กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 22 Jun 2023 08:15:26 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ถอนฟ้องซึ่งกันและกัน ม.ร.ว.ปรียนันทนา ถอนฟ้องกุลลดา คดีวิทยานิพนธ์ณัฐพล ส่วนอีก 5 จำเลยคดีดำเนินต่อไป https://thestandard.co/priyanandana-rangsit-bailed-kullada-ketbunchu/ Thu, 22 Jun 2023 08:15:26 +0000 https://thestandard.co/?p=806709 ม.ร.ว.ปรียนันทนา

วันนี้ (22 มิถุนายน) วิญญัติ ชาติมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ T […]

The post ถอนฟ้องซึ่งกันและกัน ม.ร.ว.ปรียนันทนา ถอนฟ้องกุลลดา คดีวิทยานิพนธ์ณัฐพล ส่วนอีก 5 จำเลยคดีดำเนินต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ม.ร.ว.ปรียนันทนา

วันนี้ (22 มิถุนายน) วิญญัติ ชาติมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ในฐานะทนายความของ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด จำเลยที่ 2 ในคดีที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ฟ้องศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ฐานความผิดละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง ต่อ 6 จำเลย ประกอบด้วย

 

  • จำเลยที่ 1 ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เรื่อง การเมืองไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500) โดยวิทยานิพนธ์ของเขาได้รับการประเมินโดยกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 ท่าน ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปีการศึกษา 2552

 

  • จำเลยที่ 2 กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

  • จำเลยที่ 3 ชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ

 

  • จำเลยที่ 4 อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

 

  • จำเลยที่ 5 ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

 

  • จำเลยที่ 6 ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน

 

วิญญัติกล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ศาลแพ่งนัดสืบพยานโจทก์คดีดังกล่าว โดยทั้งฝ่ายโจทก์ คือ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต และจำเลยที่ 2 คือ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ได้ถอนฟ้องซึ่งกันและกัน

 

วิญญัติกล่าวว่า การที่โจทก์ถอนฟ้องเกิดจากการที่เราได้แสดงความกังวลกรณีอาจารย์กุลลดาจะต้องมาขึ้นศาลขณะที่มีอายุและปัญหาสุขภาพในขณะนี้ ประกอบกับประเด็นสำคัญคือความเกี่ยวข้องของการทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ใช่สาเหตุหลักของการที่โจทก์มองว่าได้รับผลกระทบ

 

ดังนั้นจึงมีการคุยกันระหว่างฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยที่ 2 ว่ามีแนวทางที่จะจบกันได้หรือไม่ เพื่อความเป็นไปได้ที่จะมีการถอนฟ้องกัน โดยเป็นการถอนฟ้องซึ่งกันและกัน เนื่องจากมีอีกคดีที่อาจารย์กุลลดาเป็นโจทก์ฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนา เช่นกัน หลังจากที่อาจารย์กุลลดาถูกฟ้องในคดีนี้

 

สำหรับการพูดคุยกันทั้ง 2 ฝ่าย ได้นำมาทำเป็นเอกสารเสนอต่อศาลเพื่อให้ศาลรับทราบ และเมื่อโจทก์ถอนฟ้องไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อกันอีก

 

ศาลจึงจำหน่ายคดีออก ส่วนอีกคดีที่อาจารย์กุลลดาฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนา ก็ได้ถอนฟ้องด้วยเช่นกัน

 

ส่วนจำเลยคนอื่นๆ อีก 5 จำเลย คดียังดำเนินต่อไปตามกระบวนการ

The post ถอนฟ้องซึ่งกันและกัน ม.ร.ว.ปรียนันทนา ถอนฟ้องกุลลดา คดีวิทยานิพนธ์ณัฐพล ส่วนอีก 5 จำเลยคดีดำเนินต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไขปมจุฬาฯ ตั้ง ‘บวรศักดิ์’ นั่งประธานสอบ ‘ณัฐพล-กุลลดา’ ปมปัญหาวิทยานิพนธ์ https://thestandard.co/chula-borwornsak-nattapon-kullada/ Thu, 08 Sep 2022 10:38:39 +0000 https://thestandard.co/?p=678394

ปัจจุบันสถานะของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง ถู […]

The post ไขปมจุฬาฯ ตั้ง ‘บวรศักดิ์’ นั่งประธานสอบ ‘ณัฐพล-กุลลดา’ ปมปัญหาวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปัจจุบันสถานะของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง ถูกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระงับการเผยแพร่นับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 หลังมีการร้องเรียนจาก ไชยันต์ ไชยพร ในปี 2561 แต่กระบวนการดำเนินการของมหาวิทยาลัยยังไม่สิ้นสุดลงที่การระงับเผยแพร่นับแต่วันนั้น  

 

ไชยันต์ ไชยพร ทำหนังสือถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกครั้งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ตามมาด้วยในปี 2564 นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกร้องผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งกรรมการสอบสวนวิทยานิพนธ์

 

จากนั้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน และ ปาริชาต สถาปิตานนท์ เป็นเลขานุการ ในปี 2564 

 

แม้ว่าก่อนหน้านั้นมหาวิทยาลัยเคยมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวน หลังมีการร้องเรียนจาก ไชยันต์ ไชยพร ในปี 2561 โดยมี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน พิจารณาพบว่ามีข้อผิดพลาด 1 จุด จาก 31 จุดที่ไชยันต์ร้องเรียน โดย ไชยวัฒน์ ค้ำชู ได้สรุปผลว่า

 

“ข้าพเจ้าใคร่จะชี้ให้เห็นว่า เมื่อกรรมการฯ ได้เรียกณัฐพลมารับทราบข้อร้องเรียนของ ศ.ดร.ไชยยันต์ ณัฐพลได้รีบทำการตรวจสอบและยอมรับความผิดพลาดในหน้า 105 โดยไม่ได้โต้แย้งและพยายามหาทางแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นความผิดพลาดโดยบริสุทธิ์ใจมากกว่าจะเป็นความตั้งใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 

 

“อนึ่ง ประเด็นว่าด้วยการพยายามแข่งขันและช่วงชิงอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับคณะราษฎร และการพยายามฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มิใช่ข้อถกเถียงหลักของวิทยานิพนธ์ของณัฐพล และมิใช่ประเด็นใหม่ในวงการวิชาการไทยศึกษาแต่ประการใด”  

 

(ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ)

 

กรรมการสอบสวนชุด ‘บวรศักดิ์’ และข้อทักท้วงจาก ‘เขมรัฐ’ หนึ่งในกรรมการสภามหาวิทยาลัย

 

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในปี 2564 ประกอบด้วยกรรมการ 5 ท่านคือ  

 

1. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานกรรมการ

 

2. สุจิต บุญบงการ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกรรมการ

 

3. นรนิติ เศรษฐบุตร นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกรรมการ

 

4. ธีรยุทธ วิไลวัลย์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมการ

 

5. ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดีด้านวิชาการและการเชื่อมโยงกับสังคม เป็นเลขานุการ

 

ทั้งนี้ กรรมการ 5 ท่านได้ส่งข้อมูลอันประกอบด้วย วิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง และข้อร้องเรียน 31 ข้อของ ไชยันต์ ไชยพร ให้กับ ‘ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน’ ซึ่งเป็นคนนอก ไม่ใช่กรรมการ 4 ใน 5 ท่านของกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธาน 

 

‘ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน’ เป็นผู้อ่านวิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง และอ่านข้อร้องเรียน 31 ข้อของ ไชยันต์ ไชยพร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นแก่คณะกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธาน 

 

ต่อมา เลขานุการของคณะกรรมการชุดที่บวรศักดิ์เป็นประธานคือ ปาริชาต สถาปิตานนท์ ได้นำเสนอรายงานการสอบข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

 

ขณะที่ เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ กรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเภทคณาจารย์ประจำ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ขอให้มีการสอบสวนอย่างรอบคอบ หลังจากได้ไปดูเอกสารสอบสวนข้อเท็จจริงด้วยตัวเองที่ศูนย์กฎหมาย จุฬาฯ ตึกจามจุรี 5 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565

 

โดยเขมรัฐระบุเนื้อหาในจดหมาย 4 ข้อ ซึ่งประเด็นสำคัญอย่างยิ่งคือข้อ 3 และ 4 

 

เขมรัฐระบุในข้อ 3 และ 4 ถึงการรายงานของ ปาริชาต สถาปิตานนท์ ที่นำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัยว่า ไม่ได้เปิดโอกาสให้ณัฐพลโต้แย้งหรือแก้ข้อกล่าวหา และมีการนำเอาข้อมูลปลอม (Fake News/Misinformation) มานำเสนอในการประชุมสภามหาวิทยาลัย กล่าวหาณัฐพล ทำให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้รับข้อมูลที่ไม่จริงมาประกอบการตัดสินใจ 

 

ข้อ 3 ในกรณีการอ้างอิงหนังสือพิมพ์ ‘เอกราช’ ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 ที่มีการกล่าวหาว่าณัฐพลอ้างเอกสารอ้างอิงเท็จในรายงานสอบสวนข้อเท็จจริงที่ส่งให้สภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ผมได้ทราบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ว่า ‘คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหานี้ต่อณัฐพล และไม่มีการเรียกหลักฐานเอกสารหนังสือพิมพ์เอกราชดังกล่าวจากณัฐพล’ การกระทำดังกล่าวของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นการ ละเมิด (Violate) สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการอธิบาย โต้แย้งหรือแก้ข้อกล่าวหา และทราบว่ากรรมการทุกท่านทราบว่าไม่ได้ทำตามขั้นตอนการสอบสวนที่ถูกต้อง แต่ก็ยังดำเนินการต่อ (ดูจากรายงานการประชุมคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ที่มีมติให้ดำเนินการหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์เอกราช) โดยข้อนี้ ผมถือว่าร้ายแรงมาก เป็นการละเมิดกระบวนการพิจารณาอย่างเป็นธรรม (Violate Due Process) ของณัฐพลอย่างชัดเจน ควรจะมีการสอบสวนอย่างเร่งด่วนว่าทำไมถึงเกิดขึ้น เพราะอาจจะมีผลทำให้กระบวนการหาข้อเท็จจริงที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นโมฆะ และต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ทั้งหมด หากต้องพิจารณาเรื่องนี้ในศาล

 

ข้อ 4 และเป็นที่แน่นอนว่าหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 มีอยู่จริงนั้น หมายความว่าการนำเสนอของเลขานุการสอบข้อเท็จจริงในการประชุมสภามหาวิทยาลัยครั้งที่ผ่านมา มีการนำเอาข้อมูลปลอม (Fake News/Misinformation) มานำเสนอในการประชุมในการกล่าวหานายณัฐพลอย่างผิดๆ ทำให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้รับข้อมูลที่ไม่จริงมาประกอบการตัดสินใจ การนำ Fake News/Misinformation ประกอบการนำเสนอในการประชุมสภามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเรื่องใดๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นและไม่ควรบันทึกในรายงานการประชุม หรือถ้าจะบันทึกก็ควรมีหมายเหตุว่าเป็น Fake News/Misinformation เขมรัฐระบุในจดหมายเปิดผนึก 

 

(รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด)

 

จดหมายเปิดผนึกของ ‘เขมรัฐ’ นำมาสู่การยื่นจดหมายด้วยตนเองของ ‘กุลลดา’ ต่อสภามหาวิทยาลัย 

 

25 สิงหาคม กุลลดายื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อถึงสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเลขานุการสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือ ข้อเรียกร้องประกอบด้วย

 

1. ให้สภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการสอบสวนซึ่งมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน และมี ปาริชาต สถาปิตานนท์ เลขานุการ เป็นผู้นำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย 

 

2. ให้สภาจุฬาฯ ตรวจสอบความถูกต้องของการสอบสวนและการรายงานผลที่ปาริชาตนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย หากเป็นการรายงานเท็จ ไม่ตรงกับผลการสอบสวนดังที่เขมรัฐได้เปิดเผยแล้ว สภามหาวิทยาลัยจะต้องดำเนินการสอบสวนต่อผู้เกี่ยวข้องต่อไป

 

3. ให้สภาจุฬาฯ ให้เกียรติและยึดมั่นต่อผลการพิจารณาของคณะกรรมการชุดที่มี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน และได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อปี 2561 เพราะข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ตามมาภายหลังล้วนมีสาระสำคัญไม่ต่างไปจากข้อเรียกร้องที่คณะกรรมการชุดแรกได้พิจารณาครบถ้วนแล้ว

 

กุลลดากล่าวกับปมทองในขณะยื่นจดหมายเปิดผนึกว่า ขอให้สภาจุฬาฯ พิจารณาเรื่องนี้ เพราะจะมีผลกระทบต่อคดีที่กุลลดากำลังถูกฟ้องร้องในศาล

 

กุลลดาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า เราต้องมาทักท้วงเพราะจะมีผลเสียต่อคดีที่ถูกฟ้องร้องอยู่ 

 

นักวิชาการผู้นี้กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันอายุ 76 ปี มีโรคประจำตัว และยังอยากทำงานวิชาการต่อถ้าสุขภาพเอื้ออำนวย ส่วนตัวมองการเมืองไทยมานาน และอาจจะมองไม่เหมือนใคร การทำงานวิชาการใช้ข้อมูลจากเอกสารชั้นต้นในต่างประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างจากเอกสารในไทย และการได้อ่านเอกสารในต่างประเทศทำให้มองภาพแล้วเห็นอะไรได้ชัดเจนมากขึ้น 

 

(ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง)

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ย้อนกลับไปเมื่อปีการศึกษา 2552 ณัฐพล ใจจริง เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ โดย กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ 

 

