การปรับลดภาษี – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 30 Oct 2025 01:48:33 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 อนุทิน ดีลตรง ‘ทรัมป์’ ขอปรับลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่า 19% บอกแนวโน้มดี https://thestandard.co/anuthin-trump-apec-meeting-us-tariff-reduction-thai-cambodia-peace/ Thu, 30 Oct 2025 01:02:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1137174 anuthin-trump-apec-meeting-us-tariff-reduction-thai-cambodia-peace

วันนี้ (29 ตุลาคม) ที่สาธารณรัฐเกาหลี อนุทิน ชาญวีรกูล […]

The post อนุทิน ดีลตรง ‘ทรัมป์’ ขอปรับลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่า 19% บอกแนวโน้มดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
anuthin-trump-apec-meeting-us-tariff-reduction-thai-cambodia-peace

วันนี้ (29 ตุลาคม) ที่สาธารณรัฐเกาหลี อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงอาหารค่ำพิเศษสำหรับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก (APEC) ซึ่งจัดขึ้นโดยอี แช-มยอง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในฐานะเจ้าภาพว่า ได้ถือโอกาสขอบคุณอีกครั้งที่สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการประสานงาน ‘ข้อตกลงสันติภาพไทย–กัมพูชา’ ซึ่งขณะนี้ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มดำเนินการตามข้อตกลง โดยมีเป้าหมายให้บรรลุผลโดยเร็วที่สุด


อนุทินกล่าวว่า ในการพูดคุยยังได้หารือถึงประเด็นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปยังสหรัฐฯ โดยได้ขอให้สหรัฐฯ พิจารณาปรับลดอัตราภาษีเพื่อให้ไทยได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่าปัจจุบัน ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์รับปากว่าจะประสานกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เพื่อพิจารณาแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากที่สุด


“ได้พูดคุยกันมาแล้วสองครั้ง ตั้งแต่การประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย และมาย้ำอีกครั้งในการประชุมเอเปคที่เกาหลี ซึ่งครั้งนี้ท่านทรัมป์ยังจำได้ดี และหลังจากพูดคุยกันเสร็จ ท่านยังเดินกลับมาบอกว่าจะไปคุยกับผู้แทนการค้าให้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก” อนุทินกล่าว


นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การพบปะครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่นานาประเทศมีต่อประเทศไทยมากขึ้น โดยตลอดการประชุมอาเซียนและเอเปก มีผู้นำหลายประเทศตอบรับเข้าหารือทวิภาคีกับไทย อาทิ นายกรัฐมนตรีแคนาดา นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน และอี แชมย็อง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ รวมถึงภาคธุรกิจรายใหญ่ เช่น บริษัท SK Bioscience ที่อยู่ระหว่างการเตรียมลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับองค์การเภสัชกรรม เพื่อผลิตวัคซีนสำคัญในประเทศไทย


ทั้งนี้ บรรยากาศการพูดคุยระหว่าง อนุทินกับโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นไปอย่างชื่นมื่นและเป็นกันเอง โดยทั้งสองได้จับมือทักทายกัน และประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้สัมผัสไหล่นายกรัฐมนตรีไทยด้วย

The post อนุทิน ดีลตรง ‘ทรัมป์’ ขอปรับลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่า 19% บอกแนวโน้มดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘One Big, Beautiful Bill Act’ ลดภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์ สะเทือนโลกการลงทุนอย่างไร? https://thestandard.co/one-big-beautiful-bill-act/ Wed, 25 Jun 2025 02:00:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1086763

หนึ่งในภารกิจที่สำคัญที่สุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบ […]

The post ‘One Big, Beautiful Bill Act’ ลดภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์ สะเทือนโลกการลงทุนอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>

หนึ่งในภารกิจที่สำคัญที่สุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2025 คือการผลักดันแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ระลอกที่สอง หรือที่ถูกเรียกในชื่อ ‘One Big, Beautiful Bill Act’ (OBBBA) ซึ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 22 พฤษภาคม 2025 ด้วยคะแนน 215-214 ซึ่งกำลังรอการพิจารณาในวุฒิสภา หากผ่านคาดว่าจะเสนอประธานาธิบดีลงนามภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025

 

โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีส่วนใหญ่จากกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) ปี 2017 ที่กำลังจะหมดอายุลง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐหลายรายการ ตั้งแต่การปฏิรูปโครงการประกันสุขภาพ (Medicaid) และความช่วยเหลือด้านอาหาร ไปจนถึงงบประมาณกลาโหมและความมั่นคงชายแดน 

 

การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ มักสร้างแรงสั่นสะเทือนไปสู่ตลาดการเงินโลก และก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า นโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างไร บทความนี้ UOB Privilege Banking จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ ‘One Big, Beautiful Bill Act’ พร้อมวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง เพื่อให้นักลงทุนสามารถเตรียมพร้อมและวางกลยุทธ์จัดพอร์ตได้อย่างทันท่วงที

 

เจาะลึกไส้ใน ‘One Big, Beautiful Bill Act’

 

ภายใต้ร่างกฎหมายที่มีรายละเอียดมากมายกว่า 1,000 หน้า ประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายนี้คือเรื่องการลดภาระภาษีของประชาชน หลายมาตรการมาจากนโยบายที่ทรัมป์หาเสียงไว้ในปีที่แล้ว มีการขยายมาตรการภาษีจาก Tax Cuts and Jobs Act ปี 2017 ให้เป็นถาวร ยกเว้นภาษีทิป ค่าล่วงเวลา และการหักลดหย่อนดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์ 

 

ทั้งยังเพิ่มการหักลดหย่อนสำหรับผู้เสียภาษีระดับมลรัฐและภาษีระดับท้องถิ่น (SALT) จาก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 40,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี และยังเพิ่มเครดิตภาษีเด็กเป็น 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2026 จะยกเว้นภาษีมรดกและการให้มูลค่า 15 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ 

 

นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งบัญชีออมทรัพย์สำหรับเด็กในโครงการ Trump Account โดยรัฐบาลจะฝากเงินเริ่มต้น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้เด็กที่เกิดในปี 2024-2028 และผู้ปกครองออมเพิ่มได้สูงสุด 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยได้รับสิทธิทางภาษี และถอนใช้เพื่อการศึกษา ฝึกอาชีพ หรือซื้อบ้านหลังแรกเมื่อบรรลุนิติภาวะ

