กฎหมายสิทธิมนุษยชน – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 19 Mar 2025 07:18:53 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดตัวสถานีตำรวจนำร่อง ยกระดับการคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อป้องกันการซ้อมทรมานตามหลักสิทธิมนุษยชน https://thestandard.co/human-rights-police/ Wed, 19 Mar 2025 07:13:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1053861 human-rights-police

วันนี้ (19 มีนาคม) พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจ […]

The post สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดตัวสถานีตำรวจนำร่อง ยกระดับการคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อป้องกันการซ้อมทรมานตามหลักสิทธิมนุษยชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
human-rights-police

วันนี้ (19 มีนาคม) พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดตัวโครงการ ‘สถานีตำรวจนำร่อง’ ที่ สถานีตำรวจนครบาล(สน.)ปทุมวัน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง และผู้แทนจากสหราชอาณาจักรเข้าร่วม เพื่อยกระดับมาตรฐานการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสากล

 

โครงการนี้ได้รับการริเริ่มโดย พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ โดยได้รับความร่วมมือจากสหราชอาณาจักร ผ่านการนำแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศและบทเรียนด้านการควบคุมตัวผู้ต้องหามาปรับใช้ให้สอดคล้องกับกฎหมายไทย ทั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการซ้อมทรมานและการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว โดยให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมถึงสร้างความปลอดภัยให้แก่ทั้งผู้ต้องหาและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่

 

ในโครงการนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และ สถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี เข้ารับการฝึกอบรมที่กองบัญชาการตำรวจนอร์ทัมเบรีย ประเทศสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แนวทางปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย

 

โดยแนวทางการพัฒนาการควบคุมตัวผู้ต้องหา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำหลัก Change by Design มาใช้ในการพัฒนาแนวทางการควบคุมตัวผู้ต้องหา โดยเน้นการออกแบบเชิงระบบ ได้แก่

 

  • ปรับปรุงโครงสร้างห้องควบคุม ให้มีความปลอดภัย มีกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง
  • ปรับปรุงกระบวนการควบคุมตัว ให้มีมาตรฐาน โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้
  • การประเมินความเสี่ยงของผู้ต้องหา ในด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพื่อลดโอกาสเกิดเหตุฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
  • การบันทึกข้อมูลการควบคุมตัวอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนบุคคลและการดูแลระหว่างการถูกควบคุมตัว
  • การใช้เทคโนโลยี พัฒนาซอฟต์แวร์บันทึกข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลการควบคุมตัวผู้ต้องหา

 

เป้าหมายของโครงการสถานีตำรวจนำร่อง คือการป้องกันการซ้อมทรมานและการเสียชีวิตระหว่างควบคุมตัว โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติวางแผนขยายแนวทางนี้ไปยังสถานีตำรวจในสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ก่อนจะนำไปใช้ในสถานีตำรวจทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นมาตรฐานใหม่ของการควบคุมตัวผู้ต้องหาในประเทศไทย

 

พล.ต.อ. ธัชชัย กล่าวปิดท้ายว่า โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย

The post สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดตัวสถานีตำรวจนำร่อง ยกระดับการคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อป้องกันการซ้อมทรมานตามหลักสิทธิมนุษยชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตารัฐสภายุโรปเตรียมโหวตมติประณามส่งอุยกูร์กลับจีน เรียกร้องแก้ไข-ยกเลิกมาตรา 112 https://thestandard.co/european-parliament-vote-condemn-uyghur-deportation/ Thu, 13 Mar 2025 04:31:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1051577 รัฐสภายุโรป

วานนี้ (12 มีนาคม) รัฐสภายุโรปได้เผยแพร่ประกาศ ‘ญัตติร่ […]

The post จับตารัฐสภายุโรปเตรียมโหวตมติประณามส่งอุยกูร์กลับจีน เรียกร้องแก้ไข-ยกเลิกมาตรา 112 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐสภายุโรป

วานนี้ (12 มีนาคม) รัฐสภายุโรปได้เผยแพร่ประกาศ ‘ญัตติร่วมเพื่อขอมติเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์’ ก่อนที่จะมีการอภิปรายในที่ประชุมสมาชิกรัฐสภายุโรป และเตรียมโหวตรับรองร่างมติในวันนี้ (13 มีนาคม)

 

โดยเนื้อหาสำคัญของร่างมติ ได้แก่ 

 

  1. ประณามการเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีน เรียกร้องให้ทางการไทยหยุดการส่งตัวผู้ลี้ภัย ผู้ขอสถานะผู้ลี้ภัย และผู้เห็นต่างทางการเมืองกลับประเทศที่ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงโดยทันที

 

  1. เรียกร้องให้รัฐบาลไทย อนุญาตให้ ​​UNHCR เข้าถึงผู้ขอสถานะผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักขังทั้งหมดได้โดยไม่จำกัด และให้ข้อมูลสถานะของพวกเขาอย่างโปร่งใส

 

  1. เรียกร้องให้จีนเคารพสิทธิพื้นฐานของชาวอุยกูร์ที่ถูกเนรเทศ รับรองความโปร่งใสเกี่ยวกับที่อยู่ของพวกเขา อนุญาตให้ UNHCR เข้าถึงพวกเขา และปล่อยตัวชาวอุยกูร์ที่ถูกกักขัง

 

  1. เรียกร้องให้ไทยให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยปี 1951 และพิธีสารปี 1967 และดำเนินการตามระบบการลี้ภัยที่โปร่งใส ยุติธรรม และมีมนุษยธรรม

 

  1. เน้นย้ำว่าไทยเป็นหุ้นส่วนสำคัญของสหภาพยุโรป กระตุ้นให้ไทยเสริมสร้างสถาบันต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 และกฎหมายที่กดขี่อื่นๆ เพื่อรับประกันสิทธิในการแสดงออกอย่างเสรี การชุมนุมอย่างสงบ และการมีส่วนร่วมทางการเมือง

 

  1. เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมแก่สมาชิกรัฐสภาและนักเคลื่อนไหวทุกคนที่ถูกดำเนินคดีหรือจำคุกภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกฎหมายที่กดขี่อื่นๆ

 

  1. เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการใช้ประโยชน์จากการเจรจา FTA เพื่อกดดันให้ประเทศไทยปฏิรูปกฎหมายที่เข้มงวด โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปล่อยตัวนักโทษการเมือง หยุดการเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ และให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาหลักของ ILO ทั้งหมด เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน

 

  1. แนะนำให้ประธานรัฐสภายุโรป ส่งมติฉบับนี้ไปยังคณะมนตรี คณะกรรมาธิการ และทางการไทยและจีน

 

อ้างอิง: 

 

The post จับตารัฐสภายุโรปเตรียมโหวตมติประณามส่งอุยกูร์กลับจีน เรียกร้องแก้ไข-ยกเลิกมาตรา 112 appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เซลส์แมนประเทศไทย’ เศรษฐาขึ้นปกนิตยสาร TIME ยืนยันไทยเปิดธุรกิจสู่ทั่วโลก https://thestandard.co/srettha-thavisin-time-cover/ Wed, 13 Mar 2024 06:29:33 +0000 https://thestandard.co/?p=910603 เศรษฐา time

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค […]

The post ‘เซลส์แมนประเทศไทย’ เศรษฐาขึ้นปกนิตยสาร TIME ยืนยันไทยเปิดธุรกิจสู่ทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐา time

