สื่อหลายสำนักรวมถึงกลุ่มไทยไม่ทน รายงานตรงกันก่อนหน้านี้ว่า วันนี้ (13 ตุลาคม)  จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และแกนนำกลุ่มไทยไม่ทน จะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หลังได้รับพระราชทานอภัยโทยในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยจตุพรเข้ารับการอบรมโครงการโคกหนองนาโมเดลครบ 14 วันแล้ว 

สำหรับจตุพร ได้รับโทษหลังถูกศาลฎีกาพิพากษาว่ามีความผิดในคดีหมิ่นประมาท อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้จำคุก 12 เดือนโดยไม่รอลงอาญา  

ขณะเดียวกัน จตุพรกับพวกรวมสองคน เพิ่งถูกฟ้องข้อหาบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ ที่ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี พักอาศัย โดยคดีดังกล่าว แกนนำ นปช. คนอื่นๆ ได้รับโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน จนพ้นโทษกันครบไปก่อนหน้านี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 และ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ทนายความของจตุพรได้ยื่นขอประกันตัวคดีบุกบ้าน พล.อ. เปรม แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า ข้อกล่าวหาในคดีนี้เป็นข้อหาร้ายแรง มีอัตราโทษสูง ประกอบกับจตุพร จำเลยที่ 1 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีอื่นมาแล้ว หากให้ปล่อยชั่วคราวไป อาจหลบหนีได้ ทั้งจำเลยที่ 1 ถูกจำคุกในคดีอื่นอยู่ในขณะนี้ การปล่อยชั่วคราวในคดีนี้จึงย่อมไม่เป็นประโยชน์ จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ให้ยกคำร้อง

ล่าสุดเมื่อเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทนายความของจตุพรได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง หากศาลยกคำร้องอีก จตุพรก็จะไม่ได้รับการปล่อยตัว เพราะยังต้องถูกคุมขังในคดีที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณาต่อไป

ด้าน ไทกร พลสุวรรณ และ ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน ที่มารอรับจตุพรเปิดเผยว่า ยังต้องรอฟังคำสั่งปล่อยตัวจากศาล ซึ่งก็มีความหวังลึกๆ ว่าศาลจะเมตตาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ซึ่งตนเองและมวลชนที่มาให้กำลังใจก็จะรอฟังผลว่าจะออกมาเป็นเช่นไร

สำหรับคดีบุกบ้าน พล.อ. เปรม เดิมจตุพรได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว แต่เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2564 ศาลฎีกามีคำสั่งให้นับโทษจตุพร ในคดีที่ถูกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ฟ้องในความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 กรณีกล่าวหาอภิสิทธิ์ ประวิงเวลาในการทำความเห็นเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560 ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ให้จำคุกจตุพร 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้นับโทษคดีจำคุกจตุพรต่อจากคดีอาญากรณีกล่าวหาเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน ทำให้จตุพรต้องถูกคุมขังตามคำพิพากษาศาลฎีกา

ส่วนบรรยากาศที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีมวลชนที่มารอรับจตุพร รวมทั้งญาติผู้ต้องขังรายอื่นมารอรับผู้ต้องขังกลับบ้านกันอย่างคึกคัก 

ขณะที่เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาชี้แจงว่า ในส่วนของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร วันนี้มีการปล่อยตัวผู้ต้องขังทั้งหมด 94 คน มีตำรวจมาอายัดตัวไปดำเนินคดีต่อ 11 คน เป็นคนไทย 3 คน และชาวต่างชาติ 8 คน ซึ่งก่อนการปล่อยตัวจะมีการตรวจ ATK ผลเป็นลบจึงจะปล่อยตัวออกมา พร้อมกับแนะนำว่า ผู้ต้องหาที่ได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ ต้องกักตัว 14 วัน ก่อนออกไปใช้ชีวิตตามปกติ

The post แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน ลุ้น ‘จตุพร’ ได้ปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หรือไม่ หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ยังติดปัญหาคดีบ้านสี่เสา appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (6 กันยายน) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ลุมพินี นพ.ทศพร เสรีรักษ์ พร้อมกลุ่มไทยไม่ทน และกลุ่มการ์ด WeVo รวม 7 คน เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ในข้อหาร่วมกันจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คน เสี่ยงในการติดต่อสัมผัสกันที่สามารถแพร่โรคได้, ร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร จากกรณีจัดการชุมนุมที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้มีผู้ที่ถูกออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด 9 คน ประกอบด้วย

1. ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
2. นพ.ทศพร เสรีรักษ์
3. วีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล
4. ณัฐพงศ์ คำจันทร์
5. อภิวัชร์ สุขแสวง
6. ทีระพันธ์ บุรณวรรค์
7. เงินตรา คำแสน
8. ชลธิชา ปราชญานุสรณ์
9. ต่อพงษ์ ดรุณพงษ์

แต่มีผู้เดินทางมาทั้งหมด 7 คน ส่วนอีก 2 คน คือ ณัฐวุฒิและเงินตรา ได้ติดต่อขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนออกไปก่อน

ทั้งนี้ หลังจากทั้ง 7 คน เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวแล้ว ทางพนักงานสอบสวนจะปล่อยตัวกลับ เนื่องจากเป็นการเข้าแสดงตัวตามหมายเรียก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวน นพ.ทศพร ได้นำ ฐนกร ผ่านพินิจ อายุ 46 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ซึ่งได้รับบาดเจ็บถูกกระสุนยางยิงเข้าบริเวณตาทั้งสองข้าง และเยาวชน อายุ 13 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ยิงกระสุนยางใส่ได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผล 8 แห่งตามร่างกาย มาพบกับสื่อมวลชนเพื่อเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ฐนกรกล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ระหว่างที่ตนกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อกลับบ้าน ได้ผ่านบริเวณแยกดินแดงที่จะเลี้ยวไปถนนพระราม 9 ซึ่งมีการชุมนุมอยู่ ตนจึงหยุดดูสถานการณ์ ยืนยันไม่ได้มาร่วมชุมนุมและไม่เคยเข้าร่วม ขณะที่ตนหยุดดูอยู่นั้นก็มีเจ้าหน้าที่ยิงกระสุนยางมา ทำให้นักข่าวและผู้ชุมนุมวิ่งหนีกันหมด ส่วนตนหลบอยู่ข้างเสาไฟฟ้า โดนยิงเข้าที่ตาขวาเฉียดไปตาซ้าย หลังเกิดเหตุตนได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพทย์บอกว่าตาขวาฉีกขาด ตาซ้ายเลนส์เคลื่อน รักษาตัวอยู่ 15 วัน ก่อนได้กลับบ้าน 

ส่วนอาการตอนนี้ยังปวดตาข้างขวาอยู่ ตาข้างซ้ายเริ่มหายปวด โดยตาทั้งสองข้างมองเห็นเพียงลางๆ ไม่สามารถระบุใบหน้าคนได้ การรักษาหลังจากนี้ แพทย์แจ้งว่าต้องรอให้เลนส์ตาซ้ายหายบวมก่อนจึงจะทำการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ ส่วนตาขวาจะทยอยทำการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะอาการดีขึ้น ทั้งนี้ ตนเตรียมที่จะปรึกษาทนายความในเรื่องดำเนินคดีกับผู้ที่ยิงกระสุนยางใส่ตน เบื้องต้นยังไม่มีการแจ้งความวันนี้ เพราะต้องการรักษาดวงตาก่อน

ด้าน พเนศ ปานะจำนงค์ อายุ 38 ปี บิดาของเยาวชนอายุ 13 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ คฝ. ยิงกระสุนยางใส่รวมกว่า 8 นัด เล่าว่า ทราบเรื่องเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 สิงหาคม จากเพื่อนของลูกที่เดินทางไปสังเกตการณ์การชุมนุมที่แยกดินแดง ซึ่งช่วงหลังจากที่มีการสลายการชุมนุมก็มีการถอยร่นออกจากพื้นที่ ในวันนั้น ลูกชายตนได้ขี่จักรยานยนต์ไปกับแฟน พอไปถึงใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้ถูกกลุ่มเจ้าหน้า คฝ. ถีบรถจักรยานยนต์คว่ำ ก่อนจะกระหน่ำยิงด้วยกระสุนยางรวม 8 นัด ทำให้ได้รับบาดเจ็บบริเวณแขน ด้านหลัง ขา และลำตัว มีบาดแผลรวม 8 จุด ถูกส่งรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยในใบแสดงความเห็นแพทย์ระบุว่า ลูกชายถูกกระสุนยางยิงหลายแห่ง เช่น บาดแผลกระสุนบริเวณหลัง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ต้นแขนขวามีบาดแผลฉีกขาด บาดแผลถลอกต้นขาขวา และแผลถลอกบริเวณท้อง ตนรู้สึกเสียใจกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุทั้งที่ลูกชายของตนอายุเพียง 13 ปี ยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับทางเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงกับลูกชาย

