การซ่อม – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 26 Sep 2022 05:43:59 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 iFixit ยกให้ iPhone 14 เป็น iPhone ที่ซ่อมด้วยตัวเองง่ายที่สุดในรอบหลายปี เชื่อจะทำให้ใช้ได้นานขึ้นและลดผลกระทบต่อโลก https://thestandard.co/ifixit-iphone-14-repair/ Sun, 25 Sep 2022 03:16:31 +0000 https://thestandard.co/?p=686223 iPhone 14

การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยใน iPhone 14 ช่วยให้คุณซ่อมโ […]

The post iFixit ยกให้ iPhone 14 เป็น iPhone ที่ซ่อมด้วยตัวเองง่ายที่สุดในรอบหลายปี เชื่อจะทำให้ใช้ได้นานขึ้นและลดผลกระทบต่อโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
iPhone 14

การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยใน iPhone 14 ช่วยให้คุณซ่อมโทรศัพท์ด้วยตนเองง่ายขึ้น โดย iPhone 14 สามารถเปิดฝาหลังหรือหน้าได้เพียงแค่ไขน็อต 2 ตัวออก ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ iFixit บอกว่า น็อตพวกนั้นเป็นตัวยึดกระจกด้านหลังและหน้าจอด้านหน้าของโทรศัพท์

 

จากรายงานของ iFixit การที่ทั้งสองด้านสามารถไขน็อตออกมาได้นั้นเพิ่มความท้าทายให้การออกแบบอื่นๆ เช่นกัน อย่างการที่ต้องเพิ่มอีกด้านหนึ่งเพื่อใส่ซีลกันน้ำเข้าไป และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับคลื่นความถี่วิทยุ


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 


ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดของ iPhone 14 เช่น ชิ้นส่วนในการส่งสัญญาณดาวเทียมเพื่อใช้ 5G, GPS, WiFi และ Bluetooth จะถูกวางไว้บนเฟรมกลางหน้าจอที่จะซับแรงกระแทกหากโทรศัพท์ตก

 

iFixit ให้คะแนนการซ่อม iPhone 14 ที่ 7 เต็ม 10 และเสริมว่า “iPhone 14 เป็น iPhone ที่ซ่อมได้ง่ายมากที่สุดในรอบหลายปี” เว็บไซต์ยังเสริมด้วยว่าการซ่อม iPhone 14 ได้ง่ายขึ้น “จะช่วยให้ใช้งานได้นานขึ้นและลดผลกระทบโดยรวมที่มีต่อโลก”

 

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ iPhone 14 แตกต่างจาก iPhone 14 Pro และ Pro Max รุ่นอื่นๆ ที่ไม่มีความสามารถในการแงะด้านหน้าและด้านหลัง

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post iFixit ยกให้ iPhone 14 เป็น iPhone ที่ซ่อมด้วยตัวเองง่ายที่สุดในรอบหลายปี เชื่อจะทำให้ใช้ได้นานขึ้นและลดผลกระทบต่อโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
สนามบินในกรุงลอนดอนปิดซ่อมรันเวย์ชั่วคราว หลังพื้นผิวละลาย เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัด https://thestandard.co/london-airport-temporarily-closed-for-runway-repairs/ Tue, 19 Jul 2022 08:48:05 +0000 https://thestandard.co/?p=655870 สนามบิน

วันนี้ (19 กรกฎาคม) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สนามบิ […]

The post สนามบินในกรุงลอนดอนปิดซ่อมรันเวย์ชั่วคราว หลังพื้นผิวละลาย เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
สนามบิน

วันนี้ (19 กรกฎาคม) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สนามบินลูตันในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร ประกาศปิดซ่อมรันเวย์ชั่วคราว หลังพื้นผิวรันเวย์ละลายและได้รับความเสียหายจากคลื่นความร้อนด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้หลายเที่ยวบินเกิดความล่าช้า 

 

หลายพื้นที่ทั่วเกาะอังกฤษมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส และอาจทำสถิติใหม่สูงเป็นประวัติการณ์ภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า มีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิในบางพื้นที่อาจวัดได้สูงถึง 42 องศาเซลเซียส หลังจากที่คลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมจนทางการต้องประกาศเตือนภัยด้านสภาพอากาศระดับสูงสุดครั้งแรก ตั้งแต่เริ่มใช้ระบบนี้มาเมื่อปี 2021

