การใช้ชีวิต – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 31 Oct 2025 01:20:44 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ลาพักร้อน…แต่ยังต้องทำงาน ผิดที่เราหรือผิดที่ระบบ? https://thestandard.co/life/working-on-vacation/ Fri, 31 Oct 2025 00:44:31 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1137827 working-on-vacation

ช่วงเดือนที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ลาพักร้อนไปต่างประเทศ ขณ […]

The post ลาพักร้อน…แต่ยังต้องทำงาน ผิดที่เราหรือผิดที่ระบบ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
working-on-vacation

ช่วงเดือนที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ลาพักร้อนไปต่างประเทศ ขณะที่กำลังนั่งเครื่องบินขากลับ เราได้นั่งข้างผู้โดยสารคู่รักชาวไทยคู่หนึ่ง ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงจอแจของผู้โดยสารท่านอื่นที่ทยอยเดินกันเข้ามาในลำอย่างต่อเนื่อง คู่รักข้างเรากลับอยู่ในภวังค์ความเงียบจนเราสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ 

 

ด้วยความใกล้ ทำให้เราได้ยินบทสนทนาทั้งหมดโดยไม่ตั้งใจ 

 

“เธอเป็นอะไร” ฝ่ายหญิงถามแฟนหนุ่มตัวเอง ฝ่ายชายเงียบไป ก่อนจะโพล่งออกมาทั้งน้ำตา “เราเครียด…” 

 

ภาพชายหนุ่มที่ภายนอกดูกำยำรีบดึงคอเสื้อขึ้นมาซับน้ำตานั้น ยิ่งทำให้ความอัดอั้นตันใจที่เขาระบายฟังดูหนักขึ้น “เราลามาเที่ยวแต่ก็ยังต้องทำงานตลอด เราไม่ได้พักเลย เดี๋ยวกลับไปก็ต้องทำงานอีกแล้ว…” 

 

คำพูดของชายแปลกหน้าในวันนั้นทำให้เราย้อนคิดถึงอดีตของตัวเองที่เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายคลึงกัน จนเกิดเป็นคำถามในใจว่า “ทำไมลาพักร้อน…แต่ยังต้องทำงาน?”  

 

วันนี้เราเลยอยากชวนมาสำรวจว่า ที่จริงแล้วเป็นเพราะ ‘เรา’ เลือกที่จะไม่พัก หรือเป็นเพราะ ‘ระบบ’ บังคับให้เราปฏิเสธการพักผ่อนไม่ได้กันแน่?

 

ความกดดันที่ฝังอยู่ในระบบ

 

  • ระดับองค์กร

เราอาจอยู่ในวัฒนธรรมที่คาดหวังการอุทิศตัว (จนเกินไป) การไม่ตอบแชทในวันลาอาจถูกตีความว่าไม่ทุ่มเท ประกอบกับการที่องค์กรขาดระบบการส่งต่องานหรือสำรองคนที่ชัดเจน 

 

เมื่อไม่มีใครทำแทนได้ ความรับผิดชอบจึงกลายมาเป็นข้อบังคับที่บีบให้เราต้องทำงาน แม้จะลาอยู่ก็ตาม

 

  • ระดับทีม

เมื่อเพื่อนร่วมงานลาแต่ยังตอบแชท มันกลายเป็นบรรทัดฐานกดดันที่ทำให้เราไม่กล้าเป็นคนเดียวที่ตัดขาด กลายเป็นความเกรงใจที่บีบบังคับให้เราต้องยอมทำตามน้ำไป

 

  • ระดับตัวเรา

เรารู้สึกผิดที่จะทิ้งภาระให้คนอื่น เราถูกทำให้กลัวว่างานจะพังถ้าไม่มีเรา จนสุดท้าย เราก็บังคับตัวเองฝืนทำไปเพื่อให้งานเสร็จลุล่วง 

 

เมื่อการพักไม่จริงไม่ได้นำมาแค่ความนอยด์

 

ผลกระทบจากการไม่ได้พักจริงอาจไม่ใช่แค่ความนอยด์ แต่มันคือภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) ที่ทำให้สุขภาพจิตพัง และส่งผลต่อประสิทธิภาพงานที่ลดลงในระยะยาว เมื่อไม่มีใครได้พักอย่างเต็มที่ ทุกคนเหนื่อยล้าเกินไป องค์กรก็อาจพัฒนาได้ช้าลง  

 

เราจะทวงคืนสิทธิ์ในการพักได้อย่างไร?

 

1. ที่ตัวเรา

สร้างขอบเขตที่ชัดเจน สื่อสารล่วงหน้า และฝึกปฏิเสธอย่างสุภาพแต่มั่นคง ที่สำคัญคือ การเตรียมความพร้อมก่อนลา ซึ่งมี 2 ส่วนหลัก

  • เคลียร์งานให้เสร็จ: บริหารจัดการงานที่สามารถจบได้ให้เสร็จเรียบร้อยที่สุด
  • เตรียมส่งมอบงาน: สำหรับงานที่จำเป็นต้องรันต่อ ก็ต้องทำการส่งมอบงานที่ชัดเจน พร้อมระบุผู้รับผิดชอบให้ครบถ้วน

 

2.ที่ทีม

สร้างวัฒนธรรมที่เคารพเวลาส่วนตัว ไม่คุยสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับงานกับคนที่ลา และผู้นำเองก็ควรเป็นตัวอย่างของการลาแล้วหายจริง

 

3. ที่องค์กร

สร้าง Backup System ที่ใช้งานได้จริงเพื่อให้มีผู้รับมอบงานต่อ เช่น การกำหนดกระบวนการส่งมอบงานล่วงหน้าที่ชัดเจน, การมี Knowledge Sharing System (SOPs, ไฟล์งานส่วนกลาง) และที่สำคัญคือ วัดผลจากคุณภาพงาน ไม่ใช่การออนไลน์ตลอดเวลา

 

การลาคือสิทธิ์…ที่กฎหมายรับรอง

 

เราอาจจะลืมไปว่า วันลาพักร้อนไม่ใช่ของขวัญจากองค์กร แต่เป็น ‘สิทธิ์’ ที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้ 

 

เจตนารมณ์ของกฎหมายข้อนี้ชัดเจนว่าคือการให้เราได้พักผ่อน เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่แค่การหยุดงานเพื่อมาสแตนด์บายทำงานอีกที

 

ดังนั้น ลองเริ่มที่การลาครั้งหน้า ลองให้ตัวเองได้พักจริงๆ แล้วคุณจะพบว่า นอกจากโลกจะไม่แตก งานจะไม่พัง คุณยังจะกลับมาด้วยพลังและมุมมองที่สดใหม่กว่าเดิม 

 

