กระเป๋า – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 30 Apr 2024 03:42:25 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.1 FREITAG MONO[PA6] กระเป๋ายุคใหม่ทั้งใบใช้วัสดุแบบเดียว รีไซเคิลง่ายขึ้น https://thestandard.co/life/freitag-monopa6 Tue, 30 Apr 2024 03:42:03 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=928313 FREITAG MONO[PA6]

กระเป๋าเป้เป็นมิตรต่อโลก และมีขายแค่ 5 ที่ในโลก   […]

The post FREITAG MONO[PA6] กระเป๋ายุคใหม่ทั้งใบใช้วัสดุแบบเดียว รีไซเคิลง่ายขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
FREITAG MONO[PA6]

กระเป๋าเป้เป็นมิตรต่อโลก และมีขายแค่ 5 ที่ในโลก

 

FREITAG MONO[PA6]

 

FREITAG คือแบรนด์กระเป๋าที่มุ่งมั่นในการนำวัสดุเหลือใช้มาสร้างเป็นกระเป๋ามาโดยตลอด พอพูดถึงแบรนด์นี้วัสดุที่หลายคนคุ้นเคยคงจะเป็นผ้าใบรถบรรทุกหลากสี แต่ในปัจจุบันเขากำลังก้าวข้ามวัสดุเดิมๆ ด้วยการเปิดตัวกระเป๋ารุ่นใหม่อย่าง FREITAG MONO[PA6] เป็นกระเป๋าเป้ที่ใช้วัสดุเดียวกันทั้งใบตั้งแต่ผ้ายันซิป ทำให้ง่ายต่อการรีไซเคิลเมื่อไม่ใช้กระเป๋าแล้ว

 

 

วัสดุชนิดเดียวทั้งใบ

อย่างที่เกริ่นไปว่าเจ้ากระเป๋ารุ่นนี้เขาใช้วัสดุชนิดเดียวกันทั้งใบ ตั้งแต่ตัวผ้ากระเป๋า ซิป สายสะพาย โดยวัสดุที่เลือกใช้คือ Polyamide / PA6 หรือว่าไนลอน เหตุผลที่ใช้ไนลอนเพราะมีความทนทาน ทางแบรนด์บอกว่ากระเป๋าทรงนี้ปกติต้องใช้ชิ้นส่วนทั้งหมด 17 ชิ้น ถ้าใช้วัสดุอื่นเวลาเรานำไปรีไซเคิลน่าจะต้องใช้ขั้นตอนเยอะมาก แต่พอใช้วัสดุเดียวมันทำให้การจะนำไปรีไซเคิลต่อง่ายขึ้น และปกติเนื้อผ้าไนลอนถ้าอยากให้มีคุณสมบัติกันน้ำส่วนใหญ่จะต้องเคลือบสารเคมีในเนื้อผ้า แต่ผ้าไนลอนของใบนี้มีการทอแบบพิเศษ ทำให้ไม่ต้องเคลือบสารเคมีแต่มีคุณสมบัติการกันน้ำได้

 

 

มีใบเดียวไปได้ทุกที่

การจะมีกระเป๋าที่ Sustain มันต้องลงทุนครั้งเดียวแล้วจบ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ซึ่งกระเป๋าใบนี้เป็นแบบนั้น เพราะน้ำหนักเบา ไปได้ทุกที่ แถมซื้อเป้ 1 ใบ ได้กระเป๋า 2 ใบ! โดยในเป้จะมีกระเป๋าใบเล็กติดมาด้วย สามารถถอดออกมาใช้เป็นกระเป๋าสะพายข้างได้ ส่วนตัวเป้เองเป็นดีไซน์แบบม้วนปิด (Roll Top) ทำให้ปรับขนาดความจุได้ ไม่ต้องซื้อกระเป๋าหลายใบ นอกจากนี้ข้างในยังมีช่องใส่แล็ปท็อปได้อีกด้วย

 

FREITAG MONO[PA6]

 

ใครที่สนใจเป็นเจ้าของกระเป๋า FREITAG MONO[PA6] อาจจะต้องรีบกันหน่อย เพราะในไทยมีแค่ 100 ใบเท่านั้น และวางจำหน่ายแค่ 5 เมืองทั่วโลกเท่านั้น คือกรุงเทพฯ (สีลม), ซูริก, โตเกียว (ชิบูย่า), เซี่ยงไฮ้ และโซล ราคา 14,200 บาท

 

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.freitag.ch/en/monopa6

 

ภาพ: FREITAG

The post FREITAG MONO[PA6] กระเป๋ายุคใหม่ทั้งใบใช้วัสดุแบบเดียว รีไซเคิลง่ายขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อแบรนด์หรูกลายเป็นฝันที่ไกลเกินเอื้อม เพราะตั้งราคาที่ (คนทั่วไป) ไม่อาจเข้าถึงได้ (และขึ้นไม่หยุด) อาจเป็นผลร้ายมากกว่าดี https://thestandard.co/life/luxury-brands-with-out-of-reach-price Thu, 22 Feb 2024 09:13:17 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=903081 แบรนด์หรู

ช่วงนี้หลายๆ แบรนด์หรูได้รับความนิยมจากลูกค้าที่มีกำลัง […]

The post เมื่อแบรนด์หรูกลายเป็นฝันที่ไกลเกินเอื้อม เพราะตั้งราคาที่ (คนทั่วไป) ไม่อาจเข้าถึงได้ (และขึ้นไม่หยุด) อาจเป็นผลร้ายมากกว่าดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบรนด์หรู

ช่วงนี้หลายๆ แบรนด์หรูได้รับความนิยมจากลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่สำหรับแบรนด์อื่นๆ ที่พยายามเจาะตลาดกลุ่มนี้อาจทำให้ลูกค้าประจำของพวกเขารู้สึกถูกทอดทิ้ง

 

หุ้นของ Hermès ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.8% ในตลาดยุโรปเมื่อวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ หลังจากที่ผู้ผลิตกระเป๋า Birkin ประกาศว่า ยอดขายในช่วง 3 เดือน (สิ้นสุดเดือนธันวาคม) เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน 

 

การเพิ่มราคาเฉลี่ยของสินค้า Hermès ในปี 2023 ที่ 7% ช่วยเพิ่มรายได้ของแบรนด์ และส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานทั้งปีเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 42% ความต้องการมีอยู่ทุกภูมิภาค รวมถึงในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Hermès ได้เปิดร้านใหม่ที่แอสเพน โคโลราโด และใกล้กับลอสแอนเจลิส 

 

ผลประกอบการที่ประกาศออกมานี้ สร้างความประหลาดใจด้วยข้อมูลที่ว่า ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายในสินค้าหรูที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน แม้ว่ามูลค่าหุ้นแบรนด์หรูจะอ่อนแอลงเนื่องจากความกังวลว่ายอดขายอาจลดลง เนื่องจากชาวอเมริกันและยุโรปเริ่มใช้จ่ายน้อยลงหลังจากการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมา 3 ปี

 

และแม้จะมีผลประกอบการที่น่าพอใจจากบริษัทใหญ่ๆ เช่น เครือ Louis Vuitton แต่มูลค่าหุ้นแบรนด์หรูขนาดใหญ่ยังคงถูกกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 15% ทว่า Hermès กลับเป็นข้อยกเว้น เพราะมีราคาเพิ่มขึ้น 6%

 

ประสิทธิภาพของแบรนด์ต่างๆ เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น แบรนด์ที่มีราคาแพงมากอย่าง Brunello Cucinelli เพิ่มยอดขายได้ 16% ในไตรมาสล่าสุด ในขณะที่ LVMH เพิ่มยอดขายได้ 10% เหนือกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อยที่ 9% ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา

 

แต่แบรนด์ที่เน้นแฟชั่นมากขึ้น เช่น Burberry และ Salvatore Ferragamo รายงานว่ายอดขายลดลงในไตรมาสล่าสุด เช่นเดียวกับ Yves Saint Laurent, Bottega Veneta และ Gucci ที่มี Kering เป็นเจ้าของ ซึ่งจดทะเบียนในปารีส

 