 

โดยสนามบินลูตันเองก็ไม่ได้เป็นสนามบินเดียวในสหราชอาณาจักรที่ได้รับผลกระทบจากพื้นผิวรันเวย์เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด หลายสนามบินของกองทัพอากาศก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันนี้ รวมถึงสนามบินในหลายประเทศแถบยุโรปก็ประสบปัญหาเที่ยวบินล่าช้ากว่ากำหนด เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายและร้อนจัด

 

แฟ้มภาพ: Captain_Kangaroo / Shutterstock

อ้างอิง:

The post สนามบินในกรุงลอนดอนปิดซ่อมรันเวย์ชั่วคราว หลังพื้นผิวละลาย เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
กทม. รุดซ่อมถนนกำแพงเพชร 6 หลังถูกร้องเรียนถนนเป็นคลื่นชำรุด ชี้อยู่ในการดูแลของ รฟท. เตรียมหารือแก้ปัญหาถาวร https://thestandard.co/bangkok-rushes-to-repair-kamphaeng-phet-6-road/ Fri, 14 Jan 2022 08:51:56 +0000 https://thestandard.co/?p=582544 ถนนกำแพงเพชร 6

จากกระแสที่มีการร้องเรียน กรณีถนนกำแพงเพชร 6 หรือถนนเลี […]

The post กทม. รุดซ่อมถนนกำแพงเพชร 6 หลังถูกร้องเรียนถนนเป็นคลื่นชำรุด ชี้อยู่ในการดูแลของ รฟท. เตรียมหารือแก้ปัญหาถาวร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถนนกำแพงเพชร 6

จากกระแสที่มีการร้องเรียน กรณีถนนกำแพงเพชร 6 หรือถนนเลียบทางรถไฟ (โลคัลโรด) พื้นที่เขตดอนเมือง มีผิวจราจรชำรุดเสียหาย เป็นคลื่น ไม่เรียบเสมอกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้ที่สัญจรไปมาในบริเวณดังกล่าว 

 

ล่าสุด วันนี้ (14 มกราคม) ทางเพจเฟซบุ๊ก ‘กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์’ ให้ข้อมูลถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีความห่วงใยในความปลอดภัยของประชาชน และมิได้นิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าว โดยพยายามเข้าไปคลี่คลายปัญหา และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น ทั้งนี้ พบว่ายังมีอุปสรรคที่ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขเป็นการถาวรได้ 

 

เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า ปัจจุบันพื้นที่ถนนถนนกำแพงเพชร 6 อยู่ในกรรมสิทธิ์และความรับผิดชอบของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ กทม. ให้สามารถเข้าไปดำเนินการซ่อมแซมถนนแห่งนี้เป็นการถาวรได้ ทั้งนี้ รฟท. ได้เคยมีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ กทม.ใช้สิทธิเหนือพื้นดินบริเวณดังกล่าว เพื่อนำพื้นที่ไปใช้ในโครงการก่อสร้างรถไฟสายสีแดง โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และอยู่ระหว่างเตรียมพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน

 

แม้ว่า รฟท. จะมีหนังสือแจ้งส่งมอบถนนเลียบทางรถไฟและอุโมงค์ถนนลอดทางรถไฟในโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ให้ กทม. เป็นผู้ดูแลรักษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 แต่ กทม. ยังไม่ได้รับมอบถนนดังกล่าวจาก รฟท. เนื่องจากการสำรวจความพร้อมก่อนการส่งมอบเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 

 

โดยสำนักการโยธา กทม. พบว่ามีข้อบกพร่องหลายรายการ อาทิ ไม่มีบันทึกข้อตกลงการส่งมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณถนนกำแพงเพชร 6 ผิวจราจรแอสฟัลต์ชำรุด ทรุดตัว แตกร้าว ไม่เรียบเสมอกับผิวจราจรข้างเคียง คันหินและทางเท้าก่อสร้างไม่ตรงตามมาตรฐาน บ่อพักระบบระบายน้ำและช่องรับน้ำบนทางเท้าสูงกว่าระดับผิวจราจร ไม่สามารถระบายน้ำได้ ไม่มีป้ายจราจรและระบบไฟฟ้าส่องสว่าง โดยปัจจุบัน รฟท. ยังไม่ได้แก้ไขข้อบกพร่องบริเวณดังกล่าวให้เรียบร้อยถูกต้องตามคู่มือก่อสร้างงานสาธารณูปโภค จึงยืนยันได้ว่า กทม. ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการปรับปรุงถนนดังกล่าวเป็นการถาวรได้

