วันนี้ (17 พฤษภาคม) ที่ทำการพรรคก้าวไกล ธัญวัจน์ กมลวงศ […]
The post ร้องก้าวไกล กลาโหมยังกำหนด ‘โรคกะเทย’ เป็นโรคต้องห้ามเป็นพนักงานราชการ ขอหยุดเลือกปฏิบัติ appeared first on THE STANDARD.
]]>วันนี้ (17 พฤษภาคม) ที่ทำการพรรคก้าวไกล ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล รับหนังสือร้องเรียนจาก ลฎาภา ณภาศิริ ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งพบว่าการประกาศรับสมัครบุคลากรของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อเป็นพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งพนักงานรวบรวมและเตรียมข้อมูล ยังระบุคุณสมบัติต้องห้ามข้อหนึ่งว่าต้องไม่เป็น โรคกะเทย (Hermaphrodism) แต่ไม่มีการระบุรายละเอียดเพิ่มเติมถึงความหมายของโรคดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติและกีดกันด้วยเหตุแห่งเพศ
ธัญวัจน์กล่าวว่า คุณสมบัติต้องห้ามนี้อ้างอิงมาจากกฎกระทรวงกลาโหมฉบับที่ 74 (พ.ศ. 2540) ที่ระบุถึงโรค สภาพร่างกาย หรือสภาพจิตใจที่ไม่สามารถรับราชการทหารได้ โดยในมุมมองทางการแพทย์ปัจจุบันให้คำนิยาม Hermaphrodism ว่า หมายถึงบุคคลที่มีอวัยวะสืบพันธุ์ของทั้งเพศหญิงและเพศชายอยู่ในตนเอง หรือบุคคลที่บางอวัยวะเป็นเพศชายแต่บางอวัยวะเป็นเพศหญิง หรือมีไม่ชัดเจน ทำให้แพทย์ไม่สามารถตัดสินได้ว่าบุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง อาจกล่าวได้ว่า Hermaphrodism เป็นกลุ่มย่อยหนึ่งที่มีพัฒนาการทางเพศแตกต่างจากเพศชายหรือเพศหญิง และอยู่ภายใต้ร่มของบุคคลอินเตอร์เซ็กซ์ (Intersex)
อย่างไรก็ตาม ธัญวัจน์ย้ำว่า ถึงแม้กลุ่มคนดังกล่าวจะมีเพศทางกายภาพที่แตกต่างจากคนทั่วไปในสังคม แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพในการทำงานตามตำแหน่งที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมประกาศรับสมัครแต่อย่างใด เพราะเป็นพนักงานราชการทั่วไปที่มีหน้าที่รวบรวมและเตรียมข้อมูล ไม่ได้รับราชการทหารที่มีการกำหนดคุณลักษณะทางกายภาพไว้ชัดเจน
ดังนั้น สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมต้องตอบคำถามให้ชัดว่า การประกาศรับสมัครพนักงานราชการทั่วไปโดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการรับสมัครทหารนั้นเหมาะสมหรือไม่ มีความเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการทำงานอย่างไร ถ้าพิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันก็ควรยกเลิกคุณสมบัติข้อนี้ ยกเลิกการเลือกปฏิบัติและการกีดกันด้วยเหตุแห่งเพศไปได้แล้ว โดยตนขอรับเรื่องร้องเรียนนี้ไว้ เพื่อนำไปประสานและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไป
ธัญวัจน์กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากวันนี้เป็นวันสากลเพื่อยุติการเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน คนรักสองเพศ และคนข้ามเพศ (International Day Against Homophobia, Biphobia and Transphobia: IDAHOBIT) Hermaphrodism หรืออินเตอร์เซ็กซ์เป็นกลุ่มคนที่ถูกพูดถึงน้อย และมีอุปสรรคจากการถูกกีดกันและเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศอย่างหนักหน่วง เนื่องจากผู้คนยังขาดความเข้าใจในความหลากหลาย ภายใต้สังคมที่อยู่ในระบบสองเพศมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ตนและคณะทำงานของพรรคก้าวไกลกำลังร่วมมือกับภาคประชาสังคม เดินหน้ายกร่าง พ.ร.บ. การแก้ไขคำนำหน้านามและการระบุเพศฉบับใหม่ เพื่อเตรียมยื่นเข้าสู่สภาอีกครั้งในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ โดยมีหลักการสำคัญคือ การเคารพเจตจำนงในการกำหนดเพศของตนเอง รวมถึงสิทธิของบุคคลอินเตอร์เซ็กซ์ที่จะไม่ถูกแพทย์ตัดสินใจเลือกเพศให้ตั้งแต่กำเนิด
“เพราะเรื่องเพศคือลมหายใจและย่างก้าวในการดำเนินชีวิต เจตจำนงที่ต้องการจะดำรงอยู่ในเพศใดจึงเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” ธัญวัจน์กล่าวทิ้งท้าย
The post ร้องก้าวไกล กลาโหมยังกำหนด ‘โรคกะเทย’ เป็นโรคต้องห้ามเป็นพนักงานราชการ ขอหยุดเลือกปฏิบัติ appeared first on THE STANDARD.
]]>Starbucks กำลังเผชิญกับคดีความแบบกลุ่มในสหรัฐอเมริกาที่ […]
The post ลูกค้า 3 รายในอเมริกาฟ้อง Starbucks! เรียกค่าเสียหาย 175 ล้านบาท อ้างเลือกปฏิบัติ หลังเก็บเงินเพิ่มกับคนแพ้นมวัว appeared first on THE STANDARD.
