Career Path – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 11 Jan 2021 06:53:50 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 70-20-10 สูตรพัฒนาทักษะ เรียนรู้ตลอดชีวิต https://thestandard.co/podcast/thesecretsauce310/ Mon, 16 Nov 2020 15:35:18 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=421378 The Secret Sauce 70-20-10 สูตรพัฒนาทักษะ เรียนรู้ตลอดชีวิต

ไม่ว่าบริษัท กลยุทธ์ หรือหัวหน้าจะดีสักแค่ไหน แต่หาก ‘ค […]

The post 70-20-10 สูตรพัฒนาทักษะ เรียนรู้ตลอดชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Secret Sauce 70-20-10 สูตรพัฒนาทักษะ เรียนรู้ตลอดชีวิต

ไม่ว่าบริษัท กลยุทธ์ หรือหัวหน้าจะดีสักแค่ไหน แต่หาก ‘คน’ ไม่พร้อมไปด้วยกัน องค์กรก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้



The Secret Sauce เอพิโสดนี้ เคน นครินทร์ คุยกับ จุ๊บ-ชุติมา เกษมกรกิจ Head of KBTG Academy ถึงโมเดลการเรียนรู้ 70-20-10 เฟรมเวิร์กที่สร้างคนทำงานให้เก่งรอบด้าน และสามารถเติบโตไปกับองค์กรได้จริง

 

ติดตามซีรีส์ The Secret Sauce: Beyond the Future by KBTG ได้ตลอดปี 2020 ทุกช่องทางพอดแคสต์

 

 


 

สามารถฟังพอดแคสต์ The Secret Sauce
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย

 


 

Credits

 

Show Creator นครินทร์ วนกิจไพบูลย์

Show Producer ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Creative ภัทร จารุอริยานนท์
Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์
Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์
Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Proofreader วรรษมล สิงหโกมล

Webmaster ณฐพร  โรจน์อนุสรณ์
Social Media Admin สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี, ณัฐชัย ตั้งวงศ์วิวัฒน์  

Archive Officer ชริน จำปาวัน 

Music westonemusic.com
Intern เอกราช มอเซอร์

The post 70-20-10 สูตรพัฒนาทักษะ เรียนรู้ตลอดชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไม่ต้องเป็นหัวหน้าก็เติบโตได้ จงวัด Career Path ที่ ‘ผลงาน’ ไม่ใช่ ‘ระยะเวลา’ https://thestandard.co/podcast/thesecretsauce153/ Fri, 20 Sep 2019 11:22:32 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=289045 The Secret Sauce

อยากเติบโตในหน้าที่การงานต้องทำอย่างไร   คนวัยทำงา […]

The post ไม่ต้องเป็นหัวหน้าก็เติบโตได้ จงวัด Career Path ที่ ‘ผลงาน’ ไม่ใช่ ‘ระยะเวลา’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Secret Sauce

อยากเติบโตในหน้าที่การงานต้องทำอย่างไร

 

คนวัยทำงานมักตั้งคำถามเรื่องนี้กับตัวเองอยู่เสมอ อีก 5 ปีข้างหน้า จะเติบโตไปในทิศทางไหน อาชีพที่ทำอยู่ใช่ทางที่ชอบหรือยัง อยากขึ้นเป็นตำแหน่งหัวหน้า หรือเป็น Specialist ในด้านนั้นๆ ในขณะเดียวกันผู้บริหารก็ต้องคิดเรื่องนี้ให้ลูกน้องเช่นกัน เพื่อรักษาคนเก่งๆ เอาไว้ และทำให้องค์กรพัฒนาไปไม่หยุดนิ่ง

 

The Secret Sauce เอพิโสดนี้ เคน นครินทร์ ชวน จี๊ด-ปัทมาวลัย รัตนพล (Chief People Officer, Minor International & Minor Food) มาคุยเรื่องโอกาสในการเติบโตของคนทำงาน

 


 

Career Path คืออะไร

ที่ Minor จะไม่ใช่คำว่า Career Path แต่เปลี่ยนเป็น Career Opportunity เพราะทุกคนมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพได้อย่างไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับว่าผลงานของคุณคืออะไร เรื่องนี้ต่อยอดมาจากเรื่องเป้าหมาย เมื่อเราสามารถทำเป้าหมายได้สำเร็จ สิ่งนั้นคือผลงาน หากคุณทำผลงานได้ดีเยี่ยมหลายครั้ง มันสะท้อนถึงความโดดเด่นให้คนอื่นได้เห็น เป็นโอกาสผลักดันตัวเองให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

 

ทุกคนควรก้าวหน้าอย่างมีความสุข ไม่ใช่ก้าวหน้าเพราะความเชื่อ อย่าติดอยู่กับการวิ่งตามตำแหน่งงานที่คนอื่นเลือกให้ เพราะมันอาจไม่ใช่ความถนัดส่วนตัว ไม่ได้เป็นสิ่งที่รัก และไม่ตอบโจทย์กับชีวิต

 

น่าเสียดายที่คนไทยขาดโอกาสเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างถูกกำหนดด้วยการศึกษาและปริญญา กลับกัน กลุ่มสตาร์ทอัพจะได้เลือกสิ่งที่ชอบ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากสิ่งนั้นยังไม่ใช่

 

รักษาคนเก่งด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรมารองรับ

Career Opportunity ที่ Minor ไม่มีลิมิต เราพร้อมรักษาคนเก่งด้วยการปรับโครงสร้าง เพื่อให้เขาได้ทำตำแหน่งใหม่ เรามีจุดขายชัดเจนว่า พนักงานสามารถอยู่ธุรกิจไหน บริษัทไหน ในประเทศใดก็ได้ เพราะเรามีหลายธุรกิจ ครอบคลุม 64 ประเทศทั่วโลก

 

เริ่มหา Career Opportunity อย่างไร

1. พิจารณาดูว่า บทบาทของตัวเองคืออะไร อ่าน Job Description ว่าทำได้ทั้งหมดไหม
2. จากบทบาททั้งหมดที่ต้องทำ สิ่งไหนคือสิ่งที่โดดเด่นที่สุด
3. ในสิ่งที่โดดเด่นที่สุด สามารถทำงานได้บรรลุตามเป้าหมายหรือไม่
4. ถ้าทำได้ เราอยากเติบโตไปในสายงานนี้หรือไม่

 

ไม่รู้วิธีตั้ง Career Path ของตัวเองทำอย่างไรดี

ลองดูว่างานที่หัวหน้าตัวเองทำอยู่คืออะไร สมมติว่าทุกวันนี้ตำแหน่งของเราคือผู้ช่วยผู้จัดการแผนก ความฝันอยากเป็นผู้จัดการแผนกก็ควรหมั่นสังเกตดูว่าเขาทำงานอะไร ทำอย่างไร เราสามารถดึงงานเขามาช่วยทำแทนได้ไหม ทำตัวเองให้พร้อม ถ้าวันหนึ่งมีตำแหน่งว่าง และผลงานเราโดดเด่นมากพอ เขามีโอกาสเลือกเรา เพราะเราคือคนที่พร้อมที่สุด

 

หัวหน้าเองก็ต้องหา Successor มาเป็นตัวแทนของตัวเองเอาไว้ด้วย ในวันหนึ่งที่จะขยับตำแหน่งขึ้น จะได้มีคนมาทำงานตรงนั้นแทนที่

