การท่องเที่ยว – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 13 Nov 2025 02:21:31 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ฟังเสียงสะท้อนภาคธุรกิจ จี้รัฐทบทวน พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ใหม่ ยกเลิกกฎ ‘นั่งดื่มนอกเวลาขาย’ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท https://thestandard.co/wealth-in-depth-alcohol-act/ Thu, 13 Nov 2025 01:25:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1142718 ฟังเสียงสะท้อนภาคธุรกิจ จี้รัฐทบทวน พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ใหม่ ยกเลิก กฎ ‘นั่งดื่มนอกเวลาขาย’ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท

จากกรณีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉ […]

The post ฟังเสียงสะท้อนภาคธุรกิจ จี้รัฐทบทวน พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ใหม่ ยกเลิกกฎ ‘นั่งดื่มนอกเวลาขาย’ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟังเสียงสะท้อนภาคธุรกิจ จี้รัฐทบทวน พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ใหม่ ยกเลิก กฎ ‘นั่งดื่มนอกเวลาขาย’ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท

จากกรณีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568

 

โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายปี 2551

 

โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ คือ ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการเพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาห้ามขาย (ช่วงเวลา 00.00 น.-11.00 น. และช่วง 14.00-17.00 น.) โดยเฉพาะประเด็นห้ามนั่งต่อหลังเที่ยงคืน

 

โดยผู้ฝ่าฝืนมีความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท (ทั้งผู้ขาย-ผู้บริโภค)

 

ขณะที่ รายงานข่าวระบุว่า ประเด็นดังกล่าวสร้างความสับสนต่อผู้ประกอบการและกลุ่มนักท่องเที่ยวไม่น้อย แม้กฎหมายใหม่จะมีข้อดี ในการยกระดับการป้องกันเยาวชนและการเมาแล้วขับ ซึ่งภาคธุรกิจพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ข้อกำหนดในเรื่องการคงข้อห้ามขายในช่วงเวลาดังกล่าว และยังเพิ่มมาตรา 32 (ใหม่) ที่ระบุ ‘ห้ามบริโภค’ ในสถานที่ขายในช่วงเวลาห้ามขายดังกล่าวด้วย

 

วันนี้ 12 พ.ย.) กลุ่มเอกชนเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือต่อ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โดยมี สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบ

 

สาระสำคัญของหนังสือระบุว่า กลุ่มผู้ประกอบการขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณายกเลิกข้อห้าม “นั่งดื่มนอกเวลาขาย”

 

ดังนั้น คณะกรรมการอยู่ระหว่างเร่งแก้ปัญหา โดยเร็วซึ่งคาดว่าจะนัดประชุมได้ในวันที่ 13 พ.ย.นี้ และจะมีแนวทางที่ชัดเจนถึงทางออกของเรื่องดังกล่าวภายในวันที่ 4 ธ.ค.นี้

 

TDRI ชี้ ‘การห้ามขายเวลา 14.00-17 น.’ ไม่ได้ผลตามเป้าหมาย

 

ล่าสุด สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาทบทวน การห้ามขายช่วง 14.00-17.00 น. เป็นมาตรการที่บังคับใช้มานานกว่า 50 ปี (ตั้งแต่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ในปี 2515)

 

โดยที่ผ่านมายังไม่มีการประเมินผลกระทบอย่างจริงจัง จนกระทั่งรายงานการศึกษาเชิงลึกโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)ได้ชี้ชัดว่ามาตรการนี้ไม่บรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุข และอาจสร้างความท้าทายทางเศรษฐกิจ

 

รายงานของ TDRI ซึ่งสำรวจผู้บริโภค 1,370 ราย และผู้ประกอบการ 283 ราย สรุปอย่างชัดเจนว่า “การจำกัดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 14.01 – 17.00 น. อาจไม่ได้ผลในการลดการบริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่กฎหมายตั้งใจไว้”

 

ข้อมูลเชิงประจักษ์จาก TDRI ยืนยันว่า

 

  • การบริโภคไม่ลดลง: ปริมาณการบริโภคต่อหัวประชากรยังคงที่ แม้บังคับใช้กฎหมายนี้มานาน
  • การดื่มหนักยังคงเดิม: ปริมาณการบริโภคต่อผู้ดื่มกลับมาอยู่ที่ 26 ลิตรต่อปี ซึ่ง TDRI ระบุว่า “สูงมากผิดปกติ” (5.4 แก้วมาตรฐานต่อวัน)
  • มีการละเมิดสูง: ผู้บริโภค 22% ยืนยันว่ายังสามารถหาซื้อเครื่องดื่มในช่วงเวลาห้ามขายได้ และผู้ประกอบการถึง 39% รายงานว่า พบเห็นการจำหน่ายในช่วงเวลาดังกล่าวในพื้นที่ใกล้เคียง

 

การที่ พ.ร.บ. 2568 ใหม่ เพิ่มการ ‘ห้ามดื่ม’ เข้ามา อาจสร้างความท้าทายเพิ่มเติมต่อผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยข้อมูล TDRI ชี้ว่าการห้ามช่วงบ่าย เป็นเพียงการผลักดันการซื้อขายไปสู่ช่องทางนอกระบบ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษี และผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตาม กฎหมายเสียโอกาสทางธุรกิจ

 

ค้าปลีกและกลุ่มท่องเที่ยว หวั่นกฎหมายใหม่สวนนโยบายรัฐ

 

อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และธุรกิจต่อเนื่อง (ร้านอาหาร โรงแรม การท่องเที่ยว) ถือเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดย TDRI ระบุว่า มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึงเกือบ 6 แสนล้านบาทต่อปี และเชื่อมโยงกับสถานประกอบการกว่า 312,000 แห่ง ทั่วประเทศ

 

ฟังเสียงสะท้อนภาคธุรกิจ จี้รัฐทบทวน พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ใหม่ ยกเลิก กฎ ‘นั่งดื่มนอกเวลาขาย’ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท 1

 

ดร. ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมค้าปลีกไทย (TRA) ให้ความเห็นว่า “การปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันจะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการทุกขนาดจากข้อมูล TDRI ที่ชี้ว่ามีการละเมิดสูงอยู่แล้วการปลดล็อกจะช่วยดึงกิจกรรมเศรษฐกิจกลับเข้าระบบ และช่วยให้หน่วยงานรัฐมุ่งเน้นทรัพยากรไปแก้ปัญหาที่แท้จริง เช่น การขายให้เยาวชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาคธุรกิจและสังคม”

 

ด้านดำรงค์เกียรติ พินิจการ เลขานุการสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยว เมืองพัทยา กล่าวเสริมว่า “ข้อจำกัดการห้ามขายในช่วงบ่ายเป็นกฎระเบียบที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับบริบทการท่องเที่ยวปัจจุบัน การปลดล็อกข้อจำกัดเหล่านี้ รวมถึงการพิจารณาขยายเวลาจำหน่ายให้ถึงตี 2 จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล ดังที่เห็นจากนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการถึง 20-30% และพนักงานมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน”

 

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจพร้อมร่วมมือกับภาครัฐในการดูแล และป้องกันผลกระทบทางสังคมอย่างเข้มงวด ด้วยมาตรการที่เรามีอยู่แล้ว เช่น การจัดจุดพักคอยสำหรับผู้มีอาการมึนเมา และการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ เพื่อให้มั่นใจว่าการปรับเปลี่ยนนี้จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม

 

TDRI ชี้เป้า ‘แก้ให้ตรงจุด’

 

รายงานของ TDRI ไม่เพียงชี้ว่า การห้ามขาย 14.00-17.00 น. ไม่ได้ผล แต่ยังชี้เป้าว่า ปัญหาที่แท้จริงที่สังคมกำลังเผชิญและภาครัฐควรทุ่มทรัพยากรไปจัดการ คือ

 

  • การขายให้เยาวชน: TDRI พบว่า 30% ของร้านค้ายังคงละเมิดกฎหมายขายให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี
  • การเมาแล้วขับ: อุบัติเหตุ 22% เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ TDRI จึงเสนอให้ยกระดับมาตรการป้องกัน เช่น การใช้ระบบหักคะแนนแบบขั้นบันได
  • อิทธิพลจากโฆษณาต่ำ: TDRI พบว่าเยาวชนได้รับอิทธิพลจาก ‘เพื่อน’ มากถึง 35.5% เทียบกับอิทธิพลจาก ‘โฆษณาออนไลน์’ ที่มีเพียง 1.8% เท่านั้น

 

TABBA วอนรัฐทบทวน ‘กฎหมายใหม่’ สอดรับ ‘นโยบายเศรษฐกิจ’

 

TABBA ย้ำว่า “นานาประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อังกฤษ และเยอรมนี แม้จะไม่มีข้อจำกัดเวลาขายในช่วงบ่าย แต่ก็ประสบความสำเร็จในการจัดการผลกระทบทางสังคมโดยมุ่งเน้นมาตรการที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลมีทางเลือกที่ชัดเจนในการบริหารนโยบาย คือการบังคับใช้มาตรการที่ข้อมูล”

 

TDRI ชี้ว่า ‘อาจไม่ได้ผล’ และกำลังถูกเพิ่มความเข้มงวดด้วย พ.ร.บ. ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยว หรือ รัฐบาลสามารถเลือกปรับมาตรการเพื่อสนับสนุนนโยบายหลักของตนเอง โดยใช้อำนาจตาม มาตรา 28 (ใหม่) ใน พ.ร.บ. 2568 ซึ่งให้อำนาจ ‘คณะกรรมการควบคุมฯ’ ในการกำหนดเวลา

 

ภาคธุรกิจจึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่ เร่งพิจารณาข้อมูลของ TDRI และทบทวนการห้ามขายและห้ามบริโภคในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นต้อง ใช้กฎระเบียบที่ทันสมัยและอิงตามข้อมูลเชิงประจักษ์

