ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 08 Feb 2023 15:11:27 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เป็น ‘มนุษย์เป็ด’ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร! เปิดข้อดีของการทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่สุดสักอย่าง https://thestandard.co/being-a-generalist/ Thu, 12 May 2022 02:21:40 +0000 https://thestandard.co/?p=627619 มนุษย์เป็ด

โดยทั่วไปแล้วคนที่โดดเด่นกว่าคนอื่นมักจะเป็นคนที่มีความ […]

The post เป็น ‘มนุษย์เป็ด’ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร! เปิดข้อดีของการทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่สุดสักอย่าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
มนุษย์เป็ด

โดยทั่วไปแล้วคนที่โดดเด่นกว่าคนอื่นมักจะเป็นคนที่มีความสามารถเชี่ยวชาญเฉพาะทางใดทางหนึ่ง เรามักจะได้ยินคนพูดอยู่เสมอว่าให้ฝึกทักษะอะไรบางอย่างจน ‘เชี่ยวชาญ’ ให้ได้เร็วที่สุดยิ่งดี

 

แต่ถ้าเราดันเป็นคนที่ ‘พอจะทำได้’ ไปเสียทุกอย่างล่ะ ถ้าเราไม่ได้เก่งอะไรเลย แต่ถ้าให้ทำอะไรก็ทำได้ แต่ไม่สุด เราจะมีโอกาสโดดเด่นได้บ้างไหมนะ

 

การเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่สุดสักอย่าง ไม่มีอะไรที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ หรือที่เรียกกันว่า ‘มนุษย์เป็ด’ นั้นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถึงเป็ดจะมีปีกแต่บินไม่ได้ มีเท้าที่เป็นพังผืดแต่ว่ายน้ำไม่เร็ว แต่เป็ดนั้นปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเก่งกว่าใคร

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

เคยมีการศึกษาที่ค้นพบว่า เมื่อปัญหาจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้นมา คนเป็นเป็ดมักมีทักษะการคาดการณ์ที่ดีกว่าคนทั่วไป สาเหตุส่วนใหญ่มาจากนิสัยโดยธรรมชาติของพวกเขาที่เปิดกว้างและอยากรู้อยากเห็น ทำให้พวกเขาสามารถคาดการณ์ วิเคราะห์ ปรับตัว และแก้ปัญหาได้ดีกว่าใครยามที่ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

 

ในการหางาน การเป็นเป็ดจะทำให้ได้เปรียบทางการแข่งขันมากกว่า เพราะทักษะที่หลากหลาย ทำได้ในหลายด้าน เพราะบางอย่างไม่จำเป็นต้องทำให้ได้เก่งที่สุดก็ได้ บริษัทหลายแห่งจึงมองหาคนที่ทำได้หลายอย่างครบเครื่องแทน อีกทั้งพวกเขายังหางานได้ง่ายกว่าด้วย เพราะสามารถสมัครงานได้ในหลายตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับงานประเภทเดียว

 

และด้วยความที่ทำได้หลายอย่างนี่เอง เมื่อถึงเวลาที่เหล่าเป็ดต้องเลือกว่าอยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านไหน พวกเขาสามารถเลือกได้หลายทางและหลายอุตสาหกรรม ทำให้มีทางเลือกเยอะขึ้นในการเติบโตในหน้าที่การงาน

 

ถ้าเป็ดต้องเรียนรู้ทักษะใหม่พวกเขาก็ทำได้ดี เพราะด้วยความที่พวกเขาทำได้ทุกอย่างก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเป็นคนเรียนรู้เร็ว ใช้เวลาไม่นานก็มีทักษะใหม่ในระดับต้นแล้ว และการเรียนรู้สิ่งใหม่ก็จะยิ่งเพิ่มความกว้างของทักษะของพวกเขาได้อีก

 

นอกจากนี้ เป็ดยังสามารถมองภาพรวมของปัญหาตรงหน้าได้กว้างกว่า เพราะความรู้ที่มีหลากหลายแขนง พวกเขาสามารถมองเห็นปัญหาโดยรวม ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะมองเห็นปัญหาในแนวลึกอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้เป็ดก็มีบทบาทสำคัญในการทำงานเป็นทีม

 

พวกเราไม่ได้อยู่ในโลกแห่งการทำงานที่ทุกคนถูกอบรมให้ทำสิ่งเดียวตลอดทั้งวันซ้ำไปซ้ำมาเหมือนยุคอุตสาหกรรมอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเรากำลังอยู่ในโลกแห่งการทำงานสมัยใหม่ที่ทุกคนต้องมีทักษะที่หลากหลายมากขึ้น พร้อมเรียนรู้และปรับตัวตลอดเวลา 

 

การเป็นเป็ดและลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใครของเป็ดนี่แหละที่ทำให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับโลกแห่งการทำงานสมัยใหม่ได้ดีกว่าใคร ดังนั้นถ้าใครที่กำลังน้อยใจกับความเป็นเป็ดของตัวเองอยู่ จงโอบกอดความเป็นเป็ดของตัวเองเอาไว้ แล้วเราจะไปได้ไกลในแบบของเราเอง

 

อ้างอิง:

The post เป็น ‘มนุษย์เป็ด’ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร! เปิดข้อดีของการทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่สุดสักอย่าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
MUT MASTER 7 คนคุณภาพที่รวมตัวกันเพื่อปลุกปั้น ‘สาวงาม’ ให้กลายเป็น ‘นางงามแถวหน้า’ บนเวที MUT 2021 https://thestandard.co/mut-master-7/ Wed, 15 Sep 2021 10:04:51 +0000 https://thestandard.co/?p=536923 Miss Universe Thailand

MUT MASTER หนึ่งในไฮไลต์ที่บรรดาแฟนนางงามตั้งหน้าตั้งตา […]

The post MUT MASTER 7 คนคุณภาพที่รวมตัวกันเพื่อปลุกปั้น ‘สาวงาม’ ให้กลายเป็น ‘นางงามแถวหน้า’ บนเวที MUT 2021 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Miss Universe Thailand

