EargasmDeepTalk – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 29 Jun 2018 07:28:52 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 คุยกันแบบไร้ไรม์กับอดีต ปัจจุบัน อนาคตของโต้ง Twopee สามีแห่งชาติคนใหม่ https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk17/ Fri, 29 Jun 2018 07:09:10 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=102429

แม้จะเห็นหน้าค่าตากันอย่างถี่ในช่วงนี้ แต่โต้ง Twopee ก […]

The post คุยกันแบบไร้ไรม์กับอดีต ปัจจุบัน อนาคตของโต้ง Twopee สามีแห่งชาติคนใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

แม้จะเห็นหน้าค่าตากันอย่างถี่ในช่วงนี้ แต่โต้ง Twopee ก็ทำวง Southside กับคู่หู Freddy V มาสิบกว่าปีแล้ว มีผลงานฮิตในแวดวงฮิปฮอปหลายเพลงจนเรียกได้ว่าเป็นแรปเปอร์มือดีคนหนึ่งของประเทศไทยเลยก็ว่าได้

 

ไปฟัง แพท บุญสินสุข สัมภาษณ์ถอดตัวตนและที่มา รวมถึงอนาคตของแรปเปอร์เจ้าเสน่ห์ที่สาวๆ หลายคนยกให้เป็นสามีแห่งชาติคนใหม่ในปีนี้ใน Eargasm Deep Talk Podcast

 

 

กว่าจะเป็น Twopee Southside

โต้งเป็นเด็กภูเก็ต ในอดีตภูเก็ตไม่ได้มีวงฮิปฮอปที่เกิดจากที่นั่นจริงๆ Southside น่าจะเป็นวงแรกๆ ที่ก่อตั้งวง ทำเพลงที่ภูเก็ต

 

มีอยู่วันหนึ่งที่ Thaitanium ไปเล่นคอนเสิร์ตที่นั่น ด้วยความที่ชอบวงนี้อยู่แล้ว Southside เลยเข้าไปขอเล่นเปิดให้ ทางพี่ๆ เห็นว่าเรากล้าขอ เขาก็กล้าให้ ก็เลยได้เล่นครั้งแรกที่เวทีนั้น เป็นเพลงที่เพิ่งอัดวันนั้นเสร็จก็นั่งรถไปขอเล่นเลย สรุปว่าเนื้อก็จำไม่ค่อยได้ เละมาก หลังจากนั้นก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว

 

ช่วงแรกก็แต่งแรปเรื่องความฝัน จีบหญิง มุมมองแบบเด็กมัธยมน่ะครับ จากนั้นก็ได้เข้ามากรุงเทพฯ ช่วงแรกก็เป็นการเข้ามาแข่งแรป แข่งฟรีสไตล์ แต่ก็ไปๆ มาๆ แต่พอหลังจากได้อยู่ค่ายไทยเทเนี่ยม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เลย ตอนแรกตั้งใจจะไปเรียนต่อ แต่พอได้ทำเพลงก็เลยยังไม่ได้ไป บอกพ่อแม่ว่าเดี๋ยวว่างกว่านี้ค่อยไป นี่ก็ผ่านมา 10 ปีแล้ว

 

Southside to all side

พอได้ออกเพลงกับค่าย ทีนี้ก็สนุกแล้ว ไปทัวร์จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ยิ่งมาช่วงนี้คนตอบรับเราเยอะมาก ล่าสุดไปนครศรีธรรมราชก็บรรยากาศดีมากๆ ครับ มีนั่งรถตู้แล้วแฟนเพลงวิ่งตามบ้างเหมือนกัน บางทีเล่นคอนเสิร์ตก็มีดึงแขนดึงขาบ้าง สนุกดีครับ

 

มีคนบอกว่าช่วงนี้แรปกลับมาเมนสตรีมอีกแล้ว แต่สำหรับผมมันไม่เคยหายไปนะ ถึงจะมีดรอปๆ ไปบ้างก็ตาม หรือพูดตามตรงว่าก่อนหน้านี้วงการมันค่อนข้างกระจาย มันไม่มีใครจับมารวมกันให้เห็นเป็นภาพใหญ่ พอมี Rap is Now หรือ The Rapper มาก็ดูจับต้องได้ ดูเห็นภาพ เหมือนเป็นค่ายที่ผลักดันคนมีความสามารถหรือแรปเปอร์ใต้ดินให้ขึ้นมา

 

เข้าสู่ The Rapper

ทีมงานโต๊ะกลมที่ทำงานกับเวิร์คพอยท์โทรมา เขาอยากได้คนจากฝั่งไทยเทเนี่ยมและก้านคอคลับมาร่วมงานกัน ซึ่งพอได้รับคำชวนเราก็บอกเลย Yes, of course. ไม่มีลังเลเลย เพราะด้วยความที่เป็นรายการแรป และเป็นช่องเวิร์คพอยท์ที่ผมชอบดูอยู่แล้ว ทีมงานโต๊ะกลมก็เป็นทีมงานคุณภาพที่เก่งมาก เพราะฉะนั้นก็ Let’s go.

 

ซึ่งพอมาทำรายการก็พบว่ามีคนมีความสามารถเยอะมาก เราเป็นแรปเปอร์อยู่ในวงการยังรู้จักไม่หมดเลย หลายคนเป็นรุ่นใหม่แบบฟัง Thaitanium ยังไม่ทันเลยก็มี

 

มีตัวเลือกอื่นไหม ถ้าไม่เป็นแรปเปอร์

สมัยก่อนโต้งเคยเล่นสเกตบอร์ดมาก่อน และเคยมีวงร็อกมาก่อนด้วย เป็นนักร้องนำ เป็นช่วงก่อนแรป เราเป็นเด็กเล่นเวกบอร์ด สเกตบอร์ด แล้วก็มาฟังเพลงแรปคอร์ (เพลงร็อกผสมแรป) พวก Limp Bizkit หรือ Korn ตอนนั้นมัธยมต้น ในห้องเรียนก็มีวงแล้ว เขาหานักร้องไม่ได้ เขาเห็นว่าเราแรปก็เลยมาชวนเราไปร้อง ก็เป็นนักร้องนำวงร็อกอยู่ช่วงหนึ่ง มันมาก

 

 

เพลงแรปเพลงแรกที่แต่ง

จำได้แค่ 2 ท่อน “พระอาทิตย์ขึ้นเนี่ยผมก็ขึ้นมาพร้อมกับพระอาทิตย์ เปล่งแสงปล่อยประกาย เตรียมตัวพร้อมจะ split”

 

เหมือนพระอาทิตย์ขึ้น เราก็ขึ้นมาพร้อมที่จะ rise and shine ก็เหมือนความฝันกับความตั้งใจ ประมาณนั้น จำได้แค่นี้ เพราะแต่งมานานมาก

 

การแต่งเพลงแรปต้องศึกษาการใช้คำเพิ่มไหม

ไม่เลย เราคิดว่าถ้าจะถ่ายทอดความรู้สึก มันต้องเป็นคำที่เราพูดอยู่แล้ว

 

แรปมีกี่แบบ

โห ตอบยากครับ มันมีตั้งแต่ Old school แล้วก็ East Coast rap สไตล์แบบเจย์-ซี, นิกกี้ มินาจ ดนตรีก็จะมีซาวด์แบบนิวยอร์กๆ แล้วก็มี West Coast rap ให้นึกภาพ Dr.Dre, Snoop Dogg เป็นฟังกี้ มีความเป็นจีฟังก์ มีเสียงเครื่องเป่า ฮอร์น แล้วก็จะมี South เป็นยุคที่ผมเริ่มทำเพลง จะมีศิลปินอย่าง Dem Franchize Boyz, T.I., UGK จะเป็นแนวเด้งๆ เต้นๆ หน่อย มันจะโยก จะไม่ hands up แล้วก็จะมี Mid West อีก พวก Bay Area มันก็จะเป็นแบบแปลกๆ

 

แต่นั่นคือสมัยคลาสสิก เดี๋ยวนี้มีเป็นอีก 10 แบบครับ ส่วนโต้งจะเป็นสไตล์ South trap หน่อยๆ จริงๆ ก็แรปหลายแบบ แต่นั่นจะเป็นจุดเด่นของ Southside

 

แชมป์ฟรีสไตล์

งานแรกที่ได้แชมป์เป็นงานอันเดอร์กราวด์ แข่งครั้งแรก Southside มาแสดงที่กรุงเทพฯ ครั้งแรก พูดง่ายๆ คือไม่มีใครรู้จักเลย ชื่องานว่า Bang Town เป็นงานของ Siam Hip Hop เป็นงานที่ได้แชมป์ครั้งแรก อีกงานก็เป็นของ Singha Battle of the Year เป็นงานใหญ่

 

การแรปฟรีสไตล์ต้องคิดคำให้เร็วและมีความหมาย บางครั้งก็มีคิดคำสุดท้ายไว้ก่อนเพื่อให้คิดคำได้เร็ว แต่อีกเทคนิคก็คือขึ้นมาเลย จะลงตรงไหนค่อยว่ากัน วิธีแรปสดก็เหมือนเราพูดกันอยู่ตรงนี้แหละ เหมือนจัดรายการนี่แหละ แต่ให้คล้องจอง

 

เราไม่ได้เป็นคนอ่านหนังสือเยอะเลย แต่คำที่ใช้จะได้มาจากรอบตัว คือเรามีคำอยู่ในหัวอยู่แล้ว แค่ว่าเราไม่ได้นึกถึงมันนั่นเอง เวลาพูดเราก็พูดแล้วผ่านไป ไม่ได้จำ ไม่ได้จด ไม่ได้เขียนมัน แค่นั้นเอง

 

ไรม์บางคำก็อันตรายนะ อย่างเช่นสระอวย

รวย สวย หมวย ย้วย

 

สระอีล่ะ

Wanna be, Twopee, MC, you see me (หัวเราะ)

 

น้ำเสียงสำคัญกับการเป็นแรปเปอร์ไหม

คิดว่าแรปเปอร์น่าจะเป็นแนวเพลงเดียวที่น้ำเสียงไม่ต้องดี เนื้อเสียงไม่ต้องเพราะ คือคุณเป็นยังไงก็ได้ แต่ถ้าส่งมาอย่างถูกวิธีมันจะทำให้คุณมีเสน่ห์เฉพาะตัว เช่น ไอ้นี่แหบแบบแปลกๆ ไอ้นี่เสียงแหลมกวนตีน ฯลฯ ซึ่งถ้าเราร้องถูกวิธี มันจะเป็นเหมือนอาวุธ คือนักร้องเนี่ย ถ้าร้องไม่เพราะก็จบแล้ว

 

อนาคตอยากทำงานกับใครบ้าง

ถ้าในประเทศไทยอยากทำงานกับ Getsunova เป็นเพลงร็อกเพราะๆ ลีดกีตาร์สวยๆ วงนี้ผมให้ที่หนึ่งเลย อีกคนที่อยากร่วมงานมานานและเพิ่งปล่อยเพลงไปคือ แก้ม The Star

 

ส่วนถ้าต่างประเทศ อยากทำงานกับ ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ ให้เขาโปรดิวซ์ ให้เขาร้องฮุกเพราะๆ เลย เดี๋ยวผมแรปเอง

 

ฝากผลงาน

อัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกกำลังจะออกครับ น่าจะประมาณเดือนตุลาคม ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มนี้กำลังจะปล่อยเดือนหน้าครับ โปรดิวซ์โดย KHAN Thaitanium กับ Keezy ในนาม BangBangBang

 

 


 

Credits

The Host แพท บุญสินสุข

The Guest พิทวัส พฤกษกิจ

Show Creator แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Graphic Design Interns ธัญญา ศิริสัมพันธ์, พันธิตรา หอมเดชนะกุล

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Music Westonemusic

The post คุยกันแบบไร้ไรม์กับอดีต ปัจจุบัน อนาคตของโต้ง Twopee สามีแห่งชาติคนใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เพลงและศิลปินไทยยอดเยี่ยมในครึ่งปี 2018 กับเลเล่เล้ https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk16/ Fri, 22 Jun 2018 06:56:37 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=99928

เลเล่เล้ เป็นนามปากกา (หรือเอาจริงๆ คือแอ็กเคานต์ล็อกอิ […]

The post เพลงและศิลปินไทยยอดเยี่ยมในครึ่งปี 2018 กับเลเล่เล้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เลเล่เล้ เป็นนามปากกา (หรือเอาจริงๆ คือแอ็กเคานต์ล็อกอินเว็บบอร์ดพันทิป) ของวรเชษฐ ไพศาขมาศ ที่ตั้งกระทู้รีวิวอัลบั้มยอดเยี่ยมเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี 2000 รวมแล้วกว่า 18 ปี

 

ครึ่งปี 2018 ผ่านไป ศิลปินทำอัลบั้มไม่มากเท่าปีที่แล้ว รายการพอดแคสต์ Eargasm Deep Talk เลยขอเชิญเลเล่เล้มารีวิวซิงเกิลเพลงไทยยอดเยี่ยมประจำครึ่งปีที่ผ่านมากัน

 


 

 

เริ่มเป็นนักฟังเพลง

เริ่มตั้งแต่ ป.4 ซึ่งมีวิชาขับร้อง เพลงแรกๆ ที่ร้องคือเพลง ชาวดง “ชาวดงพงป่าเขาลำเนาไพรไกลสังคม” จากนั้นพอ ป.5-ป.6 พ่อก็ซื้อเทปให้ฟัง จำได้ว่าม้วนแรกคือแกรนด์เอ็กซ์ ชุดที่มีเพลง เชื่อฉัน จากนั้นก็เริ่มซื้อเทปเอง เช่น The Barracudas, หรั่ง ร็อกเคสตร้า, คีรีบูน, ดิ อินโนเซ้นท์, คาราบาว อัลบั้ม เมดอินไทยแลนด์ ฯลฯ

 

แทบจะฟังแต่เพลงไทยด้วยซ้ำ มาเริ่มฟังเพลงสากลตอน ม.ปลาย ฟังตามเพื่อน ยุคนั้นก็เป็น Bon Jovi เพลง Final Countdown, จอร์จ ไมเคิล เป็นต้น

 

ตอนนั้นคืออยากทำงานเป็นดีเจ แต่ว่ามาเรียนสายวิทย์ เลยไม่ได้ทำงานด้านนั้นเลย

 

จากนั้นช่วงปี 2007-2008 ก็ได้รับคำชวนจากนิตยสาร HAMBURGER ให้เขียนรีวิวเพลงลงในนิตยสารหน่อย ก็เลยได้เขียนรีวิวด้านดนตรีเรื่อยมา

 

เพลงไทยยอดเยี่ยมครึ่งปี 2018

ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้เพลงไทยออกอัลบั้มไม่เยอะ ส่วนมากเป็นซิงเกิล ซึ่งเยอะมาก ฟังกันไม่หวาดไม่ไหวเลย เอาว่าพูดถึงแบบรวมๆ ทั้งอัลบั้ม ทั้งเพลง ทั้งอีพีแล้วกัน

 

1. อพาร์ตเมนต์คุณป้า / อพาร์ตเมนต์คุณป้า

ชอบเพลง ปายฝนต้นหนาว แทร็กแรกของอัลบั้ม เพลงนี้เปิดหัวออกมาทำให้เรารู้สึกเหมือนสมัยที่พวกเขาทำ Bangkok Love Story มันเป็นเพลงช้าที่กินใจ และตุลเองก็เขียนเพลงได้กวีมากอยู่แล้ว รู้สึกเหมือนพวกเขากำลังกลับมา น่าสนใจมากครับ

 

อัลบั้มนี้แบ่งเป็น 2 พาร์ตคือ ครึ่งแรก ‘หมอกฝัน’ ที่เป็นเพลงฟุ้งๆ เกี่ยวกับความฝัน ส่วนครึ่งหลังเป็น ‘ควันเมือง’ ที่ได้อีกอารมณ์หนึ่ง อีกเพลงที่ชอบมากคือ หยุดค่ำคืนไว้ตรงหน้าเธอจะดีไหม ที่ร้องว่า “ใครบันดาล ให้เธอบินผ่าน จากนภาสู่วิมาน อันแสนไกล”

 

