SUSTAIN UPDATE – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 14 Dec 2025 03:29:34 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มุ่งสู่ Net Zero 2050! โรงแรมเครือเซ็นทารา กางแผน ‘Sustainability Blueprint’ โชว์ผลงานลดคาร์บอนแล้ว 35% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเกินครึ่ง https://thestandard.co/centara-hotel-net-zero-2050-carbon-reduction-35percent/ Sun, 14 Dec 2025 03:29:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1154439 มุ่งสู่ Net Zero 2050 โรงแรมเครือเซ็นทารา กางแผน ‘Sustainability Blueprint’ โชว์ผลงานลดคาร์บอนแล้ว 35% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเกินครึ่ง

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยความสำเร็จในการด […]

The post มุ่งสู่ Net Zero 2050! โรงแรมเครือเซ็นทารา กางแผน ‘Sustainability Blueprint’ โชว์ผลงานลดคาร์บอนแล้ว 35% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเกินครึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
มุ่งสู่ Net Zero 2050 โรงแรมเครือเซ็นทารา กางแผน ‘Sustainability Blueprint’ โชว์ผลงานลดคาร์บอนแล้ว 35% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเกินครึ่ง

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยความสำเร็จในการดำเนินงานตามแนวทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี พร้อมประกาศเดินหน้ายุทธศาสตร์ความยั่งยืนภายใต้ C-E-N-T-A-R-A Sustainability Blueprint เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน

 

ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า “เพราะเราเชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจต้องเดินควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชน เราจึงมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เติบโตขึ้นอย่างสมดุล ความสำเร็จจากการได้รับการรับรองมาตรฐาน GSTC ครบทุกโรงแรม รวมถึงผลลัพธ์ด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเซ็นทาราในระยะยาว”

 

เซ็นทาราได้เริ่มวางรากฐานการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปี 2009 โดยนำระบบมาตรฐาน EarthCheck มาใช้เป็นรายแรกๆ ในไทย ก่อนจะต่อยอดสู่โครงการต่างๆ อาทิ การเข้าร่วมโครงการ Green Hotel, การริเริ่มโครงการ My Green Day รณรงค์ลดการเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวเพื่อประหยัดน้ำและพลังงาน และการประกาศยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastic) ในพื้นที่ให้บริการลูกค้าตั้งแต่ปี 2018

 

ความคืบหน้าล่าสุดในปี 2025 โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราทั้ง 42 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ สามารถผ่านการรับรองมาตรฐานจากสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) ได้ครบถ้วนตามเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่ยืนยันถึงมาตรฐานระดับสากล

 

ในด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เซ็นทารามุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี 2029 (เทียบจากปีฐาน 2019) และมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050

 

ปัจจุบัน เซ็นทาราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อห้องพักที่มีการใช้งานได้แล้วกว่า 35% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมโรงแรมในไทยถึง 51.94% ความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ (Solar Cell) ในโรงแรม 14 แห่ง ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ถึง 4,780 MWh คิดเป็นสัดส่วน 4% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 300,000 ต้น

 

นอกจากนี้ ในด้านการบริหารจัดการน้ำและขยะ เซ็นทาราสามารถลดการใช้น้ำได้ 30.08% และลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบได้ 24.52% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีการนำน้ำเสียที่บำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่ และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ Upcycling จากขยะพลาสติกในพื้นที่โรงแรมจังหวัดกระบี่

 

ด้านสังคมและชุมชน (Social) เซ็นทาราเดินหน้าโครงการเพื่อสังคมหลากหลายรูปแบบ ทั้งการส่งต่ออาหารส่วนเกินคุณภาพดีสู่ชุมชนผ่านมูลนิธิ SOS, การสนับสนุนสินค้าชุมชนผ่านโครงการ 1 โรงแรม 1 ผลิตภัณฑ์”และการเปิดพื้นที่ตลาดนัดชุมชนภายในโรงแรมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีนโยบายการจ้างงานที่เปิดกว้างสำหรับกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

 

ในส่วนของธรรมาภิบาล (Governance) เซ็นทาราได้รับการประเมินมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการในระดับดีเลิศ (5 ดาว) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และได้รับรางวัล CAC Change Agent Award ในฐานะผู้นำการต่อต้านคอร์รัปชัน นอกจากนี้ ยังมีการระดมทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืน อาทิ เงินกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan) และหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) รวมมูลค่ากว่า 8,786 ล้านบาท เพื่อใช้ขับเคลื่อนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

 

“เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย ESG ในมิติต่างๆ ให้บรรลุผล พร้อมสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างมีคุณค่าและยั่งยืนต่อไปในอนาคต” ธีระยุทธ กล่าวทิ้งท้าย

The post มุ่งสู่ Net Zero 2050! โรงแรมเครือเซ็นทารา กางแผน ‘Sustainability Blueprint’ โชว์ผลงานลดคาร์บอนแล้ว 35% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเกินครึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทย ปรับเป้า NET ZERO เร็วขึ้น 15 ปี จาก 2065 เป็น 2050: ภาครัฐ-เอกชน พร้อมแค่ไหน? https://thestandard.co/thailand-net-zero-2065-to-2050/ Thu, 02 Oct 2025 11:48:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1125800

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่า การประ […]

The post ไทย ปรับเป้า NET ZERO เร็วขึ้น 15 ปี จาก 2065 เป็น 2050: ภาครัฐ-เอกชน พร้อมแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่า การประกาศนโยบายปรับเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065 เป็นปี 2050 ของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ซึ่งจะเขย่าอนาคตอุตสาหกรรมไทย

 

โดยในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการตั้งเป้าให้ไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 จากเดิมที่มีเป้าหมายจะบรรลุ Net Zero ในปี 2065 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเชิงนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของไทย นับตั้งแต่ได้มีการตั้งเป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นทางการกับประชาคมโลกในปี 2021

 

โดยการปรับเป้า Net Zero ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปีนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเขย่าอนาคตของอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากภาครัฐของไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่า “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของเศรษฐกิจไทยในโลกอนาคต”

 

ทำไมต้องเร่ง ?

 

SCB EIC ประเมินว่าการตั้งเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ของภาครัฐ จะช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยปรับตัวได้เท่าทันกับจังหวะก้าวของโลก โดยหากไทยยังคงเป้าหมายเดิมไว้ในปี 2065 จะทำให้ไทยบรรลุ Net Zero ช้ากว่า 111 ประเทศถึง 15 ปี และเสี่ยงหลุดจากวงจรการค้าโลกในอนาคต

 

เนื่องจากประเทศและบริษัทต่าง ๆ ที่มีเป้า Net Zero 2050 มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการเฉพาะจากประเทศและบริษัทที่มีเป้าหมาย Net Zero ไม่ช้าไปกว่าเป้าหมายที่ประเทศหรือบริษัทของตนเองกำหนดไว้

 

SCB EIC ระบุว่านโยบาย Net Zero 2050 ของรัฐบาลใหม่ สอดคล้องกับข้อเสนอจากงานศึกษาของ SCB EIC ในปี 2024 ซึ่งเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคเอกชนไทยให้เท่าทันโลก

 

อย่างไรก็ตาม การมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ จะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องไปอีกในช่วง 25 ปีข้างหน้า โดยภาคเอกชนเพียงลำพังจะไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน จนนำไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ

 

ทั้งนี้แม้เป้าหมายใหม่จะถือเป็นความก้าวหน้า แต่ในระดับโลก ไทยเพียงแค่ “กลับเข้าสู่มาตรฐานสากล” เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น, สหภาพยุโรป และเวียดนาม ที่ได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero 2050 ไปก่อนแล้ว

 

ใครได้ประโยชน์ ?

 

SCB EIC ประเมินว่านโยบาย Net Zero 2050 จะทำให้อุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มเติบโต จากความต้องการใช้สินค้าและบริการที่จะเพิ่มขึ้น ได้แก่

 

1) กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดเช่น โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แผงโซลาร์

2) กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อาทิ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

3) กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของรถไฟฟ้า เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สถานีชาร์จ

4) กลุ่มอุตสาหกรรมจัดการของเสีย อาทิ ธุรกิจรีไซเคิล ธุรกิจจัดการขยะและน้ำเสีย

5) กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุฐานชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพ

6) กลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ เช่น ไฮโดเจน เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel)

7) กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS)

 

โดย SCB EIC ระบุว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย New S-Curve ที่รัฐบาลไทยกำลังให้การส่งเสริมอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้บริโภค

 

ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี หรือผู้ซื้อรถไฟฟ้าจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 50,000 – 100,000 บาท เป็นต้น

 

ใครต้องเร่งปรับตัว?