เงินเฟ้อได้ลดทอนอำนาจซื้อและความมั่นใจของผู้บริโภคชนชั้นกลาง และในช่วงการแพร่ระบาดของโรคร้าย เงินเก็บได้ถูกหยิบใช้จนหมด สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อแบรนด์ที่มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มที่อยู่ในจุดเริ่มต้นของการเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์หรู ขณะที่แบรนด์ที่มีลูกค้าระดับสูง เช่น Hermès และ Louis Vuitton พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นธุรกิจที่มีเกราะป้องกันจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดีกว่า

 

การเพิ่มราคาอย่างมากอาจเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับบางบริษัท ผู้บริหารในอุตสาหกรรมสินค้าหรูต่างพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการทำให้แบรนด์ของตนมีความพิเศษมากขึ้นในสายตาของผู้บริโภค 

 

ตามการวิเคราะห์โดยแพลตฟอร์มข้อมูลการค้าปลีก Edited ราคาเฉลี่ยของสินค้าหรูที่ขายออนไลน์ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 64% ระหว่างปี 2019-2024 

 

ความเสี่ยงสำหรับบางแบรนด์คือ ผู้ซื้อที่พวกเขาพึ่งพามาโดยตลอดนั้น ณ ตอนนี้อาจถูกกีดกันออกจากตลาดแล้ว จากราคาที่แพงขึ้นอย่างมาก ซึ่งกำลังซื้อของลูกค้าระดับบนอาจไม่สามารถมาชดเชยได้ 

 

ตัวอย่างเช่น กระเป๋ารุ่นใหม่บางรุ่นจาก Burberry มีราคาสูงถึง 3,500 ดอลลาร์ หรือ 1.23 แสนบาท ผู้ซื้ออาจตัดสินใจว่าหากพวกเขาจะใช้จ่ายเงินจำนวนนั้น อาจเลือกซื้อแบรนด์คลาสสิกอย่าง Louis Vuitton แทน

 

การเพิ่มราคาอาจเปลี่ยนแปลงการเลือกซื้อสินค้าหรูของผู้บริโภคได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น จิวเวลรี มีชื่อเสียงว่าเป็นหมวดหมู่ที่มีราคาแพง นักวิเคราะห์จาก UBS ชี้ว่า สร้อยข้อมือ ‘LOVE’ ของ Cartier มีราคาเท่ากับกระเป๋า CHANEL Jumbo Classic Flap ในปี 2019 แต่ตอนนี้ราคาถูกลง 30% นี่อาจเป็นหนึ่งเหตุผลว่าทำไมยอดขายจิวเวลรีของ Richemont เจ้าของ Cartier และ Bulgari ที่เป็นเจ้าของโดย LVMH จึงแข็งแกร่ง

 

สำหรับบางแบรนด์ การเพิ่มราคาอย่างมากในช่วงเวลาที่มองว่าดี อาจเริ่มทำให้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้

 

ภาพ : Mike Kemp / In Pictures via Getty Images

อ้างอิง:

The post เมื่อแบรนด์หรูกลายเป็นฝันที่ไกลเกินเอื้อม เพราะตั้งราคาที่ (คนทั่วไป) ไม่อาจเข้าถึงได้ (และขึ้นไม่หยุด) อาจเป็นผลร้ายมากกว่าดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
Jacquemus จับมือ Nike เปิดตัวกระเป๋ารุ่น The Swoosh Bag ที่เตรียม Sold Out แน่นอน https://thestandard.co/the-swoosh-bag-jacquemus-nike/ Thu, 22 Feb 2024 07:12:42 +0000 https://thestandard.co/?p=903013

Jacquemus จับมือ Nike เปิดตัวกระเป๋ารุ่น The Swoosh Bag […]

The post Jacquemus จับมือ Nike เปิดตัวกระเป๋ารุ่น The Swoosh Bag ที่เตรียม Sold Out แน่นอน appeared first on THE STANDARD.

]]>

Jacquemus จับมือ Nike เปิดตัวกระเป๋ารุ่น The Swoosh Bag ที่ Jacquemus ได้มีการนำสัญลักษณ์โลโก้ที่ผู้คนจดจำได้อย่าง Swoosh ซึ่งอยู่คู่ Nike มายาวนานถึง 54 ปี มาดีไซน์เป็นกระเป๋าที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

 

The Swoosh Bag เป็นกระเป๋าหนังสะพายไหล่ที่มาพร้อมกับซิลูเอต Swoosh อันเป็นโลโก้ของ Nike และซิปที่ใช้เปิดตามส่วนโค้งเว้าของกระเป๋า โดยมีสัญลักษณ์แบรนด์ Jacquemus ประดับอยู่ด้านข้าง ซึ่ง Jacquemus ได้เผยโฉมกระเป๋าสุดยูนีกเป็นครั้งแรกผ่าน Instagram ไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (21 กุมภาพันธ์) ด้วยภาพมือหญิงปริศนาที่ถือกระเป๋าใบนี้อยู่ พร้อมกับเขียนแคปชันว่า “ทายสิว่าใครจะมาขึ้นแคมเปญ”

 

เมื่อแฟนๆ ได้เห็นภาพดังกล่าวที่เผยให้เห็นรอยสักอันคุ้นเคยที่ปลายแขน รวมไปถึงเล็บอะคริลิกที่ทั้งยาวและถูกฝนให้แหลมสีชมพูอ่อนอันคุ้นตา จึงเดากันไม่ยากว่าคนที่จะมาขึ้นแคมเปญสำหรับกระเป๋า The Swoosh Bag ก็คือนักวิ่งหญิงที่เร็วที่สุดในโลกวัย 23 ปีอย่าง Sha’Carri Richardson นั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือออกมาว่าเธอได้เซ็นสัญญาร่วมงานกับ Nike หลายโปรเจกต์ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วด้วย

 

สำหรับ Jacquemus และ Nike นั้นมีความสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด โดย Simon Porte Jacquemus ได้ร่วมงานกับ Nike เป็นครั้งแรกสำหรับแคมเปญทีมฟุตบอลฝรั่งเศสในปี 2018 ก่อนที่ Jacquemus จะเปิดตัวคอลเล็กชันแอ็กทีฟแวร์ที่ออกแบบร่วมกับ Nike ในอีก 2 ปีต่อมา ซึ่งในคอลเล็กชันนี้ก็มีไอเท็มไฮไลต์อย่างรองเท้ารุ่น Air Humara ที่หลายคนอยากจับจองเป็นเจ้าของ และเมื่อปีก่อนทั้งสองก็ยังมีการเปิดตัวรองเท้าที่ทำร่วมกันออกมาอีกหลายรุ่น

 

The Swoosh Bag จะวางขายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ โดยมีราคาอยู่ที่ 420 ยูโร หรือราว 17,400 บาท ผู้ที่สนใจสามารถไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ของ Jacquemus ได้แล้ววันนี้

 

ภาพ: Jacquemus

อ้างอิง:

The post Jacquemus จับมือ Nike เปิดตัวกระเป๋ารุ่น The Swoosh Bag ที่เตรียม Sold Out แน่นอน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Louis Vuitton วางขายกระเป๋า Millionaire Speedy ราคา 36 ล้านบาท ออกแบบโดย Pharrell Williams https://thestandard.co/lv-millionaire-speedy-pharrell/ Thu, 09 Nov 2023 13:04:48 +0000 https://thestandard.co/?p=864175 Pharrell Williams คอลเล็กชันแรกกับ Louis Vuitton

Pharrell Williams เปิดตัวคอลเล็กชันแรกของ Louis Vuitton […]

The post Louis Vuitton วางขายกระเป๋า Millionaire Speedy ราคา 36 ล้านบาท ออกแบบโดย Pharrell Williams appeared first on THE STANDARD.