เป็นวงที่เนื้อเพลงเป็นบทกวีที่ทิ้งความคิดอะไรสักอย่างไว้ตรงนั้น ซ่อนอะไรไว้อยู่เยอะเหมือนกัน อย่างในเพลง ปายฝนต้นหนาว ที่มีท่อน “เดือนตุลาคม ไร้เสียงเพลงแค่ชั่วคราว เงียบงันเหลือเกินลมหนาว” มันอาจสื่อถึงเดือนตุลาคมจริงๆ ก็ได้ที่เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว หรือจะตีความเป็น coming of age ก็ได้ เป็นเรื่องความรักที่กำลังจะจบลง กำลังจะมีใหม่ หรือจะถึงช่วงเดือนตุลาคมในสังคมไทยที่มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นในเดือนนี้ก็ได้เหมือนกัน เขียนได้ดีมากและลึกมาก

 

ชุดนี้กล้ามากด้วยการที่ไม่ทำเอ็มวีเลย อยู่ๆ ก็ปล่อยออกมาตูมเดียวเป็นอัลบั้มเลย ชอบชุดนี้มากกว่าอัลบั้มที่แล้ว ด้วยความที่อัลบั้มก่อนเป็นการเมืองหนักไปหน่อย

 

 

 

2.ใคร คือ เรา / Bodyslam

พี่ตูนไปวิ่งกลับมาอยู่ๆ ก็ออกเพลงตูมเลย แล้วขึ้นมาประโยคแรก “ใครกำหนดไว้ให้เราต่างเชื่อดวงดาว” เฮ้ย ถ้าไม่ใช่พี่ตูนนี่เจ๊งเลยนะ วงการหมอดูนี่อยู่ไม่ได้เลยนะ ผมว่ามันเจ๋งมากเลยนะ ตูนเขาหนักแน่นขึ้น เทียบพัฒนาการจากเพลงแรกๆ ที่เป็นเรื่องความรัก แล้วต่อมามีเรื่องความเชื่อ พอมา 2 ชุดล่าสุดเพลงเขาหนักแน่นขึ้นมากและเริ่มเป็นปรัชญา ดีมากๆ เราต้องยอมรับคนอย่างตูนว่าเขาเป็นไอดอลของประเทศจริงๆ

 

แต่นี่ก็แค่ซิงเกิล ไว้รออัลบั้มเต็มว่าจะเป็นยังไง ชุดที่แล้วก็เป็นชุดที่ดีมาก แต่ชื่อพูดยากไปนิดหนึ่ง

 

 

 

3. Shonichi วันแรก / BNK48

เพลงนี้เพราะนะครับ เป็นเหมือนเพลงของเด็กที่ต้องการสร้างความฝันตัวเองให้สวยงาม เป็นเพลงแห่งความพยายาม ใครที่ฟังแล้วน่าจะอินกับเนื้อเพลงที่ร้องว่า “คำว่าพยายาม ไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ” ประโยคนี้โคตรดีเลย ผมชอบเพลงนี้มากกว่าเพลง River ที่ยังไม่โดนเท่าไร

 

หรือเพลง 365 วันกับเครื่องบินกระดาษ ก็ดีนะครับ

 

 

 

4. TELEx TELEXs

ถ้าพูดถึงเพลงที่มีนักร้องผู้หญิงที่ดีมากอีกเพลงก็คือวงนี้ที่ออกมา 3 เพลงแล้ว มีเพลง ซ่อน, เอายังไง และล่าสุด เพื่อนชื่อความเหงา ซึ่งใน 3 เพลงนี้ผมชอบเพลง ซ่อน มากที่สุด

 

TELEx TELEXs เป็นวงที่น่าจะเปลี่ยนวงการเพลงไทยได้เลยนะ ด้วยความที่เขาเขียนเพลงน่าติดตาม มีการเฉลยตอนหลัง เนื้อหาซับซ้อน เป็นวงที่เจ๋งมาก และยังวัยรุ่นอยู่ด้วย

 

วงนี้เหมือนมารับช่วงต่อจากที่ Kidnappers เป็นคนสร้างซาวด์แบบนี้ไว้ มี DCNXTR มาต่อ แล้วมาที่ TELEx TELEXs ชอบครับ วงนี้ดี

 

 

 

5. เกลียด / The Yers

เพลงนี้เพราะดี ปกติเขาทำเพลงหนักกันมา แต่เพลงนี้เบา มีแค่กีตาร์ กลอง เนื้อหาแนวคล้ายๆ กับ TELEx TELEXs ทำ คือยังเป็นวัยรุ่นอยู่ การบอกว่าเกลียดตัวเองที่ยังรักเขาอยู่เนี่ยมันยังวัยรุ่น แต่เพลงเพราะใช้ได้เลย

 

ผมชอบเพลงเพราะที่ให้วัยรุ่นฟัง ถ้าเราเป็นวัยรุ่นตอนนี้ก็คงชอบเพลงนี้

 

 

 

6. โลกเปลี่ยน / The White Hair Cut

เพิ่งจะได้รู้ข้อมูลว่าน้องๆ วงนี้เด็กมาก เรียนอยู่ ม.ปลาย เอง เพลงล่าสุด โลกเปลี่ยน เป็นเพลงที่เจ๋งดี ซาวด์กีตาร์มุ้งมิ้งใสๆ หน่อย ฟังแล้วนึกถึงวงอย่าง The Bottom Blues หรือ Better Weather

 

 

 

7. ร้อยล้านวิว / Penguin Villa

ฟังแล้วรู้สึกว่าเจกลับมาทำอัลบั้มได้แล้ว ต้องบอกว่าเขาเป็นคนมีพลังตั้งแต่ทำวงพราวแล้ว เขาทำเพลงป๊อปได้มีพลังมากนะ มันมีแรงส่งให้คนเต็มไปหมด ยกตัวอย่างเช่น Scrubb ก็ตามวงพราวมา

 

จากนั้นเจก็มาทำ Smallroom ออกอัลบั้มของ Penguin Villa อยู่ชุดเดียวแล้วก็หายไปเลย

 

 

 

8. ภูมิ วิภูริศ

เขาทำซาวด์ดีมาก ไปอินเตอร์แล้ว ทั้งเนื้อร้องและทำนองที่มันเป็นภาษาอังกฤษ เขาไปเรียนที่นิวซีแลนด์ก็เลยเขียนเพลงภาษาอังกฤษได้ เนื้อเพลงก็โอเค เพลงล่าสุดที่ชอบก็คือ Lover Boy ชอบการร้องแนวนีโอโซลของเขา และกีตาร์ที่เล่นก็มีพลังมาก มันมีกรู๊ฟ

 

โชว์ของเขาก็ขายไปต่างประเทศได้เลย ไปเกาหลีใต้ ไปไต้หวัน แถมยังเด็กอยู่เลย

 

 

 

9. temp.

เป็นวงที่ต้องเปิดเพลงต่อจากภูมิเลย เพราะเขาก็มาแนวจังหวะดึ๋งดั๋งๆ โซลๆ หน่อยเหมือนกัน แต่ temp. จะมีกลิ่นแคลิฟอร์เนีย ทูพีซ ชายหาดหน่อย เป็นวงที่ผมชอบมากตั้งแต่อัลบั้มที่แล้วที่มีเพลง Motel California

 

ล่าสุดทำเพลงชื่อ Miss Summer เพราะมาก เป็นเพลงที่ 5 ของพวกเขาเท่านั้นเอง

 

 

 

10. Rasmee Isan Soul

เพิ่งได้แผ่นมา ชุดนี้ตายจริงๆ ต้องบอกว่ารัสมีเป็นคนเสียงดีมากอยู่แล้ว ชุดแรกก็ชัดอยู่แล้ว แต่ชุดนี้ผมชอบกว่าชุดแรกอีก เพราะมือกีตาร์ของวงได้มาทำโปรดิวเซอร์ชุดนี้ด้วย ทำให้กีตาร์ชัดเจนขึ้นอีก ผสมกับเสียงรัสมีมันยิ่งเข้ากัน

 

เพลงที่ชอบคือเพลง The Beauty of Loneliness ความงามของความเหงา เป็นเพลงช้าๆ ที่ได้ฟีลลอยๆ หน่อย กีตาร์จะเหมือนธีร์ ไชยเดช ลอยๆ แต่ฟังแล้วซี้ดเลย

 

เรารู้สึกว่าเขามาแล้วเปลี่ยนวงการเพลงเลย ไม่เคยเห็นคนทำเพลงแบบนี้ เขาไม่ทิ้งความเป็นไทย แต่ก็มีอย่างอื่นเข้ามาผสม มีเนื้อเพลงเขมรด้วย มีดนตรีสากลด้วย

 

 

 

11. Season / Scrubb

อัลบั้มใหม่ Scrubb ก็ดี ประเด็นคือเขาทำเพลงมาเกือบ 20 ปีแล้วมั้ง ซึ่งเขาน่าจะตัน แต่กลับไม่ตัน เพราะอัลบั้มนี้เป็น Scrubb + Plastic Plastic เขาได้น้องปกป้องมาเป็นโปรดิวเซอร์ แล้วก็ได้คีย์บอร์ดของน้องเพลง แล้วมันเพราะ เลยรู้สึกว่า Scrubb ขยับไปอีกระดับหนึ่งแล้ว

 

ผมว่าปกป้องเก่งมากนะ ติดตามตั้งแต่วง Plastic Plastic รู้สึกว่าเขามีของเยอะ แต่เวลาทำเพลงเขาไม่ได้ใส่เยอะนะ เขาใส่มาพอดี

 

 

 

12. ภาพจำ / ป๊อบ ปองกูล

เป็นเพลงช้าๆ เศร้าๆ ที่เรารู้สึกว่าเพราะ ป๊อบเป็นคนร้องเพลงเศร้าเพราะอยู่แล้ว เพลงนี้เพราะและได้ความเศร้าอีกระดับหนึ่ง

 

ยุคนี้มันไม่มีแบ่งแมสกับอินดี้แล้ว มันเหมือนอินดี้ข้ามมาฝั่งเมนสตรีมหมดเลย แล้วกวาดเก็บไปหมดด้วย ไม่ว่าจะเป็น Polycat หรือยุคก่อนก็ Calories Blah Blah มันแยกไม่ออกแล้ว

 

เดี๋ยวนี้วงในค่ายเพลงใหญ่ๆ ก็เริ่มใช้วิธีการทำเพลงแบบอินดี้ เพลงก็ออกมาน่าสนใจหลายเพลง

 

 

13. พจนานุกรม / M Yoss

ตอนแรกที่ฟังเพลงนี้ผมเฉยๆ นะ แต่พอฟังไปเรื่อยๆ แล้วทรัมเป็ตโผล่มา โห ตายไปเลย ทรัมเป็ตมันดึงให้เราอยู่นิ่งๆ จนรู้สึกว่าขอกูฟังทรัมเป็ตไปเรื่อยๆ ได้ไหม เพราะมาก

 

ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลที่ 2 ของเขาแล้วต่อจากเพลง เสาอากาศ ซึ่งฟังแล้วผมเฉยๆ แต่พอเพลง พจนานุกรม นี่ผมตายไปเลย

 

 

 

14. The TOYS

ไม่พูดถึงไม่ได้ เขาเป็นคนที่เจ๋งมาก ตั้งแต่ปีที่แล้วที่เขาออกเพลง ก่อนฤดูฝน เขาสร้างสไตล์ร้องรัวๆ ที่เราร้องตามไม่ได้ออกมา เห็นเลยว่าเขาเก่ง มันกลายเป็นแนวของเขาไปแล้ว เป็นแนวป๊อปบวกแรป จริงๆ ฝรั่งก็ทำ เอ็ด ชีแรน ก็ทำ แต่เขาเก่งจริงๆ เพลงปีนี้ที่ผมชอบคือ นอนได้แล้ว ที่เขาทำกับฟักกลิ้ง ฮีโร่

 

ต้องยอมรับเลยว่าเขาเก่ง และจะเป็นอนาคตของศิลปินไทยอีกคนหนึ่งที่จะนำพาเพลงไทยไปอีกสเตปหนึ่งได้เลย

 

 

 

15. Drive / วิโอเลต วอเทียร์

เพลงนี้ดีมาก เนื้อเพลงโดนมาก แล้วน้องก็สวยมากด้วย วีเป็นคนมี sex appeal อยู่ ก่อนหน้านี้ก็มีเพลงที่เย้ายวนนิดๆ คือเพลง ก็แค่ไม่มีฉัน ซึ่งผมว่าเขาแสบ

 

แต่พอมาเพลง Drive เพลงนี้แสบกว่า ยิ่งดูเอ็มวีนี่เลือดสาดเลย ฟังแล้วเหมือนเพลงชื่อ Chasing Cars ของ Snow Patrol มันมีฟีลของความรักความโหยหาอยู่ในเพลง แล้วเสียงวีก็เพราะมาก

 

 

 

16. มาดามอโศก / PLOT

เพลงนี้สุดยอดแล้ว ฟังครั้งแรกคือ เฮ้ย ทำได้ยังไงวะ มันออกมาเป็น Joy Division เพลง Transmission แนวๆ นั้น เพลงมันมีพลังมาก แล้วเนื้อเพลงเนี่ยไม่รู้เรื่อง ฟังไป 3 รอบ 5 รอบก็ยังไม่รู้เรื่อง แล้วการเขียนเนื้อเพลงแบบไม่รู้เรื่องเนี่ย ฝรั่งเขาทำมานานแล้ว แต่เพลงไทยไม่เคยทำเลย มีเพลงนี้แหละ

 

“มาดามอโศก ไม่เคยเศร้าโศก” แล้วก็ไปอะไรก็ไม่รู้ ฉันตายไม่เป็น ฝันอะไร แล้วจบเพลง ฟังไปอีก 3 รอบก็ยังไม่รู้เรื่องอีก คนไทยควรจะเขียนเพลงแบบนี้ตั้งนานแล้ว ผมอยากให้เขาเป็นโมเดลเลยนะ เพลงไทยไปทางนี้เลย แล้วจะไปได้อีกเยอะ

 

 

 

ทิศทางวงการเพลงไทยครึ่งปีที่เหลือจะเป็นอย่างไร

ไม่รู้เหมือนกัน ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน้องศิลปินที่ทำอยู่ทุกวันนี้ที่พูดมาทั้งหมดเขาก็คงยังทำเพลงต่อไป และมันก็คงมีอะไรมาท้าทายเขาหน่อย เพราะศิลปินก็เกิดใหม่อีกเยอะ

 

ผมว่าช่วงนี้เป็นขาขึ้นของวงการเพลงไทยนะ ปีที่แล้วก็ขึ้นเหมือนกัน และคิดว่าเขาจะขายโชว์ต่ออีก ถ้าเรามองวงการเพลงฝรั่ง เขาก็ขายโชว์เหมือนกัน แล้วโชว์เขาก็ต่อยอดให้วงการเพลงไปได้อีกไกล เขาไม่ได้ขายแค่ในประเทศอย่างเดียว เขาขายออกไปในตลาดโลก มันก็เลยทำให้ทุกอย่างกว้างขึ้น

 

ศิลปินไทยก็ทำได้นะ เราไปถึงญี่ปุ่นได้อยู่แล้ว หรือรอบๆ นี้อย่างลาว ไต้หวัน ก็ฟังเพลงไทย ฉะนั้นอย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น นี่เราไปได้สบาย หรือจะสิงคโปร์ มาเลเซีย ก็ไปได้เหมือนกัน ตอนนี้ต้องสร้างคอนเน็กชันกันไว้จะดีกว่า เหมือนที่แสตมป์ไปสร้างไว้กับศิลปินและวงการเพลงญี่ปุ่น

 

อีกอย่างคือผมว่าศิลปินควรจะมีเยอะกว่านี้ มันจะได้มีการคัดกรอง เราควรมีศิลปินอินดี้เป็นร้อยๆ พันๆ เบอร์ แล้วมันจะคัดขึ้นมาจนได้ตัวเจ๋งๆ จริงๆ

 


 

Credits

The Host แพท บุญสินสุข

The Guest วรเชษฐ ไพศาขมาศ

Show Creator แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Music Westonemusic

The post เพลงและศิลปินไทยยอดเยี่ยมในครึ่งปี 2018 กับเลเล่เล้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
มายด์ ลภัสลัล ไอดอลนักดูคอนเสิร์ต ที่ฝันอยากมีเทศกาลดนตรีร็อกเป็นของตัวเอง https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk15/ Fri, 15 Jun 2018 06:55:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=98122