แต่ถ้าคุณพยายามเต็มที่ดั่งทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว แต่สิทธิ์ของคุณยังถูกละเมิดอยู่ดี นั่นไม่ใช่ความผิดคุณ แต่มันคือข้อพิสูจน์แล้วว่า…ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ   

The post ลาพักร้อน…แต่ยังต้องทำงาน ผิดที่เราหรือผิดที่ระบบ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Unmask Yourself: เมื่อผีที่น่ากลัวที่สุด…คือ ‘หน้ากาก’ ที่เราไม่กล้าถอด https://thestandard.co/life/halloween-unmasking-fake-self-daily-life/ Fri, 31 Oct 2025 00:27:39 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1137820 halloween-unmasking-fake-self-daily-life

ในเทศกาลฮาโลวีน เราสนุกกับการสวมหน้ากาก แต่งกายเป็นคนอื […]

The post Unmask Yourself: เมื่อผีที่น่ากลัวที่สุด…คือ ‘หน้ากาก’ ที่เราไม่กล้าถอด appeared first on THE STANDARD.

]]>
halloween-unmasking-fake-self-daily-life

ในเทศกาลฮาโลวีน เราสนุกกับการสวมหน้ากาก แต่งกายเป็นคนอื่น เป็นซูเปอร์ฮีโร่ตัวโปรด เป็นผี เป็นปีศาจ มันคือค่ำคืนแห่งการปลดปล่อยตัวตน แต่เมื่อเทศกาลจบลง เคยถามตัวเองไหมว่า เราได้ถอดหน้ากากออกหมดจริงๆ หรือเปล่า?

 

หลายครั้งเราอาจไม่รู้ตัวว่าเราสวมใส่ ‘หน้ากาก’ ในชีวิตประจำวัน เราสวมมันในที่ทำงาน ในวงสนทนา หรือแม้กระทั่งกับคนที่เรารักที่สุดเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หรือเพื่อซ่อนความเปราะบางที่อยู่ข้างใน

 

บางทีผีที่น่ากลัวที่สุด…อาจเป็น ‘ตัวตนปลอมๆ’ ที่เราสร้างขึ้นมาเองก็ได้

 

คุณคุ้นเคยกับหน้ากากชิ้นไหนเป็นพิเศษ?

 

  • หน้ากาก The Perfectionist 

ทุกอย่างต้องเป๊ะ ดูดีเสมอ รับไม่ได้กับความผิดพลาด 

 

  • หน้ากาก The Stoic

แบกทุกปัญหาไว้คนเดียว ไม่เคยปริปากขอความช่วยเหลือจากใคร

 

  • หน้ากาก The People-Pleaser

พยายามทำให้ทุกคนพอใจ ไม่กล้าเห็นต่าง ตอบตกลงเสมอแม้ตัวเองจะไม่ไหว 

 

  • หน้ากาก The Staged-Life

สร้างภาพชีวิตที่ดูเพอร์เฟกต์ในโลกออนไลน์ อวดความสำเร็จและความสุขที่ผ่านการ ‘จัดฉาก’ มาแล้ว

 

เราเชื่อว่ายังมีหน้ากากอีกมากมายที่เราเลือกใช้ไปตามสถานการณ์ แต่การสวมหน้ากากเหล่านี้ไปนานๆ มีแต่จะทำร้ายตัวเองในระยะยาว

 

เราจะถอดหน้ากากนั้นอย่างไร? 

 

  1. รู้ทันตัวเอง 

การตระหนักรู้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด ลองยอมรับกับตัวเองแบบไม่ตัดสินว่า ตอนนี้เรากำลังสวมหน้ากากอยู่  

 

  1. เลือกพื้นที่ปลอดภัย

ลองเป็นตัวเองกับคนที่คุณไว้ใจที่สุด อาจจะเป็นเพื่อนสนิท คนรัก หรือนักบำบัด การค่อยๆ เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงจะช่วยสร้างความกล้าให้คุณ

 

  1. โอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบ 

บอกตัวเองเสมอว่า ความเปราะบางไม่ใช่ความอ่อนแอ ความผิดพลาดในชีวิตไม่ใช่ตราบาป แต่เป็นบทเรียนที่ทำให้เราเติบโตขึ้น แล้วอนุญาตให้ตัวเองได้โอบรับความไม่สมบูรณ์แบบนั้น  

 

ฮาโลวีนนี้ ลองกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง แล้วจะรู้ว่าอิสรภาพในการใช้ชีวิตอย่างไม่สมบูรณ์แบบ…คือของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว

The post Unmask Yourself: เมื่อผีที่น่ากลัวที่สุด…คือ ‘หน้ากาก’ ที่เราไม่กล้าถอด appeared first on THE STANDARD.

]]>
คุยกับ แพต ชญานิษฐ์ ผู้หญิงที่รับมือความเครียดด้วยการ “รักตัวเองจากข้างใน” https://thestandard.co/life/pat-chayanit-self-love-mindset-stress/ Thu, 09 Oct 2025 06:08:37 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1128504 pat-chayanit-self-love-mindset-stress

แพต-ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช เผยเคล็ดลับการใช้ชีวิตแบบสุดโต่ […]

The post คุยกับ แพต ชญานิษฐ์ ผู้หญิงที่รับมือความเครียดด้วยการ “รักตัวเองจากข้างใน” appeared first on THE STANDARD.

]]>
pat-chayanit-self-love-mindset-stress

แพต-ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช เผยเคล็ดลับการใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง แม้ต้องเผชิญภาวะเครียดจากการทำงานไม่ทัน แต่หัวใจสำคัญคือการ “รักตัวเองจากข้างใน” และสร้าง Safe Zone ที่สมบูรณ์แบบเพื่อฮีลใจ นี่คือ มายด์เซ็ต ที่จะพาเราก้าวข้ามความเครียดไปได้ โดยเธอได้แบ่งปันแนวคิดและการดูแลสุขภาพจิตใจเพื่อรับมือกับความเครียดและภาวะ Burnout ที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน

 

ช่วงที่รู้สึกเครียด มายด์เซ็ตที่ช่วยให้ไปต่อได้คืออะไร?

