กอบศักดิ์ ภูตระกูล – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 29 Oct 2025 04:55:41 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ครม. มีมติแต่งตั้ง ‘ดร.กอบศักดิ์’ นั่งที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี https://thestandard.co/the-cabinet-has-appointed/ Wed, 29 Oct 2025 04:49:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1136840 ครม. มีมติแต่งตั้ง ดร.กอบศักดิ์

วานนี้ (28 ตุลาคม 2568) อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกปร […]

The post ครม. มีมติแต่งตั้ง ‘ดร.กอบศักดิ์’ นั่งที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. มีมติแต่งตั้ง ดร.กอบศักดิ์

วานนี้ (28 ตุลาคม 2568) อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง ประจำวันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2568 ดังนี้

 

เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 

​​คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 

ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ดังนี้

 

​​1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)

​​2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์) ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว

 

​​ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี

 

​​คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 377/2568 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ​​ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29กันยายน 2568 ซึ่งจะแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศเพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้กับประชาชนใน 5 ด้าน ได้แก่ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง ด้านสังคม ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านการบริหารภาครัฐ

 

การปฏิรูปกฎหมาย รวม 15 ข้อ นั้น​​เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีข้างต้นเป็นไปอย่างมีเอกภาพ นำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีโดยมีองค์ประกอบหน้าที่และอำนาจ ดังนี้
​​1. องค์ประกอบ

​​ 1.1 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ​​​​​ที่ปรึกษา

​​ 1.2 รองนายกรัฐมนตรี​​​​​​ประธานกรรมการ (ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ)

1.3 รองศาสตราจารย์ วรากรณ์ สามโกเศศ​​​รองประธานกรรมการ​​ 1.4 นายนพพล ชูกลิ่น​​​​​​รองประธานกรรมการ

1.5 นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธุ์​​​​รองประธานกรรมการ

​​ 1.6 นายนิสิต จันทร์สมวงศ์​​​​​กรรมการ

​​ 1.7 เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ​​​กรรมการ

​​ 1.8 เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ​​กรรมการ

​​ 1.9 เลขาธิการคณะรัฐมนตรี​​​​​กรรมการ

​​ 1.10 ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ​​​​กรรมการ

​​ 1.11 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา​​​​กรรมการ

​​ 1.12 ผู้อำนวยการสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ​​กรรมการ​ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง

​​ 1.13 ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ​กรรมการ

​​ 1.14 รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้รับมอบหมาย ​กรรมการ

​​ 1.15 รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ที่ได้รับมอบหมาย​​​กรรมการ

​​ 1.16 รองปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ได้รับมอบหมาย​​กรรมการ

​​ 1.17 รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมาย​​กรรมการ

​​ 1.18 หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี​​​กรรมการ

​​ 1.19 รองเลขาธิการ ก.พ.ร. หรือที่ปรึกษาการพัฒนา​​กรรมการและ​​​​ระบบราชการที่ได้รับมอบหมาย​​​​เลขานุการ​​​

1.20 นายอภิชน จันทรเสน​​​​​กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ​​

1.21 เจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.พ.ร. ที่ได้รับมอบหมาย​​กรรมการและ ​​​​​​​​​​ผู้ช่วยเลขานุการ

​​2. หน้าที่และอำนาจ
​​
2.1 ขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไปสู่การปฏิบัติจากการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐในกำกับราชการ
ฝ่ายบริหาร โดยให้ประสานงานกับรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลหน่วยงานนั้น หรือประสานงานกับประธานกรรมการในคณะกรรมการซึ่งปฏิบัติงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้น
​​
2.2 เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา/อุปสรรค เพื่อเร่งรัดดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม
ต่อนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อมีคำสั่งหรือมติต่อไป

2.3 ประสานความร่วมมือและเชิญผู้แทนจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือเชิญบุคคลมาชี้แจงข้อเท็จจริง ตลอดจนให้ความเห็นหรือข้อมูล เอกสารหลักฐานที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ต่อการดำเนินงานของคณะกรรมการ

2.4 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงาน เพื่อช่วยปฏิบัติงานได้ตามความจำเป็น

2.5 ดำเนินการอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
​​
3. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานกลางในการประสาน รวบรวมข้อมูล ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจากผู้ประสานงานของแต่ละส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการ
​​
4. ให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) สนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการตามที่ประธานกรรมการหรือสำนักงาน ก.พ.ร. ร้องขอ

​​5. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการคณะอนุกรรมการ และคณะทำงานที่ได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งนี้

​​6. การเบิกจ่ายเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานที่ได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งนี้ให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบของทางราชการแล้วแต่กรณี โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงาน ก.พ.ร.
​​ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไปเข้ารับหน้าที่

The post ครม. มีมติแต่งตั้ง ‘ดร.กอบศักดิ์’ นั่งที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ดร.กอบศักดิ์’ หนุนจัดการปัญหาสแกมเมอร์-มุมมืดตลาดทุน ชี้เป็นผลบวกต่อตลาดทุนในระยะยาว https://thestandard.co/dr-kobsak-supports-addressing/ Tue, 21 Oct 2025 12:29:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1133529 ‘ดร.กอบศักดิ์’ หนุนจัดการปัญหาสแกมเมอร์-มุมมืดตลาดทุน ชี้เป็นผลบวกต่อ ตลาดทุน ในระยะยาว

วันนี้ (21 ตุลาคม) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐ […]

The post ‘ดร.กอบศักดิ์’ หนุนจัดการปัญหาสแกมเมอร์-มุมมืดตลาดทุน ชี้เป็นผลบวกต่อตลาดทุนในระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ดร.กอบศักดิ์’ หนุนจัดการปัญหาสแกมเมอร์-มุมมืดตลาดทุน ชี้เป็นผลบวกต่อ ตลาดทุน ในระยะยาว

วันนี้ (21 ตุลาคม) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) หนุนรัฐบาลเอาจริงด้านการจัดการปัญหาสแกมเมอร์และมุมมืดในตลาดทุน ชี้ถึงแม้อาจส่งผลกระทบในระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะเป็นบวกต่อตลาดทุนในระยะยาว

 

โดยดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า “ผมคิดว่าการจัดการกับปัญหาสแกมเมอร์ และมุมมืดของตลาดทุน ในระยะสั้นอาจจะอาจดูเป็นผลกระทบ แต่ในระยะยาวจะเป็นผลบวก เปรียบเสมือนกับร่างกาย ถ้าไม่ดูแลและปล่อยให้คอเลสเตอรอล น้ำตาล ปัญหาต่างๆ เยอะไปจะไม่ดีในระยะยาว แต่ถ้าเกิดเราเริ่มออกกำลังกาย เริ่มไม่กินข้าวบ้าง ไม่ทำเรื่องที่ไม่ควรจะทำ อดบ้าง อดเหล้าบ้าง ร่างกายจะดีขึ้นได้”

 

ดร.กอบศักดิ์ ยังยกตัวอย่างกรณีปัญหาธรรมาภิบาลของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK และบริษัท มอร์รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE รวมไปถึงกรณีการปั่นหุ้นต่างๆ โดยระบุว่า “ผมคิดว่า ทั้งหมดต้องเอาออกมา แล้วมาจัดการ เนื่องจากการดำเนินการเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า หากเข้ามาในตลาดทุนแล้ว จะไม่ถูกตีหัว อยากให้ขุดให้หมด แล้วก็ดำเนินการให้ชัดเจนว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง ในระยะสั้นอาจจะอาจดูเป็นผลกระทบ แต่ระยะยาวจะดีเป็นประโยชน์”

 

ดร.กอบศักดิ์ ยังชี้ว่า ขณะนี้ ดัชนีหุ้นไทยปัจจุบันที่ใกล้ระดับ 1,300 จุด ก็ถือว่าดี ดังนั้น หากเกิดการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ดี แล้วมีนโยบายที่ใช่ ราคาหุ้นไทยก็จะไปต่อได้

 

ดร.กอบศักดิ์มองอีกว่า ปัญหาทุกครั้งคือโอกาส เช่นเดียวกับกรณีสแกมเมอร์ก็คือโอกาสที่เราจะทำให้ทุกคนเห็นว่า เราเอาจริงเรื่องนี้ แล้วเป็นโอกาสที่จะเอาเรื่องที่ซุกไว้ใต้พรมออกมาจัดการให้เรียบร้อย เพราะความจริงเรื่องเหล่านี้ ถ้าเกิดเราซุกไว้ใต้พรม เดี๋ยวมันก็จะงอกออกมาเองอยู่ดี

 

ดร.กอบศักดิ์ ยังตอบคำถามเกี่ยวกับการแต่งตั้งประธานคณะทำงานจัดการปัญหาสแกมเมอร์ ที่จะมาดูแลตรวจสอบเส้นทางการเงินว่า “เดี๋ยวลองให้รัฐบาลพิจารณาดู เนื่องจากรัฐบาลรู้ดีว่า พอมีเสียงเรียกร้อง เดี๋ยวรัฐบาลก็คงจะกลับไปคลี่คลายปัญหา”

The post ‘ดร.กอบศักดิ์’ หนุนจัดการปัญหาสแกมเมอร์-มุมมืดตลาดทุน ชี้เป็นผลบวกต่อตลาดทุนในระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
4 หน่วยงานจับมือออก ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย’ มี 4 มาตรการเร่งด่วน หวังฟื้นหุ้นไทยสิ้นปีนี้แตะ 1,415 จุด https://thestandard.co/thai-stock-measures-target-1415/ Mon, 06 Oct 2025 11:03:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1127259 COVER - Thai Stock Measures Target 1415

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับ […]

The post 4 หน่วยงานจับมือออก ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย’ มี 4 มาตรการเร่งด่วน หวังฟื้นหุ้นไทยสิ้นปีนี้แตะ 1,415 จุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
COVER - Thai Stock Measures Target 1415

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ร่วมแถลงข่าวเปิด “ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย” พร้อมเดินหน้าผลักดัน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ Quality Demand – Attractive Supply – Trusted Market – Supportive Ecosystem

 

ศาสตราจารย์ ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่าจากการประชุมร่วมของคณะทำงานเพื่อพิจารณามาตรการปฏิรูปตลาดทุนไทย (Taskforce) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก สศค. ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ FETCO เพื่อระดมความเห็น วิเคราะห์ปัญหา และหาแนวทางส่งเสริมความสามารถของตลาดหุ้นไทย ให้แข่งขันได้และยืดหยุ่นต่อความท้าทาย เพื่อยังคงบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย โดยคณะทำงาน Taskforce ได้ข้อสรุปร่วมกันและเสนอ ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย’ มี 4 มาตรการหลัก พร้อมแผนการดำเนินการที่สำคัญเร่งด่วนในแต่ละมาตรการ ดังนี้

 

มาตรการ Quality Demand ประกอบด้วย

 

1. การสร้างวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investment Account) เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนระยะยาวและกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย มีการขยายฐานผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ เพิ่มการให้บริการการลงทุนในตลาดหุ้นและผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงสร้างศูนย์รวมข้อมูลพอร์ตของผู้ลงทุน (wealth aggregator)

 

2. การส่งเสริมบทบาทผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนไทย

 

มาตรการ Attractive Supply ประกอบด้วย

 

1. การดึงดูดกิจการที่มีศักยภาพและคุณภาพเข้าสู่ตลาดทุนไทย

 

2. การยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบัน ผ่านโครงการ Jump+ และ Value Up Program

 

3. การปรับขั้นตอนการออกและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ให้มีประสิทธิภาพและทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าสนใจและสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้

 

4. การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าถึงแหล่งระดมทุนของ SME และ New Economy ให้น่าสนใจ

 

และ 5. การเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐาน ISSB และมุ่งผลให้เกิดการปฏิบัติจริง เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESG ในระดับสากล

 

มาตรการ Trusted Market ประกอบด้วย

 

1. การสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนและการบังคับใช้กฎหมาย

 

2. การยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (gatekeepers) เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม และ

 

3. การใช้เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทขนาดกลางและเล็ก

 

CONTENT_1

ศาสตราจารย์ ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต.