 

อย่างไรก็ตาม กทม. ได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาถนนกำแพงเพชร 6 ชำรุด ผ่านช่องทางต่างๆ สำนักการโยธาจึงเข้าไปดำเนินการตรวจสอบ สาเหตุที่ถนนกำแพงเพชร 6 ตั้งแต่แยกวัดเสมียนนารีถึงบริเวณแยกคลังน้ำมันใต้สถานีรถไฟสายสีแดง มีสภาพเป็นเนินลูกคลื่นตลอดแนว คาดว่ามาจากโครงการก่อสร้างดังกล่าวของ รฟท. ซึ่งจัดซ่อมผิวจราจรไม่ได้ระดับและไม่เรียบร้อย รวมทั้งมีการสกัดเสาตอม่อโฮปเวลล์เดิมออกไม่หมดในแนวถนนที่ใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างช่องจราจรใหม่ ทำให้ถนนเกิดการทรุดตัว ไม่เท่ากัน (Differential Settlement) ส่งผลให้ผิวจราจรนูนเป็นคลื่น  

 

ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ใช้เส้นทางดังกล่าว กทม. โดยสำนักการโยธา จึงได้เข้าซ่อมแซมเป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ด้วยการปรับผิวจราจรจุดที่ชำรุดและเป็นหลุมเล็กน้อย ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน ซ่อมแซมแล้วรวม 3 จุด คือ 

 

  • บริเวณซอยวิภาวดีรังสิต 25 
  • ฝั่งขาออกหน้าโรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น
  • หน้าสำนักงานเขตดอนเมือง (จุดตัดระหว่างถนนเชิดวุฒากาศกับถนนกำแพงเพชร 6 ) 

 

ส่วนบริเวณที่ผิวจราจรชำรุดเป็นหลุมบ่อขนาดใหญ่ รวมถึงเป็นคลื่น ไม่เรียบเสมอกัน กทม. ได้มีหนังสือประสานแจ้ง รฟท. ตรวจสอบ และเร่งรัดดำเนินการซ่อมแซมไปเป็นระยะ และเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ทางสำนักงานเขตดอนเมืองประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น รฟท. สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง และสำนักการโยธา มาร่วมกันแก้ไขปัญหาผิวจราจรถนนโลคัลโรดเป็นการถาวรต่อไป

The post กทม. รุดซ่อมถนนกำแพงเพชร 6 หลังถูกร้องเรียนถนนเป็นคลื่นชำรุด ชี้อยู่ในการดูแลของ รฟท. เตรียมหารือแก้ปัญหาถาวร appeared first on THE STANDARD.

]]>
เหตุผลว่าทำไม ‘ธำรงวินัย’ และ ‘การซ่อม’ จึงยังไม่ตายจากสังคมไทย https://thestandard.co/military-punishment/ https://thestandard.co/military-punishment/#respond Sat, 25 Nov 2017 06:25:09 +0000 https://thestandard.co/?p=50423

  “มันไม่ใช่การทรมาน มันเป็นการฝึกความอดทน”   […]

The post เหตุผลว่าทำไม ‘ธำรงวินัย’ และ ‘การซ่อม’ จึงยังไม่ตายจากสังคมไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

“มันไม่ใช่การทรมาน มันเป็นการฝึกความอดทน”

 

เพื่อนของผมคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้เกี่ยวกับจุดประสงค์ของการ ‘ธำรงวินัย’ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า ‘การซ่อม’

‘ฝึกความอดทน ฝึกความอดทน’ ผมนึกของผมอยู่คนเดียว การบังคับให้คนกินน้ำเป็นเหยือกๆ แล้วซ่อมจนอาเจียนน้ำออกมา การให้คนออกกำลังกายกลางแดดจนเป็นลมหมดสติไป การให้คนเอาหัวปักลงดินเป็นชั่วโมงๆ ทั้งหมดนี้คือการฝึกความอดทนของคนอย่างนั้นเหรอ