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขึ้นปกนิตยสาร TIME ฉบับวันที่ 25 มีนาคม 2024 โดยมีข้อความประกอบโดดเด่นคือ THE SALESMAN ที่แสดงถึงบทบาทและการปฏิบัติหน้าที่ของเขาหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยการเดินสายพบปะและดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก พร้อมแสดงความชัดเจนว่าประเทศไทยในรัฐบาลของเขานั้น เปิดกว้างสำหรับการทำธุรกิจ

 

บทสัมภาษณ์เศรษฐาโดย ชาร์ลี แคมป์เบล (Charlie Campbell) ผู้สื่อข่าว TIME ซึ่งเข้าพบนายกรัฐมนตรีไทยที่ทำเนียบรัฐบาลในกรุงเทพฯ ระบุในช่วงต้นถึงระเบียบปฏิบัติที่ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า แขกและนักข่าวไม่สามารถขึ้นไปยังชั้น 2 ของทำเนียบได้ เนื่องจากมีไว้สำหรับงานราชการเท่านั้น ก่อนที่เศรษฐาจะล้มระเบียบดังกล่าว และเชิญเขาไปที่ห้องประชุมบนชั้น 2 เพื่อสนทนากันเป็นเวลา 1 ชั่วโมงโดยไม่มีการจดบันทึก

 

และนี่คือบางส่วนจากบทสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีเศรษฐาต่อสื่อระดับโลกอย่าง TIME

 

เศรษฐา World Tour

 

แคมป์เบลระบุว่า เศรษฐาซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายน เดินทางไปต่างประเทศมากกว่า 10 ครั้งเพื่อดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก เช่น จีน, ญี่ปุ่น, สหรัฐฯ และในการประชุมเศรษฐกิจโลกที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

 

เขายังเผยว่าภายในห้องประชุมที่พูดคุยกันนั้น รายล้อมไปด้วยกระดานไวต์บอร์ดที่เต็มไปด้วยวัตถุประสงค์เชิงนโยบายที่เขียนไว้คร่าวๆ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต, การเป็น Hub หรือศูนย์กลางการบินแห่งชาติ, เหมืองแร่โปแตช และ Tesla

 

โดยเขาชี้ว่าความพยายามของเศรษฐานั้นเห็นผล เมื่อดูจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว เฉพาะเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียว เพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

ขณะที่เศรษฐายังได้เปิดเผยว่า มีการลงทุนของบริษัทระดับโลกในประเทศไทยโดย Amazon Web Services, Google และ Microsoft มูลค่ารวมถึง 8.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเศรษฐายังกล่าวว่า “ผมอยากบอกให้โลกรู้ว่าประเทศไทยกลับมาเปิดธุรกิจอีกครั้ง”

 

เนื้อหาบทสัมภาษณ์ยังชี้ว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ไทยต้องเผชิญกับความแตกแยกทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่การรัฐประหารของกองทัพในปี 2014 โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา TIME ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบกึ่งทหาร (Quasi-Military Rule) เผชิญภาวะซบเซาและความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้น ขณะที่การเติบโตโดยเฉลี่ยของ GDP ไทยนั้นต่ำกว่า 2% น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และเวียดนาม ที่มากกว่า 2-3 เท่า 

 

ขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโควิด โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปัจจุบันยังคงมีจำนวนเพียง 70% ของจุดสูงสุดในปี 2019 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่าไทยนั้นล้าหลังในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด

 

โดยเศรษฐากล่าวถึงประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมาว่าประเทศไทยนั้นอยู่ในภาวะ ‘วิกฤตเศรษฐกิจ’ ซึ่งเป็นวิกฤตที่ต้องรับมือโดยตรง และรัฐบาลของเขาได้ใช้มาตรการต่างๆ ทั้งลดภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ประกาศพักชำระหนี้เกษตรกรที่ประสบปัญหาเป็นเวลา 3 ปี และวางแผนที่จะมอบเงิน 10,000 บาทให้กับผู้ใหญ่ชาวไทยทุกคนผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเพื่อกระตุ้นการบริโภค

 

นอกจากนี้ยังมีนโยบายการยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจากจีนและอินเดีย และมีแผนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ ขณะที่เศรษฐาเผยว่า เขายังต้องการเพิ่มบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ การดูแลสุขภาพ และการเงิน 

 

‘เปล่งประกาย’ ในเวทีโลก

 

อีกประเด็นที่เศรษฐากล่าวถึง คือการยกระดับบทบาทของไทยในเวทีโลก หลังจากที่มีการต้อนรับ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และ หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ที่มาพบปะหารือกันในไทย เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา 

 

โดยเศรษฐาหวังว่าไทยในฐานะพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ในเอเชีย และมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกับจีนอย่างลึกซึ้ง จะสามารถทำหน้าที่เป็น ‘สะพาน’ และ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับการพูดคุยกันของทั้ง 2 ประเทศได้ พร้อมเน้นย้ำว่าเขาอยากเห็นประเทศไทย ‘เปล่งประกาย’ ในเวทีโลก

 

แรงกดดันแก้ปัญหาความยากจน

 

นอกจากนี้ เศรษฐายังตอบคำถามเรื่องการเลือกตั้งในปีที่แล้ว ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ สส. มากเป็นอันดับ 2 ตามหลังพรรคก้าวไกล และต้องจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งก่อให้เกิดแรงกดดันที่ต้องสร้างผลงานอย่างแท้จริงและรวดเร็ว 

 

โดยเศรษฐายืนยันว่า เขาไม่ได้กดดันจากการที่พรรคเพื่อไทยชนะเป็นอันดับ 2 แต่มองว่า “แรงกดดันมาจากความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยทุกคน”

 

บทสัมภาษณ์ยังกล่าวถึงการที่เศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ไทยที่มีห้องนอนในทำเนียบรัฐบาล โดยเศรษฐากล่าวถึงข้อดีว่า เขาสามารถจัดการประชุมในช่วงเช้าและดึกได้ และไม่ต้องใช้ขบวนรถนำที่กีดขวางการจราจร

 

ขณะที่เศรษฐายังเผยว่าเขาแทบไม่ใช้โต๊ะทำงาน โดยครั้งเดียวที่ใช้คือการรับสายจาก เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล

 

เศรษฐายังระบุถึงปัญหาในการขับเคลื่อนนโยบายบริหารประเทศ เช่น กรณีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ถูกคัดค้านจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมองว่าการแจกเงินสดกว่า 5 แสนล้านบาทจะกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ 

 

“การเป็น CEO ของบริษัท คุณจะรู้ว่าคุณมีอำนาจจำกัด แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือการไม่มีอำนาจอย่างที่นายกรัฐมนตรีมี” เขากล่าว

 

หุ่นเชิดทักษิณ-ปัญหาสิทธิมนุษยชน

 

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายวิจารณ์คือเขาเป็นหุ่นเชิดของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นั้น เศรษฐากล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เขาเป็นคนคุมอำนาจรัฐบาล”

 

บทสัมภาษณ์ยังกล่าวถึงนโยบายด้านอื่นๆ เช่น การสมรสเท่าเทียมที่รัฐบาลเศรษฐาผลักดัน แต่ในขณะเดียวกันยังมีหลายประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่ทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลของเศรษฐาไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก รวมถึงกรณีการปรองดองระดับชาติจากการที่มีเยาวชนไทยเกือบ 2,000 คนยังคงถูกดำเนินคดีจากการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยอย่างสันติเมื่อช่วงปี 2020 และ 2021 ซึ่งเยาวชนที่อายุน้อยที่สุดมีอายุเพียง 14 ปี