]]>
Pharrell Williams คอลเล็กชันแรกกับ Louis Vuitton

Pharrell Williams เปิดตัวคอลเล็กชันแรกของ Louis Vuitton ในฐานะครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนใหม่ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยไอเท็มที่เขาโฟกัสเป็นพิเศษและน่าจะกลายเป็นชิ้นไฮไลต์ที่หลายคนรอเป็นเจ้าของก็คือ กระเป๋ารุ่น Speedy และหนึ่งนั่นคือเวอร์ชันระดับอัลตราลักชัวรีที่มีราคาสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36 ล้านบาท ที่ชื่อรุ่นว่า Millionaire

 

และล่าสุดทาง P.J. Tucker นักบาสเกตบอล NBA ของทีม Los Angeles Clippers ได้โพสต์รูป Screen Shot ลงบน Instagram ที่คาดว่าน่าจะเป็นเอกสารภายในที่ส่งให้ลูกค้าสำหรับการสั่งทำกระเป๋า Millionaire Speedy ที่จะมาพร้อมกับ 4 สีใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง, เขียว, ขาว และน้ำตาล

 

โดยรุ่นต้นฉบับหรือใบแรกที่ Pharrell Williams ใช้ออกงานเป็นประจำ เป็นกระเป๋าหนังจระเข้แบบนิ่มสีเหลืองที่พิมพ์ลายโมโนแกรมสีขาวของ LV ลงไปอีกที ตัวฮาร์ดแวร์ทั้งหมุด ซิป ตัวคล้องกระเป๋า หัวเข็มขัดที่หูจับ และสายโซ่ ทำมาจากทองคำ และมีตัวล็อกแม่กุญแจฝั่งเพชรห้อยที่ด้านข้าง

 

สำหรับกระเป๋ารุ่น Speedy ถือว่าเป็นตัวชูโรงของ Louis Vuitton ฝั่งผู้ชายในยุคของ Pharrell Williams เพราะก่อนที่แฟชั่นโชว์จะเกิดขึ้น ทางแบรนด์ได้ปล่อยแคมเปญที่ได้ Rihanna มาถือกระเป๋ารุ่นนี้ในหลากหลายสี ก่อนที่จะเริ่มกระจายให้คนวงในและดาราถือแบบเงียบๆ ก่อนวางขาย ตั้งแต่ LeBron James, Jackson Wang และ Jacob Elordi

 

ภาพ: Swan Gallet / WWD via Getty Images 

อ้างอิง:

The post Louis Vuitton วางขายกระเป๋า Millionaire Speedy ราคา 36 ล้านบาท ออกแบบโดย Pharrell Williams appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมเจอร์ จับมือ พรอนโต้ เปลี่ยน ‘จอหนังไม่ใช้แล้ว’ เป็นกระเป๋าเทรนด์รักษ์โลก เปิดพรีออร์เดอร์ 1 พ.ย. ราคา 590-1,290 บาท https://thestandard.co/major-cineplex-x-pronto/ Thu, 26 Oct 2023 05:48:04 +0000 https://thestandard.co/?p=858853 Major Cineplex x Pronto กระเป๋ารักษ์โลก

Circular Economy หรือการนำทรัพยากรเหลือใช้กลับมาหมุนเวี […]

The post เมเจอร์ จับมือ พรอนโต้ เปลี่ยน ‘จอหนังไม่ใช้แล้ว’ เป็นกระเป๋าเทรนด์รักษ์โลก เปิดพรีออร์เดอร์ 1 พ.ย. ราคา 590-1,290 บาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
Major Cineplex x Pronto กระเป๋ารักษ์โลก

Circular Economy หรือการนำทรัพยากรเหลือใช้กลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่เป็นเทรนด์ที่องค์กรต่างๆ กำลังหันมาให้ความสนใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์’

 

ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เมเจอร์ได้นำจอหนังที่ไม่ได้ใช้งานแล้วมาผลิตเป็นกระเป๋า เนื่องจากได้เปลี่ยนจากเครื่องฉายระบบดิจิทัลเป็นเครื่องฉายระบบเลเซอร์ จึงต้องเปลี่ยนจอฉายภาพยนตร์ใหม่เป็นจอ Silver Screen

 

โดยการนำจอหนังธรรมดาที่เป็นผืนผ้าพลาสติกมาพัฒนาออกแบบและตัดเย็บเป็นกระเป๋า ซึ่งเวอร์ชันที่ 1 ออกจำหน่ายครั้งแรกพร้อมกับกระแสตอบรับอย่างดี จำหน่ายไปแล้ว 1,000 ใบ ซึ่งช่วยลดขยะจากจอหนังไปจำนวน 25 จอ

 

ล่าสุดเมเจอร์ได้ผนึกความร่วมมือ คอลลาบอเรชันกับแบรนด์ไฮสตรีทแฟชั่นสุดฮิตของเมืองไทย Pronto สร้างงานเอ็กซ์คลูซีฟ กระเป๋าจากจอหนังเวอร์ชันที่ 2 ซึ่งมีกระเป๋าให้เลือกใช้ด้วยกัน 3 ขนาด ดังนี้ 

  1. M-Pouch ราคาใบละ 590 บาท มีขนาดกะทัดรัด ออกแบบโดยอ้างอิงจากบัตร M Pass เน้นใส่ของเล็กๆ เช่น บัตรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชน, บัตร ATM, ใบขับขี่, เงินสด หรือที่ขาดไม่ได้เลยคือโทรศัพท์มือถือ สามารถพกไปไหนมาไหนได้ง่ายด้วยการห้อยสายคล้องคอได้

 

ความพิเศษของกระเป๋าใบเล็กในคอลเล็กชันเวอร์ชัน 2 นี้ สามารถนำไปคล้องติดเข้ากับกระเป๋าใบกลางและใบใหญ่ได้ ด้วยตัวล็อก Carabiner ที่ทาง Pronto ไปหาจากแหล่งผลิตที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลจากเกาะเต่าที่มีชื่อแบรนด์ว่า Plas-Tao หรือ พลาสเต่า เป็นโปรเจกต์ของร้านเล็กๆ ของคนในพื้นที่เกาะเต่า ซึ่งเห็นว่าเกาะเต่าไม่มีสินค้าหรือของฝากที่ขึ้นชื่อเหมือนเกาะอื่นๆ จึงมีความคิดว่าขยะจากเกาะเต่านี่แหละจะเป็นของฝากจากที่นี่ เพราะนอกจากจะมีของฝากที่ไม่เหมือนใครแล้ว ยังเป็นการช่วยกันลดขยะในเกาะได้อีกด้วย

 

  1. M-Pop ราคาใบละ 1,290 บาท ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากกล่องป๊อปคอร์น เป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป บุด้วยผ้าพลาสติก 2 ชั้น เหมาะสำหรับใส่ของที่มากขึ้น เช่น กระเป๋าสตางค์, พาวเวอร์แบงก์, แว่นตา, เครื่องสำอาง, หมวก, กระติกน้ำ เป็นต้น

 

  1. M-Tote ราคาใบละ 990 บาท ที่ถือติดตัวไปไหนได้ตลอดทั้งวัน ตอบโจทย์คนที่ต้องพกพาของใช้ติดตัวเยอะ หรือไปช้อปปิ้งระหว่างวัน ใบนี้เอาอยู่ เก็บได้สบายๆ สามารถติดสายสะพายเพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน หรือถ้าของไม่เยอะก็สามารถถือชิลๆ ได้เลย

 

สำหรับการวางจำหน่ายจะวางจำหน่ายเฉพาะที่ Shop Pronto และทาง Major Mall Official Store ผ่านออนไลน์ Shopee และ Lazada โดยจะเริ่มเปิดรับพรีออร์เดอร์ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ผ่านช่องทางออนไลน์ Shopee และ Lazada

The post เมเจอร์ จับมือ พรอนโต้ เปลี่ยน ‘จอหนังไม่ใช้แล้ว’ เป็นกระเป๋าเทรนด์รักษ์โลก เปิดพรีออร์เดอร์ 1 พ.ย. ราคา 590-1,290 บาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
JASPAL GROUP ขยายตลาด ส่งแบรนด์ฮิตลุยอาเซียน​ [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/jaspal-group/ Wed, 13 Sep 2023 03:00:23 +0000 https://thestandard.co/?p=837539 JASPAL GROUP

ชื่อแบรนด์ ‘ยัสปาล (JASPAL)’ เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในแบรนด […]

