การกระจายวัคซีน – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 22 Nov 2022 09:57:49 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 วัคซีนในสังคม: จาก ‘ข้อเท็จจริง’ สู่ ‘การตระหนักร่วม’ https://thestandard.co/social-immunity-of-vaccines-2/ Tue, 22 Nov 2022 14:00:09 +0000 https://thestandard.co/?p=713810

ในบทความก่อนหน้านี้ (ภูมิคุ้มกันเชิงสังคมของวัคซีน: การ […]

The post วัคซีนในสังคม: จาก ‘ข้อเท็จจริง’ สู่ ‘การตระหนักร่วม’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในบทความก่อนหน้านี้ (ภูมิคุ้มกันเชิงสังคมของวัคซีน: การรับรู้ ความลังเล และการ (ไม่) ยอมรับ) ผู้เขียนได้ทำความเข้าใจการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด ตลอดจนการทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ในแง่ที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันไวรัสได้เท่านั้น หากแต่ต้องมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อความต้องการและความเชื่อมั่นทางสังคมด้วย ประเด็นหลังนี้ผู้เขียนเรียกว่า ‘ภูมิคุ้มกันทางสังคม’ ของวัคซีน ซึ่งเป็นมิติที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเราจะเข้าใจการทำงานและการแพร่กระจายของวัคซีน ซึ่งดำเนินไปพร้อมๆ กับการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสาร ความคาดหวัง และเชื้อไวรัสในสังคม 

 

ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าประเด็นสำคัญของการอภิปรายถึงวัคซีน ‘ที่ดี’ นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงเรื่องประสิทธิภาพของการป้องกันรักษาโรค หากแต่เชื่อมโยงกับบริบทเรื่องเวลา มูลค่า กระบวนการได้มา และความน่าเชื่อถือของหน่วยงานที่ผลิตและจัดหาด้วย กล่าวอีกอย่างก็คือว่า การที่ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์หนึ่งใดจะได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย และแพร่กระจายไปสู่วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมได้นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าเทคโนโลยีหรือผลผลิตดังกล่าวนั้นมีประสิทธิภาพในเชิงเทคนิคในตัวมันเองแต่เพียงเท่านั้น หากแต่กระบวนการสร้างความตระหนักรู้และการยอมรับในสังคมย่อมเกิดขึ้นจากกระบวนการที่เป็นผลมาจากการที่สังคมสามารถเข้าถึง มีส่วนร่วม และยึดโยงกับตำแหน่งแห่งที่ทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และอุดมคติของผู้คนที่หลากหลายด้วย

 

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะชี้ให้เห็นกระบวนการที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งต่อเนื่องจากกระบวนการทางเทคนิคและทางสังคมของการพัฒนาวัคซีนที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว กระบวนการที่ว่าก็คือ การกระจายวัคซีนให้แพร่หลายออกไปในสังคม การกระจายวัคซีนเป็นกระบวนการที่มีสำคัญ ซึ่งทำให้ประเด็นข้อเท็จจริง (Matters of Fact) จากการศึกษาค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกลุ่มคนและหน่วยงานเฉพาะกลุ่ม ปรับเปลี่ยนจนกลายมาเป็นประเด็นที่รับรู้และตระหนัก (Matters of Concern) ร่วมกันในสังคมวงกว้าง ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลายทั้งในเชิงความคิดและที่มา

 

การกระจายวัคซีนจึงเป็นกระบวนการที่จำเป็นในการเชื่อมโยงมิติเชิงสถาบันและความสัมพันธ์ที่หลากหลายแบบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ สถาบันทางการเมือง เทคโนโลยีดิจิตัล เครือข่ายทางสังคม สื่อสารมวลชน ระบบระเบียบของการจัดกลุ่มประชากร และการให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม บทความนี้จะนำประเทศออสเตรเลียมาเป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับสังคมไทยได้ลองขบคิดและเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยโดยผู้อ่านเอง 

 

จากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ สู่การไหลเวียนของวัคซีนในสังคม

 

ในช่วงปลายปี 2020 หรือราว 1 ปีหลังจากการเริ่มแพร่ระบาดของโควิด เป็นช่วงที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มวางแผนในการรับเอาวัคซีนมาใช้เพื่อการบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาด ในเดือนพฤศจิกายน 2020 รัฐสภาของออสเตรเลียได้ลงมติเห็นชอบ The Australian COVID-19 Vaccination Policy ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางการกระจายวัคซีนโควิดในประเทศออสเตรเลีย โดยมีหลักสำคัญคือ ประชาชนออสเตรเลียต้องได้รับวัคซีนที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย นโยบายดังกล่าวได้กำหนดกลยุทธ์การสื่อสารในการให้ข้อมูลที่ทันท่วงที โปร่งใส เชื่อถือได้ แก่สาธารณชนและผู้เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นการสื่อสารที่สม่ำเสมอและโปร่งใสผ่านช่องทางของรัฐบาลออสเตรเลียและสื่อต่างๆ โดยมีข้อความสำคัญ ประกอบด้วย 

 

  1. วัคซีนโควิดเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการปกป้องชุมชนชาวออสเตรเลีย 

 

  1. เป้าหมายคือการเข้าถึงและขนส่งวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพแก่ชาวออสเตรเลียทุกคน 

 

  1. รัฐบาลจะเฝ้าติดตามกระบวนการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าวัคซีนที่จะนำมาใช้นั้นมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้งาน 

 

  1. วัคซีนจะถูกกระจายไปยังกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก่อน 

 

  1. กลุ่มที่จะมีสิทธิ์ได้รับวัคซีนก่อนนั้นจะคำนึงจากคุณสมบัติของวัคซีน ผลการทดสอบของวัคซีน ตลอดจนสถานการณ์การระบาด 

 

  1. ประชาชนออสเตรเลียจะได้รับการสนับสนุนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนตามปริมาณวัคซีนที่มากขึ้น 

 

  1. ส่งเสริมให้ประชาชนออสเตรเลียรับข้อมูลจากแหล่งที่มีความน่าชื่อถือ เพื่อช่วยในการตัดสินใจและติดตามข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ 

 

