วันนี้ (9 มกราคม) มีงานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันและเปิดจำหน่ายบัตรศึกรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกโมโตจีพี รายการ PT Grand Prix of Thailand 2025 ที่ตึก CW Tower รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ 

โดยในงานมีการเปิดจำหน่ายบัตรชมการแข่งขันโมโตจีพี สนามประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. โดยที่นั่งบัตรแกรนด์สแตนด์ทำสถิติอีกครั้งด้วยการขายหมดทั้ง 10,000 ที่นั่ง ภายในเวลา 2 นาที 55 วินาที 

ซึ่ง กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่รับหน้าที่ประธานในพิธี กล่าวว่า “โมโตจีพี สนามประเทศไทย ถือเป็นแบบอย่างนโยบาย Sport Tourism อย่างเป็นรูปธรรมในหลายมิติ ทั้งด้านกีฬา เศรษฐกิจ ท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ประเทศ 

“โดยปี 2567 มียอดผู้ชมในสนามสูงถึง 205,343 คน สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 4,759 ล้านบาท และในปีนี้ Dorna Sports ยังเลือกที่จะจัด 3 กิจกรรมหลักที่แฟนความเร็วทั่วโลกรอคอย ได้แก่ แถลงเปิดฤดูกาล Season Premiere, ทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล Pre-Season Test และ Main Race สนามแรกของปี เหล่านี้เองเป็นเครื่องแสดงศักยภาพของไทยที่เป็นที่ประจักษ์บนเวทีระดับโลกในการจัดมหกรรมกีฬาระดับสากล และก้าวสู่ศูนย์กลางของกีฬามอเตอร์สปอร์ตในภูมิภาคเอเชียในอนาคต”

สำหรับบัตรเข้าชมโมโตจีพี สนามประเทศไทย 2025 แบ่งเป็น 4 ประเภท ซึ่งทั้งหมดสามารถใช้เข้าชม Pre-Season Test ได้ฟรี และชม Main Race ได้ทั้ง 3 วัน 

โดยประเภทที่ 1 ซึ่งขายหมดไปแล้ว นั่นคือบัตรแกรนด์สแตนด์ ราคา 5,000 บาท โดยบัตรประเภทนี้จะเห็นทุกโค้งทั่วสนาม 

ประเภทที่ 2 บัตรไรเดอร์สแตนด์ ราคา 3,000 บาท โดยจะแบ่งเป็นอัฒจันทร์สำหรับเชียร์นักแข่ง 3 คน ได้แก่ มาร์เกซสแตนด์, การ์ตาราโรสแตนด์ และจันทราสแตนด์ ซึ่งผู้ซื้อจะได้บัตรพร้อมของที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้จากนักบิด

ประเภทที่ 3 บัตรแบรนด์สแตนด์ ราคา 2,000 บาท สำหรับกองเชียร์จากค่ายรถจักรยานยนต์ เช่น Honda, Yamaha และ Ducati ซึ่งผู้ซื้อจะได้รับสิทธิ์ลุ้นชิงโชคและรับของที่ระลึกจากผู้สนับสนุน

ประเภทที่ 4 บัตรไซด์สแตนด์ ราคา 2,000 บาท เป็นที่นั่งบนอัฒจันทร์ด้านข้าง ซึ่งมีราคาย่อมเยา

ส่วนผู้ชมที่ต้องการซื้อเฉพาะบัตรชม Pre-Season Test ทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ราคาจำหน่ายบัตรแบ่งเป็น บัตรแกรนด์สแตนด์ ราคา 500 บาทต่อวัน หรือเหมา 2 วัน 900 บาท และบัตร VIP 5,000 บาทต่อวัน

ภาพ: กองประชาสัมพันธ์ กกท. / Facebook

The post บัตรแกรนด์สแตนด์ ไทยแลนด์กรังด์ปรีซ์ 10,000 ที่นั่ง ขายหมดในเวลาไม่ถึง 3 นาที appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (9 มกราคม) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมบูรณาการการแก้ปัญหาพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยว ร่วมกับ สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า​ ตนลงพื้นที่มาติดตามงาน ซึ่งอย่างที่เห็นปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวตัวเลขใกล้กลับเข้ามาเหมือนเดิมก่อนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด​แล้ว ถือว่ามีการปรับตัวที่ดี ซึ่งนักท่องเที่ยวเกือบ 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดมาจังหวัดภูเก็ต จึงอยากจะให้โฟกัสมากขึ้นในเรื่องของ Premium Destination ด้านการท่องเที่ยว