MUT MASTER หนึ่งในไฮไลต์ที่บรรดาแฟนนางงามตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าในแต่ละปี จะมีผู้เชี่ยวชาญท่านไหนได้รับเชิญให้มาสอนและเทรนด์สาวงามผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand บ้าง ซึ่งรายชื่อและวิชาที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมทีมในแต่ละปี ถือเป็นการสะท้อนการให้ความสำคัญในเรื่องนั้นๆ ของกองประกวดได้เป็นอย่างดี

 

การประกวด Miss Universe Thailand 2021 ในแต่ละรอบ จำเป็นต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และทักษะในด้านต่างๆ มาปรับเสริมเพิ่มแต่งให้เหมาะสมกับผู้เข้าประกวดแต่ละคน เพื่อสร้างการจดจำและความประทับใจในการเรียกคะแนนจากคณะกรรมการ และนี่คือ MUT MASTER ทั้ง 7 ท่าน ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ศิลป์ รวมถึงทักษะในด้านต่างๆ ที่ทางกองประกวดคัดสรรมาแล้วว่าเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับสาวงามที่จะเข้ามาอยู่ในครอบครัว MUT 2021

 

 

ครูเงาะ-รสสุคนธ์ กองเกตุ

Acting Coach and Human Skills Developer

 

หนึ่งในครูสอนการแสดงระดับประเทศ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปิน นักแสดง และภาพยนตร์มากมาย นอกจากนี้ครูเงาะยังโดดเด่นเรื่องการพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ปรับทัศนคติ เปลี่ยนแนวคิด เพื่อการใช้ชีวิตให้มีความสุข

 

 

พรฟ้า-ปุณิกา กุลสุนทรรัตน์

Runway Coach

 

ตำนานนางรองที่กวาดตำแหน่ง 2nd Runner Up ของการประกวดนางงามในระดับนานาชาติและระดับประเทศถึง 3 เวที โดยเพอร์ฟอร์แมนซ์บนเวทีของพรฟ้าได้แสดงให้เห็นอย่างประจักษ์ถึงความเป็นตัวแม่ในการจัดระเบียบร่างกาย ที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพการเดินให้สง่าดูงามระหงส์ดุจดั่งนางพญา

 

 

อาจารย์ธง-​​ฐิติพงษ์ ด้วงคง 

Speech Content

 

ด้วยการสั่งสมเรื่องราว ความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับการประกวดนางงามของ อาจารย์ธง รวมถึงความเชี่ยวชาญในด้านภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยึดโยงกับความงามของผู้หญิงในแต่ละภูมิภาคในโลกใบนี้ ทั้งลาตินอเมริกัน, อเมริกัน, แอฟริกัน รวมทั้งเอเชีย ตลอดจนประเทศไทย พร้อมการจับประเด็นสังคมที่คนทั่วโลกจับตามอง (Global Issue) มากอปรขึ้นเป็นเนื้อหาให้นางงามได้รู้จักการคิดวิพากษ์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่นางงามควรมีติดตัวนอกเหนือจากความสวยที่ปรากฏภายนอก 

 

 

ครูออม-วริษฐา นาครทรรพ

Speech Content

 

ครูออม คู่ซี้บัดดี้อาจารย์ธงที่เคยร่วมเตรียมความพร้อมของเนื้อหาสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมโลกปัจจุบัน รวมถึงออกแบบท่าทางและฝึกฝนบุคลิกภาพในการพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking) เพื่อความสมบูรณ์ของคำตอบ พร้อมความครบถ้วนของสารที่ต้องการส่งต่อให้ชาวโลกได้รับรู้ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดของผู้ตอบในฐานะตัวแทนประเทศไทยบนเวที Miss Universe 

 

 

โค้ชเบคกี้ รัสเซลล์

Professional Certified Coach

 

ผู้สร้างปรากฏการณ์รอบ Keyword บนเวที MUT 2020 จนเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ ถือเป็นต้นแบบของการแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ อย่างจำกัดเวลา โดยปีนี้โค้ชเบคกี้จะเข้ามาทำหน้าที่ดูแลภาพรวมของนางงาม เพื่อให้เหมาะสมกับตัวแทนสายสะพาย Thailand บนเวที MU 2021

 

 

ป้อม-วินิจ บุญชัยศรี

Head of Makeup by L’Oréal Paris

 

อีกหนึ่งความพิเศษของ MUT 2021 คือการได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง L’Oréal Paris ที่จะมาเป็นผู้สนับสนุนหลักเครื่องสำอาง พร้อมดูแล Mood & Tone ของเมกอัพตลอดการประกวด นำทีมโดยช่างแต่งหน้ามือทองระดับประเทศอย่าง ป้อม วินิจ ผู้เนรมิตความงามบนใบหน้าให้สาวไทยมานับไม่ถ้วน

 

 

ครูเท็กซัส-วชิระ มะโนวงค์

Choreographer

 

การเต้นถือเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ทำให้จังหวะการเดินบนเวทีที่แสนธรรมดาให้ดูมีมูฟเมนต์และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น โดยครูเท็กซัสจะรับหน้าที่ดึงความเป็น Real You ในตัวผู้เข้าประกวดให้เผยออกมาได้อย่างมั่นใจ ผ่านท่วงท่า ลีลา และจังหวะของเพลง ที่จะปลุกไฟในแพสชันให้เบิร์นออกมาและก้าวไปสู่เป้าหมายข้างหน้าอย่างสวยงาม

 

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวในความรู้ความสามารถของบุคลากรในทีมที่จะเข้ามาฝึกฝน ดูแล ปรับเสริม และเติมเต็มในส่วนที่ขาด เพื่อให้นางงามในปีนี้มีองค์ประกอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งลักษณะทางกายภาพที่สวยงาม มีระเบียบ และบุคลิกภาพดี รวมทั้งความคิด ความอ่าน และความรู้ในประเด็นเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมโลก พร้อมความมุ่งมั่นตั้งใจในแพสชันของตัวเอง และสุดท้ายคือความงามภายในตัวคุณ ที่จะสะท้อนความเป็น Real You ออกมาได้อย่างแท้จริง 