 

ฟังเสียงสะท้อนภาคธุรกิจ จี้รัฐทบทวน พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ใหม่ ยกเลิก กฎ ‘นั่งดื่มนอกเวลาขาย’ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท 2

 

เสถียร’ แห่งคาราบาว มองกฎหมายเข้มงวดมากเกินไป

 

ด้าน เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว แสดงความเห็นว่า พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ว่า มาตรการนี้เข้มงวดมากเกินไป แต่สุดท้ายก็อยู่ที่การบังคับใช้ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ได้กระทบต่อธุรกิจของคาราบาว เนื่องจากบริษัทจำหน่ายสินค้าตามเวลาที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับบริษัท

 

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มองว่าข้อกำหนดดังกล่าวอาจสร้างอุปสรรคต่อนโยบายของรัฐบาล

 

สภาอุตฯ ชี้รัฐแก้ปัญหาไม่ตรงจุด

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กฎหมายแอลกอฮอล์ยังมีความทับซ้อน และสร้างความมึนงงอยู่มาก เนื่องจากผู้ออกกฎหมายมีหน้าที่ออกกฎหมาย เพื่อควบคุมการทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ซึ่งข้อกฎหมายส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องการทำธุรกิจ ทำให้ผู้ที่ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามรู้สึกว่ากฎหมายนี้มันมีข้อกำหนดมากเกินไป

 

“เพราะฉะนั้น กกร.หรือสภาอุตสาหกรรม พูดถึงปัญหาซ้ำซาก ก็เพื่อนำไปสู่ทุกภาคส่วน จะต้องเข้ามาแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง กฎหมายแอลกอฮอล์ที่บอกว่างงอาจไม่ได้มึนงงที่แอลกอฮอล์ แต่มึนงงเพราะความทับซ้อน”

 

ฟังเสียงสะท้อนภาคธุรกิจ จี้รัฐทบทวน พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ใหม่ ยกเลิก กฎ ‘นั่งดื่มนอกเวลาขาย’ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท 3

 

‘สมาคมถนนข้าวสาร’ จี้ รัฐทบทวน พ.ร.บ.

 

ด้านสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ พ.ศ. 2568 เป็นการควบคุมที่ไม่สมเหตุสมผล

 

สะท้อนถึงความไม่เข้าใจธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของรัฐบาล เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แต่กลับมีการออกข้อจำกัดที่กดทับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวแทนที่จะส่งเสริม

 

ส่วนกฎหมายที่กำหนดให้ร้านค้าต้องหยุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และให้นักท่องเที่ยวออกจากร้านภายในเวลาเที่ยงคืน เป็นมาตรการที่ไม่ make sense

 

“แทนที่จะเปิดโอกาสให้ลูกค้านั่งใช้จ่ายต่อเนื่อง กลับจำกัดเวลาและรายได้ของผู้ประกอบการโดยตรง”

 

“แน่นอนว่า ผลกระทบจากข้อจำกัดดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว เมื่อสถานทูตออสเตรเลียออกคำเตือนให้นักท่องเที่ยวของประเทศตัวเองระมัดระวังเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย”

 

ภาพ: Aanarav Sareen/Getty Images

The post ฟังเสียงสะท้อนภาคธุรกิจ จี้รัฐทบทวน พ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ใหม่ ยกเลิกกฎ ‘นั่งดื่มนอกเวลาขาย’ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ กับโอกาสของไทย https://thestandard.co/korea-labor-policy-thai-ambassador/ Wed, 12 Nov 2025 14:02:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1142638 ‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้

การประชุมสุดยอดผู้นำ APEC Summit 2025 ที่เกาหลีใต้เป็นเ […]

The post ‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ กับโอกาสของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้

การประชุมสุดยอดผู้นำ APEC Summit 2025 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพในปีนี้ ได้สร้างโอกาสสำคัญให้ไทยในการยกระดับสถานะบนเวทีโลก เปิดโอกาสให้ผู้นำไทยได้พบปะพูดคุยกับบรรดาผู้นำจากประเทศมหาอำนาจในห้วงเวลาเดียวกัน และต่อยอดความร่วมมือในมิติต่างๆ เช่น มิติทางเศรษฐกิจและการค้า, การทูตเชิงวัฒนธรรม รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง

 

 

THE STANDARD ได้สัมภาษณ์พิเศษ ธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อถอดรหัสวิสัยทัศน์ของเกาหลีใต้ที่พยายามปรับสมดุลระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน พร้อมทั้งแนวทางที่ไทยจะใช้โอกาสหลังจากนี้ ในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ การเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามข้ามชาติ การรักษาเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลีที่ยังคงตึงเครียดและเป็นประเด็นท้าทายอยู่ในขณะนี้ รวมไปถึงสถานการณ์ผีน้อยและการท่องเที่ยวในปัจจุบัน

 

‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ 3

 

นโยบายเชิงรุกเกาหลีใต้กับโอกาสของไทย

 

ทูตธานีเริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า นโยบายของเกาหลีใต้ภายใต้การนำของประธานาธิบดีอีแจมยอง เน้นไปที่ การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ปฏิบัติได้ (Pragmatic Foreign Policy) โดยให้ความสำคัญกับพันธมิตรที่ใกล้ชิดอย่างสหรัฐฯ ประเทศใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่น และจีน รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพ และเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ผ่าน ‘แนวนโยบาย END’ ที่จะมุ่งเน้นการหารือแลกเปลี่ยนระหว่างกัน (Exchange) รวมถึงพยายามทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและประชาคมระหว่างประเทศเป็นไปตามปกติ (Normalization) และการปลดอาวุธนิวเคลียร์ (Denuclearization) ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางสุดท้าย

 

ทูตธานีมองว่า นโยบายเชิงรุกของเกาหลีใต้จะ ‘เป็นโอกาส’ ต่อบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางของอาเซียน เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนมีความสำคัญต่อเกาหลีใต้ ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ทางการทูต การเมืองระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นตลาด และแหล่งลงทุนที่สำคัญอีกด้วย โดยไทยถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน และมีความเชื่อมโยง (Connectivity) ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อเกาหลีใต้พยายามเชื่อมโยงอาเซียนกับภูมิภาคต่างๆ ใน APEC จึงหลีกเลี่ยงหรือมองข้ามประเทศไทยไปไม่ได้ ทำให้ไทยยังคงมีโอกาสแสดงบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ ผ่านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน

 

การทูตเชิงวัฒนธรรม กับการผลักดัน Soft Power

 

เกาหลีใต้ได้ใช้เวที APEC Summit 2025 เป็นแพลตฟอร์มที่เผยแพร่การทูตเชิงวัฒนธรรม มีการนำศิลปินเกาหลี อาหารเกาหลี รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเกาหลีมาผสมผสานให้ผู้นำและผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ซึ่งทูตธานีมองว่า นี่คือตัวอย่างให้การผลักดัน Soft Power ที่สามารถสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี 

 

ทูตธานีกล่าวว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เดินหน้าส่งเสริม T-Wave หรือ ‘กระแสความนิยมไทย’ อย่างต่อเนื่อง โดยจุดแข็งของ Soft Power ไทยในปัจจุบันคือ ไทยได้รับการยอมรับในเรื่องอาหาร การเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก รวมถึงอุปนิสัยใจคอของคนไทยที่เป็นมิตรและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 

 

โดย ‘เทศกาลไทย’ เป็นเวทีสำคัญของ T-Wave ในเกาหลีใต้ ซึ่งจัดมาเป็นปีที่ 10 แล้ว ได้รับความนิยมอย่างมาก มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1 แสนคน และมีการผสมผสานวัฒนธรรม เช่น มวยไทยกับเทควันโดของเกาหลี ซึ่งมีแผนจะย้ายสถานที่จัดงานในปี 2026 ไปยังพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น เช่น บริเวณแม่น้ำฮัน เนื่องจากสถานที่จัดงานเดิมอย่างคลองชองกเยชอนมีขนาดเล็กเกินไป นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือทางวัฒนธรรม ผ่านคณะกรรมการวัฒนธรรมระหว่างไทย-เกาหลี มีโครงการสอนศิลปะและนาฏศิลป์ไทยให้แก่เยาวชน รวมถึงชุมชนไทยในเกาหลีใต้ที่มีสมาชิกเกือบ 2 แสนคนก็มีแผนที่จะก่อตั้งสภาวัฒนธรรมในอนาคตอันใกล้นี้

 

อย่างไรก็ตาม ทูตธานีเสนอแนะว่า ไทยอาจจะต้องเป็นที่รู้จักมากกว่าแค่เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยไทยต้องเป็นแหล่งลงทุนที่มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น เป็นแหล่งผลิตที่มีนวัตกรรมมากขึ้นและต้องมีแรงงานที่มีทักษะ (Smart  Workers) มากขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐต่อผู้ลงทุนต่างประเทศต้องโปร่งใส เพื่อเพิ่มเสน่ห์และดึงดูดนักลงทุน บริบทแวดล้อมเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยเดินหน้า ควบคู่ไปกับการผลักดัน Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ 2

 

ภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง

 

เกาหลีใต้ได้กลายเป็นพื้นที่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้พบกันเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี และเปิดโอกาสให้ผู้นำมหาอำนาจทั้งสองประเทศได้หารือทวิภาคีระหว่างกันเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมาก่อนที่ APEC Summit 2025 จะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการในอีกวันต่อมา ขณะที่เกาหลีใต้เองก็พยายามปรับสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคง และ จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด เพื่อให้เกาหลีใต้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสมดุลทางอำนาจนี้

 

