การจัดการทรัพย์สิน – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 17 Nov 2023 07:03:27 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 กลยุทธ์ส่งต่อทรัพย์สิน ฉบับประหยัดภาษีการรับให้ https://thestandard.co/opinion-asset-transfer/ Fri, 17 Nov 2023 07:03:27 +0000 https://thestandard.co/?p=866762

เมื่อเดือนกันยายน 2566 หลายท่านอาจจะได้รับทราบข้อมูลที่ […]

The post กลยุทธ์ส่งต่อทรัพย์สิน ฉบับประหยัดภาษีการรับให้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อเดือนกันยายน 2566 หลายท่านอาจจะได้รับทราบข้อมูลที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมสรรพากรกลับมาทบทวนการเก็บภาษีการรับมรดก เพื่อให้การจัดเก็บภาษีสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยกรมสรรพากรอาจพิจารณาในเรื่องของการปรับลดฐานภาษีการรับมรดก ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บสำหรับส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท การจัดประเภททรัพย์สินที่จะต้องเสียภาษีการรับมรดก และเรื่องของคู่สมรสที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดก (รายละเอียดของภาษีการรับมรดกท่านสามารถติดตามได้ในบทความ ‘ส่งต่อมรดกแบบมีกลยุทธ์ ไม่ทิ้งภาระภาษีให้ลูกหลาน’)  

 

ในเรื่องของการแก้ไขกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียภาษีจะต้องติดตามและปรับตัว เพื่อที่จะบริหารภาษีของตนเองรวมทั้งส่งต่อความมั่งคั่งให้แก่รุ่นต่อไปอย่างมีประสิทธิผล ซึ่งในอนาคตหากมีการแก้ไขกฎหมายภาษีการรับมรดกโดยการปรับลดฐานภาษีให้ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ก็อาจส่งผลกระทบต่อการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งอย่างมากทีเดียวครับ ในกรณีนี้ท่านก็อาจพิจารณาส่งต่อความมั่งคั่งโดยการให้ ซึ่ง ‘การให้’ แตกต่างจากการส่งต่อมรดกอย่างไรนั้น คือการให้เป็นการส่งต่อทรัพย์สินให้แก่ผู้รับในขณะที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่การส่งต่อมรดกจะเป็นกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินได้เสียชีวิตไปแล้ว มรดกจึงถูกส่งต่อไปยังทายาทตามผลของกฎหมายหรือตามพินัยกรรม ซึ่งสองหลักการนี้จะมีหลักการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ในเรื่องของการให้ทางกฎหมายก็จะมีภาษีการรับให้ (Gift Tax) ที่จะจัดเก็บจากทรัพย์สิน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

 

1. อสังหาริมทรัพย์ 

 

อสังหาริมทรัพย์ตามหลักของกฎหมายคือทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ในกรณีนี้ก็คือที่ดิน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น อาคาร บ้านเรือน โดยกฎหมายกำหนดให้ ‘ผู้ให้ (ผู้โอน)’ อสังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียภาษีการรับให้ โดยจะแบ่งได้ 2 กรณี ดังนี้

 

1.1 บิดาหรือมารดาให้อสังหาริมทรัพย์แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย

กรณีราคาประเมินของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อบุตรหนึ่งคนต่อปีภาษี ผู้ให้จะไม่มีภาระภาษีการรับให้ที่จะต้องเสียแต่อย่างใด แต่ถ้าหากราคาประเมินของอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าเกิน 20 ล้านบาท ผู้ให้จะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทในอัตรา 5% 

 

1.2 กรณีอื่น 

กรณีที่เป็นการให้บุคคลอื่นนอกเหนือจากบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ก็จะไม่มีข้อยกเว้นตามกฎหมายใดๆ ผู้ให้จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราปกติ 5-35% 

 

2. สังหาริมทรัพย์ 

 

สังหาริมทรัพย์ตามหลักของกฎหมายก็คือทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น หุ้น พันธบัตร หน่วยลงทุนกองทุนรวม เงินสด รถยนต์ เครื่องประดับ โดยกฎหมายกำหนดให้ ‘ผู้รับ’ สังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียภาษีการรับให้ โดยจะแบ่งได้ 3 กรณี ดังนี้

 

