ศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 10 Feb 2022 05:03:28 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ลองวิ่งครั้งแรก ด้วย 6 เทคนิคเพิ่มพลังใจ ชวนท้าทายตัวเองด้วย New Year’s Resolution https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep24/ Sun, 26 Dec 2021 02:05:48 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=575948

การวิ่ง เป็นการออกกำลังกายปราบเซียนที่แม้หลายคนจะรู้อยู […]

The post ลองวิ่งครั้งแรก ด้วย 6 เทคนิคเพิ่มพลังใจ ชวนท้าทายตัวเองด้วย New Year’s Resolution appeared first on THE STANDARD.

]]>

การวิ่ง เป็นการออกกำลังกายปราบเซียนที่แม้หลายคนจะรู้อยู่แล้วว่ามันง่าย แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยลอง กลับกลายเป็นเรื่องที่เริ่มต้นได้ยากเหลือเกิน ซึ่งสำหรับ New Year’s Resolution ของปีใหม่นี้ เราอยากให้ทุกคนลองเพิ่มการวิ่งเข้าไปในลิสต์ด้วย!

 

เคล็ดลับ 6 ข้อสำหรับนักวิ่งมือใหม่

 

  1. เลือกโลเคชันที่ชอบ บางคนเลือกที่จะวิ่งลู่ในฟิตเนส เพราะมีแอร์เย็นฉ่ำ หรือบางคนอาจจะชอบแนวธรรมชาติ ได้ชมนกชมไม้ ก็สามารถเลือกออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็ได้ 

 

  1. เสื้อผ้าหน้าผมต้องได้ ช้อปปิ้งคอสตูมที่ชอบมาสวมใส่เพื่อเสริมสร้างพลังใจ แต่ควรต้องเลือกชุดที่ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดแน่นจนเกินไป และไม่มีตะเข็บเยอะ ถ้าเป็นชุดสำหรับออกกำลังกายโดยเฉพาะเลยยิ่งดี 

 

  1. อย่าเพิ่งซีเรียสเรื่องรองเท้าวิ่ง ถ้ายังไม่อยากลงทุนซื้อรองเท้าวิ่งโดยเฉพาะ เพราะราคาสูงเกินไป ให้เริ่มต้นจากรองเท้ากีฬาที่มีอยู่ก่อนก็ได้ เพราะโดยทั่วไปมันจะรับแรงกระแทกได้อยู่บ้างแล้ว แต่ถ้าได้ลองแล้วอยากจะวิ่งต่อในระยะยาวค่อยไปหาซื้อรองเท้าสำหรับวิ่งโดยเฉพาะมาใส่

 

  1. ตั้งเป้าหมายการวิ่งวันแรกให้ง่ายไว้ก่อน ยิ่งคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายจะท้อได้ง่ายมาก ฉะนั้นอาจจะเริ่มจากตั้งเป้าว่าวันนี้ฉันจะวิ่งหรือเดินสลับวิ่งให้ได้ครบ 20 นาทีโดยไม่หยุดพัก ถ้าทำได้แล้วจะได้มีแรงใจทำต่อในเลเวลถัดไป 

 

  1. อย่าลืมพกน้ำดื่มไปวิ่งด้วย โดยเฉพาะคนที่ยังไม่เคยวิ่งเลย เพราะการวิ่งจะทำให้ร่างกายของเราร้อนและเสียเหงื่อมาก การจิบน้ำทีละนิดขณะวิ่งจะช่วยทำให้เราสดชื่นและร่างกายเย็นลง

 

  1. หาคนไปวิ่งเป็นเพื่อน ถ้ามีเพื่อนที่อยากเริ่มวิ่งด้วยกัน หรือเพื่อนที่วิ่งเป็นประจำอยู่แล้ว ก็ให้ลองไปรวมทีมกับเขาดู เพราะการออกกำลังกายเป็นหมู่คณะจะช่วยให้เราอยากไปมากขึ้น สนุกมากขึ้น และทำสำเร็จได้มากขึ้นด้วย

 

ส่วนในเรื่องของความถี่และระยะเวลาในการวิ่ง หากเป้าหมายในตอนนี้คือการวิ่งเพื่อสุขภาพ ช่วงเวลาที่แนะนำคือ 150 นาทีต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย โดยสามารถแบ่งเป็น 30 นาทีต่อวัน หรือ 5 วันต่อสัปดาห์ก็ได้ แต่ถ้ารู้สึกว่ามันถี่หรือกินเวลาชีวิตมากเกินไป ในบางวันอาจจะเลือกสอดแทรกการออกกำลังกายแบบเวตเทรนนิ่ง ยืดเหยียด เล่นโยคะ หรือสลับคาร์ดิโอชนิดอื่นด้วยก็ได้ เพราะหากมีแผนการออกกำลังกายด้วยการวิ่งร่วมกับกีฬาชนิดอื่นๆ อย่างหลากหลาย นอกจากจะไม่เบื่อแล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของกล้ามเนื้อ ทำให้วิ่งได้สนุกขึ้นและลดการบาดเจ็บด้วย 

 

ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


 

Credits


The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader ชนเนตร ลอยครุฑ

Webmaster อารยา ปานศรี

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี, วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post ลองวิ่งครั้งแรก ด้วย 6 เทคนิคเพิ่มพลังใจ ชวนท้าทายตัวเองด้วย New Year’s Resolution appeared first on THE STANDARD.

