การสร้างแบรนด์ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 28 Sep 2025 03:19:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Closing Speech: เดินหน้าสู่ “ปฐมบท” ของปีศาจผู้ประกอบการ https://thestandard.co/thesecretsauce-summit-2025-8/ Sun, 28 Sep 2025 03:19:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1123879 the-secret-sauce-summit-beast-framework

“การเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาที่แบรนด์เล็กแ […]

The post Closing Speech: เดินหน้าสู่ “ปฐมบท” ของปีศาจผู้ประกอบการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
the-secret-sauce-summit-beast-framework

“การเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาที่แบรนด์เล็กและ SME มีโอกาสเติบโตอย่างมาก เพราะเป็นช่วงอวสานและปฐมบทที่กติกาทางธุรกิจกำลังเปลี่ยนไป”

 

เคน นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด สรุปบทเรียนที่ได้จากงาน The Secret Sauce Summit 2025 ตลอด 2 วันที่ผ่านมา บทเวที Closing Speech Powered by KBank

 

‘B.E.A.S.T.’ Framework ผู้ประกอบการกลายพันธุ์ 

 

1.B (BOLD – เน้นความแตกต่างและกล้าหาญ)

🔸 ความเร็วสำคัญกว่าขนาด: แบรนด์ใหญ่และเล็กต่างก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของความเร็วในการปรับตัว

🔸 ความจริงใจขายได้ (Authenticity): การโฆษณาเปลี่ยนไปแล้ว ผู้บริโภคต้องการความจริงใจมากขึ้น

🔸 AI คือ Game Changer: AI ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กมีพลังมาก เป็นแต้มต่อและจุดคานงัดที่สามารถโค่นคู่แข่งรายใหญ่ได้หากใช้เป็น

🔸 แพลตฟอร์มเปิดรับรายเล็ก: แพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องการแบรนด์ใหม่ ๆ และผู้บริโภคก็มองหาแบรนด์ที่มีคุณค่าเฉพาะตัวที่ตรงกับค่านิยมของตน

🔸 Supply Chain แตกตัว: ไม่จำเป็นต้องผลิตเองอีกต่อไป เพราะมีโรงงาน OEM ที่พร้อมให้บริการมากมาย

🔸 กติกาใหม่ๆ เช่น ESG : หากมอง ESG ในแง่บวกและปรับตัวได้เร็ว จะเป็นโอกาสในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน

🔸 ใกล้ชิดผู้บริโภค: แบรนด์เล็กที่อยู่ใกล้ชิดผู้บริโภคจะเห็น Pain Point และโอกาสก่อนใคร เหมือนแมวที่เข้าถึงรายละเอียดเล็ก ๆ ได้ดีกว่าไดโนเสาร์ตัวใหญ่

🔸 โฟกัสในสิ่งที่แตกต่าง: ต้องกล้าหาญ โฟกัสในจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร เช่น Thai IP (Thai Wellness, การนวดแผนไทย, ภูมิปัญญาไทย, ผ้าไทย, Soft Power) เพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก เพราะไม่สามารถสู้ราคาได้แล้ว

 

2. E (Embrace Change – ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง)

🔸 ทุนจีนกำลังเข้ามา: ต้องพาร์ทเนอร์หรือเรียนรู้จากทุนจีนที่เข้ามาในตลาดอย่างแน่นอน

🔸 เรียนรู้และพัฒนา: หากคู่แข่งเก่ง ต้องศึกษาและพัฒนาต่อยอดจากสิ่งที่เขาทำ

 

3. A (Agility – ความคล่องตัว ปรับตัวเร็ว)

🔸 โลกปัจจุบันไม่มีสูตรสำเร็จ การวางแผนเป็นปีแล้วทำไม่ได้แล้ว ต้องทำออกมาก่อน เก็บ Feedback เรียนรู้ และปรับเปลี่ยนตลอดเวลา 

 

4.S (Serve Customer Deeply – เข้าใจและเข้าถึงลูกค้าอย่างลึกซึ้ง)

🔸 ผู้บริโภคแตกเป็นเผ่า (Tribes): ผู้บริโภคไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันอีกต่อไป แต่แบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ที่มีค่านิยมและความชอบเฉพาะตัว แม้ผลิตภัณฑ์จะคล้ายกัน

🔸 หาที่ยืนของตัวเอง (Where to Play): สิ่งสำคัญคือการค้นหาว่า “ที่ยืน” ของแบรนด์คือตรงไหน หาชนเผ่าของตัวเองให้เจอ ไม่ใช่แค่จะชนะอย่างไร

 

5.T (Team – ทีมงานและการสร้างเครือข่าย)

🔸 สร้างเครือข่ายและทีมที่พร้อม: ตรวจสอบว่าทีมงานพร้อมที่จะไปกับเราหรือไม่ และเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำ 

🔸 ผู้นำต้องเปลี่ยน Mindset: ผู้นำมีหน้าที่ดึงศักยภาพของทีมงานออกมา ไม่ใช่คิดว่าลูกน้องโง่

🔸 สร้าง Partnership: สร้างความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์ของตัวเอง

🔸 หาเพื่อน: การมีเครือข่ายและพาร์ทเนอร์ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ

 

Business Backbone (โครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง) 

 

🔸 มีแผนแต่ขาดทรัพยากร: มีแผนที่ดี แต่ไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการดำเนินการ

🔸 ส่งมอบสินค้าไม่ได้: สินค้าดีขายได้ แต่มีปัญหาในการส่งมอบ

🔸 ขาด Product-Market Fit: ผลิตภัณฑ์ยังไม่เข้ากับตลาดจริง ๆ

🔸 โครงสร้างองค์กรไม่พร้อม: องค์กรไม่พร้อมรองรับนักลงทุนหรือการเติบโต

🔸 ระบบไม่พร้อม Scale Up: ระบบและกระบวนการทำงานไม่สามารถขยายตัวได้

🔸 ไม่เข้าใจตลาด: ยังขาดความเข้าใจในตลาดของตัวเอง

🔸 ประเมินความพร้อมด้านการเงิน, ทีมงาน, ระบบ Supply Chain และ Partner: สิ่งเหล่านี้สำคัญไม่แพ้กัน

 

ธุรกิจแบบเดิม VS ธุรกิจแบบใหม่ 

 

🔸 แบบเดิม: เน้นตัวเลข กำไร ต้นทุน ประสิทธิภาพ แข่งขันด้วยขนาด ลดต้นทุนแรงงาน มองคนเป็นแค่ฟันเฟือง สร้างกำไรระยะสั้น ทำลายสิ่งแวดล้อม ตัดสินจากตรรกะและสเปรดชีท

🔸 แบบใหม่: ใช้ “หัวใจ” คู่กับ “สมอง” ฟังเสียงลูกค้าเล็กๆ สร้างทีมที่ไว้ใจ เติบโตไปด้วยกัน คิดเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคม สร้าง Impact ที่เป็นบวก สร้างสมดุลทั้งกำไรและคุณค่า และเป็น Purpose-Driven Company

 

ปัญญาและการตื่นรู้ = คุณสมบัติที่ผู้ประกอบการควรมี

 

🔸 สติ (Mindfulness): ความยับยั้งชั่งใจ

🔸 สมาธิ (Concentration): เมื่อมีสติรวมกันจะเกิดสมาธิ

🔸 ปัญญา (Wisdom): เมื่อมีสมาธิจะพร้อมรับความรู้และเกิดปัญญา

🔸 เมตตา (Compassion): เมื่อมีปัญญาถึงจุดสูงสุด อย่าลืมเมตตา เขาเชื่อว่าในโลกทุนนิยมที่โหดร้าย การเปลี่ยนแปลงโลกไม่จำเป็นต้องฟาดฟันกัน แต่สามารถใช้เมตตาต่อลูกค้า คู่ค้า และแม้กระทั่งคู่แข่งได้

The post Closing Speech: เดินหน้าสู่ “ปฐมบท” ของปีศาจผู้ประกอบการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คมสันต์ แซ่ลี ชี้เกมอีคอมเมิร์ซเปลี่ยน ยุค AI กลืนอินฟลูเอนเซอร์ ไทยต้อง ‘เลี้ยงปลาเอง’ ด้วยแบรนด์ – ลุย MICN นำเข้า-ส่งออก-พัฒนา 100 แบรนด์ เชื่อมห่วงโซ่ไทย-จีน พร้อมลุยสนาม ‘ร้านสะดวกซื้อ’ https://thestandard.co/komsan-e-commerce-ai-revolution/ Thu, 18 Sep 2025 04:57:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1120200

คมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Flash Express ระบุบนเ […]

The post คมสันต์ แซ่ลี ชี้เกมอีคอมเมิร์ซเปลี่ยน ยุค AI กลืนอินฟลูเอนเซอร์ ไทยต้อง ‘เลี้ยงปลาเอง’ ด้วยแบรนด์ – ลุย MICN นำเข้า-ส่งออก-พัฒนา 100 แบรนด์ เชื่อมห่วงโซ่ไทย-จีน พร้อมลุยสนาม ‘ร้านสะดวกซื้อ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

คมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Flash Express ระบุบนเวทีเสวนา เปิดวิสัยทัศน์ในงาน The Secret Sauce Summit 2025 ว่าภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซไทย – จีนกำลังเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จาก ‘ยุคที่ 2’ ที่ Influencer/KOL เป็นศูนย์กลาง สู่ ‘ยุคที่ 3’ ที่อัลกอริทึมและ AI ทำคอนเทนต์ซ้ำได้เร็วและถูก จน ‘คุณค่าของผู้ขายแบบ KOL จะลดลงเรื่อยๆ’ ผู้เล่นที่จะรอดต้อง ‘สร้างแบรนด์’ ให้ผู้บริโภคจดจำ ไม่ใช่แค่เช่าพื้นที่ในแพลตฟอร์ม

 

คมสันต์ เปรียบว่า ‘ยุคแรก’ คือการไป ‘จับปลาในบ่อที่มีคนอยู่’ (ของถูก ส่งเร็ว ยิงโฆษณาเอา ROI) ‘ยุคสอง’ คือสร้าง ‘กลุ่มปลา’ ด้วยคาแรกเตอร์ครีเอเตอร์ แต่ ‘ยุคสาม’ บ่อปลาเริ่มแห้ง ผู้เล่นต้อง ‘เลี้ยงปลาเอง’ ด้วยการสร้างฐานแฟนบนทรัพย์สินของตัวเอง (แบรนด์, ดาต้า, ช่องทาง) ไม่ขึ้นกับอัลกอริทึม

 

จากภาพใหญ่นี้ คมสันต์เปิดแผนบริษัทใหม่ MICN ทำ 3 เสาหลัก:

 

1. นำเข้าแบรนด์ต่างชาติคุณภาพสูงเข้ามาลงหลักปักฐานในไทยเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี/โมเดล

2. ส่งออกแบรนด์และ IP ของไทยเจาะตลาดจีน

3. พัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ ขึ้นเอง

 

โดยตั้งเป้านำเข้า ‘100 แบรนด์’ ซึ่งคมสันต์ยอมรับความเสี่ยงที่แบรนด์ส่วนใหญ่อาจจะล่ม หรือล้มหายตายจากไปได้ แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้และได้บทเรียนแห่งความล้มเหลว เพื่อกลับมาแตกหน่วยธุรกิจไทยต่ออีกนับพันบริษัทในระยะยาว

 

 

เปิดกรณีศึกษา ‘ชาจี’ และธุรกิจ IP

 

กรณีศึกษา ชาจี (ChaGee) แบรนด์ชาจากจีน (ที่คมสันต์ย้ำว่าเป็นผู้นำในตลาดบ้านเกิด) เตรียมลงทุนในไทยราว 1,400 ล้านบาท ภายใต้โมเดลบริษัทแม่ลงทุนเอง ไม่ทำแฟรนไชส์ พร้อมตั้ง R&D/โรงงานในไทย โดยเฉพาะเชียงใหม่ – เชียงราย เพื่อยกระดับใบชาไทย เชื่อมตลาดส่งออก และตั้งเป้า 400 สาขาใน 5 ปี

 

ขณะเดียวกัน จะใช้ช่องทางการค้าและเทคโนโลยีของพาร์ตเนอร์จีน พาธุรกิจ IP (ลิขสิทธิ์) ไทยออกนอก เช่น ธุรกิจการ์ดสะสม/ลิขสิทธิ์ ที่มีฐานผู้บริโภคเฉพาะทางแต่เติบโตสูง

 

ในมุมการแข่งขัน คมสันต์ย้ำว่า เขายึดถือในกติกาอธิปไตยธุรกิจ คือดีลที่นำต่างชาติเข้ามานั้น เขาจะต้องถือหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 51% เพื่อให้เกิดการร่วมพัฒนา และป้องกันไม่ให้ทุนต่างชาติมาตักตวงผลประโยชน์แล้วจากไป

 

 

เตรียมลุยสนาม ‘ร้านสะดวกซื้อ’

 

พร้อมชี้ว่า ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่และร้านสะดวกซื้อ ‘ต้องเปลี่ยนอีกหลายอย่าง’ ผู้บริโภควันนี้ต้องการตัวเลือกใหม่ โมเดลเดิมที่ต้นทุนการกระจายสูงทำให้ “เงิน 10 บาท ผู้บริโภคได้ของจริงไม่ถึง 25%” จึงเห็นช่องให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาออกแบบซัพพลายเชนที่คุ้มค่ากว่า

 

ต่อคำถามที่ว่า SME/แบรนด์เล็กจะชนะได้อย่างไร? คมสันต์ระบุว่า เขายึดหลักคิด ‘Small but Beautiful’ คือการโฟกัสกลุ่มนิชที่เซ็กซี่พอ แล้วค่อยขยายออกไปใช้โรงงาน OEM แทนการลงทุนหนักตั้งแต่วันแรก ใช้กลยุทธ์ ‘ทดลองกว้าง – คัดลึก’ (นำเข้า 300 – 400 SKU ยิงเข้าสนามจริง ดูอัตราซื้อซ้ำก่อนสเกล) และ ‘ยกระดับวัตถุดิบไทยด้วยการแปรรูป’ ไม่ส่งออกดิบๆ อีกต่อไป

 

คมสันต์ ทิ้งท้ายว่าอีก 10 ปีข้างหน้าทุกอุตสาหกรรมจะถูกเทคโนโลยีแทรกซึม ผู้ประกอบการไทยต้อง ‘แปลงร่างเป็นปีศาจ’ ในความหมายคือ “ไม่ยอมแพ้ – เปลี่ยนตัวเองจริงจัง” พร้อมเรียนรู้จากจีนแบบพาร์ตเนอร์ ไม่ใช่คู่แข่งอย่างเดียว

 

เป้าหมายสุดท้ายของคมสันต์คือ “ให้ไทยสร้างเทคโนโลยีเอง และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยทั้งระบบ”

The post คมสันต์ แซ่ลี ชี้เกมอีคอมเมิร์ซเปลี่ยน ยุค AI กลืนอินฟลูเอนเซอร์ ไทยต้อง ‘เลี้ยงปลาเอง’ ด้วยแบรนด์ – ลุย MICN นำเข้า-ส่งออก-พัฒนา 100 แบรนด์ เชื่อมห่วงโซ่ไทย-จีน พร้อมลุยสนาม ‘ร้านสะดวกซื้อ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สูตรลับซื้อใจ ‘ชาวช่อง’ ฉบับ FAROSE https://thestandard.co/farose-community-building-secrets/ Fri, 08 Aug 2025 03:25:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1105097 farose-community-building-secrets

นับวันจักรวาล FAROSE ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากรายการบน […]

The post สูตรลับซื้อใจ ‘ชาวช่อง’ ฉบับ FAROSE appeared first on THE STANDARD.

]]>
farose-community-building-secrets

นับวันจักรวาล FAROSE ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากรายการบนช่องยูทูบ สู่ Edutainment Show อย่าง FaraTALK ที่ครั้งล่าสุดขายบัตรหมดเกลี้ยง 3 รอบ และยังพาแบรนด์คู่แข่งสองแบรนด์ขึ้นเวทีทอล์กพร้อมกันได้

 

เบื้องหลังความปังทั้งหมดนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการสร้าง ‘คอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง’ ตามแบบฉบับของฟาโรส-ณัฏฐ์ กลิ่นมาลี ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ครีเอเตอร์ แต่ทำหน้าที่เป็น ‘Community Builder’ ตัวจริง เขาสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้คนเข้ามาพูดคุยเรื่องที่สนใจ ผ่านช่องคอมเมนต์ในอาณาจักร FAROSE จนกลายเป็น ‘ผู้ติดตามที่มีความหมาย’ หรือเรียกกันว่า ‘ชาวช่อง’ อะไรคือสูตรลับของคุณแดงที่ทำให้มีคนสมัครเป็นชาวช่องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมเติบโตไปกับคอมมูนิตี้นี้ ไปดูพร้อมกัน!