 

Career Wish เครื่องมือช่วยคนที่ไม่รู้ว่าต้องเติบโตไปทางไหน

คนสองคนที่ต้องช่วยพนักงานที่ยังไม่รู้ Career Path ตัวเอง คือ หัวหน้าและฝ่ายบุคคล ที่ Minor เอกสารหน้าสุดท้ายของการประเมินประจำปี คือโจทย์ที่ให้พนักงานเขียน Career Wish 3 ข้อ ‘คุณจะทำตำแหน่งอะไรบ้าง ถ้าไม่ทำตำแหน่งนี้’ เราให้พนักงานเลือกตำแหน่งอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำที่เดิมก็ได้ มันทำให้เห็นว่า บางคนอยากขึ้นตำแหน่งสูงขึ้นไป ในขณะที่บางคนอยากเปลี่ยนสายงาน สิ่งนี้จะช่วยให้เรารู้จักตัวตนของเขามากยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ในใบประเมินของเรายังมีหน้าวัดผลงาน Performance แผนพัฒนา และ Career Wish ทั้งหมดช่วยสะท้อนจุดยืน แผนพัฒนา และความฝัน

 

โดยทุกไตรมาสหัวหน้าต้องทำ Business Review เพื่อดูปัญหา อุปสรรค และโอกาส ดูว่าภาพรวมเกิดอะไรขึ้นบ้างในบริษัท จากนั้นจึงนำมาเชื่อมโยงกับแบบประเมินที่เล่าไปข้างต้น เพื่อหาพนักงานที่เหมาะสมมารองรับการทำงานที่ต้องปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา

 

คนทำงานไม่จำเป็นต้องเติบโตไปเป็น ‘หัวหน้า’ เสมอไป
การเติบโตในสายงานมี 2 รูปแบบ

 

1. Management

ถ้าคุณชอบสายงานด้านบริหารมากกว่า คุณไม่จำเป็นต้องเก่งด้านนั้นมากที่สุด แต่ต้องมีทักษะพื้นฐาน เพื่อใช้ในการคัดเลือกทีมงาน เพื่อมาทำให้ทีมสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

 

2. Specialist

คุณอาจไม่จำเป็นต้องมีลูกน้องมากมาย แต่คุณต้องมีชื่อเสียงในด้านที่คุณทำให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นที่หนึ่งและตัวเลือกแรกที่จะถูกนึกถึง

 

Career Path อยู่ที่ ‘ผลงาน’ ไม่ใช่ ‘ระยะเวลา’
การเริ่มต้นสร้าง Career Path ของตัวเอง ทำได้ทุกวัน อย่าคิดว่าต้องตั้งต้นที่ปีใหม่เท่านั้น ถ้ายังไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอะไร ย้อนกลับมาถามตัวเองก่อนว่า แพสชันของคุณคืออะไร การทำงานต้องมีแพสชัน ถึงตามมาด้วยเป้าหมาย เหมือนคนวิ่งมาราธอน เขาตั้งใจฝึกฝนด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมาคอยดูเลยว่า วันนี้จะมีเพื่อนไปวิ่งด้วยกันไหม การทำงานก็เช่นกัน เริ่มต้นที่ตัวเองโดยไม่ต้องรอให้หัวหน้ามาคอยสั่ง เพราะท้ายที่สุด Career Path อยู่ที่ Performance ของคุณในวันนี้ ไม่ใช่ระยะเวลาที่ต้องสะสมไปเรื่อยๆ เท่านั้น 

 


 

สามารถฟังพอดแคสต์ The Secret Sauce
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย

 


 

Credits

 

The Host นครินทร์ วนกิจไพบลูย์

The Guest ปัทมาวลัย รัตนพล

Show Creator นครินทร์ วนกิจไพบูลย์

Show Producers เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์, ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Marketing & Coordinator อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Proofreader ภาวิกา ขันติศรีสกุล

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Podcast Interns อสุมิ สุกี้คาวา, ณัฏฐนิช ผิวสว่าง

The post ไม่ต้องเป็นหัวหน้าก็เติบโตได้ จงวัด Career Path ที่ ‘ผลงาน’ ไม่ใช่ ‘ระยะเวลา’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fasting นอน บริหารเวลา ทักษะ หัวหน้า ตอบทุกคำถามจากคนฟังในซีซันแรก https://thestandard.co/podcast/superproductivespecialep/ Tue, 14 May 2019 17:01:57 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=248014

พอดแคสต์รายการ Super Productive เดินทางมาถึงเอพิโสดสุดท […]

The post Fasting นอน บริหารเวลา ทักษะ หัวหน้า ตอบทุกคำถามจากคนฟังในซีซันแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>

พอดแคสต์รายการ Super Productive เดินทางมาถึงเอพิโสดสุดท้ายในซีซันแรก รวิศ หาญอุตสาหะ รวมทุกคำถามจากแฟนรายการ ทั้งเรื่องกิจวัตรประจำวัน การทำงาน การแก้ปัญหา และอื่นๆ อีกมาก พร้อมคำตอบที่สามารถนำไปปรับใช้จริง

 


 

Q: คุณรวิศตื่นเช้ามาก (ประมาณตี 4) อยากรู้ว่านอนกี่โมงและนอนวันละกี่ชั่วโมง

 

 

A: โชคดีที่ทุกวันนี้ลูกมานอนกับผม เด็กๆ ต้องหลับเร็ว ทำให้ผมต้องนอนพร้อมพวกเขาในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม โดยมีเทคนิคคือ ผมทำ Fasting ไม่ได้กินข้าวเย็น จึงมีเวลาไปจัดแจงธุระส่วนตัวอื่นๆ พอประมาณ 2 ทุ่มก็เริ่มเตรียมตัวเข้านอน

 

หลายคนอาจโอดโอยต่อว่า โห มันดูเนิร์ดมากเลยนะ การนอน 3 ทุ่มเป็นไปไม่ได้หรอก ปกติเวลานี้บางคนเพิ่งเริ่มดูซีรีส์ตอนแรกด้วยซ้ำ

 

ผมจึงต้องเสริมต่อว่า อีกประเด็นสำคัญของการนอน ถ้าคุณอยากจะนอนเร็ว คุณต้องนอนเร็วทุกวัน ไม่เช่นนั้นนาฬิกาชีวิตจะรวน และควรนอนอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง โดยต้องไม่ลืมว่าชั่วโมงในการนอนไม่สำคัญเท่าคุณภาพในการนอนครับ

 

Q: ในแต่ละคืน ผมฝันเยอะมาก แทบไม่เคยเข้าขั้นหลับลึกเลย ขอคำแนะนำหน่อยว่าควรทำอย่างไรให้ Productive กว่านี้ดีครับ

 

A: ผมเองก็ฝันบ้างเป็นบางคืน มันเหมือนมีเรื่องคิดอยู่เลยเก็บไปฝัน เปรียบเหมือนไฟที่ปิดสวิตช์ได้ไม่สนิท ยังหรี่ๆ อยู่ วิธีหนึ่งที่ผมทำแล้วเวิร์กมากคือการนั่งสมาธิครับ

 