 

มาตรการ Supportive Ecosystem ประกอบด้วย

 

1. การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนในการสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย

 

2. นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อยและเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัล

 

3 ทบทวนหลักเกณฑ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ลงทุน และ (4) การให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถใช้สิทธิ e-proxy ได้สะดวกยิ่งขึ้น

 

Quick Win ก.ล.ต. หลัง 4 เดือน เริ่มนับหนึ่งโครงการ TISA

 

ส่วน Quick Win ของมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยในช่วง 4 เดือนข้างหน้านั้น มองว่าหากมาตรการทำได้ภายใน 4 เดือนและสอดคล้องกับการสนับสนุนร่วมกันกับทางภาครัฐก็เชื่อว่าน่าจะเห็นการติดกระดุมเม็ดแรกของตัว Individual Savings Account หรือ โครงการ TISA เป็นรูปธรรมว่าโครงการนี้จะเดินหน้าอย่างไรเป็นโครงการแรก ซึ่งเร่งขึ้นมาจากแผนเดิมที่หากทำกันเองอาจเห็นสเต็ปแรกภายในช่วงปลายปี 69

 

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ต้องการเห็นการแก้ปัญหาของตัว IPO ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้พูดคุยกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ระดับหนึ่งแล้วว่า ก.ล.ต. จะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อดึงดูดกลุ่ม New Growth ได้อย่างไร ซึ่งในแง่ของ ก.ล.ต. จะดูว่ากฎเกณฑ์บางเรื่องที่เริ่มเฮียริ่งหรือแนวทาง โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ก็จะมีแผนที่ผ่านคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ และสื่อสารออกสื่อสาธารณะในช่วงต้นเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทยอยเห็นความชัดเจนของแผนดำเนินการภายใน 4 เดือนจากนี้

 

เร่งปรับเกณฑ์ดึงต่างชาติทำ IPO ใน 4 เดือน

 

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ภายหลังการหารือเกี่ยวกับทิศทางตลาดทุนไทยว่า FETCO กำลังเร่งผลักดันการปรับปรุงกระบวนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน (IPO) เพื่อดึงดูดกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ New Sector เข้ามาในตลาดทุนไทย ซึ่งจะเป็นหนึ่งใน Quick Win ที่สำคัญของตลาดทุนและรัฐบาลชุดนี้

 

ดร. กอบศักดิ์ ชี้ว่า ปัจจุบันหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นในกลุ่ม Large Cap ยังคงมีบริษัทเดิมๆ ที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ปิโตรเคมี และธนาคาร มาเป็นเวลานาน ทำให้ขาดแคลนหุ้นที่เป็น New Sector ที่นักลงทุนต้องการ

 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีบริษัท
จำนวนมากทั่วโลกที่แสดงความสนใจอยากเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และหลายบริษัทอยู่ในกลุ่ม New Sector

 

ทั้งนี้ FETCO ได้มีการหารือกับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ และทาง BOI หลายครั้ง ซึ่งทาง BOI เปิดกว้างในเรื่องนี้ ดร. กอบศักดิ์ เชื่อว่า สิ่งที่เหลืออยู่คือการปรับปรุงกฎเกณฑ์ ทั้งในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) BOI เอง และกระทรวงการคลัง โดยคาดว่าเรื่องของการปรับปรุงกระบวนการ IPO นี้ น่าจะสามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 4 เดือน

 

โดยเน้นย้ำว่า หัวใจสำคัญคือการสร้างอนาคตผ่านการนำบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ๆ (New S-Curve) เข้าสู่ตลาดทุน เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ที่ซบเซา

 

ดร. กอบศักดิ์ ชี้ว่า ดัชนี SET ที่ปรับตัวได้ไม่ดี เนื่องจากตลาดขาดกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างสิ้นเชิง ขณะที่องค์ประกอบหลักของ Market Cap ในปัจจุบันประกอบด้วยกลุ่มปิโตรเคมีถึง 30% และกลุ่มธนาคารอีก 10% โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีกำลังเข้าสู่ช่วง ‘Sunset’ และกลุ่มธนาคารก็มีกำไรที่จำกัด นอกจากนี้ ห่วงโซ่อุปทานของญี่ปุ่นก็กำลังลดขนาดลง (Downside) เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี

 

ตั้งเป้านำร่อง 2-3 บริษัทขนาดใหญ่ Market Cap ทะลุหมื่นล้าน

 

FETCO กำลังพิจารณาบริษัทต่างชาติ 2-3 ราย เพื่อเป็นกรณีนำร่อง หรือ Pilot Projects ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย บริษัทเหล่านี้ไม่ใช่บริษัทขนาดเล็กหรือขนาดกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้า IPO ในปัจจุบันและแทบไม่ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาดเลย

 

บริษัทที่ตั้งเป้าหมายไว้เป็นโรงงานขนาดใหญ่และอยู่ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยคาดว่าจะมี Market Cap ขนาดใหญ่ ในระดับหมื่นล้านบาท และอาจสูงถึงแสนล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่กำลังให้ความสนใจคือกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor), อิเล็กทรอนิกส์, และ Data Center

 

ดร. กอบศักดิ์ ระบุว่า ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทยมีทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะบริษัทจากไต้หวันซึ่งต้องการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคนี้

 

ปลดล็อกกฎเกณฑ์ ลดความเหลื่อมล้ำกับบริษัทไทย

 

เพื่อดึงดูดบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ FETCO ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับการปรับปรุงกฎเกณฑ์
ปัจจุบัน ปัญหาหลักของบริษัทต่างชาติที่ทำกำไรในไทยและต้องการขยายกิจการคือ กฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ต้องมีกำไรติดต่อกัน 3 ปีเพื่อเข้าจดทะเบียน ดร กอบศักดิ์ เชื่อว่า หากเป็นบริษัทประเภทเทคโนโลยีและ New S-Curve อาจพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันได้ เช่น ไม่ต้องรอการมีกำไร 3 ปี โดยอาจเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทที่เข้าสู่ตลาดหุ้นไทยผ่านช่องทาง BOI

 

ส่วนประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำกับบริษัทไทยนั้น ทาง ดร. กอบศักดิ์ ย้ำว่า ไม่ต้องกังวลใจ เนื่องจากมาตรการนี้จะใช้กับบริษัทที่เป็น New S-Curve/Tech เพียงไม่กี่บริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศต้องการโดยรวม

 

CONTENT_2

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย บรร(FETCO)

 

ชี้ไทยได้ประโยชน์จากความไม่มั่นคงของโลก

 

แม้ว่าในอดีตไทยอาจไม่เคยคิดจะนำต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นมากนัก แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงและความขัดแย้งหลายจุด

 

  • บริษัทจำนวนมากกำลังย้ายฐานออกจากประเทศจีน
  • บริษัทไต้หวันมีความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
  • ยุโรปก็มีความกังวลใจอย่างมากจากสถานการณ์สงคราม

 

ไทยจึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม (Gateway) ในเอเชียสำหรับบริษัทที่ต้องการตั้งฐานการผลิตและทำธุรกิจ โดย ดร. กอบศักดิ์ เผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศแสดงความสนใจต่อประเทศไทยมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่ม Fund Manager

 

นอกจากบริษัทใหญ่แล้ว ไทยยังควรเปิดประตูรับ Startup ทั่วโลกที่กำลังเผชิญปัญหาในประเทศต้นทางด้วย โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อเข้ามาในไทยแล้ว ควรจดทะเบียนในประเทศไทย ไม่ใช่สิงคโปร์ เพื่อสร้าง Market Cap ใหม่ๆ

 

ดร. กอบศักดิ์ หวังดัน GDP โตแตะ 3% ในปี 2571

 

ดร. กอบศักดิ์ ยอมรับว่า ตัวเลข GDP ในระยะสั้นอาจดูน่ากังวล โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ปีนี้ที่มีการคาดการณ์ว่าจะเหลือ 0.3% แต่หัวใจคือการสร้างอนาคตข้างหน้า

 

ดร. กอบศักดิ์ ยังเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับการลงทุนของญี่ปุ่นในอดีต โดยเมื่อ FDI ขนาดใหญ่หลั่งไหลเข้ามา จะนำมาซึ่งการส่งออกและการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน หาก FDI เหล่านี้ก่อสร้างเสร็จสิ้นภายใน 3 ปีข้างหน้า การเติบโตของ GDP ที่ 3% จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับประเทศไทย

 

ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับการ ‘เปิดประตู’ แก้ไขอุปสรรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอในพื้นที่ EEC สำหรับรองรับ Data Center ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้กล่าวถึงและเตรียมดำเนินการแก้ไขแล้ว

 

“ถ้าเรากำลังสร้างอนาคตอย่างปัจจุบันนี้ และได้ผลลัพธ์ตามแผนที่วางไว้ ผมไม่กังวลใจ ผมมั่นใจว่า GDP growth กลับมาโตได้แน่ๆ 3% ภายในปี 2571” ดร. กอบศักดิ์ กล่าว

 

ในส่วนของเป้าหมายดัชนี SET Index จากพบนักลงทุนสถาบันต่างชาติเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) มองว่าเป้าหมายสิ้นปีนี้ที่ 1,415 จุด เป็นระดับที่ไปถึงได้

 

ดร. กอบศักดิ์ ได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมจากที่ได้คุยกับเลขาธิการ BOI เมื่อช่วงต้นปีว่า มีบริษัทผู้ผลิต EV สัญชาติจีนที่แสดงความสนใจ นอกจากการสร้างโรงงานแล้ว บริษัทดังกล่าวยังต้องการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศไทย โดยจ้างบุคลากรประมาณ 2,000 คน พร้อมทั้งต้องการให้ประเทศไทยเป็นสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค (Regional Headquarter) และที่สำคัญที่สุดคือ บริษัทนี้มีความต้องการที่จะมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยด้วย

 

กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีมาก หากสามารถปลดล็อกให้บริษัทเช่นนี้เข้ามาจดทะเบียนได้สำเร็จ จะเป็นกำลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทอื่น ๆ ในการวางแผนเข้ามาจดทะเบียนตามมา

 

ดร. กอบศักดิ์ ย้ำถึงความฝันในระยะยาวว่า หากมองย้อนกลับไป 25 ปีที่ผ่านมา ชื่อบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ซึ่งแตกต่างจากตลาดอื่น ๆ เช่น S&P ที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทไปมากแล้ว ดังนั้น จุดเริ่มต้นในการดึงดูดบริษัทใหม่ๆ ต้องเริ่มจากขนาดเล็กและขนาดกลางก่อน (Startup และ SME) เพื่อให้มี New Economy เข้ามาในตลาดทุนมากขึ้น

 

เปิดความคืบหน้าปฏิรูปการออมระยะยาว

 