 

อย่างไรก็ตาม SCB EIC ระบุว่า ในทางตรงกันข้าม อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากในประเทศให้เปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปี ก่อนประกาศนโยบาย Net Zero 2050

 

ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยได้เผชิญแรงกดดันจากคู่ค้าในตลาดโลกให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero เร็วกว่าเป้าประเทศ 15 ปีอยู่แล้ว ซึ่งนโยบาย Net Zero 2050 จะเพิ่มแรงกดดันจากฝั่งในประเทศ

 

โดยมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐจะเร่งทยอยออกมา เช่น การตั้งเป้าหมายรับซื้อพลังงานหมุนเวียน การเก็บภาษีคาร์บอน และการบังคับใช้ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System : ETS) จะสร้างแรงกดดันให้อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงต้องเร่งปรับตัวเร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปี ไม่ว่าจะเป็น

 

  • อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ,โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • เคมีภัณฑ์, วัสดุก่อสร้าง (เหล็ก ซีเมนต์)
  • อะลูมิเนียม, ขนส่ง และรถยนต์สันดาปภายใน (รถน้ำมัน)

 

โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ SCB EIC มองว่าจะยังสามารถเติบโตต่อได้ หากสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางในการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

 

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ต่าง ๆ ในไทยได้มีความพยายามในการปรับตัวบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ในไทย มีการตั้งเป้าบรรลุ Net Zero 2050 หรือแม้แต่กลุ่ม ปตท. ก็ได้มีการประกาศเป้าหมาย Net Zero 2050 เช่นเดียวกัน โดยได้มีแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและเริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว

 

ดังนั้น โจทย์ต่อไปคือการเร่งผลักดันให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กต้องปรับตัวเพื่อเดินหน้าเข้าสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้นพร้อม ๆ กันด้วย

 

ผู้ประกอบการต้องทำอะไร ?

 

สำหรับผู้ประกอบการ SCB EIC แนะนำว่าต้องเริ่มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากเป้า Net Zero 2050 แรงกดดันจากทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

โดยผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นได้ผ่านการดำเนินการ 5 ขั้นตอน ดังนี้

 

1) ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ขั้นตอนนี้จะทำให้ผู้ประกอบการทราบว่าจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมไหนในการดำเนินธุรกิจ

 

2) ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติหรือมาตรฐานของอุตสาหกรรม โดยมาตรฐาน SBTi (Science Based Targets initatives) เป็นมาตรฐานการตั้งเป้าหมาย Net Zero ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในระดับสากล

 

3) ค้นหาเทคโนโลยีและกลยุทธ์ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยต้องประเมินความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้

 

4) ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการสร้างกลไกในองค์กรที่จะช่วยให้การดำเนินการตามแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบรรลุผล เช่น การกำหนดค่าตอบแทนของผู้บริหารให้ยึดโยงกับผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

 

5) ติดตาม ประเมินและรายงานผลการดำเนินงานต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ทราบถึงความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ SCB EIC ยังเสนอว่า ผู้ประกอบการควรแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการมองหาโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของ 7 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้นดังที่กล่าวไปตอนต้น หรือการใช้ประโยชน์จากแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green finance) หรือเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition finance) เพื่อสร้างสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น การผลิตสินค้าเกษตรคาร์บอนต่ำ หรือ โรงแรมสีเขียว เป็นต้น

 

ภาครัฐต้องทำอะไรเพิ่ม ?

 

ในขณะเดียวกัน SCB EIC เสนอว่าภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนปรับพฤติกรรมสู่เส้นทางลดคาร์บอนโดยมาตรการภาครัฐจะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ระยะเวลาและต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ในที่สุด ซึ่งมาตรการสนับสนุนสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วน ดังนี้

 

ส่วนแรก คือ การออกมาตรการสร้างแรงจูงใจสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรแต่ขาดแรงจูงใจในการปรับตัว ตัวอย่างเช่น การเพิ่มเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การลดการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่หันมาใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นต้น

 

ส่วนที่สอง คือ การออกมาตรการช่วยเหลือสำหรับผู้ประกอบการหรือผู้บริโภคที่ขาดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการปรับพฤติกรรม เช่น การให้องค์ความรู้ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการที่ขาดแคลนเงินลงทุน หรือการสนับสนุนเงินทุนแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพื่อนำไปปรับปรุงบ้านพักให้สามารถประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้น เป็นต้น

 

Net Zero 2050 ทางรอดเศรษฐกิจไทย

 

กล่าวโดยสรุป นโยบาย Net Zero 2050 คือ ยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะมาตรฐานคาร์บอนต่ำจะกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของการค้าโลกในอนาคต ประเทศและธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันจะถูกกีดกันออกจากห่วงโซ่อุปทานและสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ

 

ขณะที่ผู้ประกอบการที่เริ่มลงมือวันนี้จะได้เปรียบทั้งในด้านการเข้าถึงตลาดใหม่ แหล่งเงินทุนสีเขียว และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ในทางกลับกัน ผู้ที่รออาจต้องเผชิญต้นทุนการปรับตัวที่สูงขึ้นและความเสี่ยงในการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ดังนั้น การบรรลุ Net Zero 2050 จึงไม่ใช่แค่เป้าหมายของภาครัฐ แต่เป็น “เกมใหม่” ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันเล่น

 

โดยภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขณะที่ภาคธุรกิจต้องมองการลดคาร์บอนเป็นกลยุทธ์หลัก ไม่ใช่เพียงเรื่องภาพลักษณ์ เพราะในโลกอนาคต ผู้ที่ปรับตัวได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง

The post ไทย ปรับเป้า NET ZERO เร็วขึ้น 15 ปี จาก 2065 เป็น 2050: ภาครัฐ-เอกชน พร้อมแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
คุยกับ Koji Yanai ทายาท UNIQLO: เบื้องหลังการทำงานกับ Cate Blanchett สู่อนาคต LifeWear https://thestandard.co/life/uniqlo-cateblanchett-lifewearday-sustainability/ Thu, 02 Oct 2025 04:16:45 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1125492 UNIQLO-CateBlanchett-LifeWearDay-Sustainability

การปรากฏตัวของ Cate Blanchett ในฐานะ Global Brand Ambas […]

The post คุยกับ Koji Yanai ทายาท UNIQLO: เบื้องหลังการทำงานกับ Cate Blanchett สู่อนาคต LifeWear appeared first on THE STANDARD.

]]>
UNIQLO-CateBlanchett-LifeWearDay-Sustainability

การปรากฏตัวของ Cate Blanchett ในฐานะ Global Brand Ambassador คนล่าสุดของ UNIQLOLifeWear Day 2025 ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (MoMA) นครนิวยอร์ก สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ร่วมงานอย่างยิ่ง ไม่เพียงเพราะชื่อเสียงของเธอ แต่ยังรวมถึงหัวใจด้านมนุษยธรรมและจุดยืนอันแน่วแน่เรื่องความยั่งยืนที่เธอได้แบ่งปัน ซึ่งสะท้อนตัวตนและดีเอ็นเอของแบรนด์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

UNIQLO LifeWear Day 2025

 

อ่านเพิ่มเติม: UNIQLO LifeWear: 6 เรื่องราวเบื้องหลังจากนิวยอร์กที่จะเปลี่ยนมุมมองคุณตลอดไป

 

แต่เรื่องราวเบื้องหลังการร่วมงานครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นเพียงแค่ประตูบานแรก ที่เปิดให้เราได้เข้าไปสำรวจความคิดและวิสัยทัศน์ของ Koji Yanai ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสแห่ง Fast Retailing (บริษัทแม่ของ UNIQLO) และบุตรชายของผู้ก่อตั้ง Tadashi Yanai 

 

UNIQLO LifeWear Day 2025

 

เราต้องยอมรับว่าตอนแรกแอบเกร็งกับภาพลักษณ์ของผู้นำระดับโลก แต่ Koji Yanai ที่เราได้พบในวงสนทนากลุ่มวันนั้นน่ารักและอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นทำให้เราเข้าใจในทันทีว่า ‘หัวใจ’ ที่ Cate Blanchett พูดถึง อาจเริ่มต้นจากตัวตนที่ใจดีของผู้นำคนนี้นี่เอง 

 

บทสนทนาของเราจึงเริ่มต้นจากจุดนั้น และขยายวงกว้างไปสู่แก่นแท้ของปรัชญา LifeWear ในเวลาต่อมา

 

วิสัยทัศน์เบื้องหลังการร่วมงานกับ Cate Blanchett คืออะไร 

 

Koji Yanai: ในปี 2023 ตอนที่ผมไปร่วมงาน Global Refugee Forum โชคดีมากที่ผมได้นั่งทานดินเนอร์โต๊ะเดียวกับ Cate และสมาชิกท่านอื่นๆ ตอนนั้นเราได้พูดคุยกันอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวิธีที่เราจะสามารถช่วยเหลือผู้ลี้ภัยหรือผู้ที่ต้องพลัดถิ่น

 

สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากคือท่าที พฤติกรรม และความตั้งใจจริงของเธอในการอยากมีส่วนร่วมและช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส หลังจากงานดินเนอร์คืนนั้น เราได้แลกอีเมลกัน และทุกคนที่อยู่โต๊ะเดียวกันก็ยังคงสานต่อการพูดคุยว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไร

 

บทสนทนาของเราก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากครับ ว่าเราจะยกระดับความสัมพันธ์ของเราได้อย่างไร ไม่ใช่แค่ในเรื่องของ  Displacement Film Fund (กองทุนภาพยนตร์สำหรับผู้พลัดถิ่น) แต่ในฐานะ Global Brand Ambassador ด้วย

 

ผมรู้สึกว่าปรัชญาที่เธอเชื่อ กับปรัชญาที่ UNIQLO ยึดถือ มันไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกันมาก ทำให้การพัฒนาความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติครับ

 

UNIQLO LifeWear Day 2025

 

เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าปรัชญาเหล่านั้นเป็นแบบไหน และอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่า “โอเค คนนี้แหละใช่เลย”

 

Koji Yanai: จริงๆ แล้วเธอเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก และยังเคยได้รับรางวัลออสการ์ถึงสองครั้ง แต่เธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นภรรยา และเป็นคุณแม่ของลูกสี่คน 