ถึงจะไม่ใช่นักดนตรีหรือนักร้อง แต่ มายด์-ลภัสลัล จิรเวช […]

The post มายด์ ลภัสลัล ไอดอลนักดูคอนเสิร์ต ที่ฝันอยากมีเทศกาลดนตรีร็อกเป็นของตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ถึงจะไม่ใช่นักดนตรีหรือนักร้อง แต่ มายด์-ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล ก็ชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ เห็นได้จากแฮชแท็ก #ItsMildLive ที่รวมภาพคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีร้อยกว่าภาพที่เธอไปร่วมเสพมาตลอด 2 ปี

 

ไปฟังว่าแพสชันในการฟังดนตรีสดของเธอมาจากไหน และทำไมดนตรีร็อกถึงอยู่ในสายเลือดของเธอกัน

 


 

 

เดินทางไปดูมันทุกคอนเสิร์ตร็อกในไทย

ถึงแม้ว่า มายด์ ลภัสลัล จะเป็นดาราสาวหน้าหวาน แต่เธอกลับรักในดนตรีร็อกมากถึงขนาดตามไปดูคอนเสิร์ตร็อกแทบจะทุกครั้งที่มีมาจัดที่กรุงเทพฯ

 

มายด์เป็นเด็กชลบุรีที่ชอบฟังเพลงเป็นนิสัยอยู่แล้ว พอได้มาทำงานในกรุงเทพฯ ก็เลยถือโอกาสมาฟังคอนเสิร์ตวงดนตรีที่ชอบ

 

ตั้งแต่เด็ก อัลบั้มแรกที่ซื้อมาฟังคือ Ozzy Osbourne – Black Rain เพราะรู้สึกว่าปกเท่ดี ดนตรีมันมีจิตวิญญาณ ก็ไปฝึกเล่นกีตาร์ไฟฟ้า จนติดฟังเพลงร็อกงอมแงม

 

คอนเสิร์ตแรกๆ ที่เริ่มเปิดศักราชการดูของมายด์คือ Korn เมื่อปี 2015 และ Queen เมื่อปี 2016 นี้เอง จากจุดนั้นก็เป็นเวลา 2 ปีแล้วที่เธอดูคอนเสิร์ตรัวๆ จนแซงหน้านักฟังหลายคนไปเรียบร้อย

 

ไปต่างแดนเพื่อดูคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ

จากนั้นมายด์ก็เริ่มเดินทางไปดูคอนเสิร์ตวงที่ชอบถึงต่างประเทศ วงแรกคือ Red Hot Chilli Pepper ที่เทศกาลฟูจิร็อก ประเทศญี่ปุ่น โดยเธอไปคนเดียว ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่เหมาะจะไปเทศกาลดนตรีคนเดียว เพราะสะอาดและค่อนข้างปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว แถมยังมีเทศกาลดนตรีหลากหลาย เช่น Summer Sonic, Fuji Rock

 

บรรยากาศเทศกาลดนตรีญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความเป็นระเบียบต่างจากภาพลักษณ์เทศกาลดนตรีที่มายด์คิด ที่นี่มีถังขยะแบบแยกประเภทถึง 5 ถัง ที่คนทิ้งแกะพลาสติก ฉลากขวดน้ำ ทิ้งตามถังอย่างเรียบร้อย คนต่อแถวเข้าห้องน้ำ เข้าเทศกาลกันยาวเฟื้อยแต่เป็นระเบียบ แถมเธอไปซื้อเก้าอี้สนามมาใช้ ก็วางทิ้งไว้ได้โดยไม่หาย

 

นอกจากนี้คนญี่ปุ่นยังอินกับดนตรีมาก ทำ mosh pit ก็มี แต่ไม่เถื่อนเท่ายุโรป ซึ่งก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะเขามักจะยืนกันนิ่งเพื่อเสพดนตรี ไม่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายกันมากนัก แต่ก็ไม่บ้าบอ ไม่เละเทะ ไม่เมามันมากนัก

 

 

เริ่มไปดูคอนเสิร์ตต่างประเทศ

นั่นเป็นด้านของเทศกาลดนตรี แต่ด้านคอนเสิร์ตจำเพาะของศิลปิน มายด์เดินทางไปดู Rolling Stone ที่อัมสเตอร์ดัม เป็นคอนเสิร์ตแรก ด้วยความคิดว่า Rolling Stone ไม่น่าจะมาทัวร์ที่ไทยง่ายๆ และสมาชิกวงก็แก่มากแล้ว ไม่รีบดูอาจจะไม่ได้ดูอีกเลย จึงเดินทางไปดูถึงอัมสเตอร์ดัม

 

คอนเสิร์ตคราวนั้นมีแต่คนแก่เป็นส่วนมาก แต่คนยุโรปตัวสูง มายด์ก็ต้องพกรองเท้าบู๊ตส้นสูงไปด้วย ซึ่งยุโรปจะอันตรายกว่าญี่ปุ่นพอสมควร ต้องพาเพื่อนไปดูด้วยกัน

 

ส่วนทริปแรกในเอเชียคือที่มาเลเซีย ครั้งนั้นไปดู Foo Fighter เพราะมายด์ชอบ Nirvana มาก แต่ไม่สามารถดูวงเล่นสดได้ เลยเอาเป็นวงของ Dave Grohl แทนแล้วกัน ตามดูตามเก็บมากที่สุดเท่าที่จะไปได้ ทำให้ปีนั้นได้ดู Foo Fighter ถึง 4 ครั้งเลยทีเดียว

 

ซึ่งถึงแม้ว่าจะดูในทัวร์เดียวกัน นั่นแปลว่าเซตลิสต์เพลงก็ต้องคล้ายกันมาก แต่อารมณ์และบรรยากาศในการแสดงสดนั้นมันต่างกัน ซึ่งนั่นคือเสน่ห์ของการแสดงสด

 

 

เป็นสายไหนในคอนเสิร์ต

ตอนนี้มายด์เป็นสายเกาะรั้วอยู่หน้าเวที แต่ก็เฉพาะวงที่ชอบ ซึ่งการจะเกาะรั้วได้เนี่ย เราต้องแพลนช่วงเวลาที่ประตูเปิด แล้วเผื่อเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง พอประตูเปิดก็ต้องวิ่งให้เร็วที่สุด

 

มายด์เคยเกาะรั้ววง Guns n’ Roses สองรอบ ทั้งที่ไทยและที่มาเลเซีย

 

มารยาทของการดูคอนเสิร์ต

หลายคนมาดูคอนเสิร์ตแล้วไลฟ์กระจาย ทั้งเพลง ทั้งคอนเสิร์ต เราคิดว่ามารยาทในคอนเสิร์ตคือไม่ควรถ่ายคลิปเกิน 1 นาที มันคือประมาณเพลงท่อนหนึ่งพอดี แต่ไม่ควรถ่ายทั้งเพลง

 

สองคือไม่ควรคุยเสียงดัง จริงๆ ในคอนเสิร์ตมันเสียงดังได้ แต่การคุยเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับคอนเสิร์ต ไม่เกี่ยวกับศิลปิน แล้วมันรบกวนคนที่ตั้งใจเสพดนตรี ฟังศิลปินอยู่

 

ข้อที่สามคือการพกเบียร์เข้าไปดื่ม ไม่ได้ห้าม แต่ควรดูแลมันดีๆ ไม่ควรสาดเบียร์ ไม่ควรวางบนพื้นจนโดนเตะหกเลอะเทอะ มายด์เคยโดนเบียร์รดหัวเหนียวหมด

 

หนักสุดที่มายด์เคยเจอคือ เหมือนผู้ชายแถวนั้นเขาเมาแล้วปวดฉี่ ไม่อยากออกไปห้องน้ำ ก็ควักอวัยวะออกมาฉี่ใส่แก้ว ติดตามาก

 

ยังมีอีกหลายวงที่อยากดูแต่ยังไม่ได้ดู ทั้ง Black Sabbath, AC/DC, Metallica, Kiss

 

 

 

ช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ กับคอนเสิร์ตที่คาดว่าจะดู

มี Iron Maiden, Ozzy Osbourne, และ Paul McCartney จริงๆ อยากดู The Beatles แต่ดูเซอร์พอลก็ยังได้อารมณ์แบบเก่าๆ เหมือนกัน แล้วก็ Metallica

 

วิธีเก็บคอนเสิร์ตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนเน้นเก็บประเทศใกล้ๆ ก่อน บางคนเก็บศิลปินที่อายุมากๆ ก่อน บางคนเน้นไปดูตามเฟสติวัล ก็แล้วแต่คน

 

อย่างมายด์จะชอบไปเฟสติวัล เพราะบรรยากาศคนดูมันดี ช่วงเปลี่ยนเวทีจะเห็นคนอินไปกับดนตรีเต็มไปหมด ดีมาก แต่ก็มีเงื่อนไขเหมือนกันว่าต้องมีวงที่เราชอบ 5 วงขึ้นไปถึงจะคุ้มไปเฟสติวัล

 

ตอนนี้จะอยากไปเทศกาล Burning Man ซึ่งเป็นเทศกาลที่รวมทั้งคอนเสิร์ต แฟชั่น ศิลปะ เอาไว้ด้วยกัน แล้วไปจัดกลางทะเลทราย มันต้องเตรียมตัวเยอะ แม้จะไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีโดยตรงแต่คนที่ชอบงานอาร์ตก็ควรไป

 

เอาจริงๆ ตอนนี้วงที่คิดว่าจะดูเนี่ยก็เกือบครบแล้ว ก็อาจต้องลิมิตตัวเองว่าจะดูกี่วงดี ประกอบกับที่เราไม่ใช่คนที่ชอบช้อปปิ้งขนาดนั้น ก็เอาเงินมาลงกับคอนเสิร์ตนี่แหละ

 

 

มายด์ ลภัสลัลมิวสิกเฟสติวัล?

ถ้ามีเทศกาลดนตรีเป็นของตัวเองมายด์อยากจะจัดที่พัทยา 3 วัน เพราะหนึ่งก็ใกล้บ้าน อีกอย่างก็มีเทศกาลดนตรีอย่าง Wonderfruit อยู่แล้ว มีที่ทางดี ไม่รบกวนชาวบ้านเท่าไร

 

ส่วนไลน์อัพดนตรี ช่วงหลังเริ่มฟังฮิปฮอปมากขึ้น ก็น่าจะมี Travis Scott เพราะชอบ ส่วนเฮดไลน์ก็ต้องมี Foo Fighter แน่นอน เอาไว้ปิดท้ายคืนวันอาทิตย์ ให้วง Phoenix เป็นวงช่วงวันแรก เพราะก็ยังเบาๆ หน่อย เฮดไลน์อีกวงก็ต้องเป็น Metallica อ้อ แล้วช่วงนี้ก็ชอบ Tash Sultana ด้วย ประมาณนี้

 

 

 

ติดตามมายด์ ลภัสลัล ได้ที่ Facebook / Twitter / Instagram

 


 

Credits


The Host แพท บุญสินสุข

The Guest ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล

Show Creator แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Graphic Design Interns ธัญญา ศิริสัมพันธ์, พันธิตรา หอมเดชนะกุล

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Music Westonemusic

The post มายด์ ลภัสลัล ไอดอลนักดูคอนเสิร์ต ที่ฝันอยากมีเทศกาลดนตรีร็อกเป็นของตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
20 ปีในเบื้องหลัง กับประสบการณ์ของดาโน่ ดนัย โปรดิวเซอร์ผู้ปลุกปั้นวง Klear https://thestandard.co/podcast/eargasmdeep14/ Fri, 08 Jun 2018 08:36:53 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=96191

อาชีพโปรดิวเซอร์ต้องทำอะไรบ้าง และเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไ […]

The post 20 ปีในเบื้องหลัง กับประสบการณ์ของดาโน่ ดนัย โปรดิวเซอร์ผู้ปลุกปั้นวง Klear appeared first on THE STANDARD.

]]>

อาชีพโปรดิวเซอร์ต้องทำอะไรบ้าง และเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปเป็นอาชีพผู้บงการเบื้องหลังของวงการเพลงนี้ต้องทำอย่างไร ไปฟัง ดาโน่-ดนัย ธงสินธุศักดิ์ โปรดิวเซอร์มือทอง ผู้ปลุกปั้นวงดังอย่าง Klear หรือ Retrospect เล่าเส้นทางสายอาชีพของเขาให้เราฟัง

 


 

 

ก่อนดาโน่จะเป็นโปรดิวเซอร์

ช่วงแรกที่เริ่มเข้าสู่แวดวงดนตรีคือการตั้งวงฟอร์มวงกับเพื่อนตอนมัธยม เพราะฟังเพลงจากพี่ๆ ที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ทั้งเพลงฝรั่งอย่าง บอน โจวี หรือเพลงการ์ตูน แต่เพลงที่ Touch จริงๆ คือพวกคาราบาว หรือ ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์ หรือช่วงนั้นเทปเพลงที่เห็นในบ้านก็จะเป็นพี่เต๋อ เรวัต หรือคีตกวี เป็นต้น เราก็หล่อหลอมซึมซับจนได้มุ่งหน้าไปทางดนตรีเอง

 

พอมาเลือกฟังเอง ไม่ได้ฟังตามพี่ๆ ช่วงนั้นก็เล่นดนตรี ประกอบกับที่บ้านทำธุรกิจให้เช่าเครื่องดนตรี ทั้งพวกแอมป์ ไมค์ มิกเซอร์ ที่บ้านก็มีกีตาร์ไฟฟ้าวางอยู่ ก็เลยหัดเล่น ทีนี้ก็มีเพื่อนที่โรงเรียนเอากีตาร์มาหัดเล่นที่บ้านเรา แล้วบอกพี่สาวเราว่าเราเล่นกีตาร์ไม่ได้หรอก นิ้วสั้น เราก็เกิดแรงฮึดขึ้นมา

 

เราเป็นเด็กที่ฟังเพลงแล้วเปิดดูปกเทปว่ามีทีมงานเป็นใครบ้าง ใครทำอะไรบ้าง ใครมิกซ์ อัดที่สตูดิโอไหน รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นไปโดยธรรมชาติ

 

ตอนนั้นรู้สึกว่าเราไม่มีพรสวรรค์ด้านการเล่น แต่อยากแต่งเพลง ประกอบกับพี่ปู พงษ์สิทธิ์ มาเล่นที่โรงเรียน เลยเริ่มแต่งเพลงเลียนแบบพี่ปู ซึ่งช่วงแรกก็ต้องเลียนแบบก่อนล่ะ แล้วค่อยพัฒนาสู่การเรียนรู้

 

เบนเข็มสู่วงการดนตรี

ช่วงนั้นเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ก็พบว่าเราไม่ชอบทำงานด้านโฆษณาที่เรียนมาเนี่ยหรอก สิ่งที่เราควรไปเรียนคือด้านโปรดักชันมากกว่า ก็เลยเรียนให้จบ แล้วก็หมกมุ่นกับการฟังเพลงมากขึ้น อ่านนิตยสารดนตรี วิดีโอแสดงสดคอนเสิร์ตซึ่งทำให้เราอินในดนตรีขึ้นไปอีก

โปรดิวเซอร์คือใคร

เอาง่ายๆ คือถ้ามองว่าเพลงคือโปรดักต์ โปรดิวเซอร์คือคนที่ต้องทำยังไงก็ได้ให้โปรดักต์นั้นเสร็จ ไม่ว่าจะทำเอง แต่งเพลงเอง หาคนมาร้อง ดูว่าโปรดักต์ที่จะเสร็จหน้าตาเป็นยังไง ได้ยินเสียงยังไง โยงใยทุกคนมาทำให้งานนี้เสร็จ

 

หรือเดี๋ยวนี้ที่ฮิปฮอปเริ่มฮิต ถ้าเทียบกับดนตรีฮิปฮอป คนที่ทำบีตของวงการฮิปฮอปก็คือโปรดิวเซอร์

 

แต่ก็ไม่ใช่ว่าโปรดิวเซอร์ต้องทำทุกอย่างเอง หรือทำเพลงเอง อย่างริก รูบิน (Rick Rubin) โปรดิวเซอร์ระดับโลก เขาเป็นโปรดิวเซอร์ที่ทำงานในมุมมองของแฟนเพลง เขาเหมือนจะเล่นกีตาร์พอเป็นอยู่ แต่แต่งเพลงไม่เป็น เล่นเครื่องดนตรีแทบไม่เป็น แต่เขารู้ว่าวงคุณต้องทำอย่างนี้ สมมติเขาอยากมอง Red Hot Chili Pepper หรือ Black Sabbath เขาจะมองว่าเขาอยากได้ยินเพลงอะไรจากคนคนนี้ เขาไม่แคร์เลยว่าคุณจะทำได้หรือไม่ แต่ด้วยความคาดหวังของแฟนเพลงแล้วเขาอยากได้ยินแบบนี้