วิทยานิพนธ์ได้รับการประเมินโดยกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 ท่านลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาฯ มี ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก สำหรับกรรมการอีก 4 ท่านคือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, วีระ สมบูรณ์ และ กุลลดา ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา

 

– ต่อมาในปี 2561 จุฬาฯ ตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวนโดยมี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน หลังได้รับการร้องเรียนจาก ไชยันต์ ไชยพร 

 

– 14 กุมภาพันธ์ 2562 คณะกรรมการบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีมติให้ระงับการเผยแพร่วิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง

 

– ปี 2563 สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ตีพิมพ์ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500’ ของ ณัฐพล ใจจริง

 

– ในปี 2564 จุฬาฯ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้ง โดยมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน หลังมีการร้องเรียนอีกครั้งจาก ไชยันต์ ไชยพร ตามมาด้วยการร้องเรียนของ นันทิวัฒน์ สามารถ ศิษย์เก่าจุฬาฯ 

 

– ขณะที่ในปีเดียวกันคือปี 2564 ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท จาก 6 จำเลย โดยจำเลยที่ 1 คือ ณัฐพล ใจจริง และจำเลยที่ 2 คือ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด 

 

THE STANDARD ได้รับการเปิดเผยจาก วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกุลลดาว่า คำฟ้องของ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ฝ่ายโจทก์ระบุว่า ได้ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 จาก ไชยันต์ ไชยพร ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น ไชยันต์และบวรศักดิ์ยังเป็นพยานฝ่ายโจทก์ด้วย

 

(วิญญัติ ชาติมนตรี)

 

ทนายจำเลยตั้งข้อสังเกต ‘บวรศักดิ์’ เป็นพยานฝ่ายโจทก์ จะมีการตั้งธงการสอบสวนไว้หรือไม่

 

ล่าสุด (5 กันยายน) วิญญัติให้สัมภาษณ์ THE STANDARD กรณีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน เมื่อต้นปี 2564

 

ต่อมาเดือนมีนาคม 2564 ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาทต่อ 6 จำเลย โดยมีบวรศักดิ์เป็นพยานฝ่ายโจทก์ 

 

วิญญัติตั้งข้อสังเกตโดยกล่าวว่า การที่โจทก์ในคดีดังกล่าวอ้างบวรศักดิ์เป็นพยาน ทั้งๆ ที่ผลการสอบสวนยังเพิ่งเริ่มต้นและยังไม่มีข้อสรุป ทำให้มีข้อกังวลและข้อสงสัยว่าคณะกรรมการที่จุฬาฯ ตั้งขึ้นคนหนึ่งคือ บวรศักดิ์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเป็นพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งการสอบสวนโดยพยานฝ่ายโจทก์ หากจะมีการตั้งธงในลักษณะให้คุณให้โทษกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่

 

และระหว่างที่มีชื่อเป็นพยานฝ่ายโจทก์นั้น อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ และความน่าเชื่อมั่นต่อจุฬาฯ ด้วยหรือไม่

 

“ยิ่งถ้าผลการสอบสวนออกมาแล้ว หากเป็นผลร้ายต่อผู้ถูกสอบสวนอาจจะทำให้ฝ่ายจำเลยไม่ได้รับความยุติธรรม กระทบต่อน้ำหนักความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการชุดนี้และจุฬาฯ มากๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตจำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบสถานะความเป็นกลางของคณะกรรมการชุดนี้ในทุกๆ ด้านต่อไป” วิญญัติกล่าว  

 

ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นกลางในมุมของจุฬาฯ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 บีบีซีไทย เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของ เอกก์ ภทรธนกุล ผู้ช่วยอธิการบดีด้านสื่อสารองค์กร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า อธิการบดีได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยมี ‘ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นกลาง’ เข้าร่วม ให้พิจารณาและนำเสนอต่อมหาวิทยาลัยโดยเร็ว พร้อมยืนยันว่าจุฬาฯ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่กรณีเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อมีผู้ส่งเอกสารร้องเรียนเข้ามาหลายทาง จึงต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสภามหาวิทยาลัย ก่อนที่สภามหาวิทยาลัยจะมีมติให้ฝ่ายบริหารไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในที่สุด

 

…เป็น ‘คำสั่งลับ’ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยต้องการให้คณะกรรมการทำหน้าที่ได้อย่างอิสระและปราศจากแรงกดดันใดๆ แต่เมื่อกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว ทางจุฬาฯ พร้อมจะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ

 

“กรอบถูกเปิดกว้าง เพื่อให้คณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริงมาประกอบการตัดสินใจดำเนินการของทางมหาวิทยาลัยต่อไป เพราะทุกวันนี้แต่ละคนพูดไม่เหมือนกันเลย บางทีก็มีประเด็นที่จับนั่นจับนี่มาผสมโรง จับการเมืองมาผสมโรง ประเด็นสำคัญอยู่ที่วิชาการบริสุทธิ์ ทุกสิ่งที่ทำเป็นประเด็นที่เราต้องการทำให้เกิดความถูกต้อง บริสุทธิ์ และเป็นธรรมทางวิชาการ” ผู้ช่วยอธิการบดีจุฬาฯ ระบุกับบีบีซีไทย

 

อ้างอิง: 

The post ไขปมจุฬาฯ ตั้ง ‘บวรศักดิ์’ นั่งประธานสอบ ‘ณัฐพล-กุลลดา’ ปมปัญหาวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบันจุฬาฯ มองกรณี ‘กุลลดา’ กับอนาคตเสรีภาพวิชาการ และการกลั่นแกล้งทางการเมือง https://thestandard.co/kullada-kesboonchoo/ Mon, 29 Aug 2022 06:46:14 +0000 https://thestandard.co/?p=673352 กุลลดา เกษบุญชู

ย้อนกลับไปเมื่อปีการศึกษา 2552 ณัฐพล ใจจริง เขียนวิทยาน […]

The post ศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบันจุฬาฯ มองกรณี ‘กุลลดา’ กับอนาคตเสรีภาพวิชาการ และการกลั่นแกล้งทางการเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
กุลลดา เกษบุญชู

ย้อนกลับไปเมื่อปีการศึกษา 2552 ณัฐพล ใจจริง เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ โดย กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ 

 

วิทยานิพนธ์ได้รับการประเมินโดยกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 ท่านลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาฯ มี ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก สำหรับกรรมการอีก 4 ท่านคือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, วีระ สมบูรณ์ และ กุลลดา ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา

 

-ต่อมาในปี 2561 จุฬาฯ ตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวนโดยมี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน หลังได้รับการร้องเรียนจาก ไชยันต์ ไชยพร 

 

-ปี 2563 สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ตีพิมพ์ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500’ ของ ณัฐพล ใจจริง

 

-ในปี 2564 จุฬาฯ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้ง โดยมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน หลังได้รับการร้องเรียนอีกครั้ง จาก ไชยันต์ ไชยพร เช่นเดียวกัน

 

-ขณะที่ในปีเดียวกันคือปี 2564 ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท จาก 6 จำเลย โดยจำเลยที่ 1 คือ ณัฐพล ใจจริง และจำเลยที่ 2 คือ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด 

 

THE STANDARD ได้รับการเปิดเผยจาก วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกุลลดาว่า คำฟ้องของ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ฝ่ายโจทก์ระบุว่า ได้ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 จาก ไชยันต์ ไชยพร ด้วยเช่นกัน 

 

ล่าสุด (25 สิงหาคม) กุลลดายื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อถึงสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเลขานุการสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือ กรณีที่ถูก ไชยันต์ ไชยพร ร้องเรียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของณัฐพล ซึ่งข้อเรียกร้องของกุลลดาประกอบด้วย 

 

  1. ให้สภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมการ และมี ปาริชาต สถาปิตานนท์ เลขานุการ เป็นผู้รายงานต่อสภามหาวิทยาลัย เนื่องจากกุลลดาเห็นว่า ส่อว่าอาจเป็นรายงานเท็จดังที่ เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ กรรมการสภาจุฬาฯ เห็นความผิดปกติในกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง และการรายงานผลอาจจะแย้งกับผลการสอบสวนจริง

 

  1. ให้สภาจุฬาฯ ตรวจสอบความถูกต้องของการสอบสวนและการรายงานผลดังกล่าวที่ปาริชาตนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย ทั้งนี้ หากเป็นการรายงานเท็จ ไม่ตรงกับผลการสอบสวนดังที่เขมรัฐได้เปิดเผยแล้ว สภามหาวิทยาลัยจะต้องดำเนินการสอบสวนต่อผู้เกี่ยวข้องต่อไป

 

  1. ให้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เกียรติและยึดมั่นต่อผลการพิจารณาของคณะกรรมการชุดที่มี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน และได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อ พ.ศ. 2561 เพราะข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ตามมาภายหลังล้วนมีสาระสำคัญไม่ต่างไปจากข้อเรียกร้องที่คณะกรรมการชุดแรกได้พิจารณาครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ กุลลดาระบุด้วยว่า ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างถึงที่สุด

 

บรรยากาศในการยื่นจดหมายถึงสภามหาวิทยาลัย มีทั้งศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบันของจุฬาฯ มาร่วมให้กำลังใจกุลลดา 

 

ปมปัญหาการเซ็นเซอร์ตัวเอง (Self-Censorship) 

กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ THE STANDARD กล่าวว่า มาให้กำลังใจอาจารย์กุลลดา ในฐานะสมาชิกชุมชนจุฬาฯ และในฐานะลูกศิษย์อาจารย์กุลลดาด้วย

 

กนกรัตน์กล่าวว่า จริงๆ แล้วจุฬาฯ ค่อนข้างจะมีเสรีภาพทางวิชาการมากๆ ไม่ว่าจะเป็นสำหรับนิสิตหรืออาจารย์ในการทำวิจัย และในการแสดงออกทางการเมือง แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับ อาจารย์ณัฐพล ใจจริง และ อาจารย์กุลลดา ส่งผลกระทบไม่เฉพาะต่อจุฬาฯ แต่ส่งผลกระทบต่อชุมชนทางวิชาการทางสังคมศาสตร์และในอีกหลายสาขาในประเทศ เพราะทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมาทันทีว่าอะไรบ้างที่เราสามารถทำวิจัยได้หรือไม่ได้ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย ใครเป็นผู้รับผิดชอบ แล้วเรามีสิทธิที่จะแก้ไขไหม เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำวิจัยมีปัญหาหรือต้องนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดี ที่ทำให้คนที่จะเริ่มต้นทำวิจัยมีความกังวลตั้งแต่ต้น 

 

เช่นล่าสุดมีลูกศิษย์อยากจะทำวิจัยเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจจะต้องมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับตัวสถาบันอนุรักษ์นิยมต่างๆ 

 

อย่างแรกที่จะต้องบอกเขาเลยก็คือว่า ถ้าเกิดงานของคุณโดดเด่นก็จะถูกตั้งคำถาม แล้วอาจจะนำมาซึ่งผลกระทบที่ตามมาในชีวิต ไม่ใช่ว่าไม่สนับสนุน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดบรรยากาศที่เราต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง (Self-Censorship) แล้วเราก็ต้องบอกนิสิตตลอดเวลาว่า ในการทำบางหัวข้อในสังคมนี้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน คุณอาจจะถูกตั้งคำถาม แล้วการตั้งคำถามไม่เฉพาะแวดวงวิชาการ แต่เราจะถูกสังคมหรือกลไกทางการเมืองบางอย่างคุกคาม และทำให้เรารู้สึกว่าการแค่จะเลือกตั้งคำถามต่องานวิจัยก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลแล้ว

 

การมาให้กำลังใจอาจารย์กุลลดาวันนี้มีศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันมา เพื่อมาบอกกับทางจุฬาฯ และสังคมไทยว่า จริงๆ แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นในแวดวงวิชาการและการทำวิจัยควรจะแก้ไขปัญหาให้จบในกระบวนการของมหาวิทยาลัย และบทบาทความสัมพนธ์ระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษากับคนทำงานวิจัยอาจจะต้องแบ่งให้ชัดเจนว่าใครจะต้องรับผิดชอบในส่วนไหนบ้าง ไม่ใช่ว่ามีปัญหาข้อผิดพลาดในส่วนของงานตัวนิสิต แต่ผู้ได้รับผลกระทบมีตั้งแต่อาจารย์ที่ปรึกษาไปจนถึงกรรรมการ ในระดับที่ต้นทุนในการแบกรับต่อความผิดพลาดในการทำวิจัยสูงมาก ทั้งที่จริงการทำวิจัยคือพยายามตั้งคำถามและตอบคำถาม ซึ่งไม่มีอะไรที่ตายตัวว่างานชิ้นนี้ถูกต้อง 100%

 

มันจะมีเงื่อนไข มันจะมีกลไกทางวิชาการอะไร ที่มหาวิทยาลัยช่วยได้ ที่จะทำให้คนที่ทำวิจัย ไม่ว่าผลออกมาจะถูกหรือผิด แล้วเขาอยากจะรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านั้นเขาต้องมีพื้นที่ปลอดภัยด้วย 

 

เมื่อถามว่า กรณีที่มีความเห็นแตกต่างกันในแวดวงวิชาการ ปกติแล้วจะต้องถึงขนาดทำให้มีการฟ้องร้องหรือไม่ ในทางปฏิบัติปกติทำอย่างไร 

 

กนกรัตน์กล่าวว่า ในวงวิชาการ สิ่งที่ควรจะต้องทำจริงๆ คือเขียนบทความโต้แย้ง ถ้างานชิ้นไหนมีปัญหา เราก็ควรจะเขียนบทความโต้แย้ง เพื่อให้คนที่ทำงานผิดพลาดมีข้อบกพร่อง เขาได้เห็นและสามารถแก้ไข แต่เมื่อมาถึงจุดที่สังคมไทยซึ่งมีหลายเรื่อง ทำให้เกิดการฟ้องร้อง ทำให้เกิดบรรยากาศและข้อจำกัดในการจะทำวิจัยในอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