 

ขอบคุณภาพจากกองประกวด Miss Universe Thailand

The post MUT MASTER 7 คนคุณภาพที่รวมตัวกันเพื่อปลุกปั้น ‘สาวงาม’ ให้กลายเป็น ‘นางงามแถวหน้า’ บนเวที MUT 2021 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หยุดหัวล้านก่อนวัย รู้ทันทุกปัญหาและความเสี่ยงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ https://thestandard.co/stop-balding-prematurely-aware-of-all-problems-and-risks-by-expert-doctors/ Wed, 10 Mar 2021 09:05:10 +0000 https://thestandard.co/?p=463504 หยุดหัวล้านก่อนวัย รู้ทันทุกปัญหาและความเสี่ยงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

เส้นผมและหนังศีรษะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย […]

The post หยุดหัวล้านก่อนวัย รู้ทันทุกปัญหาและความเสี่ยงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หยุดหัวล้านก่อนวัย รู้ทันทุกปัญหาและความเสี่ยงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

เส้นผมและหนังศีรษะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคปัจจุบันที่ไม่ใช่แค่วัยเท่านั้นที่เป็นตัวเร่งให้เส้นผมเบาบางล่วงหน้าก่อนกาลเวลา แต่ยังมีปัจจัยภายนอกต่างๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ขาดสารอาหาร และแสงแดด ฯลฯ ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อจำนวนประชากรเส้นผมที่หายไปก่อนวัยอันควร และเพื่อให้ตอบปัญหานี้ได้ดีที่สุด เราจึงได้ชวน รศ.ดร.พญ.รัชต์ธร ปัญจประทีป แพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญด้านโรคของเส้นผม หนังศีรษะ และการผ่าตัดปลูกผมมาไขข้อสงสัยว่า เพราะเหตุใดเส้นผมของเราถึงได้จากไปเร็วนัก  

 

1. โรคผมบางจากพันธุกรรม (Androgenetic Alopecia)

 

 

พบบ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สำหรับฝ่ายชายเส้นผมจะเริ่มจากแนวผมด้านหน้าเถิกร่น หรือผมบางบริเวณกระหม่อมด้านหลัง ปกติผู้ชายผมจะเริ่มบางเมื่อเข้าสู่อายุ 30-35 ปี และบางลงเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น ส่วนผู้หญิงจะเริ่มบางช้ากว่า คือมากกว่า 35 ปีขึ้นไป และจะเริ่มบางชัดในวัยเริ่มหมดประจำเดือน เส้นผมของผู้หญิงจะร่วงจากบริเวณแสกกลางของศีรษะ ซึ่งต่างจากฝ่ายชาย คนไข้ส่วนใหญ่มักมีประวัติคนในครอบครัวมีภาวะผมบางร่วมด้วย ส่วนสาเหตุของโรคผมบางศีรษะล้านจากพันธุกรรม เกิดจาก 3 ปัจจัยหลักร่วมกันคือ

 

1. ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น

เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนชาย (Testosterone) เพิ่มขึ้น ฮอร์โมนนี้จะเร่งให้เส้นผมบริเวณขมับและกลางกระหม่อมบางลงและมีอายุสั้นลง ทำให้เส้นผมจะผลัดก่อนกำหนดบ่อยครั้ง 

 

2. พันธุกรรมซึ่งถ่ายทอดเป็นยีนเด่น

พันธุกรรมอาจเป็นตัวกำหนดลักษณะของต่อมผม หลังพบว่าเซลล์รากผมบริเวณขมับและกลางกระหม่อมมีจำนวนตัวรับสำหรับฮอร์โมนชาย (Androgen Receptor) สูงกว่าผมบริเวณท้ายทอยถึง 1.5 เท่า ทำให้เส้นผมเกิดการหลุดร่วงและบางลงตามลำดับ

 

3. อายุที่เพิ่มมากขึ้นและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ 

อายุที่เพิ่มขึ้น ร่วมกับภาวะที่มีการอักเสบของหนังศีรษะอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้มีผมร่วงมากขึ้นได้ เช่น ภาวะหนังศีรษะอักเสบจากเชื้อยีสต์ ภาวะทุพโภชนาการ ขาดสารอาหารหรือวิตามิน หรือแม้กระทั่งแสงแดดและความเครียด

 

แนวทางการรักษา

 

 

ในปัจจุบันการรักษาโรคนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ การรักษาด้วยยา และการผ่าตัดปลูกย้ายเส้นผม หากเป็นการรักษาด้วยยา ในปัจจุบันมียาสองชนิดที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา ให้นำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคผมบางศีรษะล้านแบบพันธุกรรมในเพศชาย ได้แก่ ยาทา 5% Minoxidil และยารับประทาน Finasteride ซึ่งยาทั้งสองชนิดจะออกฤทธิ์กระตุ้นเส้นผมเดิม ซึ่งมีขนาดเล็กให้มีความหนา ดำ และยาวขึ้น และทำให้ผมมีชีวิตอยู่ยาวนานขึ้น ผมร่วงลดลง ซึ่งต้องใช้ยาอย่างน้อย 4-6 เดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ซึ่งผลการรักษาถ้าได้ผลดีจำเป็นต้องทายาและกินยารักษาต่อเนื่อง 

 

ในผู้หญิงมีเฉพาะยาทา 2-5% Minoxidil เท่านั้นที่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษาโรค ส่วนยาอื่นๆ ที่นำมาใช้กัน ได้แก่ ยา Minoxidil ชนิดรับประทานในขนาดต่ำ และกลุ่มต่อต้านฮอร์โมนเพศชาย (Antiandrogen) เช่น Spironolactone ยาคุมกำเนิดชนิด Cyproterone Acetate และการให้ฮอร์โมนทดแทน 

