไม่ยากเท่ากับการพยายามเอาใครสักคนออกไปจากชีวิต

 

ละคร หนัง นิยาย ว่าด้วย เมียน้อย เมียหลวง หรือสงครามระหว่างผู้หญิงหลายๆ คนที่ตบตีแย่งผู้ชายไมค์ทองคำกัน แล้วมักจะจบลงตรงที่คนที่สวยที่สุด ดีงามที่สุดจะได้ผู้ชายดีๆ ไปครอบครองนั้น สร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้หญิงจำนวนมากว่า สูงสุดของชีวิตพวกเราคือ มีผู้ชายดีกับไมค์ทองคำหนึ่งอันมาเป็นของเรา และมีผู้หญิงอีกจำนวนมากอิจฉาริษยาว่า โอว ต้องมีแต้มบุญสักเท่าไรกันนะ ถึงจะได้เป็นเจ้าของไมค์ทองคำนั้นได้

 

ในหลายกรณี ผู้หญิงจึงทั้งเฝ้าหวง ห่วง ระแวดระวัง จับตา หวาดระแวง กลัวว่าไมค์ทองคำของตนจะมีคนอื่นมาฉกไป จนลืมไปว่าไอ้สิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็นไมค์ทองคำนั้น ในสายตาของคนอื่นมันเป็นแค่สากกะเบือ!

 

กลับมาสู่โลกแห่งความจริงเถอะว่า ในเรื่องของความรักและการแต่งงานนั้นมีสองส่วน คือส่วนของเสน่หาและกามารมณ์ กับส่วนที่เป็นเรื่องของความยุติธรรมของการตกลงเป็นหุ้นส่วนชีวิตอันพ่วงมาด้วยผลประโยชน์ทางทรัพย์สินอย่างสำคัญ

 

ในเรื่องเสน่หา กามารมณ์ นั้นพึงตระหนักว่า ในโลกนี้ไม่มีใครผูกขาดเป็นเจ้าของจู๋ จิ๋ม ช่องคลอด และมดลูกของใครได้อย่างชั่วนิจนิรันดร์สถาพร พึงตระหนักว่า เสน่หายาใจนั้นหมดได้เสมอ อะไรที่เอาเข้าไปได้ก็ย่อมเอาออกได้ ไม่มีใครสามารถเสียบปีกหักคา ประกาศไม่ให้ใครมาบุกรุก เพราะนี่ไม่ใช่ป่าสงวน

 

วันหนึ่งหากใครสักคนจะเป็นอื่น ข้อที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ

 

หนึ่ง เราเลิกกันไม่ได้ เพราะฉันรอมรดกจากกงสีเธออยู่ หรือฉันอยากให้เราเป็นพ่อเป็นแม่ของลูกสวยๆ ช่วยกันทำงานบ้าน แต่ฉันและเธอจะเป็นแค่ผัวเมียกันตามกฎหมาย แต่ในทางกามารมณ์ เราต่างคนต่างไปมี ‘ชู้รัก’ กัน

 

สอง ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ให้ห่วงหาอาลัย ต่างคนต่างเลิกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรืออาจจะมีทางเลือก สาม สี่ ห้า อีกมากมาย ที่แต่ละคนสามารถบริหารจัดการชีวิตให้ไม่ล่มสลายไปทั้งคู่ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดไม่รู้เรื่องก็อาจต้องขึ้นโรงขึ้นศาล

 

แต่ที่แน่ๆ ไม่ควรมีใครต้องชีวิตพัง หรือคิดว่าชีวิตต้องพินาศ พังพิน สูญสิ้นความเป็นคนเพียง เพราะเมียไปมีชู้ หรือผัวไปมีเมียน้อย

 

ไม่ใช่เรื่องหยามน้ำหน้า หมิ่นเกียรติ อะไรทั้งนั้น ก็แค่คนอยากจะเอากัน หรือคนจะหมดเสน่หาต่อกัน มันเป็นเรื่องที่แสนจะสามัญ และเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทุกเมื่อ

 

ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตใครได้ แต่สิ่งที่เราจัดการดูแลได้ และพึงทำอย่างยิ่งหากจะต้องแต่งงานกับใครคือ ดูเรื่องทรัพย์สิน สินทรัพย์ มรดก ผลประโยชน์ ข้อตกลงเรื่องการหย่าร้าง สิทธิในการเลี้ยงดูบุตร และพึงสงวนไว้ซึ่งสิทธิและอิสรภาพของเราไว้เป็นสิ่งที่สำคัญลำดับต้น

 

เพราะเรื่องซั่มหยำฉ่านั้นมันแค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

The post เมียหลวง เมียน้อย และผัวนอกใจ เรื่องซั่มหยำฉ่ากับเมีย 2018 appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/miia2018-unfaithful-relationship/feed/ 0
Sex Toy ผิดกฎหมาย สังคมเสียอะไร: สิทธิที่จะไปถึงจุดสุดยอด https://thestandard.co/sex-toy-illegal/ https://thestandard.co/sex-toy-illegal/#respond Thu, 07 Jun 2018 11:57:33 +0000 https://thestandard.co/?p=95988

ความเห็นของ คุณสาลินี ชุ่มวรรณ์ ผอ. สำนักเฝ้าระวังทางวั […]

The post Sex Toy ผิดกฎหมาย สังคมเสียอะไร: สิทธิที่จะไปถึงจุดสุดยอด appeared first on THE STANDARD.

]]>

ความเห็นของ คุณสาลินี ชุ่มวรรณ์ ผอ. สำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ที่มีต่อเรื่องเซ็กซ์ทอย (Sex Toy) นั้นน่าสนใจมาก ขอคัดมาให้อ่านเป็นเบื้องต้นก่อนดังนี้

 

“วัฒนธรรมไทยยังเป็นเรื่องสงวน ยังต้องปกปิด การที่เราจะมีอารมณ์ทางเพศ ถึงแม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติ เราก็สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ไม่หมกมุ่น โดยการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น นั่งสมาธิ เล่นกีฬา ฯลฯ

 

“แต่การออกฎหมายมานั้นเพื่อควบคุมคนกลุ่มน้อยที่อาจสร้างความยุ่งยากในสังคม ยังมีคนส่วนมากที่เห็นด้วยว่าเซ็กซ์ทอยผิดกฎหมาย ก็เหมือนกับการห้ามสูบบุหรี่ในบางที่ เขาถึงออกกฎหมายตัวนี้มา คงเอาเรื่องวัฒนธรรมมาจับอย่างเดียวไม่ได้

 

“ดังนั้นถ้าอยากให้ถูกกฎหมาย ประเทศไทยต้องมีงานวิจัยมารองรับก่อนว่ามีผลดีอย่างไร ไม่ก่อให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบที่จะตามมา หากถามว่าก็มีงานวิจัยจำนวนมากทั่วโลก ทำไมถึงไม่เอามาใช้ เราต้องยึดหลักบริบททางสังคมของประเทศไทยเพราะบริบททางสังคมของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน”

 

ความเห็นนี้เป็นความเห็นที่อ่านเผินๆ เหมือนจะดูดี แต่หากลองอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์จะพบปัญหาหลายจุดในความเห็นนี้ เช่น

 

คุณสาลินีรู้ได้อย่างไรว่าในวัฒนธรรมไทยเรื่องอารมณ์ทางเพศเป็นเรื่องสงวนและปกปิด

เพราะในความเป็นจริงก็คือ เรื่องอารมณ์ทางเพศเป็นเรื่องที่สามารถแสดงออกได้ตามกาลเทศะ เช่น เราไม่จำเป็นต้องปกปิดความต้องการทางเพศของเราเมื่อเราอยู่กับคนรักของเราในสถานที่อันเป็นส่วนตัวใช่หรือไม่ และทั้งหมดนี้ความเป็นไทย หรือ วัฒนธรรมไทยไม่ใช่ข้อยกเว้น ในทุกวัฒนธรรมที่เข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่แล้ว อารมณ์ทางเพศนั้นสามารถแสดงออกได้ในกาละและเทศะที่เหมาะสม (ไม่ละเมิดสิทธิหรือขืนใจผู้อื่น)