รัฐสภาของออสเตรเลียได้ลงมติเห็นชอบ The Australian COVID-19 Vaccination Policy ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางการการกระจายวัคซีนโควิดในประเทศออสเตรเลีย โดยมีหลักสำคัญคือ ประชาชนออสเตรเลียต้องได้รับวัคซีนที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2021 ได้มีการเผยแพร่ Australia’s COVID-19 vaccine national roll-out strategy โดยกำหนดลำดับประชากรในการรับวัคซีน ซึ่งแบ่งออกเป็นช่วงเวลาที่ต่างกันออกไป ทั้งนี้ ประชากรถูกแบ่งออกเป็น 16 กลุ่ม อยู่ภายใต้ 5 ช่วงเวลา โดยในช่วงแรก ประชากรออสเตรเลียที่จะได้รับการฉีดวัคซีนโควิดคือ ผู้พำนักในสถานดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ทำงานที่เกี่ยวข้อง, ผู้พิการ รวมถึงผู้ทำงานที่เกี่ยวข้อง, เจ้าหน้าที่การแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า และผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับพรมแดนและการกักกันโรค ผ่านโรงพยาบาลทั่วออสเตรเลียกว่า 30-50 โรงพยาบาล

 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี Scott Morrison ได้กล่าวว่า ประชาชนกลุ่มแรกที่มีความเสี่ยงสูงจะได้รับวัคซีนประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ โดยคาดการณ์ว่าจะได้รับวัคซีน Pfizer หากผ่านการรับรองจากหน่วยงานบริหารสินค้ารักษาโรค (Therapeutic Goods Administration: TGA) ซึ่งคาดว่ากระบวนการรับรองจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคม 2021 ทั้งนี้ จะเป็นวัคซีน Pfizer ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนประชากรส่วนใหญ่ภายในประเทศคาดว่าจะได้รับวัคซีน AstraZeneca ซึ่งสามารถผลิตได้ภายในประเทศ

 

ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2021 รัฐบาลสหพันธรัฐได้เริ่มการณรงค์ทางสังคมผ่าน COVID-19 vaccine information campaign ด้วยเงินลงทุนกว่า 23.9 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย การรณรงค์นี้เกิดขึ้นภาพหลัง TGA ได้อนุมัติวัคซีน Pfizer ซึ่งถือเป็นวัคซีนโควิดตัวแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในวงกว้างในเรื่องของความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน ตลอดจนให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการฉีดวัคซีน รวมไปถึงข้อมูลการเข้ารับวัคซีน ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ โซเชียลมีเดีย และดิจิทัลมีเดีย โดยการรณรงค์ที่ว่านี้ประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่

 

  1. การยืนยันว่าวัคซีนได้ผ่านกระบวนการรับรองโดยหน่วยงานออสเตรเลียถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

 

  1. การให้ข้อมูลถึงแผนการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะแก่ Priority Groups ตลอดจนปริมาณโดสที่ควรได้รับ

 

  1. การแจ้งประชาชนถึงข้อมูลสำหรับการเข้ารับการฉีดวัคซีน ทั้งในเรื่องสถานที่ กระบวนการ ปริมาณโดสที่ควรได้รับ ตลอดจนแนวทางการสนับสนุนช่วยเหลือการเข้ารับวัคซีนอื่นๆ 

 

จากนโยบาย ‘ข้อเท็จจริง’ สู่ ‘ข้อตระหนัก’

 

นอกจากประชากรกลุ่มเสี่ยง และผู้เกี่ยวข้องหลัก เช่น บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ปฏิบัติการด่านหน้าด้านต่างๆ แล้ว การเริ่มกระจายวัคซีนออกสู่สาธารณชนโดยกว้างย่อมต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับ ท่ามกลางกระบวนการดังกล่าวนี้ ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องทำงานร่วมกับสถาบันทางการเมืองในเชิงนโยบาย และดึงเอาเครือข่ายทางสังคม รวมถึงมิติต่างๆ ทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เข้ามาร่วมพิจารณาในการปรับเปลี่ยน ‘ข้อเท็จจริง’ ทางวิทยาศาสตร์ ให้กลายมาเป็น ‘ข้อตระหนัก’ ร่วมทางสังคม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างวัคซีนกับตัวแสดงอื่นๆ มากขึ้น ท่ามกลางกระบวนการดังกล่าวนี้ เราจะเริ่มเห็นว่าข้อมูลทางเทคนิคจะถูกนำมาผสมผสานและเชื่อมโยงกับมิติและความสัมพันธ์ทางสังคมในรูปแบบที่หลากหลายออกไป 

 

ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องทำงานร่วมกับสถาบันทางการเมืองในเชิงนโยบาย และดึงเอาเครือข่ายทางสังคม รวมถึงมิติต่างๆ ทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เข้ามาร่วมพิจารณาในการปรับเปลี่ยน ‘ข้อเท็จจริง’ ทางวิทยาศาสตร์ ให้กลายมาเป็น ‘ข้อตระหนัก’ ร่วมทางสังคม

 

ในกรณีของประเทศออสเตรเลีย เราสามารถพิจารณากระบวนการดังกล่าวออกเป็นมิติต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่ครอบคลุมแง่มุมทั้งหมด แต่ก็น่าจะเป็นประเด็นที่จะพอให้เห็นภาพของกระบวนการปรับเปลี่ยนที่ว่านี้ได้บ้าง

 

  • การสร้างข้อตระหนักในเรื่องความปลอดภัย

ระยะแรกของ COVID-19 vaccine information campaign จะเน้นการสื่อสารเพื่อยืนยันว่าวัคซีนได้ผ่านกระบวนการอนุมัติเพื่อรับรองถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ผ่านสื่อรณรงค์ประเภทต่างๆ ได้แก่ วีดิทัศน์ โปสเตอร์ และสื่อทางสังคมต่างๆ โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ เช่น 

 

  1. How COVID-19 Vaccines work ตัวอย่างเช่น วีดิทัศน์แสดงถึงขั้นตอนการทำงานของวัคซีนภายในร่างกายหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน จากวีดิทัศน์ดังกล่าวนั้นมีการใช้ Animated Explainer Video ผ่านกราฟิกที่เรียบง่าย และการอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย รวมถึงการแสดงข้อความสำคัญ ‘Safe. Effective. Free’ อยู่หลายครั้งตลอดวีดิทัศน์