 

โดยเศรษฐาไม่เห็นปัญหาใดๆ จากกรณีเหล่านี้ และยืนยันว่า “สิทธิที่จะได้รับความยุติธรรม และสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีนั้นมีอยู่”

 

ความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย

 

นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงประเด็นการพบปะกับผู้นำมหาอำนาจอย่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ซึ่งมีการชักชวนลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์อย่างแลนด์บริดจ์ โดยเศรษฐามองว่าผู้นำจีนนั้น “ต้องการการค้า และไม่ได้ต้องการจะสร้างปัญหาหรือสงคราม”

 

เศรษฐายังได้พบปะประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลของเขากับรัสเซียท่ามกลางสงครามในยูเครนที่ยังตึงเครียด สร้างความไม่สบายใจแก่สหรัฐฯ 

 

โดยกรณีล่าสุดที่ อเล็กเซ นาวาลนี ผู้นำฝ่ายค้านรัสเซียเสียชีวิตในเรือนจำ และสหรัฐฯ มองว่าเป็นฝีมือของปูติน ทางด้านเศรษฐาได้แสดงความคิดเห็นโดยตั้งคำถามว่า “มีหลักฐานว่าปูตินเป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่” 

 

“มันเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในดินแดนของพวกเขา หากเป็นอาชญากรรมจริงๆ เราไม่ก้าวก่ายอธิปไตยของประเทศอื่น”

 

บทสัมภาษณ์ยังชี้ว่าเศรษฐานั้นให้ความสำคัญต่อนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียกว่า 1 ล้านคนที่มาเยือนประเทศไทยทุกปี และยังเสนอให้ผู้ถือหนังสือเดินทางรัสเซียทุกคนสามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 90 วัน ซึ่งมากกว่าชาวอเมริกันถึง 3 เท่า

 

การผูกขาดธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่

 

นอกจากนี้ ในประเด็นการลดอำนาจบริษัทขนาดใหญ่ที่ครอบงำธุรกิจในไทย เช่น ธุรกิจเบียร์ หรือสัมปทานพื้นที่ขายสินค้าปลอดภาษีในสนามบิน ซึ่งพรรคเพื่อไทยให้คำมั่นในช่วงหาเสียง แต่เมื่อเศรษฐาได้ครองอำนาจ กลับมีการเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดโดยผู้บริหารของหลายบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ

 

ซึ่งเศรษฐามองว่าเขาไม่เห็นว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นผิดมากนัก และยังมีพื้นที่สำหรับผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในการหาส่วนแบ่งในตลาด

 

“ผมไม่คิดว่าเศรษฐกิจถูกครอบงำโดยกลุ่มบริษัทระดับโลกล้วนๆ” เขากล่าว

 

ขณะที่บทสัมภาษณ์ชี้ว่าคนไทยจำนวนมากไม่เห็นด้วย โดยเห็นได้จากคะแนนเสียง 14 ล้านเสียงสำหรับพรรคก้าวไกล ที่เน้นย้ำนโยบาย ‘การกระจายอำนาจและการยุติเศรษฐกิจที่ผูกขาดและไม่เป็นธรรม’

 

บทสัมภาษณ์ยังทิ้งท้ายว่า “การปฏิรูปอย่างกล้าหาญนั้น คือสิ่งที่เศรษฐกิจไทยต้องการอย่างยิ่ง” พร้อมระบุข้อความของเศรษฐาที่กล่าวว่า 

 

“จากการเป็น CEO ของบริษัท จนมาถึง CEO ของประเทศนั้น มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกมากมาย” 

 

ภาพ: TIME

อ้างอิง:

The post ‘เซลส์แมนประเทศไทย’ เศรษฐาขึ้นปกนิตยสาร TIME ยืนยันไทยเปิดธุรกิจสู่ทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ช่วงชีวิต 20 ปีของ อังคณา นีละไพจิตร คู่ชีวิต-นักสิทธิฯ ที่รู้ว่าแพ้ตั้งแต่เริ่มหาทนายสมชาย https://thestandard.co/angkhana-neelapaijit-20-year-journey/ Sat, 09 Mar 2024 04:00:09 +0000 https://thestandard.co/?p=909049 ช่วงชีวิต 20 ปีของ อังคณา นีละไพจิตร

วันที่ 12 มีนาคม 2567 ครบรอบ 20 ปีที่ ‘สมชาย นีละไพจิตร […]

The post ช่วงชีวิต 20 ปีของ อังคณา นีละไพจิตร คู่ชีวิต-นักสิทธิฯ ที่รู้ว่าแพ้ตั้งแต่เริ่มหาทนายสมชาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ช่วงชีวิต 20 ปีของ อังคณา นีละไพจิตร

วันที่ 12 มีนาคม 2567 ครบรอบ 20 ปีที่ ‘สมชาย นีละไพจิตร’ ทนายความที่มุ่งเน้นช่วยเหลือลูกความผู้ด้อยโอกาส ต้องกลายเป็น ‘ผู้สูญหาย หรือผู้ถูกทำให้สูญหาย’ เพียงเพราะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในคดีเจไอ หรือคดีกลุ่มก่อการร้าย เจมาห์ อิสลามิยาห์

 

สิ่งสุดท้ายที่สมชายทิ้งไว้ก่อนจะหายไปคือ หนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากกรณีที่ผู้ต้องหาคดีเจไอต้องถูกซ้อมทรมานให้รับสารภาพตามที่ตำรวจต้องการ

 

ในฉากชีวิตก่อนสูญหายตามคำให้การของพยานเพียงรายเดียวทำให้เรารู้ว่า สมชายไม่มีโอกาสแม้เพียงเสี้ยวนาทีที่จะได้เตรียมตัวหรือร่ำลาบุคคลอันเป็นที่รักเลย

 

THE STANDARD พูดคุยกับ อังคณา นีละไพจิตร นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และในฐานะบุคคลอันเป็นที่รัก ภรรยาของทนายสมชาย แม่ของลูกๆ ทั้ง 5 คน ถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

 

คนหายหาไม่เจอ แต่คดีต้องหยุดสืบสวน

 

FYI: หลังการหายไปของสมชาย มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้น มีกระแสข่าวหลากหลายถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในที่สุดเรื่องก็เงียบหายไป 

 

จนต่อมาคณะทำงานด้านผู้สูญหาย องค์การสหประชาชาติ (UN) มีมติรับคดีของสมชายเป็นคดีของคณะทำงานด้านผู้สูญหาย หมายเลขคดี 1003249 

 

โดยในวันที่ 2 มิถุนายน 2548 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุดังกล่าว และการที่ UN ยื่นมือเข้ามาร่วม จนเป็นพาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า “ทักษิณบอก UN ไม่ใช่พ่อ” 

 

คดีสมชายไม่ได้เป็นคดีพิเศษที่จัดการโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งที่มีการร้องขอจากครอบครัว จนกระทั่งวันที่ 23 กรกฎาคม 2548 ตัวแทนรัฐบาลไทยต้องชี้แจงรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ จึงทำให้ในวันนั้นคดีทนายสมชายถูกรับเป็นคดีพิเศษ

 

 

“ประมาณเดือนตุลาคม 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งหนังสือมาถึงครอบครัวแจ้งให้ทราบว่า จากนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษจะงดการสอบสวนคดีทนายสมชาย เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด” อังคณากล่าว

 