ในส่วนของการปฏิรูปการออมระยะยาว ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการ TISA และเรื่อง ‘Quality’ ที่เคยมีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ ดร. กอบศักดิ์ เปิดเผยว่า เรื่องนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมมาเป็นเวลานานแล้ว

 

โดยโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออมระยะยาว เช่น โครงสร้างการออมที่เป็นเสาหลัก (Pillar) รวมถึงกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ เช่น RMF, ESG และ SSF ในเสาหลักที่ 2 รวมถึงเสาหลักที่ 3 ที่เน้นการออมส่วนบุคคลและสำหรับการออมของเด็ก ได้มีการพูดคุยอย่างกว้างขวางกับหลายฝ่าย ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. ภาคอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง

 

ดร กอบศักดิ์ ระบุว่า การดำเนินการส่วนที่เหลือคือการหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดรายละเอียดว่ามีส่วนใดที่ต้องการการส่งเสริมและต้องการแรงจูงใจด้านภาษีอย่างไรบ้าง การหารือในส่วนนี้ถือว่ามีขั้นตอนเล็กน้อยและน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

ตลท. ดันโครงการ Jump+ เป็นมาตรการ Quick Win

 

ขณะที่อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มาตรการที่เป็น Quick Win ของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ โครงการ Jump+ ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 61 แห่ง ที่เข้ามาร่วมโครงการแล้วและยังคงมีเข้ามาเพิ่มต่อเนื่อง จึงคาดว่าช่วงปลายปีนี้หรือไม่เกินช่วงต้นปี 69 จะมีการออกไปสื่อสารว่าแผนของแต่ละบริษัทที่ร่วมในโครงการ Jump+ มีความน่าสนใจอย่างไร เพราะจะเป็นการสร้างความสนใจของนักลงทุนให้กับตลาดทุนไทยได้มากขึ้น พร้อมเชื่อว่าสิ่งนี้น่าจะเห็นผลเร็วที่สุด

 

CONTENT_3

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

 

สศค. หวังตลาดทุนดึงดูดธุรกิจมีศักยภาพเข้ามาระดมทุน

 

ส่วน ดร. วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค. กล่าวว่า ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมสร้างศักยภาพให้ตลาดทุนไทยมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะเมื่อตลาดทุนสามารถดึงดูดธุรกิจที่มีศักยภาพให้เข้ามาระดมทุน จะช่วยเพิ่มโอกาสของประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ

 

CONTENT_4

ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค.

 

รวมทั้งเพิ่มจำนวนนักลงทุนในตลาดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ตลาดทุนไทยมีประสิทธิภาพในการเป็นแหล่งระดมทุนเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป ซึ่งมาตรการเหล่านี้ยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 – 2570) ที่หน่วยงานด้านตลาดทุนได้ดำเนินการมาโดยตลอด และขณะเดียวกันก็ถือเป็นมาตรการ Quick Win ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในระยะสั้น แต่ส่งผลต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจด้านนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการพัฒนาตลาดทุนในภาพรวม

The post 4 หน่วยงานจับมือออก ‘ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดหุ้นไทย’ มี 4 มาตรการเร่งด่วน หวังฟื้นหุ้นไทยสิ้นปีนี้แตะ 1,415 จุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร.กอบศักดิ์ เตือนภาษีทรัมป์ยังไม่จบ ห่วงการเมืองไม่นิ่ง จ่อซ้ำเศรษฐกิจไทย แนะกนง.ลดดอกเบี้ยเลย https://thestandard.co/kobsak-warns-trump-tariff-risks-thai-economy/ Tue, 05 Aug 2025 13:27:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1104064 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล แสดงความเห็นเรื่องภาษีทรัมป์และแนวทางเศรษฐกิจไทย

ดร.กอบศักดิ์ เตือน ภาษีทรัมป์ ยังไม่จบ! ย้ำภาษี 19% แค่ […]

The post ดร.กอบศักดิ์ เตือนภาษีทรัมป์ยังไม่จบ ห่วงการเมืองไม่นิ่ง จ่อซ้ำเศรษฐกิจไทย แนะกนง.ลดดอกเบี้ยเลย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล แสดงความเห็นเรื่องภาษีทรัมป์และแนวทางเศรษฐกิจไทย

ดร.กอบศักดิ์ เตือน ภาษีทรัมป์ ยังไม่จบ! ย้ำภาษี 19% แค่เริ่มต้น ห่วง ภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) แต่ยืนยันคงประมาณการ GDP ไทยปีนี้ไว้ที่ 1.5-2.0% ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า ห่วงการเมืองไม่นิ่งจ่อซ้ำเติม มองเศรษฐกิจไทยต้องใช้กระสุนทั้ง ‘การคลัง’ และ ‘การเงิน’ แนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า ห่วงลดช้าไป ปัญหาต่างๆ อาจรุนแรงกว่าที่คิด

 

วันนี้ (5 สิงหาคม) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ย้ำว่า ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ไทยได้รับในอัตรา 19% เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ในระยะข้างหน้า สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ นอกจากนี้ ภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) ในอัตรา 40% ยังเป็นประเด็นที่น่ากังวลใจมากกว่า

 

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ยังต้องจับตาดู การกำหนดคำนิยามหรือเงื่อนไขของภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) ที่สหรัฐฯ 

 

โดยดร.กอบศักดิ์ คาดการณ์ว่า เบื้องต้น สหรัฐฯ อาจกำหนดเงื่อนไขว่า สินค้าทั่วไปที่จะโดนอัตราภาษี Transshipment อาจจะหมายถึง สินค้าที่นำเข้ามาจากท่าหนึ่งแล้วส่งต่อไปท่าหนึ่ง จะต้องมี Local Content ไม่ต่ำกว่า 40%  แต่ในอนาคต อาจมีการขยายคำนิยามให้รวมไปถึงนำเข้าชิ้นส่วนจากประเทศอื่นแล้วมาประกอบในประเทศด้วย ซึ่งอาจมีการกำหนดว่า ต้องมีชิ้นส่วนเป็น Local Content ไม่ต่ำกว่า 50-60% ก็เป็นไปได้

 

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็อาจมีการสั่งตรวจโรงงานในประเทศไทย อย่างที่สหรัฐฯ เคยทำ ครั้งเมื่อออกมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping)จนนำไปสู่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าแผงโซลาร์จากไทยในอัตราสูงสุด 972.23% ด้วย

 

คงประมาณการ GDP ไทย ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า

 

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ยังคงประมาณการ GDP ไทยปี 2025 ไว้ในกรอบ 1.5-2.0% เนื่องจากมองว่า การได้อัตราภาษีตอบโต้ที่ 19% เป็นแรงช่วยเศรษฐกิจไทยปีนี้มากพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เหลือของปีก็ยังคงมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอีกมาก อาทิ การเคาะภาษีตอบโต้ไทยในอัตรา 19% ซึ่งถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น ความขัดแย้งชายแดนที่ยังดูคุกรุ่น รวมไปถึงความไม่แน่นอนการเมืองไทย

 

ปัญหาภาษีทรัมป์ยังไม่จบ ความไม่แน่นอนการเมืองจ่อซ้ำเติม

 

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า “อย่าไปคิดว่า Reciprocal Tariff ที่ 19% จะจบแค่นี้ ผมว่า เป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ว่าการเมืองในประเทศก็เป็นปัจจัยซ้ำเติม” พร้อมมองว่า ความไม่แน่นอนการเมืองถือเป็นปัญหาใหญ่ของไทย เนื่องจาก ความไม่แน่นอนทำให้การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ยากขึ้นเยอะ นอกจากนี้กระบวนการทำงานของราชการขึ้นอยู่กับความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองด้วย 

 

ดร.กอบศักดิ์ ยังยกตัวอย่างกรณีสิงคโปร์ ที่พอเห็นว่าปัญหารุมเร้าอยู่ข้างหน้า ก็จัดการปัญหาการเมืองให้จบทันที แล้วมุ่งแก้ปัญหาไปสู่อนาคต

 

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ถ้ารัฐบาลเร่งรัด พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ได้ทันก็จะเป็นปัจจัยบวก แต่ถ้าทำไม่ทันก็อย่ากังวลใจมาก เนื่องจากมีกลไกทำงบประมาณแบบใช้ไปพลางก่อนได้

 

ย้ำต้องใช้กระสุนทั้งการคลังและการเงิน 

 

ดร.กอบศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ มีความจำเป็นต้องกระตุ้นและประคองเศรษฐกิจ ทั้งภาคการเงินและภาคการคลัง หากการเมืองนิ่ง กระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเกิดขึ้นได้เต็มที่ ถ้าเกิดรัฐบาลไม่สามารถใช้งบประมาณ ไม่สามารถทำโครงการต่างๆได้ หรือทำแบบครึ่งๆกลางๆ การกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นไปได้ยาก

 

แนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า

 

ดร.กอบศักดิ์ ยังระบุว่า ท่ามกลางแรงต้านทางเศรษฐกิจมากมาย จึงอยากเห็นการลดอัตราดอกเบี้ย ตั้งแต่การประชุมกนง. นัดสัปดาห์หน้า (13 สิงหาคม) พร้อมมองว่า อยากเห็นการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อประคองให้เศรษฐกิจเดินไปต่อได้ ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจดูไม่ดี และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ

 

ดร.กอบศักดิ์ ยังเปรียบการลดดอกเบี้ยนโยบายเหมือนเป็นกับการซื้อประกัน กล่าวคือ เมื่อเห็นปัญหาข้างหน้า ก็ต้องซื้อประกันไว้ หากรอให้เกิดเหตุขึ้นมาก่อน ค่อยไปซื้อประกัน วันนั้นก็ไม่ทันแล้ว ปัญหาต่างๆ ก็อาจจะแรงกว่าที่คิด แล้วต้องใช้ยาจำนวนมากในการแก้ไขปัญหาต่อไป

 

“ที่สำคัญที่สุด ในช่วงถัดไป เมื่อเราเห็นว่า จะมีแรงต้านเยอะ เราต้องทำแรงส่งให้เพียงพอ การที่รอจนกระทั่งเศรษฐกิจชะลอไปแล้ว อาจจะต้องใช้แรงในการขับเคลื่อนจำนวนมากขึ้น” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว

The post ดร.กอบศักดิ์ เตือนภาษีทรัมป์ยังไม่จบ ห่วงการเมืองไม่นิ่ง จ่อซ้ำเศรษฐกิจไทย แนะกนง.ลดดอกเบี้ยเลย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร.กอบศักดิ์เชื่อ ‘ทรัมป์’ ไม่ถอยขึ้นภาษีนำเข้า เหตุแรงกดดันลดฮวบ https://thestandard.co/trump-import-tariff-kobsak/ Thu, 10 Jul 2025 11:21:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1095240 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล วิเคราะห์นโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

วันนี้ (10 กรกฎาคม) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้ […]

The post ดร.กอบศักดิ์เชื่อ ‘ทรัมป์’ ไม่ถอยขึ้นภาษีนำเข้า เหตุแรงกดดันลดฮวบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล วิเคราะห์นโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

วันนี้ (10 กรกฎาคม) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์สถานการณ์การปรับขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า ‘ครั้งนี้ของจริง’ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ถอยเรื่องการขึ้นภาษีที่ประกาศออกมา เนื่องจากปัจจัยกดดันให้เปลี่ยนใจลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดย ดร.กอบศักดิ์ ชี้แจงถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ไม่มีความจำเป็นต้องถอยเรื่องภาษีนำเข้า ดังนี้