ทูตธานีมองว่า การปรับสมดุลความสัมพันธ์ของเกาหลีใต้มีความน่าสนใจและมีความสมดุลพอสมควร ทั้งไทยและเกาหลีใต้มีความคล้ายคลึงกันในฐานะประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มหาอำนาจมีบทบาทสำคัญสูง การปรับสมดุลระหว่างมหาอำนาจก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่มักจะถูกเลือกใช้ แต่ทั้งสองประเทศมีความต่างกัน โดยเฉพาะในแง่ของขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเกาหลีใต้ก้าวหน้ากว่าไทยอย่างมากในแทบทุกด้าน เช่น AI, ควอนตัม, แบตเตอรี่, รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานทางเลือก

 

ที่ผ่านมาการแข่งขันทางเทคโนโลยีและแรงกดดันทางการเมือง ทำให้เกาหลีใต้ต้องบริหารนโยบายให้สมดุลเพื่อรักษาความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็ยังคงต้องรักษาตลาดในจีนไว้ เกาหลีใต้มีข้อได้เปรียบคือ มีการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ซึ่งช่วยให้มีความคล่องตัวในการบริหารนโยบาย 

 

ทูตธานีมองว่า ไทยต้องวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่ในห่วงโซ่เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ได้มากที่สุด โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งในและนอกภูมิภาค เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน ทั้งยังจะต้องเตรียมความพร้อมในการดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การปฏิรูปการศึกษา และการพัฒนาแรงงาน รวมถึงการปรับปรุงแรงจูงใจและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการลงทุน หากไทยมีขีดความสามารถในด้านต่างๆ ที่สูงยิ่งขึ้น จะเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้ไทยได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย 

 

ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ที่พยายามก้าวผ่านประวัติศาสตร์บาดแผลเมื่อครั้งอดีต และหันมาเดินหน้ากระชับสัมพันธ์และร่วมมือกันมากยิ่งขึ้นนั้น ทูตธานีระบุว่า ความพยายามดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในเอเชียตะวันออก ความจำเป็นทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในอนาคตจะ ‘มีน้ำหนักมากพอ’ ที่จะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แม้จะมีประเด็นอ่อนไหวทางประวัติศาสตร์อยู่ก็ตาม

 

ทูตธานียังกล่าวอีกว่า ไทยสามารถต่อยอดความสัมพันธ์เหล่านี้ได้ เนื่องจากคนเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีความนิยมชมชอบประเทศไทยค่อนข้างมาก ไทยต้องส่งเสริมการเป็น ‘หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์’ กับทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในมุมของเกาหลีใต้ ไทยและเกาหลีใต้มี ‘ความร่วมมือหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน’ (Comprehensive Strategic Partnership) และกำลังจะมี ‘ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ’ (Economic Partnership Agreement: EPA) ระหว่างกัน ซึ่งคาดว่าจะบรรลุความตกลงได้ภายในปีนี้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าจาก 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

ขณะที่ประเด็นเรื่องกรอบความร่วมมืออาเซียนกับการรักษาเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ทูตธานีมองว่า อาเซียนมีบทบาทในการส่งเสริมเสถียรภาพและความมั่นคงบนคาบสมุทรแห่งนี้ เนื่องจากเวทีอาเซียนเป็นที่ที่ประเทศคู่เจรจาให้ความสำคัญ โดยสามารถใช้ได้ทั้งกลไกในกรอบพหุภาคี เช่น การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit: EAS) และการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum: ARF) ซึ่งมีผู้แทนระดับสูงจากเกาหลีเหนือเข้าร่วมประชุมด้วย และเป็นกลไกสำคัญที่ใช้แสดงบทบาท ‘การทูตเชิงป้องกัน’ (Preventive Diplomacy) รวมถึงกลไกในกรอบทวิภาคีอื่นๆ โดยสมาชิกอาเซียนหลายประเทศ รวมทั้งไทยต่างมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือ ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางในการรับมือกับประเด็นความท้าทายนี้

 

‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ 4

 

บทเรียนจากเกาหลีใต้: การปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ

 

ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกาหลีใต้มีบทบาทโดดเด่นอย่างมากในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยส่ง คิมจินอา ปลัดกระทรวงการต่างประเทศคนที่ 2 ของเกาหลีใต้และคณะทำงานมายังกัมพูชา หลังมีชาวเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อยตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา พร้อมทั้งเรียกร้องให้กัมพูชาเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

 

ทูตธานีกล่าวว่า บทเรียนสำคัญที่เราสามารถเรียนรู้ได้คือ เกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อเป็นอย่างมาก ประเทศไทยและทุกประเทศที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ และต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อกวาดล้างกลุ่มเหล่านี้ให้หมดไปจากภูมิภาค 

 

ไทยยังสามารถร่วมมือกับมิตรประเทศและเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในมิติทางเทคโนโลยี รวมถึงการใช้กลไกความร่วมมือด้านตำรวจ เช่น ตำรวจอาเซียน (ASEAN National Police: Aseanapol) เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  โดยนายกรัฐมนตรีของไทยได้ประกาศเรื่องการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์เป็นวาระแห่งชาติ และไทยกำลังจะจัดประชุมระหว่างประเทศ เพื่อต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ขึ้นเร็วๆ นี้

 

‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ 5

 

สถานการณ์ ‘ผีน้อย’ และการท่องเที่ยวไทย-เกาหลีใต้

 

ทูตธานีเผยว่า ตัวเลขของ ‘ผีน้อย’ หรือแรงงานไทยผิดกฎหมายในเกาหลีใต้มีแนวโน้มลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากตำรวจและ ตม. เกาหลีใต้ มีการปราบปรามและจับกุมทั้งนายจ้างและลูกจ้างอย่างจริงจัง ประกอบกับการดำเนินโครงการอนุญาตให้กลับโดยสมัครใจ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งแรงงานสามารถมอบตัวและกลับไทยได้โดยไม่ถูกลงโทษ

 

ปัจจุบันมีแรงงานไทยทั้งหมดในเกาหลีใต้ประมาณ 169,000 คน ลดลงจาก 200,000 คน โดยมีแรงงานถูกกฎหมายเกือบ 50,000 คน โดยไทยกำลังพยายามเพิ่มโควตาแรงงานถูกกฎหมาย ซึ่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้รับจะพิจารณาในประเด็นนี้

 

ส่วนมิติภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลง โดยนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้มาไทยลดลง ทูตธานีอธิบายว่า สาเหตุหลักมาจาก เศรษฐกิจเกาหลีใต้ชะลอตัว (โตเพียง 1-2% ในไตรมาสสุดท้าย) และส่วนหนึ่งอาจมาจากความวิตกกังวลเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติด้วย ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยไปเกาหลีใต้ก็มีจำนวนลดลงเช่นเดียวกัน เนื่องจากเกิดจากกระแส #แบนเกาหลี หลังถูกปฏิเสธเข้าเมือง และติด ตม. จำนวนมาก แม้จะเป็นนักท่องเที่ยวก็ตาม

 

ทูตธานีระบุว่า สถานทูตได้หารือกับ ตม. เกาหลีเพื่อขอให้ปรับระบบ K-ETA โดยขอให้เรียกร้องเอกสารเพิ่มเติม เช่น หลักฐานทางการเงิน เพื่อกรองผู้สมัครเพิ่มเติม ก่อนที่จะปฏิเสธไม่ให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นเดินทางเข้าประเทศ โดยประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็รับปากจะพยายามแก้ไขปัญหานี้เช่นเดียวกัน 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเกาหลีใต้มีความแน่นแฟ้นและยาวนานหลายทศวรรษ โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลี (1950–1953) ก่อนที่จะมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี 1958 โดยในปี 2028 จะครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เกาหลีใต้

The post ‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ กับโอกาสของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Louis Vuitton เปิดตัวแคมเปญเทศกาลวันหยุดในชื่อ Le Voyage des Lumières https://thestandard.co/louis-vuitton-le-voyage/ Wed, 12 Nov 2025 13:00:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1142587 Louis Vuitton เปิดตัวแคมเปญเทศกาลวันหยุดในชื่อ Le Voyage des Lumières

Louis Vuitton ต้อนรับช่วงเทศกาลวันหยุดด้วยการเปิดตัวแคม […]

The post Louis Vuitton เปิดตัวแคมเปญเทศกาลวันหยุดในชื่อ Le Voyage des Lumières appeared first on THE STANDARD.

]]>
Louis Vuitton เปิดตัวแคมเปญเทศกาลวันหยุดในชื่อ Le Voyage des Lumières

Louis Vuitton ต้อนรับช่วงเทศกาลวันหยุดด้วยการเปิดตัวแคมเปญ Le Voyage des Lumières ที่เป็นการเฉลิมฉลองให้กับแสงไฟ งานฝีมือ และจิตวิญญาณแห่งการท่องเที่ยวที่ไร้กาลเวลา พร้อมทั้งมอบกลิ่นอายของฤดูหนาวและความเฟสทีฟช่วงท้ายปีผ่านโคมลอยที่เดินทางส่องแสงอย่างอบอุ่นไปตามพื้นที่ต่างๆ

 

แคมเปญใหม่ของ Louis Vuitton ได้รับการกำกับและถ่ายภาพโดย Jonas Lindstroem โดยถ่ายทอดการเดินทางของโคมไฟลายโมโนแกรมที่ลอยขึ้นจากหีบกระเป๋า Malle Courrier ในบ้านที่ Asnières หรือเวิร์กช็อปแห่งแรกของแบรนด์ ก่อนที่จะค่อยๆ เดินทางไปถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์อันงดงามของธรรมชาติยามค่ำคืนแห่งช่วงฤดูหนาว ผ่านแสงเหนือตระการตาและทะเลสาบน้ำแข็ง ไปจนถึงสะพานปงต์เนิฟแห่งกรุงปารีสยามพระอาทิตย์ตก

 

Le Voyage des Lumières สะท้อนถึงมรดกตกทอดของการเป็นผู้บุกเบิกด้านกระเป๋าเดินทางและการผจญภัยของ Louis Vuitton ได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งนำเสนอโปรดักต์ดีไซน์เหนือกาลเวลา ที่ใช้งานฝีมือระดับคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือ My Capucines, กระเป๋า Speedy P9 สีแดง, หีบกระเป๋า Side Trunk, Monogram Speedy และกระเป๋าเป้สะพายหลัง Christopher ที่ล้วนได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างประณีตงดงามและยังใช้งานได้จริง

 

นอกจากนั้น แคมเปญนี้ยังมีการนำเสนอน้ำหอม Imagination และ Attrape-Rêves, ชุดจิวเวลรีคอลเล็กชัน Color Blossom และ Demier รวมไปถึงเครื่องเล่นแผ่นเสียง Music Trunk ที่ตอกย้ำความรักในศิลปะรอบด้านและการท่องเที่ยวของแบรนด์มากกว่าเดิม

 

ภาพ: Louis Vuitton

อ้างอิง:

The post Louis Vuitton เปิดตัวแคมเปญเทศกาลวันหยุดในชื่อ Le Voyage des Lumières appeared first on THE STANDARD.