จะมีปัญหาในแง่การใช้เสรีภาพทางวิชาการที่ทำให้คนจะต้องเริ่มเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่จะส่งผลกระทบ ขณะที่นักวิจัยควรได้รับการปกป้องโดยสถาบันการศึกษาที่ตัวเองอยู่ กลไกในการปกป้องดูแลจะมีแค่ไหน 

 

ถึงทางแพร่งที่มหาวิทยาลัยทุกที่คงจะต้องเริ่มปรับปรุงในส่วนนี้ เพราะเราเองก็ไม่เคยเจอภาวะการคุกคามหรือลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการมากเท่ากรณีนี้มาก่อน 

 

เมื่อถามว่ามีข้อห่วงใยต่อความน่าเชื่อถือในการรับรองงานวิชาการของจุฬาฯ หรือไม่ 

 

กนกรัตน์กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่จุฬาฯ เพราะจุฬาฯ เองก็มีความพยายามในการจะรักษามาตรฐานและแก้ไขปัญหาอย่างที่เห็น มีกระบวนการในการตั้งกรรมการหาข้อเท็จจริง ตอนนี้มาถึงจุดที่กระบวนการเหล่านี้จะสร้างบรรทัดฐานให้มหาวิทยาลัยอื่นๆ ในอนาคตได้ไหมว่า กระบวนการที่พยายามจะช่วยดูแล ปกป้องสิทธิเสรีภาพทางวิชาการที่จุฬาฯ กำลังทำอยู่ มันจะเป็นบรรทัดฐานที่จะช่วยสร้างสังคมที่นักวิชาการทั่วประเทศรู้ว่าสิทธิเสรีภาพเป็นสิ่งที่เขาจะได้รับการปกป้อง แม้ว่าอาจจะมีความผิดพลาดบ้าง มีโอกาสที่จะแก้ไขภายใต้การดูแลปกป้องของมหาวิทยาลัย 

 

มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่แสดงความคิดเห็น ต้องไม่ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง 

สิรภพ อัตโตหิ หรือ แรปเตอร์ นายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) นิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ นักเคลื่อนไหว LGBTQ 

 

สิรภพกล่าวว่า ในฐานะนายก อบจ. และในฐานะตัวแทนนิสิต เราคิดว่ามหาวิทยาลัยต้องเป็นพื้นที่เสรีภาพทางวิชาการ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกรณีอาจารย์กุลลดาและอาจารย์ณัฐพล เป็นเรื่องการพยายามทำลายหลักการเสรีภาพทางวิชาการ ซึ่งการที่จุฬาฯ ผ่าน วิทยานิพนธ์นั้นไปแล้วด้วยระดับดีมาก (Excellent) แต่มาตั้งกรรมการสอบทีหลัง เรามองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ทำลายหลักการเสรีภาพทางวิชาการ มาตรฐานทางวิชาการ ในฐานะเป็นนิสิตนักศึกษา เราพยายามปกป้องพื้นที่เสรีภาพทางวิชาการ เพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่ต้องกลัวถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะจะส่งผลกระทบต่อนิสิตนักศึกษาในระยะยาว ถ้าเราไม่ออกมาปกป้องเรื่องนี้

The post ศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบันจุฬาฯ มองกรณี ‘กุลลดา’ กับอนาคตเสรีภาพวิชาการ และการกลั่นแกล้งทางการเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘กุลลดา’ ร้องสภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการชุด ‘บวรศักดิ์’ ปมวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ https://thestandard.co/kullada-kesboonchoo-nattapon-thesis/ Thu, 25 Aug 2022 09:47:29 +0000 https://thestandard.co/?p=671962

วันนี้ (25 สิงหาคม) กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์คณะ […]

The post ‘กุลลดา’ ร้องสภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการชุด ‘บวรศักดิ์’ ปมวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (25 สิงหาคม) กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อถึงนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณี ไชยันต์ ไชยพร ร้องเรียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

  1. ให้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการร้องเรียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง ซึ่งมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.​ 2558 และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานกรรมการ

 

ซึ่งรายงานดังกล่าว ปาริชาต สถาปิตานนท์ กรรมการและเลขานุการ ได้นำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย 

 

กุลลดาเห็นว่า ส่อว่าอาจเป็นรายงานเท็จ ดังที่ เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ กรรมการสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นความผิดปกติในกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง และการรายงานผลอาจจะแย้งกับผลการสอบสวนจริง

 

  1. ให้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตรวจสอบความถูกต้องของการสอบสวนและการรายงานผลดังกล่าว ที่ปาริชาตนำเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย

 

ทั้งนี้ หากเป็นการรายงานเท็จ ไม่ตรงกับผลการสอบสวนดังที่เขมรัฐได้เปิดเผยแล้ว สภามหาวิทยาลัยจะต้องดำเนินการสอบสวนต่อผู้เกี่ยวข้องต่อไป

 

  1. ให้สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เกียรติและยึดมั่นต่อผลการพิจารณาของคณะกรรมการชุดที่มี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธาน และได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อ พ.ศ. 2561 เพราะข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ตามมาภายหลังล้วนมีสาระสำคัญไม่ต่างไปจากข้อเรียกร้องที่คณะกรรมการชุดแรกได้พิจารณาครบถ้วนแล้ว

 

กุลลดาระบุว่า ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธาน พิจารณาพบว่ามีข้อผิดพลาด 1 จุด จาก 31 จุด จากการร้องเรียนในประเด็นต่างๆ ของ ไชยันต์ ไชยพร และไชยวัฒน์ได้สรุปผลว่า 

 

“ข้าพเจ้าใคร่จะชี้ให้เห็นว่า เมื่อกรรมการฯ ได้เรียกนายณัฐพลมารับทราบข้อร้องเรียนของ ศ.ดร.ไชยันต์ นายณัฐพลได้รีบตรวจสอบและยอมรับความผิดพลาดในหน้า 105 โดยไม่ได้โต้แย้งและพยายามหาทางแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นความผิดพลาดโดยบริสุทธิ์ใจมากกว่าจะเป็นความตั้งใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

 

“อนึ่ง ประเด็นว่าด้วยการพยายามแข่งขันและช่วงชิงอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับคณะราษฎร และการพยายามฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มิใช่ข้อถกเถียงหลักของวิทยาพลของนายณัฐพล และมิใช่ประเด็นใหม่ในวงการวิชาการไทยศึกษาแต่ประการใด”

 

ทั้งนี้ กุลลดาระบุด้วยว่า ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างถึงที่สุด

 

สำหรับการมายื่นหนังสือในวันนี้มี ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเลขานุการสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือ 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กุลลดาเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท จาก 6 จำเลย โดยจำเลยที่ 1 คือ ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ ซึ่งกุลลดาเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ โดยวิทยานิพนธ์ในคดีที่ถูกฟ้องนี้ กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ 5 ท่านได้ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2552 

 

กรรมการ 5 คน ประกอบด้วย

 

  1. ไชยวัฒน์ ค้ำชู ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
  2. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
  3. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
  4. วีระ สมบูรณ์
  5. กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์ที่ปรึกษา

 

โดย ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก (Excellent)

 

เมื่อ พ.ศ. 2561 หลังจาก ไชยันต์ ไชยพร ได้ร้องเรียนจนนำมาสู่การตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวน โดยมี ไชยวัฒน์ ค้ำชู เป็นประธานแล้ว

 

ไชยันต์ ไชยพร ได้ร้องเรียนอีกครั้ง กระทั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการร้องเรียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ณัฐพล ใจจริง เมื่อ พ.ศ. 2564 ประกอบด้วยกรรมการ 5 คนคือ  

 

  • บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2558 และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นประธานกรรมการ

 

  • สุจิต บุญบงการ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกรรมการ

 

  • นรนิติ เศรษฐบุตร นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกรรมการ

 

  • ธีรยุทธ วิไลวัลย์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมการ

 

  • ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดีด้านวิชาการและการเชื่อมโยงกับสังคม เป็นเลขานุการ

The post ‘กุลลดา’ ร้องสภาจุฬาฯ ไม่ยอมรับการรายงานผลของกรรมการชุด ‘บวรศักดิ์’ ปมวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟ้องวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ สะท้อนความขัดแย้ง-แตกต่างทางความคิด ข้ามรัชสมัย https://thestandard.co/nattapoll-chaiching-reflects-conflict/ Wed, 01 Dec 2021 14:37:13 +0000 https://thestandard.co/?p=566684 ณัฐพล ใจจริง

ข้อเท็จจริงชนวนการฟ้องร้อง กรณีวิทยานิพนธ์ของ ‘ณัฐพล ใจ […]

The post ฟ้องวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ สะท้อนความขัดแย้ง-แตกต่างทางความคิด ข้ามรัชสมัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพล ใจจริง

ข้อเท็จจริงชนวนการฟ้องร้อง

กรณีวิทยานิพนธ์ของ ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องร้อง โดยณัฐพลในฐานะผู้เขียน เป็นจำเลยที่ 1 อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์คือ ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ เป็นจำเลยที่ 2 ส่วนอีก 4 จำเลยคือสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวและผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งหมดเป็น 6 จำเลย

 

ขณะที่ฝ่ายโจทก์คือ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร มอบหมายให้ทนายความยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อ 6 จำเลย ฐานความผิดละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง

 

หนึ่งในพยานฝ่ายโจทก์คือ ‘ไชยันต์ ไชยพร’ นอกจากเขาจะเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว ยังเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ‘จากมวลชนปฏิวัติสู่มวลชนประชาธิปไตย กับ พระมหากษัตริย์: การศึกษาพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย’ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า

 

 

วิทยานิพนธ์ที่ถูกฟ้องเป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2552 เรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ ณัฐพล ใจจริง เขียนก่อนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2552 จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ทั้ง 5 ท่านได้ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) โดย ‘ไชยวัฒน์ ค้ำชู’ ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก

   

สำหรับกรรมการ 5 ท่าน ประกอบด้วย

  • ไชยวัฒน์ ค้ำชู ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
  • นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
  • สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
  • วีระ สมบูรณ์
  • กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์ที่ปรึกษา

 

 

นักวิชาการประวัติศาสตร์มองเป็นความขัดแย้งทางความคิดข้ามรัชสมัย

THE STANDARD สัมภาษณ์ ‘ชาญวิทย์ เกษตรศิริ’ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงปัญหาการฟ้องร้องงานวิชาการในอดีตและคดีฟ้องร้องกรณีล่าสุด

 

ชาญวิทย์กล่าวว่า กรณีวิทยานิพนธ์ถูกฟ้องร้องในอดีตที่ผ่านมามักจะเป็นปัญหาเรื่องว่าคนนี้ขโมยงานคนโน้น คนโน้นขโมยงานคนนี้ ขโมยไอเดียบ้างหรือไม่ก็ก๊อบปี้บ้าง แต่เรื่องที่ฟ้องกันใหญ่โตมโหฬารแบบกรณี ณัฐพล ใจจริง อาจจะเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองของประเทศไทยยุคปัจจุบัน

 

“ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกทางความคิดในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 9 และสืบต่อมารัชกาลที่ 10 ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเรื่องเล็กจึงถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบารมีเดิม อำนาจเดิม รับไม่ได้กับวิธีคิด วิธีมอง วิธีตีความปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงรัชสมัยที่แล้วแบบนี้

 

“ฉะนั้นเมื่อบังเอิญมีปัญหาเชิงอรรถกรณีการใช้เอกสาร ก็เป็นโอกาสที่กลุ่มบารมีเดิม อำนาจเดิม จะทำเรื่องเหล่านี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา 

 

“แต่ในแง่ของผม ถ้ามองอีกด้านหนึ่งก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งอาจจะไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เกิดความคิดความอ่าน เกิดความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์การเมืองของไทยในช่วงรัชกาลที่แล้ว

 

“คือเราต้องยอมรับว่าในช่วงรัชกาลที่แล้วซึ่งเป็นรัชสมัยที่ยาวมากๆ มีปรากฏการณ์อะไรหลายอย่าง ถ้าใช้คำของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ก็คือปรากฏการณ์ที่เห็นอย่างชัดเจนในเรื่องการตอกย้ำสิ่งที่เรียกว่าราชาชาตินิยม ถ้าเรากลับไปดูเราก็จะเห็นชัดเจนขึ้น ความขัดแย้งที่มาถกเถียงกันต้องขึ้นศาลเป็นคดีความแบบนี้ ทำให้เกิดภาพที่ชัดเจน

 

“หรือถ้าจะยืมคำของอาจารย์เกษียร เตชะพีระ ใช้คำสั้นๆ มากๆ ‘The Bhumibol Consensus’ (ฉันทามติภูมิพล) ซึ่งผมแปลเป็นภาษาไทยว่า ฉันทามติในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามองข้ามไป”

 

 

ความขัดแย้งในสายธารเดียวกันในรอบทศวรรษ

 

ชาญวิทย์กล่าวถึงความขัดแย้งในรอบสิบกว่าปีมานี้เป็นความต่อเนื่องนับแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ถึงปัจจุบันว่า เป็นความขัดแย้งที่อยู่ในกระแสเดียวกัน จุดเปลี่ยนสำคัญคือวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540, การขึ้นมามีอำนาจของทักษิณปี 2544, การรัฐประหารทักษิณปี 2549, การรัฐประหาร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2557 กระทั่งความขัดแย้งในปัจจุบันปี 2564 ซึ่งกระบวนการตุลาการตีความข้อเรียกร้องปฏิรูปเป็นการล้มล้าง