]]>Starbucks กำลังเผชิญกับคดีความแบบกลุ่มในสหรัฐอเมริกาที่เรียกค่าเสียหายมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 175 ล้านบาท) หลังลูกค้า 3 รายกล่าวหาว่า Starbucks จงใจเลือกปฏิบัติต่อผู้แพ้นมวัว (Lactose Intolerant) ด้วยการเก็บเงินเพิ่มสำหรับเมนูที่เลือกใช้นมทางเลือก
ตัวแทนทางกฎหมายกล่าวหาว่า Starbucks โกยรายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 34,900 ล้านบาท) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการเก็บเงินค่า ‘นมทางเลือก’ ไม่ว่าลูกค้าจะเลือกนมจากพืช (Plant-based) หรือนมแบบไม่มีแล็กโทสก็ตาม
คดีความซึ่งถูกยื่นต่อศาลรัฐบาลกลางแคลิฟอร์เนียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า Starbucks ละเมิดทั้ง พ.ร.บ.ผู้ทุพพลภาพอเมริกัน (The Americans with Disabilities Act) และกฎหมายสิทธิพลเมืองของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Unruh Civil Rights Act) จากการ ‘ตั้งราคาไม่เป็นธรรม’
ตัวแทนโจทย์ยังกล่าวหาว่าการกระทำของ Starbucks เป็น ‘การจงใจและแสดงออกถึงการเพิกเฉยต่อสิทธิของผู้มีภาวะแพ้นมวัว’
โฆษกของ Starbucks ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อคดีความดังกล่าว เนื่องจากอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมาย แต่ได้ออกแถลงการณ์ต่อ Business Insider ว่าลูกค้าสามารถสั่งเมนูร้อน-เย็น อย่างกาแฟหรือชาต่างๆ รวมถึงโคลด์บรูว์และอเมริกาโน พร้อมเติมนมทางเลือกได้ฟรีสูงสุด 4 ออนซ์
นอกจากนี้ สมาชิก Starbucks Rewards ยังสามารถใช้ 25 คะแนนเพื่อเปลี่ยนนมวัวเป็นนมทางเลือกได้ในเครื่องดื่มทุกชนิดที่ไม่มีนมทางเลือกเป็นส่วนผสมพื้นฐานอยู่แล้ว รวมถึงมีตัวเลือกการปรับแต่งเครื่องดื่มตามสั่งโดยจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มหากต้องการนมทางเลือก
คดีนี้ถูกยื่นฟ้องโดยชาวแคลิฟอร์เนีย 3 ราย คือ Maria Bollinger, Dawn Miller และ Shunda Smith ซึ่งทั้งหมดมีภาวะแพ้นมวัวหรือมีอาการแพ้นมวัวรุนแรง พวกเขาให้ข้อมูลว่าได้แวะซื้อเครื่องดื่มจาก Starbucks สาขาต่างๆ ในแคลิฟอร์เนียมาตั้งแต่ปี 2018
โจทย์เผยว่า ตลอดมาพวกเขาต้องจ่ายเงินเพิ่มราว 50-80 เซนต์ (ประมาณ 17-28 บาท) ต่อเครื่องดื่มทุกแก้วที่ต้องการเปลี่ยนจากนมวัวมาใช้นมทางเลือกอื่น เช่น นมถั่วเหลือง นมโอ๊ต นมมะพร้าว หรือนมอัลมอนด์
Starbucks เก็บเงินเพิ่มแบบเดียวกันสำหรับนมทางเลือกทุกชนิด ‘โดยไม่พิจารณาต้นทุนที่แตกต่างกัน’ ของนมเหล่านี้ ตามข้อกล่าวหาในคดีความ นอกจากนี้ เอกสารของศาลยังระบุว่า Starbucks ‘สร้างเมนูราคาแยกต่างหากและแพงกว่าขึ้นมาโดยเฉพาะ สำหรับลูกค้าที่ไม่สามารถดื่มนมวัวได้’
ราคาเฉลี่ยของกาแฟ Starbucks ในปี 2023 อยู่ที่ 3.25 ดอลลาร์ (ประมาณ 113 บาท) ซึ่งส่วนเพิ่มสำหรับการเลือกใช้นมทางเลือกนั้นสูงได้ถึง 40% ของราคาเครื่องดื่มเลยทีเดียว
อ้างอิง:
The post ลูกค้า 3 รายในอเมริกาฟ้อง Starbucks! เรียกค่าเสียหาย 175 ล้านบาท อ้างเลือกปฏิบัติ หลังเก็บเงินเพิ่มกับคนแพ้นมวัว appeared first on THE STANDARD.
]]>เจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งในจีนปฏิเสธที่จะจ้างชายหนุ่มสองคน […]
The post โรงงานแห่งหนึ่งในจีนจะไม่รับ ‘พนักงานที่มีรอยสัก’ เข้าทำงาน เพราะมองว่าไม่น่านับถือหรือไม่เชื่อฟัง และอาจส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมของบริษัท appeared first on THE STANDARD.