ผมอยากให้คิดว่าการนั่งสมาธิคือการเสริมความ Productive ครับ หลายคนพอพูดถึงเรื่องนี้อาจโยงเข้าเรื่องศาสนาทันที ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ ทุกศาสนาสอนเรื่องการทำสมาธิมาตั้งนานแล้ว หรือแม้แต่คนที่ไม่คิดเรื่องศาสนาก็ทำเรื่องนี้เป็นปกติ ดังนั้นการไปฟิตเนสทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่การนั่งสมาธิทำให้สมองแข็งแรงและการพักผ่อนดีขึ้นครับ

 

Q: อยากได้คลิปยืดเหยียดก่อนนอนตามที่คุณรวิศเคยแนะนำไปใน Super Productive EP.1 ครับ

 

A: เสิร์ชคำว่า ‘Sleeping Yoga’ เลยครับ ดีมาก มันจะเป็นการโยคะเพื่อทำให้คนหลับดีขึ้น

 

Q: การ Fasting 16/8 ควรทำทุกวันไหม

 

A: ทวนอีกครั้ง Fasting 16/8 คือการกิน 8 ชั่วโมงและอดอีก 16 ชั่วโมง สมมติคุณเริ่มกินข้าวมื้อแรกตอน 09.00 น. คุณจะกินมื้อสุดท้ายได้ก่อน 17.00 น. หลังจากนั้นจะกินได้แค่น้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่มีแคลอรี 0% ซึ่งควรทำทุกวันครับ ยกเว้นแต่ว่าบางคนที่อดอาหารในระยะเวลาที่นานขึ้น เช่น 20/4 กินแค่ 4 ชั่วโมง ที่เหลืออดยาว แบบนั้นอาจเว้นวันได้ครับ

 

ทั้งนี้ผมขอย้ำอีกทีว่า Fasting เป็นวิถีชีวิต เอาที่คุณทำไหว อย่าทำแบบที่ไม่มีความสุข อย่าปล่อยให้ร่างกายทรมาน ถ้าเมื่อไรที่รู้สึกแบบนั้น ลองหาวิธีอื่นที่เหมาะสมกับตัวเองดูดีกว่าครับ

 

Q: ถ้าอยากปรึกษาหมอเกี่ยวกับการ Fasting ควรไปแผนกไหนดี

 

A: จริงๆ ตอนที่ผมปรึกษา ผมไปหาคุณหมอที่ตรวจร่างกายอยู่ในแผนกอายุกรรมครับ คุณหมอจะเช็กให้หลายเรื่อง เช่น ตรวจความดันว่าเราเหมาะไหมที่จะเริ่มทำ Fasting แต่บางทีอาจจะต้องเริ่มทำก่อน บางคนเริ่มทำแล้วความดันตกก็ทำต่อไม่ได้

 

เท่าที่ผมอ่านรีเสิร์ชมา พบว่าถ้าในกรณีที่มีปัญหาจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่า ยังหาสาเหตุไม่เจอแน่ชัด ผมเลยอยากแนะนำว่าถ้าเป็นผู้หญิงก่อนเริ่มทำไปหาคุณหมอก่อนจะแน่นอนกว่าครับ

 

Q: ถ้าช่วงเช้าประมาณตี 4 ของผมคือการอ่านหนังสือแทนการออกกำลังกาย ช่วง 6 โมงเย็นถึงทุ่มตรง ผมไปออกกำลังกายแทนได้ไหมครับ

 

A: ทำได้ครับ ถ้าเสิร์ชดูคำถามเกี่ยวกับการออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดีกว่ากัน คุณจะพบหลักฐานที่สนับสนุนได้ทั้ง 2 เรื่องเลย ผมจึงมีข้อสรุปกับตัวเองว่าออกตอนไหนก็ได้ ขอให้ได้ออกเถอะ แต่ปัญหาหนึ่งที่คนออกกำลังกายตอนเย็นมักเจอคือเรื่องนอนไม่หลับ มันจึงเป็นสาเหตุที่คนต้องออกกำลังกายตอนเช้า

 

Q: แนะนำหูฟังแบบ Noise Canceling ให้หน่อยครับ

 

A: ผมขอไม่พูดเจาะจงยี่ห้อ แต่อยากให้พิจารณาจากราคาที่เหมาะสม มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น และอยากให้เลือกหูฟังที่ใส่สบาย เพราะหูฟังประเภทนี้ถ้าใส่ไม่สบาย จะไม่มีใครอยากใส่ เพราะมันเจ็บ ดังนั้นอย่าลืมเน้นเรื่องนี้เวลาดูรีวิว และถ้าเป็นไปได้ อาจลองใส่ดูก่อนที่ร้านจะดีที่สุดครับ

 

ข้อดีอย่างหนึ่งของหูฟังประเภทนี้คือ เวลาเดินทาง สมมติว่าคุณต้องขึ้นเครื่องบินที่มีเสียงดังหรือมีเด็กร้องไห้รบกวน หูฟังนี้จะช่วยชีวิตคุณได้มากครับ ที่สำคัญมันพกพาง่าย สะดวก มีขนาดเล็ก ต่างจากหูฟังครอบหูที่มีขนาดใหญ่กว่าครับ

 

Q: อาชีพซัพพอร์ต ทุกงานคืองานแทรก ไม่รู้จะแพลนตารางงานใส่ Time Boxing อย่างไรดี ขอคำแนะนำหน่อยครับ #พยายามต่อไป

 

A: ที่บริษัทศรีจันทร์ แผนกไอทีซัพพอร์ต เวลาพนักงานมีปัญหาเกี่ยวกับไอที จะไม่ให้พวกเขาเดินตรงไปขอความช่วยเหลือทันที แต่จะต้องทำไอทีรีเควสต์เข้าไปก่อน และเดี๋ยวพนักงานไอทีจะจัดลำดับความสำคัญเอง นอกจากว่าเป็นเรื่องด่วนจริงๆ ก็สามารถเดินไปขอหัวหน้าแผนกไอทีให้ช่วยจัดพนักงานมาทำก่อนได้

 

ลองนำระบบนี้ไปเสนอหัวหน้าดูครับ ชื่อระบบว่า Ticketing ครับ

 

Q: การประชุมควรอยู่ในงานประเภทไหนของ Time Boxing

 

A: อยู่ได้หลายประเภทครับ ผมว่าการประชุมส่วนใหญ่อยู่ในงานแอดมิน คือการประชุมเกินครึ่ง จริงๆ แล้วไม่ต้องประชุมก็ได้ ถึงแม้การประชุมที่ Productive ก็มี แต่ไม่ควรมีใครใช้การประชุมเป็นงานหลักครับ

 

Q: แนะนำเครื่องมือสำหรับทำ Time Boxing ของนักศึกษาหน่อยครับ ใช้เครื่องมือพวก Task Management แล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจครับ

 

A: จริงๆ แล้วการทำ Time Boxing ไม่ต้องสนใจเรื่องเครื่องมือมากนัก ผมเชื่อว่าเครื่องมือก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่สำคัญคือความเข้าใจเกี่ยวกับการทำสิ่งนี้ ผมว่านักศึกษาน่าจะเข้าใจเรื่องการจัดสรรเวลาได้ดีอยู่แล้ว เพราะนักศึกษาอยู่กับเดดไลน์ การทำ Time Boxing คือการมีเดดไลน์เยอะๆ นั่นเอง