The post JASPAL GROUP ขยายตลาด ส่งแบรนด์ฮิตลุยอาเซียน​ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
JASPAL GROUP

ชื่อแบรนด์ ‘ยัสปาล (JASPAL)’ เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่หลายคนคุ้นเคย จากการสร้างสรรค์สินค้าแฟชั่นที่สวยงามและทันสมัย ตอบโจทย์เหล่าคนรักแฟชั่นที่อัปเดตและตามเทรนด์มาโดยตลอด ทั้งดีไซน์ที่เป็นสากล คุณภาพการตัดเย็บ บริการที่ดีในราคาที่เข้าถึงได้

 

แต่รู้หรือไม่ว่า JASPAL ไม่ใช่เพียงชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นชื่อบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีกแฟชั่นมายาวนาน คือ บมจ.ยัสปาล หรือ JPC ที่มีแบรนด์ในมือกว่า 25 แบรนด์ ทั้งแบรนด์ที่เป็นเจ้าของเอง (In-House Brand) และแบรนด์ที่ได้รับสิทธิ์ในการบริหาร (Import Brand)

 

จนทำให้ JASPAL GROUP เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสินค้าแฟชั่นของภูมิภาค และเป็นบริษัทไทยที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าเฉพาะอย่าง (ปี 2563-2565) ท่ามกลางตลาดค้าปลีกเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นที่มีการแข่งขันสูงและมีผู้เล่นหลายราย

 

อะไรทำให้ JASPAL GROUP ยืนหนึ่งในสนามแข่งขันอันดุเดือด และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า? เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ หรือแม้แต่เครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์ที่คุณใช้อยู่ อยู่ในจักรวาลของ JASPAL GROUP หรือไม่? มาดูกัน!

 

JASPAL GROUP

 

ส่องธุรกิจและแบรนด์ภายใต้จักรวาล JASPAL GROUP

 

JASPAL GROUP ทำธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น และสินค้าไลฟ์สไตล์ รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน เครื่องนอน ของตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ ทั้งในส่วนที่เป็น In-House Brand และ Import Brand โดยสามารถแบ่งธุรกิจของ JASPAL GROUP ในปัจจุบันได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

 

  • ธุรกิจสินค้าแฟชั่น: มีสินค้ามากกว่า 113,000 SKUs ครอบคลุมสินค้าตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง และแว่นตา โดยเป็น In-House Brand 10 แบรนด์ และ Import Brand 9 แบรนด์ คิดเป็นสัดส่วน 83% ของรายได้จากการขาย

 

JASPAL GROUP

 

  • ธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน: ที่นอน เครื่องนอน ของตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ ประกอบด้วย In-House Brand 3 แบรนด์ และ Import Brand 3 แบรนด์ มีสินค้ากว่า 21,500 SKUs และมีสัดส่วนประมาณ 17% ของรายได้จากการขาย

 

JASPAL GROUP

 

เจาะลึกความแข็งแกร่งของ JASPAL GROUP

 

การที่ JASPAL GROUP ก่อตั้งมายาวนานกว่า 70 ปี ทำให้บริษัทและทีมงานเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงและเข้าใจอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอย่างดี ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จึงสามารถนำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบสร้างสรรค์และจัดหา เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ่านแบรนด์พอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ตอบสนองไลฟ์สไตล์ด้านแฟชั่นของผู้บริโภคที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ภายใต้การยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ลูกค้าได้ค้นพบทุกไลฟ์สไตล์ที่ลูกค้าปรารถนา ในระดับราคาที่ลูกค้าเข้าถึงได้ ผ่านช่องทางการจำหน่ายทั้งร้านค้าและออนไลน์

 

โดยหนึ่งในจุดเด่นของ JASPAL GROUP คือการต่อยอดแบรนด์สินค้าแฟชั่นสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจรมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น C.P.S. COFFEE คาเฟ่สไตล์ Specialty Coffee & Lifestyle Bar ที่ต่อยอดมาจากแบรนด์แฟชั่น CPS CHAPS และธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางแบรนด์ LYN BEAUTY ซึ่งขยายมาจากแบรนด์ LYN ที่จำหน่ายกระเป๋าและรองเท้าแฟชั่น โดยจะเน้นการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคในปัจจุบัน เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าและสนับสนุนการเติบโตของรายได้ของบริษัท

 

JASPAL GROUP

 

JASPAL GROUP ส่งแบรนด์ฮิตพร้อมก้าวสู่ผู้นำธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ในอาเซียน

 

จากแบรนด์สินค้าที่หลากหลาย ทั้ง In-House Brand และ Import Brand ซึ่งมีเอกลักษณ์และการออกแบบที่แตกต่างกัน ทำให้ JASPAL GROUP ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ผ่านช่องทางสาขาและจุดจำหน่ายสินค้ากว่า 970 สาขา ทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทมีสาขาและจุดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ภายใต้แบรนด์ยอดนิยมต่างๆ เช่น

 

  • LYN: แบรนด์แฟชั่นกระเป๋า รองเท้า และเครื่องประดับ ภายใต้คอนเซปต์แฟชั่นที่มีความหรูหราและทันสมัยในราคาที่เข้าถึงได้ สำหรับผู้หญิงวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน
  • CC DOUBLE O: แบรนด์เสื้อผ้าสไตล์ American Casual เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงและผู้ชาย อายุ 18 ปีขึ้นไป
  • Jelly Bunny: เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น ด้วยผลิตภัณฑ์สีสันสดใส ลวดลายน่ารัก แสดงถึงไลฟ์สไตล์ที่สนุกสนาน ผ่านซิกเนเจอร์ของแบรนด์คือโลโก้กระต่าย (Bunny)
  • Lyn Around: แบรนด์เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่เน้นรายละเอียดและนำเสนอความเป็นผู้หญิง (Feminine) ผ่านการออกแบบลายพิมพ์ที่มีเอกลักษณ์
  • CPS CHAPS: แบรนด์แฟชั่นสุดเท่ภายใต้คอนเซปต์ ‘CREATIVITY. PASSION. SELF.’ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสร้างสรรค์

 

นอกจากนี้ยังมีการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ และมีแผนขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต ซึ่งจะดูจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย

 

โดย JASPAL GROUP จะใช้ความได้เปรียบจากการเป็นผู้นำธุรกิจในประเทศไทย และชื่อเสียงของแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อทำการตลาดและสร้างการจดจำแบรนด์ในต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ JASPAL ถือเป็นแบรนด์แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำ Brand Collaboration ร่วมกับดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกในการสร้างสรรค์คอลเล็กชันพิเศษ และมีการใช้เซเลบริตี้ระดับโลกมาเป็นพรีเซนเตอร์

 

ด้วยรากฐานธุรกิจอันแข็งแกร่งและภาพลักษณ์แบรนด์ระดับสากล จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ บมจ.ยัสปาล สามารถก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ชั้นนำ และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้เป็นที่ยอมรับในวงการแฟชั่นโลกต่อไป

 

อ้างอิง:

The post JASPAL GROUP ขยายตลาด ส่งแบรนด์ฮิตลุยอาเซียน​ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ด้วยรักและคลาสสิก ย้อนฝีเข็ม CELINE Triomphe Bag สู่จุดกำเนิดกระเป๋าสุดไอคอนิกแห่งยุค https://thestandard.co/celine-triomphe-bag/ Thu, 06 Jul 2023 08:53:09 +0000 https://thestandard.co/?p=813116

เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่คุณจะต้านทานแรงดึงดูด มนตร์เสน […]

The post ด้วยรักและคลาสสิก ย้อนฝีเข็ม CELINE Triomphe Bag สู่จุดกำเนิดกระเป๋าสุดไอคอนิกแห่งยุค appeared first on THE STANDARD.