 

รวมถึงยังมีนโยบายที่สนับสนุนภาคธุรกิจ โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการทำวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) มาหักค่าใช้จ่ายได้ และส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กด้วยการให้หักค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ทั้งยังมีการปฏิรูปเครดิตภาษีพลังงานสะอาดซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มการลงทุนของภาคธุรกิจ และเป็นประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจ

 

นอกจากประเด็นด้านการลดภาษี ร่างกฎหมายนี้ยังมีการจัดสรรงบประมาณด้านกลาโหม 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธ เพิ่มความสามารถของกองทัพ และยกระดับสวัสดิการทหาร และนโยบายด้านแรงงานข้ามชาติทั้งงบประมาณเพื่อก่อสร้างกำแพงชายแดน เพิ่มเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนชายแดน โครงการความมั่นคงชายแดน และการเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย

 

One Big, Beautiful Bill Act ก็ยังมีประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่างชาติด้วยคือ ‘Section 899’ ซึ่งเป็นมาตรการตอบโต้ทางภาษีที่มีการเรียกเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ โดยจะเพิ่มอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ของเงินปันผลสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ในอัตรา 5-20% เป็นการทยอยปรับเพิ่มขึ้นปีละ 5% ส่งผลให้ความน่าสนใจของหุ้นปันผลอาจลดลง 

 

แต่คาดว่าผลกระทบจะอยู่ในระดับที่จำกัด เพราะนโยบายนี้ไม่ได้ใช้กับนักลงทุนต่างชาติทุกราย แต่มีการมุ่งเป้าไปที่นักลงทุนบางประเทศที่สหรัฐฯ มองว่ามีการเก็บ ‘ภาษีต่างประเทศที่ไม่เป็นธรรม’ เช่น ภาษีบริการดิจิทัล (Digital Services Tax) ของแคนาดา เป็นต้น 

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ‘Section 899’ น่าจะเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรอง มากกว่าที่จะบังคับใช้จริง และแนะนำให้นักลงทุนรอดูความชัดเจนก่อน ซึ่งรายละเอียดของร่างกฎหมายยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ในชั้นของวุฒิสภา 

 

เศรษฐกิจจะโตได้จริงหรือแค่วาดฝัน?

 

แน่นอนว่าในหลายๆ ส่วนของ One Big, Beautiful Bill Act ได้เสริมสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนมากขึ้น ภาระภาษีที่ลดลงอาจช่วยสนับสนุนการบริโภคและการเติบโตของกำไรบริษัท รวมถึงส่งเสริมการลงทุนที่มากขึ้น แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจจะเกิดขึ้นในระยะสั้น และผลในระยะยาวอาจจะไม่มากนัก 

 

มีการคาดการณ์ว่าจากนโยบายของ One Big, Beautiful Bill Act นี้ จะส่งผลให้ GDP สหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 0.4% ในปี 2026-2034 เพราะแม้ว่าการลดภาษีจะสร้างแรงจูงใจในการทำงานและลงทุน แต่ผลกระทบเชิงบวกเหล่านี้ อาจถูกหักล้างด้วยผลกระทบเชิงลบจากการกู้ยืมของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล 

 

ความกังวลด้านการขาดดุลงบประมาณที่จะเพิ่มสูงขึ้น จะลดทอนการเติบโตในระยะยาว 

 

สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) คาดการณ์ว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ขึ้นอีกประมาณ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลา 10 ปี สถาบันจัดอันดับเครดิต Moody’s ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมคาดการณ์ว่าอัตราหนี้ต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นจากราว 100% สู่ระดับ 134% การเพิ่มขึ้นของหนี้ในระดับนี้ จึงอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะยาว 

 

ประเด็นนี้ได้ไปกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ปรับตัวสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี พุ่งทะลุระดับ 5% สะท้อนความไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาลทรัมป์   

 

นอกจากนี้ การประเมินดังกล่าวยังไม่ได้รวมผลกระทบเชิงลบจากความตึงเครียดทางการค้าและการลดการย้ายถิ่นฐาน ซึ่ง Tax Foundation ประเมินแยกต่างหากว่า นโยบายภาษีการค้าของทรัมป์อาจลดผลผลิตลงถึง 0.8% ซึ่งจะหักล้างผลกระทบเชิงบวกจากแผนลดภาษีนี้ทั้งหมด

 

ตลาดหุ้นยังแข็งแกร่ง แต่บทสรุปสำหรับนักลงทุนคืออะไร?

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ปัจจัยหนุนมาจากเศรษฐกิจและผลประกอบการที่ยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับความเชื่อมั่นต่อเทรนด์ AI ที่กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การที่มูลค่าหุ้น (Valuation) กลับมาสูง ทำให้ตลาดมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยกระทบใหม่ๆ มากขึ้น 

 

บทเรียนสำคัญที่สุดจากการลงทุนในปี 2025 คือ “การตื่นตระหนกและตอบสนองต่อทุกการประกาศนโยบายที่ยังไม่ถูกบังคับใช้เป็นกลยุทธ์ที่ล้มเหลว” กระบวนการออกกฎหมายมีความซับซ้อนและอาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะถึงจุดที่ต้องผ่านกฎหมายจริงๆ 

 

ในสภาวะตลาดเช่นนี้ UOB Privilege Banking เชื่อว่า กลยุทธ์ที่สุขุมที่สุดคือ “การเพิกเฉยต่อเสียงรบกวนให้ได้มากที่สุด และตอบสนองต่อข้อเท็จจริงเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว” 

 

จัดพอร์ตรับมืออย่างไร? 