 

ยกตัวอย่างการทำธีสิส มันมีงานที่ต้องทำหลายส่วน เช่น หาข้อมูล ออกไปสัมภาษณ์ เขียนรายงาน การทำ Time Boxing คือการแบ่งว่าคุณจะทำงานส่วนไหนเป็นเวลากี่ชั่วโมง แล้วพยายามทำงานให้มันอยู่ในส่วนนั้นให้ได้

 

Q: ตอนสัมภาษณ์งาน ถ้าตอบไปว่าอยากได้ความรู้ โดยที่ทักษะเรายังไม่แข็งแรงพอ เขาจะรับไหมคะ จนแอบคิดไปว่าต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดหรือเปล่า คิดว่าหลายคนน่าจะเจอปัญหานี้เหมือนกันค่ะ

 

A: ถ้าพูดถึงคำว่าทักษะ ผมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึง Hard Skill หรือทักษะที่สามารถฝึกได้ เช่น ภาษาหรือตัวเลข ผมว่าสมัยนี้คนดูเรื่องทัศนคติก่อน เพราะทักษะเป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้ แปลว่าถ้าให้เลือกระหว่างสองคน คนแรกทัศนคติไม่ดีแต่ทักษะดี อีกคนทัศนคติดีแต่ทักษะยังไม่ค่อยดี เลือกคนที่ 2 ดีกว่าครับ เพราะทัศนคติสำคัญกว่าทักษะ

 

ที่สำคัญ ห้ามโกหก เพราะเขาสามารถจับคุณได้ ถ้าคุณโกหกและได้งาน สุดท้ายไม่ผ่านโปร มันเจ็บปวดกว่านะครับ ถ้าเขาต้องการคนที่ทำงานได้ทันทีก็อาจไม่เหมาะกับคุณ แต่หากเป็นงานที่คุณสามารถพัฒนาทักษะไปด้วยได้​ โดยมีทัศนคติที่พร้อมเรียนรู้ คุณจะได้งานที่เหมาะสมครับ

 

Q: Career Path จะนำไปปรับกับธุรกิจส่วนตัวได้อย่างไร

 

A: ถ้าใช้คำว่า Career Path อาจดูทางการไปสักเล็กน้อย แต่เรียกง่ายๆ มันคือที่ที่คุณอยากไปในแต่ละช่วงของชีวิต ตอนที่ผมอายุ 30 กับตอนนี้ก็มีความต้องการต่างกันไป ตอน 30 ผมต้องการความอิสระ อยากเดินทางให้มาก คิดจะทำงานตอนไหนก็ทำ พอ 40 คุณมีครอบครัว อาจต้องการความมั่นคงมากขึ้น ทำงานให้เป็นเวลา

 

ฉะนั้นคำว่า Career Path ไม่ได้เกี่ยวกับแค่คนทำงานในบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่มันเกี่ยวข้องกับทุกคน แม้แต่คนที่ไม่ทำงาน คุณแม่อยู่ที่บ้านก็สามารถมี Career Path ได้ คุณอยากดูแลลูกอย่างไร แต่ละขั้นของชีวิตอยากไปอยู่จุดไหนในการดูแลลูก คุณสามารถวางเป้าหมายเองได้ครับ

 

Q: อยากให้เล่าถึงเรื่อง Risk Management หน่อยครับ

 

A: Risk Management คือการเข้าใจเรื่องความเสี่ยง หมายความว่าเราต้องไม่ดูแค่เรื่องผลตอบแทนอย่างเดียว แต่ต้องสามารถเอา ‘ผลตอบแทน’ กับ ‘ความเสี่ยง’ มาคิดอยู่ในสเกลเดียวกันได้

 

สมมติถ้าคุณมี 2 โปรเจกต์ งานแรกมีผลตอบแทนเท่ากับ 100 มีค่าความเสี่ยงแฟกเตอร์อยู่ที่ 0.6 งานที่ 2 มีผลตอบแทนเท่ากับ 200 มีค่าความเสี่ยงแฟกเตอร์อยู่ที่ 0.8 คุณต้องรู้วิธีการว่าควรจะเลือกอันไหนดี นั่นคือ Risk Management

 

Q: มีหนังสือเกี่ยวกับ Coaching แนะนำไหมครับ

 

A: ส่วนตัวผมชอบหนังสือตระกูล Harvard Business Review ที่สุด เพราะเขาเป็นหนังสือเล่มเล็กที่บอกชื่อสถานการณ์ต่างๆ อยู่บนปก เช่น การเมืองในออฟฟิศ การขึ้นเงินเดือน การให้ฟีดแบ็ก คุณสามารถหยิบเล่มที่ตรงกับความต้องการและนำมาปรับใช้ได้ทันทีเลยครับ

 

Q: ถ้ามีกำหนดเวลาให้คนในที่ประชุมพูด มีหลักการเลือกอย่างไรว่าควรให้ใครพูดต่อหรือต้องตัดบท และถ้าต้องตัดบทจริงๆ จะตัดบทอย่างไรให้มีมารยาทครับ

 

A:  ทันทีที่เรื่องออกนอกหัวข้อการประชุม นั่นเท่ากับว่าต้องตัดบทได้แล้ว หรือถ้าเรื่องยังอยู่ในหัวข้อแต่มันเริ่มลงรายละเอียดยิบย่อย คนคุยกันเองอยู่แค่สองคน คนอื่นเริ่มเล่นมือถือแล้ว ก็ควรตัดบทเช่นกัน

 

ผมขอย้ำอีกครั้งว่าการประชุมมีมูลค่าแพงมาก บางคนอาจกำลังจะพูดเข้าเรื่อง แต่ใช้เวลาเกริ่นนานมาก ทำให้เสียเวลาสำคัญในการประชุม แบบนี้ควรพูดนอกรอบเพื่อให้เขาเข้าใจสถานการณ์และลองปรับการพูดอีกครั้งครับ

 

Q: อยากทราบวิธีการประเมินผลครับ หลายครั้งเรามีวัตถุประสงค์ที่มีความนามธรรมสูงมาก เราประเมินผลออกมาได้อย่างไร บ่อยครั้งที่เรานำคำถามไปใช้มากมายในการประเมิน แต่ผู้ประเมินผลหลายคนไม่ชอบคำถามยาวขนาดนั้น มันค่อนข้างใช้เวลา พอจะแนะนำวิธีการประเมินผลที่ Productive ได้ไหมครับ

 

A: คำถามนี้เป็นเรื่องที่คนตั้งข้อสงสัยมาโดยตลอด และผมกล้าตอบได้เลยว่ายังไม่มีระบบที่สมบูรณ์แบบ เพราะคนเรามีระบบความคิดที่ซับซ้อนมาก บางครั้งเรายังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเลย เราจะเข้าใจคนอื่นได้อย่างไร แต่การประเมินผลที่ดีควรจะมีลักษณะดังนี้

 

1. ทำให้คนที่ถูกประเมินรู้ว่าความคาดหวังของบริษัทต่อเขาคือเรื่องอะไร

2. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน

3. ทำอย่างไรก็ได้ให้เอาความลำเอียง หรืออคติออกไปจากแบบประเมินได้มากที่สุด

 