]]>

เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่คุณจะต้านทานแรงดึงดูด มนตร์เสน่ห์ และกลิ่นอายแบบชาวปารีเซียงของ ‘Triomphe Bag’ ไอเท็มสุดฮิตที่ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในไอคอนิกของแบรนด์อย่าง CELINE 

 

นี่คือกระเป๋าจาก CELINE ที่เราและใครอีกหลายๆ คนมักจะได้เห็น ‘Lisa’ ศิลปินดังระดับโลกในฐานะ CELINE Global Brand Ambassador สะพายขึ้นไหล่ประทับบ่าไปเฉิดฉายตามงานพรมแดงและในทุกๆ โอกาสอยู่เสมอ

 

 

ไอเท็มสุดคลาสสิกที่เรามักจะเห็น Lisa ศิลปินระดับโลกจากวง BLACKPINK ในฐานะ CELINE Global Brand Ambassador ใช้งานอยู่เป็นประจำจนกลายเป็นภาพชินตา

 

ไม่เพียงแต่ Lisa เท่านั้น แต่เหล่าเซเลบริตี้ คนดัง​ ศิลปินระดับโลกอีกมาก เช่น Kaia Gerber, Selena Gomez, Emily Ratajkowski, Angelina Jolie หรือแม้แต่ Park Bo Gum ต่างก็ตกหลุมรักและหลงใหลในดีไซน์สุดคลาสสิกที่ไร้ซึ่งข้อจำกัดทางกาลเวลามาตีกรอบของ CELINE Triomphe Bag เช่นกัน

 

 

จากประตูชัยฝรั่งเศส สู่การปลุกจิตวิญญาณแห่งชัยชนะ และความรักที่ไร้ซึ่งพรมแดนแห่งกาลเวลา

 

ในปี 2018 คือช่วงเวลาที่ Hedi Slimane (เอดี สลิมาน) ได้ก้าวขึ้นมากุมบังเหียนดูแลและสร้างมูฟเมนต์ใหม่ๆ ให้กับ CELINE ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์

 

Hedi Slimane (เอดี สลิมาน) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แบรนด์ CELINE

 

หนึ่งในสิ่งที่ดีไซเนอร์มากความสามารถผู้นี้ได้ผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง คือการที่เจ้าตัวได้มีโอกาสย้อนกลับไปศึกษางานเก่าๆ ในอดีตของ CELINE จาก Maison’s Archives แน่นอนว่างานของ CELINE ในช่วงยุค 70 ก็ถูกรวบรวมอยู่ในนี้ด้วย และแล้ว Hedi Slimane ก็ต้องเสน่ห์ดีไซน์โลโก้ Triomphe เข้าอย่างจัง! 

 

Hedi Slimane ได้ออกแบบกระเป๋าหนังรูปทรงสุดคลาสสิกที่มีภาพรวมละม้ายคล้ายทรง Classic Box แต่เพิ่มความโดดเด่นเป็นเท่าทวีด้วยฮาร์ดแวร์โลหะสีทองตรา Triomphe ที่ประทับตัวในฐานะกลไกตัวล็อกเปิด-ปิดกระเป๋า สะท้อนให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของดีไซน์ ความสวยงามร่วมสมัยที่ไร้เส้นแบ่งกาลเวลาได้อย่างลงตัว

 

ชื่อเรียกโลโก้ ‘Triomphe’ ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงชัยชนะ อ่านออกเสียงได้ว่า ทรี-อัมพ์ (TREE-UMPH) ซึ่งก็มาจากชื่อประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de Triomphe) นั่นเอง 

 

เหตุผลที่ Hedi Slimane ตั้งชื่อกระเป๋าใบที่สองที่เขาออกแบบให้กับ CELINE MAISON ว่า Triomphe Bag ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติและระลึกถึง Celine Vipiana ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ทั้งยังเปรียบเสมือนการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ของเจ้าตัวที่มี Triomphe เป็นหมุดในการเริ่มนับหนึ่งอีกด้วย

 

 

อะไรทำให้ CELINE Triomphe Bag เป็นกระเป๋าไอคอนิกที่ใครๆ ก็ต่างถวิลหา และคุณเองก็ควรมีไว้ในครอบครองสักใบ!?

 

จากการเปิดเผยของ CELINE เอง รู้หรือไม่ว่านับตั้งแต่ที่ Triomphe Bag เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2018 จวบจนถึงปัจจุบัน กระเป๋าสุดไอคอนิกรุ่นนี้ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องหนังยอดนิยมของ CELINE ซึ่งเป็นที่ต้องการ ถูกพูดถึง และถวิลหาโดยผู้คนทั่วโลกมากที่สุดเป็นลำดับต้นๆ มาโดยตลอด! 

 

ความพิเศษของ CELINE Triomphe Bag ที่ทำให้กระเป๋าใบนี้กลายเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมายก็คือการนำเอา ‘ความธรรมดาที่แสนเรียบง่าย’ ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลามาสอดแทรกใส่ลงไปในทุกๆ ดีเทลการออกแบบ 

 

ซึ่งก็สอดคล้องกับความตั้งใจของ Hedi Slimane ที่ออกแบบ Triomphe Bag เพื่อให้เป็นกระเป๋าที่คุณจะสามารถพกพาไปไหนมาไหน ใช้งานได้ในทุกๆ วัน ทุกๆ สถานการณ์แบบ Everyday Use (ตัวกระเป๋าสามารถปรับสายสั้น-ยาว เป็นได้ทั้งกระเป๋าสะพายไหล่แบบ Shoulder Bag หรือกระเป๋าสะพายข้างแบบ Crossbody Bag)

 

จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดย่อมหนีไม่พ้นชิ้นฮาร์ดแวร์โลหะตรา Triomphe สีทองที่โดดเด่นเป็นสง่า ตัดกันแต่ลงตัวกับตัวกระเป๋า ดูไม่มากไม่น้อย จนทำให้ภาพรวมของ Triomphe Bag ดูไม่เคอะเขินจนเกินไป ในทางตรงกันข้าม Triomphe กลับช่วยขับภาพรวมของกระเป๋าให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

 

ไม่เพียงเท่านั้น Hedi Slimane ยังเคารพในมรดกตกทอดและจิตวิญญาณดั้งเดิมของ CELINE ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เริ่มต้นจากการตัดเย็บรองเท้าเด็กอย่างพิถีพิถัน นั่นจึงทำให้ Triomphe Bag ของ CELINE ทุกรุ่นถูกตัดเย็บขึ้นด้วยวิธีการ ขั้นตอน และมาตรฐานของคุณภาพระดับชั้นสูงในทุกๆ มิติ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกใช้ ‘วัสดุเครื่องหนังคุณภาพชั้นเลิศ’ ซึ่งถูกคัดสรรมาอย่างดีเพื่อให้แน่ใจว่า Triomphe Bag ทุกใบจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ตัดเย็บออกมาอย่างดี ใส่ใจในทุกดีเทล และสวยงาม สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของชาวปารีเซียงและเสน่ห์ความเป็น CELINE ในทุกๆ ครั้งที่มีคนสะพายหรือนำ Triomphe Bag ประทับเหนือบ่าหรือสะพายอยู่บนไหล่

 

ซึ่ง Triomphe Bag ก็มีให้เลือกหลากหลายวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่ใช้วัสดุหนังลูกวัวให้ผิวสัมผัสแบบเงาและคงความคลาสสิก หรือโมเดลหนังจระเข้ที่เพิ่มเสน่ห์และมิติความน่าค้นหาให้กับ Triomphe Bag ดูแตกต่างจากเดิมไปอีกหลายเท่าตัว 

 

เมื่อเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของตรา Triomphe มาบรรจบกับความมุ่งมั่นที่อยากจะผลิตกระเป๋าหนังสะพายที่มีคุณภาพวัสดุและการตัดเย็บที่ดีที่สุด ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกมั่นใจในทุกๆ ครั้งและทุกโอกาสแบบไม่เคอะเขิน ด้วยดีไซน์ที่คงความคลาสสิก ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา

 

ทั้งหมดจึงทำให้ CELINE Triomphe Bag เป็นไอเท็มที่เราเชื่อว่า คุณจะไม่มีวันถอนตัวจากอาการตกหลุมรักกระเป๋าสุดไอคอนิกใบนี้ได้อย่างแน่นอน!

 

The post ด้วยรักและคลาสสิก ย้อนฝีเข็ม CELINE Triomphe Bag สู่จุดกำเนิดกระเป๋าสุดไอคอนิกแห่งยุค appeared first on THE STANDARD.