นอกจากอยากให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวของคนภูเก็ตเพิ่มขึ้น​ เรื่องของ Boat Taxi หากเอกชนเข้ามาช่วยและรัฐบาลสนับสนุน​ ทั้งใบอนุญาตหรือท่าเรือที่ปลอดภัย ก็จะทำให้เกิดธุรกิจขนาดใหญ่ในภูเก็ตอีกหนึ่งธุรกิจ

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเดินทางในพื้นที่ภูเก็ต​ว่า ถนนหลักสาย 402 มีปริมาณคนใช้มากขึ้นจึงต้องดูทางออกและทางแก้ไขว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง จึงสั่งการว่าโครงการที่ผ่านในเรื่องงบประมาณแล้วและกำลังดำเนินการก่อสร้างขอให้เร่งให้แล้วเสร็จ เพราะจะช่วยประชาชนได้เป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ต้องทำความสื่อสารกับประชาชนว่าจะปิดถนนแต่ละจุดส่วนใดบ้าง

นอกจากนี้คือ Mass Transport ที่เชื่อมต่อนักท่องเที่ยวจากสนามบินเข้าสู่เมืองด้วย EV Bus หรือรถขนส่งสาธารณะไฟฟ้า ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่า​ไม่ได้แย่งหรือทำลายบางอาชีพ​ แต่เป็นการปรับตัวให้เกิดอาชีพใหม่ๆ​ ซึ่งการจัดการคมนาคมในระยะสั้นถือเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากใช้เวลาหลายปี​ ทั้งนี้ ต้องดูว่าการเพิ่มจำนวน EV Bus นั้นใช่คำตอบที่แท้จริงหรือไม่​ เพราะหากเพิ่มไปไม่ได้แปลว่าคนที่มีรถ​จะเลิกใช้รถของตัวเอง จึงอยากพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี​ เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นการใช้งบโดยไม่เห็นผลต่าง​

ด้านการท่องเที่ยว​ และนโยบาย Soft Power นายกรัฐมนตรี​ระบุว่า กำลังจะเน้นย้ำในเรื่องการจัดให้ประเทศไทยมีเทศกาลด้านการท่องเที่ยวใหญ่ๆ​ ในพื้นที่ภูเก็ต​ โดยอยากให้มีการจัดประชุมตำรวจท่องเที่ยวเพื่อให้มีการรีเซ็ตระบบใหม่ อะไรที่ใช้มานานแล้วไม่มีประสิทธิภาพก็ควรที่จะปรับเปลี่ยน เพราะการท่องเที่ยวมีการใช้ AI หรือเทคโนโลยีเข้ามา ทุกอย่างจึงสามารถเช็กได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งการรีเซ็ตนี้รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้วย

ขณะที่การปราบผู้มีอิทธิพล​ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจโฟกัสเรื่องนี้จริงจัง เพราะเราไม่อยากให้ประชาชนรู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วไปพูดได้ว่า​คนมีเงินมีอิทธิพลขึ้นมา​ก็จบแล้ว​ ประชาชนไม่ได้รับการดูแล ผู้มีอิทธิพลทำให้ผู้ไม่มีอิทธิพลถูกบี้​ เป็นหนี้เป็นสิน​ ถูกขู่เข็ญเรื่องเงินทอง เรื่องการโดนหลอก​ ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาของประชาชน​ จึงอยากเน้นย้ำให้ใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะกฎหมายเรามีอยู่แล้ว​ ไม่อยากให้มีการละเว้น​ ประชาชนจะได้รู้สึกปลอดภัยและประเทศชาติก็มีระเบียบมากขึ้น​

ด้าน โสภณ สุวรรณรัตน์​ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต​ รายงานปัญหาในพื้นที่ว่า มีความกังวลเรื่องการจราจร​ ซึ่งต้องการผลักดันงบประมาณในหลายส่วนเพื่อมาเติมเต็มการบริการด้านการจราจร​

ขณะเดียวกันยังขอให้นายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงคมนาคมศึกษารถไฟรางเบา เนื่องจากมีการเรียกร้องมากกว่า 10 ปี​แต่ยังไม่ผ่านการศึกษา​ ซึ่งหากทำสำเร็จจะสามารถเชื่อมต่อสนามบินไปยังพื้นที่เขตเมืองเพื่อแบ่งเบาภาระการเดินทาง ยกระดับภูเก็ตเป็น Smart City อย่างเต็มรูปแบบ