 

“เริ่มจากยุคต้มยำกุ้ง วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งเปิดโอกาสให้คนแบบ ทักษิณ ชินวัตร วิธีคิดวิธีเล่นการเมืองแบบทักษิณขึ้นมาเป็นกระแสใหญ่ ทำให้กลุ่มบารมีเดิม กลุ่มอำนาจเดิมรับไม่ได้ ช่วงนั้นเกิดปรากฏการณ์ ‘เสื้อเหลือง’ ผมคิดว่าช่วงปลายรัชสมัยที่แล้วจะเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

 

“ความขัดแย้งมาเห็นชัดเจนเมื่อมีการรัฐประหารล้ม ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 ตามมาด้วยปรากฏการณ์แบ่งสี มี ‘เสื้อเหลือง-เสื้อแดง’ มีการปราบปราม มีกระบวนการตุลาการจัดการมาโดยตลอด

 

“ต่อมาเกิดการรัฐประหารล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2557 ความขัดแย้งก็ต่อเนื่องเป็นกระแสเดียวกัน ซึ่งยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน

 

“กระบวนการตุลาการยาวนานมาจนถึงกระทั่งตีความว่า เรียกร้องให้มีการปฏิรูป แปลว่า ล้มล้าง ผมว่าความขัดแย้งนี้มาในกระแสเดียวกัน

 

“ส่วนงานเขียนที่เป็นงานซึ่งถูกมองว่าคุกคาม ทำลายความน่าเชื่อถือกลุ่มอำนาจเก่า หนังสือแบบนี้มีไม่น้อยและเด็กๆ ที่เคลื่อนไหวอ่านอะไรกันบ้าง บางครั้งก็น่าตกใจ อ่านอะไรที่เราไม่คิดว่าจะอ่าน อย่างเช่น Common Sense สามัญสำนึก

 

 

มองเสรีภาพทางวิชาการผ่านกรณีณัฐพล

สำหรับข้อถกเถียงถึงเสรีภาพทางวิชาการกับข้อกล่าวหาว่าเป็นการบิดเบือน ชาญวิทย์กล่าวว่า “เสรีภาพก็ต้องมีขอบเขต มันไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่พูดได้ตามใจคือไทยแท้ อะไรแบบนั้น ไม่ใช่แน่ๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องอ้างอิงข้อมูล แต่ในกรณีนี้ส่วนที่มีปัญหาเชิงอรรถ อาจารย์ณัฐพลก็ขอแก้ไขกับทางจุฬาฯ แล้ว ถ้าจะยกเฉพาะกรณีขึ้นมาก็เฉพาะกรณีนี้

 

“ในส่วนหนึ่งผมคิดว่าอาจารย์ณัฐพลเขาก็ยอมรับไปแล้วเรื่องเชิงอรรถก็น่าจะจบ ถ้าในประเทศที่เป็นอารยะแล้ว เป็นประชาธิปไตยแล้ว เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเล็ก อาจจะขอโทษและชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วเรื่องก็จบ แต่กรณีนี้การที่ไม่จบเพราะมีความขัดแย้งกันซึ่งอยู่ลึกมาก ไม่ใช่ประเด็นวิชาการเพียวๆ แต่เป็นความขัดแย้งเรื่องตัวบุคคลด้วย มองอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของสังคมไทย แม้กระทั่งจำนวนตัวเลขค่าเสียหาย 50 ล้านบาท อะไรแบบนี้มันก็ใหญ่โตมโหฬารเกินที่มนุษย์ธรรมดาจะคิดออก

 

“ในแง่ของผม ผมมองว่างานของอาจารย์ณัฐพลและงานของคนจำนวนไม่น้อยเลยที่พูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งซึ่งเปิดหูเปิดตา เพราะแต่ก่อนเราคิดว่าสถาบันกษัตริย์ไทยก็เหมือนๆ กับสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษ เหมือนๆ สถาบันจักรพรรดิของญี่ปุ่น แต่ผมว่าในกรณีของไทยไม่ใช่

 

“เพราะฉะนั้นวิธีมองของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์เกษียร เตชะพีระ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ หลายท่านที่ถูกจัดเป็นกลุ่มฝ่ายซ้าย ‘กลุ่มไม่เอาเจ้า’ ซึ่งเปิดให้เราเห็นสังคมไทยมากกว่าที่เราเคยเห็น ทำให้เราไม่เพ้อฝันหรือมีลักษณะไม่สัมผัสกับความเป็นจริงยิ่งกว่าอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์

 

“มันคล้ายๆ ยุคทศวรรษ 1960 ช่วงสงครามเย็น ยุคที่นักวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกตะวันตก ในสหรัฐอเมริกามองสังคมไทย ผมว่าเขาโรแมนติกกับมัน แต่เขาไม่ได้มองในอีกด้านหนึ่งที่มันไม่ใช่

 

“คืออย่างถ้าเราดูประวัติศาสตร์ไทยที่เป็นฉบับทางการ ก็จะเป็นอย่างนั้นคือเป็นเรื่องการฝันเฟื่อง

 

“แต่ถ้ามองอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราเรียกว่าพัฒนาการทางด้านการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของสยามไทย มันเป็นประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดมากๆ เหยื่อรายแรกๆ อาจจะเป็นพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย ที่เสนอเรื่องการปฏิรูป เสนอเรื่องว่าจะต้องมีรัฐธรรมนูญ เสนอว่าพระมหากษัตริย์ไม่ควรที่จะมามีบทบาทในการเมืองการปกครอง ควรจะมีนายกรัฐมนตรี ควรจะมีคณะรัฐมนตรีทำงาน อย่างในกรณีการปฏิรูปของญี่ปุ่น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็เสนอแบบนี้ แต่จบลงที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ต้องไปอยู่นอกประเทศ ไปบวชเป็นพระจนกระทั่งอายุมาก เมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคตจึงได้กลับมาเมืองไทย ผมว่านี่คือเหยื่อรายแรก

 

“ถ้าเรามองต่อมาอีกอย่างไม่โรแมนติกเกินไป เมื่อถึงรัชกาลที่ 6 ก็มีคนอย่างกลุ่ม ร.ศ. 130 จะเรียกว่า กบฏหมอเหล็งหรือปฏิวัติหมอเหล็งก็ตาม นี่ก็อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะเห็นบ้านเมืองของไทยเป็นสมัยใหม่ มีรัฐธรรมนูญ มีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่สำเร็จ ถูกจับติดคุกยาวเลย แล้วมาสำเร็จในยุคคณะราษฎร 2475”

 

 

ชาญวิทย์เผย ถูกขอให้เป็นพยาน

 

สำหรับกรณีที่ฝ่ายโจทก์มีนักวิชาการที่เห็นต่างกับวิทยานิพนธ์ของณัฐพลเป็นผู้ให้ข้อมูลกับโจทก์และเป็นพยานฝ่ายโจทก์ด้วยนั้น ชาญวิทย์กล่าวว่า “ทางฝ่ายจำเลยคืออาจารย์กุลลดาก็ขอให้ผมไปเป็นพยานจำเลย ซึ่งผมได้ตอบตกลงด้วยความยินดี และอวยพรขอให้อาจารย์ปลอดภัยทั้งจากมารร้ายทางวิชาการและขอให้ปลอดภัยทั้งจากโรคห่าโควิด

 

“เป็นเรื่องประหลาดที่อาจารย์กุลลดาโดนฟ้องอยู่คนเดียว กรรมการคนอื่นไม่โดน เขาอาจจะเลือก เพราะงานวิชาการของอาจารย์กุลลดาก็คงไม่เป็นที่พอใจของคนกลุ่มหนึ่งจำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน” ชาญวิทย์กล่าว

 

 

ทนายความเผย เคสอาจารย์กุลลดา ต้องฟ้องศาลปกครอง

 

ความคืบหน้าล่าสุด (1 ธันวาคม) วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกุลลดา จำเลยที่ 2 ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า วานนี้ (30 พฤศจิกายน) ศาลแพ่งนัดฟังคำสั่งคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 โดยศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 เนื่องจากเห็นว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ มีผลให้จำเลยที่ 1 ไม่อาจยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ การสู้คดีฝ่ายจำเลยจะไม่มีข้อต่อสู้หรือเหตุผลในการต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 สามารถมาเบิกความต่อศาล ให้ข้อเท็จจริงในฐานะพยานจำเลยอื่นๆ ได้แม้ไม่สามารถยื่นข้อต่อสู้ของตัวเอง

 

ทนายความจำเลยที่ 2 กล่าวด้วยว่า จำเลยที่ 2 และทีมทนายเห็นว่าคดีนี้ควรจะอยู่ในอำนาจศาลปกครอง เนื่องจากเป็นการฟ้องในขณะอาจารย์กุลลดาทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ มาตรา 5 วางหลักว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้

 

ดังนั้นทนายจึงเห็นว่า โจทก์ต้องฟ้องหน่วยงานรัฐต่อศาลปกครอง ไม่สามารถฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐได้ ทีมทนายจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ขอให้ส่งสำนวนให้ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองหรือไม่ ซึ่งศาลแพ่งจะทำความเห็นในสำนวนคดีส่งศาลปกครองว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลใด ถ้าหากศาลปกครองมีความเห็นต่างกับศาลแพ่ง ก็จะต้องส่งสำนวนคดีนี้ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลต่อไป ทั้งนี้ ศาลแพ่งนัดฟังความเห็นของศาลปกครอง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 09.30 น.

The post ฟ้องวิทยานิพนธ์ ‘ณัฐพล ใจจริง’ สะท้อนความขัดแย้ง-แตกต่างทางความคิด ข้ามรัชสมัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดใจ ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ จำเลยที่ 2 คดี ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องปมเชิงอรรถ-เนื้อหาวิทยานิพนธ์ https://thestandard.co/kullada-kesboonchoo-mead-interview-2/ Tue, 23 Nov 2021 13:25:01 +0000 https://thestandard.co/?p=563285 กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

กุลลดา เกษบุญชู มี้ด คือจำเลยที่ 2 ในฐานะที่ปรึกษาวิทยา […]

The post เปิดใจ ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ จำเลยที่ 2 คดี ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องปมเชิงอรรถ-เนื้อหาวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

กุลลดา เกษบุญชู มี้ด คือจำเลยที่ 2 ในฐานะที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง ที่กำลังเป็นประเด็น เธอคือนักวิชาการที่คนในแวดวงวิชาการรู้จักและยอมรับในบทบาทอย่างยิ่ง 

 

ขณะที่อีกไม่กี่วันจะมีความคืบหน้าคดีฟ้องร้องงานวิชาการ ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2552

 

ศาลแพ่งนัดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 เพื่อฟังคำสั่งคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 โดยศาลแพ่งจะนัดพร้อมและชี้สองสถานในประเด็นการสืบพยานอีกครั้งในโอกาสต่อไป

 

คดีนี้ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร มอบหมายให้ทนายความยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อ 6 จำเลย ในฐานความผิดละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง โดยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันนัดไต่สวนนัดแรก

 

THE STANDARD สัมภาษณ์ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด จำเลยที่ 2 ในฐานะที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง เธอคือนักวิชาการที่คนในแวดวงวิชาการรู้จักและยอมรับในบทบาทอย่างยิ่ง

 

กุลลดา เกษบุญชู มี้ด กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

The post เปิดใจ ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ จำเลยที่ 2 คดี ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องปมเชิงอรรถ-เนื้อหาวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ จำเลยที่ 2 คดี ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องปมเชิงอรรถ-เนื้อหาวิทยานิพนธ์ https://thestandard.co/kullada-kesboonchoo-mead-interview/ Mon, 22 Nov 2021 13:19:16 +0000 https://thestandard.co/?p=562781 กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

อีกไม่กี่วันจะมีความคืบหน้าคดีฟ้องร้องงานวิชาการ ซึ่งเป […]

The post รู้จัก ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ จำเลยที่ 2 คดี ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องปมเชิงอรรถ-เนื้อหาวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

อีกไม่กี่วันจะมีความคืบหน้าคดีฟ้องร้องงานวิชาการ ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2552

 

ศาลแพ่งนัดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 เพื่อฟังคำสั่งคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 โดยศาลแพ่งจะนัดพร้อมและชี้สองสถานในประเด็นการสืบพยานอีกครั้งในโอกาสต่อไป

 

คดีนี้ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร มอบหมายให้ทนายความยื่นคำฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อ 6 จำเลย ในฐานความผิดละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง โดยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันนัดไต่สวนนัดแรก

 

THE STANDARD สัมภาษณ์ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด จำเลยที่ 2 ในฐานะที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของ ณัฐพล ใจจริง เธอคือนักวิชาการที่คนในแวดวงวิชาการรู้จักและยอมรับในบทบาทอย่างยิ่ง 

 

 

ในวงวิชาการมีหลายสำนักคิด หลายทฤษฎี อ.กุลลดา ใช้ทฤษฎีไหนในงานวิชาการ

ดิฉันเรียนจบจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท และไปศึกษาต่อที่ School of Oriental and African Studies (SOAS) จบปริญญาโทและปริญญาเอกด้าน Politics (ของภูมิภาค South East Asia) และเป็นอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาไม่ต่ำกว่า 40 ปี โดยสอนวิชาความเป็นมาของโลกตะวันตก, นโยบายต่างประเทศของไทย และการเมืองของ South East Asia แต่ได้เลือกทำวิจัย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยในศตวรรษที่ 19 จึงไม่ได้ใช้ทฤษฎีด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกระแสหลัก

 

