ความมั่นคงทางด้านพลังงาน – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 23 Aug 2024 06:32:28 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 แม่น้ำโขง ความมั่นคงทางพลังงาน vs. ความมั่นคงทางอาหาร https://thestandard.co/mekong-river-energy-vs-food/ Mon, 19 Aug 2024 13:55:23 +0000 https://thestandard.co/?p=972811

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน […]

The post แม่น้ำโขง ความมั่นคงทางพลังงาน vs. ความมั่นคงทางอาหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (Power Development Plan: PDP 2024) โดยเป้าหมายของแผน PDP 2024 ประการหนึ่งคือ จะให้ความสำคัญกับ ‘พลังงานสะอาด’

 

พลังงานสะอาดหมายถึงพลังงานที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานจากน้ำในเขื่อน

 

โดยในแผนจะมีการ ‘ซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ’ เพิ่มอีก 3,500 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าหมายถึงโครงการไฟฟ้าจากเขื่อนใน สปป.ลาว โดยอ้างว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นพลังงานสะอาด

 

โรงไฟฟ้าพลังน้ำอ้างว่าเป็นพลังงานสะอาด เพียงเพราะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหินหรือก๊าซ แต่ในความเป็นจริง แต่ละปีเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วโลกปล่อยก๊าซมีเทน (ก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งที่อันตรายกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 80 เท่า แต่อยู่ในชั้นบรรยากาศไม่นานเท่า) ปริมาณกว่า 22 ล้านตัน 

 

ปกติก๊าซมีเทนในอ่างเก็บน้ำจะเกิดจากซากพืช ซากสัตว์ ที่เน่าเปื่อยและละลายอยู่ในน้ำ แต่เมื่อน้ำไหลผ่านกังหันเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจะทำให้น้ำเกิดความปั่นป่วนและปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

 

ทุกวันนี้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์มีราคาหน่วยละ 2.17 บาท ถูกกว่าพลังงานจากเขื่อนที่มีราคาสูงถึง 2.82 บาท

 

แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดมาจากการละลายของน้ำแข็งและหิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบตในประเทศจีน บนระดับความสูง 5,000 เมตร ผ่านประเทศจีน ไหลเป็นแนวดิ่งผ่านโตรกเขา ลดระดับเป็นแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดสายน้ำที่ไหลเร็ว เชี่ยวกราก ตัดผ่านร่องเขาสูงชันนับร้อยเมตรสลับซับซ้อนหลายแห่งเป็นระยะทางกว่า 2,500 กิโลเมตร เรียกกันว่าเป็นแม่น้ำโขงตอนบน จนเมื่อไหลมาถึงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ แนวเขตประเทศไทย-สปป.ลาว-พม่า ลดความรุนแรง เหลือระดับความสูงแค่ 500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่เรียกว่าแม่น้ำโขงตอนล่าง

 

ตลอดเส้นทางที่แม่น้ำโขงผ่านจะมีสายน้ำหลายร้อยสายจากลุ่มน้ำสองฟากฝั่งไหลมาเติมน้ำในแม่น้ำโขง เช่น แม่น้ำมูล, แม่น้ำชี, แม่น้ำสงคราม, หนองหาน, ทะเลสาบเขมร ฯลฯ หล่อเลี้ยงให้แม่น้ำโขงเป็นสายเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงผู้คนหลายร้อยล้านคนไปจนออกปากแม่น้ำในเวียดนาม

 

แม่น้ำโขงจึงเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ ปล่อยน้ำออกมาเฉลี่ยปีละ 4.75 แสนล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับ 8 ของโลก

 

ด้วยลักษณะพิเศษของแม่น้ำสายนี้ คือมีปริมาณน้ำมาเติมจากสองแหล่งใหญ่ๆ คือจากการละลายของน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยประมาณร้อยละ 20 และปริมาณน้ำอีกมหาศาลร้อยละ 80 มาจากลำน้ำนับร้อยสาขาตลอดสองฟากฝั่งที่ไหลผ่านไทย, พม่า, สปป.ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม

 

ในอดีตความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของระบบนิเวศของสายน้ำต่างๆ ที่ไหลลงแม่น้ำโขง ก่อให้เกิดชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมากมาย มีการประเมินว่าแม่น้ำโขงที่มีความยาว 4,909 กิโลเมตร ยาวเป็นอันดับ 10 ของโลก แต่มีพันธุ์ปลาน้ำจืดชนิดต่างๆ ประมาณ 1,200-1,700 ชนิด กลายเป็นแม่น้ำที่มีความหลากหลายของพันธุ์ปลามากเป็นอันดับ 2 ของโลก