 

ดังนั้น ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอจึงไม่ใช่อาชีพการงาน แน่นอนว่านั่นก็เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากนะครับ แต่เราคิดว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอคือการเลี้ยงลูกทั้งสี่ในฐานะแม่คนหนึ่ง และนั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนตัวตนของเธออย่างแท้จริง

 

เรายังชื่นชมการอุทิศตัวของเธอในการสนับสนุนผู้พลัดถิ่น รวมถึงกิจกรรมด้านมนุษยธรรมที่เธอทำมาตลอด 

 

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่แค่ในเส้นทางอาชีพเท่านั้น แต่ทั้งบทบาททางสังคมและกิจกรรมเพื่อสังคมของเธอ ทำให้ Cate เป็นคนที่เหมาะสมกับ UNIQLO และ LifeWear อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ ครับ

 

UNIQLO LifeWear Day 2025

เครดิตภาพ: Nico Bustos

 

ตอนที่ Cate ได้ยินปรัชญา LifeWear ของ UNIQLO ครั้งแรก เธอมีคำถามอะไรกับคุณไหมเกี่ยวกับปรัชญานี้ 

 

Koji Yanai: ไม่เลยครับ จริงๆ แล้วเธอเข้าใจคุณค่าของ LifeWear และของ UNIQLO เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมาร่วมงานด้วยซ้ำ เพราะเธอเองก็เป็นผู้บริโภคที่ใช้สินค้าของเราอยู่แล้ว เธอซึมซับคุณค่านี้ได้จากประสบการณ์ตรงในชีวิตประจำวัน

 

ดังนั้นเธอจึงไม่มีคำถามอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรา แต่สิ่งที่เธออยากรู้คือเรื่องการทำงานจริงว่า UNIQLO ทำอะไรบ้าง เช่น การสนับสนุนแรงงานในโรงงาน, การส่งเสริมพลังของผู้หญิง, การช่วยเหลือผู้ลี้ภัย รวมถึงงานด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) ต่างๆ เธอมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเธอจะถูกถาม… เหมือนที่คุณกำลังถามอยู่ตอนนี้ (หัวเราะ) และเธออยากตอบได้อย่างจริงใจ

 

UNIQLO LifeWear Day 2025

เครดิตภาพ: Nico Bustos

 

การร่วมงานกับ Cate จะช่วยขยายการเข้าถึงของ UNIQLO ไปในวงกว้างได้อย่างไรบ้าง

 

Koji Yanai: พลังของภาพยนตร์นั้นยิ่งใหญ่มากครับ และ Cate เองก็มีเครือข่ายที่แข็งแรง สามารถเข้าถึงผู้คนที่หลากหลาย ทั้งเจเนอเรชัน เพศ และเชื้อชาติ นั่นเป็นสิ่งที่เราคาดหวังจากเธอ

 

คุณมีเกณฑ์ในการเลือกบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ไหม 

 

Koji Yanai: ไม่มีเกณฑ์ที่ตายตัวครับ แต่ก่อนที่เราจะเซ็นสัญญา สิ่งสำคัญคือเราต้องไปพบคนคนนั้นด้วยตัวเอง ไม่ใช่ผ่านเอเจนต์ เราจะพยายามหาทางเชื่อมต่อเพื่อสื่อสารกับคนๆ นั้นโดยตรง และไม่ใช่เพื่อการพูดคุยเชิงงาน แต่เป็นการพูดคุยส่วนตัว 

 

โอกาสและช่วงเวลาแบบนั้นสำคัญมากในการที่จะได้รู้ว่าเขาหรือเธอเป็นคนอย่างไร ทุกคนที่เราเคยร่วมงานด้วย เราได้มีโอกาสพูดคุยโดยตรงก่อนเสมอครับ

 

มีอะไรที่คุณได้เรียนรู้จาก Cate และ Cate ได้เรียนรู้จากคุณบ้างไหมระหว่างการทำงานร่วมกัน

 

Koji Yanai: นี่เป็นปีแรกของความสัมพันธ์กับเธอ ดังนั้น ผมคิดว่าการทำความรู้จักซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญมาก แน่นอนว่าผมต้องเรียนรู้จากเธอ และเราทุกคนก็ควรได้เรียนรู้จากเธอ แต่ในขณะเดียวกันผมคิดว่าเธอก็ได้เรียนรู้อะไรจากเราด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีมากครับ

 

แน่นอนว่าเธอจะอยู่ในแคมเปญในอนาคต และเราจะได้เห็นความเป็นมืออาชีพของเธอมากขึ้น ซึ่งผมตั้งตารอจริง ๆ รวมถึงรอดูปฏิกิริยาของลูกค้าด้วย

 

UNIQLO LifeWear Day 2025

เครดิตภาพ: Nico Bustos

 

แคมเปญจะปล่อยเมื่อไหร่ มีกำหนดการหรือถ่ายทำไปแล้วหรือยัง 

 

Koji Yanai: (หัวเราะ) ยังเป็นความลับครับ แต่ยืนยันได้เลยว่าเธอจะอยู่แน่นอน

 

ถ้าเปรียบ Cate เป็นเทคโนโลยีของ UNIQLO เช่น HEATTECH ในมุมมองของคุณ ฟังก์ชันพิเศษของเธอจะเป็นอะไร 

 

Koji Yanai: (ยิ้ม) จริงๆ แล้ว เธอใช้ HEATTECH อยู่แล้วครับ เวลาที่เธอไปถ่ายทำภาพยนตร์ หรือแม้แต่ตอนทำสวน เล่นกับลูกๆ เธอก็สวมใส่ UNIQLO ในชีวิตประจำวัน และเธอก็ชอบเทคโนโลยีอย่าง AIRism และอื่นๆ 

 

ในมุมส่วนตัว ผมตั้งตารอที่จะได้รับฟีดแบ็กจากเธอเกี่ยวกับเสื้อผ้าของเรา เช่น “เฮ้ Koji ตรงนี้ยังไม่ดีนะ” หรือ “ตรงนี้น่าจะปรับปรุงได้อีก” ฟีดแบ็กแบบนั้นมีคุณค่ากับเรามากๆ ครับ 

 

จริงๆ แล้ว ตอนที่ผมทำงานร่วมกับ Roger Federer, Adam Scott, Shingo Kunieda, Kei Nishikori, Gordon Reid, Ayumu Hirano ฟีดแบ็กที่พวกเขาให้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเรานั้นสำคัญและมีค่าอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพของเสื้อผ้าสำหรับลูกค้ารายอื่นๆ อย่างเช่น กางเกง KANDO PANTS (ULTRA LIGHT PANTS) ตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากคำขอของ Adam ครับ (Koji ชี้ไปยังกางเกงที่ตนสวมใส่)

 

Adam Scott

Adam Scott

 

ตอนที่เซ็นสัญญากับเขา เรายังไม่มีกางเกงผ้ายืดในคอลเล็กชันของเราเลย เขาเลยขอให้เราทำกางเกงที่ยืดหยุ่นได้สำหรับใส่เล่นกอล์ฟ เราก็เลยพัฒนาตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเขา แต่สุดท้ายฟังก์ชันนี้กลับเป็นประโยชน์กับคนทั่วไปด้วย อย่างเช่น นักธุรกิจที่ใส่ทำงาน

 

เพราะฉะนั้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเสียงของลูกค้าและแบรนด์แอมบาสเดอร์ ถือว่าสำคัญและมีคุณค่ามาก โดยเฉพาะกับ Cate ที่ผมมั่นใจว่าเธอมีมุมมองที่ละเอียดอ่อนมากๆ ซึ่งจะช่วยให้เราได้อินไซต์ใหม่ๆ ผมจึงตั้งตารอคอยฟีดแบ็กจากเธอจริงๆ ครับ

 

เราจะเฝ้ารอ HEATTECH ในเวอร์ชัน Cate นะ

 

Koji: (หัวเราะ) ได้เลยครับ

 

สารสำคัญที่สุดที่คุณอยากให้การร่วมงานครั้งนี้ส่งต่อไปถึงคนทั่วโลกคืออะไร 

 

Koji Yanai: ‘What Makes Life Better?’ ครับ มันเป็นคีย์เวิร์ดที่ทำให้ Cate ประทับใจมาก จริงๆ แล้วเราทำแคมเปญ What Makes Life Better?  ไปเมื่อปีที่แล้ว กับ Roger Federer, Christophe Lemaire, Sarah-Linh Tran, Clare Waight Keller และ Jonathan Anderson

 

 

พอเธอได้เห็นแคมเปญนั้น เธอก็อยากมีส่วนร่วมด้วย และผมคิดว่าสารนี้ What Makes Life Better? สำคัญมากในยุคนี้ ว่าเราจะสามารถมีส่วนร่วมทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นได้อย่างไร ผ่านความร่วมมือครั้งนี้ แน่นอนว่าเธอจะทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วย ไม่ใช่แค่แคมเปญโฆษณาอย่างเดียว 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมตั้งตารอว่าเราจะสามารถสร้างประโยชน์ต่อชุมชน และต่อโลกได้อย่างไร ผ่านความร่วมมือครั้งนี้ครับ

 

ในแง่ของความยั่งยืน UNIQLO มีแนวทางใหม่ๆ ที่กำลังเดินไปไหม

 

Koji Yanai: จริงๆ แล้วทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ คำจำกัดความของ ‘เสื้อผ้าที่ดี’ กำลังเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ก่อนเสื้อผ้าที่ดีหมายถึงผ้าที่ดี ดีไซน์ดี ทรงสวย สีสันสวย แต่ตอนนี้ ‘ความยั่งยืน’ ถูกเพิ่มเข้ามาในคำนิยามนั้น 