2.1 การให้ระหว่างบุพการี (บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด) และผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื่อ) หรือการให้ระหว่างคู่สมรส

การให้ในกรณีนี้ผู้รับจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี โดยเสียภาษีในอัตรา 5% ดังนั้น จึงเป็นที่มาของคำแนะนำจากที่ปรึกษาในด้านการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งที่จะแนะนำให้ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการภาษีการรับให้ 

 

โดยการจะดูว่าเกิน 20 ล้านบาทหรือไม่นั้น กฎหมายจะให้ดูที่ตัวผู้รับ ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อได้ให้เงินแก่นาย ก. ซึ่งเป็นลูก ไปแล้ว 18 ล้านบาท และในปีเดียวกันคุณปู่ได้ให้เงินแก่นาย ก. อีก 10 ล้านบาท ในกรณีนี้นาย ก. จะถือว่าได้รับสังหาริมทรัพย์จากบุพการีทั้ง 2 ท่านคือคุณพ่อและคุณปู่ 28 ล้านบาท ในตัวอย่างนี้นาย ก. จะเสียภาษีเท่ากับ 400,000 บาท ซึ่งคำนวณจากภาษีการรับให้ในอัตรา 5% จาก 8 ล้านบาท โดย 8 ล้านบาทก็คือส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทนั่นเอง 

 

2.2 การให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา หรือการให้โดยเสน่หา เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งธรรมเนียมประเพณี

สำหรับกรณีนี้จะไม่ได้กำหนดตัวผู้รับและผู้ให้เหมือนอย่างกรณี 2.1 แต่จะดูตามวาระโอกาสหรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา โดยผู้รับจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทต่อปีภาษี ในอัตรา 5% 

 

ยกตัวอย่างเช่น ในงานแต่งงานของหลาน คุณลุงซึ่งไม่ถือว่าเป็นบุพการี ได้ให้เงิน 6 ล้านบาท และให้ทองมูลค่า 5 ล้านบาทแก่หลาน ในตัวอย่างนี้หลานจะต้องเสียภาษีเท่ากับ 50,000 บาท ซึ่งคำนวณจากภาษีการรับให้ในอัตรา 5% จาก 1 ล้านบาท โดย 1 ล้านบาทก็คือส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท หากเปลี่ยนผู้ให้เป็นคุณย่าซึ่งเป็นบุพการี ให้สังหาริมทรัพย์ดังกล่าวแก่หลาน ในกรณีนี้จะเข้าตามข้อ 2.1 ตามรายละเอียดข้างต้น หลานจึงไม่ต้องเสียภาษีการรับให้เพราะสังหาริมทรัพย์ที่หลานได้รับไม่เกิน 20 ล้านบาท 

 

2.3 กรณีอื่น

กรณีที่ไม่เข้าข้อ 2.1 และ 2.2 ผู้รับก็จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราปกติ 5-35% 

 

 

หากท่านมีความสนใจในเรื่องของการส่งต่อโดยการให้ นอกเหนือจากภาษีการรับให้แล้วก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น อากรแสตมป์ที่จะต้องปิดสำหรับสัญญาโอนหุ้น กรณีที่มีการให้หุ้นแก่ผู้รับสังหาริมทรัพย์ หรืออากรแสตมป์และค่าธรรมเนียมการโอนอันเกิดจากการโอนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีทีมที่ปรึกษาที่ให้คำแนะนำด้านการส่งต่อทรัพย์มรดก/ความมั่งคั่งสำหรับกลุ่มลูกค้า Wealth ซึ่งรวมถึงเรื่องภาษีการรับให้และภาษีที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้ลูกค้าของธนาคารมีความมั่นใจว่าจะสามารถส่งต่อความมั่งคั่งไปยังรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืนครับ รวมทั้งหน่วยงานยังได้ร่วมมือกับสำนักงานกฎหมายชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของธนาคาร เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า Wealth ในด้านการทำพินัยกรรม, การจัดตั้ง Family Holding Company, การจัดโครงสร้างการประกอบธุรกิจให้เหมาะสมกับธุรกิจครอบครัว และการทำธรรมนูญครอบครัว 

 

ลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ที่สนใจในเรื่องบริหารสินทรัพย์ครอบครัวเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น สามารถติดต่อ Wealth Planning and Family Office Division ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ที่อีเมล [email protected] หรือติดต่อที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน (RM) ของท่าน