 

ลุ่มน้ำโขงยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่า 430 ชนิด สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกกว่า 800 ชนิด นก 1,200 ชนิดพันธุ์ และพันธุ์พืชอีกกว่า 20,000 ชนิด

 

แต่ละปีมีการจับปลาในแม่น้ำโขงมากกว่า 2.6 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 25 ของปริมาณการจับปลาน้ำจืดทั่วโลก โดยมีมูลค่าการทำประมงต่อปีอยู่ที่ 1.27-2.31 แสนล้านบาท และปลาเหล่านี้ยังว่ายไปสู่แม่น้ำมูล แม่น้ำชี กระจายไปทั่วภาคอีสาน ทำให้โปรตีนร้อยละ 75 ของคนลุ่มน้ำโขง 60 ล้านคน มาจากปลาแม่น้ำโขง

 

นอกจากนั้น ความสำคัญของแม่น้ำไม่ได้มีเพียงแค่น้ำ แต่ตะกอนที่ไหลมากับน้ำช่วยเพิ่มสารอาหาร เป็นปุ๋ยธรรมชาติในการเพาะปลูกตลอดลุ่มน้ำโขง และช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม รวมถึงเกาะแก่งจำนวนมากตลอดลำน้ำโขงที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำหลายชนิด

 

ความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าวของแม่น้ำโขงช่วยเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ให้กับไร่นาด้วยตะกอนดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ป่าไม้และพื้นที่ชุ่มน้ำก็เป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญให้กับการอุตสาหกรรม ช่วยกรองน้ำและฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ รวมถึงปกป้องเมืองต่างๆ จากภัยธรรมชาติอย่างอุทกภัยและวาตภัย

 

แม่น้ำโขงจึงเป็นพื้นที่สำคัญในการรักษาความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้คนลุ่มน้ำโขงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

 

แต่หลายสิบปีที่ผ่านมา แม่น้ำโขงถูกทำให้กลายเป็นแหล่งความมั่นคงทางพลังงาน

 

หลังจากการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขงในประเทศจีนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน สายน้ำของแม่น้ำโขงไม่ได้ไหลเป็นธรรมชาติอีกต่อไป เพราะจีนเป็นผู้ควบคุมปิด-เปิดการไหลของน้ำในแม่น้ำโขงจากเขื่อนหลายแห่งที่สร้าง เช่น เขื่อนม่านวาน เขื่อนแรกที่สร้างเสร็จในปี 2539 เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาด 1,500 เมกะวัตต์ (ใหญ่กว่าเขื่อนภูมิพลประมาณสามเท่า)

 

ทุกปีในฤดูแล้ง แม่น้ำโขงตอนล่างจะลดระดับต่ำ สองฟากฝั่งเป็นหาดทรายยาว บางแห่งระดับน้ำลดลงเหลือไม่ถึงหนึ่งเมตร สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้น้ำด้านล่างมาตลอด โดยในปี 2564 เขื่อนในจีนส่งผลให้กระแสน้ำในฤดูน้ำหลากลดลงมากถึง 62% 

 

ที่ผ่านมารัฐบาลจีนกำหนดให้มณฑลยูนนานเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าสำคัญของประเทศจีนทางตอนใต้ มีโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงตอนบนอีก 14 เขื่อน คาดว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้า 25,000 เมกะวัตต์ และมีเขื่อนแห่งหนึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ถือเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุด คือเขื่อนเสี่ยววาน ความสูง 292 เมตร (สูงเกือบเท่าตึก 100 ชั้น) จุน้ำประมาณ 1.4 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร และผลิตไฟฟ้าได้ 4,000 เมกะวัตต์

 

แต่ในอนาคตรัฐบาลจีนตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนให้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ถึง 1 แสนเมกะวัตต์ ซึ่งหมายถึงโครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่อีกหลายสิบเขื่อน

 