 

อารมณ์ทางเพศ แม้จะเป็นธรรมชาติ ก็สามารถยับยั้งชั่งใจได้ โดยไปนั่งสมาธิหรือเล่นกีฬา

คำถามคือ ทำไมเราต้องยับยั้งอารมณ์ทางเพศ นี่ยังไม่นับว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหนว่าการนั่งสมาธิหรือเล่นกีฬาช่วยยับยั้งอารมณ์ทางเพศได้ เพราะหากยับยั้งได้จริงนักกีฬาทุกคนไม่เซ็กซ์เสื่อมกันหมดแล้วหรือ ปัญหาของคนในโลกปัจจุบันไม่ใช่ปัญหาของการมีอารมณ์ทางเพศแล้วไม่ยับยั้งชั่งใจ แต่เป็นเรื่องการ ‘หมดอารมณ์ทางเพศก่อนวัยอันควร’ เสียมาก เช่น ปัญหา Sexless Society ในญี่ปุ่น หรือปัญหาคู่สามีภรรยาวัยเจริญพันธุ์มีเซ็กซ์น้อยลง และมีบุตรน้อยลง

 

หากคุณสาลินีจะห่วงเรื่องวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์โดยขาดความยับยั้งชั่งใจ สิ่งที่ต้องทำ คือให้ความรู้เรื่องเพศศึกษากับเด็ก และให้เด็กเข้าใจว่าอารมณ์ทางเพศตามฮอร์โมนของพวกเขาคืออะไร การเคารพ การยินยอมพร้อมใจของผู้อื่นเป็นอย่างไร การให้เกียรติตนเอง และการให้เกียรติคนอื่นในเรื่องเพศคืออะไร ไม่ใช่การไปบอกให้พวกเขาเก็บกดหรือไปนั่งสมาธิ มิเช่นนั้นเราจะไปเพิ่มปัญหาการละเมิดทางเพศเด็กชายในวัดในโบสถ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

ทีนี้ ถ้ามีจะใครสักคนเกิดมีอารมณ์ทางเพศ แล้วเดินเข้าห้องนอนไปใช้ไวเบรเตอร์เพื่อสำเร็จความใคร่แล้วมีความสุข หลับสบาย หากเป็นเช่นนี้แล้วไปมีปัญหาสังคมที่ตรงไหน ทำไมเราต้องให้คนที่สามารถปลดเปลื้องความปรารถนาทางเพศได้ด้วยตนเองไม่เดือดร้อนใครต้องกลายเป็นอาชญากรเพราะซื้อและครอบครองเซ็กซ์ทอยด้วย

 

ยังมีคนส่วนมากที่เห็นว่าเซ็กซ์ทอยควรผิดกฎหมาย

เรื่องนี้คุณสาลินีควรต้องมีสถิติตัวเลขมายืนยันด้วย จะพูดลอยๆ เช่นนี้ก็ต้องถามกลับมาว่ามีข้อมูลงานวิจัยอะไรมารองรับไหม งานวิจัยนั้นเชื่อถือได้ไหม

 

คุณสาลินีเปรียบเทียบกฎหมายเซ็กซ์ทอยกับการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ

แต่เดี๋ยววววว มันเป็นคนละเรื่องกัน การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อื่น หากจะเปรียบต้องเปรียบว่า เซ็กซ์ทอยจะผิดกฎหมายเมื่อนำมาใช้งานในที่สาธารณะ เช่น ป้ายรถเมล์ บนเครื่องบิน บนรถโดยสารสาธารณะ ฯลฯ ถูกไหม การสูบบุหรี่ในบ้านตัวเองไม่ผิดฉันใด การใช้เซ็กซ์ทอยในบ้านตัวเองก็ไม่ควรผิดฉันนั้น

 

อยากให้เซ็กซ์ทอยถูกกฎหมายต้องมีงานวิจัยมารองรับก่อน และต้องเป็นงานวิจัยที่ทำกับสังคมไทยด้วย

ถ้าอย่างนั้นคุณสาลินีมีงานวิจัยชิ้นไหนมารองรับบ้างว่าการมีเซ็กซ์ทอยมันเป็นภัยต่อสังคม มันทำให้สังคมเสื่อมทราม อารยธรรมล่มสลายอย่างไรบ้าง จึงต้องทำให้มันผิดกฎหมาย!

