กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ E7 – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 16 Jan 2024 00:48:41 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 IMF เตือนผลกระทบเทคโนโลยี AI กระเทือนงานเกือบ 40% ทั่วโลก ดันความเหลื่อมล้ำพุ่ง https://thestandard.co/imf-warns-ai-to-hit-almost-40percent-of-global-employment/ Tue, 16 Jan 2024 00:48:41 +0000 https://thestandard.co/?p=888109 ผลกระทบเทคโนโลยี AI

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ออกมาแสดงความเห็ […]

The post IMF เตือนผลกระทบเทคโนโลยี AI กระเทือนงานเกือบ 40% ทั่วโลก ดันความเหลื่อมล้ำพุ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผลกระทบเทคโนโลยี AI

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ออกมาแสดงความเห็นกึ่งเตือนว่า ประมาณเกือบ 40% ของตำแหน่งงานทั่วโลกในปัจจุบันอาจได้รับผลกระทบจากบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI โดยกลุ่มประเทศร่ำรวยมีแนวโน้มที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกลุ่มประเทศยากจน 

 

คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งทาง IMF ได้ดำเนินการประเมินผลกระทบเทคโนโลยี AI ที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดแรงงานทั่วโลก และพบว่า ในกรณีส่วนใหญ่ เทคโนโลยีดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ความไม่เท่าเทียมกันโดยรวมแย่ลง

 



ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการ IMF ได้เรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายของนานาประเทศทั่วโลก เร่งจัดการกับ ‘แนวโน้มที่น่าหนักใจ’ นี้ และแสวงหาแนวทางปฏิบัติเพื่อดำเนินการเชิงรุกในการ ‘ป้องกันไม่ให้เทคโนโลยี AI เพิ่มความตึงเครียดทางสังคม’ โดย Georgieva ย้ำว่า สังคมโลกในขณะนี้กำลังจะเกิดการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่ไม่เพียงสามารถเร่งประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมการเติบโตทั่วโลก และเพิ่มรายได้ทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังจะสามารถเข้ามาแทนที่งาน จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันมากขึ้น

 

ทั้งนี้ IMF ประเมินว่า ในกลุ่มประเทศร่ำรวยอาจมีตำแหน่งงานราว 60% เลยทีเดียวที่ได้รับผลกระทบจาก AI ขณะที่รับตำแหน่งงานอีกส่วนหนึ่งอาจได้รับประโยชน์จากการบูรณาการ AI เพื่อเพิ่มผลผลิต 

 

ในส่วนของตำแหน่งงานต่างๆ ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ IMF ประเมินว่าราว 40% ของตำแหน่งงานในพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับผลกระทบจากการนำ AI มาใช้งาน ขณะที่งานในกลุ่มประเทศยากจนที่มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบจาก AI ที่ 26%

 

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของ IMF กลับชี้ให้เห็นว่า ในระยะสั้น กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศที่มีรายได้น้อยเผชิญกับภาวะดิสรัปชัน (Disruption) ค่อนข้างน้อย เนื่องจากหลายประเทศเหล่านี้ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของแรงงานที่มีทักษะเพื่อใช้ประโยชน์จาก AI ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่เทคโนโลยีอาจทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่มีอยู่แล้วเลวร้ายมากยิ่งขึ้นอีกในระยะยาว เพราะพนักงานที่สามารถเข้าถึงประโยชน์ของ AI สามารถเพิ่มผลผลิตและเงินเดือนได้ ในขณะที่พนักงานที่เข้าไม่ถึงย่อมเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง จากเดิมที่ต้องเดินตามหลังตลอดอยู่แล้ว 

 

ก่อนหน้านี้ ทาง Goldman Sachs ได้ออกมาเตือนแล้วว่า เทคโนโลยี Generative AI อาจส่งผลกระทบต่องานมากถึง 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก แม้ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นผลผลิตและการเติบโตของแรงงาน รวมถึงเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้มากถึง 7% ก็ตาม 

 

ทั้งนี้ รายงานฉบับล่าสุดของ IMF ในครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ผู้นำทางธุรกิจและการเมืองจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ในเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันศุกร์ที่ 19 มกราคมนี้ โดยปีนี้ การประชุมจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ ‘การรื้อฟื้นความน่าเชื่อถือ’ (Rebuilding Trust) ซึ่งหมายรวมถึงการกลับคืนสู่พื้นฐานของโลกเศรษฐกิจการค้าการลงทุนที่ผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำทางธุรกิจ และภาคประชาสังคมมารวมตัวกันพูดคุยอย่างเปิดกว้างและสร้างสรรค์ ซึ่งนอกจากหารือเรื่องแนวทางการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจโลกแล้ว หลายฝ่ายมองว่าที่ประชุม WEF จะมีการหารือเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในแต่ละประเทศทั่วโลกอย่างจริงจัง 

 

อ้างอิง: 