 

🟠 เปิดช่องว่างเพื่อสร้างคอมมูนิตี้

 

เคล็บลับแรกที่คุณแดงเล่าให้ฟัง คือ สร้างคอนเทนต์ที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่ง วิธีง่ายๆ คือ ทำให้คนดูรู้สึกดี โดยไม่วางตัวว่า ‘รู้มากกว่า’ แต่เลือกวางตัว ‘ไม่รู้ไปด้วยกัน’ ฟาโรสเชื่อว่าการเว้นช่องว่างเล็ก ๆ ให้คนดูได้คิดต่อ คือการเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุยและถกเถียง ทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวเองมีบทบาทในคลิปนั้นจริง ๆ

 

สิ่งนี้เห็นได้ชัดในช่อง FAROSE ที่ชาวช่องไม่ได้แค่คอมเมนต์ว่าชอบหรือไม่ชอบ
แต่ร่วมแชร์ความรู้ ขยายประเด็น และชวนกันตั้งคำถาม จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้ที่กระตุ้นความอยากรู้ และทำให้คนที่ไม่รู้กล้าสมัครเป็นชาวช่องเพิ่มขึ้น

 

🟠เข้าใจชาวช่อง ด้วยช่องคอมเมนต์

 

หลังจากมีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้น ฟาโรสเริ่มทำความรู้จักคนดูอย่างลึกซึ้ง ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลหลังบ้านและอ่านคอมเมนต์สม่ำเสมอ เพื่อสังเกตประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียง รวมถึงเข้าใจคาแร็กเตอร์ของชาวช่องแต่ละกลุ่ม นำไปสู่การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์และตรงใจ

 

🟠รักษาคุณค่า แม้ลูกค้าเข้า

 

ฟาโรสไม่เชื่อเรื่องการ tie in แบบเนียน ๆ แต่เชื่อในพลังของการสร้างคุณค่าอย่างจริงใจ จึงเลือกทำให้เห็นชัดไปเลยว่าลูกค้าเหล่านี้คือผู้สนับสนุนคอมมูนิตี้ 

 

ด้วยความเชื่อเหล่านี้คอนเทนต์ที่มีสปอนเซอร์จึงยังต้องรักษาความสนุก เต็มอิ่ม และเนื้อหาเข้มข้นเท่าเดิม เมื่อคนดูสัมผัสได้ว่าแบรนด์ไม่ได้มาขายของ แต่เข้ามาเพื่อเติมเต็มประสบการณ์ร่วม คอนเทนต์จึงกลายเป็นพื้นที่แห่งคุณค่าที่ส่งต่อได้ทั้งในมุมของผู้สร้างและผู้สนับสนุน

 

🟠 ต่อยอดสู่เวทีจริง ที่คนดูอยากแลกเปลี่ยน

 

เมื่อคอมมูนิตี้เล็ก ๆ เริ่มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟาโรสจึงต่อยอดสู่การจัด Edutainment Show ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ชาวช่องสายใฝ่รู้ ที่ต้องการทั้งความรู้และความบันเทิงในเวลาเดียวกัน

 

แม้จะมีแบรนด์ใหญ่เข้าร่วมสนับสนุน แต่คุณค่าของโชว์ไม่ลดลง
กลับยิ่งเสริมพลังให้ทั้งโชว์ แบรนด์ และผู้ชมเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น
กลายเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่มีพลัง และประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

 

ทั้งหมดนี้คือสูตรลับที่ทำให้ฟาโรสไม่ได้แค่มีผู้ติดตาม
แต่มีผู้ชมที่ ‘รัก’ และ ‘พร้อมเติบโตไปด้วยกัน’ หากอยากรู้แบบเจาะลึกว่าทำอย่างไรถึงจะปั้นแบรนด์ให้กลายเป็นที่รักของคนดู มาฟังคำแนะนำจากฟาโรส-ณัฏฐ์ กลิ่นมาลี ที่งาน The Secret Sauce Summit BKK 2025 วันที่ 16–17 กันยายนนี้!

The post สูตรลับซื้อใจ ‘ชาวช่อง’ ฉบับ FAROSE appeared first on THE STANDARD.

]]>
Marketing 2026 ปีที่ไร้สูตรตายตัว แต่แบรนด์ต้องขยับตัวให้เป็น https://thestandard.co/marketing-2026-no-fixed-formula/ Wed, 30 Jul 2025 05:59:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1101679

ปี 2026 เป็นปีที่กลยุทธ์การตลาดต้อง “ยืดหยุ่นและเ […]

The post Marketing 2026 ปีที่ไร้สูตรตายตัว แต่แบรนด์ต้องขยับตัวให้เป็น appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปี 2026 เป็นปีที่กลยุทธ์การตลาดต้อง “ยืดหยุ่นและเคลื่อนไหว” แบรนด์ต้องปรับตัวเร็วเพื่อให้อยู่รอดในตลาดที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว เพราะปีนี้จะ “ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับการตลาด”

 

🎯ไม่ใช่แค่รู้จัก แต่ต้องรู้ลึกเรื่องกลุ่มเป้าหมาย

 

ปี 2026 แบรนด์ต้องเข้าใจและเชื่อมโยงกับลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่แบ่งตาม Gen หรือรายได้ แต่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น เศรษฐกิจ ไลฟ์สไตล์ เจนเนอเรชัน และภูมิศาสตร์ เพื่อให้แคมเปญเข้าถึงใจผู้คนได้จริง

 

🧩อย่าแค่ปั้นแคมเปญ แต่ให้วางระบบแบรนด์

 

การสร้างแบรนด์ยุคใหม่ต้องเป็นระบบที่ปรับเปลี่ยนตามตลาด ไม่ใช่แค่ปล่อยแคมเปญแล้วจบ แบรนด์ต้องมีโครงสร้างที่สอดคล้องกับสินค้า พัฒนาแกนหลัก สร้างการซื้อซ้ำ และการ Rebrand คือการอัปเกรดทั้งระบบเพื่อคงความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค

 

🧪ทำการตลาดต้องทดสอบไปด้วย

 

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การตลาดต้องมีกรอบความคิดแบบทดลองอยู่เสมอ แบรนด์ต้องมี asset หลากหลายเพื่อทดสอบและปรับปรุงตาม feedback จากข้อมูลแบบ real-time การทดสอบ A/B Testing หรือการเปลี่ยน offer กลางแคมเปญจึงเป็นเรื่องจำเป็น ยิ่งปรับเร็ว ยิ่งเข้าใจลูกค้า และได้เปรียบคู่แข่ง

 

📱คอนเทนต์ต้องอยู่ให้ถูกที่

 

เนื้อหาดีต้องลงถูกที่และเวลา แพลตฟอร์มต่างกันพฤติกรรมคนดูต่างกัน เช่น TikTok ต้องไว IG Reels ต้องสวย YouTube Shorts ต้องดึงดูด 2 วิแรก นักการตลาดที่ใช้แพลตฟอร์มแบบ broadcast จะเสียโอกาส ควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่คนเชื่อใจ ไม่ใช่แค่คนดังที่พูดเหมือนกันทุกแคมเปญ

 

📊วัดผลแบบแยกชิ้นใช้ไม่ได้แล้วในปี 2026

 

ปี 2026 การวัดผลการตลาดต้องเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายช่องทาง เพราะพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคไม่เป็นเส้นตรงและเกิดจาก “โมเมนตัมที่สะสม” ไม่ใช่แค่จุดเดียว การวัดผลจึงต้องเห็นว่าอะไรทำให้ลูกค้าสนใจแบรนด์ ไม่ใช่แค่ใครปิดการขาย แต่ใครสร้างแรงกระตุ้นก่อนหน้านั้น

 

เปิดตำราการตลาดปี 2026 เต็ม ๆ ก่อนใครกับ อรรถวุฒิ เวศรานุรักษ์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Adapter Digital Group ได้ที่ MAIN STAGE งาน The Secret Sauce Summit 2025 วันที่ 16-17 กันยายน 2568

 

🎟 ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ https://bit.ly/tsss25keyPKM26

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

The post Marketing 2026 ปีที่ไร้สูตรตายตัว แต่แบรนด์ต้องขยับตัวให้เป็น appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่านเกม ‘Brand Incremental Values’ แบรนด์ดีขายแพง เพราะแข่งที่คุณค่า ไม่ใช่ราคา https://thestandard.co/brand-incremental-values/ Tue, 29 Jul 2025 00:00:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1100868 brand-incremental-values

ลองจินตนาการว่าคุณยืนอยู่หน้าชั้นวางสินค้าในซูเปอร์มาร์ […]

The post อ่านเกม ‘Brand Incremental Values’ แบรนด์ดีขายแพง เพราะแข่งที่คุณค่า ไม่ใช่ราคา appeared first on THE STANDARD.

]]>
brand-incremental-values

ลองจินตนาการว่าคุณยืนอยู่หน้าชั้นวางสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต รายล้อมด้วยแบรนด์สินค้าที่หน้าตาคล้ายกันไปหมด แล้วทำไมคุณถึงหยิบแบรนด์หนึ่งแทนที่จะเป็นอีกแบรนด์?

 

คำตอบอาจไม่ใช่ฟีเจอร์ ไม่ใช่ราคา แต่คือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทว่า ‘ทรงพลัง’ ที่สุด—นั่นคือ ‘Brand Incremental Values’ หรือมูลค่าเพิ่มของแบรนด์ ที่สร้างความรู้สึกว่า “ทำไมต้องเลือกแบรนด์นี้”

 

🟡 ทำไม Brand Incremental Values คือหัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่?

 

ในยุคที่ผลิตภัณฑ์ดีเป็นเรื่องพื้นฐาน ‘แบรนด์’ คือการลงทุนที่กลายเป็นแต้มต่อ

 

แบรนด์ที่แข็งแรงไม่ใช่แค่ขายได้ แต่สร้างความรู้สึกที่ซื้อแล้ว ‘คุ้มค่า’ แม้ราคาอาจสูงกว่า สร้างความผูกพันแม้มีทางเลือกอื่น และเป็นเกราะที่ช่วยให้ธุรกิจไม่สั่นคลอนง่ายๆ เมื่อมีคลื่นลูกใหม่ในตลาด

 

เพราะสิ่งที่ลูกค้ารู้สึกต่อแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นความไว้วางใจ ภาพลักษณ์ หรือการเชื่อมโยงทางอารมณ์ คือพลังที่ไม่มีในสเปกสินค้า แต่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมหาศาล

 

🟡 3 เครื่องมือชี้วัด ‘มูลค่าเพิ่ม’ ของแบรนด์

 

ถ้าอยากรู้ว่าแบรนด์ของเราสร้างคุณค่าได้จริงหรือแค่เราคิดไปเอง ต้องวัดผลให้ชัดผ่าน 3 เครื่องมือนี้

 

🔸 1. Brand Health Tracking (การสำรวจสุขภาพแบรนด์)
การเช็กสุขภาพแบรนด์เป็นเหมือนการตรวจร่างกายประจำปี มันทำให้รู้ว่าเรายังแข็งแรงพอจะแข่งกับใครในตลาดหรือเปล่า ลูกค้ามองเราอย่างไร และเรายืนอยู่ตรงไหนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

 

🔸 2. Marketing Mix Modelling – MMM (การวัดผลตอบรับจากทุกกิจกรรมการตลาด)
เพราะลูกค้าไม่ได้ตัดสินใจซื้อจากโฆษณาชิ้นเดียว MMM จะช่วยเชื่อมโยงทุกกิจกรรมทางการตลาดเข้ากับยอดขายจริง บอกเราได้ว่า อะไร ทำให้คนรู้จักเรา อะไรทำให้เขาตัดสินใจซื้อ และอะไรคือสูตรสำเร็จที่ต้องทำซ้ำ

 

🔸 3. Attribution Modelling (การถอดรอยเส้นทางของลูกค้า)
นี่คือการติดตามเส้นทางลูกค้าตั้งแต่เห็นแบรนด์ครั้งแรก จนถึงคลิกซื้อ เสมือนตามดูว่า Touchpoint ไหนที่ทำให้เขาตัดสินใจ และจะได้รู้ว่าควรลงทุนกับช่องทางไหนให้คุ้มที่สุด

 

🟡 สร้างแบรนด์ให้ทรงพลังในยุควัฒนธรรมนำการตลาด

 

วันนี้การสร้างแบรนด์ไม่ใช่แค่เรื่องของโฆษณาหรือแคมเปญใหญ่ แต่มันคือการสร้าง ‘พื้นที่’ และ ‘วัฒนธรรม’ ที่ผู้คนอยากเข้ามามีส่วนร่วม

 

🔸 Brand Platform: พื้นที่ของตัวเองสำคัญกว่าที่เคย เพราะเราควบคุมการเล่าเรื่องได้เอง สร้างประสบการณ์ได้เต็มที่ และวัดผลได้ชัดว่าอะไรเวิร์ก

 

🔸 Culture (วัฒนธรรม): แบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ ไม่ใช่แค่ขายของเก่ง แต่ต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรม เช่น กลุ่มคนรักสุขภาพ สายแฟชั่น สายพัฒนาตัวเอง หรือแม้แต่ K-Pop แบรนด์ที่ไม่ใช่แค่ขาย แต่เข้าใจและขับเคลื่อนวัฒนธรรมจะได้ใจผู้บริโภคไปตลอดทาง

ในยุคที่สินค้าอาจดูเหมือนกันไปหมด แต่แบรนด์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มในใจคนได้จริงเท่านั้น ที่จะ ‘แตกต่างอย่างมีความหมาย’

 

 

The post อ่านเกม ‘Brand Incremental Values’ แบรนด์ดีขายแพง เพราะแข่งที่คุณค่า ไม่ใช่ราคา appeared first on THE STANDARD.

]]>
How to เป็นคนที่ถูกเลือก รวมศาสตร์ มัดใจลูกค้า พาแบรนด์สู่ Top of Mind https://thestandard.co/how-to-be-the-chosen-one/ Thu, 03 Oct 2024 00:20:59 +0000 https://thestandard.co/?p=990973

จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเลือกเรา? เมื่อของดีมีเต็มตลาด คนซื […]

The post How to เป็นคนที่ถูกเลือก รวมศาสตร์ มัดใจลูกค้า พาแบรนด์สู่ Top of Mind appeared first on THE STANDARD.

]]>

จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเลือกเรา?

เมื่อของดีมีเต็มตลาด คนซื้อฉลาด แถมคิดเยอะ

 

The Secret Sauce ถอดรหัส 2 กระบวนท่าการตลาดมัดใจลูกค้า จากงาน #MITCON2024 กับศาสตร์แห่งสมองที่และพฤติกรรมลูกค้าจาก Session ‘ทอย กษิดิศ’ Data Analyst แห่ง DataRockie และรู้จักกับศาสตร์การสร้างความน่าเชื่อถือ ‘Authority’ จาก ‘เก่ง สิทธิพงศ์’ แห่ง CREATIVE TALK

 

ยอมรับก่อน เราเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือก

 

ยุคนี้ลูกค้ามีสิทธิ์เลือก เทคโนโลยีทำให้โลกธุรกิจเปลี่ยนไป โซเชียลมีเดียทำให้ใครๆ ก็ขายของให้ลูกค้าได้ นี่จึงเป็นยุคที่ลูกค้าต้องตัดสินใจเองว่าเขาจะ ‘เลือก’ และ ‘ไม่เลือก’ อะไร

 

นักการตลาด = Choice Architect 

 

คนทำการตลาดคือ ‘นักออกแบบทางเลือก’ เพราะเราไม่ได้แค่นำเสนอสินค้า แต่กำลังออกแบบประสบการณ์ตั้งแต่แรกพบจนถึงตัดสินใจซื้อ เป้าหมายคือทำให้เราเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า เพื่อให้สุดท้ายลูกค้าเลือกเรา ไม่ไปเลือกคู่แข่ง ดังนั้นการทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักออกแบบ

 

หยุดหาเหตุผลแต่จงเข้าใจ

 

การ ‘ตัดสินใจซื้อ’ และ ‘ตัดสินใจไม่ซื้อ’ ของลูกค้า หลายครั้งเป็นเรื่องของความรู้สึกและสัญชาตญาณ ให้ลองนึกภาพเวลาเราจะตัดสินใจซื้อหุ้นสักตัว บางครั้งศึกษาข้อมูลมาพร้อม พอถึงวินาทีจะกดซื้อ มักเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ‘แล้วเราชอบหุ้นตัวนี้ไหม?’ ถ้าสัญชาตญาณบอกว่า ‘ไม่’ สุดท้ายก็…ไว้ก่อนแล้วกัน

 

เพราะลูกค้าไม่ได้ใช้เหตุผลขนาดนั้น

 

ไม่ใช่แค่ลูกค้าหรอก แต่มนุษย์เราเป็นกันทุกคน เพราะนี่คือธรรมชาติของสมองมนุษย์ที่ตัดสินใจโดยใช้สัญชาตญาณเป็นตัวชี้นำเสมอ

 

คนเรามีระบบความคิดอยู่ 2 โหมดในสมอง

 

System1: โหมดสัญชาตญาณ (Autopilot)

