กีฬาวิ่ง – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 30 Jan 2025 12:28:20 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 On กับการเดิมพันด้วยนวัตกรรมใหม่ เสกรองเท้าวิ่งหนึ่งคู่ได้ในเวลาแค่ 3 นาที https://thestandard.co/on-3-minute-shoes-tech/ Thu, 30 Jan 2025 12:28:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1036372

เวลา 3 นาที เราทำอะไรกันได้บ้างนะ?   แน่นอนละเราน่ […]

The post On กับการเดิมพันด้วยนวัตกรรมใหม่ เสกรองเท้าวิ่งหนึ่งคู่ได้ในเวลาแค่ 3 นาที appeared first on THE STANDARD.

]]>

เวลา 3 นาที เราทำอะไรกันได้บ้างนะ?

 

แน่นอนละเราน่าจะทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้พอดีในช่วงเวลานั้น และเป็นเวลาที่เท่ากับยอดมนุษย์อุลตร้าแมนจะต้องพยายามจัดการสัตว์ประหลาดต่างดาวให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่พลังจะหมดลง

 

แต่ถ้าบอกว่ามีคนสามารถผลิตรองเท้าวิ่งดีๆ สักคู่ภายในระยะเวลา 3 นาที คุณจะเชื่อไหม?

 

เรื่องที่ดูเหมือนการโม้เล่นๆ ของโนบิตะนี้เป็นเรื่องจริงไปแล้ว เพราะ On แบรนด์รองเท้าที่มาแรงที่สุดของยุคสมัย คิดค้นนวัตกรรมที่สามารถผลิตรองเท้าวิ่งขึ้นได้เหมือนเสกด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น

 

นวัตกรรมนี้คืออะไร และมันจะมีความหมายอย่างไรต่ออุตสาหกรรมรองเท้าวิ่ง รวมถึงสุขภาพของโลกใบนี้?

 

On แบรนด์กีฬาจากสวิตเซอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ถูกจับตามองอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบที่ล้ำหน้า อีกทั้งมีความสวยงามจนทำให้กลายเป็นรองเท้าที่ได้รับการบอกเล่าแบบปากต่อปาก และกลายเป็นรองเท้าที่ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งหรือกลุ่มคนทั่วไปอยากได้มาลองใส่ดูสักครั้ง

 

ใส่แล้วเหมือนได้เดินบนเมฆคือสิ่งที่พูดกันถึงรองเท้าคอลเล็กชัน Cloud ของ On ที่ใส่แล้วดูเท่แบบแตกต่างจากรองเท้าของแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

 

แต่ On ไม่คิดที่จะหยุดเพียงแค่นี้ ในช่วงต้นปี 2024 พวกเข่คิดค้นรองเท้าใหม่ที่ความจริงแล้วเราควรจะเรียกว่าเป็น ‘สิ่งประดิษฐ์’ มากกว่าด้วยซ้ำไป

 

ความสนุกของเรื่องนี้ก็คือรองเท้าที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากไอเดียของทีมนักออกแบบมืออาชีพ แต่เป็นไอเดียที่ได้จากของเล่นที่ได้แรงบันดาลใจจากสไปเดอร์แมน ซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจผู้คนทั่วโลก

 

โดยคนที่ชื่อโยฮันเนส

 

 

ว่าแต่…ใครคือโยฮันเนส?

 

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปไกลนิดหนึ่งถึงปี 2019 เมื่อหนึ่งในทีมพัฒนาของ On ไปเดินชมงาน Milan Design Week ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี และค้นพบผลงานชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

ผลงานดังกล่าวเป็นการทดลองใช้เครื่องยิงกาวร้อนแบบสเปรย์สร้างเป็นผลงานออกมา ซึ่งเครื่องนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของ โยฮันเนส โวลเชิร์ต (Johannes Voelchert) นักประดิษฐ์ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากของเล่นที่เขาเห็นในวันฮาโลวีน ซึ่งคล้ายกับเครื่องยิงใยแมงมุมของสไปเดอร์แมน ซูเปอร์ฮีโร่จอมกู้โลก

 

“ผมเห็นของเล่นนี้และคิดว่ามันน่าจะเป็นทางที่รวดเร็วสำหรับการสร้างสิ่งทอในรูปแบบที่ซับซ้อน” โยฮันเนสเล่าเรื่องราวของสิ่งประดิษฐ์นี้ให้ฟังอีกครั้ง

 

ความบังเอิญของโชคชะตาคือสิ่งที่โยฮันเนสทำจากสิ่งประดิษฐ์เครื่องยิงใยโดยใช้วัสดุชนิดเดียวสร้างเป็นรูปทรงออกมาคือรองเท้าพอดี และนั่นทำให้เขาได้รับการทาบทามให้เข้าร่วมโปรเจกต์ลับของ On ทันที ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในวงการนี้มาก่อนก็ตาม

 

การปฏิวัติสู่อนาคต

 

การที่โยฮันเนสได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมโครงการนี้เป็นเพราะทีมพัฒนาของ On มองเห็นศักยภาพและโอกาสของนวัตกรรมนี้ ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการช่วยสร้างรองเท้าได้

 

แต่นี่คือการปฏิวัติวงการ (Revolutionary) อย่างแท้จริง

 

ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การผลิตรองเท้าคู่หนึ่งนั้นใช้การตัดเย็บด้วยมือของมนุษย์มาตลอด รองเท้าหนึ่งคู่อาจจะต้องผ่านมือคนงานมากถึง 200 คน โดยเพิ่งจะเริ่มมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการช่วยผลิตได้ไม่นาน

 

เทคโนโลยีล่าสุดในเรื่องของการผลิตรองเท้าก็คือการพัฒนารองเท้าวิ่งในแบบ Super Shoes ที่เราเห็นกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลผลิตที่เก็บเกี่ยวจากความก้าวหน้าในการทดลองเมื่อ 10-15 ปีที่แล้ว

 

แต่เครื่องยิงใยของโยฮันเนสจะเป็นสิ่งที่ทำให้ On ก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งไปอีกขั้น เพียงแต่ในการจะเปลี่ยนจินตนาการให้เป็นเรื่องจริงได้นั้นต้องมีคนมาช่วยโยฮันเนสด้วย

 

สัญญาณการรวมพลกันแบบลับๆ ของฝ่ายต่างๆ ในบริษัท On นำไปสู่การสาธิตให้เห็นถึงกระบวนการสร้างรองเท้าจากเครื่องมือมหัศจรรย์ ที่ทำให้ทุกคนในวันนั้นตาลุกวาวพร้อมกับเกิดไอเดียบรรเจิดและความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบขึ้นมา

 

โดยโยฮันเนสซึ่งเป็นผู้พรีเซนต์ในวันนั้นบอกกับทุกคนด้วยสไลด์หน้าสุดท้ายที่เป็นรูปเครื่องยิงใยของเขาที่ต่อเข้ากับแขนของหุ่นยนต์

 

“นี่แหละคืออนาคต”

 

แล้วโครงการนี้จึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

ก้อนเมฆที่ทำจากสเปรย์

 

โยฮันเนสเริ่มโปรเจกต์นี้ในฐานะ Intern หรือเด็กฝึกงาน และทำงานคนเดียวในพื้นที่ที่ On จัดห้องทดลองให้เขาโดยเฉพาะ โดยเริ่มจากการออกแบบหุ่นยนต์ที่จะใช้ผลิตรองเท้าด้วยเครื่องมือพิเศษแบบของเขา 

 

แต่หลังจากที่ลุยไปได้ปีเศษ ทีมของโปรเจกต์ลับนี้ก็ขยายตัวขึ้น มีดีไซเนอร์, วิศวกร, ผู้เชี่ยวชาญด้านโมเดล 3 มิติ, ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์ ที่มารวมตัวกัน ซึ่งความพิเศษคือทีมที่มีขนาด 20 คน มีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่เคยมีประสบการณ์ในการทำรองเท้าจริงๆ

 

กลายเป็น The Avengers ในแบบของ On ขึ้นมา

 

อย่างไรก็ดี โครงการนี้เป็นความท้าทายไม่น้อยสำหรับทุกฝ่าย เพราะพวกเขากำลังทำในสิ่งที่ไม่ใช่แค่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่ไม่เคยมีใครที่ทำสำเร็จมาก่อน ในการสร้างรองเท้าด้วยเครื่องยิงเส้นใยออกมาเป็นสิ่งทอที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่แตกต่างจากความเชื่อของการทำรองเท้าตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

 

เครื่องมือจะขึ้นแบบให้เป็นทรงรองเท้าที่ดีพอได้อย่างไร วัสดุแบบไหนที่จะเหมาะสม ไหนจะหน้าตาของมันอีก คำถามมากมายเต็มไปหมด

 

มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวได้ไม่น้อยไปกว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ 

 

แต่ในที่สุดความพยายามของโยฮันเนสและทีมก็ทำให้ทุกคนได้รางวัลที่ยิ่งใหญ่ กับรองเท้ารุ่น Cloudboom Strike LS รองเท้าวิ่งที่สร้างจากวัสดุโพลีเมอร์ที่ถูกยิงเป็นเส้นใยออกมาลงบนแม่พิมพ์รูปเท้า โดยวัสดุนี้ทำให้ได้อัปเปอร์รองเท้าที่มีน้ำหนักเบาและสวมใส่นุ่มสบายเหมือนแค่ใส่ถุงเท้าที่ยึดกับพื้นรองเท้าด้วยการใช้เทคนิคอบกาวร้อน ซึ่งเป็นสูตรที่ลงตัวที่สุดหลังจากการทดลองมานับร้อยวิธี

 

นี่คือเทคโนโลยีใหม่ LightSpray จาก On นวัตกรรมที่พวกเขาเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของการผลิตรองเท้าของโลกได้

 

เส้นบางๆ ระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลว

 

แต่ On จะทำให้โลกเชื่อได้ว่านี่คือรองเท้าเปลี่ยนโลกจริงๆ ก็ต้องทดสอบการใช้งานจริงๆก่อน

 

การทดสอบนั้นไม่ใช่การทดสอบในห้องแล็บหรือสวนสาธารณะอีกแล้ว แม้ว่าเหล่านักวิ่งที่ได้โอกาสมาทดลองสวมใส่รองเท้านี้จะตื่นเต้นกับมันมากก็ตาม แต่ต้องเป็นการทดสอบด้วยนักวิ่งระดับ Elite ที่จะใส่รองเท้าใหม่นี้ในการแข่งขันจริงๆเลย

 

“พวกเราพร้อมไหม?” คือคำถามถึงทุกคนที่รับผิดชอบรองเท้ารุ่นใหม่นี้ของ On

 

มันอาจจะสำเร็จก็ได้ หรือมันอาจจะทำให้ทุกอย่างที่ทำมาพังหมดเลยก็ได้

 

แต่แน่นอนคำตอบที่ได้จากทุกคนตอนนั้นคือ “พร้อม”

 

 

คนที่ได้รับเกียรติให้ทดสอบรองเท้าที่สร้างจากเทคโนโลยี LightSpray คือ เฮลเลน โอบิรี (Hellen Obiri) นักวิ่งสาวชาวเคนยาที่สวมใส่ลงแข่งขันในรายการบอสตันมาราธอน ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการเมเจอร์ของโลก

 

โดยที่ว่ากันตามความรู้สึกจริงๆ โอบิรีสารภาพว่าเธอรู้สึกไม่เชื่อมั่นในรองเท้าที่ได้รับให้มาทดสอบคู่นี้เลย

 

ผลปรากฏว่าโอบิรีไม่เพียงแต่จะคว้าแชมป์รายการนี้ได้เท่านั้น เธอยังทำลายสถิติดีที่สุดของเธอเอง (Personal Best) ด้วย

 

ขณะที่เหล่าแฟนๆ ที่ติดตามชมการแข่งขันจากทั่วโลกต่างอยากรู้ว่ารองเท้าหน้าตาแปลกๆ ที่โอบิรีใส่นั้นคือรองเท้าอะไร

 

ทุกคนอยากจะใส่รองเท้าคู่นี้เหมือนกัน!