The post หมอทศพร นำคนเจ็บ 2 ราย ถูก คฝ. ยิงกระสุนยางเฉียดตา อีกรายเจอกระหน่ำยิง เปิดใจสื่อ ขอดำเนินคดีถึงที่สุด ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (3 สิงหาคม) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กลุ่มไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดย พงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุหลังยุติกิจกรรมคาร์ม็อบ เมื่อ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมี พ.ต.อ. กมลเดช อนุกูล รองผู้บังคับการกองสวัสดิการ (ผบก.สก.) นายตำรวจเวรอำนวยการ เป็นผู้รับหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอนต่อไป

จากนั้นพงศ์พิเชษฐ์ได้อ่านแถลงการณ์ของกลุ่มไทยไม่ทน ระบุว่า จากกิจกรรม #CarMob เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ซึ่งเครือข่ายประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศออกมาจัดกิจกรรมขับไล่รัฐบาล รวมถึงในกรุงเทพมหานคร ถนนวิภาวดีรังสิต แนวร่วมคาร์ม็อบ #สมบัติทัวร์ รวมถึง #ไทยไม่ทน และอีกหลายกลุ่มก็ได้ออกมาทำกิจกรรมเช่นกัน โดยรูปแบบกิจกรรมเป็นไปด้วยความสันติ อหิงสา และปลอดภัยจากโรคติดต่อ แม้จะมีเหตุติดขัดบ้างช่วงบริเวณหน้ากรมทหารราบที่ 1 ซึ่งมีการนำตู้คอนเทนเนอร์และลวดหนามหีบเพลงมากั้นไว้อย่างมิดชิดอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงจุดอ่อนของถนนช่วงดังกล่าวที่เป็นคอขวดทำให้เกิดการจราจรติดขัด แต่ก็ไม่มีเหตุกระทบกระทั่งใดตามรูปแบบกิจกรรมที่ทางผู้จัดคิดไว้ จนกระทั่งใกล้เวลานัดหมายสิ้นสุดกิจกรรม 16.00 น. เริ่มมีการนำเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนเข้าพื้นที่ด้วยชุดเครื่องแบบเต็มยศ อุปกรณ์ครบมือ บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแผนการของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ในขณะที่ประชาชนไม่กี่คน มือเปล่า ทำได้เพียงโยนสิ่งของรอบกายที่พอหาได้และตะโกนด่าทอ ในฐานะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ สิ่งที่ควรทำคือ ปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสันติสุขปลอดภัย 

ด้าน เจ๋ง ดอกจิก กล่าวว่า กลุ่มไทยไม่ทนเป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศที่ไม่เคยเป็นศัตรูกับตำรวจ เห็นว่าตำรวจต้องอยู่เคียงข้างประชาชน เพราะประชาชนจ่ายเงินเดือนให้ตำรวจ การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทุกวันนี้ทำตัวเหมือนเป็นศัตรูกับประชาชน แต่รักษาอำนาจให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี การหันกระบอกปืนมายิงใส่ประชาชนต้องใช้หลายร้อย หลายล้านกระบอก แต่ถ้าหันไปยิงใส่ พล.อ. ประยุทธ์ สามารถใช้กระบอกเดียวเท่านั้น วันนี้คณะไทยไม่ทนมาร้องขอขอตำรวจว่าอย่าเป็นศัตรูกับประชาชนอีกเลย เพราะเขาออกมาไล่ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น ท่านไม่ควรไปรักษาอำนาจให้ พล.อ. ประยุทธ์ ที่อยู่มา 7 ปี แต่ไร้ค่า ไร้ประสิทธิภาพ ประชาชนจึงต้องออกมาไล่อย่างสันติ อหิงสา รวมทั้งเรียกร้องให้ตำรวจยุติการใช้ความรุนแรงทุกกรณี เลิกใช้กระสุนยาง แก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำแรงดันสูง และมาอยู่เคียงข้างประชาชน