The post IMF เตือนผลกระทบเทคโนโลยี AI กระเทือนงานเกือบ 40% ทั่วโลก ดันความเหลื่อมล้ำพุ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ชี้ ‘หยวน’ อ่อนค่าคุกคามชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ หวั่นจุดชนวนสงครามค่าเงินรอบใหม่ https://thestandard.co/morning-wealth-05092022-3/ Mon, 05 Sep 2022 08:00:15 +0000 https://thestandard.co/?p=676333 ค่าเงินหยวน

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายสำ […]

The post ชมคลิป: ชี้ ‘หยวน’ อ่อนค่าคุกคามชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ หวั่นจุดชนวนสงครามค่าเงินรอบใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าเงินหยวน

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายสำนักออกมาแสดงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ค่าเงินหยวน ที่อ่อนค่าลงอย่างหนักขณะนี้กำลังกลายเป็นภัยเสี่ยงคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ติดตามรายละเอียดได้ในไฮไลต์นี้

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 . ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ชี้ ‘หยวน’ อ่อนค่าคุกคามชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ หวั่นจุดชนวนสงครามค่าเงินรอบใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิเคราะห์ชี้ เงินหยวนอ่อนค่าคุกคามชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ หวั่นจุดชนวนสงครามค่าเงินอีกระลอก https://thestandard.co/weakening-yuan-emerging-economies/ Mon, 05 Sep 2022 01:53:45 +0000 https://thestandard.co/?p=676255 ค่าเงินหยวน

บรรดาผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำห […]

The post นักวิเคราะห์ชี้ เงินหยวนอ่อนค่าคุกคามชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ หวั่นจุดชนวนสงครามค่าเงินอีกระลอก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าเงินหยวน

บรรดาผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายสำนักต่างแสดงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ค่าเงินหยวน ที่อ่อนค่าลงอย่างหนักในห้วงเวลานี้ กำลังกลายเป็นภัยเสี่ยงคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา

 

ความเห็นครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้าเงินหยวนเพิ่งจะได้รับการยอมรับในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ช่วยเป็นเกราะกำบังปกป้องบรรดานักลงทุนจากปัญหาความตึงเครียดขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเงินเฟ้อ

 

รายงานระบุว่า เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน และฉุดให้ค่าเงินอ่อนค่าลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ทำให้ Goldman Sachs Group Inc ยัน SEB AB ออกมาคาดการณ์ว่า เงินหยวนอ่อนค่าจะส่งผลกระทบภาคการส่งออกของนานาประเทศ ตลอดจนเสี่ยงที่จะจุดชนวนให้เกิดสงครามค่าเงินที่หลายประเทศแข่งกันลดค่าเงิน เพื่อสร้างความได้เปรียบในตลาดส่งออก

 

Per Hammarlund หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดเกิดใหม่ของธนาคาร Skandinaviska Enskilda Banken กล่าวว่า ด้วยแนวโน้มที่ค่าเงินหยวนที่เดินหน้าอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ทำให้หลายประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยน และเกรงว่าหากค่าเงินหยวนยังอ่อนค่าต่อไป จะทำให้ประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่แข่งกันลดค่าเงิน จุดชนวนกลายเป็นสงครามค่าเงินระลอกใหม่

 

ด้านผู้จัดการการเงินของ Societe Generale SA, Nomura Holdings Inc. และ Credit Agricole CIB ประเมินว่า ค่าเงินหยวนจะอ่อนค่าลงอย่างหนักจนกระทั่งเลยแนวจิตวิทยาที่ 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐภายในปีนี้

 

ทั้งนี้ ค่าเงินหยวนปรับตัวอ่อนค่าลงเป็นเดือนที่ 6 ต่อเนื่องกันในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นับเป็นการปรับลดค่าเงินหยวนที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เกิดสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม ปี 2018 โดยมีสาเหตุฉุดค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าจากนโยบาย Zero COVID, วิกฤตอสังหาริมทรัพย์, เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อขยับขึ้น ซึ่งแม้ว่าทางธนาคารกลางจีนจะเร่งดำเนินการดันให้ค่าเงินหยวนขยับขึ้น แต่การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐก็ทำให้การดำเนินการต่างๆ ของธนาคารกลางจีนไม่ได้ผล

 

ขณะเดียวกันค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดย Goldman และ Societe Generale กล่าวว่า ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงจะฉุดให้เงินวอนเกาหลีใต้, เงินดอลลาร์ไต้หวัน, เงินบาทไทย, เงินริงกิตมาเลเซีย และเงินแรนด์แอฟริกาใต้ ลดลงไปด้วย ขณะที่ SEB มองว่า เงินเปโซเม็กซิกัน, ฟอรินต์ฮังการี, ลิวโรมาเนีย และลีราตุรกี จะเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่ามากที่สุด

 

Phoenix Kalen หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Societe Generale กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าและการเงินระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เติบโตแน่นแฟ้นมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งความเชื่อมโยงที่ฝังลึกนี้ทำให้เป็นเรื่องยากที่ตลาดเกิดใหม่เหล่านี้จะแยกตัวออกจากจีน