]]>เจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งในจีนปฏิเสธที่จะจ้างชายหนุ่มสองคน อายุ 17 และ 22 ปี เนื่องจากรอยสักของพวกเขา การที่เจ้าของโรงงานกำหนดให้พวกเขาต้องลบรอยสักออกก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำงานที่โรงงานของเธอได้ จุดชนวนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากบนโลกออนไลน์
ชายทั้งสองคนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของกระบวนการจ้างงาน เมื่อเจ้าของโรงงานสังเกตเห็นรอยสัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยสักที่มองเห็นได้ชัดเจนบนแขนของชายคนหนึ่ง ระหว่างการตรวจสอบโรงงานตามปกติ
เจ้าของโรงงานได้แจ้งให้ผู้สมัครทั้งสองทราบทันทีว่า บริษัทมีนโยบายที่เข้มงวดในการไม่จ้างผู้ที่มีรอยสัก โดยไม่คำนึงว่ารอยสักเหล่านั้นจะอยู่ตำแหน่งใดของร่างกาย เธอแสดงความเชื่อว่า รอยสักอาจมีนัยเชิงลบต่อโอกาสในอนาคตของแต่ละคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เจ้าของโรงงานอธิบายจุดยืนไม่รับพนักงานที่มีรอยสักเพิ่มเติม โดยระบุว่า “ในขณะที่ฉันคิดว่าคุณทั้งคู่จริงใจและซื่อสัตย์ แต่การมีรอยสักทำให้รู้สึกว่าไม่น่านับถือหรือไม่เชื่อฟัง” เธอเสริมว่า เธอต้องการให้คนหนุ่มสาวในโรงงานของเธอแสดงออกถึงการมองโลกในแง่ดี มีพลัง และมีความกระตือรือร้น แม้ว่ารอยสักจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่องานของพวกเขา แต่เธอเชื่อว่า รอยสักอาจส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมของบริษัทได้
เจ้าของโรงงานมองว่าบทบาทของบริษัทเธอขยายออกไปนอกเหนือแค่การจัดหางาน เธอมองว่าเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมในการให้การศึกษาและคำแนะนำแก่เยาวชน เธอประกาศความตั้งใจที่จะฟันฝ่าทุกท่าทีที่อาจยั่วยุ โดยระบุว่า เธอจะพยายามให้ความรู้แก่เยาวชน แม้ว่าความคิดเห็นของเธอจะเป็นที่ถกเถียงก็ตาม
เจ้าของโรงงานยังเสนอด้วยว่า จ้างชายสองคนและออกค่าใช้จ่ายในการลบรอยสักหากพวกเขาตกลงที่จะลบรอยสัก โดยชายทั้งสองคนตกลงตามข้อเสนอของเธอ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการสักในประเทศจีนในเดือนมิถุนายน 2022 กฎระเบียบใหม่ถูกนำมาใช้โดยห้ามไม่ให้ช่างสักให้บริการแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สถานีโทรทัศน์ได้รับคำสั่งไม่ให้นักแสดงที่มีรอยสักที่มองเห็นได้ปรากฏตัวบนหน้าจอ และนักฟุตบอลจำเป็นต้องปกปิดรอยสักของตน เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่สาธารณชน
การเลือกปฏิบัติในที่ทำงานเป็นข้อกังวลที่เพิ่มขึ้นในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลกระทบต่อบุคคลที่มีอายุเกิน 35 ปี และผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีบุตร นายจ้างต่างตั้งคำถามถึงความสามารถของบุคคลเหล่านี้ ในการสร้างความสมดุลระหว่างงานและความรับผิดชอบต่อครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ
เหตุการณ์รอยสักดังกล่าวสร้างการถกเถียงต่อผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมาก
“มันเป็นการเลือกปฏิบัติโดยสิ้นเชิง การมีรอยสักแปลว่าคนไม่มีความเป็นมืออาชีพใช่หรือไม่ เรายอมให้เปิดกว้างและยอมรับมากกว่านี้ได้ไหม” ผู้ใช้รายหนึ่งสอบถาม
ผู้ใช้อีกรายระบุประเด็นที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติว่า “เราอยู่ในสังคมที่สนับสนุนความเท่าเทียมกัน และนั่นหมายถึงการปฏิเสธการเลือกปฏิบัติในรูปแบบใดๆ หากเราอนุญาตให้มีการเลือกปฏิบัติต่อรอยสักในวันนี้ พรุ่งนี้อาจเป็นการเลือกปฏิบัติเนื่องจากความสูง รูปร่างหน้าตา สถานภาพการสมรส หรืออายุมากกว่า 35 ปี”
แต่ก็มีผู้ที่เข้าข้างเจ้าของโรงงานเช่นกัน ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าคุณมีอิสระในการสัก ผมก็มีอิสระที่จะเลือกว่าจะจ้างคุณหรือไม่”
เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นความแตกแยกที่ชัดเจนในการรับรู้เกี่ยวกับรอยสักและความหมายของรอยสักของสังคมทั่วไปในแดนมังกร
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์นี้ได้จุดประกายการถกเถียงในวงกว้างเกี่ยวกับการแสดงออกส่วนบุคคล มาตรฐานทางวิชาชีพ และโอกาสในการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน
ภาพ: Yeung Kwan / Pacific Press / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง:
The post โรงงานแห่งหนึ่งในจีนจะไม่รับ ‘พนักงานที่มีรอยสัก’ เข้าทำงาน เพราะมองว่าไม่น่านับถือหรือไม่เชื่อฟัง และอาจส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมของบริษัท appeared first on THE STANDARD.
]]>สายการบิน Cathay Pacific สั่งปลดพนักงานต้อนรับบนเครื่อง […]
The post Cathay Pacific ไล่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินออก หลังล้อเลียนผู้โดยสารที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ appeared first on THE STANDARD.