 

 

  1. How vaccines are tested and approved ตัวอย่างเช่น วีดิทัศน์รูปแบบ Animated Explainer Video อธิบายถึงขั้นตอนการทำงานของ TGA ในการรับรองและอนุมัติวัคซีนโควิด ทั้ง 6 ขั้นตอน โดยมีข้อความสำคัญคือ ความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิภาพ (Safety. Quality. Effectiveness)

 

 

นอกจากวีดิทัศน์รูปแบบที่มีภาคกราฟิกเคลื่อนไหวประกอบแล้ว ยังมีวีดิทัศน์ที่มีบุคคลอธิบายถึงผลกระทบของโควิด กระบวนการรับรองวัคซีน และแนวทางการกระจายวัคซีน ยกตัวอย่าง ในสื่อวีดิทัศน์นี้ได้มีศาสตราจารย์ John Skerritt จาก TGA กล่าวยืนยันว่า “วัคซีนจะได้รับการอนุมัติก็ต่อเมื่อพวกเรามีข้อมูลที่เพียงพอว่าวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพและปลอดภัย” ตลอดจนมีนายแพทย์ Nick Coatsworth แพทย์โรคติดเชื้อ และศาสตราจารย์ Alison McMillan หัวหน้าการพยาบาลและผดุงครรภ์ กลุ่มบุคคลเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความน่าเชื่อถือที่จะเป็นโฆษกในการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อคำถามที่ว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้เพียงพอแล้วหรือไม่ที่จะเจาะเข้าถึงคนทุกกลุ่ม เนื่องจากออสเตรเลียมีความหลากหลาย จึงอาจจะต้องใช้ตัวแทนกลุ่มต่างๆ เช่น ผู้นำทางศาสนาและวัฒนธรรม อีกทั้งความปลอดภัยของวัคซีนถือว่าเป็นข้อกังวลหลักของสาธารณชน การสื่อสารที่ยืนยันถึงความปลอดภัยจึงถือว่าเป็นหัวใจหลัก อย่างไรก็ตาม การสื่อสารถึงผลข้างเคียง ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลความปลอดภัยอย่างโปร่งใสและสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่สังคม

 

 

นอกจากสื่อวีดิทัศน์แล้ว สื่อทางโซเชียลมีเดียในรูปแบบภาพนิ่งถูกเผยแพร่ในระยะแรกของแคมเปญเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2021 เพื่อสนับสนุนโปรแกรมการฉีดวัคซีน โดยมีข้อความสำคัญ คือ 1. Stay up to date 2. Vaccine protect 3. TGA approval process และ 4. Vaccines free 

 

 

นอกจากการสื่อสารที่มาจากรัฐบาลสหพันธรัฐในข้างต้นแล้ว รัฐบาลมลรัฐยังมีการสื่อสารถึงความปลอดภัยของวัคซีนไปยังประชาชนในแต่ละรัฐเพื่อสร้างความมั่นใจเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น เพจเฟซบุ๊กของ ACT Health ได้เผยแพร่โพสต์ในรูปแบบ Fact Check เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2021 ว่าการพัฒนาและรับรองวัคซีนโควิดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเร่งรัด (COVID-19 vaccine development and approvals were not rushed) พร้อมให้เหตุผลว่า การแพร่ระบาดของโควิดทำให้นักวิจัยและผู้พัฒนาวัคซีนจากทั่วโลกจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาวัคซีนเป็นลำดับแรก มีการลงทุนด้วยงบประมาณจำนวนมากในการทำวิจัย รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งช่วยให้นักวิจัยเข้าใจไวรัส ทั้งนี้ ไวรัสโคโรนาเป็นกลุ่มไวรัสที่รู้จักดีอยู่แล้วจากการระบาดของ SARS ในปี 2003 และ MERS ในปี 2012 ทำให้นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์มีความเข้าใจธรรมชาติของไวรัส 

 

ในออสเตรเลียมีหน่วยงาน TGA ซึ่งจะรับรองวัคซีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเท่านั้น โดย TGA สามารถเข้าถึงข้อมูลการทดลองทางคลินิก (Clinical Trial Data) ได้ตลอดเวลา จึงทำให้กระบวนการตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็ว โพสต์ดังกล่าวนี้ได้รับเอ็นเกจเมนต์จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก โดยมีผู้กดรีแอ็กชันกว่า 14,000 คน มีการเผยแพร่ต่อกว่า 449 ครั้ง และมีการแสดงความเห็นใต้โพสต์ว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ลังเลที่จะเข้ารับวัคซีน เช่น คอมเมนต์ที่ว่า “This is a very good to read. Excellent information. Helping those who hesitate to make an informed decision – yes or no. Giving those who made the decision to have the vaccine to know there was a lot of research done before the Jan…”

 

 

  • การสร้างข้อตระหนักในเชิง ‘Community Spirit’

การสร้างข้อตระหนักในเรื่องของความปลอดภัยอาจจะยังมีความใกล้ชิดกับข้อเท็จจริงทางเทคนิคอยู่ไม่น้อย แต่อย่างที่เราจะได้เห็นต่อไป การสร้างข้อตระหนักจะเริ่มมีการดึงเอาส่วนผสมหรือมิติที่กว้างออกไปเข้ามาจัดวางร่วมกับข้อมูลของวัคซีนและการระบาดมากขึ้น เช่น 

 

1. การรณรงค์ว่าด้วย ‘Arm yourself against COVID-19’

 

รัฐบาลสหพันธรัฐได้ออกแคมเปญ Arm Yourself เพื่อรณรงค์ให้ชาวออสเตรเลียที่มีสิทธิ์รับวัคซีนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด เพื่อปกป้องตัวเอง คนที่รักและห่วงใย ตลอดจนชุมชน โดยสื่อด้วยภาพผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ เพศ และช่วงอายุ ถกแขนเสื้อ โชว์พลาสเตอร์ยาปิดแผลบนพื้นฉากหลังสีพาสเทล เพื่อสื่อว่าคนเหล่านี้ได้รับการฉีดวัคซีน พร้อมกับข้อความที่ว่า “การเข้ารับวัคซีนเป็นแนวทางป้องกันไวรัสที่ดีที่สุดสำหรับคุณ และเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราก้าวต่อไปข้างหน้า ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะปกป้องตัวเอง และสนับสนุนครอบครัวของคุณ เพื่อนของคุณ เพื่อนร่วมงานของคุณ ชุมชนของคุณ หรือใครก็ได้ที่คุณรัก มาทำสิ่งเดียวกัน” (A COVID-19 vaccine is your best defence, and our only way forward. Now’s the time to protect yourself, and encourage your family, your friends, your workmates, your community, someone you love to do the same. Find out when you can book your vaccination.)