 

สู่ Game Changer ที่แท้ทรู

 

ถึงจะสามารถ ‘เสก’ รองเท้าที่ทำจากเทคโนโลยี LightSpray ได้สำเร็จ แต่สำหรับโยฮันเนสและ On แล้วมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

 

ไม่ใช่เพราะ adidas และ Nike ต่างก็คิดค้นรองเท้าที่สร้างจากเทคโนโลยีในการพิมพ์ 3 มิติเหมือนกัน แต่เป็นเพราะพวกเขายังรู้สึกว่ามีความท้าทายใหญ่ในขั้นต่อไปสำหรับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกนี้

 

อย่างแรกคือการทำให้กระบวนการต่างๆ มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นไปอีก โยฮันเนส – ซึ่งปัจจุบันเป็น Senior director of innovation ของ On – คาดหวังว่าจากที่ใช้เวลา 3 นาทีในการผลิตรองเท้าด้วย LightSpray สักคู่ ก็อยากจะลดเวลาลงให้ได้เหลือแค่ 2 นาทีเท่านั้น

 

ขณะที่ทีมออกแบบเองก็หวังว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ผลิตรองเท้าที่สมบูรณ์ได้ในขั้นตอนเดียว ซึ่งรวมถึงการทำพื้นรองเท้าที่ไม่ต้องมายัดใส่ในภายหลังด้วย และแน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนไลน์การผลิตรองเท้าในโรงงาน รวมถึงการลดการสร้างมลภาวะให้แก่โลกได้อีกด้วย

 

 

แต่โจทย์ที่ยากกว่าอีกขั้นคือการทำอย่างไรก็ได้ให้เทคโนโลยีนี้มีราคาที่ถูกลงจนคนในวงกว้างสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะตอนนี้รองเท้า Cloudboom Strike LS มีสนนราคาที่สูงถึง 330 ดอลลาร์ (11,800 บาท) ซึ่งเป็นสนนราคาที่สูงเทียบเท่ากับรองเท้า Super Shoe ของ Nike และ adidas

 

“มันยังเป็น Game Changer ของวงการไม่ได้หรอกจนกว่าที่จะทำให้ทุกคนสามารถซื้อหาได้” เป็นความเห็นจาก แมตต์ พาวเวลล์ ที่ปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์รองเท้าจาก Spurwink River ที่ตั้งคำถามถึงราคาของ Cloudboom Stike LS

 

เรื่องพวกนี้ไม่ง่าย แต่เมื่อเทียบกับวันเริ่มต้นของเรื่องนี้ที่เมืองมิลาน กับไอเดียของเด็กหนุ่มที่ได้แรงบันดาลใจจากของเล่นในวันฮาโลวีนแล้ว

 

ไม่น่าจะมีอะไรที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

 

ภาพ: Courtesy of On

อ้างอิง:

The post On กับการเดิมพันด้วยนวัตกรรมใหม่ เสกรองเท้าวิ่งหนึ่งคู่ได้ในเวลาแค่ 3 นาที appeared first on THE STANDARD.

]]>
Cruise Control Run Club คอมมูนิตี้ที่ทำให้การวิ่งสนุกและมีสไตล์ https://thestandard.co/life/cruise-control-run-club Sat, 25 Jan 2025 03:04:56 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1034293 cruise-control-run-club

ในยุคที่การวิ่งเป็นเทรนด์มาแรง คลับวิ่งในกรุงเทพฯ เกิดข […]

The post Cruise Control Run Club คอมมูนิตี้ที่ทำให้การวิ่งสนุกและมีสไตล์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
cruise-control-run-club

ในยุคที่การวิ่งเป็นเทรนด์มาแรง คลับวิ่งในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นมากมายตามความต้องการของผู้คนที่หันมาใส่ใจสุขภาพ หนึ่งในคลับวิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คือ Cruise Control Run Club (CCRC) ซึ่งเป็นคลับวิ่งที่แตกต่างด้วยการผสมผสานวัฒนธรรมสตรีทแวร์เข้ากับการวิ่ง

 

เมื่อ กันต์-กันตพงศ์ อังศุพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง Cruise Control Run Club เห็นว่าที่สวนสาธารณะในกรุงเทพฯ มีคนออกมาวิ่งเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ต่างคนต่างวิ่ง บ้างมาคนเดียว บ้างก็มากับแฟนหรือเพื่อนสนิท 2-3 คน แต่ไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน นี่คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากสร้างพื้นที่รวบรวมคนที่มีความหลงใหลในการวิ่งและการแต่งตัวให้ได้มาเจอกัน

 

กันต์-กันตพงศ์ อังศุพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง Cruise Control Run Club

กันต์-กันตพงศ์ อังศุพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง Cruise Control Run Club 

 

Cruise Control

 

จุดเริ่มต้นของ Cruise Control Run Club คลับที่เกิดจากคนกลุ่มรักสนีกเกอร์

 

กันต์เล่าให้ฟังว่า Cruise Control Run Club เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ทุกอย่างเริ่มจากเดือนเมษายน ปี 2024 ที่มีชาวต่างชาติคนหนึ่งโพสต์ในแอป Strava ว่าอยากหาเพื่อนวิ่งในกรุงเทพฯ กันต์จึงชวนเพื่อนๆ มาร่วมวิ่งด้วยกัน ครั้งแรกมีคนมาถึง 20 คน ซึ่งเกินความคาดหมายที่ตั้งใจไว้แค่ 7-8 คน จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ Cruise Control Run Club จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นคอมมูนิตี้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น

 

Cruise Control

 

“การจะทำให้คลับประสบความสำเร็จ เราต้องมีสิ่งที่ชัดเจน ให้คนรู้ว่าถ้ามาที่ Cruise Control Run Club จะได้เจอกับคนแบบไหน” กันต์เล่าให้เราฟัง เขาจึงนำความชอบส่วนตัวด้านแฟชั่น รองเท้าผ้าใบ และสนีกเกอร์ มาผสมผสาน ประกอบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีแบรนด์ Niche จากต่างประเทศเข้ามาในไทยเยอะขึ้น แต่ละแบรนด์ก็มีสไตล์ที่น่าสนใจ ไม่เหมือนแบรนด์กีฬาทั่วไป จึงทำให้ Cruise Control Run Club มีฐานแฟนคลับที่ชื่นชอบในสไตล์ของแบรนด์เหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ 

 

Cruise Control

Cruise Control

Cruise Control

 

อย่างที่บอกว่ากันต์ชอบแต่งตัว และทีมงาน Cruise Control Run Club ที่ตอนนี้มีนับสิบคนแล้วก็ชอบมากเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่พิเศษกว่าคลับวิ่งอื่นๆ ก็คือการผสมผสานแฟชั่นเข้ากับการวิ่ง มีคุมโทนมาบ้าง แต่งเต็มกันมาสุดๆ หรือใส่เสื้อผ้าแบรนด์วิ่งเฟี้ยวๆ ที่ Sold Out ในเวลาอันรวดเร็ว เหล่านี้ช่วยสร้างสีสันให้คลับวิ่งและถือเป็นการได้เช็กไอเท็มใหม่ๆ ไปในตัว แต่ไม่จำเป็นว่าเราต้องช่างแต่งตัวถึงจะมาจอย Cruise Control Run Club ได้ เพราะอย่างที่บอก Cruise Control Run Club ต้อนรับทุกคนที่มีใจอยากวิ่ง ส่วนคนที่จัดเต็มก็ถือเป็นพื้นที่ให้พวกเขาได้ปล่อยของ

 

Cruise Control

Cruise Control

 

ส่วนที่มาของชื่อคลับกันต์บอกว่า “ชื่อนี้สื่อถึงความรู้สึกคล้ายกับ Runner’s High เหมือนตอนที่เราเปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติในรถ เราแค่คอยบังคับทิศทาง ให้ร่างกายเคลื่อนที่ไปเองโดยอัตโนมัติ เป็นช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้คิด และสะท้อนตัวตน

 

รูปแบบการวิ่งของ Cruise Control Run Club มีอะไรบ้าง 

 

Cruise Control

 

ปัจจุบัน Cruise Control Run Club มีกิจกรรมหลัก 3 รูปแบบ เริ่มจาก Social Run ที่สวนเบญจกิติ ระยะ 5-6 กิโลเมตร หรือประมาณ 2-3 รอบสวน เน้นการพูดคุย ทำความรู้จักกัน ไม่เน้นความเร็ว วิ่งสบายๆ ไปด้วยกัน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากลองเข้าสู่วงการวิ่ง มีผู้เข้าร่วมเฉลี่ย 45-50 คนต่อครั้ง

 

Cruise Control

 

ต่อมาคือ City Run กิจกรรมที่พาทุกคนออกไปสำรวจเมืองเดือนละครั้ง เส้นทางจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้สัมผัสมุมมองใหม่ๆ ของกรุงเทพฯ กิจกรรมนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก มีผู้เข้าร่วมเฉลี่ยถึง 100 คน และครั้งที่มีคนร่วมมากที่สุดคือตอนจัดร่วมกับ The Commons มีผู้เข้าร่วมถึง 250 คน

 

Cruise Control

Cruise Control

 

สุดท้ายคือ Long Run สำหรับคนที่อยากพัฒนาตัวเองไปสู่การวิ่งมาราธอน เป็นการวิ่งระยะเวลา 2 ชั่วโมง ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นให้ทุกคนตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าจะวิ่งได้ระยะทางเท่าไรภายในเวลาที่กำหนด ถือเป็นการฝึกความอึดและความทนทานไปด้วยกัน