 

หากเป็นการรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกผม (Hair Transplantation) ซึ่งเป็นการปลูกถ่ายย้ายเซลล์รากผมจากบริเวณท้ายทอยและด้านข้าง ซึ่งเป็นรากผมที่แข็งแรง มายังตำแหน่งที่มีปัญหาผมบางหรือศีรษะล้าน การผ่าตัดปลูกผมในปัจจุบันนี้ได้ผลดีและปลอดภัยมาก เนื่องจากเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กที่ไม่ต้องดมยาสลบ ผลการรักษาผมที่ปลูกอยู่ได้ถาวรและเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเป็นผมของตัวเอง ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน สามารถสระ โกรก ย้อม หรือดัดได้ตามปกติ แม้ในยามเล่นกีฬาก็มั่นใจ

 

2. โรคผมร่วงชนิดทีโลเจน เอฟฟลูเวียม (Telogen Effluvium) 

 

 

ภาวะผมร่วงที่มีเส้นผมระยะ Telogen หลุดร่วงมากกว่าปกติอย่างฉับพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการผมร่วงมากผิดปกติ คือมากกว่า 100 เส้นต่อวัน หรืออาจสูงถึง 1,000 เส้น ลักษณะร่วงทั่วศีรษะ แต่จะเห็นเด่นชัดบริเวณขมับ ในรายที่ผมร่วงไม่มากอาจไม่ทันสังเกต ผมร่วงชนิดนี้ส่วนใหญ่เกิดตามหลังภาวะเจ็บป่วย ไม่สบาย หลังมีไข้สูง เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ ภาวะช็อก ได้รับการผ่าตัดใหญ่ หลังคลอดบุตร ผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างฉับพลัน โรคเจ็บป่วยเรื้อรัง โรคความผิดปกติของไทรอยด์หรือฮอร์โมน ภาวะขาดสารอาหาร ขาดวิตามิน ธาตุเหล็ก หรือโปรตีน มีความเครียดจัด หรือผิดหวังอย่างรุนแรง รวมไปถึงตามหลังการได้รับยาบางชนิด เป็นต้น สังเกตว่าผู้ป่วยมักจะมีอาการผมร่วงตามหลังสาเหตุเหล่านี้ประมาณ 2-3 เดือน  

 

แนวทางการรักษา

อาการผมร่วงมักจะเป็นอยู่นานประมาณ 3-6 เดือนแล้วจะค่อยๆ ดีขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ผมขึ้นใหม่ได้เองหลังสาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นหมดไป ยกเว้นในรายที่มีสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงยังคงอยู่หรือเกิดซ้ำ จนทำให้ต่อมผมถูกทำลาย ซึ่งอาจทำให้ผมขึ้นได้ไม่เต็มเหมือนเดิม โดยเฉพาะคนไข้ที่มีผมบางจากพันธุกรรมร่วมด้วย ความหนาแน่นของเส้นผมอาจขึ้นกลับมาไม่เท่าเดิม 

 

ดังนั้นการรักษาอาจพิจารณาให้ยาทาชนิด 5% Minoxidil Lotion เพื่อกระตุ้นให้ผมขึ้นกลับมาเร็วขึ้นร่วมกับการให้วิตามิน โดยวิตามินที่พบว่าขาดได้บ่อยในคนผมร่วงฉับพลัน ได้แก่ ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินดี วิตามินบี 1, 5, 7 (ไบโอติน) และ 12 นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การทานโปรตีนให้เพียงพอ และกรดอะมิโนแอซิดบางชนิดก็มีส่วนช่วยให้เส้นผมกลับคืนมาแข็งแรงได้เร็ว 

 

3. โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Totalis)

 

 

อาการนี้พบได้ทุกส่วนของร่างกายที่มีผมหรือขน อาจเกิดผมร่วงหย่อมเดียวหรือหลายๆ หย่อมรวมกัน ลักษณะเป็นวงกลมขอบเขตชัดเจน ไม่มีผื่นแดงหรือแผลเป็น อาการผมร่วงมักจะเกิดอย่างรวดเร็ว บางรายเป็นมากอาจมีหย่อมผมร่วงลามไป หรือเป็นทั้งศีรษะ หรือที่เรียกว่า Alopecia Totalis 

 

สาเหตุเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ที่ไปทำลายเส้นผมตัวเอง ทำให้เกิดอาการผมร่วงเป็นหย่อมขึ้น ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับโรคไทรอยด์ ด่างขาว สะเก็ดเงิน ภูมิแพ้ เป็นต้น ปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเกิดผมร่วงเป็นหย่อม ได้แก่ พันธุกรรม ความเครียด การรักษาผมร่วงชนิดนี้ควรรีบมาพบแพทย์ วิธีที่ใช้รักษาจะขึ้นอยู่กับปริมาณของหย่อมผมร่วงที่เป็น

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า 

The post หยุดหัวล้านก่อนวัย รู้ทันทุกปัญหาและความเสี่ยงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนเก่งจริงไม่มีที่ยืน รู้จักทฤษฎี Asymmetrical Information ที่ทำให้คนสร้างภาพเป็นผู้ชนะ https://thestandard.co/asymmetrical-information/ Wed, 19 Feb 2020 17:46:00 +0000 https://thestandard.co/?p=332825

ทำไมคนเราส่วนใหญ่ถึงให้ความสําคัญกับการสร้างภาพให้ตัวเอ […]

The post คนเก่งจริงไม่มีที่ยืน รู้จักทฤษฎี Asymmetrical Information ที่ทำให้คนสร้างภาพเป็นผู้ชนะ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ทำไมคนเราส่วนใหญ่ถึงให้ความสําคัญกับการสร้างภาพให้ตัวเองดูเหมือนกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ มากกว่าจะใช้เวลาฝึกฝน เพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง

 

เพื่อนๆ รู้จักกับทฤษฎี Asymmetrical Information หรือการที่คนซื้อไม่มีข้อมูลข่าวสารเทียบเท่ากับคนขายไหมครับ