 

รัฐบาลสหพันธรัฐได้ออกแคมเปญ Arm Yourself เพื่อรณรงค์ให้ชาวออสเตรเลียที่มีสิทธิ์รับวัคซีนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด เพื่อปกป้องตัวเอง คนที่รักและห่วงใย ตลอดจนชุมชน โดยสื่อด้วยภาพผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ เพศ และช่วงอายุ ถกแขนเสื้อ โชว์พลาสเตอร์ยาปิดแผลบนพื้นฉากหลังสีพาสเทล เพื่อสื่อว่าคนเหล่านี้ได้รับการฉีดวัคซีน

 

อย่างไรก็ตาม รองศาสตราจารย์ Tom van Laer ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์เรื่องเล่า จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ได้กล่าวว่า การยอมรับพฤติกรรมนั้นอาศัยความเชื่อมั่นและแรงจูงใจ โฆษณาชิ้นนี้สร้างความเชื่อมั่นในวัคซีน แต่ยังขาดการสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนเข้ารับการฉีดวัคซีน ถึงแม้ว่าการรณรงค์ดังกล่าวนี้มีการเผยเพร่ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ โซเชียลมีเดีย และสื่อออนไลน์ และได้ปรับให้เหมาะสมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษา ตลอดจนประชากรชาวอะบอริจิน และคนพื้นเมืองหมู่เกาะช่องแคบทอร์เรส อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าการรณรงค์นี้อาจเข้าไม่ถึงกลุ่มชุมชนที่มีความหลากหลาย และถูกตั้งข้อสังเกตว่าคำว่า Arm Yourself นั้นถูกแปลเป็นภาษาอื่นๆ ได้หรือไม่ และอย่างไร 

 

 

นอกจากการรณรงค์ ‘Arm yourself against COVID-19’ ของรัฐบาลสหพันธรัฐ รัฐบาลมลรัฐได้สื่อสารเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนด้วยข้อความในเชิง Community Spirit เช่น เพจเฟซบุ๊กของ ACT Health ได้ใช้ภาพโปรไฟล์ที่มีข้อความว่า “I’ve had the COVID-19 vaccine. Keep CBR safe & strong.” รวมถึงการสื่อสารในทำนองเดียวกันในโพสต์อื่นๆ เช่น โพสต์อัปเดตจำนวนผู้เข้ารับวัคซีน พร้อมข้อความที่ว่า “Thank you for keeping Canberra safe and strong.” ที่บ่งบอกถึงการมีส่วนร่วมดูแลสังคมด้วยการเข้ารับวัคซีนโควิด

 

 

  • การสร้างความตระหนักในเชิง ‘Lure of Social Freedom’ 

 

‘Spread Freedom’ campaign?

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2021 รัฐบาลสหพันธรัฐได้เผยแพร่แคมเปญ Spread Freedom เพื่อรณรงค์ให้ผู้ที่มีสิทธิ์รับวัคซีนเข้ารับการฉีดวัคซีน แคมเปญนี้ออกมาในขณะที่ประชากรออสเตรเลียที่มีสิทธิ์รับวัคซีนได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วกว่าร้อยละ 73 และต้องการให้ประชาชนออสเตรเลียออกมารับวัคซีนมากขึ้น ผ่านแท็กไลน์ที่ว่า ‘Spread Freedom’ แคมเปญนี้สื่อสารถึงการใช้ชีวิตอิสระ ผ่านเรื่องราวการไปผับ การพบปะครอบครัว และการเดินทาง เพื่อสื่อสารถึงผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนว่าพวกเขาอาจจะพลาดสิ่งเหล่านี้ พร้อมกับข้อความปิดท้ายในเชิงเชิญชวนที่กล่าวว่า “We almost there Australia. Book your COVID-19 vaccination at Australia.gov.au” เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนทำนัดเข้ารับการฉีดวัคซีน

 

รัฐบาลสหพันธรัฐได้เผยแพร่แคมเปญ Spread Freedom เพื่อรณรงค์ให้ผู้ที่มีสิทธิ์รับวัคซีนเข้ารับการฉีดวัคซีน ผ่านแท็กไลน์ที่ว่า ‘Spread Freedom’ แคมเปญนี้สื่อสารถึงการใช้ชีวิตอิสระ ผ่านเรื่องราวการไปผับ การพบปะครอบครัว และการเดินทาง เพื่อสื่อสารถึงผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนว่าพวกเขาอาจจะพลาดสิ่งเหล่านี้

 

 

Roll Up for WA Campaign

 

มลรัฐควีนส์แลนด์ และเวสเทิร์นออสเตรเลีย เป็นรัฐที่มีอัตราการเข้ารับวัคซีนโควิดน้อยที่สุด ดังนั้นรัฐบาลมลรัฐจึงรณรงค์ให้ประชาชน อาจเนื่องมาจากรัฐเหล่านี้ไม่มีการแพร่ระบาดที่รุนแรงเหมือนรัฐนิวเซาท์เวลส์, วิกทอเรีย และออสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมลรัฐได้พยายามสนับสนุนให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน ตัวอย่างเช่น รัฐบาลมลรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียได้ลงทุนกว่า 3.6 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ผ่านแคมเปญ Roll Up for WA เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนในรัฐเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยแคมเปญนี้มุ่งเป้าหมายรณรงค์ประชากรวัยรุ่น โดยสื่อสารว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วสามารถที่จะเดินทาง สนุกกับการเล่นกีฬา คอนเสิร์ต ตลอดจนกิจกรรมครอบครัว ไม่ใช่เฉพาะภายในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย แต่รวมถึงในรัฐอื่นๆ ตลอดจนในต่างประเทศ โดยโฆษณาชิ้นนี้จะถูกเผยแพร่ระหว่าง Australian Football League (AFL) Grand Final รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์ โซเชียลมีเดีย วิทยุ และป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ 