 

Cruise Control

Cruise Control

 

ความยากของการทำคลับวิ่งในไทย

 

กันต์บอกว่าการจัดกิจกรรมของ Cruise Control Run Club ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะ City Run ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ทั้งเรื่องการจราจรและสุขภาพของผู้ร่วมวิ่ง รวมถึงการเลือกจุดนัดพบที่ต้องคำนึงถึงที่จอดรถและการเข้าถึงด้วยระบบขนส่งสาธารณะ แต่ด้วยการวางแผนที่รัดกุมและทีมงานที่ทุ่มเท ทำให้ทุกกิจกรรมผ่านไปได้ด้วยดี

 

Cruise Control

 

อนาคตที่ไม่ได้หยุดแค่การวิ่ง

 

ในอนาคต Cruise Control Run Club มีแผนพัฒนาทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้นกำลังเริ่มทำสินค้าของตัวเอง เริ่มจากเสื้อผ้า ผ้าพันคอ และหมวก ส่วนแผนระยะยาวอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจขยายไปสู่กิจกรรมกีฬาประเภทอื่นๆ เช่น ปีนเขา แทร็กกิ้ง หรือดำน้ำ ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์ความสนใจที่หลากหลายของสมาชิก

 

Cruise Control

Cruise Control

 

ส่วนคนที่ยังไม่มั่นใจ ไม่กล้าวิ่งในคลับคนเดียว กันต์ทิ้งท้ายไว้ว่า “ไม่ต้องกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีหรือวิ่งไม่ได้ อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ให้เริ่มต้นในแบบของตัวเอง แล้วค่อยๆ พัฒนาไป ที่สำคัญคือต้องมีรองเท้าที่เหมาะสม เพราะมีผลมากต่อประสบการณ์การวิ่งของเรา”

 

Cruise Control

 

หากคุณกำลังมองหาคอมมูนิตี้ที่จะทำให้การวิ่งสนุกและมีสไตล์ Cruise Control Run Club อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา สามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ทาง Instagram @cruisecontrolrunclub

 

ภาพ: ชนากานต์ เหล่าสารคาม

The post Cruise Control Run Club คอมมูนิตี้ที่ทำให้การวิ่งสนุกและมีสไตล์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ร่วมวิ่งในระยะ 10 กิโลเมตรกับ เอเลียด คิปโชเก ในงาน ATMBKK 2024 https://thestandard.co/queen-eliud-kipchoge-running-event-bangkok/ Sun, 01 Dec 2024 07:15:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1014803 เอเลียด คิปโชเก

วันนี้ (1 ธันวาคม) เวลา 06.15 น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบ […]

The post สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ร่วมวิ่งในระยะ 10 กิโลเมตรกับ เอเลียด คิปโชเก ในงาน ATMBKK 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอเลียด คิปโชเก

วันนี้ (1 ธันวาคม) เวลา 06.15 น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่วมกิจกรรมวิ่งระยะทาง 10 กิโลเมตร ในการแข่งขัน วิ่ง AMAZING THAILAND MARATHON BANGKOK 2024 presented by TOYOTA ณ บริเวณจุดปล่อยตัวท้องสนามหลวง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

 

สำหรับไฮไลต์สำคัญของการวิ่งในรายการ ‘วิ่งผ่าเมือง’ หรือ AMAZING THAILAND MARATHON BANGKOK 2024 presented by TOYOTA นอกจากการมาร่วมวิ่งของ เอเลียด คิปโชเก ยอดนักวิ่งระดับตำนานชาวเคนยาในระยะ 10 กิโลเมตรแล้ว

 

ในการนี้สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จฯ ร่วมวิ่งในระยะเดียวกันนี้ด้วย

 

นอกจากนั้นแล้ว ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ร่วมวิ่งกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในระยะ 10 กิโลเมตร ท่ามกลางนักวิ่งและแฟนๆ ชาวไทยที่มารอเชียร์และต้อนรับกันอย่างอบอุ่นด้วย

 

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และ เอเลียด คิปโชเก ได้แวะถ่ายภาพและทักทายประชาชนตามจุดต่างๆ ก่อนตรงมาถึงเส้นชัยด้วย

 

ขณะที่ผลการแข่งขันในระยะ 10 กิโลเมตร ก็มีไฮไลต์สำคัญเช่นกัน เมื่อ คีริน ตันติเวทย์ คว้าชัยชนะในการวิ่งระยะนี้ พร้อมทำลายสถิติประเทศไทยด้วยเวลา 29 นาที 6 วินาที หรือวิ่งเฉลี่ย Pace 2.55

 

สำหรับ เอเลียด คิปโชเก ตำนานนักวิ่งมาราธอนโลก เจ้าของ 2 เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ ได้เซ็นสัญญาเป็น ‘ทูตด้านการท่องเที่ยว กีฬา และวัฒนธรรม’ ของไทยเป็นระยะเวลา 3 ปี นั่นหมายความว่าในปีหน้าเขาก็อาจมาร่วมวิ่งในการแข่งขันรายการนี้อีกครั้ง

 

เอเลียด คิปโชเก เอเลียด คิปโชเก เอเลียด คิปโชเก

The post สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ร่วมวิ่งในระยะ 10 กิโลเมตรกับ เอเลียด คิปโชเก ในงาน ATMBKK 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
คิปโชเกพิมพ์มือ ณ สวนเบญจกิติ ท่ามกลางนักวิ่งแห่ต้อนรับ https://thestandard.co/kipshohe-handprint-benchakitti-park/ Sat, 30 Nov 2024 02:42:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1014477 เอเลียด คิปโชเก

เอเลียด คิปโชเก เดินทางไปพิมพ์ลายมือทั้ง 2 ข้างเป็นที่ร […]

The post คิปโชเกพิมพ์มือ ณ สวนเบญจกิติ ท่ามกลางนักวิ่งแห่ต้อนรับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอเลียด คิปโชเก

เอเลียด คิปโชเก เดินทางไปพิมพ์ลายมือทั้ง 2 ข้างเป็นที่ระลึก ที่สวนเบญจกิติ กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (30 พฤศจิกายน) 

 

โดยการพิมพ์มือครั้งนี้มี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คอยให้การต้อนรับ

 

นอกจากนี้กิจกรรมในครั้งนี้ยังได้รับความสนใจจากบรรดานักวิ่งที่เข้ามาวิ่งในสวนเบญจกิติจำนวนมากด้วย

 

ซึ่งชัชชาติยังไม่เปิดเผยว่ารอยพิมพ์มือดังกล่าวของคิปโชเกจะนำไปไว้ที่ไหน แต่เปิดเผยเบื้องต้นว่าจะนำไปไว้ที่สวนสาธารณะในความดูแลของกรุงเทพมหานครสักแห่ง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิ่งชาวไทยต่อไป

 

เอเลียด คิปโชเก เอเลียด คิปโชเก เอเลียด คิปโชเก

The post คิปโชเกพิมพ์มือ ณ สวนเบญจกิติ ท่ามกลางนักวิ่งแห่ต้อนรับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sabai Run Club คอมมูนิตี้ที่เริ่มจาก 3 คนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน https://thestandard.co/life/sabai-run-club Mon, 25 Nov 2024 14:30:05 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1012657 Sabai Run Club

ถ้าใครบอกว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ชอบตื่นเช้า Steve Lim คงต้องข […]

The post Sabai Run Club คอมมูนิตี้ที่เริ่มจาก 3 คนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sabai Run Club

ถ้าใครบอกว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ชอบตื่นเช้า Steve Lim คงต้องขอค้าน เพราะทุกวันศุกร์และอาทิตย์ เขาและเพื่อนๆ กว่า 500 คนจะมารวมตัวกันที่หน้าร้าน % Arabica สาขาศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เพื่อวิ่งออกกำลังกายและแชร์พลังงานบวกให้กัน Steve เล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้มว่า เมื่อต้นปี 2024 เขาและเพื่อนสนิทอีก 2 คนแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการวิ่งเลย แต่อยากลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น จึงชวนกันก่อตั้ง Sabai Run Club ขึ้นมา โดยไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นคอมมูนิตี้ที่ใหญ่ขึ้นทุกสัปดาห์ขนาดนี้

 

Sabai Run Club

Steve Lim 

 

จากจุดเริ่มต้นเพียง 3 คนที่อยากวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า Sabai Run Club กลับเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นคลับวิ่งขนาดใหญ่หลายร้อยคน ด้วยสมาชิกทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มาร่วมวิ่งกันทุกสัปดาห์

 

สิ่งที่ทำให้คลับนี้โดดเด่นคือบรรยากาศสบายๆ สไตล์ไทยๆ ที่สะท้อนผ่านโลโก้พริกน้อยถือแก้วกาแฟ หรือที่พวกเขาเรียกว่า ‘Chill Chili’ นั่นเอง ต้องบอกว่าแม้จะวิ่งแค่ 3 กิโลเมตร แต่มิตรภาพและรอยยิ้มที่ได้แลกเปลี่ยนกันระหว่างทางยาวนานกว่านั้นมาก

 

 

ช่วยแนะนำตัวหน่อย

 

Steve Lim: ผมชื่อ Steve Lim เกิดและเติบโตที่นิวซีแลนด์ พ่อกับแม่เป็นคนกัมพูชาเชื้อสายจีน ผมย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ 2 ปีแล้ว แรกเริ่มทำงานในวงการการเงิน แต่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ นายแบบ และนักแสดงเต็มตัว

 

ผมชอบนำเสนอแง่มุมการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ที่แตกต่างจากที่ชาวตะวันตกเข้าใจ เพราะเมื่อพูดถึงกรุงเทพฯ หรือประเทศไทย คนมักจะนึกถึงแต่ปาร์ตี้และความบันเทิง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมทำเลย ผมเป็นคนใส่ใจสุขภาพ ชอบชกมวยตอนเช้า มีเพื่อนดีๆ ออกไปกินอาหารดีๆ นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้ผู้คนได้เห็นกรุงเทพฯ

 

เมื่อผมเริ่มแชร์การใช้ชีวิตส่วนตัวบนโลกออนไลน์ก็มีคนชอบ มันเลยทำให้คลับเติบโตขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรก ผมแค่อยากแสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ของผมเป็นอย่างไรมากกว่า 

 

 

นั่นเลยเป็นที่มาของ Sabai Run Club?