 

ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีของ จอร์จ อะเคอร์ลอฟ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายว่า ทำไมตลาดที่ขายรถมือสองถึงเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวของตลาด (Market Failure) – ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือ กลไกการซื้อขายในตลาดมันพังนั่นเอง

 

อะเคอร์ลอฟบอกว่า ในตลาดรถมือสองนั้นมีรถที่มีคุณภาพดีและรถคุณภาพไม่ดี โดยเขาเรียกรถคุณภาพดีว่า ‘พีช (Peach)’ ส่วนรถคุณภาพไม่ดีนั้นเขาเรียกว่า ‘มะนาว (Lemon)’

 

มีแต่คนขายเท่านั้นที่รู้ว่า รถของเขาเป็นรถ ‘พีช’ หรือ ‘มะนาว’ 

 

ส่วนคนซื้อนั้นไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะไขปริศนาได้เลยว่า รถคันไหนในตลาดเป็นรถพีช และคันไหนเป็นรถมะนาว และนี่ก็คือที่มาของ Asymmetrical Information ระหว่างคนซื้อและคนขาย

 

ด้วยความที่คนซื้อไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะรู้ว่า รถคันไหนคุณภาพดีและรถคันไหนคุณภาพไม่ดี ราคาของรถที่ลูกค้ายินยอมจ่ายเงินก็จะมีมูลค่าเท่ากับราคาเฉลี่ยของรถมือสองในตลาดทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือ คนซื้อพร้อมจะจ่ายเงินซื้อรถด้วยราคาที่สูงกว่าราคาของรถมะนาวในตลาด แต่เป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาของรถพีชในตลาด เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่ารถที่เขากำลังจะจ่ายเงินซื้อนั้นมันเป็นรถที่ดีหรือไม่ดีกันแน่

 

ด้วยเหตุนี้นี่เอง คนขายรถพีชก็ไม่อยากจะขายรถของตัวเองในตลาดนี้อีกต่อไป เพราะเขาจะต้องตัดใจขายรถในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่สมกับคุณภาพของรถเขาจริงๆ และรถมะนาวในตลาดก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้รถพีชต้องออกจากตลาดไป

 

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือ เมื่อสัดส่วนของจำนวนรถพีชในตลาดลดน้อยลงเมื่อเทียบกับจำนวนของรถมะนาว ราคาเฉลี่ยของรถทั้งหมดก็จะยิ่งตกลงไปอีก (เพราะในตลาดมีรถคุณภาพดีน้อยลงกว่าเดิม) ซึ่งก็ทำให้เกิดการกดราคาที่คนซื้อยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อรถมือสองในตลาดนี้น้อยลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีรถพีชหลงเหลืออยู่เลยในตลาด

 

ปัญหา Lemon Market หรือตลาดมะนาวนี้ เป็นปัญหาเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดผู้เชี่ยวชาญบ้านเรา

 

ยังไงน่ะเหรอครับ ก่อนอื่นเลย เราอาจจะเริ่มจากตลาดที่มีจำนวนของผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้จริงๆ ที่มีความสามารถจริงๆ (ผมขอเรียกตามแบบของอะเคอร์ลอฟว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญพีชละกัน) คละเคล้ากันไปกับจำนวนของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่รู้จริง ไม่มีความสามารถจริง (ผู้เชี่ยวชาญมะนาว)

 

ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นพีชหรือมะนาว ต่างก็รู้ตัวเองว่า ตัวเองเป็นพีชหรือมะนาว 

 

แต่ปัญหาคือ ประชาชนส่วนใหญ่หรือผู้บริโภคกลับไม่มีข้อมูลหรือความสามารถเพียงพอในการแยกแยะว่า ผู้เชี่ยวชาญที่มาพูดออกทีวีคนไหนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถจริงๆ

 

และด้วยเหตุผลที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า ผู้เชี่ยวชาญคนไหนรู้จริง คนไหนรู้ไม่จริง เขาก็จะใช้เวลาที่เขามีอยู่จำกัด เลือกฟังคนที่เขาอยากฟัง ซึ่งความอยากจะฟังอาจจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเลยกับคุณภาพของสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนพูดออกทีวี (เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่แยกไม่ออกระหว่างคำพูดที่มีคุณภาพและคำพูดที่ไม่มีคุณภาพ)

 

การเลือกเสพข้อมูลข่าวสารของประชาชนส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีสัญญาณของการมีคุณภาพของข้อมูลข่าวสารที่ต่ำ ยกตัวอย่างเช่น คนพูดหน้าตาดีไหม คนเขาพูดเก่งไหม คนพูดเถียงคนอื่นเก่งหรือเปล่า ฯลฯ

 

และด้วยความที่ผู้เชี่ยวชาญมะนาวไม่มีความสามารถที่แท้จริงเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญพีช แรงจูงใจที่เขามีในการลงทุนสร้างภาพจึงมีมากกว่าผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเยอะ 

 

ผลที่ได้ก็คือ เราจะมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถไม่จริง แต่เป็นคนที่พูดเก่ง เถียงเก่ง รู้ไปหมดทุกอย่างในตลาด และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ผู้เชี่ยวชาญมะนาวที่พูดเก่ง คุยสนุกเหล่านี้ ก็จะเป็นคนที่ผู้บริโภคชอบดูมากกว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถจริงๆ (เพราะผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถจริงๆ ส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบฟันธง มักจะมีความระมัดระวังในสิ่งที่ตนเองพูดมากกว่าคนอื่น เพราะพวกเขาเหล่านี้รู้ดีว่า บทสรุปของเรื่องในแต่ละเรื่องสามารถเปลี่ยนไปตามข้อมูลข่าวสารที่มีในแต่ละช่วงเวลา)

 