 

เขาเหมือนแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เขาอยู่ในเนื้องาน เขาเป็นคนฟันธงงาน เป็นคนบอกว่าโปรดักต์นี้เสร็จแบบนี้ เอาแบบนี้

 

โปรดิวเซอร์เหมือนเป็นพาร์ตเนอร์กัน บางทีวงก็ต้องหาสิ่งที่ขาดในตัวโปรดิวเซอร์ให้มาเติมสิ่งที่วงมองหาอยู่

 

ผลงานโปรดิวซ์ของดาโน่

งานแรกที่คนรู้จักกันน่าจะเป็นงาน Little Rock Project (โปรเจกต์ของแกรมมี่ในปี 2546 ที่นำวงป๊อปร็อกชั้นนำในยุคนั้นมาร้องเพลงของวงไมโคร) ส่วนงานที่เรียกว่าแจ้งเกิดเราจริงๆ ในฐานะโปรดิวเซอร์ เราได้ทำงานตั้งแต่เริ่มต้น เลือกวงจริงๆ คือ Retrospect อัลบั้มแรก เหมือนเราโตไปด้วยกัน แฟนเพลงก็ให้เกียรติเรา

 

เราอยากทำงานเบื้องหลังมาตั้งแต่แรก คิดไปว่าการมาเป็นศิลปินออกเทปจะทำให้ได้รู้จักพี่ๆ ที่ทำงานเบื้องหลัง และทำให้ได้ทำงานเบื้องหลังในที่สุด เรารู้สึกว่าเราไม่ใช่คนที่อยู่บนเวที ไปเล่นก็เขินๆ

 

ต่อมาก็ได้ไปโปรดิวซ์ให้วง Klear ซึ่งพูดตามตรงว่าในช่วงแรกแพท (นักร้องนำวง Klear) เป็นคนปิดตัวเองและไม่ค่อยสื่อสารในทางบวกกับคนฟังเท่าไร แต่ก็โชคดีที่ช่วงนั้นเหมือนแพทจะเริ่มเปิดขึ้นนิดๆ ด้วยการโทรหาเราก่อนเพื่อทำความรู้จักกัน

 

พอทำงานร่วมกันสักพัก เราก็เห็นว่าแพทร้องเพลงเพราะมาก ซึ่งไม่เหมือนที่วงเคยทำชุดแรกที่ร็อกมาก ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของเสียงเพราะๆ ของแพทเท่าไร จึงทำให้วงได้มีเพลงฮิตๆ อย่าง รักไม่ต้องการเวลา

 

 

นินจาในเงามืด

เราอยากซ่อนอยู่ข้างหลัง อยู่ในงานทุกๆ งาน แต่ไม่ได้เอาหน้าไม่ได้ใส่สไตล์ของเราลงไปจนคนจำได้ว่านี้งานเรา งานดาโน่แน่ๆ

 

เราไม่ได้โชว์ความเป็นเรา แต่ถ้าใครอยากได้ส่วนผสมแบบเราก็ค่อยมาหา มาทำงานร่วมกันดู

 

แต่ถ้าถามถึงงานที่เราไม่อยากทำก็คงเป็นศิลปินที่อะไรยังไงก็ได้จนเกินไป เพราะงานของเราจะยากมากๆ เพราะเขาจะไหลไปตามที่เราเสนอหมด แล้วก็หาตัวตนไม่เจอ

 

พูดตามตรง การเป็นวงดนตรีไม่ควรมีประชาธิปไตย บางครั้งการแชร์กับเพื่อนมันทำให้เราไม่ได้ฟันธงอะไรสักที ไม่มีคนที่ดูภาพรวมของงาน ทุกอย่างโหวตหมด มันก็ไม่เสร็จเสียที

 

จากโปรดิวเซอร์สู่ผู้บริหารค่ายเพลง

พอทำงานโปรดิวเซอร์สักพักหนึ่ง คนก็มักจะเชียร์ให้เปิดค่ายเพลง ซึ่งจริงๆ เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะทำเลย มันเป็นการออกจากคอมฟอร์ตโซนมากๆ จึงได้มาทำงานที่ค่าย Wayfer Records ที่มีศิลปินอย่าง Boom Boom Cash, Annalynn, TELEx TELEXs, D Gerrard และ Wonderframe

 

ตอนนี้ทำมาทุกตำแหน่งแล้ว ตั้งแต่นักดนตรี โปรดิวเซอร์ และผู้บริหารค่ายเพลง แต่ก็ยังฟังเพลงอยู่ เน้นฟังเพลงที่ชอบ ไม่ได้ฟังเพื่อตามว่ากระแสทุกวันนี้เป็นอย่างไรอย่างเดียว

 

แต่บางครั้งเวลาที่ฟังเพลงออกไปจากคอมฟอร์ตโซนของเรา โดยเฉพาะเวลาที่ Spotify มัน Shuffle มาเนี่ย ก็ยังเจอเพลงใหม่ๆ ที่ชอบนะ แม้จะไม่ใช่เพลงร็อกที่เราชอบมากๆ มาตั้งแต่เมื่อก่อนก็ตาม

 

ทุกวันนี้ไม่ได้ทำงานโปรดิวเซอร์เท่าไรแล้ว แต่ก็ยังอยากเจอวงที่เราอยากทำให้อยู่นะ ถ้าเรายังเห็นหน้าที่เราอยู่ในนั้นว่าเราทำอะไรให้เขาได้ เราก็อยากทำ

 

 

 

ดาโน่เคยเล่นอยู่วง Noir ที่มีเพลง เข็ด ในอัลบั้ม Intro 2000 เป็นวงเดียวที่ไม่มีนักร้อง เลยเชิญพลพล พลกองเส็ง มาร้องในเพลงร็อกเพลงนี้

 


 

Credits

 

The Host แพท บุญสินสุข

The Guest ดนัย ธงสินธุศักดิ์

Show Creator แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Music Westonemusic

The post 20 ปีในเบื้องหลัง กับประสบการณ์ของดาโน่ ดนัย โปรดิวเซอร์ผู้ปลุกปั้นวง Klear appeared first on THE STANDARD.

]]>
เบื้องหลังสีสันของ Scrubb กับฤดูกาลรอบที่ 18 ของวง https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk13/ Fri, 01 Jun 2018 07:55:26 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=94584

ตลอด 18 ปี กับ 7 อัลบั้มที่ผ่านมา วง Scrubb มีผลงานเพลง […]

The post เบื้องหลังสีสันของ Scrubb กับฤดูกาลรอบที่ 18 ของวง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลอด 18 ปี กับ 7 อัลบั้มที่ผ่านมา วง Scrubb มีผลงานเพลงฮิตมาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเพลงทุกอย่าง ใกล้, คู่กัน, คำตอบ และอีกมาก วันนี้บอลและเมื่อยกลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มใหม่ Season ที่พกพาสีสันใหม่ๆ ด้วยการทำงานกับทีมงานใหม่ๆ และเพลงแบบใหม่ๆ ที่ทั้งสองอยากลองทำ

 

 

วงที่มีงานต่อเนื่องมาถึง 18 ปี

ตอนนี้เราทำงานกันมาทั้งหมด 18 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่เราเอาซีดีไปวางที่ร้านโดเรมีสยาม ตอนเดือนพฤศจิกายน

 

อัลบั้มล่าสุดเป็นอัลบั้มที่ 7 ชื่อว่า Season ซึ่งตั้งใจให้พ้องเสียงกับคำว่าสีสัน เมื่อยเป็นคนที่ชอบคิดคำที่อ่านเป็นไทยก็ได้อังกฤษก็ได้ไว้ในหัว คำนี้ก็เอามาเสนอแล้วก็สะดุดพอดี

 

เมื่อยเป็นคนที่มีคลังคำแบบนี้ในหัวเยอะมาก เช่น Club-ครับ, Kid-คิด หรืองาน Dude-ดูด ก็ตาม

 

พูดถึงอัลบั้มใหม่ Season

ปล่อยซิงเกิลออกมาทีเดียวติดกันคือเพลง ฤดู และ ดวงตะวัน ซึ่งทางวงรู้สึกว่าศิลปินต่างชาติก็ไม่ได้ซีเรียสกับการปล่อยซิงเกิลแล้วว่าต้องมีระยะเวลาการปล่อยเป็นมาตรฐาน อย่างวง Muse ก็ปล่อยซิงเกิลออกมาติดๆ กัน แล้วก็ประกาศเวิลด์ทัวร์เลย

 

หลายๆ วงเริ่มทำแบบนี้เยอะขึ้นแล้ว ให้เห็นความแตกต่างระหว่างวงที่ปล่อยซิงเกิลกับวงที่จะปล่อยอัลบั้ม

 

 

อะไรที่วงอายุ 18 ปีรู้สึกว่ายังไม่เคยทำ

ถ้าส่วนตัวเมื่อยทำมาหมดแล้ว และยังมีโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่คิดอยากทำอีกมาก ก็มีงานอีเวนต์ที่ให้ศิลปินหน้าใหม่ๆ มาเล่นเพลงตัวเอง

 

ส่วนทางบอล มีงานบริหารค่ายเพลง What The Duck อยู่ด้วย แต่ในนาม Scrubb นั้น ก็ยังดีใจที่วงยังอยู่ถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่ไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าจะได้เล่นดนตรีเป็นอาชีพ และยังได้ทำอยู่จนปัจจุบัน

 

ให้มันเป็นหน้าบ้านของสองคน ว่าถ้าเห็นหน้าบอลกับเมื่อยรวมกับฟั่น-โกมล บุญเพียรผล (โปรดิวเซอร์คู่ใจของวง) ก็แปลว่ามันเป็นงานของ Scrubb

 

ตอนนี้มันเหมือนเป็นเฟสที่ 3 ของ แล้ว ซึ่งแม้แต่ละคนก็มีงานส่วนตัวของตัวเองแยกกันไป แต่ก็ยังว่าด้วยเรื่องของเพลงอยู่

 

การต่อยอด หรือส่งไม้ต่อให้น้องๆ ก็ยังสำคัญ

 

เฟสที่ 3

คิดว่าเฟสที่ 1 คือการเริ่มต้น ซึ่งก็ยังงงๆ อยู่ แต่ก็สนุกดี เฟสที่ 2 เป็นยุคที่เรามีตัวตนแล้วแล้วจะทำยังไงต่อ เริ่มมีคนรู้จักแล้ว วงไม่ใช่หน้าใหม่ที่คนกรี๊ดกร๊าดแล้ว ก็ต้องคิดว่าต้องสร้างงานแบบไหน พอตอนนี้เกือบจะ 20 ปีแล้ว ก็มาคิดว่านี่น่าจะเป็นก้าวต่อไปแล้วนะ

 

เฟสสามก็เป็นเรื่องของการที่วงเห็นแล้วว่าเหลี่ยมมุมของวงการ หรืองานที่ทำอยู่นี่มันเป็นประมาณไหน ต่อไปก็ไปดูเรื่องความสนใจของแต่ละคนที่ต่อยอดออกไปอีกนั้นเป็นอะไร ทำให้เห็นงานในพาร์ตอื่นๆ ของเมื่อย บอล หรือฟั่นอีก

 

และเมื่อถึงเวลาที่สมควรก็จะได้เห็นทุกคนในฐานะ Scrubb อีก

 

 

Scrubb เหมือนงานกลุ่ม

แม้ว่าจะโปรโมตว่ามีสมาชิก 2 คน แต่ฟั่น โกมล ก็เป็นคนที่เมื่อยและบอลยกให้เป็น Scrubb คนที่สาม ซึ่งร่วมทำงานด้วยกันมานาน เหมือนงานกลุ่มที่ทำกัน 3 คน แบ่งเครดิตกัน 33.33% จังหวะที่คิดได้แบบนี้ทุกอย่างก็สว่างเลย

 

เชื่อว่าทุกวันนี้คนฟังไม่ได้ต้องการวงที่เล่นดีแล้ว เขาต้องการคนที่เล่นได้อารมณ์มากกว่า

 

ซึ่งเมื่อก่อนเมื่อยไม่เคยบิลด์อารมณ์ก่อนเล่นเลยนะ แต่ตอนนี้อายุมากแล้ว เมื่อยก็เริ่มเซฟคลิปวอร์มเสียงในยูทูบมาวอร์มก่อนขึ้นเล่นแล้ว

 

ตอนเมื่อยจัดงาน ‘ดูด’ ครั้งแรก ก็เหมือนโดนรุ่นน้องตบหน้าด้วยการที่วง Monomania ส่งไรเดอร์ ลิสต์อุปกรณ์มาเหมือนวงต่างประเทศเลย นั่นคือตอนที่ทำวงเป็นปีที่ 16 แต่วงไม่เคยทำแบบนี้เลย

 

ทำให้เมื่อยเกร็งไปเลย ซึ่งมันดี วงเดี๋ยวนี้รู้อะไรเยอะมาก

 

18 ปี เปลี่ยนไปหรือคงไว้ซึ่งสไตล์เดิม

เหมือนที่เคยตอบไปว่า คืองานกลุ่มที่เมื่อยมีหน้าที่ทำเดโมไปเรื่อยๆ จนบอลมาสะดุดเพลงไหน แล้วก็เอาไปทำต่อ จนไปลุยกับพี่ฟั่นอีกที

 

เนื้อเพลงน่าจะคงไว้เป็นสไตล์ของเมื่อย ซึ่งทำให้ส่วนดนตรีเนี่ยแหละที่มีความเป็นยุคสมัย

 

บอลจะชอบมีการบ้านส่วนตัวในการทำงานเสมอ อะไรที่ชอบก็คงไว้ แต่อะไรที่เป็นสิ่งใหม่ เป็น innovation ในยุคนั้นๆ ที่เราสนใจก็พยายามเอามาผสมด้วย แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้สำเร็จไปเสียทุกครั้ง

 

บางครั้งใส่เข้าไปก็ได้ผลลัพธ์เหมือนเพลงเดิมๆ แต่บางครั้งใส่เข้าไปก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่เพลง Scrubb เลยถ้าไม่มีเสียงเมื่อย

 

อัลบั้ม Season กับทีมงานใหม่

อัลบั้มนี้มีการทำงานกับทีมงานใหม่ๆ ด้วยเช่น ปกป้อง Plastic Plastic ที่มาช่วยทำซาวด์

 

คือก่อนหน้านี้วงมักจะขึ้นงานที่ห้องพี่ฟั่น ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ทำแบบนั้นแหละ แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่มากขึ้นทำให้รวมตัวกันยากขึ้นมาก เลยไปหาพื้นที่อีกที่ที่เอาไว้ขึ้นงาน

 

โชคดีที่น้องเพลง (วง Plastic Plastic) เล่นแบ็กอัพให้วงมานานแล้ว เลยพลอยรู้จักกับปกป้องไปด้วย ซึ่งบอลก็จับตามองปกป้องมานานแล้วว่าเด็กคนนี้มีของมากๆ ฟีลเหมือนตอนที่เจอกับกิจแจ๊ซ (โปรดิวเซอร์ สิงโต นำโชค, Hers และอีกหลายวง) บอลบอกเลยว่าให้จับตามองอีก 5 ปี ปกป้องจะเป็นปีศาจ

 

ซึ่งที่น่ากลัวมากคือช่วงขั้นตอนการอัดเพลง ขึ้นเพลง นั่งฟังเรฟเฟอเรนซ์กัน ปกป้องไม่เคยเปิดเพลงซ้ำเลย มันเป็นคนที่มีคลังเพลงในหัวเยอะมาก บางทีบรีฟกันว่าอยากได้เพลงประมาณนี้แล้วอธิบายภาพไม่ถูก มันก็เปิดเพลงเลย ซึ่งไม่เคยซ้ำเลยสักเพลง

 

อีกอย่างคือปกป้องไม่มีลูกเกรงใจเลย เป็นเด็กกวนตีนคนหนึ่ง ซึ่งเก่ง กวนตีนเท่าที่มันเก่ง มันจะคอยตั้งคำถามกับวงว่าทำไมต้องเล่นแบบนั้นแบบนี้ ไม่เล่นแบบนี้ได้ไหม ทำไมไม่ทำแบบนี้ แล้วก็เปิดเรฟเฟอเรนซ์ให้ฟัง แรกๆ ก็ขัดใจนะ แต่สุดท้ายก็สนุกดี

 


ฟังรายการ Eargasm Deep talk พอดแคสต์ โดยแอปฯ Podcasts (สำหรับผู้ใช้ iOS), Podbean และแอปฯ ประเภท Podcast Player ยี่ห้อใดก็ได้ (สำหรับผู้ใช้ Android) หรือฟังทาง SoundCloud และ YouTube ก็ได้เช่นกัน

 


 

Credits


The Host
แพท บุญสินสุข

The Guest ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ, ต่อพงศ์ จันทบุบผา

 

Show Creator แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Music Westonemusic

The post เบื้องหลังสีสันของ Scrubb กับฤดูกาลรอบที่ 18 ของวง appeared first on THE STANDARD.