]]>
แผนแก้เกมท่องเที่ยวไทย ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวกลับมา? https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-34/ Wed, 12 Nov 2025 12:03:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1142609 thai-tourism-experiential-destination-chadathip

กว่า 30 ปีที่ประเทศไทยครองตำแหน่ง ‘แชมป์การท่องเที่ยวขอ […]

The post แผนแก้เกมท่องเที่ยวไทย ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวกลับมา? appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-tourism-experiential-destination-chadathip

กว่า 30 ปีที่ประเทศไทยครองตำแหน่ง ‘แชมป์การท่องเที่ยวของภูมิภาค’ สร้างรายได้และการจ้างงานรวมกว่า 20% ของ GDP ผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยสูงเกือบ 40 ล้านคนต่อปี แต่ในวันที่โลกเปลี่ยนทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า เทคโนโลยีใหม่ และวิถีชีวิตผู้คนที่เปลี่ยนไป ไทยจะทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวยังเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจได้อยู่?

 

ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 Thailand’s Next Frontier พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย บนเวที The Game Changer in Global Experiential Destination พลิกเกมท่องเที่ยวไทย สู่จุดหมายประสบการณ์ระดับโลก ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ได้ฉายภาพว่า ประเทศไทยยังจำเป็นต้องรักษาความเป็นแชมป์การท่องเที่ยวเอาไว้ เพราะการท่องเที่ยวเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่การจะรักษาแชมป์ไว้ได้ต้องอาศัยเรื่องเล่าใหม่ ไม่ใช่ขายแค่ Sea Sand Sun แบบเดิม เพราะสิ่งเหล่านั้นประเทศอื่นก็ทำได้ไม่แพ้กัน

 

การท่องเที่ยวไทยยุคใหม่ ต้องเล่าเรื่องให้เป็น

 

ขณะนี้เดโมกราฟิกของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยเปลี่ยนไป จากจีนกลายมาเป็นมาเลเซีย และอินเดียที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งพฤติกรรมนักท่องเที่ยวก็เปลี่ยนจากยุคโพสต์รูป-เช็กอิน มาเป็นยุคของ Meaningful Experience คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z มองการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่พักผ่อน แต่เป็นการค้นหาความหมายในชีวิต

 

ดังนั้น ประเทศไทยต้องก้าวข้ามจาก Tourist Destination หรือประเทศปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วไป ไปสู่ Experiential Destination หรือ จุดหมายแห่งประสบการณ์ ที่ผู้มาเยือนรู้สึกมีส่วนร่วมกับเรื่องราว วัฒนธรรม และผู้คน เช่น ได้เรียนรู้ภูมิปัญญาไทย ได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่น หรือได้ทำกิจกรรมที่มีความหมายต่อชุมชน

 

อีกปัจจัยที่น่ากังวลและไทยต้องแก้ไขให้ได้คือ ‘ความปลอดภัย’ ภาพจำของประเทศไทยจากเคยถูกมองว่าเป็นประเทศอบอุ่น ปลอดภัย มีรอยยิ้มและน้ำใจเป็นจุดขาย วันนี้มีเหตุการณ์ไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นต่อเนื่อง จนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

 

แม้การแก้ไขปัญหาในภาพใหญ่จำเป็นต้องใช้เวลา แต่สิ่งที่รัฐบาลทำได้ทันที คือ ปรับการรับรู้ของผู้คนทั่วโลกให้กลับมาเชื่อมั่นในประเทศไทยอีกครั้ง ในโลกยุคดิจิทัล การรับรู้ของผู้คนไม่ได้เกิดจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลแต่เกิดจากสิ่งที่พวกเขาเห็นบนหน้าจอมือถือทุกวัน

 

หากคอนเทนต์เกี่ยวกับประเทศไทยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะของจีน เต็มไปด้วยข่าวลบหรือเหตุการณ์ที่ดูน่ากลัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันละหลายครั้ง ภาพลักษณ์ประเทศจะค่อยๆ เสื่อมถอยโดยอัตโนมัติ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องใช้กลไกการสื่อสารเชิงรุกที่เข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลกโดยตรง ผ่านภาษาที่เข้าใจง่ายและสื่อที่พวกเขาใช้จริง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่ปลอดภัย อบอุ่น และเป็นมิตร

 

End Game การท่องเที่ยวไทย

 

ชฎาทิพ ย้ำว่า การท่องเที่ยวไทยยังไม่สิ้นหวัง เพราะสิ่งที่ดีที่สุดของประเทศไทยไม่ใช่ ภูเขา ทะเล หรืออาหารอร่อยที่สุดในโลก แต่อยู่ที่ ‘คนไทย’ คนที่มีน้ำใจ และอัธยาศัยดี นี่คือเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกตกหลุมรักประเทศไทย คนไทยทุกคนจึงควรปรบมือให้ตัวเอง เพราะเราคือทุนที่มีค่าที่สุดของชาติ แต่เมื่อเรารู้แล้วว่า เรามีของดี เราจะทำอย่างไรให้สิ่งนี้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศได้จริง

 

ชฎาทิพเสนอแนวคิด Bottom-Up Collaboration หมายถึงการพัฒนาเศรษฐกิจหรือโครงการจากฐานรากขึ้นสู่ระบบใหญ่ โดยเปิดพื้นที่ให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่แรก ไม่ใช่รอรับนโยบายจากส่วนกลางเพียงฝ่ายเดียว โมเดลนี้ถูกพิสูจน์ผลลัพธ์แล้วในเมือง ‘สุขสยาม’ ซึ่งกลุ่มสยามพิวรรธน์จับมือกับภาครัฐ จังหวัด สภาอุตสาหกรรม หอการค้า และชาวบ้านทั่วประเทศ เพื่อดึง Local Heroesให้กลายเป็น Global Heroes 

 

เมืองสุขสยามทำหน้าที่เป็น Development Platform ที่ให้ชาวบ้านจาก 77 จังหวัดนำของดีอาหาร ผ้าทอ กาแฟ งานหัตถกรรมมาขายจริง เรียนรู้จริง และพัฒนาธุรกิจจริง โดยมีนักท่องเที่ยวกว่า 70,000 คนเข้าเยี่ยมชมต่อวัน สินค้าท้องถิ่นถูกนำไปสร้างเป็นคอนเทนต์กว่า 10 ล้านคอนเทนต์ทั่วโลก และในเวลาเพียง 7 ปี ช่วยปลดหนี้ได้กว่า 32,500 ครอบครัว 

 

แนวคิดเดียวกันยังถูกต่อยอดสู่เทศกาลอวดเมือง ที่เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่จากแต่ละจังหวัดนำเสนอเมืองของตัวเอง โดยผสานการท่องเที่ยว การค้า และโครงสร้างพื้นฐานเข้าด้วยกัน

 

ในระดับประเทศ ชฎาทิพยกตัวอย่างโครงการใหม่ของสยามพิวรรธน์ชื่อ ‘Nextopia’ ซึ่งจะเปิดในสยามพารากอนเร็วๆ นี้ เป็นเมืองแห่งอนาคต ที่รวบรวมธุรกิจด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาด ผลิตภัณฑ์รีไซเคิล ผู้ประกอบการเพื่อสังคม และธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด Sustainability หรือความยั่งยืน เช่น Upcycling, Refill, Farm-to-Table มานำเสนอในรูปแบบที่จับต้องได้จริง เพื่อให้การรักษ์โลก ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นกิจกรรมที่ผู้คนร่วมสร้างได้

 

ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ End Game ของการท่องเที่ยวไทย ที่ไม่ใช่แค่การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวหรือยอดการใช้จ่าย แต่คือการทำให้คนเหล่านั้น รักประเทศไทย จนอยากมาใช้ชีวิตที่นี่ อยากลงทุน อยากย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัท มาตั้งในประเทศไทย หรือแม้แต่ย้ายถิ่นฐานมาพำนักถาวร

 

แต่รัฐบาลต้องวางแผนจริงจัง โดยเริ่มจากคำถามสำคัญว่า ประเทศไทยต้องการคนแบบไหนให้เข้ามาลงทุน? ต้องการธุรกิจประเภทใดที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงาน และยกระดับประเทศ? และเราจะออกแบบระบบอย่างไรให้คนเหล่านี้อยากมาอยู่กับเรา?