 

“แพตคิดว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เบิร์นเอาต์ ทุกคนสามารถเจอเรื่องเบิร์นเอาต์ได้ค่ะ แต่ก็มองว่าการเบิร์นเอาต์เป็นการเดินทางที่จะไม่คงอยู่ตลอดไป ฉะนั้นมายด์เซ็ตที่ช่วยได้คือการเริ่มต้นจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าและรักตัวเองจากข้างในจริงๆ ก่อน ถ้าเรารักตัวเองจากข้างในมากพอ ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เราจะสามารถ หาทางออกให้ตัวเองได้ เราจะมีพลังงานดีๆ ให้กับตัวเองเสมอ และเราจะไม่โทษใคร”

 

 แพต ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

 

อะไรคือสิ่งที่คุณทำเพื่อดูแลตนเอง (Self-Care) 

 

“เนื่องจากแพตเป็นคนมีเอเนอร์จี้เยอะมาก เป็น 100% Extrovert เลย ถ้าวันไหนแพตใช้พลังงานไม่หมดก็จะนอนไม่หลับ ดังนั้น Self-Care หลักคือการออกกำลังกาย ซึ่งเรียกว่าเข้าขั้น Obsessed เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ แต่ไม่ได้ออกกำลังเพื่อต้องการเป็นนักกล้าม แต่เพราะชอบใช้พลังงาน นอกจากนี้ยังต้องมีการจัดการอาหาร โดยอนุญาตให้ตัวเองมี 1-2 วันต่อสัปดาห์ เพื่อไปกินของอร่อยจริงๆ รสจัดจ้าน หรือของทอด ซึ่งเป็นการเช็กความรู้สึกข้างในเพื่อให้ใจรู้สึกว่าตัวเองยัง ‘โอเค’ และไม่เครียดจนเกินไปค่ะ”

 

มุมไหนในบ้านที่รู้สึกว่าเป็นเซฟโซนและช่วยฮีลใจมากที่สุด?

 

“พื้นที่ฮีลใจส่วนตัวแพตเลยคือ เตียงตัวเองค่ะ มุมเตียงของแพตคือเป็นอะไรที่ Perfect Combo ที่สุดแล้ว เพราะลงทุนกับการนอนเยอะมาก ทุกอย่างจะต้องเพอร์เฟกต์มาก ทั้งเครื่องหอม 1 ชุด โคมไฟสีเหลืองที่ต้องเป็นเหลืองที่ถูกต้อง หมอนที่ต้องมีความนุ่มที่พอดี และผ้าห่มที่ต้องมีความหนาและความนุ่มที่เหมาะสม”

 

 แพต ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

 

วันที่รู้สึก overwhelm คุณมักจะไปหาใครเป็นคนแรก?

 

“คนแรกน่าจะเป็นหม่าม้า ถ้าหม่าม้าไม่ต้องการฟังหรือรู้สึกว่า ‘อะไรอีกแล้ว!’ แพตก็จะไปหาเพื่อนแทนค่ะ แพตมองว่าโลกใบนี้มีตัวช่วยหลายอย่างมาก นอกจากหม่าม้าหรือเพื่อนแล้ว ก็ยังมีหมาน้อยที่น่ารัก มีคลิปวิดีโอฮิปโปตัวน้อย หรือการพาตัวเองไปนวด นอกจากนี้ยังมีการใช้กลิ่นหอมเข้ามาช่วย โดยเฉพาะกลิ่น Intention จากปัญญ์ปุริ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Crown Chakra ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเวลาที่มนุษย์เราเครียด คิดเยอะ หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งของหนักๆ แบกอยู่ที่หัว ซึ่งแพตรู้สึกว่ากลิ่นนี้ช่วยได้มากและรู้สึกคอนเน็กต์กับกลิ่นนั้นเป็นพิเศษในช่วงที่เครียด”

 

ภาพ: Courtesy of PAÑPURI

The post คุยกับ แพต ชญานิษฐ์ ผู้หญิงที่รับมือความเครียดด้วยการ “รักตัวเองจากข้างใน” appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 สิ่งที่หยุดทำ แล้วชีวิตดีขึ้นทันที https://thestandard.co/life/stop-5-habits-for-better-life/ Tue, 23 Sep 2025 11:18:27 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1121973 5 สิ่งที่ควรหยุดทำเพื่อ ชีวิตดีขึ้น

ช่วงนี้หลายคนคงรู้สึกว่าบางทีชีวิตมันหนัก ทั้งๆ ที่เราไ […]

The post 5 สิ่งที่หยุดทำ แล้วชีวิตดีขึ้นทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 สิ่งที่ควรหยุดทำเพื่อ ชีวิตดีขึ้น

ช่วงนี้หลายคนคงรู้สึกว่าบางทีชีวิตมันหนัก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ความเครียด ความเหนื่อย มันสะสมจนแทบหมดไฟ ความจริงแล้วบางอย่างที่เราทำอยู่ทุกวัน อาจเป็นตัวบ่อนทำลายสุขภาพแบบไม่รู้ตัว การหยุดแค่ไม่กี่พฤติกรรม ก็เปลี่ยนคุณภาพชีวิตได้แบบทันตาเห็น

 

หยุดผัดวันประกันพรุ่ง

 

การปล่อยงานค้างไว้เหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ งานวิจัยยืนยันว่าคนที่ procrastinate บ่อย มีแนวโน้มเครียด นอนไม่ดี และเสี่ยงซึมเศร้ามากกว่า หากเริ่มทำทันที ชีวิตจะเบาลงกว่าที่คิด

 

หยุดนั่งนานเกินไป

 

แม้จะออกกำลังกาย แต่ถ้าชั่วโมงที่เหลือใช้ไปกับการนั่งจ้องจอ ผลร้ายก็ยังสะสม งานวิจัยเชื่อมโยงพฤติกรรมนี้กับโรคหัวใจ เบาหวาน และอายุขัยสั้นลง การลุกขึ้นขยับทุกชั่วโมงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ยืนยาว

 

หยุดนอนน้อยและนอนไม่เป็นเวลา

 

สมองของเราฟื้นตัวและซ่อมแซมตอนหลับลึก ถ้าได้ไม่ถึง 7 ชั่วโมงต่อคืน ระบบภูมิคุ้มกัน ความจำ และอารมณ์จะเสียสมดุลทันที Harvard ชี้ว่าการนอนพอคือกุญแจสำคัญของสมองและหัวใจที่แข็งแรง

 

หยุดใช้หน้าจอมากเกินไป

 

ทั้งมือถือและโซเชียลมีเดียที่กลืนเวลาชีวิต แสงสีฟ้าทำให้วงจรการนอนเพี้ยน และการเปรียบเทียบตัวเองในโลกออนไลน์ทำให้สุขภาพใจอ่อนแอ การลดเวลาหน้าจอจะช่วยให้คุณภาพการนอนดีขึ้น และได้เวลาคืนกลับมาใช้กับสิ่งที่เติมเต็มจริงๆ

 

หยุดละเลยเรื่องอาหารและการดื่ม

 

หลายคนกินหวานจัด ของทอดจัด หรือดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ โดยไม่ทันคิด ทั้งหมดนี้กระตุ้นการอักเสบในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรัง การเลือกอาหารสด สะอาด และลดเหล้าเบียร์ลง จะทำให้ทั้งพลังงานและผิวพรรณดีขึ้น