ขณะที่การแก้ไขปัญหาน้ำ​ รวมไปถึงน้ำเน่าเสีย​ การจัดการขยะ​ และการจัดการภัยพิบัติ​ ​กรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมป่าไม้ จัดทำระบบตาข่าย​ลดแรงต้านของน้ำเพื่อลดการชะล้างหน้าดิน​และติดตั้งเครื่องเตือนภัยดินโคลนถล่ม​ ส่วนความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตได้ซักซ้อมแผนการปฏิบัติเพื่อที่จะดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทั้งทางน้ำและทางบก

ขณะที่การสร้าง Medical Wellness ถือเป็นหนึ่งในสิบเสาหลักของจังหวัด​ เนื่องจากในพื้นที่กลุ่มจังหวัดอันดามันไม่มีเครื่องฉายแสงมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดสรรงบประมาณ 120 ล้านบาท​ ดำเนินการก่อสร้างอาคารและจัดซื้อเครื่องฉายแสง​ แต่ยังไม่เพียงพอในการก่อสร้าง

The post นายก​ฯ​ นำถกแก้ปัญหาพื้นที่ภูเก็ต​ รองรับการเติบโตภาคท่องเที่ยว​ สั่งเร่งโครงการอนุมัติแล้วต้องจบไว appeared first on THE STANDARD.

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 มีจำนวนราว 35.54 ล้านคน ขยายตัว 26.27%YoY เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จำนวน 28.15 ล้านคน สร้างรายได้ให้แก่เศรษฐกิจไทย 1.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 34%YoY จากช่วงก่อนโควิดที่มีนักท่องเที่ยว 39.91 ล้านคน รายได้ 1.91 ล้านล้านบาท

โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอันดับ 1 เป็น ‘ชาวจีน’ อยู่ที่ 6,733,162 คน แม้จะยังไม่เท่าระดับก่อนโควิดที่เคยอยู่ที่ราว 11,138,658 คน ในปี 2562 แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 91.22% ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่รุนแรง และพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนแปลงไป เน้นมองหาจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวใหม่ๆ

สำหรับนักท่องเที่ยวจาก ‘มาเลเซีย’ มาอันดับที่ 2 จำนวน 4,952,078 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 7.04% ขณะที่อินเดียเป็นอันดับที่ 3 โดยมีนักท่องเที่ยวจำนวน 2,573,928 คน เพิ่มขึ้นถึง 30.74% จากปีก่อน

ขณะที่ เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวและรายได้จากภาคท่องเที่ยวในปี 2567 ถือว่าเป็นไปตามที่ KResearch คาดการณ์ไว้ที่ราว 35.6 ล้านคน ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปก็อยู่ในระดับประมาณ 46,000-47,000 บาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าคาดการณ์เล็กน้อย

เกวลินกล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวกลับมาเดินทางมากขึ้นหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เช่น มาตรการฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีน

อย่างไรก็ตาม เกวลินยังตั้งข้อสังเกตว่านักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยมีจำนวนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศจีน ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ กำลังซื้อของชาวจีนที่ลดลง รัฐบาลจีนสนับสนุนให้ชาวจีนท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาคเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลับมาด้วย

โดยเกวลินคาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปี กว่าที่นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยจะกลับสู่ระดับก่อนโควิด (ที่ประมาณ 11 ล้านคนต่อปี) โดยในปี 2568 คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านคน

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคนในปีนี้ ทำลายสถิติเดิม!

สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้มอบเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนในปี 2568 โดยหวังทำลายสถิติการท่องเที่ยวในอดีต

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายเรื่องภาวะสงครามในหลายพื้นที่ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก และการแข่งขันดึงนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น จีน ที่มีมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยว รวมไปถึงการอ่อนค่าของเงินเยนที่เป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

นอกจากนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มุ่งเน้นทำการตลาดให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายต่อหัวมากขึ้น โดยเจาะกลุ่มลักชัวรีมากขึ้น จากกรณีศึกษาในจังหวัดภูเก็ตที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยลงแต่กลับมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

KResearch เปิดปัจจัยสนับสนุน-ความท้าทายท่องเที่ยวไทยปี 2568

ตามประมาณการที่เปิดเผยออกมาล่าสุดของ KResearch ประเมินว่า ในปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยจะอยู่ที่ 37.5 ล้านคน ซึ่งนับว่ายังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด

สำหรับปัจจัยหนุนท่องเที่ยวไทยในปี 2568 เกวลินมองว่าคือจุดแข็งด้านแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม อาหาร และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การส่งเสริม Soft Power และการชูเมืองรอง

สำหรับความเสี่ยงต่อภาคการท่องเที่ยวปี 2568 คือการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น เศรษฐกิจจีนและยุโรปที่ยังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศตัวเอง

นอกจากนี้ยังมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การแข่งขันแย่งชิงนักท่องเที่ยวกับประเทศคู่แข่งที่อาจรุนแรงขึ้น และพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้ประกอบในประเทศต้องปรับตัวให้พร้อมกับแนวโน้มที่รออยู่ในปีนี้

ttb คาด นักท่องเที่ยวยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด หวั่นที่พักแพงบั่นทอนการใช้จ่าย

ttb analytics ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มเป็น 37.8 ล้านคนในปี 2568 นอกจากนี้ในมิติของรายได้นักท่องเที่ยวก็เริ่มมีข้อจำกัดเช่นกัน แม้รายได้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยจะเพิ่มขึ้นจนแตะระดับในปี 2562 แต่ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยด้านราคาห้องพัก (Average Daily Rate: ADR) ทั่วประเทศที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงเกือบ 30%YoY ทำให้รายจ่ายของนักท่องเที่ยว 1 ใน 3 อยู่ในหมวดโรงแรมที่พักเพิ่มสูงขึ้นตาม ซึ่งนั่นหมายความว่าเพดานรายจ่ายของนักท่องเที่ยวโดยรวมในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มตึงตัวขึ้น

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

The post สรุป ‘ท่องเที่ยวไทย 2567’ ดึงดูดต่างชาติ 35.54 ล้านคน โกยรายได้ 1.91 ล้านล้านบาท จับตาอีก 1-2 ปีก็ยังไม่น่าฟื้นสู่ระดับก่อนโควิด appeared first on THE STANDARD.

วานนี้ (23 ธันวาคม) ที่ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม พล.ต.ต. กฤษณ์ วาฤทธิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมด้วย ณัฐ​ ครุฑ​สูตร ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้​อำนวยการ​ฝ่าย​กิจกรรมการ​ท่องเที่ยว​แห่ง​ประเทศไทย, พล.ร.ท. ธันยกร เสนาลักษณ์ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ, พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, พล.ต.ต. ภานพ วรธนัชชากุล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 8, รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, พิทักษ์ วัฒนพงศ์พิศาล ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ กรมเจ้าท่า, คณะผู้บริหารไอคอนสยาม และหน่วยงานราชการในพื้นที่ ได้แก่ กองบังคับการตำรวจน้ำ, สำนักงานเขตคลองสาน, สถานีตำรวจนครบาลปากคลองสาน, สถานีดับเพลิงและกู้ภัยปากคลองสาน ร่วมกันปล่อยแถวกำลังพลปฏิบัติการด้านความปลอดภัย

อนนต์ อัตถวิบูลย์ ผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เปิดเผยว่า ไอคอนสยามผนึกกำลังภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนโดยรอบ จัดเทศกาลส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ เป็นมหาปรากฏการณ์เคานต์ดาวน์ระดับโลก Amazing Thailand Countdown 2025 ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมทุกด้าน ทั้งเตรียมการแสดงพลุรักษ์โลก ความยาว 1,400 เมตร ยาวที่สุดในประเทศไทย ริมโค้งน้ำเจ้าพระยา และการเตรียมพร้อมของเหล่าศิลปิน ที่จะทำให้เทศกาลครั้งนี้ของประเทศไทยก้าวสู่ Top 5 Global Countdown Destination อย่างแท้จริง

“ไอคอนสยามร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ในการเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างรัดกุม พร้อมอำนวยความสะดวก สร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกทุกท่านได้ร่วมฉลองโมเมนต์พิเศษด้วยความสุขร่วมกัน” อนนต์กล่าว

การจัดงานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนและประสานความร่วมมือกันอย่างดียิ่งจากหน่วยงานภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ในการกำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันและเฝ้าระวังในพื้นที่ เพื่อรองรับผู้ร่วมงานจำนวนมากและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทุกด้าน พร้อมกำหนดมาตรการการจัดกิจกรรมบันเทิงต่างๆ อย่างรัดกุมและปลอดภัย ผ่านการกำหนดรูปแบบลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ เส้นทางหรือจุดเข้า-ออกพื้นที่จัดงานอย่างเหมาะสม การอำนวยความสะดวกด้านการจราจรตามสถานที่ต่างๆ