เป็นระบบอัตโนมัติ ประมวลผลเร็วมาก ฉึบฉับแต่ฉาบฉวย เชื่อมโยงการรับรู้กับประสบการณ์ อารมณ์ และความรู้สึก เป็นระบบรับรู้พื้นฐานของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ สมองคนเราเปิดใช้ Autopilot ตลอดเวลา จุดเด่นคือ ‘รับรู้ไวแต่ไม่รอบคอบ’

 

System 2: โหมดตั้งใจคิด (Pilot)

เป็นระบบที่คิดอย่างมีเหตุผล ประมวลผลช้า ต้องใช้ความพยายามสูง มนุษย์เราควบคุมโหมดนี้ได้ เลือกใช้กับเรื่องที่ยาก ซับซ้อน (ข้อมูลอะไรก็ตามที่ Autopilot เอาไม่อยู่) ก็จะส่งต่อมาให้โหมด Pilot ช่วยวิเคราะห์เพิ่มเติม แต่ทั้งนี้การตั้งใจคิดคือการที่สมองเรากำลังทำงานหนักขึ้น จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกหิวหลังประชุมเสร็จ นั่นเป็นเพราะโหมด Pilot ถูกเปิดใช้งาน ซึ่งจุดเด่นของโหมดนี้คือ ‘คิดได้ละเอียดแต่ช้า ต้องใช้พลังงานสูง’

 

แบรนด์คือ Shortcut ทางความคิด

 

ลองนึกภาพง่ายๆ ในการจะเลือกซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่สักเครื่อง ลูกค้าต้องคิดหลายอย่าง ทั้งราคา ความทน คุณภาพแบตเตอรี่ ศึกษาฟีเจอร์ อ่านรีวิว ฯลฯ สมองโหมด Pilot ต้องทำงานหนัก ในทางกลับกัน หากบอกว่าสมาร์ทโฟนเครื่องดังกล่าวยี่ห้อ Apple การรับรู้ต่อสินค้านั้นจะเปลี่ยนไปทันที เพราะแบรนด์ที่มีตัวตนชัดจะสื่อสารเรื่องราวบางอย่างกับลูกค้าได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้น Strong Brand จะทำงานกับสัญชาตญาณ ถ้าสัญชาตญาณไว้ใจ การตัดสินใจซื้อก็ง่ายขึ้น

 

Autopilot ขี้ลืม ต้องให้เจอบ่อยๆ

 

เป็นหน้าที่ของแบรนด์ที่ต้องพาตัวเองไปให้ Autopilot ของลูกค้าเจอบ่อยๆ ค่อยๆ แทรกซึมทีละน้อยจนกลายเป็นส่วนเดียวกับสัญชาตญาณ เพราะถ้าหากลูกค้าต้องคิดเยอะด้วย Pilot เมื่อไร นั่นแปลว่าเรากำลังผลักการตัดสินใจซื้อของลูกค้าออกไป ซึ่งนั่นไม่น่าใช่สิ่งที่คนทำธุรกิจต้องการ

 

อย่างไรก็ตามในการที่แบรนด์จะเป็น Top of Mind อยู่เหนือคู่แข่งได้ มีอีกหนึ่งจุดตัดสำคัญที่ต้องสร้าง นั่นคือความน่าเชื่อถือหรือ ‘Authority’

 

🔵  Authority = (n) อำนาจ/อิทธิพล

 

เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ช่างเลือกมากขึ้น และไม่ได้เชื่อทุกคน ไม่พร้อมจะฟังสิ่งที่แบรนด์อยากบอก เพราะฉะนั้นหากธุรกิจเป็นคนที่ลูกค้าจะเชื่อต้องมี Authority คือมีเครดิตมากพอในการพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วคนเชื่อ 

 

🔵 แล้ว Authority หาได้จากไหน

 

Authority ไม่ต้องหาแต่ต้องสร้าง แบรนด์ต้องพิสูจน์เห็นว่าเราเป็น ‘ตัวจริง’ ในสิ่งที่ทำ หลักการเดียวกันกับการเป็น Top of Mind นึกถึงเรื่องนี้ ชื่อนี้ต้องเด้งขึ้นมาในหัว ซึ่งเรื่องนี้ต้องเริ่มจากการที่แบรนด์กำหนดตำแหน่งของตัวเองให้ชัด แล้วมุ่งไปให้ถึงจุดนั้น เพราะตัวจริงไม่ต้องเชี่ยวชาญทุกอย่าง การโฟกัสและตั้งทาร์เก็ตให้แม่นจะส่งผลดีมากกว่า

 

🔵  หา Niche ตัวเองให้เจอ

 

เรื่องนี้สำคัญมาก แบรนด์ต้องเลือกตลาดและกลุ่มเป้าหมายให้ถูกว่าอยากจะเป็น Top of Mind ในเรื่องอะไร ไม่อย่างนั้นจะหลงทาง โดยเริ่มจากการกำหนด 3 ข้อนี้ให้ได้ก่อน

 

  1. Content: กำหนดให้ชัดว่าเราอยากจะเป็นตัวจริงในเรื่องอะไร อยากเป็นที่นึกถึงในเซ็กเมนต์ไหน กำหนดให้ชัด ตีกรอบให้แคบ และการเริ่มต้นที่ดีไม่ควรเริ่มจากศูนย์ เราต้องเลือกสิ่งที่ถนัด หา Advantage ที่ของเรามีอยู่แล้วให้เจอ เลือกพัฒนาในสิ่งที่ธุรกิจของเรามีศักยภาพจริงๆ “Don’t follow your passion, follow your talent.”

 

  1. Goal: กำหนดเป้าหมายที่อยากจะเป็นในอนาคตให้ชัด เช่น ให้กำหนดไปเลยว่า ‘ในอีก 5 ปีข้างหน้า แบรนด์ของคุณจะต้องติด Top 3 ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวออร์แกนิกสำหรับผู้หญิงไทยวัย 30-50 ปี’ (ถ้า Content ชัดจะทำให้การกำหนด Goal ง่ายขึ้น)

 

  1. Target Audience: ข้อสุดท้าย ต้องดูด้วยว่าตลาด Niche ที่เราจะไปมีลูกค้าหรือเปล่า ถ้าเป็นตลาดที่ไม่มีดีมานด์ก็จะไม่สามารถสร้างรายได้

 

🔵  5 คุณสมบัติ ‘ตัวจริง’ ต้องมี

 

การทำจะทำให้คนเชื่อว่าเป็น ‘ตัวจริง’ ต้องใช้เวลา เครดิตเป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ ทำ หมั่นสะสม แบรนด์ที่จะเป็นตัวจริงที่คนเรียกหาได้ต้องมีความรู้ที่มากพอ มีตัวตน คนในแวดวงให้การยอมรับ และเมื่อถึงเวลาที่ใช่ คุณจะสามารถตอบคำถาม 5 ข้อนี้กับลูกค้าได้อย่างมั่นใจ

 

  1. What do you know? – ลูกค้าจะเลือกคนที่รู้จริง (Expertise)
  2. What you can do? – ลูกค้าจะเลือกคนที่ทำเป็น (Skill)
  3. Who do you know? – ลูกค้าจะขอดูผลงานที่ผ่านมาและอ่านรีวิว (Association)
  4. What do you have? – ลูกค้าต้องการทีมที่พร้อมจบงานได้ (Resource)
  5. What do they think of you? – ลูกค้าจะไม่เลือกคนที่โนเนม (Reputation)

 

ตัวจริงจะต้องมีคุณสมบัติที่ว่าครบทุกข้อ เพราะหากขาดข้อใดไปเพียงหนึ่งข้อก็อาจเป็นเหตุผลให้ลูกค้าตัดสินใจ ‘ไม่เลือกคุณ’

The post How to เป็นคนที่ถูกเลือก รวมศาสตร์ มัดใจลูกค้า พาแบรนด์สู่ Top of Mind appeared first on THE STANDARD.

]]>
Niche Luxury Brand ไขความลับพันล้านฉบับ PAÑPURI https://thestandard.co/unraveling-the-secret-of-panpuri/ Sat, 14 Sep 2024 04:36:09 +0000 https://thestandard.co/?p=983531

ถอดรหัสความสำเร็จของ PAÑPURI แบรนด์ไทยที่เติบโตไกลระดับ […]

The post Niche Luxury Brand ไขความลับพันล้านฉบับ PAÑPURI appeared first on THE STANDARD.

]]>

ถอดรหัสความสำเร็จของ PAÑPURI แบรนด์ไทยที่เติบโตไกลระดับโลก และสามารถทำรายได้แตะพันล้าน สร้างความแตกต่างอย่างแท้จริงในตลาด Niche Luxury

 

1. Passion & Purpose

 

เริ่มต้นจากความหลงใหลในธุรกิจสินค้า Luxury ผสมผสานกับความตั้งใจในการสร้างแบรนด์ไทยที่สามารถแข่งขันในระดับโลก ด้วยการใช้จุดแข็งของวัฒนธรรมไทย โดยมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าแค่เรื่องกำไร คือการนำเสนอสินค้าไทยที่มีคุณภาพในระดับสากล

 

2. Transformation

 

PAÑPURI สามารถผ่านวิกฤตโควิดมาได้ด้วยการปรับกลยุทธ์องค์กร ทำ Transformation ทั้งในด้านการตลาดออนไลน์และการขยายสาขาไปยังต่างประเทศอย่างมีกลยุทธ์ ทำให้ยอดขายเติบโตพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว

 

3. Brand Identity

 

การสร้างแบรนด์ที่เน้นความเป็น Niche และ Luxury คือการมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าตลาดเฉพาะที่ชัดเจน PAÑPURI เลือกผสมผสานวัฒนธรรมไทยกับนวัตกรรมใหม่ สร้างสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การใช้ Perfume Oil แทนแอลกอฮอล์ และการเน้นเรื่อง Clean Beauty และความยั่งยืน (Sustainability)

 

4. Storytelling & Design

 

PAÑPURI ใช้ Storytelling ที่เล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมและความเป็นไทยในแบบใหม่ โดยผสมผสาน Craftsmanship การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนถึงความหรูหราและประสบการณ์การใช้งานที่โดดเด่น ซึ่งทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำและได้รับความนิยมในตลาดสากล

 

5. People

 

การสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องมีทีมงานที่แข็งแกร่งและมีความสามารถ เพราะไม่มีใครสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง การร่วมมือกันในทีมและการนำคนที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยเสริมจึงเป็นปัจจัยสำคัญ

 

6. Market Trends

 

PAÑPURI สามารถปรับตัวเข้ากับเทรนด์การตลาดหลังโควิด เช่น ความสนใจในเรื่อง Wellness และ Lipstick Effect ที่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายกับสินค้าที่สร้างความสุขให้ตนเอง นอกจากนี้การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงก็เป็นปัจจัยที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์

The post Niche Luxury Brand ไขความลับพันล้านฉบับ PAÑPURI appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 เทคนิค ปั้น ลูกก๊อ แบรนด์ลูก After You อาณาจักรพันล้าน : The Secret Sauce Summit 2024 https://thestandard.co/3-techniques-to-build-luggaw-brand/ Fri, 21 Jun 2024 04:25:18 +0000 https://thestandard.co/?p=947902 ลูกก๊อ After You

แบรนด์ผลไม้ฝีมือคนไทยจะสู้แบรนด์ระดับโลกได้อย่างไร? &nb […]

The post 3 เทคนิค ปั้น ลูกก๊อ แบรนด์ลูก After You อาณาจักรพันล้าน : The Secret Sauce Summit 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลูกก๊อ After You

แบรนด์ผลไม้ฝีมือคนไทยจะสู้แบรนด์ระดับโลกได้อย่างไร?

 

ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านน้ำผลไม้อยู่ทั่วประเทศ รวมถึงแบรนด์ต่างชาติที่เข้ามาตีตลาดอย่างดุเดือด แต่ทำไมแบรนด์อย่าง ‘ลูกก๊อ’ ถึงสามารถแหวกตลาดขึ้นมา และมีจุดยืนแตกต่างจากผู้เล่นอื่นๆ ในระดับเดียวกัน

 

ความลับอยู่ที่การสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ (Competitive Advantage) ที่แบรนด์ต่างชาติไม่สามารถทำได้ พร้อมยกระดับของไทยให้โดดเด่น และใช้ความรู้จากการปลูกปั้น After You กว่า 17 ปีของ เมย์-กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ

 


 

  •  เมย์ After You จะมีเคล็ดลับ การปั้นแบรนด์ อย่างไร หาคำตอบไปด้วยกันที่ The Secret Sauce Summit 2024  
  • ซื้อบัตร Early Bird ราคาพิเศษ 3,990.- (จากปกติ 5,990.-) ได้ที่ ZipEvent

 


 

ปัจจุบัน บริษัท อาฟเตอร์ยู จำกัด (มหาชน) มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

  • ปี 2566 รายได้รวม 1,230.90 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้รวม 952.52 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้รวม 627.57 ล้านบาท

 

โดยรายได้มาจากร้านขนมหวานและร้านเครื่องดื่มกว่า 86.49% ภายใต้แบรนด์ร้าน After You, ร้านผลไม้ลูกก๊อ และร้านกาแฟ Mikka โดย The Secret Sauce ถอดรหัสความสำเร็จของ การปั้นแบรนด์ผลไม้ น้องใหม่มา 3 ข้อ ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้ได้

 

1. สร้างแบรนด์ใหม่ให้แตกต่าง ต้องใช้แต้มต่อจากทุนเดิม

 

หนึ่งในจุดแข็งของร้านผลไม้ลูกก๊อคือ การขายผลไม้ ยำผลไม้ และน้ำผลไม้ ที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น แต่ลูกก๊อจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้ถ้าไม่ได้มีประสบการณ์จากการหาผลไม้ของ After You มาผลิตเป็นเมนู อย่างเช่น คากิโกริมะยงชิด ทำให้มีคอนเน็กชันกับสวนของเกษตรกรไทยอยู่ก่อนแล้ว จุดนี้จึงทำให้ลูกก๊อสามารถชูวัตถุดิบท้องถิ่น และมีเมนูใหม่ๆ ที่แตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ ได้

 

2. Localize ให้สุดทาง

 

พ่อพันธุ์ชั้นดี, น้ำนางเอก, รักษาแผลใจ คือการตั้งชื่อน้ำผลไม้ของลูกก๊อที่เป็นเอกลักษณ์ถูกจริตคนไทย อย่างเช่น น้ำนางเอก เมนูน้ำส้มหลายสายพันธุ์ ที่มักเห็นนางเอกในละครดื่มน้ำส้มเสมอ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเมนูอย่าง หมวยอินเตอร์ ที่นำฝรั่งมาปั่นผสมกับผงบ๊วย เป็นการหยิบนิสัยของคนไทยที่กินฝรั่งแช่บ๊วย มายกระดับให้เป็นเมนูน้ำปั่นของตนเอง

 

3. Megatrend(s)

 

ในบรรดาแบรนด์ภายใต้อาณาจักร After You ลูกก๊อถือเป็นเรือธงใหม่ที่เกาะเมกะเทรนด์ใหม่หลายเทรนด์ เช่น เทรนด์สุขภาพที่ใช้โปรดักต์อย่างน้ำผลไม้สกัดเย็น หรือเทรนด์การสนับสนุนความยั่งยืนในสังคม ก็ได้ใช้การรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรท้องถิ่น ทำให้ลูกก๊อช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอให้ After You มีความหลากหลายมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันลูกก๊อก็ยังถือเป็นลูกๆ ในครอบครัว After You ที่ต้องเผชิญกับคู่แข่งอีกจำนวนมาก แบรนด์น้องใหม่เริ่มคิดโปรดักต์ที่หลากหลายมากขึ้น หรือแบรนด์รุ่นใหญ่จากต่างประเทศก็เน้นชูความเป็นพรีเมียม

 

ในการทำธุรกิจให้ชนะในโลกใหม่ หรือ Winning the New Wave นั้น เมย์จะมีเคล็ดลับอะไร หาคำตอบไปด้วยกันที่ The Secret Sauce Summit 2024 งานที่รวบรวมทั้งผู้ประกอบการรุ่นใหญ่และรุ่นใหม่ สกัดบทเรียนของผู้ประกอบการที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในแบบของคุณเอง

 


 

The Secret Sauce Summit 2024

🔺 5-6 กันยายน 2567 ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

🔺 ราคาเพียง 3,990.- เข้างานได้ 2 วันเต็ม

🔺 เนื้อหาครอบคลุมกลยุทธ์ธุรกิจ อินไซต์การตลาด แนวทางปรับใช้ AI และ Sustain

🔺 มางานเดียวครบ! ชนะคลื่นธุรกิจใหม่ ชนะคู่แข่ง และได้ใจลูกค้า

🎫 ซื้อบัตรอีเวนต์ได้ทาง ZipEvent

 

อ้างอิง:

The post 3 เทคนิค ปั้น ลูกก๊อ แบรนด์ลูก After You อาณาจักรพันล้าน : The Secret Sauce Summit 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี ผู้หญิงที่สร้างแบรนด์ VJ ACTIVE จากแนวคิดที่ Strong และ Sexy https://thestandard.co/life/passion-calling-ja-natthaweeranuch/ Tue, 02 Jan 2024 03:45:02 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=883497

ย้อนไปสมัยเป็นวีเจจ๋า   ตอนที่ได้บรรจุเป็นวีเจครั้ […]

The post จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี ผู้หญิงที่สร้างแบรนด์ VJ ACTIVE จากแนวคิดที่ Strong และ Sexy appeared first on THE STANDARD.