The post กลยุทธ์ส่งต่อทรัพย์สิน ฉบับประหยัดภาษีการรับให้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘รักเหมือนลูก แต่สิทธิอาจไม่เหมือนลูก’ ข้อควรรู้หากไม่จดรับบุตรบุญธรรม https://thestandard.co/frequently-asked-questions-about-adopting/ Thu, 31 Mar 2022 14:00:43 +0000 https://thestandard.co/?p=612844 การรับลูกบุญธรรม

เรื่องการรับบุตรบุญธรรม หรือการ Adoption เชื่อว่าหลายท่ […]

The post ‘รักเหมือนลูก แต่สิทธิอาจไม่เหมือนลูก’ ข้อควรรู้หากไม่จดรับบุตรบุญธรรม appeared first on THE STANDARD.

]]>
การรับลูกบุญธรรม

เรื่องการรับบุตรบุญธรรม หรือการ Adoption เชื่อว่าหลายท่านเคยได้ยินกันมาก่อน ซึ่งบางครอบครัวมองเป็นเรื่องธรรมเนียมหรือความเชื่อว่าเด็กบางคนเลี้ยงยากหรือป่วยง่าย แต่ถ้ายกเป็นลูกคนอื่นจะทำให้เด็กเลี้ยงง่ายขึ้น หรือบางครั้งคุณพ่อคุณแม่ที่แท้จริงอาจไม่พร้อมด้านการเงินหรือไม่มีเวลาเลี้ยงดู จึงขอยกให้ญาติเลี้ยงแทนและเพื่อให้เขารักใคร่ดูแลจึงยกให้เป็นลูก หรือกรณีญาติพี่น้องมีลูกเองไม่ได้จึงอยากได้ลูกของญาติหรือลูกเพื่อนมาเป็นลูกตน 

 

สิ่งที่ควรทราบคือ การรับลูกคนอื่นเป็นลูกตนนั้นมีทั้งแบบทำตามกฎหมายหรือไม่ได้ทำตามกฎหมาย การทำตามธรรมเนียม การทำเป็นพิธี หรือการพูดว่าเอ็นดูเป็น ‘ลูกบุญธรรม’ โดยไม่ได้จดทะเบียนนั้นจะไม่มีกฎหมายรองรับ การที่จะใช้คำว่าบุตรบุญธรรมนั้นผู้เขียนมองว่า ควรใช้เมื่อมีการปฏิบัติตามหลักกฎหมายคือ การจดทะเบียนตามกฎหมายแล้วอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเมื่อรับเด็กด้อยโอกาสมาเป็นบุตรบุญธรรม เพราะจะทำให้เด็กได้รับการดูแลที่เหมาะสมและไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ การปฏิบัติตามกฎหมายจึงมีความสำคัญมาก

 

การรับบุตรบุญธรรมในทางกฎหมายเป็นการที่บุคคลหนึ่งไปรับอีกบุคคลมาอุปการะเลี้ยงดูเหมือนลูกตนเอง บุคคลอีกคนจึงไม่ใช่ลูกโดยกำเนิด ผู้รับบุตรบุญธรรม (หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่าพ่อหรือแม่บุญธรรม) กับบุตรบุญธรรม จะเป็นเครือญาติกันหรือไม่ก็ได้ หรือบุตรบุญธรรมจะเป็นผู้เยาว์หรือผู้บรรลุนิติภาวะแล้วก็ได้ และอาจไม่ต้องมีสัญชาติเดียวกันกับพ่อหรือแม่บุญธรรมก็ได้ แต่ต้องมีสิ่งที่รับรองความเป็นบุตรบุญธรรมคือ การจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงจะมีสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันอย่างถูกต้อง 

 

ใครมีอำนาจปกครองบุตรบุญธรรม?