โดยปีนี้นอกจากจะสามารถจอดรถได้ที่อาคารของไอคอนสยามและอาคารไอซีเอสแล้ว ได้เพิ่มจุดจอดรถอีก 5 แห่งบริเวณโดยรอบ เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของศูนย์การค้า เพิ่มความถี่ตรวจตราความปลอดภัยทั่วศูนย์การค้าตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงระบบกล้อง CCTV ครอบคลุมทั่วพื้นที่ศูนย์การค้า ตรวจบุคคล ยานพาหนะทุกทางเข้า-ออกของศูนย์การค้า รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่พยาบาลและรถพยาบาล

ขณะเดียวกัน ไอคอนสยามร่วมกับสถานีดับเพลิงและกู้ภัยปากคลองสานลงพื้นที่ชุมชนบริเวณใกล้เคียงเพื่อช่วยตรวจสอบถังดับเพลิง อุปกรณ์เผชิญเหตุ ตลอดจนลงพื้นที่ตรวจอุปกรณ์ความปลอดภัยทางเรือโดยสาร พร้อมการสนับสนุนรถและเรือดับเพลิงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ, เจ้าหน้าที่ EOD และสุนัข K9 มาประจำการ คอยตรวจตราควบคุมสถานการณ์ ตรวจสอบความปลอดภัย 24 ชั่วโมง สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุดด้วยมาตรฐานสากลที่ครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อให้ผู้ร่วมงานทุกคนฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างอุ่นใจ

พล.ต.ต. กฤษณ์ กล่าวว่า ในนามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมให้การดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ด้วยมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม และอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน โดยเตรียมกำลังตำรวจระดมออกปฏิบัติงานป้องกัน ปราบปราม และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การลงพื้นที่เตรียมความพร้อมในครั้งนี้เป็นการสะท้อนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนโดยรอบ ในการสร้างความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่จะมาใช้บริการในสถานที่ ท้ายที่สุดแล้วความปลอดภัยและแผนงานต่างๆ ที่ได้ทำร่วมกัน ย่อมขับเคลื่อนให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมงานเคานต์ดาวน์ Amazing Thailand Countdown 2025 ที่ไอคอนสยาม ตั้งแต่วันที่ 29-31 ธันวาคมนี้ ณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม สามารถเดินทางมายังไอคอนสยามได้ทั้งรถ ราง เรือ ทุกเส้นทางการคมนาคม รถยนต์ รถประจำทาง เรือโดยสาร และรถไฟฟ้าสายสีทองลงสถานี G2 เจริญนคร ซึ่งได้ขยายเวลาเปิดบริการไปจนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2568

The post ไอคอนสยามผนึกกำลังพันธมิตร ดูแลความปลอดภัยขั้นสุด-อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวร่วมงาน Amazing Thailand Countdown 2025 appeared first on THE STANDARD.

วานนี้ (22 ธันวาคม) พิธา​ ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ ​อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล​ กล่าวถึงกรณีที่ สส. พรรคเพื่อไทย เสนอให้มีการจับคู่กระทรวงใหม่ โดยให้แยกกระทรวงการท่องเที่ยวไปรวมกับกระทรวงวัฒนธรรม จากเดิมที่เป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แล้วให้กระทรวงกีฬาเป็นเอกเทศ

พิธากล่าวว่า ต้องถาม สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเมื่อปี 2547 ว่าเหตุใดจึงได้คิดแบบนั้น และส่วนตัวคิดว่าเรื่องการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่แนวขวาง แต่เป็นแนวดิ่งลงมาที่ท้องถิ่น ซึ่งท้องถิ่นควรที่จะได้บริหารจัดการการท่องเที่ยวด้วยตนเอง อย่างจังหวัดลำพูนและจังหวัดเชียงใหม่รายได้จากการท่องเที่ยวต่างกัน 50% ทั้งที่เมืองอยู่ติดกัน

พิธากล่าวต่อไปว่า อยากเห็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ ดูแลการท่องเที่ยวแบบเน้นๆ อย่างประเทศญี่ปุ่น ส่วนกระทรวงที่ควรควบรวมคือกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงอุตสาหกรรม พูดกันมาตั้งแต่ปี 2545 ก็เป็นข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลที่ตอนนี้พยายามจะปฏิรูปราชการอยู่ ว่ากระทรวงที่น่าจะควบรวมก็มีอยู่หลายกระทรวง และไม่ใช่รวมในแนวขวาง แต่ว่าในแนวดิ่งที่ควรจะกระจายมาให้ท้องถิ่น 