 

UOB Privilege Banking แนะนำให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง (Diversification) มีความหลากหลายในการลงทุน ทั้งภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเลือกลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดี 

 

อีกทั้งในสถานการณ์ที่ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลการลงทุนให้จะช่วยให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสในทุกสภาวะตลาด เช่นการลงทุนผ่านกองทุน CIO Fund ที่มีทีม CIO (Chief Investment Officer) จาก UOB Singapore ช่วยดูแลปรับพอร์ตให้อย่างใกล้ชิดและเชิงรุก (Active) มีการกระจายการลงทุนทั่วโลกในทุกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับภาวะตลาด โดยมีให้เลือก 2 กองทุนด้วยกัน 

 

นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ดังนี้ 

  1. UIFT-N (กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ อินคัม ฟันด์ TH) ความเสี่ยงระดับ 5 นโยบายการลงทุนหลักจะลงทุนในหุ้น 50 : ตราสารหนี้ 50 เป็นลักษณะของกองทุนผสม เน้นการสร้างสมดุลให้พอร์ต 

 

  1. UGFT (กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ โกรท ฟันด์ TH) ความเสี่ยงระดับ 6 นโยบายการลงทุนหลักจะลงทุนในหุ้น 80 : ตราสารหนี้ 20 เน้นการเติบโตระยะยาว  

 

สำหรับท่านที่สนใจเพิ่มเติม สามารถศึกษารายละเอียดและติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking 

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

 

UOB_Privilege-Banking

The post ‘One Big, Beautiful Bill Act’ ลดภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์ สะเทือนโลกการลงทุนอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. ลดภาษีที่ดิน 50% สำหรับโรงผลิตน้ำประปา เพื่อลดต้นทุนให้กิจการสาธารณูปโภคพื้นฐาน https://thestandard.co/gov-tax-reduction-water-plant/ Tue, 17 Dec 2024 11:00:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1020625 gov-tax-reduction-water-plant

วันนี้ (17 ธันวาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล คารม พลพรกลาง รองโ […]

The post ครม. ลดภาษีที่ดิน 50% สำหรับโรงผลิตน้ำประปา เพื่อลดต้นทุนให้กิจการสาธารณูปโภคพื้นฐาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
gov-tax-reduction-water-plant

วันนี้ (17 ธันวาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

 

คารมกล่าวว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดให้ที่ดินเป็นที่ตั้งของโรงผลิตน้ำประปา รวมถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวเนื่องกับการผลิตน้ำประปา ได้รับการลดภาษีในอัตราร้อยละ 50 ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย และให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ต้องเริ่มดำเนินการสำรวจที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในวันที่ 1 มกราคม 2568 อันจะทำให้ อปท. สามารถจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตน้ำประปาให้แก่กิจการผลิตน้ำประปาซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ

 

กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว ตามมาตรา 27 และมาตรา 32 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยรายงานว่าการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวจะทำให้ อปท. สูญเสียรายได้ประมาณ 54.45 ล้านบาทต่อปี แต่จะเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตน้ำประปาให้แก่กิจการผลิตน้ำประปาซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ อันจะเป็นการส่งเสริมการดำเนินกิจการผลิตน้ำประปาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม

 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการผลิตน้ำประปายังคงมีภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่ตั้งของอาคารซ่อมและบำรุงรักษาภายในโรงงานผลิตน้ำโดยไม่ได้รับการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามมาตรการดังกล่าว

The post ครม. ลดภาษีที่ดิน 50% สำหรับโรงผลิตน้ำประปา เพื่อลดต้นทุนให้กิจการสาธารณูปโภคพื้นฐาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: สรุปมาตรการลดภาษีหนุนรถยนต์ไฟฟ้า HEV รอบใหม่ | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-06122024-4/ Fri, 06 Dec 2024 10:05:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1016619

สรุปมาตรการลดภาษีหนุนรถยนต์ไฟฟ้า HEV รอบใหม่ จากที่ประช […]

The post ชมคลิป: สรุปมาตรการลดภาษีหนุนรถยนต์ไฟฟ้า HEV รอบใหม่ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

สรุปมาตรการลดภาษีหนุนรถยนต์ไฟฟ้า HEV รอบใหม่ จากที่ประชุมบอร์ด EV ติดตามรายละเอียดได้ในไฮไลต์นี้

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: สรุปมาตรการลดภาษีหนุนรถยนต์ไฟฟ้า HEV รอบใหม่ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
KResearch เตือนขึ้น VAT จ่อดัน ‘เงินเฟ้อ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ หวั่นแนวทางภาษีใหม่สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น https://thestandard.co/krresearch-warning-vat-increase-inflation-inequality/ Wed, 04 Dec 2024 10:42:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1016039 KResearch เตือนขึ้น VAT จ่อดัน ‘เงินเฟ้อ’

KResearch เตือนปรับขึ้น VAT จ่อดัน ‘เงินเฟ้อ’ อย่างหลีก […]

The post KResearch เตือนขึ้น VAT จ่อดัน ‘เงินเฟ้อ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ หวั่นแนวทางภาษีใหม่สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
KResearch เตือนขึ้น VAT จ่อดัน ‘เงินเฟ้อ’

KResearch เตือนปรับขึ้น VAT จ่อดัน ‘เงินเฟ้อ’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวั่นแนวทางภาษีใหม่สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น พร้อมแนะรัฐบาลอาจพิจารณาขึ้น VAT เฉพาะกลุ่มสินค้า และเพิ่มรายได้ภาครัฐจากภาษีความมั่งคั่งอื่นๆ เช่น ภาษีที่ดิน พร้อมเตรียมมาตรการเสริมอื่นๆ ควบคู่ด้วย อย่างเช่น Negative Income Tax

 

วันนี้ (4 ธันวาคม) ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) กล่าวถึงกรณีที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยระบุว่า จากการประเมินโดยคร่าวๆ พบว่าการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.8%

 

“ในตะกร้าเงินเฟ้อของไทยมีสินค้าที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ราว 60% ดังนั้นถ้าเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม 3% อัตราเงินเฟ้อก็จะเพิ่ม 1.8% โดยคร่าวๆ ภายใต้สมมติฐานที่ว่าผู้คนไม่ได้ใช้จ่ายลดลง” ณัฐพรกล่าว

 

ทำไมรัฐบาลไทยมีแนวคิดเตรียมปรับขึ้น VAT

 

ณัฐพรวิเคราะห์อีกว่า เหตุผลที่รัฐบาลต้องการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มมาจากความต้องการที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นผ่านการลดต้นทุนภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) และต้นทุนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลลง (Personal Income Tax) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยกลับมีพื้นที่การคลังจำกัด เนื่องจากปัจจุบันหนี้สาธารณะไทยมีแนวโน้มเข้าใกล้เพดานที่ระดับ 70% ต่อ GDP แล้ว ขณะที่การขาดดุลการคลังของไทยก็ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ต่างจับตามอง

 

ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงมีความจำเป็นที่ต้องหารายได้มาชดเชย (Offset) จึงตัดสินใจศึกษาการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาลรองจากภาษีเงินได้ (Income Tax)

