คาราบาว – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 12 Nov 2025 10:45:23 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘เสถียร’ แห่งคาราบาวเปิดใจ ‘ธุรกิจเบียร์’ คือบททดสอบหินสุดในชีวิต https://thestandard.co/carabao-beer-business-struggles/ Wed, 12 Nov 2025 10:44:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1142567 ‘เสถียร’ แห่งคาราบาวเปิดใจ ‘ธุรกิจเบียร์’ คือบททดสอบหินสุดในชีวิต

“ในช่วงสองปีแรกของการทำธุรกิจเบียร์เป็นช่วงที่หนักที่สุ […]

The post ‘เสถียร’ แห่งคาราบาวเปิดใจ ‘ธุรกิจเบียร์’ คือบททดสอบหินสุดในชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เสถียร’ แห่งคาราบาวเปิดใจ ‘ธุรกิจเบียร์’ คือบททดสอบหินสุดในชีวิต

“ในช่วงสองปีแรกของการทำธุรกิจเบียร์เป็นช่วงที่หนักที่สุดในชีวิตการทำธุรกิจ เพราะต้องเผชิญทั้งแรงกดดันจากการแข่งขัน เพราะตลาดเบียร์ไทยถูกครอบครองโดยผู้เล่นรายใหญ่เพียงสองค่ายหลักมานาน พอมีน้องใหม่ก้าวเข้ามา จึงเป็นธรรมชาติของธุรกิจที่รายเดิมต้องปกป้องตลาดของตัวเอง ทำให้คาราบาวต้องสู้ในวิธีที่ต่างออกไป” เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว กล่าว

 

“ช่วงที่ทำธุรกิจอยู่นั้น บางวันก็รู้สึกเหนื่อยมาก คิดว่าไม่น่ารนหาที่เลย แต่เมื่อมองกลับไป กลับพบว่า โชคดีที่ได้เข้ามาในตลาดใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่ใครก็ทำได้ และตอนนี้แม้ยังขาดทุน แต่ยอดขายเริ่มเติบโตขึ้นทุกเดือน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าธุรกิจกำลังมาถูกทาง”

 

ทั้งหมดเป็นเสียงสะท้อนทั้งความเหนื่อยและแรงศรัทธาที่มีต่อธุรกิจเบียร์ หลังจาก ‘เสถียร’ กระโดดเข้ามาชิมลางในตลาดเบียร์ ด้วยการเปิดตัว เบียร์ 2 แบรนด์ ได้แก่ คาราบาว และตะวันแดง

 

แม้ได้รับการตอบรับดีแต่ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ยังขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักที่ธุรกิจเบียร์ของคาราบาวยังไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ เป็นเพราะยังขาดระบบกระจายสินค้าหลัก ซึ่งถือเป็นหัวใจของธุรกิจ FMCG โดยเครือข่ายกระจายสินค้ารายใหญ่ระดับประเทศ ปฏิเสธร่วมมือ เนื่องจากมองว่าคาราบาวเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ

 

ถึงจะเผชิญความท้าทายแต่เสถียรเชื่อว่า ปี 2569 ธุรกิจเบียร์จะกลับมาทำกำไรได้ เนื่องจากจะมีการขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านของตัวเอง เช่น ร้าน CJ และ ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ซึ่งเป็นเครือข่ายค้าปลีกในเครือคาราบาว กรุ๊ป ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ครอบคลุมทั่วประเทศ

 

ส่งเบียร์สดเยอรมันตะวันแดง สู้ศึกเบียร์ 2 แสนล้าน

 

หัวเรือใหญ่คาราบาวกล่าวต่อว่า แม้ต้องใช้เวลา แต่ผลลัพธ์เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้ในช่วงแรกๆ ผู้บริโภคยังไม่รู้จักแบรนด์ จึงได้ส่งทีมลงพื้นที่ไปแนะนำสินค้าในร้านอาหาร บางร้านต้องใช้พนักงานส่งเสริมการขาย หรือที่ภาษาทั่วไปเรียกกันว่าสาวเชียร์เบียร์ ช่วยสร้างบรรยากาศให้ลูกค้าคุ้นเคย แต่ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มรู้จักเบียร์คาราบาวและตะวันแดงมากขึ้น โดยเฉพาะรุ่นเบียร์ลาเกอร์ หลังจากเปิดตัวในรูปแบบขวดก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี ทำให้ยอดขายจากร้านอาหารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

อีกทั้งในตลาดเบียร์ไทยการแข่งขันในช่องทางค้าปลีก (Off Premise) ค่อนข้างยากเพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงและพึ่งพาช่องทางจำหน่ายของรายใหญ่ ทำให้คาราบาว หันไปเน้นตลาด On Premise เช่น ร้านอาหาร ผับ และบาร์ ซึ่งเป็นช่องทางที่คาราบาวทำได้ดี และมีสัดส่วนถึง 70% ของยอดขายทั้งหมด และปัจจุบันโรงงานเบียร์คาราบาวมีกำลังการผลิตเพิ่มจาก 200 ล้านลิตรต่อปี เป็น 300 ล้านลิตรต่อปี และยังสามารถขยายได้อีกในอนาคต

 

ล่าสุดได้เดินหน้าขยายพอร์ตด้วยการเปิดตัว เบียร์สดเยอรมันตะวันแดง ซึ่งต่อยอดจากโรงเบียร์ตะวันแดงที่สร้างมากว่า 25 ปี ปัจจุบันมีคนมาดื่มมากกว่า 10 ล้านคน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ

 

“ช่วงนั้นหลายคนถามตลอดว่าทำไมไม่เอาเบียร์ในโรงเบียร์ไปขายข้างนอก แต่ตอนนั้นกฎหมายยังไม่ได้รับอนุญาตให้บรรจุขวด ซึ่งปัจจุบันเมื่อทำได้แล้ว เราจึงเลือกเปิดตัวเบียร์สด ซึ่งจะเป็นอีกทางในการสร้างรายได้และภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์และสามารถสร้างมาร์จิ้นได้ดีกว่าเบียร์ขวดอีกด้วย”

 

เสถียรยังอัปเดตมูลค่าตลาดเบียร์ไทยอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ในปีนี้ตลาดโดยรวมยังไม่เติบโตมากนัก ส่วนคาราบาวยังถือว่าเป็นรายเล็กมีส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 5% ซึ่งไม่จำเป็นต้องกังวลว่าคู่แข่งจะครองตลาดเท่าไร แต่สิ่งที่สำคัญกว่าตัวเลขคือการเติบโตของบริษัทมากกว่า

 

โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นฤดูแห่งการสังสรรค์เพราะมีเทศกาลต่างๆ เยอะ คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 2–3 เท่าจากช่วงปกติ โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม จะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคจับจ่ายมากที่สุด

 

จับมือ เบียร์ชิงเต่า บุกตลาดจีน

 

อีกหนึ่งหมากสำคัญของคาราบาวคือ การรุกตลาดต่างประเทศ ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัท เบียร์ชิงเต่า หนึ่งในแบรนด์เบียร์ระดับโลกจากจีน โดยจะแต่งตั้งให้ชิงเต่าเป็นตัวแทนจำหน่ายเบียร์คาราบาวในจีน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ภายในต้นปี 2569

 

“รวมๆ แล้วทั้งคาราบาวและชิงเต่า เจรจากันมาแล้วกว่า 5 ครั้ง โดยทางฝั่งชิงเต่าเห็นศักยภาพของโรงงานและทีมงานของบริษัท ขณะเดียวกันคาราบาว ก็ตั้งใจจะส่งออกสินค้าไปจีน เพราะตลาดเบียร์ในจีนมีขนาดใหญ่และมีโอกาสมหาศาล”

 

ในแง่ของประเด็นพ.ร.บ. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้น เสถียรมองว่าไม่กระทบต่อธุรกิจคาราบาว เพราะบริษัทขายสินค้าตามเวลาที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว และแม้กฎหมายอาจเข้มขึ้น แต่สุดท้ายอยู่ที่การบังคับใช้ของเจ้าหน้าที่ ถ้าขายอย่างถูกต้องก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับบริษัท

 

เสถียร ยังแสดงความเห็นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ตั้งแต่มีโครงการคนละครึ่ง ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ขายดีขึ้นและสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า เพราะเจ้าของร้านสามารถเข้าร่วมโครงการได้เอง

 

ส่วนความคืบหน้าของเครือข่ายร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ ปัจจุบันมีกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ หลังผ่านช่วงดราม่าในสังคม

 

“ตอนนี้บริษัทกำลังเร่งปรับระบบและลงพื้นที่ช่วยร้านค้าที่มีปัญหาสภาพคล่อง เพราะที่ผ่านมาชีวิตของเครือข่ายบางรายวันดีคืนดีต้องยืมเงินหมุนก่อน พอหมุนไม่ทันยอดขายก็ลดลง เจอปัญหารอบด้าน ต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยรีเซตระบบใหม่”

 

ปัญหาชายแดนกัมพูชากระทบยอดขาย – เดินหน้าหาตลาดใหม่

 

อีกปัจจัยที่กระทบยอดขายของบริษัทในปีนี้คือปัญหาการส่งออกสินค้าผ่านชายแดนไทย–กัมพูชา ที่หยุดชะงัก ทำให้ยอดขายหายไปแบบประเมินค่าไม่ได้ จากเดิมที่คาราบาวเคยมียอดขายกว่า 4,000 – 5,000 ล้านบาทในกัมพูชา

 

“เรามองว่าสถานการณ์จะค่อย ๆ คลี่คลาย และบริษัทกำลังมองหาตลาดใหม่เพิ่มเติม โดยปัจจุบันยอดขายต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของรายได้รวม”

 

เมื่อถูกถามถึงพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่ดื่มแอลกอฮอล์ลดลง เสถียรมองว่าเป็นแนวโน้มที่เกิดทั่วโลก แต่ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยรวมยังใหญ่และมีโอกาสอีกมาก และผู้เล่นในตลาดเริ่มเพิ่มความหลากหลายมากขึ้น ทั้งคราฟต์เบียร์ เบียร์พรีเมียม หรือเบียร์ผลไม้ที่เข้าถึงง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นตลาดยังโตได้ เพียงแต่ต้องปรับวิธีสื่อสารให้เข้ากับคนรุ่นใหม่มากขึ้น