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post นักวิเคราะห์ชี้ เงินหยวนอ่อนค่าคุกคามชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ หวั่นจุดชนวนสงครามค่าเงินอีกระลอก appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจ ประเทศเกิดใหม่ ความเสี่ยงเพิ่ม หลังหลายประเทศพักชำระหนี้และขอความช่วยเหลือต่างชาติ https://thestandard.co/economy-emerging-countries-risks/ Mon, 25 Jul 2022 02:13:51 +0000 https://thestandard.co/?p=658344 เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่

The post เศรษฐกิจ ประเทศเกิดใหม่ ความเสี่ยงเพิ่ม หลังหลายประเทศพักชำระหนี้และขอความช่วยเหลือต่างชาติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่

The post เศรษฐกิจ ประเทศเกิดใหม่ ความเสี่ยงเพิ่ม หลังหลายประเทศพักชำระหนี้และขอความช่วยเหลือต่างชาติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไม ศรีลังกา เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจเลวร้าย จนต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF https://thestandard.co/key-messages-sri-lanka-economic-crisis/ Wed, 20 Apr 2022 08:55:41 +0000 https://thestandard.co/?p=619351 ศรีลังกา

เศรษฐกิจ ศรีลังกา กำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้า […]

The post ทำไม ศรีลังกา เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจเลวร้าย จนต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศรีลังกา

เศรษฐกิจ ศรีลังกา กำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ อันเป็นผลมาจากการบริหารการเงินที่ผิดพลาดของรัฐบาล และการลดภาษีผิดจังหวะเวลา นอกเหนือไปจากผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโควิด

 

หนี้ต่างประเทศมูลค่ามหาศาล การล็อกดาวน์ต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น การขาดแคลนเชื้อเพลิง ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลง และการลดค่าเงิน ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

 

ข้อมูลจากกรมสถิติของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจศรีลังกาโต 1.8% ในไตรมาส 4/21 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้อัตราการขยายตัวทั้งปีอยู่ที่ 3.7% ขณะที่ธนาคารกลางศรีลังกาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจประเทศจะขยายตัวในอัตรา 5%

 

ประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย จีน และบังกลาเทศ ยื่นมือเข้ามาช่วยศรีลังกาฝ่าฟันวิกฤตนี้ นอกจากนี้ ศรีลังกายังได้ขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ด้วย

 

  • สถานการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไร

ประชากร 22 ล้านคนในศรีลังกากำลังเผชิญกับการขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต อย่างเช่น อาหารและยา รวมไปถึงเชื้อเพลิง ซึ่งสาเหตุเกิดจากการที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลงอย่างมาก ทำให้การนำเข้าสินค้าจำเป็นต่างๆ หยุดชะงัก 

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางศรีลังกาเปิดเผยว่า ได้ระงับการชำระหนี้ต่างประเทศ เพื่อนำทุนสำรองระหว่างประเทศราว 1.93 พันล้านดอลลาร์ไปใช้ในการนำเข้าสินค้าจำเป็นแทน

 

การจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาดโดยรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยต่อเนื่อง ทำให้การเงินสาธารณะของศรีลังกาอ่อนแอลง และสถานการณ์ยิ่งทรุดหนัก เมื่อรัฐบาลของราชปักษาตัดสินใจปรับลดภาษีครั้งใหญ่ ไม่นานหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งในปี 2019

 

จากความไม่พอใจที่สะสมมานาน จนในที่สุดประชาชนได้ลุกฮือประท้วงใหญ่ขับไล่รัฐบาลที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศพังพินาศ ท่ามกลางกระแสการประท้วงที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประธานาธิบดีราชปักษาจึงตัดสินใจยุบคณะรัฐมนตรีเมื่อต้นเดือนนี้ และเชิญทุกฝ่ายในรัฐสภาจัดตั้งรัฐบาลเอกภาพ แต่ถูกปฏิเสธโดยกลุ่มฝ่ายค้านและสมาชิกของพันธมิตรฝ่ายรัฐบาล ก่อนที่ราชปักษาจะตัดสินใจแต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่ดังกล่าว

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลของราชปักษามีกำหนดเริ่มการเจรจากับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในวันจันทร์ที่ 19 เมษายน เพื่อขอเงินกู้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลศรีลังกาตลอดจนภาคส่วนสำคัญๆ ของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยว ถ่วงเวลาที่จะเข้าหา IMF เพื่อขอความช่วยเหลือ

 

ขณะที่นักวิเคราะห์ฟันธงว่า ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเป็นความเสี่ยงต่อศรีลังกาในการที่จะหาทางออกจากวิกฤตการเงิน

 

  • ปรับ ครม. เร่งกู้วิกฤต

ประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา แห่งศรีลังกา แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ประกอบด้วยสมาชิก 17 คน และไม่ปรากฏรายชื่อสมาชิกตระกูลราชปักษารวมอยู่ใน ครม.ชุดนี้ ยกเว้น มหินทา ราชปักษา พี่ชายของประธานาธิบดี ที่ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปตามเดิม

 

นอกจากมหินทา ราชปักษาแล้ว ไม่มีสมาชิกคนอื่นในตระกูลราชปักษาอยู่ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยน้องชายของประธานาธิบดีอีกสองคนคือ บาซิลและชามาล ราชปักษา ตลอดจน นามาล ราชปักษา บุตรชายของนายกรัฐมนตรี ถูกปรับพ้นจาก ครม. และไม่มีชื่อปรากฏใน ครม.ชุดใหม่นี้ 