 

ชฎาทิพเตือนว่า หากไม่วางระบบอย่างรอบคอบ ไทยอาจดึงดูดคนที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาและสร้างปัญหาในระยะยาว ดังนั้น รัฐบาลต้องเป็นผู้ออกแบบระบบที่ชัดเจน โดยเฉพาะการปรับกฎหมาย ภาษี และเงื่อนไขการลงทุนที่ยังเป็นอุปสรรค 

 

พร้อมทิ้งท้ายว่า การจะรักษาแชมป์การท่องเที่ยวให้ได้ ต้องไม่ใช่การแข่งขันด้วยจำนวนนักท่องเที่ยว แต่แข่งขันกันด้วยความเร็วในการปรับตัว ประเทศที่เร็วกว่าจะได้ใจคนทั่วโลกก่อน ไทยจึงต้องเร่งปรับให้ทัน

The post แผนแก้เกมท่องเที่ยวไทย ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวกลับมา? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมาคมถนนข้าวสาร ชี้ พ.ร.บ.ห้ามดื่มเหล้าหลังเที่ยงคืน ไร้เหตุผลและทุบซ้ำธุรกิจ แถม 80-90% ของผับ-บาร์ยังไร้ใบอนุญาต เพราะรัฐไม่ออกให้กว่า 20 ปี https://thestandard.co/khaosan-alcohol-ban-hits-bars-license-gap/ Wed, 12 Nov 2025 10:33:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1142557 สมาคมถนนข้าวสาร ชี้ พ.ร.บ.ห้ามดื่มเหล้าหลังเที่ยงคืน ไร้เหตุผลและทุบซ้ำธุรกิจ แถม 80-90% ของผับ-บาร์ยังไร้ใบอนุญาต เพราะรัฐไม่ออกให้กว่า 20 ปี

จากกรณีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉ […]

The post สมาคมถนนข้าวสาร ชี้ พ.ร.บ.ห้ามดื่มเหล้าหลังเที่ยงคืน ไร้เหตุผลและทุบซ้ำธุรกิจ แถม 80-90% ของผับ-บาร์ยังไร้ใบอนุญาต เพราะรัฐไม่ออกให้กว่า 20 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมาคมถนนข้าวสาร ชี้ พ.ร.บ.ห้ามดื่มเหล้าหลังเที่ยงคืน ไร้เหตุผลและทุบซ้ำธุรกิจ แถม 80-90% ของผับ-บาร์ยังไร้ใบอนุญาต เพราะรัฐไม่ออกให้กว่า 20 ปี

จากกรณีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568

 

โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายปี 2551 โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ คือ ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการเพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาห้ามขาย (ช่วงเวลา 00.00 น.-11.00 น. และช่วง 14.00-17.00 น.)

 

โดยผู้ฝ่าฝืนมีความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท (ทั้งผู้ขาย-ผู้บริโภค) ซึ่งประเด็นดังกล่าวสร้างความสับสนต่อผู้ประกอบการและกลุ่มนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย

 

สง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ พ.ศ. 2568 เป็นการควบคุมที่ไม่สมเหตุสมผล และสะท้อนถึงความไม่เข้าใจธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของรัฐบาล เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แต่กลับมีการออกข้อจำกัดที่กดทับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวแทนที่จะส่งเสริม

 

“กฎหมายที่กำหนดให้ร้านค้าต้องหยุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และให้นักท่องเที่ยวออกจากร้านภายในเวลาเที่ยงคืน เป็นมาตรการที่ไม่ Make Sense เพราะแทนที่จะเปิดโอกาสให้ลูกค้านั่งใช้จ่ายต่อเนื่อง กลับจำกัดเวลาและรายได้ของผู้ประกอบการโดยตรง”

 

แน่นอนว่า ผลกระทบจากข้อจำกัดดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว เมื่อสถานทูตออสเตรเลียออกคำเตือนให้นักท่องเที่ยวของประเทศตัวเอง ระมัดระวังเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย โดยคาดว่าอาจมีสถานทูตของประเทศอื่น เช่น สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ออกคำเตือนในลักษณะเดียวกันตามมา ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในสายตานักเดินทางต่างชาติ

 

ทางฝั่งรัฐบาลจึงควรเตรียมประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับสถานทูตต่างๆ เพื่อป้องกันการออกคำเตือนเพิ่มเติม เพราะหากเกิดการจับกุมหรือปรับนักท่องเที่ยวจริงหลังเที่ยงคืน และเรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านสื่อหรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศโดยตรง

 

สง่า กล่าวต่อว่า ในวันนี้ (12 พฤศจิกายน 2568) เวลา 10.30 น. ที่ผ่านมา เครือข่ายสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริการกว่า 8 สมาคม ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนและยกเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะข้อกำหนดเรื่องเวลาจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568

 

ส่วนในจดหมายที่สมาคมฯ ยื่นต่อรัฐบาล มีข้อเสนอหลัก 3 ข้อ ได้แก่

 

  1. ยกเลิกข้อห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเวลา 14.00-17.00 น.
  2. ยกเลิกโทษปรับ 10,000 บาท สำหรับร้านค้าที่เปิดเกินเวลาเที่ยงคืน
  3. ขยายเวลาเปิดสถานบริการได้ถึง 01.00 น. เพื่อรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยว

 

พร้อมอธิบายว่า กฎหมายเก่าที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น. ใช้มานานกว่า 50 ปี ตั้งแต่ปี 2515 ซึ่งไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคและรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน ขณะที่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ ใบอนุญาตสถานบริการไม่เคยมีการออกให้ใหม่มานานกว่า 20-30 ปี ทำให้ผู้ประกอบการที่ต้องการดำเนินธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย ไม่สามารถขออนุญาตได้

 

ผลลัพธ์คือ ธุรกิจจำนวนมากต้องอยู่ในสภาวะการทำธุรกิจแบบเทา ๆ หรือ กึ่งผิดกฎหมาย โดยประมาณ 80-90% ของร้านอาหาร ผับ และบาร์ ไม่มีใบอนุญาตสถานบริการ เนื่องจากภาครัฐไม่เปิดให้ขอใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องลักลอบเปิด ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะส่งเสริมให้ดำเนินกิจการอย่างถูกต้อง

 

ทั้งนี้ ทางฝั่งโฆษกรัฐบาล ระบุว่า จะนำข้อเสนอทั้งหมดเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (13 พ.ย.) เพื่อพิจารณานโยบายต่อไป โดยคาดว่าการดำเนินการอาจแล้วเสร็จก่อนวันที่ 4 ธันวาคมนี้

 

สง่า ยังเตือนว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ผู้ประกอบการกว่า 70 – 80% อาจเลือกไม่สนใจ และดื้อแพ่ง จำเป็นต้องเปิดร้านต่อไป เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ เพราะปัจจุบันต้องแบกรับต้นทุน ทั้งค่าเช่า ค่าพนักงาน และค่านักดนตรี

 

และภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ร้านอาหารหรือบาร์ที่เปิดให้บริการเกินเวลาเที่ยงคืน ถือว่าผิดกฎหมาย ยกเว้นร้านที่อยู่ในพื้นที่โซนนิ่งที่ได้รับอนุญาต เช่น ในโรงแรม, หรือ มีใบอนุญาตสถานบริการถูกต้อง ซึ่งในกรุงเทพฯ มีโซนนิ่งลักษณะนี้เพียง 2 เขตเท่านั้น

 

ทำให้ร้านที่อยู่นอกพื้นที่ดังกล่าวกว่า 80% ถูกบังคับให้ปิดเที่ยงคืน ทั้งที่ภาครัฐยังไม่เปิดให้ขอใบอนุญาตใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องดำเนินธุรกิจภายใต้ข้อจำกัดที่ไม่สอดคล้องกับสภาพจริงของตลาด

 

“การให้ร้านขายได้เพียง 2 ชั่วโมง (22.00-23.59 น.) แล้วต้องไล่ลูกค้าออก มันไม่ Make Sense เลย” สง่าย้ำ พร้อมตั้งคำถามถึงความย้อนแย้งของกฎหมายที่กำหนดโทษปรับสูงถึง 10,000 บาท แต่กลับมีเจ้าหน้าที่บางคนออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอาจปรับเพียง 100 บาท แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจะออกกฎหมายมาทำไม”

The post สมาคมถนนข้าวสาร ชี้ พ.ร.บ.ห้ามดื่มเหล้าหลังเที่ยงคืน ไร้เหตุผลและทุบซ้ำธุรกิจ แถม 80-90% ของผับ-บาร์ยังไร้ใบอนุญาต เพราะรัฐไม่ออกให้กว่า 20 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ประกอบการบุกทำเนียบฯร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย https://thestandard.co/alcohol-law-review-protest-ban-drinking-hours/ Wed, 12 Nov 2025 06:10:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1142402 ผู้ประกอบการบุก ทำเนียบฯ ร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มผู้ประกอบกา […]

The post ผู้ประกอบการบุกทำเนียบฯร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ประกอบการบุก ทำเนียบฯ ร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานบริการ นำโดย สรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย, สง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร

 

พร้อมด้วยตัวแทนจากสมาคมค้าปลีกไทย สมาคมร้านอาหาร สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ และสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ เดินทางร่วมกันยื่นหนังสือถึง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอความชัดเจนและขอบเขตการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568

 

รวมทั้งขอให้ยกเลิกการห้ามดื่มนอกเวลาขาย โดยมี สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ

 

ต่อมา สรเทพเปิดเผยว่า ปัญหาหลักของกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน คือเรื่องของการห้ามนั่งดื่มต่อ แต่จริงๆ วันนี้ที่มายื่นคือ 1. เรื่องของการปลดล็อกขายแอลกอฮอล์ช่วงเวลา 14.00 -17.00 น. มีใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ซึ่งไม่เข้ากับบริบทของประเทศไทย 2. เรื่องของการปลดโซนนิ่ง และ 3. เรื่องของการอนุญาตให้นั่งดื่มต่อ ซึ่ง 3 ข้อนี้ ไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ประกอบการร้านอาหารและท่องเที่ยวในประเทศ ภาคธุรกิจกลางคืน โดยในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและท่องเที่ยว สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ก็ได้รับผลกระทบ