]]>

ย้อนไปสมัยเป็นวีเจจ๋า

 

ตอนที่ได้บรรจุเป็นวีเจครั้งแรกคือปี 4 ตอนนั้นทำงานไปด้วย เป็นเด็กมีไฟ พอทำงานแล้วมีเวลาเหลือก็คิดว่าจะทำอะไรดี ตอนนั้นคิดว่าเราเป็นเด็กสยาม ชอบเดินสยาม ชอบเดินซื้อของ ก็ชวนเพื่อนว่ามาลองขายกันบ้างไหม เพราะเรามีสิ่งที่เราชอบ ซึ่งสไตล์เราค่อนข้างจะชัดเจน ค่อนข้างจะเซอร์ ชอบใส่เสื้อกล้าม กางเกงยีนส์ แล้วเพื่อนเขาเรียนครุอาร์ตก็สามารถทำกราฟิกได้ เลยทำเป็นเสื้อสกรีนวัยรุ่นธรรมดาเลย กางเกงยีนส์ก็ไปหาเลือกผ้าเองที่สำเพ็ง พาหุรัด แล้วไปเดินเสือป่าหาซื้อพวกอะไหล่ต่างๆ ก็ทำเองทุกอย่างเลย รับส่งของ แล้วก็มาเฝ้าหน้าร้าน ตอนนั้นเปิดร้านอยู่ใต้โรงหนังสยาม เป็นร้านที่เล็กมากๆ เล็กมากจริงๆ น่าจะประมาณ 2×6 เมตร ช่วยกันทำสองคน ตอนหลังพองานในวงการเยอะขึ้น เวลาน้อยลง เลยตัดสินใจขายหุ้นคืนให้เพื่อนไป 

 

 

จุดเปลี่ยนช่วงโควิด

 

ช่วงโควิดเป็นช่วงแห่งการปรับตัวของทุกคน ซึ่งจ๋าเองก็อยู่ในโหมดนั้นเหมือนกัน ตอนแรกไม่รู้ว่าทุกอย่างจะไปทางไหน แล้วคนก็กลัวโควิดกันมาก ยิ่งตอนแรกที่สถานการณ์ดูรุนแรงมาก มีคนเสียชีวิต อะไรหลายอย่างมันน่ากลัว เลยอยู่แต่บ้าน ออกไปข้างนอกน้อยมาก อยู่ในบ้านก็ออกกำลัง แล้วด้วยความที่เรามีแพลตฟอร์ม ก่อนหน้านั้นเราทำรายการท่องเที่ยว เราก็มีอะไรให้อัปเรื่อยๆ พอไม่ได้ออกไปไหนก็ไม่มีอะไรให้อัป เรายังอยากจะสื่อสารกับแฟนเพจ ก็ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนเราออกกำลังกายแล้วถ่ายคลิป เหมือนชวนออกกำลังเล่นๆ ซึ่งตอนแรกไม่ได้คิดอะไรค่ะ ปรากฏว่าคนชอบ เป็นช่วงที่คนอยู่บ้านและ Work from Home คนที่ออกกำลังเองก็ออกกำลัง มี Beginner เยอะมาก คราวนี้พอเขามาเจอเราออกกำลังด้วยท่าง่ายๆ เขาก็ชอบ เลยเหมือนว่ามีฐานแฟนใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นแฟนใหม่จริงๆ ด้วย แต่เป็นแฟนเก่าที่มาในเวอร์ชันออกกำลัง เฮ้ย ไม่ได้เที่ยว แต่มาออกกำลังกัน คนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น  

 

 

จากวิกฤตเริ่มมองเห็นโอกาส

 

ก่อนจะสร้างแบรนด์ VJ ACTIVE มันเริ่มมาจากมองหาว่ามีโอกาสอะไรที่จะต่อยอดได้บ้าง ก็นึกไปถึงตอนที่เราทำเสื้อผ้าสมัยเรียน เรารู้สึกสนุกกับสิ่งนั้น แล้วอยากจะลองเริ่มดู ไหนๆ เราก็ต้องใส่ชุดออกกำลังอยู่ทุกวัน แล้วปกติเวลาเราไปหาชุดออกกำลังเราก็จะเลือกแบบที่เราชอบ แล้วบางตัวที่เราชอบ คนอื่นก็ชอบด้วยเหมือนกัน เขาถามว่า ตัวนั้นซื้อที่ไหน ตัวนี้ซื้อไหน เราเลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นลองทำเองมันก็น่าจะได้หรือเปล่า? แต่ปัญหาช่วงเริ่มต้นของคนทำชุดออกกำลังมันจะยากตรงการผลิต สั่งผลิตขั้นต่ำแต่เริ่มต้นปริมาณเยอะมาก แล้วอีกวิธีคือเราสามารถรับมาจากตลาดต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน ผลิตตีแบรนด์โดยเลือกของเข้ามา อย่างนั้นก็ได้ แต่เราอยากออกแบบใหม่และให้มันเป็นอินพุตจากเราเอง เลยพยายามติดต่อที่ที่รับผลิตขั้นต่ำจำนวนไม่เยอะมาก ขั้นต่ำคือต่ำได้ไหม ทุกครั้งที่พูดขั้นต่ำจะสูงหมดเลย ก็เป็นหมื่นนะคะ ขั้นต่ำไม่มีความต่ำ คืออะไร (หัวเราะ) 

 

สมมติเราคิดจะเริ่มแล้วกางเกงหนึ่งตัวเราต้องผลิต 1,000-1,500 ตัว เราก็ร้องไห้เหมือนกัน เลยพยายามลองหาทาง สุดท้ายโชคดี เพราะเจอรุ่นน้องที่เขาทำโรงงานพอดี แล้วปกติเขารับแต่แบรนด์ใหญ่ที่เป็นแบรนด์เมืองนอก ช่วงโควิดเลยกลายเป็นโชคดีของเราตรงที่ว่ากำลังการผลิตเขาพอมี เพราะว่าทุกอย่างชะงัก เขาเลยพอมีเวลามาทำให้เราได้ เลยรับผลิตขั้นต่ำที่จำนวนไม่สูงเท่าไร แล้วก็ช่วยตั้งไข่ให้ 

 

 

ทำไมจึงเป็น VJ ACTIVE

 

VJ ACTIVE จริงๆ คำว่าวีเจ เหมือนถูกประทับไว้ที่หน้าผาก เหมือนเป็นคำนำหน้านาม เขาไม่เรียกนางสาว เขาเรียกวีเจ ไม่ว่าวันนี้วีเจไหนจะหายไป แต่วีเจจ๋ายังเป็นชื่อเดิมอยู่ เพราะว่าชื่อสั้นไงเขาก็เลยเรียกวีเจจ๋า มันเลยกลายเป็นชื่อแบรนด์ อยากให้พอพูดแล้วก็ยังนึกถึงเรา แต่ก็ไม่เราซะทีเดียว ไม่ต้องเป็นวีเจจ๋าอะไรอย่างนี้ ก็เป็นวีเจ แล้วคำว่า Active ก็ตอบโจทย์ของแอ็กทีฟแวร์ เวลาเสิร์ชปั๊บจะได้รู้ว่าเราขายแอ็กทีฟแวร์ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นวีเจอะไร วีเจแล้วยังไงต่อ? ก็คิดแบบนี้ ตัวสโลแกนคือ Strong, Sexy, Determine จ๋าเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนมีความเซ็กซี่ มีความแข็งแรง แล้วถ้าเป็นแบรนด์นี้ก็ต้องมีความมุ่งมั่นด้วย 

 

 

VJ ACTIVE คือการเดินทางของแพสชัน

 

มันเปรียบเหมือนการเดินทางของจ๋าเลยค่ะ ด้วยความที่เราอยากพรีเซนต์ความเป็นแบรนด์ให้ชัดเจนที่สุด เลยต้องทำหลายรอบมากกว่าที่มันจะลงตัว ลองทำโดยเริ่มจากตัวเองก่อน แล้วลองปรับ ลองผ้า ลองแบบ คือทุกอย่างจริงจังมาก พอเสร็จคอลเล็กชันนั้นปุ๊บมันก็จะมีเรื่องให้เรียนรู้ว่าเส้นทางนี้ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นนะ พอขายมาได้สักพักหนึ่ง แล้วโควิดเริ่มซา เริ่มกลับสู่ความเป็นปกติ แต่ยังไม่ปกติมากนะ การผลิตเริ่มกลับคืนมา คิวผลิตเขาเริ่มเยอะ เริ่มยาวแล้ว ซึ่งบริษัทเขาที่อยู่ที่ประเทศพม่า ตอนนั้นพม่าเกิดปัญหาภายใน โรงงานเขาก็โดนเผา โดนปิด กลายเป็นว่าการผลิตทุกอย่างที่อยู่ที่โน่นก็มาที่นี่ งานเลยล้น คราวนี้ถ้าเรารอการผลิตอย่างเดียว ที่เดียวก็จะต้องรอหลายเดือน เราเลยต้องไปหา Outsource อื่นอีกว่ามีที่ไหนที่เขารับผลิตได้อีก แล้วขั้นต่ำต้องย้ำว่าต่ำมาก ก็เจอบ้างนะคะ เจอที่เขาผลิตให้รายเล็กบ้าง แต่บางที่เขาตัดเย็บสวย แต่ว่าตามงานไม่ได้ก็มี เบลอใส่ คือหายไป ไลน์ไม่ตอบ ไม่อ่าน ไม่หือ ไม่อือ โทรไปไม่รับ บางทีผลิตแล้วมี Defect เยอะ ก็เจอมาหลากหลายรูปแบบ เรียกว่าเรียนรู้วันต่อวันเลยว่าเราจะแก้ปัญหายังไง เพราะว่าตัวเองเป็นคนที่ให้ใส่ใจเรื่องคุณภาพอย่างมาก ท้ายที่สุดแล้วมันคือหน้าตาของเรา เวลาเขาด่าเขาไม่ด่าคนอื่น เพราะเราเอาตัวเองการันตี เพราะฉะนั้นความผิดพลาดอะไรนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เราอยากควบคุมคุณภาพให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

แพสชันกับสร้างแบรนด์

 

ต้องมี! จำเป็นมาก เพราะเวลาจะทำชุดออกมา เราคิดทุกอย่างเหมือนเราใส่เอง เราใส่เองแล้วเรารู้สึกยังไง คนที่เขาซื้อไปก็ต้องได้รับความรู้สึกเดียวกัน ถ้าเราเอามาใส่แล้วยังไม่ชอบ เราก็จะปรับอีก ก่อนทำจ๋าไม่ได้คิดมากว่ามันจะเป็นยังไง แค่รู้สึกว่าอยากทำชุดออกกำลัง แล้วเรียนผิดเรียนถูกไปเรื่อยๆ ตามสิ่งที่เจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน ซึ่งก็จะมีปัญหามาให้แก้เรื่อยๆ ค่ะ ถ้าถามว่ามีภาพอะไรที่เราเคยมองไว้ก่อนหน้านี้แล้วมันเป็นอย่างที่เราต้องการไหม น่าจะเป็นคนที่เขาได้ใส่แล้วมาบอกว่า เฮ้ย มันเวิร์ก ถ้าเกิดว่าเขาเอาไปใส่แล้วเขากลับมาบอกเราว่า เฮ้ย พี่ มันอึ๋มจริง เราก็รู้สึกแฮปปี้แล้วนะ ใส่แล้วรู้สึกกระชับมากเลย ใส่แล้วอยากถ่ายรูปที่ยิม เราก็รู้สึกดี เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาคนไปยิมเขาไปออกกำลัง แต่ถ้าได้รูปสวยมาด้วยก็ถือเป็นโบนัส ถ้าเกิดว่ามีรูปสวยที่สามารถทำให้หุ่นดูดีขึ้นอีกนิดหนึ่งก็ยิ่งเป็นโบนัสแบบดับเบิล เราเลยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ 

 

 

สิ่งที่สนุกจากการทำแบรนด์ VJ ACTIVE

 

ตอนแรกคิดการตลาดสนุกสนานมาก เราเป็นคนที่ทำทุกอย่างจริงๆ ตอนที่คิดการตลาดเราบอกไปก่อนว่าจะลงวันไหน แล้วดูฟีดแบ็ก ดูกระแสว่าคนจะชอบไหม มันตื่นเต้นนะ ถ้าเกิดเขาไม่ซื้อจะทำยังไง ถ้าเกิดเขาไม่ชอบ ถ้าเกิดเขารู้สึกว่าซื้อที่อื่นก็ได้ ไม่เห็นจะต่างกันเลย เราจะทำยังไง พอดูฟีดแบ็กแล้วเห็นว่ามีคนรอซื้อเลยทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ตอนขายเซ็ตแรกก็ขายดี เราเลยมีกำลังใจ แล้วโชคดีที่จ๋ามีเพื่อนเยอะ พอเขาเอาไปใส่เลยทำให้คนเห็นเยอะ ช่วยให้ได้รับฟีดแบ็กที่ดีขึ้นอีก เพราะว่าเพื่อนสวยด้วย เพื่อนใส่แล้วก็สวย 

 

 

จุดเด่นของแบรนด์ VJ ACTIVE

 

ชุดออกกำลังจะมีแฮชแท็กที่ชอบใช้คือ #ionlygetBetter เราอยากจะพัฒนาตัวเอง และมี #Strong #Sexy #Determined ช่วงแรกๆ เลยจะมี #อัปบนลดล่าง คือตัวฟองน้ำที่เลือก เรื่องนี้ซีเรียสมากเลยนะ เราเคยใส่ชุดออกกำลังที่ใส่แล้วรู้สึกว่าทำไมหน้าอกแบนจัง ทั้งที่เราก็ไม่ได้แบนขนาดนั้น แต่เวลาใส่ทำไมมันรัดจนแบนขนาดนั้น เราเลยใส่ใจในเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องเล็กที่ไม่เล็ก มันคือความมั่นใจนะ แต่ว่าบางแบรนด์ที่เราเคยใส่ โอ้โห อย่าไปชนใครเลยนะ ฟองน้ำหนามาก แต่มันก็สวยไง เราเลยพยายามหาอะไรที่อยู่ตรงกลาง ฟองน้ำไม่ต้องหนาแต่ว่าดันทรง คือจะโกหกก็ไม่ต้องโกหกเยอะ โกหกแบบยังพอพูดได้อยู่ว่า บ้า เสริมนิดหน่อยเองน่า ซึ่งรายละเอียดจะอยู่ที่คัตติ้ง ทรงบราของเราใช้ฟองน้ำตัวเดียวกันเลย แต่จะใช้วิธีการเย็บโดยเก็บตรงนั้นแล้วดันขึ้นมาตรงนี้ ทำให้มีเนินขึ้นมา ก็จะเป็นเรื่องเล่าของการอัปบนแล้วก็ลดล่าง ส่วนผ้าที่เลือกใช้เราก็ให้ความสำคัญ เราอยากใส่เสื้อผ้าแล้วสวย แต่ก็จะมีชุดออกกำลังบางแบบที่ใส่แล้วรู้สึกว่าไม่สบายขา เราเลยเลือกผ้าที่รัดแน่นหน่อย ใช้เวลาตามหาจนได้ผ้าที่โอเคที่สุด เป็นที่มาของคำว่าอัปบนลดล่าง แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มมีการพัฒนา เช่น เย็บยังไงให้ยกก้นขึ้น คือมันไม่ได้ยกขึ้นมาจริงๆ แต่ว่าพรางสายตา ช่วยให้ดูมีทรวดทรงมากขึ้น 

 

 

ความรู้สึกต่อฟีดแบ็กที่ได้รับจากลูกค้า

 

ปลื้มมาก ทุกครั้งไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาจะซื้ออะไรไป จะชิ้นไหน จะซื้อครั้งเดียว จะซื้อหลายครั้งคือปลื้มหมดทุกอย่าง แล้วทุกฟีดแบ็กแม้จะแค่คำว่า ชอบค่ะ คำเดียว แต่แค่คำนี้มันก็เติมเต็มแล้วนะ ถามว่าสำเร็จไหม? ยังไม่ได้วัดว่ามันเป็นความสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ว่าเราอยากให้เขาซื้อไปแล้วเขาชอบ หรือว่าซื้อไปแล้วมันช่วยอะไรเขาได้บ้าง แล้วรู้สึกคุ้มค่าที่ซื้อ เราพยายามคิดให้ตอบโจทย์ชีวิตเขา ให้เขาได้ใช้เงินอย่างคุ้มค่า ซื้อไปแล้วใส่ได้ยาวๆ 

 