The post ไทยไม่ทน ยื่นหนังสือ ผบ.ตร. ชี้ตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุหลังยุติกิจกรรมคาร์ม็อบ ขอยืนเคียงข้างประชาชน appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (14 กรกฎาคม) กลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ได้เดินทางมาทำกิจกรรมหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตน์ พร้อมอ่านแถลงการณ์คณะไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ฉบับที่ 3 พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า

จากสถานการณ์ภัยพิบัติ การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ตอกย้ำความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ที่ดีแต่รักษาอำนาจ รักษาผลประโยชน์พวกพ้อง และนายทุน โดยที่ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนแม้แต่น้อย จนประชาชนตั้งสมญานามว่า รัฐบาลฆาตกร ทางคณะไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย รู้สึกเสียดายพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องติดร่างแห ต่อไปประชาชนจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฆาตกรเช่นเดียวกัน 

ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำการผิดพลาดอย่างมหันต์ ตระบัดสัตย์ต่อประชาชน โดยการเลือก พล.อ. ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ขัดต่อที่ประกาศไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้แก้ไขความผิดพลาดและเรียกศรัทธาจากประชาชนคืนมา โดยการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลฆาตกร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยทันที อันเป็นความต้องการสูงสุดของประชาชนทั้งประเทศ จะเป็นการช่วยชีวิตประชาชนได้อีกจำนวนมาก

The post ไทยไม่ทน บุกประชาธิปัตย์ จี้ถอนตัวพรรคร่วมก่อนจะติดร่างแห ชี้เป็นโอกาสที่พรรคจะเรียกศรัทธาคืนจากประชาชน appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (13 กรกฎาคม) ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล คณะไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย นำโดย ไทกร พลสุวรรณ เลขาธิการขบวนการอีสานกู้ชาติ และ ณัทพัช อัคฮาด ญาติวีรชนพฤษภา 53 จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ และยื่นหนังสือต่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นการยื่นหนังสือผ่านสแตนดี้ พล.อ. ประยุทธ์ ที่เตรียมมา ไม่ได้ยื่นผ่านเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลแต่อยากได้

ไทกรอ่านแถลงการณ์ระบุถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด จนได้ฉายาว่าเป็น ‘รัฐบาลฆาตกร’ ทั้งใช้กฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนและสื่อมวลชน ตลอดจนใช้วาทกรรมเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศล็อกดาวน์ ที่ไม่ล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อหลบเลี่ยงการเยียวยาประชาชน 

คณะไทยไม่ทนเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติม ประกอบด้วย 

1. พักชำระหนี้รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจนกว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น หรือจนกว่าจะยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

2. งดเก็บค่าสาธารณูปโภคค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า สำหรับบ้านเรือนอยู่อาศัยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

3. พักหรือชะลอการดำเนินคดีกับการชำระหนี้ต่างๆ ชั่วคราว และช่วยประชาชนไกล่เกลี่ยหนี้สิน

4. จ่ายเงินเยียวยาประชาชนให้ทั่วถึง เท่าเทียม ยุติการเยียวยาแบบชิงโชค

5. เปิดเสรีการนำเข้าวัคซีนและอุปกรณ์การตรวจโควิดเบื้องต้น หยุดผูกขาดเพียงบางยี่ห้อ

6. ออกมาตรการงดภาษีนำเข้าวัคซีนและชุดตรวจโควิดเบื้องต้น

ขณะที่ในวันพรุ่งนี้ (14 กรกฎาคม) ในเวลา 13.00 น. คณะไทยไม่ทน จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งถามถึงเหตุผลที่ยังดื้อดึงอยู่ในรัฐบาลฆาตกรนี้อยู่อีก เนื่องจากล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและจัดการปัญหาโควิดทำให้ประชาชนเสียชีวิตรายวัน