 

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องยากจนทำไม่ได้ เริ่มจากการเลือกหยุดเพียงอย่างเดียว แล้วสร้างนิสัยใหม่แทนที่ จากนั้นค่อยๆ ขยายไปสู่อีกเรื่อง คุณจะเห็นว่าชีวิตที่เบาขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย และใจสดใสมากกว่าเดิม อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย

The post 5 สิ่งที่หยุดทำ แล้วชีวิตดีขึ้นทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก The Turtle Theory พาชีวิตไปช้าๆ อย่างมั่นคง และมีความสุขแบบเต่า https://thestandard.co/life/get-to-know-the-turtle-theory/ Sat, 06 Sep 2025 11:33:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1116358

เราอยากชวนผู้อ่านมารู้จักกับวิธีพาชีวิตไปแบบ “ช้าๆ อย่า […]

The post รู้จัก The Turtle Theory พาชีวิตไปช้าๆ อย่างมั่นคง และมีความสุขแบบเต่า appeared first on THE STANDARD.

]]>

เราอยากชวนผู้อ่านมารู้จักกับวิธีพาชีวิตไปแบบ “ช้าๆ อย่างมั่นคง” ที่อิงตามพลังแห่งทฤษฎีเต่า (The Turtle Theory) เพื่อชีวิตที่สงบสุขแบบเรียบง่ายกว่าเดิม

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้โลกปัจจุบันขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วที่สูงมากแบบรอบด้าน เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องลงสนามแข่งขันที่ไร้ขีดจำกัดไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม หลายครั้งที่เราอาจรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดไฟจากการพยายามวิ่งไล่ตามผู้อื่น แต่เคยลองหยุดพักและสังเกตชีวิตของเต่าทะเลที่กำลังว่ายน้ำอย่างเชื่องช้าดูไหม? นั่นคือหัวใจของ ‘ทฤษฎีเต่า’ (The Turtle Theory) ซึ่งเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เราจะพาผู้อ่านไปรู้จักกับทฤษฎีนี้ให้มากขึ้น

 


 

The Turtle Theory ทฤษฎีนี้สอนให้เรามองว่าชีวิตไม่ใช่การแข่งขันเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยก่อนใคร แต่เป็นการเดินทางที่เราต้องใช้ความอดทนและความสม่ำเสมอ หัวใจหลักของมันคือการยอมรับความจริงที่ว่า ‘ความก้าวหน้าอย่างช้าๆ ก็ยังเป็นความก้าวหน้า’ (Slow progress is still progress)

 

เต่าไม่รีบ เต่าไม่ตื่นตระหนก (Turtles don’t rush. Turtles don’t panic)

 

ลองนึกถึงเต่าที่แหวกว่ายในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ พวกมันไม่ได้รีบร้อน พวกมันไม่ได้ตื่นตระหนก และที่สำคัญที่สุด พวกมันไม่ได้สนใจว่าปลาที่เร็วกว่าจะว่ายนำไปไกลแค่ไหน พวกมันเพียงแค่ว่ายน้ำต่อไป ทีละก้าว ทีละจังหวะอย่างสงบ และในท้ายที่สุด เต่าทุกตัวก็สามารถไปถึงชายฝั่งได้ในที่สุด

 

เต่าไม่สนใจว่าใครจะอยู่ข้างหน้า (Turtles don’t care who is ahead of them)

 

ชีวิตของเราก็เหมือนกัน บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าตัวเองกำลังไล่ตามหลังคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน ความสำเร็จทางการเงิน หรือแม้แต่เรื่องความสัมพันธ์ในชีวิตส่วนตัว เรามักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ดูเหมือนจะไปได้เร็วกว่าและดีกว่าอยู่เสมอ จนลืมไปว่าการเดินทางของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันนะ เราไม่ต้องเหมือนใครก็ได้นะ 

 

แค่ว่ายต่อไป ทีละก้าว (They just keep swimming. One stroke at a time)

 

การเดินหน้าอย่างสม่ำเสมอ แม้จะช้า แต่ก็มั่นคงและไม่หยุดนิ่ง เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จที่แท้จริง ทฤษฎีเต่าจึงเป็นเครื่องเตือนใจให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันและให้คุณค่ากับเส้นทางของตัวเอง จงเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้าง การแสดงศักยภาพและทุ่มเทอย่างเต็มที่ในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว การเดินหน้าอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอจะสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งจะแข็งแรงและยั่งยืนกว่าการวิ่งแข่งจนหมดแรง

 

ความสงบสุขจะอยู่ได้นานกว่าความกดดันเสมอ (Peace will always outlast pressure)

 

เป็นการเตือนใจว่าการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมีสติจะช่วยให้เราฝ่าฟันอุปสรรคได้ดีกว่าการแบกรับความกดดันจากการแข่งขัน ดังนั้นในวันที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้าหรือท้อแท้ ลองนำหลักคิดของเต่ามาปรับใช้ดู แล้วคุณจะพบว่าชีวิตของเราไม่จำเป็นต้องพยายาม sprint เพื่อไปถึงจุดหมาย ขอเพียงแค่คุณยังคงก้าวเดินต่อไปในจังหวะของตัวเอง แล้ววันหนึ่งคุณจะพบว่าตัวเองได้เดินทางมาไกลกว่าที่คิดไว้มาก และนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเหมือนกันนะ

 

The post รู้จัก The Turtle Theory พาชีวิตไปช้าๆ อย่างมั่นคง และมีความสุขแบบเต่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักโบเก็ตโตะ (Boketto) ศิลปะแห่งการ ‘ไม่ทำอะไร’ https://thestandard.co/life/boketto-art-of-mindful-gazing/ Wed, 23 Jul 2025 11:35:49 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1098948 boketto-art-of-mindful-gazing

โบเก็ตโตะ (Boketto) คือศิลปะแห่งการเหม่อมองของคนญี่ปุ่น […]

The post รู้จักโบเก็ตโตะ (Boketto) ศิลปะแห่งการ ‘ไม่ทำอะไร’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
boketto-art-of-mindful-gazing

โบเก็ตโตะ (Boketto) คือศิลปะแห่งการเหม่อมองของคนญี่ปุ่น ที่ไม่มีคำแปลตรงๆ ในภาษาอื่น เพราะมันคือความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งเป็นพิเศษ หัวใจของโบเก็ตโตะ คือการปล่อยสายตาเหม่อมองออกไปไกลๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย ไม่ต้องมีเป้าหมาย ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องตัดสิน แค่ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปกับสิ่งที่ตาเห็น

 