]]>
Scarlett Johansson ขึ้นแคมเปญใหม่ของ Prada สำหรับกระเป๋ารุ่น Galleria Bag https://thestandard.co/scarlett-johansson-prada-galleria-bag/ Thu, 18 May 2023 12:11:31 +0000 https://thestandard.co/?p=792430 Scarlett Johansson

Prada กลับมาพร้อมกับแคมเปญใหม่ของกระเป๋ารุ่น Galleria B […]

The post Scarlett Johansson ขึ้นแคมเปญใหม่ของ Prada สำหรับกระเป๋ารุ่น Galleria Bag appeared first on THE STANDARD.

]]>
Scarlett Johansson

Prada กลับมาพร้อมกับแคมเปญใหม่ของกระเป๋ารุ่น Galleria Bag อันเป็นรุ่นสุดคลาสสิกของแบรนด์ ซึ่งกระเป๋ารุ่นนี้ก็ได้รับความนิยมมาโดยตลอด ด้วยการผลิตที่เต็มไปด้วยความประณีต การใช้หนัง Saffiano อันทนทานเป็นแมตทีเรียล และตัวกระเป๋ายังใช้งานง่าย โดยแคมเปญนี้ทางแบรนด์ได้ตัวนักแสดงคนดังอย่าง Scarlett Johansson มาร่วมงาน

 

สำหรับแคมเปญ Galleria Bag ล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า ‘The Glass Age’ ได้ช่างภาพเชื้อสาย Venezuelan-American อย่าง Alex Da Corte เป็นผู้ที่มาถ่ายภาพให้ โดยภาพจากแคมเปญก็ออกมาดูสีสันสดใส ด้วยการเล่นกับบล็อกสีเข้ากันกับแพตเทิร์นดีไซน์ใหม่ของกระเป๋า และยังมีการเล่นกับเงาสะท้อนจากกระจกของทั้งตัวเธอและกระเป๋าอีกด้วย

 

กระเป๋า Galleria Bag รุ่นใหม่เป็นการร่วมงานระหว่าง Prada และศิลปินที่มีศิลปะแบบป๊อปอาร์ตและเซอร์เรียลิสม์เป็นแรงบันดาลใจหลักอย่าง Da Corte โดยมีเป้าหมายในการสรรเสริญความเป็นตัวตนของแบรนด์ ซึ่งโปรเจกต์นี้นับเป็นงานแรกที่ Da Corte ได้มาทำงานในแวดวงแฟชั่น หลังจากที่สร้างผลงานออกมาในหลากหลายรูปแบบนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ การแสดง ภาพวาด และงานประติมากรรม

 

ภาพ: Prada

อ้างอิง: 

The post Scarlett Johansson ขึ้นแคมเปญใหม่ของ Prada สำหรับกระเป๋ารุ่น Galleria Bag appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลงทุนในกระเป๋าหรูดีจริงไหม? 7 เคล็ดลับลงทุนในกระเป๋าหรูจากผู้เชี่ยวชาญ https://thestandard.co/7-tricks-designer-bags-investing/ Sat, 06 May 2023 01:00:10 +0000 https://thestandard.co/?p=785639

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาของกระเป๋า CHANEL รุ่นคลาสสิก […]

The post ลงทุนในกระเป๋าหรูดีจริงไหม? 7 เคล็ดลับลงทุนในกระเป๋าหรูจากผู้เชี่ยวชาญ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาของกระเป๋า CHANEL รุ่นคลาสสิกได้พุ่งสูงขึ้นถึง 100% ยังไม่นับกระเป๋าสุดหรูแบรนด์อื่นๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้กระเป๋ากลายเป็นที่ต้องการไม่เพียงแต่นักช้อปสายแฟชั่น แต่สำหรับนักลงทุนด้วย

 

ในความเป็นจริง การเติบโตของราคากระเป๋าหรูนั้นดีกว่าทั้งตลาดหุ้นและทองคำ อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณชะลอตัวด้วยซ้ำ โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นราวๆ 10% ส่วนทองคำมีมูลค่าเพิ่มขึ้นราวๆ 21% แต่อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่ากระเป๋า CHANEL มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 100% โดยในปี 2005 กระเป๋าคลาสสิกมีราคา 1,650 ดอลลาร์ (ราวๆ 56,000 บาท) ส่วนปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 10,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 338,000 บาท) ไปแล้ว และไม่ใช่แค่ CHANEL อย่างในปี 2000 เราอาจจะซื้อ Hermès Birkin ได้ในราคา 4,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 135,000 บาท) ส่วนตอนนี้ราคาอาจพุ่งขึ้นไปถึง 11,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 372,000 บาท) เลยทีเดียว

 

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่ากำไรงามๆ จะทำให้ต้องขายหุ้นหรือเอาเงินจากการลงทุนประเภทอื่นมาลงที่กระเป๋าหรูทั้งหมด เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องคำนึงถึงอีกมากมาย โดย Thomas Kralow นักลงทุนมืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดการเงิน และผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนออนไลน์ ได้ให้ความเห็นว่า “วินาทีที่กระเป๋าถูกใช้งาน มูลค่าก็จะเริ่มลดลงทันที นอกจากนี้ราคาของกระเป๋ายังได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสแฟชั่น ความชอบของผู้บริโภค และสภาวะเศรษฐกิจด้วย ซึ่งตลาดกระเป๋าหรูมีการเก็งกำไรสูงและอาจมีความผันผวน ดังนั้นต้องมั่นใจว่าเรามีกระเป๋าที่เป็นที่ต้องการจริงๆ”

 

และนี่คือ 7 เคล็ดลับสำหรับนักสะสมที่อยากจะเข้ามาลงทุนในกระเป๋าแบรนด์สุดหรู

 


 

 

1. เลือกรุ่นที่มีความคลาสสิก เช่น CHANEL Flap Bag ก็ไม่เคยตกเทรนด์เลย ซึ่งถ้าลงทุนในสินค้ากระแสนิยมเพียงอย่างเดียว ก็มีโอกาสที่จะขายไม่ได้เป็นเวลาหลายปี

 

 

2. เลือกรุ่นที่มีเอกลักษณ์และมีจำนวนจำกัด จะเพิ่มมูลค่ามากขึ้นในอนาคต เช่น กระเป๋า Himalaya Birkin ซึ่งเป็นหนึ่งในกระเป๋าที่แพงที่สุดตลอดกาล โดยขายทอดตลาดในราคากว่า 440,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 15 ล้านบาท) หรือกระเป๋า Ombré Birkin ก็เป็นกระเป๋าราคาดีที่เป็นที่ต้องการของตลาด

 

 

3. เลือกดีไซน์และสีกลางๆ เพราะเป็นที่ต้องการเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่าการเลือกรูปแบบที่หวือหวาฉูดฉาด

 

 

4. อย่าลืมเก็บใบรับประกันและบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยพิสูจน์ความถูกต้องของกระเป๋าได้เมื่อขายต่อ

 

 

5. จงเลือกซื้อตามงบประมาณที่มี เพราะถึงจะมั่นใจว่าขายต่อได้แต่ก็อาจจะต้องใช้เวลา ถ้าหากต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือใช้เงินในอนาคตมาซื้อ ก็อาจจะสูญกำไรไปกับดอกเบี้ยหรือค่าเงินเฟ้อ

 

 

6. ลงทุนในเครื่องประดับหรูหราอื่นๆ เช่น นาฬิกาแบรนด์ Rolex และ Patek Philippe ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

7. การลงทุนในกระเป๋าหรูไม่ควรเป็นเงินลงทุนหลัก แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการลงทุนที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง การลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรยังคงเป็นสิ่งจำเป็น


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อ้างอิง:

The post ลงทุนในกระเป๋าหรูดีจริงไหม? 7 เคล็ดลับลงทุนในกระเป๋าหรูจากผู้เชี่ยวชาญ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gucci Cosmos นิทรรศการสไตล์ Immersive ที่ตอกย้ำความสำคัญของแบรนด์ Gucci ตลอด 102 ปีอย่างลงตัว https://thestandard.co/gucci-cosmos/ Sun, 30 Apr 2023 04:32:53 +0000 https://thestandard.co/?p=783219 Gucci Cosmos