 

เพราะสำนักข่าวต่างประเทศเล่นข่าวหลายสำนัก จึงมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเต็มๆ ซึ่งหากกฎหมายนี้ไม่ได้แก้ไขจะมีผลกระทบแน่ๆ และถึงขั้นที่ว่าอาจจะย้ายจัดการสัมมนาไปประเทศอื่น

 

สรเทพยังกล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือการท่องเที่ยว มีความกังวล แม้กระทั่งมัคคุเทศก์เองยังเป็นกังวลว่าจะเอาอย่างไร หากจะพานักท่องเที่ยวไปทัวร์ในช่วงที่มีอากาศร้อนและเกินเวลา ทั้งไกด์ทั้งร้านที่ขายจะโดนจับ เขาก็กลัวไปหมด กลายเป็นสภาวะสุญญากาศในช่วงนี้ที่กระทบกับการท่องเที่ยวเต็มๆ เราจึงดูแล้วว่าไม่ไหว

 

เข้าใจว่าคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มองในมิติสุขภาพ แต่ตนอยากเรียกร้องว่าให้ท่านมองในมิติอื่นด้วย มองในแง่เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ยังมีทั้งในเรื่องท่องเที่ยว ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ อีกหลายล้านชีวิตในประเทศ ตนจึงมายื่นข้อเสนอตรงนี้

 

ด้าน สง่ากล่าวว่า ในส่วนของถนนข้าวสารเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีรายได้เข้าประเทศค่อนข้างมาก มีนักท่องเที่ยวประมาณ 2 หมื่นกว่าคนต่อวัน สามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก สิ่งที่เรากังวลคือถ้ามีการปรับจริงกระแสตรงนี้หากนักท่องเที่ยวโดนปรับสัก 1-2 คนแล้วไปสร้างกระแสจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทย ฉะนั้น เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการกังวลมากๆ ในสิ่งที่ภาคราชการออกอะไรออกมาที่ไม่ได้คำนึงถึงผู้ประกอบการ ซึ่งกระทบ SMEs ที่เป็นรากฐานของประเทศ ขอให้ช่วยกลับไปทบทวน เพราะบริบทของวันนี้ไม่เหมือนกับ 10-20 ปีที่ผ่านมา จิตสำนึกของคนวันนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว ฉะนั้นเราต้องมาปลูกจิตสำนึกในความรับผิดชอบ ไม่ใช่เอากฎหมายมาครอบผู้ประกอบการ

 

ขณะที่ สิริพงศ์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และได้มีการพูดคุยกันในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจครั้งแรก เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้รับทราบข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในเนื้อหาสาระมีการปลดล็อกเวลาขาย และให้ไปดูในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวคือ เพิ่มเวลาขายแต่ห้ามนั่งดื่มเกินเวลา ซึ่งเราได้รับคำแนะนำจากฝ่ายกฎหมายว่า เมื่อประกาศฉบับดังกล่าวยังไม่บังคับใช้การไปแก้กฎหมายดังกล่าวอาจจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อบังคับใช้แล้ว และนายกรัฐมนตรีได้เห็นว่าประชาชนมีความเดือดร้อน จึงได้เร่งให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการประชุมกันในวันที่ 13 พฤศจิกายน โดยมีโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อผลออกมา คิดว่าจะได้คำตอบ และมีผลบังคับใช้ไม่เกินต้นเดือนธันวาคมนี้ ตามข้อกำหนดของกฎหมาย

 

สิริพงศ์กล่าวว่า ในระหว่างนี้จะหารือกับคณะกรรมการดูว่ามีอะไรบ้างที่สามารถผ่อนปรน หรือผ่อนผันในช่วงนี้ได้ ในส่วนของแนวทางมีความเห็นในทางที่ตรงกัน เพราะการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความเห็นเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีผลกับจำนวนนักท่องเที่ยว

 

สิริพงศ์ยืนยันว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ขอให้อดใจรอนิดหนึ่ง

 

เมื่อถามว่า จะมีแนวทางที่เหมาะสมพอจะตกลงกันได้หรือไม่ เพราะมีประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วย สิริพงศ์กล่าวว่า น่าจะมีการปลดล็อกเวลาขายในช่วงเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนการขายอาจจะให้จบแค่ช่วงเวลาเที่ยงคืน สำหรับร้านอาหารทั่วไป ส่วนการนั่งต่อกำลังดูแนวทาง แต่อาจจะมีให้นั่งต่อไปอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง

 

สิริพงศ์กล่าวว่า ระเบียบเหล่านี้จะเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากตัวกฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลา กำหนดเพียงว่าห้ามขายและห้ามดื่ม ส่วนเรื่องเวลาต้องดูในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี และย้ำว่า ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถทำได้อย่างลำพัง แต่ต้องได้รับคำแนะนำจากคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

 

ส่วนการแบ่งโซนนิ่ง สิริพงศ์กล่าวว่า เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในการทบทวน ทั้งนี้ การยกเลิกโซนนิ่งทั้งหมดอาจเป็นไปไม่ได้ แต่อาจมีพื้นที่นำร่องในการลองปลดโซนนิ่ง หรืออาจมีการเพิ่มพื้นที่โซนนิ่ง

 

อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลของประชาชนว่าหากยกเลิกโซนนิ่งแล้วจะเป็นอย่างไร สิริพงศ์กล่าวว่า การจะปลดโซนนิ่งต้องมีเรื่องของกฎหมายควบคุมสถานบันเทิง เพื่อการันตีให้เกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด

 

ผู้ประกอบการบุก ทำเนียบฯ ร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย 1
ผู้ประกอบการบุก ทำเนียบฯ ร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย 2
ผู้ประกอบการบุก ทำเนียบฯ ร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย 3
ผู้ประกอบการบุก ทำเนียบฯ ร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย 4

The post ผู้ประกอบการบุกทำเนียบฯร้องทบทวน พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเลิกห้ามดื่มนอกเวลาขาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
บิทาซซ่าคาดนักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโตผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร https://thestandard.co/tourists-spending-crypto-boosts-thailand/ Tue, 11 Nov 2025 11:07:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1142164 บิทาซซ่าคาด นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโต ผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร

ซีอีโอ ‘บิทาซซ่า’ คาดนักท่องเที่ยว 5% ใช้จ่ายผ่านโครงกา […]

The post บิทาซซ่าคาดนักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโตผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
บิทาซซ่าคาด นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโต ผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร

ซีอีโอ ‘บิทาซซ่า’ คาดนักท่องเที่ยว 5% ใช้จ่ายผ่านโครงการ DigiPay คิดเป็นมูลค่าราว 6.6 หมื่นล้านบาท

 

จากโครงการ TouristDigiPay ซึ่งเป็นโครงการทดสอบ (Sandbox) การนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาทและนำไปใช้จ่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำนวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลมาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ​และการ
​​ท่องเที่ยวของประเทศ โดยเพิ่มทางเลือกและความสะดวกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล มาแลก​เปลี่ยนเป็นเงินบาทเพื่อนำไปใช้จ่ายในประเทศไทยผ่านระบบ e-money ได้ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความเห็นชอบ​จะมีระยะเวลาทดสอบภายใน 18 เดือน

 

ธนวัต สุตันติวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทาซซ่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บิทาซซ่าอยู่ระหว่างขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเชื่อว่าบริษัทจะเป็นรายแรกหรือรายต้นๆ ในการทำโครงการนี้ ปัจจุบันแอปพลิเคชันแล้วเสร็จประมาณ 80% โครงการนี้จะเป็นก้าวแรกของไทยในการที่เราเปิดให้นำคริปโตมาใช้จ่ายได้

 

“จากระยะเวลาโครงการ 18 เดือน คิดว่าจะมี 5% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดมาร่วมโครงการ คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายราว 6.6 หมื่นล้านบาท เราเชื่อว่าสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรอย่างเดียว แต่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเงินดั้งเดิมสมัยก่อน” ธนวัตกล่าว

 

โครงการนี้ จะเปิดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ ส่วนคนไทยหรือคนต่างชาติที่ทำงานในไทยไม่สามารถใช้ได้ และเนื่องจากเป็นโครงการ Sandbox จึงมีการกำหนดวงเงินที่สามารถใช้จ่ายได้สูงสุดต่อวัน คือ ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) ส่วนผู้ใช้จ่ายจะมีกระบวนการ Know Your Customer (KYC) และ Know Your Transaction (KYT) ด้วย

 

โครงการทดสอบ (Sandbox) การนำ

https://www.sec.or.th/TH/Pages/SHORTCUT/TOURISTDIGIPAY.aspx

 

สำหรับบิทาซซ่าจะรับแลกเหรียญที่อยู่ภายใต้แพลตฟอร์มของบิทาซซ่า ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 120 คู่เหรียญ​ โดยธนวัตมองว่าหนึ่งในจุดเด่นของโครงการนี้คือ ค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนจากคริปโตมาเป็นเงินบาทที่ต่ำกว่าผู้ให้บริการการเงินระดับโลก ซึ่งมักจะเก็บค่าธรรมเนียมราว 5%

 

จับมือ B2C2 ช่วยเติมสภาพคล่องในศูนย์ซื้อขาย

 

ล่าสุด บิทาซซ่า และ B2C2 ผู้นำระดับโลกด้านการให้สภาพคล่องสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบกำกับดูแลในประเทศไทย

 

B2C2 ได้ร่วมงานกับบิทาซซ่ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน และภายใต้ความร่วมมือนี้ B2C2 จะเป็นผู้ให้บริการสภาพคล่องหลักแก่ Bitazza Thailand พร้อมร่วมดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจและการเติบโตในหลายด้าน โดยความร่วมมือนี้จะช่วยให้ Bitazza Thailand สามารถขยายบริการในตลาดสถาบันได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านบริการสภาพคล่องระดับโฮลเซลล์ การจัดการด้านเครดิต และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการในอนาคต

 

ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านจากการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อยไปสู่การมีบทบาทมากขึ้นของนักลงทุนสถาบัน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลกด้านการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Adoption) ซึ่งแสดงถึงความพร้อมของประเทศในการเข้าสู่การเติบโตในระดับสถาบันอย่างเต็มรูปแบบ

 

ภาพ: Peter Dazeley/Getty Images

The post บิทาซซ่าคาดนักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโตผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2026 ยกทัพนักหวดโลก พร้อมเพิ่มเงินรางวัลรวมเป็น 1.8 ล้านดอลลาร์ฯ https://thestandard.co/honda-lpga-2026-world-stars-1-8m-prize/ Tue, 11 Nov 2025 05:02:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1141971 ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2026 ยกทัพนักหวดโลก พร้อมเพิ่มเงินรางวัลรวมเป็น 1.8 ล้านดอลลาร์ฯ

การแข่งขันกอล์ฟหญิงระดับโลก ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2 […]

The post ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2026 ยกทัพนักหวดโลก พร้อมเพิ่มเงินรางวัลรวมเป็น 1.8 ล้านดอลลาร์ฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2026 ยกทัพนักหวดโลก พร้อมเพิ่มเงินรางวัลรวมเป็น 1.8 ล้านดอลลาร์ฯ

การแข่งขันกอล์ฟหญิงระดับโลก ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2026 เตรียมกลับมาสร้างปรากฏการณ์อีกครั้ง ระหว่างวันที่ 19-22 กุมภาพันธ์ 2569 ณ สยามคันทรีคลับ โอลด์คอร์ส พัทยา จังหวัดชลบุรี

 

โดยในปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 19 พร้อมอัดฉีด เงินรางวัลรวมกว่า 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 60 ล้านบาท) และมีนักกอล์ฟหญิงชั้นนำจาก แอลพีจีเอทัวร์ 72 คน เข้าร่วมดวลวงสวิง

 

การแข่งขันปีนี้ยังคงเดินหน้าภายใต้แนวคิด ‘ไลฟ์สไตล์กอล์ฟ’ ที่ผสานทั้งกีฬา ความบันเทิง และแรงบันดาลใจเข้าด้วยกัน โดยมีนักกอล์ฟจากไทยและญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ สะท้อนพลังของเอเชียในเวทีโลก

 

โทชิโอะ คุวาฮาระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชียนฮอนด้ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้าภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกอล์ฟสตรีมาอย่างต่อเนื่องกว่า 19 ปี รายการนี้ไม่เพียงยกระดับนักกอล์ฟไทยสู่เวทีโลก แต่ยังส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้โดดเด่นยิ่งขึ้น”

 

สำหรับนักกอล์ฟไทยที่คาดว่าจะเป็นแม่เหล็กของรายการ ได้แก่

 

  • จีโน่-อาฒยา ฐิติกุล มือหนึ่งของโลก
  • แพตตี้-ปภังกร ธวัชธนกิจ แชมป์ปี 2024
  • เม-เอรียา จุฑานุกาล แชมป์ปี 2021
  • พราว-ชเนตตี วรรณแสน เจ้าของสองแชมป์แอลพีจีเอ

 

โดยจีโน่กล่าวถึงการกลับมาร่วมแข่งขันว่า “ทุกครั้งที่ได้กลับมาแข่งในไทย เหมือนได้เติมพลังจากแฟน ๆ และส่งต่อแรงบันดาลใจให้น้อง ๆ เยาวชน อยากให้ทุกคนมาเชียร์กันในเดือนกุมภาพันธ์นี้นะคะ”

 

สำหรับบัตรเข้าชมเปิดจำหน่ายแล้วที่ hondalpgathailand.com โดยบัตรเข้าชมวันเดียว พฤหัสฯ-ศุกร์ จะมีราคา 500 บาท ส่วนเสาร์-อาทิตย์ 700 บาท บัตรสองวัน (เสาร์-อาทิตย์) ราคา 1,200 บาท และบัตรเข้าชมครบ 4 วัน ราคา 1,600 บาท ผู้ชมอายุต่ำกว่า 16 ปี และมากกว่า 60 ปี เข้าชมฟรีโดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์

The post ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2026 ยกทัพนักหวดโลก พร้อมเพิ่มเงินรางวัลรวมเป็น 1.8 ล้านดอลลาร์ฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tourism War เดือด! ไทยเผชิญแรงกดดันหนัก นักท่องเที่ยวหดตัว-การใช้จ่ายต่ำ สวนทางคู่แข่งเอเชียที่โตทะลุ 10% https://thestandard.co/tourism-war-thailand-loses-share/ Mon, 10 Nov 2025 01:16:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1141356 Tourism War เดือด ไทยเผชิญแรงกดดันหนัก นักท่องเที่ยวหดตัว-การใช้จ่ายต่ำ สวนทางคู่แข่งเอเชียที่โตทะลุ 10%

สงครามการท่องเที่ยวในเอเชีย หรือ Tourism war เอเชียกำลั […]

The post Tourism War เดือด! ไทยเผชิญแรงกดดันหนัก นักท่องเที่ยวหดตัว-การใช้จ่ายต่ำ สวนทางคู่แข่งเอเชียที่โตทะลุ 10% appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tourism War เดือด ไทยเผชิญแรงกดดันหนัก นักท่องเที่ยวหดตัว-การใช้จ่ายต่ำ สวนทางคู่แข่งเอเชียที่โตทะลุ 10%

สงครามการท่องเที่ยวในเอเชีย หรือ Tourism war เอเชียกำลังเข้มข้นจากการที่หลายประเทศปรับยุทธศาสตร์ให้ภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

 

ภายใต้ข้อจำกัดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวและเผชิญความไม่แน่นอนสูง ทำให้หลายประเทศในเอเชียต้องปรับยุทธศาสตร์ของประเทศโดยหันมาให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวมากขึ้น จึงส่งผลให้เกิดการแข่งขันเชิงนโยบายที่เข้มข้นและครอบคลุมในหลายมิติเพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน สมรภูมิ Tourism war ในเอเชียมีประเทศคู่แข่งด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญอย่าง ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, เวียดนาม และสิงคโปร์ รวมถึงจีนที่กำลังเป็นอีกหนึ่งประเทศคู่แข่งสำคัญ โดยแต่ละประเทศต่างตั้งเป้าหมายการเติบโตด้านการท่องเที่ยวไว้ค่อนข้างสูงมากกว่า 10%YoY แสดงให้เห็นถึงการวางยุทธศาสตร์เชิงรุกที่มุ่งผลักดันการท่องเที่ยวให้เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่ Tourism war ที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในระยะข้างหน้า

 

สมรภูมิ Tourism war ได้เปลี่ยนเกมแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในเอเชีย และเพิ่มแรงกดดันต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังหดตัวสวนทางกับหลายประเทศที่ขยายตัวแข็งแกร่ง การเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวเป้าหมายทำได้ยากขึ้นจากที่ตลาดมีความทับซ้อนสูงในหลายประเทศ และการเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่ยังจำกัด

 

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 หลายประเทศสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดีจากอัตราขยายตัวที่มากกว่า 10%YoY โดยเฉพาะจีนกับเวียดนาม ซึ่งยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินด้วย ขณะที่ไทยยังเผชิญแรงกดดันจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลด้านความปลอดภัย อีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข่งขันเชิงรุกจากหลายประเทศในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดเป้าหมายหลักให้เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศของตน

 

ยิ่งไปกว่านั้น การเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายมีแนวโน้มทำได้ยากขึ้น เนื่องจากแต่ละประเทศมีการทับซ้อนของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ค่อนข้างสูง โดยมีนักท่องเที่ยวจากเพียง 18 ประเทศเท่านั้นที่กระจุกตัวอยู่ใน 10 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวในทั้ง 6 ประเทศใน

 

สมรภูมิ Tourism war โดยเฉพาะเวียดนามและสิงคโปร์ที่มีตลาดหลักที่ทับซ้อนกับไทยในระดับสูง นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ไทยยังเผชิญกับความท้าทายในการกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปในปี 2024 ที่ลดลงสวนทางกับประเทศอื่นที่ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2019 ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันในไทยก็ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งยิ่งสะท้อนความจำเป็นในการเร่งยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มศักยภาพการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

สถานการณ์ Tourism war มีแนวโน้มยิ่งเข้มข้นขึ้น โดยแต่ละประเทศได้ใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
โดยกลยุทธ์สำคัญที่หลายประเทศนำมาใช้ ได้แก่

 

1. การเร่งออกมาตรการพิเศษด้านวีซ่าในการเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย โดยในปีนี้หลายประเทศต่างทยอยออกมาตรการวีซ่าเพิ่มเติมเพื่อขยายตลาดนักท่องเที่ยวทั้งการยกเว้นวีซ่า และการออกวีซ่าประเภทพิเศษ

 

2. การสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว (Brand image) ที่เน้นการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากขึ้น เพื่อดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

3. การใช้คอนเทนต์บนสื่อออนไลน์ และพลังของอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อสร้างกระแสโปรโมตการท่องเที่ยวให้เข้าถึงคนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและยังต่อยอดเสริมภาพลักษณ์ประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

4. การร่วมกับภาคธุรกิจท่องเที่ยวในการออกแคมเปญโปรโมชัน ซึ่งครอบคลุมทั้งตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยว เพื่อสร้างแรงจูงใจและเร่งการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว

 

5. การยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเดิมให้มีความแปลกใหม่ ควบคู่กับการสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made destinations) เพื่อเพิ่มจุดขายใหม่ให้แข่งขันกับประเทศอื่นได้