ขณะที่กำลังทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและบทบาททุนนิยมที่เข้ามาในเมืองไทยในศตวรรษที่ 19 ก็ได้มาพบทฤษฎีที่เป็นสาขาหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เรียกว่า Critical International Political Economy ทฤษฎีนี้ทำให้ดิฉันสามารถอธิบายการเมืองไทยในมิติที่แตกต่างไปจากนักรัฐศาสตร์คนอื่น และได้ผลิตผลงานด้านวิชาการ โดยมีหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์อยู่ 2 เล่ม คือ 

 

  1. ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย
  2. วิวัฒนาการรัฐอังกฤษ ฝรั่งเศส ในกระแสเศรษฐกิจโลก จากระบบฟิวดัลถึงการปฏิวัติ 

 

ส่วนบทความด้านวิชาการได้มีผู้รวบรวมไว้ให้ โดยสามารถเข้าไปดูได้ที่ https://kulladablog.wordpress.com/2016/07/11/2/   

 

ส่วนบทบาทในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา นอกจากณัฐพลแล้ว ก็มี ผศ.ดร.นรุตม์ เจริญศรี ที่ดิฉันเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ปริญญาโท เรื่อง บทบาทของญี่ปุ่นในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง และ ผศ.ดร.นรุตม์ ได้ไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยลีดส์ในสหราชอาณาจักรต่อในหัวข้อ Japanese and South East Asian Studies ซึ่งยังเป็นหัวข้อวิจัยหนึ่งที่อาจารย์ผู้นี้ให้ความสำคัญในปัจจุบัน

 

ดิฉันพยายามเชื่อมบทบาทของทุนนิยมข้างนอกกับการเมืองภายในว่าเป็นอย่างไร ก็ถือว่าเป็นกระแสที่คนอื่นไม่ได้ใช้อย่างแพร่หลาย ดิฉันไม่ได้เป็นฝ่ายไหนในการเมืองไทย แต่ดิฉันมีวิธีการศึกษาที่ใช้ทฤษฎีหนึ่ง เพื่อจะมาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในการเมืองไทย เหตุที่สนใจทฤษฎีนี้เพราะมันดูตั้งแต่พลังสังคม (Social Forces) รูปแบบรัฐและระบบทุนนิยม ตลอดจนบทบาททางการเมืองของรัฐมหาอำนาจ เช่น สมมติว่าธนาคารโลกมากดดันให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ดิฉันก็ดูว่ารัฐไทยรับมืออย่างไร แล้วข้างในประเทศ พลังสังคมส่วนไหนที่ต่อต้าน

 

ถ้าสำนักคิดอื่นๆ ก็อาจจะพอใจที่จะอธิบายปรากฏการณ์ด้วยทฤษฎีสัจนิยมและเสรีนิยม (Realism and Liberalism) เป็นต้น

 

 

ด้วยความแตกต่างนี้ เคยทำให้อาจารย์พบปัญหาระหว่างทำงานวิชาการหรือไม่

อาจจะบอกได้ว่า วิธีการทำงานของดิฉันเป็นวิธีการทำงานของนักวิชาการส่วนน้อย คือเข้าไปดูข้อมูลเอกสารชั้นต้นจากหอจดหมายเหตุในต่างประเทศมาเพิ่มเติมความเข้าใจการเมืองไทย และใช้ทฤษฎีวิพากษ์ที่เป็นสาขาหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Critical International Political Economy)

 

เรื่องเอกสารข้อมูลส่วนใหญ่เป็นรายงานจากสถานทูต และบางส่วนเป็นรายงานจาก CIA ก็ได้นำมาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาด้วย ซึ่งดิฉันมองว่าเป็นปกติของงานวิชาการอยู่แล้ว และยินดีที่จะให้มีคนตั้งคำถามหรือมีความเห็นต่าง

  

กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ของณัฐพลในปีการศึกษา 2552 ประกอบด้วยใครบ้าง มีการทักท้วงส่วนที่เป็นคดีในปัจจุบันหรือไม่

กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ประกอบด้วย

 

  1. ไชยวัฒน์ ค้ำชู ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์
  2. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
  3. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
  4. วีระ สมบูรณ์
  5. กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา

 

ตอนสอบวิทยานิพนธ์ไม่ได้มีการทักท้วงในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นคดีฟ้องร้องในตอนนี้ (ปี 2564) และกรรมการก็ได้ลงมติเป็น ‘เอกฉันท์’ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมาก (Excellent) 

 

ในการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีมากกรรมการจะต้องเขียนคำอธิบายเหตุผลที่ให้ ‘ดีมาก’ ซึ่งแตกต่างจากการให้ผ่านโดยปกติ

 

สำหรับวิทยานิพนธ์ของณัฐพลเล่มนี้ อ.ไชยวัฒน์ ค้ำชู ในฐานะประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ เป็นผู้เขียนเหตุผลที่คณะกรรมการประเมินให้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดีมาก

 

ในกระบวนการทำวิทยานิพนธ์ เนื่องจากดิฉันไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการเมืองยุค จอมพล ป. จึงได้เน้นการดูบทบาทของสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ ในขณะที่กรรมการท่านอื่นเป็นผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทย

 

 

วิทยานิพนธ์มีการเขียนและสอบผ่านไปนานกว่า 10 ปีแล้ว ขณะนั้นการสอบวิทยานิพนธ์เป็นอย่างไร และหากมองจากปัจจุบันอาจารย์มองว่าควรจะเพิ่มเติมส่วนไหน

ตอนนั้นกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ก็ประทับใจกับสิ่งที่ณัฐพลนำเสนอ เพราะว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เป็นที่รับรู้อย่างเป็นระบบในสาธารณะมาก่อน

 

พอเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วได้นึกย้อนกลับไป ถ้าจะมองปัญหาเชิงอรรถดิ ฉันคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอยู่ในระดับที่แก้ไขได้ หากจุฬาฯ อนุญาต

 

สิ่งที่เสียดายในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาคือ การที่ไม่ได้แนะนำณัฐพลให้นำบทบาททางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม มาอธิบายภาพการเมืองไทยในยุคนั้น ซึ่งจะทำให้เห็นภาพการต่อสู้ระหว่างกลุ่มรอยัลลิสต์กับรัฐบาล จอมพล ป. อย่างมีดุลยภาพขึ้น

 

อ.กุลลดา เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของณัฐพล แต่ในฐานะนักวิชาการ มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันหรือไม่

ณัฐพลเขาเป็นนักวิชาการที่ทำงานหนัก ศึกษาข้อมูลภายในประเทศมาแล้วอย่างมาก แล้วก็มาสเตอร์เรื่องข้อมูล เขาได้ไปดูเอกสารในต่างประเทศด้วย เรื่องข้อมูลเขาดี

 

ตอนที่เขามาคุยด้วยก่อนทำวิทยานิพนธ์ ดิฉันก็รู้สึกว่าเขามีธงซึ่งอาจจะทำให้เขาโฟกัสไปในทางเดียว ดิฉันก็เลยเสนอ 2 ข้อ คือ 

 

  1. ให้ดูบทบาทอเมริกาในการเมืองตอนนั้น
  2. ต้องไปดูเอกสารที่อเมริกา

 

แล้วดิฉันก็ช่วยสนับสนุนให้เขาได้ทุนวิจัยไปดูเอกสารที่อเมริกา ส่วนดิฉันได้ทุนอื่นไปค้นคว้าเอกสารที่อเมริกาด้วยเช่นกัน

 

ดิฉันมีความเชื่อมั่นว่าเขาใช้เอกสารโดยบริสุทธิ์ใจตลอดเวลาในการทำวิทยานิพนธ์

 

ส่วนวิธีการทำงานของดิฉันจะไม่มีธงและปล่อยให้ข้อมูลเล่าเรื่องเหตุการณ์ แล้วดิฉันประมวลขึ้นมาเป็นคำอธิบายปรากฏการณ์

 

 

คณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีวิทยานิพนธ์ของณัฐพลประกอบด้วยใครบ้าง อ.กุลลดา ได้ชี้แจงอย่างไร  

คณะกรรมการประกอบด้วย

 

  1. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
  2. นรนิติ เศรษฐบุตร
  3. สุจิต บุญบงการ
  4. ปาริชาต สถาปิตานนท์
  5. อาจารย์ท่านหนึ่งที่มาจากคณะวิทยาศาสตร์  ​

 

การสอบสวนยังคงดำเนินอยู่ ในขณะที่มีเสียงเรียกร้องจากชุมชนวิชาการทั้งในและต่างประเทศ ให้จุฬาฯ เลิกล้มไป ผลสรุปของกรรมการชุดนี้น่าจะมีผลต่อคดีด้วย

 

ในการสอบสวนโดยจุฬาฯ ที่เพิ่งเกิดขึ้น ดิฉันบอกจุฬาฯ ว่างานวิชาการไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องถูก แต่เป็นเรื่อง Judgment ของผู้เขียน ซึ่งโต้แย้งกันได้

 

มีกรรมการอ่านแล้วให้ผ่าน เมื่อมีคนอีกจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยก็มาว่ากัน

 

 

ขอบเขตความรับผิดชอบในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์

อาจารย์ที่ปรึกษารับผิดชอบดูความเหมาะสมทางวิชาการของหัวข้อ, ตรวจดูความก้าวหน้าของวิทยานิพนธ์ โดยดูการดำเนินเรื่องและตรรกะ ถ้าตรงไหนสะดุดก็ทักท้วง ส่วนความถูกต้องของเชิงอรรถนั้น ในความเป็นจริงที่ยอมรับกันในวงวิชาการสากลแล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาไม่สามารถที่จะไปตรวจสอบความถูกต้องทุกประการของเชิงอรรถได้

 

สิ่งที่เขาอ้างอิง ถ้ามีใครซีเรียสมากๆ แล้วไปตรวจสอบความถูกต้อง ก็ต้องขอบคุณ แต่การวิเคราะห์ที่หากมีใครไม่เห็นด้วยนั้นก็สามารถเขียนงานวิชาการโต้แย้งได้

 

ในที่สุดแล้ววิทยานิพนธ์เป็นความรับผิดชอบและเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนและลิขสิทธิ์เป็นของจุฬาฯ ด้วย หากจุฬาฯ จะไต่สวนก็ควรต้องไต่สวนเชิงระบบ ตลอดจนกระบวนการปฏิบัติและกระบวนการอนุมัติวิทยานิพนธ์ทั้งหมดของตนจะเป็นประโยชน์มากกว่า

 

หากใครจะมีความคาดหวังว่าสิ่งที่ณัฐพลเขียนต้องปรากฏในเอกสารอ้างอิงด้วยนั้น มันไม่ใช่ เพราะการเขียนเป็น Judgment ของคนศึกษา

 

ถ้าถ้อยคำต้องปรากฏในเอกสารอ้างอิงด้วยทุกคำแบบนั้น คนทำวิทยานิพนธ์ก็เพียงแต่เรียงเอกสารให้เสร็จ ไม่มีตัวตนของผู้เขียน ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น

 

เมื่อผลิตงานออกมาแล้ว หากไม่เป็นที่พอใจของใคร ก็ควรจะรีบผลิตงานวิจัยออกมาตอบโต้

 

เราศึกษาเอกสารทั้งหมด แล้วเรามาอธิบายว่าเรื่องเป็นแบบนี้ นี่คือบทบาทของนักวิชาการ นักวิชาการต้องสามารถ Make Judgment จากเอกสารที่ตัวเองได้ศึกษามา แล้วเมื่อเห็นแตกต่างกันก็ไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องถูก เป็นเรื่องมาโต้แย้งกันได้

 

ดิฉันชื่นชมนักวิชาการฝ่ายอนุรักษ์ที่มีคุณภาพ ที่ศึกษาด้วยความมีเหตุผล มีหลักฐานอ้างอิงประกอบ ต้องเคารพการทำงานกัน เราจะเห็นต่างก็ไม่ว่ากัน

 

 

กรณีมีการโต้แย้งเช่นนี้ ที่ผ่านมาในวงวิชาการมีวิธีปฏิบัติต่อกันอย่างไร

จากประสบการณ์ของดิฉัน ไม่เคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน เพิ่งมีกรณีนี้ แล้วเกิดขึ้นหลังวิทยานิพนธ์สำเร็จมีผลออกมาแล้วหลายปี

 

ผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวงการวิชาการในอนาคตจากคดีที่มีการฟ้องร้อง อาจารย์มองว่าอย่างไร 

ในอนาคตอาจารย์ก็อาจจะลำบากใจที่จะรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ไม่ใช่แค่เรื่องสถาบันกษัตริย์ อาจเป็นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากทุนนิยมผูกขาด ก็ถูกเอาเรื่องได้ แม้ว่าจะเป็นการศึกษาในเชิงวิชาการและเป็นการนำข้อมูลมาเสนอต่อสาธารณะ

 

มีคนตั้งคำถามว่าไปเอาเอกสารเมืองนอกมา ใช้ได้แค่ไหน คำตอบก็คือว่า มันก็ต้องเป็นส่วนหนึ่ง เราทำวิจัยก็จะเริ่มมีภาพของเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วก็เอกสารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นตัวชี้ขาด เรื่องนี้ต้องอาศัยเอกสารนี้เล่าเรื่อง แต่เราดูเอกสารอื่นมาด้วย แล้วเอกสารนี้สนับสนุน ซึ่งคนอื่นอาจจะมองเอกสารเดียวกันแล้วเห็นไม่ตรงกันก็ได้ เป็นการทำงานทางวิชาการ

 

เอกสารชิ้นหนึ่งมองจากคนละมุมก็เห็นไม่เหมือนกัน เอกสารแต่ละชิ้นจะสนับสนุนเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ที่เราได้เห็นมาแล้ว ไม่มีเอกสารชิ้นใดชิ้นหนึ่งหรอกที่อธิบายทั้งหมด