ส่วนแม่น้ำโขงตอนล่าง รัฐบาล 4 ประเทศ สปป.ลาว, ไทย, กัมพูชา และเวียดนาม ก็ร่วมกันเสนอแผนสร้างเขื่อน 11 โครงการ ทั้งบนแม่น้ำโขงสายหลักและแม่น้ำสาขา 9 เขื่อนอยู่ใน สปป.ลาว ภายใต้นโยบาย ‘แบตเตอรี่ของเอเชีย’ โดยมีประเทศไทยเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าหลักจากโครงการเขื่อนเหล่านี้ ส่วนในกัมพูชามีแผนการสร้างเขื่อน 2 โครงการ ขณะนี้มี 2 เขื่อนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ คือเขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนดอนสะโฮง

 

คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) จัดทำรายงานการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการบริหารจัดการแม่น้ำโขงที่ยั่งยืน รายงานฉบับนี้ใช้เวลาศึกษา 7 ปี มีเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลต่อประเทศสมาชิก คือ กัมพูชา, สปป.ลาว, ไทย และเวียดนาม (จีนไม่ยอมเป็นสมาชิก เพราะไม่ยอมอยู่ภายใต้ข้อตกลงของกรรมาธิการนี้) ได้เห็นด้านบวกและด้านลบของการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง 11 แห่ง และเขื่อนอีก 120 แห่งในแม่น้ำสาขา 

 

โดยรายงานชิ้นนี้ระบุว่า ภายในปี 2583 ร้อยละ 97 ของการไหลของตะกอนอาจถูกดักไว้ หากโครงการสร้างเขื่อนทั้งหมดที่วางแผนไว้เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้ขาดแร่ธาตุอาหาร ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตร ทำให้ปริมาณข้าวที่ผลิตได้บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่เรียกว่า ‘เก้ามังกร’ ในประเทศเวียดนาม อู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของเอเชีย ลดลงราว 5 แสนตัน

 

ในขณะที่ปริมาณสัตว์น้ำจะลดลงอย่างมาก ด้านประมงลดลง 35-40% ภายในปี 2563 และ 40-80% ภายในปี 2583 ทำให้ประเทศต่างๆ สูญเสียปริมาณสัตว์น้ำสัดส่วนดังนี้ คือ ไทย 55%, สปป.ลาว 50%, กัมพูชา 35% และเวียดนาม 30%

 

การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ รวมทั้งการสูญเสียด้านประมง จะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารอย่างรุนแรงในชุมชนต่างๆ ของ สปป.ลาว และกัมพูชา แต่กำไรส่วนใหญ่จากการผลิตไฟฟ้าจะตกเป็นของบริษัทผู้ลงทุนจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นไทย, จีน, มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ในขณะที่ต้นทุนจากโครงการเหล่านี้จะต้องแบกรับโดยชุมชนชาวประมงและเกษตรกรในประเทศ 

 

กระแสไฟฟ้าจากเขื่อนอาจไม่ใช่พลังงานสะอาดอย่างที่กล่าวอ้าง แต่กำลังจะทำลายความมั่นคงทางอาหารของคนเกือบร้อยล้านคนตลอดลุ่มน้ำ ขณะที่ผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรมหาศาลของแม่น้ำโขงเข้ากระเป๋านักธุรกิจเพียงไม่กี่กลุ่ม ภายใต้คำว่า ‘ความมั่นคงทางพลังงาน’

The post แม่น้ำโขง ความมั่นคงทางพลังงาน vs. ความมั่นคงทางอาหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลเวียดนามรับแรงกดดันไม่ไหว เตรียมให้สิทธิพิเศษซัพพลายเออร์บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเข้าถึงไฟฟ้าก่อน วอนภาคผลิตลดใช้ไฟ 50% https://thestandard.co/vietnamese-gov-provide-big-supplier-privileges/ Fri, 09 Jun 2023 10:08:15 +0000 https://thestandard.co/?p=801279 vietnam

รัฐบาลเวียดนามรับแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจไม่ไหว เ […]

The post รัฐบาลเวียดนามรับแรงกดดันไม่ไหว เตรียมให้สิทธิพิเศษซัพพลายเออร์บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเข้าถึงไฟฟ้าก่อน วอนภาคผลิตลดใช้ไฟ 50% appeared first on THE STANDARD.