]]>สายการบิน Cathay Pacific สั่งปลดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินออก 3 คน หลังจากที่มีคลิปเสียงหลุดว่อนสังคมออนไลน์ของจีนว่า พนักงานกลุ่มดังกล่าวได้เลือกปฏิบัติต่อผู้โดยสารที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้
ในคลิปเสียงที่ถูกแชร์สู่โลกออนไลน์ ผู้โดยสารคนหนึ่งได้บันทึกเสียงของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่นินทาผู้โดยสาร และล้อเลียนด้วยว่ามีผู้โดยสารที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งได้ขอ ‘พรม’ แทนที่จะเป็น ‘ผ้าห่ม’ โดยกล่าวว่า “หากคุณไม่สามารถพูดคำว่าผ้าห่มเป็นภาษาอังกฤษได้ ก็ไม่ควรได้ผ้าห่มจากพนักงานไป ส่วนพรมน่ะอยู่ที่พื้น สามารถลงไปนอนบนนั้นได้ตามสบายเลย”
โรนัลด์ แลม (Ronald Lam) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Cathay Pacific กล่าวว่า บริษัทได้เปิดการสอบสวนภายในทันที หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้โดยสารบนเที่ยวบิน CX987 ที่เดินทางระหว่างเมืองเฉิงตู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ไปยังฮ่องกง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และพนักงานกลุ่มนี้ถูกปลดออกเรียบร้อยแล้ว
แลมได้ออกแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบว่า “ผมขอย้ำอีกครั้งว่า Cathay Pacific จะไม่ยอมทนต่อการละเมิดกฎและจริยธรรมขององค์กรอย่างร้ายแรงของพนักงานแต่ละคน และจะไม่อดทนต่อการกระทำเหล่านี้”
กระแสข่าวดังกล่าวได้สร้างความเดือดดาลให้กับสังคมจีนอย่างมาก โดยเมื่อวันอังคาร (23 พฤษภาคม) บัญชี Weibo ของหนังสือพิมพ์ People’s Daily ได้ออกมาประณาม Cathay Pacific ซึ่งเป็นสายการบินสัญชาติฮ่องกงอย่างรุนแรง โดยระบุว่า “ดูเหมือนว่าวัฒนธรรมของ Cathay Pacific จะมีความรู้สึกว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่าผู้อื่น ซึ่งบูชาชาวต่างชาติและเคารพชาวฮ่องกง แต่กลับดูถูกชาวแผ่นดินใหญ่”
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Cathay Pacific ถูกสื่อจีนโจมตีอย่างหนัก เพราะย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 สื่อจีนเคยได้เสนอข่าวโจมตีสายการบินมาแล้ว หลังจากที่พนักงานของ Cathay Pacific ส่วนหนึ่งออกตัวสนับสนุนการประท้วงต่อต้านรัฐบาลจีนในฮ่องกง
ด้าน จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง กล่าววานนี้ (24 พฤษภาคม) ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ถือเป็นเรื่องรุนแรงและไม่ควรเกิดขึ้นอีกในอนาคต
“คำพูดและการกระทำของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทำร้ายความรู้สึกของเพื่อนร่วมชาติในฮ่องกงและแผ่นดินใหญ่ และทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของฮ่องกง รวมถึงค่านิยมในการให้ความเคารพต่อผู้อื่นและความสุภาพ” ลีกล่าว
ปัจจุบัน Cathay Pacific กำลังพยายามฟื้นสถานะการเงินของบริษัท หลังจากที่โดนพิษโควิดอ่วมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2022 ทางสายการบินมียอดขาดทุนอยู่ที่ 6.55 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง
แฟ้มภาพ: Urbanandsport / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง:
The post Cathay Pacific ไล่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินออก หลังล้อเลียนผู้โดยสารที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ appeared first on THE STANDARD.
]]>ศาลเกาหลีใต้ตัดสินรับรองสิทธิคู่รัก LGBTQIAN+ เป็นครั้ง […]
The post ศาลเกาหลีใต้ตัดสินรับรองสิทธิคู่รัก LGBTQIAN+ เป็นครั้งแรก หลังถูกเลือกปฏิบัติจากหน่วยงานรัฐ appeared first on THE STANDARD.
]]>ศาลเกาหลีใต้ตัดสินรับรองสิทธิคู่รัก LGBTQIAN+ เป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ (21 กุมภาพันธ์) หลังถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศจากหน่วยงานของรัฐ นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศในเกาหลีใต้
คำตัดสินดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่โซซึงวุกและคิมยองมิน คู่รัก LGBTQIAN+ ชาวเกาหลีใต้ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาล กรณีหน่วยงานด้านประกันสุขภาพแห่งชาติของเกาหลีใต้ (NHIS) ยุติการคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของคิมยองมิน เมื่อปี 2021 หลังพบว่าเขาเป็นคู่รักกับโซซึงวุก โดยทั้งคู่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน และสมรสกันตั้งแต่ปี 2019 แต่อย่างไรก็ตาม การสมรสของพวกเขายังไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย เนื่องจากเกาหลีใต้ยังไม่ได้ประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมแต่อย่างใด
ทางด้านเรียวมินฮี ทนายความของทั้งคู่เผยว่า คำตัดสินของศาลในกรุงโซลครั้งนี้ นับเป็นการรับรองสถานะทางกฎหมายของคู่รักเพศเดียวกันเป็นครั้งแรกในเกาหลีใต้ แม้ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นจะมีมติเห็นชอบกับการตัดสินใจของ NHIS แต่ศาลสูงในกรุงโซลกลับพลิกคำตัดสิน โดยออกคำสั่งให้หน่วยงานดังกล่าวมอบความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ให้กับคิมยองมินตามเดิม พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ทั้งคู่ควรได้รับการปฏิบัติจากหน่วยงานของรัฐเช่นเดียวกันกับคู่รักต่างเพศคู่อื่นๆ