 

Steve Lim: ใช่ จะบอกว่าผมเพิ่งเริ่มวิ่งแค่ 2 สัปดาห์ก่อนก่อตั้งชมรม ช่วงต้นปี 2567 ผมและเพื่อนอีก 2 คนอยากทำอะไรใหม่ๆ อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้นและกระฉับกระเฉงมากขึ้น ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการวิ่ง ไม่รู้เรื่องเพซ การแบ่งกลุ่มความเร็ว หรือการฝึกซ้อม เราแค่อยากออกไปสนุกและวิ่งในตอนเช้า

 

เราเลยเริ่มชวนเพื่อนๆ ที่มีความคิดเหมือนกัน ไม่เคยวิ่ง แต่คิดว่าถ้ามาด้วยกันหลายคนก็จะสนุกดี จึงกลายเป็นคอมมูนิตี้วิ่งสำหรับคนที่ไม่ใช่นักวิ่ง เราเลยตั้งชื่อว่า Sabai Run Club เริ่มจาก 3 คน และเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเราพบว่ามีคนในกรุงเทพฯ อีกนับแสนที่อยากทำแบบนี้เหมือนกัน

 

เราก่อตั้งคอมมูนิตี้สำหรับตัวเองและเพื่อนๆ แต่ก็เติบโตขึ้นอย่างน่าตกใจ ตอนแรกเราคิดว่าใน 4 เดือนคงมีคนมาร่วม 30-40 คน แต่ตอนนี้แต่ละสัปดาห์มีคนมาวิ่งกับเรา 500-600 คนเลยทีเดียว

 

 

ทำไมถึงเลือกวิ่งวันศุกร์และอาทิตย์

 

Steve Lim: เพราะวันศุกร์เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ดี เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย เป็นวันสุดท้ายของการทำงาน การทำอะไรดีๆ ในตอนเช้ามันทำให้เรารู้สึกดีมาก ส่วนวันอาทิตย์เป็นการปิดท้ายสัปดาห์ที่ดี ผู้คนมาดื่มกาแฟ พูดคุยกับเพื่อน หรือได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ หลังจากนั้นก็ไปกินบรันช์หรือมื้อกลางวันด้วยกัน

 

คิดว่าอะไรที่ทำให้ Sabai Run Club แตกต่างจากคลับวิ่งอื่นๆ ในกรุงเทพฯ

 

Steve Lim: ในกรุงเทพฯ มีคลับวิ่งหลายกลุ่ม ผมคิดว่าใหญ่ที่สุดคือ Sabai Run Club อันดับหนึ่ง ตามด้วย Cruise Control Run Club และ Meep Meep Run Club สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือเราเปิดกว้างสำหรับทุกคน คลับอื่นๆ แม้จะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร แต่เวลาจัดกิจกรรมจริงๆ ส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทย

 

สำหรับชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยหรือนักท่องเที่ยว การเข้าสังคมค่อนข้างยาก แต่ที่ Sabai Run Club เราต้อนรับทุกคน ทั้งชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย นักท่องเที่ยว คนไทย นักวิ่งมือใหม่และนักวิ่งที่เก่าแล้ว ที่นี่ผู้คนมาเพื่อเข้าสังคมและพบปะผู้คนใหม่ๆ ในขณะที่ชมรมอื่นๆ จะค่อนข้างจริงจังกับการวิ่ง เราเน้นการวิ่งระยะสั้นและการพบปะสังคม

 

ที่สุดแล้วใครๆ ก็วิ่งได้ ใครๆ ก็ตั้งชมรมวิ่งได้ แต่สิ่งที่ทำให้คลับมีความหมายคือผู้คน เราสามารถรวบรวมคนดีๆ มากมายที่กลับมาวิ่งกับเราซ้ำทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

 

Sabai Run Club

 

แล้วเราจัดการคอมมูนิตี้อย่างไร จากทีมงาน 3 คนแต่ต้องดูแลนักวิ่งเป็นร้อย

 

Steve Lim: ตอนเริ่มต้นเรามีกันแค่ 3 คน เราต้องการคนถ่ายคอนเทนต์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มเท่านั้น พวกเราต้องวิ่งขึ้นลงเพื่อถ่ายคอนเทนต์และต้องดูแลนักวิ่งด้วย ผมจำได้ว่าวันหนึ่งมีคนมาแค่ 5 คน แต่วันอาทิตย์ถัดมามีคนมา 64 คน เราคิดว่า “ตายแล้ว เราจะจัดการอย่างไร” หลังจากนั้นเราก็เริ่มประกาศทาง Instagram เพื่อหาอาสาสมัคร ถามว่าใครอยากช่วย Sabai Run Club บ้าง

 

ตอนเริ่มต้นไม่มีใครในคลับเป็นนักวิ่งเลย เราเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน จากกลุ่มอาสาสมัคร 3 คน ตอนนี้เรามี 41 คน ตอนช่วงเริ่มต้นเราแบ่งกลุ่มวิ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม 1, กลุ่ม 2 และกลุ่มเดิน แต่ตอนนี้เรามี 9-12 กลุ่มเพื่อรองรับทุกเพซและทุกคนที่อยากเข้าร่วม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะอาสาสมัครของเรา

 

นักวิ่งในคลับมีสัดส่วนคนไทยและชาวต่างชาติอย่างไรบ้าง  

 

Steve Lim: ผมคิดว่าประมาณ 60% เป็นคนไทย 30% เป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทย และ 20% เป็นนักท่องเที่ยว ทุกสัปดาห์เรามีคนจากสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมวิ่งกับเราด้วย

 

 

รูปแบบการวิ่งแต่ละครั้งเป็นอย่างไร 

 

Steve Lim: เรานัดพบกัน 15 นาทีก่อนเวลาวิ่ง วันศุกร์เจอกันตอนเวลา 07.15 น. วันอาทิตย์เวลา 07.45 น. จากนั้นจะมีการบรีฟและแบ่งกลุ่มความเร็ว บางครั้งมีกลุ่มความเร็วเพซ 5 สำหรับคนที่อยากวิ่งเร็วจริงๆ และมีกลุ่มเพซ 9 นาที หลังวอร์มอัพเสร็จเราจะแยกกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีอาสาสมัคร 1-3 คนคอยช่วยเหลือ หลังวิ่งเสร็จเรากลับมาที่ร้าน % Arabica นั่งดื่มกาแฟและพูดคุยกัน

 

ทำไมถึงวิ่งแค่ 3 กิโลเมตร ไม่สั้นไปเหรอ

 

Steve Lim: สำหรับเรามันอาจจะสั้น แต่สำหรับคนที่ไม่เคยวิ่งมันถือว่าไกลพอสมควร หลายคนในกลุ่มที่วิ่งเร็วๆ มักจะวิ่งมาก่อนตารางซ้อมหรือวิ่งต่อหลังซ้อมวิ่งเสร็จ เพื่อทำแทนวอร์มอัพหรือคูลดาวน์ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน 3 กิโลเมตรก็ถือว่ามากพอแล้วครับ

 

แล้วคุณมาร่วมกับร้าน % Arabica ได้อย่างไร

 

Steve Lim: เหตุผลที่เรารวมตัวกันที่นั่น เพราะที่ร้านมีพื้นที่รองรับคนจำนวนมากและเป็นพื้นที่ดีๆ สำหรับการพบปะสังสรรค์ เราไม่ได้มีพาร์ตเนอร์ชิปกับ % Arabica หรือสปอนเซอร์ใดๆ แต่ทางร้านยินดีให้เราใช้พื้นที่ส่วนนี้เท่านั้น  

 

 

เราชอบโลโก้ของคุณนะ เล่าเกี่ยวกับโลโก้ของ Sabai Run Club ให้ฟังหน่อยสิ 

 

Steve Lim: โลโก้ของเราเป็นพริก เราเรียกตัวละครนี้ว่า Chill Chili เราต้องการสื่อถึงความเป็นไทย ธรรมชาติที่สบายๆ ของคนไทย เราเลยคิดว่าอะไรที่เป็นตัวแทนความเป็นไทย ก็เลยนึกถึงพริก เพราะในส้มตำหรืออาหารไทยก็มีพริกทั้งนั้น นี่จึงเป็นพริกที่ถือแก้วกาแฟ

 

เรามี Chill Chili และเพื่อนอีกสองตัว หนึ่งในนั้นคือผม อีกตัวมีหนวดเป็นเพื่อนผมที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และอีกตัวเป็นพริกผมยาวใส่ผ้าคาดผมนั่นคือ Emiko อีกผู้ร่วมก่อตั้งที่ดูแลด้านการออกแบบทั้งหมด

 

เมื่อคิดถึงการตลาด เราอยากได้อะไรที่เชื่อมโยงกับคนไทย แต่ก็ต้องน่ารักและเป็นกันเอง เพื่อให้ผู้คนรู้สึกผูกพัน เพราะถ้าดูชมรมวิ่งในโลกตะวันตก อย่างเช่น ในนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส หรือฮาวาย พวกเขาดูจริงจังมาก พวกเขาบอกว่าสบายๆ เป็นกันเอง แต่แบรนดิ้งสำคัญ เราจึงอยากได้อะไรที่ผู้คนจะรู้สึกเชื่อมโยงได้

 

Sabai Run Club

 

คุณรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้คลับของคุณใหญ่ที่สุดในเอเชีย 

 

Steve Lim: อย่างไม่เป็นทางการนะครับ ผมคิดว่าการอยู่ในวงการชมรมวิ่ง คุณต้องเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นรอบโลกด้วย ต้องดูเทรนด์ในอเมริกาหรือออสเตรเลีย และต้องดูว่ามีชมรมวิ่งอะไรบ้างในไทย ในกรุงเทพฯ และในเอเชีย

 

ผมใช้เวลาออนไลน์มากในการค้นคว้าเกี่ยวกับชมรมวิ่งอื่นๆ ในเอเชียและทั่วโลก ภายใน 1 เดือนเราก็กลายเป็นชมรมวิ่งที่ใหญ่ที่สุดในไทย ใน 3 เดือนเรามีคนมาวิ่งแต่ละสัปดาห์ 500-600 คน ผมไม่เห็นชุมชนอื่นในเอเชียที่เป็นแบบนี้ ตามความรู้ของผม เราเป็นชมรมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และน่าจะเป็น 1 ใน 10 หรืออาจจะ 5 อันดับแรกของโลก

 

ที่แน่ๆ คือเราชอบที่คุณใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับคนอื่นๆ 

 

Steve Lim: เราใช้แค่ Instagram เท่านั้น ตอนแรกเป็นแค่เพื่อนและเพื่อนของเพื่อน มีคนชวนเพื่อนๆ มา การเติบโตเป็นไปอย่างออร์แกนิก เราไม่เชื่อในการโปรโมตหรือสปอนเซอร์แบบคลับวิ่งอื่นๆ ในกรุงเทพฯ เราเชื่อว่าทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างธรรมชาติ เพราะเราให้คุณค่ากับการรวมคนที่จริงใจ ไม่ใช่การโพสต์สปอนเซอร์ ผู้คนจึงสัมผัสได้ถึงความจริงใจในสิ่งที่เราทำ

 