 

  1. ตลาดทุนแทบไม่มีอาการเข่าอ่อนเหมือนช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

 

ดัชนีหลักอย่าง Dow Jones, S&P 500, Nasdaq รวมถึงตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ค่าเงินสหรัฐฯ VIX และราคาทองคำ ปรับตัวน้อยมาก แม้ว่าตัวเลขภาษีนำเข้าที่ออกมาสำหรับประเทศส่วนใหญ่จะไม่แตกต่างจากวันที่ 2 เมษายนมากนัก

 

สาเหตุหลักมาจากตลาดได้รับข่าวไปมากแล้ว และสำหรับจีนซึ่งเป็นคู่กรณีสำคัญ สหรัฐฯ น่าจะได้รับบทเรียนและมีช่องทางสายตรงในการเจรจากับทีมจีนโดยเฉพาะ การที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดือนเมษายนมาก ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถประกาศภาษีต่างๆ ได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องกังวลใจเหมือนรอบที่แล้ว

 

  1. ผู้ประกอบการสหรัฐฯ มีเวลาปรับตัวและตุนสต็อก

 

การที่สหรัฐฯ ยอมชะลอการเก็บภาษี 90 วัน และยอมเก็บในอัตรา 10% ได้ช่วยเปิดช่องให้ภาคธุรกิจสหรัฐฯ ได้หายใจ จากเดิมที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและอัตราภาษีสูง ทำให้หลายธุรกิจปรับตัวไม่ทัน แต่ช่วงเวลา 90 วันที่ชะลอออกไป ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเร่งนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าต่างๆ รวมถึงหา Suppliers ใหม่ที่ไม่ใช่ผู้ผลิตจีน

 

เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าหากรอผลเจรจา ก็คงไม่ได้ภาษีที่ดีกว่า 10% และจีนก็จะโดนภาษีสูงกว่าประเทศอื่นๆ การนำเข้าในช่วง 90 วันจึงน่าจะเป็นช่วงที่ได้ราคาถูกที่สุด ส่งผลให้ปัจจุบันผู้ประกอบการสหรัฐฯ น่าจะมีสต๊อกวัตถุดิบและสินค้าเพียงพอที่จะใช้ไปจนถึงปลายปีนี้ และมีเวลา 5-6 เดือนในการเลือก Suppliers ที่ถูกที่สุดสำหรับปี 2569 ความจำเป็นที่ต้องออกมากดดันประธานาธิบดีจากกลุ่มนี้จึงลดลงมาก

 

นอกจากนี้ การมีวัตถุดิบที่มีต้นทุนภาษีเพิ่มเพียง 10% ยังหมายความว่าแรงกดดันต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะยังไม่มากจนกระทั่งต้นปีหน้า

 

  1. ประชาชนสหรัฐฯ ได้รับการชดเชยจากมาตรการรัฐบาล

 

การที่กฎหมาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ผ่านสภาเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เพราะเมื่อช่วงเดือนเมษายน ประชาชนมีแต่ด้านลบจากภาษีนำเข้าที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วยการลดภาษี เช่น No tax on tips, No tax on overtime, No tax on Social Security benefits รวมถึงความช่วยเหลืออื่นๆ ที่จัดไว้ใน OBBB (รวมถึงการช่วยเหลือ SMEs และธุรกิจสหรัฐฯ) ซึ่งต้องใช้เวลาผ่านสภาได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว

 

สำหรับประชาชนสหรัฐฯ จะมีทั้งสองด้าน คือต้องจ่ายเงินเพิ่มจากสินค้าที่แพงขึ้น แต่อีกด้านก็มีเงินในกระเป๋ามากขึ้น ทำให้ผลกระทบต่อประชาชนลดลง ความยอมรับและการรับได้จึงเพิ่มขึ้น แรงกดดันต่อประธานาธิบดีในส่วนนี้ก็ลดลงตามไปด้วย

 

  1. การเมืองสหรัฐฯ – นอกจากการที่ภาคประชาชนเริ่มนิ่งขึ้น

 

ล่าสุดรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ ได้เปิดเผยว่าตั้งแต่ต้นปีนี้ สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีจากการนำเข้าได้แล้วประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่าทั้งปี 2568 จะสามารถจัดเก็บภาษีจากการนำเข้าได้มากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยปิดช่องว่างการขาดดุลการคลังและนำไปใช้ในการลดภาษีให้กับคนสหรัฐฯ ยิ่งเห็นเงินจำนวนมากเช่นนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็คงยากที่จะถอยในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ข้อตกลงต่างๆ ที่สหรัฐฯ ได้มา ซึ่งเป็น ‘Good Deals’ ก็จะทำให้ความยอมรับเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

 

จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา ดร.กอบศักดิ์ สรุปว่า ทั้งหมดรวมกันแล้ว นำไปสู่ข้อสรุปเดียว ‘ครั้งนี้ของจริง’ โดยระบุว่า วันที่ 1 สิงหาคม จะเป็นจุดเริ่มต้นของอัตราภาษีนำเข้าใหม่สำหรับทุกประเทศ และโอกาสที่จะชะลอในรอบนี้น้อยมาก

 

ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า เราจะได้เห็นตัวเลขภาษีนำเข้าครบทุกประเทศ ซึ่งจะมากำหนด New Trade Landscape หรือโครงสร้างการค้าโลกใหม่ ว่าใครมีแต้มต่อ ใครจะได้เปรียบ ใครจะแข่งขันได้ดี และใครจะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ ซึ่งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการค้าโลก ภาคส่งออก และภาคอุตสาหกรรมไทย และยังไม่นับรวมภาษีนำเข้าอื่นๆ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะพิจารณาเพิ่มเติมสำหรับกลุ่ม BRICS ในบางอุตสาหกรรมที่สำคัญในอนาคต

The post ดร.กอบศักดิ์เชื่อ ‘ทรัมป์’ ไม่ถอยขึ้นภาษีนำเข้า เหตุแรงกดดันลดฮวบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อย่าให้ภาษี ‘ทรัมป์’ เป็นจุดจบส่งออกไทย ‘เปิดทางรอด’ หาตลาดใหม่ ลดพึ่งพิงสหรัฐฯ https://thestandard.co/wealth-in-depth-trump-tariffs-thai-exports/ Thu, 10 Jul 2025 05:30:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1095093

สหรัฐฯ มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เนื่องจากเป็นค […]

The post อย่าให้ภาษี ‘ทรัมป์’ เป็นจุดจบส่งออกไทย ‘เปิดทางรอด’ หาตลาดใหม่ ลดพึ่งพิงสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>

สหรัฐฯ มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เนื่องจากเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยมีการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของการส่งออกทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่านั้น การส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงถึง 60% ของ GDP ซึ่งสะท้อนได้ว่า เศรษฐกิจไทย ‘พึ่งพา’ สหรัฐฯ เป็นอย่างมาก

 

โดยหลังจากเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่สหรัฐฯประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ครั้งใหม่ต่อไทยในอัตรา 36% ความปั่นป่วนและความไม่แน่นอนก็กระจายตัวขึ้นเป็นวงกว้าง รวมทั้งอาจสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งหอการค้าประเมินว่า ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจทำให้เศรษฐกิจไทยโตไม่ถึง 1% ในปีนี้

 

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเริ่มแนะนำให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการในไทยเริ่มหามองหาตลาดใหม่ทดแทนสหรัฐฯ

 

ดร.กอบศักดิ์ แนะไทยหาตลาดอื่น ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปธน.ทรัมป์

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะว่า ไทยควรเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เช่น อินเดีย จีน อาเซียน และกลุ่มตะวันออกกลางที่กำลังเติบโต เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังการกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สร้างความไม่แน่นอนทางการค้าให้แก่ประเทศคู่ค้าอย่างมาก

 

“ส่งออกไทยควรมองหาประเทศทางเลือกอื่นๆ (Alternative) เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์จะดำรงตำแหน่งไปอีก 3 ปีครึ่ง แม้วันนี้อาจจะ นิ่งๆ ใจดี แต่วันรุ่งขึ้นอาจจะไม่ใจดีอีกก็ได้ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรเอาชีวิตไปผูก” ดร.กอบศักดิ์กล่าว

 

เจ้าสัว CP เสนอไทยเข้าร่วม CPTPP

 

เมื่อเร็วๆ นี้ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) เสนอว่า ไทยควรเข้าร่วม CPTPP โดยทันที เพื่อรับประโยชน์จากความร่วมมือกับเศรษฐกิจอื่นๆ

 

“ประเทศไทยควรเข้าร่วมทันที ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่เข้าร่วม” ธนินท์กล่าวในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Nikkei Asia เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ระหว่างงาน Nikkei’s Future of Asia conference ในกรุงโตเกียว

 

ทั้งนี้ CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) เป็นข้อตกลงการค้าที่มีสมาชิก 12 ประเทศ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, เวียดนาม, ออสเตรเลีย และอีก 8 ประเทศ ขณะที่ จีนและอินโดนีเซียได้ยื่นสมัครเข้าร่วมแล้ว อย่างไรก็ตาม ไทยยังไม่ได้ดำเนินการ

 

โดย CPTPP นับเป็นข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement) หรือ FTA สมัยใหม่ ที่ข้อตกลงครอบคลุมมากกว่าด้านการค้า การลงทุน แต่ขยายขอบเขตไปถึงภาคบริการ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มีมาตรฐานสูงกว่า FTA ทั่วไป และครอบคลุมตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยให้ไทยสามารถขยายตลาดส่งออกสินค้าได้มากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรฐานที่สูงขึ้น กอปรกับการค้าที่เสรีมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการดำเนินการแพงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวดขึ้น และมีการแข่งขันที่สูงขึ้นได้

 

ดังนั้น ภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมได้อย่างครอบคลุม มีระยะเวลาปรับตัวให้กับภาคเอกชนอย่างเหมาะสม และบริหารกฎระเบียบในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้การเข้าร่วม CPTPP เป็นอุปสรรคต่อประเทศน้อยลง

 

กรุงไทยชี้สินค้าไทยมีศักยภาพในตลาด ‘อาเซียน’

 

ก่อนหน้านี้ Krungthai COMPASS ได้แนะว่า การขยายความร่วมมือทางการค้าภายในอาเซียนสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของทางสหรัฐฯ

 

พร้อมทั้งระบุว่า เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นตลาดที่ผู้ส่งออกไทยมีศักยภาพ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ และน้ำตาล ที่มีมูลค่าการส่งออกรวมกันกว่า 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

นอกจากนี้ หากไทยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ภายในภูมิภาค เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า และเพิ่มโอกาสด้านการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น

 

โดย Krungthai COMPASS ยังเปิดรายการกลุ่มสินค้ามีศักยภาพของไทย ในการขยายการส่งออกไปเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ดังนี้

 

  • เวียดนาม : ลวดทองแดง น้ำตาล รวมถึงน้ำมันปิโตรเลียม แผงควบคุม ยางพารา และแผ่นอะลูมิเนียม
  • มาเลเซีย : เนื้อสัตว์ รวมถึงเรือขุด เครื่องบิน แผงควบคุม และโทรศัพท์
  • อินโดนีเซีย : ข้าว และน้ำมันปิโตรเลียม

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะผู้ประกอบการ ‘หาตลาด’ ที่แข่งขันได้

 

เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ‘ไทยอาจลำบาก’ หากต้องเลิกพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ดังนั้น ถ้าอยากหาตลาดใหม่ ผู้ประกอบการไทยแต่ละรายจึงควรมองหาตลาดที่เหมาะกับสินค้า ตัวเองให้เจอว่าอยู่ในประเทศใดบ้าง หากต้องการกระจายความเสี่ยง

 

“จริงอยู่ที่ ไทยควรหาตลาดที่มีศักยภาพ อย่างไรก็ตาม ไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐฯ ไปก่อน โดยอาจทำควบคู่ไปกับการหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดที่ไทยยังครองส่วนแบ่งการตลาดค่อนข้างต่ำอยู่”

 

นอกจากนี้ “สินค้าแต่ละรายการมีปริมาณความต้องการในตลาดแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน หากผู้ประกอบการส่วนใหญ่พากันขยายตลาดไปที่เดียวกันหมด เป็นไปได้ว่าสินค้าบางรายการอาจไม่สามารถแข่งขันได้” เกวลินกล่าว

 

เกวลินแนะว่า รัฐบาลสามารถช่วยเหลือภาคธุรกิจหาตลาดใหม่ ผ่านการเร่งเจรจากับบางประเทศที่ไทยยังไม่มี FTA ได้ พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดงานอีเวนต์ประเภท Business Matching (ที่ดำเนินการอยู่แล้ว) ให้มีมากขึ้น

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่อยู่ในตลาดต่างประเทศมาบ้างแล้ว รับบทเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อจับกลุ่มกันเข้าถึงตลาดทางเลือกมากขึ้น

The post อย่าให้ภาษี ‘ทรัมป์’ เป็นจุดจบส่งออกไทย ‘เปิดทางรอด’ หาตลาดใหม่ ลดพึ่งพิงสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร. กอบศักดิ์ ชี้ทางรอดไทยจากภาษี ‘ทรัมป์’ 36% อาจต้องเดินตามทางเวียดนาม ยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ ให้ภาษี 0% แต่ต้องมีมาตรการเยียวยากลุ่มที่โดนกระทบ https://thestandard.co/thailand-us-tariff-talk/ Wed, 09 Jul 2025 00:47:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1094508 thailand-us-tariff-talk

หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศจะเก็บภา […]

The post ดร. กอบศักดิ์ ชี้ทางรอดไทยจากภาษี ‘ทรัมป์’ 36% อาจต้องเดินตามทางเวียดนาม ยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ ให้ภาษี 0% แต่ต้องมีมาตรการเยียวยากลุ่มที่โดนกระทบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-us-tariff-talk

หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีถึงผู้นำกว่า 12 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มนี้ที่ได้รับจดหมายดังกล่าว ไทยจะมีผลกระทบอย่างไร และมีทางเลือกหรือทางรอดอย่างมีอะไรบ้าง

 

ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะอ่อนแอและน่ากังวลใจ แม้ตัวเลขส่งออกในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาจะดูดีขึ้น โดยเดือนพฤษภาคม มีการเติบโตถึง 18% ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รายงานว่าเป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ เร่งตุนสต็อกสินค้าก่อนมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ จะเริ่มใช้ในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งหมายความว่า การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะไม่ดีเท่าครึ่งปีแรก เนื่องจากได้มีการเร่งซื้อสินค้าไปแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

 

นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยซึ่งเคยเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ กลับเติบโตเพียง 0.5% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สะท้อนปัญหาโรงงานปิดตัวและการย้ายฐานการผลิต ส่วนภาคการบริโภคก็ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนลดลงเหลือเพียง 2.6% เทียบกับ 6.9% ในปี 2566 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ตกต่ำต่อเนื่อง ขณะที่ตัวเลขยอดขายร้านอาหารและยอดรูดบัตรเครดิตในห้างสรรพสินค้าก็ลดลงเช่นกัน

 

อีกทั้งที่น่าเป็นห่วง คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเคยเป็นเครื่องยนต์สำคัญ กลับมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกทำได้เพียง 16.6 ล้านคน และเดือนมิถุนายนมีจำนวนลดลงถึง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

ส่วนการลงทุนโดยตรง (FDI) ยังคงเป็นความหวัง โดยในไตรมาส 1 ปีนี้ ยอดโครงการลงทุนเพิ่มขึ้น 20% และเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 97% ถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งหวังว่าจะสามารถเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้บ้าง แต่ด้วยสถานการณ์การเมืองที่ผันผวน ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้การขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐไม่เป็นไปตามเป้า

 

ตีความจดหมาย ‘ทรัมป์’ ไทยโดน 36% มีผลกระทบอย่างไร

 

จากการรวบรวมจดหมายกว่า 141 ฉบับที่ทรัมป์ส่งออกไป ตีความว่า โดยรวมแล้วทรัมป์ยังคงยืนยันที่จะเก็บภาษีตามที่เคยแจ้งไว้เกือบทั้งหมด ยกเว้นบางประเทศในกลุ่ม CLMV ที่มีการปรับลดภาษีเล็กน้อย แต่สำหรับประเทศไทยยังคงอัตรา 36% ไว้ตามเดิม ซึ่งส่งผลให้ไทยเสียเปรียบมาเลเซียถึง 11% และเวียดนามถึง 16% ที่ถูกเก็บ 20%

 

ดร. กอบศักดิ์ ย้ำว่า ความเป็นไปได้ยากที่ทรัมป์จะเปลี่ยนใจเรื่องการเก็บภาษีในรอบนี้ เนื่องจากตลาดทุนสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี S&P ทำ All Time High และปรับตัวรับข่าวภาษีได้ดีขึ้น ทำให้แรงกดดันจากภายในสหรัฐฯ ที่จะให้ทรัมป์เปลี่ยนใจมีน้อยมาก

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ก็มีเวลา 90 วันในการปรับตัวและสต็อกสินค้า ส่วนประชาชนก็ได้รับมาตรการลดภาษีจากนโยบาย One Big Beautiful Bill เข้ามาช่วยบรรเทาภาระ ทำให้แรงกดดันจากภายในสหรัฐฯ ที่จะให้ทรัมป์เปลี่ยนใจในนโยบายภาษีมีความเป็นไปได้น้อยลงมาก พร้อมทั้งยังเตือนว่า หากตลาดทุนสหรัฐฯ ยังคงรับข่าวสารได้ดี และมีการทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) อาจเป็นสัญญาณว่าทรัมป์จะใช้มาตรการภาษีเพิ่มเติมในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น การเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น เป็นรายประเทศ รายอุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งรายโรงงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ

 

คาดภาษี ‘ทรัมป์’ ทำรายได้เพิ่มให้สหรัฐฯ 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี

 

ขณะที่หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทรัมป์เดินหน้ามาตรการภาษีนี้ คือศักยภาพในการสร้างรายได้มหาศาลให้กับสหรัฐฯ

 

โดยการเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีแนวโน้มจะสูงถึงประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งหากคิดเป็นรายปีจะอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 10 ล้านล้านบาท ถือเป็นรายได้จำนวนมหาศาลนี้จะช่วยลดการขาดดุลทางการคลังของสหรัฐฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการลดภาษีให้กับประชาชนชาวอเมริกัน ภายใต้นโยบาย One Big Beautiful Bill อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าแม้ประชาชนจะต้องจ่ายค่าสินค้าแพงขึ้น แต่ก็มีเงินส่วนอื่นมาช่วยชดเชย ทำให้มาตรการภาษีนี้ได้รับการยอมรับจากภาคส่วนต่างๆ ในสหรัฐฯ มากขึ้น

 

ส่วนในกรณีที่หากการเจรจาของไทยไม่เป็นผล และไทยต้องแบกรับภาษี 36% ประเมินว่า สัดส่วนการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ อาจหายไปถึงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงประมาณ 10% ของการส่งออกทั้งหมด แม้ไทยจะเสียเปรียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม และอาจกระทบต่อ FDI ในอนาคต แต่ก็ชี้ว่าไทยควรเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เช่น อินเดีย จีน อาเซียน และกลุ่มตะวันออกกลางที่กำลังเติบโต เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ

 

หวั่นภาค SME-FDI กระทบหนัก

 

อีกทั้งยังความกังวลอย่างยิ่งต่อ SME ในประเทศ โดยยกตัวอย่างสินค้าเล็กๆ น้อยๆ เช่น กลุ่มสินค้าจาก Temu ของจีนที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ ซึ่งสหรัฐฯ คิดภาษีสูงถึง 54% หากผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อ SME ในประเทศที่ต้องเผชิญการแข่งขันด้านต้นทุน การที่สินค้าเหล่านี้ถูกเก็บภาษีแพงจะทำให้หาตลาดอื่นแทน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อ SME ไทยที่ผลิตสินค้าใกล้เคียงกัน

 

นอกจากนี้ ผลกระทบที่น่ากังวลที่สุดในระยะยาวคือ การลงทุนโดยตรง (FDI) ดร. กอบศักดิ์ ชี้ว่า หากประเทศไทยยังคงมีภาษี 36% ในขณะที่เวียดนามได้อัตรา 20% บริษัทต่างชาติที่กำลังพิจารณาการลงทุนในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ จะต้องคิดหนักมาก

 

เหตุผลคือ การตั้งฐานการผลิตในเวียดนามจะทำให้ต้นทุนภาษีถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัดถึง 16% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ส่งผลต่อกำไรและผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ บริษัทเหล่านั้นอาจตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนไปยังเวียดนามแทน การสูญเสียโอกาสในการดึงดูด FDI จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเศรษฐกิจไทยอย่างร้ายแรง เพราะ FDI เป็นปัจจัยสำคัญในการผลัดใบหรือสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ และฟื้นฟูภาคการผลิตของไทยที่กำลังชะลอตัวให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง หากผู้ลงทุนเลือกไปเวียดนามมากขึ้นเรื่อยๆ ไทยก็จะเสียโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว

 

มองไทยมีทางเลือกรับมือภาษีสหรัฐฯ ไม่มาก

 

ดร. กอบศักดิ์ ยังให้ความเห็นว่าประเทศไทยมีทางเลือกไม่มากนัก โดยมีดังนี้

 

  1. การยอมรับสภาพอัตราที่ 36%

 

  1. การกลับไปเจรจาเพื่อขออัตราภาษีที่ดีขึ้นที่อัตรา 25% เป็นจุดที่ภาคเอกชนไทยพอจะรับได้ หากแตกต่างกับคู่แข่งไม่เกิน 5% แต่หากต่างถึง 10-16% จะเป็นเรื่องยากและกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันอย่างมาก เ

 

3.เดินตามทางเวียดนาม เพราะประเด็นสำคัญคือการที่เวียดนามสามารถลดภาษีจาก 46% เหลือ 20% ได้ แสดงให้เห็นว่าการเจรจาเป็นไปได้ แต่ต้องแลกกับการที่เวียดนามเปิดให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดได้อย่างเต็มที่ หรือที่เรียกว่าภาษี 0% total access แต่คำถามคือ ประเทศไทยจะสามารถให้ข้อเสนอแบบเดียวกับเวียดนามได้หรือไม่ ซึ่งอาจต้องพิจารณาเปิดตลาดในบางภาคส่วนที่เราไม่ได้ผลิตเอง เช่น อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท หรือยานยนต์บางชนิด เพื่อแลกกับการได้ภาษีที่ลดลง

 

อาจจำเป็นต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐฯ ยอมให้ภาษี 0%

 