มีคนหนึ่งค่ะเป็นลูกค้าหลัก ตกใจมากเหมือนกัน เพราะเขาซื้อทุกออร์เดอร์ ทุกแบบ ทุกรุ่น ทุกคอลเล็กชัน ทุกสี เราก็คิดในใจ อย่าหนีไปไหนนะคะ ขอร้อง อยู่ด้วยกันไปยาวๆ เลยลองถามฟีดแบ็กดู แต่ไม่กล้าถามเยอะ ถามแค่ว่าชอบไหม ดีไหมคะ เขาก็ตอบว่าดีค่ะ ลูกค้าหลายคนบอกเราว่า ปกติเขาไม่มีหน้าอกเลย พอได้ลองใส่ชุดออกกำลังของเราแล้วเขารู้สึกมั่นใจขึ้น แต่มีคนหนึ่งที่บอกว่าเขาใส่แล้วรู้สึกมีหน้าอกมากขึ้นแล้วหายไปพักหนึ่ง เราก็คิดว่าเขาไม่กลับมาซื้อแล้วเหรอ ปรากฏว่าเขากลับมา บอกว่าเขาท้องกำลังจะมีน้อง เขาอยากซื้อ แต่ว่าน่าจะต้องเปลี่ยนไซส์แล้ว เราดีใจที่เขายังนึกถึงเรา ยังอยากจะอุดหนุนเราอยู่

 

ปัญหาที่เจอระหว่างทาง

 

ที่เจอก็น่าจะเป็นเรื่องของการผลิต เพราะว่าเราไม่ได้ควบคุมเองได้ แล้วบางครั้งอาจจะเกิดความไม่ต่อเนื่อง บางทีเรากำลังขายสินค้าตัวนี้แล้วมันขาดตอนไป เดี๋ยวนี้อะไรก็มาไวไปไวไงคะ สมมติว่าเขาไม่ได้ซื้อของเรา บางทีเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้นะ เหมือนช่องยูทูบ พอไม่ได้อัปมันก็หายไปเลย แต่ถ้าเราทำให้เขายังจำได้ อยากจะซื้อกางเกงที่ใส่แล้วมันกระชับก็ยังมีแบรนด์นี้ เขานึกถึงเรา มันก็ยังช่วยได้อยู่ ความต่อเนื่องมีส่วนเยอะมากๆ ในการทำสินค้าออกมาขาย

 

ถ้าถามว่าเคยอยากเลิกทำไหม? ความรู้สึกอยากเลิกทำยังไม่มี แต่เหนื่อยมากๆ มีเหมือนกันค่ะ เหมือนกับว่า โอ๊ย ซ้ายก็ปัญหา ขวาก็ปัญหา แต่ยังโชคดีในความเป็นตัวเอง เพราะเป็นคนที่มีมายด์เซ็ตว่าถ้ามีปัญหาเดี๋ยวหาทางอื่น มีปัญหาเดี๋ยวหาทางอื่นอยู่อย่างนี้ สุดท้ายสมมติไม่มีทางเลยก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเราทำเต็มที่แล้ว

 

 

นิสัยอะไรที่หล่อหลอมให้ตัวเองกล้าทำตามหัวใจ

 

จ๋าเป็นคนชอบเรียนรู้ การเรียนรู้มันไม่ใช่แค่ตำรา เลยเป็นลักษณะนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เป็นคนแพ้เป็น ไม่ซีเรียสเวลาที่ทำแล้วไม่ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่ว่าไม่ได้เคียดแค้น หรือเครียดที่ทำไมไม่ใช่ฉัน ทำไมฉันทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้เดี๋ยวทำใหม่ ถ้าไม่ได้เดี๋ยวทำอย่างอื่น มันเป็นมายด์เซ็ตของเรา

 

ความรู้สึกที่มีต่ออาชีพที่สอง

 

คนเราไม่ต้องทำอาชีพเดียว จะทำกี่อาชีพก็ได้ถ้าเราเอาอยู่ คือคุณจะทำ 3 อาชีพ 5 อาชีพ ถ้าคุณเอาอยู่และจริงจัง ไม่ใช่ทำแบบแตะๆ แล้วไม่รับผิดชอบ ทำไปเถอะ จะกี่อาชีพก็ทำไปเลย อาชีพเดียวก็ไม่ผิด แต่ถ้าเรามีความสามารถมากกว่านั้น เรามีเวลาที่เราจัดการได้ ทำหลายอาชีพไว้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีให้กับชีวิต เผื่อว่าทางแรกตัน เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าชีวิตเราจบสิ้นแล้ว เรายังมีทางที่สองให้เลือกเดิน จะเดินสองทางพร้อมกันก็ได้ถ้าคุณเอาอยู่ 

 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการสร้างแบรนด์

 

เหมือนกับทุกครั้งที่ได้เริ่มทำงานใหม่ อะไรที่มันเป็นสิ่งที่เราริเริ่มขึ้นมา มันเป็นความภูมิใจในตัวเอง มันเป็นประสบการณ์ มันเป็นการเดินทาง มันเป็นสิ่งที่เราสั่งสม และเป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แล้วยิ่งเรื่องของอาชีพมันทำให้เราได้มีเส้นทางว่าเราเลือกจะทำสิ่งนี้ได้ เอาไว้ย้อนกลับมามองว่าในชีวิตนี้เราได้ทำอะไรไปบ้าง แล้วเรามีความภูมิใจในตัวเองไหม แล้วความภูมิใจนี้มันสามารถสร้างอะไรให้เราได้บ้าง สร้างรายได้ให้เราได้ สร้างความเป็นผู้ใหญ่ สร้างความรับผิดชอบ สร้างความสามารถอื่นๆ เช่น สื่อสาร อยู่ดีๆ ก็เป็นนักการตลาด อยู่ดีๆ มีทักษะแอดมิน เดี๋ยวนี้ฉันพิมพ์คำเร็วมาก แพ็กของก็เป็นนะ ได้ไปรีเสิร์ชข้อมูล อะไรต่างๆ ที่เราอาจไม่เคยได้ทำ เรียนรู้ว่าการกระจายงานเป็นเรื่องที่ดี แต่ในวันที่กระจายงานไม่ได้ก็ต้องทำเองได้ 

 

อยากบอกอะไรกับคนที่มีฝัน แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ

 

น่าจะเหมือนกับที่ทุกคนเคยได้ยินมา จ๋าว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันที่ได้ยินซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว คืออยากทำอะไรทำเลย เพราะว่าถ้ารอก็คือเลื่อน แล้วการเลื่อนคือไม่ได้เริ่ม เพราะฉะนั้นอยากทำทำไปก่อน แต่ก่อนจะทำไม่ใช่ทำแบบสะเปะสะปะ หาข้อมูลก่อน เรียนรู้กับมันก่อน แล้วก็เริ่มทำ แต่ไม่ใช่ว่าหาข้อมูลจนแบบกลัวไปหมด เดี๋ยวรออันนี้ เดี๋ยวเผื่อมีอันนี้ ไม่ได้ทำ เราต้องอยู่ตรงกลาง สะเปะสะปะเกินไปก็อาจเสียเงินฟรี หรือทำเสร็จแล้วเฟลก็จะพาลหมดกำลังใจ เพราะฉะนั้นหาข้อมูลไม่ต้องพร้อมมาก เริ่มทำเลย แล้วก็แก้ไปตามนั้น 

ทุกวันนี้เป้าหมายของจ๋าคืออะไร?

 

เป้าหมายของจ๋าคืออยากให้แบรนด์เติบโต อยากให้อยู่ไปนานๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขยับตลาดออกไปต่างประเทศบ้าง อย่างประเทศใกล้เคียง ประเทศในเอเชีย ในอนาคตถ้าการผลิตของเราแข็งแรงมากขึ้น เราจะทำการตลาดแบบนั้น เราอยากให้เป็นแบบนั้น สำหรับตลาดออนไลน์จ๋ายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ เพราะเป็นคนรุ่นเก่า แต่จะไม่หยุดเรียนรู้

The post จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี ผู้หญิงที่สร้างแบรนด์ VJ ACTIVE จากแนวคิดที่ Strong และ Sexy appeared first on THE STANDARD.

]]>
คำแนะนำถึง ‘แบรนด์’ เพื่อรับมือมรสุมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดถาโถมในโลกธุรกิจ และกระแสคลื่นของความผันผวนที่ไม่เคยหยุดซัดในปี 2024 https://thestandard.co/tips-for-brands-in-2024/ Tue, 26 Dec 2023 11:46:55 +0000 https://thestandard.co/?p=881384

ในมรสุมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดถาโถมในโลกธุรกิจ […]

The post คำแนะนำถึง ‘แบรนด์’ เพื่อรับมือมรสุมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดถาโถมในโลกธุรกิจ และกระแสคลื่นของความผันผวนที่ไม่เคยหยุดซัดในปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในมรสุมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดถาโถมในโลกธุรกิจ และกระแสคลื่นของความผันผวนที่ไม่เคยหยุดซัด สิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจคือการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องเหล่านี้

 

ทั้งหมดหลายเป็นที่มาของ ‘The Surfer Kits’ บอร์ดเกมที่ Media Intelligence Group (หรือ MI GROUP) พัฒนาออกมาเป็นชุดอุปกรณ์คู่มือที่จะช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่ทุกธุรกิจ ในการรับมือกับคลื่นลมแห่งความผันผวนและความท้าทายตลอดปี 2024

 

The Surfer Kits โดยความร่วมมือกับ dots academy และได้รับการรับรองโดย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวความคิด ‘การโต้คลื่น’ ที่เปรียบเทียบสถานการณ์ความไม่แน่นอนและความท้าทายทางธุรกิจเหมือนกับคลื่นลมในทะเล

 

เปรียบเทียบผู้ประกอบการ นักการตลาด เป็นเหมือนผู้เล่นเซิร์ฟบอร์ด ที่จะต้องเผชิญกับเกลียวคลื่น หากรู้เทคนิคและทรงตัวได้ดีบนบอร์ด ก็สามารถเล่นได้ต่อเนื่องแม้จะเจอคลื่นลูกใหญ่มาปะทะ The Surfer Kits จึงเป็นชุดอุปกรณ์คู่มือที่รวบรวมตัวช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคสู่ความสำเร็จตลอดปี 2024 ภายใต้แนวคิด ‘ต้องพร้อม โต้คลื่นมรสุม รับมือความผันผวนจัดการอุปสรรค คว้าโอกาสที่ใช่ ในจังหวะที่เหมาะสม’

 

The Surfer Kits

 

The Surfer Kits มีองค์ความรู้และปัญญาอันประกอบด้วย รู้ตัว | รู้ทัน | รู้ทาง

 

  1. รู้ตัว – รู้ทุกมุม พร้อมทุกด้าน ประเมินสถานการณ์ธุรกิจกับ 35 การ์ดคำถามตรวจสุขภาพธุรกิจของคุณ
  2. รู้ทัน – แบรนด์คุณในสายตาของกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไรจากการบริหารแบรนด์ของคุณ กับ 5 หมวดคำถามประเมินผลการบริหารแบรนด์
  3. รู้ทาง – ตั้งต้นการวางกลยุทธ์แผนการสื่อสารด้วยตัวคุณเอง กับชุดการ์ดพร้อมกระดานกลยุทธ์จุดประกาย การวางแผนการตลาดและการสื่อสาร
  4. การตัดสินใจ – ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนสำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญของผู้บริหารกับชุด The Decision Card เพื่อตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นว่าควรเตรียมธุรกิจให้พร้อมได้อย่างไร จึงมีการยกตัวอย่างผ่าน ‘สัตว์’ ทั้งสิ้น 12 ตัว พร้อมยกตัวอย่างแบรนด์ดังต่อไปนี้

 


 

1. ช้าง (มีความสามารถที่สมดุลและครอบคลุมในทุกๆ ด้าน)

 

ช้าง สื่อถึงความสามารถที่ครอบคลุมรอบด้าน มีความน่าเชื่อถือทั้งในผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย การตลาดสำหรับแบรนด์นี้ควรจะเน้นนำเสนอไปที่ความเชี่ยวชาญรอบด้าน และความสามารถในการปรับตัว เน้นย้ำความสามารถในการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีหลายด้านที่ต้องพัฒนา ทำให้ส่งผลต่อความคล่องตัวในการปรับตัวให้ทันสถานการณ์

 

Google

 

คำอธิบายลักษณะ – มีความแข็งแกร่ง ความสามารถที่ครอบคลุม และความน่าเชื่อถือ

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: Google
  • ความหมาย: ช้าง เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีความสามารถที่ครอบคลุมรอบด้าน และเป็นที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากช้างนั้นเป็นแบรนด์ที่ส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ และยังคงรักษาคุณภาพไว้ได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
  • จุดแข็ง: ความเชี่ยวชาญในวงกว้าง ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการส่งมอบคุณภาพอย่างสม่ำเสมอในหลากหลายด้าน
  • จุดอ่อน: เนื่องจากมีความสามารถรอบด้าน ทำให้การปรับตัวต่อนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่รวดเร็วเท่ากับกลุ่มที่เน้นคุณลักษณะเด่นไปในด้านเดียว รวมถึงทำให้ยากต่อการหาเอกลักษณ์ของแบรนด์ เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติด้านใดที่โดดเด่นชัดเจนออกมา

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นย้ำถึงความสามารถที่ครอบคลุมและความน่าเชื่อถือที่หลากหลาย

 

ยังคงให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญรอบด้านและความน่าเชื่อถืออยู่อย่างสม่ำเสมอ และเสริมในเรื่องของนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาความสามารถในการปรับตัวรอบด้านได้อย่างรวดเร็ว พร้อมไปกับการค้นหาหรือรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: นำเสนอความเชี่ยวชาญในหลากหลายแง่มุม และถ่ายทอดความสำเร็จที่เกิดขึ้นของแบรนด์ แสดงให้ผู้บริโภคเห็นว่าแบรนด์สามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ตอกย้ำให้ผู้บริโภคเห็นถึงความเป็นเลิศในทุกๆ ด้านของแบรนด์
  • การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์: นำเสนอใบรับรองหรือรางวัลเพื่อเป็นการการันตีถึงความเชี่ยวชาญ เสริมจุดยืนในเรื่องของความเป็นเลิศและความน่าเชื่อถือในตลาด

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรหลีกเลี่ยง:

 

  • การสูญเสียจุดยืน: หลีกเลี่ยงการตอบสนองทุกรายละเอียดความต้องการของผู้บริโภคที่จะนำไปสู่การสูญเสียอัตลักษณ์ของแบรนด์
  • การสูญเสียความเป็นแบรนด์: หลีกเลี่ยงการเพิ่มองค์ประกอบต่างๆ ให้กระจายรอบด้านมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากจะเป็นการทำให้ตัวตนของแบรนด์ขัดแย้งกัน ทำให้จุดเด่นของแบรนด์เจือจางลง

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: พัฒนาแบรนด์ให้เป็นผู้นำในการปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สื่อถึงความรับผิดชอบ ใส่ใจ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในปัจจุบัน
  • การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล: ปรับใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาทางเทคโนโลยีให้ทันกับสถานการณ์การใช้เทคโนโลยีของผู้บริโภคในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความน่าเชื่อถือในสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลสมัยใหม่

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การผสมผสานทางวัฒนธรรม: ควรใช้ความระมัดระวังในการผสมผสานทางวัฒนธรรมหรือองค์ประกอบที่หลากหลาย โดยพยายามสร้างความสมดุลระหว่างการรับสิ่งใหม่ และการรักษาสิ่งเดิมเพื่อรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดเจนและสม่ำเสมอ

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

กลยุทธ์การสื่อสาร: ใช้การเล่าเรื่องโดยนำเสนอถึงความสามารถรอบด้านที่หลากหลาย บอกเล่าถึงความสามารถในการปรับตัวและความสำเร็จของแบรนด์ มุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จในปัจจุบันมากกว่าความสำเร็จในอดีตที่เกิดขึ้นแล้วเป็นระยะเวลานาน

กลยุทธ์การใช้สื่อ: ใช้สื่อผสมทั้งแบบดั้งเดิมและแบบดิจิทัลเพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างอย่างสมดุล

กลยุทธ์การใช้สื่อที่ควรระวัง: การพึ่งพาสื่อหรือแพลตฟอร์มที่เพิ่งเกิดใหม่หรือล้าสมัยมากเกินไป อาจส่งผลต่อความสมดุลและความครอบคลุมของกลยุทธ์สื่อภาพรวมของแบรนด์

การเลือกสื่อ: การผสมผสานสื่อระหว่างทีวี วิทยุ โฆษณาออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย จะช่วยทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างและหลากหลายได้อย่างสมดุล

 


 

2. สิงโต (มีความแข็งแกร่งและการเป็นผู้นำ)

 

สิงโต เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำ การตลาดสำหรับแบรนด์นี้ควรนำเสนอเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและอิทธิพลที่แข็งแกร่งของแบรนด์ ทั้งในด้านการเป็นผู้นำที่น่าเชื่อถือในตลาดและผู้นำด้านนวัตกรรม ซึ่งแบรนด์ต้องอาศัยความสามารถในการปรับตัวและการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจและความต้องการของผู้บริโภค การไม่ปรับตัวอาจทำให้ตำแหน่งการเป็นผู้นำตลาดของแบรนด์สั่นคลอนได้

 

Apple

 