]]>
vietnam

รัฐบาลเวียดนามรับแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจไม่ไหว เตรียมให้สิทธิพิเศษกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่เวียดนามตอนเหนือเข้าถึงไฟฟ้าก่อนอันดับแรก และขอให้บางโรงงานลดการใช้ไฟลง 50% ขณะเดียวกันจะเร่งเพิ่มปริมาณไฟฟ้าเข้าระบบ เน้นบริหารจัดการโครงการพลังงานหมุนเวียนที่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วให้นำมาใช้โดยเร็ว และเจรจาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นครั้งแรก

 

ปัญหาไฟฟ้าดับต่อเนื่องของเวียดนามยังไม่คลี่คลาย หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทยุโรปเรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามหาแนวทางเร่งด่วน เพื่อรองรับผลกระทบจากไฟดับและตกบ่อยครั้ง ในพื้นที่ศูนย์กลางการผลิตของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung Electronics, Foxconn, Canon และ Luxshare จนรัฐบาลต้องออกมาตรการเร่งด่วน

 

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลเวียดนามออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ว่า ได้ให้สิทธิพิเศษโรงงานขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของเวียดนาม ซึ่ง Samsung Electronics และซัพพลายเออร์ของ Apple ดำเนินการอยู่ ภายใต้การบริหารจัดการไฟฟ้าของ Vietnam Electricity Group ซึ่งเป็นของรัฐ และสิทธิพิเศษนี้เป็นไปตามคำร้องขอของรัฐบาลส่วนภูมิภาค ภายหลังจากเกิดเหตุกรณีอุณหภูมิที่ร้อนระอุส่งผลต่ออ่างเก็บน้ำไฟฟ้าพลังน้ำลดลง กำลังสร้างความตึงเครียดให้กับโครงข่ายไฟฟ้าป้อนสู่โรงงานหลายพันแห่งภายในสวนอุตสาหกรรม ที่ขณะนี้รัฐบาลขอให้โรงงานปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการใช้ไฟฟ้าอย่างรัดกุม 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามได้รับแรงกดดันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม นอกจากจะให้สิทธิพิเศษโรงงานขนาดใหญ่ในการเข้าถึงไฟฟ้าโดยเร็วที่สุดเเล้ว ยังพยายามหาวิธีเพิ่มปริมาณไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการโครงการพลังงานหมุนเวียนที่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว ให้นำมาใช้อย่างรวดเร็ว หรือการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นครั้งแรก

 

รายงานข่าวระบุอีกว่า บริษัทไฟฟ้าหรือที่รู้จักกันว่า การไฟฟ้าแห่งเวียดนาม (Electricity of Vietnam: EVN) ได้ลดกำลังการผลิตไฟฟ้าทางตอนเหนือลงถึง 30% หรือมากถึง 10% ของการใช้ไฟฟ้าของภูมิภาค เพื่อป้องกันไฟฟ้าเกินพิกัด และเพื่อรองรับความปลอดภัยของระบบ เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่และโรงงานที่จ้างคนงานจำนวนมากเริ่มได้รับผลกระทบ 

 

นอกจากนี้ หน่วยงานภายในยังขอให้รัฐบาลเพิ่มปริมาณการผลิตถ่านหินและก๊าซ เพื่อหาทางออกที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ท่ามกลางคลื่นความร้อนและพลเมืองส่วนใหญ่ต้องประหยัดไฟฟ้า ส่งผลให้การบริโภคประจำวันลดลงประมาณ 2.5% 

 

รัฐบาลส่งหนังสือขอให้สวนอุตสาหกรรมลดใช้ไฟฟ้า

รายงานข่าวจาก Nikkei Asia รายงานว่า บริษัทพลังงานภายใต้รัฐบาลเวียดนาม ขอให้โรงงานในสวนอุตสาหกรรมใกล้กรุง Hanoi ลดการใช้ไฟฟ้าลง 50% เนื่องจากอุณหภูมิยังสูง บวกกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เพราะต่างกังวลว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ไฟฟ้าจะดับเป็นวงกว้าง

 

โดยนอกจากอุตสาหกรรมในจังหวัด Bac Ninh ทางตอนเหนือที่มีฐานการผลิตหลายแห่ง สวนอุตสาหกรรม Thang Long ยังได้รับหนังสือขอความร่วมมือให้ลดการใช้ไฟฟ้าด้วย อีกทั้งบริษัทการค้าของญี่ปุ่น Sumitomo ถูกขอให้ลดการใช้ไฟฟ้าในเช้าวันศุกร์ถึงเย็นวันอาทิตย์ แต่มาตรการนี้อาจส่งผลให้ Sumitomo ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ ต้องหาแนวทางพิจารณาเยียวยา เพื่อลดผลกระทบต่อผู้เช่าซึ่งรวมถึงบริษัทญี่ปุ่น เช่น Panasonic, ผู้ผลิตห้องน้ำ TOTO และ Shin-Etsu Chemical บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับซิลิโคน

 

ส่องบริษัทระดับโลกตั้งฐานการผลิตเวียดนามตอนเหนือ

THE STANDARD WEALTH สำรวจบริษัทระดับโลกที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตในประเทศเวียดนามตอนเหนือ มีทั้ง Foxconn บริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต และชุดจอภาพทีวี ให้กับแบรนด์ทั่วโลก เช่น Sony, Dell, Xiaomi และยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung ที่มีการผลิตมากกว่า 50% ของสมาร์ทโฟนทั้งหมดอยู่ในประเทศเวียดนาม

 

รวมทั้ง Canon มีโรงงานผลิต 4 แห่ง และบริษัท Luxshare Precision Industry (Luxshare ICT) ที่เป็นหนึ่งในบริษัทที่ Apple ทำสัญญาจ้างผลิต และมีรายงานข่าวระบุว่า กำลังจ้างพนักงานหลายราย เพื่อผลิตชุดประกอบหูฟังไร้สายแอร์พอดส์ (AirPods)

 

ส่วนพื้นที่อื่นข้างเคียงมีบริษัทระดับโลกอีกหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Intel ที่มีแหล่งการประกอบและทดสอบที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ Saigon ที่ร่วมมือกับ Vingroup ยักษ์ใหญ่เวียดนาม ผลิตและพัฒนาชิปให้กับรถ EV อย่าง VinFast นอกจากนี้ยังมี Lego ที่ได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานในเวียดนามเมื่อปี 2021 รวมถึง LG และยังมี IKEA ที่มีการผลิตในเวียดนามคิดเป็นเกือบ 100% ของซัพพลายเออร์ของตกแต่งช่างฝีมือที่มีทักษะ

 

สำหรับเอกชนไทยรายใหญ่ที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม มีทั้งเซ็นทรัล, กลุ่มทีซีซี (TCC Group), เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP), ไทยออยล์, อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA), เครือซิเมนต์ไทย (SCG), Gulf Group, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM), บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BPP) และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) 

 

อ้างอิง: 

The post รัฐบาลเวียดนามรับแรงกดดันไม่ไหว เตรียมให้สิทธิพิเศษซัพพลายเออร์บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเข้าถึงไฟฟ้าก่อน วอนภาคผลิตลดใช้ไฟ 50% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: จุดหมายระหว่างทาง https://thestandard.co/video-destination-along-the-way/ Mon, 07 Dec 2020 04:00:54 +0000 https://thestandard.co/?p=429237 จุดหมายระหว่างทาง PTTPLC

การทำงานทางด้านปิโตรเคมีคืองานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค […]

The post ชมคลิป: จุดหมายระหว่างทาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จุดหมายระหว่างทาง PTTPLC

การทำงานทางด้านปิโตรเคมีคืองานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค ซึ่งต้องสร้างความสมดุลเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงาน การเป็นผู้บริหารจึงเหมือนการแบกภาระต่างๆ ไว้บนบ่า

 

กฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย กับงานด้านการบริหารปิโตรเลียมและไลฟ์สไตล์ชีวิตที่นำไปสู่การบริหารองค์กรอย่างมีคุณภาพ

 

[Advertorial]

The post ชมคลิป: จุดหมายระหว่างทาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนาคตพลังงานทางเลือกประเทศไทย กับโอกาสเปิดตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติไทย [Advertorial] https://thestandard.co/energy-absolute-go-green/ https://thestandard.co/energy-absolute-go-green/#respond Fri, 10 Aug 2018 01:50:26 +0000 https://thestandard.co/?p=112254

พลังงานที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน ทั้งไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จ […]

The post อนาคตพลังงานทางเลือกประเทศไทย กับโอกาสเปิดตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติไทย [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>

พลังงานที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน ทั้งไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือหรือเปิดเครื่องปรับอากาศ น้ำมันที่ใช้เติมยวดยานพาหนะ ก๊าซหุงต้มตามครัวเรือน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจาก ‘พลังงานฟอสซิล’ เป็นหลัก

 