อังคณาเล่าต่อว่า หลังจากได้รับหนังสือดังกล่าวตนได้ขอเข้าพบอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จากการคุยกันทำให้ทราบว่า สาเหตุที่ต้องงดการสอบสวนเพราะตั้งแต่รับคดีนี้ให้เป็นคดีพิเศษจนถึงปี 2559 ตลอด 11 ปี การที่กรมสอบสวนฯ ไม่สามารถหาคนผิดได้มันกระทบต่อตัวชี้วัดการทำงานของกรมสอบสวนฯ เอง

 

แต่ทั้งนี้ก็มีการอธิบายเพิ่มเติมว่า หากมีหลักฐานใดปรากฏขึ้นก็สามารถมาสอบสวนใหม่ได้ ณ ขณะนั้นอังคณาจึงถามกลับทางอธิบดีว่า “ให้แต่งตั้งตนเป็นพนักงานสอบสวนได้หรือไม่ เพื่อจะได้มีการสอบสวนต่อไป และตนจะได้มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ เพราะถ้าหากเป็นชาวบ้านธรรมดาแบบนี้จะหาหลักฐานจากที่ไหน เพียงมีชีวิตอยู่แต่ละวันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”

 

อังคณาเล่าเหตุการณ์ย้อนไปก่อนหน้าปี 2559 ที่จะมีการงดสืบสวนว่า เคยเกิดกระแสข่าวประมาณปี 2554-2555 ที่มีการประท้วงจากผู้ชุมนุมหลายกลุ่ม และมีการบุกรุกเข้าไปในสำนักงาน เป็นเหตุให้แฟ้มคดีของทนายสมชายหายไป แต่เพียงไม่นานก็มีการแถลงว่าแฟ้มดังกล่าวตกอยู่ที่พื้นข้างโต๊ะ

 

“มันจะหายไปได้อย่างไร ในเมื่อตอนที่เราไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ กว่าจะเข้าไปถึงต้องผ่านประตูจำนวนมาก มีประตูเหล็ก มีรหัสสารพัด ไม่ใช่ใครก็ตามที่จะสามารถงัดบุกเข้าไปได้”

 

อังคณากล่าวต่อว่า อดคิดไม่ได้ว่าความจริงแล้วแฟ้มคดีทนายสมชายมีจริงหรือไม่ หรือมีแต่แฟ้ม ด้านในไม่มีเอกสารหลักฐานอะไร เพราะที่ผ่านมาครอบครัวเคยไปขอดูก็ไม่เคยได้ดูว่าสอบสวนสืบสวนอะไรไปบ้าง ทั้งที่ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ได้เขียนไว้ว่า ผู้ต้องหาและจำเลยมีสิทธิที่จะเข้าถึงพยานหลักฐานตามสมควร

 

ส่วนตัวคิดมาเสมอว่า ถ้าจะหาตัวคนผิดคงไม่ยาก เจ้าหน้าที่ต้องรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำ แต่มันคงอยู่ที่ความจริงใจว่าจะทำคดีนี้ได้เต็มที่หรือไม่ จะตั้งใจหาตัวสมชายมากเท่าใด

 

ต่อมาในปี 2553 มีการเยียวยากรณีของกลุ่มคนเสื้อแดงและคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และต่อมาในปี 2555 มีการเยียวยากรณีที่เกิดขึ้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมไปถึงเยียวยาครอบครัวของสมชาย โดยเหตุผลที่เยียวยาระบุไว้ในมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เป็นการเยียวยาผู้เสียหายที่เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

 

อังคณากล่าวว่า สิ่งที่ครอบครัวของผู้สูญเสียสงสัยคือ เมื่อรัฐเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมไม่มีการดำเนินการด้านกระบวนการยุติธรรม การเยียวยาเหมือนการให้เงินและจบไป

 

 

โมเดลคดีคนหาย

 

อังคณากล่าวว่า ก่อนที่ทนายสมชายจะหายตัวไป ช่วงเวลานั้นมีข่าวคราวเรื่องการอุ้มหายบุคคลมาตลอด ตนเองก็เคยตั้งคำถามว่าทำไมครอบครัวพวกเขาเหล่านั้นถึงไม่ทำอะไรเลย ทางทนายสมชายเคยเล่าเองว่า “ประชาชนคงไม่กล้าทำอะไร เขากลัวที่จะลุกขึ้นมาพูด”

 

จนเมื่อวันหนึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับครอบครัวจึงต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรดี อังคณาระบุว่า ในวันที่แน่ใจว่าทนายสมชายหายตัวไป ตนเองได้ขับรถไปที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) บางยี่เรือ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไม่ให้แจ้งความเพราะต้องรอ 48 ชั่วโมงก่อน ขณะนั้นสิ่งที่ทำได้เพียงให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบอุบัติเหตุให้ เพราะทนายสมชายหายไปพร้อมรถ

 

อังคณาเล่าประสบการณ์ตอนที่เป็นคณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายว่า เมื่อมีคนหายต้องมีการสืบสวนสอบสวนโดยทันที เพราะช่วงเวลาที่หายไปมันสำคัญต่อชีวิตมาก หมายถึงความเป็นความตายของมนุษย์ ไม่ควรที่จะต้องรอ 48 หรือ 24 ชั่วโมงที่จะไม่เหลืออะไรแล้ว

 

“กรณีเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน การจะหาตัวคนหายหรือคนที่ทำผิด สิ่งสำคัญคือเจตจำนงทางการเมือง ถ้ารัฐบาลมีเจตจำนงที่จะทำมันก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำ” อังคณากล่าว

 

เรื่องของทนายสมชาย ตั้งแต่เกิดเรื่องมีการกดดันมาโดยตลอด มีการส่งเรื่องไปถึงสหประชาชาติ จนกระทั่งวันที่ 1 เมษายน 2547 ภายใน 2 สัปดาห์เท่านั้น ศาลออกหมายจับตำรวจ 4 คน ซึ่งถือว่าเร็วมาก และหลังจากนั้นอีกประมาณ 2 สัปดาห์ก็ออกหมายจับตำรวจอีกหนึ่งคนซึ่งเป็นตำรวจยศสูงกว่า

 

อังคณากล่าวว่า คดีสมชายจึงเป็นคดีแรกที่ถูกนำขึ้นสู่ศาล ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์กับทนายสมชายขึ้นก็มีเหตุการณ์เกิดกับอีกหลายคน แต่ต้องยอมรับว่าเวลาที่เราได้เจอกับญาติผู้สูญหาย อุปสรรคที่สำคัญคือครอบครัวไม่ประสงค์จะดำเนินการต่อเนื่องจากกลัว เหมือนคำกล่าวว่า หนึ่งคนหายกลัวทั้งหมู่บ้าน แต่ตนยืนยันว่าทนายสมชายไม่ได้มีอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นๆ เลย 

 

ฉะนั้นแล้ว ญาติมีส่วนสำคัญที่จะทำให้คดีก้าวต่อไปในทิศทางไหน เพราะครอบครัวของทนายสมชายเองได้คุยกันมาตลอดว่าเราควรจะไปต่อหรือพอแค่นี้

 

เพศไม่ควรเป็นเครื่องมือด้อยค่าความเป็นคน

 

อังคณาเล่าว่า การต่อสู้คดีของทนายสมชายถามลูกมาตลอด เพราะได้เห็นพวกเขาแอบแยกตัวไปนั่งร้องไห้ นั่งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อ เด็กๆ จินตนาการว่าพ่อจะต้องเป็นอย่างไรตอนที่ถูกทำร้าย พ่อจะต้องเจ็บปวดขนาดไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคนเป็นแม่ได้ยินมาโดยตลอด ซึ่งเราทำได้คือคอยถามลูกว่ายังไหวไหม เพราะเราต้องดูแลกัน