 

  • การสร้างความตระหนักในเชิง ‘Fear-Based’ 

 

Don’t be complacent

 

โฆษณา Don’t be complacent ได้ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2021 ในซิดนีย์ขณะที่กำลังมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาและอยู่ภายใต้การล็อกดาวน์เป็นสัปดาห์ที่ 3 โฆษณาชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อติดไวรัส ผ่านภาพผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่มีปัญหากับระบบทางเดินหายใจและต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ ทั้งนี้ Paul Kelly, Chief Medical Officer ได้กล่าวว่า ข้อความสำคัญคือเราต้องการให้ประชาชนออสเตรเลียเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว เขากล่าวว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะชะล่าใจ ไม่ใช่เวลาที่จะลังเล แต่เป็นเวลาที่ควรตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อตัวเอง ครอบครัว และสังคม” (This is not a time for complacency, it is not a time for frustration, it is a time for actually recognising that and taking that responsibility for yourself, your family and the community.)

 

 

จะเห็นได้ว่ากระบวนการและปฏิบัติการปรับเปลี่ยนข้อเท็จจริงทางเทคนิคเกี่ยวกับวัคซีนให้กลายมาเป็นข้อตระหนักของผู้คนในสังคมนั้น ไม่สามารถจะดำเนินการไปได้หากเน้นไปที่การนำเสนอข้อเท็จจริงทางเทคนิคแต่เพียงอย่างเดียว การจัดวาง การกระจาย และความแพร่หลายยอมรับวัคซีนในสังคม เป็นผลมาจากความสามารถในการเชื่อมโยงข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นกับมิติและข้อห่วงใยอื่นๆ ในสังคม เช่น ความปลอดภัย จิตสำนึกของความเป็นชุมชน เสรีภาพ และความหวาดกลัว เป็นต้น ในที่นี้ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการสนับสนุนหรือเสนอว่าข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ หากแต่เป้าหมายของบทความพยายามจะชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของการทำงานของผลผลิตทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสังคม ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการเชื่อมโยงความเป็นเทคนิคดังกล่าวกับบริบทเชิงการเมือง วัฒนธรรม อุดมคติ และความคาดหวังของสังคมให้ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ไม่เคยดำรงอยู่ท่ามกลางสุญญากาศ หากแต่เป็นผลมาจากการผลิตสร้างขึ้นทางสังคมทั้งสิ้นนั่นเอง

 

อ้างอิง:

The post วัคซีนในสังคม: จาก ‘ข้อเท็จจริง’ สู่ ‘การตระหนักร่วม’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: รพ. สนามธรรมศาสตร์ ได้วัคซีนไม่ถึง 60% | THE STANDARD NOW https://thestandard.co/thestandardnow090864-2/ Tue, 10 Aug 2021 00:37:07 +0000 https://thestandard.co/?p=523543 THE STANDARD NOW 090864

ฟัง ผศ.นพ.ฉัตรชัย มิ่งมาลัยรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสน […]

The post ชมคลิป: รพ. สนามธรรมศาสตร์ ได้วัคซีนไม่ถึง 60% | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

]]>
THE STANDARD NOW 090864

ฟัง ผศ.นพ.ฉัตรชัย มิ่งมาลัยรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ผู้ออกมาเปิดเผยว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ได้รับการจัดสรร Pfizer เพียง 60% กับปัญหาที่ต้องเผชิญ

 

ชมคลิปอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ https://thestandard.co/video/

 

วิดีโอ: ธนวีร์ ลิ้มประสิทธิศักดิ์

The post ชมคลิป: รพ. สนามธรรมศาสตร์ ได้วัคซีนไม่ถึง 60% | THE STANDARD NOW appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาคีบุคลากรสาธารณสุข เปิดให้บุคลากรด่านหน้าที่ไม่ได้รับวัคซีน Pfizer ลงชื่อ #ทวงไฟเซอร์ให้ด่านหน้า https://thestandard.co/health-personnel-associate-sign-request-pfizer-to-the-front-line/ Tue, 10 Aug 2021 00:30:46 +0000 https://thestandard.co/?p=523540 Health Personnel Associate

วานนี้ (9 สิงหาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กภาคีบ […]

The post ภาคีบุคลากรสาธารณสุข เปิดให้บุคลากรด่านหน้าที่ไม่ได้รับวัคซีน Pfizer ลงชื่อ #ทวงไฟเซอร์ให้ด่านหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
Health Personnel Associate

วานนี้ (9 สิงหาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กภาคีบุคลากรสาธารณสุขเปิดให้บุคลากรด่านหน้าที่ไม่ได้รับวัคซีน Pfizer ลงชื่อ #ทวงไฟเซอร์ให้ด่านหน้า โดยมีรายงานว่าหลังเปิดลงชื่อได้ 40 นาที มีบุคลากรด่านหน้าลงชื่อมากกว่า 300 คนแล้ว ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊กภาคีบุคลากรสาธารณสุข ระบุข้อความดังนี้

 

“บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าทุกคนที่คุณสมบัติเข้าเกณฑ์ควรได้รับวัคซีนไฟเซอร์

 

เครือข่ายบุคลาการทางการแพทย์ขอเชิญบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าผู้ผ่านเกณฑ์ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ และแสดงเจตจำนงขอรับแล้วแต่ไม่ได้รับร่วมลงชื่อ เพื่อส่งเสียงบอกว่ามีด่านหน้าอีกจำนวนเท่าใดที่ไม่ได้รับวัคซีนที่ควรได้รับ เพื่อช่วยกันส่งข้อมูลการบริหารจัดการวัคซีนที่ไม่เป็นไปตามคำสัญญามารวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปขับเคลื่อนเชิงนโยบายในอนาคตต่อไป อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกให้ผู้เกี่ยวข้องกับการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ตระหนักถึงพลังของบุคลากรทางการแพทย์

 