 

เพราะฉะนั้นในฐานะแบรนด์เสื้อผ้า เราจำเป็นต้องตอบโจทย์ความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ ด้วยการจัดการประเด็นด้านความยั่งยืนในซัพพลายเชนของเรา

 

ความยั่งยืนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการสร้างความเชื่อมั่นและการมีส่วนร่วมจากคนรุ่นใหม่ครับ

 

ในฐานะผู้นำด้านการตลาดแบรนด์ระดับโลกและความยั่งยืน คุณมองเรื่องราวระดับโลกของ UNIQLO ผ่านวัฒนธรรมและ LifeWear อย่างไร และอะไรทำให้กลยุทธ์นี้โดดเด่นในตลาดโลกที่แข่งขันสูง

 

Koji Yanai: หนึ่งในตัวอย่างที่ดีก็คือ เรามีอีเวนต์ (LifeWear Day 2025) ที่ยอดเยี่ยมมากที่ MoMA  ซึ่งโดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยอนุญาตให้ใช้ตัวอาคารเป็นสถานที่จัดงานแถลงข่าว แต่ด้วยความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดี เราจึงสามารถจัดงานที่นั่นได้

 

 

นั่นเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดี เพราะ UNIQLO มีความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะสนับสนุนงานศิลปะ ด้วยการนำงานศิลป์มาถ่ายทอดบนเสื้อผ้า 

 

เรายังมีความสัมพันธ์อันดีกับพิพิธภัณฑ์อื่นๆ อย่างเช่น Louvre ที่ฝรั่งเศส, Tate ที่สหราชอาณาจักร, Boston ในสหรัฐฯ ซึ่งผมคิดว่าความร่วมมือเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่าพวกเราเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมได้อย่างไร

 

นอกจากนี้เรายังมีคอลลาบอเรชันอีกมากมายในโปรแกรม UT (UNIQLO T-shirts) ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกับศิลปิน ช่างภาพ มังงะ อนิเมะ หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมอาหาร 

 

 

ทุกครั้งที่เราเปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ เราจะพยายามสร้างความร่วมมือกับวัฒนธรรมท้องถิ่น คาเฟ่ท้องถิ่น ร้านดอกไม้ท้องถิ่น ร้านขนมท้องถิ่น  

 

ผมคิดว่าการเคารพในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่นเหล่านั้นเป็นหนึ่งในจุดแข็งของแบรนด์เราครับ

 

คุณมีวิสัยทัศน์อย่างไรสำหรับ UNIQLO ในอีก 5 ปีข้างหน้า 

 

Koji Yanai: เราอยากให้คนจดจำเราในฐานะแบรนด์เสื้อผ้าที่รับฟังเสียงของลูกค้าอย่างจริงจังและใส่ใจ จริงๆ แล้วเราได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าปีละ 30 ล้านข้อความ และยิ่งเรามีจำนวนสาขามากขึ้นเท่าไร เสียงของลูกค้าที่เราจะได้รับก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

 

ผมคิดว่าเราต้องรับฟังเสียงของลูกค้าอย่างรอบคอบ และพยายามนำความต้องการเหล่านั้นมาปรับใช้กับเสื้อผ้าและบริการในร้านของเรา นั่นคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จในอนาคตของเราครับ

 

ภาพ: UNIQLO, Nico Bustos 

The post คุยกับ Koji Yanai ทายาท UNIQLO: เบื้องหลังการทำงานกับ Cate Blanchett สู่อนาคต LifeWear appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึกวิสัยทัศน์ Krungsri MUFG Business Forum ‘80 ปี กรุงศรี’ กับกลยุทธ์สู่ ‘ความยั่งยืน’ ในศตวรรษใหม่ https://thestandard.co/krungsri-mufg-business-forum/ Sun, 10 Aug 2025 08:41:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1105942

จากงานสัมมนาครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี Krungsri MUFG Business […]

The post เจาะลึกวิสัยทัศน์ Krungsri MUFG Business Forum ‘80 ปี กรุงศรี’ กับกลยุทธ์สู่ ‘ความยั่งยืน’ ในศตวรรษใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

จากงานสัมมนาครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี Krungsri MUFG Business Forum: Driving to Sustainable Future ซึ่งจัดขึ้นโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้ยังเป็นวาระพิเศษในโอกาสครบรอบ 80 ปีของธนาคาร ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงการเดินทางอันยาวนานและความสำเร็จที่ผ่านมา

 

งานนี้ไม่เพียงแต่รวบรวมผู้นำทางเศรษฐกิจและการเงินมาแบ่งปันมุมมองเชิงลึกเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่สะท้อนถึงพันธกิจระยะยาวของทั้งกรุงศรีและ MUFG (Mitsubishi UFJ Financial Group) ในการสนับสนุนลูกค้าและร่วมผลักดันความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยสู่ศตวรรษใหม่

 

MUFG ชี้ไทยคือตลาดเชิงกลยุทธ์หัวใจของเอเชีย

 

ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางปี 2567-2569 ของ MUFG การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นเป้าหมายสำคัญ โดย คาเนทสุกุ มิเกะ ประธานกรรมการ MUFG เปิดเผยถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกรุงศรีในฐานะ ‘พันธมิตรเหมือนคนในครอบครัว’ อย่างน่าสนใจ โดยเปิดเผยข้อมูลว่า กำไรหลักของ MUFG ทั่วโลกมาจากธุรกิจนอกประเทศถึง 60% ซึ่งในจำนวนนี้ 45% มาจากภูมิภาคเอเชีย และที่สำคัญ ครึ่งหนึ่งของธุรกิจในเอเชีย มาจากธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งก็คือ ประเทศไทย ตัวเลขเชิงกำไรนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทอันทรงอิทธิพลของตลาดไทยต่อการเติบโตระดับโลกของ MUFG อย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตาม MUFG มองว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างหลายประการ ทั้งสังคมผู้สูงวัย, หนี้ครัวเรือนสูง, การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transformation) และการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งโอกาสการเติบโตจะเกิดขึ้นจาก 3 การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญดังนี้

 

1. Green Transformation (GT): การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว

 

MUFG ไม่ได้ใช้นโยบายแบบ ‘ถอนการลงทุน’ (No Divestment) แต่เลือกที่จะ ‘มีส่วนร่วม’ (Engagement) กับลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ยังมีการปล่อยคาร์บอนสูง เพื่อจัดหาเงินทุนที่จำเป็น (Transition Finance) และทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Carbon Neutral)

 

“ที่เราคิดเช่นนี้ เพราะเรามองว่า แต่ละประเทศมีบริบทที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวสำหรับการแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ” คาเนทสุกุ มิเกะ กล่าว

 

2. Digital Transformation (DX): การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

 

MUFG มองเห็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น Data Center และ AI ซึ่งเป็นสิ่งที่ MUFG มีความเชี่ยวชาญในด้าน Project Finance โดยมองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงบริการทางการเงินแก่ประชากรในวงกว้างขึ้น

 

3. Industrial Transformation (IX): การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

 

ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและกฎระเบียบใหม่ๆ ทำให้การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและการควบรวมกิจการ (M&A) เป็นสิ่งจำเป็น MUFG ได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายระดับโลกและความร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Morgan Stanley เพื่อให้คำปรึกษาและจับคู่ธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย

 

นอกจากนี้ MUFG ยังมองว่า กรณีภาษีตอบโต้ซึ่งเป็นนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่ปัจจัยวิกฤตที่สำคัญมากนักต่อการตัดสินใจลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างประเทศ (FDI) ในประเทศไทย แต่ปัจจัยที่มีน้ำหนักมากกว่าคือแนวโน้มเศรษฐกิจ นโยบายอุตสาหกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็งจากฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและหลากหลาย หากใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้า ประเทศไทยจะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุน

 

เคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

 

กรุงศรีตอกย้ำพันธกิจ ESG เป็น DNA องค์กร

 

ทางด้านเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้ย้ำถึงพันธกิจด้าน ESG ที่เป็นหัวใจหรือ ‘DNA ขององค์กร’ โดยไม่ได้เป็นเพียงแค่กลยุทธ์เท่านั้น โดยกรุงศรีได้นำเสนอผลงานที่โดดเด่นใน 3 มิติหลัก ได้แก่

 

1. การลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินงานขององค์กร

 

กรุงศรีมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 และได้รายงานความคืบหน้าในปี 2024 ว่าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้เกือบ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการลงทุนในระบบปรับอากาศ, การใช้รถยนต์ไฟฟ้า, และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

 

2. การเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance)

 

จากเป้าหมายเดิมที่ 250,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 ปัจจุบันกรุงศรีสามารถบรรลุยอดเงินสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนได้แล้วกว่า 220,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะถึงเป้าหมายในเร็วๆ นี้ พร้อมพิจารณาที่จะปรับเป้าหมายใหม่ให้สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม

 

3. การให้ความรู้และสร้างความตระหนัก

 

นอกจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินแล้ว กรุงศรียังเน้นการให้ความรู้ด้าน ESG โดยเฉพาะแก่ลูกค้ากลุ่ม SME ผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น ESG Academy และ ESG Award เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างยั่งยืน

 