ในส่วนของสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ ยอมรับว่าสหรัฐฯ มีเป้าหมายในสินค้าเกษตรบางตัวที่ระบุไว้ในรายงานของ USTR (Office of the United States Trade Representative) เช่น ถั่วเหลืองและสินค้าปศุสัตว์บางชนิด ซึ่งอาจเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับประเทศไทย

 

อย่างไรก็ตามมีแนวคิดว่า หากประเทศไทยจำเป็นต้องเปิดตลาดให้สินค้าเกษตรและปศุสัตว์จากสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 0% จริง ๆ เพื่อแลกกับการได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีโดยรวม สิ่งที่สำคัญคือการพิจารณาว่า ‘อะไรคือสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้จริงๆ’ เช่น สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานสุขอนามัย หรือสินค้าที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรไทยโดยตรง

 

หากมีความจำเป็นต้องเปิดตลาดในบางส่วน มองว่า รัฐบาลควรเตรียมงบประมาณสำหรับมาตรการเยียวยา เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการปศุสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น การเยียวยาอาจอยู่ในรูปของการสนับสนุนให้ปรับตัว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หรือเปลี่ยนไปผลิตสินค้าอื่นที่ตลาดมีความต้องการ การเจรจาการค้าเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งอาจมีบางส่วนที่ต้องยอมเสียไป เพื่อให้ภาพรวมเศรษฐกิจเดินหน้าได้ และเมื่อเศรษฐกิจโดยรวมเติบโต ก็จะมีรายได้กลับมาเพื่อใช้ในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ

 

มองการเปิดแข่งขันช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้พัฒนาตัวเอง

 

ดร. กอบศักดิ์ ยังให้ความเห็นต่อการเปิดให้มีการแข่งขันอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป โดยยกตัวอย่างกรณีของจีนที่เคยปกป้องอุตสาหกรรม EV ของตนเอง แต่เมื่อเปิดให้ Tesla เข้ามาแข่งขัน กลับทำให้ผู้ผลิต EV ของจีนพัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การพิจารณาเปิดตลาดในบางสินค้าที่ไทยอาจไม่ได้มีความได้เปรียบในการผลิต หรือสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าอยู่แล้ว อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในประเทศด้วยการเข้าถึงสินค้าที่ราคาถูกลง ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อภาคส่วนที่อ่อนไหว

 

ข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลและการปรับตัวของภาคธุรกิจ

 

ดร. กอบศักดิ์ ย้ำว่า รัฐบาลไทยและทุกหน่วยงานควรเร่งรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลึก และควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการคลังและนโยบายการเงิน รวมถึงการพิจารณาเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังต้องรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชน

 

สำหรับภาคธุรกิจ แนะนำให้เร่งหาตลาดส่งออกอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่กำลังเติบโต เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และอาเซียน ซึ่งรัฐบาลสามารถสนับสนุนได้โดยการค้ำประกันการส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้ รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

 

นอกจากนี้ ยังเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการ SGP (Small and Medium Enterprises Government Procurement) หรือการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่กำหนดสัดส่วนการซื้อสินค้าจาก SME ในประเทศให้มากขึ้น อาจเพิ่มเป็น 50% เพื่อช่วยพยุงผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศจากผลกระทบของภาษีนำเข้าจากจีน และควรเพิ่มมาตรการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับ SME ด้วย

 

อย่างไรก็ดี ประเมินวิกฤตครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนครั้งก่อน และตลาดโลกจะยังคงเผชิญความผันผวนจากมาตรการของนโยบายของทรัมป์อย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ และพยายามเจรจาอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีที่สุด

The post ดร. กอบศักดิ์ ชี้ทางรอดไทยจากภาษี ‘ทรัมป์’ 36% อาจต้องเดินตามทางเวียดนาม ยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ ให้ภาษี 0% แต่ต้องมีมาตรการเยียวยากลุ่มที่โดนกระทบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เบื้องลึกสูตรภาษี ‘ทรัมป์’ 40-20-10-0 ที่ไทยและทั่วโลกอาจโดนเหมือนกับเวียดนาม ไทยต้องรับมืออย่างไร https://thestandard.co/trumps-40-20-10-0-tax/ Thu, 03 Jul 2025 06:48:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1092422

หลังจากมีรายงานข่าวว่าวานนี้ (2 กรกฎาคม) ประธานาธิบดีโด […]

The post เบื้องลึกสูตรภาษี ‘ทรัมป์’ 40-20-10-0 ที่ไทยและทั่วโลกอาจโดนเหมือนกับเวียดนาม ไทยต้องรับมืออย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลังจากมีรายงานข่าวว่าวานนี้ (2 กรกฎาคม) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับเวียดนาม กำหนดภาษีนำเข้า 20% และ 40% สำหรับสินค้า ‘ส่งผ่าน’ ขณะที่เวียดนามตกลงยกเลิกภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด

 

ล่าสุดวันนี้ (3 กรกฎาคม) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า นัยจากผลการเจรจาการค้าของการสหรัฐฯ กับเวียดนาม

 

ข้อสรุปล่าสุดสำหรับเวียดนามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศออกมาเมื่อคืน จะมีนัย ดังนี้

 

  1. จุดเปรียบเทียบที่ไทยต้องพยายามให้ได้ ไม่น้อยหน้า

 

  1. ต้นแบบและบรรทัดฐานให้กับทุกประเทศที่เหลือ

 

โดยข้อตกลงดังกล่าวมีตัวเลขอัตราภาษีสำคัญ 3 ตัวเลข อัตรา 0%, 20% และ 40%

 

โดยคิดอัตราภาษี 0% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ ที่จะส่งมาที่เวียดนาม ที่ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าไหนก็ตามที่ผลิตในสหรัฐฯ จะสามารถส่งมาที่เวียดนามโดยไม่โดนภาษีศุลกากร

 

เรื่องนี้ แม้ว่าจะยังไม่ได้มีการพูดถึงชัดๆ แต่คำว่า Total Access คงหมายรวมไปถึงว่า จะต้องไม่มี Non-tariff Barriers ต่างๆ ที่เวียดนามจะแอบทำด้วย ซึ่งสหรัฐฯ คงจะแจ้งไทย และคู่เจรจาคนอื่นๆ เช่นกันว่าสหรัฐฯ ต้องการอัตราภาษีที่ 0% และ Total Access ที่ไม่มีการกีดกันอื่นๆ สำหรับสินค้าสหรัฐฯ 20% สำหรับสินค้าเวียดนามทุกอย่างที่ส่งออกมาที่สหรัฐฯ

 

สำหรับตัวเลขนี้ก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะต่อไปจะเป็นต้นแบบให้กับประเทศต่างๆ ที่สหรัฐฯ ขาดดุลด้วย และเป็นจุดเปรียบเทียบสำคัญที่ไทย และประเทศอื่นในเอเชียต้องทำให้ได้ให้ดีกว่าเวียดนาม หรืออย่างน้อย ไม่น้อยหน้าเวียดนาม

 

ภาพ: ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)

 

เตือนหากไทยโดนสหรัฐฯ เก็บภาษีสูงกว่าเวียดนาม หวั่นเสียเปรียบคู่แข่ง

 

หากจะจบสูงกว่าตัวเลขนี้ ก็ต้องให้ได้ไม่เกิน 25% ไม่เช่นนั้น บริษัทส่งออกในไทยก็จะเสียเปรียบคู่แข่งรายสำคัญของบริษัทที่กำลังคิดว่าจะย้ายฐานมาที่ไทย ก็จะคิดหนักขึ้น ว่าไปเวียดนามดีกว่าไหม โดยอัตราภาษีที่ 40% สำหรับสินค้าจีน หรือประเทศอื่นๆ ที่จะแอบส่งมาให้เวียดนาม แล้วส่งต่อไปที่สหรัฐฯ

 

สำหรับอัตรานี้จะเป็นข้อเรียกร้องที่สหรัฐฯ ทำกับทุกประเทศที่เจรจาด้วย โดยเฉพาะประเทศในเอเชียที่เป็นจุดส่งผ่านสำคัญ รวมถึงกับไทยด้วย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักไก่ ไม่ให้มีช่องที่จะเอาสินค้าจีนเข้ามา แล้วส่งต่อไปสหรัฐฯ แบบ Transshipment เพื่อรับสิทธิภาษี 20% ของเวียดนาม ซึ่งการเตรียมการลักษณะนี้ มีนัยต่อไปว่าภาษีกับจีน ที่สหรัฐฯ มีอยู่ในใจ และจะคิดในท้ายที่สุด คงใกล้ๆ กับตัวเลขนี้

 

ทั้งนี้ หากลองกลับไปเปรียบเทียบกับกรณีอังกฤษ ที่ได้เจรจาเบื้องต้นไปเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ก็จะทำให้เห็นภาพชัดเจนอังกฤษยอมให้สหรัฐฯ ที่อัตรา 0% สำหรับสินค้าต่างๆ ที่สหรัฐฯ ส่งมา หมายความว่า สหรัฐฯ คงมีอยู่ในใจที่จะใช้อำนาจต่อรองจากขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ของตนเองในการเปิดประตูการค้าให้กับสหรัฐฯ เอง เพื่อนำไปสู่ Free Trade / Free Access สำหรับสินค้าสหรัฐฯ ในทุกประเทศทั่วโลก จะได้บอกบริษัทที่มาลงทุนที่สหรัฐฯ ว่า สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับยุโรป หรือประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ จะสามารถส่งไปประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างเสรี ไม่มีข้อจำกัด

 

ขณะเดียวกัน อังกฤษยอมให้สหรัฐฯ คิดภาษีนำเข้า 10% ตัวเลข 10% นี้ คงเป็นตัวเลขที่สหรัฐฯ มีในใจ สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ เกินดุลด้วย โดยเก็บอัตราภาษี 10% สำหรับประเทศเกินดุล และประมาณ 20% สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลด้วย คงจะกลายเป็น Benchmark ที่เป็นกรอบในการเจรจาของทีมสหรัฐฯ

 

เพราะตัวเลขนี้ จะช่วยสร้างรายได้ให้สหรัฐจากภาษีศุลกากรไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ในเดือนพฤษภาคม เก็บได้ประมาณ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์) ช่วยลดการขาดดุลการคลัง ช่วยในการลดภาษีของ One Big Beautiful Bill ที่กำลังจะออกมา ช่วยปรับสมดุลทางการค้าของสหรัฐ

 

นอกจากนี้ ช่วยสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติมให้กับบริษัทขยายการลงทุนในสหรัฐ เพื่อช่วยสร้างงานในประเทศ

 

ส่วนจีน คู่ต่อสู้สำคัญของสหรัฐ ที่กำลังทาบรัศมี ก็คงจะต้องจ่ายมากกว่าคนอื่น ๆ 10% จาก Reciprocal Tariffs 20% จากกรณีของ Fentanyl และ 25% เดิม รวมแล้วอย่างน้อย 55%

 

ทั้งนี้ สินค้าจีนที่แอบส่งมาผ่านประเทศที่ 3 ก็จะโดนตรวจเข้มและโดนภาษีอย่างน้อย 40% ซึ่งในจุดนี้ คงต้องปรับต่อไป เพราะว่าสินค้าขนาดเล็กของจีน (ราคาต่ำกว่า 800 ดอลลาร์) ที่ส่งไปสหรัฐ ขณะนี้โดนภาษี 54% ยังสูงกว่าการหลีกเลี่ยงผ่านประเทศที่ 3 ที่ตกลงกับเวียดนามล่าสุด

 

ทั้งหมด จะเป็นข้อสรุปในรอบแรกของสงครามการค้าโลก ที่จะนำไปสู่กรอบใหม่และสมดุลใหม่ในการค้าระหว่างประเทศ ขอเป็นกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ สามารถเจรจาให้ได้ผลที่ดีครับ

 

สูตรภาษี 40-20-10-0 จะเป็นมาตรฐานใหม่ กับประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ?