ความเกลียดกลัวเซ็กซ์ทอยมาจากไหน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สันนิษฐานว่าเกิดกับ มนุษย์ที่ถูกสอนมาให้เกลียดกลัวเรื่องเพศ

 

Betty Dodson ที่ปีนี้อายุ 85 ปีแล้ว บอกว่า เคล็ดลับความอ่อนเยาว์ของเธอคือการถึงจุดสุดยอดอย่างสม่ำเสมอ และเธอคือเจ้าแม่เรื่องการเปิดคอร์สสอนให้ผู้หญิงรู้จักการช่วยตัวเองให้ถึงจุดสุดยอด โดยเธอมองว่าไวเบรเตอร์คือสิ่งที่กอบกู้จิตวิญญาณของผู้หญิง และเคยให้สัมภาษณ์ว่ามีผู้หญิงที่มาเข้าคอร์สเรียนเรื่องการช่วยตัวเองกับเธอ ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยก้มลงดูจิ๋มของตัวเองเลยว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร

 

ผู้หญิงที่ไม่เคยก้มลงดูจิ๋มของตัวเอง ไม่เคยช่วยตัวเองจนถึงจุดสุดยอด และเมื่อแต่งงานไปก็คิดว่าตัวเองมีหน้ารองรับอสุจิของผู้ชายเพื่อตั้งครรภ์ มีลูก คนเหล่านี้เห็นว่าเรื่องเพศน่ารังเกียจ ลามกจกเปรต แล้วเลยพาลเห็นว่าเซ็กซ์ทอยคือความวิตถาร ผู้หญิงหรือคนดีๆ ที่ไหนจะต้องมาใช้เซ็กซ์ทอยในการมีเซ็กซ์ เพราะการมีเซ็กซ์คือนอนนิ่งๆ ทอดถอนใจไปมากระมัง

 

หรืออีกที พวกรังเกียจเซ็กซ์ทอยน่าจะเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล บ้านตัวเองอาจจะมีสารพัดเครื่องเล่น แต่ต้องทำมากรี๊ดกร๊าดรังเกียจ สร้างภาพแม่ชีแสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก ดูน่าได้โล่ ได้รางวัลอนุรักษ์นิยมดีเด่น เป็นแม่ตัวอย่าง เป็นนางสาวไทยตัวอย่าง เป็นพลเมืองตัวอย่าง มีประกาศณียบัตรคนดีติดเต็มข้างฝา

 

เซ็กซ์ทอยไม่ได้เพิ่งถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้ แต่หลักฐานทางโบราณคดีชี้ชัดว่าดิลโด้นั้นเกิดมาก่อนมนุษย์จะรู้จักตัวหนังสือ ตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเรื่อยมาจนถึงอียิปต์ กรีก ญี่ปุ่น อินเดีย กามาสุตรา โลกก็ไม่เคยขาดแคลนดิลโด้

 

จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 19 ที่มีการคิดค้นเครื่องมือทางการแพทย์เป็นไวเบรเตอร์ใช้นวดกระตุ้นตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ใช้ได้ทั้งชายและหญิง ว่ากันว่ากระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และดีเป็นพิเศษสำหรับผู้หญิงที่ปวดหัว หงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุ

 

โรคฮิสทีเรียของผู้หญิงก็รักษากันด้วยการนวดกระตุ้น มีทั้งการเรียกหมอมานวดที่บ้าน จนกระทั่งมีการประดิษฐ์เครื่องนวดที่ทำเองได้ และราคาถูกกว่าไปหาหมอ เครื่องไวเบรเตอร์นี้จึงเป็นที่นิยมอย่างมาก ว่ากันว่าในบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้ายุคก่อนสงครามโลกที่ผู้หญิงต้องมีคือจักรเย็บผ้า กาต้มน้ำ และที่ขาดไม่ได้คือเจ้าไวเบรเตอร์นี่แหละ