ตอนนี้เราโตเร็วมากจนต้องหยุดโพสต์วิดีโอใน Instagram Reels ไป 3 เดือนแล้ว เพราะมันไวรัลมากเกินไป เราต้องการเติบโตในอัตราที่เหมาะสม เพราะถ้าโตเร็วเกินไป คุณภาพของการวิ่งและผู้คนอาจควบคุมได้ยาก ส่วนใหญ่คนที่มาวิ่งจะโพสต์ในโซเชียลมีเดียของพวกเขา เราแค่แชร์เท่านั้น

 

Sabai Run Club

 

อยากรู้แผนการในอนาคตของ Sabai Run Club 

 

Steve Lim: สำหรับเรา การให้ความสำคัญกับคอมมูนิตี้มาเป็นอันดับแรกเสมอ คนทำให้ Sabai เป็น Sabai Run เราฟังเสียงของคอมมูนิตี้ เมื่อคนอยากเห็นอะไรที่แตกต่าง เราก็ปรับตัวเพื่อพวกเขา เช่น ตอนเริ่มต้นเรามีกลุ่มเดินและกลุ่มวิ่งช้า แต่เมื่อชุมชนต้องการวิ่งเร็วขึ้น เราก็เพิ่มกลุ่มความเร็วให้ใหญ่ขึ้น

 

สิ่งที่เราอยากเห็นคือผู้คนได้เข้าสังคม พบปะกัน และเริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เราวางแผนจะขยับไปสู่กิจกรรมสุขภาพด้านอื่นๆ มากขึ้น อาจจะทำสมาธิ แช่น้ำแข็ง อะไรทำนองนี้ แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้เพราะเติบโตเร็วเกินไป ผมคิดว่าถ้าสัปดาห์หน้ามีคน 12 คน เราคงทำอะไรแบบนั้นได้ แต่กลายเป็นว่าสัปดาห์ถัดมามีคน 50, 60, 80 คน เราจึงต้องโฟกัสที่การวิ่งอย่างเดียว

 

ในอนาคตเราอยากจัดกิจกรรมเพิ่มเติมและยังคงรับฟังชุมชนว่าอยากทำอะไร นอกจากนี้เรายังมีความร่วมมือกับ Peaches Active ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ชุดออกกำลังกายที่ใหญ่ที่สุดของไทย พวกเขาเห็นวิสัยทัศน์ของเราและอยากช่วยพัฒนาคลับนี้ในประเทศไทย เราเลยจะมีไลน์เสื้อผ้าสำหรับใส่ออกกำลังกายกับเขาด้วย

 

 

มีอะไรอยากฝากถึงคนที่อยากมาวิ่งแต่ยังไม่กล้าไหม  

Steve Lim: อยากให้ลองมาสักครั้ง ครั้งแรกที่มาจะรู้สึกดีมาก อบอุ่น เรามีคอมมูนิตี้สำหรับทุกคน และหลายคนมาคนเดียว บางคนมาแล้วได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้งแต่สมัยประถม มัธยม หรือเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันที่อังกฤษ มีคนกลับมาทุกสัปดาห์ แสดงว่าเรากำลังทำอะไรบางอย่างถูกต้อง ลองมาดูสักครั้ง รับรองว่าคุณจะไม่เสียใจ

 

The post Sabai Run Club คอมมูนิตี้ที่เริ่มจาก 3 คนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘SuperHalfs Series’ 6 สุดยอดรายการฮาล์ฟมาราธอนเอาใจสายวิ่ง https://thestandard.co/superhalfs-series/ Thu, 10 Oct 2024 06:00:44 +0000 https://thestandard.co/?p=994073 SuperHalfs Series

หลายคนอาจรู้จัก World Major Marathon รายการวิ่งมาราธอนท […]

The post ‘SuperHalfs Series’ 6 สุดยอดรายการฮาล์ฟมาราธอนเอาใจสายวิ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
SuperHalfs Series

หลายคนอาจรู้จัก World Major Marathon รายการวิ่งมาราธอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้ง 6 รายการอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันมีทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ต้องการวิ่งในระยะ 42.195 กิโลเมตรเช่นกัน นั่นคือ SuperHalfs Series รายการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนระดับโลก 6 รายการ

 

และนี่คืออีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับสายวิ่งที่ THE STANDARD SPORT อยากแนะนำให้รู้จักกัน

 

 

SuperHalfs Series นับเป็นซีรีส์วิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่ดีที่สุด 6 รายการ โดยทั้งหมดจัดการแข่งขันในยุโรป ซึ่งเพียบพร้อมทั้งการจัดการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมและสาธารณูปโภคต่างๆ

 

 

Sports Tours International ในฐานะองค์กรที่จัดตั้ง SuperHalfs Series เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการวิ่งระยะไกลอย่างมาราธอน 42.195 กิโลเมตร และการวิ่ง 21.1 กิโลเมตร เป็นการวิ่งที่เหมาะสำหรับนักวิ่งทั่วไปมากกว่า ทำให้ SuperHalfs Series เกิดขึ้น

 

SuperHalfs Series

 

ในขณะที่ World Major Marathon ไม่กำหนดระยะเวลาในการวิ่งให้ครบทั้ง 6 รายการ เพื่อคว้าเหรียญ Six Star Medal (หรือที่ชาวไทยเรียกว่าเหรียญพอน เดอ ริง) แต่ SuperHalfs Series กำหนดเวลาไว้ที่ 60 เดือน หรือ 5 ปี เนื่องจากการพิชิตฮาล์ฟมาราธอนทำได้ง่ายกว่า และต้องการให้นักวิ่งลงแข่งขันอย่างต่อเนื่องเพื่อท้าทายตัวเอง

 

 

ทั้ง 6 สนามจะเป็นสนามที่ตั้งอยู่ในยุโรป ซึ่งเป็นประเทศที่มีสาธารณูปโภคที่ยอดเยี่ยม และยังง่ายต่อการเดินทาง แม้โปรแกรมของทั้ง 6 สนามจะมีบางรายการที่จัดชนกันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะพิชิตทั้ง 6 รายการในเวลาราว 2-3 ปี

 

 

ด้วยความที่มีคอนเซปต์เดียวกับ World Major Marathon แต่อาจท้าทายกว่าในแง่ของกรอบเวลา ทว่าพิชิตได้ง่ายกว่าในแง่ระยะทาง ทำให้ SuperHalfs Series เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับสายวิ่งอย่างแท้จริง

 

ภาพ: SuperHalfs / Facebook, Anadolu / Getty Images

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต

อ้างอิง:

The post ‘SuperHalfs Series’ 6 สุดยอดรายการฮาล์ฟมาราธอนเอาใจสายวิ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
คุยกับ Nico Mermoud ผู้ร่วมก่อตั้ง HOKA ถึงจุดเริ่มต้นแบรนด์ และการหาตลาดบนเส้นทางของตัวเอง https://thestandard.co/nico-mermoud-hoka-co-founder-talk/ Fri, 13 Sep 2024 03:08:15 +0000 https://thestandard.co/?p=983013 Nico Mermoud

“คุณต้องมาดูนี่ ผู้นำเรซ CCC กำลังจะวิ่งผ่านจุดนี้ ผมอย […]

The post คุยกับ Nico Mermoud ผู้ร่วมก่อตั้ง HOKA ถึงจุดเริ่มต้นแบรนด์ และการหาตลาดบนเส้นทางของตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Nico Mermoud

“คุณต้องมาดูนี่ ผู้นำเรซ CCC กำลังจะวิ่งผ่านจุดนี้ ผมอยากให้คุณได้เห็นบรรยากาศ”

 

ชายวัยกลางคนชาวฝรั่งเศสเดินมาสะกิดผมหน้าจุดเชียร์นักกีฬาของการวิ่งระยะ CCC ที่ชาโมนกซ์ เมืองหลวงของการวิ่งเทรล เพื่อดึงผมกลับไปดูบรรยากาศการเชียร์นักกีฬา

 

เมื่อนักกีฬาคนที่วิ่งนำผ่านจุดนั้นไปพร้อมกับเสียงเชียร์ คนข้างๆ ผมหันมาถามว่า คนที่ลากคุณกลับมาดูคือใครเหรอ

 

ผมตอบกลับไปสั้นๆ ว่า “อ๋อ คนนั้นคือ Nicolas Mermoud ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ HOKA แบรนด์รองเท้าที่แชมป์ในปีนี้ใส่น่ะ”

 

 

HOKA ถือเป็นแบรนด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสที่มีบริษัท Deckers จากสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าของ เริ่มต้นเมื่อปี 2009 จาก Jean-Luc Diard และ Nicolas Mermoud คู่หูนักวิ่งเทรลชาวฝรั่งเศส

 

เมื่อปี 2022 ทำสถิติมียอดขายทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และไตรมาสแรกของปี 2024 Deckers เปิดเผยว่ายอดขายของ HOKA สูงขึ้น 34% จากปีที่แล้ว ด้วยยอดขาย 533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

รวมถึง Forbes ยังยกย่อง HOKA ว่าเป็นแบรนด์ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าน่าเกลียด แต่ปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นที่เป็นรองเท้าที่สวมใส่สบาย

 

จากการทักทายในวันนั้น ผมได้โอกาสติดต่อขอสัมภาษณ์ Nicolas Mermoud ถึงจุดเริ่มต้นและวิสัยทัศน์เป็น Innovation Mindset เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ HOKA ตั้งแต่จุดเริ่มต้น

 

HOKA ONE ONE ได้แรงบันดาลใจจากชนเผ่าเมารีได้อย่างไร

 

Nico Mermoud

 

Nicolas Mermoud(คนซ้าย) และ Jean-Luc Diard สองผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ HOKA

 

มีหลายปัจจัยที่คุณต้องเข้าใจตอนที่คุณสร้างแบรนด์ คุณต้องคำนึงถึงหลายอย่าง ทั้งวัฒนธรรม ดีเอ็นเอ และสิ่งที่คุณต้องการสื่อสารกับแบรนด์ ในเคสนี้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของการบิน และเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของการวิ่งทั้งบนลู่และบนถนน ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับอะดรีนาลีนและการผจญภัย

 

อย่างที่สองคือ จากประสบการณ์วิ่งเทรลและแข่งขันของเรา เราได้ไปในที่ที่เราชื่นชอบมาก วิ่ง หรือออกกำลังกาย

 

ในอดีตเราเดินทางไปเกาะต่างๆ ที่เรามีความทรงจำที่ดี และนิวซีแลนด์คือหนึ่งในนั้น และที่เกาะ Mafate (เกาะในคาบสมุทรอินเดีย) ซึ่งเป็นที่มาของการตั้งชื่อรองเท้ารุ่นแรกว่า Mafate

 