 

“ทุกวันนี้เวลาที่ลูกต้องกรอกข้อความในเอกสารต่างๆ เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเขียนว่าพ่อมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือแม้แต่เราจะอยู่ในสถานะสมรสแบบไหน ม่ายหรือหย่า” อังคณากล่าว

 

อังคณากล่าวยกตัวอย่างกรณีของ มึนอ ภรรยา บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ นักกิจกรรมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งขณะที่เกิดเรื่องกับบิลลี่ มึนอมีลูก 5 คน และได้แต่งงานกับคนในหมู่บ้านเดียวกันหลังบิลลี่หายตัวไป ตอนนั้นสังคมก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเธออย่างมาก

 

ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ครอบครัวต้องเผชิญคือการใช้เพศเป็นเครื่องมือเหยียดหยาม อย่างตัวของเราเองก็มีคนที่เคยใช้คำพูดว่าให้ไปตามหาสามีตัวเองให้เจอก่อนค่อยมาเรียกร้อง

 

“ความเป็นผู้หญิงมักถูกนำมาใช้ลดทอนคุณค่าของตัวเรา การที่คนคนหนึ่งหายไปมันกระทบกับผู้หญิงที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างมาก” อังคณากล่าว

 

 

สำหรับตน สิ่งที่ทำให้เดินหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ก็คือลูกๆ ที่คอยยึดเหนี่ยวกัน หลายครั้งที่มันหนักหนาจนทำให้คิดว่า ถ้าเราไม่แต่งงานกับคนนี้เราคงจะได้เป็นคนทั่วไป ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ทำไมชีวิตเราถึงเป็นแบบนี้ 

 

“ตัวเราไม่ใช่คนเก่ง เราไม่ใช่คนที่อดทนมากกว่าคนอื่น เราเป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีความรู้สึกอ่อนแอ”

 

อังคณากล่าวต่อว่า เวลาเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน คนที่โดนส่วนมากคือผู้ชาย แต่คนที่ออกมาเรียกร้องคือผู้หญิง ฉะนั้นมันยากกว่าเดิมตรงที่มีเรื่องของการเหยียดเพศเข้ามาแทรก ทำให้ผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่น

 

มันเหมือนเป็นการทำลายศักดิ์ศรีซึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญ ใครที่ไม่ถูกพรากไปก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์มันสำคัญขนาดไหน

 

ชีวิตเรียบง่ายที่เป็นได้แค่ความฝัน

 

เมื่อถามว่าคดีสมชายได้เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตอังคณาบ้าง?

 

อังคณากล่าวว่า จริงๆ ถ้าไม่มีเรื่องนี้เราคงเป็นผู้หญิงธรรมดา เกษียณก็คงได้ใช้ชีวิตธรรมดา ปกติแล้วเราเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว เป็นพยาบาลทำงานตามปกติ ชอบอ่านหนังสือ ไม่ได้ชอบเข้าสังคม แต่เมื่อมีเรื่องของทนายสมชาย จากคนที่ไม่เคยมีโทรศัพท์ก็ต้องพกโทรศัพท์ตลอดเวลาเพื่อรอฟังข่าวที่อาจจะมีมาเมื่อไรก็ได้ นั่นทำให้ที่ผ่านมาทุกเวลาโทรศัพท์ถูกเปิดไว้รับทุกๆ สาย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ นักข่าว หรือผู้ไม่หวังดีที่มาคุกคาม

 

“ถ้าวันนั้นสมชายไม่เคยหายไปไหนเราคงได้ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายในครอบครัว หลายครั้งที่เห็นผู้สูงอายุใช้ชีวิตด้วยกันจนถึงแก่เฒ่า แม้เราจะไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้ใช้ชีวิตแบบนั้น เพราะสมชายเคยพูดไว้ตลอดว่าจะทำงานจนกว่าตัวของเขาจะไม่มีแรง แต่เราก็เชื่อว่าเราคงได้ใช้ชีวิตของเราไปเรื่อยๆ กับลูก” อังคณากล่าว

 

ฉะนั้นสิ่งที่เสียมากที่สุดที่ผ่านมาคือความเป็นส่วนตัว เราไม่สามารถเป็นคนธรรมดาได้อีก แต่อีกแง่ก็ต้องขอบคุณสังคมที่อีกมุมก็อบอุ่น

 

อังคณากล่าวต่อว่า ในทางที่ดี การที่เป็นตัวเองในวันนี้เมื่อพูดอะไรออกไปเสียงนั้นมันดังขึ้น จากคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จักก็สามารถมีบทบาทขับเคลื่อนสังคมจนกระทั่งมาเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน และมาเป็นผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ จากผู้หญิงธรรมดาวันหนึ่งได้ก้าวขึ้นมาทำงานระดับชาติ และไปถึงระดับโลก พูดแทนเหยื่อที่ถูกอุ้มหายจากทั่วโลก

 

“ชีวิตมันอาจจะถูกเขียนเอาไว้ให้มันเป็นแบบนี้ ซึ่งมันก็ไปต่อเองโดยธรรมชาติ ชีวิตมันมีทางให้เราไปต่อเรื่อยๆ

 

อังคณายกเหตุการณ์หนึ่งที่จำได้ดีและรู้สึกว่าสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการเคลื่อนไหวของคดีทนายสมชายคือ ตอนที่ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และนักกิจกรรมทางการเมือง 9 คนหายไป ทำให้เกิดการชุมนุม มีประชาชนออกมาถือภาพของคนหายเต็มถนนราชดำเนิน สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องแบบนี้ปิดไม่ได้อีกต่อไป ส่วนตัวไม่คิดว่าจะเจอภาพแบบนั้น ซึ่งทำให้ดีใจและภูมิใจว่า เรื่องการที่เจ้าหน้าที่ทำผิด พยายามกดครอบครัวของผู้ที่ถูกอุ้มหาย คุณจะปกปิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

 

 

เราสู้แม้จะรู้ว่าแพ้ตั้งแต่เริ่ม

 

อังคณากล่าวว่า ความรู้สึกส่วนตัวที่ออกมาสู้เรื่องนี้แม้รู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายผลลัพธ์ก็คือแพ้ ที่เราแพ้เพราะท้ายสุดเราไม่สามารถหาความจริงได้ เราพ่ายแพ้เพราะเรายังเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันวันนี้ก็ภูมิใจที่คนธรรมดาอย่างเรา คนที่ไม่ได้มีใครรู้จัก ผู้หญิงธรรมดา สามารถลุกขึ้นมาทำให้กระบวนการยุติธรรมมันกระเพื่อมได้

 

“เราเหมือนก้อนหินที่ถูกปาลงไปในน้ำ และทำให้สิ่งที่เคยถูกปกปิดไว้เกิดเป็นคลื่นกระจายออกไป ทำให้ทั่วโลกได้รับรู้ นอกจากเป็นความภูมิใจแล้ว สิ่งที่ทำให้ดีใจมากคือมีคนออกมาขับเคลื่อนกับเรื่องนี้มากขึ้น”

 