 

แต่ในช่วงหนังโป๊เฟื่องฟู ไวเบรเตอร์ไปปรากฏตัวในหนังโป๊มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ไวเบรเตอร์กลายเป็นของที่นำความน่าอับอายมาสู่ผู้ครอบครอง แลดูเป็นผู้หญิงบ้าเซ็กซ์ และภาพไวเบรเตอร์กับเซ็กซ์ทอยที่มาพร้อมกับเซ็กซ์วิตถารจึงกลายเป็นภาพเหมารวมไปจนทศวรรษที่ 70 ขบวนการเคลื่อนไหวนักสตรีนิยมที่เรียกร้องการปลดแอกทางเพศที่หมายถึงการถึงจุดสุดยอดได้ด้วยตนเองของผู้หญิง เป็นประเด็นที่สำคัญประเด็นหนึ่ง

 

ผู้หญิงต้องพึ่งตนเองได้ทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องที่เราจะ ‘ฟิน’ ได้ด้วยมือเรา ไวเบรเตอร์กับนักสตรีนิยม และผู้หญิงแบบ Betty Dodson นี่แหละที่ทำให้ไวเบรเตอร์และเซ็กซ์ทอย กลายมาเป็นเมนสตรีมไปเสียอีก

 

ย้ำ เซ็กซ์ทอยคือเมนสตรีมไปแล้วนะ ไม่ใช่อะไรที่ radical เก๋ไก๋ แหวกแนว ล้ำยุค ล้ำสมัยอะไรอีกเลย เป็นสิ่งที่ซื้อได้ใน Amazon!

 

สิ่งที่น่าจับตาคือ นวัตกรรมของเซ็กซ์ทอย ที่ล้ำไปกับเทคโนโลยีไอทีเรื่อยๆ สอดคล้องกับนวัตกรรมของการดีไซน์ที่สวยสง่า น่าใช้ น่าพก เป็นมิตรกับโลก กับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์คนได้อย่างหลากหลายและทุกเพศ อีกทั้งเป็นเครื่องทุ่นแรงสำหรับคนที่มีความบกพร่อง พิการในมิติต่างๆ ที่สำคัญอย่างที่เขียนไปว่าปัญหาคนสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องความหื่น แต่เป็นความหายไปของอารมณ์ทางเพศ โรคซึมเศร้าต่างๆ นานา ประชากรโลกต้องการตัวช่วย เครื่องทุ่นแรง และอุปกรณ์เสริม ของเล่น ที่จะกระตุ้นความอยากในเรื่องเพศมากขึ้น และการนั่งสมาธิ เล่นกีฬา ก็เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ไม่ใช่ไปช่วยดับอารมณ์ทางเพศ!

 

ในท่ามกลางความจำกัดจำเขี่ยของเสรีภาพในทุกด้าน อย่าให้ความจำกัดจำเขี่ยนั้นลามมาถึงสิทธิที่จะใช้เครื่องทุ่นแรงเพื่อไปถึงสุดยอดของพลเมืองเลย ในท่ามกลางความกะพร่องกะแพร่งนี้ เซ็กซ์ทอยจะช่วยทุ่นแรง ลดปัญหา นิ้ว ข้อมืออักเสบ ลดอุปสรรคของคนที่ความยืดหยุ่นของร่างกายไม่ดี ฯลฯ ให้ไปถึงจุดหมายปลายทางของความสุขสมทางเพศอย่างสะดวกสบายขึ้นก็เท่านั้น

 

ภาพประกอบ: Tanya S. / Pantitra H.

อ้างอิง:

The post Sex Toy ผิดกฎหมาย สังคมเสียอะไร: สิทธิที่จะไปถึงจุดสุดยอด appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/sex-toy-illegal/feed/ 0