นอกจากนี้ยังมีที่ออสเตรเลียที่เราได้ชื่อ Bondi รองเท้ารุ่นสำหรับการวิ่งถนนจากหาด Bondi ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากทั้งในแง่ของจิตวิญญาณ การตลาด และส่งต่อดีเอ็นเอของแบรนด์ผ่านชื่อ

 

แน่นอนว่าคุณต้องผสมผสานเข้ากับองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ธุรกิจ ความรู้สึกต่อชื่อ เรามีชื่อที่สั้น ที่ต้องผสมกับด้านลิขสิทธิ์และกฎหมาย ผมบอกคุณได้เลยว่า ถ้าจะจดลิขสิทธิ์แบรนด์ที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับการบิน ในปี 2009 ตอนนั้นก็มีคนคิดเรื่องนี้มาก่อนคุณเยอะมากแล้ว ดังนั้นคุณต้องดูเรื่องของลิขสิทธิ์ที่เราจะสามารถจดทะเบียนได้ด้วย จึงคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ รวมกัน

 

เราดูนิวซีแลนด์และภาษาเมารี HOKA เป็นหนึ่งคำที่มีหมายความว่า บิน หรือการทรงตัวบินขึ้นไป ตอนนั้นมีคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงในตอนแรกเหมือนกัน เราก็มีเวลา 2-3 วันก่อนจดลิขสิทธิ์บริษัท เราก็ตัดสินใจเพิ่มคำว่า ONE ONE เข้าไปในชื่อ ที่มีความหมายว่า ดิน แบรนด์จึงมีความหมายในตอนแรกว่า บินอยู่เหนือพื้นดินหรือภูเขา

 

เรารู้ว่าคนจะเรียกว่า HOKA แต่คนที่รู้จักแบรนด์ตั้งแต่เริ่มต้นคือ HOKA ONE ONE นั่นก็เป็นความสำเร็จจากจุดเริ่มต้น

 

นอกจากนี้ตอนที่ผมอยู่นิวซีแลนด์และเจอคนเมารี ตอนที่ทำธุรกิจส่งออกให้กับบริษัทอุปกรณ์กีฬาฤดูหนาวในเกาะใต้ที่ไครสต์เชิร์ช สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ในโลกการแข่งขันแบบผจญภัยหรือ Adventure Racing คือ ทีมที่ดีที่สุดในโลกคือทีมจากนิวซีแลนด์ 

 

ตอนนั้นทีมชื่อว่า Seagate (ปัจจุบันชื่อว่า Team Avaya) และหนึ่งในนั้นคือคนที่ชื่อ Nathan Fa’avae เป็นนักกีฬาเมารีที่ยิ่งใหญ่มาก และทีมเราได้รับแรงบันดาลใจเยอะมากจากพวกเขา ไม่ใช่เพียงแค่สำหรับความแข็งแกร่งและความเร็ว แต่ด้านจิตวิญญาณด้วย

 

เบื้องหลังแนวคิดรองเท้า Big Sole & XXXL Mindset คืออะไร

 

  

 

จุดเริ่มต้นไอเดียคือความเร็วและการฝึกซ้อม ไอเดียของการป้องกัน ความสบาย และความนุ่ม เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการ

 

“เราต้องการความเร็วในธรรมชาติ เมื่อคุณเริ่มคิดถึงความเร็วตอนที่คุณกำลังทำความเร็ว แม้ว่าคุณจะมีน้ำหนักที่เบาอยู่แล้ว ในเส้นทางที่เต็มไปด้วยผิวที่ขรุขระ คุณจะไม่ได้รับการป้องกันที่ดีพอ คุณจะไม่สามารถป้องกันเท้าได้หากคุณมีรองเท้าพื้นบางแบบ Minimalist และไอเดียจากจักรยานเสือภูเขาที่มีโช้ค สกี และรถยนต์ คุณต้องมีอะไรบางอย่างที่ช่วยรับแรงกระแทกและสภาพของพื้นผิวที่ไม่เรียบ

 

“นั่นคือสิ่งแรก เราทำจากการผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากการแข่งขันกีฬา แต่เทคโนโลยีรองเท้าเพื่อสุขภาพ และผสมเข้ากับองค์ประกอบที่ทำให้การเดินและวิ่งไหลลื่นขึ้น

 

“อย่างที่สองคือ ความใหญ่ขึ้นทั้งในภาพลักษณ์และความแตกต่างของรองเท้าในมุมมองของลูกค้า และความเบาที่ทำให้คุณมีโอกาสที่จะได้โฟมที่เบา ในคอนเซปต์ XXXL ที่ทั้ง Xtra ที่ใหญ่ขึ้นและเบาขึ้น นั่นคือไอเดีย”

 

Minimalist vs. Maximize HOKA หาตลาดของตัวเองในวันที่สวนทางกับคนอื่น

 

Nico Mermoud

 

“เราเริ่มต้นในตอนแรก เราไม่ได้เห็นกระแส Minimalist Movement นั่นเป็นกระแสที่เริ่มขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อมโยงกับประสบการณ์และวัฒนธรรมเรื่องเล่าตำนานการวิ่งในเม็กซิโก

 

“เราไม่ได้ตอบโต้กับกระแสที่เกิดขึ้นตอนนั้นว่า โอเค ทุกคนทำรองเท้าพื้นเรียบแบน และเราจะทำรองเท้าพื้นสูงแบบตรงกันข้าม

 

“เราทำหนทางของเราเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะคุณไม่สามารถวิ่งหรือเดินในเส้นทางป่าเขาโดยไม่มีอะไรป้องกัน

 

“อย่างที่สองที่สำคัญมากคือ ทุกคนคิดถึงเรื่อง Minimalist ตอนนั้น เพราะว่าการคิดถึงสินค้าและความต้องการของผู้คน และเป้าหมายที่คุณต้องการทำ

 

“แต่ความต้องการคือ การผ่อนคลายและต้องการเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ Minimalist Shoes มาจากการมาจากธรรมชาติ ใกล้ชิดกับพื้นมากขึ้น เรื่องของจิตวิญญาณ และการทำสมาธิ

 

“แต่การที่จะวิ่งในรูปแบบที่เขาวิ่งกันในเม็กซิโก เคนยา หรือเอธิโอเปีย ที่เรามีนักวิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่วิ่งได้ลื่นไหลมาก ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะมีเครื่องช่วยป้องกัน

 

“ถ้าเราพูดถึงชนเผ่า Tarahumara ในเม็กซิโก ทุกคนคิดว่าพวกเขาวิ่งเท้าเปล่า แต่จริงๆ พวกเขาใช้ยางบางอย่างติดเท้าวิ่ง (พวกเขาใช้ Tarahumara Huarache)”

 

รองเท้า Tarahumara Huarache

ภาพ: Earth Runners

 

“ส่วนในตลาดที่เราหา เราได้ความต้องการจากดีลเลอร์และร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เราทำงานร่วมกับลูกค้าในการพัฒนาเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงแค่มองเห็นสินค้า แต่ได้ลองใช้ พวกเขาก็เริ่มเข้าใจในรองเท้าที่ไม่ใช่แค่ป้องกัน แต่มีความมั่นคงในการวิ่ง ทำให้หลายคนตื่นเต้นมาก เราเริ่มต้นเพียงไม่กี่ร้าน ก่อนจะเพิ่มเป็นหลักสิบ และร้านที่ใหญ่ขึ้นในสหรัฐฯ ก็ช่วยให้เราหาตลาดของเราเจอ

 

“นอกจากนี้ในยุคแรกเรามีรองเท้ารุ่นต้นแบบที่คนได้รู้จักกับรองเท้ารูปแบบ Rocker Shoes (รูปทรงรองเท้าที่โค้งเหมือนกับเก้าอี้โยก) ตอนปี 2009 ที่ UTMB Mont-Blanc เราตัดสินใจเปิดหน้าร้านในพื้นที่เล็กๆ ให้คนทดลองรองเท้า ไม่ได้ขายอะไร แต่ให้ลองรองเท้าต้นแบบ

 

“ครั้งแรกที่คนเห็นรองเท้า HOKA บางคนก็ตัดสินใจใช้แข่งเลย แม้ว่าตอนนั้นยังไม่ใช่รุ่นที่พัฒนาไปไกลมากแล้ว และเอากลับมาคืนเราตอนจบสัปดาห์ของการแข่งขัน”

 

มุมมองต่อการถูกตีตราว่าเป็น Ugly Shoes

 

Nico Mermoud

 

จริงๆ เป็นมุกตลก ไม่ใช่คนคิดว่าน่าเกลียด เป็นมุกเฉยๆ จากนักข่าวหรือลูกค้า

 

เนื่องจากเราเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นในตลาดลักชัวรีเมื่อ 5 ปีก่อน

 

แน่นอนว่ารองเท้าคู่แรกๆ เราเลือกสีที่สดมาก และนั่นเป็นก้าวใหญ่มากของเรา ตอนที่เรามีวัตถุประสงค์ของรองเท้า อย่างแรกคือ มาพร้อมกับการออกแบบและสไตล์ที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยมีมา และนั่นทำให้บางคนรู้สึกแปลกตอนแรกและไม่เข้าใจ

 

แต่เมื่อคุณอธิบายสไตล์ผ่านแง่มุมของวัตถุประสงค์

 

A ผู้คนเริ่มเข้าใจและโอบรับเทคโนโลยี

B มีโอกาสที่จะกลายเป็นเทรนด์หรือกระแสได้

 

เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างนวัตกรรม ทั้งการออกแบบและสไตล์ และสุดท้ายถ้าคุณทำอะไรก็ตามโดยไม่มีจุดประสงค์ ก็จะกลายเป็นกลวิธีเฉยๆ ซึ่งบางครั้ง เช่น ในแฟชั่นโชว์ เห็นชุดที่แปลกๆ ที่ไม่มีจุดประสงค์หรือนวัตกรรมใดๆ ก็ไม่มีโอกาสใดๆ เป็นเพียงสิ่งที่อยากทำและไม่ได้สร้างผลกระทบ แต่ถ้าการออกแบบมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์บางอย่าง ก็จะเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันมากและจะสามารถสร้างกระแสได้

 

 

ผมยกตัวอย่าง เช่น รถ Porsche 911 Turbo เทียบกับรถสปอร์ตรุ่นอื่นๆ พวกเขามีท้ายรถที่ใหญ่และอ้วนมากที่ไม่ดูสปอร์ตเลย และใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อคุณไปเทียบกับ Ferrari การออกแบบก็แตกต่างกันมาก แต่นั่นก็เพราะเทคโนโลยีของรถที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบ เพราะพลังงานจากเครื่องยนต์ไปสู่ล้อและพื้นต้องสูญเสียไปเยอะจากเครื่องยนต์ด้านหน้ารถ พลังงานต้องเดินทางไปไกลกว่าจะลงถึงพื้นที่ล้อหลัง ซึ่ง Porsche 911 Turbo เครื่องยนต์อยู่ด้านหลัง และประสบการณ์การขับขี่ก็แตกต่างออกไป บางคนชอบมากกว่า