 

ปี 2568 ยอดขายรวมทะลุ 1.2 แสนล้าน – ค้าปลีกโตแรง 40%

 

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2568 คาดการณ์ว่ากลุ่มคาราบาวจะมียอดขายรวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกกว่า 1 แสนล้านบาท เติบโต 39% ขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่มคาราบาวอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท เติบโต 20%

 

ส่วนธุรกิจเหล้าข้าวหอม ยังคงเติบโตได้ดี 30% ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่า ทั้งเครือคาราบาวยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

 

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้า ยังเป็นปีที่ต้องติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งจะมีผลต่อกำลังซื้อของประชาชนโดยตรง และ สิ่งที่องค์กรต้องทำคือเดินหน้าต่อ ปรับตัวไว และหาช่องทางใหม่ๆ อยู่เสมอ

The post ‘เสถียร’ แห่งคาราบาวเปิดใจ ‘ธุรกิจเบียร์’ คือบททดสอบหินสุดในชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดเบียร์ 2.6 แสนล้าน ศึกชิงแชมป์เดือด! สิงห์-ลีโอ จับมือ ช้าง สกัดน้องใหม่ ‘คาราบาว’ ที่ขอชิงส่วนแบ่ง 10% ถ้าไม่ได้ปีนี้ก็จะเอาปีหน้า https://thestandard.co/beer-market-in-thailand/ Tue, 02 Apr 2024 12:34:23 +0000 https://thestandard.co/?p=918534 คาราบาว

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าตลาดเบียร์ในไทยมูลค่ากว่า 2.6 […]

The post ตลาดเบียร์ 2.6 แสนล้าน ศึกชิงแชมป์เดือด! สิงห์-ลีโอ จับมือ ช้าง สกัดน้องใหม่ ‘คาราบาว’ ที่ขอชิงส่วนแบ่ง 10% ถ้าไม่ได้ปีนี้ก็จะเอาปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาราบาว

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าตลาดเบียร์ในไทยมูลค่ากว่า 2.6 แสนล้านบาท มีผู้เล่นยักษ์ใหญ่แค่สองเจ้า ทำตลาดมาเป็นเวลานาน อย่างบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เจ้าของ ‘เบียร์สิงห์และลีโอ’ อีกรายคือบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เจ้าของเบียร์ช้าง 

 

ทั้งสองบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันแล้ว 95% ของปริมาณเบียร์ที่จำหน่ายในประเทศไทย โดยแบรนด์ที่ถือส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด ได้แก่ ลีโอ มีส่วนแบ่งตลาด 50% ตามด้วยช้าง มีส่วนแบ่ง 32% และสิงห์ ประมาณ 15%

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ถึงกระนั้นก็ยังพอมีช่องว่างอยู่ เพราะตลาดเบียร์ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่และมีการบริโภคมากที่สุด จนทำให้เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ‘เสถียร เศรษฐสิทธิ์’ เจ้าพ่อคาราบาว กระโดดเข้ามาในตลาด พร้อมเปิดตัวเบียร์คาราบาวและตะวันแดง 4 รสชาติ แต่ยังติดปัญหาด้านช่องทางขาย จนต้องยอมรับว่า “ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า”

 

แต่เจ้าพ่อคาราบาวไม่ขอยอมแพ้ เมื่อไม่นานมานี้ได้เปิดตัวเบียร์ IPA เพิ่มอีก 1 รสชาติ พร้อมเร่งทำตลาดช่องทาง On Premise อย่างหนัก ตั้งเป้าจะช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ 10% เรียกว่าสร้างความเคลื่อนไหวในตลาดเบียร์อย่างมาก

 

ไม่หวั่นมีคู่แข่งเพิ่ม เดินหน้าทำตลาดรักษาตำแหน่งเบอร์หนึ่ง

 

ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า หลังจากมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดเบียร์ จากที่บริษัทให้ความสำคัญในการทำตลาดอยู่แล้ว ก็ต้องทำเพิ่มมากขึ้นไปอีก 

 

“เราเชื่อว่าทุกแบรนด์มีโอกาสในการทำตลาดและขยายช่องทางขาย ซึ่งกลยุทธ์และการเสนอขายของแต่ละแบรนด์อาจจะแตกต่างกันไป” 

 

โดยรวมแล้วมองว่าการมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาจะช่วยกระตุ้นตลาดให้เติบโตขึ้น ปัจจุบันเบียร์ลีโอมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งมานานกว่า 17 ปีแล้ว อาจจะด้วยจุดแข็งของแบรนด์ที่มีกลยุทธ์การทำตลาดด้านมิวสิกมาร์เก็ตติ้งที่ทำมานาน ซึ่งพบว่าตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ 

 

โดยในปีนี้จะเข้มข้นขึ้น ทั้งการจัดงาน LEO FEST ทั่วประเทศ ควบคู่กับจัดกิจกรรมผ่านร้านอาหาร ผับ บาร์ ทั่วประเทศ แน่นอนว่านอกจากจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำแล้ว ยังจะช่วยขยายกลุ่มนักดื่มที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น 

 

 

ลองมาชิมลางเบียร์ IPA เพิ่มตัวเลือกให้นักดื่ม

 

ธิติพรยังกล่าวกับ THE STANDARD WEALTH อีกว่า บุญรอดฯ ไม่เคยหยุดนิ่งในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดเบียร์ IPA ในปีที่ผ่านมาได้ปล่อยเบียร์ IPA ทำตลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

แม้ตอนนี้ตลาดยังเล็กอยู่ เพราะคนไทยยังไม่คุ้นเคยกับเบียร์ชนิดนี้มากนัก คนดื่มก็ยังเป็นเฉพาะกลุ่มอยู่และอาจจะดื่มกันเป็นครั้งคราว จึงเป็นโอกาสที่เราจะเพิ่มไลน์เบียร์ IPA เข้ามาเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภค จากนี้จะมีการเปิดตัวเพิ่มหรือไม่ ต้องรอติดตามกันต่อไป

 

“เรียกได้ว่าจากนี้ตลาดเบียร์จะยิ่งแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น แต่คาราบาวก็ยังถือเป็นน้องใหม่และต้องทำการบ้านอีกมาก ด้วยความได้เปรียบของสองค่ายยักษ์ใหญ่ที่มีจุดแข็งทั้งกระบวนการผลิตและช่องทางกระจายสินค้าอย่างมาก โดยเฉพาะ On Premise หรือร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่เป็นหัวใจสำคัญของตลาดเบียร์”

 

คาราบาวยังเสียเปรียบเรื่องช่องทางขาย

 

ด้านแหล่งข่าวในแวดวงค้าปลีกกล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า วันนี้หากเปรียบเทียบระหว่างเบียร์กับช่องทางจัดจำหน่าย สองค่ายใหญ่ยังมีความได้เปรียบมาก ส่วนคาราบาวแดงที่เป็นน้องใหม่ถือว่ามีโอกาสที่ดี แต่ก็ยังเสียเปรียบอยู่ ดังนั้นเริ่มแรกจะต้องเร่งทำการตลาดสร้างความสัมพันธ์กับร้านค้าทุกมิติ 

 

ปัจจัยหนึ่งนอกจากช่องทางจัดจำหน่ายแล้ว เรื่องรสชาติก็สำคัญ ซึ่งคาราบาวเปิดตัวมาหลายรสชาติ เราก็หวังว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาด แต่ต้องย้อนกลับไปดูว่าก่อนหน้านี้สองค่ายใหญ่เปิดตัวเบียร์ใหม่ออกมาเต็มไปหมดแต่ก็ยังไปได้ไม่ถึงไหน เพราะยังยึดติดกับความสำเร็จเก่าๆ จึงทำให้สินค้าใหม่ๆ ไปต่อไม่ได้ แม้จะมีจุดแข็งของช่องทางขายก็ตาม

 

แหล่งข่าวระดับสูงเล่าต่อไปว่า คาราบาวต้องมาสู้ในช่องทางดังกล่าว เราเชื่อว่าตอนนี้ร้านอาหาร ผับ บาร์ เจ้าเก่าลุยแหลก เพราะมีโปรเบียร์ มีขายยกลัง ที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือตอนนี้ในแง่ของโซดาที่ดื่มคู่กับเหล้า ปกติโซดาจะถูกกว่าเหล้า เราไม่พูดถึงโซดาที่มีกลิ่น เราพูดถึงโซดาที่เป็นโซดาจริงๆ ตัวเลขยอดขายโซดาที่ใหญ่สุดในประเทศไทยคือของค่ายสิงห์ 

 

“แต่ปัจจุบันโซดาตัวเลขเริ่มตก สิงห์เลยต้องออกเลมอนโซดาเข้ามาเสริมตลาด โดยตลาดที่ตกไปสะท้อนให้เห็นว่าตลาดเบียร์ใหญ่ขึ้น สวนทางกับตลาดเหล้าที่เล็กลง” 

 

 

ช่องทาง On Premise แข่งขันกันดุเดือด

 

จริงๆ แล้วช่องทาง On Premise ร้านอาหาร ผับ บาร์ ใครเสนอการขายที่ดีกว่าก็จะได้เปรียบอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่าในสถานการณ์จริงๆ มันมีการกีดกันกันเอง คือถ้าร้านไหนเอาอีกฝั่งมาขายก็อาจจะได้อะไรที่พิเศษให้เอเจนต์ หลังจากนั้นเอเจนต์ก็คงจะรับต่อไปที่บริษัทเครือข่าย เป็นเรื่องปกติในตลาดเบียร์ 

 

สมัยก่อนจะใช้กลยุทธ์มีคนหน้าตาดีมาเชียร์ขายเบียร์ แต่ตอนนี้ค่ายใหญ่ก็มีโปรโมชันขายเบียร์เป็นลัง สมมติเราเข้าไปเที่ยวในผับ ช่องทางเหล่านี้ก็จะเสนอขายโปรซื้อยกลังราคาถูก