 

 

หนังสือที่อาจารย์เตรียมจะเขียนให้จบ และผลงานอื่นๆ ที่อยากจะนำเสนอ

ตอนนี้มีหนังสือที่ควรจะจบอีก 2 เล่ม และที่อยากเขียนอีก 1 เล่ม ถ้ายังมีชีวิตอยู่

 

เล่มหนึ่งคือ บทบาทของสหรัฐอเมริกาในการเมืองไทย โดยมีประเด็นว่า ควรจะมองบทบาทอเมริกาในฐานะที่เป็น Empire เพิ่มเติมอีกด้วย

 

อีกเรื่องคือ รัฐไทยกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) เป็นการมองอเมริกาอีกยุคหนึ่ง ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 มาถึงวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 นึกว่าจะต้องจบด้วยการอธิบายว่า อนาคต Neoliberalism จะเป็นเช่นไร แต่ก็พบว่าไม่อาจจะทำได้ เนื่องจากยังเป็นกระบวนการที่ยังคงดำเนินอยู่ กระทั่งเมื่อสัก 2 เดือนที่แล้ว เราก็นึกได้ว่าสามารถจะจบได้ด้วยการพูดถึงรัฐไทย

 

ที่อยากเขียนอีกเล่ม ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างถึง 2 ศตวรรษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นการเปรียบเทียบขบวนการชาตินิยมที่เกิดขึ้นในประเทศ ในภูมิภาคนี้ ก่อนการได้รับเอกราช กับที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบัน

 

หัวข้อนี้ดิฉันได้เคยไปเลกเชอร์โอกาสครบรอบวันเกิด อ.ธเนศวร์ เจริญเมือง ไว้ แต่ยังไม่มีโอกาสทำให้เห็นภาพชัดเจน จนเมื่อได้รับเชิญให้ไปพูดในโครงการปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในประเด็นที่ว่า เศรษฐกิจมีบทบาทอย่างไรกับการเมืองเปรียบเทียบ ทำให้ภาพมีความชัดเจนขึ้น จึงอาจหาญอยากจะเขียนหนังสือเล่มใหญ่ในประเด็นนี้

 

ดิฉันมองว่าในศตวรรษที่ 19 ทุนนิยมได้เข้ามาในเกือบทุกประเทศในภูมิภาค แล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 ประการ

 

  1. การเกิดรัฐสมัยใหม่และการศึกษาสมัยใหม่ เป็นที่มาของผู้นำขบวนการชาตินิยมของทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
  2. การกดขี่ของระบบทุนนิยมโดยเจ้าอาณานิคม เกิดขึ้นในทุกประเทศยกเว้นประเทศไทย

 

ความสำเร็จของผู้นำชาตินิยมในเมืองไทยโดยที่ไม่มีมวลชนหนุนหลังเกิดขึ้นในปี 2475 แต่ความสำเร็จของผู้นำและขบวนการชาตินิยมในประเทศอื่นๆ จะต้องรอถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดรัฐชาติในลักษณะเดียวกันกับรัฐไทยที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในปี 2475

 

การกดขี่ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจในสังคมไทยนำไปสู่การลุกขึ้นมามีส่วนร่วมทางการเมืองของมวลชน (Mass) ในลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นก่อนหน้านี้ นั่นก็คือการเรียกร้องสิทธิ์ของตนในนามของชาติ

 

เราควรจะต้องพิจารณาปรากฏการณ์นี้ในสังคมไทยว่าเป็นขบวนการชาตินิยมที่ล่าช้า (Late Nationalist Movement) กว่าขบวนการชาตินิยมที่เกิดมาแล้วในอดีต

 

 

The post รู้จัก ‘กุลลดา เกษบุญชู มี้ด’ จำเลยที่ 2 คดี ‘ณัฐพล ใจจริง’ ถูกฟ้องปมเชิงอรรถ-เนื้อหาวิทยานิพนธ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
23 คณาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ออกแถลงการณ์ แสดงจุดยืน พร้อมเรียกร้องมหาวิทยาลัย ปกป้องเสรีภาพนักวิชาการ https://thestandard.co/23-chula-political-science-faculties/ Fri, 12 Nov 2021 08:48:59 +0000 https://thestandard.co/?p=559124

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) กลุ่มคณาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงก […]

The post 23 คณาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ออกแถลงการณ์ แสดงจุดยืน พร้อมเรียกร้องมหาวิทยาลัย ปกป้องเสรีภาพนักวิชาการ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) กลุ่มคณาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 23 รายชื่อ ออกแถลงการณ์และข้อเรียกร้อง ต่อกรณีการฟ้องร้องนักวิชาการและอาจารย์ที่ปรึกษา โดยมีรายละเอียดระบุว่า

 

ตามที่สังคมได้รับทราบถึงกรณี ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ดำเนินคดีฟ้องร้องคดีแพ่งต่อ ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง นักวิชาการผู้ผลิตงานวิจัยทางวิชาการ และอดีตนิสิตปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และอาจารย์เกษียณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ ในข้อหาความผิดละเมิด ไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง และเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อวิทยานิพนธ์หัวข้อ ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ และหนังสืออีก 2 เล่ม คือ ‘ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500)’ และ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี: การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500’

 

ต่อกรณีดังกล่าวทางกลุ่มคณาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ผู้ปฏิบัติงานให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ได้ทำหน้าที่อย่างตั้งใจ โดยสุจริต และเป็นไปตามมาตรฐานที่พึงมีของอาจารย์ที่ปรึกษา เมื่อมีผู้ร้องให้เห็นถึงข้อผิดพลาด แต่การแก้ไขทำไม่ได้เพราะระเบียบของมหาวิทยาลัย จึงทำให้ทั้งผู้เขียนและอาจารย์ที่ปรึกษาตกเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว การร้องเรียนจนนำไปสู่การฟ้องร้องพิจารณาคดีในศาล เป็นตัวอย่างของการละเมิดสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ ในการทำวิจัย การผลิตงานทางวิชาการ และการตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างความรู้ใด นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงการขาดความเข้าใจต่อบทบาทและหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาในกระบวนการทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งจะส่งผลต่อมาตรฐานทางวิชาการในอนาคต

 

คณาจารย์ดังมีรายนามต่อไปนี้ ขอแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพทางวิชาการในการทำวิจัย ผลิตงานทางวิชาการ และตีพิมพ์เผยแพร่ และขอเรียกร้องให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและหน่วยงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าในการดูแลและปกป้องสิทธิเสรีภาพของนักวิชาการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเป็นเลิศทางวิชาการของมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำของประเทศและของโลกพึงมี โดย

 

ประการที่ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงควรแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อสาธารณะต่อการปกป้องและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพทางวิชาการของ รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และมาตรฐานเสรีภาพทางวิชาการทั่วไปของนิสิตและคณาจารย์

 

ประการที่ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยควรชี้แจงต่อสาธารณะว่า บทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์นั้นมีแค่ไหน เพียงไร เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันของสังคมต่อกระบวนการทำวิทยานิพนธ์และงานวิชาการอื่นเพื่อการปกป้องคุ้มครองสิทธิของนิสิตและอาจารย์ที่ปรึกษาต่อไปในอนาคต

 

ประการที่ 3 ความปรากฏว่า ข้อผิดพลาดอันเป็นข้ออ้างในการฟ้องร้องคดีดังกล่าวนั้น ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง เคยได้พยายามขอแก้ไขแล้ว แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่อนุญาต เพราะไม่มีระเบียบในเรื่องดังกล่าว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยควรประกาศเผยแพร่ถึงเกณฑ์เรื่องการแก้ไขเนื้อหาที่ผิดของวิทยานิพนธ์ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีครั้งนี้ และป้องกันปัญหาแบบเดียวกันในอนาคต

 

ทางกลุ่มคณาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเป็นกำลังใจให้ รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด และ ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง และยืนเคียงข้างอาจารย์ทั้ง 2 ท่านเพื่อแสดงจุดยืนปกป้องเสรีภาพการแสดงออกทางวิชาการ

 

  1. Asst. Prof.Carl Middleton Graduate Program in International Development Studies (MAIDS-GRID)
  2. ผศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล การปกครอง
  3. ดร.กรพินธุ์ พัวพันสวัสดิ์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  4. ผศ.ดร.กัลยา เจริญยิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  5. ดร.กุลพธู ศักดิ์วิทย์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
  6. ดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง การปกครอง
  7. รศ.ดร.จักรกริช สังขมณี สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
  8. ดร.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
  9. ศ.ดร.ฉันทนา หวันแก้ว อาจารย์เกษียนอายุ ภาควิชาการปกครอง
  10. ผศ.ดร.ธีวินท์ สุพุทธิกุล ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  11. รศ.ดร.นฤมล ทับจุมพล การปกครอง
  12. ศ.ดร.นิติ ภวัครพันธุ์ อาจารย์เกษียนอายุ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
  13. ผศ.ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ การปกครอง
  14. รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง การปกครอง
  15. ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  16. รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  17. ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ การปกครอง
  18. ดร.วงอร พัวพันสวัสดิ์ รัฐประศาสนศาสตร์
  19. รศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ การปกครอง
  20. ศ.สรวิศ ชัยนาม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  21. รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี การปกครอง
  22. ดร.สุรัชนี ศรีใย การปกครอง
  23. ศ.สุริชัย หวันแก้ว อาจารย์เกษียนอายุ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

The post 23 คณาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ออกแถลงการณ์ แสดงจุดยืน พร้อมเรียกร้องมหาวิทยาลัย ปกป้องเสรีภาพนักวิชาการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เสรีภาพทางวิชาการ vs. การบิดเบือนประวัติศาสตร์ ย้อนปมทายาทราชสกุลรังสิต ฟ้อง ‘ณัฐพล ใจจริง’ https://thestandard.co/academic-freedom-vs-distortion-of-history/ Thu, 11 Nov 2021 09:32:21 +0000 https://thestandard.co/?p=558791 เสรีภาพทางวิชาการ vs. การบิดเบือนประวัติศาสตร์

ความเคลื่อนไหวสำคัญสำหรับวงวิชาการที่เมื่อมีความเห็นแตก […]

The post เสรีภาพทางวิชาการ vs. การบิดเบือนประวัติศาสตร์ ย้อนปมทายาทราชสกุลรังสิต ฟ้อง ‘ณัฐพล ใจจริง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เสรีภาพทางวิชาการ vs. การบิดเบือนประวัติศาสตร์

ความเคลื่อนไหวสำคัญสำหรับวงวิชาการที่เมื่อมีความเห็นแตกต่างกันแล้วจะถึงขั้นมีการฟ้องร้อง อาจไม่ใช่เรื่องปกติที่พบเห็นได้บ่อยนัก

 

เพราะโดยทั่วไปแล้ว หากใครมีความเห็นแย้ง อาจด้วยความเชื่อในสำนักคิดแตกต่างหรือมีประสบการณ์แตกต่าง หรือมีเงื่อนไขใดๆ ก็ตามแตกต่างกัน ก็จะผลิตงานวิชาการที่นำเสนอหลักฐานพร้อมความเห็นแย้งเผยแพร่ผ่านงานวิชาการ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถรับรู้รับทราบได้ว่าในเรื่องเดียวกันนั้น ถูกตีความหรือมีคำอธิบายแต่ละค่ายความคิดแตกต่างกันอย่างไร

 

ล่าสุด มีนักวิชาการที่ต้องขึ้นศาลเป็นจำเลยตามนัดไต่สวนครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีนักวิชาการที่เห็นต่าง แม้ไม่ได้เป็นโจทก์ แต่ก็เป็นพยานให้ฝ่ายโจทก์ด้วย

 

THE STANDARD ชวนมาลองย้อนเหตุการณ์ที่ดูจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในแวดวงวิชาการมากนัก

 

ปี 2553: ณัฐพล ใจจริง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2552 จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยวิทยานิพนธ์ที่ได้รับการประเมินผลในระดับดีมาก เรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ โดย กุลลดา เกษบุญชู มี้ด เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์

 

ก่อนหน้านั้น ณัฐพลสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับสอง จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้รับรางวัล ‘ทุนภูมิพล’ ในฐานะที่ได้คะแนนสูงสุด สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

ปัจจุบัน ณัฐพลเป็นรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

 

ปี 2556: หนังสือ ‘ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500)’ ได้รับการตีพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน และพิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 2564 โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน

 

ปี 2563: หนังสือ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี’ ได้รับการตีพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน

 

  • 5 มีนาคม 2564 ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต หลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร มอบหมายให้ สมผล ตระกูลรุ่ง ทนายความ ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อ 6 จำเลย ประกอบด้วย

 

จำเลยที่ 1 ณัฐพล ใจจริง ผู้แต่งหนังสือ ‘ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ’ และ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี’

 

จำเลยที่ 2 กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

จำเลยที่ 3 ชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ

 

จำเลยที่ 4 อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

 

จำเลยที่ 5 ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม

 

จำเลยที่ 6 ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน

 

ในฐานความผิดละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท กรณีที่ ‘ณัฐพล’ เขียนวิทยานิพนธ์หัวข้อ ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ หนังสือ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี’ และหนังสือ ‘ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500)’

 

  • 26 มีนาคม 2564 นักวิชาการเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกเรียกร้องจุฬาฯ ให้ปกป้องเสรีภาพและมาตรฐานทางวิชาการ โดย 279 นักวิชาการและวิชาชีพอื่น ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีการตั้งกรรมการสอบสวนณัฐพล

 

  • 2 พฤษภาคม 2564 สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันขยายเวลาให้ผู้อ่านที่ต้องการเปลี่ยนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) โดย ณัฐพล ใจจริง เปลี่ยนได้อีก 6 เดือน โดยระบุว่า

 

“ตามที่สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันได้ประกาศเปลี่ยนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 (2556) กับ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขปรับปรุงในปี 2564  ซึ่งเป็นการแก้ไขปรับปรุงจากการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2556 จากการทักท้วงของ ไชยันต์ ไชยพร ที่เกิดขึ้นในปี 2561

 

“ในการตีพิมพ์ครั้งนี้ (2564) กองบรรณาธิการได้แก้ไขตามที่ท้วงติงแล้ว ซึ่งมีเพียงจุดเดียว (หน้า 124) อย่างไรก็ตาม สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันขอยืนยันว่าความผิดพลาดดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นโดยเจตนา และไม่ได้กระทบต่อโครงเรื่องและสาระหลักในหนังสือเล่มนี้แต่อย่างใด 

 

“หากผู้อ่านท่านใดต้องการเปลี่ยนหนังสือ เรายินดีเปลี่ยนให้ โดยท่านสามารถส่งหนังสือคืนมาที่ สนพ. แล้วทางเราจะส่งเล่มใหม่ไปให้

 

“เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้หลายท่านไม่สะดวกที่จะส่งหนังสือมาแลกเปลี่ยน ทางสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ขอขยายเวลาจากวันที่ 30 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 หรือเพิ่มอีก 6 เดือน”

 

  • 9 พฤศจิกายน 2564 ศาลแพ่งไต่สวนครั้งแรก และนัดฟังคำสั่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.30 น.