เมื่อวัคซีน mRNA ที่เราเรียกร้องให้เป็นวัคซีนหลักมาถึง แต่กลับมีอุปสรรคมากมายทำให้พวกเราไม่อาจได้รับวัคซีน เช่น หลายโรงพยาบาลจัดสรรโควตาวัคซีนไฟเซอร์ไม่เพียงพอต่อจำนวนบุคลากรผู้ผ่านเกณฑ์ ทำให้ต้องจัดสรรวัคซีนโดยลำดับความเสี่ยงของบุคลากรด่านหน้าจากมากไปน้อย ทั้งที่ในความเป็นจริงด่านหน้าทุกคนล้วนมีความเสี่ยงไม่ต่างกัน อีกทั้งเกณฑ์ที่ใช้กำหนดยังไม่อาจสอบทานได้, บางโรงพยาบาลยืนยันว่าจะฉีดไฟเซอร์ให้บุคลากรเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) หลังบุคลากรได้รับวัคซีน Sinovac 2 เข็มเท่านั้น ซึ่งเป็นการยึดตามเกณฑ์เก่า ไม่ใช่เกณฑ์ปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการจัดสรรไฟเซอร์ให้แต่ละจังหวัดอย่างไม่สอดคล้องกับการระบาด ไม่มีข้อกำหนดชัดเจนแจ้งว่าเหตุใดบางจังหวัดจึงได้รับวัคซีนมากกว่าจังหวัดที่มีการระบาดมากกว่า ฯลฯ

 

ภาวการณ์เหล่านี้บั่นทอนขวัญกำลังใจ และทำลายความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการวัคซีนอย่างมาก เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์จึงมีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ต่อกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้

 

  1. จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ สำหรับเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose), เป็นวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่สองสำหรับผู้ไม่เคยฉีด, เป็นวัคซีนเข็มที่สองสำหรับผู้ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว, อีกทั้งจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ‘ทุกคน’ ที่ประสงค์จะรับวัคซีน ทั้งนี้ หากจำนวนวัคซีนที่จัดสรร 700,000 โดสไม่เพียงพอ เราขอเรียกร้องให้รัฐจัดหาวัคซีน mRNA ให้บุคลากรทางการแพทย์เป็นการเร่งด่วน

 

  1. เปิดเผยว่ารัฐใช้เกณฑ์ใดในการจัดสรรวัคซีนให้แก่จังหวัดต่างๆ และโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อความโปร่งใส เป็นธรรม

 

  1. เปิดเผยจำนวนวัคซีนไฟเซอร์ที่แต่ละจังหวัดส่งชื่อยื่นขอ และจำนวนที่จัดสรรให้จริงทุกจังหวัด

 

  1. แจ้งแผนการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่สอง ซึ่งเตรียมส่งมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ทั้งจำนวน และการกระจายไปยังแต่ละจังหวัด

 

ทั้งนี้ ระหว่างข้อเรียกร้องต่างๆ กำลังเดินทางต่อไปถึงรัฐ เราอยากขอเชิญชวนบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ แต่ไม่ได้รับ ร่วมกันส่งข้อมูลตามลิงก์ https://tinyurl.com/WhereIsOurPfizer หรือ QR Code ที่ปรากฏ เพื่อแสดงเจตจำนงและพลังของพวกเราอีกทางหนึ่ง อีกทั้งข้อมูลที่ได้ เราจะรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบเพื่อนำไปขับเคลื่อนเชิงนโยบายต่อไป

 

พวกเราเป็นมนุษย์ พวกเราเหนื่อยได้ เจ็บปวดเป็น และมีโอกาสเสียชีวิตได้ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่วันนี้พวกเราแบกรับความเสี่ยง เป็นด่านหน้าให้กับศึกครั้งนี้ เราคาดหวังว่ารัฐจะกระจายวัคซีนให้พวกเราอย่างเป็นธรรม”

The post ภาคีบุคลากรสาธารณสุข เปิดให้บุคลากรด่านหน้าที่ไม่ได้รับวัคซีน Pfizer ลงชื่อ #ทวงไฟเซอร์ให้ด่านหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
สธ. จัดส่ง Pfizer ฉีดบุคลากรทางการแพทย์ล็อตแรกทุกจังหวัดเร็วกว่ากำหนด 5 วัน ให้สำรวจความต้องการด่านหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้ฉีดเพื่อส่งเพิ่ม https://thestandard.co/moph-delivering-pfizer-injections-to-medical-personnel-in-province-earlier/ Mon, 09 Aug 2021 02:00:19 +0000 https://thestandard.co/?p=523148 Sophon Iamsirithaworn

วานนี้ (8 สิงหาคม) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมค […]

The post สธ. จัดส่ง Pfizer ฉีดบุคลากรทางการแพทย์ล็อตแรกทุกจังหวัดเร็วกว่ากำหนด 5 วัน ให้สำรวจความต้องการด่านหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้ฉีดเพื่อส่งเพิ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sophon Iamsirithaworn

วานนี้ (8 สิงหาคม) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวการกระจายวัคซีน Pfizer จำนวน 1.5 ล้านโดส ว่า การจัดสรรวัคซีน Pfizer ในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ 7 แสนโดส เริ่มทยอยจัดส่งวัคซีนตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 ไปยังโรงพยาบาลใหญ่ครบ 170 แห่ง ทั้ง 77 จังหวัด ภายใน 3 วัน โดยเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2564 ถือว่าเร็วกว่ากำหนดที่วางไว้ 5 วัน ขณะนี้ฉีดแล้ว 5.7 หมื่นโดส จากการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ พบอาการปวด บวม ร้อน และไข้เล็กน้อย ไม่มีอาการรุนแรง

 

“การจัดส่งวัคซีนไปโรงพยาบาลใหญ่เนื่องจากมีศักยภาพในการเก็บรักษาควบคุมอุณหภูมิและควบคุมติดตามการฉีดได้ง่ายกว่ากระจายไปจุดย่อยๆ เนื่องจากเมื่อเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส วัคซีนจะมีอายุ 31 วัน จึงต้องเร่งฉีดให้หมด โดยวัคซีน 1 ขวด ฉีดได้ 6 โดส หากกระจายไปหลายจุด เมื่อเปิดใช้ 1 ขวด อาจไม่ถึง 6 คน จึงต้องรวมไว้ที่โรงพยาบาลใหญ่ก่อนในช่วงแรก” นพ.โสภณกล่าว