 

การปรับคณะรัฐมนตรีศรีลังกามีขึ้นท่ามกลางการประท้วงขับไล่รัฐบาลที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ทั้งตามท้องถนน และบริเวณนอกทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโคลัมโบ เมืองหลวงและเมืองการค้าของประเทศ โดยประชาชนชาวศรีลังกาได้ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ประธานาธิบดีราชปักษาลาออก เนื่องจากการบริหารเศรษฐกิจผิดพลาด จนทำให้ประเทศเผชิญวิกฤตเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ 

 

  • ศรีลังกามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

เศรษฐกิจของศรีลังกาประสบปัญหาตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของโควิดแล้ว แต่การล็อกดาวน์ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์ยากลำบากขึ้น และส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Sector) ซึ่งแรงงานเกือบ 60% ของประเทศอยู่ในภาคส่วนนี้ 

 

ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศลดลง 70% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 2.31 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ศรีลังกาไม่มีเงินจ่ายค่าสินค้านำเข้าที่จำเป็น ซึ่งรวมถึงอาหารและเชื้อเพลิง

 

วิกฤตการณ์ทางการเงินยังมีสาเหตุมาจากการขาดแคลนสกุลเงินต่างประเทศ โดยการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่สำคัญของประเทศ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโควิด นอกจากนี้ ชาวศรีลังกาที่ทำงานในต่างประเทศยังส่งเงินกลับประเทศลดน้อยลงมากด้วย

 

ศรีลังกามีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่เพียง 2.31 พันล้านดอลลาร์ ณ เดือนกุมภาพันธ์ แต่มีหนี้ที่ต้องชำระถึงประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ตลอดช่วงที่เหลือของปี

 

โดยหนี้มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์นั้นรวมถึงพันธบัตรรัฐบาลระหว่างประเทศมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะครบกำหนดชำระในเดือนกรกฎาคม

 

ธนานาถ เฟอร์นันโด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของสถาบันวิจัย Advocate Institute ในกรุงโคลัมโบ กล่าวกับสำนักข่าว Reuters ว่า สาเหตุของการขาดแคลนไม่ใช่การขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์ แต่เป็นการขาดแคลนเงินดอลลาร์ 

 

  • ตกงาน ไม่มีเงิน ขาดแคลนสินค้าจำเป็น

การตกงานกลายเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเกือบทุกครัวเรือนของศรีลังกา และการขาดรายได้ทำให้อัตราความยากจนในประเทศเพิ่มสูงขึ้น

 

ข้อมูลของธนาคารโลกเผยว่า สัดส่วนของคนจนที่มีรายได้วันละ 3.20 ดอลลาร์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 11.7% ในปี 2020 จาก 9.2% ในปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 แสนคน 

 

รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการให้เงินช่วยเหลือ 5,000 รูปี แก่ครอบครัวรายได้ต่ำที่มีสถานะทางการเงินที่เปราะบางจำนวน 5 ล้านครอบครัวในช่วงล็อกดาวน์โควิด

 

แต่นั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และช่วยได้เพียงช่วงสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วถูกซ้ำเติมจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นแบบพุ่งพรวด 

 

ขณะที่การขาดแคลนสินค้าจำเป็นก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ถึงขนาดที่ทำให้การสอบของนักเรียนหลายล้านคนในประเทศต้องถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากไม่มีกระดาษและหมึกสำหรับใช้สอบ 

 

  • ตัดไฟทั่วประเทศ

การขาดแคลนเชื้อเพลิงส่งผลให้มีการตัดไฟทั่วประเทศเป็นเวลานานหลายชั่วโมง เนื่องจากการไม่มีเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ได้นำไปสู่การขาดแคลนพลังงานความร้อนถึง 750 เมกะวัตต์

 

เจ้าหน้าที่เผยกับสำนักข่าว AFP ว่า “ไฟฟ้ามากกว่า 40% ของศรีลังกาผลิตจากพลังน้ำ แต่แหล่งน้ำส่วนใหญ่มีระดับต่ำจนเป็นอันตรายเพราะฝนไม่ตก”

 

ถ่านหินและน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตไฟฟ้าของศรีลังกา และศรีลังกาต้องนำเข้าทรัพยากรทั้งสองชนิดจากต่างประเทศ ซึ่งกลายเป็นเรื่องยากในปัจจุบัน เนื่องจากเงินตราต่างประเทศที่ร่อยหรอ

 

ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันดีเซลอย่างรุนแรงทำให้ต้องปิดโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหลายแห่ง และส่งผลให้ต้องตัดไฟฟ้าทั่วประเทศ 

 

นอกจากนี้ มีการประกาศขึ้นราคาน้ำมันถี่มาก โดยน้ำมันเบนซินปรับตัวขึ้นมาแล้ว 92% และดีเซลเพิ่มขึ้น 76% ตั้งแต่ต้นปี

 