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลจากกระทรวงการคลังแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้เกือบ 1 ล้านล้านบาท (947,284 ล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) สูงกว่าประมาณการ 3.4% และสูงกว่าปีก่อน 3.7% ขณะที่จัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 783,339 ล้านบาท และจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 415,435 ล้านบาท

 

วันนี้พิชัยกล่าวถึงแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% ว่าเป็นแค่การศึกษาเท่านั้น โดยจะพิจารณาผลการศึกษา รวมไปถึงข้อดีและข้อเสียอีกครั้ง พร้อมรับฟังความคิดเห็นให้รอบด้าน เนื่องจากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

 

เศรษฐกิจไทยพร้อมหรือไม่สำหรับการปรับขึ้น VAT

 

ณัฐพรกล่าวว่า 2 ปัจจัยหลักที่รัฐบาลควรพิจารณาหากต้องการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/67 ขยายตัว 3%YoY เร่งขึ้นจากการขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 2/67

 

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ในเดือนพฤศจิกายนสูงขึ้น 0.95% (YoY) ต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่ CPI เฉลี่ย 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน) ของปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 สูงขึ้น 0.32% (AoA)

 

สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าในปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 2.4% ช้าลงกว่าปี 2567 เล็กน้อยที่คาดว่าจะขยายตัว 2.6% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% ในปี 2567 และ 0.7% ในปี 2568

 

หวั่นแนวทางภาษีใหม่สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น

 

ณัฐพรยังห่วงว่าแนวทางภาษีใหม่ดังกล่าวที่จะปรับลดภาษีเงินได้ลง แต่ปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม อาจทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในไทยแย่ลง เนื่องจากการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เสียภาษี 15% ขึ้นไปเท่านั้น แต่การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกคน

 

ดังนั้นณัฐพรจึงแนะว่า ก่อนจะเริ่มแนวทางภาษีใหม่ ภาครัฐควรต้องอุดผลกระทบทางลบที่จะตามมาให้หมดก่อน โดยอาจต้องมีมาตรการเสริมอื่นๆ อย่างเช่น Negative Income Tax

 

แนะรัฐบาลขึ้น VAT เฉพาะกลุ่มสินค้า และเพิ่มรายได้จากภาษีความมั่งคั่งอื่นๆ

 

บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด แนะว่า รัฐบาลอาจพิจารณาปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะกลุ่ม โดยยกตัวอย่างสหราชอาณาจักรว่า ปัจจุบันเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 20% แต่ยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับสินค้าจำเป็น เช่น อาหารบางประเภท นม และผ้าอนามัย

 

นอกจากนี้ บุรินทร์ยังแนะว่า รัฐบาลอาจเพิ่มรายได้จากภาษีความมั่งคั่งอื่นๆ เช่น ภาษีที่ดิน

The post KResearch เตือนขึ้น VAT จ่อดัน ‘เงินเฟ้อ’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ หวั่นแนวทางภาษีใหม่สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. จัดแพ็กเกจ​ชุดใหญ่​ ออก​มาตรการช่วยประชาชน​-ผู้ประกอบการ​ ลดภาษี​ ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ https://thestandard.co/cabinet-big-package-for-people/ Tue, 15 Oct 2024 08:11:20 +0000 https://thestandard.co/?p=996063

วันนี้ (15 ตุลาคม) จิรายุ​ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนาย […]

The post ครม. จัดแพ็กเกจ​ชุดใหญ่​ ออก​มาตรการช่วยประชาชน​-ผู้ประกอบการ​ ลดภาษี​ ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (15 ตุลาคม) จิรายุ​ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี​ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ แพทอง​ธาร​ ชิน​วัตร​ นายก​รัฐมนตรี​ สั่งการต่อที่ประชุม​ ครม.​ โดยเฉพาะมาตรการเยียวยาให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่กว่า 50 จังหวัด ซึ่งมีการอนุมัติเงินฟื้นฟูปัญหาต่างๆ ให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย​ 9,000 บาทต่อครัวเรือนไปแล้ว​ โดยรัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานฟื้นฟูชีวิตและฟื้นรายได้จำนวนครัวเรือนละ 1 หมื่นบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจ รวมไปถึงการยกเว้นค่าไฟฟ้าและน้ำประปาในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยคาดว่าในสัปดาห์หน้าจะทราบว่ามีอยู่กี่ครัวเรือน

 

นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กระทรวงการคลังมีมาตรการด้านภาษี​เพื่อลดค่าใช้จ่าย ตลอดจนสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูที่พักอาศัยและธุรกิจต่างๆ คือ

 

  1. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เท่ากับจำนวนเงินชดเชยที่ได้รับจากรัฐบาล
  2. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับบริษัท​และห้างหุ้นส่วนจำกัด​ที่ได้รับการช่วยเหลือ​

 

นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังจัดทำโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ตามวงเงินที่ได้อนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ 5 หมื่นล้านบาท และผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำไม่เกิน 3.5% ต่อปี ในระยะเวลา 2 ปี โดยจะมีวงเงินประมาณ 40 ล้านบาท ซึ่งรายละเอียดสามารถสอบถามได้จากธนาคารที่ประชาชนใช้บริการอยู่ ทั้งธนาคารรัฐและธนาคารพาณิชย์ 16 แห่งที่ร่วมโครงการ

 

นอกจากนี้ยังมีโครงการของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บยส.) ที่เป็นวงเงินค้ำประกันสินเชื่อประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยวงเงินต่อราย 1 หมื่นบาท – 2 ล้านบาท ค่าธรรมเนียม​ 1.25% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี โดยธนาคารออมสินยังมีการช่วยเหลือลูกหนี้เดิม โดยจะมีการพักชำระหนี้เงินต้นโดยไม่คิดอัตราดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน สำหรับสินเชื่อวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ถือบัตรเครดิตจะมีการปรับลดอัตราชำระขั้นต่ำเป็น 3% ใน 3 รอบบัญชี ซึ่งที่ผ่านมาจะต้องชำระมากกว่า 3% หรือชำระเต็ม

 

ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ลูกหนี้ที่มีสถานะปกติ หรือค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้ได้สูงสุดถึง 20 ปี โดยมีระยะปลอดเงินต้นไม่เกิน 3 ปี และยกเว้นดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวนด้วย

 

รวมถึงยังมีมาตรการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับโครงการเสริมสภาพคล่องและการอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ในวงเงินรายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี โดย 6 เดือนแรกกระทรวงการคลังจะไม่เก็บอัตราดอกเบี้ย แต่หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ย​ MRR หรือ​อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ส่วนมาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต การลงทุน การซ่อมแซมบ้าน รวมทั้งซ่อมแซมอุปกรณ์ทางการเกษตรต่างๆ วงเงินต่อรายไม่เกิน 5 แสนบาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR 2% ต่อปี​ ระยะเวลากู้ไม่เกิน​ 15 ปี ส่วนธนาคารอาคารสงเคราะห์​ (ธอส.) ธนาคารอิสลาม​ และอีกหลายธนาคาร จะมีการออกมาตรการช่วยเหลือด้วย

 

โฆษกรัฐบาลยังเปิดเผยอีกว่า มาตรการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา และจะต้องนำกลับเข้ามายังที่ประชุม ครม. คือการออกระเบียบและกฎหมายต่างๆ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี​ โดยจะมีการกำหนดให้รายจ่ายค่าอุปกรณ์ตกแต่งบ้านหรือการก่อสร้างต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้ประชาชน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งมาตรการของกระทรวงการคลัง

 

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. วันนี้ ยังมีการหารือถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายด้วย โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีศึกษาอย่างเร่งด่วน ทั้งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง ว่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจะสามารถเริ่มต้นได้เมื่อใด เพื่อเป็นการลดค่าครองชีพของประชาชน

The post ครม. จัดแพ็กเกจ​ชุดใหญ่​ ออก​มาตรการช่วยประชาชน​-ผู้ประกอบการ​ ลดภาษี​ ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เผ่าภูมิเผย แพทองธารจ่อสานต่อ ‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ เล็งลดภาษีเงินได้นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ https://thestandard.co/paopoom-paetongtarn-ent-complex/ Wed, 28 Aug 2024 07:55:50 +0000 https://thestandard.co/?p=976497

เผ่าภูมิระบุ นายกฯ แพทองธารมีแนวโน้มสูงที่จะสานต่อนโยบา […]

The post เผ่าภูมิเผย แพทองธารจ่อสานต่อ ‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ เล็งลดภาษีเงินได้นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เผ่าภูมิระบุ นายกฯ แพทองธารมีแนวโน้มสูงที่จะสานต่อนโยบายของอดีตนายกฯ เศรษฐา ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และการปั้นไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย พร้อมระบุว่า การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ‘อยู่ในการพิจารณา’

 

วันนี้ (28 สิงหาคม) ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงาน Thailand Focus 2024 โดยเน้นย้ำว่านโยบายรัฐบาลไทยมีความต่อเนื่อง เนื่องจากรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร มีแนวโน้มสูงที่จะนำนโยบายของอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ที่ได้พัฒนาในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องมาดำเนินการต่อ

 

“อย่าลืมว่าแนวคิดและ DNA ของเราก็ยังเป็น DNA เดิม เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าแนวนโยบายที่เราได้เห็นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจะถูกดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศสูงสุด” ดร.เผ่าภูมิ กล่าว

 

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังคงต้องการจะดึงเม็ดเงินใหม่เข้ามาสู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะผ่านนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือการปั้นไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย (Asia Financial Hub) ที่ถูกนำเสนอในรัฐบาลก่อนหน้า เป็นต้น 

 

อย่างไรก็ดี สำหรับรายละเอียดของแนวนโยบายการบริหารเศรษฐกิจประเทศอย่างชัดเจน ดร.เผ่าภูมิ ระบุว่าต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่อีกที

 

ระบุ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา ‘อยู่ในการพิจารณา’

 

ดร.เผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า การก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย ไทยต้องเพิ่มความน่าดึงดูดทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี ได้แก่ ความง่ายของการเข้าเมือง วีซ่า สิทธิประโยชน์ของแรงงาน 

 

ดร.เผ่าภูมิ เปิดเผยอีกว่า ขณะนี้อยู่ขั้นตอนร่างกฎหมาย Financial Hub ฉบับใหม่ และได้ตั้งคณะทำงานชุดใหญ่ขึ้นมาแล้วเพื่อร่างกฎหมายใหม่นี้ โดยคาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 เดือนจะเห็นรูปร่างกฎหมายนี้ชัดเจนขึ้น

 

“แน่นอนว่าเราต้องแข่งกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินอื่นๆ เช่น สิงคโปร์และดูไบ ผ่านการเอาชนะด้วยสภาวะแวดล้อม อัตราภาษี (Rate) และความน่าดึงดูดของประเทศ เราต้องเอาชนะได้ด้วย Ecosystem ดังนั้นการลดภาษีต่างๆ ก็อยู่ในการพิจารณา” ดร.เผ่าภูมิ ระบุอีกว่า โดยหลังจากนี้กระทรวงการคลังจะศึกษาอัตราที่เหมาะสม และทำระบบนิเวศให้เหมาะสม

 

ท่าทีครั้งนี้ยังเกิดขึ้นหลังจาก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวที Dinner Talk : Vision for Thailand 2024 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 โดยระบุเกี่ยวกับการปรับลดภาษีนิติบุคคลและภาษีบุคคลธรรมดาว่าจะลดอีกไหม เพื่อจะทำให้ประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจที่จะมาอยู่ มาลงทุน และมาทำงาน

The post เผ่าภูมิเผย แพทองธารจ่อสานต่อ ‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ เล็งลดภาษีเงินได้นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. มีมติลดภาษีสุรา-ไวน์ พร้อมปรับหลักเกณฑ์ตรวจสินค้าคืนภาษี ส่งเสริมไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย https://thestandard.co/lowers-alcohol-wine-taxes-tourism/ Tue, 02 Jan 2024 08:25:03 +0000 https://thestandard.co/?p=883619

วันนี้ (2 มกราคม) ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตร […]

The post ครม. มีมติลดภาษีสุรา-ไวน์ พร้อมปรับหลักเกณฑ์ตรวจสินค้าคืนภาษี ส่งเสริมไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (2 มกราคม) ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบและรับทราบ 2 มาตรการส่งเสริมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายได้โดยเร็ว ประกอบด้วย

 

1. การปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิต

 

1.1 สินค้าสุรา

 