มันคือการอยู่กับ ‘ตอนนี้’ อย่างเต็มที่ โดยไม่ไปคิดถึงเรื่องเมื่อวาน หรือกังวลเรื่องพรุ่งนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบภายในใจ ที่เราเลือกที่จะ ‘วางทุกอย่างลง’ และให้ตัวเองได้พักจากความคิดฟุ้งซ่านมากมายที่วิ่งวนอยู่ในหัว 

 

โบเก็ตโตะไม่ใช่การเหม่อลอยแบบไม่รู้ตัว แต่เป็นการตัดสินใจอย่างมีสติที่จะปลดปล่อยตนเองจากความยุ่งเหยิงในหัว เหมือนกับการกดปุ่ม pause ให้กับจิตใจ แล้วเพลิดเพลินกับความสงบที่เกิดขึ้นนั่นเอง 

 

ทำไมการ ‘ไม่ทำอะไร’ ถึงเจ๋งขนาดนี้

 

จริงๆ แล้วมันแตกต่างจากการฝันกลางวันที่มีเนื้อเรื่อง หรือการเหม่อลอยแบบไม่รู้ตัว เพราะโบเก็ตโตะคือการเลือกที่จะ ‘ปิดสวิตช์’ สมองอย่างมีสติ ลองคิดดูสิ สมองเราก็เหมือนกับมือถือที่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ เวลาเราปล่อยให้มันได้พักจากการประมวลผลข้อมูลอย่างต่อเนื่อง มันจะกลับมาทำงานได้ดีขึ้น คิดสร้างสรรค์ขึ้น และแก้ปัญหาได้เก่งขึ้น

 

Benefits ที่จะได้รับหากลองทำโบเก็ตโตะ

 

ช่วยลด Stress แบบธรรมชาติ เมื่อเราหยุดวิ่งตามความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ระดับความเครียดจะลดลงเองตามธรรมชาติ ร่างกายจะผ่อนคลาย จิตใจจะสงบ แล้วไอเดียเด็ดๆ จะมาเอง เวลาสมองได้พัก จิตใต้สำนึกจะเข้ามาช่วยงาน ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ หรือเจอทางออกของปัญหาที่คิดไม่ออกมานาน มันเหมือนกับการเปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์ได้ทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มสมาธิในระยะยาว ช่วยให้เราสามารถโฟกัสได้ดีขึ้นเมื่อต้องกลับมาทำงานจริงๆ  

 

วิธีฝึกง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

 

ค้นหาจุดมองที่ชิลล์ หาที่ที่เงียบสงบ อาจจะเป็นหน้าต่างที่มองเห็นต้นไม้ หรือมุมโปรดในร้านกาแฟ แค่ 5-10 นาทีก็เพียงพอ ปิดโหมดดิจิทัล วางมือถือลง ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด ให้โลกออนไลน์หยุดหมุนสักครู่ ปล่อยสายตาไปแบบชิลล์ๆ มองออกไปข้างนอก ไม่ต้องจดจ่อกับอะไรเป็นพิเศษ ไม่ต้องคิดอะไร แค่ปล่อยให้ตาเหม่อมองไปตามธรรมชาติ

 

ทำไมคนยุคนี้ถึงต้องการโบเก็ตโตะ

 

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแจ้งเตือน Content ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และความรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างตลอดเวลา การมีช่วงเวลาที่ ‘ไม่ทำอะไร’ อย่างมีสติกลายเป็นเรื่องหายากและมีค่ามาก โบเก็ตโตะเป็นเหมือนการกดปุ่มรีเซ็ตให้กับจิตใจ ช่วยให้เรากลับมาเชื่อมต่อกับตัวเองและโลกรอบตัวได้อีกครั้ง

 

จำไว้ว่าในโลกที่ทุกอย่างเร็วและวุ่นวาย การหยุดปล่อยวางทุกอย่างลงสักครู่ เพื่อเหม่อมองแบบมีสติไม่ใช่การเสียเวลา แต่เป็นการลงทุนกับความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง ลองเริ่มฝึกโบเก็ตโตะกันดูสิ คุณอาจจะแปลกใจกับพลังแห่งการ ‘ไม่ทำอะไร’ และอาจได้ค้นพบว่าการเหม่อมองออกไปเฉยๆ แบบมีสติ สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลให้กับชีวิตธรรมดาๆ ของคุณก็เป็นได้นะ

The post รู้จักโบเก็ตโตะ (Boketto) ศิลปะแห่งการ ‘ไม่ทำอะไร’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
“ผมไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง” Rob Kardashian เผยเหตุผลที่ไม่ออกสื่อและหลีกเลี่ยงการออกงาน https://thestandard.co/rob-kardashian-private-life/ Sun, 20 Jul 2025 05:00:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1098052 rob-kardashian-private-life

Rob Kardashian ลูกชายคนเดียวของ Kris Jenner เปิดใจถึงเบ […]

The post “ผมไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง” Rob Kardashian เผยเหตุผลที่ไม่ออกสื่อและหลีกเลี่ยงการออกงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
rob-kardashian-private-life

Rob Kardashian ลูกชายคนเดียวของ Kris Jenner เปิดใจถึงเบื้องหลังการตัดสินใจใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ โดยไม่ปรากฏตัวในรายการเรียลิตี้ของครอบครัว และไม่ไปออกงานอีเวนต์ ถึงแม้ว่าเหล่าพี่น้องตระกูล Kardashian และ Jenner ของเขาจะได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ทั้งถูกจับตามองทุกฝีก้าวและตกเป็นพาดหัวข่าวอยู่เสมอก็ตาม

 

Rob Kardashian เป็นแขกรับเชิญรายการพอดแคสต์ของพี่สาว Khloé Kardashian และเธอก็ถามถึงเหตุผลที่เขาหยุดออกสื่อ ทั้งที่เมื่อก่อนนี้เขาเคยมีส่วนร่วมในรายการ Keeping Up with the Kardashian อยู่หลายปี ซึ่งก็ทำให้เกิดข่าวลือเรื่องการทะเลาะกันในครอบครัวออกมามากมาย โดยเฉพาะเมื่อเขาคบหาและมีลูกสาวกับ Blac Chyna ผู้ซึ่งขณะนั้นกำลังมีประเด็นดราม่ากับน้องเล็ก Kylie Jenner

 

เขาไขข้อสงสัยว่า “มันเป็นเรื่องของตัวผมเองล้วนๆ และพวกเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อกันเลย”

 

Rob Kardashian อธิบายต่อว่าเขาไม่อยากมีส่วนร่วมกับรายการ เพราะเขาไม่อยากถูกเหล่าทีมงานตามถ่ายทำชีวิตส่วนตัวซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัด และการถ่ายทำรายการเรียลิตี้ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน

 

“คือผมไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง แล้วทำไมผมถึงจะอยากออกกล้อง และแสดงให้คนอื่นได้เห็นถึงความเปราะบางของผม นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำ ผมจะไม่ออกสื่อถ้าหากผมไม่สบายใจกับตัวเอง แล้วผมก็ไม่สบายใจกับตัวเองมาหลายปีแล้ว”

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Rob Kardashian เผยว่าเขาเลือกความสุขและความสงบของตัวเองมากกว่าถ่ายทำชีวิตให้คนอื่นดู แต่เขาก็ไม่ได้ปิดกั้นโอกาสในการกลับมาปรากฏตัวในรายการเรียลิตี้ เขาเผยว่า “ผมชอบการถ่ายทำนะถ้ามันเป็นไปในทางบวกและเป็นธรรมชาติ และผมรู้สึกดีกับตัวเอง ผมชอบการใช้เวลากับครอบครัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการทำรายการก็คงดีสำหรับผมด้วย ผมไม่ได้ต่อต้านมัน แต่แค่ว่าผมเป็นคนติดบ้าน และผมเลือกความสงบสุขของตัวเองมากกว่า”

 

ภาพ: Gabe Ginsberg / Getty Images

อ้างอิง:

The post “ผมไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง” Rob Kardashian เผยเหตุผลที่ไม่ออกสื่อและหลีกเลี่ยงการออกงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปรัชญาการใช้ชีวิตแบบ Blue Zone เคล็ดลับสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข https://thestandard.co/life/blue-zone-life-secrets/ Wed, 11 Jun 2025 01:18:56 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1083826 blue-zone-life-secrets

ในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างแสวงหาวิถีชีวิตที่ดีขึ้นเพื […]

The post ปรัชญาการใช้ชีวิตแบบ Blue Zone เคล็ดลับสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข appeared first on THE STANDARD.

]]>
blue-zone-life-secrets

ในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างแสวงหาวิถีชีวิตที่ดีขึ้นเพื่ออายุที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี ‘Blue Zone’ หรือโซนสีน้ำเงิน กลายเป็นแนวคิดที่น่าสนใจสุดๆ โดย Blue Zone คือพื้นที่ 5 แห่งบนโลกที่ได้รับการระบุว่ามีประชากรที่มีอายุยืนยาวกว่าปกติและมีอัตราการเกิดโรคเรื้อรังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ พื้นที่เหล่านี้ ได้แก่ โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น, ซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี, นิโคยา ประเทศคอสตาริกา, อิคาเรีย ประเทศกรีซ และโลมาลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

 

Dan Buettner นักสำรวจและนักเขียนของ National Geographic เป็นผู้ริเริ่มโครงการสำรวจและวิจัย Blue Zone มากว่า 20 ปี โดยเขาร่วมกับทีมงานนักประชากรศาสตร์ นักระบาดวิทยา และนักมานุษยวิทยา เพื่อค้นหาปัจจัยร่วมที่ทำให้ผู้คนในพื้นที่เหล่านี้มีอายุยืนยาวและมีความสุข จากการวิจัยที่เชื่อถือได้มีการสรุป ‘Power 9’ หรือหลักปฏิบัติ 9 ประการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาการใช้ชีวิตแบบ Blue Zone เอาไว้ ถ้าอยากรู้ว่าอะไรบ้างไปอ่านกันเลย 



9 หลักปฏิบัติสู่ชีวิตยืนยาวและเปี่ยมสุขแบบ Blue Zone

 

  1. เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ (Move Naturally) ผู้คนใน Blue Zone ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างหนักในยิมหรือวิ่งมาราธอน แต่พวกเขาใช้การเคลื่อนไหวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เช่น การเดินไปไหนมาไหน การทำสวน การทำงานบ้าน หรือการยืดเหยียดร่างกายประจำ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง ช่วยรักษาสมรรถภาพทางกายและลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ

  2. มีจุดมุ่งหมายในชีวิต (Purpose) การมีเหตุผลในการตื่นนอนทุกวันเป็นสิ่งสำคัญ ชาวโอกินาวาเรียกว่า ‘อิคิไก’ (Ikigai) ส่วนชาวนิโคยาเรียกว่า ‘ปลาณเดวิดา’ (Plan de Vida) ซึ่งล้วนหมายถึง ‘เหตุผลในการตื่นนอนตอนเช้า’ การมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนนี้ไม่เพียงให้แรงบันดาลใจ แต่ยังช่วยเพิ่มอายุขัยได้ถึง 7 ปี และลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมอง

  3. ลดความเครียด (Downshift) ความเครียดเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังมากมาย ผู้คนใน Blue Zone มีกิจวัตรประจำวันเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น การสวดมนต์ การงีบหลับ หรือการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง การจัดการความเครียดอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการอักเสบในร่างกายและส่งเสริมสุขภาพที่ดี

  4. ใช้กฎ 80% Rule – Hara Hachi Bu ชาวโอกินาวายึดถือปรัชญา ‘ฮาราฮาจิบุ’ (Hara Hachi Bu) ซึ่งเป็นการบอกตัวเองให้หยุดกินเมื่อรู้สึกอิ่มประมาณ 80% การไม่กินจนอิ่มเกินไปช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงของโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่างๆ นอกจากนี้ผู้คนใน Blue Zone มักจะกินอาหารมื้อเล็กที่สุดในช่วงบ่ายแก่ๆ หรือช่วงเย็น และจะไม่กินอะไรอีกจนกว่าจะถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

  5. เน้นพืชเป็นหลัก (Plant Slant) อาหารหลักของผู้คนใน Blue Zone ส่วนใหญ่เป็นพืชผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และพืชตระกูลถั่ว พวกเขาจะกินเนื้อสัตว์น้อยมากๆ หรือโดยเฉลี่ยเพียง 5 ครั้งต่อเดือน เน้นการกินอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง

  6. ดื่มไวน์ในปริมาณที่พอเหมาะ (Wine @5) ในบางพื้นที่ของ Blue Zone (ยกเว้นชาว Seventh-Day Adventist ในโลมาลินดา) มีการบริโภคไวน์แดงในปริมาณปานกลาง โดยมักจะดื่มพร้อมกับอาหารและเพื่อนฝูง ซึ่งมีการวิจัยที่ชี้ว่าการดื่มไวน์ในปริมาณที่เหมาะสมอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจได้

  7. เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (Belong) ผู้คนที่มีอายุยืนยาวส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของชุมชนที่ยึดถือความเชื่อหรือศาสนา การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาหรือชุมชนเป็นประจำช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นได้ถึง 14 ปี การมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มสังคมเป็นสิ่งสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์