  • เงินเฟ้อพุ่ง

เมื่อเดือนมีนาคม 2020 ศรีลังกาสั่งห้ามการนำเข้าสินค้าหลายชนิด เพื่อเก็บสกุลเงินต่างประเทศซึ่งจำเป็นต่อการชำระหนี้ต่างประเทศจำนวน 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่การดำเนินการดังกล่าวนำไปสู่การขาดแคลนสินค้าจำเป็นอย่างกว้างขวาง และราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ประชาชนจำเป็นต้องเลือกซื้ออาหารราคาถูกลงเพื่อลดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังตัดค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงเพื่อประหยัด โดยปัจจุบัน ชาหนึ่งถ้วยมีราคา 100 รูปีศรีลังกา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 25 รูปีศรีลังกา ณ เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตามรายงานของเว็บข่าวท้องถิ่น

 

ขณะที่ค่าหมอและค่ายาก็แพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาใช้วิธีรักษาด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีการที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่าอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยที่สูงขึ้นได้

 

โรงพยาบาลหลายแห่งหยุดการผ่าตัดตามปกติ และซูเปอร์มาร์เก็ตต้องแบ่งสรรปันส่วนการจำหน่ายอาหารหลักอย่าง ข้าว น้ำตาล และนมผง

 

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางศรีลังกา (CBSL) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณามาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการควบคุมการนำเข้าที่ไม่จำเป็น และการขึ้นราคาน้ำมัน เพื่อลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ

 

อัตราเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 15.1% โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อกลุ่มอาหาร พุ่งแตะ 25.7% ซึ่งสูงที่สุดในรอบทศวรรษ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวสูงกว่าเป้าหมายของแบงก์ชาติอย่างมาก โดยธนาคารกลางศรีลังกาตั้งเป้าคงอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 4-6% ในระยะกลาง

 

  • การลดค่าเงิน

ธนาคารกลางศรีลังกาตัดสินใจลดค่าเงินรูปีลงถึง 15% และกำหนดวงเงินอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 230 รูปีต่อดอลลาร์ จากเดิมซึ่งกำหนดไว้ที่ 200-203 รูปี

 

ในเดือนธันวาคม CBSL ได้ประกาศมาตรการหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการให้เงินเพิ่มอีก 10 รูปีต่อดอลลาร์ แต่ปรากฏว่าช่วยไม่ได้มาก โดยการส่งเงินกลับประเทศลดลง 61.6% ในเดือนมกราคม มาอยู่ที่ 259 ล้านดอลลาร์ จาก 675 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า

 

  • ไม่มีกิน

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักที่พุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หลายคนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐ เนื่องจากสินค้าจำเป็นทั้งหมดขาดแคลน อันเป็นผลมาจากมาตรการจำกัดการนำเข้า ซึ่งถูกบีบบังคับโดยวิกฤตอัตราแลกเปลี่ยน

 

แม่บ้านคนหนึ่งในโคลัมโบบอกกับ AFP ว่า ผู้คนต่อแถวยาวทุกวัน ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง เพียงเพื่อรับส่วนแบ่งน้ำมันก๊าดที่สามารถนำมาใช้ในการจุดเตาทำอาหารได้ เธอยังกล่าวอีกด้วยว่ามีคนเป็นลม และเธอเองก็รู้สึกไม่สบายเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้อง

 

และนี่คือภาพรวมปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังรุมเร้าประเทศแห่งหนึ่งในเอเชียใต้ ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่เตือนใจหลายประเทศให้ตระหนักว่า วิกฤตเศรษฐกิจอาจเกิดได้ทุกเมื่อ หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาด ขณะที่ปัญหาท้าทายในโลกยุคหลังโรคระบาดก็เป็นอีกตัวแปรที่ทำให้การแก้ปัญหามีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

 

ภาพ: Getty Images

อ้างอิง: 

The post ทำไม ศรีลังกา เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจเลวร้าย จนต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF appeared first on THE STANDARD.

]]>
จากวิกฤตสู่วิกฤต! ‘ศรีลังกา’ หนังตัวอย่างที่อีกหลายประเทศกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังเดินตามรอย https://thestandard.co/sri-lanka-economic-crisis-case/ Fri, 15 Apr 2022 13:04:06 +0000 https://thestandard.co/?p=617857 ศรีลังกา

วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดกับศรีลังกาอาจเป็นเพียงหนึ่งในหนังต […]

The post จากวิกฤตสู่วิกฤต! ‘ศรีลังกา’ หนังตัวอย่างที่อีกหลายประเทศกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังเดินตามรอย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศรีลังกา

วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดกับศรีลังกาอาจเป็นเพียงหนึ่งในหนังตัวอย่างที่ยังมีอีกหลายประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังเดินตามรอยในลักษณะเดียว ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับศรีลังกาจึงนับเป็นบทเรียนที่เราควรหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างรอบด้าน โดย กอบศักดิ์ ภูตระกูล เลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ เขียนบทความวิเคราะห์เศรษฐกิจศรีลังกาผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในหัวข้อ ‘จากวิกฤตสู่วิกฤต’ โดยระบุว่า

 