  • สุราแช่ชนิดไวน์และสปาร์กลิงไวน์ที่ทำจากองุ่น ยกเลิกการจัดเก็บภาษีจากการแบ่งชั้นของราคา และกำหนดให้มีการจัดเก็บเป็นอัตราเดียว โดยปรับให้มีอัตราภาษีตามมูลค่าที่ร้อยละ 5 และอัตราภาษีตามปริมาณที่ 1,000 บาท ต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 

 

  • สุราแช่ผลไม้ที่มีส่วนผสมขององุ่นหรือไวน์องุ่น ยกเลิกการจัดเก็บภาษีจากการแบ่งชั้นของราคา และกำหนดให้มีการจัดเก็บเป็นอัตราเดียว โดยปรับอัตราภาษีให้มีอัตราภาษีตามมูลค่าที่ร้อยละ 0 และอัตราภาษีตามปริมาณที่ 900 บาท ต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 

 

  • สุราแช่ชนิดอื่นๆ จากเดิมจัดเก็บภาษีอัตราตามมูลค่าร้อยละ 10 และอัตราตามปริมาณ 150 บาท ต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ให้กำหนดอัตราภาษีโดยจำแนกพิกัดอัตราภาษีประเภทย่อย ดังนี้
    • อุ กะแช่ สาโท สุราแช่พื้นบ้านอื่น และสุราแช่ที่ใช้วัตถุดิบเป็นข้าวที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 7 ดีกรี โดยกำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 0 และอัตราตามปริมาณ 150 บาท ต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 
    • สุราแช่ ที่มีการผสมสุรากลั่นและมีแรงแอลกอฮอล์เกินกว่า 7 ดีกรี โดยกำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 10 และอัตราภาษีตามปริมาณ 255 บาท ต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
    • ทั้งนี้ สุราแช่อื่นๆ กำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 10 และอัตราภาษีตามปริมาณ 150 บาท ต่อปริมาณ 1 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์

 

  • สุราแช่ที่มิใช่เพื่อการค้า ได้มีการปรับโครงสร้างและอัตราภาษีให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างภาษีและอัตราภาษีในครั้งนี้ โดยกำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 0 และอัตราภาษีตามปริมาณเท่ากับอัตราภาษีของสินค้าสุราแช่ ระยะเวลาในการดำเนินการ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

 

1.2 กิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ

 

  • โดยปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่าจากอัตราร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 5 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ได้แก่ ไนต์คลับ, ดิสโก้เธค, ผับ, บาร์ และค็อกเทลเลานจ์ โดยให้หมายความรวมถึงสถานที่ที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 00.00 น. เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการ ให้สอดคล้องกับนโยบายสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 จะกลับมาใช้อัตราภาษีตามมูลค่าเดิมคือร้อยละ 10)

 

1.3 การปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรสินค้าไวน์

 

  • กำหนดให้ยกเว้นอากรศุลกากรสินค้าไวน์ทุกชนิดตามประเภทพิกัด 22.04 (ไวน์ที่ทำจากองุ่นสด และเกรปมัสต์) และ 22.05 (เวอร์มุท และไวน์อื่นๆ ที่ทำจากองุ่นสด ปรุงกลิ่นรสด้วยพืชหรือสารหอม) รวมทั้งสิ้น 21 ประเภทย่อย และให้ลดอัตราอากรจากร้อยละ 60 เป็นยกเว้นอากร ให้มีผลใช้บังคับพร้อมร่างกฎกระทรวงฯ ตามข้อ 1.1 

 

2. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การตรวจสินค้าเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยว เพื่อลดปริมาณนักท่องเที่ยวที่ต้องเข้าคิวเพื่อแสดงสินค้าในกระบวนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

  • ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม เรื่องกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ผู้ที่เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการจดทะเบียน เพื่อนำออกไปนอกราชอาณาจักรขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วได้ ตาม ม.84/4 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 และให้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 สรุปได้ดังนี้

 

    • ปรับเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าที่ต้องแสดงต่อเจ้าพนักงานศุลกากร จากเดิมตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป เป็น 20,000 บาทขึ้นไป ซึ่งจะลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องแสดงสินค้าลงจาก 1.2 แสนรายต่อปี เหลือประมาณ 30,000 รายต่อปี หรือลดลงประมาณร้อยละ 75
  •  
    • ปรับเพิ่มมูลค่าสินค้าที่ต้องนำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานสรรพากร 9 รายการ ได้แก่ เครื่องประดับ, ทองรูปพรรณ, นาฬิกา, แว่นตา, ปากกา, สมาร์ทโฟน, แล็ปท็อปหรือแท็บเล็ต, กระเป๋า (ไม่รวมกระเป๋าเดินทาง) และเข็มขัด จากเดิมมูลค่าต่อชิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป เป็น 40,000 บาทขึ้นไป และปรับเพิ่มมูลค่าของที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ จากเดิมมูลค่าต่อชิ้นตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เป็น 100,000 บาทขึ้นไป

 

ชัยกล่าวว่า ในภาพรวมมาตรการดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ จะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตและภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 401 ล้านบาทต่อปี และ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.0073

The post ครม. มีมติลดภาษีสุรา-ไวน์ พร้อมปรับหลักเกณฑ์ตรวจสินค้าคืนภาษี ส่งเสริมไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครั้งแรกในรอบ 15 ปี จีนเดินหน้าปรับลดภาษีซื้อขายหุ้นเหลือ 0.05% หวังดึงนักลงทุนหวนคืนสู่ตลาดหุ้นจีน https://thestandard.co/china-cuts-tax-on-stock-trading-to-boost-market-confidence/ Mon, 28 Aug 2023 02:36:32 +0000 https://thestandard.co/?p=834418 ภาษีซื้อขายหุ้น

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ทางการจีนได้ออกประกาศปรับ […]

The post ครั้งแรกในรอบ 15 ปี จีนเดินหน้าปรับลดภาษีซื้อขายหุ้นเหลือ 0.05% หวังดึงนักลงทุนหวนคืนสู่ตลาดหุ้นจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาษีซื้อขายหุ้น

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ทางการจีนได้ออกประกาศปรับลดอากรแสตมป์ในการซื้อขายหุ้น ถือเป็นครั้งแรกของจีนนับตั้งแต่ปี 2008 ที่มีการประกาศปรับลดอากรแสตมป์ ขณะเดียวกันทางการจีนก็ให้คำมั่นที่จะยกระดับเข้มงวดกวดขันแก่หุ้นที่จะเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก

 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางมาตรการใหม่ๆ ของจีนที่ตั้งขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้กลับเข้าสู่ตลาดทุนของจีน 

 

ทั้งนี้ เว็บไซต์ของกระทรวงการคลังจีนได้เปิดเผยแถลงการณ์ซึ่งระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคมเป็นต้นไป การจัดเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นจะลดลงจาก 0.1% เหลือ 0.05% โดยมีเป้าหมายเพื่อ “เสริมสร้างตลาดทุนและเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน”

 

ด้านคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ได้ชี้ถึง ‘สภาวะตลาดล่าสุด’ เป็นเหตุผลในการปรับลดภาษีและชะลอการซื้อขายหุ้น IPO โดยไม่ได้ระบุว่าจะดำเนินการดังกล่าวอย่างไร ขณะเดียวกัน CSRC ยังกล่าวอีกว่าจะมีการจำกัดความถี่และขนาดของการรีไฟแนนซ์สำหรับบริษัทที่รายงานการสูญเสียทางการเงินอย่างต่อเนื่อง หรือเผชิญหน้ากับราคาหุ้นต่ำกว่าระดับ IPO หรือระดับสินทรัพย์สุทธิ (Net Assets Level) ขณะที่บรรดาบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้รับการยกเว้นจากกฎดังกล่าว

 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาที่ดัชนี CSI 300 ของจีนปรับตัวลดลงประมาณ 4% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ดัชนีดังกล่าวก็มีการขาดทุนติดต่อกันทุกปี แถมในเดือนสิงหาคมนี้ยังมีผลงานที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าดัชนีหุ้นเอเชียในวงกว้างประมาณ 6%  

 

นอกจากนี้ ทางคณะกรรมการฯ ยังได้ออกโรงเรียกร้องให้กองทุนบำเหน็จบำนาญ ธนาคารขนาดใหญ่ และสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในประเทศอื่นๆ เพิ่มการลงทุนในหุ้นเพื่อรองรับตลาด

 

ยิ่งไปกว่านั้น ทางหน่วยงานกำกับดูแลยังได้ตัดค่าธรรมเนียมการจัดการธุรกรรมหุ้น เพื่อกระตุ้นให้บรรดาผู้จัดการกองทุนรวมเพิ่มการซื้อกองทุนหุ้นของตนเอง และสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ ซื้อหุ้นคืนมากขึ้น

 

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า จีนเริ่มปรับลดอากรแสตมป์ในการซื้อขายหุ้นครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2008 โดยลดลงเหลือ 0.1% เพื่อรองรับตลาดหลังจากการชะลอตัวที่เร่งตัวขึ้นในปีถัดมา ขณะที่ในช่วง 1 ปีก่อนหน้านี้คือ ในเดือนพฤษภาคม 2007 อัตราดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 0.3% เพื่อลดความร้อนแรงของหุ้นที่ปรับตัวพุ่งขึ้นจนดึงดูดนักลงทุนรายใหม่มากกว่า 300,000 รายต่อวัน

 

สำหรับมาตรการอื่นๆ ที่น่าสนใจ ทางคณะกรรมการฯ ชี้ให้อัตรามาร์จิ้นสำหรับการซื้อขายมาร์จิ้นลดลงจาก 100% เป็น 80% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายนเป็นต้นไป หรือบริษัทที่ราคาหุ้นตกต่ำกว่าระดับ IPO หรือระดับสินทรัพย์สุทธิ หรือยังไม่ได้จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด หรือจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดทั้งหมดน้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งควบคุมผู้ถือหุ้นและผู้ถืออำนาจควบคุมโดยพฤตินัย จะไม่ได้รับอนุญาตให้หักสัดส่วนการถือหุ้นในตลาดรอง

 

วันเดียวกันมีรายงานว่า ความหวังที่จะให้เศรษฐกิจจีนเป็นเครื่องยนต์ที่สามในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2023 ไม่เพียงแต่ไม่อาจเป็นจริงได้แล้วเท่านั้น แต่การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมากำลังส่งสัญญาณเตือนให้ทุกประเทศทั่วโลกเตรียมพร้อมรับมือด้วยความระมัดระวัง 

 

รายงานระบุว่า ทางการจีนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตนเช่นเดียวกัน โดยจีนนำเข้าสินค้าแทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่วัสดุก่อสร้างไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบริษัทใหญ่อย่าง Caterpillar Inc. กล่าวว่า ความต้องการเครื่องจักรของจีนที่ใช้ในไซต์ก่อสร้างเลวร้ายกว่าที่เคยคิดไว้ ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ  เรียกปัญหาทางเศรษฐกิจจากจีนในครั้งนี้ว่าเป็นเสมือน “ระเบิดเวลา”

 

นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างถอนทุนออกจากตลาดหุ้นจีนมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Goldman Sachs Group, Inc. และ Morgan Stanley ต่างก็มีการปรับลดจำนวนการถือครองหุ้นในตลาดจีนลงแล้ว พร้อมเตือนอีกว่า ปัญหาการชะลอตัวของจีนกำลังเสี่ยงลุกลามไปยังส่วนที่เหลือของภูมิภาค

 

อ้างอิง:

 

The post ครั้งแรกในรอบ 15 ปี จีนเดินหน้าปรับลดภาษีซื้อขายหุ้นเหลือ 0.05% หวังดึงนักลงทุนหวนคืนสู่ตลาดหุ้นจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลิซ ทรัสส์ ‘ขอโทษ’ เหตุสั่นคลอนเสถียรภาพเศรษฐกิจ พร้อมรับแผนหั่นใช้จ่าย หวังรักษาดุลบัญชี https://thestandard.co/uk-pm-apologies-economic/ Wed, 19 Oct 2022 03:11:30 +0000 https://thestandard.co/?p=697076

ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวคำขอโทษต่ […]

The post ลิซ ทรัสส์ ‘ขอโทษ’ เหตุสั่นคลอนเสถียรภาพเศรษฐกิจ พร้อมรับแผนหั่นใช้จ่าย หวังรักษาดุลบัญชี appeared first on THE STANDARD.