ท้ายที่สุด ทั้ง MUFG และกรุงศรี ได้ย้ำถึงพันธกิจร่วมกันว่า ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่สำคัญ และทั้งสองสถาบันการเงินจะเดินหน้าทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างมีสุขภาพดีของเศรษฐกิจไทย พร้อมเติบโตเคียงข้างสังคมและลูกค้าชาวไทยสู่ศตวรรษที่มั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน

The post เจาะลึกวิสัยทัศน์ Krungsri MUFG Business Forum ‘80 ปี กรุงศรี’ กับกลยุทธ์สู่ ‘ความยั่งยืน’ ในศตวรรษใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ชี้ Global Compact กุญแจสู่โลกที่ยั่งยืน พลิกวิกฤต ‘3D’ สร้างสันติภาพและการเติบโต https://thestandard.co/suphachai-global-compact-3d/ Tue, 29 Jul 2025 05:37:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1101159

ในช่วงเวลาที่โลกเผชิญกับ ‘Breaking Point’ และความคืบหน้ […]

The post ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ชี้ Global Compact กุญแจสู่โลกที่ยั่งยืน พลิกวิกฤต ‘3D’ สร้างสันติภาพและการเติบโต appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในช่วงเวลาที่โลกเผชิญกับ ‘Breaking Point’ และความคืบหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของ UN Global Compact ที่ยังคงเป็นความท้าทาย ศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่าย Global Compact แห่งประเทศไทย (GCNT) กลับมองว่า ‘นี่คือโอกาสครั้งสำคัญสำหรับการเรียนรู้และปรับตัว’ โดยศุภชัยได้นำเสนอแนวคิดเชิงรุกในการรับมือกับความท้าทายหลัก 3 ประการ หรือ ‘3D’ ที่จะเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า พร้อมเน้นย้ำถึงบทบาทของ Global Compact ในการสร้างสันติภาพและความยั่งยืนสำหรับทุกภาคส่วน

 

‘3D’ แห่งความท้าทายที่โลกต้องเผชิญ

 

ศุภชัย เจียรวนนท์ ได้สรุปความท้าทายหลัก 3 ประการที่โลกกำลังเผชิญ ซึ่งเป็นปัญหาที่รวบรวมมาจาก 17 เป้าหมาย SDG อันเป็นรากฐานสำคัญที่นักธุรกิจและผู้กำหนดนโยบายควรจับตามอง:

 

  • Digitalization: การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่มีศักยภาพมหาศาลในการขับเคลื่อนการพัฒนา แต่ก็แฝงด้วยความเสี่ยงหากถูกใช้ในทางที่ผิด
  • Deglobalization: การเมืองระดับโลกกำลังนำไปสู่การแบ่งขั้วอำนาจ สร้างความท้าทายในการสร้างความร่วมมือระดับสากลเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่แตกแยก
  • Decarbonization: ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาวะเรือนกระจกที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตมนุษย์และระบบนิเวศ

 

Global Compact สร้าง ‘ความไว้ใจ’ แก้วิกฤตความขัดแย้ง

 

เมื่อกล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งและสงครามทั่วโลก ซึ่งเชื่อมโยงกับ SDG ข้อที่ 16 (สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง) ศุภชัยเน้นย้ำถึงหลักการสำคัญคือ ‘ความไว้ใจ’ (Trust) โดยเสนอแนวทางแก้ไขที่ต้องเริ่มจากการเจรจาอย่างจริงใจของทุกฝ่าย การสร้าง Governance ที่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก และการแบ่งปันทรัพยากรเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรม

 

“ความเกลียดชังหรือความกลัว ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความเกลียดชัง แต่ต้องแก้ไขด้วยการหันหน้าเข้าหากันและมีความเข้าใจกัน” ศุภชัยกล่าว พร้อมเสริมว่า การนำ ‘Pain Point’ ของทุกฝ่ายมาหารือและจัดการร่วมกัน จะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยยกตัวอย่างการหยุดยิงที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วยให้ประชาชนจำนวนมากสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ

 

เขาเสนอว่า การสร้าง ‘Governance’ ที่ให้ความสำคัญกับประชาชนและการเจรจาอย่างจริงใจ เป็นจุดตั้งต้นของการออกแบบระบบโลกใหม่ พร้อมยกตัวอย่างกรณี ‘การหยุดยิง’ ที่แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตคนในพื้นที่ขัดแย้ง

 

Private Sector: ตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน

 

ศุภชัยเชื่อว่า ภาคเอกชนไม่ใช่แค่ฟันเฟืองทางเศรษฐกิจ แต่คือ ‘Catalyst’ แห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่อง ESG Reporting ที่กำลังเป็นภาษากลางใหม่ของธุรกิจทั่วโลก

 

โดยปัจจุบันกว่า 70% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยจัดทำรายงาน ESG แล้ว แต่สิ่งที่ต้องเร่งคือการขยายสู่บริษัทนอกตลาด เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบระบบ (systemic change) ทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน “ESG ไม่ใช่แค่รายงาน แต่คือเครื่องมือของความเข้าใจร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนให้ ‘การเติบโต’ ไปพร้อมกับ ‘ความรับผิดชอบ’

 

ปลดล็อกการศึกษา และลดคอร์รัปชัน ด้วยเทคโนโลยี

 

ในด้านการศึกษา ศุภชัยมองว่าระบบการศึกษาควรเน้นการประยุกต์ใช้และการแก้ปัญหาจริง โดยเสนอแนวคิด ‘Learning Center’ ที่เชื่อมโยงกับการแก้ไขปัญหา 17 SDG เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้เชิงเศรษฐกิจ คุณธรรม และจริยธรรมไปพร้อมกัน ภาคเอกชนพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างศูนย์การเรียนรู้เหล่านี้ เพื่อบ่มเพาะเยาวชนที่มี Growth Mindset และวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน

 

สำหรับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ศุภชัยประเมินว่า ‘Indirect Economy’ หรือเศรษฐกิจใต้ดินของไทยอาจสูงถึง 50% ของ GDP เขาเสนอให้ใช้ Digitalization และ AI เป็นทางออก การสร้าง Digital ID และการเปลี่ยนผ่านสู่ Cashless Society จะนำมาซึ่ง Transparency หรือความโปร่งใส ทำให้ทุกธุรกรรมตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งจะช่วยลดการคอร์รัปชันและการใช้ชื่อเสียงในทางที่ผิดลงอย่างมาก

 

ศุภชัยทิ้งท้ายด้วยวิสัยทัศน์ ‘Forward Faster Together’ โดยเน้นย้ำว่า การตั้งเป้าหมายและการลงมือปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญ แม้ในอดีตภาคเอกชนอาจมองว่าการลงทุนด้านความยั่งยืนไม่คุ้มทุน แต่ปัจจุบันเกือบทุกเรื่องพิสูจน์แล้วว่าคุ้มค่า และหลายอย่างยังช่วยลดต้นทุนด้วย กลไกตลาดจะขับเคลื่อนให้สินค้าและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ 17 SDG มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และเมื่อภาคเอกชนร่วมมือกันขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรม การบรรลุเป้าหมาย SDG ซึ่งเป็น ‘Win-Win’ โดยไม่มีผู้แพ้ จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การแข่งขันเป็นเพียงกระบวนการเรียนรู้ เป้าหมายที่แท้จริงคือการอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

The post ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ชี้ Global Compact กุญแจสู่โลกที่ยั่งยืน พลิกวิกฤต ‘3D’ สร้างสันติภาพและการเติบโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Food Waste: เมื่อธุรกิจอาหาร นำไปสู่ ‘ขยะล่องหน’ ที่เราไม่เคยมองเห็น https://thestandard.co/food-waste-restaurants-th/ Wed, 23 Jul 2025 05:53:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1098800 food-waste-restaurants-th

ในยุคที่ธุรกิจร้านอาหารต้องงัดกลยุทธ์ทุกวิถีทางเพื่อดึง […]

The post Food Waste: เมื่อธุรกิจอาหาร นำไปสู่ ‘ขยะล่องหน’ ที่เราไม่เคยมองเห็น appeared first on THE STANDARD.

]]>
food-waste-restaurants-th

ในยุคที่ธุรกิจร้านอาหารต้องงัดกลยุทธ์ทุกวิถีทางเพื่อดึงดูดลูกค้าและรับมือกับกำลังซื้อที่ชะลอตัว สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ‘ขยะอาหาร’ (Food Waste) คือผลกระทบที่มาพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจอาหารและการบริโภคในชีวิตประจำวัน 

 

ขยะอาหารทั่วโลกและในประเทศไทย 

 

UNEP (โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ) รายงานปี 2567 พบว่า ทั่วโลกสร้างขยะอาหารเฉลี่ย 79 กิโลกรัม/คน/ปี เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 74 กิโลกรัม/คน/ปี แต่ที่น่าตกใจคือ ประเทศไทยมีปริมาณขยะอาหารสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกมาก โดยอยู่ที่ 86 กิโลกรัม/คน/ปี เพิ่มขึ้นจาก 79 กิโลกรัม/คน/ปี และสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน 

 

ในประเทศไทย ขยะอาหารคิดเป็น 38% ของขยะมูลฝอยทั้งหมด หรือประมาณ 10.24 ล้านตัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากครัวเรือน เช่น เศษอาหาร เปลือกผลไม้ และอาหารที่หมดอายุ ตัวเลขนี้เป็นความท้าทายสำคัญที่ไทยต้องเร่งลดขยะอาหารลงครึ่งหนึ่ง ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (เป้าหมายย่อยที่ 12.3) 

 