คำอธิบายลักษณะ – แข็งแกร่งมีพลัง โดดเด่น และเป็นผู้นำ

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: Apple
  • ความหมาย: สิงโต เป็นตัวแทนของแบรนด์ที่แข็งแกร่งมีพลัง โดดเด่น และเป็นผู้นำที่มีอำนาจในตลาด
  • จุดแข็ง: พละกำลังที่แข็งแกร่ง ความโดดเด่น การเป็นผู้นำ และอำนาจ
  • จุดอ่อน: การเข้าถึงได้ยากและการขาดความยืดหยุ่น

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม

 

เน้นย้ำถึงพละกำลัง ความชัดเจน และการเป็นผู้นำ ใช้แคมเปญที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์เป็นผู้นำหรือผู้มีบทบาทที่โดดเด่นในธุรกิจ

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: สร้างเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและอิทธิพลที่แข็งแกร่งของแบรนด์ ชูบทบาทการเป็นผู้นำที่มีจุดยืนที่โดดเด่นและชัดเจนในธุรกิจ
  • ก้าวเป็นผู้นำ: เปิดตัวความคิดริเริ่มที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการเป็นผู้นำความก้าวหน้าในธุรกิจด้วยมาตรฐานที่ดีของแบรนด์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและบทบาทที่น่าเชื่อถือ

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • การครอบงำ: การนำเสนอภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและมีอิทธิพลที่เหนือกว่าเกินควร อาจทำให้ผู้บริโภคและพันธมิตรรู้สึกไม่สบายใจที่จะร่วมมือหรือสนับสนุนธุรกิจ
  • การละเลยการปรับตัว: การรักษาความเป็นผู้นำต้องอาศัยความสามารถในการปรับตัว และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจและความต้องการของผู้บริโภค การไม่ปรับตัวอาจทำให้ตำแหน่งการเป็นผู้นำตลาดของแบรนด์สั่นคลอนได้

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล: เปิดรับความก้าวหน้าด้านดิจิทัล โดยวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นผู้นำในการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคให้สะดวกสบายและล้ำสมัยยิ่งขึ้น
  • การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: แสดงความเป็นผู้นำของแบรนด์ในการส่งเสริมความยั่งยืนในการท่องเที่ยว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในแนวทางปฏิบัติที่มีความรับผิดชอบและมีความคิดก้าวหน้าในธุรกิจ

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การยึดติดธรรมเนียมเดิมมากเกินไป: แม้ว่าการปฏิบัติตามสิ่งดั้งเดิมเป็นสิ่งสำคัญ แต่การยึดติดมากเกินไปอาจขัดขวางความสามารถในการปรับตัวและการรับนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้แบรนด์ตามไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่กำลังพัฒนา

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

กลยุทธ์การสื่อสาร: สร้างสรรค์เรื่องราวที่น่าสนใจเพื่อขยายอิทธิพลและความเป็นผู้นำของแบรนด์ในตลาด ใช้สื่อที่ชัดเจนและแสดงถึงความกล้าเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง เน้นแคมเปญที่แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของแบรนด์และบทบาทที่หลากหลายในอุตสาหกรรม

กลยุทธ์การใช้สื่อ: ยืนยันถึงความแข็งแกร่งและการเป็นผู้นำของแบรนด์ผ่านการใช้สื่อที่มีอิทธิพลและเชื่อถือได้

กลยุทธ์การใช้สื่อที่ควรระวัง: ควรหลีกเลี่ยงสื่อที่ไม่มีอิทธิพลหรือสื่อมีความสำคัญน้อยเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำของแบรนด์

การเลือกสื่อ: ใช้การผสมผสานของทีวี โฆษณาออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และวิทยุอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสื่อสารถึงความแข็งแกร่งและมีอิทธิพลของแบรนด์

 


 

3. เสือชีตาห์ (การเป็นที่รับรู้และการมีปฏิสัมพันธ์สูง)

 

เสือชีตาห์ เด่นในเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์และการตอบสนองที่คล่องแคล่ว ว่องไว กลยุทธ์การตลาดควรเน้นไปที่ความคล่องตัวและความสามารถในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทันที และเน้นไปที่การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากต้องมุ่งเน้นไปที่ความเร็วและการปรับตัวอยู่เสมอ ทำให้เสือชีตาห์อาจมีปัญหาเรื่องของการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

 

Samsung

 

คำอธิบายลักษณะ – การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว รวดเร็ว และการมีปฏิสัมพันธ์

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: Samsung
  • ความหมาย: เสือชีตาห์แทนแบรนด์ที่มีการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว รวดเร็ว และการมีปฏิสัมพันธ์ โดยสามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการและแนวโน้มของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว
  • จุดแข็ง: ความเร็ว ความสามารถในการปรับตัว การมีปฏิสัมพันธ์และการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว
  • จุดอ่อน: อาจมีปัญหาเรื่องความสม่ำเสมอและการสร้างปฏิสัมพันธ์ในระยะยาว เนื่องจากต้องมุ่งเน้นไปที่ความเร็วและความสามารถในการปรับตัว

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นความเร็ว การมีปฏิสัมพันธ์ และการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ

 

ควรมุ่งเน้นไปที่ความคล่องตัวของแบรนด์ การมีปฏิสัมพันธ์เชิงรุก และการแสดงตัวตนที่มีชีวิตชีวาในทุกการเคลื่อนไหว โดยใช้กลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความกระฉับกระเฉงและการปรับตัวที่รวดเร็ว

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: พัฒนาเรื่องราวที่สื่อถึงการเคลื่อนไหวของแบรนด์ เผยถึงการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แสดงจุดยืนที่กระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนแปลงในด้านดิจิทัลที่กำลังพัฒนา สื่อให้เห็นถึงการตอบสนองของแบรนด์กับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ และความพึงพอใจของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว 
  • การตอบสนองและการมีส่วนร่วม: ใช้แคมเปญที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค สร้างกิจกรรมที่กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา ตอกย้ำให้ผู้บริโภคเห็นถึงธรรมชาติของแบรนด์ที่ขับเคลื่อนได้ตลอดเวลาอย่างว่องไว

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • การสูญเสียความน่าเชื่อถือ: การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตามเทรนด์ต่างๆ โดยไม่ได้ผ่านการคัดกรองให้ละเอียด อาจทำให้สูญเสียเอกลักษณ์หรือแก่นแท้ของแบรนด์ ซึ่งสามารถนำไปสู่การลดทอนมูลค่าของแบรนด์ได้
  • การขาดความหมายหรือสาระสำคัญ: การเน้นย้ำถึงความรวดเร็วและสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มากเกินไป อาจทำให้การสื่อสารของแบรนด์ต่อผู้บริโภคทั้งในด้านสินค้าและบริการขาดความหมาย ความลึกซึ้ง หรือมีสาระสำคัญน้อยลง

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การเติบโตของดิจิทัล: ใช้ประโยชน์จากการเติบโตของดิจิทัลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและการโต้ตอบกับผู้บริโภค โดยสื่อให้ผู้บริโภคเห็นถึงการปรับตัวที่คล่องแคล่วเข้ากับกระแส หรือการใช้งานดิจิทัลของผู้บริโภคเป็นสำคัญ
  • การให้คุณค่าทางด้านจิตใจ: ผสานความคิดริเริ่มที่สะท้อนถึงการตระหนักและการตอบสนองของแบรนด์ต่อความต้องการ ข้อกังวล หรือความรู้สึกของผู้บริโภค เผยให้ผู้บริโภคเห็นถึงความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของแบรนด์

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • ความซับซ้อน: การรักษาความชัดเจนและความกระชับในการสื่อสารของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญ การผสมผสานองค์ประกอบหรือแนวคิดต่างๆ ที่ซับซ้อนมากเกินไปอาจทำให้ข้อความของแบรนด์ที่ต้องการสื่อไปยังผู้บริโภคมีความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคสับสนได้

 

กลยุทธ์การสื่อสาร: เพื่อเน้นย้ำถึงธรรมชาติของแบรนด์ที่มีการเคลื่อนไหวและตอบสนองกับผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา แบรนด์ควรใช้การเล่าเรื่องที่ชัดเจน สื่อถึงการเคลื่อนไหวหรือความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยใช้สื่อที่กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง

กลยุทธ์สื่อ: ถ่ายทอดความเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวาและน่าดึงดูดของแบรนด์ผ่านสื่อที่กระฉับกระเฉงและหลากหลาย

กลยุทธ์สื่อที่ควรหลีกเลี่ยง: การพึ่งพาสื่อแบบดั้งเดิมที่เชื่องช้ามากเกินไป อาจไม่สื่อถึงภาพลักษณ์ที่มีชีวิตชีวาและมีความรวดเร็วของแบรนด์

การเลือกสื่อ: ใช้สื่อผสมระหว่างโฆษณาออนไลน์ โซเชียลมีเดีย ทีวี และวิทยุอย่างครอบคลุม เพื่อรักษาความเคลื่อนไหวของแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ

 


 

4. หงส์ (การเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งของการรับรู้แบรนด์และความสัมพันธ์กับลูกค้า)

 

หงส์ มีจุดเด่นคือผู้บริโภคมีการรับรู้ถึงแบรนด์เป็นอย่างดี และแบรนด์เองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีและลึกซึ้งกับผู้บริโภค กลยุทธ์การตลาดควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับผู้บริโภคผ่านการมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหงส์จะมีจุดเด่นในเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่แข็งแกร่ง แต่ก็อาจเผชิญกับความท้าทายในตลาดที่มีการแข่งขันทางด้านราคา ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเข้าถึงหรือจับต้องได้ยาก

 

Starbucks

 

คำอธิบายลักษณะ – โดดเด่น น่าจดจำ เป็นเลิศทางด้านความสัมพันธ์

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: Starbucks
  • ความหมาย: หงส์เป็นตัวแทนของแบรนด์ที่ผสมผสานระหว่างการรับรู้แบรนด์ที่แข็งแกร่งเข้ากับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับลูกค้า สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความมีตัวตน เป็นเอกลักษณ์
  • จุดแข็ง: มีภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่น่าจดจำ มีสายสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างแท้จริง แบรนด์มีคุณภาพที่เชื่อถือได้ และมีชื่อเสียงที่โดดเด่น
  • จุดอ่อน: ผู้บริโภคอาจรู้สึกเข้าไม่ถึงแบรนด์ เนื่องจากแบรนด์มีภาพลักษณ์ของความเลอค่า และมีความเสี่ยงที่จะลดทอนการรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภค

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นย้ำความโดดเด่นและความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค

 

เน้นย้ำภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำของแบรนด์ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้บริโภค จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เน้นถึงธรรมชาติของแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ความเป็นเลิศ แต่ก็สามารถเข้าถึงได้

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: ถ่ายทอดเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงการเดินทางของแบรนด์ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น รักษาเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าจดจำ และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับฐานลูกค้าในขณะเดียวกัน
  • การมีปฏิสัมพันธ์: จัดกิจกรรมหรือมอบประสบการณ์ที่แบรนด์สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับฐานลูกค้า เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งและยังคงความเข้าถึงแบรนด์ไว้ได้

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • การขยายขอบเขตที่กว้างเกินไป: หลีกเลี่ยงการขยายขอบเขตของแบรนด์ที่มากเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ภาพลักษณ์เฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ถูกบั่นทอนลง
  • การทำเหมือนกับแบรนด์อื่นๆ: หลีกเลี่ยงการปรับตัวให้สอดคล้องกับสิ่งที่แบรนด์ส่วนใหญ่ทำเพื่อรักษาเอกลักษณ์ที่แตกต่างของตนเอง

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การสร้างประสบการณ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค: ปรับตัวให้เข้ากับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในด้านการสร้างประสบการณ์กับแบรนด์ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของแบรนด์กับฐานผู้บริโภค
  • การสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคล: ออกแบบสินค้าหรือบริการที่ตรงตามความต้องการสำหรับผู้บริโภครายบุคคล แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของแบรนด์ต่อความชอบหรือความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การเข้าถึงคนทั่วไป: การเจาะตลาดไปที่กลุ่มผู้บริโภคทั่วไปอาจทำให้ภาพลักษณ์เฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เสียหาย

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

กลยุทธ์การสื่อสาร: บอกเล่าเรื่องราวโดยเน้นย้ำถึงอัตลักษณ์ที่เด่นชัดและแตกต่างของแบรนด์ รวมถึงแสดงความผูกพันที่มีต่อผู้บริโภค ใช้แพลตฟอร์มที่ทำให้เห็นภาพได้ดีเพื่อให้เป็นที่น่าจดจำ

กลยุทธ์การใช้สื่อ: ส่งเสริมเอกลักษณ์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ผ่านการวางสื่ออย่างเลือกสรร โดยรักษาภาพลักษณ์ที่เด่นชัด แตกต่างและน่าจดจำ

กลยุทธ์การใช้สื่อที่ควรระวัง: การสื่อสารสำหรับกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป เนื่องจากอาจลดทอนภาพลักษณ์เฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้

การเลือกสื่อ: รายการทีวียอดนิยม แพลตฟอร์มออนไลน์ งานกิจกรรม และการทำงานร่วมกับอินฟลูเอ็นเซอร์

 


 

5. เหยี่ยว (กลยุทธ์และความแม่นยำ)

 

เหยี่ยว เป็นแบรนด์ที่มีจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ ความมุ่งเน้น และความแม่นยำ โดยกลยุทธ์การตลาดควรเน้นย้ำในเรื่องของความสามารถในการวางแผนเพื่อส่งมอบสิ่งที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างตรงเป้าหมาย แต่เนื่องจากเหยี่ยวนั้นเจาะจงมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายเฉพาะทางมากเกินไป ทำให้ถูกมองว่ามีความเชี่ยวชาญแค่เฉพาะด้าน ไม่กว้างขวางและหลากหลาย

 

The North Face

 

คำอธิบายลักษณะ – กลยุทธ์ มุ่งเน้น แม่นยำ

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: The North Face
  • ความหมาย: เหยี่ยวเป็นตัวแทนของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในด้านการวางกลยุทธ์และวิธีการที่มุ่งเน้น สามารถนำเสนอทางออกที่แม่นยำสำหรับทุกปัญหาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
  • จุดแข็ง: ความเข้าใจในการวางกลยุทธ์ ความมุ่งเน้น ความแม่นยำ และความสามารถในการส่งมอบสิ่งที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างตรงเป้าหมาย
  • จุดอ่อน: เนื่องจากเหยี่ยวนั้นเจาะจงมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายเท่านั้น ทำให้มีจุดอ่อนในเรื่องของความหลากหลายและความยืดหยุ่น

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นกลยุทธ์เชิงลึกและความแม่นยำ

 

แบรนด์ควรแสดงให้เห็นถึงความฉลาดทางกลยุทธ์ ความแม่นยำที่พิถีพิถัน และการมุ่งเน้นที่เฉียบแหลม โดยออกแบบแคมเปญที่ได้มาจากการสังเกตและการคำนวณเป็นอย่างดีเพื่อเข้าถึงโอกาสต่างๆ

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: สร้างเรื่องราวที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงที่มาของกลยุทธ์ของแบรนด์ บอกถึงความสำเร็จที่ได้จากการวิเคราะห์และวางแผนไว้อย่างเฉียบคม แม่นยำ แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่มองการณ์ไกลในการทำธุรกิจ และความสามารถในการวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ของแบรนด์
  • แคมเปญที่ชัดเจนและเจาะลึก: ใช้ภาพที่ชัดเจน น่าสนใจ และมีเนื้อหาเชิงลึก เพื่อแสดงถึงความแม่นยำและกลยุทธ์ของแบรนด์ สื่อให้เห็นถึงความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดปลีกย่อย และการคำนวณของแบรนด์ที่แม่นยำ

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • ความไม่ยืดหยุ่นและความแข็งกร้าว: การวางแผนหรือโครงสร้างที่ไม่ยืดหยุ่นอาจทำให้แบรนด์มองข้ามนวัตกรรมหรือทางเลือกใหม่ๆ สำหรับการเติบโต ขัดขวางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด และพลาดโอกาสสำหรับการตอบสนองต่อโอกาสที่เกิดขึ้นใหม่
  • การเน้นรายละเอียดมากเกินไป: การให้ความสำคัญกับความประณีตและรายละเอียดมากเกินไปอาจทำให้แบรนด์มองไม่เห็นภาพกว้าง ทำให้สูญเสียการมองเห็นเป้าหมายหลักและภาพรวมของกลยุทธ์

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน: สอดคล้องกับการเน้นย้ำของผู้บริโภคที่มีมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเดินทางอย่างมีความรับผิดชอบของแบรนด์ ทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าแบรนด์มีกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับค่านิยมสมัยใหม่ และมีแนวปฏิบัติที่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
  • การสื่อสารการตลาดโดยใช้ AI: การสื่อสารการตลาดที่ปรับปรุงด้วย AI ใช้เครื่องมือ AI ขั้นสูงสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเชิงลึก คาดการณ์แนวโน้ม ปรับแต่งการสื่อสารรายบุคคล รวมถึงหากลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม แสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลด้านกลยุทธ์และแนวทางในการสื่อสารตลาดขั้นสูงของแบรนด์