โดยคิมยองมินระบุว่า วันนี้สิทธิของพวกเราได้รับรองในระบบกฎหมาย นับเป็นชัยชนะของทุกคนที่สนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศในเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม สื่อท้องถิ่นเกาหลีใต้อย่าง Yonhap รายงานว่า ศาลเกาหลีใต้เองก็ยอมรับว่า อาจจะเป็นการยากที่จะผลักดันกฎหมายคู่ชีวิตหรือกฎหมายสมรสเท่าเทียมภายใต้กฎหมายสมรสที่ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่กระนั้นศาลก็ยังเล็งเห็นว่า การเพิกถอนสิทธิความคุ้มครองประกันของคู่รัก LGBTQIAN+ นี้ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของรสนิยมทางเพศ และขัดต่อผลประโยชน์ของรัฐในการประกันสุขภาพให้แก่ประชาชนพลเรือน
ขณะที่โบรัมจังจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เกาหลีใต้ ชี้ว่า แม้เกาหลีใต้จะยังมีหนทางอีกยาวไกลในการยุติการเลือกปฏิบัติ แต่คำตัดสินนี้ได้นำมาซึ่งความหวังที่เชื่อว่า สักวันหนึ่งเราจะเอาชนะต่ออคติเหล่านี้ได้ และจะช่วยปูทางไปสู่การตัดสินของศาลในทุกระดับของเกาหลีใต้ ที่จะคำนึงถึงสิทธิของคู่รัก LGBTQIAN+ ไม่ต่างจากคู่รักคู่อื่นๆ ในสังคมเกาหลี
ภาพ: The Korea Times / Twitter
อ้างอิง:
The post ศาลเกาหลีใต้ตัดสินรับรองสิทธิคู่รัก LGBTQIAN+ เป็นครั้งแรก หลังถูกเลือกปฏิบัติจากหน่วยงานรัฐ appeared first on THE STANDARD.
]]>เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2565 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบ […]
The post คณะกรรมการวิชาการ สธ. เห็นชอบมาตรการรับนักท่องเที่ยวจีน ใช้เพียงเอกสารวัคซีน-ประกันสุขภาพ เตรียมเสนอ 5 ม.ค. ย้ำเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ appeared first on THE STANDARD.
]]>เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2565 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า กรมควบคุมโรคในฐานะเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้จัดประชุมคณะกรรมการด้านวิชาการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยมีวาระสำคัญคือการเตรียมรับสถานการณ์เดินทางที่จะเพิ่มขึ้นจากประเทศจีน ที่มีนโยบายเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นต้นไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 5 ล้านคนในปี 2566 รวมทั้งจะมีผู้เดินทางจากประเทศไทยไปประเทศจีนมากขึ้นด้วย จึงต้องมีการพิจารณามาตรการและเตรียมแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ศ.เกียรติคุณ นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการฯ ได้ให้หลักการในการพิจารณามาตรการ ควรคำนึงถึงหลักการเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ตั้งอยู่บนพื้นฐานด้านวิชาการ ความปลอดภัยสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ที่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงให้มีความสอดคล้องกับมาตรการสำหรับผู้เดินทางเข้าออกของประเทศต่างๆ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการวิชาการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาและประเมินความเสี่ยงโดยใช้ข้อมูลสถานการณ์โรค ข้อมูลการเดินทางระหว่างประเทศ รวมถึงมาตรการของประเทศต่างๆ มีความเห็นร่วมกันว่า ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยสรุปแนวทางและมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด เพื่อเตรียมรับผู้เดินทางจากประเทศจีน ดังนี้
ทั้งนี้ พิจารณามาตรการดังกล่าวอย่างสอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศจีนในการรับผู้เดินทางเข้าประเทศ ที่กำหนดให้มีการตรวจ RT-PCR ก่อนขึ้นเครื่อง 48 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเตรียมการจัดทำแผนรองรับในระยะต่างๆ ให้มีการติดตามประเมินมาตรการที่กำหนดเป็นระยะ ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์รอบด้าน ในขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดให้ตรวจหาเชื้อโควิดในผู้เดินทางจากประเทศจีน สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของ European CDC แต่หากมีข้อมูลการเฝ้าระวังสายพันธุ์หรือสถานการณ์ระบาดที่เปลี่ยนแปลง จะพิจารณาความจำเป็นของการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยอีกครั้ง
นพ.ธเรศยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลของการประชุมเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่ได้รับข้อมูลและข้อคิดเห็นที่มีคุณค่าจากอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาอย่างรอบคอบ คำนึงถึงทุกมิติ และจะได้นำเสนอต่อผู้บริหารในระดับกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมรับผู้เดินทางจากประเทศจีนในวันที่ 5 มกราคม 2566 นี้ เพื่อกำหนดเป็นมาตรการของประเทศร่วมกันต่อไป
The post คณะกรรมการวิชาการ สธ. เห็นชอบมาตรการรับนักท่องเที่ยวจีน ใช้เพียงเอกสารวัคซีน-ประกันสุขภาพ เตรียมเสนอ 5 ม.ค. ย้ำเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ appeared first on THE STANDARD.
]]>วันนี้ (21 สิงหาคม) ธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณ […]
The post ราชทัณฑ์เผย อาการป่วยโควิด ‘เพนกวิน-ฟ้า-นิว-แซม’ ยังปกติ ยืนยัน ดูแลผู้ต้องขังทุกคนเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ appeared first on THE STANDARD.