ยิ่งไปกว่านั้น พอผู้เชี่ยวชาญพีชรู้ว่า ความเชี่ยวชาญที่เขามีไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนต้องการ พวกเขาก็จะผันตัวเองออกจากตลาดของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ซึ่งก็จะทำให้ค่าเฉลี่ยของคุณภาพผู้เชี่ยวชาญในบ้านเราตกไปอีกตามๆ กัน

 

สรุปก็คือ ยิ่งเรามี Asymmetrical Information ระหว่างคนซื้อและคนขายมากเท่าไร แรงจูงใจของคนที่ขายของคุณภาพไม่ดีในการสร้างภาพภายนอกให้ดูเหมือนว่าตัวเองมีสินค้าคุณภาพดีก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งมันมากกว่าแรงจูงใจที่เขาจะมีให้กับการพัฒนาทักษะและความสามารถที่แท้จริงเยอะ 

 

และถ้าพวกเขาสามารถสร้างภาพได้สำเร็จ คนที่มีสินค้าคุณภาพจริงๆ ก็ไม่อยากจะอยู่ในตลาดจอมปลอมนี้อีกต่อไป ซึ่งคนที่เสียประโยชน์จริงๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นประชาชนผู้บริโภคอย่างเราๆ นี่เอง

 

จากลูกพีชลูกหนึ่ง…ในตลาดที่มองไปทางไหนก็มีแต่แตงโมลูกใหญ่เต็มไปหมด

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

The post คนเก่งจริงไม่มีที่ยืน รู้จักทฤษฎี Asymmetrical Information ที่ทำให้คนสร้างภาพเป็นผู้ชนะ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Refinn ครบ 1 ปี รีไฟแนนซ์ปลดล็อกหนี้บ้านกว่า 1,300 ล้านบาท เตรียมดึง AI ช่วยปลดหนี้ https://thestandard.co/refinn/ https://thestandard.co/refinn/#respond Tue, 05 Sep 2017 08:43:09 +0000 https://thestandard.co/?p=24585

     Refinn เป็นสตาร์ทอัพด้านฟินเทค (Fin […]

The post Refinn ครบ 1 ปี รีไฟแนนซ์ปลดล็อกหนี้บ้านกว่า 1,300 ล้านบาท เตรียมดึง AI ช่วยปลดหนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

     Refinn เป็นสตาร์ทอัพด้านฟินเทค (FinTech) ที่เราแอบจับตามองตั้งแต่ตอนเปิดตัวเดือนกันยายนปีที่แล้ว ด้วยการหยิบเรื่องการรีไฟแนนซ์ที่อยู่อาศัย ซึ่งถูกมองว่า ‘ไกลตัว’ และ ‘ยุ่งยาก’ มาจับคู่กับนวัตกรรมและให้บริการทางออนไลน์ โดยรวบรวมโปรโมชันจากธนาคารชั้นนำ มาคำนวณเปรียบเทียบเพื่อนำเสนอโปรโมชันที่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการแต่ละราย หวังช่วยคนไทยลดภาระหนี้และประหยัดเงินจากดอกเบี้ย โดยมี กรณ์ จาติกวณิช ประธานชมรมฟินเทคแห่งประเทศไทย เป็นหัวเรือใหญ่ของบริษัท

     ที่ผ่านมาเราเห็นสตาร์ทอัพรายนี้ไปปรากฏตัวตามโครงการและงานชุมนุมของเหล่าสตาร์ทอัพระดับสากล ขณะที่กระแสรีไฟแนนซ์ออนไลน์เริ่มขยายสู่วงกว้างยิ่งขึ้น จนกระทั่งเมื่อวานนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับทีมผู้บริหาร Refinn ในงานแถลงข่าวครบรอบ 1 ปี ถึงความก้าวหน้าของธุรกิจ กระแสตอบรับ และโจทย์ที่รออยู่เบื้องหน้า ภายใต้การนำของซีอีโอคนใหม่ พรพิมล ปฐมศักดิ์ ที่มีประสบการณ์การทำงานธนาคารกว่า 10 ปี

 

กรณ์ จาติกวณิช ประธาน บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอทคอม จำกัด

 

1 ปี กับการรีไฟแนนซ์ 600 ครัวเรือน วงเงินสินเชื่อรวม 1,300 ล้านบาท

     กรณ์ จาติกวณิช ประธาน บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอทคอม จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาพบว่า คนไทยสนใจและตื่นตัวเรื่องการรีไฟแนนซ์ที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น จากยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์กว่า 4 แสนราย มีผู้ยื่นขอรีไฟแนนซ์ผ่านเว็บไซต์ www.refinn.com คิดเป็นวงเงินกว่า 32,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา Refinn ได้เข้ามาช่วยลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปแล้ว 600 ครัวเรือน คิดเป็นวงเงินรวม 1,300 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อยทีเดียว โดยชี้ว่าแต่ละครอบครัวจะสามารถลดภาระเงินผ่อนจากดอกเบี้ยได้เดือนละประมาณ 6,000 บาท และคาดว่าภายในสิ้นปี 2560 จะมียอดอนุมัติไม่ต่ำกว่า 3,400 ล้านบาท

     กรณ์ชี้ว่า ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนไทยปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนักวิชาการมองว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

     “Refinn ตั้งเป้าตั้งแต่แรกว่าเราอยากช่วยลดภาระหนี้สินให้กับคนไทย เริ่มต้นจากเงินกู้ซื้อบ้าน ซึ่งถือเป็นภาระก้อนใหญ่ที่สุดของคนไทยที่เป็นหนี้ หนี้โดยรวมในระบบการเงินไทยที่กู้ยืมมาเพื่อซื้อบ้านเป็นวงเงินถึง 3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุด

     “พอหนี้เยอะ กำลังซื้อของประชาชนก็ลดลง” กรณ์กล่าว

     “หัวใจของฟินเทคคือ ทำอย่างไรที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่สะดวก เป็นธรรม มีต้นทุนน้อยลง ถ้าตอบโจทย์นี้ได้ ฟินเทคก็จะไปได้ไกล หากไม่ได้ก็จะเป็นแค่กระแสที่ผ่านไปไม่มีการพัฒนา”