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ: ถึงแม้ว่าการผสมผสานองค์ประกอบในด้านต่างๆ เพื่อการพัฒนาจะมีประโยชน์ แต่แบรนด์ควรระมัดระวังและมีการคำนวณถึงผลลัพธ์อย่างรอบคอบ โดยควรรักษาความต่อเนื่องและความสอดคล้องของภาพลักษณ์แบรนด์ และหลีกเลี่ยงการผสมผสานอันหลากหลายที่ทำให้แบรนด์นำเสนอสาระสำคัญอย่างไม่ตรงจุด

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

กลยุทธ์การสื่อสาร: ดึงดูดผู้ชมด้วยเรื่องราวที่เน้นถึงข้อมูลเชิงกลยุทธ์และความเชี่ยวชาญที่มุ่งเน้นของแบรนด์ ใช้สื่อที่ชัดเจนและตรงเป้าหมายเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ให้คุณค่ากับความชัดเจนและเข้าใจกลยุทธ์ พัฒนาแคมเปญที่เน้นย้ำถึงการเลือกที่พิถีพิถันและการรับรู้ที่เฉียบคมของแบรนด์ในด้านต่างๆ

กลยุทธ์การใช้สื่อ: แสดงกลยุทธ์และภาพลักษณ์ที่มุ่งเน้นของแบรนด์ผ่านการเลือกสื่อที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์การใช้สื่อที่ควรระวัง: การใช้สื่อทั่วไปและไม่มีการเจาะจงผู้บริโภคอาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ในเรื่องความเฉียบคมและความมุ่งเน้นถูกลดทอนลง

การเลือกสื่อ: ใช้สื่อผสม ได้แก่ ทีวี โฆษณาออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และวิทยุ เพื่อสื่อสารถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เฉียบคมและมีกลยุทธ์

 


 

6. ม้า (มีคุณค่าอย่างไม่หยุดนิ่งและมีความเป็นผู้นำตลาด)

 

ม้า เป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้นำตลาดที่มีคุณค่าและเชื่อถือได้ โดยการทำการตลาดควรมุ่งเน้นไปที่การแสดงถึงความเป็นผู้นำที่มีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งแบรนด์ม้านั้นเหมาะกับตลาดที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะมีความเป็นผู้นำที่สามารถกำหนดเทรนด์ให้แก่ตลาดได้ อย่างไรก็ดี แบรนด์ม้าอาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับกับตลาดเฉพาะทางให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องรักษาสมดุลของความเป็นผู้นำในตลาดทั่วไปไว้ให้ได้

 

IKEA

 

คำอธิบายลักษณะ – เต็มไปด้วยพลัง นำหน้า เชื่อถือได้

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: IKEA
  • ความหมาย: ม้าเป็นตัวแทนของแบรนด์ที่มีคุณค่าอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในตลาด เป็นแบรนด์ที่กำหนดเทรนด์และมีสมรรถนะในด้านต่างๆ ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
  • จุดแข็ง: ความเป็นผู้นำตลาด การใช้นวัตกรรม คุณภาพสินค้าและบริการที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และความทนทานของสินค้าที่ทำให้สินค้ามีความคุ้มค่า
  • จุดอ่อน: อาจพึ่งพาตำแหน่งผู้นำมากเกินไป ทำให้เกิดความพึงพอใจที่ขัดขวางการพัฒนา

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – แสดงถึงความเป็นผู้นำที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาและมีคุณค่าอย่างไม่หยุดยั้ง

 

เน้นย้ำถึงคุณค่าอันทรงพลังของแบรนด์และบทบาทของความเป็นผู้นำในตลาด พัฒนาแคมเปญที่เน้นความสามารถในการนำเทรนด์ และสื่อถึงความมุ่งมั่นในการส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: เล่าเรื่องราวการเดินทางของแบรนด์ในการเป็นผู้นำที่กำหนดเทรนด์ และส่งมอบคุณค่าอย่างต่อเนื่อง
  • สร้างแคมเปญผู้นำ: แสดงถึงความคิดริเริ่มและนวัตกรรมที่เสริมตำแหน่งของแบรนด์ในฐานะผู้นำตลาด

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • ความมั่นใจจนเกินไป: หลีกเลี่ยงการสร้างภาพลักษณ์ที่อาจดูอวดดีหรือไม่สนใจ ดูถูกคู่แข่ง
  • การไม่สนใจความคิดเห็น: แบรนด์ควรเปิดกว้างและรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า เพื่อหลีกเลี่ยงความพึงพอใจในตัวเองจนหยุดการปรับปรุงหรือพัฒนา

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน: แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในแนวทางปฏิบัติต่อความยั่งยืน และเป็นผู้นำให้แก่แบรนด์ต่างๆ ได้ปฏิบัติตาม
  • ขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยเทคโนโลยี: ปรับตัวให้สอดคล้องกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เน้นย้ำถึงคุณค่าที่ไม่หยุดนิ่งของแบรนด์ในยุคดิจิทัล

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • ความพยายามที่จะฉูดฉาด: การมีส่วนร่วมในกระแสระยะสั้นที่หวือหวาไม่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ของแบรนด์ อาจทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์เสื่อมเสียคุณค่าในด้านของความยั่งยืน

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

กลยุทธ์การสื่อสาร: ถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ที่มีคุณค่าอย่างไม่หยุดนิ่ง เน้นย้ำถึงการเป็นผู้นำ และพร้อมที่จะส่งต่อคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค โดยใช้ภาพและเนื้อหาที่น่าประทับใจ และสื่อถึงจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ

กลยุทธ์การใช้สื่อ: ส่งเสริมคุณค่าของแบรนด์และส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นผู้นำของแบรนด์ผ่านการเลือกสื่อที่มีอิทธิพลสูงและสะท้อนกับกลุ่มเป้าหมาย

กลยุทธ์การใช้สื่อที่ควรระวัง: การใช้สื่ออย่างไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจทำให้ภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำและคุณค่าที่สอดคล้องกันของแบรนด์ลดลง

การเลือกสื่อ: ลงสื่อในกิจกรรมหรือการแข่งขันกีฬาที่ได้รับความนิยม โฆษณาทีวีช่วงที่มีคนดูสูง แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีชื่อเสียง และทำงานร่วมกับอินฟลูเอ็นเซอร์

 


 

7. ลาบราดอร์ (เน้นและให้คุณค่ากับความสัมพันธ์)

 

ลาบราดอร์ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมิตร ความไว้วางใจ และการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค ควรมุ่งเน้นกลยุทธ์ไปที่ความเข้าถึงได้ง่าย ความน่าเชื่อถือ และความผูกพันอันแน่นแฟ้นของแบรนด์กับลูกค้า โดยแบรนด์ลาบราดอร์มีความเป็นเลิศในการรักษาความภักดีของลูกค้า อย่างไรก็ตาม หากให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากจนเกินไป อาจทำให้แบรนด์ละเลยการให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้า รวมถึงละเลยการปรับตัวให้เข้ากับนวัตกรรมที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในตลาดได้

 

Disney

 

คำอธิบายลักษณะ – เป็นมิตร เข้าถึงง่าย เน้นรักษาความสัมพันธ์

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: Disney
  • ความหมาย: ลาบราดอร์สื่อถึงแบรนด์ที่รู้จักกันดีในเรื่องของความเป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย ให้คุณค่ากับการสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
  • จุดแข็ง: เข้าถึงง่าย มีปฏิสัมพันธ์กับรอบข้าง และสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์ได้ดี 
  • จุดอ่อน: อาจมีปัญหาในการสร้างหรือรักษาภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูมั่นคงและจริงจัง เนื่องจากแบรนด์เน้นความเป็นมิตรและเข้าถึงได้เป็นหลัก

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นข้อมูลเชิงลึกและความแม่นยำ

 

แบรนด์ควรให้ความสำคัญกับการสร้างกลยุทธ์ที่ตรงประเด็น พิถีพิถัน และแม่นยำ โดยกลยุทธ์ควรได้มาจากการสังเกตและวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงลึกของแบรนด์

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: ใช้กลยุทธ์เล่าเรื่องราวที่อธิบายถึงที่มาหรือเรื่องราวของแบรนด์ บอกเล่าเส้นทางการเดินทางจนประสบความสำเร็จ รวมไปถึงวิสัยทัศน์เส้นทางในอนาคต 
  • การสร้างแคมเปญที่ลึกซึ้งและเฉียบคม: ใช้ภาพโฆษณาและเนื้อหาที่ลึกซึ้ง เพื่อสื่อสารชัดเจนในการเล่าเรื่องราวของแบรนด์ที่ผ่านการสร้างสรรค์อย่างละเมียดละไมละเอียดลออ

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • การขาดความยืดหยุ่น ปราดเปรียว: แผนงานที่ถูกตีกรอบหรือตั้งข้อกำหนดมากเกินไป อาจเป็นอุปสรรคในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการตอบสนองต่อโอกาสหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
  • การเน้นรายละเอียดมากเกินไป: การให้ความสำคัญกับความพิถีพิถันและรายละเอียดมากเกินไป อาจทำให้หลุดจากภาพรวม มองข้ามเป้าหมายและเดิมเกมกลยุทธ์ผิด

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ สอดคล้องกับทิศทางของแบรนด์ที่ตอบสนองต่อเทรนด์การรักษ์โลกและรับผิดชอบต่อสังคม
  • การสื่อสารทางการตลาดที่เสริมด้วย AI: ใช้เครื่องมือ AI เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเชิงลึก การคาดการณ์แนวโน้ม การสื่อสารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด แสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลและความล้ำสมัยในการสื่อสารการตลาดของแบรนด์

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การผสมผสานวัฒนธรรม: ในขณะที่การผสานวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควรนำมาปรับใช้ แบรนด์ควรระมัดระวังในเรื่องของความสอดคล้อง โดยต้องไม่ให้ขัดกับภาพรวมของแบรนด์ และยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดเจนดังเดิม

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

กลยุทธ์การสื่อสาร: แสดงถึงความเป็นมิตรและเข้าถึงได้ของแบรนด์ ใช้เรื่องราวที่อบอุ่น เน้นถึงคุณค่าของการสร้างความสัมพันธ์ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเข้าถึงแบรนด์ได้ง่าย สรรค์สร้างแคมเปญที่สร้างความเชื่อมั่นว่าแบรนด์จะอยู่เคียงข้างผู้บริโภคเสมอ

กลยุทธ์การใช้สื่อ: ใช้สื่อที่ทำให้ผู้บริโภคเห็นถึงความเป็นมิตรและมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ได้

กลยุทธ์การใช้สื่อที่ควรระวัง: การใช้สื่อที่ไม่ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมหรือสื่อที่เป็นทางการมากเกินไป อาจขัดขวางภาพลักษณ์ที่อบอุ่นและเข้าถึงได้ของแบรนด์

การเลือกสื่อ: การผสมผสานระหว่างโซเชียลมีเดีย ทีวี โฆษณาออนไลน์ และวิทยุ ทำให้เกิดการสื่อสารและความสัมพันธ์ที่เข้าถึงได้อย่างเป็นมิตร

 


 

8. เต่า (คุณค่าสูงและให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า)

 

เต่า มีจุดเด่นในการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพที่มั่นคงและมีความน่าเชื่อถือ การตลาดสำหรับแบรนด์เต่าควรเน้นย้ำถึงคุณค่าและความทนทานของผลิตภัณฑ์ในระยะยาว โดยถึงแม้ว่าแบรนด์เต่าจะขึ้นชื่อในเรื่องของความสม่ำเสมอและความทนทาน แต่ก็ไม่ควรละเลยการพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับแนวโน้มของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

Toyota

 

คำอธิบายลักษณะ – มั่นคง น่าเชื่อถือ มุ่งเน้นในเรื่องของผลิตภัณฑ์

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: Toyota
  • ความหมาย: เต่าสื่อถึงแบรนด์ที่มั่นคงและเชื่อถือได้ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าสูงและทนทาน
  • จุดแข็ง: ความน่าเชื่อถือ ความมั่นคง คุณค่าสูง และการเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์
  • จุดอ่อน: อาจมีปัญหากับการปรับตัวและนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมุ่งเน้นไปที่ความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของสินค้า

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นความทุ่มเท ความน่าเชื่อถือ และคุณภาพของสินค้า

 

มุ่งเน้นในการโชว์ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ และความมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง โดยเน้นย้ำถึงความทนทานยาวนานและประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: เล่าเรื่องราวของแบรนด์ที่เน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะทำให้สินค้ามีความสมบูรณ์ ความน่าเชื่อถือ และการเติบโตอย่างมั่นคง เพื่อที่จะสะท้อนให้เห็นถึงการส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
  • แคมเปญเน้นสินค้า: ปล่อยแคมเปญที่เน้นถึงความเยี่ยมยอดของสินค้า ความน่าเชื่อถือ และความมุ่งมั่นของแบรนด์ต่อคุณภาพสินค้า เพื่อสริมความไว้วางใจจากผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์ของแบรนด์

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • ความพึงพอใจ: การพึ่งพาความสำเร็จในอดีตมากเกินไปอาจขัดขวางนวัตกรรม และการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป นำไปสู่การสูญเสียความสำคัญหรือภาพลักษณ์ที่ดีมาตลอดของแบรนด์
  • การอนุรักษ์นิยมที่มากเกินไป: การมุ่งเน้นไปที่การอนุรักษ์นิยมที่มากเกินไป อาจทำให้มองข้ามความจำเป็นในการปรับตัวและวิวัฒนาการในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ อาจทำให้พลาดโอกาสใหม่ๆ ในตลาด

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • ประชากรที่สูงอายุ: ปรับแบรนด์ให้สอดคล้องกับความต้องการและความชอบของประชากรสูงอายุ สะท้อนถึงความไวและความสามารถในการปรับตัวไปสู่ความหลากหลายของประชากรในวัยต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและความน่าดึงดูดของแบรนด์ให้กับผู้ชมกลุ่มใหญ่ขึ้น
  • ตลาดงานฝีมือและผู้ผลิตสินค้าท้องถิ่น: วางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ที่สนับสนุนงานฝีมือและสินค้าท้องถิ่น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อคุณภาพ ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการสนับสนุนชุมชน ก่อให้เกิดการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคผ่านการให้คุณค่ากับงานฝีมือท้องถิ่น

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว: แม้ว่าการพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ทันสมัยเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่กะทันหันหรือมากเกินไปอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมั่นคง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการความสม่ำเสมอและความน่าเชื่อถือรู้สึกไม่สบายใจ

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

ด้านการสื่อสาร: สร้างเรื่องราวที่เน้นย้ำถึงความน่าเชื่อถือและความยาวนานของแบรนด์ โดยใช้สื่อที่ให้ความรู้สึกถึงความมั่นคงและยาวนาน เพื่อเชื่อมต่อกับผู้บริโภคที่ให้คุณค่ากับความน่าเชื่อถือและคุณภาพของสินค้า และควรให้ความสำคัญกับแคมเปญที่แสดงถึงความน่าดึงดูดและผลงานที่สม่ำเสมอของแบรนด์

ด้านสื่อ: เน้นความน่าเชื่อถือและความคงทนของแบรนด์ผ่านการวางกลยุทธ์ที่มั่นคงและสม่ำเสมอ

กลยุทธ์สื่อที่ควรระวัง: การพึ่งพาสื่อที่ผันผวนหรือไม่สม่ำเสมอ อาจทำลายภาพลักษณ์ที่มั่นคงและน่าเชื่อถือของแบรนด์

การเลือกสื่อ: ใช้การผสมผสานระหว่างทีวี โฆษณาออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และวิทยุ เพื่อรักษาการสื่อสารของแบรนด์ที่สม่ำเสมอและน่าเชื่อถือ

 


 

9. ผีเสื้อ (หลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้)

 

ผีเสื้อ เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่มีชีวิตชีวาและความหลากหลาย โดยควรมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดไปที่การนำเสนอความสามารถในการเปลี่ยนแปลง ความคิดสร้างสรรค์และแปลกใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่หยุดนิ่งในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม แม้แบรนด์ผีเสื้อจะให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการทำสิ่งใหม่ๆ แต่ก็อาจพบปัญหาในการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้สอดคล้องกัน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย รวมถึงอาจมีอุปสรรคในการเจาะกลุ่มผู้บริโภคหรือตลาดที่ยังคงมีความเป็นดั้งเดิมอยู่

 

H&M

 

คำอธิบายลักษณะ – การเปลี่ยนแปลง ความสดใส แปลกตา

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: H&M
  • ความหมาย: ผีเสื้อเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่มีสีสันและการเปลี่ยนแปลง สื่อถึงแนวคิดที่หลากหลาย สะท้อนให้เห็นถึงความไม่หยุดนิ่งในธุรกิจ
  • จุดแข็ง: การเปลี่ยนแปลง ความหลากหลาย สีสัน และแนวทางที่แปลกใหม่
  • จุดอ่อน: อาจพบปัญหาในการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้สอดคล้องกัน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นการเปลี่ยนแปลงและการแสดงออกที่หลากหลาย ควรมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ และความสามารถในการแสดงออกที่หลากหลายและมีสีสัน โดยใช้แคมเปญที่มีชีวิตชีวา ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของแบรนด์