]]>

ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวคำขอโทษต่อสาธารณชน กรณีที่ทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศสั่นคลอน ก่อนให้คำมั่นที่จะปรับปรุง แก้ไข และเดินหน้านำพาเศรษฐกิจของอังกฤษให้ฟื้นกลับขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง

 

คำขอโทษจากปากทรัสส์มีขึ้นหลังจากที่ผู้นำอังกฤษเผชิญแรงกดดันจากหลายฝ่าย เนื่องจากการประกาศมาตรการปรับลดภาษีวงเงิน 4.5 หมื่นล้านปอนด์ ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก แถมยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน จนต้องตัดสินใจยกเลิกนโยบายดังกล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


ทรัสส์กล่าวว่า ตนเองขอรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและขอโทษต่อความผิดพลาดที่ผ่านมา พร้อมยืนยันว่า แผนการปรับลดภาษีมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อจะช่วยเหลือประชาชนในเรื่องการใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่ตนเองผลักดันในเรื่องดังกล่าวมากเกินไปและเร็วเกินไป 

 

อย่างไรก็ตาม ผู้นำหญิงของอังกฤษยังคงยืนกรานที่จะอยู่ทำงานในตำแหน่งต่อไป โดยแสดงความเชื่อมั่นว่าตนเองจะนำพรรคอนุรักษ์สู้ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ในอีก 2 ปีข้างหน้า รวมถึงย้ำว่า รัฐบาลจะมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการหันไปลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐเพิ่มเติม 

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจเรมี ฮันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ของอังกฤษ ออกมาประกาศยกเลิกแผนภาษีของนายกรัฐมนตรีทรัสส์เกือบทั้งหมด ซึ่งรวมถึงนโยบายด้านพลังงานด้วย โดยฮันต์ย้ำชัดเจนว่าจะไม่มีการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มเติมอีก

 

จากนั้นทรัสส์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในภายหลังเกี่ยวกับการที่รัฐมนตรีคลังอังกฤษยกเลิกแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของตนว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะเป้าหมายของตนที่แต่งตั้งฮันต์ก็เพราะตนเองจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทาง และโดยส่วนตัวแล้วการไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติถือเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง และเป็นเรื่องถูกต้องที่อังกฤษจะต้องเปลี่ยนนโยบาย

 

รายงานข่าวระบุว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการยืดอกยอมรับผิด เอ่ยปากขอโทษ และเดินหน้าปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อฟื้นเศรษฐกิจอังฤษอย่างระมัดระวัง จะช่วยให้ทรัสส์รอดพ้นจากวิกฤตคะแนนตกต่ำและลดแรงกดดันจากบรรดาผู้ที่มีความเห็นต่างภายในพรรคอนุรักษนิยมได้หรือไม่ ซึ่งความเห็นของสมาชิกพรรคอาจส่งผลให้ทรัสส์พ่ายการเลือกตั้งสมัยหน้าได้

 

ขณะเดียวกันสถานการณ์ในตลาดยังคงอยู่ในสภาวะตึงเครียดและวิตกกังวล แม้จะมีข่าวยกเลิกมาตรการดังกล่าวแล้วก็ตาม ทำให้ยังคงมีกระแสกดดันให้ทรัสส์ลาออก แม้ว่าเพิ่งจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียง 6 สัปดาห์ 

 

ขณะเดียวกันผลสำรวจความเห็นล่าสุดจาก YouGov พบว่า สมาชิกพรรคอนุรักษนิยมมากกว่าครึ่งเห็นควรให้นายกรัฐมนตรีทรัสส์ประกาศลาออก และราว 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า อดีตนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ควรกลับมารับตำแหน่งผู้นำประเทศอีกครั้ง หลังจากที่ถูกบีบให้ลาออกเพราะข่าวลือ

 

ขณะที่สมาชิกพรรคบางส่วนมองว่า การที่ผู้นำออกมายอมรับความผิดพลาดและเอ่ยปากขอโทษต่อสภานั้น สะท้อนเจตจำนงของนายกรัฐมนตรีทรัสส์ที่ยังคงต้องการจะสู้ต่อไป 

 

และวานนี้ (18 ตุลาคม) หนังสือพิมพ์ Financial Times รายงานว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มจะชะลอการขายพันธบัตรรัฐบาลมูลค่าหลายพันล้านปอนด์ เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพในตลาดพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษมากขึ้น หลังอังกฤษยกเลิกแผนลดภาษีครั้งใหญ่

 

ก่อนหน้านี้ BOE เพิ่งชะลอแผนการขายพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 8.38 แสนล้านปอนด์ (9.5490 แสนล้านดอลลาร์) จากเดิมที่มีกำหนดเริ่มต้นขายในวันที่ 6 ตุลาคม โดยพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน

 

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษปรับตัวแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติม 0.36% สู่ระดับ 1.1398 ดอลลาร์ โดยใกล้เคียงระดับสูงสุดของวันจันทร์ (17 ตุลาคม) ที่ 1.144 ดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 

 

การตัดสินใจของฝ่ายบริหารธนาคารกลางอังกฤษมีขึ้นหลังจากที่เหล่าผู้บริหารคาดการณ์ว่า ตลาดพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษจะประสบปัญหาอย่างมากจากแผนลดภาษีในช่วงนี้

 

ไมเคิล โอ’เลียรี ผู้บริหาร Ryanair สายการบินสัญชาติอังกฤษ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของอังกฤษในขณะนี้ว่า เป็นอุบัติเหตุรุนแรง โดยมีต้นตอมาจากตัดสินใจของประเทศในการลงคะแนนเสียงให้ออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในปี 2016

 

ด้าน ทอร์สเต็น เบลล์ หัวหน้า Resolution Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานด้าน Think Tank บอกกับ BBC Radio ว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีทรัสส์อาจจำเป็นต้องหาทางลดการใช้จ่ายสาธารณะประมาณ 30 แห่ง ส่วนการที่ฮันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่กล่าวว่า การสนับสนุนครัวเรือนและธุรกิจต่างๆ จะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนเมษายนก่อนที่จะมีการพิจารณาอีกครั้ง กำลังบอกพวกเราว่า ครอบครัวอังกฤษอาจต้องเผชิญกับค่าพลังงานที่สูงถึง 5,000 ปอนด์ในปีหน้า และปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดในเวลานี้คือปัญหาเงินเฟ้อ

 

อ้างอิง: 

The post ลิซ ทรัสส์ ‘ขอโทษ’ เหตุสั่นคลอนเสถียรภาพเศรษฐกิจ พร้อมรับแผนหั่นใช้จ่าย หวังรักษาดุลบัญชี appeared first on THE STANDARD.

]]>