]]>
โหมโรง เดอะมิวสิคัล ละครเวทีที่อยากให้รากของดนตรีไทยเติบโตไปพร้อมกับปัจจุบัน https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk12/ Fri, 25 May 2018 06:32:46 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=93267

“ทำไมวัยรุ่นจะสะพายซอสีชมพูเดินห้างไม่ได้”   คือคำ […]

The post โหมโรง เดอะมิวสิคัล ละครเวทีที่อยากให้รากของดนตรีไทยเติบโตไปพร้อมกับปัจจุบัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

“ทำไมวัยรุ่นจะสะพายซอสีชมพูเดินห้างไม่ได้”

 

คือคำถามที่ ครูเอ้-อัษฎาวุธ สาคริก ทายาทรุ่นเหลนของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ฝากไว้ในพอดแคสต์นี้ ซึ่งก็เหมือนตั้งคำถามไปถึงวัฒนธรรมอื่นๆ ของประเทศด้วยว่า ของคลาสสิกที่มีอยู่ก็น่าคงไว้ แต่ของใหม่ๆ ที่อยากจะสร้างสรรค์ทำไมถึงยังไม่มี

 

คุยกับ ครูเอ้ และ พีท-ปิติพงษ์ ผาสุขยืด นักแสดงจาก โหมโรง เดอะมิวสิคัล ในเรื่องดนตรีไทยและเบื้องหลังละครเวทีเรื่องนี้

 


 

 

 

ที่มาของละครเวที โหมโรง เดอะมิวสิคัล

ครูเอ้ อัษฎาวุธ เขียนหนังสือชีวประวัติของหลวงประดิษฐ์ไพเราะขึ้นมาเล่มหนึ่ง ขายไม่ได้เลย จนกระทั่งวันหนึ่งพี่อิท อิทธิสุนทร ผู้กำกับภาพยนตร์เดินทางมาหาครูเอ้ที่บ้านเพื่อเอาหนังสือเล่มนี้ไปสร้างเป็นหนังเรื่อง โหมโรง (2547) ขึ้นมา ซึ่งจุดกระแสดนตรีไทยขึ้นมาได้ระยะหนึ่งเลย

 

ซึ่งในความเห็นของครูเอ้ ดนตรีไม่มีแบ่งไทย-สากล อย่างในภาพยนตร์และละครเวทีก็มีฉากเล่นเปียโนคู่กับระนาด ซึ่งทำได้ แต่ก็อาจต้องมีทางทฤษฎีบ้าง เช่น การจูนคีย์ให้เข้ากัน ฯลฯ

 

ดนตรีไทยกับชีวิตคนไทย

พีทเคยเล่นดนตรีไทยอยู่ในช่วงเรียนในโรงเรียนประถม ก็เห็นว่าการเล่นดนตรีไทยขาดสังคมและการสนับสนุน ด้วยความเห็นของผู้ปกครองที่คิดว่าดนตรีไทยเชย อีกทั้งยังไม่มีพื้นที่ให้แสดงออก การแข่งขันน้อย อย่างเวลาดูใน โหมโรง จะเห็นว่ามีการดวลกัน ซึ่งมันสนุก แต่พอปัจจุบันไม่มีการแข่งการดวลที่แพร่หลาย หลายคนก็ไม่รู้สึกว่ามันสนุก

 

ละครเวทีโหมโรง

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่มีละครเวทีเรื่อง โหมโรง ซึ่งครั้งแรกที่ทำรู้สึกว่ายาก ทั้งการขนย้ายเครื่องดนตรีไทย ระนาดนี่ก็หนักนะ ขนยาก แต่ก็พอทำได้ แต่สิ่งที่ยากคือพระเอกที่ต้องเล่นระนาดได้ ร้องเพลงได้ หน้าตาเป็นพระเอกได้ หลังจากแคสต์อยู่นานก็ได้ อาร์ม กรกันต์ มาเล่นจนได้

 

เพลงละครเวทีก็ได้ทั้ง สังข์-ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม ผู้กำกับละครเวที โหมโรง, บอย ตรัย, ประภาส ชลศรานนท์ ฯลฯ ช่วยๆ กันทำหลายฝ่าย

 

ด้วยความที่ในภาพยนตร์ไม่ได้มีเพลง ก็ต้องแต่งเพลงขึ้นมาใหม่ และการเลือกว่าจุดไหนจะมีเพลงก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม

 

บางครั้งการเล่าด้วยเพลงมันเร็วหรือช้ากว่าการพูดธรรมดา อย่างเช่นฉากที่นายศรเล่นระนาดอยู่แล้วโตขึ้นมาเป็นหนุ่มในทันที หรือว่าฉากที่นายศรพบกับแม่โชติแล้วตกหลุมรักกัน เขาก็จีบกันด้วยเพลง ไม่ได้บอกรักกันต่อหน้าด้วยซ้ำ พูดถึงดอกลั่นทม แต่ก็ทำให้คนดูทั้งหมดเข้าใจไปกับเพลงด้วย

 

 

ก้าวต่อไปจากโหมโรง

ครูเอ้เพิ่งได้คุยกับสังข์ ผู้กำกับว่า อยากมีโปรเจกต์ที่สานต่อแนวคิดของ โหมโรง สังข์พูดว่า “อย่าให้มันหายไปนะ” แต่เรื่องเล่าคราวนี้อาจไม่ได้ย้อนกับไปดูชีวประวัติของศิลปินไทยในอดีตแล้ว แต่มาดูในปัจจุบันนี่แหละว่าอยู่กันอย่างไร ดนตรีไทยมีพื้นที่อย่างไร ตั้งคำถามกับปัจจุบันนี่แหละ

 

ทำไมเด็กจะหิ้วซอเดินห้างไม่ได้ จะมีซอสีชมพูสีแดงไม่ได้ล่ะ ในฐานะคนทำละครเราก็ทำได้เท่านี้ล่ะ ทำสิ่งที่เราทำได้ ก็ต้องฝากไปถึงคนที่ทำสิ่งอื่นๆ ได้ด้วย ที่จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สวยงามและน่าสนใจ จะสนับสนุนไปทางไหนดี

 

มันก็ต้องปรับหลายฝ่าย ทั้งคนเล่นดนตรี ครูดนตรี สังคมด้วย ช่างทำเครื่องดนตรีด้วย ก็ต้องเข้าใจว่าพอมันเป็นงานศิลปะมันก็ไม่สามารถไปกรอบมันให้อยู่แค่ในขนบไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นมันก็จะได้อยู่แค่นั้นแหละ

 

เอาง่ายๆ ทุกวันนี้แค่ถามว่าอยากได้ระนาดไปซื้อที่ไหน ก็จบแล้ว นึกไม่ออก

 

 

มายาคติของดนตรีไทย

จริงๆ เครื่องดนตรีจะสีอะไรก็ได้นะ จะเป็นแฟชั่นก็ได้ ไม่มีปัญหา

 

แต่เอาเข้าจริง การบอกว่าอย่าแตะ อย่าเปลี่ยนแปลงมันก็มีประโยชน์ของมัน แต่เรากลับไม่มีการอธิบายต่อว่า แล้วถ้าจะแตะต้องทำอย่างไร มันถูกบล็อกไว้แค่อย่าแตะ ทำให้ไม่มีคนคิดอะไรใหม่ๆ เพลงใหม่ๆ เครื่องดนตรีใหม่ๆ การผสมวงใหม่ๆ

 

แต่ถามจริงๆ ดนตรีไทยมันต้องเป็นแฟชั่นไหม ก็อาจจะไม่จำเป็นนะ เหมือนชาเขียวที่คุณจะกดตู้กินก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าคุณอยากรู้วิธีการชงชาเจ๋งๆ แบบคลาสสิก คุณก็ต้องขึ้นเขา แต่งตัว ทำพิธีอะไรก็ว่าไป

 

เอาเป็นว่าเอาให้อยู่แล้วกัน ให้มันอยู่ถูกที่ถูกทาง

 

คนไทยติดกับความคิดว่า หนึ่ง ดนตรีไทยสูงส่ง แตะต้องไม่ได้ สอง ดนตรีไทยมากับเรื่องผี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเริ่มจากไหน แต่ภาพยนตร์ไทยทำซ้ำเรื่องความน่ากลัวของดนตรีไทย ผีไทยเสมอ ถ้าดึกๆ เสียงกีตาร์ลอยมาเราคงไม่กลัวเท่าเสียงซอนะ

 

แต่สุดท้ายถ้าลองเสพแล้วไม่ชอบดนตรีไทย ก็ไม่เป็นอะไรนะ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แต่อยากให้ลองให้รู้ก่อน เพราะเราถูกบล็อกด้วยความไม่รู้

 

จริงๆ ทางเลือกมี แต่เราโดนจำกัดด้วยสื่อที่เราเสพ

 

อนาคตของดนตรีไทย

การสร้างพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของตัวศิลปินหรือพื้นที่ของผู้ที่เสพ ผู้ที่ฟัง ผู้ที่อยากจะเรียน ก็ต้องให้เข้ามาเจอกัน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามสื่อสารสิ่งที่มีในปัจจุบันว่าต้องปรับอะไรบ้าง ให้มันมาประสานกัน ระหว่างของคลาสสิกกับของใหม่

 

วัฒนธรรมเองก็ต้องรองรับปัจจุบันด้วย คุณต้องสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ แทนที่จะร้องเพลงเนื้อหาเก่าๆ เดิมๆ ที่ห่างไกลไปแล้ว ก็ต้องร้องเพลงที่ร่วมสมัยด้วยในส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นคลาสสิกก็อยู่ไป อนุรักษ์ไป

 

ทำไมลูกทุ่งอยู่ได้ แข็งแรง เพราะเขาพูดเรื่องปัจจุบัน มีปัญหา มีคอนเทนต์อะไรก็ใส่ลงในเพลง แล้วมันก็อยู่ได้ และถ้าคนชอบก็จะลงลึกไปเรื่อยๆ เอง

 

จริงๆ ท่านครู (หลวงประดิษฐ์ไพเราะ) เป็นตัวอย่างของคนที่บิด เป็นกบฏ แต่กบฏด้วยพื้นฐานของความรู้ ความรัก ความเคารพ บางคนเนี่ยเป็นกบฏโดยที่ไม่มีความรู้ มันก็เฉไฉผิดทาง ก็โดนต้านได้ง่าย ฉะนั้น ช่วยรักมันหน่อย หาความรู้กับมันหน่อย แล้วเราจะกบฏได้

 

 

รายละเอียดในละครเวที โหมโรง

การดีไซน์ดนตรีใน โหมโรง ก็มีการแบ่งให้ต่างกันอยู่ อย่างในฉากประชันกัน เสียงระนาดของขุนอินก็เล่นแบบวางมือห่างกัน 1 ออกเตฟ โด-โด แล้วก็ตีให้ดุดันแข็งแรง ส่วนนายศรก็วางให้มีการรัว มีเทคนิคต่างๆ มากกว่า

 

ซึ่งถ้าย้อนไปถึงในภาพยนตร์ เราดีไซน์มากกว่าขึ้นอีก เช่น ไม้ที่ใช้ตี ที่มีการเปลี่ยนไม้ เปลี่ยนผืนระนาดให้เสียงออกมาต่างกัน

 

พีทรู้สึกว่าละครเวทีเรื่องนี้ใช้ทีมงานเยอะมาก แต่กลับมีระเบียบดีมาก ทุกคนรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองได้ดี มีครั้งหนึ่งที่พื้นฉากแตก ทีมงานก็ซ่อมกันหลังเวทีตรงนั้นเลยให้ทันใช้งานฉากต่อไป

 

แต่กระนั้นก็ยังมีคนที่เล่นหลายๆ บทอยู่ อย่างเช่น คุณพ่อของจูนจูนที่เล่นหลายบท ทั้งเล่นเป็นพ่อทิวตอนแก่ และยังเล่นเป็นสมเด็จฯ ของขุนอินอีกด้วย

 

อีกรายละเอียดที่หลายคนไม่รู้คือเครื่องดนตรีครึ่งแรกของละครจูนเป็นคีย์บีแฟลต (Bb) ทั้งหมด แต่พอเข้าครึ่งหลังก็เปลี่ยนเป็นเครื่องที่จูนเสียงคีย์ซี (C) เอาไว้ เพื่อให้อารมณ์ขึ้นอีกนิดหนึ่ง ซึ่งคนไม่รู้หรอก แต่จะรู้สึกได้

 

ตอนนี้ละครเวที โหมโรง เดอะมิวสิคัล ก็เหลือแค่ 5 รอบแล้ว ถ้าใครสนใจดูละครสนุกๆ ก็สามารถไปจองตั๋วดูกันได้ รอบสุดท้ายวันที่ 3 มิถุนายนนี้

 

 


ฟังรายการ Eargasm Deep talk พอดแคสต์ โดยแอปฯ Podcasts (สำหรับผู้ใช้ iOS), Podbean และแอปฯ ประเภท Podcast Player ยี่ห้อใดก็ได้ (สำหรับผู้ใช้ Android) หรือฟังทาง SoundCloud และ YouTube ก็ได้เช่นกัน


Credits


The Host
แพท บุญสินสุข

The Guest อัษฎาวุธ สาคริก, ปิติพงษ์ ผาสุขยืด


Show Creator
แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Music Westonemusic

The post โหมโรง เดอะมิวสิคัล ละครเวทีที่อยากให้รากของดนตรีไทยเติบโตไปพร้อมกับปัจจุบัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
“ผู้ที่ชนะ Band Lab ไม่ใช่คนที่ได้เงินรางวัล แต่คือคนที่อยู่ในวงการนี้ได้นานที่สุด” https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk11/ Fri, 18 May 2018 06:34:40 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=91499

ท่ามกลางความงงงวยของธุรกิจค่ายเพลง ปัณฑพล ประสารราชกิจ […]

The post “ผู้ที่ชนะ Band Lab ไม่ใช่คนที่ได้เงินรางวัล แต่คือคนที่อยู่ในวงการนี้ได้นานที่สุด” appeared first on THE STANDARD.