 

  • 9 พฤศจิกายน 2564 กุลลดา จำเลยที่ 2 ออกแถลงการณ์เผยแพร่ทางแฟนเพจฟ้าเดียวกัน โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า

 

“คณะกรรมการผู้ทรงวุฒิได้ใช้เวลาตรวจสอบวิทยานิพนธ์แล้ว และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า วิทยานิพนธ์สอบผ่าน และวิทยานิพนธ์ดีมาก ซึ่งเป็นงานวิชาการที่เปิดให้มีการโต้เถียงได้โดยเสรี

 

“หากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความเป็นสถาบันวิชาการในระดับสากล ก็ควรต้องรับรองหลักการดังกล่าวอันเกิดขึ้นภายในสถาบันของตนด้วย และควรต้องมีบทบาทในการปกป้องดิฉัน ซึ่งทำหน้าที่อันชอบธรรมตามคำสั่งของมหาวิทยาลัย

 

“แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ได้ยอมรับหรือกระทำตามหลักการที่มีความเป็นสากลนี้ และไม่ได้ดำเนินการปกป้องดิฉันในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งทำหน้าที่ตามคำสั่งของมหาวิทยาลัยอย่างที่ควร แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนบทบาทของดิฉันในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาดังกล่าว”

 

ย้อนเหตุการณ์ก่อนที่จะมีคดี ‘ทายาทราชสกุลรังสิต’ ฟ้องร้องณัฐพลและอีก 5 จำเลย ในปี 2564

 

  • ไชยันต์ ไชยพร ให้สัมภาษณ์ WATCHDOG CHANNEL เผยแพร่ทาง YouTube วันที่ 24 ธันวาคม 2563 ซึ่งมีคำบรรยายประกอบคลิปใน YouTube ระบุว่า “พิสูจน์หลักฐานเอกสาร วิทยานิพนธ์ของ ดร.ณัฐพล ใจจริง สร้างเรื่อง…..เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ – ความเห็นของ อ.ไชยันต์ ไชยพร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ต่อการชุมนุมของคณะราษฎร 63 – สัมภาษณ์ 21 ธันวาคม 2563 คลิกดูได้ที่: 

 

 

  • เนื้อหาคำให้สัมภาษณ์ไชยันต์ระบุตอนหนึ่งว่า หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สวรรคตในปี 2559 ก็ได้ร่วมกับนักวิชาการอีก 2 ท่าน ทำวิจัยให้สถาบันพระปกเกล้า ได้ทุนวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า ทำเรื่องเกี่ยวกับการเมืองในรัชกาลที่ 9 พระองค์ต้องเผชิญอะไรบ้างในช่วง 70 ปีครองราชย์

 

  • ทีมทำวิจัยได้สำรวจวรรณกรรมใครเขียนอะไรเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์บ้าง พบเอกสารที่เขียนโดย ณัฐพล ใจจริง เขียนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และได้ดูการอ้างอิงในหนังสือขอฝันใฝ่ฯ ซึ่งเป็นหนังสือที่ไชยันต์ระบุว่า เพื่อนร่วมงานในภาควิชาการปกครองสำรวจเยาวชนที่ชุมนุมปลดแอกในปี 2563 พบว่าหนังสือเล่มนี้เป็น 1 ใน 4 เล่มที่ฮิตมาก น่าจะมีอิทธิพลกับเยาวชน จึงเช็กการอ้างอิง

 

  • เมื่อตรวจสอบแล้วไชยันต์มองว่า หนังสือณัฐพลเป็นการเผยแพร่ข้อความเท็จ อาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งความรุนแรงทางการเมืองได้ ไม่ได้มองว่าเป็นการเขียนจากการตีความ แต่ไชยันต์มองว่าเป็นการเสกสรรปั้นแต่งข้อมูล

 

  • ไชยันต์ ไชยพร ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ‘จากมวลชนปฏิวัติสู่มวลชนประชาธิปไตยกับพระมหากษัตริย์: การศึกษาพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย’ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า กล่าวด้วยว่า ได้แจ้งอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และกรรมการวิทยานิพนธ์ของณัฐพลรับทราบเกี่ยวกับการอ้างอิงบทบาทของกรมขุนชัยนาทฯ ในวิทยานิพนธ์ เมื่อณัฐพลติดต่อบัณฑิตวิทยาลัยเพื่อแก้ไข ทางบัณฑิตวิทยาลัยไม่ให้แก้เพราะจบไปแล้ว ไชยันต์ทำเรื่องไปที่บัณฑิตวิทยาลัยอีกครั้ง บัณฑิตวิทยาลัยประชุมแล้วผลออกมาไม่เผยแพร่วิทยานิพนธ์ทั้งรูปกระดาษและอิเล็กทรอนิกส์

 

  • ไชยันต์ให้ความเห็นในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวว่า บัณฑิตวิทยาลัยไม่ควรปิด เพราะเมื่อปิดคนจะเข้าใจว่าเนื้อหาในนั้นคือความจริงที่ถูกเซ็นเซอร์เสรีภาพทางวิชาการ ขณะที่เรื่องที่เขียนนั้นเป็นข้อมูลเท็จในความเห็นของไชยันต์ นอกจากนั้น ไชยันต์บอกด้วยว่า ได้แจ้งสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันว่ามีข้อผิดพลาด ถ้าเขาไม่เผยแพร่หรือมีกระดาษแปะยอมรับความผิดพลาดก็จบ แต่สำนักพิมพ์กลับเงียบ

 

  • ต่อมา ไชยันต์ให้สัมภาษณ์รายการ เรื่องลับมาก ดำเนินรายการโดย เสรี วงษ์มณฑา สัมภาษณ์เผยแพร่ทางเนชั่นทีวี วันที่ 30 ธันวาคม 2563 โดยไชยันต์กล่าวตอนหนึ่งถึงหนังสือขอฝันใฝ่ฯ ว่า ประเด็นที่เป็นประเด็นสำคัญ ต้องการให้เขาแก้ไขเป็นหลัก แต่ยังไม่มีการแก้ไขในหนังสือเล่มนี้ อยู่ในหนังสือขอฝันใฝ่ฯ ในหน้า 124 ที่กล่าวถึงกรมขุนชัยนาทนเรนทร โดยอ้างอิงรายงานสถานทูต ซึ่งไชยันต์บอกว่าเมื่อเช็กเชิงอรรถแล้วไม่มีข้อความตามที่ปรากฏในหนังสือขอฝันใฝ่ฯ

 

  • ด้านทนายความฝ่ายจำเลย วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกุลลดา จำเลยที่ 2 ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD วันนี้ (11 พฤศจิกายน) ว่า คำฟ้องของโจทก์ ระบุว่า ได้ข้อมูลจากไชยันต์เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 ส่วนตัวมองว่า คดีดังกล่าวไม่น่าเกิดขึ้นในวงวิชาการในสังคมประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นเรื่องเสรีภาพทางวิชาการซึ่งรัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง และการทำวิทยานิพนธ์ก็เป็นเสรีภาพของผู้ศึกษาที่มุ่งพัฒนาต่อยอดความรู้ ไม่น่าจะถูกมองว่าเป็นการบิดเบือน เนื่องจากเป็นการนำเอกสารมาวิเคราะห์ตีความทางวิชาการ ซึ่งหากใครไม่เห็นด้วยก็สามารถโต้แย้งหักล้างถกเถียงกันด้วยเหตุผล หรือเขียนหนังสือทำวิจัยพิสูจน์สิ่งที่ไม่เห็นด้วย อ้างเอกสารชิ้นเดียวกันแต่ตีความอีกแบบก็ได้

 

  • วิญญัติกล่าวด้วยว่า อำนาจฟ้องของโจทก์น่าจะไม่สมบูรณ์ในแง่การบอกว่าเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการอ้างว่าถูกละเมิด รวมถึงสิทธิในการนำคดีมาฟ้องน่าจะขาดอายุความ เพราะการสอบวิทยานิพนธ์เกิดขึ้นเกิน 10 ปีแล้ว ส่วนอายุความ 1 ปีนับแต่รู้ก็ฟังไม่ขึ้น

 

  • อย่างไรก็ตาม มองว่าฝ่ายโจทก์รวมถึงไชยันต์ซึ่งเป็นพยาน ต้องใจกว้างให้มีการพิสูจน์ความจริงในอดีตถึงเหตุการณ์ที่เป็นปัญหานี้ในศาลว่าอะไรเกิดขึ้น ความจริงคืออะไร เชื่อว่าคนไทยที่ใฝ่รู้ประวัติศาสตร์ก็อยากรู้ และหากมีหลักฐานในงานวิชาการจากนักวิชาการท่านอื่นๆ ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันกับวิทยานิพนธ์และหนังสือของณัฐพลแล้ว ทางฝ่ายโจทก์และไชยันต์จะยอมรับได้หรือไม่

 

  • ส่วนการทำหน้าที่อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 2 วิญญัติกล่าวว่า ไม่มีใครทักท้วงว่ากุลลดาทำผิดระเบียบหรือขั้นตอนกฎหมาย การเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ทำภายใต้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ ไม่มีใครคิดว่าจะถูกฟ้อง และมองว่า จุฬาฯ ควรจะปกป้องอาจารย์และนิสิตตามที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เพียงการรับตรวจสอบหรือมุ่งลงโทษโดยการระงับการเผยแพร่วิทยานิพนธ์

 

ภาพ: ฟ้าเดียวกัน

The post เสรีภาพทางวิชาการ vs. การบิดเบือนประวัติศาสตร์ ย้อนปมทายาทราชสกุลรังสิต ฟ้อง ‘ณัฐพล ใจจริง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘พลังเก่า-พลังใหม่’ การปะทะครั้งสุดท้ายในการเมืองไทย ผ่านมุมมอง กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด https://thestandard.co/new-politice-new-old-party-clash-kullada-kesboonchoo-mead/ https://thestandard.co/new-politice-new-old-party-clash-kullada-kesboonchoo-mead/#respond Mon, 26 Jun 2017 01:35:41 +0000 https://thestandard.co/?p=9980

มองการเมืองไทยผ่านคอนเซปต์รัฐศาสตร์ 4 คอนเซปต์   & […]

The post ‘พลังเก่า-พลังใหม่’ การปะทะครั้งสุดท้ายในการเมืองไทย ผ่านมุมมอง กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด appeared first on THE STANDARD.