Q: เป็นหัวหน้ามือใหม่ ที่ต้องเป็นคนกลางระหว่างลูกน้อง 2 คนที่มีปัญหากันเรื่องส่วนตัว จนทำงานกันไม่ได้ ควรวางตัวอย่างไรดีคะ

 

A: จริงๆ ไม่ต้องหัวหน้ามือใหม่ แค่หัวหน้ามือเก่าก็เครียดมากแล้วครับ ผมเองเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้หลายครั้ง ลองมาแล้วหลายวิธี ส่วนตัวมีความเชื่อว่าเราต้องหาให้เจอก่อนว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร บางครั้งเราอาจคิดไปเองว่ามันเป็นปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาเรื่องงาน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ บางทีมันอาจลึกซึ้งกว่านั้น อาจเป็นเรื่องความแตกต่างทางความคิดหรือทางนิสัย หลังจากเข้าใจแล้ว สิ่งที่ทำได้คือการแก้ปัญหารายบุคคล

 

ลูกน้องทุกคนมีวิธีรับมือและแก้ปัญหาต่างกัน มันไม่สามารถใช้เครื่องมือเดียวและแก้ปัญหาทุกคนพร้อมกันได้ ผมกล้ารับรองว่าคุณมีลูกน้อง 10 คน ก็ต้องรับมือ 10 แบบครับ

 

Q: ผมอายุ 27 ปี ทำงานเอเจนซี รู้สึกว่าเงินแต่ละเดือนไม่พอใช้ อยากทำธุรกิจออนไลน์เสริม แต่งานที่ทำอยู่ก็เอาเวลาชีวิตไปเยอะมาก ผมควรบริหารเวลาอย่างไรดีครับ

 

A: พี่หนุ่ม The Money Coach เคยพูดไว้ว่า เราสามารถบริหารจัดการเงินให้มีอิสรภาพได้ ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และภาระของเรา ซึ่งมันสามารถปรับได้เสมอ

 

ส่วนเรื่องการหารายได้เสริม ข้อดีของมันคือคุณสามารถเลือกได้ว่าจะทำตอนไหน ถ้างานประจำยุ่งมากและไม่เป็นเวลา ควรหางานเสริมที่เหมาะสมกับตารางเวลาทำงานแบบนี้ เช่น งานที่ขายสมอง ลงโปรไฟล์รับออกแบบโลโก้ในเว็บไซต์ ทำเฉพาะเวลาที่จัดสรรได้

 

ส่วนตัวผมเชียร์ให้ทุกคนมีงานที่ 2 นะครับ เพราะนอกจากมันจะช่วยเพิ่มรายได้ให้เราแล้ว มันยังเพิ่มทักษะบางอย่างที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อนได้อีกด้วยครับ

 

Q: ไม่เก่งเรื่องตัวเลข จะสามารถทำธุรกิจได้ไหมครับ

 

A: ได้ครับ แต่คำว่า ‘ไม่เก่ง’ ในที่นี้ เรื่องบวกลบคูณหาร คุณยังต้องเข้าใจนะครับ เงินมาทางไหน ไปทางไหน ต้องเข้าใจพื้นฐานเอาไว้ อย่างที่ผมได้พูดในเอพิโสดเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขในชีวิตประจำวัน เราต้องเจอตัวเลขทุกครั้งที่เดินออกจากบ้าน เช่นเดียวกับเรื่องเงิน เราต้องรู้ว่าอันไหนถูก อันไหนแพง อันไหนราคาสูง อันไหนราคาต่ำ ทุกแบบมีข้อแตกต่างกันหมดเลย ดังนั้นเราต้องศึกษาไว้ให้ดีครับ

 


 

สามารถฟังพอดแคสต์ SUPER PRODUCTIVE
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย

 

 

Credits

 

The Host รวิศ หาญอุตสาหะ

Show Creator รวิศ หาญอุตสาหะ

Show Producers เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์, ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

The post Fasting นอน บริหารเวลา ทักษะ หัวหน้า ตอบทุกคำถามจากคนฟังในซีซันแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
รวมคำตอบเรื่อง Career Path ที่คนทำงานทุกอาชีพควรรู้ และนำไปปรับใช้ได้ทันที https://thestandard.co/podcast/superproductive03/ Tue, 05 Feb 2019 17:01:56 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=190348

Career Path คืออะไร จะช่วยให้ชีวิตและการทำงาน Productiv […]

The post รวมคำตอบเรื่อง Career Path ที่คนทำงานทุกอาชีพควรรู้ และนำไปปรับใช้ได้ทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>

Career Path คืออะไร จะช่วยให้ชีวิตและการทำงาน Productive ขึ้นได้อย่างไร

 

รวิศ หาญอุตสาหะ คุยกับ บี-อภิชาติ ขันธวิธิ เจ้าของเพจ HR – The Next Gen เกี่ยวกับเรื่อง Career Path ที่มนุษย์ทำงานทุกอาชีพควรรู้ และสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที ในพอดแคสต์ SUPER PRODUCTIVE

 




อย่ายึดติดกับความฝันอันสูงสุด

สำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร คำนึงไว้เสมอว่าสิ่งที่เราชอบที่สุด อาจไม่ใช่สิ่งที่สามารถอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือทำให้มีรายได้ ลองนึกถึงความชอบอันดับถัดมา ค่อยๆ คิดไล่ไปทีละข้อ แล้วมองหาความเป็นไปได้ในการนำมาปรับเปลี่ยนให้เป็นหน้าที่การงานของตัวเอง

 

มองหาพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่

สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ลองมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เคยทำในอดีต หาคำตอบให้ตัวเองว่า เราถนัดในเรื่องอะไรมากที่สุด ถ้าไม่รู้ลองถามคนใกล้ตัวดูก็ได้ อาจพบเจอพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว และเปลี่ยนเป็นอาชีพได้ในที่สุด

 

หาจุดขายของตัวเองให้เจอ

เวลาทำงาน ลองมองตัวเองเป็นหน่วยธุรกิจที่อยู่ในองค์กร บริษัทกำลังซื้อบริการจากเรา บริการในที่นี้คือความรู้ ความสามารถและเวลา หาจุดแข็งของตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด แล้วเทียบดูว่าจุดแข็งที่มีเหมาะกับองค์กรของเราไหม ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรือเปล่า

 

ยิ่งมีช่องว่างระหว่างจุดแข็งของเรากับความต้องการของบริษัทน้อยเท่าไร เรายิ่งมีโอกาสเติบโตใน Career Path ได้มากเท่านั้น

 

ปรับมุมมองความคิดในองค์กรที่โครงสร้างเติบโตยาก

พนักงานมักมอง Career Path เป็นแนวตั้ง คิดว่าต้องเลื่อนลำดับตำแหน่งกับผลตอบแทนให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงเรียกว่าประสบความสำเร็จ แต่ในสายตาของ HR มักมองถึงการพัฒนาในแนวนอน นั่นคือการขยายทักษะความรู้ความสามารถของพนักงานให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะองค์กรที่มีโครงสร้างแบน มีขั้นลำดับตำแหน่งให้เติบโตน้อย ต้องยอมรับความจริงก่อนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเติบโตในแนวตั้งขนาดนั้น

 