 

เราจึงอาจจะพูดได้ว่า ในวันที่ทุกคนออกแบบรองเท้าไปในทิศทางหนึ่ง HOKA มาและได้ออกแบบ Porsche 911 Turbo แห่งรองเท้าก็ว่าได้

 

สีของ HOKA ที่ถูกยกให้เป็น Dreamy Colorway

 

 

สามสีหลักของแบรนด์ในจุดเริ่มต้นคือ สีฟ้า Cyan Blue คือสีตัวแทนของท้องฟ้า เป็นสีฟ้าที่เรียบง่ายผสมกับสีขาว และสีเหลืองแบบ Neon Yellow นี่เป็นสีประจำของ HOKA

 

รองเท้ารุ่นแรกของเรา เราต้องการสร้างอิมแพ็กต์ เราใช้ Cyan Blue กับสีส้ม และ Neon Yellow กับสีขาว-ดำ นั่นเป็นสองสีแรกของ HOKA ตอนนั้นเราอาจจะทำเกินไปหน่อยในสีฟ้ากับส้ม หลังจากนั้นเราก็ทำตลาดกับสีที่สดใสมากขึ้น

 

หลังๆ Deckers ก็ทำเรื่องของสีได้ดีขึ้น Dreamy Colorway ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะพวกเขาอยากโปรโมต Happy Run-walk เป็นสีที่สนุกขึ้น และแน่นอนว่ายังเน้นเรื่องของเพอร์ฟอร์แมนซ์กับเทคโนโลยีใน MIDSOLE

 

เราเห็นรองเท้ายูนิเซ็กซ์กับสีส้มอ่อน เป็นการตัดสินใจที่กล้าและเสี่ยง แต่ก็สามารถทำออกมาได้สำเร็จ แม้ในประเทศอย่างสหรัฐฯ ในประเทศต่างๆ เราก็เห็นสีสันที่มากขึ้นในรองเท้า และเป็นหนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จของรองเท้า HOKA ที่ใส่แล้วดูสนุกและมีความสุข

 

นอกจากนี้ยังมีโลโก้ด้านหลังและด้านข้างที่ทำให้เราแตกต่าง สีต้องเป็นการตัดสินใจแรกๆ เรามีทีมที่ดี ดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ และเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ เราอยากจะให้เป็นจุดแข็งและจุดที่เราต่าง

 

จริงไหมที่บางคนเริ่มที่จะยอมเลือกรองเท้าที่สวยน้อยกว่า แต่ใส่สบายกว่า

 

ผมไม่เชื่อแบบนั้น ผมคิดว่ารองเท้าที่เราพูดถึงมีสไตล์ ความสวยงาม และความซับซ้อนของวัสดุ แบรนด์เราก็มีสไตล์ที่ดีอยู่แล้วในหัวเมืองต่างๆ ลอนดอน นิวยอร์ก และโตเกียว

 

เรากลายเป็นแบรนด์ที่มีสไตล์สวยงาม และไม่ใช่เพราะแบรนด์เราดี แต่นักออกแบบรองเท้าเราทำได้ดี และเมื่อคุณได้รับการยอมรับว่าเป็นรองเท้าที่มีสไตล์สวยงามในกลุ่มรองเท้ากีฬา และคนชื่นชอบ ตอนนี้คนก็จะเริ่มมาให้ความสำคัญกับความสบายในการสวมใส่มากขึ้น

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นสไตล์ แต่สิ่งที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คือความสบายในการสวมใส่ ซึ่งเราก็กำลังคว้าชัยชนะในตลาดนี้มากขึ้น

 

Running is the new streetwear?

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Satisfy (@satisfyrunning)

 

HOKA Mafate Speed 4 Lite STSFY การคอลแลบกันระหว่างแบรนด์ Sastify x HOKA ในรองเท้ารุ่นพิเศษที่ออกแบบที่ปารีส ฝรั่งเศส พัฒนาที่พอร์ตแลนด์ สหรัฐฯ และทดสอบที่เทือกเขาแอลป์ ฝรั่งเศส

 

ผมคิดว่ากระแสนี้จะยังคงอยู่ต่อไป นี่เป็นจุดเริ่มต้นมากๆ เราเรียนรู้ว่าลูกค้าอยากได้ความเชื่อมโยงทางความรู้สึกกับแบรนด์

 

คุณดูแบรนด์ต่างๆ ที่ใช้ในการเดินเขา ซึ่งโด่งดังในเมือง ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าเหล่านี้ต้องการเรื่องราวและนวัตกรรม พวกเขาต้องการสินค้าที่เจ๋งและมีจุดประสงค์ที่ดี

 

สินค้าไลฟ์สไตล์แรกของเราคือ HOKA ONE ONE Tor Ultra ซึ่งเป็นรองเท้าที่ประสบความสำเร็จ มีคนใส่มันที่ลอนดอน ปารีส และสหรัฐฯ

 

บางคนก็ต้องการสิ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของธรรมชาติ และคนในเมืองที่รู้สึกเครียด อยากจะรู้สึกได้ถึงอิสระและความตื่นเต้นบางอย่างจากสินค้าเอาต์ดอร์

 

เมื่อคุณมองหาอิสรภาพที่แท้จริง ก็จะนึกถึงการเข้าถึงกีฬาที่ยากลำบากมากๆ เช่น Paragliding หรือ BASE Jumping และคุณก็มีกิจกรรมเดินเขา สำรวจธรรมชาติ ซึ่งการเดินเขาก็อยู่กับธรรมชาติมากกว่า เพราะคุณเดินอยู่บนดิน ถ้าคุณเริ่มเซิร์ฟก็จะแตกต่างไป เพราะคุณไม่ได้เดินบนดินจริงๆ

 

ความรู้สึกของคนที่ต้องการเข้าถึงธรรมชาติ และความเจ๋งของกิจกรรมที่อยู่กับธรรมชาติและความรู้สึกที่เป็นอิสระ

 

สิ่งที่ยากคือแรงบันดาลใจจากภูเขา เพราะสมัยก่อนเราเข้าถึงยอดภูเขาได้ยาก ทั้งการปีนเข้าถึงและพื้นผิวหิมะ แต่ตอนนี้มีการวิ่งเทรล เราก็เข้าถึงส่วนต่างๆ ของภูเขาที่อาจจะไม่สูงมาก และมีธรรมชาติทั้งแม่น้ำและต้นไม้ต่างๆ และความเร็วเพิ่มขึ้น

 

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการผสมผสานระหว่างความต้องการของลูกค้ากับธรรมชาติ และไอเดียของการเชื่อมโยงกับธรรมชาติและความรู้สึกติดดิน ผ่านเทคโนโลยีรองเท้าที่ช่วยให้คุณเข้าถึงพื้นที่และพื้นผิวที่มีความยากลำบากมากๆ ในโลกเอาต์ดอร์ที่ไม่โหดมากขนาดภูเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งอาจจะน่ากลัวเกินไป

 

แต่การวิ่งเทรล และผมไม่ได้พูดถึงแค่แบรนด์ HOKA ผมว่ามีโอกาสที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากกว่าแค่การทำกิจกรรมนั้นๆ แต่มีโอกาสที่จะเป็นยุคใหม่ของการวิ่ง ไม่ว่าคุณจะวิ่งในสวนของพื้นที่ในเมืองด้วยความฝันที่จะไปถึงชาโมนิกซ์ได้ในวันหนึ่ง หรือเรซอื่นๆ ซึ่งเรามีวัฒนธรรมแข็งแกร่งมากในกิจกรรมนี้

 

ดีเอ็นเอของ HOKA คืออะไร

 

Nico Mermoud

 

จุดเริ่มต้นดีเอ็นเอของแบรนด์ จุดแข็งของเราคือการสร้าง Benchmark หรือการเปรียบเทียบ การมองหาความสำเร็จที่อยู่นอกวัฒนธรรมและเทคโนโลยีของการวิ่ง เช่น การวิ่งเทรล เราก็มองไปที่สิ่งที่ดีที่สุดในโลก ในการลงภูเขา เช่น จักรยานเสือภูเขา หรือสกี และหาเหตุผลว่าทำไมสิ่งเหล่านั้นถึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเรานำเอาเทคโนโลยีนั้นมาหาคำตอบว่าจะทำให้การวิ่งของเรารู้สึกเหมือนกับการบินหรือเคลื่อนที่แบบพลิ้วไหวให้ได้มากกว่าความรู้สึกถึงการก้าวเดิน

 

อีกสิ่งที่สำคัญมากของเราตอนเริ่มต้นคือ ความฝัน การออกแบบ และทดสอบ

 

Create and Test 

 

สิ่งที่สำคัญไม่ใช่สไตล์ของรองเท้า การอธิบายนวัตกรรม หรือวัสดุที่เราใช้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึก ถ้าคุณคิดถึงดนตรีที่เรามีดีเจตามเฟสติวัลต่างๆ คุณมีเทคนิคที่น่าตื่นเต้นมาก มีเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพเสียงและอารมณ์ที่ทำให้คนรู้สึกในตอนนั้น

 

ดังนั้นเราอยากอยู่ในกลุ่มของคนที่สนใจในบรรยากาศและประสบการณ์ เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเราคือ Create and Test

 

นี่คือหลักการของเราต่อนวัตกรรม มองออกไปข้างนอกอุตสาหกรรมของเรา สร้างบางอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และเราไม่ได้พยายามพัฒนาแค่ 5-10% แต่พยายามพัฒนาให้ได้ 100% และจากจุดนั้น จากความฝันนั้น การสร้างอะไรบางอย่าง ออกแบบมัน และนำเอาเทคโนโลยีจากสิ่งอื่นๆ มาทดสอบ และกลับมาเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง

 

ผมตื่นเต้นที่เห็นแบรนด์และทีมเติบโต รวมถึงในไทยและเอเชีย เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก เราเริ่มต้นด้วยการมีส่วนร่วมเป็นอย่างมากในสหรัฐฯ และจากนั้นเติบโตกลับมาที่ยุโรปและระดับโลก เป็นความฝันที่เป็นจริงที่ได้เห็นคนหลายรุ่นและหลายเชื้อชาติโอบรับแบรนด์

 

ผมอยากพูดถึงเหตุการณ์หนึ่งในชาโมนิกซ์ ตอนที่เรากำลังเตรียมคำพูดในการประชุมกับลูกค้าต่างๆ ผมถามพนักงาน HOKA คนหนึ่งว่า อยากให้แบรนด์ได้รับการจดจำไว้อย่างไร เขาบอกผมว่า ผมอยากให้คนเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เราอยากเป็นแบรนด์ที่คนรักมากที่สุดในโลก มีความเชื่อมโยงทางความรู้สึกกับชุมชน ไม่ใช่ว่าเราอยากได้ส่วนแบ่งตลาด 30% หรือมีรองเท้าที่เบาที่สุด แต่ทุกอย่างที่เราต้องการคือความเชื่อมโยงของแบรนด์กับลูกค้า