ศรีลังกาเป็นเพียงประเทศแรกๆ ใน Emerging Markets ที่เข้าสู่วิกฤตในรอบนี้

 

เป็นเพียงหนังตัวอย่างที่ยังมีอีกหลายประเทศที่จะประสบปัญหาเศรษฐกิจ (แต่คงใช้เวลาอีกระยะ) ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าระหว่าง 2 ปีที่ผ่านมา ทุกประเทศทั่วโลกต้องต่อสู้กับการแก้ไขปัญหาโควิด

 

รัฐบาลใช้เงินไปมากในการเยียวยา ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในการจัดซื้อวัคซีน และการให้บริการสาธารณสุขกับประชาชนของตนเอง ระดับหนี้ของรัฐบาลจึงเพิ่ม ทะลุเพดานหนี้ที่เหมาะสม

 

ด้านเอกชน SMEs ก็ลำบากกันทั่ว จากยอดขายที่ลดลง จากหนี้ที่ต้องก่อ เพื่อหาสภาพคล่องมาประคองธุรกิจ ส่วนประชาชนที่หาเช้ากินค่ำก็มีหนี้เพิ่มพูน จนระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก ทำให้ Emerging Markets หลายๆ ประเทศ สะสมความเปราะบางเพิ่มขึ้น เข้าสู่จุดคับขัน

 

ที่น่าหนักใจที่สุดคือ ปกติแล้วหลังวิกฤตเราจะมีช่วงดีๆ อย่างน้อย 2-3 ปีให้เคลียร์ปัญหาต่างๆ ที่สะสม เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทำให้พี่น้องประชาชนมีรายได้ ร้านค้าค้าขายดี รัฐบาลเก็บภาษีได้

 

ทั้งหมดช่วยให้ระดับหนี้ของภาครัฐ เอกชน และประชาชน ลดลง ทำให้ทุกคนฐานะการเงินเข้มแข็งขึ้น สามารถสะสมเงินออมอีกรอบพร้อมรับกับวิกฤตรอบถัดไป

 

อย่างไรก็ตาม ที่บอกว่าน่าหนักใจมากรอบนี้ก็เพราะเรากำลังจะออกจากวิกฤตหนึ่ง แต่จะเข้าสู่อีกวิกฤตทันที

 

ช่วงเวลาดีๆ ไม่ได้มาอย่างเคย

 

ไม่มีเวลาหายใจ

 

ทำให้ทุกประเทศเข้าสู่อีกช่วงของความท้าทาย โดยที่ทุกคนมีความเปราะบางทางการเงินอย่างยิ่ง

 

ยิ่งเงินเฟ้อสูงเป็นพิเศษจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยิ่ง Fed ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย ผลกระทบต่อ Emerging Markets ก็จะยิ่งแรงกว่าปกติ

 

หลายคนที่ปริ่มน้ำอยู่แล้ว อาจจมน้ำได้

 

ศรีลังกาจึงเป็นกรณีศึกษาที่เป็นบทเรียนให้กับทุกคน

 

ก่อนโควิดระบาด ศรีลังกาได้ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่ชอบ

เรียกกันว่า ‘โครงการช้างเผือก’ ได้สร้างหนี้ให้กับรัฐบาล ทำให้ฐานะของรัฐบาลอ่อนแอลง ทั้งในเรื่องของท่าเรือ สนามบิน และโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรของประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดโควิดโครงการเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลตามหวัง นอกจากนี้รัฐบาลยังมีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากจากการดูแลเศรษฐกิจในช่วงโควิด รัฐบาลขาดดุลการคลังประมาณร้อยละ 10% ของ GDP ระหว่างปี 2019-2021 ทำให้หนี้ของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นจาก 78% ของ GDP เป็นประมาณ 107% ของ GDP ใน 3 ปีสุดท้าย

 

นอกจากนี้ในช่วงปลายปี 2021 ก็เริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณไตรมาสละ 1 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลกระทบต่อเงินสำรองระหว่างประเทศ

 

เราจะเห็นในภาพด้านล่างว่าเงินสำรองระหว่างประเทศของศรีลังกาลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่มีอยู่ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 ล่าสุดเหลือแค่ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ส่วนหนึ่งเงินสำรองคงถูกใช้ในการดูแลค่าเงินให้อยู่ที่ประมาณ 200 รูปีต่อดอลลาร์ (เพราะค่าเงินรูปีนิ่งมากในช่วงที่ผ่านมา)

 

แต่ท้ายสุดชัดเจนว่าคงเอาไม่อยู่ ธนาคารกลางศรีลังกาจึงเริ่มปล่อยให้ค่าเงินอ่อนลงตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคมเป็นต้นมา ทำให้ค่าเงินอ่อนยวบลงไปที่ 323 รูปีต่อดอลลาร์ หรือลดลงประมาณ 40% 

 

ธนาคารกลางจึงต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียว 7% (Standing Lending Rate) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จาก 7.5% เป็น 14.5% เพื่อสู้กับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงจาก 5% เมื่อปีที่แล้ว เป็น 18.7% และดูแลการอ่อนลงของค่าเงิน

 