ดังนั้น ถ้าบริษัทไม่ได้มีแผนขยายธุรกิจ หรือหัวหน้ายังไม่ไปไหน อย่างไรเราก็ไม่โตแน่นอน แต่ถ้ามีจุดประสงค์ชัดเจนว่าอยากจะเติบโตจริงๆ อาจต้องหาโอกาสเติบโตในที่ใหม่ แต่ต้องไม่ลืมขยาย Career Path ในแนวนอน เพื่อเตรียมพร้อมขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นด้วย

 

Career Path ของคนที่เป็น Freelance

สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ อาจเป็นกราฟิก ช่างภาพ นักเขียน ดีไซเนอร์ หรืออื่นๆ ลองตั้งเป้าหมายในสายอาชีพของตัวเอง เช่น ถ้าเพิ่งจบใหม่ ยังเป็นจูเนียร์ในวงการ อาจบอกกับตัวเองว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า เราต้องมีคนรู้จัก ต้องเป็นที่นึกถึงอันดับแรก แล้วศึกษาว่าจะพัฒนาอย่างไรให้สามารถไปถึงจุดนั้น และคิดต่อไปอีกว่า หลังจากนั้นไปจะตั้ง Career Path ต่อไปอย่างไร

 

จริงไหมที่ยิ่งอายุมาก ยิ่งหางานยาก

ยุคนี้บางบริษัทจำกัดอายุคนเข้าทำงานใหม่ไม่เกิน 35 ปี เพราะมองว่าคนที่อายุมากกว่านี้ ไม่น่าเข้ามาทันการทำงานของคนรุ่นใหม่ หรืออีกแง่หนึ่งก็ต้องถามกลับไปว่า ถ้าเพิ่งเข้าทำงาน สามารถรับได้ไหมถ้ามีฐานเงินเดือนเท่าคนอายุ 25 เพราะงานใช้ทักษะไม่ต่างกัน

 

แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า เรื่องอายุจะถูกตัดไป บริษัทจะหันมาสนใจที่ทักษะความรู้ของคนที่สามารถทำงานได้จริงเป็นหลัก สังคมการทำงานจะถูกขยับด้วยช่วงอายุที่สูงขึ้น เพราะมีหลายธุรกิจเชื่อว่า กลุ่มคนอายุ 35-45 ปี มีความพร้อมต่อการขับเคลื่อนธุรกิจได้

 

ลาออกดีไหม? ถ้าไม่เห็น Career Path ของตัวเองในบริษัทเดิม

ถ้าคุณอยากเปลี่ยนงาน เพราะต้องการแค่ชื่อตำแหน่งใหญ่ อยากขอให้คิดให้ถี่ถ้วน

 

ลองถามตัวเองว่า วันแรกที่เดินเข้ามาในบริษัทนี้ เราต้องการอะไร แล้ววันนี้เหตุผลอะไรที่ทำให้การลาออกมีน้ำหนักมากขึ้น หากคำตอบที่ได้คือ Career Path ไม่เติบโต ต้องถามกลับไปอีกว่า Career Path ที่ไม่โตนั้นมีความสำคัญกับเรามากแค่ไหน ต้องการเพียงแค่ชื่อตำแหน่งใหญ่ หรือความท้าทายใหม่ในงานตำแหน่งนั้น ถ้าเป็นแบบหลังที่ต้องการความท้าทายในงาน ก็สามารถมองหาในบริษัทอื่น โดยไม่ลืมเรื่องการปรับตัวและพัฒนาความสามารถที่ตอบโจทย์กับที่ใหม่ รวมถึงความเสี่ยงอื่นๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นด้วย

 

สรุปขั้นตอนการตั้ง Self-Career Path

  1. ลิสต์จุดแข็งของตัวเองที่เชื่อมโยงกับหน้าที่การงานหรือตำแหน่งที่ทำอยู่
  2. สืบดูว่าตำแหน่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่ามีหน้าที่ความรับผิดชอบอะไรบ้าง โดยการสังเกตจากเจ้านาย หรือเข้าไปสอบถามพูดคุยกับ HR
  3. วิเคราะห์ดูว่าช่องว่างระหว่างความสามารถที่เรามีกับหน้าที่ที่อยากเป็น ต้องพัฒนาตัวเองอีกแค่ไหน และวางแผนว่าเรามีเวลาเท่าไรในการพาตัวเองไปถึงจุดนั้น

 


 

สามารถฟังพอดแคสต์ SUPER PRODUCTIVE
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย

 


 

Credits

 

The Host รวิศ หาญอุตสาหะ

The Guest อภิชาติ ขันธวิธิ

Show Creator รวิศ หาญอุตสาหะ

Show Producers เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์, ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Episode Editor อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Proofreader ภาวิกา ขันติศรีสกุล

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Podcast Intern วริษฐ์ โกศลศุภกิจ

The post รวมคำตอบเรื่อง Career Path ที่คนทำงานทุกอาชีพควรรู้ และนำไปปรับใช้ได้ทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
เราควรวาง Career Path ในการทำงานไหม แล้วทำอย่างไรจะไปถึงเป้าหมาย https://thestandard.co/podcast/ihatemyjob15/ Mon, 18 Jun 2018 06:06:49 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=98709

อนาคตเป็นเรื่องที่เราฝันถึงเสมอ โดยเฉพาะการทำงานที่หลาย […]

The post เราควรวาง Career Path ในการทำงานไหม แล้วทำอย่างไรจะไปถึงเป้าหมาย appeared first on THE STANDARD.

]]>

อนาคตเป็นเรื่องที่เราฝันถึงเสมอ โดยเฉพาะการทำงานที่หลายคนมักฝันว่าอยากประสบความสำเร็จ แต่พอตัดภาพมาที่ความจริง อนาคตที่เราคิดถึงมักอยู่ไกลแค่มื้อเที่ยงนี้จะกินอะไรดีเท่านั้น

 

I HATE MY JOB เอพิโสดนี้ บองเต่า และ ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ จะชวนกันคุยถึงการวางแผนอนาคตการทำงานหรือที่หลายคนรู้จักกันในคำว่าการวาง Career Path ว่าคืออะไร เราจำเป็นต้องเห็นอนาคตตัวเองไหม แล้วถ้าจะไปให้ถึงเป้าหมาย จะทำอย่างไรกับระหว่างทางที่ไม่แน่ไม่นอนแบบนี้

 


 

Career Path คืออะไร

คือการวางเส้นทางความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ที่ไม่เพียงแค่เราต้องรู้ตั้งแต่ต้นว่าตอนนี้กำลังทำตำแหน่งอะไร เจริญเติบโตไปเป็นตำแหน่งไหน เป้าหมายสูงสุดในการทำงานคืออะไร และที่สำคัญที่สุดคือต้องรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น แม้ว่าหลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำนี้ แต่ความจริงแล้วเราเคยเจอกันมาตั้งแต่ตอนสมัครงานที่อาจถูกพนักงานฝ่ายบุคคลถามว่า 5 ปี 10 ปีผ่านไป เราเห็นตัวเองในที่ทำงานอย่างไรเป็นอย่างไร หรือบางครั้งเราเองอาจเคยนึกฝันเล่นๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไปจะประสบความสำเร็จขนาดไหน แต่ไม่เคยวางแผนอย่างจริงจังเพื่อไปให้ถึงฝันนั้นสักที

 

เพราะหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อนาคตของเราชัดเจนขนาดนั้น ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งบางคนอยู่ในออฟฟิศที่ไม่มีแผนผังองค์กรที่ชัดเจนว่าจะก้าวหน้าไปในทางไหน เงยหน้าไปก็เห็นแค่เจ้านายและเจ้าของบริษัท หรือบางคนก็รู้สึกว่าอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน หากวางแผนไปก็สามารถผิดแผนได้ง่ายๆ เลยใช้ชีวิตตามใจวันต่อวันโดยที่ไม่คิดว่าจะวางแผนอะไรให้ไกลเกินกว่าวันพรุ่งนี้ แต่เชื่อไหมว่าคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหลายคนมักมีการวางแผนและมองเห็นอนาคตตัวเองไว้ก่อน เพราะต่อให้เจอความเปลี่ยนแปลงขนาดไหนก็ยังมีแผนสำรอง และมองเห็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องการจะไปให้ถึงอยู่เสมอ

 

ทำไมเราต้องวาง Career Path ให้กับตัวเอง

 

1. เพื่อหาความหมายในการทำงาน

อาจจะฟังเป็นนามธรรมอยู่สักหน่อย แต่ลองคิดดูว่าหากเรามีเป้าหมายทำอะไรสักอย่างที่ชัดเจนและเราพยายามผลักดันตัวเองให้ถึงเป้าหมายนั้น ระหว่างทางมันจะช่วยให้เราค่อยเช็กตัวเองว่าสิ่งที่กำลังฝันว่าอยากมี อยากเป็น เราต้องการจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า โดยเฉพาะการทำงานที่อยากประสบความสำเร็จ เราได้ให้ความหมายของคำว่า ‘ความสำเร็จ’ อย่างไร เราต้องการที่จะเติบโตมากขึ้น เป็นคนเก่งขึ้น ได้เรียนรู้มากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะคอยเป็นตัวชี้วัด หรือ KPI ให้เราคอยตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ

 

2. เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่ในชีวิต

เพราะชีวิตและการทำงานเป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ออก เมื่อเรามีเป้าหมายของการทำงานและรู้แล้วว่าด้านอื่นของชีวิตต้องการอะไร การวาง Career Path อาจเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราเดินทางไปถึงภาพรวมของเป้าหมายในชีวิตได้ ตัวอย่างเช่น ภาพรวมของชีวิตเราต้องการเป็นคนดี คนเก่ง งานมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นไหม หรือสำหรับบางคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในที่ทำงาน แต่ในชีวิตส่วนตัวครอบครัวไม่ได้สนับสนุนให้ทำงานออฟฟิศแต่อยากกลับมาให้ทำธุรกิจครอบครัว Career Path การทำงานอาจไม่สอดคล้องกับชีวิตเราก็ได้

 

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าการวางแผนชีวิตการทำงานดูเป็นเรื่อง ‘ใหญ่’ และ ‘ยาก’ เพราะไม่เคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ยิ่งเด็กจบใหม่ที่ให้มองอนาคตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานก็ไม่มีทางมองออกว่าเราจะเติบโตไปเป็นแบบไหน หรือมนุษย์ออฟฟิศที่ทำงานไปสักพักก็รู้สึกว่าแค่รับผิดชอบงานให้ลุล่วงไปแต่ละวันก็เป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเกินความรับผิดชอบ อย่าเพิ่งท้อ เพราะความเป็นจริงการวาง Career Path ให้กับตัวเองอาจไม่ใช่การนั่งลงเขียนแผนเป็นข้อๆ หรือมีสูตรสำเร็จให้กดแบบการเล่นเกม การวางแผนให้กับตัวเองอาจมีทั้งเป็นสเตปขั้นตอนเพราะบางคนรู้เป้าหมายในชีวิตและการทำงานชัดเจน หรือสำหรับบางคนการดุ่มๆ ใช้ชีวิตไปแล้วค่อยปรับเปลี่ยนแผนให้กับตัวเองอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน

 

เช่น เด็กจบใหม่บางคนอาจรู้สึกว่าโลกใบนี้มีความน่าสนใจให้อยากรู้อยากลองมากมายเต็มไปหมด เลยเปิดโอกาสตัวเองให้ได้ลองสิ่งที่ตัวเองชอบทั้ง ค่อยๆ ลองไปทีละอย่างตามความสามารถและความสุข ด้วยความเชื่อว่าแต่ละอย่างที่เราลองทำอาจพาเราไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ได้พิสูจน์ความชอบและศักยภาพของตัวเอง

 

และเมื่อลองไปเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆ ออกแบบชีวิตการทำงานของเราไป ให้เวลาสิ่งที่ทำแต่ละอย่าง หากผิดพลาดหรือไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการ แต่สุดท้ายมันจะกลายมาเป็นทรัพยากรที่อยู่ในตัวเรา สร้างตัวเราให้เป็นคนที่มีทักษะในการทำงานหลายอย่าง และเมื่อถึงเวลานั้นเราอาจรู้ความต้องการของตัวเองว่าอยากใช้สิ่งไหนเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ หรืออยากเก็บบางสิ่งสงวนไว้เป็นความสุขส่วนตัวก็ยังไม่สายที่จะออกแบบ Career Path ให้กับตัวเอง เพราะถึงตอนนั้นอย่างน้อยต่อให้เราไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างเพื่อนรอบตัว แต่เราจะเป็นคนที่ชัดเจนและรู้จักตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรกว่าอีกหลายคนก็ได้

 

มาวางแผนการทำงานให้เจริญเติบโตกัน

 

1. ดูผังองค์ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน

สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับชาวออฟฟิศคือการกลับไปดูแผนผังองค์กร (Organization Chart) จากพนักงานฝ่ายบุคคล เพื่อให้รู้ว่าขณะนี้เราอยู่ตรงไหน จะได้รู้ว่าคนที่อยู่ตำแหน่งใกล้กันกับเราคือใครและสามารถเรียนรู้ทักษะอะไรจากเขาได้บ้าง ขณะเดียวกันเราก็จะได้มองสูงขึ้นไปว่าเจ้านายที่อยู่เหนือเราเป็นใคร ต้องใช้ความพยายามอีกกี่มากน้อยที่เราจะไปถึงตำแหน่งที่เราฝันไว้ในอนาคต

 

การมองแผนผังองค์กรเพื่อให้เรารู้ภาพรวมของบริษัทเพียงคร่าวๆ เพราะทุกวันนี้แผนผังมักเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ หน้าที่การงานบางอย่างก็เลยเปลี่ยนแปลงตาม วันดีคืนดีบริษัทอาจเพิ่มแผนกไอทีเพื่อรองรับเทคโนโลยีที่กำลังเขามา ถ้าเรามีความสามารถด้านนั้นก็สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองไปยังตำแหน่งที่กำลังมีสปอตไลต์ส่องอยู่ จะได้เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ถึงตอนนั้น Career Path ที่เราวางไว้อาจเปลี่ยนแปลงไปอีกด้านหนึ่งก็ได้

 