  8. ให้ความสำคัญกับครอบครัว (Loved Ones First) ผู้สูงอายุใน Blue Zone ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก การดูแลพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ในบ้าน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ชีวิต และการใช้เวลาคุณภาพกับลูกๆ หลานๆ ด้วยความรัก  ล้วนส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจ ทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญในการมีอายุยืนยาว

  9. เลือกกลุ่มเพื่อนที่เหมาะสม (Right Tribe) การมีกลุ่มเพื่อนที่สนับสนุนพฤติกรรมสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ ชาวโอกินาวามี ‘โมอาย’ (Moais) ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อน 5 คนที่ช่วยเหลือและสนับสนุนกันตลอดชีวิต จากการศึกษาพบว่า พฤติกรรมต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ โรคอ้วน ความสุข หรือแม้แต่ความเหงา สามารถติดต่อกันได้ในหมู่เพื่อนฝูง การเลือกคบเพื่อนที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการมีชีวิตที่ยืนยาว

 

จะเห็นว่าปรัชญาการใช้ชีวิตแบบ Blue Zone ไม่ได้เป็นเพียงแค่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินหรือการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการบูรณาการวิถีชีวิตแบบองค์รวมที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางสังคม การมีจุดมุ่งหมายในชีวิต การจัดการความเครียด และการเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ 

 

การนำหลักปฏิบัติทั้ง 9 ประการนี้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินมากขึ้น การกินอาหารที่เน้นพืชผัก การใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง หรือการค้นหาจุดมุ่งหมายในชีวิต ล้วนเป็นก้าวสำคัญสู่การมีชีวิตที่ยืนยาว มีสุขภาพดี และเปี่ยมด้วยความสุขเช่นเดียวกับผู้คนใน Blue Zone ทั่วโลก

The post ปรัชญาการใช้ชีวิตแบบ Blue Zone เคล็ดลับสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข appeared first on THE STANDARD.

]]>
Soft Life Movement ใช้ชีวิตแบบ ‘ใจดีกับตัวเองก่อน’ https://thestandard.co/life/soft-life-movement/ Sat, 24 May 2025 05:30:54 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1077792

เคยไหม อยู่เฉยๆ แล้วรู้สึกผิด รู้สึกเหมือนตัวเองต้องทำอ […]

The post Soft Life Movement ใช้ชีวิตแบบ ‘ใจดีกับตัวเองก่อน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เคยไหม อยู่เฉยๆ แล้วรู้สึกผิด รู้สึกเหมือนตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างตลอดเวลา เพราะถ้าไม่รีบก้าวจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ถ้ามันไม่ใช่แค่คุณล่ะ ถ้ามันคือทั้งรุ่นที่เริ่มอิ่มตัวกับการแข่งขัน และอยากเปลี่ยนคำว่า ‘ต้องสำเร็จ’ เป็น ‘ขออยู่ให้สบายใจก่อน’ นี่แหละคือ Soft Life Movement ชีวิตที่ไม่ต้องแข็ง ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องรีบ แต่ ‘ต้องใจดีกับตัวเองให้ได้ก่อน’

 

ชีวิตแบบ Soft ไม่ใช่ชีวิตแบบไม่เอาอะไรเลย

หลายคนเข้าใจผิดว่าการใช้ชีวิตแบบ Soft Life คือการหยุดวิ่งหรือปฏิเสธความทะเยอทะยาน แต่จริงๆ แล้วมันคือการกลับไปฟังจังหวะภายในตัวเองอีกครั้ง แล้วเลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับความรู้สึก ไม่ใช่ความกดดันจากภายนอก เราอาจยังมีเป้าหมาย มีแพสชัน มีงานที่ต้องรับผิดชอบเหมือนเดิม แต่เราเริ่มตั้งคำถามใหม่ว่า เราจะไปถึงตรงนั้นด้วยวิธีที่ ‘ปลอดภัยกับใจเรา’ ได้ไหม

 

เหนื่อยจนชา ไม่ใช่เครื่องหมายของความเก่งอีกต่อไป

หลังจากผ่านยุคของ Hustle Culture ที่ทำให้เราชินกับคำว่า ‘พักไว้ก่อน เดี๋ยวสำเร็จแล้วค่อยหายใจ’ คนจำนวนมากเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า ความสำเร็จที่แลกมากับการหมดไฟ ความเครียดเรื้อรัง หรือร่างกายพัง มันคุ้มค่าจริงๆ หรือเปล่า Soft Life ไม่ใช่ข้ออ้างของคนขี้เกียจ แต่มันคือทางเลือกของคนที่ตระหนักว่า ความสุขไม่ควรถูกผูกไว้กับ Productivity อย่างเดียว

 

Rest ไม่ได้แปลว่าหยุด แต่คือการตั้งค่าใหม่ให้ใจได้หายใจ

หนึ่งในหัวใจของ Soft Life คือการให้ ‘การพัก’ มีสถานะเท่ากับ ‘การทำ’ เพราะเมื่อเราพักแบบรู้ตัว เราไม่ได้แค่ชาร์จพลัง แต่เรากำลังส่งสัญญาณให้ระบบประสาทรู้ว่าเราปลอดภัย ไม่ต้องระแวง ไม่ต้องวิ่งหนีอะไร Soft Life จึงไม่ใช่แค่คำสวยๆ แต่คือกระบวนการ Healing ที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ถ้าเราให้พื้นที่กับความสงบ

 

Boundaries คือของจำเป็น ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย

การใช้ชีวิตแบบอ่อนโยนต้องมาพร้อมการรู้ว่า ‘ขอบเขต’ ของเราคืออะไร การปฏิเสธงานที่เกินแรง การไม่ตอบข้อความดึกดื่น การเลือกคนที่ทำให้เราไม่ต้องระวังตัวมากเกินไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความเย็นชา แต่คือความอ่อนโยนที่จริงใจที่สุดที่เรามอบให้ตัวเอง เมื่อเราไม่ใช้พลังงานไปกับการอดทนเกินจำเป็น เราจะมีพลังงานเหลือพอให้กับสิ่งที่เรารักอย่างแท้จริง

Soft Life ไม่ได้แปลว่าใช้ชีวิตช้า แต่คือเลือกเดินตามจังหวะที่ใจไหว

บางคนอาจตื่นเช้า บางคนอาจทำงานกลางคืน บางคนอาจชอบงานที่ท้าทาย บางคนอาจหลงรักงานที่เรียบง่าย ไม่มีสูตรเดียวสำหรับชีวิตที่ดี แต่สิ่งที่ Soft Life พยายามจะบอกเราคือ ทุกคนมีจังหวะของตัวเอง และมันโอเคถ้าเราจะเดินช้ากว่าคนอื่น ตราบใดที่ใจเรายังเดินอยู่กับเรา

 