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: พยายามร้อยเรื่องราวที่แสดงถึงการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงของแบรนด์และการแสดงออกที่หลากหลาย แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนาของแบรนด์อย่างก้าวกระโดด
  • แคมเปญที่มีชีวิตชีวา: ออกแบบแคมเปญที่มีสีสันและความหลากหลาย สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่หยุดยั้ง

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • การไม่สอดคล้องกัน: การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและความหลากหลายอาจนำไปสู่การไม่สอดคล้องในภาพลักษณ์และการสื่อสารของแบรนด์ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกสับสนได้
  • สไตล์ที่ไม่มีสาระ: การเน้นเฉพาะการแสดงออกที่มีสีสันและแปลกตาโดยไม่มีคุณค่าที่อยู่เบื้องหลัง อาจทำให้ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจต่อแบรนด์ลดลง

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การเน้นความสำคัญของจิตใจ: แบรนด์ควรปรับตัวให้มีความสอดคล้องกับจิตใจของผู้บริโภค สะท้อนถึงความเข้าใจในผู้บริโภคของแบรนด์
  • การผสมผสานวัฒนธรรม: การรวมองค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่หลากหลายเข้ากับการแสดงออกของแบรนด์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของแบรนด์ในการผสานองค์ประกอบจากหลายๆ ด้าน

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การเน้นย้ำที่มากเกินไปในเรื่องของศิลปะ: แม้ว่าความสวยงามและความน่าดึงดูดของสื่อจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเน้นที่มากเกินไปอาจทำให้เอกลักษณ์หรือมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์เจือจางลง

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

ด้านการสื่อสาร: ควรนำเสนอเรื่องราวที่ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงและการแสดงออกที่มีสีสันของแบรนด์ โดยใช้สื่อที่มีชีวิตชีวา เน้นการแสดงออกทางศิลปะและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ชื่นชอบความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลง

ด้านสื่อ: เน้นการเปลี่ยนแปลงและความหลากหลายของแบรนด์ผ่านการวางสื่อที่มีสีสันและนวัตกรรม

กลยุทธ์สื่อที่ควรระวัง: หลีกเลี่ยงสื่อที่เป็นสีโทนเดียว หรือสื่อที่ไม่เน้นการเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่มีชีวิตชีวาของแบรนด์

การเลือกสื่อ: ผสมผสานสื่อที่มีสีสัน เช่น ทีวี โฆษณาออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และวิทยุ เพื่อให้การสื่อสารของแบรนด์มีชีวิตชีวาและเปลี่ยนแปลงได้

 


 

10. โลมา (เน้นการเข้าถึงและความยอดเยี่ยมหลากหลาย)

 

โลมา สื่อถึงการมีปฏิสัมพันธ์ที่สนุกสนานและความเยี่ยมยอดในหลายๆ ด้าน โดยการทำการตลาดของแบรนด์โลมานั้นควรเน้นย้ำถึงความอเนกประสงค์ และความสามารถในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคในวงกว้างของแบรนด์ แม้ว่าโลมาจะมีจุดแข็งในเรื่องของความอเนกประสงค์และการมีปฏิสัมพันธ์ที่สนุกสนาน แต่ก็อาจพบปัญหาในเรื่องภาพลักษณ์ของแบรนด์ เนื่องจากผู้บริโภคอาจมองว่าแบรนด์ดูไม่จริงจังและไม่สม่ำเสมอ

 

Burger King

 

คำอธิบายลักษณะ – สนุกสนาน ดึงดูด ความเยี่ยมยอดที่หลากหลาย

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: Burger King
  • ความหมาย: โลมาเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความสนุกสนาน ความน่าดึงดูด ความโดดเด่น และปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นถึงความอเนกประสงค์และการปรับตัวได้ดีในหลายๆ ด้าน
  • จุดแข็ง: การมีส่วนร่วม ความหลากหลาย ความสนุกสนาน ความสามารถในการปรับตัว และความเยี่ยมยอดในหลายๆ ด้าน
  • จุดอ่อน: อาจพบปัญหาในการรักษาตัวตนของแบรนด์ที่สื่อถึงความมุ่งมั่นและสม่ำเสมอ เนื่องจากโลมานั้นเน้นความสนุกสนานเป็นหลัก

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นความสนุกสนาน การมีส่วนร่วม และความเยี่ยมยอดหลากหลายด้าน

 

ควรเน้นกลยุทธ์ที่แสดงถึงความเป็นธรรมชาติที่สนุกสนาน การดึงดูดใจ และความเยี่ยมยอดในหลายๆ ด้านของแบรนด์ โดยใช้แคมเปญที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคในวงกว้าง

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: พัฒนาเรื่องราวที่สามารถโชว์จิตวิญญาณที่เบิกบาน บุคลิกที่ดูมีส่วนร่วม และความเยี่ยมยอดที่หลากหลาย เสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เข้าถึงได้ง่ายและมีหลายมิติ
  • แคมเปญที่โต้ตอบกลับได้: สร้างแคมเปญที่หลากหลายมิติ สามารถมีส่วนร่วมโต้ตอบได้ สะท้อนถึงธรรมชาติที่สนุกสนานและมีสีสันของแบรนด์

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • การขาดความลึกซึ้ง: หากมุ่งเน้นไปที่ความสนุกสนานและความน่าดึงดูดโดยขาดความลึกซึ้ง อาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูไม่จริงจัง
  • ความหลากหลายที่มากเกินไป: การนำเสนอสีสันที่หลากหลายมากเกินไปโดยไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน อาจทำให้ผู้บริโภคสับสนและทำให้ตัวตนหลักของแบรนด์จางหายไป

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น: วางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นผู้นำในการปรับตัว สนับสนุนอิสระในการทำงานรูปแบบใหม่จากการทำงานที่สถานที่ใดก็ได้ สะท้อนถึงความหลากหลายและการก้าวไปข้างหน้าของแบรนด์
  • การสื่อสารการตลาดที่เสริมด้วย AI: นำเครื่องมือ AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค คาดการณ์แนวโน้ม และปรับแต่งการสื่อสารเฉพาะบุคคล แสดงให้เห็นถึงความเยี่ยมยอดและนวัตกรรมที่หลากหลายของแบรนด์

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การเน้นนวัตกรรมที่มากเกินไป: แม้ว่านวัตกรรมจะสำคัญ แต่การตามหานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องอาจทำให้ค่านิยมหลักและวิสัยทัศน์ระยะยาวของแบรนด์ถูกบดบัง ซึ่งอาจนำไปสู่การแสดงตัวตนของแบรนด์ที่ไม่สอดคล้องกัน

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

ด้านการสื่อสาร: พัฒนาเรื่องราวที่ทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วม โดยเน้นถึงความสามารถที่หลากหลายของแบรนด์ และการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคอย่างแข็งแกร่ง ใช้สื่อที่สนุกสนานและมีสีสันเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและความหลากหลาย

ด้านสื่อ: นำเสนอการมีส่วนร่วมและความหลากหลายของแบรนด์ผ่านการวางสื่อที่มีชีวิตชีวาและหลากหลาย

กลยุทธ์สื่อที่ควรระวัง: การพึ่งพาสื่อที่ไม่ทำให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์หรือสื่อจำเจ อาจทำให้ภาพลักษณ์ที่มีสีสันและน่าสนใจของแบรนด์ถูกทำลาย

การเลือกสื่อ: ใช้การผสมผสานของสื่อทีวี โฆษณาออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และวิทยุ เพื่อรักษาการสื่อสารของแบรนด์ที่มีชีวิตชีวาและน่าสนใจ

 


 

11. แพนด้า (ความมีเสน่ห์และความยอดเยี่ยม)

 

แพนด้า มีเสน่ห์และยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ควบคู่ไปกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม ควรมุ่งเน้นกลยุทธ์ไปที่การทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับแบรนด์ พร้อมกับการส่งมอบสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงในขณะเดียวกัน โดยถึงแม้ว่าแบรนด์แพนด้าจะเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อทางอารมณ์และมีคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยม แต่ก็อาจต้องประสบปัญหาในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันทางด้านราคาสูง รวมถึงอาจพบกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้แบรนด์เสียเอกลักษณ์ที่มีเสน่ห์

 

OREO

 

คำอธิบายลักษณะ – มีเสน่ห์ ให้ความสำคัญกับลูกค้า นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: OREO
  • ความหมาย: แพนด้าเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่มีเสน่ห์ภายใน มุ่งเน้นความสัมพันธ์กับลูกค้า เสนอผลิตภัณฑ์ที่มีระดับคุณภาพสูง
  • จุดแข็ง: มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า นำเสนอแต่ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง และมีเสน่ห์
  • จุดอ่อน: อาจพบกับความท้าทายในการปรับตัวเข้ากับกลยุทธ์การตลาดที่เปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป ที่อาจทำให้เสียเอกลักษณ์แบรนด์ที่มีเสน่ห์

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นความมีเสน่ห์และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม

 

ให้ความสำคัญในการเน้นย้ำถึงเสน่ห์ของแบรนด์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ สร้างแคมเปญที่เน้นความผูกพันกับลูกค้า

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: สร้างเรื่องราวที่เน้นความทุ่มเทให้กับคุณภาพและเสน่ห์ในความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • สัญลักษณ์ของความไว้วางใจ: ใช้การให้รางวัลกับลูกค้า เพื่อสื่อความมุ่งมั่นของแบรนด์ที่ต้องการเป็นที่รักและใส่ใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • การเปลี่ยนแปลงที่มากเกินไป: แม้ว่าการพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญ แต่แบรนด์ควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วหรือกว้างเกินไป ซึ่งอาจทำให้สูญเสียเอกลักษณ์และความมีเสน่ห์ของแบรนด์
  • การตลาดที่รวดเร็ว: แบรนด์ควรหลีกเลี่ยงกลยุทธ์การตลาดที่ดุดันจนเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ลูกค้าหลักเปลี่ยนใจได้

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • งานฝีมือ: โชว์ความทุ่มเทของแบรนด์ต่อคุณภาพและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยมือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำตามความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะรายบุคคล และผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนจำกัด
  • รีวิวจากลูกค้า: นำเสนอรีวิวจริงจากประสบการณ์ของลูกค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค และเป็นการเน้นย้ำเสน่ห์หรือจุดเด่นของแบรนด์

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • แฟลชเซลหรือส่วนลดที่มากจนเกินไป: กลยุทธ์ดังกล่าวอาจทำให้ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของแบรนด์ และมีมุมมองต่อแบรนด์ที่เปลี่ยนไป
  • การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างรวดเร็ว: การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกเบื่อและไม่เห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

ด้านการสื่อสาร: สร้างเรื่องราวที่อบอุ่นหัวใจ แสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ของแบรนด์ การส่งมอบแต่ผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ชม ใช้การผสมผสานระหว่างเนื้อหาที่เน้นอารมณ์และข้อเท็จจริง เพื่อดึงดูดทั้งความคิดและจิตใจของผู้บริโภค

ด้านสื่อ: ส่งเสริมความมีเสน่ห์และผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมของแบรนด์ผ่านสื่อทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ โดยทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะสื่อ

กลยุทธ์สื่อที่ควรระวัง: การให้รายละเอียดข้อมูลทางเทคนิคกับผู้บริโภคมากเกินไป หรือการเลือกใช้สื่อที่ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์

การเลือกสื่อ: ใช้สื่อทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณาออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย โดยให้ความสำคัญกับสื่อที่ช่วยส่งเสริมการแสดงออกของแบรนด์ และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค

 


 

12. จิ้งจอก (มีศักยภาพในการเติบโต)

 

จิ้งจอก มีความสามารถในการปรับตัวอย่างเฉลียวฉลาด และมีศักยภาพในการเติบโตสูง กลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ควรเน้นย้ำถึงแนวทางการประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพลิกโฉมตลาด สื่อถึงความพร้อมที่จะเติบโตแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง โดยถึงแม้ว่าจิ้งจอกจะเป็นแบรนด์ที่มีความสามารถในการพัฒนาที่ก้าวกระโดด แต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับการสร้างตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง รวมถึงสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคในระยะยาว

 

Spotify

 

คำอธิบายลักษณะ – เป็นแบรนด์ใหม่ที่มีความเฉลียวฉลาดและศักยภาพสูง

 

  • ตัวอย่างแบรนด์ที่มีลักษณะนี้: Spotify
  • ความหมาย: จิ้งจอกแทนแบรนด์ที่มีความเฉลียวฉลาด มีศักยภาพและสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้โดยการประยุกต์ใช้นวัตกรรม สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัว และความพร้อมที่จะเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่แข่งขันสูง
  • จุดแข็ง: มีศักยภาพในการปรับตัวและเติบโต ผ่านการวางกลยุทธ์ที่เฉลียวฉลาดและการปรับใช้นวัตกรรม
  • จุดอ่อน: เนื่องจากเป็นแบรนด์ใหม่ที่กำลังเติบโต จึงต้องใช้ความพยายามสูงในการสร้างแบรนด์ รวมถึงสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค

 

กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม – เน้นย้ำถึงศักยภาพในการเติบโต และการใช้นวัตกรรมสร้างโอกาสและการรับรู้ถึงแบรนด์ของผู้บริโภค โดยบอกเล่าถึงความสามารถทางนวัตกรรมของแบรนด์ เน้นการโชว์ศักยภาพในการปรับตัวและพัฒนา สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตที่ก้าวกระโดดในอนาคต

 

ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาด:

 

  • การสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์: บอกเล่าถึงความก้าวหน้าของแบรนด์ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ผ่านกระบวนการใช้นวัตกรรมในการพัฒนาจนมาถึงปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตของแบรนด์
  • สัญลักษณ์ของความไว้วางใจ: นำเสนอรางวัลการันตีจากที่ต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพในการพัฒนาของแบรนด์ในตลาด

 

กลยุทธ์การตลาดที่ควรระมัดระวัง:

 

  • ข้อความที่เกินจริง: ควรสื่อสารกับผู้บริโภคเฉพาะในสิ่งที่แบรนด์สามารถทำได้จริงเท่านั้น เพื่อไม่ให้แบรนด์สูญเสียชื่อเสียงและความไว้วางใจจากผู้บริโภค
  • การสื่อสารที่ไม่ต่อเนื่อง: เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้บริโภคต้องการข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่ขัดแย้งและไม่ต่อเนื่องกัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือและการเติบโตของแบรนด์

 

เทรนด์ที่ควรจับตามอง:

 

  • การเติบโตของดิจิทัล: ใช้ความก้าวหน้าของนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาแบรนด์ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
  • การใช้ AI สำหรับการสื่อสารการตลาด: การนำ AI มาใช้เพื่อปรับแต่งกลยุทธ์ สามารถแสดงให้เห็นถึงแนวทางที่ก้าวหน้า และความมุ่งมั่นในการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตของแบรนด์

 

เทรนด์ที่ควรระวัง:

 

  • การผสมผสานทางวัฒนธรรม: แม้ว่านวัตกรรมจะเป็นกุญแจสำคัญ แต่การผสมผสานนวัตกรรมที่หลากหลายมากจนเกินไป อาจทำให้เอกลักษณ์ของแบรนด์จืดจางลง ดังนั้นจึงควรรักษาสมดุลของการประยุกต์ใช้นวัตกรรมให้สอดคล้องพอดีกัน

 

กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม:

 

ด้านการสื่อสาร: สร้างเรื่องราวของแบรนด์น้องใหม่ที่มีความสามารถในการปรับตัวและมีศักยภาพในการเติบโต โดยใช้สื่อรูปแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่นเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้บริโภค ที่ให้คุณค่าในเรื่องของศักยภาพและการปรับตัว

ด้านสื่อ: เน้นถึงการเติบโตและความสามารถในการปรับตัวของแบรนด์ผ่านการลงสื่อที่แปลกใหม่ และมีการเปลี่ยนแปลงสื่ออยู่สม่ำเสมอ

กลยุทธ์สื่อที่ควรระวัง: หลีกเลี่ยงการพึ่งพาสื่อรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่มีการปรับเปลี่ยน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่เติบโตและปรับตัวได้ของแบรนด์

การเลือกสื่อ: ใช้สื่อผสมทั้งทีวี โฆษณาออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และวิทยุ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและน่าสนใจ

 

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามกิจกรรมเพื่อลุ้นและมีส่วนร่วมกับ The Surfer Kits ได้ทาง Facebook Fanpage: MI GROUP 

The post คำแนะนำถึง ‘แบรนด์’ เพื่อรับมือมรสุมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดถาโถมในโลกธุรกิจ และกระแสคลื่นของความผันผวนที่ไม่เคยหยุดซัดในปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>