“คราวนี้แต่ละจังหวัดจะสามารถแข่งขันกันได้ในเรื่องของภาษีการท่องเที่ยว เพื่อดึงคนไปในที่ที่เราอยากจะให้เขาไป เมืองรองอย่างลำพูนก็จะกลายเป็นเมืองต้องลอง เมืองที่การท่องเที่ยวมากและรถติดอย่างเชียงใหม่ ก็จะสามารถแก้ปัญหาจัดการได้” พิธากล่าว

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก สส. เพื่อไทย นำโดย เอกธนัช อินทร์รอด สส. หนองคาย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว พร้อมด้วย อดิศร เพียงเกษ สส. แบบบัญชีรายชื่อ และ ธีระชัย แสนแก้ว สส. อุดรธานี ร่วมอภิปรายรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง สภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหากฎหมายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยกล่าวว่า จากภาพรวมของปัญหาการท่องเที่ยวไทยมีปัญหาด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยว การกระจายอำนาจในการดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว การกำกับดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว และปัญหาเฉพาะในแต่ละธุรกิจเฉพาะด้าน 

อดิศรเสนอแนวคิดให้แยกกระทรวงการท่องเที่ยวไปรวมอยู่กับกระทรวงวัฒนธรรมเพราะมีเนื้องานในทิศทางเดียวกัน และแยกกระทรวงกีฬาให้เป็นเอกเทศ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการได้อย่างถูกฝาถูกตัว

The post พิธาฝากถามสมศักดิ์ ทำไมต้องรวมกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา แนะควรรวมในแนวดิ่งให้ท้องถิ่นได้บริหารเอง appeared first on THE STANDARD.

จากการเสนอแยกกระทรวงกีฬาออกเป็นเอกเทศจากปัจจุบันที่เป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดแนวคิดและการถกเถียงมากมายถึงความเหมาะสมและการดำเนินการ

แต่ในระดับโลกพวกเขามีการบริหารจัดการกีฬาอย่างไรกันบ้าง โดยเฉพาะในชาติมหาอำนาจที่จบ 10 อันดับแรกในตารางเหรียญรางวัลของโอลิมปิกเกมส์ 2024

โดยจาก 10 ชาติหัวตารางเหรียญรางวัลโอลิมปิกเกมส์ 2024 มีเพียงแค่ 2 ชาติเท่านั้นที่มีกระทรวงกีฬาโดยตรง ได้แก่ ออสเตรเลียและอิตาลี

ขณะที่อีก 5 ชาติ มีกระทรวงกีฬาซึ่งรวมอยู่กับกระทรวงอื่นๆ ไล่ตั้งแต่

– ญี่ปุ่น จะเป็น กระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี

– ฝรั่งเศส จะเป็น กระทรวงการกีฬาและกิจการเยาวชน

– เนเธอร์แลนด์ จะเป็น กระทรวงสาธารณสุข สวัสดิการ และกีฬา

– สหราชอาณาจักร จะเป็น กระทรวงวัฒนธรรม สื่อ และกีฬา

– เกาหลีใต้ จะเป็น กระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว

ขณะที่อีก 3 ชาติอย่าง สหรัฐอเมริกา, จีน และเยอรมนี จะมีหน่วยงานเป็นเอกเทศ ภายใต้การดูแลของรัฐบาลกลาง และไม่ได้มีกระทรวงอย่างชัดเจน

โดยสหรัฐอเมริกาจะดูแลกีฬาของพวกเขาผ่านสภาคองเกรสโดยตรง และมีหน่วยงานใหญ่ที่สุดคือ คณะกรรมการโอลิมปิกและพาราลิมปิกสหรัฐฯ

จีนก็จะมีหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้รัฐบาลกลางชื่อว่า หน่วยงานการบริหารงานทั่วไปของการกีฬาแห่งประเทศจีน หรือ General Administration of Sport of China (GAS)

และเยอรมนีก็จะมีสมาพันธ์กีฬาโอลิมปิกแห่งเยอรมนี คอยดูแลกีฬาภาพรวม ซึ่งจะทำงานร่วมกับกระทรวงกิจการภายใน (มหาดไทย) ของประเทศอย่างใกล้ชิด