ที่เรียกว่าฟอสซิลเพราะแหล่งกำเนิดมาจากซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมสะสมกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่ตลอดเวลานับล้านปีจนแปรสภาพเป็นเชื้อเพลิงในที่สุด ซึ่งเมื่อนำมาใช้แล้วย่อมหมดไป ไม่สามารถสะสมใหม่ได้ทัน อีกทั้งในการนำมาใช้ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นจำนวนมหาศาล

 

ปัญหาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากคาร์บอนไดออกไซด์หลายคนคงทราบกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะวิกฤต ‘ภาวะโลกร้อน’ ที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และฝั่งผู้ผลิตในหลายๆ ประเทศทั่วโลกกำลังตื่นตัวจนต้องเร่งปรับแผนดำเนินธุรกิจกันยกใหญ่

 

แม้คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) จะเปิดเผยว่าผลวิจัยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วง 3 ปีหลังสุดจะคงตัวมาตลอด ไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากจากจำนวน 35.8 กิโลตันในปี 2016 แบบน่าตกใจ (เพิ่มขึ้นราว 0.3% จากปี 2015) แต่เหตุผลการชะลอตัวส่วนหนึ่งก็มาจากการหันไปพึ่งพา ‘พลังงานทดแทน’ นั่นเอง

 

 

ในกลุ่มของพลังงานทดแทนนั้น พลังงานที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกเป็นอย่างมากรวมถึงประเทศไทยของเราคือ พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ซึ่งเป็นพลังงานที่ใช้แล้วไม่มีวันหมด สามารถหมุนเวียนและเกิดขึ้นใหม่ได้ ครอบคลุมตั้งแต่พลังงานจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) พลังงานลม หรือพลังงานน้ำ ฯลฯ ประโยชน์สำคัญประการต้นๆ นอกจากจะทำให้โลกสะอาดและทำให้พึ่งพาตนเองได้แล้วยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

 

ที่ประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่นหรือสหรัฐอเมริกา เราเริ่มได้เห็นการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทางเลือกรูปแบบนี้มาแล้วสักระยะ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าวิ่งกันทั่วเมือง ส่วนบ้านเรือนจำนวนไม่น้อยก็หันมาใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์แบบจริงๆ จังๆ

 

มองกลับมาที่ประเทศไทย ภาครัฐบาลของเราก็เริ่มปรับตัวกันแล้ว โดยประกาศไว้ในแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศว่าประเทศไทยจะเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน ลดการพึ่งพิงจากการนำเข้าพลังงานจากฟอสซิล โดยจะใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในสัดส่วน 25%

 

ถ้ามองไปยังการใช้พลังงานทดตามครัวเรือนอาจจะยังไม่ค่อยแพร่หลายสักเท่าไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี สภาพแวดล้อม และดินฟ้าอากาศที่ยังควบคุมได้ยากอยู่ ประกอบกับโครงสร้างขั้นพื้นฐานภายในที่ยังไม่เอื้ออำนวย

 

ยิ่งพูดถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้ายิ่งแล้วใหญ่ เพราะราคาของรถ EV (Electric Vehicles) ในท้องตลาดบ้านเรายัง ‘จับต้องได้ยาก’ และไกลเกินเอื้อม ส่วนใหญ่เป็นรถจากยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ที่ราคาไม่หนีห่างจากรถซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูงสักเท่าไร

 

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคก้อนโตกีดขวางการ Go Green แบบ 100% ของประเทศไทย

 

วิธีที่จะทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงผู้ใช้หมู่มาก เป็นมิตรกับผู้บริโภค และเข้าถึงตลาดกระแสหลักได้คือต้องทำให้มันมีราคา ‘ถูกลง’ และ ‘ง่ายขึ้น’ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงพลังงานและรัฐบาลไทยก็กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการโครงการต่างๆ อยู่ ทั้งสนับสนุนการลดหย่อนค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการ รวมถึงการร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อติดสปีดให้พลังงานทดแทนเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน ซึ่งถ้าพูดถึงบริษัทเอกชนที่ลงทุนจริงจังและเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในกลุ่มพลังงานทดแทนอย่างเป็นรูปธรรม ชื่อของ ‘พลังงานบริสุทธ์’ หรือ Energy Absolute ภายใต้ชื่อย่อว่า EA คือชื่อแรกๆ ที่เรานึกถึง

 

ถามว่าทำไมต้องเป็น EA ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะพวกเขาคือบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานสัญชาติไทยที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในช่วงระยะหลังๆ หรือตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมานี้