ความแตกต่างระหว่าง Food Waste และ Food Loss

 

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าขยะอาหารคือสิ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วมีสองประเภทหลัก คือ 

  1. ‘ขยะอาหาร’ (Food Waste) คืออาหารที่ยังรับประทานได้แต่ถูกทิ้ง ณ ปลายทางของห่วงโซ่อุปทาน เช่น ร้านค้าปลีก หรือผู้บริโภค สาเหตุอาจมาจากอาหารเสื่อมสภาพ หมดอายุ หรือไม่ได้ถูกบริโภคตามเวลาที่เหมาะสม เช่น อาหารที่หมดอายุในร้านค้าปลีก อาหารที่เหลือในร้านอาหาร หรืออาหารที่เหลือทิ้งที่บ้าน 

 

  1. ‘การสูญเสียอาหาร’ (Food Loss) เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทางของห่วงโซ่อุปทาน เช่น ระหว่างการผลิต เก็บเกี่ยว แปรรูป หรือกระจายสินค้า ก่อนถึงมือผู้บริโภค ปัญหานี้มักเกิดจากระบบที่ไม่สมบูรณ์ เช่น โครงสร้างพื้นฐานไม่ดี ศัตรูพืช หรือความเสียหายจากสภาพอากาศ 

 

ทั้ง Food Waste และ Food Loss ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 8-10% ของทั่วโลก นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์/ปี ในขณะที่ประชากรเกือบ 800 ล้านคนทั่วโลกยังขาดแคลนอาหาร 

 

แนวทางการลด Food Waste & Food Loss

 

การแก้ไขปัญหานี้ต้องจัดการตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ 

  • ในภาคการเกษตร: ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต, ฝึกอบรมเทคนิคการจัดการผลผลิต และสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีที่จำเป็น เพื่อลดความเสียหายตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงพัฒนาระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ 
  • สำหรับภาคการแปรรูปและการค้าปลีก: การบริหารจัดการสินค้าคงคลังและฝึกอบรมพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การส่งเสริมให้ผู้บริโภคยอมรับสินค้าที่อาจมีรูปลักษณ์ไม่สมบูรณ์แต่ยังคงคุณภาพ จะช่วยลดขยะอาหารได้อย่างมาก 

 

สำรวจแบรนด์อาหารชั้นนำ ‘บริหาร Food Waste’ 

 

เมื่อพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสะดวกสบายมากขึ้น ขยะจากบรรจุภัณฑ์และเศษอาหารจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากจัดการไม่ถูกวิธี เศษอาหารจะก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งยิ่งซ้ำเติมวิกฤตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก THE STANDARD WEALTH ชวนดูว่า 4 แบรนด์อาหารชั้นนำเหล่านี้มีวิธีจัดการ Food Waste อย่างไรบ้าง

 

โอ้กะจู๋ (Oh! Juice) 

 

ชลากร เอกชัยพัฒนกุล CEO บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ (โอ้กะจู๋) เน้นนโยบาย ‘Zero Waste to Landfill’ โดยมุ่งนำขยะกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตให้มากที่สุด ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ 

 

โดยระดับต้นน้ำ  โอ้กะจู๋ จะนำเศษผักจากการตัดแต่ง เศษอาหารจากร้านและครัวเรือน รวมถึงใบไม้ กิ่งไม้ จาก 2 เทศบาลในอำเภอสารภี มาทำเป็น ปุ๋ยหมักอินทรีย์ เพื่อใช้ในโรงเรือน เริ่มมา 6-7 ปี และผลิตปุ๋ยได้เฉลี่ย 1,000-2,000 ตัน/ปี ล่าสุดปี 2567 ได้ถึง 2,527 ตัน นอกจากนี้ยังเปิดให้ชาวบ้านนำเศษขยะมาแลกปุ๋ย ช่วยลดการเผาขยะและฝุ่น PM 2.5 

 

ส่วนระดับกลางน้ำ ใช้วิธีบริหารจัดการระบบขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการสูญเสีย 

 

และระดับปลายน้ำ โอ้กะจู๋ สื่อสารกับลูกค้าเพื่อสร้างความตระหนัก เช่น สอบถามหากต้องการนำผักบางส่วนกลับบ้าน หากลูกค้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งช่วยลดขยะอาหารหน้าร้านได้ถึง 80%  ส่วน 20% ที่เหลือจะถูกแยกทิ้งอย่างชัดเจน และอยู่ระหว่างหารือกับ กทม. เพื่อนำไปใช้ประโยชน์สูงสุด เช่น มอบให้พนักงานกวาดขยะหรือคนไร้บ้าน นอกจากนี้ โอ้กะจู๋ยังลดการใช้พลาสติกใช้แล้วทิ้งและหันมาใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษมากขึ้น 

 

สุกี้ตี๋น้อย 

 

นัทธมน พิศาลกิจวนิช ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย เปิดตัวโปรเจกต์ ‘ร้านข้าวแกง’ ‘ตี๋น้อยปันสุข’ เพื่อบริหารจัดการวัตถุดิบตัดแต่ง (เนื้อสัตว์และผัก) จากครัวกลางที่ไม่ได้มาตรฐานสำหรับการเสิร์ฟในร้าน แต่ยังมีคุณภาพดี โดยนำมาปรุงเป็นเมนูกับข้าวจำหน่ายในราคาย่อมเยา เพื่อลด Food Waste และช่วยให้ผู้คนเข้าถึงอาหารคุณภาพดี (ข้อมูลการจัดการขยะเพิ่มเติมคาดว่าจะเปิดเผยในรายงาน ESG หลัง IPO) 

 

MK สุกี้ 

 

MK Restaurant Group มีนโยบายลด Food Waste 50% ภายในปี 2573 (เทียบปีฐาน 2566) โดยยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ประกอบด้วย 

  • การจัดการต้นทาง: พัฒนาระบบจัดซื้อ, จัดเก็บ, จัดส่ง และควบคุมคุณภาพสินค้าอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงปรับปรุงบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา 
  • การนำไปใช้ประโยชน์: นำอาหารส่วนเกินที่ยังอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัยไปเป็นอาหารพนักงาน, จำหน่ายต่อ, หรือบริจาคให้สถานสงเคราะห์/มูลนิธิ บริจาคให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงสัตว์หรือเป็นส่วนผสมในการเพาะปลูก นำวัตถุดิบที่เหลือไปใช้ประโยชน์อื่น เช่น กากมะนาวใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์ หรือนำไปวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ 

 

After You 

 

After You (บมจ. อาฟเตอร์ ยู) เน้นแนวคิดใส่ใจสิ่งแวดล้อมและลดของเสียจากกระบวนการผลิต 

  • การลดของเสีย: ใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุดและหมุนเวียนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 
  • การจัดการ: ขยะทั่วไปและย่อยสลายได้มีรถจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมมารับไปกำจัด 
  • การนำไปใช้ประโยชน์: นำเศษขนมปังที่เหลือให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงปลาในราคาถูก 

 

แท้จริงแล้ว ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคล้วนมีส่วนสร้างขยะอาหาร และเป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม เราทุกคนสามารถเริ่มต้นช่วยลดขยะอาหารได้ง่ายๆ เพียงแค่ ‘แยกเศษอาหารออกจากขยะทั่วไป’ ซึ่งเป็นก้าวเล็กๆ ที่สำคัญในการช่วยโลกของเรา

 

ภาพ: Ekkasit A Siam / Shutterstock 

 

อ้างอิง: 

 

The post Food Waste: เมื่อธุรกิจอาหาร นำไปสู่ ‘ขยะล่องหน’ ที่เราไม่เคยมองเห็น appeared first on THE STANDARD.

]]>
GCNT ผนึกกำลังทุกภาคส่วน จัด ‘GCNT EXPO 2025’ เร่งเครื่องประเทศไทยสู่หมุดหมายความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตและความท้าทาย https://thestandard.co/gcnt-expo-sustainability/ Tue, 22 Jul 2025 11:35:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1098534 gcnt-expo-sustainability

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ซึ่งเป็ […]

The post GCNT ผนึกกำลังทุกภาคส่วน จัด ‘GCNT EXPO 2025’ เร่งเครื่องประเทศไทยสู่หมุดหมายความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตและความท้าทาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
gcnt-expo-sustainability

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือด้านความยั่งยืนของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เตรียมจัดการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ ‘GCNT Expo 2025: Forward SDGs Faster Together – รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน’ โดยผนึกกำลังกับองค์กรสมาชิกและพันธมิตรจากทุกภาคส่วน เพื่อเร่งผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ภายในปี 2030 ผ่านกรอบแนวคิด 7 Transformations หรือ 7Ts งานนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 – 31 กรกฎาคม 2568 ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ 

 

ศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ได้เปิดเผยถึงความท้าทายที่ประเทศไทยและโลกกำลังเผชิญ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบรรลุเป้าหมาย SDGs  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

 

  • การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization): ยังคงมีช่องว่างด้านการลงทุน การเข้าถึงแหล่งทุน เทคโนโลยี และการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน 
  • ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Conflicts): ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนในการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ 
  • การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและเทคโนโลยี AI (Digitalization): แม้จะช่วยให้บรรลุ SDGs ได้เร็วขึ้น แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องการใช้พลังงานที่ค่อนข้างสูง การเข้ามาแทนที่แรงงาน และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและข้อมูล 
  • วิกฤตความมั่นคงทางอาหารและเกษตรกรรม: รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร การขาดแคลนแรงงาน และทรัพยากรที่ลดลง 
  • วิกฤตศรัทธา (Crisis of Trust): บั่นทอนความเชื่อมั่นและความร่วมมือข้ามภาคส่วน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการเดินหน้า SDGs ให้บรรลุผลตามเป้าหมายของสหประชาชาติ 