ทำให้เรามองเห็นได้ว่า ความสำเร็จในด้านการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศมีองค์ประกอบที่หลากหลาย ทั้งรูปแบบการบริหาร, กลยุทธ์, หน่วยงาน และการสนับสนุนกีฬาในแต่ละประเทศ 

อ้างอิง:

• https://projectplay.org/world-sport-systems

The post 10 ชาติมหาอำนาจกีฬา กำกับดูแลกีฬาในชาติของพวกเขาอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

พรรคเพื่อไทยโพสต์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง โดยเสนอแยกการท่องเที่ยวไปรวมกับกระทรวงวัฒนธรรม จากเดิมที่เป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมกับปล่อยให้การกีฬาเป็นกระทรวงอิสระกระทรวงเดียว

แล้วคอกีฬาชาวไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอครั้งนี้ของพวกเขาหรือไม่ เพราะอะไร

The post เห็นด้วยหรือไม่ที่ สส. เพื่อไทย เสนอแยกกระทรวง โดยเอาท่องเที่ยวออกจากกีฬา appeared first on THE STANDARD.

สส. เพื่อไทย นำโดย เอกธนัช อินทร์รอด สส. หนองคาย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว พร้อมด้วย อดิศร เพียงเกษ สส. บัญชีรายชื่อ และ ธีระชัย แสนแก้ว สส. อุดรธานี ร่วมอภิปรายรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่องสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหากฎหมายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 

โดยกล่าวว่า จากภาพรวมของปัญหาของการท่องเที่ยวไทยมีปัญหาด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยว การกระจายอำนาจในการดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว การกำกับดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว และปัญหาเฉพาะในแต่ละธุรกิจเฉพาะด้าน 

ซึ่งอดิศรเสนอแนวคิดให้แยกกระทรวงการท่องเที่ยวไปรวมอยู่กับกระทรวงวัฒนธรรม เพราะมีเนื้องานในทิศทางเดียวกัน และแยกกระทรวงกีฬาให้เป็นเอกเทศ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการได้อย่างถูกฝาถูกตัว

สาเหตุที่กระทรวงการท่องเที่ยวไปอยู่กับกีฬาเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม และระบบราชการครั้งใหญ่ พอกฎหมายไปถึงขั้นวุฒิสภา 

วุฒิสภามีการแก้ไขเป็นมติให้เอากระทรวงท่องเที่ยวไปรวมกับกีฬา แล้วตอนนั้นสภาผู้แทนราษฎรไม่อยากเสียเวลายับยั้งกฎหมาย 180 วันเพื่อไปตั้งกรรมาธิการร่วมฯ จึงปล่อยเลยตามเลยในตอนนั้น

โดย สส. เพื่อไทย มองว่า ปัจจุบันผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว ควรจับคู่กระทรวงใหม่ให้ถูกฝาถูกตัว โดยให้กระทรวงวัฒนธรรมมาอยู่กับการท่องเที่ยว และแยกกระทรวงการกีฬาไปอยู่ต่างหาก เพื่อทำให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะการท่องเที่ยวมาคู่กับวัฒนธรรมก็จะสอดคล้องกัน เพราะคนไปเที่ยวดูด้านวัฒนธรรม จะได้มีงบประมาณเกื้อหนุนสอดคล้องกันไป

ภาพ: พรรคเพื่อไทย / Facebook

อ้างอิง:

• https://web.facebook.com/story.php?story_fbid=1178026853692962&id=100044569743646&rdid=chmJX4SWZ4An5LID

The post สส. เพื่อไทย เสนอแยกกระทรวงกีฬาเป็นอิสระ โดยนำท่องเที่ยวไปรวมกับวัฒนธรรม appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (28 พฤศจิกายน) มีการประชุมคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬา ซีเกมส์ และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 1/2567 ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ

โดยวาระการประชุมที่สำคัญคือ การยืนยันเรื่องคำขวัญ, โลโก้, มาสคอต, ชนิดกีฬา รวมไปถึงกรอบงบประมาณที่ต้องใช้

การประชุมดำเนินไปราว 1 ชั่วโมง 30 นาทีก็แล้วเสร็จ ก่อนที่ สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเป็นช่วงเวลาสั้นๆ

โดยกล่าวว่า “วันนี้ทางคณะจัดการแข่งขันประชุมกันครั้งแรก พูดถึงเรื่องชนิดกีฬา งบประมาณ และสิ่งที่จะเราจะต้องนำเสนอต่อพี่น้องประชาชน