 

จากปกติขายขวดละ 80 บาท แต่พอซื้อยกลังแค่ 650 บาท หากลูกค้าไป 3-4 คน เอาเบียร์มา 1 ลัง แต่ดื่มไม่หมดฝากไว้ด้วย หรือบางร้านบอกไม่ให้ฝาก ต้องเปิดหมด ทุกอย่างเป็นเทคนิค แต่วิธีที่เขาทำก็จะไปสนับสนุนร้านอาหาร ผับ บาร์ สมมติว่าเบียร์ 1 ลังขายทั่วไป 200 บาท แต่พอเอามาจัดโปร 100 ลัง อาจจะคิดราคาแค่ 20,000 บาท มูลค่าก็มากกว่า โดยเฉพาะวันศุกร์และเสาร์ที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง 

 

บุญรอดฯ ย้ำ ไม่มีการปิดกั้นช่องทางขายแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม ธิติพรย้ำว่า ในตลาดไม่น่าจะมีการปิดกั้นช่องทาง On Premise เพราะทุกแบรนด์มีโอกาสขยายช่องทางนี้เพราะตลาดยังเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะหลังโควิด มีร้านค้ากลับมาเปิดให้บริการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น 

 

โดยที่ผ่านมาลีโอเป็นเบียร์แมส เราก็มีข้อเสนอพิเศษจากร้านค้าต่างๆ ในช่องทางนี้อยู่แล้ว เพราะเราอยู่ในตลาดและเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งมานาน และยอดขายส่วนใหญ่เราอยู่ที่ช่องทาง Off Premise 85%

 

พร้อมกันนี้ยังได้ประเมินภาพรวมตลาดเบียร์ในปี 2567 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากแรงหนุนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทย ประกอบกับเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน จะทำให้ตลาดคึกคักมากขึ้น 

 

“แน่นอนว่าตลาดเบียร์เป็นเส้นทางที่ไม่ง่ายนัก ด้วยชื่อเสียงของคาราบาวที่เป็นทุนใหญ่ระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาทำคือการสร้างกระเพื่อมตลาด ทำให้การต่อสู้ของสองค่ายใหญ่เริ่มขึ้นอีกครั้ง” 

 

ขอสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ 

 

ย้อนกลับไปในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2566 ‘เสถียร’ ได้ออกมาแถลงข่าวถึงการทุ่มทุกสรรพกำลังครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี เปิดตัวเบียร์ 2 แบรนด์ คือ ‘คาราบาว’ และ ‘ตะวันแดง’ พร้อมกับเงินลงทุนถึง 4 พันล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ที่จังหวัดชัยนาท ด้วยเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานโลกจากเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 400 ล้านลิตร ช่วงแรกนำร่องการผลิตที่ 200 ล้านลิตร 

 

คำแรกที่เสถียรกล่าวบนเวทีต่อหน้าสื่อมวลชนคือ “ผมคุยกับพี่แอ๊ด (ยืนยง โอภากุล) ว่าเรากำลังจะสร้างตำนานบทใหม่ของคาราบาวแดงในการทำเบียร์ หลังจาก 21 ปีที่แล้วเราสร้างตำนานบทแรกด้วยเครื่องดื่มชูกำลัง” 

 

 

เจ้าพ่อคาราบาวระบุว่า ในด้านตำแหน่งทางการตลาด ทั้งสองแบรนด์จะลงเล่นในเซ็กเมนต์อีโคโนมีและสแตนดาร์ด ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของตลาดเบียร์มากกว่า 90% โดยคาราบาววางในเซ็กเมนต์อีโคโนมีถึงสแตนดาร์ด ส่วนตะวันแดงวางในเซ็กเมนต์สแตนดาร์ดถึงพรีเมียม เพื่อสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคครอบคลุมในทุกกลุ่ม โดยตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้เล่นหลัก 1 ใน 3 ของตลาดเบียร์

 

“ด้วยตลาดมีเพียงแบรนด์ยักษ์ใหญ่ไม่กี่แบรนด์ ทำให้ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกมากนัก ในขณะที่มีผู้บริโภคจำนวนมากที่ต้องการดื่มเบียร์คุณภาพระดับโลก แต่เบียร์เหล่านี้มักเป็นเบียร์นำเข้าที่มีราคาค่อนข้างสูง ทำให้โอกาสเข้าถึงมีน้อย จึงถือเป็นช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาเล่น สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสของกลุ่มคาราบาวในการนำเสนอทางเลือกใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค”

 

เพราะรู้ว่าจะต้องเจอกับคู่แข่งรายใหญ่ เสถียรจึงเปิดตัวสินค้าพร้อมกัน 5 รสชาติ ประกอบด้วย แบรนด์คาราบาว 2 รสชาติ ได้แก่ Lager Beer (เบียร์ลาเกอร์) และ Dunkel Beer (เบียร์ดุงเกล) ขณะที่แบรนด์ตะวันแดงเปิดตัว 3 รสชาติ ประกอบด้วย Weizen Beer (เบียร์ไวเซ่น) Rosé Beer (เบียร์โรเซ่) และ IPA Beer (เบียร์ไอพีเอ)

เรื่องนี้เสถียรย้ำว่า “ตัวเองถือเป็นบริษัทแรกในโลกที่จะเปิดตัวเบียร์พร้อมกันถึง 5 รสชาติ ซึ่งใช้เวลาคิดค้นไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยไปดูงานที่เยอรมนี”

 

ในแง่เกมการตลาด ได้ทุ่มงบมากที่สุดในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่เปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง หนึ่งในนั้นคือการตัดสินใจต่อสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันฟุตบอลคาราบาวคัพต่อไปอีก 3 ปี กับลีกฟุตบอลอังกฤษ (English Football League: EFL) จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2567 ซึ่งจะทำให้คาราบาวเป็นสปอนเซอร์หลักฟุตบอลคาราบาวคัพไปจนถึงปี 2570 ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ EFL

 

“เราลงทุนไปหลายพันล้านบาทกับคาราบาวคัพ ซึ่งวันนี้ถึงเวลาที่เราจะเก็บดอกออกผลแล้ว ที่ผ่านมาคนไทยดื่มเบียร์กับการดูบอลเป็นของคู่กัน ซึ่งการที่เราใช้ชื่อเบียร์ว่าคาราบาวสอดคล้องไปกับคาราบาวคัพ ถือเป็นการสร้างแบรนด์ไปในตัว ซึ่งเราไม่ได้เพิ่งสร้าง แต่เกิดขึ้นมา 6-7 ปีแล้ว”

 

นอกจากกิจกรรมการตลาดเต็มรูปแบบแล้ว อีกกลยุทธ์สำคัญคือ ‘ช่องทางการกระจายสินค้า’ โดยเบียร์ทั้ง 5 รสชาติจะปูพรมจำหน่ายในร้านค้าในเครือข่ายของกลุ่มคาราบาว ได้แก่ ซีเจ มอร์ ที่มีถึง 1,000 สาขาทั่วประเทศ, ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ที่มีร้านค้าอยู่มากกว่า 5,000 ร้านทั่วประเทศ และหน่วยรถในศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 31 แห่ง ที่สามารถเข้าถึงร้านค้าปลีกทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางของโมเดิร์นเทรด และเทรดิชันแนลเทรด

 

นอกจากนี้ ยังได้จัดทัพปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าในเครือใหม่ทั้งหมดด้วยการกระจายสินค้าสู่ ‘ตัวแทนจำหน่ายระดับอำเภอทั่วประเทศ’ โดยตรง เพื่อลดขั้นตอนการกระจายสินค้า ทำให้สินค้าสามารถเจาะเข้าถึงร้านค้าย่อยหรือโชห่วยทั่วประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

 

 

แม้เตรียมตัวแต่ก็ไม่พ้นถูกรับน้อง!

 

ล่าสุดเจ้าพ่อคาราบาวได้ออกมาเปิดตัวตะวันแดง IPA เบียร์ตัวที่ 5 พร้อมกับยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า การทำธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบ้านเราไม่ใช่เรื่องง่าย แม้คาราบาวจะมีโครงข่ายที่ช่วยขยายธุรกิจเหล้ามากว่า 8 ปีก็ยังต้องเจอรับน้อง 

 

“แน่นอนว่าการทำธุรกิจย่อมมีอุปสรรค แต่เราเชื่อว่าจากนี้สินค้าจะเติบโตขึ้นแน่นอน แม้โอกาสจะไปถึงเป้าหมายจะช้าลงก็ตาม” เสถียรกล่าว พร้อมกับเสริมว่า “ตอนนี้ผมมีความรู้เรื่องเบียร์มากขึ้น เพราะธุรกิจมีการเดิมพันสูง ด้วยมูลค่าการลงทุนมหาศาล ถ้าเจ๊งมาจะเจ็บตัวเยอะ”

 

เสถียรยังย้ำอีกว่า “ผมไม่กดดันตัวเอง” เพราะหากย้อนกลับไปดูในธุรกิจที่ทำมา เริ่มตั้งแต่ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง ใช้เวลากว่า 12 ปีถึงสำเร็จ ตามด้วยธุรกิจค้าปลีกซีเจ ใช้เวลา 5-7 ปี รวมถึงธุรกิจเหล้าทำมา 5 ปี 

 

“สมัยเริ่มขายแรกๆ ใน 1 เดือนขายได้ไม่ถึง 1,000 ลัง แต่วันนี้ขายได้เป็นล้านๆ ลัง สะท้อนให้เห็นว่าทุกๆ ธุรกิจต้องใช้เวลา ดังนั้นเชื่อว่าธุรกิจเบียร์ก็จะสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะเบียร์มีโอกาสการดื่มมากกว่าเหล้า” 

 

ท่ามกลางความท้าทายจากการรับน้องจากผู้เล่นหน้าเก่าที่ไม่ยอมให้น้องใหม่เข้ามาแทรกตลาด ตลอดจนกฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นข้อจำกัดให้ผู้เล่นรายใหม่ทำตลาดได้ยากก็ตาม