2. กลับมาถามตัวเอง

เมื่อเราดูแผนผังองค์กร เห็นเป้าหมายของตัวเองชัดเจน ลองกลับมาถามตัวเองง่ายๆ ว่าเรามีแพสชันเพียงพอไหมสำหรับการผลักดันตัวเองไปให้ถึงตำแหน่งที่หวังไว้ มีเวลาและความอดทนพอไหมที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น แค่นั้นอาจไม่พอ เพราะเราต้องกลับมาดูทักษะการทำงานของตัวเองด้วยว่าตำแหน่งนั้นเรียกร้องความสามารถอะไรและเรามีคุณสมบัติเพียงพอหรือเปล่า ถ้าหากเราไม่มี ด้วยระยะเวลาที่เหลืออยู่เราสามารถฝึกฝนตัวเองเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งได้หรือไม่ ซึ่งอาจรวมไปถึงต้องศึกษาตำแหน่งนั้นว่าต้องมีความรับผิดชอบและดูแลส่วนไหนของบริษัทบ้าง ถามตัวเองอย่างจริงใจว่าสุดท้ายแล้วงานนี้จะยังสร้างความท้าทายให้กับตัวเองได้หรือไม่ และเราเห็นความเป็นไปได้ที่เราจะเติบโตไปตามที่เราวางแผนไว้หรือเปล่า

 

นอกจากถามตัวเองในมุมของหน้าที่การงานแล้ว ให้ถามตัวเองในมุมของชีวิตด้วย เพราะเมื่อทำงานมาสักระยะ รู้ว่าจะเติบโตไปตำแหน่งไหน แต่สิ่งที่ควรต้องคำนึงอีกอย่างคือความฝันและความต้องการของตัวเองว่าสุดท้ายแล้วเราอยากเติบโตไปเป็นอย่างที่ทิศทางการทำงานกำหนดให้เป็นหรือเปล่า เพราะธรรมชาติมนุษย์นั้นมีความฝันหลายอย่างที่อยากทำให้ประสบความสำเร็จและบรรดาความฝันที่มีทั้งหมดเราอยากทำอะไร และควรทำอะไร

 

เพราะเมื่อเราโตขึ้นความฝันเราจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นเราจะเริ่มรู้ตัวว่าสิ่งที่ ‘อยาก’ ทำกับสิ่งที่เรา ‘ควร’ ทำนั้นเป็นคนละอย่างกัน สิ่งที่เราอยากทำอาจเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัดและต้องใช้ความพยายามอย่างสูงกว่าจะประสบความสำเร็จ ส่วนสิ่งที่เราควรทำอาจไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำที่สุด แต่ความสามารถเราเหมาะสมและทำให้เราไปได้ไกลกว่า ถามตัวเองได้อย่างนั้นแล้วค่อยมาวางแผนให้สอดคล้องกับความต้องการของเรา

เปรียบเทียบกับนักกีฬา บางคนอาจทำได้ทั้งวิ่งและว่ายน้ำ เขาอาจไม่ชอบวิ่งมากนักแต่สามารถทำได้ระดับมาราธอน ส่วนว่ายน้ำคือสิ่งที่รักแต่ทำได้ระดับกีฬาสี ถ้าอยากประสบความสำเร็จเขา ‘ควร’ เลือกวิ่งก่อน เพราะใช้เวลาน้อยกว่า ทำได้ดีกว่า ส่วนสิ่งที่ ‘อยาก’ ทำคือการว่ายน้ำ อาจตามมาในเวลาที่เหมาะสมก็ได้

 

3. องค์กรและหัวหน้าสนับสนุนหรือเปล่า

การวางแผนให้เส้นทางอาชีพจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น สิ่งที่สำคัญมากๆ คือหัวหน้าและออฟฟิศ หัวหน้าที่ดีจะสนับสนุนลูกน้องด้วยการสอนงานที่ไม่เพียงแต่ให้รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร แต่จะทำให้เห็นว่าตัวหัวหน้าเองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง เพื่อลูกน้องจะได้เห็นบทบาทของตำแหน่งที่ตัวเองกำลังจะก้าวไป นอกจากนั้นแล้วหัวหน้ายังมีส่วนในการดึงศักยภาพความถนัดของลูกน้องให้ได้ลองไปทำในสิ่งใหม่ๆ อาจทำให้ลูกน้องค้นพบตัวเอง และได้วางแผนการเจริญเติบโตตามทิศทางที่ตัวเองอยากไปด้วย

 

ส่วนออฟฟิศนั้นมีผลเป็นอย่างมากในการวางแผนให้เส้นทางอาชีพของพนักงาน เพราะบางออฟฟิศมีแผนผังองค์กรที่ชัดเจน รู้ว่าพนักงานคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นไปที่ตำแหน่งไหนและจุดสูงสุดของการทำงานคือตำแหน่งไหน แต่บางออฟฟิศซึ่งส่วนใหญ่เป็นออฟฟิศเล็กๆ จะไม่มีแผนผังที่ชัดเจน ทุกคนอยู่กันแบบพี่น้อง ซึ่งสิ่งนี้อาจเป็นอุปสรรคสำหรับพนักงานได้ หากถามหาความเจริญเติบโต เพราะไม่สามารถวางแผนในอนาคตให้ตัวเองได้ ส่วนออฟฟิศใหญ่ๆ ก็มีส่วนช่วยพนักงานในการวาง Career Path ได้ด้วยการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน มีการอบรม เทรนนิ่ง หรือแม้แต่การกระทั่งหมุนเวียนงานเพื่อให้พนักงานได้แสดงศักยภาพของตัวเองให้ได้มากที่สุด ทุกสิ่งที่ออฟฟิศมอบให้จะย้อนกลับมาที่ตัวเรา ให้เราได้รู้จักตัวเอง ประเมินตัวเอง เพื่อที่จะวางแผนการทำงานต่อไปให้เหมาะสม

 

ถึงตรงนี้หลายคนเริ่มเห็นเป้าหมายและอนาคตการทำงานของตัวเอง แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมการวางแผนสำหรับอนาคต นั้นเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ถ้าสุดท้ายแล้วเราไม่สามารถทำได้อย่างที่หวังก็ไม่ใช่เรื่องผิดพลาดในชีวิต อย่ากดดันตัวเองจนไม่มีความสุขในการทำงาน บอกตัวเองว่าเป็นเรื่องที่สามารถปรับตามความเหมาะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจทำให้เราทั้งสามารถเห็นอนาคตและมีชีวิตการทำงานที่มีความสุข

 

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ นี่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องตั้งหน้าตั้งตาวางแผนชีวิตและพยายามทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย เพราะบางคนอาจมองความสุขระหว่างทางเป็นเรื่องสำคัญ เขาอาจพอใจกับชีวิตประจำวันที่มีอยู่ รู้ว่าการทำงานเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตมีรายได้ แต่ความสุขอาจตั้งอยู่ที่เรื่องอื่น เช่น การได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว การได้ทำงานอดิเรกที่ตัวเองรัก ก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปหรือเสียหาย เพราะในมุมหนึ่งการมีความสุขในทุกๆ วัน ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็ถือเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

 


 

Credits

The Hosts ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

ไชยณัฐ สัจจะปรเมษฐ์

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Show Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

Graphic Design Interns ธัญญา ศิริสัมพันธ์, พันธิตรา หอมเดชนะกุล

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Music Westonemusic

The post เราควรวาง Career Path ในการทำงานไหม แล้วทำอย่างไรจะไปถึงเป้าหมาย appeared first on THE STANDARD.

]]>