The post ไทยไม่ทนบุกทำเนียบ ตั้งสแตนดี้ประยุทธ์ ยื่นหนังสือเร่งดูแลประชาชน 6 ข้อ จ่อบุก ปชป. ให้ถอนตัวพรรคร่วมรัฐบาล appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (11 กรกฎาคม) กลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย และกลุ่มเครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย นำโดย กุ๊ก-นันทพงศ์ ปานมาศ, ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก, ไทกร พลสุวรรณ, จอมพล รุ่งเรืองชูเลิศ จัดชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งการชุมนุมในวันนี้ไม่ได้มีการเดินขบวนจากแยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นการจัดชุมนุมตั้งแต่ถนนหน้าโรงเรียนราชวินิต มัธยม เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ใกล้กับทำเนียบรัฐบาล

ในวันนี้มีมวลชนทยอยกันมาเข้าร่วมประมาณ 100 คน ซึ่งไม่มากเหมือนครั้งที่ผ่านมา โดยมีแกนนำอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และการ์ดอาสาเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุม โดยผู้ชุมนุมใช้พื้นที่ถนนพิษณุโลก ปิดถนนตั้งแต่แยกพาณิชยการถึงแยกนางเลิ้งเป็นสถานที่จัดกิจกรรม

ไทกรเปิดเผยว่า วันนี้มีการจัดชุมนุมขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ ถึงแม้ว่าวันนี้ไม่มี จตุพร พรหมพันธุ์ แต่ทางกลุ่มไทยไม่ทนเป็นองค์กรแนวร่วมที่รวมกันทุกภาคส่วน โดยมีภารกิจเดียวกันคือขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ กระแสการขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ ถือเป็นกระแสหลักของสังคมแล้ว แต่ในช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของโควิด ทางทีมงานจะหารือเพื่อเคลื่อนไหวในรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป

ไทกรกล่าวอีกว่า หลักสำคัญในช่วงนี้คือการหาแนวร่วม ใครที่มีความคิดเห็นตรงกันคือให้ พล.อ. ประยุทธ์ออกไป พวกเราคือเพื่อนกัน แม้ในวันนี้มีผู้ชุมนุมไม่มาก แต่เราต้องยอมรับว่าในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโควิดอย่างหนัก รวมทั้งทางกลุ่มไม่ได้เกณฑ์คนมาร่วมฟัง แต่กระแสการตอบรับทางโลกโซเชียลมีเดียได้รับความนิยม มีคนดูการถ่ายทอดสดเป็นจำนวนมาก การชุมนุมในครั้งนี้เราตั้งใจที่จะขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ถือว่าเป็นภัยพิบัติของชาติ โดยอาศัยมวลชนที่มีความตั้งใจและใจสู้จริงๆ เพื่อให้ภารกิจนั้นสำเร็จ

The post กลุ่มไทยไม่ทน ชี้การขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ ถือเป็นกระแสหลักของสังคม เตรียมปรับการเคลื่อนไหวให้เหมาะกับช่วงโควิด appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (9 กรกฎาคม) พล.ต.ต. ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงเตรียมความพร้อมสถานการณ์การชุมนุม โดยระบุว่าวันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคมนี้มีการประกาศนัดชุมนุม 3 กลุ่ม คือ กลุ่มประชาชนคนไทย กลุ่มไทยไม่ทน และกลุ่มคาร์ม็อบ ซึ่งขณะนี้กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน หากมีการชุมนุม มั่วสุม การจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคโควิดก็จะเข้าข่ายความผิดดังกล่าว รวมถึง พ.ร.บ. ควบคุมโรค การเคลื่อนขบวนตามไปที่ต่างๆ ก็จะเข้าข่ายความผิด ตาม พ.ร.บ. จราจร และอาจจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิดขึ้นได้ 

ส่วนเรื่องของกรณีหากกลุ่มผู้ชุมนุมมีการจัดกิจกรรมในช่วงที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประกาศออกแนวทางข้อกำหนดยกระดับมาตรการจำกัดการเดินทาง 14 วัน เพื่อตั้งเป้าลดจำนวนผู้ป่วยโควิดให้ได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ ก็จะต้องถูกดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เช่นเดียวกัน 