ในรอบ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา สำหรับผมแล้วแบรนด์ Gucci ถือได้ […]

The post Gucci Cosmos นิทรรศการสไตล์ Immersive ที่ตอกย้ำความสำคัญของแบรนด์ Gucci ตลอด 102 ปีอย่างลงตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gucci Cosmos

ในรอบ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา สำหรับผมแล้วแบรนด์ Gucci ถือได้ว่าขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลง และสร้างบรรทัดฐานและกรอบความคิดสร้างสรรค์อย่างมหาศาลที่ไม่ใช่แค่ในวงการแฟชั่น แต่กับวัฒนธรรมสังคมรอบๆ ตัวเราทั่วทุกมุมโลก ผมเดินเล่นที่สยามพารากอน, ถนน Champs-Élysées ที่ปารีส หรือรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน JFK ที่มหานครนิวยอร์ก เชื่อได้ว่าจำนวนรองเท้า กระเป๋า แว่นตา หรือแก็ดเจ็ตที่คนใช้จาก Gucci ก็เกินที่จะนับบนนิ้วทั้งสองมืออย่างแน่นอน และหากเสิร์ชใน Google ว่า ‘Gen Z Favorite Luxury Brand’ คำตอบที่ขึ้นมาน่าจะบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าแบรนด์ลักชัวรีเจ้าไหนสำคัญมากๆ

 

แต่ในฐานะนักเขียนและบรรณาธิการแฟชั่นของ THE STANDARD POP ผมคิดเสมอว่านอกเหนือจากที่เราจะรายงานความสำเร็จของ Gucci เม็ดเงินตัวเลขมูลค่าทางสื่อ อัปเดตไอเท็มสินค้ากระเป๋าใหม่ หรือใครได้รับเลือกให้เป็น Global Brand Ambassador คนล่าสุด สิ่งหนึ่งที่เราควรย้ำเตือนอยู่เสมอคือรากฐานความเป็นมาของแบรนด์ และให้คนได้เห็นว่าแบรนด์ลักชัวรีอย่าง Gucci ไม่ใช่แค่มีดีจากเปลือกนอกที่จะใช้สินค้าแล้วจะรู้สึกว้าว ชิค สวยปัง หรือทำให้คนรอบตัวพูดว่า “OMG I Need This!” โดยสิ่งนี้ผมได้เรียนรู้และเห็นผ่านนิทรรศการระดับโลก Gucci Cosmos ที่เปิดตัวครั้งแรก ณ อาคาร West Bund Art Center ของนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ซึ่งจะจัดให้ชมกันจนถึงวันที่ 25 มิถุนายนนี้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย

 

Gucci Cosmos เป็นนิทรรศการรูปแบบ Immersive ที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของ Gucci ตลอด 102 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การก่อตั้งแบรนด์โดย Guccio Gucci ที่ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีในปี 1921 โดยตัวนิทรรศการแบ่งออกเป็น 8 ห้อง พร้อมได้ Maria Luisa Frisa ภัณฑารักษ์แฟชั่นชาวอิตาลีมาเป็นคนเลือกคัดสรรไอเท็มที่จะจัดแสดง และมี Es Devlin มาออกแบบนิทรรศการให้ ซึ่งเธอคนนี้ก็เคยอยู่เบื้องหลังคอนเสิร์ต The Formation World Tour ของ Beyoncé, After Hours Til Dawn Stadium Tour ของ The Weeknd และพิธีปิดโอลิมปิกของลอนดอนเมื่อปี 2012

 

Gucci Cosmos

 

ห้องแรกของ Gucci Cosmos ใช้ชื่อว่า Portals เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ตอนที่ Guccio Gucci เป็นพนักงานยกกระเป๋าที่โรงแรมสุดไอคอนิกของลอนดอนอย่าง The Savoy ซึ่งการเข้ามาในห้องนี้ก็ต้องผ่านประตูหมุน (Revolving Door) ที่มีอยู่ 8 บาน ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากประตูหมุนของ The Savoy นั่นเอง ก่อนเราจะได้เห็นบรรดาหีบใส่ของ กระเป๋าเดินทาง และเคสใส่กีตาร์ที่หมุนบนสายพานลำเลียงแบบวงกลม 360 องศา โดยห้องนี้ผมถือว่าเป็นการตีความจุดเริ่มต้นของแบรนด์ได้อย่างตรงตัว แต่มีชั้นเชิง พร้อมกับเชื่อมต่อกับการที่ในช่วงหลังทาง Gucci ได้หันมาโฟกัสด้านไลน์กระเป๋าเดินทาง Gucci Valigeria อย่างมาก การันตีด้วยแคมเปญที่ได้ Ryan Gosling มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ รวมถึงเปิดร้านกระเป๋าเดินทางโดยเฉพาะ ณ ถนน Rue Saint-Honoré ที่กรุงปารีส

 

Gucci Cosmos

 

ต่อมาที่ห้อง Zoetrope พูดถึงอิทธิพลของกิจกรรมขี่ม้า (Equestrian) ที่มีต่อ Gucci มาตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะเมื่อ Guccio Gucci ก่อตั้งแบรนด์ตอนแรกเขาได้แรงบันดาลใจจากกลุ่มคนชนชั้นสูง หรือที่เรียกว่า Aristrocrats ที่ชอบไลฟ์สไตล์การขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งไอเท็มไอคอนิกอย่าง Horsebit Loafer ที่กำลังครบรอบ 70 ปีในปีนี้ และกระเป๋า Bamboo 1947 ต่างได้แรงบันดาลใจจากกิจกรรมนี้ โดยความน่าสนใจของห้องทรง U-Shape นี้อยู่ที่ว่าทาง Es Devlin ได้ทำโครงสร้างขึ้นมาโดยจัดวางแต่ละไอเท็มบนแสตนด์แยกกันเป็นช่องๆ และเมื่อเข้าไปในห้องสักพักจะมีการฉายโปรเจกเตอร์วิดีโอม้าวิ่งที่เพิ่มจังหวะไปเรื่อยๆ กับเพลงบีตเทคโนหนักๆ เหมือนอยู่คลับ Rave ที่อังกฤษ ซึ่งถือว่าน่าตื่นเต้นไม่น้อย

 

Gucci Cosmos

 

ห้องที่สามชื่อ Eden เน้นไปที่ลวดลายดอกไม้ Flora ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง House Code ของ Gucci ที่เริ่มต้นจากการที่ Rodolfo Gucci ได้จ้างให้ศิลปินชาวอิตาลี Vittorio Accornero de Testa วาดเป็นลายบนผ้าพันคอผ้าไหมเพื่อมอบเป็นของขวัญให้ Grace Kelly เมื่อปี 1966 ซึ่งต่อมากลายเป็นลวดลายที่ถูกเล่นเป็นประจำในหลากหลายหมวดสินค้าของ Gucci โดยสำหรับผมแล้ว ลวดลาย Flora เป็นอะไรที่ผมมักจำได้ในยุคที่ Frida Giannini เป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ต่อจาก Tom Ford และก่อน Alessandro Michele ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ผมต้องชื่นชมเกี่ยวกับนิทรรศการ Gucci Cosmos คือมีการไฮไลต์ผลงาน Frida Giannini อยู่ไม่น้อย และทำให้เห็นว่าทางแบรนด์ก็อยากยกย่องผลงานของเธอเทียบเท่ากับคนอื่น โดยสาวก Gucci อาจจำได้ว่า Frida Giannini เคยเลือกให้ Charlotte Casiraghi ขึ้นแคมเปญคอลเล็กชันพิเศษ Forever Now ที่นำลวดลาย Flora มาเล่น ซึ่ง Charlotte Casiraghi ก็คือหลานสาวแท้ๆ ของ Grace Kelly จุดเริ่มต้นของลายนี้นั่นเอง

 

Gucci Cosmos

 