]]>วันนี้ (21 สิงหาคม) ธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ขอรายงานสถานการณ์และการควบคุมดูแลตัวผู้ต้องขังที่เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้
ขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ติดเชื้อโควิดที่ถูกส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ จำนวน 4 คน ประกอบด้วย ฟ้า-พรหมศร วีระธรรมจารี, เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์, นิว-สิริชัย นาถึง และ แซม สาแมท โดยแพทย์ประจำทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้เข้าตรวจร่างกาย พบว่า พริษฐ์รู้สึกตัวดี พูดคุยรู้เรื่อง เดินเอง ช่วยเหลือตนเอง และเข้าห้องน้ำเองได้ ไม่มีไข้ ไม่มีหอบเหนื่อย อาการไอลดลง นอนหลับได้ปกติ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ แพทย์ให้การรักษาตามอาการร่วมกับยาพ่นโรคประจำตัว
ในส่วนของสิริชัยรู้สึกตัวดี ช่วยเหลือตัวเองได้ หายใจปกติ ไม่มีอาการหอบเหนื่อย สามารถนอนหลับได้ รับประทานอาหารได้น้อย ขับถ่ายปกติ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ
พรหมศรรู้สึกตัวดี ช่วยเหลือตัวเองได้ หายใจปกติ ไม่มีหอบเหนื่อย ไม่มีไข้ ปวดศีรษะ ไอมีเสมหะ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ
และแซมรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง ช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งหมด ไม่มีหายใจหอบเหนื่อย ไม่มีไข้ ไม่ไอ รับประทานอาหารได้ ขับถ่ายปกติ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยทั้ง 4 ราย แพทย์ให้การรักษาด้วยยาตามแนวทางของกรมควบคุมโรค
ธวัชชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบันทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่มีคุณภาพ พร้อมด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามมาตรฐานสาธารณสุข โดยกรมราชทัณฑ์ได้ให้ความสำคัญต่อการดูแลด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล เพื่อให้เกิดผลดีแก่ผู้ต้องขังทุกคนอย่างเต็มที่ ให้ได้รับความเท่าเทียม เสมอภาค และไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด โดยให้การดูแลรักษาเป็นไปตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป
The post ราชทัณฑ์เผย อาการป่วยโควิด ‘เพนกวิน-ฟ้า-นิว-แซม’ ยังปกติ ยืนยัน ดูแลผู้ต้องขังทุกคนเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ appeared first on THE STANDARD.
]]>เพื่อนเล่าให้คุณฟังว่ามีข่าวแพทย์ไม่รับรักษาผู้ป่วยโควิ […]
The post แพทย์ไม่ควรเลือกปฏิบัติในการรักษาด้วยเหตุผลทางการเมือง appeared first on THE STANDARD.
]]>เพื่อนเล่าให้คุณฟังว่ามีข่าวแพทย์ไม่รับรักษาผู้ป่วยโควิดรายหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเตียงเต็ม แต่เป็นเพราะในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ผู้ป่วยรายนั้นลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองคนละพรรคกับแพทย์ที่ตรวจรักษา “ฮะ! เธอเชื่อเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไง” คุณรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นข่าวปลอม เป็นไปไม่ได้ที่แพทย์จะเลือกปฏิบัติกับผู้ป่วยเช่นนี้
“ถ้าเธอไม่เชื่อก็ลองไปเสิร์ชใน Facebook ดูได้” เพื่อนของคุณยืนยัน คุณจึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชตามที่เพื่อนบอก แต่คุณเข้าเว็บไซต์ Google แล้วพิมพ์คำว่า ‘สิทธิผู้ป่วย’
“นี่ไง” คุณหันหน้าจอไปทางเพื่อนแล้วอ่านข้อแรกของคำประกาศสิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย ลงวันที่ 12 สิงหาคม 2558 ว่า “1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานท่ีจะได้รับการรักษาพยาบาลและการดูแลด้านสุขภาพตามมาตรฐานวิชาชีพจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ”
“ทำไมถึงไม่เสิร์ชหาข่าวที่ว่า” เพื่อนของคุณขมวดคิ้ว
“หมอจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ป่วยลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองไหน” คุณแย้ง “น่าจะเป็นเพราะเตียงเต็มมากกว่า ตอนนี้เขาให้ผู้ป่วยสีเขียว Home Isolation ที่บ้านได้แล้ว”
ถ้าเป็นแพทย์จริง เขาก็ต้องเคารพสิทธิผู้ป่วย คุณลองเปลี่ยนคำค้นหาใหม่เป็น ‘แพทยสภา จริยธรรม’ แล้วข้อบังคับฯ จริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2559 ก็ขึ้นมา
“อันนี้เป็นฝั่งหมอบ้าง” คุณหันหน้าจอไปทางเดิม พร้อมกับอ่านว่า “ข้อ 7 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมย่อมประกอบวิชาชีพด้วยเจตนาดี โดยไม่คํานึงถึงฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม หรือลัทธิการเมือง” คุณอ่านคำสุดท้ายซ้ำอีกรอบ ถ้าเป็นแพทย์จริง เขาก็ต้องไม่เอา ‘ลัทธิการเมือง’ เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงหวังว่าเรื่องเพื่อนที่เล่ามาจะไม่ใช่เรื่องจริง
. . .