 

ดร.สันติธาร เสถียรไทย Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าได้ “ดีล” กับเวียดนามสำเร็จ โดยมีหัวใจสำคัญคือ:

 

  • อัตราภาษี 40% สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ มองว่าเป็น “Transshipping” — สินค้าจากประเทศอื่น (เช่น จีน) ที่เพียง “ผ่าน” เวียดนาม แล้วแปลงร่างเป็นสินค้าจากเวียดนามก่อนส่งไปสหรัฐ

 

  • อัตราภาษี 20% สำหรับสินค้านำเข้าทั่วไป

 

  • อัตราภาษี 10% สำหรับสินค้าที่ผลิตในเวียดนามแทบทั้งหมด

 

Zero Tariff อาจกลายเป็นต้นแบบของแนวทางใหม่ที่สหรัฐฯ

 

และเวียดนามจะเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ แบบ “ศูนย์ภาษี” (Zero Tariff) และศูนย์แบบไม่มีการกีดกันอื่นด้วย แม้จะเป็นข้อตกลงระหว่างสองประเทศ แต่จริง ๆ แล้วอาจกลายเป็นต้นแบบของแนวทางใหม่ที่สหรัฐฯ จะใช้ต่อประเทศที่ “เกินดุลการค้า” กับสหรัฐฯ ซึ่งไทยคือหนึ่งในนั้น

 

แต่รายละเอียดของดีลนี้ ยังไม่ชัดเจน และนั่นคือประเด็นสำคัญ

 

1. คำจำกัดความของ Transshipping มีผลชี้ขาด ถ้าภาษี 40% ใช้เฉพาะกับการ “เลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน” ผลกระทบอาจจำกัด แต่ถ้าขยายความหมายให้ครอบคลุมถึงสินค้าที่มี สัดส่วนชิ้นส่วนนำเข้าจากจีนหรือประเทศอื่นมาก แม้จะแปรรูปในเวียดนามจริง ผลกระทบจะขยายวงกว้าง

 

2. ภาษีอาจ “แปรผันตามสัดส่วนของชิ้นส่วนนำเข้า” รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ภาษีอาจขึ้นกับสัดส่วน foreign content

 

ถ้านำเข้าชิ้นส่วนมาก → เสียภาษีสูง (ราว 20%)

 

ถ้าผลิตในเวียดนามแทบทั้งหมด → อาจเสียแค่ 10%

 

3. ภาษีอาจลดลงในอนาคต สำหรับสินค้าบางประเภท

 

รายงานจาก Politico ชี้ว่า ทั้งสองประเทศยังอยู่ระหว่างการร่างข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ อาจลดภาษีให้กับสินค้านำเข้าหลายหมวด เช่น เทคโนโลยี รองเท้า สินค้าเกษตร ของเล่น

 

ภาพ: ดร.สันติธาร เสถียรไทย Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

 

ไทยควรแผนรับมืออย่างไร

 

หากเป็นจริง ภาษีเฉลี่ยที่เวียดนามต้องจ่ายอาจต่ำกว่าที่ประกาศไว้มาก

 

แล้วไทยควรถามตัวเองอะไรบ้าง

 

1. สูตร 40-20-10-0 จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ สำหรับประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ หรือไม่?

 

หากเวียดนามกลายเป็นต้นแบบ และสหรัฐฯ นำแนวทางนี้ไปใช้กับประเทศอื่น

 

ไทยต้องเตรียมพร้อมทั้งในแง่การเจรจาเชิงนโยบาย และการปรับตัวเชิงโครงสร้าง

 

2. หากไทยต้อง ‘เปิดหมด’ ให้สินค้าสหรัฐฯ แนวเดียวกับเวียดนาม ผลกระทบคืออะไร?

 

ไทยจึงมีมาตรการเยียวยาอุตสาหกรรมและผู้ถูกกระทบโดยเฉพาะคนตัวเล็กพอไหม

 

3. ระบบพิสูจน์ “แหล่งที่มา” ของสินค้าจากไทย เข้มแข็งพอหรือยัง?

 

ถ้าภาษีขึ้นกับสัดส่วนของชิ้นส่วนนำเข้า ประเทศที่ไม่มีระบบตรวจสอบที่เชื่อถือได้

 

อาจถูกตีความให้ต้องเสียภาษีสูงเกินจริง แม้จะไม่ได้ทำผิด

 

4. ถ้าไทยต้องดีลแบบเดียวกัน “ใครได้-ใครเสีย” และภาษีจะหนักหรือเบาแค่ไหน?

 

บางอุตสาหกรรมอาจได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ

 

ขณะเดียวกัน บางอุตสาหกรรมในประเทศอาจโดนสินค้านำเข้าแย่งตลาด

 

ส่วนภาษีที่ไทยจะเจอ จะขึ้นกับ 2 ปัจจัย:

 

  • ไทยเจรจาได้ดีแค่ไหน

 

  • โครงสร้าง supply chain ของเรามี foreign content และสินค้าปลอมตัวเป็นไทยมากแค่ไหน

 

5. ไทยพร้อมจะ “ยกเครื่องโครงสร้างการผลิต” เพื่อสร้างแต้มต่อหรือยัง?

 

สูตร 40-20-10-0 ไม่ใช่แค่ภาษี

 

แต่มันสะท้อนว่าโลกการค้าใหม่อาจจะให้รางวัลกับประเทศที่สร้างมูลค่าในประเทศได้จริง (มากยิ่งกว่าเดิม)จึงต้องเร่งลงทุนและปรับฐานการผลิตใหม่ ไม่ให้ตกขบวนของโลกยุคใหม่ข้อตกลงเวียดนาม–สหรัฐฯ ไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของแนวทางการค้าแบบใหม่

 

โดยขอเป็นกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ที่กำลังเจรจาครับ

The post เบื้องลึกสูตรภาษี ‘ทรัมป์’ 40-20-10-0 ที่ไทยและทั่วโลกอาจโดนเหมือนกับเวียดนาม ไทยต้องรับมืออย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาคารกรุงเทพ ตั้งเป้าก้าวเป็น Regional Bank ชั้นนำ รองรับอาเซียนขึ้นแท่นเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก https://thestandard.co/bangkok-bank-aims-for-top-regional-bank/ Wed, 02 Jul 2025 06:55:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1091880

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ตั้งเป้าก้าวเป็น ‘ธนาคารภูมิภาคชั้น […]

The post ธนาคารกรุงเทพ ตั้งเป้าก้าวเป็น Regional Bank ชั้นนำ รองรับอาเซียนขึ้นแท่นเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ตั้งเป้าก้าวเป็น ‘ธนาคารภูมิภาคชั้นนำ’ ของอาเซียน ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง Top 6 อย่าง OCBC Maybank UOB CIMB BBL และ DBS หวังรองรับการขยายตัวของอาเซียน ซึ่งคาดว่า จะเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่ 4 ของโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้าน ‘ชาติศิริ’ คงเป้าหมายการเติบโตของ BBL ปีนี้ เชื่อเศรษฐกิจไทยยังไปได้

 

ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงเทพจะพยายามขยายฐานะการเป็นธนาคารภูมิภาค (Regional Banking) ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับที่ธนาคารอื่นๆ ที่พยายามขยายสาขาตัวเองไป “ดังนั้น ขอให้เราสามารถทำของเราให้ดีให้ได้ก็พอ”

 

ชาติศิริ กล่าวอีกว่า หลังจากธนาคารกรุงเทพ (BBL) ได้เข้าซื้อกิจการธนาคารเพอร์มาตา (Permata) และได้ควบรวมธนาคารกรุงเทพ 3 สาขา ได้แก่ สาขาจาการ์ตา สาขาสุรายาบา และสาขาเมดาน เข้ากับธนาคารเพอร์มาตาในปี 2563 ธนาคารกรุงเทพได้สนับสนุนธนาคารเพอร์มาตาจัดตั้งหน่วยงานบริการที่ชื่อว่า ‘ฝ่ายพัฒนาและที่ปรึกษาธุรกิจระหว่างประเทศ’ (International Business Development and Advisory Directorate) เพื่อเป็นศูนย์การรองรับทั้งลูกค้าในเครือข่ายของธนาคารกรุงเทพ ในกลุ่มอาเซียน จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการเข้ามาลงทุนในอินโดนีเซีย และลูกค้าในอินโดนีเซียที่ต้องการไปลงทุนประเทศอื่นในภูมิภาค

 

“การประสานจุดแข็งด้านเครือข่ายของธนาคารกรุงเทพในระดับภูมิภาคเข้ากับความเชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่นของธนาคารเพอร์มาตา เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงอาเซียน (Connecting ASEAN) ของธนาคารกรุงเทพ ที่เป็นเหมือน เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ชาติศิริ กล่าว

 

ทั้งนี้ ในปี 2567 ธนาคารเพอร์มาตา ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ตราสัญลักษณ์บัวหลวง เพื่อสะท้อนความเป็นหนึ่งเดียวในมาตรฐานการบริการ ภายใต้แนวคิด “One Family One Team” ของธนาคารกรุงเทพ

 

“ในแต่ละปีธุรกิจของเพอร์มาตาก็ขยายตัวไปได้เรื่อยๆ อย่างดี และมี Contribution สำคัญให้กับธนาคารกรุงเทพ” ชาติศิริ กล่าว

 

 

อาเซียนจ่อก้าวเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลก ในอีก 5 ปี

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจอาเซียนใน 5 ปีจะเปลี่ยนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และจะกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลก ดังนั้น อีกเมทริกที่ธนาคารกรุงเทพมองอยู่เสมอคือ การเป็นธนาคารภูมิภาคนี้ (Regional Bank)

 

“ปัจจุบัน ในแง่ของขนาด ธนาคารกรุงเทพอยู่ประมาณอันดับ 6 ของภูมิภาค โดยใน 6 ธนาคารนี้รวมถึง OCBC Maybank UOB CIMB BBL และ DBS อย่างไรก็ตาม ในจำนวน 6 ธนาตารดังกล่าว หลายแห่งแทบไม่ปรากฎในไทยแล้ว เช่น OCBC และ DBS ดังนั้น ธนาคารที่มีสาขาครอบคลุมทั้งส่วนบนและส่วนล่างของอาเซียน เพื่อรองรับการก้าวขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลกก็ต้องเป็นธนาคารกรุงเทพ” ดร.กอบศักดิ์กล่าว พร้อมย้ำอีกว่า “ผมคิดว่า ธนาคารกรุงเทพจะเป็นหนึ่งใน Top 3 ของภูมิภาคอย่างแท้จริงได้”

 

ทั้งนี้ อาเซียน ที่มีทั้งส่วนบน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และส่วนครึ่งล่าง ซึ่งมีอินโดนีเซียเป็นหัวใจที่สำคัญ

 

ดร.กอบศักดิ์กล่าว กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่า สินเชื่อแบงก์ไทยอื่นไม่ค่อยโต แต่แบงก์กรุงเทพฯ สินเชื่อยังโตอยู่ ส่วนนึงก็มาจากการขยายตัวของสินเชื่อในอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับกำไรของแบงก์กรุงเทพที่สูงขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจาก Permata หลายพันล้าน