 

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งในปี 2549 หรือประมาณ 12 ปีที่แล้ว เริ่มต้นจากการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล ก่อนที่ในปี 2554 จะหันไปจับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 8 เมกะวัตต์ที่ลพบุรีเพื่อขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และต่อด้วยลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ขนาดแห่งละ 90 เมกะวัตต์ 3 จังหวัดคือ นครสวรรค์ ลำปาง และพิษณุโลก รวม 270 เมกะวัตต์

 

 

3 ปีถัดมา EA ยังเดินหน้าขยายอาณาจักรพลังงานบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง พวกเขาจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 8 แห่งในสงขลา นครศรีธรรมราช และชัยภูมิ ภายใต้ชื่อบริษัทย่อยที่หลากหลายแตกต่างกัน หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ยังมีโปรเจกต์ล้ำสมัยอย่างการทำโรงงานผลิตแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิต 50 กิกะวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นรายใหญ่ระดับโลก

 

จนเมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่จากการเล็งเห็นทิศทางการเติบโตของเทคโนโลยีของโลกด้วยการหันไปจับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการประกาศโปรเจกต์สร้างสถานีชาร์จประจุพลังงานไฟฟ้า

 

ก่อนที่ทิศทางต่างๆ และแผนการดำเนินงานของบริษัทจะชัดเจนขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้เอง เมื่อประกาศเปิดตัวโครงการ EA Anywhere ที่มุ่งสร้าง EV Charging Station ให้ได้ 1,000 แห่งทั่วประเทศไทยเพื่อสร้างระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทยให้สมบูรณ์ กล่าวได้ว่าทุกๆ 5 กิโลเมตร ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะสามารถพบสถานี EV Charging ของ EA Anywhere ได้

 

 

จากนั้นก็เกิดการขยับตัวครั้งใหญ่ เดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมาในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 พวกเขายังเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติไทยแบบ 100% ภายใต้แบรนด์ MINE Mobility อย่างน่าประทับใจ

 

กล่าวได้ว่าตั้งแต่ตัวถังรถ แบตเตอรี่รถยนต์ เครื่องยนต์ ฯลฯ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการออกแบบของทีมงานพลังงานบริสุทธิ์ล้วนๆ ทั้งยังใช้เทคโนโลยีจากบริษัท Amita ในไต้หวัน ที่พวกเขาได้เข้าไปลงทุนเพื่อสร้างแบตเตอรี่ที่ประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย ไม่เกิดปัญหากรณีการลัดวงจร

 

ตลอดระยะเวลา 1 ทศวรรษของบริษัทพลังงานบริสุทธิ์พลิกโฉมไปพอสมควร เริ่มต้นจากการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจด้านไบโอดีเซล ซึ่งก็เป็นพลังงานหมุนเวียนรูปแบบหนึ่ง ขยับไปสู่การเป็นพลังงานทดแทนในกลุ่มพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลม ก่อนดีดตัวเองอีกครั้งไปเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มตัว โดยมีเป้าหมายเดียวกันทั้งหมดคือ ‘Mission No Emission’ หรือภารกิจไร้มลพิษสู่โลกใบนี้

 

เป้าหมายแบบนี้อาจจะดูฟังเป็นเรื่องที่ยากเอาการอยู่เมื่อเทียบกับภาพรวมของบ้านเรือนเราในวันนี้ แต่ที่น่าชื่นชมคือมันจะมีส่วนช่วยให้โครงสร้างขั้นพื้นฐานภายในของประเทศไทยในด้านพลังงานทดแทนดีขึ้นและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังลดมลพิษลงได้อย่างแน่นอน

 

ที่สำคัญเมื่อเกิดผู้ประกอบการเจ้าที่หนึ่งขึ้นมา ผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ ก็จะทยอยเข้ามาสู่อุตสาหกรรมนี้มากขึ้น ผลที่ตามมาคือก่อให้เกิดการแข่งขัน แล้วราคาของเทคโนโลยีก็จะถูกลง จับต้องได้ง่ายไปโดยปริยาย

 

เช่นนี้แล้ว อนาคตการ Go Green ของประเทศไทยก็อาจจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่คิด

The post อนาคตพลังงานทางเลือกประเทศไทย กับโอกาสเปิดตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติไทย [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/energy-absolute-go-green/feed/ 0