The post Soft Life Movement ใช้ชีวิตแบบ ‘ใจดีกับตัวเองก่อน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิธีคิดของคนดังในวันที่ ‘โลกก็ไม่ใจดีกับพวกเขา’ https://thestandard.co/life/celebrity-mindset-in-hard-times/ Sun, 18 May 2025 06:00:18 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1075366 วิธีคิดของคนดังในวันที่เจ็บปวด เปลี่ยนแผลใจให้เป็นพลังบวก

ทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่ไม่โอเค รวมถึงเหล่าคนดังที่เราเห็ […]

The post วิธีคิดของคนดังในวันที่ ‘โลกก็ไม่ใจดีกับพวกเขา’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิธีคิดของคนดังในวันที่เจ็บปวด เปลี่ยนแผลใจให้เป็นพลังบวก

ทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่ไม่โอเค รวมถึงเหล่าคนดังที่เราเห็นว่าสวย หล่อ ประสบความสำเร็จบนเวทีโลก พวกเขาเองก็เคยล้ม เคยเสียใจ ถูกเหยียดหยาม และเคยผ่านจุดที่ไม่อยากลุกขึ้นมาใช้ชีวิต แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “พวกเขาคิดกับตัวเองอย่างไรในวันที่ใจไม่ไหว” บทความนี้รวบรวม 10 มายด์เซ็ตจากคนดังระดับโลก ที่ไม่เพียงแค่รอดพ้นจากภาวะยากลำบากทางใจ แต่ยังเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังบวกที่ลึกซึ้งและจริงจากข้างในได้เป็นอย่างดี 

 

Gigi Hadid

  • ในวงการที่เต็มไปด้วยภาพลักษณ์ เธอพูดถึงการต่อสู้กับความคาดหวังและการเรียนรู้ที่จะรักตัวเองในจุดที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีเสียงปรบมือ แต่นั่นคือการบำบัดที่แท้จริง รักตัวเองแม้ในมุมที่ไม่มีใครให้เครดิต

Kylie Jenner

  • แม้จะมีชื่อเสียงระดับโลกตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เธอกลับยอมรับว่าเธอเคยรู้สึกไม่มั่นใจในรูปลักษณ์และคุณค่าในตัวเอง การเดินทางผ่านความไม่พอใจและเสียงวิจารณ์กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างมายด์เซ็ต “ฉันโอเคกับตัวเองในแบบที่เป็น”

 

Lindsay Lohan

  • หลังจากผ่านปัญหาชีวิตทั้งด้านสุขภาพจิต การติดสารเสพติด และคดีความ เธอไม่ได้พยายามลบอดีต แต่เลือกที่จะยอมรับมัน และแสดงความจริงใจว่าเธอกำลังเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง การให้เกียรติตัวเองแม้ในวันที่คนทั้งโลกตัดสิน คือการฟื้นใจที่ลึกที่สุด

 

Selena Gomez

  • เธอเป็นหนึ่งในคนดังที่พูดเรื่องสุขภาพใจอย่างตรงไปตรงมา เธอเคยเข้ารับการบำบัดหลายครั้ง และผ่านภาวะซึมเศร้ามาหลายปี คำพูดนี้คือการบอกทุกคนว่า “ความเปราะบางไม่ใช่จุดจบ” เราทุกคนมีสิทธิ์ในการฟื้นตัว

 

Oprah Winfrey

  • เธอเคยเผชิญกับปมแย่ๆ ในวัยเด็ก การโดนปฏิเสธและการเหยียดหยามจากสังคม แต่เธอเลือกใช้ความเจ็บปวดเป็นบทเรียน ไม่ใช่เป็นตราบาป คำพูดนี้ยืนยันว่าแผลใจสามารถกลายเป็นครูที่ดีที่สุดได้ หากเราเปิดใจรับรู้มันอย่างซื่อสัตย์

 

Harry Styles

  • เขาพูดถึงความซื่อตรงกับอารมณ์ตัวเอง เขาไม่เชื่อว่าต้องแสร้งยิ้มหรือพยายามทำให้สดใสเสมอ เพราะการดูแลใจคือการยอมให้ตัวเองรู้สึกอย่างที่รู้สึก โดยไม่ต้องปฏิเสธมัน

 

Lady Gaga

  • เธอคือหนึ่งในเสียงที่กล้าพูดถึงสุขภาพจิตแบบตรงไปตรงมาที่สุด เธอไม่เพียงแต่ยอมรับว่าเธอมีภาวะซึมเศร้า แต่ยังบอกอย่างกล้าหาญว่า “การใช้ยาเพื่อรักษาไม่ใช่ความล้มเหลว” แต่มันคือการดูแลตัวเองอย่างมีความรับผิดชอบ

Zoë Kravitz

  • คำพูดที่เรียบง่ายแต่หนักแน่น เธอพูดถึงความจริงที่ว่าเราไม่จำเป็นต้อง Productive ตลอดเวลา การมีชีวิตอยู่ในวันยากๆ อย่างสงบ ก็ถือเป็นการเยียวยาแบบเงียบๆ ที่สำคัญไม่แพ้การบำบัดรูปแบบอื่น

Keanu Reeves

  • เขาพูดถึงความเศร้าและการสูญเสียอย่างอ่อนโยน เขาไม่พยายามแสร้งว่าความเจ็บปวดจะหายไป แต่เลือกอยู่กับมัน เรียนรู้มัน และเติบโตไปพร้อมกัน การเข้าใจว่า “ไม่ต้องเร่งหาย” คือการให้เกียรติตัวเองที่สุดแล้ว

 

Bella Hadid

  • เบลล่าพูดถึงภาวะซึมเศร้าและความเหนื่อยล้าทางใจของตัวเองว่า ไม่ใช่ทุกครั้งที่ต้องฮึดลุกขึ้น บางครั้งแค่ยอมให้ความเศร้าได้อยู่ในพื้นที่ของมันบ้าง ก็เป็นการดูแลตัวเองที่กล้าหาญมากแล้ว

 

ภาพ: Gigi Hadid / Instagram

อ้างอิง:

  • The Oprah Winfrey Show, Kylie Jenner (Harper’s Bazaar, 2020), Lindsay Lohan (Vanity Fair, 2012), Selena Gomez (American Music Awards, 2016), Gigi Hadid (Twitter Post, 2020), Harry Styles (interview with Rolling Stone, 2019), Lady Gaga (Vogue, 2018), Zoë Kravitz (Elle, 2022), Keanu Reeves (Parade Magazine, 2006), Bella Hadid (Interview Magazine, 2022)

The post วิธีคิดของคนดังในวันที่ ‘โลกก็ไม่ใจดีกับพวกเขา’ appeared first on THE STANDARD.

]]>