]]>

ท่ามกลางความงงงวยของธุรกิจค่ายเพลง ปัณฑพล ประสารราชกิจ หรือ โอม Cocktail กลับลุกขึ้นมาก่อตั้งค่ายเพลงนาม Gene Lab และพร้อมกันนั้นก็เปิดตัวรายการค้นหาศิลปินเข้าสู่ค่ายนี้นามว่า Band Lab ซึ่งเขานิยามว่าเป็นรายการแข่งดนตรีที่ไม่ได้สอนเล่นดนตรี แต่สอนให้ศิลปินเอาชีวิตรอดได้ในวงการเพลง

 

กดปุ่มเพลย์ด้านบน เพื่อฟัง โอม และ อู๋ The Yers ในฐานะโปรดิวเซอร์คนหนึ่งของรายการ Band Lab เกี่ยวกับการอยู่ในวงการเพลงไทย และประสบการณ์ที่พวกเขาคิดว่าสอนกันได้ แต่ถ้าใครสะดวกอ่านก็เลื่อนลงไปด้านล่างได้เลย

 


 

 

อะไรคือ Band Lab

มันคือรายการประกวดวงดนตรีของ Gene Lab ค่ายเพลงใหม่ของแกรมมี่ที่มีโอม Cocktail นั่งตำแหน่งผู้บริหาร ซึ่งเริ่มมาจากการที่คุณนิค จีนี่ เรคคอร์ดส์ รู้สึกว่าพื้นที่ในค่ายจีนี่ไม่ค่อยเหมาะจะรับศิลปินใหม่เท่าไร ด้วยความที่มีศิลปินรุ่นเก๋าและรุ่นกลางอยู่มากมาย ศิลปินใหม่น่าจะเกร็ง เลยเปิดตัวค่ายใหม่ขึ้นมาเพื่ออิสระในการทำงานของทีมและศิลปินใหม่

 

อะไรคือ Band Lab

เป็นรายการที่เรียกได้หลายแบบ เป็นทั้งเรียลิตี้ ทั้ง documentary ทั้งเกมโชว์ ซึ่งอู๋ The Yers ก็ได้มานั่งเป็นหนึ่งในโค้ชของรายการนี้ ร่วมกับโอม Cocktail เอง เจ๋ง Big Ass และหนุ่ม กะลา

 

และ Band Lab ก็เริ่มขึ้นมาจากความคิดว่าอยากให้ความรู้ในเรื่องดนตรีและวงการดนตรี ตบกันไปมาก็กลายเป็นรูปแบบนี้ที่เหมือน entrepreneur ที่นักดนตรีเป็นเจ้าของไอเดีย ส่วนค่ายเป็นเจ้าของทุน ที่ต้องทำงานร่วมกัน ไม่ใช่เป็นเจ้านายกับลูกน้อง

 

ก็กลายเป็นว่ามีมิชชันขึ้นมา 12 มิชชันในแต่ละสัปดาห์ ให้ศิลปินมานำเสนอตัวเอง แล้วถ้าเราเชื่อใครก็จ่ายให้คนนั้นไป

 

และการทำเป็นรายการมันทำให้ค่ายมีคอนเทนต์ตั้งแต่วันที่เริ่มสร้างศิลปิน ซึ่งน่าจะดีกว่าการทำเพลงก่อนแล้วทำรายการมาสนับสนุนทีหลัง ที่อาจแป้กได้ถ้าเพลงไม่มา

 

และในแง่สปอนเซอร์ถ้าใครเข้ามาสนับสนุนก็ได้ช่วยเกื้อหนุนศิลปินตั้งแต่ day 1 ซึ่งอาจทำให้มีสิทธิ์ต่างๆ ในอนาคตหากศิลปินหรือค่ายมีชื่อเสียงมากขึ้น

 

รูปแบบของ Band Lab

อยากพาไปดูกระบวนการของการทำเพลงหนึ่งเพลง ตั้งแต่เริ่มแรกที่ศิลปินจรดปากกาเซ็นสัญญากับค่าย ไปจนถึงวันที่เพลงกลายเป็นเอ็มวีให้คุณดูและฟังในหน้าจอโทรศัพท์

 

ตัวคอนเทนต์ของรายการ โอมจะใช้คำว่า Startup ของวงดนตรี การเป็นศิลปินต้องเริ่มคิดตั้งแต่เมื่อเข้าค่ายมาต้องทำอะไร? ต้องแต่งเพลง งั้นแต่งกันเองมั้ย? หรือต้องจ้างคนแต่ง ทำเพลงให้เสร็จสมบูรณ์ยังไง? พอเพลงเสร็จก็ต้องคิดอีกว่า แสดงสดเพลงนี้ยังไง? รับมือกับสถานการณ์หน้างานยังไง? ซึ่งในรายการนี้จะมีสถานการณ์โยนลงไปให้เขาแก้ปัญหากัน ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาที่ทุกวงเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็น The Yers, Cocktail หรือแม้แต่ Bodyslam

 

คนทั่วไปจะไม่รู้ว่าวงดนตรีต้องเจออะไรบ้าง แต่ถ้าดูรายการนี้จะได้รู้กัน

 

หรือมากไปกว่านั้นคือ รายการจะไม่ได้พูดถึงวงดนตรีในฐานะ Performer อย่างเดียว แต่จะเล่าไปถึงธุรกิจดนตรี ทั้งการตีความลูกค้า การตีโจทย์ การสื่อสารระหว่างคนกับเพลง ไปถึงการอยู่ร่วมกับเพื่อนในวง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การทำเอ็มวีที่นักดนตรีก็ควรจะรู้ เพื่อให้ทำงานกับคนอื่นรู้เรื่อง

 

เป็นการเอาประสบการณ์ของรุ่นพี่ทุกคนมาให้น้องๆ ได้เรียนรู้ในเวลาแค่ 12 สัปดาห์

 

การเลือกโค้ชในรายการ

ในรายการมีโค้ชคือหนุ่ม กะลา, เจ๋ง บิ๊กแอส และอู๋ เดอะเยอร์ส ซึ่งแต่ละคนมีที่มาน่าสนใจต่างกัน คนแรกมาจากการประกวด และใช้เวลา 12 ปีในวงการอยู่กับค่ายเดียว ตั้งแต่ยุคที่ค่ายทำทุกอย่างให้ มาถึงยุคที่ศิลปินต้องทำเกือบทุกอย่างเอง

 

พี่เจ๋ง โตมาในสลัม เดินทางเข้ากรุงมาเล่นดนตรีกลางคืน และได้มาเป็นนักร้องของวงดนตรีที่ดังที่สุดวงหนึ่งของไทย แถมมาแทนคนเดิมซึ่งก็ดังมากด้วย

 

อีกคนคืออู๋ที่เป็นศิลปินอินดี้มานานตั้งแต่กรุงเทพมาราธอน มีพี่ชายดังมาก่อน และเป็นศินปินที่มาจากอินดี้สู่แมสจริงๆ

 

หรือแม้แต่ผู้เข้าแข่งขันเองก็มาจากหลายที่มา มีทั้งยูทูเบอร์ที่มีคนติดตามหลักล้านคน มีทั้งวงดนตรีจากอุตรดิตถ์ที่เอาชื่อถนนที่ยาวที่สุดของจังหวัดมาตั้งเป็นชื่อวง ความหลากหลายนี่แหละที่ทำให้รายการสนุก

 

ซึ่งทางค่ายไม่ได้คีปลุคว่าต้องเป็นค่ายเพลงรุ่นใหม่ที่มีภาพลักษณ์เป็นวงดนตรีคนเมือง เพราะประเทศไทยไม่ได้มีแค่กรุงเทพมหานครนี่

 

คัดเลือกให้เหลือ 4 วง

จริงๆ มีคนส่งออดิชันมาถึง 400 กว่าวง แต่หลายวงไม่ได้เข้าคัดเลือกเพราะส่งรายละเอียดมาไม่ครบบ้าง เพราะโอมเขียนใบสมัครวางยาไว้ ว่าให้ส่งเพลงตัวเองหรือเพลงคัฟเวอร์มา 2 เพลง ให้เราสนใจที่สุด ซึ่งแปลว่าควรจะส่งเพลงตัวเองมาทั้ง 2 เพลงเลย เพราะนั่นคือสิ่งที่น่าสนใจกว่าเพลงคัฟเวอร์ แต่เกือบทุกวงก็ไม่เก็ตตรงนี้

 

หรือหลายวงที่ส่งรายละเอียดมาไม่ครบก็มีบ่นว่าไม่ครบแค่นิดๆ หน่อยๆ เอง หยวนๆ ไม่ได้เหรอ ก็ต้องบอกว่าทางรายการจะหาศิลปินมืออาชีพ การอ่านใบสมัครไม่ครบถ้วนก็เป็นคุณสมบัติที่ไม่ดีของศิลปินเช่นกัน อีกหน่อยไปทำงานจริงก็ต้องไปอ่านเอกสารพรีเซนเตอร์นะ ต้องอ่านให้ครบถ้วน เราไม่ได้อยากได้คนที่เล่นดนตรีเป็นอย่างเดียว

 

 

ปัญหาที่วงหน้าใหม่มักจะมี

อู๋คิดว่าเป็นการหาตัวเองไม่เจอ ซึ่งอาจจะมาจากการมีอินพุตน้อยหรือมากเกินไป ทำให้หาความเป็นวงของตัวเองไม่เจอ หลายครั้งที่สมาชิกในวงมีอินพุตต่างกัน ทำให้ความเป็นแบนด์ไม่โผล่ออกมา บ้างก็เป็นนักร้องแอนด์เดอะแบนด์

 

หรือบางทีอินพุตเยอะ ก็ทำให้มีดาต้าเยอะ แต่ไม่ได้สังเคราะห์มันมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเอง เทคโนโลยีมัน disrupt ให้เด็กยุคใหม่มีอุปนิสัยที่เปลี่ยนไป การอ่านเรื่องคนอื่นเยอะๆ ทำให้เราคิดแต่ในมุมของเรา มันไม่มีการสังเคราะห์ข้อมูลที่จะทำให้เราเข้าใจคนอื่นจริงๆ

 

ในสังคมดนตรีก็ต้องเข้าใจคนอื่นแบบนี้ บางวงทำเพลงไม่ดังก็บอกว่าคนดูแม่ง…ไม่ฟัง ซึ่งศิลปินทุกคนน่าจะเคยผ่านจุดนี้มาก่อนแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือเราจะจัดการกับความรู้สึกหรือสถานการณ์นั้นอย่างไร

 

อีกประเด็นคือไม่เป็นตัวของตัวเอง ก๊อบปี้วงอื่น ไม่ว่าจะประกวดวงดนตรีจะกี่ปีก็ต้องเจอเพลงเดิมๆ ที่เล่นตามศิลปินต้นฉบับร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะมี Bodyslam สองวงทำไมล่ะ

 

การก๊อบปี้เพลงมาเล่นไม่ได้ผิดนะ การเล่นดนตรีเริ่มมาจากการเลียนแบบ แต่วงหน้าใหม่ควรจะเอาเพลงคัฟเวอร์นั้นมาเล่นในแบบของตัวเอง

 

มันจะกลับมาที่วิชาเศรษฐศาสตร์ 101 เราจะมีสินค้าเดียวกันเยอะๆ ทำไม ราคามันก็ตกสิ

 

วงดนตรีรุ่นเก่ามีปัญหาการเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างไร

รุ่นใหญ่มักจะมีปัญหาว่าไม่หมุนตามโลก ไม่เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ จากศิลปินใหม่ๆ อย่าง เจค บักก์ (Jake Bugg) ที่เพิ่งมาก็เป็นรุ่นใหม่มากๆ เด็กมาก แต่ประสบความสำเร็จแล้ว เราก็ควรจะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากเขาหรือเปล่า

 

เราจะคิดว่าเราเก๋าไม่ได้เลย มันมีรุ่นใหม่ที่คอยขึ้นมาใหม่เสมอ ถ้าเราไม่เรียนรู้จากเขาเราก็ไม่สามารถเป็นรุ่นพี่ที่ดีได้เลย คิดแบบนี้แล้วมันก็เห็นสัจธรรมเหมือนกันนะ

 

แม้แต่ศิลปินในตำนานอย่างเดวิด โบวี ยังทำเพลงใหม่ๆ สไตล์ใหม่ๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเลย

 

เราเคยเห็นว่าเราแซงศิลปินรุ่นก่อนทั้งในแง่ค่าตัวหรือผลงาน ซึ่งมันทำให้เห็นสัจธรรมว่าถ้าเราแซงได้ เราก็โดนศิลปินใหม่ๆ แซงได้เหมือนกัน ฉะนั้นต้องโฟกัสที่การทำงาน พัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นไป

 

สิ่งที่รายการต้องการจากวงรุ่นใหม่

รายการไม่ได้อยากให้พวกเขาเก่งกว่า แต่อยากให้พวกเขาดีกว่าพวกเรา ไม่ใช่แค่การเล่นดนตรี แต่รวมถึงการทำงาน ทั้งการทำงานร่วมกับคนอื่น การเข้าใจคนอื่น การรับมือตามสถานการณ์ การยอมรับความจริง การให้ความเคารพผู้อื่น เคารพความเห็น การรับแรงกดดัน มันเห็นอยู่ทุกที่ไม่ใช่แค่ในวงการดนตรี

 

เพื่อนโอมคนหนึ่งเคยบอกว่าอยากให้โอมทำรายการการศึกษา และสุดท้ายมันก็รวมกันออกมาเป็นรายการ Band Lab นี่เอง

 

สุดท้ายมันไม่ใช่แค่รายการประกวดดนตรี แต่มันสอนวิธีการทำงาน การใช้ชีวิต ถ้าคุณไม่ได้เล่นดนตรี แค่ดูคุณก็อาจได้แนวคิดไปใช้ในชีวิตเหมือนกัน

 

ไม่ใช่แค่ผู้ชนะใน Band Lab เท่านั้นที่ได้อยู่ในค่าย ทุกวงที่แข่งขันได้เป็นศิลปินค่าย Gene Lab ทั้งหมด และผู้ชนะที่แท้จริงไม่ใช่คนที่ได้เงิน 100,000 ไปในตอนจบรายการ แต่คือคนที่อยู่ในวงการดนตรีได้นานที่สุดต่างหาก

 


ฟังรายการ Eargasm Deep talk พอดแคสต์ โดยแอปฯ Podcasts (สำหรับผู้ใช้ iOS), Podbean และแอปฯ ประเภท Podcast Player ยี่ห้อใดก็ได้ (สำหรับผู้ใช้ Android) หรือฟังทาง SoundCloud และ YouTube ก็ได้เช่นกัน


Credits


The Host
แพท บุญสินสุข

The Guest ปัณฑพล ประสารราชกิจ, ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์


Show Creator
แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Music Westonemusic

The post “ผู้ที่ชนะ Band Lab ไม่ใช่คนที่ได้เงินรางวัล แต่คือคนที่อยู่ในวงการนี้ได้นานที่สุด” appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาสา พาไปหลง เพจเที่ยว+เพลง ที่พิสูจน์ว่าทุกคนพร้อมบ้าไปกับความสนุก https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk10/ Thu, 10 May 2018 17:01:52 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=89833

‘อาสา พาไปหลง’ คือเพจท่องเที่ยวที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างไม่ […]

The post อาสา พาไปหลง เพจเที่ยว+เพลง ที่พิสูจน์ว่าทุกคนพร้อมบ้าไปกับความสนุก appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘อาสา พาไปหลง’ คือเพจท่องเที่ยวที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงที่คอนเทนต์เที่ยวเต็มหน้าฟีดไปหมด เบื้องหลังนั้นคือ ว่านไฉ-อคิร วงษ์เซ็ง นักแต่งเพลงที่อยากทลายกรอบบรีฟไปทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ผลลัพธ์คือเพลงบ้าบอติดหูที่เรียกรอยยิ้มได้ในทุกคลิปที่เขาพาเราไปเที่ยว  


 

อาสา พาไปหลง เพจท่องเที่ยวโดย ว่านไฉ AF5

 

นักทำเพลงมาทำเพจเที่ยว

ว่านไฉ-อคิร วงษ์เซ็ง คือนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์มือดีที่ทำงานเพลงให้ศิลปินมาหลายคน รวมทั้งตัวเองในฐานะวง 123Soul (ลองฟัง เผื่อลืม เพลงดังของวงนี้ที่ว่านแต่งเองกับมือกัน)   เรื่องเพจมันเกิดขึ้นมาง่ายๆ คือหลังจากทำเพลงมาหลายปี ได้เงินมาก็เอาไปเที่ยว วันหนึ่งว่านไฉก็คิดว่าน่าจะเอาเรื่องที่ตัวเองมาเที่ยวไปเล่าต่อได้นี่นา   พอเริ่มทำเพจก็ทำเองทั้งหมด ทั้งตัดคลิป ทำเพลง ซึ่งด้วยประสบการณ์การทำเพลง ว่านจึงทำคลิปใน structure ของเพลงหนึ่งเพลง มีเกริ่นแบบท่อนเวิร์ส มีปูเนื้อหาแบบท่อนพรีฮุก และเฉลยไฮไลต์ของคลิปแบบท่อนฮุก ความยาวคลิปก็เท่าๆ กับเพลงหนึ่งเพลงคือราวๆ 4-5 นาที   (ลองไปดูกับตาสักคลิปว่าว่านเล่าเรื่องแบบเพลงจริงหรือเปล่า)  