ล่าสุด กำลังติดต่อกับ IMF เพื่อให้เข้ามาช่วยดูแลปัญหา สร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงิน และเพิ่มเงินสำรอง เพราะถ้าไม่เร่งแก้ไข ต่อไปศรีลังกาจะมีปัญหาในการนำเข้าอาหาร พลังงาน ยารักษาโรค อย่างยิ่ง และนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองและสังคมต่อไป

 

ขอเป็นกำลังใจให้ศรีลังกาครับ

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post จากวิกฤตสู่วิกฤต! ‘ศรีลังกา’ หนังตัวอย่างที่อีกหลายประเทศกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังเดินตามรอย appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนครอง 5 อันดับแรก มหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ https://thestandard.co/china-ranks-top-5-best-universities-from-emerging-economies/ Wed, 10 Mar 2021 08:46:28 +0000 https://thestandard.co/?p=463499 จีนครอง-5-อันดับ

วันนี้ (10 มีนาคม) นิตยสาร Times Higher Education (THE) […]

The post จีนครอง 5 อันดับแรก มหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนครอง-5-อันดับ

วันนี้ (10 มีนาคม) นิตยสาร Times Higher Education (THE) ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า จีนเป็นประเทศหรือภูมิภาคแรกที่ครอง 5 อันดับแรกของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Economies University Rankings) ประจำปี 2021

 

มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น (Fudan University) และมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียวทง (SJTU) ครองอันดับ 4 และอันดับ 5 ส่วน 3 อันดับแรก ได้แก่ มหาวิทยาลัยชิงหัว (Tsinghua University), มหาวิทยาลัยปักกิ่ง (PKU) และมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (ZJU) โดยมหาวิทยาลัยชิงหัวครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แล้ว

 

ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน (USTC) และมหาวิทยาลัยหนานจิง (NU) เป็นอีก 2 มหาวิทยาลัยจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ติด 10 อันดับแรกด้วย โดยอยู่อันดับ 7 และอันดับ 9 ตามลำดับ

 

มหาวิทยาลัยจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังสร้างสถิติใหม่ด้วยการติด 12 อันดับใน 20 อันดับแรก โดยมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหนานฟาง (SUSTech) ขึ้นจากอันดับ 16 ในปีก่อน มาอยู่อันดับ 14 ในปีนี้ ส่วนมหาวิทยาลัยครูปักกิ่ง (BNU) อยู่อันดับ 17 และมหาวิทยาลัยถงจี้ (Tongji University) อยู่อันดับ 20

 

นิตยสาร Times Higher Education ระบุว่า มหาวิทยาลัยจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีพัฒนาการรวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมระดับโลกของนิตยสาร โดยมีจีนครองอันดับ 1 ด้วยจำนวนมหาวิทยาลัยที่ผ่านเกณฑ์การจัดอันดับถึง 91 แห่งในปี 2021

 

ฟิล เบตี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความรู้ของนิตยสาร Times Higher Education ระบุว่า ผลการจัดอันดับที่มีการแข่งขันสูงนี้เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในการลงทุนด้านอุดมศึกษาของจีน

 

“การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) สร้างความเปลี่ยนแปลงในภาคอุดมศึกษา ทำให้สถานศึกษาหลายแห่งต้องเปลี่ยนมาจัดการเรียนการสอนทางออนไลน์ และมีนักศึกษาเดินทางไปเรียนต่อในต่างประเทศน้อยลง เราตั้งตาคอยว่ามหาวิทยาลัยจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะวางจุดยืนตนเองอย่างไรในปีนี้ และจะสร้างโอกาสอะไรบ้างทั้งภายในประเทศและระดับโลก” เบตีกล่าว

 

อนึ่ง การจัดอันดับมหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ประจำปี 2021 ครอบคลุมสถานศึกษาจากประเทศและภูมิภาคที่ FTSE Group บริษัทผู้จัดทำดัชนีระดับโลก จัดให้เป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ชั้นนำ, เกิดใหม่ระดับรอง และเกิดใหม่ โดยมีมหาวิทยาลัยผ่านเกณฑ์รวม 606 แห่ง จาก 48 ประเทศและภูมิภาค เพิ่มขึ้น 73 แห่งจากปี 2020

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง: 

  • สำนักข่าวซินหัว

 

The post จีนครอง 5 อันดับแรก มหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘PwC’ คาด ปี 2050 อินเดียคว่ำสหรัฐฯ เพื่อนบ้านอาเซียนเรียงคิวแซงหน้าไทย https://thestandard.co/pwc-ranking-of-biggest-economies-ppp-2050/ https://thestandard.co/pwc-ranking-of-biggest-economies-ppp-2050/#respond Tue, 26 Sep 2017 06:15:44 +0000 https://thestandard.co/?p=30290

     ในอนาคตอีก 33 ปีข้างหน้า โลกที่เราร […]