อังคณากล่าวต่อว่า แม้พวกเขาที่ออกมาขับเคลื่อนจะเป็นคนที่ไม่มีตัวตนในสังคม แต่ก็กล้าที่จะมาแสดงออกมากขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่ตนอยากฝากไปถึงสื่อมวลชนทุกแขนงวันนี้คือ อย่าทิ้งให้พวกเขาโดดเดี่ยว เพราะว่าต่อให้เขาพูดเท่าไร บางทีเสียงเขาอาจจะยังไม่ดัง ถ้ามันไม่มีคนช่วยขยายเสียงเหล่านั้นออกไปให้ไกล และที่สำคัญ คำพูดของพวกเขาเมื่อมันถูกได้ยิน คำพูดนั้นจะเป็นกลไกหนึ่งที่จะปกป้องพวกเขาเหล่านั้นด้วย

 

The post ช่วงชีวิต 20 ปีของ อังคณา นีละไพจิตร คู่ชีวิต-นักสิทธิฯ ที่รู้ว่าแพ้ตั้งแต่เริ่มหาทนายสมชาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธาส่งกำลังใจให้ ครม. ชุดใหม่ ชี้ต้องให้โอกาส พล.อ. ณัฐพล ที่มีชื่อคุมกลาโหม พัฒนากองทัพให้ทันสมัย ดูแลพลทหารอย่างมีสิทธิมนุษยชน https://thestandard.co/pita-encourage-new-cabinet/ Sun, 27 Aug 2023 07:54:57 +0000 https://thestandard.co/?p=834295 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

วันนี้ (27 สิงหาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าว […]

The post พิธาส่งกำลังใจให้ ครม. ชุดใหม่ ชี้ต้องให้โอกาส พล.อ. ณัฐพล ที่มีชื่อคุมกลาโหม พัฒนากองทัพให้ทันสมัย ดูแลพลทหารอย่างมีสิทธิมนุษยชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

วันนี้ (27 สิงหาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่นำโดยรัฐบาลของ เศรษฐา ทวีสิน ว่า มีทั้งให้กำลังใจและกังวลใจในหลายเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลจะทำ ทั้งการกระจายอำนาจและความเท่าเทียม รวมถึงการปฏิรูปกองทัพที่เคยทำมา ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ให้สัมภาษณ์ไว้ และพรรคก้าวไกลก็เตรียมจะผลักดัน 

 

ส่วน ครม. ก็ขอให้กำลังใจ และหวังว่าจะเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง และสัญญาประชาคมที่ยึดโยงประชาชนไว้ขอให้ทำให้สำเร็จ 

 

เมื่อถามว่า การยกเลิกเกณฑ์ทหารจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ หาก พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พิธาระบุว่า ต้องให้โอกาสดู ตนเชื่อว่าหากเป็นสิ่งที่สังคมและประชาชนต้องการ เพื่อให้กองทัพทันสมัย สามารถดูแลพลทหารอย่างมีสิทธิมนุษยชน ให้มีการตอบแทนที่เหมาะสม ตนคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อกองทัพ สังคม และประเทศชาติมากที่สุด

The post พิธาส่งกำลังใจให้ ครม. ชุดใหม่ ชี้ต้องให้โอกาส พล.อ. ณัฐพล ที่มีชื่อคุมกลาโหม พัฒนากองทัพให้ทันสมัย ดูแลพลทหารอย่างมีสิทธิมนุษยชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
กสม. ผิดหวัง ครม. เลื่อนบังคับใช้กฎหมายป้องกันซ้อมทรมาน-อุ้มหาย กระทบสิทธิประชาชนและความน่าเชื่อถือประเทศ https://thestandard.co/cabinet-postpone-law-enforcement/ Thu, 16 Feb 2023 05:59:03 +0000 https://thestandard.co/?p=751311 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

วันนี้ (16 กุมภาพันธ์) วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมน […]

The post กสม. ผิดหวัง ครม. เลื่อนบังคับใช้กฎหมายป้องกันซ้อมทรมาน-อุ้มหาย กระทบสิทธิประชาชนและความน่าเชื่อถือประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

วันนี้ (16 กุมภาพันธ์) วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งเดิมจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 โดยให้ขยายกำหนดเวลาการมีผลบังคับใช้ของมาตรา 22-25 ซึ่งเป็นมาตราที่สำคัญ ออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2566 นั้น 

 

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ผิดหวัง และเป็นห่วงว่าประชาชนยังอาจถูกละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายโดยกระบวนการจับกุมและสอบสวนที่ขัดต่อกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงถึงผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศในเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะผลักดันให้มีกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีมาตั้งแต่ปี 2550 และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) ที่ไทยได้แสดงเจตนารมณ์เข้าเป็นภาคีไว้ตั้งแต่ปี 2555

 

สำหรับประเด็นที่มีข้อถกเถียงว่าการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวเพื่อขยายระยะเวลาบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ซึ่งเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้หรือไม่นั้น เพื่อให้สิ้นความสงสัยและเป็นบรรทัดฐานในโอกาสต่อๆ ไป กสม. เห็นควรให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเสนอเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยด้วย

 

“กสม. ได้รับทราบปัญหาและข้อจำกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเรื่องความพร้อมด้านอุปกรณ์การบันทึกภาพและเสียง ความพร้อมของบุคลากรในการปฏิบัติตามกฎหมาย และความไม่ชัดเจนในแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานกลาง อย่างไรก็ดี กสม. และผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายเห็นว่าปัญหาดังกล่าวมีทางออกและข้อยกเว้นอยู่แล้ว และเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายที่ล่าช้าออกไปจะส่งผลกระทบมากกว่า โดยเฉพาะต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของประชาชน” วสันต์กล่าว

 

วสันต์ยังกล่าวอีกว่า ระหว่างที่มีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายมาตราที่สำคัญออกไป ขอให้รัฐบาลเร่งเตรียมความพร้อมและแก้ปัญหาข้อจำกัดในทุกด้าน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีการขอเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก

The post กสม. ผิดหวัง ครม. เลื่อนบังคับใช้กฎหมายป้องกันซ้อมทรมาน-อุ้มหาย กระทบสิทธิประชาชนและความน่าเชื่อถือประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาคประชาชน ยื่นกว่า 13,000 รายชื่อ คัดค้าน-ไม่เอาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชนทุกรูปแบบ https://thestandard.co/objection-no-draft-act-to-control-the-gathering-of-people/ Fri, 25 Mar 2022 06:00:34 +0000 https://thestandard.co/?p=609858 ภาคประชาชน

วันนี้ (25 มีนาคม) สุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง ผู้แทนเครือข่า […]

The post ภาคประชาชน ยื่นกว่า 13,000 รายชื่อ คัดค้าน-ไม่เอาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชนทุกรูปแบบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาคประชาชน

วันนี้ (25 มีนาคม) สุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง ผู้แทนเครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชน เผยว่า ทางเครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชนเห็นว่า รัฐบาลไทยต้องยืนยันหลักความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งเปิดโอกาสให้บุคคลทุกคนสามารถรวมตัวกันและจัดตั้งสมาคมได้ ให้การประกันว่าสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร สิทธิในการดำเนินงาน ต้องปราศจากการแทรกแซงที่ไม่เหมาะสมของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อความเป็นอิสระและความมีประสิทธิภาพในการสมาคม 

 

นอกจากนั้น ทางเครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชนยังเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ดังกล่าวประกอบด้วย บทบัญญัติที่จำกัดสิทธิในเสรีภาพการสมาคมและสิทธิมนุษยชนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจำกัดสิทธินั้นส่งผลกระทบต่อความสามารถขององค์กรในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริม คุ้มครอง และรับรองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในประเทศไทย พร้อมทั้งกระทบต่อประเทศไทย ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางขององค์กรไม่แสวงหากำไรระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