 

 

     ทีม Refinn ตั้งข้อสังเกตว่า ในเมื่อประชาชนไทยกู้เงินมาซื้อบ้านค่อนข้างมาก แล้วทำไมมูลค่าของการรีไฟแนนซ์ต่อปีจึงค่อนข้างน้อย ก่อนการก่อตั้ง Refinn มีเม็ดเงินจากการรีไฟแนนซ์ต่อปีประมาณ 6 หมื่นล้านบาท เทียบกับหนี้โดยรวมในระบบ 3 ล้านล้านบาท

     นั่นเพราะคนเข้าไม่ถึงข้อมูลส่วนของการกู้เงิน และขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์ แค่จะไล่ศึกษาข้อเสนอสินเชื่อบ้านจากธนาคารแต่ละเจ้าเพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ดีที่สุดก็อาจทำให้หลายคนถอดใจไปก่อน สิ่งที่ Refinn ทำก็คือ เป็นศูนย์กลางที่รวบรวมข้อมูลโปรโมชันของธนาคารแต่ละเจ้าไว้ที่เดียว เพื่อคำนวณเปรียบเทียบโปรโมชันที่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการแต่ละเคส และช่วยตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้อง และครบถ้วน ตลอดจนช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากซับซ้อน นอกจากนี้ ทีมงานยังดึงผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยให้คำปรึกษา วิเคราะห์ และประเมินโอกาสที่ผู้ใช้บริการจะยื่นขอรีไฟแนนซ์ผ่านอีกด้วย ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกวางใจ และประหยัดเวลาการศึกษาข้อมูลเอง ซึ่งนับว่าตอบโจทย์ Pain Point ได้ตรงจุด

     ปัจจุบัน ตลาดสินเชื่อบ้านมีมูลค่ากว่า 3.4 ล้านล้านบาท ภาพรวมของธุรกิจสินเชื่อบ้านในปีนี้มีการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ มีการขยายตัวสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่เพิ่มขึ้น 3-5% บ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการรีไฟแนนซ์ในอนาคต จากการสำรวจปัจจุบัน มีผู้สนใจรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เนื่องจากผู้กู้สินเชื่อบ้านตื่นตัวและให้ความสนใจในการลดดอกเบี้ย และเห็นประโยชน์อื่นๆ มากขึ้น ซึ่งประมาณการขนาดของตลาดอยู่ที่ 3 แสนล้านบาท

     ด้าน พรพิมล ปฐมศักดิ์ ซีอีโอคนใหม่ของ Refinn กล่าวถึงภาพรวมควาสำเร็จที่ผ่านมาว่าเป็นที่น่าพอใจ คนไทยตื่นตัวเรื่องการรีไฟแนนซ์มากขึ้น ธุรกิจเติบโตถึง 30% เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM)

     “ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมามีประชาชนสนใจเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์ผ่านเว็บไซต์โดยรวมประมาณกว่า 4 แสนคน ในส่วนนี้เป็นประชาชนที่มีภาระหนี้ในปัจจุบัน มีผู้เสนอขอรีไฟแนนซ์ผ่าน Refinn คิดเป็นวงเงิน 32,000 ล้านบาท สังเกตได้ว่าเป็นมูลค่ากว่าครึ่งของการรีไฟแนนซ์ในปีปกติก่อนหน้าที่จะมี Refinn”

 

พรพิมล ปฐมศักดิ์ ซีอีโอคนใหม่ของ Refinn

 

ดึง Big Data และ Machine Learning ช่วยคนไทยปลดหนี้

     สำหรับเป้าหมายในปีนี้ของ Refinn พรพิมลเปิดเผยว่า จะมุ่งพัฒนาเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายขึ้น และเริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ เพื่อที่จะกระตุ้นให้ธุรกิจเติบโตในแนวดิ่ง (Hockey Stick Growth) ตามเป้าหมายของบริษัท และขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดในอนาคต โดยเน้นการพัฒนา 3 มิติด้วยกัน คือ

  • ผลิตภัณฑ์: เพิ่มบริการสินเชื่อลดภาระหนี้ หรือ บ้านแลกเงิน (Home for Cash)
  • พาร์ตเนอร์: เตรียมเจรจาขยายพันธมิตรกับธนาคารและกลุ่ม non-bank
  • เทคโนโลยี: นำ Machine Leaning และ Big Data เข้ามาใช้ศึกษากลุ่มลูกค้าและพัฒนาบริการ เช่น คัดกรองข้อเสนอจากธนาคารให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้บริการ ประเมินโอกาสเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธ พัฒนาระบบให้แจ้งผลแบบเรียลไทม์ และลดขั้นตอนการรีไฟแนนซ์

 

     ด้าน นพ-พงศธร ธนบดีภัทร ผู้ร่วมก่อตั้งและ Chief Operation Officer บอกกับเราว่า ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาแอปพลิเคชันที่รองรับการคำนวณสำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเงินด้วย

     “การรีไฟแนนซ์ 3-5 ปี คนใช้บริการแค่ 1 ครั้ง อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้แอปฯ ดูข้อมูลเสร็จลบแอปฯ ทิ้ง มันไม่เหมือนกับ Internet Banking ที่จะต้องเข้าใช้ทุกวัน ดังนั้น เว็บไซต์ก็ค่อนข้างที่จะตอบโจทย์ แต่เรากำลังมีแผนจะพัฒนาแอปฯ ตัวนี้ด้วย จะเป็นเครื่องมือแอดวานซ์มากขึ้นให้กับคนที่ต้องการคำนวณวางแผนทางการเงิน การบริหารหนี้ ผมว่าคนไทยยังขาดเรื่องการวางแผนเยอะ”