 

“เรายังคงตั้งความหวังส่วนแบ่ง 10% ในปี 2567 ถ้าไม่ได้ ปีหน้าเราก็จะเอาให้ได้” แม่ทัพใหญ่กลุ่มคาราบาวย้ำ

 

The post ตลาดเบียร์ 2.6 แสนล้าน ศึกชิงแชมป์เดือด! สิงห์-ลีโอ จับมือ ช้าง สกัดน้องใหม่ ‘คาราบาว’ ที่ขอชิงส่วนแบ่ง 10% ถ้าไม่ได้ปีนี้ก็จะเอาปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ผมไม่กดดันตัวเอง’ เจ้าพ่อคาราบาวย้ำ หลังเบียร์โตช้ากว่าที่หวัง แต่ไม่ยอมแพ้แม้โดนรับน้อง! เปิดตัว ‘ตะวันแดง IPA’ ชิงมาร์เก็ตแชร์ให้ได้ 10% ในปีนี้ https://thestandard.co/carabao-boss-tawandang-ipa/ Tue, 19 Mar 2024 05:40:36 +0000 https://thestandard.co/?p=912754 เบียร์ตะวันแดง ตะวันแดง IPA

หลังเปิดตัวเบียร์คาราบาวและตะวันแดงไป ยอดขายโตช้ากว่าที […]

The post ‘ผมไม่กดดันตัวเอง’ เจ้าพ่อคาราบาวย้ำ หลังเบียร์โตช้ากว่าที่หวัง แต่ไม่ยอมแพ้แม้โดนรับน้อง! เปิดตัว ‘ตะวันแดง IPA’ ชิงมาร์เก็ตแชร์ให้ได้ 10% ในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เบียร์ตะวันแดง ตะวันแดง IPA

หลังเปิดตัวเบียร์คาราบาวและตะวันแดงไป ยอดขายโตช้ากว่าที่คาดหวังไว้ แต่ ‘เสถียร เสถียรธรรมะ’ ไม่ยอมแพ้ท้ารบตลาดเบียร์ต่อ เปิดตัวตะวันแดง IPA เบียร์ตัวที่ 5 ย้ำ ไม่เคยมีใครทำ IPA สไตล์แปซิฟิกมาก่อน พร้อมบุกช่องทางร้านอาหาร-ผับบาร์ ชิงมาร์เก็ตแชร์ตลาดเบียร์ให้ได้ 10% ในปีนี้

 

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคาราบาว ฉายภาพว่า ตอนนี้มีความรู้เรื่องเบียร์มากขึ้น เพราะธุรกิจมีการเดิมพันสูง ด้วยมูลค่าการลงทุนมหาศาลถ้าเจ๊งมาจะเจ็บตัวเยอะ ถ้าถามว่าทำไมคาราบาวถึงไม่เปิดตัวเบียร์ IPA มาพร้อมๆ กันกับเบียร์ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ที่มีถึง 4 รสชาติ 

 

“ยอมรับว่าในช่วงนั้นอยู่ในช่วงพัฒนารสชาติ ซึ่งเป็นเรื่องยากกว่าทุกอย่างจะลงตัว และเรายังไม่มั่นใจว่าถ้าเปิดตัวออกมาตอนนั้นแล้วจะปังหรือไม่ จึงต้องใช้เวลากว่าจะออกมาเป็นเบียร์ IPA และถึงเวลาที่ได้เปิดตัวตะวันแดง IPA เบียร์ตัวที่ 5 มั่นใจว่าไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพราะเป็น IPA สไตล์แปซิฟิกที่ทำมาเพื่อประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองร้อนโดยเฉพาะ”

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เรียกได้ว่าสร้างความเคลื่อนไหวในตลาดเบียร์อย่างมาก หลังจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวเบียร์ 2 แบรนด์ ได้แก่ คาราบาว และตะวันแดง พร้อมกัน 4 รสชาติ ได้แก่ แบรนด์คาราบาว เปิดตัว 2 รสชาติ และแบรนด์ตะวันแดง เปิดตัว 2 รสชาติ ถือว่าได้รับการตอบรับดี แต่ยอดขายเติบโตช้ากว่าที่คาดหวังเอาไว้ 

 

ถึงวันนี้คนก็ยังหาซื้อเบียร์คาราบาวได้ยาก ด้วยช่องทางขายที่ยังไม่ครอบคลุม ต้องยอมรับว่าการทำธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบ้านเรา ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้คาราบาวจะมีโครงข่ายที่ช่วยขยายธุรกิจเหล้ามากว่า 8 ปีก็ยังต้องเจอรับน้อง 

 

“แน่นอนว่าการทำธุรกิจย่อมมีอุปสรรค แต่เราเชื่อว่าจากนี้สินค้าจะเติบโตขึ้นแน่นอน แม้โอกาสจะไปถึงเป้าหมายจะช้าลงก็ตาม” เสถียรกล่าว 

 

สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดเบียร์ เน้นเข้าไปเจาะตลาดร้านอาหาร ผับบาร์ ทั่วประเทศที่มีมากกว่าแสนร้าน มองว่ายังมีช่องว่างให้เข้าไปทั้งร้านเล็กและใหญ่ ร้านเหล่านั้นจะช่วยให้สินค้าได้รับการยอมรับและทดลองดื่มมากขึ้น ช่องทางดังกล่าวจะเป็นตัวแปรสำคัญว่าธุรกิจจะสำเร็จหรือไม่

 

เรียกได้ว่า On Premise Marketing นั้นเป็นหัวใจสำคัญของตลาดเหล้าและเบียร์ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ เนื่องจากเป็นสถานที่เปิดโอกาสให้คนทดลองดื่ม ขณะที่จังหวัดเมืองรองการที่จะดึงให้คนมาทดลองดื่มเบียร์คาราบาวนั้นไม่ง่าย เพราะจากเดิมคนก็จะเลือกซื้ออยู่ไม่กี่แบรนด์

 

นอกจากนี้การขยายตัวแทนจำหน่ายก็ต้องทำต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันจะมีทั่วประเทศ วันนี้หลายคนก็อยากเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่าย แต่เวลาทำธุรกิจไม่ง่ายที่จะสำเร็จ ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญในการขายสินค้า โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีรายใหญ่ๆ ทำตลาดมานานกว่า  

 

เสถียรยังย้ำอีกว่า ‘ผมไม่กดดันตัวเอง’ เพราะหากย้อนกลับไปดูในธุรกิจที่ทำมา เริ่มตั้งแต่ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง ใช้เวลากว่า 12 ปีถึงสำเร็จ ตามด้วยธุรกิจค้าปลีก CJ ใช้เวลา 5-7 ปี รวมถึงธุรกิจเหล้าทำมา 5 ปี 

 

“สมัยเริ่มขายแรกๆ ในหนึ่งเดือนขายได้ไม่ถึงพันลัง แต่วันนี้ขายได้เป็นล้านๆ ลัง สะท้อนให้เห็นว่าทุกๆ ธุรกิจต้องใช้เวลา ดังนั้นเชื่อว่าธุรกิจเบียร์ก็จะสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะเบียร์มีโอกาสการดื่มมากกว่าเหล้า” 

 

นอกจากนี้ที่ผ่านมากลุ่มคาราบาวได้ทุ่มงบลงทุน 4 พันล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ที่จังหวัดชัยนาท ด้วยเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานโลกจากเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด จะทำให้มีกำลังการผลิตประมาณ 400 ล้านลิตร โดยช่วงแรกนำร่องการผลิตที่ 200 ล้านลิตร ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ หากนับจากการลงทุนโรงสุราตะวันแดง 1999 

 

“แน่นอนว่าในตลาดเบียร์มูลค่า 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่ที่สุด เราจะขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลัก 1 ใน 3 ของตลาดเบียร์ และช่วงชิงส่วนแบ่งให้ได้ 10% ในปีนี้ แม้จะมีความท้าทายของกฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นข้อจำกัดให้ผู้เล่นรายใหม่ทำตลาดได้ยากก็ตาม ซึ่งถ้าปี 2567 เราไม่ได้ส่วนแบ่งตลาด 10% ปีหน้าเราก็ต้องเอาให้ได้” แม่ทัพใหญ่กลุ่มคาราบาวย้ำ

The post ‘ผมไม่กดดันตัวเอง’ เจ้าพ่อคาราบาวย้ำ หลังเบียร์โตช้ากว่าที่หวัง แต่ไม่ยอมแพ้แม้โดนรับน้อง! เปิดตัว ‘ตะวันแดง IPA’ ชิงมาร์เก็ตแชร์ให้ได้ 10% ในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แสดงความเสียใจ ดุก คาราบาว มือคีย์บอร์ดของวง เสียชีวิตแล้วในวัย 70 ปี https://thestandard.co/dook-carabao-has-passed-away/ Tue, 19 Mar 2024 00:18:14 +0000 https://thestandard.co/?p=912642

เมื่อช่วงค่ำของวันนี้ (18 มีนาคม) เพจเฟซบุ๊ก Carabao Of […]

The post แสดงความเสียใจ ดุก คาราบาว มือคีย์บอร์ดของวง เสียชีวิตแล้วในวัย 70 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อช่วงค่ำของวันนี้ (18 มีนาคม) เพจเฟซบุ๊ก Carabao Official ได้แจ้งข่าวว่า ดุก คาราบาว หรือ ลือชัย งามสม มือคีย์บอร์ดของวงคาราบาว ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบในวัย 70 ปี โดยหลังจากแจ้งข่าวนักดนตรีและศิลปินเพลงต่างทยอยร่วมแสดงความเสียใจ เช่น ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ตำนานเพลงเพื่อชีวิต ได้แสดงความเสียใจผ่านเพจเฟซบุ๊ก Pu Pongsit Official พร้อมข้อความว่า “ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของพี่ดุก คาราบาว ขอให้ดวงวิญญาณของพี่ดุกสู่สุคติ ด้วยรักและอาลัยยิ่งครับ” 

 

เช่นเดียวกับ เสก โลโซ หรือ เสกสรรค์ ศุขพิมาย ตำนานนักร้องนำวง LOSO ก็ได้โพสต์แสดงความเสียใจผ่านเพจเฟซบุ๊ก SEK LOSO ระบุข้อความว่า “ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของพี่ดุก คาราบาวครับ…”

 

THE STANDARD POP ขอร่วมแสดงความเสียใจต่อการจากไปของหนึ่งในศิลปินเพลงอันเป็นที่รักของแฟนเพลงและเพื่อนร่วมวงการดนตรีไว้ ณ โอกาสนี้ 

 

อ้างอิง:

The post แสดงความเสียใจ ดุก คาราบาว มือคีย์บอร์ดของวง เสียชีวิตแล้วในวัย 70 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอ๊ด คาราบาว ประกาศจะยุติบทบาทวงคาราบาวในปี 2567 ด้านต้นสังกัดบอก “ยังไม่มีการคุยกันเรื่องนี้” https://thestandard.co/aed-carabao-announced-last-concert/ Wed, 11 Oct 2023 03:11:44 +0000 https://thestandard.co/?p=853287 คอนเสิร์ต

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา แอ๊ด-ยืนยง โอภากุล หรือ แ […]

The post แอ๊ด คาราบาว ประกาศจะยุติบทบาทวงคาราบาวในปี 2567 ด้านต้นสังกัดบอก “ยังไม่มีการคุยกันเรื่องนี้” appeared first on THE STANDARD.