 

นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า สำหรับวัคซีนที่ส่งไปล็อตแรกประมาณร้อยละ 50-75 นั้น เนื่องจากได้สำรวจความต้องการฉีด พบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์บางส่วนฉีดบูสเตอร์โดสด้วย AstraZeneca แล้วกว่าร้อยละ 20 ต้องการ Pfizer ประมาณร้อยละ 70 ซึ่งการบริหารจัดการด้วยวิธีการทยอยส่งเป็นล็อตทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากส่งไปทั้งหมด 100% ของจำนวนบุคลากร บางพื้นที่อาจได้เกินหรือขาด เนื่องจากมีบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ารายใหม่ที่ยังไม่เคยฉีดมาก่อน เช่น ผู้ที่จบใหม่หรือบุคลากรด่านหลังที่ได้รับมอบหมายมาทำงานด่านหน้า เพราะว่าในพื้นที่มีโควิดระบาดเพิ่มขึ้น โดยสามารถแจ้งมาได้ที่กรมควบคุมโรค เพื่อส่งวัคซีนให้เพิ่มเติมล็อตถัดไปในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะจัดส่งครบจำนวนบุคลากรด่านหน้าตามการสำรวจเพิ่มอย่างแน่นอน

 

นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในพื้นที่ 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน 645,000 โดส รวมถึงชาวต่างชาติกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนไทยเดินทางไปต่างประเทศ 1.5 แสนโดส จะทยอยส่งวัคซีนไปยังโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคมนี้ เริ่มจัดบริการได้กลางสัปดาห์ โดยจะฉีดในคนที่ยังไม่เคยได้วัคซีนโควิดตัวอื่นมาก่อน มีการติดตามอาการหลังฉีด 30 นาที, 1 วัน, 7 วัน และ 30 วัน โดยกลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคเรื้อรัง แพทย์ที่รักษาจะประเมินว่าพร้อมรับวัคซีนหรือไม่ และจะติดตามอาการหลังฉีดโดยรายงานผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งเด็กวัยนี้ใช้แอปพลิเคชันได้หรือให้ผู้ปกครองช่วยรายงาน หลังฉีดวัคซีนหากมีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น หายใจไม่สะดวก สงสัยอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ให้รีบมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัย โรคนี้รักษาให้หายได้ ทั้งนี้ เคยมีรายงานจากสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนฉีดวัคซีน mRNA เป็นหลัก มีโอกาสพบอาการดังกล่าวได้ประมาณ 4 รายต่อล้านเข็ม โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี และเพศชาย ยังไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ส่วนในประเทศไทยยังไม่พบอาการเหล่านี้หลังการฉีดวัคซีน

 

สำหรับเดือนสิงหาคมนี้จะมีวัคซีนโควิด 10 ล้านโดส ที่จะทยอยส่งสัปดาห์ละ 2 ล้านโดส โดยจะส่งไปต่างจังหวัดกว่าร้อยละ 80 จำนวนนี้ครึ่งหนึ่งจะส่งไปยัง 29 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งมีการระบาดเกิดขึ้นอยู่ โดยเน้นฉีดกลุ่ม 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ โดยให้ฉีดเร็วที่สุดเพื่อให้ครอบคลุมร้อยละ 70 อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง หากต้องไปสถานที่ที่มีคนจำนวนมากอาจใส่หน้ากากอนามัยสองชั้น อยู่ในบ้านก็ต้องระวังผู้สูงอายุติดเชื้อจากลูกหลานที่ออกไปนอกบ้าน ดังนั้นจึงควรออกนอกบ้านให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงไปรับเชื้อนอกบ้านแล้วนำมาติดสมาชิกในครัวเรือน และให้พาผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนตามนัดหมายของโรงพยาบาล

The post สธ. จัดส่ง Pfizer ฉีดบุคลากรทางการแพทย์ล็อตแรกทุกจังหวัดเร็วกว่ากำหนด 5 วัน ให้สำรวจความต้องการด่านหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้ฉีดเพื่อส่งเพิ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
กรมควบคุมโรคเผย ฉีด Pfizer เข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์แล้ว 1,422 ราย ยันกระจายวัคซีนตามเกณฑ์และความจำเป็นของพื้นที่ https://thestandard.co/moph-pfizer-3-needles-been-injected-to-medical-personnel/ Sat, 07 Aug 2021 02:30:03 +0000 https://thestandard.co/?p=522535 Opas Karnkawinpong

เมื่อวานนี้ (6 สิงหาคม) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิ […]

The post กรมควบคุมโรคเผย ฉีด Pfizer เข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์แล้ว 1,422 ราย ยันกระจายวัคซีนตามเกณฑ์และความจำเป็นของพื้นที่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Opas Karnkawinpong

เมื่อวานนี้ (6 สิงหาคม) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเกี่ยวกับแผนการกระจายวัคซีน Pfizer 1.5 ล้านโดส ที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการจัดส่งในล็อตแรกระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม 2564 เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั่วประเทศในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ว่า กรมควบคุมโรคได้ดำเนินการจัดสรรวัคซีน Pfizer ให้เป็นไปตามเกณฑ์และความจำเป็นของพื้นที่ โดยส่งให้หน่วยให้บริการรักษาพยาบาลต่างๆ โดยตรง และส่งให้สำนักอนามัย กรุงเทพฯ เพื่อนำไปกระจายให้หน่วยงานที่อยู่ในสังกัดของ กทม. หรือหน่วยงานอื่นที่แจ้งความประสงค์ไว้กับ กทม. อาทิ สถานพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาคลินิกเวชกรรม การกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ การฉีดให้ครอบคลุมบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การควบคุมป้องกันโรค การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาวิชาการเกี่ยวกับเชื้อไวรัสชนิดนี้ ซึ่งมีโอกาสและมีความเสียงสูงต่อการติดเชื้อจากการปฏิบัติงานทั้งสิ้น เพื่อป้องกันการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด

          

สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่ 3 เพื่อใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ขณะนี้ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 จะได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็มแล้ว ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน จนถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2564 มีบุคลากรทางการแพทย์ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดเข็มที่ 3 แล้วรวมจำนวน 175,190 ราย แบ่งเป็นวัคซีน Pfizer จำนวน 1,422 ราย และวัคซีน AstraZeneca จำนวน 173,768 ราย หากบุคลากรรายใดที่รายชื่อตกหล่น สามารถแจ้งความต้องการได้ที่สถานพยาบาลต้นสังกัด ซึ่งกรมควบคุมโรคพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทันและสอดคล้องกับสถานการณ์ความรุนแรงของการแพร่ระบาดในขณะนี้

      

สำหรับแผนการกระจายวัคซีนในช่วงวันที่ 6-7 สิงหาคม 2564 นี้ มีเป้าหมายจัดส่งให้ 68 จังหวัด และ กทม. ด้วย โดยได้รับแจ้งจากทางจังหวัดว่าวัคซีนถึงแล้ว เช่น สมุทรปราการ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี เป็นต้น ซึ่งแต่ละแห่งที่ได้รับวัคซีนได้ทยอยฉีดแล้ว อาทิ โรงพยาบาลชลบุรี, โรงพยาบาลพุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา, สถาบันบำราศนราดูร, โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น และจะเริ่มทยอยฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ตามความพร้อมของสถานบริการต่างๆ ต่อไป

The post กรมควบคุมโรคเผย ฉีด Pfizer เข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์แล้ว 1,422 ราย ยันกระจายวัคซีนตามเกณฑ์และความจำเป็นของพื้นที่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนุทินย้ำ สธ. Vs. กทม. ไม่มีความขัดแย้ง หลังโต้กันในวงประชุม ยืนยันเดินหน้าต่อ ลุยฉีดวัคซีนให้ประชาชน https://thestandard.co/anutin-reiterate-moph-no-conflic-with-bkk-about-vaccine-distribution/ Wed, 28 Jul 2021 08:31:13 +0000 https://thestandard.co/?p=518504 Anutin Charnvirakul

วันนี้ (28 กรกฎาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ […]

The post อนุทินย้ำ สธ. Vs. กทม. ไม่มีความขัดแย้ง หลังโต้กันในวงประชุม ยืนยันเดินหน้าต่อ ลุยฉีดวัคซีนให้ประชาชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Anutin Charnvirakul

วันนี้ (28 กรกฎาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวประเด็นการกระจายวัคซีนป้องกันโควิดของพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ภายหลังที่มีการประชุมหารือเมื่อวานนี้ (27 กรกฎาคม) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมว่า ไม่ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งอะไรระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร เพียงแต่เกิดการตีความที่ไม่ตรงกัน ซึ่งทางกรมควบคุมโรค โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่ามีการจัดส่งวัคซีนโควิดทั้งหมดไปที่ กทม. ตามข้อมูลที่ได้ประสานมา จากนั้นทางพื้นที่จะต้องไปจัดสรรจำนวนที่ต้องส่งมอบตามหน่วยงานและตามพื้นที่ต่างๆ และต้องจัดสรร ไว้สำหรับคนที่ลงทะเบียนผ่าน ‘หมอพร้อม’ ไปจนถึงการฉีดในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ กทม. ด้วย เรื่องมีอยู่เท่านี้

 

“การกระจายวัคซีนจะมีศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เป็นผู้พิจารณาและรับทราบข้อมูลทั้งหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ประชุมเมื่อวานนี้ ไม่คิดว่าเป็นปัญหาระหว่างกัน พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วก็คุยเข้าใจกันดี เชื่อว่าทุกคนแบกความเครียดเหมือนกันหมด ก็ขอให้เดินหน้าทำงานกันต่อ ปัญหาเมื่อวานนี้ เป็นเรื่องของการทำงานไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดต่างก็มีความต้องการวัคซีนให้ได้มากที่สุด ซึ่งทาง ศบค. ก็เป็นผู้จัดสรรแผนการกระจายวัคซีนออกไปโดยมีกรมควบคุมโรคเป็นผู้รับมาปฏิบัติ ส่งวัคซีนออกไปตามที่ ศบค. กำหนด”

 

เมื่อถามว่าขณะนี้ฉีดวัคซีนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ทำไมยังเกิดปัญหาความเข้าใจที่ไม่ตรงกันอยู่ อนุทินกล่าวว่า การจัดสรรวัคซีนเป็นไปตามความจำเป็นของพื้นที่ สัดส่วนประชากร อย่างเช่นที่ สธ. กำหนดว่าเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ต้องฉีดให้ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง เพื่อลดอัตราการติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งนโยบายก็จะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การสู้กับโรคต้องปรับตามสถานการณ์อยู่ตลอด 

 

เมื่อถามถึงภาพความแออัดที่ศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ อนุทินกล่าวว่า ช่วงเวลานั้นให้บริการกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นหลัก เพราะเราต้องเร่งฉีดกลุ่มดังกล่าวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงเปิดให้บริการแบบ Walk-in เข้ามา โดยจะเปิดให้บริการถึง 31 กรกฎาคมนี้ ซึ่งประชาชนมารับบริการเป็นจำนวนมาก แต่ในเดือนสิงหาคมจะเป็นการฉีดให้ประชาชนทั่วไป ผ่านการลงทะเบียนเพื่อจองวันรับวัคซีนตามปกติ ความแออัดก็จะลดน้อยลง แต่สำหรับผู้สูงอายุมากกว่า 75 ปี ก็ยังสามารถเข้ามารับวัคซีนได้เลย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากที่สุด 

 

“ผมขอย้ำว่าศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เป็นหน่วยสนับสนุนเพื่อเก็บตกผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนจากกลุ่มต่างๆ บุคลากรสาธารณสุขที่เข้าไปช่วยเหลือต่างทำงานกันอย่างเต็มที่ ตรงนี้ขอเป็นกำลังใจให้คนทำงาน” อนุทินกล่าว

The post อนุทินย้ำ สธ. Vs. กทม. ไม่มีความขัดแย้ง หลังโต้กันในวงประชุม ยืนยันเดินหน้าต่อ ลุยฉีดวัคซีนให้ประชาชน appeared first on THE STANDARD.

]]>