ลิขสิทธิ์ไม่ได้ก็แต่งเองสิ

ด้วยความที่ไม่เคยทำเพจ ไม่เคยทำคลิปเที่ยวมาก่อน ช่วงแรกว่านใช้เพลงที่ชอบมาประกอบแล้วโดนแบนคลิป เลยตระหนักได้ว่าการทำแบบนี้มันผิดลิขสิทธิ์นะ ทำไมเราไม่แต่งเพลงประกอบคลิปเองล่ะ เพราะตัวเองก็เป็นนักแต่งเพลงอยู่แล้ว   ว่านไฉจึงเริ่มความคิดว่าจะเอาความสามารถทุกอย่างที่พอทำได้มาทำคอนเทนต์ลงเพจ ทั้งตัดคลิป ถ่ายรูป แต่งเพลงประกอบทริป และลงเสียงพากย์ เพราะว่านเองก็ทำงานพากย์ voice over อยู่แล้ว ก็เอาทุกอย่างมายำเข้าด้วยกันกลายเป็นคลิปแรกของเพจ คือทริปมัลดีฟส์   ซึ่งทริปมัลดีฟส์นี้เป็นทริปแรกที่ตั้งใจไปทำคอนเทนต์เลย เป็นทริปที่ว่านได้รับคำชวนจากเพื่อนชื่อ วอลนัท-สายทิพย์ วิวัฒนปฐพี ที่ทำคอนเทนต์ท่องเที่ยวอยู่เช่นกัน (คือวอลนัทคนเดียวกับที่ไปประกวด The Voice Thailand ซีซัน 2 ทีมโจอี้ บอย นั่นแหละ) ในรายการทีวีทุนต่ำ Checklist และเพจ Saitrip ด้วยความที่ตากล้อง (ซึ่งตากล้องคนนี้ก็มีซิงเกิลในนาม M YOSS) ติดงาน ไปถ่ายด้วยกันไม่ได้ เลยชวนว่านไปแทน   เพลง เมาดิบ ที่เห็นคนแชร์ไปทั่ว ว่านไฉก็แต่งในทริปนี้นี่เอง  

อาสา พาไปหลง เพจท่องเที่ยวโดย ว่านไฉ AF5

 

จาก 10,000 เป็น 100,000 ไลก์ในข้ามคืน

หลังจากคลิปเมาดิบแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีคนมากดไลก์เพจเยอะมาก จากหมื่นเป็นแสนไลก์ในข้ามคืน ทุกครั้งที่รูดโทรศัพท์ ดูยอดไลก์เพจ คนตามเพิ่มขึ้น 100 ไลก์ทุกครั้งที่รูด   ว่านตกใจมาก แต่ก็ดีใจมาก นอนไม่หลับเลย เพราะสิ่งแรกที่คิดคือตอนนี้มีคนมาตามแล้ว เขากิน เขาชอบอาหารของเราแล้ว เราต้องเสิร์ฟอาหารจานใหม่แล้ว   ว่านจึงมาวางโพสิชันตัวเองใหม่ว่าจะไม่ทำเพจแค่เป็นบล็อกเกอร์แล้ว แต่จะเป็นรายการ ทริปที่สอง ‘อาสาพาไปหลงรักสัตว์’ จึงเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น เป็นทริปที่พาไปดูเมืองสัตว์ต่างๆ เช่น เมืองกวางอย่างนารา หรือเกาะแมว เกาะกระต่าย   ก็เลยมีเพลง ‘รักสัตว์’ ขึ้นมา แต่ไม่ได้ปล่อยเสียที เพราะคอมพิวเตอร์พังจนงานหายหมด เป็นเพลงอาถรรพ์ที่ทำเสร็จกี่ครั้ง คอมพิวเตอร์ก็พังทุกทีจนไม่ได้ปล่อย  

อาสา พาไปหลง เพจท่องเที่ยวโดย ว่านไฉ AF5

 

แต่งเพลงเลี้ยงชีพแบบแฮปปี้

จุดมุ่งหมายแรกที่ทำเพจนี้ขึ้นมาเพราะว่านทำงานแต่งเพลงมาสิบปี ซึ่งทุกอย่างที่ทำเป็นอาชีพมันจะเริ่มไม่สนุก การเป็นนักแต่งเพลงก็ต้องรับบรีฟจนเหนื่อย มีคำที่ศิลปินต้องการ เวิร์ดดิ้งที่ลูกค้าต้องการ   ว่านรู้สึกขึ้นมาว่าตัวตนของตัวเองหายไป มีแต่การทำงานให้คนอื่นล้วนๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเราทำเลี้ยงชีพ แต่ชีวิตนักแต่งเพลงก็ต้องการการเอาแต่ใจบ้าง แต่งอะไรงี่เง่าบ้าง หรือทำเพลงบ้าๆ บอๆ แต่เราสนุกของเราเองบ้าง ทำให้เราสนุกกับวิชาชีพที่เราเคยสนุกกับมันในครั้งแรก   ซึ่งสุดท้ายแล้ว เมื่อเพจดังขึ้นก็ต้องมีลูกค้าเข้ามาติดต่องานในเพจ ซึ่งทำให้ว่านต้องกลับมาแต่งเพลงรับบรีฟอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างกันออกไป   ช่วงนี้ อาสา พาไปหลง เลยมีช่วงใหม่ล่าสุดขึ้นในเพจ ไม่ได้เป็นเรื่องเที่ยว แต่เป็นเรื่องการเป็นนักแต่งเพลงของว่านล้วนๆ ชื่อช่วง 2Hooks Review Everything ที่จะแต่งเพลงมารีวิวทุกอย่างใน 2 ฮุก (ซึ่งทีมงานไปฟังมาแล้ว เพลงดันเพราะซะด้วย)   ตอนนี้ว่านยึดหลักแฮปปี้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเพจนี้ต้องแฮปปี้ไปด้วยกัน ทั้งตัวว่านเองในฐานะคนทำคอนเทนต์ ลูกเพจที่เข้ามาเสพคลิปของเขา และลูกค้าที่ช่วยสนับสนุนเพจในหลายทาง มันไม่ควรมีใครคนใดคนหนึ่งที่แฮปปี้มากที่สุด ทุกคนควรได้สิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างบาลานซ์ ว่านได้สนุก คนดูได้สนุก ลูกค้าได้โปรโมต ทุกคนแฮปปี้  

อาสา พาไปหลง เพจท่องเที่ยวโดย ว่านไฉ AF5

 


ฟังรายการ Eargasm Deep talk พอดแคสต์ โดยแอปฯ Podcasts (สำหรับผู้ใช้ iOS), Podbean และแอปฯ ประเภท Podcast Player ยี่ห้อใดก็ได้ (สำหรับผู้ใช้ Android) หรือฟังทาง SoundCloud และ YouTube ก็ได้เช่นกัน

 


 Credits

 

The Host แพท บุญสินสุข

The Guest อคิร วงษ์เซ็ง

 

Show Creator แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Music Westonemusic

The post อาสา พาไปหลง เพจเที่ยว+เพลง ที่พิสูจน์ว่าทุกคนพร้อมบ้าไปกับความสนุก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดรหัสไรม์ The Rapper ว่าที่ตำนานรายการแรปที่จะส่งฮิปฮอปไทยสู่เมนสตรีม https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk09/ Thu, 03 May 2018 17:55:54 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=88238

พูดคุยกับสองหัวเรี่ยวหัวแรงของรายการ The Rapper อย่าง โ […]

The post ถอดรหัสไรม์ The Rapper ว่าที่ตำนานรายการแรปที่จะส่งฮิปฮอปไทยสู่เมนสตรีม appeared first on THE STANDARD.

]]>

พูดคุยกับสองหัวเรี่ยวหัวแรงของรายการ The Rapper อย่าง โจ้-ศวิชญ์ สุวรรณกุล ผู้ก่อตั้ง Rap is Now ที่พร้อมต่อยอดกระแสฮิปฮอปที่เขาและเพื่อนเป็นผู้ปลุกขึ้นมา และ แต๊บ-ธนพล มหธร Music Director ที่แม้จะเป็นที่รู้จักจากรายการ AF แต่ก็คลุกคลีกับเพลงฮิปฮอปมามากกว่าสิบปี ถึงความสำเร็จของ The Rapper ที่ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากการทำงานหนักและแพสชันล้วนๆ

 

The Rapper คือว่าที่รายการฮิตรายการใหม่ของ WorkPoint อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จใน 4 อีพีที่ผ่านมา คือความกล้าของสตูดิโอที่เปิดโอกาสให้ทีมงานที่รักในเพลงฮิปฮอปได้เข้ามาเป็นตัวหลักในการสร้างรายการ

 

Eargasm Deep Talk ตอนนี้ ขอชวนแต๊บและโจ้ สองทีมงานของรายการมาคุยเรื่องนี้กัน

 


 

 

Rapper Rising

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสฮิปฮอปในทุกวันนี้ถูกจุดจากรายการ Rap is Now ที่ทำให้การแรปแบทเทิลเป็นที่รู้จักขึ้นมา จนกระทั่งบริษัทโต๊ะกลมที่เป็นโปรดักชันเฮาส์ของเวิร์คพ้อยท์ได้ติดต่อให้ทีม Rap is Now และแต๊บกับทีมโปรดักชัน Freshment ของแต๊บ มาช่วยขึ้นรายการแรปแบทเทิลรายการใหม่ของประเทศไทย

 

ซึ่งไอเดียแรกที่ทาง Rap is Now บอกว่าต้องทำให้เกิดคือภาพการร่วมงานกันของพี่โจ้-โจอี้ บอย และพี่ขัน-ขันเงิน เนื้อนวล แห่ง Thaitanium ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสองขั้วของวงการแรปเมืองไทย ซึ่งจะดึงความสนใจของชาวฮิปฮอปได้แน่ๆ

 

ซึ่งฮิปฮอปเป็นวงการที่ไม่กว้าง และทุกคนพยายามทำให้เพลงที่มีภาพลักษณ์ใต้ดินนี้ให้ออกไปสู่วงกว้าง อย่างพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ไปออกรายการอะไรก็พยายามไปแรปสดเป็นสีสัน พี่โจอี้บอยไปเป็นโค้ช The Voice ก็ไปทำเพลงผสมแรป ให้คนได้รู้จักเพลงแรปมากขึ้น

 

การได้ทำรายการนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะรวมทุกคนเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน เพื่อวงการฮิปฮอปนี้

 

 

Respect!

การทำงานโดยทีมงานที่เข้าใจฮิปฮอปเป็นสิ่งที่สำคัญ ทีมงานต้องมีการสกรีนเนื้อหากันตลอดเวลา ด้วยความที่ไม่อยากให้ภาพลักษณ์ออกไปแล้วดูไม่น่ารัก ไม่น่าดู

 

เอาเข้าจริง ฮิปฮอปเป็นที่ล้อเลียนมานานเหมือนกัน มียุคหนึ่งที่การแต่งตัวแบบแรปเปอร์จะเป็นเป้าให้คนเข้ามาล้อเลียน โย่วๆ ใส่ ซึ่งทุกวันนี้มันต่างออกไปแล้ว ฮิปฮอปเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจริงๆ ชาร์ตบิลบอร์ดมีเพลงฮิปฮอปตลอด กลายเป็นเพลงเมนสตรีมในต่างประเทศ ดาราเซเลบระดับโลกแต่งตัวแบบฮิปฮอปกันหมด มันพิสูจน์แล้วว่าเราไม่ได้ตลกนะ

 

ฉะนั้นการทำรายการก็ต้องเข้าใจคนฮิปฮอป Rap is Now ก็รับหน้าที่นี้ ที่จะให้รายการอุ่นใจ คนดูอุ่นใจ ว่าภาพลักษณ์ฮิปฮอปไม่ดูแย่

 

Go Overground

เราตัดสินใจเลือกใช้เพลงฮิตมา Rearrange มารีมิกซ์ใหม่ ให้ผู้เข้าแข่งขันได้เล่าเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งทีมงานพบว่าเรื่องราวของคนมาแข่งรายการนี้มันช่างยูนีกต่างกับแรงขับของนักร้องรายการอื่นๆ ซึ่งก็ต้องขุดชีวิตเขาออกมา

 

เรื่องราวของคนประกวดรายการร้องเพลงก็จะคล้ายๆ กันคืออยากพิสูจน์ตัวเองกับเวทีนี้ อยากให้ที่บ้านสบายขึ้น แต่ของคนที่มาแข่ง The Rapper คือโดนกระทืบมาทุกวันตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.3 เพราะหน้ากวนตีน ครูช่วยไม่ได้ แม่ก็ลำบากมาก ไม่อยากให้แม่กังวลใจ ชีวิตมันสุดมาก คนฮิปฮอปมันต้องมั่นคงระดับหนึ่งนะ

 

สิ่งที่มิวสิกไดเรกเตอร์อย่างแต๊บทำคือต้องเอาเพลงที่มีอยู่แล้วมีรีมิกซ์ใหม่ นั่นแปลว่าต้องเลือกเพลงที่เข้ากับเรื่องราวของผู้เข้าแข่งขัน มิกซ์เป็นแนวที่เขาถนัด ทำบีตที่เขาแต่งเนื้อออกมาได้ และรายการต้องให้ผู้เข้าแข่งขันแต่งทุกอย่างออกมาเอง

 

ตอนนี้แต๊บทำมาแล้ว 95 เพลง ในระยะเวลา 1 เดือน

 

First of a Kind

คิดว่ารายการ The Rapper น่าจะเป็นรายการแรกที่นำเสนอเพลงฮิปฮอปแบบนี้ มันไม่มีรายการฮิปฮอปจีนที่ ‘หนี่เหวินหว่ออ้าย’ แล้วมาแรป แต่รายการนี้ทำแบบนั้น คือเอาเพลงที่คนรู้จักมาทำแรป ซึ่งทำให้รายการนี้ไม่มีตัวอย่างให้เกาะเลย

 

รายการนี้ผ่านการคิดมาเยอะมากๆ บางคนมีเรื่องที่ดีมาก แต่เราต้องคิดกันอยู่ 2 ชั่วโมง เพื่อหาเพลงที่เหมาะกับเรื่องราวของเขา

 

ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะผ่านทีม Rap is Now และ Freshment รวมทั้ง WorkPoint ซึ่งทีม Freshment ของแต๊บจะดูเรื่องดนตรี เรื่องฟีล ส่วนทีม Rap is Now ก็จะดูปูมหลังชีวิต เรื่องราว ความน่าสนใจ WorkPoint ก็จะมาดูในแง่ครีเอทีฟว่าถ้าไปอยู่ในรายการแล้วคนนี้จะน่าสนใจแค่ไหน เด้งออกมาแค่ไหน

 

ดราม่าไม่ใช่โฟกัสหลักที่จะเลือกผู้เข้าแข่งขันเลย แต่เป็นพลังงาน เป็นบรรยากาศ บางคนแค่เปิดประตูเข้ามาสวัสดีเราก็รู้สึกถึงพลังงานของเขาแล้ว พอยิ่งแรปออกมาก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังงานของเขามันดี อย่างน้อง OZEEOOS ที่คนน่าจะจำได้เยอะที่สุดคนหนึ่ง แม้เขาจะมีปัญหาทางสายตา แต่วันนั้นในห้องออดิชันเราไม่ได้คุยกับเขาเรื่องปัญหาของเขาเลย คุยแต่เรื่องการแต่งเพลง เขามีพลังที่ดีมาก วันนั้นในห้องออดิชัน แต๊บกดบีตสดๆ ให้อู๊ดแรป ปรากฏเขาแต่งแรปได้สดๆ เลย ซึ่งมันดีมาก

 

ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเป็นเหมือนลูกเลย เพราะเราทำเพลงให้เขา อยู่กับเขามาตลอด

 

 

The Coaches

โค้ชทุกคนเลือกจากความน่าสนใจ และเป็นตัวแทนของยุคหรือแนวทางบางอย่าง อย่าง โต้ง TwoPee ก็เป็นฮิปฮอปรุ่นเดียวกับพี่กอล์ฟนะ แต่อายุน้อยกว่า เท่ก็เท่ UrboyTJ ก็เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ทำเพลงเอง เป็น Beatmaker แรปมีสไตล์ พี่กอล์ฟก็คมคาย เฉียบขาด ปู่จ๋านนี่หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่เขาเป็นคนที่ถ้าไปเล่นคอนเสิร์ตตามงานฝังลูกนิมิตเนี่ยมีคนขี่มอเตอร์ไซค์มาดูเป็นหมื่นคัน ทัวร์มาแล้วทั่วประเทศไทย เป็นกรณีศึกษาเลย

 

ทั้ง 4 คนจะมีคาแรกเตอร์ต่างกันมาก ปู่จ๋านจะตลกมาก พี่กอล์ฟจะตลกเหมือนกัน แต่เป็นพี่ใหญ่ โต้งก็กวนๆ ยิ่งดูไปเรื่อยๆ คาแรกเตอร์จะออกมากขึ้น และที่สำคัญคือทุกคนสนิทกันจริง ตั้งแต่โปรดิวเซอร์ 2 คน พี่โจ้พี่ขัน มาถึงโค้ชทั้ง 4 คน กรุ๊ปไลน์นี่คุยกันตลอด เขาน่ารักกับน้องๆ มาก

 

What is Real

พอรายการออกไปเสียงตอบรับก็ดีมาก แต่ก็มีบางส่วนที่บอกมาว่า เฮ้ย ไม่เรียลเลย เพลงโคตรแมสเลย เราก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมอะ ทำไมต้องเก็บเพลงฮิปฮอปไว้ฟังคนเดียว ถ้าคุณชอบมากๆ ทำไมไม่แบ่งเพื่อนฟัง ทำไมไม่แบ่งคุณลุงข้างบ้านฟัง มันตลกนะ

 

ซึ่งเราก็พยายามจะทำเพลงแบบง่าย แบบยาก แบบลึก แบบตื้น ทุกแนว ให้คนได้ฟังหมด เราก็ทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว

 

อย่างน้อยสิ่งที่ดีของรายการนี้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เป็นปัญหาประมาณหนึ่งด้วยคือเราไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มา ทำให้ไม่มีฐานแฟนรอดูอยู่เหมือนกับรายการเพลงอื่นๆ ของประเทศเราที่ซื้อมาจากเมืองนอก แต่ข้อดีคือเราทำอะไรกับมันก็ได้ ไม่มีจำกัดเลย ยิ่งได้ทำงานกับคนที่มี energy ดีๆ ก็ยิ่งสนุก

 

โต๊ะกลมกับเวิร์คพ้อยท์ตอนนี้ฮิปฮอปกันหมดแล้ว ผู้บริหารก็ลงมาดูเทปกับเราด้วย ทุกคนเอ็นจอยมาก เราก็ดีใจนะที่เขาชอบมัน

 

 

What’s Next?