 

เมื่อจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ตามกฎหมายของไทยนั้นมีลักษณะสำคัญคือ บุตรบุญธรรมยังไม่ตัดขาดจากครอบครัวเดิม แต่พ่อแม่โดยกำเนิดจะไม่มีอำนาจปกครองบุตรบุญธรรมแล้ว พ่อหรือแม่บุญธรรมจะกลายเป็นผู้มีอำนาจปกครองนับแต่วันจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม กฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดคุณสมบัติของผู้รับบุตรบุญธรรมว่าต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุแก่กว่าผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี ทั้งนี้ บุตรบุญธรรมของบุคคลใดจะเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกในขณะเดียวกันไม่ได้ แต่สามารถเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมได้ 

 

อำนาจปกครองบุตรนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะอาจทำให้เกิดการฟ้องร้องกันได้ มีเหตุพิพาทได้ เช่น เมื่อมีการหย่าร้างระหว่างคุณพ่อหรือคุณแม่ ใครจะมีอำนาจปกครอง หรือกรณีเด็กมีทรัพย์สินมากเนื่องจากเป็นดารานักแสดงหรือได้รับมรดกมาก ก็จะเกิดคำถามว่าใครมีอำนาจปกครอง เพราะอำนาจปกครองมีความหมายรวมหลายเรื่อง ได้แก่ การอยู่อาศัย ดูแลการศึกษา อบรมสั่งสอน หรือทำโทษตามสมควร ใช้ทำงานตามสมควร รวมถึงการจัดการทรัพย์สินของบุตร โดยต้องจัดการอย่างระมัดระวัง เมื่ออำนาจปกครองนั้นสำคัญ ทำให้กฎหมายต้องเข้ามารับรอง ซึ่งพ่อแม่โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นมีสิทธิมีอำนาจปกครอง (และพ่อหรือแม่บุญธรรมที่จดทะเบียนตามกฎหมาย) และถ้าพ่อแม่หย่าร้างกันก็ต้องไปตกลงสลักหลังที่ใบหย่าด้วย เพื่อกำหนดอำนาจปกครองบุตร บางคนอยากจะทำสัญญากันเองโดยไม่สลักหลังหรือไม่ทำตามกฎหมาย อันนี้สรุปว่าทำข้อตกลงระหว่างกันเองไม่ได้ (เช่น อยากตกลงให้คุณพ่อดูแลกี่วันและคุณแม่กี่วันในหนึ่งสัปดาห์) และเรื่องนี้มีคำพิพากษาฎีกาวางหลักไว้แล้ว

 

เมื่ออำนาจปกครองสำคัญ ทำให้พ่อหรือแม่บุญธรรมจะต้องมีความเหมาะสมและมีคุณธรรม เพื่อให้เลี้ยงดูบุตรบุญธรรมได้ดี กฎหมายจึงกำหนดให้บิดามารดาโดยกำเนิดจะต้องลงนามยินยอมให้มีลูกตนเป็นบุตรบุญธรรมผู้อื่น แต่ถ้าเด็กถูกทอดทิ้งและอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็ก ก็ให้สถานสงเคราะห์ให้ความยินยอมได้ และการรับบุตรบุญธรรมต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย

 

ว่าด้วยสิทธิในการรับมรดกของบุตรบุญธรรม

 

บุตรบุญธรรมจะมีฐานะเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของพ่อหรือแม่บุญธรรม และบิดามารดาโดยกำเนิดจะไม่มีอำนาจปกครองนับแต่เวลาที่เด็กเป็นบุตรบุญธรรมจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ เมื่อเป็นเช่นนี้ บุตรบุญธรรมจึงมีสิทธิในมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรม และถือเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย (แต่พ่อหรือแม่บุญธรรมไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรม) 

 

เมื่ออ่านข้อความข้างต้นแล้ว ผู้อ่านอาจมีความสงสัย ผมจึงขอขยายความบุตรชอบด้วยกฎหมายและผู้สืบสันดานให้มากขึ้น ดังนี้ 

 

เมื่อกล่าวถึงบุตร เราจะคุ้นเคยกับบุตร 4 ประเภท ได้แก่ 

 

  1. บุตรที่เกิดขึ้นระหว่างการสมรสตามกฎหมายของคุณพ่อคุณแม่ แม้ต่อมาจะหย่าร้างก็ตาม 
  2. บุตรที่เกิดก่อนการจดทะเบียนสมรสของคุณพ่อคุณแม่ 
  3. บุตรที่เกิดนอกสมรส แต่ภายหลังคุณพ่อมาจดทะเบียนรับรองบุตร 
  4. บุตรที่ไม่ใช่ทั้งข้อ 1-3 แต่ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของคุณพ่อและคุณแม่  