 

“ดังนั้น ธนาคารกรุงเทพ ในอนาคตจะมี 2 ขา ในวันที่เมืองไทยโตไม่ได้ เราก็ไม่ตื่นเต้นเพราะเราสามารถทำธุรกิจในอีกประเทศ (อินโดนีเซีย) โตได้ดี”

 

โดย ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารเพอร์มาตา มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปี 2566 และธนาคารเพอร์มาตามีสัดส่วนสินเชื่อประมาณ 12% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดของธนาคารกรุงเทพ

 

โดยตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการในปี 2563 สัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศต่อสินเชื่อรวมของธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 25% (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2567) ส่งผลให้ปัจจุบันธนาคารเพอร์มาตาเป็น 1 ใน 10 ของธนาคารที่มีสินทรัพย์รวมใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย มีเครือข่ายสาขาให้บริการ 240 สาขา กระจายอยู่ใน 82 เมืองสำคัญทั่วประเทศ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้ากว่า 6.2 ล้านราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568)

 

 

Retail Banking นอกไทยแห่งแรกของ BBL

 

ดร.กอบศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ธนาคารเพอร์มาตา เป็นการทำธุรกิจธนาคารลูกค้ารายย่อย (Retail banking) นอกประเทศไทยครั้งแรกของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธนาคารกรุงเทพ

 

“International Banking ที่ธนาคารกรุงเทพทำก่อนหน้านี้ เป็นสาขาเล็กๆ ไม่มีเงินฝาก ทำให้แข่งขันยาก การไปแข่งด้านสินเชื่อ ก็ต้องตัดราคา ทำให้ Margin แคบ แต่การมี Permata ซึ่งเป็น Retail Banking แรกของธนาคารกรุงเทพที่อยู่นอกประเทศไทยก็สามารถทำให้เข้าถึงเงินฝาก ที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้สามารถแข่งขันได้”

 

‘ชาติศิริ’ เชื่อ เศรษฐกิจไทยยังไปต่อได้

 

ชาติศิริ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะเมื่อสัญญาณต่างๆ เห็นได้ชัดเจนขึ้น แนวโน้มการลงทุนต่างๆ ก็จะมีมากขึ้น แล้วประเทศไทยก็เป็นประเทศที่สงบและมีเสถียรภาพ จึงน่าจะได้ประโยชน์

 

โดยธนาคารกรุงเทพยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีนี้ไว้ที่ระดับ 3-4% โดยการเติบโตนี้ส่วนหนึ่งมาจากภาคธุรกิจ (Corporate Banking) ลูกค้ารายกลางและรายย่อย ลูกค้าบุคคล และลูกค้าจากธุรกิจต่างประเทศ

 

“ตัวเลขนี้เป็นเป้าหมาย (Target) ซึ่งก็แน่นอนไม่ใช่ของง่าย แต่ก็เราก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง”

 

นอกจากนี้ ชาติศิริ ยังระบุว่า การทำธุรกิจแบงก์ปีนี้มีความท้าทาย แต่ก็มีโอกาสในด้านต่างๆ เช่นเดียวกัน โดยความน่ากังวลคือ ความผันผวน ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเจรจาระหว่างประเทศต่างๆ

The post ธนาคารกรุงเทพ ตั้งเป้าก้าวเป็น Regional Bank ชั้นนำ รองรับอาเซียนขึ้นแท่นเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร.กอบศักดิ์มอง การเมืองไม่นิ่งอาจกระทบการขับเคลื่อนนโยบายรัฐ แบงก์กรุงเทพหั่นคาดการณ์ GDP ไทย แย่สุดเหลือ 1.5% https://thestandard.co/thai-economy-risk-2025/ Mon, 30 Jun 2025 06:01:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1090993 thai-economy-risk-2025

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุก […]

The post ดร.กอบศักดิ์มอง การเมืองไม่นิ่งอาจกระทบการขับเคลื่อนนโยบายรัฐ แบงก์กรุงเทพหั่นคาดการณ์ GDP ไทย แย่สุดเหลือ 1.5% appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-economy-risk-2025

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ลงจากเมื่อต้นปีที่เคยคาดว่า GDP ไทยปีนี้จะโตได้ราว 3% มาอยู่ที่ 2% ท่ามกลางความเสี่ยงขาลงต่างๆ (Downside) ​เหตุภาคส่งออก ท่องเที่ยว และความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจทำให้แรงส่งจากนโยบายภาครัฐลดลง โดยในกรณีเลวร้ายกว่า (Worse Case) GDP ไทยอาจโตเพียง 1.5% เท่านั้น

 

“ส่งออกก็ไม่ค่อยดีอย่างที่คิดไว้ ขณะเดียวกันท่องเที่ยวก็มีแรงต้านเยอะ นอกจากนี้ ต้องพูดความจริงว่า ปัญหาการเมืองอาจจะทำให้ความกระฉับกระเฉงในการขับเคลื่อนนโยบายลดลงไป จากแต่ก่อน วันที่การเมืองนิ่งจะคิดนโยบายอะไรก็ได้ แต่พอการเมืองไม่นิ่ง ทุกคนก็มองซ้ายมองขวา ข้าราชการเองก็รับลูกน้อยลงทำให้การขับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ง่ายอย่างที่เคยเป็น ทำให้แรงส่งจากนโยบายภาครัฐอาจจะไม่มีประสิทธิภาพ (Effective) อย่างที่เราคิดไว้” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว

 

พร้อมระบุอีกว่า “จากประสบการณ์ การเมืองไปได้หลายทางก็รอดูก่อน ขณะนี้เราไม่รู้หรอกว่า การเมืองจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าเกิดเราจะประมาณการเศรษฐกิจบนพื้นฐานว่า เรามองว่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ก็แสดงว่า เราแทงหวยแล้วว่า การเมืองจะจบยังไง ผมจึงคิดว่า มันเร็วเกินไปที่จะฟันธง”

 

โดย ดร.กอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาคส่งออก แม้ต้นปีจะดูดี แต่มีความไม่แน่นอนสูงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการหลั่งไหลเข้ามาของสินค้าจีนก็เป็นความท้าทาย

 

“ภาคส่งออกช่วงต้นปีมีการเร่งซื้อ เพราะว่า กลัวว่าปลายปี ไม่รู้ว่า ภาษีจะอยู่เท่าไหร่ อเมริกาตอนปกติอาจจะสต๊อกสัก 3 เดือน แต่ตอนนี้อาจจะสต๊อกถึงคริสต์มาสไปแล้วด้วยก็ได้ เพราะฉะนั้น ครึ่งหลังของปีก็อาจจะไม่ซื้อ (สินค้าไทย) เหมือนเดิม หมายความว่า ครึ่งหลังของปีนี้ แรงส่งมาจากส่งออกก็จะหายไป”

 

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวแย่กว่าที่คิดไว้อย่างมาก ท่ามกลางภาวะที่การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศไทยชะลอตัว เห็นได้จากยอดขายร้านสะดวกซื้อ ยอดรูดบัตรเครดิต ภาวะที่ร้านอาหารปิดตัวลง และโรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมขาลง (Sunset) มีอัตราปิดกิจการสูง

 

“ตัวท่องเที่ยว เรามีสมมติฐานว่า นักท่องเที่ยวจะลืม (ข่าวลบ) ภายใน 4 เดือน ปกติทุกครั้งเมื่อเกิดสึนามิ ไข้หวัดนก เผาเมือง ประท้วง ปฏิวัติต่างๆ ภายใน 4 เดือน เขาจะกลับมาใหม่เหมือนกับไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ว่าครั้งนี้ 5 เดือนแล้ว บังเอิญมีหลายเรื่อง ตั้งแต่กรณีลักพาตัวดาราจีน (ซิงซิง) แล้วแผ่นดินไหวอีก”

 

ประเมินแนวโน้มนโยบายภาษีสหรัฐฯ

 

ดร.กอบศักดิ์ ประเมินว่า ภายใน 1 เดือน สหรัฐฯ น่าจะประกาศตัวเลขอัตราภาษีศุลกากรสำหรับแต่ละประเทศรวมถึงไทยออกมาก เนื่องจากหลายประเทศไม่น่าจะเจรจาได้ทัน โดยสิ่งสำคัญสำหรับอัตราภาษีาสำหรับไทยคือ ต้องรอดูว่าจะได้อัตราสูงหรือต่ำกว่าคู่แข่ง

 

“ผมคิดว่าภายใน 1 เดือน (สหรัฐฯ) จะเฉลยแล้ว เพราะเขารู้แล้วว่าเขาเจรจาไม่ทัน พอเจรจาไม่ทัน เขาก็จะแจกตัวเลข แล้วไทยก็จะรู้ว่าเราอยู่ระดับไหน แล้วหลังจากเราก็จะประมาณการได้ถูกว่าปลายปีส่งออกจะดีหรือไม่ดี ถ้าเราได้ต่ำพอสมควร หรือต่ำกว่าเพื่อนคู่แข่ง เราก็จะไปได้”

 

“ถ้าเกิดสหรัฐฯ กำหนดภาษีไทย 15-20% ถือว่าใช้ได้ ส่วน 0% ไม่เป็นไปไม่ได้รอบนี้ 10% ถือว่าหรูที่สุดแล้ว แล้วถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่า สินค้าไทยก็จะได้เปรียบสินค้าจีนปลายปีก็อาจจะดีก็ได้” ดร.กอบศักดิ์ ระบุ

 

เปิดข้อเสนอและแนวทางสำหรับเศรษฐกิจไทย

 

ในสถานการณ์ที่ผันผวน ทั้งจากสถานการณ์โลกและการเมืองภายในประเทศ ดร.กอบศักดิ์ แนะว่า สำหรับภาคการท่องเที่ยวควรให้ ททท. ทำโปรโมชั่นที่ดีขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะมีศักยภาพในการเติบโตสูง

 

ส่วนภาคการส่งออก รัฐบาลควรเร่งเจรจาทางการค้าเพื่อหาตลาดใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ตลาดอเมริกาเพียงอย่างเดียว และควรพยายามเจรจาเพื่อได้ข้อตกลงที่ดีกว่าคู่แข่ง

 

“ส่งออกควรไปหาประเทศทางเลือก (Alternative) เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์จะอยู่ไปอีก 3 ปีครึ่ง แม้วันนี้อาจจะนิ่งๆ ใจดี แต่เดี๋ยววันรุ่งขึ้นอาจจะใจไม่ดีอีกก็ได้ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรเอาชีวิตไปผูก”

 

นอกจากนี้ ในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ควรเร่งรัดการอนุมัติและให้ Incentive เพื่อดึงดูดการลงทุนให้เกิดขึ้นจริงโดยเร็วที่สุด อาเซียนกำลังเป็นที่สนใจมากขึ้นเมื่อประเทศอื่นๆ มีความขัดแย้ง

 

รวมทั้งควรพิจารณาดึงดูดชาวต่างชาติให้มาลงทุนและตั้งฐานการดำเนินงานในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะ Start Up จากอินโดนีเซีย หรือผู้ที่ต้องการย้ายฐานจากตะวันออกกลางและยุโรป เนื่องจากไทยเป็นเป้าหมายที่ดี

The post ดร.กอบศักดิ์มอง การเมืองไม่นิ่งอาจกระทบการขับเคลื่อนนโยบายรัฐ แบงก์กรุงเทพหั่นคาดการณ์ GDP ไทย แย่สุดเหลือ 1.5% appeared first on THE STANDARD.

]]>