แล้วทำไมจึงยังมีอีกหลายคนที่เรียกพฤติกรรมเหล่านี้ว่าเป็นการทรมานคน หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนกัน

 


แล้วถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีจริงๆ ทำไมคนถึงยอมที่จะเอาตัวเองเข้าไปในระบบนั้นๆ และทำไมคนที่เคยผ่านระบบนี้มาแล้วถึงคิดว่ามันเป็นระบบที่ดีและพยายามที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องระบบนี้ และทำไมคนที่ไม่เคยผ่านระบบนี้จึงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันกับคนที่เคยผ่านระบบโหดๆ นี้มา

ทำไมถึงยังมีเหตุการณ์ที่น่าสลดใจอย่างเหตุการณ์น้องเมยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมเหตุการณ์อย่างนี้ก็จะยังเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น

และทำไมระบบโซตัส (SOTUS) จึงยังไม่หายไปจากสังคมของเราเสียที

วันนี้ผมขอถือโอกาสใช้หลักวิชาการของเศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และสังคมวิทยา มาพยายามตอบคำถามต่างๆ นานาที่หลายท่านอาจจะมีต่อวัฒนธรรมการซ่อมให้ลองอ่านกันนะครับ

 


จริงหรือไม่ที่ระบบการซ่อมเป็นระบบที่สร้างคน สร้างความอดทนและระเบียบวินัย และการเป็นผู้นำที่ดีได้
คงจะมีหลายๆ คนที่มีความเชื่อว่าระบบการซ่อมเป็นระบบเดียวที่สามารถสร้างให้คนมีความอดทนและมีระเบียบวินัยได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามันดูไม่ใช่ทฤษฎีที่แปลกอะไรเลย คนที่สามารถผ่านระบบการซ่อมที่โหดๆ มาได้ พวกเขาก็ต้องมีความอดทนอดกลั้นสูงอยู่แล้ว ในเมื่อคนเราเคยเป็นผู้ตามที่ดีมาก่อน พวกเขาก็ต้องกลายมาเป็นผู้นำที่ดีอยู่แล้ว จริงไหม

ปัญหาก็คือในการตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ เราอาจจะกำลังละเลยอัตราพื้นฐาน (Base rate neglect) อยู่ก็ได้

ยังไงน่ะเหรอครับ สมมติว่าในประเทศของเราเคยมีคนผ่านระบบการซ่อมมาทั้งหมด 1 แสนคน และจาก 1 แสนคนนี้ มี 9 หมื่นคนเป็นคนที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย มีความเป็นผู้นำที่ดี เราก็อาจจะสรุปง่ายๆ ว่าประสิทธิผลของระบบการซ่อมก็คือการผลิตคนที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย เป็นผู้นำที่ดีได้ถึง 90% ด้วยกัน

แต่สมมติอีกว่ามีคน (ซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว) อีก 50 ล้านคนที่ไม่เคยผ่านระบบซ่อมมา และจาก 50 ล้านคนนี้มี 5 ล้านคนเป็นคนที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย และเป็นผู้นำที่ดี

 


ถ้าเรานำเอาอัตราพื้นฐานนี้เข้ามาช่วยในการคำนวณประสิทธิผลของการซ่อม เราก็จะพบว่าระบบการซ่อมนั้นมีประสิทธิผลในการผลิตบุคลากรที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย และการเป็นผู้นำที่ดี เท่ากับจำนวนของคนที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย เป็นผู้นำที่ดี และเคยผ่านระบบการซ่อมมาก่อน ต่อจำนวนของคนทั้งประเทศที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย และเป็นผู้นำที่ดี 9 หมื่นคน (9 หมื่นคน ÷ 5 ล้านคน) เท่ากับ 0.017 หรือ 1.7%

ไม่ใช่ 90% อย่างที่เราคิดกัน (ซึ่งตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณนี้เป็นแค่ตัวเลขที่ผมประเมินขึ้นมานะครับ เพราะฉะนั้นค่าที่ได้ออกมาอาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่า 1.7% ก็ได้ แต่ประเด็นก็คือเราอาจจะกำลังให้น้ำหนักกับผลลัพธ์ของระบบการซ่อมมากจนเกินไป ถ้าเราละเลยและไม่คิดถึงอัตราพื้นฐานกัน)