“ที่ผ่านมา ทางเครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชน และองค์กรภาคประชาสังคมทั่วประเทศได้จัดเวทีเสวนา ประชุม ออกแถลงการณ์ พร้อมยื่นหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแสดงความความกังวล และคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. … แล้วอย่างน้อย 10 ครั้ง ซึ่งไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด 

 

อีกทั้งกระบวนการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังเดินหน้าจัดทำต่อไป โดยปัจจุบันกระบวนการอยู่ในขั้นตอนเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2565 ถึง 25 มีนาคม พ.ศ. 2565 โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการรับฟังความคิดเห็น เครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชน เห็นว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวไม่มีความชอบธรรมในแง่ของการเข้าถึงของประชาชนอย่างกว้างขวางเพียงพอ” สุนทรีกล่าว

 

สุนทรีกล่าวต่อไปว่า ทางเครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชน จึงได้จัดให้มีการรณรงค์รวบรวบรายชื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์ไม่แสวงหากำไร พ.ศ. … ผ่านช่องทางเว็บไซต์ Change.org ซึ่งมีผู้ร่วมลงรายชื่อคัดค้านมากกว่า 13,000 รายชื่อ โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้

 

ยกเลิกกระบวนการร่างและผลักดัน พ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. … โดยทันที 

 

เรียกร้องให้ทุกขั้นตอนในการร่างกฎหมายมีการสร้างระบบและพื้นที่รับฟังความคิดเห็นอย่างโปร่งใส เข้าถึงได้ และไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งประเมินผลกระทบต่อสาธารณะและองค์กรประชาชน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงอย่างแท้จริง

 

ประกันว่าสิทธิในการสมาคมรวมทั้งการเข้าถึงทรัพยากร สิทธิในการดำเนินงาน ต้องสอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของประเทศไทย และปราศจากการแทรกแซงที่ไม่ได้สัดส่วนของรัฐ เพื่อความเป็นอิสระและประสิทธิภาพในการสมาคม

 

ทั้งนี้ เครือข่ายคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาชนเป็นการรวมตัวกันของเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมด้านต่างๆ ได้แก่ เครือข่ายองค์กรผู้สูงอายุ เครือข่ายองค์กรคนพิการ เครือข่ายด้านเด็กและครอบครัว เครือข่ายเยาวชน เครือข่ายผู้หญิง เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เครือข่ายชุมชนเมืองและสลัมสี่ภาค เครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายแรงงานในระบบ เครือข่ายด้านสุขภาพ เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืนและความมั่นคงทางอาหาร เครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง เครือข่ายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เครือข่ายองค์กรระหว่างประเทศ เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน 5 ภาค เครือข่ายวิชาการด้านสังคม และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช) รวมจำนวน 1,867 องค์กร ที่รวมตัวกันเพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์ไม่แสวงหากำไร พ.ศ. …

 

ขณะที่ อนุกูล ปีดแก้ว อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นตัวแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มารับหนังสือจากภาคประชาชน

The post ภาคประชาชน ยื่นกว่า 13,000 รายชื่อ คัดค้าน-ไม่เอาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชนทุกรูปแบบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาคีนักกฎหมายฯ ยื่นถอดถอน สิระ ออกจากประธาน กมธ. กฎหมายฯ ชี้พฤติกรรมสร้างความขัดแย้ง https://thestandard.co/filed-sira-dismissed-terminated-the-president-of-the-legal-commission/ Wed, 25 Nov 2020 12:19:39 +0000 https://thestandard.co/?p=425169 ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

วันนี้ (25 พฤศจิกายน) ตัวแทนภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ย […]

The post ภาคีนักกฎหมายฯ ยื่นถอดถอน สิระ ออกจากประธาน กมธ. กฎหมายฯ ชี้พฤติกรรมสร้างความขัดแย้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

วันนี้ (25 พฤศจิกายน) ตัวแทนภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาถอดถอน สิระ เจนจาคะ ออกจากการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ทำให้ประชาชนเกิดความขัดแย้ง ไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ

 

ด้าน นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนรับยื่นหนังสือจากตัวแทนภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน นำโดย คอรีเยาะ มานุแช เพื่อขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการเพื่อถอดถอน สิระ เจนจาคะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ออกจากการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

เนื่องจากเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สิระ เจนจาคะ ได้ขึ้นปราศรัยถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และได้กล่าวพาดพิงถึงบุคคลอื่นด้วยคำพูดที่เกียรติศักดิ์ศรีและลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ขณะเดียวกันการขึ้นปราศรัยของสิระยังเป็นการปลุกระดมสร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชน และยังกระทบต่อสิทธิพลเมืองของบุคคลอื่นด้วย

 

ขณะเดียวกันการดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย จะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติที่ยึดมั่นในหลักนิติรัฐและนิติธรรม และหลักสิทธิมนุษยชน แต่สิระกลับมีพฤติกรรมที่มีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ที่ไม่เคารพในหลักนิติรัฐและหลักมนุษยชน ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนจึงต้องการให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาและถอดถอน สิระ เจนจาคะ ออกจากการดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการ 

 

ด้าน นพ.สุกิจ กล่าวว่า จะรับเรื่องดังกล่าวเพื่อเสนอไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรและดำเนินกระบวนการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป 

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ภาคีนักกฎหมายฯ ยื่นถอดถอน สิระ ออกจากประธาน กมธ. กฎหมายฯ ชี้พฤติกรรมสร้างความขัดแย้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทนายวิญญัติแจ้งความแกนนำ คปส. 4 ข้อหา หลังเรียกร้องรัฐประหาร เผยรอดูมาตรฐานการทำงานของตำรวจ https://thestandard.co/notify-networks-protect-the-monarchy-leaders-for-4-charges-after-coup-detat/ Wed, 11 Nov 2020 05:14:17 +0000 https://thestandard.co/?p=419674 ทนายวิญญัติแจ้งความแกนนำ คปส. 4 ข้อหา หลังเรียกร้องรัฐประหาร เผยรอดูมาตรฐานการทำงานของตำรวจ

วันนี้ (11 พฤศจิกายน) เมื่อเวลา 10.11 น. ที่สถานีตำรวจน […]

The post ทนายวิญญัติแจ้งความแกนนำ คปส. 4 ข้อหา หลังเรียกร้องรัฐประหาร เผยรอดูมาตรฐานการทำงานของตำรวจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทนายวิญญัติแจ้งความแกนนำ คปส. 4 ข้อหา หลังเรียกร้องรัฐประหาร เผยรอดูมาตรฐานการทำงานของตำรวจ

วันนี้ (11 พฤศจิกายน) เมื่อเวลา 10.11 น. ที่สถานีตำรวจนครบาลดุสิต วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ พร้อมคณะทำงานภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เข้าแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต ให้ดำเนินคดีอาญากับ กฤตย์ เยี่ยมเมธากร จากกรณีที่แสดงออกต่อสาธารณะหลายครั้งเกี่ยวเนื่องกับการยุยงส่งเสริมให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และเรียกร้องให้ผู้บัญชาการทหารบกทำรัฐประหารและใช้วิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากใครทราบการกระทำลักษณะนี้ก็สามารถกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับบุคคลที่มีความคิดทางการเมืองเช่นนี้ ซึ่งการแสดงออกล้วนแต่เข้าข่ายผิดกฎหมาย