ด้าน พล.ต.ต. จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า จากที่มีการนัดรวมตัวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ เพื่อทำกิจกรรมคาร์ม็อบ ไปยังพรรคการเมืองต่างๆ จนถึงแยกราชประสงค์ โดยมีเส้นทางที่อาจได้รับผลกระทบ ตั้งแต่แยกอรุณอัมรินทร์ สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ถนนราชดำเนินกลาง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกผ่านฟ้า ถนนหลานหลวง ถนนพระราม 6 ถึงพรรคประชาธิปัตย์ ถนนกำแพงเพชร ไปจนถึงพรรคภูมิใจไทย ถนนพหลโยธิน ถนน​รัชดาภิเษก ถึงพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมพลังประชาชาติไทย ถนนอโศกมนตรี เลี้ยวขวา ถนนสุขุมวิท ถนนเพลินจิต ถึงแยกราชประสงค์ 

ทั้งนี้ประชาชนสามารถหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางหลักและทางด่วนทางพิเศษที่อยู่ใกล้เคียงกับเส้นทางดังกล่าวจะเป็นการสะดวกกว่า โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดเตรียมกำลังตำรวจจราจร คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนในภาพรวม เพื่อให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

The post ตำรวจแนะประชาชนเลี่ยงเส้นทางคาร์ม็อบ 10 ก.ค. นี้ ชี้เสี่ยงโควิดระบาด อาจผิด พ.ร.บ. ควบคุมโรค และกฎหมายจราจร appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (28 มิถุนายน) เศวต ทินกูล อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 และหนึ่งในแกนนำกลุ่ม ‘ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย’ เดินทางมายื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองปราบ และแจ้งจับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยตั้งข้อหาฟ้องร้องเอาผิดในเรื่องการละเมิดประชาชนเรื่องต่างๆ เพื่อให้กองปราบปรามดำเนินการตามกฎหมาย

เศวตได้อ้างถึงการออกประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ของ พล.อ. ประยุทธ์ โดยระบุถึงความรุนแรงของสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นตามความในมาตรา 218 ของรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ของ พล.อ. ประยุทธ์ จึงต้องสิ้นสุดลงไปด้วย และไม่มีอำนาจในการประกาศบังคับใช้ ตนจึงเห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรีกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมาร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี 

“เห็นความผิดปกติของการประกาศบังคับใช้มาระยะหนึ่งแล้วแต่ไม่มาร้องทุกข์ เนื่องจากเห็นว่ามีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และแม้ว่าการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ฉบับดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ยังคงมีประชาชนหลายภาคส่วนได้รับความเดือดร้อนเป็นเวลามากกว่า 1 ปี” เศวต กล่าว

The post กลุ่มไทยไม่ทน แจ้งจับประยุทธ์ เอาผิดการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ละเมิดอำนาจประชาชน appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (26 มิถุนายน) หลังกลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ที่นำโดย จตุพร พรหมพันธุ์ เคลื่อนขบวนมายังทำเนียบรัฐบาล และได้ตั้งเวทีปราศรัยเพื่อขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา

โดยการปราศรัยของแกนนำบนเวทีได้พูดถึงการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล การเปิดทางให้พวกพ้องของตนเองทุจริต เอื้อประโยชน์ต่อนายทุน และการแก้ปัญหาโควิด-19 ที่ล้มเหลวของรัฐบาล

ต่อมาจตุพรได้ขึ้นเวทีปราศรัย โดยพูดถึงความล้มเหลวของรัฐบาลตลอด 7 ปีที่ผ่านมา และประกาศนัดชุมนุมกันอีกครั้งในวันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม บริเวณแยกผ่านฟ้าลีลาศ และเชิญชวนให้ประชาชนออกมาชุมนุมเพิ่มขึ้นในทุกๆ วันเสาร์ที่ได้นัดชุมนุมในครั้งต่อไป

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post จตุพรนัดชุมนุมอีกครั้ง 3 ก.ค. หลังนำมวลชนเคลื่อนขบวนตั้งเวทีไล่ประยุทธ์หน้าทำเนียบ appeared first on THE STANDARD.

กลุ่มไทยไม่ทน นำโดยจตุพร เคลื่อนขบวนสู่ทำเนียบรัฐบาล

ตัดต่อ: วชิระ มากทรัพย์

The post ชมคลิป: กลุ่มไทยไม่ทน นำโดยจตุพร เคลื่อนขบวนสู่ทำเนียบรัฐบาล appeared first on THE STANDARD.