และถึงแม้ว่าระบบการซ่อมจะสามารถผลิตคนที่มีความอดทนเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปได้จริงๆ พวกเขาก็อาจจะต้องแลกกับการสูญเสียโอกาสในการพัฒนาความสามารถทางด้านอื่นๆ อย่างเช่น การพัฒนาวิธีการคิดนอกกรอบ ไม่คิดตามกลุ่ม แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าความสามารถอื่นๆ จะไม่สำคัญเท่าการมีความอดทนและมีระเบียบวินัย

 

 

ทำไมคนที่ผ่านระบบซ่อมมาจะมีความรักกันมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป และมักคิดว่าคนที่ไม่เคยผ่านระบบนี้มาก่อนไม่มีทางเข้าใจ

อะไรก็ตามที่ยากๆ ในชีวิต ถ้าเราสามารถผ่านมันไปได้ เราจะยิ่งให้คุณค่าและความหมายกับสิ่งนั้นๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นๆ จะมีคุณค่าจริงๆ กับชีวิตของเราหรือไม่ก็ตาม

คล้ายๆ กันกับเวลาที่เราลงทุนซื้อของแพงๆ และไม่สามารถนำไปแลกคืนได้ ในเหตุการณ์ทำนองนี้ คนเราส่วนใหญ่มักจะมองหาเหตุผลต่างๆ นานามาบอกให้ตัวเองสบายใจว่า ‘คุ้มแล้วที่จ่ายแพงไปขนาดนั้น’ หรือ ‘นั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว’ (ทั้งนี้ก็เพราะไม่มีใครอยากรู้สึกเสียใจว่าจ่ายแพงๆ ไปทำไม ถ้าของที่ซื้อมามันไม่ดี)

การผ่านระบบการซ่อมมาก่อนก็เหมือนๆ กัน การรอดจากระบบโหดๆ นี้มาได้ทำให้คนที่รอดมารู้สึกภูมิใจในตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาอยู่ในกลุ่มที่มี ‘น้อยคน’ นักที่สามารถผ่านออกมาได้ และทำให้เขารักคนที่รอดออกมาได้มากเช่นเดียวกัน (เพราะมีแต่คนที่เคยผ่านระบบนี้มาได้เท่านั้นที่จะให้คุณค่ากับการรอดพอๆ กับเขา) ส่วนคนที่ไม่เคยผ่านระบบนี้มา หรือเคยเข้าไปในระบบแต่ไม่รอด มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ให้คุณค่ากับระบบนี้เท่ากับคนที่เคยผ่านออกมาได้

และการคบหาสมาคมกับคนที่ไม่เคยผ่านระบบซ่อมนี้มาก่อนสามารถทำให้คนที่เคยรอดจากระบบนี้มาได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมคนอื่นๆ ถึงไม่ให้คุณค่ากับระบบนี้เท่าๆ กันกับเขาและเพื่อนๆ ซึ่งเป็นคำถามที่สามารถทำลายความเป็นตัวของตัวเองได้ และความคิดที่อาจจะขัดแย้งกันในหัวนี่เองที่ทำให้พวกเขาสรุปอย่างง่ายๆ ว่า ‘คนที่ไม่เคยเจอไม่มีทางเข้าใจหรอก’

 

 

ถ้าระบบมันไม่ดีจริงๆ ทำไมคนถึงยังเอาตัวเองเข้าไปในระบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดของตัวเขาเองเหรอ

เป็นที่รู้ๆ กันว่าคนเราเลือกสิ่งที่ไม่ดีให้กับตัวเองเกือบตลอดเวลา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเราไม่สามารถควบคุมความต้องการของตัวเองได้ และส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเราอาจไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เลือกเพียงพอ

และด้วยเหตุผลนี้นี่เอง เมื่อคนเราไม่สามารถหยั่งรู้ความชอบของตัวเองในอนาคตได้ การให้เหตุผลที่ว่า ‘เพราะเขาเลือกเอง’ จึงเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยดีนัก

ทั้งนี้ก็เพราะคงจะไม่มีสถาบันไหนหรอกนะครับที่อยากจะโฆษณาระบบของตัวเองว่า ‘มาสมัครสิ พวกเราผลิตบุคลากรที่มีความอดทน มีระเบียบวินัย และมีเพียงแค่ 5 คนเท่านั้นที่เสียชีวิตจากการอยู่ในระบบของเราในรอบสิบปี เพราะฉะนั้นอัตราการรอดชีวิตของเรานั้นสูงมาก’

 

 

ทำไมถึงยังมีเหตุการณ์น่าสลดใจอย่างเหตุการณ์น้องเมยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คำถามนี้มีสองคำตอบ คำตอบที่หนึ่งก็คือ เวลาที่เราให้อำนาจกับใครก็ตามมากๆ โอกาสที่คนคนนั้นจะใช้อำนาจในทางที่ผิดก็จะสูงขึ้นตามๆ กันไป

ที่มาของการใช้อำนาจผิดๆ โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ที่ถูกกระทำ (Abuse of power) ก็คือ Hot-cold empathy gap (หรือการอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้)

ทั้งนี้เป็นเพราะว่าคนที่กำลังทำการซ่อมคนอื่นอยู่นั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองกำลังสั่งให้คนอื่นทำอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่พวกเขาจะไม่สามารถรู้สึกได้เลยว่าคนที่กำลังถูกพวกเขาซ่อมอยู่นั้นกำลังรู้สึกอย่างไรบ้างในขณะนั้น เหตุการณ์เลยเถิดจึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ (เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ยังอยากให้มีระบบการซ่อมอยู่ก็ควรที่จะลงมือทำในสิ่งที่สั่งให้คนอื่นทำไปด้วยในขณะเดียวกัน เพราะอย่างน้อยคนที่สั่งก็จะรู้สึกได้ว่าตอนไหนอาจจะต้องหยุดก่อนที่จะเกิดการเลยเถิดและเป็นอันตรายได้)

 


อีกอย่าง คนเราส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนไทยทั่วไปไม่เก่งในการประเมินความเสี่ยงในชีวิตประจำวันจนมีความผิดพลาดเกิดขึ้น (ยกตัวอย่างเช่น คนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน็อก หรือขับฝ่าไฟแดง) พูดง่ายๆ ก็คือคนเรามักจะไม่ให้ความสำคัญกับอัตราเสี่ยงจนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวเราจริงๆ จึงจะรู้สึก

คำตอบที่สองก็คือ คนที่มีหน้าที่ดูแลคนที่อยู่ในระบบนี้ทั้งหมดก็มักจะเป็นคนที่เคยรอดผ่านระบบนี้มาก่อน คุณค่าที่เขาให้กับระบบนี้จึงสูงมากกว่าคนภายนอกที่ไม่เคยผ่านระบบนี้มาก่อน มันจึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อใดก็ตามเกิดเหตุการณ์ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับระบบขึ้นมา พวกเขาจะมีความรู้สึกต่อต้านเหตุการณ์นั้นๆ ก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Conflict of interests (ความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ตัวเองเป็นและสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ) ซึ่งทำให้การยอมรับผิดนั้นเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนที่มีหน้าที่ดูแลระบบนี้ เพราะการยอมรับผิดเป็นการปฏิเสธระบบความเชื่อของเขาทั้งหมด รวมทั้งความเป็นตัวของตัวเองของพวกเขาด้วย

และด้วยเหตุผลนี้นี่เอง เพราะคนที่มีตำแหน่งผู้นำดูแลระบบเป็นคนที่เคยรอดจากระบบนี้มาก่อน มันจึงเป็นอะไรที่ยากที่เราจะเห็นระบบนี้ตายไปจากสังคมของเรา (นอกเสียจากว่าจะมีคนที่ไม่เคยผ่านระบบนี้เข้าไปบริหารพร้อมๆ กันกับคนที่เคยผ่านระบบนี้มาก่อน จะได้บาลานซ์ซึ่งกันและกัน)

The post เหตุผลว่าทำไม ‘ธำรงวินัย’ และ ‘การซ่อม’ จึงยังไม่ตายจากสังคมไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/military-punishment/feed/ 0