 

วิญญัติกล่าวว่าตนเห็นว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยไม่สุจริต เพราะมีถ้อยคำและข้อความที่เป็นการก่อให้ทหารหรือผู้มีอำนาจล้มล้าง เปลี่ยนแปลงกฎหมาย และยึดอำนาจปกครองในประเทศ ตนได้ตรวจสอบพฤติการณ์ก่อนกฤตย์จะมาให้สัมภาษณ์ ก็พบว่ากฤตย์ได้โพสต์เฟซบุ๊กโดยใช้บัญชี กฤตย์ เยี่ยมเมธากร ให้ทำการยึดอำนาจหรือทำรัฐประหารมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 49 โดยฐานความผิดที่มากล่าวโทษวันนี้คือ

 

1. ความผิดฐานก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใดให้ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวไม่ได้ หรือยึดอำนาจในส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักร เป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ประกอบมาตรา 84

 

2. ความผิดฐานยุยงทหารหรือตำรวจให้หนีราชการ ให้ละเลย ไม่กระทำการตามหน้าที่ หรือให้ก่อการกำเริบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 115 วรรคแรก

 

3. ความผิดฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (1)

 

4. ความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560

 

“แม้ในวันที่ 9 พฤศจิกายนจะมีการเปลี่ยนคำพูดไปใช้คำว่าชัตดาวน์ประเทศ เรียกร้องให้ใช้กฎหมายพิเศษ แต่ผมก็คิดว่าพฤติการณ์ความผิดสำเร็จไปแล้ว ผมรับไม่ได้ เพราะเป็นวิธีการที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญทั้งนั้น ผมจึงเห็นว่าการกระทำของกฤตย์ต่อเนื่องหลายครั้ง ประชาชนส่วนใหญ่ที่ศรัทธาระบอบประชาธิปไตยรับไม่ได้ ถ้าปล่อยความคิดนี้ไป ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะกลับไปถอยหลัง การใช้วิธีการยึดอำนาจหรือเผด็จการมาปกครองประเทศเป็นแนวคิดที่คนในปัจจุบันรับไม่ได้และไม่ยอมให้เกิดขึ้น การมาแจ้งความวันนี้เพื่อดูว่ามาตรฐานการดำเนินคดีและการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการตามมาตรฐานที่ดำเนินคดีเหมือนกับผู้ชุมนุมหรือไม่ เพราะผู้ชุมนุมทำอะไรก็ผิด ส่วนอีกด้านยังไม่เห็น ก็ต้องมาดูกัน” วิญญัติกล่าว 

 

วิญญัติยังกล่าวอีกว่า สำหรับกฤตย์นั้นดำเนินการอย่างไม่ได้มีนัย เรามาทำให้เห็นว่าระบบการปกครองบ้านเมืองที่ถูกต้อง เราปฏิเสธอำนาจเผด็จการและอำนาจอันไม่ชอบธรรมในการปกครองบ้านเมือง

 

สำหรับกฤตย์ เขาคือเลขาธิการเครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (คปส.) ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ผ่าน สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา 

 

โดยสาระสำคัญของจดหมายคือการเสนอรัฐบาลใช้กฎหมายพิเศษแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น แต่เขาปฏิเสธเรื่องการเรียกร้องให้มีการรัฐประหารตามที่มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ 

 

ขณะที่ก่อนหน้านี้ในวันที่ 8 พฤศจิกายน กฤตย์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในพื้นที่ใกล้เคียงที่มีการนัดหมายชุมนุมของกลุ่มราษฎร และปรากฏคลิปต่อสาธารณะที่เรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ ออกมาทำรัฐประหารตัวเอง 

 

ทนายวิญญัติให้ข้อมูลว่ากฤตย์เคยเข้าแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีกับหญิงสาวคนหนึ่งหลังโพสต์ความเห็นหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยบนเฟซบุ๊กด้วย ต่อมาเธอถูกศาลพิพากษาจำคุก 28 ปี แม้เธอมีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันฯ นี้ เนื่องจากในเวลาที่มีการโพสต์ข้อความดังกล่าว เธอยังคงทำงานอยู่ที่โรงแรม และไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในขณะนั้น

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post ทนายวิญญัติแจ้งความแกนนำ คปส. 4 ข้อหา หลังเรียกร้องรัฐประหาร เผยรอดูมาตรฐานการทำงานของตำรวจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สภาล่างสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ เล็งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนหลายคน https://thestandard.co/uyghur-human-rights-policy-act-of-2019/ Wed, 04 Dec 2019 08:09:27 +0000 https://thestandard.co/?p=309540

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายคว่ำบาตรเจ้าหน้ […]

The post สภาล่างสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ เล็งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนหลายคน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีการกักขังตามอำเภอใจ รวมถึงทรมานและคุกคามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์ในจีน หลังมีรายงานว่าจีนได้ควบคุมตัวชาวอุยกูร์นับล้านคนในค่ายกักกันเพื่อปรับทัศนคติ 

 

ร่างกฎหมายดังกล่าวมีชื่อว่า ‘รัฐบัญญัตินโยบายสิทธิมนุษยชนอุยกูร์ 2019’ (Uyghur Human Rights Policy Act of 2019) ซึ่งพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ทางการจีนหลายคน หนึ่งในนั้นคือ เฉินฉวนกั๋ว เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สาขาเขตปกครองตนเองซินเจียง โดย ส.ส. ทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันร่วมลงมติสนับสนุนด้วยคะแนนเสียง 407 ต่อ 1 คะแนน 

 

ร่างกฎหมายระบุว่าทางการจีนแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์โดยปฏิเสธการให้สิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองพื้นฐานแก่พวกเขา ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงออก นับถือศาสนา เคลื่อนไหวทางการเมือง และการถูกสอบสวนอย่างเป็นธรรม

 

ตัวอย่างการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการตรวจตราพลเมือง ทั้งการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากเด็กชาวอุยกูร์ และใช้รหัส QR นอกที่อยู่อาศัยเพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติว่าชาวมุสลิมอุยกูร์ประกอบพิธีละหมาดและสวดมนต์บ่อยเพียงใด นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าและเสียงเพื่อจัดทำฐานข้อมูลต่างๆ ด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายดังกล่าวยังต้องผ่านความเห็นชอบในวุฒิสภาและลงนามรับรองโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งการออกกฎหมายฉบับนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนตึงเครียดมากขึ้น หลังจากสัปดาห์ก่อนทรัมป์เพิ่งลงนามประกาศใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชนที่สนับสนุนการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในระหว่างเจรจาเพื่อทำข้อตกลงการค้าเฟสแรก

 

ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการผ่านกฎหมายดังกล่าว โดยระบุว่ามีเจตนามุ่งร้ายต่อจีน อีกทั้งเป็นการป้ายสีจีนที่พยายามขจัดและต่อสู้กับกลุ่มคนหัวรุนแรง

 

“เราเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดทันทีเพื่อหยุดยั้งร่างกฎหมายเกี่ยวกับซินเจียงไม่ให้มีผลบังคับใช้ และหยุดใช้ซินเจียงเป็นเครื่องมือแทรกแซงกิจการภายในของจีน” หัวชุนอิ๋ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุในแถลงการณ์

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post สภาล่างสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ เล็งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนหลายคน appeared first on THE STANDARD.

]]>