ตัวละครทั้งหมดเป็นเรื่องสมมตินะครับ แต่เอกสารทั้ง 2 ชิ้นมีอยู่จริง โดย ‘คำประกาศสิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย’ เดิมมีเฉพาะ ‘สิทธิของผู้ป่วย’ (พ.ศ. 2541) แต่ใจความสำคัญไม่แตกต่างกัน ถึงแม้จะรัฐธรรมนูญจะเปลี่ยนไปหลายฉบับ ส่วนจริยธรรมของแพทยสภาข้อ 7 ก็เป็นเนื้อความเดียวกับข้อ 3 ในข้อบังคับฯ ฉบับแรก (พ.ศ. 2526)
ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย แพทย์ซึ่งสวมหมวก 2 ใบ ใบแรกคือประชาชนทั่วไป ย่อมมีสิทธิในการแสดงความเห็นทางการเมือง หรือพูดให้ตรงกว่านั้นคือ ‘เลือกข้าง’ ได้ แต่สำหรับใบที่ 2 คือวิชาชีพแพทย์ ในขณะที่รักษาผู้ป่วย แพทย์ต้อง ‘เป็นกลาง’ ทางการเมือง ในความหมายว่า ‘ไม่เลือกปฏิบัติ’ กล่าวคือ
‘ไม่’ เลือกรักษาผู้ป่วยคนนี้เพราะเขามีความเห็นทางการเมืองตรงกัน หรือเลือกปฏิเสธที่จะรักษาผู้ป่วยคนนั้นเพราะเขาคิดเห็นทางการเมืองต่างออกไป เลือกฝั่งรัฐบาล-ฝ่ายค้าน หรือแม้แต่ตีตราผู้ป่วยกับความถูก-ผิดกฎหมาย เพราะขัดกับหลักมนุษยธรรม เพื่อคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือขัดความตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
. . .
“นี่ไง! เจอแล้ว” เพื่อนของคุณหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชบ้างแล้วหันจอมาทางคุณ “หมอบอกว่าเขาจะไม่รับรักษาถ้าผู้ป่วยการ์ดตกเอง” ไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ล้างมือ ไม่เว้นระยะห่าง ไม่วัดอุณหภูมิ ไม่สแกนไทยชนะก่อนเข้า-ออกสถานที่ต่างๆ ตามที่ ศบค. ประกาศอยู่ทุกวัน “ยิ่งถ้ายังรวมตัวกันเกิน 5 คน ถือว่าฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จะยิ่งไม่รับเลย”
“ก็ถูกแล้วนี่” คุณบอก
คุณป้องกันตัวเองเต็มที่ สวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้าน สวม 2 ชั้นเพื่อความปลอดภัย พกเจลแอลกอฮอล์ตลอด ไม่ใช้มือกดลิฟต์ แต่ถ้าเผลอไปแล้วต้องรีบล้างมือ ขับรถส่วนตัวไปทำงาน เพราะรถสาธารณะเว้นระยะห่างไม่ได้ ให้ความร่วมมือวัดอุณหภูมิและสแกนไทยชนะ “คนที่ยกการ์ดสูงแล้วติดเชื้อ ควรจะได้รับการรักษาก่อน”
“ถ้าการ์ดไม่ตก แล้วจะติดได้ยังไง” เพื่อนของคุณแย้ง
“เชื้อมันแพร่ทางอากาศ” คุณตอบ “สายพันธุ์ใหม่ก็แพร่ได้ง่ายกว่าเดิม ถ้าติดขึ้นมาก็อย่าซ้ำเติมกันเลย”
“แต่ก็ไม่ควรสมน้ำหน้า”
“ไม่สงสารพวกหมอ พยาบาลบ้างหรอ” คุณไม่ยอมแพ้ “พวกเขาทำงานหนักมาก ตอนนี้คนป่วยกันเยอะ เราต้องดูแลตัวเองให้ดีไม่ให้เป็นภาระ” ยิ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่ไม่พอ เตียงเต็ม ICU เต็ม ถ้าพวกเขาเลือกได้ คงเลือกรักษาคนที่ตั้งใจดีมากกว่าคนที่คิดร้ายกับพวกเขามากกว่า “ระหว่างตำรวจกับคนร้ายโดนยิงมา เธอคิดว่าเขาจะช่วยใคร”
. . .
ก่อนที่ตัวละครทั้งสองจะเปิดประเด็นใหม่ ผมขอคั่นตรงนี้ก่อนว่า โดยปกติแล้วการจัดคิวในโรงพยาบาลจะมี 2 แบบคือ แบบห้องฉุกเฉิน (ER) กับแบบห้องตรวจผู้ป่วยนอก (OPD) สำหรับ ER เรียงคิวผู้ป่วยตาม ‘ความรุนแรง’ เหมือนที่มีการแบ่งผู้ติดเชื้อโควิดออกเป็นสี ผู้ป่วยสีแดงหอบเหนื่อยหายใจลำบากต้องได้รับการดูแลก่อนสีอื่น
ในขณะที่ OPD เป็นผู้ป่วยที่ไม่ฉุกเฉิน รอตรวจได้ก็จะเรียงคิวตามการมาก่อน-หลัง หรือผู้ป่วยนัดก็อาจได้รับการตรวจก่อน สถานการณ์โควิดในขณะนี้เป็นแบบ ER การช่วยเหลือตำรวจกับโจรผู้ร้ายก็ต้องประเมินความรุนแรงของอาการก่อน ใครป่วยมากกว่าก็ต้องช่วยคนนั้น ยกเว้นมีแพทย์ พยาบาลเพียงพอ ก็ตรวจรักษาไปพร้อมกันได้
นอกจากนี้ยังมีการจัดคิวอีกแบบในอุบัติภัยหมู่ มีผู้ป่วยจำนวนมาก แต่ทรัพยากรไม่พอ ผู้ป่วยที่มีอาการหนักมาก ไม่สามารถช่วยให้รอดชีวิตได้ คือระดับมากกว่าสีแดง แต่ยังไม่ใช่สีดำ ก็อาจต้องจัดให้เป็นสีดำไปเลย เพื่อนำทรัพยากรไปช่วยคนที่มีโอกาสรอดชีวิต อ่านถึงตรงนี้แล้วบางท่านน่าจะกำลังนึกถึงข่าวผู้ป่วยโควิดหลายรายเสียชีวิตที่บ้าน
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าโดยหลักการแพทย์ไม่ได้ใช้ ‘…ฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม หรือลัทธิการเมือง…’ เป็นเกณฑ์ในการจัดคิวผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำแต่อย่างใด ยกเว้นแผนกที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น ห้องตรวจพิเศษ โรงพยาบาลเอกชน อาจมีฐานะหรือสังคมที่ทำให้การเข้าถึงบริการต่างกัน
. . .