]]>
คอนเสิร์ต

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา แอ๊ด-ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ได้ประกาศจัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งสุดท้ายในวันที่ 1 เมษายน 2567 ก่อนที่จะยุติบทบาทของวงคาราบาวอย่างเป็นทางการ หลังจากที่พวกเขาโลดแล่นอยู่ในวงการดนตรีมายาวนานร่วม 40 ปี

 

โดยในระหว่างที่ แอ๊ด คาราบาว เดินทางมาร่วมแสดงที่งาน Bom Sincharoen Fanmeet No.4 เขาได้แจ้งให้แฟนเพลงที่มาร่วมงานได้ทราบถึงแผนการยุติบทบาทของวงคาราบาว เนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นและสุขภาพของสมาชิกวงแต่ละคน เขาจึงคิดว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่พวกเขาจะหยุดพัก โดยหลังจากที่ยุติบทบาทของวง แอ๊ดจะยังคงทำงานในฐานะคนทำเพลงร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ต่อไป

 

แอ๊ดได้กล่าวถึงเหตุผลในการยุติบทบาทของวงช่วงหนึ่งว่า “วงคาราบาวจะมีคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในวันที่ 1 เมษายน 2567 แล้วก็จะเลิกทำวงเลยนะครับ นี่บอกกับพี่น้องเลย เพราะว่ามันไม่ไหวแล้ว มันแก่กันหมดแล้ว 3 วันดี 4 วันไข้ ตอนนี้นั่งข้างๆ ผมก็ 2 คน แล้วอีก 2 คนนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ก็เพิ่งจะฟื้นแล้วก็กลับมาเล่น มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปลดปล่อย ยอมรับความจริงว่าเราแก่ แต่เราก็ยังเก๋าอยู่นะครับ ใครอยากจะไปเล่นกับใคร ใครอยากจะทำอะไรก็ตามสบาย”

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวเป็นการประกาศจากทางฝั่งของแอ๊ดในฐานะนักร้องนำและหัวหน้าวงเพียงคนเดียว โดยต้นสังกัด Warner Music Thailand ยืนยันกับ THE STANDARD POP ว่า ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการกับวงคาราบาวแต่อย่างใด

 

แฟนเพลงของวงคาราบาวต้องรอติดตามรายละเอียดอย่างเป็นทางการจากค่าย Warner Music Thailand รวมถึงสมาชิกวงคนอื่นๆ อีกครั้งในอนาคต ว่าคำประกาศครั้งนี้จะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่?

 

สำหรับวงคาราบาวถือเป็นหนึ่งในวงดนตรีเพื่อชีวิตระดับตำนานของวงการเพลงไทย ที่เริ่มต้นก่อตั้งวงขึ้นในปี 2523 โดย 3 สมาชิกรุ่นก่อตั้ง ได้แก่ แอ๊ด, เขียว-กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร และ ไข่-สานิตย์ ลิ่มศิลา และได้ปล่อยผลงานเพลงคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น เมด อิน ไทยแลนด์ อัลบั้มชุดที่ 5 ของวงที่สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 5 ล้านตลับ ซึ่งบรรจุเพลงยอดฮิตไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เมด อิน ไทยแลนด์, มหาลัย, ลูกหิน ฯลฯ และสร้างสถิติเป็นอัลบั้มเพลงของศิลปินไทยที่ทำยอดขายสูงที่สุดของประเทศไทย ณ เวลานั้น

 

ปัจจุบันวงคาราบาวมีสมาชิกทั้งหมด 8 คน ได้แก่ แอ๊ด, เล็ก-ปรีชา ชนะภัย, เทียรี่-สุทธิยงค์ เมฆวัฒนา, อ๊อด-เกริกกำพล ประถมปัทมะ, ดุก-ลือชัย งามสม, หมี-ขจรศักดิ์ หุตะวัฒนะ, โก้-อัทธนันต์ ธนอรุณโรจน์ และ อ้วน-ธนะสิทธิ์ พันธุ์พงษ์ไทย

 

อ้างอิง:

The post แอ๊ด คาราบาว ประกาศจะยุติบทบาทวงคาราบาวในปี 2567 ด้านต้นสังกัดบอก “ยังไม่มีการคุยกันเรื่องนี้” appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไม่หวั่นต้นทุนพุ่งสูง! ‘คาราบาว’ กัดฟันตรึงราคาขาย 10 บาท อัดแคมเปญใหญ่ หวังขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังสิ้นปี 2566 https://thestandard.co/carabao-remains-same-price/ Mon, 20 Feb 2023 11:32:02 +0000 https://thestandard.co/?p=753026

‘คาราบาว’ ไม่หวั่นต้นทุนวัตถุดิบ-พลังงานพุ่งสูง ประกาศต […]

The post ไม่หวั่นต้นทุนพุ่งสูง! ‘คาราบาว’ กัดฟันตรึงราคาขาย 10 บาท อัดแคมเปญใหญ่ หวังขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังสิ้นปี 2566 appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘คาราบาว’ ไม่หวั่นต้นทุนวัตถุดิบ-พลังงานพุ่งสูง ประกาศตรึงราคาขาย 10 บาท ช่วยลดค่าครองชีพผู้บริโภค พร้อมจัดแคมเปญใหญ่ หวังขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังภายในสิ้นปี 2566 

 

กมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจ รวมไปถึงต้นทุนการผลิตสินค้าที่ปรับตัวขึ้น จนทำให้หลายๆ แบรนด์ต้องปรับราคาสินค้าให้ขึ้นตามไปด้วย แน่นอนว่าทำให้ค่าครองชีพของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

 

เช่นเดียวกับ ‘คาราบาว’ ที่ผ่านมาต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งด้านพลังงาน ต้นทุนวัตถุดิบ เช่น น้ำตาล ต่างก็ปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


แต่ในฐานะแบรนด์เครื่องดื่มที่มีโรงงานผลิตของตัวเองอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จึงสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย และสามารถจำหน่ายสินค้าในราคาขายปลีกได้ 10 บาทเท่าเดิม เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ และยังเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ ‘Sport Marketing’ ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลคาราบาวคัพที่ประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ (World Class Sponsorship) เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์เครื่องดื่มคาราบาว สินค้าระดับโลกที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการจัดแคมเปญ คาราบาวแดงจับมือไทยรัฐทีวี จัดโปรโมชัน ‘บาวแดงช่วยคนไทยสร้างอาชีพ ปี 2 แจกมอไซค์ทุกวัน แจกล้านทุกเดือน’  เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 มีนาคม 2566 

 

นอกจากนี้ ได้ส่งทีมสาวบาวแดงกว่า 1,500 คน ที่ถือเป็นอาวุธสำคัญของแบรนด์ ลงพื้นที่เข้าไปช่วยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้กับร้านค้าทั่วประเทศ ทั้งนี้ ก็เพื่อสื่อสารสร้างการรับรู้ทั้งกับเครือข่ายร้านค้าและผู้บริโภค ทั้งกลุ่มเป้าหมายเดิม อย่างคนใช้แรงงาน รับจ้างทั่วไป คนค้าขาย ฯลฯ อายุ 30-50 ปี และเป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ พนักงานออฟฟิศอายุ 20-35 ปี 

 

อย่างไรก็ตาม จากกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คาราบาวสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้ขึ้นเป็นผู้นำของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยได้ในสิ้นปี 2566

The post ไม่หวั่นต้นทุนพุ่งสูง! ‘คาราบาว’ กัดฟันตรึงราคาขาย 10 บาท อัดแคมเปญใหญ่ หวังขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังสิ้นปี 2566 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไม่หวั่นต้นทุนพุ่ง กำไรน้อยลง ‘คาราบาวแดง’ ยันขายราคาเดิม 10 บาท เอาใจกลุ่มแรงงาน-หันบุกเซ็กเมนต์พรีเมียม https://thestandard.co/carabao-drink-sale-same-price/ Wed, 09 Nov 2022 03:37:28 +0000 https://thestandard.co/?p=706318

‘คาราบาวกรุ๊ป’ เปิดเกมรุกเพิ่มพอร์ตสินค้าใหม่ เบนเข็มบุ […]