“อย่างที่เคยเรียนให้ทราบแล้วว่า ประกาศที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคมปีนี้ มุ่งเน้นไปที่เรื่องจะให้การจัดซีเกมส์ครั้งนี้เป็นการจัดซีเกมส์ที่ดูแลในเรื่องธรรมชาติด้วย

“ซึ่งเรื่องนี้ทุกฝ่ายก็เห็นด้วย และจะพยายามทำให้เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ”

นอกจากนี้ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ยังกล่าวว่า เบื้องต้นกำหนดแล้วว่าชนิดกีฬาใดจะไปแข่งขันกันในจังหวัดไหน แต่ยังมีข้อทักท้วง อย่างสงขลาก็อยากได้ชนิดกีฬาที่มากขึ้น ซึ่งทางคณะกรรมการต้องพิจารณากันอีกที

ขณะที่กรอบวงเงินในการจัดซีเกมส์ครั้งนี้ สรวงศ์กล่าวว่า “ทั้งหมดที่คุยกันเมื่อสักครู่ประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท แต่จะแบ่งเป็นระยะ เพราะว่าการจัดแข่งขันซีเกมส์จะมีขึ้นปลายปีหน้า ซึ่งจะเป็นกรอบงบประมาณของปี 2569 ได้กำชับ กกท. (การกีฬาแห่งประเทศไทย) ในการเสนอของบประมาณเข้าไปให้อยู่ในงบปกติให้มากที่สุด เพราะนโยบายของผมคือต้องแตะเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติให้น้อยที่สุด เพราะเงินก้อนนี้ควรจะไปอยู่ที่นักกีฬาและสมาคมให้มากที่สุดครับ”

นอกจากนี้ยังเน้นย้ำเรื่องการจัดกรีนซีเกมส์ด้วยว่า “อันที่จริงเราเริ่มวัดคาร์บอนที่เราสร้างขึ้นตั้งแต่วันที่เราแถลงข่าวเลย มีทั้งองค์กรและหน่วยงานที่จะมาวัดคาร์บอนที่เราสร้างขึ้น แล้ววางแผนว่าจะทดแทนอย่างไรในอนาคต 

“ผมอยากจะให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการเชียร์คนไทย เชียร์นักกีฬาไทย ตั้งแต่วันแรกไปจนตลอดระยะเวลา 1 ปีที่จะถึงนี้ด้วย”

The post รัฐบาลวางงบกว่า 2 พันล้านบาท จัดกรีนซีเกมส์ 2025 appeared first on THE STANDARD.

วันนี้ (22 พฤศจิกายน) ช่างภาพทีมข่าว THE STANDARD ได้เก็บภาพบรรยากาศงาน ‘Amazing Chiang Mai Car Festival 2024’ ซึ่งจัดขึ้นที่ลานพลาซ่า ภายในสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและฟื้นเศรษฐกิจในภาคเหนือในฤดูท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน

สำหรับบรรยากาศภายในงานนั้น มีนักท่องเที่ยวและคนรักรถร่วมเข้าชมกิจกรรมหลากหลาย โดยไฮไลต์ของงาน ได้แก่ การโชว์รถคลาสสิก-โบราณ (Classic Car), เวสป้า (Vespa), รถแต่ง (Racing) และรถโฟล์ก โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมชมรถหลากหลายประเภทจำนวนมาก

จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้เกิดจากแนวคิดผลักดันเชียงใหม่เป็น ‘ศูนย์กลางงานเทศกาลสร้างสรรค์’ และส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก (World Class Event Hub) ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งดนตรี กีฬา อาหาร และไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง Thailand Winter Festivals ภายใต้โครงการ Chiang Mai Festival City

กิจกรรม ‘Amazing Chiang Mai Car Festival 2024’ ไม่เพียงแค่เป็นกิจกรรมที่มีความสนุกสนาน แต่ยังช่วยกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวคุณภาพ ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเชียงใหม่ โดยเฉพาะหลังจากเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา โดยในปี 2567 จังหวัดเชียงใหม่มีนักท่องเที่ยวกว่า 8 ล้านคน สร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่กว่า 72,361.72 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 10,000 คน และมีรถยนต์เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 200 คัน โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 เวลา 16.00-22.00 น. เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

The post ททท. จัดปาร์ตี้คนรักรถครั้งใหญ่ ‘Amazing Chiang Mai Car Festival 2024’ กระตุ้นท่องเที่ยวเหนือช่วงไฮซีซัน appeared first on THE STANDARD.