“ทำไมถึงเปรียบเทียบคนป่วยกับคนร้ายล่ะ” เพื่อนคุณสงสัย
“คนป่วยที่ไม่รู้จักป้องกันตัวเองไม่ต่างจากคนร้าย” คุณตอบทันที “พอถูกตำรวจจับได้ก็กล่าวหาว่าตำรวจกลั่นแกล้ง ตัวเองทำตัวเอง จะไม่ให้ตำรวจจับได้ยังไง” พวกที่ออกมาชุมนุมเกิน 5 คนก็เหมือนกัน ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ถ้าโรคระบาดขึ้นมา จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 2 หมื่น จะโทษรัฐบาลอีกไหมว่าควบคุมโรคไม่ได้
“ทำตัวเอง” คุณย้ำ
“กลับมาที่คนป่วยก่อน” เพื่อนยังติดใจ “เธอคิดว่าเขาอยากป่วยหรอ” เขาไม่อยากไม่ป้องกันตัวเองหรอก “แต่ลองคิดดูว่าบางคนจะเอาหน้ากากมาจากไหน ซื้อเจลแอลกอฮอล์ได้หรือเปล่า ขึ้นรถเมล์ไปทำงาน เว้นระยะห่างไม่ได้เลย ทำงานในตลาด โรงงาน พักอยู่ในชุมชนแออัด แคมป์ก่อสร้าง ล่าสุดที่ตายแล้วไม่มีใครเก็บศพก็เป็นคนไร้บ้าน
คุณนึกเถียง แต่ยังปล่อยให้เพื่อนพูดต่อ
“ทำตัวเอง
หรือว่าทำเต็มที่ในแบบของเขาแล้ว”
. . .
ผมไม่มีข้อมูลว่าปัญหาที่ตัวละคร ‘เพื่อนของคุณ’ ยกขึ้นมามีจำนวนมาก-น้อยเท่าไร ทั้งความขาดแคลนหน้ากากอนามัยหรือเจลแอลกอฮอล์ อาชีพที่ไม่สามารถทำงานที่บ้าน (WFH) ได้ และความแออัดของที่พักอาศัย เมื่อมีสมาชิกคนหนึ่งติดเชื้อ มีโอกาสป่วยยกครัวได้สูง รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่ประสบอยู่ก่อนหน้าที่จะมีโรคระบาด
แต่ถ้าปัญหาเหล่านี้ทำให้หลายคนต้องติดเชื้อ ก็คงไม่ใช่ ‘ความผิด’ ของผู้ป่วยที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ เพราะเขาไม่สามารถแก้ไขทุกปัญหาด้วยตัวของเขาเอง เขาต้องพึ่งพาหน่วยงานอื่นของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ นอกจากนี้ เมื่อติดเชื้อแล้ว ระบบสาธารณสุขของกรุงเทพฯ ก็ทำให้พวกเขาเข้าถึงการตรวจรักษาได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก
‘โรคทำตัวเอง’ เป็นคำเรียกโรคที่มักมีการให้ความรู้หรือคำแนะนำเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้ว ผู้นั้นก็ยังทำพฤติกรรมนั้นอยู่จนป่วยเป็นโรคขึ้นมา ไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไป แพทย์หลายคนก็น่าจะเคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน เช่น โรคตับแข็งจากการดื่มเหล้า ผู้ป่วยก็ยังดื่มเหล้าจนมีเลือดอออกในกระเพาะอาหาร โรคถุงลมโป่งพองจากการสูบบุหรี่
โควิดก็อาจจัดเป็นโรคนี้ในมุมมองของหลายคน เพราะวิธีการป้องกันโรคที่รณรงค์กันอยู่เริ่มต้นจาก ‘ตัวเอง’ สังเกตว่าเมื่อติดเชื้อขึ้นมาจะรู้สึกผิดจนต้องออกมาขอโทษสังคม ทั้งที่ไม่มีใครสามารถยกการ์ดได้ตลอดเวลา และการป้องกันโรคยังมีวิธีอื่นที่ ‘รัฐ’ จัดหาให้ได้ อย่างการตรวจหาเชื้อ การรักษาที่รวดเร็ว และวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม
. . .
“แล้วพวกที่ออกมาชุมนุมเกิน 5 คนล่ะ อย่างนี้ทำตัวเองไหม” คุณโพล่งออกไป
“เธอคิดว่าพวกเขาติดเชื้อจากการชุมนุม หรือจากที่ไหนกันแน่” เพื่อนคุณไม่ได้พูด และตัวละครทั้งหมดเป็นเรื่องสมมตินะครับ
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
The post แพทย์ไม่ควรเลือกปฏิบัติในการรักษาด้วยเหตุผลทางการเมือง appeared first on THE STANDARD.
]]>