The post ไม่หวั่นต้นทุนพุ่ง กำไรน้อยลง ‘คาราบาวแดง’ ยันขายราคาเดิม 10 บาท เอาใจกลุ่มแรงงาน-หันบุกเซ็กเมนต์พรีเมียม appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘คาราบาวกรุ๊ป’ เปิดเกมรุกเพิ่มพอร์ตสินค้าใหม่ เบนเข็มบุกเซ็กเมนต์พรีเมียม ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม ขณะที่เครื่องดื่มคาราบาวแดง ยันขายราคาเดิม 10 บาท เอาใจกลุ่มแรงงาน ไม่หวั่นต้นทุนพุ่ง แม้กำไรน้อยลง มุ่งคุมต้นทุน-บริหารค่าใช้จ่าย ประเมินสภาพตลาดปี 2565 เริ่มฟื้น 

 

กมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG กล่าวว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโตแต่ละปีอยู่ในระดับทรงๆ ซึ่งถ้าเทียบจากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดเติบโตประมาณ 2-3% ปัจจุบันผลิตภัณฑ์คาราบาวครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 21% มีเป้าหมายชิงส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ 25% ภายในปีหน้า ซึ่งเคยเติบโตสูงสุด 24% ใน 5 ปีที่แล้ว 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เช่นเดียวกับกลุ่มชูกำลังพรีเมียม ที่มีสัดส่วนประมาณ 10% ยังโตได้บ้างเล็กน้อย จากความเคลื่อนไหวของผู้เล่นในตลาดเริ่มงัดนวัตกรรมใหม่เข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภค ทำให้มีการแข่งขันสูง ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี มีมูลค่า 6 พันล้านบาท ในช่วงโควิดมีการเติบโตกว่า 10% แต่ปัจจุบันลดลงประมาณ 5% โดยผลิตภัณฑ์วู้ดดี้ ซี+ ล็อค ยังทิ้งห่างจากคู่แข่งอย่างมาก เพราะกระโดดเข้ามาในตลาดช้ากว่า

 

สำหรับกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทจะมุ่งให้ความสำคัญกับการเติมผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาในพอร์ต เพื่อกระจายกลุ่มเป้าหมาย โฟกัสไปยังตลาดเครื่องดื่มชูกำลังพรีเมียม ซึ่งตัวแปรของต้นทุนเข้ามาเป็นแรงกดดันให้ต้องขยับขึ้นมาพัฒนาสินค้าพรีเมียม รวมถึงตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี เนื่องจากมีโอกาสการเติบโตสูง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ 

 

ล่าสุดบริษัทได้เพิ่มสินค้าใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ตเพื่อสร้างการเติบโต โดยได้เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ เริ่มจากคาราบาวแดง ได้ปรับสูตรใหม่ จำหน่ายราคา 10 บาท ตามด้วยคันโซ คูณสอง เครื่องดื่มชูกำลังพรีเมียม ราคา 15 บาท และผลิตภัณฑ์วู้ดดี้ ซี+ ล็อค กลูต้า กลิ่นลิ้นจี่ ราคา 15 บาท เน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคอายุน้อยลง 

 

ทั้งนี้ ได้เตรียมงบการทำตลาด 300 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านทีมสาวบาวแดง และฝ่ายขายกว่า 1,500 คน ควบคู่กับการแจกรถจักรยานยนต์ 500 คัน โดยมีเป้าหมายเพิ่มยอดขายและจากการเปิดตัวคาราบาวแดงสูตรใหม่ จะช่วยผลักดันมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 25% 

 

ต้องยอมรับว่า ภาวะต้นทุนพุ่งสูงคืออุปสรรคของผู้ประกอบการเครื่องดื่มชูกำลัง ปัจจุบันคาราบาวอยู่ในตลาดมากว่า 20 ปี นับเป็นผู้เล่นอันดับที่ 2 ยังต้องตรึงราคาขายเดิม 10 บาท แม้กำไรน้อยลงทุกวันก็ตาม เพราะภาพลักษณ์ของสินค้าเป็นเครื่องดื่มของกลุ่มคนใช้แรงงาน 

 

แม้ต้นทุนวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว พลังงาน และค่าแรงต่างๆ เพิ่มขึ้น ยังสามารถจำหน่ายในราคาดังกล่าวได้ แต่ต้องไปบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร


โดยการกระจายพอร์ตโฟลิโอไม่ได้ตอบสนองเรื่องต้นทุน แต่ต้องการตอบสนองความต้องการของตลาด และที่สำคัญกำลังการผลิตยังเหลืออีก 40% จากปัจจุบันเดินเครื่องผลิตผลิตภัณฑ์รูปแบบขวดแก้ว 4.6 ล้านขวดต่อวัน และในรูปแบบกระป๋อง 5.5 ล้านกระป๋องต่อวัน คิดเป็นประมาณ 80-90 ล้านขวดต่อเดือน คิดเป็น 60-70% ของกระบวนการผลิตทั้งหมด

 

พร้อมกันนี้สายการผลิตทั้งหมดรวมกันที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีครบวงจร ทำให้สามารถคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 4 โรงงาน ภายในพื้นที่ 200 ไร่ ประกอบด้วยโรงงานผลิตขวดแก้ว (APG) อยู่ระหว่างเตรียมลงทุนหลัก 2 พันล้าน สร้างเตาผลิตขวดแห่งที่ 3 ซึ่งจะทำให้สามารถผลิตเครื่องดื่มคาราบาวได้ 3 พันล้านขวดต่อปี 

 

ตามด้วยโรงงานบรรจุสินค้าเครื่องดื่มชูกำลัง (CBD) โรงงานผลิตกระป๋องอะลูมิเนียม (ACM) และโรงงานผลิตฟิล์ม ฉลาก และกล่อง (APM) และยังมีพื้นที่ว่างข้างๆ โรงงานที่บริษัทเพิ่งซื้อเข้ามา โดยเตรียมลงทุนทำโครงการใหม่ๆ ในอนาคต 

 

ด้านการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ฝั่งยุโรปได้ย้ายไปผลิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เพราะตั้งแต่เกิดสงครามรัสเซียและยูเครนทำให้ค่าเฟสพุ่งขึ้นสูง การย้ายฐานผลิตก็จะช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก ส่วนการส่งออกไปยังประเทศจีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา หลักๆ ยังเป็นกลุ่มกระป๋องเป็นหลัก 

 

กมลดิษฐยังได้ประเมินภาพรวมตลาดในปี 2565 คาดการณ์ว่าจะเริ่มมีสัญญาณที่ดี ทั้งในแง่ของยอดขายและบรรยากาศการจับจ่ายที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวที่เอื้อต่อภาคธุรกิจอย่างมาก

The post ไม่หวั่นต้นทุนพุ่ง กำไรน้อยลง ‘คาราบาวแดง’ ยันขายราคาเดิม 10 บาท เอาใจกลุ่มแรงงาน-หันบุกเซ็กเมนต์พรีเมียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
มองให้ลึกถึงการจับมือระหว่าง ‘บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว’ และ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ จะทำให้ร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ พัฒนาขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชนได้อย่างไร [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/carabao-kbank-community-retail-store/ Mon, 08 Aug 2022 02:00:10 +0000 https://thestandard.co/?p=663358 ร้านถูกดี มีมาตรฐาน

ในอดีต ‘ธุรกิจค้าปลีกของไทย’ เป็นร้านขายของชำขนาดเล็ก ห […]

The post มองให้ลึกถึงการจับมือระหว่าง ‘บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว’ และ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ จะทำให้ร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ พัฒนาขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชนได้อย่างไร [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ร้านถูกดี มีมาตรฐาน

ในอดีต ‘ธุรกิจค้าปลีกของไทย’ เป็นร้านขายของชำขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า ‘โชห่วย’ ซึ่งเป็นร้านที่มีอยู่ในทุกชุมชน

 

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปคำว่า ‘โชห่วยกำลังจะตาย’ เป็นคำที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของ ‘ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่’ (Modern Trade)

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

‘ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่’ เติบโตจากการตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย เช่น สามารถซื้อสินค้าหลายประเภทในที่แห่งเดียว อีกทั้งราคาสินค้ามักต่ำกว่าร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) ตลอดจนการลงทุนขยายสาขาต่อเนื่องเพื่อขยายฐานลูกค้า

 

จุดนี้เองทำให้ ‘ร้านโชห่วย’ ที่มีอยู่ราว 4 แสนร้านค้า ต้อง ‘ล้ม หาย ตาย จาก’ ไป

 

พลิกฟื้น ‘ร้านโชห่วย’ ให้ ‘อยู่รอด’

วิกฤตที่เกิดขึ้นกับร้านโชห่วยทำให้ ‘เสถียร เศรษฐสิทธิ์’ ซึ่งมีธุรกิจหลักอยู่ใน ‘บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)’ ตัดสินใจเข้ามาช่วยฟื้นร้านโชห่วยให้ ‘อยู่รอด’ ด้วยการพัฒนาขึ้นเป็นร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’

 

 

“ผมทำคาราบาวแดง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราพบว่าร้านโชห่วยเป็นพันธมิตรที่สำคัญและไม่ควรปล่อยให้ล้มหายไปจากการรุกคืบของ Modern Trade โดยเฉพาะต่างชาติ” เสถียรกล่าว “ผมจึงได้พัฒนาร้านถูกดี มีมาตรฐาน เพื่อปิดจุดอ่อนของร้านโชห่วยโดยการให้ความรู้ด้านการจัดการและเทคโนโลยีเข้ามา”

 

ความฝันของเสถียรที่ต้องการพลิกฟื้นร้านโชห่วยได้เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว ด้วยตัวเลขร้านค้าที่เปิดราว 5,000 แห่งใน 62 จังหวัดทั่วประเทศไทย แต่ตัวเลขยังสามารถเติบโตได้มากกว่านี้ด้วยเป้าหมาย 10,000 ร้านค้าภายในสิ้นปีนี้ ก่อนจะเพิ่มเป็น 30,000 ร้านค้าภายในปี 2567

 

“ทุกสัปดาห์เรามีร้านโชห่วยสมัครเข้าร่วม 500 แห่ง หรือเดือนละ 2,000 แห่ง แต่ด้วยบุคลากรที่มีจำกัดโดยเฉพาะการเข้าไปดูร้านค้าจริง ทำให้ไม่สามารถอนุมัติให้กับทุกร้านที่สมัครเข้ามาได้”