]]>

มองการเมืองไทยผ่านคอนเซปต์รัฐศาสตร์ 4 คอนเซปต์

     อาจารย์กุลลดามองว่า การเมืองไทยมีความเป็นเส้นตรงที่ยักเยื้อง และเมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส เราอาจจะอยู่ในเส้นทางที่นำไปสู่ประชาธิปไตยเช่นกัน

     การยักเยื้องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการปะทะกันระหว่างพลังเก่ากับพลังใหม่ สภาวะนี้ในปัจจุบันมีความรุนแรงมากกว่าที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ อาจมองว่าเป็นการปะทะกันที่มีนัยยะสำคัญมาก นั่นคือพลังใหม่รวบรวมฐานอำนาจของตนขึ้นมาเพื่อทำให้พลังเก่ารู้สึกหวั่นไหวในการที่ตนเองต้องสูญเสียอำนาจไป และอาจจะเป็นการปะทะกันครั้งสุดท้ายก็ได้

     อาจารย์กุลลดาได้มองการเมืองไทยผ่านคอนเซปต์ทางรัฐศาสตร์ 4 คอนเซปต์ใหญ่ๆ ดังนี้

14 ตุลาคม 2516 เกิดจากความขัดแย้งของกลุ่มผู้นำกันเอง และการผสมโรงของสหรัฐอเมริกา หากไปดูรายละเอียดแล้วก็จะพบว่ามี conspiracy มากมายที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ซึ่งทำให้เราต้องทบทวนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ กันใหม่

 

     1. Critical International Political Economy

     คือการพูดถึงบทบาทของทุนนิยมศูนย์กลางที่มีต่อโครงสร้างทางสังคมโครงสร้างทางการเมืองประเทศไทย

     ทฤษฎีนี้จะทำให้เรามีความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม ซึ่งประกอบด้วยพลังทางสังคมต่างๆ และบทบาทของศูนย์กลางทุนนิยมในกระบวนการเมืองของไทย

     การเปลี่ยนแปลงจากรัฐศักดินามาเป็นรัฐสมัยใหม่ ข้อสังเกตคือ การเปลี่ยนแปลงตรงนั้นมีระยะเวลาสั้นมากเมื่อเทียบกับฝรั่งเศส ขบวนการนี้ในฝรั่งเศสทำให้เกิดชนชั้นใหม่ๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แต่ในไทยเป็นเรื่องของชนชั้นข้าราชการที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่จำนวนเพียงเล็กน้อยที่มีอำนาจแคบมาก แต่ว่าสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้

     บทบาทที่สำคัญของอำนาจภายนอกที่มีต่อการเมืองภายใน ยกตัวอย่าง การขึ้นมามีอำนาจของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จากการศึกษาเอกสารทำให้เห็นชัดเจนว่าประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่เบื้องหลังการขึ้นมาของจอมพลสฤษดิ์ สหรัฐอเมริกามีลักษณะผู้นำที่ต้องการ ซึ่งไปตรงกับคุณลักษณะของจอมพลสฤษดิ์พอดี ทำให้สามารถตอบคำถามได้ว่าทำไมตอนนั้นสหรัฐฯ ซึ่งมองไทยเป็นฐานสำคัญในสงครามเวียดนามจึงต้องการผู้นำแบบจอมพลสฤษดิ์

     หากเราไม่เข้าใจบทบาทสหรัฐอเมริกา เราก็อาจจะกล่าวว่าการเลือกตั้งในสมัยจอมพลถนอมเกิดขึ้นเพราะร่างรัฐธรรมนูญแล้วก็คงต้องมีการจัดการเลือกตั้งสักที แต่ในปี 2514 จริงๆ แล้วผู้นำไทยไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งในครั้งนั้นเลย แต่เกิดจากการชักจูง และผลักดันของสหรัฐอเมริกา ทั้งให้เงิน และวิธีหาเสียง เพื่อที่จะทำให้รัฐบาลที่เป็นทหารเปลี่ยนยูนิฟอร์มมาเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นของประชาธิปไตยอีกครั้งไม่ได้เกิดจากความต้องการภายใน

     ในยุคสงครามอินโดจีน สหรัฐฯ มีการแฝงงบประมาณสงครามที่จะเอาไปใช้ที่เขมรไว้ในงบที่จะมาพัฒนาเรา เมื่อเรามีประชาธิปไตย มีรัฐสภา การจะผ่านงบประมาณก็เป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อระบบรัฐสภาไม่เอื้อต่อผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกาในการปฏิบัติการในสงครามอินโดจีน ก่อนการเลือกตั้ง 1 วัน มีนักการเมืองระดับสูงเดินทางมาพร้อมเงินที่บอกว่าจะนำไปใช้ในการปราบปรามยาเสพติด แต่เงินดังกล่าวถูกใช้อย่างไรก็ไม่มีใครทราบ

     สรุปได้ว่า ประชาธิปไตยครั้งแรกในสมัยใหม่หลังยุคจอมพลสฤษดิ์ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการภายใน

     14 ตุลาคม 2516 เป็นการรวมพลังต่อต้านรัฐบาลทหารจากกลุ่มต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก รวมทั้งขบวนการนักศึกษาที่มารวมตัวกัน ภาพจากภายนอกดูเป็นชัยชนะของขบวนการนักศึกษา แต่จากมุมมองนักรัฐศาสตร์ที่ได้ศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์พลังนักศึกษาเป็นแค่ส่วนประกอบ

     14 ตุลาคม 2516 เกิดจากความขัดแย้งของกลุ่มผู้นำกันเอง และการผสมโรงของสหรัฐอเมริกา หากไปดูรายละเอียดแล้วก็จะพบว่ามี conspiracy มากมายที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ซึ่งทำให้เราต้องทบทวนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ กันใหม่

     พลเอก กฤษณ์ สีวะรา เป็นคนสำคัญที่ทำให้จอมพล ถนอม กิตติขจร และจอมพล ประภาส จารุเสถียร ลงจากตำแหน่ง เมื่อจอมพลถนอมจะเดินทางออกนอกประเทศก็ได้เข้าพบพลเอกกฤษณ์และมีการร่างรายชื่อรัฐมนตรีชุดใหม่ จึงทำให้กลุ่มจอมพลถนอมยอมรับ เพราะรัฐมนตรีชุดใหม่ครึ่งหนึ่งก็มาจากรัฐมนตรีชุดเก่านั่นเอง โครงสร้างอำนาจของทหารไม่ได้หมดไปหลัง 14 ตุลาฯ แต่มีการใช้วิธีการแทนที่กัน มีหุ่นเชิด เพราะหลัง 14 ตุลาฯ ทหารตระหนักว่าการมีรัฐประหารจะไม่เป็นที่ต้องการของประชาชน จึงต้องหาพลเรือนมาเป็น front

     สิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญของการเมืองในยุคนั้นคือ การเติบโตของขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ผนวกกับข้อเรียกร้องให้ทหารอเมริกันถอนทหารออกจากประเทศ และความไม่พอใจที่รัฐบาลพลเรือนไม่สามารถบริหารราชการอย่างเรียบร้อยได้ ทั้งสามปัญหานี้นำไปสู่สองเหตุการณ์สำคัญคือ การสังหารหมู่นักศึกษาธรรมศาสตร์ตอนเช้า และยึดอำนาจตอนเย็น

     จากการศึกษาของอาจารย์กุลลดาเสนอว่า เป็นการกระทำของกลุ่มทหารสองกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน แต่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

     อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ทหารเมื่อยึดอำนาจเสร็จแล้วก็เอาพลเรือนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลพลเรือนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญคือ ภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ แต่กลับยิ่งทำให้ภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์รุนแรงขึ้น ในที่สุดก็มีผู้นำทหารคนหนึ่งยึดอำนาจจาก นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้นำคนนั้นก็คือ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

     อาจารย์กุลลดาตั้งข้อสังเกตว่า สหรัฐอเมริกาเมื่อผ่านจากยุคสงครามเย็นแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นยุคของการผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจภายใต้นโยบายเสรีนิยม สหรัฐฯ กลับมาพร้อมคำว่า ‘เสรีนิยม’ ‘ธรรมาภิบาล’ ‘โลกาภิวัตน์’ คอนเซปต์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสังคมไทย แต่เป็นการนำเข้า ยัดเยียด โดยสหรัฐอเมริกามีบทบาทในการเข้ามากำหนดวิธีคิดและอุดมการณ์ในสังคมไทยในยุคต้นทศวรรษที่ 1990

     จากนั้นมีการต่อต้านรัฐบาลทหาร ดังที่เราจะเห็นบทบาทของสหรัฐฯ ที่เข้ามาอบรมหน่วยสังคมต่างๆ ให้ตื่นตัวในเรื่องประชาธิปไตย

     อาจารย์กล่าวว่า แม้เอกสารชั้นต้นจะยังมองไม่เห็น แต่ก็พอเห็นบทบาทของ Asia Foundation ในการเข้ามาจัดประชุมเรื่องประชาธิปไตย การเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทหารและพลเรือน การสนับสนุนการฝึกอบรมสหภาพแรงงานในประเทศไทย

     แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าสหรัฐอเมริกามีบทบาทต่อการเมืองไทยมากแค่ไหน แต่พูดได้ว่าสหรัฐฯ มีความสนใจต่อบรรยากาศทางการเมืองของไทย และหากมีโอกาสทางผลประโยชน์จากการรักษารูปแบบทางการเมืองไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตามที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา เราก็อาจจะได้เห็นปรากฏการณ์ Bangkok Spring ก็เป็นได้ นี่ก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งของพลวัตการเมืองภายใน

     การตื่นตัวของชนชั้นล่าง ทุนนิยมโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมต่างๆ มากขึ้น และทำให้สังคมเกิดความความหลากหลายและสลับซับซ้อนมากขึ้นด้วย

     ก่อนหน้านี้ประชาชนไม่มีความสนใจมาตรการทางการเมืองเพราะมองว่าการเมืองเป็นเรื่องภายนอก แต่สิ่งที่เห็นในการเมืองปัจจุบันคือการตื่นตัวของชนชั้นล่างต่อมาตรการการเมือง ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เช่น ทักษิณทำให้คนจำนวนมากมีความตื่นตัวทางการเมืองขึ้น ทำให้ชนชั้นล่างตระหนักว่าผลประโยชน์ของเขาผูกอยู่กับผลประโยชน์ทางการเมือง

การปะทะกันของอำนาจอาจไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ แต่เป็นเรื่องใครจะเป็นผู้มีอำนาจในการควบคุมทรัพยากร และใช้อำนาจนั้นในการจัดสรรทรัพยากร ตอนนี้เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลปัจจุบันมีความสามารถมากในการจัดการทรัพยากรไปในแนวทางที่ต้องการว่าจะจัดงบไปที่ใด

รศ. ดร. กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

     2. คุณลักษณะพิเศษ​ของผู้นำ

     อาจารย์กุลลดากล่าวว่า คุณลักษณะพิเศษหรือคุณลักษณะเฉพาะของผู้นำเองก็มีผลกับการเมืองการปกครองด้วยเช่นกัน

     พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นทหารที่ลักษณะไม่เหมือนทหารทั่วไป ประการแรกก็คือเป็นคนที่ฉลาดมาก และประการที่สองคือมีความมุ่งมั่นแก้ปัญหาของชาติ

     พลเอกเกรียงศักดิ์ให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากกลุ่มที่หลากหลาย ทั้งผู้แทนที่มาจากพรรคการเมืองที่สำคัญ ฝ่ายกองทัพ ข้าราชการ และนักธุรกิจ ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีฉันทามติพอสมควร ซึ่งทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่มาจนถึงการปฏิวัติของ รสช. (คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ)

     อาจารย์กุลลดามองว่า พลเอกเกรียงศักดิ์เป็นผู้นำที่มีแท็กติก คือสั่งให้มีการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยให้คนต่อต้าน แล้วจึงค่อยแทรกแซงเข้ามาโดยบอกว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้บุคลิกของพลเอกเกรียงศักดิ์ดูเป็นผู้นำที่มีความเป็นประชาธิปไตย เรียกได้ว่าท่าน ‘เป็น’ ทางการเมืองของยุคสมัยนั้นที่ประกอบด้วยคนสำคัญคือ นักการเมือง นักธุรกิจ ทหาร เป็นรัฐธรรมนูญที่พอประสานผลประโยชน์ทางการเมืองได้

     รัฐธรรมนูญของพลเอกเกรียงศักดิ์ใช้ยืนยาวมาถึงสมัยพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ แล้วจึงมีการรัฐประหาร หลังจากนั้นจึงมีความพยายามที่ทหารจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ จนเกิดขบวนการต่อต้าน

     นอกจากนั้นพลเอกเกรียงศักดิ์ฉลาดรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่การปราบปราม แต่เป็นการสร้างความยินดี ลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคนั้น

 

     3. Comparative Politics

     อาจารย์กุลลดากล่าวว่า เมื่อมองขบวนการชาตินิยมในไทยเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขบวนการชาตินิยมเป็นขบวนการต่อต้านอาณานิคม แต่ลึกๆ แล้วเป็นการต่อต้านระบบโครงสร้างอำนาจที่เป็นอยู่ในขณะนั้น เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะรวมเหตุการณ์ในปี 2475 ในฐานะขบวนการชาตินิยมในลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

     ช่วงเริ่มต้นของการบรรยาย อาจารย์ได้อธิบายถึงกลุ่มเล็กๆ ทางการเมืองที่มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ปรากฏการณ์ส่วนหลังของชาตินิยม เราอาจจะได้เห็น mass movement ซึ่งโดยปกติแล้ว mass movement ที่เกิดขึ้นในประเทศอาณานิคมนั้นเป็นกระบวนการต่อต้านทุนนิยม แต่อาจจะมีความผกผันกับ ขบวนการ mass movement ในไทยที่กำลังก่อตัวและเกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งเป็นขบวนการที่เติบโตมากับทุนนิยมและได้ประโยชน์จากทุนนิยมก็เป็นได้

     อาจารย์กุลลดากล่าวว่า สิ่งที่ไม่เหมือนกับการเมืองการปกครองของฝรั่งเศส คือในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เศรษฐกิจประเทศฝรั่งเศสเติบโตเป็นอย่างมาก ในขณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตอนนี้คือการถดถอยทางเศรษฐกิจ จากการศึกษาประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน อาจารย์กุลลดาเชื่อว่าพลังอะไรก็ตามที่กระทบกับความเป็นอยู่ของคน อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

     เราอาจต้องมองการมีส่วนร่วมของขบวนการในประเทศไทยว่า ก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการชาตินิยมที่พบได้ในที่อื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

     4. อำนาจ

     อำนาจ คือความสามารถในการจัดสรรและควบคุมทรัพยากร อำนาจนี้อยู่ที่ใคร เป็นไปเพื่อเหตุผลอะไร

     การปะทะกันของอำนาจอาจไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ แต่เป็นเรื่องใครจะเป็นผู้มีอำนาจในการควบคุมทรัพยากร และใช้อำนาจนั้นในการจัดสรรทรัพยากร ตอนนี้เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลปัจจุบันมีความสามารถมากในการจัดการทรัพยากรไปในแนวทางที่ต้องการว่าจะจัดงบไปที่ใด ไม่ว่าจะเป็น งบประมาณทหาร หรือสุขภาพประชาชน

The post ‘พลังเก่า-พลังใหม่’ การปะทะครั้งสุดท้ายในการเมืองไทย ผ่านมุมมอง กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/new-politice-new-old-party-clash-kullada-kesboonchoo-mead/feed/ 0