The post ‘PwC’ คาด ปี 2050 อินเดียคว่ำสหรัฐฯ เพื่อนบ้านอาเซียนเรียงคิวแซงหน้าไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ในอนาคตอีก 33 ปีข้างหน้า โลกที่เรารู้จักอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เรื่องเศรษฐกิจเองก็หนีไม่พ้น โดยรายงานจาก PricewaterhouseCoopers (PwC) ได้คาดการณ์ถึงความก้าวหน้าและถดถอยของประเทศต่างๆ 32 อันดับ

     บริษัทที่ปรึกษาการเงินชื่อดังใช้มุมมองจากภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ (PPP) ที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์มหภาคนำมาใช้วิเคราะห์มาตรฐานการดำรงชีวิตและผลิตภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ

     ระหว่างปี 2016 ถึง 2050 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมทั่วโลกจะเติบโตขึ้น 130% โดยยักษ์ใหญ่อย่างจีนยังคงครองอันดับ 1 และแบ่งพื้นที่ค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมเทียบตามหลักภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ หรือ GDP (PPP) ไปถึง 20% จากสัดส่วนทั้งหมด

     ขณะที่อินเดียจะเติบโตจาก 7% ไป 15% ถีบสหรัฐอเมริการ่วงมาอยู่อันดับ 3 ที่ร้อยละ 12 ส่วนสหภาพยุโรป 27 ประเทศ ที่ตัดสหราชอาณาจักรออกไปกลับมีขนาดเล็กลงอย่างต่อเนื่องจนถึง 9% ในปี 2050

     สำหรับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 7 ประเทศ (E7) ที่เคยมีขนาดครึ่งหนึ่งของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ประเทศ (G7) จะขยายตัวเป็นสองเท่าของคู่แข่งภายในปี 2040

     PwC คาดการณ์อีกว่า เวียดนาม อินเดีย และบังกลาเทศ จะเป็นสามประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุดในช่วงดังกล่าว ด้วยค่าเฉลี่ย GDP ที่ 5.0% 4.9% และ 4.8% ตามลำดับ

     สำหรับประเทศไทยที่ปัจจุบันอยู่อันดับที่ 20 จะค่อยๆ ร่วงลงมาที่อันดับ 22 ในปี 2030 และตกต่อเนื่องจนถึงอันดับที่ 26 ในปีสุดท้ายของรายงาน จนโดนฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซียแซงหน้าไปในที่สุด อันเนื่องมาจากค่า GDP เฉลี่ยไม่ได้เติบโตมากเพียงแค่ 2.6%

     นอกจากนี้ ไทยยังจะประสบปัญหาจากอัตราประชากรที่ติดลบ 0.3% รั้งอันดับ 3 ในประเด็นปัญหาดังกล่าวให้หลังญี่ปุ่นและโปแลนด์ จนนำไปสู่ปัญหาของการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมที่มีค่าเฉลี่ยจริง 2.9%

 

อันดับ (PPP):

      32. เนเธอร์แลนด์ (1.496 ล้านล้าน)

      31. โคลัมเบีย (2.074 ล้านล้าน)

      30. โปแลนด์ (2.103 ล้านล้าน)

      29. อาร์เจนตินา (2.365 ล้านล้าน)

      29. ออสเตรเลีย (2.564 ล้านล้าน)

      27. แอฟริกาใต้ (2.57 ล้านล้าน)

      26. สเปน (2.732 ล้านล้าน)

      25. ไทย (2.782 ล้านล้าน)

      24. มาเลเซีย (2.815 ล้านล้าน)

      23. บังกลาเทศ (3.064 ล้านล้าน)

      22. แคนาดา (3.1 ล้านล้าน)

      21. อิตาลี (3.115 ล้านล้าน)

      20. เวียดนาม (3.176 ล้านล้าน)

      19. ฟิลิปปินส์ (3.334 ล้านล้าน)

      18. เกาหลีใต้ (3.539 ล้านล้าน)

      17. อิหร่าน (3.9 ล้านล้าน)

      16. ปากีสถาน (4.236 ล้านล้าน)

      15. อียิปต์ (4.333 ล้านล้าน)

      14. ไนจีเรีย (4.348 ล้านล้าน)

      13. ซาอุดีอาระเบีย (4.694 ล้านล้าน)

      12. ฝรั่งเศส (4.705 ล้านล้าน)

      11. ตุรกี (5.184 ล้านล้าน)

      10. สหราชอาณาจักร (5.369 ล้านล้าน)

      9. เยอรมนี (6.138 ล้านล้าน)

      8. ญี่ปุ่น (6.779 ล้านล้าน)

      7. เม็กซิโก (6.863 ล้านล้าน)

      6. รัสเซีย (7.131 ล้านล้าน)

      5. บราซิล (7.54 ล้านล้าน)

      4. อินโดนีเซีย (10.502 ล้านล้าน)

      3. สหรัฐอเมริกา (34.102 ล้านล้าน)

      2. อินเดีย (44.128 ล้านล้าน)

      1. จีน (58.499 ล้านล้าน)

 

ภาพประกอบ: Karin Foxx

อ้างอิง:

The post ‘PwC’ คาด ปี 2050 อินเดียคว่ำสหรัฐฯ เพื่อนบ้านอาเซียนเรียงคิวแซงหน้าไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/pwc-ranking-of-biggest-economies-ppp-2050/feed/ 0