 

นี่ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายของร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ ซึ่งกลายเป็นที่มาของการจับมือกับ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ ในการฝ่าความท้าทายดังกล่าว

 

ร่วมลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท

ความร่วมมือของทั้งคู่ถือเป็น ‘บิ๊กดีล’ ของวงการค้าปลีกและสถาบันทางการเงินของไทย พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า เป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยมี 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ ความตั้งใจทำให้ลูกค้ารายย่อยได้ใช้บริการการเงินได้ง่ายและสะดวก เช่น ธุรกรรมทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน – ฝากถอนเงิน จ่ายบิล รวมถึงการได้สินเชื่อจากธนาคาร ไม่ต้องกู้นอกระบบ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ ไม่มีสลิปเงินเดือน แต่มีความต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือค้าขาย เรื่องที่สองคือ การขยายพื้นที่ให้บริการของธนาคาร ด้วยจุดบริการ ‘เคแบงก์ เซอร์วิส’ (KBank Service) ทำให้ลูกค้าที่อยู่พื้นที่ห่างไกล ไม่มีสาขาธนาคารตั้งอยู่ สามารถใช้บริการต่างๆ เช่น ฝาก/ถอนเงิน จ่ายบิล ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น     

 

เพื่อตอบโจทย์สำคัญนี้ ธนาคารกสิกรไทยจึงได้ร่วมลงทุนจากธนาคารกสิกรไทยกว่า 15,000 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้ใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่

 

  • 8,000 ล้านบาท ให้วงเงินกู้สำหรับบริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาวและบริษัทร่วมทุน
  • 5,000 ล้านบาท ลงทุนผ่านตราสารการลงทุนที่ให้สิทธิการลงทุนในหุ้นของบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด
  • 2,000 ล้านบาท เตรียมทยอยร่วมลงทุนในบริษัทร่วมทุนที่ชื่อ ‘เคบาว’ (kbao)

 

การเข้ามาของกสิกรไทยจะช่วย ‘ติดสปีด’ ให้กับร้านถูกดี มีมาตรฐาน ให้มีการเติบโต เข้าถึง ตลอดจนยกระดับจนกลายเป็น ‘ศูนย์กลางของชุมชน’ อย่างแท้จริง 

 

“การทำร้านค้าให้เป็นระบบในระยะแรกเป็นเรื่องที่ยากมาก เราใช้เงินลงทุนไปแล้วหลายพันล้านบาท ซึ่งการเข้ามาของกสิกรไทยจะทำให้เราสามารถเติบโตได้เร็วมากขึ้น” เสถียรกล่าว

 

ร้านถูกดี มีมาตรฐาน

 

หนึ่งในแผนการยกระดับร้านถูกดี มีมาตรฐาน คือการสร้าง ‘ศูนย์กระจายสินค้า’ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้เงินจำนวนมาก แต่ในอีกมุมหนึ่งนี่ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

ที่ผ่านมาเสถียรได้เช่าคลังสินค้าประมาณ 8 แห่งทั่วประเทศ แต่ตอนนี้ได้สร้างเองเสร็จไปแล้ว 1 แห่ง พื้นที่ 5 พันตารางเมตร และกำลังวางแผนจะสร้างอีก 3 แห่งที่ขอนแก่น ลำพูน และบุรีรัมย์ คาดแล้วเสร็จในปีหน้า 

 

แต่ละแห่งใช้เงินกว่า 3,000 ล้านบาท โดยสาเหตุที่ใช้เงินเยอะ “เป็นเพราะเราใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาจัดการ ทำให้แต่ละคลังสินค้ารองรับร้านค้าได้ 5,000 แห่ง โดยเราตั้งเป้าหมายจะสร้าง 8 แห่งกระจายทั่วประเทศ”

 

เมื่อมีคลังสินค้าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนธุรกิจใหม่อย่าง ‘การสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า’ (พรีออร์เดอร์) ผ่านระบบสมาชิกของร้าน ซึ่งเสถียรมองว่า นี่จะเป็น ‘หัวรถจักรในการทำให้ธุรกิจเติบแบบก้าวกระโดด’

 

ทำไมเสถียรถึงได้มองเช่นกัน? ก็เพราะระบบสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า (พรีออร์เดอร์) จะทำให้ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ไม่ได้มีสินค้าแค่ 2,000 รายการที่เห็นอยู่ในร้าน แต่ทำให้ร้าน 1 แห่งสามารถขายสินค้าได้มากกว่า 20,000 รายการเลยเดียว ซึ่งในอนาคตสามารถต่อยอดไปได้อีก

 

“การใส่ระบบนี้เข้าไปจะทำให้ร้านมีแต้มต่อ จากต้นทุนบริหารจัดการที่ถูก รอบส่งสินค้าที่ชัดเจน ตลอดจนบริการอื่นๆ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเพื่อยกระดับร้านโชห่วยของไทย ที่สามารถทำให้พวกเขาลืมตาอ้าปาก และส่งต่อเป็นธุรกิจให้กับลูกหลานได้ด้วย”

 

ขยายบริการสินเชื่อให้เข้าถึงชุมชน

ในมุมของร้านถูกดี มีมาตรฐาน สิ่งที่ได้จากดีลนี้คือเงินทุนที่ทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่อีกคำถามที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ ได้อะไรจากการลงทุนครั้งนี้

 

 

แน่นอนกสิกรไทยคือสถาบันทางการเงิน ซึ่งส่งที่เชี่ยวชาญที่สุดย่อมหนีไม่พ้นเรื่องดังกล่าว โดย พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า นอกจากส่งเสริมศักยภาพของร้านถูกดี มีมาตรฐาน การเป็นแหล่งเงินทุน ยังเป็นจุดให้บริการธุรกรรมการเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับคนในชุมชน เช่น บริการถอนเงิน จ่ายบิล รวมทั้งเพิ่มบริการดิจิทัลต่างๆ เช่น สแกนจ่ายด้วย QR Code ได้อีกด้วย

 

เหล่านี้จะทำให้คนในชุมชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น ข้อมูลจาก LINE BK ระบุว่า สถิติการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชากรไทย พบว่ามีเพียง 18% ที่ยังไม่มีบัญชีธนาคาร

 

แต่บริการทางการเงิน ไม่ใช่แค่การเปิดบัญชีธนาคารเท่านั้น ยังมีบริการอื่นอีกมากมาย เช่น สินเชื่อ การลงทุน และประกัน ซึ่งผู้บริโภคที่ยังเข้าไม่ถึงบริการดังกล่าวมีอีกกว่า 45%

 

เบื้องต้นการจับมือจะทำกสิกรไทยให้มีจุดบริการเคแบงก์ เซอร์วิส (KBank Service) เพิ่มขึ้นอีก 30,000 จุด จากเดิมมีจำนวนกว่า 27,000 จุด เพิ่มช่องทางการให้บริการได้ลึกถึงแหล่งชุมชนและครอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน ธนาคารมีช่องทางให้บริการผ่านสาขาจำนวน 830 สาขา ตู้ ATM และตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ รวม 11,000 ตู้ และ K PLUS ที่มีลูกค้าใช้งานกว่า 18 ล้านราย 

 

“นี่จะเป็นบริการทางการเงินที่ไม่จำเป็นต้องไปที่สาขา ซึ่งจะสร้างความสะดวกให้กับคนในชุมชม แถมยังสร้างจุดแข็งของร้านถูกดี มีมาตรฐานอีกด้วย” พัชรกล่าว 

 

ก้าวต่อไปคือการให้ ‘บริการสินเชื่อ’ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนในชุมชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างแท้จริง โดยหนึ่งในสินเชื่อดังกล่าวจะอนุมัติให้กับคนที่เป็นลูกค้าของร้านอยู่แล้ว

 

ร้านถูกดี มีมาตรฐาน

 

ขยายให้เห็นภาพมากขึ้น ที่ผ่านมาทุกร้านมักจะมีลูกค้ามา ‘เซ็นไว้ก่อน’ นั่นคือเอาสินค้าไปก่อนและนำมาจ่ายทีหลัง แต่ต่อไปลูกค้ากลุ่มนี้จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อโดยที่มีเจ้าของร้านเป็นหนึ่งในผู้ตัดสินใจว่าจะอนุมัติหรือไม่

 

นั่นเพราะเจ้าของร้านจะเป็นผู้ที่รู้จักลูกค้าของตัวเองได้ดีที่สุด ดังนั้นสิ่งนี้จะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงด้านหนี้เสีย เพราะร้านจะมีส่วนร่วมผ่านการที่รับผิดชอบนี้ดังกล่าวด้วย ซึ่งหากมีการชำระเจ้าของร้านก็จะได้เป็นส่วนแบ่งกลับไป

 

“ข้อมูลสามารถบอกได้ว่าจะเป็นหนี้เสียหรือไม่ ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. เงินที่ได้ไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่อความหรูหรา แต่เป็นการนำไปใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และ 2. เราต้องรู้ว่าผู้กู้อยู่ที่ไหน ซึ่งจุดนี้ร้านค้าจะช่วยได้มาก เพราะคนต่างจังหวัดส่วนใหญ่รู้จักกันอยู่แล้ว ดังนั้นจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงหนี้เสียไปในตัว”

 

ทั้งหมดคือการเข้ามาขับเคลื่อน ‘ร้านโชห่วย’ ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครึ่ง ซึ่งเราเชื่อว่าการพัฒนาดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้คนในชุมชน ทำให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทั่วประเทศง่ายขึ้น

 

สมกับเป้าหมายที่ต้องการให้ร้านถูกดี มีมาตรฐาน เป็น ‘ศูนย์กลางของชุมชน’ อย่างแท้จริง 

 

ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับถูกดี มีมาตรฐานได้ที่: https://bit.ly/3vgRYIC

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post มองให้ลึกถึงการจับมือระหว่าง ‘บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว’ และ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ จะทำให้ร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ พัฒนาขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชนได้อย่างไร [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
9 กุมภาพันธ์ 2528 – ‘ทำโดยคนไทย’ ของคาราบาว คอนเสิร์ตศิลปินไทยที่จัดในสนามกีฬาครั้งแรก https://thestandard.co/onthisday0922528/ Wed, 09 Feb 2022 02:00:45 +0000 https://thestandard.co/?p=591564