 

6. การพัฒนาเครือข่ายเส้นทางการบินให้ครอบคลุมเส้นทางมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการขยายตลาดนักท่องเที่ยว

 

ผลกระทบจาก Tourism war ที่เกิดขึ้นกำลังผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งปรับแผนรับมือกับสถานการณ์ให้ทันท่วงที

 

ผลกระทบของ Tourism war สามารถแบ่งตามกลุ่มนักท่องเที่ยวได้เป็น 3 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่ม ภาคธุรกิจจะต้องพิจารณาวางกลยุทธ์ให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้มากขึ้น ได้แก่

 

1. กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไทยยังเป็นผู้นำ แต่เริ่มกระจายไปเที่ยวประเทศอื่นเพิ่มขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย, อินเดีย, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร และฟิลิปปินส์ โดยภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพบริการ ควบคู่กับการสร้างประสบการณ์ใหม่เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนซ้ำและเพิ่มการใช้จ่ายในการท่องเที่ยว

 

2. กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูงในหลายประเทศ แต่ยังขยายตัวไม่มากในไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น, สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และแคนาดา ซึ่งภาคธุรกิจควรเดินหน้าโปรโมตการท่องเที่ยวและสร้างจุดขายที่แตกต่างเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวที่ยังมีความต้องการเดินทางสูงเดินทางเข้าไทยมากขึ้น

 

3. กลุ่มนักท่องเที่ยวที่แข่งขันกันรุนแรงและไทยเผชิญกับภาวะชะลอตัว ได้แก่ จีน, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยภาคธุรกิจภายใต้ความร่วมมือกับภาครัฐ ควรใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกเพื่อกระตุ้นตลาดให้ฟื้นตัวโดยเร็วผ่านการทำโพรโมชันแบบเจาะประเทศควบคู่กับการโปรโมตการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

 

อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ภาคธุรกิจควรเน้นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น 1. การสร้างแบรนด์ท่องเที่ยวที่โดดเด่นแตกต่างจากประเทศคู่แข่ง 2. การยกระดับประสบการณ์ใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวอยู่เสมอผ่านการจัดกิจกรรม อีเวนต์ หรือบริการที่สอดรับเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ และ 3. การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับเครือข่ายผู้ให้บริการท่องเที่ยวในประเทศต้นทางเพื่อผลักดันนักท่องเที่ยวเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ มาตรการภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทยท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นและผลักดันให้เกิดความได้เปรียบเชิงแข่งขันบนความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น

 

มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐจะมีส่วนช่วยเร่งให้ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นกลับมาได้เร็วและส่งเสริมให้เกิดการยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว ซึ่งมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่ออกมา (เช่น การออกแคมเปญโปรโมชัน การโปรโมตการท่องเที่ยว และการยกระดับแหล่งท่องเที่ยว) จำเป็นต้องดำเนินอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนได้ทันกับสถานการณ์เหมาะสมกับสมรภูมิ Tourism war โดยการพัฒนาโครงสร้างข้อมูลด้านการท่องเที่ยวให้ยิ่งมีความแม่นยำ ครบถ้วน และรวดเร็ว

 

โดยเฉพาะข้อมูลการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้การกำหนดใช้นโยบายเกิดประสิทธิผลสูงสุด ในขณะเดียวกัน ภาครัฐอาจพิจารณาเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจได้เข้าถึงข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในระดับที่ลึกขึ้น เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างทันท่วงที

 

นอกจากนี้ การกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและ Brand image ของประเทศในระยะยาว รวมถึงการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะการบริหารจัดการพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวเพื่อช่วยในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันท่องเที่ยวของไทยให้พร้อมแข่งขันในสมรภูมิ Tourism War รวมถึงสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับออนไลน์ได้ที่: https://www.scbeic.com/th/detail/product/Tourism-war-071125?utm_source=Influencer&utm_medium=Influencer

The post Tourism War เดือด! ไทยเผชิญแรงกดดันหนัก นักท่องเที่ยวหดตัว-การใช้จ่ายต่ำ สวนทางคู่แข่งเอเชียที่โตทะลุ 10% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไปเที่ยว เดินวันละหลายหมื่นก้าว ขายังไหว…แต่ทำไมหลังพัง? https://thestandard.co/life/muscle-imbalance-back-pain-weak-glutes-tight-hip-flexors/ Sun, 09 Nov 2025 01:00:21 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1141069 muscle-imbalance-back-pain-weak-glutes-tight-hip-flexors

เชื่อว่านี่คือประสบการณ์จริงที่สายเที่ยวหลายคนต้องเจอกั […]

The post ไปเที่ยว เดินวันละหลายหมื่นก้าว ขายังไหว…แต่ทำไมหลังพัง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
muscle-imbalance-back-pain-weak-glutes-tight-hip-flexors

เชื่อว่านี่คือประสบการณ์จริงที่สายเที่ยวหลายคนต้องเจอกับภาวะ ‘ขาไหว แต่หลังพัง’ อันที่จริง สาเหตุอาจไม่ได้อยู่ที่ความไม่ฟิต แต่มันคือ ภาวะกล้ามเนื้อไม่สมดุล (Muscle Imbalance) ที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย ซึ่งบังคับให้หลังของคุณต้องทำงานหนักเกินหน้าที่จนอักเสบ มาดูกันว่าสาเหตุหลักๆ มีอะไรบ้าง

 

1. กล้ามเนื้อก้นอ่อนแอ (Weak Glutes)

 

ปกติก้นมีหน้าที่หลักในการเคลื่อนไหวร่างกาย รวมถึงการพยุงหลังล่าง ข้อสะโพก ข้อเท้าและข้อเข่า​ แต่การนั่งทำงานหรือขับรถนานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้อ่อนแอจนอาจลืมหน้าที่ไป ร่างกายจึงสั่งให้ใช้หลังล่างมาเกร็งและออกแรงแทน 

 

2. กล้ามเนื้องอสะโพกตึง (Tight Hip Flexors)

 

การนั่งนานๆ ทำให้กล้ามเนื้องอสะโพกหดสั้น เมื่อลุกเดิน มันจะดึงให้เชิงกรานเอียงไปข้างหน้า ทำให้หลังล่างแอ่นมากกว่าปกติ เกิดแรงบีบอัดที่กระดูกสันหลังตลอดเวลา

 

3. แกนกลางลำตัวอ่อนแอ (Weak Core)

 

หน้าท้องที่อ่อนแอทำให้กระดูกสันหลังขาดความมั่นคง หลังล่าง จึงต้องพยายามเกร็งค้างไว้ตลอดเวลาเพื่อป้องกันแรงกระแทกจากการเดิน ทำให้เกิดอาการปวดเกร็ง  

 

5. การแบกของหนัก

 

การแบกกระเป๋าสะพายหรือเป้ที่หนักไปตลอดทางจะยิ่งเพิ่มแรงกดทับ ลงบนกระดูกสันหลังโดยตรง และบังคับให้หลังแอ่นมากขึ้น ทำให้อาการแย่ลงเร็วขึ้น 

 

วิธีแก้ที่ตรงจุด

 

  • ฝึกยืด Hip Flexor

ท่านี้จะช่วยปลดล็อกกล้ามเนื้อที่ดึงหลังให้แอ่น ลดอาการตึงหลัง

 

วิธีทำ: คุกเข่าข้างหนึ่ง ก้าวอีกข้างไปหน้า 90 องศา แล้วค่อยๆ ดันสะโพกไปข้างหน้าตรงๆ จนรู้สึกตึง ค้างไว้ 30 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 2-3 รอบ

 

  • ฝึกท่า Glute Bridge

ท่านี้จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อก้นที่อ่อนแรงให้กลับมาทำงานแทนหลัง

 

วิธีทำ: นอนหงาย ชันเข่า วางเท้ากว้างเท่าสะโพก แล้วยกสะโพกขึ้นสูง เกร็งก้นค้างไว้ 3-5 วินาที แล้วค่อยๆ วางลง ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ทั้งหมด 2-3 เซ็ต

 

  • ฝึกท่า Child’s Pose  

ท่านี้จะช่วยยืดและคลายกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างที่เกร็งค้างและถูกบีบอัดมาทั้งวัน

 

วิธีทำ: คุกเข่า นั่งบนส้นเท้า แล้วพับลำตัวไปข้างหน้า ให้หน้าผากแตะพื้น เหยียดแขนตรงไปด้านหน้า ค้างไว้ 30 วินาที หายใจลึกๆ ทำซ้ำ 2-3 เซ็ต

 

นอกจาก 3 ท่านี้ การเลือกของใช้ส่วนตัวก็สำคัญไม่แพ้กัน เริ่มจากเรื่องรองเท้า ควรเลือกรองเท้าที่ออกแบบมาเพื่อการเดินหรือรองเท้าวิ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมีพื้นรองรับแรงกระแทกได้ดี

 

ส่วนกระเป๋า แนะนำให้หันมาใช้เป้สะพายหลัง (Backpack) แทนกระเป๋าสะพายข้าง เพราะเป้จะช่วยกระจายน้ำหนักลงบนบ่าทั้งสองข้างอย่างสมดุล ไม่บังคับให้หลังฝั่งใดฝั่งหนึ่งต้องเกร็งรับน้ำหนักตลอดเวลา และที่สำคัญคือ พยายามอย่าใส่ของหนักจนเกินไป 

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการเจ็บแปลบ ชา หรือปวดรุนแรงจนทนไม่ไหว นั่นอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเส้นประสาทหรือหมอนรองกระดูก แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้อง ก่อนที่อาการจะเรื้อรัง 

 

อ้างอิง:

The post ไปเที่ยว เดินวันละหลายหมื่นก้าว ขายังไหว…แต่ทำไมหลังพัง? appeared first on THE STANDARD.

]]>