 

“วันนี้ แม้ประเทศไทยจะเผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่เราอยู่ในจุดที่ไม่อาจถอยหลังกลับไปได้ (Point of No Return) และนี่คือโอกาสที่สำคัญของทุกคน ทุกภาคส่วน ที่จะลุกขึ้นมารวมพลัง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ด้วยการเร่งเดินหน้าบรรลุ SDGs ให้เร็วขึ้น เป็นรูปธรรม และวัดผลได้ไปพร้อมๆ กัน” ศุภชัยกล่าวย้ำ 

 

GCNT EXPO 2025 ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์การเร่งขับเคลื่อน SDGs อย่างรอบด้าน ภายใต้กรอบ 7Ts สะท้อนถึงความสำคัญของธุรกิจไทยในการไม่เพียงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อประเทศในการเร่งบรรลุ SDGs โดยครอบคลุมประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย Table, Tourism, Tech, Trade, Transition, Talent และ Trust 

 

งานนี้จะเป็นพื้นที่ที่รวบรวมพลังพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน และเยาวชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน SDGs อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งหวังให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม และแนวปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ขยายผลและวัดผลได้ รวมถึงกระตุ้นให้ธุรกิจไทยทุกขนาด ทุกภาคอุตสาหกรรมปรับตัวต่อแนวโน้มโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล 

 

“เราหวังว่า GCNT EXPO จะเป็นเวทีต้นแบบด้านความยั่งยืนที่สร้างผลกระทบเชิงบวกได้มากที่สุดเวทีหนึ่งในประเทศไทย ที่จะยกระดับความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมาย SDGs ในระดับประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อาทิ การผลักดันนโยบายเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน การนำเสนอนวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน” ศุภชัยกล่าวทิ้งท้าย 

 

GCNT Expo 2025 ถือเป็นพื้นที่ต้นแบบของความร่วมมือระดับประเทศ ที่จะจุดประกายพลังใหม่สู่การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน การสนับสนุนนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการพัฒนาแรงงานและเยาวชนด้วยทักษะแห่งอนาคต 

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดโปรแกรมต่างๆ และลงทะเบียนเข้าร่วมงาน GCNT Expo 2025 ได้ที่เว็บไซต์ https://expo.globalcompact-th.com และโซเชียลมีเดียทุกช่องทางของ GCNT

The post GCNT ผนึกกำลังทุกภาคส่วน จัด ‘GCNT EXPO 2025’ เร่งเครื่องประเทศไทยสู่หมุดหมายความยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตและความท้าทาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘บ้านปู’ เผยภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันสิ่งแวดล้อม หนุน 5 เทรนด์พลังงาน ที่องค์กรธุรกิจควรจับตา https://thestandard.co/banpu-5-energy-trends/ Fri, 11 Jul 2025 10:28:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1095499

บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ชี้ความขัดแย้งด้ […]

The post ‘บ้านปู’ เผยภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันสิ่งแวดล้อม หนุน 5 เทรนด์พลังงาน ที่องค์กรธุรกิจควรจับตา appeared first on THE STANDARD.

]]>

บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ชี้ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเปลี่ยนเกมพลังงาน หนุนทุกภาคส่วนเร่งสร้างระบบพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมเผย 5 เทรนด์พลังงาน สำคัญที่องค์กรธุรกิจควรจับตา

 


 

1. ความมั่นคงทางพลังงาน ปัจจัยสำคัญผลักดันการลงทุนทั่วโลก

 

รายงานล่าสุดจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า “ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security)” กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การลงทุนด้านพลังงานทั่วโลกในปี 2025 พุ่งสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์

 

โดยแบ่งเป็นการลงทุนในพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน รวมมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า และแบตเตอรี่ รวมมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์

 

ท่ามกลางความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและความกังวลด้านความ
มั่นคงทางพลังงาน ภาครัฐและภาคธุรกิจทั่วโลกจึงเร่งวางแผนรับมือความเสี่ยงรอบด้านผ่านการลงทุนที่สมดุลทั้งในพลังงานดั้งเดิมและพลังงานสะอาดเพื่อรักษาความต่อเนื่องในการใช้

 

ไฟฟ้าสร้างความมั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าที่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศอย่างยั่งยืนพร้อมเสริมความมั่นคงทางธุรกิจและเศรษฐกิจระดับประเทศในระยะยาว

 


 

2. เทคโนโลยี Co-firing ทางเลือกสู่เป้าหมายลดคาร์บอน

 

ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนยังคงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักที่ช่วยให้เรามีไฟฟ้าใช้อย่างต่อเนื่อง รองรับการใช้ชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด เทคโนโลยี Co-firing คือ การนำเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ชีวมวล (Biomass), ไฮโดรเจน (Hydrogen) และแอมโมเนีย (Ammonia) มาใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงหลักอย่างฟอสซิลในโรงไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอน

 

โดยหลายประเทศให้ความสนใจและเริ่มทดลองใช้งานจริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น จีนได้กำหนดให้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ผ่านการปรับปรุงหรือสร้างใหม่ต้องสามารถผสมชีวมวลหรือแอมโมเนียไม่น้อยกว่า 10% ภายในปี 2027

 

ในปี 2023 ตามแผนปฏิบัติการ “Low-Carbon Transformation of Coal Power Plants (2024–2027)” ด้านไทย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) ได้มีการวางแผนใช้ไฮโดรเจนเริ่มต้นที่ 5% ผสมกับก๊าซธรรมชาติ นำร่องใช้ในโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2030-2037 ซึ่งเทคโนโลยี Co-firing กำลังเปลี่ยนโฉมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนแบบเดิมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 


 

3. Data Centers โตดันดีมานด์ไฟฟ้าพุ่ง พลังงานหมุนเวียน หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์

 

พลังงานหมุนเวียนเติบโตต่อเนื่องเพื่อตอบรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจดิจิทัลและศูนย์ข้อมูล (Data Centers) โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็นประมาณ 945 เทราวัตต์-ชั่วโมง

 

โดยกลุ่มยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Amazon Web Services ได้ตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในศูนย์ข้อมูล ภายในปี 2025

 

ขณะที่ Microsoft และ Google Cloud ได้ขยายความมุ่งมั่นไปสู่การใช้พลังงานที่ปราศจากคาร์บอน (Carbon-Free Energy หรือ CFE) ตลอด 24 ชั่วโมง ภายในปี 2030

 

อย่างไรก็ตาม พลังงานความร้อนยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า

 

โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Precedence Research คาดว่า ตลาดโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั่วโลกจะมีมูลค่า 1.56 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 และจะเติบโตถึง 2.13 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2034

 

นอกจากนี้ เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage: BESS) กำลังมีบทบาทสำคัญในการสำรองและจ่ายไฟฟ้ากลับสู่ระบบในช่วงที่ไม่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้บริหารความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

โดยตลาด BESS ในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 14.67 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2033 สะท้อนว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังคงต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างพลังงานความร้อน พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า

 


 

4. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

 

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR คือ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน (Nuclear Fission) ในการผลิตไฟฟ้า โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ การบริหารจัดการวัสดุกัมมันตรังสีใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ด้วยระบบระบายความร้อนที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเครื่องปฏิกรณ์ถูกออกแบบให้เป็นโมดูลขนาดเล็กช่วยลดระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งจาก 5-6 ปี เหลือเพียง 3-4 ปี

 

โดยมีกำลังผลิตสูงสุดถึง 300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ปล่อย CO₂ ปัจจุบันหลายประเทศอยู่ระหว่างพัฒนาและทดลองการใช้งาน เช่น จีน มีโครงการ ACP100 หรือ Linglong One กำลังการผลิตประมาณ 125 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่มณฑลไห่หนาน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2026

 

ขณะที่ในสหรัฐฯ ได้อนุมัติแบบเครื่องปฏิกรณ์ SMR ขนาด 77 เมกะวัตต์ของ NuScale Power

 

สำหรับไทย ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP2024) ได้มีการบรรจุแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก 2 แห่ง ขนาดกำลังผลิตแห่งละ 300 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต เทคโนโลยี SMR จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าจับตามองในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว

 


 

5. Grid Modernization อัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาดและทันสมัยยิ่งขึ้น

 

Grid Modernization คือ การปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น พลังงานหมุนเวียน และตอบโจทย์การใช้พลังงานในอนาคต

 

โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ระบบควบคุมอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการโหลดไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ช่วยลดการปล่อย CO₂ และรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม

 

ในเอเชียแปซิฟิก ตลาด Grid Modernization คาดว่าจะเติบโตจาก 12.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็นกว่า 51.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2032

 

ขณะที่สหรัฐฯ ดำเนินโครงการ Grid Resilience and Innovation Partnerships (GRIP) มูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้าในการรับมือกับสภาพอากาศที่ผันผวน

 

ส่วนจีนมีการประกาศแผนลงทุนในระบบโครงข่ายไฟฟ้ามูลค่าสูงถึง 800 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 เพื่อรองรับความต้องการไฟที่เพิ่มขึ้นและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

 

อนาคตพลังงานกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างระบบพลังงานที่มั่นคง ยืดหยุ่น และลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงนโยบาย แต่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจทั่วโลก ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานใน 8 ประเทศทั่วโลก BPP มุ่งมั่นผลิตและพัฒนาพลังงานคุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงด้านพลังงาน

 

ภาพ: zhongguo/Getty Images

The post ‘บ้านปู’ เผยภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันสิ่งแวดล้อม หนุน 5 เทรนด์พลังงาน ที่องค์กรธุรกิจควรจับตา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยพาณิชย์ประกาศความสำเร็จสนับสนุนการเงินยั่งยืนทะลุเป้าหมาย ทะยานสู่ 1.8 แสนล้านบาทในช่วง 2 ปีครึ่ง หนุนภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน https://thestandard.co/cb-sustainable-finance/ Wed, 02 Jul 2025 12:16:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1092144 cb-sustainable-finance

ไทยพาณิชย์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นสนับสนุนการดำเนินงานด้านคว […]

The post ไทยพาณิชย์ประกาศความสำเร็จสนับสนุนการเงินยั่งยืนทะลุเป้าหมาย ทะยานสู่ 1.8 แสนล้านบาทในช่วง 2 ปีครึ่ง หนุนภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
cb-sustainable-finance

ไทยพาณิชย์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นสนับสนุนการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ตามแนวคิด ‘อยู่ อย่าง ยั่งยืน’ (Live Sustainably) ทุบสถิติการให้สินเชื่อและการออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ภายใต้วงเงินสะสมรวมกว่า 180,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง (2023 – 6 เดือนแรกของปี 2025) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 150,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปี (2023 – 2025) สะท้อนความมุ่งมั่นในฐานะผู้นำด้านการเงินที่ร่วมขับเคลื่อนภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่แนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับหลัก ESG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

 

กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภายใต้กลยุทธ์ ‘อยู่ อย่าง ยั่งยืน’ (Live Sustainably) ธนาคารได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรและเศรษฐกิจไทยในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล 

 

สำหรับเป้าหมายในด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการเตรียมพร้อมเศรษฐกิจและสังคมไทยกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ (climate change) ธนาคารได้กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ใน 3 ระยะสำคัญ ประกอบด้วย 

  1. การสนับสนุนลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้วยการให้สินเชื่อและการออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนภายใต้วงเงินจำนวน 150,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2023 – 2025
  2. ปรับการดำเนินงานภายในองค์กรสู่ Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2030 
  3. ตั้งเป้า Net Zero สำหรับพอร์ตสินเชื่อและการลงทุนของธนาคาร ภายในปี 2050 

 

SCB

 

ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ดำเนินการเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาโลกร้อน สะท้อนกลยุทธ์และความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท SCBX ซึ่งเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกและแห่งเดียวของไทยที่ผ่านการรับรองการตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายใต้มาตรฐาน Science-Based Targets Initiative: SBTi ในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยมาตรฐาน SBTi เป็นมาตรฐานสากลที่อยู่บนพื้นฐานหลักการวิทยาศาสตร์ที่โปร่งใส ชัดเจน และตรวจสอบได้ และได้รับการยอมรับจากองค์กรระดับโลกจำนวนมากกว่า 8,000 แห่งเข้าเป็นสมาชิก

 

สำหรับความสำเร็จในการเป็นผู้นำของการสนับสนุนวงเงินเพื่อความยั่งยืนให้กับลูกค้าในทุกกลุ่มในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา สะท้อนแผนการดำเนินการของธนาคารใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ 

 

  1. การกำหนดกลยุทธ์การลดคาร์บอนในภาคธุรกิจสำคัญ (Sectoral Decarbonization Strategies) ซึ่งระบุถึงโอกาส ความท้าทาย และแนวทางการสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้า ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (Conglomerate & Corporate) ธุรกิจ SME จนถึงรายย่อยให้เหมาะสมกับบริบทของลูกค้าในภาคธุรกิจต่างๆ

 

โดยในเบื้องต้น ธนาคารได้มุ่งเป้า 4 อุตสาหกรรมหลักที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า & ระบบนิเวศ และอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ ซึ่งทั้ง 4 อุตสาหกรรมนี้ก็เป็น Top 4 ที่มีสัดส่วนของยอดวงเงินเพื่อความยั่งยืนของธนาคารลดหลั่นตามลำดับในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา 

 

  1. การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยผสมผสานการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการทางการเงินของลูกค้าที่มีความหลากหลายในแต่ละภาคธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจทางการเงินเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้าในลักษณะ win-win ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ Sustainability-Linked Loan และ Sustainability-Linked Bond ที่ปรับอัตราดอกเบี้ยตามผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน เพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจเร่งขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจควบคู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม 

 

  1. บทบาทการเป็นพาร์ตเนอร์ด้านความยั่งยืนที่แท้จริงให้กับลูกค้า ซึ่งมากกว่าการสนับสนุนด้านการเงิน แต่หมายรวมการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง pain points ของลูกค้าแต่ละกลุ่มในการยกระดับด้านความยั่งยืน ทั้งนี้ ธนาคารได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจด้านต่างๆ เพื่อนำไปสู่การให้ความรู้ ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะด้าน technical solutions ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทของลูกค้า

 

“ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศจะเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ธนาคารไทยพาณิชย์มีความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินไทยเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของทั้งลูกค้าภาคธุรกิจและลูกค้ารายย่อย เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสของการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยภายใต้สังคมคาร์บอนต่ำของโลกในอนาคต โดยยึดมั่นในหลัก ‘อยู่ อย่าง ยั่งยืน’ ในการดำเนินการทั้งในระดับองค์กร ลูกค้า และสังคมไทยโดยรวม เพื่ออนาคตที่มั่นคง แข็งแรง และยั่งยืนของประเทศ” กฤษณ์ กล่าว

The post ไทยพาณิชย์ประกาศความสำเร็จสนับสนุนการเงินยั่งยืนทะลุเป้าหมาย ทะยานสู่ 1.8 แสนล้านบาทในช่วง 2 ปีครึ่ง หนุนภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Zillion Innovation คว้ารางวัล NOVA Award ด้านนวัตกรรมสีเขียว ยกระดับการจัดการขยะอาหารสู่ความยั่งยืน [PR NEWS] https://thestandard.co/zillion-innovation-nova-award/ Sun, 23 Mar 2025 08:29:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1055334

Zillion Innovation คว้ารางวัล NOVA Award ในสาขานวัตกรรม […]

The post Zillion Innovation คว้ารางวัล NOVA Award ด้านนวัตกรรมสีเขียว ยกระดับการจัดการขยะอาหารสู่ความยั่งยืน [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>

Zillion Innovation คว้ารางวัล NOVA Award ในสาขานวัตกรรมสีเขียวที่ช่วยให้โลกยั่งยืน จากเวที The NOVA Expo 2025 สำหรับโครงการ Z’Food Zero Waste เครื่องกำจัดขยะอาหารที่สามารถแปรสภาพเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

เนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิลเลี่ยน อินโนเวชั่น จำกัด (Zillion Innovation) เปิดเผยว่า รางวัลนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญให้บริษัทเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้าน Net Zero Carbon และ Zero Waste อย่างต่อเนื่อง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของคนไทยและโลกของเรา

 

ทั้งนี้ โครงการ Z’Food Zero Waste ได้รับการออกแบบเพื่อลดปริมาณขยะอาหารที่ต้องนำไปฝังกลบ ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น มีเทน (Methane) โดยสามารถแปรรูปขยะเหล่านี้ให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อนำกลับมาใช้ในภาคเกษตรกรรม สนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และช่วยลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี

 

เครื่อง Z’Food Zero Waste ได้รับความสนใจจากทั้งภาคครัวเรือนขนาดใหญ่ ร้านอาหาร ไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดกลางและใหญ่ เนื่องจากสามารถช่วยลดต้นทุนการจัดการขยะ และเปลี่ยนของเสียให้เป็นมูลค่าเพิ่ม

 

ปัจจุบัน Z’Food Zero Waste ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในสิงคโปร์ รวมถึงภายในประเทศไทยเอง สถาบันการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยสวนดุสิต และธุรกิจชั้นนำ เช่น โรงแรมและร้านอาหารระดับไฮเอนด์ ต่างให้ความสนใจและติดตั้งเครื่องดังกล่าวเพื่อสนับสนุนแนวทางธุรกิจสีเขียว

 

เนวินธุ์เน้นย้ำว่า ปัญหาขยะอาหารและก๊าซเรือนกระจกเป็นเสียงเตือนให้โลกต้องเปลี่ยนแปลง ซิลเลี่ยน อินโนเวชั่น จึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่เพียงแต่ลดปริมาณขยะ แต่ยังสร้างพลังงานและปุ๋ยอินทรีย์คืนสู่ธรรมชาติ

 

บริษัท ซิลเลี่ยน อินโนเวชั่น จำกัด เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมก่อสร้างและสิ่งแวดล้อม นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ กันซึมระดับ World Class ตั้งแต่ชั้นใต้ดินถึงดาดฟ้า รวมถึงโซลูชัน Green Wall, Green Roof และวัสดุก่อสร้างเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับความไว้วางใจจากโครงการชั้นนำ เช่น One Bangkok, อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี, อาคารสภาวิศวกร และโรงแรมหรูอย่าง Sala Riverside

The post Zillion Innovation คว้ารางวัล NOVA Award ด้านนวัตกรรมสีเขียว ยกระดับการจัดการขยะอาหารสู่ความยั่งยืน [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>