‘ทำโดยคนไทย’ คือคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ และเป็นคอนเ […]

The post 9 กุมภาพันธ์ 2528 – ‘ทำโดยคนไทย’ ของคาราบาว คอนเสิร์ตศิลปินไทยที่จัดในสนามกีฬาครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘ทำโดยคนไทย’ คือคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ และเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของคาราบาว จัดขึ้นที่สนามกีฬาเวโลโดรม เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2528 นี่คือคอนเสิร์ตของศิลปินไทยที่จัดขึ้นในสนามกีฬาเป็นครั้งแรก บัตร 28,000 ใบ ขายหมดทันที ขณะที่มีการคาดการณ์ผู้ชมในวันนั้นมากถึง 60,000 คน และถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 อย่างไรก็ตาม คอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์นี้ไม่สามารถทำการแสดงจนจบได้เพราะมีเหตุรุนแรงทะเลาะวิวาทจากผู้ชมบางส่วน เกิดอุบัติเหตุอัฒจันทร์ถล่ม ทำให้มีผู้คนได้รับบาดเจ็บ

The post 9 กุมภาพันธ์ 2528 – ‘ทำโดยคนไทย’ ของคาราบาว คอนเสิร์ตศิลปินไทยที่จัดในสนามกีฬาครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมไทย-ซาอุ ฟื้นสัมพันธ์หลังร้าวฉานจากปมเพชรซาอุ https://thestandard.co/thailand-saudi-arabia/ Tue, 25 Jan 2022 07:29:39 +0000 https://thestandard.co/?p=586383 ไทย-ซาอุ

พ.ศ. 2528 วงคาราบาว ออกอัลบั้ม อเมริโกย หนึ่งในนั้นมีผล […]

The post ทำไมไทย-ซาอุ ฟื้นสัมพันธ์หลังร้าวฉานจากปมเพชรซาอุ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทย-ซาอุ

พ.ศ. 2528 วงคาราบาว ออกอัลบั้ม อเมริโกย หนึ่งในนั้นมีผลงานเพลงที่ชื่อว่า ‘ซาอุดร’ เนื้อเพลงสะท้อนเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นที่คนอีสานลงทุนขายทรัพย์สินหมดหน้าตักเพื่อไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย

 

แรงงานจากประเทศไทยเคยเข้าไปทำงานในซาอุดีอาระเบียกว่า 200,000 คน จนกระทั่งเกิดสามเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ซาอุดีอาระเบียลดระดับความสัมพันธ์กับไทยลง และหลังจากนั้นแรงงานของเราก็ลดจำนวนลงจากหลักแสนเหลือแค่หลักพันคน

 

– เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 เกิดเหตุคนร้ายลงมือฆ่าเจ้าหน้าที่การทูตของซาอุดีอาระเบียรวม 4 ราย แต่ตำรวจไทยไม่สามารถจับคนร้ายตัวจริงมาลงโทษได้ โดยมีการจับตัวผู้ต้องหามาสอบสวนเหมือนกัน แต่ก็ผิดตัว

 

– เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน เกิดคดีอุ้มฆ่า มุฮัมมัด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย และเป็นสมาชิกราชวงศ์ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ต่อมาจึงมีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลชุดหนึ่ง ข้อหา ‘อุ้ม’ อัลรูไวลีไปเค้นข้อมูล เพราะเชื่อเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของเจ้าหน้าที่การทูตของซาอุดีอาระเบียที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

 

เรื่องนี้ทำให้ทางการซาอุดีอาระเบียไม่พอใจอย่างยิ่ง จนถึงขั้นลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ออกข้อจำกัดเกี่ยวกับแรงงานไทย ห้ามประชาชนของซาอุดีอาระเบียเดินทางมาประเทศไทย และลดระดับความร่วมมือระดับสูงในทุกด้านลงมาอยู่ระดับต่ำสุด

 

– และเหตุการณ์ที่สามที่เข้ามาซ้ำเติมทุกอย่างให้แย่ถึงขีดสุด คือกรณีที่เราเรียกกันว่า คดีเพชรซาอุ ช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2532 คนงานไทยชื่อ เกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งไปทำงานในวังของเจ้าชายซาอุดีอาระเบีย ลักลอบโจรกรรมเพชรกลับประเทศ โดยตำรวจไทยไม่สามารถติดตามเพชรของกลางหลายรายการกลับส่งคืนให้ซาอุดีอาระเบียได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเพชร ‘บลูไดมอนด์’ เม็ดใหญ่สุด ยิ่งไปกว่านั้นของกลางในส่วนที่ติดตามกลับมาได้ ยังมีการเอาไปปลอมแปลงก่อนเอาไปคืนให้ซาอุดีอาระเบีย

 

ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศใหญ่ที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นประเทศที่มีอิทธิพลในกลุ่มประเทศมุสลิม เป็นที่ตั้งของนครมักกะฮ์ สถานที่ที่ชาวมุสลิมทั่วโลกรวมถึงชาวมุสลิมในไทยหวังที่จะได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต 

 

ในทางเศรษฐกิจ ซาอุดีอาระเบียเป็นคู่ค้าอันดับที่สองของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง รองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นแหล่งส่งออกสินค้าไทยลำดับที่ 21 และซาอุมีความต้องการนำเข้าสินค้าจากไทย แต่เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ ส่งให้ผลการเจรจาการค้าของทั้งสองฝ่ายไม่สะดวกมากนัก ยังไม่นับรวมธุรกิจจัดส่งแรงงาน และธุรกิจการท่องเที่ยวที่จะขยายตัวขึ้นอีกมากหากความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศกลับสู่สภาวะปกติ

 

พ.ศ. 2553 เริ่มมีความหวังในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุ เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้สั่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหา อันประกอบไปด้วย พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และพวกอีก 4 คน ในคดีร่วมกันฆ่า มุฮัมมัด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียที่หายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่ พ.ศ. 2532 ก่อนคดีจะหมดอายุความเพียง 1 เดือน ตอนนั้นหลายฝ่ายมองว่า ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย อาจเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี

 

แต่แล้วความหวังก็พังลง เมื่อมีการแต่งตั้ง พล.ต.ท. สมคิด ขึ้นไปเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ต้องหาคดีอัลรูไวลี และคดียังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในชั้นศาล 

 

ทำให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจต่อกรณีการแต่งตั้งดังกล่าว ความสัมพันธ์ของสองประเทศตึงเตรียดอีกครั้ง และสุ่มเสี่ยงจนถึงขั้นต้องตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน จากที่เคยลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยมานาน

 

และยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 ศาลยกฟ้อง พล.ต.ท. สมคิด และพวกในคดีอุ้มฆ่าอัลลูไวลี ทำให้หลายฝ่ายมองไม่เห็นอนาคตการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียขึ้นมาอีกครั้ง

 

แต่เมื่อปลายปีเดียวกันนั้น เรากลับเห็นรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียเดินทางมาไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ครั้งที่สอง ถือเป็นการมาเยือนไทยครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุดีอาระเบีย พร้อมทั้งได้หารือกับนายกรัฐมนตรีของไทยถึงแนวทางฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ

 

ว่ากันว่าก่อนที่จะมีการหารือดังกล่าว ได้มีความพยายามจากหลายฝ่ายช่วยประสานผลักดันให้เกิดการพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียเองที่เล็งเห็นผลประโยชน์จากการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย หรือนักการทูตฝ่ายไทยเองที่ขอความร่วมมือจากมิตรประเทศที่มีสัมพันธ์แนบแน่นกับไทยมานานอย่างบาห์เรนให้ช่วยเป็น ‘สื่อกลาง’ เชื่อมต่อความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย

 

ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซาอุปรับท่าทีมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับไทย คือการเปลี่ยนแปลงภายในที่เกิดขึ้นกับประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการเปลี่ยนรัฐบาลไปสู่คนรุ่นใหม่ 

 

มีการแต่งตั้งคนรุ่นใหม่อย่าง เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน หรือที่สื่อตะวันตกเรียกย่อๆ ว่าเจ้าชาย MBS คนเดียวกับที่เพิ่งเทกโอเวอร์สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ของประเทศอังกฤษ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารบ้านเมืองจากคนรุ่นเก่ามาสู่คนรุ่นใหม่ ย่อมทำให้วิสัยทัศน์ในการมองอนาคตของประเทศเปลี่ยนไป 

 

อีกปัจจัยสำคัญคือปัญหาทางเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียในช่วงที่ผ่านมาเกิดปัญหาราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องประกาศโครงการวิสัยทัศน์ซาอุ 2030 (Saudi Vision 2030) ขึ้นมา เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็จะเปิดช่องทางการหารายได้ทางเศรษฐกิจที่หลากหลายมากขึ้น

 

นอกจากปัจจัยภายในของซาอุแล้ว ก็ต้องชื่นชมความพยายามของกระทรวงการต่างประเทศของไทยเอง ที่พยายามสานสัมพันธ์กับซาอุอย่างต่อเนื่อง และมีความคืบหน้ามาเป็นลำดับ จนเมื่อต้น พ.ศ. 2563 ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย และนับเป็นการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งแรกของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยในรอบ 30 ปี 

 

จนล่าสุด พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย นับเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการของผู้นำรัฐบาลระหว่างสองชาติเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน

 

และนี่ถือเป็นการนับหนึ่งอย่างเป็นทางการของการฟื้นความสัมพันธ์ทั้งสองชาติหลังร้าวฉานกันมานานตั้งแต่เกิดคดีที่เรียกกันว่า ‘เพชรซาอุ’

The post ทำไมไทย-ซาอุ ฟื้นสัมพันธ์หลังร้าวฉานจากปมเพชรซาอุ appeared first on THE STANDARD.

]]>