 

ผลการแข่งขันของ Vincent Brouillard พนักงานของ HOKA ที่คว้าแชมป์ UTMB Mont-Blanc 2024 ทำให้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

 

 

ความรู้สึกที่ผมมีอย่างแรงกล้าคือ เรากำลังกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของ UTMB ที่แม้ว่าปัจจุบันนักกีฬามีผู้สนับสนุนต่างๆ มากมาย แต่ผมยังไม่คิดว่าเราสามารถเรียกการวิ่งเทรลเป็นกีฬาอาชีพได้ 100% เหมือนกับจักรยาน กรีฑาประเภทลู่และลาน หรือเทนนิส

 

หลายคนที่เคยคว้าแชมป์ UTMB พวกเขาเคยทำงานปกติมา จนวันหนึ่งพวกเขารู้ว่ามีความสามารถด้านสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง ความอึด รวมถึงความบ้าคลั่ง ที่คิดว่าพวกเขาสามารถทำอะไรเป็นเวลานาน และได้โอกาสใช้ชีวิตตามความฝัน

 

ความรู้สึกของผมคือ นี่ยังคงเป็นการผจญภัย และสำหรับบางคนที่มีความสามารถและฝึกซ้อมอย่างหนัก ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน และอยู่นอกเรดาร์ของแบรนด์การสนับสนุนต่างๆ ก็สามารถทำได้

 

อีกอย่างคือ สิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้นสำหรับผมคือ ผมรู้จักกับ Vincent Brouillard จำได้ตอนที่เขายังอยู่ที่โรงเรียน และได้รับจ้างจากหุ้นส่วนของผมอย่าง Jean-Luc Diard และ Christophe Aubonnet

 

Vincent Brouillard เป็นคนที่มุ่งมั่นและ Introvert ดังนั้นครั้งนี้สำหรับกีฬานี้ เขาเป็นคนที่เงียบแต่แข็งแกร่งมาก ที่ผ่านมาเรารู้ว่าเขาได้แข่งไตรกีฬา จักรยาน และแข่งขันเทรลบ้าง แต่เขาเป็นคนที่อยู่ในสหรัฐฯ และขี่จักรยานไป 300 ไมล์ เพื่อไปหาเพื่อน เขาเป็นคนที่มีการผจญภัยต่างๆ เป็นคนที่มีทัศนคติแบบคนที่อยู่กับธรรมชาติอย่างภูเขา ซึ่งบางครั้งก็อยากอยู่คนเดียว และพร้อมที่ก้าวไปผจญภัยเป็นเวลานาน

 

ดังนั้นจึงเป็นการแข่งขันที่เป็นธรรมชาติมาก และการได้เห็นคนที่เรารู้จักเป็นเวลา 7 ปีคว้าแชมป์ เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก

 

Nico Mermoud

The post คุยกับ Nico Mermoud ผู้ร่วมก่อตั้ง HOKA ถึงจุดเริ่มต้นแบรนด์ และการหาตลาดบนเส้นทางของตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
บิว ภูริพล และคู่แข่งวิ่ง 100 เมตร รอบชิงฯ กรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก 2024 https://thestandard.co/puripol-world-athletics-u20-championships/ Wed, 28 Aug 2024 06:02:59 +0000 https://thestandard.co/?p=976390

ในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ (29 สิงหาคม) เวลา 06.47 น. […]

The post บิว ภูริพล และคู่แข่งวิ่ง 100 เมตร รอบชิงฯ กรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ (29 สิงหาคม) เวลา 06.47 น. (ตามเวลาประเทศไทย) บิว-ภูริพล บุญสอน นักกีฬากรีฑาทีมชาติไทยวัย 18 ปี มีคิวลงแข่งขันวิ่ง 100 เมตร กรีฑาเยาวชนโลก ‘World Athletics U20 Championships’ ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู รอบชิงชนะเลิศ

 

THE STANDARD SPORT ถือโอกาสนี้พาไปส่องว่าคู่แข่งของ บิว ภูริพล ในรอบชิงฯ มีใครบ้าง และสถิติการวิ่งในรอบที่ผ่านมาเป็นอย่างไร

 

ทั้งนี้ แฟนกีฬาสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ทาง https://worldathletics.org/videos

 

 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

The post บิว ภูริพล และคู่แข่งวิ่ง 100 เมตร รอบชิงฯ กรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
World Athletics ยก บิว ภูริพล เป็นนักวิ่งน่าจับตามองในศึกชิงแชมป์โลก U20 https://thestandard.co/world-athletics-bew-puripol-u20/ Sat, 24 Aug 2024 03:04:49 +0000 https://thestandard.co/?p=974800

World Athletics หรือกรีฑาโลก โพสต์บน Facebook ถึง บิว-ภ […]

The post World Athletics ยก บิว ภูริพล เป็นนักวิ่งน่าจับตามองในศึกชิงแชมป์โลก U20 appeared first on THE STANDARD.

]]>

World Athletics หรือกรีฑาโลก โพสต์บน Facebook ถึง บิว-ภูริพล บุญสอน นักวิ่งดาวรุ่งทีมชาติไทย โดยยกให้เป็นหนึ่งในนักวิ่งที่น่าจับตามองประจำการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลก รุ่น U20

 

โดย World Athletics โพสต์ภาพของบิวพร้อมข้อความว่า “หนึ่งในคนที่น่าลุ้น

 

“ภูริพล บุญสอน จากไทย กำลังเดินทางไปแข่งขันที่ลิมา โดยเขาจบอันดับที่ 4 ในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตรชาย ที่กาลี เมื่อปี 2022”

 

โดยในกรีฑาชิงแชมป์โลก รุ่น U20 ที่กาลี ประเทศโคลอมเบีย เมื่อปี 2022 บิวจบในอันดับที่ 4 ด้วยเวลา 10.12 วินาที พลาดเหรียญทองแดง โดยพ่าย เบนจามิน ริชาร์ดสัน จากแอฟริกาใต้ ไปแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น

 

สำหรับกรีฑาชิงแชมป์โลก รุ่น U20 ในปีนี้ จะจัดการแข่งขันที่เมืองลิมา ประเทศเปรู ในระหว่างวันที่ 27-31 สิงหาคมนี้

 

ภาพ: World Athletics / Facebook

อ้างอิง:

The post World Athletics ยก บิว ภูริพล เป็นนักวิ่งน่าจับตามองในศึกชิงแชมป์โลก U20 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รีวิวรองเท้าวิ่ง adidas Ultraboost 5 ดีไซน์ใหม่เป็นอย่างไร? ลุยพื้นจริงจะฟินหรือเปล่า? https://thestandard.co/life/adidas-ultraboost-5 Tue, 13 Aug 2024 00:00:55 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=970267 adidas Ultraboost 5

ใครอยากได้ลูกรักเก็บไว้อีกสักคู่ เรามีรองเท้ารุ่นใหม่ที […]

The post รีวิวรองเท้าวิ่ง adidas Ultraboost 5 ดีไซน์ใหม่เป็นอย่างไร? ลุยพื้นจริงจะฟินหรือเปล่า? appeared first on THE STANDARD.

]]>
adidas Ultraboost 5

ใครอยากได้ลูกรักเก็บไว้อีกสักคู่ เรามีรองเท้ารุ่นใหม่ที่ adidas เพิ่งเปิดตัวมาแนะนำ เป็นรุ่น Ultraboost 5 รองเท้ารุ่นใหม่ล่าสุดจากตระกูลรองเท้าวิ่งที่มีการปรับโฉมใหม่กริบ จนวิ่งแล้วเบา ฟิน เพราะช่วยส่งตัวและคืนแรงให้นักวิ่งได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้า

 

Ultraboost 5 ใช้เทคโนโลยี LIGHT BOOST™ ที่มีการขึ้นรูปแบบใหม่ทั้งหมด เนื้อโฟมของรุ่นนี้จึงหนาขึ้นกว่าเดิม 9 มิลลิเมตร ทั้งส้นเท้าและปลายเท้า ทำให้ช่วยรองรับแรงกระแทก และคืนพลังให้ผู้สวมใส่ได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้า แถมยังเบา ใส่สบาย ระบายอากาศดี วิ่งมันแน่นอน

 

adidas Ultraboost 5

 

แล้วยังมีระบบใหม่อย่าง TORSION™ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ตจังหวะในการขยับของส้นเท้าและปลายเท้าให้ลื่นไหลมากขึ้นด้วย เช่นเดียวกับพื้นรองเท้าชั้นนอกที่ยึดเกาะได้ทุกพื้นผิว บิดงอได้ตามจังหวะการวิ่ง

 

ส่วนตัวรองเท้าก็เป็นแบบใหม่เช่นกัน เพราะทำจากเส้นใย Primeknit ทำให้รองเท้าปรับเข้าตามรูปเท้าของผู้ใส่ มีไซส์ให้เลือกทั้งผู้ชายและผู้หญิง พร้อมสีสันที่ตกแต่งด้วยสีขาวผสมสีเทา (Vibrant White / Dash Grey) และเสริมด้วยสีส้ม (Spark Orange), สีชมพู (Lucid Pink) และสีเทา (Halo Silver) ที่มองแล้วโดดเด่นสุดๆ

 

 

ประสบการณ์หลังได้สวมใส่จริง: จากที่เราได้ลองใส่ไปร่วมวิ่ง City Run กับ adidas ระยะทาง 5 กิโลเมตร รองเท้ารุ่นนี้สวมใส่กระชับตามรูปเท้าจริง ทำให้วิ่งได้อย่างมั่นใจ ออกแรงได้เต็มที่ แถมยังช่วยส่งตัวเวลาเจอพื้นต่างระดับ และด้วยความเบาก็ทำให้วิ่งสนุกขึ้นด้วย ไม่ว่าจะลองวิ่งบนลู่หรือบนพื้นถนนจริง

 

รองเท้าวิ่ง Ultraboost 5 และรองเท้าวิ่ง Ultraboost 5X วางจำหน่ายในราคา 6,500 บาท ณ ร้านค้าของ adidas และร้านขายอุปกรณ์กีฬาชั้นนำทั่วประเทศที่ร่วมรายการ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ adidas

 

ภาพ: ADIDAS THAILAND

The post รีวิวรองเท้าวิ่ง adidas Ultraboost 5 ดีไซน์ใหม่เป็นอย่างไร? ลุยพื้นจริงจะฟินหรือเปล่า? appeared first on THE STANDARD.

]]>