ห้องที่ 4 ใช้ชื่อว่า Two ซึ่งถือว่าเป็นจุด Instagrammable ที่สุดของนิทรรศการ Gucci Cosmos ในมุมมองของผม เพราะเป็นการนำรูปปั้นสีขาวของคู่แฝดสูง 10 เมตรมายื่นติดกัน พร้อมมีการใช้โปรเจกเตอร์ฉายลวดลายสูทอันน่าจดจำที่ Tom Ford, Frida Giannini และ Alessandro Michele เคยดีไซน์ลงไป อย่างเช่นสูทสีแดงแห่งยุค 90 ที่ Gwyneth Paltrow ใส่ไปงาน MTV Video Music Awards เมื่อปี 1996 เป็นต้น โดยอีกหนึ่งเสน่ห์ของห้องนี้คือตัวรูปปั้นของคู่แฝดมีความเป็น Gender Fluid ซึ่งเป็นกระจกสะท้อนคอลเล็กชันสุดท้ายของ Alessandro Michele ในชื่อ Gucci Twinsburg 

 

Gucci Cosmos

 

ห้องที่ 5 มาในนาม Archivo เล่าถึงความเป็นมาของกระเป๋ารุ่นซิกเนเจอร์ของ Gucci เช่น Jackie 1961, Gucci Diana และ Gucci Bamboo 1947 เป็นต้น ซึ่งเราจะได้เห็นและเปรียบเทียบกับเวอร์ชันรุ่นแรกด้วย และเห็นพวกภาพเอกสารจากอาร์ไคฟ์ เช่น ภาพสเกตช์ต่างๆ โดยห้อง Archivo มาในเฉดสีฟ้าที่ชวนนึกถึงฉากแฟชั่นโชว์สุดไอคอนิก Fall/Winter 2018 กับคอลเล็กชันที่ Alessandro Michele ให้นางแบบและนายแบบถือพร็อพศีรษะตัวเองที่ทำร่วมกับ Makinarium บริษัทสเปเชียลเอฟเฟกต์ชื่อดัง

 

Gucci Cosmos

 

Cabinet of Wonders คือชื่อของห้องที่ 6 ใน Gucci Cosmos ที่มีตู้คอนเทนเนอร์สีแดงอยู่ตรงกลาง พร้อมกับมีลิ้นชักอิเล็กทรอนิกส์เข้า-ออกที่เผยให้เห็นถึงหลากหลายไอเท็มจากอาณาจักร Gucci ตลอด 102 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าคลัตช์กำมะหยี่จากยุค 50, กีตาร์ไฟฟ้าสีดำที่ Tom Ford ได้ดีไซน์ช่วงยุค 2000 ต้นๆ หรือที่สร้างความซาบซึ้งใจให้ผมมากที่สุดก็คือเสื้อเบลาส์สีแดงสดประดับ Pussy Bow และเข็มขัดที่หัว GG ซึ่งเป็นลุคแรกที่ Alessandro Michele ส่งให้นายแบบเดินบนรันเวย์เมื่อต้นปี 2015 ในฐานะครีเอทีฟไดเรกเตอร์ โดยถือว่าช็อกวงการแฟชั่น เพราะเป็นการเริ่มเล่นกับคอนเซปต์ Gender Fluidity ที่ไม่มีแบรนด์ลักชัวรียักษ์ใหญ่เจ้าไหนเคยทำมาก่อน ซึ่งหากไม่มีวันนั้นเชื่อว่าประเด็น Gender Fluidity ในวงการนี้ก็คงยังติดกับกรอบเดิมๆ ไม่มากก็น้อย

 

Gucci Cosmos

 

ห้องที่ 7 กับ Carousel ที่เป็นการสร้างกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดยักษ์ในห้องโถงใหญ่ และในนั้นมีหุ่นโชว์เสื้อผ้า 32 หุ่นหมุนเวียนบนสายพาน ซึ่งแต่ละลุคที่ทาง Maria Luisa Frisa เลือกมาถือว่าเป็นไฮไลต์ของครีเอทีฟไดเรกเตอร์ทั้ง 3 คนที่เคยอยู่ Gucci และเป็นที่จดจำในป๊อปคัลเจอร์ เช่น ชุดเดรสพลีตสีม่วงจากคอลเล็กชัน Love Parade ที่ Lady Gaga ใส่ไปงานพรีเมียร์ House of Gucci ที่ลอนดอน และยังมีชุดเดรสสายเดียวสีขาวสุดเซ็กซี่จากคอลเล็กชัน Fall/Winter 1996 ที่ Tom Ford ดีไซน์ให้ Kate Moss ใส่บนรันเวย์และพลิกประวัติศาสตร์ ซึ่งวันที่ผมได้ไปดู Gucci Cosmos และเห็นชุดนี้ก็แอบต้องทำใจว่าจะถึงวัฏจักรของวงการแฟชั่นที่สักวันหนึ่งดีไซเนอร์ที่เราโปรดปรานก็ต้องวางมือ เพราะในวันนั้นทาง Tom Ford เพิ่งประกาศอำลาวงการด้วยการปล่อยคอลเล็กชันสุดท้ายให้กับแบรนด์ของเขา

 

Gucci Cosmos

 

ปิดท้ายที่ห้อง Duomo ที่น่าจะสร้างความว้าวได้ไม่น้อย เพราะเป็นการจำลอง​โบสถ์ Santa Maria del Fiore ของเมืองฟลอเรนซ์ บ้านเกิดแบรนด์ Gucci ซึ่งหากไปด้านหลังจะมีบันไดให้ขึ้นไปตรงกลางของตัวโบสถ์ และเมื่อเดินเข้าไปและมองไปยังเพดานจะเห็นโปรเจกชันลวดลายสุดคลาสสิกของ Gucci โดยสำหรับผมแล้ว ด้วยสเกลความยิ่งใหญ่และการตีความที่แปลกใหม่มากๆ ของโซนอย่างห้อง Duomo นี้แหละ ทำให้เชื่อมั่นว่า Gucci Cosmos จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนหากนำไปจัดทั่วทุกมุมโลก และ Gucci ก็ถือว่าฉลาดมากๆ ที่ชวนให้ Es Devlin มาดีไซน์ เพราะเธอเข้าใจดีว่าต้องรังสรรค์นิทรรศการอย่างไรในยุคนี้ที่จะทำให้คนรุ่นใหม่ยอมเดินทางมาดูและสัมพันธ์ ซึ่งไม่ได้ต้องการแค่มาดูสินค้าในตู้กระจกหรือหุ่นแบบน่าเบื่อ แต่ต้องการมุมที่สามารถถ่ายรูปเอาไปลงในโซเชียล และมุมที่เล่นกับเทคโนโลยีที่ทำให้เห็นแบรนด์ล้ำหน้าไปอีกก้าว

 

หากให้มองภาพรวมของนิทรรศการ Gucci Cosmos ส่วนตัวผมเปรียบเสมือนบท Prequel ก่อนที่ Gucci กำลังก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่กับการได้ Sabato De Sarno มาเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ เพราะด้วยการที่ Gucci Cosmos เป็นการย้อนไปมองประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแบรนด์ ในวันเดียวกันที่นิทรรศการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ทาง Sabato De Sarno ได้โพสต์อัลบั้ม Farewell ทีมของเขาที่ Valentino ณ กรุงโรมพอดี ซึ่งหลายคนในวงการต่างตั้งคำถามและคาดเดาต่างๆ นานาว่าเขาจะทำให้ Gucci ไปยังทิศทางไหนในอนาคต และยิ่งได้ดูนิทรรศการ Gucci Cosmos ก็แอบคิดทำให้คิดว่า Sabato De Sarno จะหยิบเรื่องราวอะไรในอาร์ไคฟ์ของแบรนด์มาเล่นและต่อยอดเพื่อเสนอคอลเล็กชันแรกช่วงเดือนกันยายนนี้ ที่จะเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์แห่งปีอย่างแน่นอน

 

 

ภาพ: Gucci

The post Gucci Cosmos นิทรรศการสไตล์ Immersive ที่ตอกย้ำความสำคัญของแบรนด์ Gucci ตลอด 102 ปีอย่างลงตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>