 

ทั้ง 4 ประเภทนี้ เราเรียกรวมกันว่าบุตรชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ในทางกฎหมายรับรองว่าบุตรเป็นบุตรของคุณพ่อและคุณแม่ ส่วนบุตรที่นอกสมรสเป็นบุตรของคุณแม่แต่เพียงอย่างเดียวในทางกฎหมาย (แม้เราจะทราบว่าเป็นบุตรคุณพ่อด้วย แต่กฎหมายไม่ทราบ เพราะยังไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายตามข้อ 1-4 ครับ) 

 

เรื่องนี้ขอเสริมครับว่า แม้คุณพ่อมีชื่อในสูติบัตรหรือใบเกิดนั้นยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และแม้จะมีผลตรวจ DNA ว่าเป็นคุณพ่อ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นบิดาตามกฎหมายครับ

 

ที่นี้ในความเป็นจริง เมื่อบุตรเป็นบุตรของคุณพ่อจริง แต่กลับไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของคุณพ่อ จึงมีคำถามว่า จะมีสิทธิรับมรดกจากคุณพ่อไหม เรื่องนี้กฎหมายให้ถือว่าทายาทโดยธรรมที่จะมีสิทธิรับมรดกประกอบด้วย ‘ผู้สืบสันดาน’ ซึ่งคำว่าผู้สืบสันดานนี้ในชั้นของบุตรนั้นประกอบไปด้วย 3 กลุ่ม คือ 

 

  1. บุตรชอบด้วยกฎหมายตามย่อหน้าก่อน 4 ประเภท
  2. บุตรนอกกฎหมาย แต่คุณพ่อรับรองโดยพฤตินัยหรือพฤติการณ์ว่าเป็นบุตร
  3. บุตรบุญธรรม 

 

ดังนั้นจึงตอบได้ว่าเมื่อเป็นลูกจริงก็มีสิทธิรับมรดก และอยู่ในผู้สืบสันดานชั้นบุตรทำนองเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายด้วย 

 

หรือสรุปว่าบุตรชอบด้วยกฎหมายที่คุณพ่อคุณแม่จะมีอำนาจปกครองได้นั้นมี 4 ประเภท แต่เมื่อกล่าวถึงสิทธิในมรดกแล้ว กฎหมายรับรองผู้สืบสันดานชั้นบุตรเพิ่มอีก 2 ประเภท ทำให้บุตรที่แท้จริงของคุณพ่อก็มีสิทธิในมรดกได้ และยังรวมถึงบุตรบุญธรรมอีกด้วย

 

สามารถยกเลิกการเป็นบุตรบุญธรรมได้หรือไม่?

 

การเป็นบุตรบุญธรรมก็สามารถยกเลิกกันได้ ได้แก่ กรณีบุตรบุญธรรมบรรลุนิติภาวะก็สามารถตกลงกับพ่อหรือแม่บุญธรรมให้เลิกความเป็นบุตรบุญธรรม แต่ถ้าบุตรบุญธรรมยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาโดยกำเนิด และหากบุตรบุญธรรมอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี บุตรบุญธรรมต้องยินยอมด้วย นอกจากนี้การยกเลิกความเป็นบุตรบุญธรรมอาจเกิดจากคำสั่งศาลหรือเกิดจากเหตุที่พ่อหรือแม่บุญธรรมสมรสกับบุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องเลิกความเป็นบุตรบุญธรรม 

 

เรื่องบุตรบุญธรรมเป็นเรื่องสำคัญ และหากใครจะรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรมจะต้องศึกษารายละเอียดและข้อปฏิบัติต่างๆ ให้ชัดเจนเสียก่อน การเปลี่ยนใจภายหลังคงจะมีผลต่อจิตใจหลายๆ ฝ่าย สำหรับผู้สนใจยังมีกฎหมายเฉพาะอีก 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 และอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กและความร่วมมือในการรับรองบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศครับ

 

ติดตามข่าวสารศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน เพิ่มเติมได้ที่ Facebook: THE STANDARD WEALTH และ YouTube: THE STANDARD

The post ‘รักเหมือนลูก แต่สิทธิอาจไม่เหมือนลูก’ ข้อควรรู้หากไม่จดรับบุตรบุญธรรม appeared first on THE STANDARD.

]]>