     พงศธรกล่าวว่า การใช้ Machine Learning และ Big Data เข้ามาต่อยอดกับข้อมูลของลูกค้าจะช่วยพัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อคัดกรองข้อเสนอที่เหมาะสมกับเงื่อนไขของลูกค้า เช่น ประวัติการทำงาน รายได้ รวมทั้งวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยง ขณะที่ Chatbot ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองใช้เท่านั้น

     “เราเอาข้อมูลเหล่านั้นมาช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสยื่นรีไฟแนนซ์ผ่านมากขึ้น ตอนนี้ยอมรับว่าเรายังใช้ specialist ตอบคำถาม และให้คำปรึกษาในบางเคสอยู่ แต่พอเรามีข้อมูลมากขึ้น บอต, Machine Learning และ Big Data มันคงฉลาดมากพอที่จะสามารถแนะนำลูกค้าแต่ละประเภทได้ บางคนเขาแค่อยากจะวางแผนการเงิน สมมติว่ายังไม่ครบ 3 ปี แต่จะรีไฟแนนซ์ บอตจะแนะนำเขาได้ว่าเขาต้องเตรียม statement อย่างไร เขาต้องดูแลวิธีการชำระบัตรเครดิตอย่างไรเพื่อให้รีไฟแนนซ์ผ่านและลดภาระหนี้ได้ ผมว่ามันคงประโยชน์ตรงนั้น”

 

 

ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อบ้าน กระตุ้นการเติบโตในแนวดิ่ง

     จุดที่น่าสนใจอีกประการคือ ทำไม Refinn จึงเลือกคนในวงการแบงก์โดยตรงอย่าง พรพิมล ปฐมศักดิ์ ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสินเชื่อเพื่อบุคคลทั่วไป ธนาคารแบงค์ออฟไชน่า เข้ามาดำรงตำแหน่งซีอีโอต่อจาก นิลทิตา เลิศเรืองศุภกุล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท (ปัจจุบันเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหาร) เพราะไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นตำแหน่งซีอีโอสตาร์ทอัพไทยเปลี่ยนมือเร็วในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ

     หรือนี่จะเป็นสัญญาณสะท้อนให้เห็นว่าฟินเทคนี้มีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็วชนิด ‘พุ่งทะยาน?’

     พรพิมล กล่าวกับ THE STANDARD ว่า “จริงๆ แล้วฟินเทคหรือสตาร์ทอัพ ผู้ก่อตั้ง (founder) อาจจะไม่ใช่คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (expertise) แต่มีความมุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจที่ดี เมื่อถึงจุดหนึ่งที่จะไปต่อ ก็อาจจะต้องมี domain expert หรือมีคนที่รู้เรื่องการทำธุรกิจเฉพาะทางเข้ามา add value ตรงนี้ ดังนั้น เขาก็เลยชวนมาทำด้านนี้ เพื่อที่จะผลักดันให้ไปถึง wave ต่อไป

     “เราเข้ามาร่วมกับบริษัทนี้ได้ประมาณ 3 เดือน performance expertise เป็นตัวที่เห็นได้ชัดมากกว่าหลายๆ อย่าง ประสิทธิภาพ (efficiency) มันสูงขึ้น เพราะว่างานพวกนี้เป็นงานที่เราทำอยู่แล้วในแบงก์ ปรับเปลี่ยนกระบวนการ คัดเลือกลูกค้าให้ตรง ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง แล้วก็ติดต่อกับแบงก์ที่เรารู้จัก ให้มีผู้ประสานงาน ตามงานได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรานำมาประยุกต์ใช้ จะเห็นได้ทันทีเลยว่าช่วงเวลาของการทราบผลอนุมัติมันสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด (จากเดิมระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อ 118 วัน) การติดตามเคส จากเมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องถามใครที่ธนาคาร เราก็จะมีคอนเน็กชัน พูดคร่าวๆ คือ เราจัดโครงสร้างการทำงานใหม่ และสร้าง dashboard กำหนด KPI กำหนดเป้าหมายของแต่ละทีมงาน พวกนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้รวดเร็วขึ้น”

     เมื่อถามว่ารายได้ของ Refinn มาจากที่ไหนในเมื่อไม่ได้เก็บค่าใช้บริการ พรพิมลชี้ว่า ปัจจุบันรายได้หลักของ Refinn มาจากค่าคอมมิชชันจากธนาคาร โดยที่ธนาคารเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อ เพราะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลและข้อเสนอต่างๆ ของธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมย้ำว่าไม่ใช่คู่แข่งธนาคาร ปัจจุบัน Refinn เป็นพันธมิตรกับ 1 ใน 3 ของธนาคารในตลาด และเผยว่าไม่มีแผนจะคิดค่าบริการกับลูกค้า แต่ในอนาคตอาจมองเรื่องรายได้เสริมในมุมอื่นๆ

     “เราต้องการให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจที่จะเข้ามาใช้ข้อมูลได้อย่างที่ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ แล้วเราก็จะใช้กับแบงก์ในแต่ละเคสด้วย ถ้าสมมติไม่สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าสำเร็จ แบงก์ถึงจะจ่ายค่าคอมมิชชันให้กับเรา”

     เมื่อถามว่าอะไรคือปัจจัยสู่ความสำเร็จของการยืนธุรกิจในระยะยาวของ Refinn พรพิมลกล่าวทิ้งท้ายว่า “ตลาดมันใหญ่มากค่ะ ถ้าเราเพิ่มจำนวนอนุมัติได้ ค่าธรรมเนียมรายรับเราค่อนข้างมหาศาลนะ แต่ตอนนี้เราอยากจะเกาะกลุ่มที่เกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน แค่อย่างเดียวมันก็มหาศาลแล้วนะ”

     น่าจับตามองต่อไปว่าฟินเทคไทยรายนี้จะช่วยปลดล็อกหนี้คนไทยได้สำเร็จจริงหรือไม่

 

อ้างอิง:

The post Refinn ครบ 1 ปี รีไฟแนนซ์ปลดล็อกหนี้บ้านกว่า 1,300 ล้านบาท เตรียมดึง AI ช่วยปลดหนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/refinn/feed/ 0