ไอเดียของซีซันต่อไปก็เริ่มมีคุยๆ กันแล้วเหมือนกัน แต่ตอนนี้ที่ใกล้กว่านั้นคือทีมงานคิดว่าจะจัดคอนเสิร์ต The Rapper ซึ่งเราจะได้เห็นโจอี้บอยกับขันเงินบนเวทีเดียวกันแน่ๆ

 

ทุกวันนี้รายการก็ไปสู่คนหมู่มากขึ้นจริงๆ ซึ่งทำให้เราดีใจมากๆ และมาย้อนคิดว่าเราคิดถูกนะที่ตัดสินใจเอาเพลงฮิต เพลงป๊อปมารีมิกซ์เป็นฮิปฮอป

 


ฟังรายการ Eargasm Deep talk พอดแคสต์ โดยแอปฯ Podcasts (สำหรับผู้ใช้ iOS), Podbean และแอปฯ ประเภท Podcast Player ยี่ห้อใดก็ได้ (สำหรับผู้ใช้ Android) หรือฟังทาง SoundCloud และ YouTube ก็ได้เช่นกัน

 


 

Credits


The Host
แพท บุญสินสุข

The Guest ศวิชญ์ สุวรรณกุล, ธนพล มหธร

Show Creator แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Music Westonemusic

The post ถอดรหัสไรม์ The Rapper ว่าที่ตำนานรายการแรปที่จะส่งฮิปฮอปไทยสู่เมนสตรีม appeared first on THE STANDARD.

]]>
How to Audition ทีมงานออดิชันอยากเห็นอะไรจากคนมาประกวดร้องเพลง https://thestandard.co/podcast/eargasmdeeptalk08/ Thu, 26 Apr 2018 17:01:41 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=86700

ก่อนจะได้แสดงความสามารถออกอากาศในรายการเพลง ทุกคนต้องผ่ […]

The post How to Audition ทีมงานออดิชันอยากเห็นอะไรจากคนมาประกวดร้องเพลง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ก่อนจะได้แสดงความสามารถออกอากาศในรายการเพลง ทุกคนต้องผ่านด่านออดิชันกันก่อน ซึ่งการจะสร้างความประทับใจให้ทีมงานออดิชัน หรือทีม scout นั่น ถือว่าเป็นเรื่องที่กดดันและอาศัยเทคนิคอยู่พอสมควรเลย

 

Eargasm Deep Talk เอพิโสดนี้ จึงขอเชิญผู้ที่เคยทำหน้าที่ scout และผู้ที่เคยส่งคนไปออดิชัน มาคุยว่าการสร้างความประทับใจในขั้นแรกของการคัดเลือกนั้น ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

 


 

 

Eargasm Deep Talk เทปนี้ มาคุยกับ พี-ประพฤติ ทองธานี ครูสอนร้องเพลงที่มีประสบการณ์ส่งนักเรียนไปประกวดร้องเพลงมานักต่อนัก และ แท็บบี้-รฐา โกกิลานนท์ นักร้องที่เคยเข้าประกวดและเคยเป็นกรรมการออดิชันนักร้องมาหลายรายการ รวมถึง โจ้-นทธัญ แสงไชย โปรดิวเซอร์รายการ Eargasm ที่เพิ่งผ่านการเป็นกรรมการคัดเลือกนักร้องมาสดๆ ร้อนๆ

 

สิ่งแรกที่ควรคิดเมื่ออยากสมัครแข่งรายการเพลง

ต้องดูว่ารายการที่เราอยากสมัครเขามองหาอะไร บางรายการหานักร้องที่บุคลิกภาพดี สวยสูงหุ่นดีมั่นใจ บางรายการก็เน้นร้องเพลงแหละ แต่หาคนที่เกือบจะเก่งมาปั้นให้พัฒนาในรายการ หรือ The Voice ที่ชื่อเหมือนจะเน้นเสียง แต่ก็ดูที่เสน่ห์เป็นหลัก ไม่ต้องหล่อก็ได้นะ แต่ร้องเพลงแล้วมีเสน่ห์ ดูเป็นศิลปิน ก็ต้องดูว่าคาแรกเตอร์เราเหมาะกับที่รายการหาอยู่หรือเปล่า ซึ่งถ้าไปแล้วไม่ติด ก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่ดีนะ แต่อาจเพราะเราไม่ใช่คาแรกเตอร์แบบที่รายการหาอยู่

 

ซึ่งหน้าที่ของแท็บบี้หรือโจ้ที่มาพูดคุยวันนี้ คือเป็นทีมออดิชันในขั้นแรก ที่ไม่ได้ออกทีวี ไม่มีการถ่ายเก็บไว้ ทำงานเป็นหน่วยคัดกรองคนออดิชันก่อนจะเข้าไปในรายการจริงๆ หลังจากนั้น

 

ซึ่งแต่ละปีจะมีเพลงฮิตของปีนั้นๆ ซึ่งทำให้กรรมการเกิดอาการ earworm มาก อย่างเช่นปีนี้จะเป็นเพลงของ The TOYS ถ้าเพลงสากลก็เป็น Shape of You

 

ถ้ามองในสายตาของครูสอนร้องเพลง พีเองคิดว่าก่อนประกวดร้องเพลง คนคนนั้นก็ต้องพอร้องเพลงได้บ้าง ควบคุมเสียงได้ เข้าใจความหมายเพลง ถ่ายทอดเนื้อหา สื่อสารได้ ถ้ายังก็จะยังไม่ส่งให้น้องไปประกวดที่ไหน

 

เลือกเพลงที่เหมาะกับตัวเอง

นักร้องหลายคนเลือกเพลงยากเกินไป หรือไม่เหมาะกับตัวเอง ฉะนั้นต้องแยกให้ออกระหว่างเพลงที่เราชอบ กับเพลงที่เหมาะกับเสียงเรา

 

บางทีเรามักมีภาพจำว่านักร้องประกวดต้องร้องเพลงโชว์พลังเสียง แต่ส่วนมากเท่าที่ผ่านการออดิชันมา กรรมการชอบฟังเพลงที่ฟังแล้วสบาย ซึ่งก็คือเพลงที่เหมาะกับเสียงของเรานั่นแหละ เราอาจไม่เหมาะกับเพลงโชว์เสียงอย่าง Listen ของบียอนเซ่ แต่เหมาะกับเพลงสบายๆ อย่างสิงโต นำโชค มากกว่า

 

อีกอย่างคือต้องมีการเตรียมท่อนเพลงสักหน่อย เลือกว่าท่อนไหนโชว์เสียงเรามากที่สุด ไม่จำเป็นต้องมายืนร้องตั้งแต่ท่อนเวิร์สแรก ซึ่งกว่าจะไปพีกก็อาจจะอีก 2 ท่อนต่อมา

 

เพราะด้วยความที่ผู้เข้าประกวดมีมาก กรรมการก็ต้องทำเวลาในการฟัง แต่ถึงเวลาจะน้อย กรรมการก็ฟังออกว่าคุณมีศักยภาพประมาณไหน ฉะนั้นเอาท่อนที่ดีที่สุดของคุณออกมาเลย

 

ถ้ามีแบ็กกิ้งแทร็กก็ควรตัดมาแค่ท่อนที่โชว์เสียงเราก็พอ ไม่ต้องเอามาตั้งแต่ต้นเพลง

 

หรืออย่างที่เคยไปดูออดิชันรายการหาบอยแบนด์ ซึ่งก็จะมีตำแหน่งต่างๆ ทั้งร้อง เต้น แรป ก็เจอเด็กที่ร้องไม่ได้ดีมาก แต่แรปดี เต้นดี หน้าตาดี เราก็บอกไปว่าน้องควรเข้าไปโชว์แรปนะ มันน่าสนใจกว่า แต่พอปล่อยเข้าห้องออดิชันใหญ่ไป น้องกลับร้องเพลงที่เตรียมมาตั้งแต่ท่อนแรก กว่าจะเข้าท่อนแรปน้องก็โดนตัดจบไปแล้ว เสียดายแทน

 

 

รู้จักตัวเองให้ดีพอ

อีกประเด็นคือเราไม่ควรตอบกรรมการว่า ฟังเพลงทุกแนว ชอบเพลงศิลปินทุกคนเท่ากันหมด เพราะเขากำลังหาคาแรกเตอร์ของคุณอยู่ ฉะนั้นคุณควรรู้จักตัวเองระดับหนึ่งว่าเราเป็นนักร้องสไตล์ไหน หรือชอบฟังเพลงสไตล์ไหน

 

บางครั้งเด็กเลือกเพลงมา พีเองในฐานะครูก็ต้องกรองให้ว่าเพลงเหมาะกับน้องไหม แต่บางทีก็มีตัวแปรเป็นพ่อแม่เด็กเหมือนกัน ที่เลือกเพลงที่ตัวเองชอบมาให้ลูกร้อง แต่ไม่เหมาะกับลูก ทำให้บางครั้งนอกจากต้องสอนร้องเพลงแล้ว ก็ต้องสอนพ่อแม่ด้วยเหมือนกัน

 

First Impression คือสิ่งสำคัญ

วันออดิชันควรนอนมาให้พอ และแต่งตัวมาให้เหมาะ ไม่เยอะเว่อร์เกินไปจนน่าอึดอัด หรือแต่งตัวไม่สุภาพมากๆ มา ก็ทำให้ทีมงานรู้สึกไม่ประทับใจในแว่บแรก

 

พอเข้ามาถึงการร้องเพลง ก็อย่างที่บอกไปว่าต้องเลือกเพลงที่เหมาะกับเสียงตัวเอง บางคนอายุน้อยมากไม่ถึง 10 ขวบ แต่ร้องเพลงเนื้อหาแอบรักเป็นชู้อย่าง Saving All My Love For You ก็ไม่เหมาะนะ

 

บางคนจะรู้สึกว่าเพลงยากเนี่ย กูต้องร้องให้ได้ มันเป็นบันไดที่ต้องขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันต้องกลับมาดูตัวเองว่าเสียงเราเหมาะกับเพลงแบบไหนมากกว่า การร้องเพลงแหกปากพลังเสียงไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าเราเป็นนักร้องที่ไม่ดีหรือใช้ไม่ได้ เราอาจเหมาะกับเพลงอะคูสติก เพลงใสๆ มากกว่า

 

การเลือกเพลงมาร้อง

อีกอย่างคือ ควรเตรียมเพลงมาสัก 3-4 เพลง ในหมวดต่างๆ เช่น เพลงช้า เพลงเร็ว เพลงสากล เพราะกรรมการก็อยากรู้ว่าเด็กคนนี้มีศักยภาพด้านไหนบ้าง มีอะไรน่าสนใจซ่อนอยู่อีกบ้าง

 

ซึ่งสามารถคิดเพลงได้จากเพลงหลักของเราเลย เพลงหลักควรเป็นเพลงที่เราร้องแล้วมั่นใจ ถ้าเพลงนั้นเป็นเพลงเร็วสากล เราก็หาเพลงช้า เพลงไทย มาเพิ่มหน่อย เผื่อกรรมการอยากฟังอีก เราจะเตรียมเพลงแนวเดียวกันมาให้กรรมการฟังทำไมล่ะ เพราะถ้ามันออกมาแย่ มันก็แย่ไปเลย ถ้ามันออกมาดี มันก็ดีเหมือนเดิม เราควรจะมีความดีหลายๆ แบบบ้าง

 

ความในใจทีมงานออดิชัน

เป็นตำแหน่งที่กดดันนะ เพราะนอกจากต้องตัดสินคนที่เราไม่รู้จัก ต้องบอกปฏิเสธคนจำนวนมากแล้ว การปล่อยให้คนที่ไม่ใช่คาแรกเตอร์ที่รายการหาอยู่ให้เข้าสู่รอบต่อไป ก็เสี่ยงต่อการโดนทีมงานหรือโปรดิวเซอร์ด่าได้เหมือนกัน

 

การออดิชันหรือรายการประกวดเหล่านี้ก็เป็นเหมือนบันไดขั้นแรกของการเข้าสู่สังคมนักดนตรี ฉะนั้นอย่างแรกสำหรับคนที่อยากเข้ามาออดิชันคือ เราต้องรักการร้องเพลง ไม่อยากให้คาดหวังอย่างอื่นก่อน ถ้าเราขับเคลื่อนตัวเองด้วยความสุขในการร้องเพลง เมื่อเจอฟีดแบ็กทั้งดีหรือไม่ดี ความเหนื่อยในการทำงานในภายภาคหน้า ความสุขนี่แหละที่จะทำให้เราไปต่อได้

 

อย่างที่สองคือสิ่งที่ย้ำมาตลอด เราต้องรู้จักตัวเอง และรู้ว่าจะพรีเซนต์อะไรในตัวเองให้คนอื่นดูหรือฟัง

 

อีกอย่างคืออยากเสริมให้คนที่ออดิชันแล้วไม่ผ่าน ว่านั่นไม่ใช่จุดจบของโลกนะ พลังของบางคนไม่ได้เหมาะจะมาโชว์คนเดียวบนเวที แต่อาจจะเหมาะกับการเล่นดนตรีกับเพื่อนแล้วอัปลงยูทูบก็ได้ หาช่องทางที่เหมาะกับตัวเองดีกว่า

 


ฟังรายการ Eargasm Deep talk พอดแคสต์ โดยแอปฯ Podcasts (สำหรับผู้ใช้ iOS), Podbean และแอปฯ ประเภท Podcast Player ยี่ห้อใดก็ได้ (สำหรับผู้ใช้ Android) หรือฟังทาง SoundCloud และ YouTube ก็ได้เช่นกัน

 


Credits


The Host
แพท บุญสินสุข

The Guest ประพฤติ ทองธานี, รฐา โกกิลานนท์, นทธัญ แสงไชย


Show Creator
แพท บุญสินสุข

Show Producer นทธัญ แสงไชย

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Music Westonemusic

The post How to Audition ทีมงานออดิชันอยากเห็นอะไรจากคนมาประกวดร้องเพลง appeared first on THE STANDARD.

]]>