]]>
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ยากอย่างที่คิด แนะนำวิธีที่ทำได้จริง https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep23/ Tue, 21 Dec 2021 16:49:00 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=574212

กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เป็นประโยคที่เชื่อว่าทุกคนต้องเคย […]

The post กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ยากอย่างที่คิด แนะนำวิธีที่ทำได้จริง appeared first on THE STANDARD.

]]>

กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เป็นประโยคที่เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินซ้ำๆ กันมาตั้งแต่เด็ก แต่น้อยคนที่จะสามารถทำได้ ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน การจะจัดเตรียมให้เป๊ะทุกมื้ออาจยากเกินไป แถมบางคนยังติดกับดักความอร่อยถูกปาก แต่ไม่ถูกหลักสุขภาพเอาเสียเลย

 

อาหารหลัก 5 หมู่ ประกอบไปด้วย 

  • คาร์โบไฮเดรต มีหน้าที่เป็นแหล่งให้พลังงานกับอวัยวะต่างๆ โดยอาหารกลุ่มนี้คือ ข้าว แป้ง และน้ำตาล

  • โปรตีน มีหน้าที่เป็นองค์ประกอบของส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น เอ็นไซม์ เนื้อเยื่อในร่างกาย และกล้ามเนื้อ เวลาส่วนประกอบของร่างกายที่มีการสึกหรอหรือเสื่อมจากการใช้งาน โปรตีนที่รับไปก็จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนก็คือ เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ ถั่ว นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต ชีส

  • ไขมัน เป็นสารที่สะสมตามผิวหนัง ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย และเป็นแหล่งพลังงานสำรองให้ร่างกาย ถ้าเราใช้คาร์โบไฮเดรตใกล้หมด ร่างกายก็จะนำไขมันมาใช้แทน โดยแหล่งอาหารจะมาจากน้ำมันต่างๆ หรือเนื้อสัตว์ติดมัน

  • วิตามินและเกลือแร่ เป็นสารอาหารที่ไม่ได้ให้พลังงาน แต่ร่างกายจะนำไปใช้ประกอบกับเอ็นไซม์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อให้ทำงานเป็นปกติ โดยมักจะอยู่ในผัก ผลไม้ ในเนื้อสัตว์ และแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี 

 

มีการสำรวจพบว่า อาหารที่คนวัยทำงานรับประทานโดยเฉลี่ยมีสัดส่วนของผักและผลไม้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน ถ้าสังเกตจะพบว่าอาหารที่วางขายตามท้องตลาดจะมีข้าวหรือแป้ง เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเส้นสปาเกตตีเป็นหลัก และอาหารมักจะปรุงด้วยการผัดหรือทอด มีส่วนของโปรตีนคือเนื้อสัตว์ ซึ่งจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ร้าน แต่ปัญหาหลักจะอยู่ที่ผักและผลไม้ เพราะผักจะมีแค่เคียงจานเพียงเล็กน้อย ส่วนผลไม้คนก็มักจะรับประทานกันน้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต

 

แต่นอกจากผักผลไม้แล้ว การรับประทานอาหารจากแหล่งที่ดีทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ก็สำคัญต่อสุขภาพไม่แพ้กัน

 

คาร์โบไฮเดรตที่ดี ควรเป็นแป้งที่ไม่ผ่านการแปรรูป หรือผ่านการแปรรูปน้อย เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต เพราะเมื่อผ่านการแปรรูปน้อยก็จะให้วิตามินและไฟเบอร์มาด้วย และแป้งที่ผ่านการแปรรูปน้อยเหล่านี้ เมื่อถูกย่อยเป็นพลังงานก็จะเป็นน้ำตาลในกระแสเลือด ที่ให้ระดับคงที่ต่อเนื่องนานกว่าแป้งที่ผ่านการขัดสี ทำให้เราอิ่มนาน และน้ำตาลที่ย่อยแล้วก็ไม่สูงจนเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน

ส่วนคาร์โบไฮเดรตที่ต้องระวังที่สุดคือน้ำตาล เพราะจะดูดซึมและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายเห็นระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินก็จะเอาไปเก็บเป็นไขมัน และด้วยระดับน้ำตาลที่สูงเร็ว-ต่ำเร็ว เราก็จะอยากกินอีกเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาวะอ้วนหรือโรคเบาหวานได้

 

อาหารกลุ่มไขมันที่ดี คือไขมันที่ไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่จะอยู่ในน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดทานตะวัน ส่วนไขมันที่ไม่ดี โดยมากจากน้ำมันที่ทำจากกระบวนการแปรรูป ซึ่งจะได้ไขมันทรานส์ พบในเนยเทียม และน้ำมันในของทอดกรอบที่เป็นขนมซอง โดยกลุ่มไขมันทรานส์นี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ

 

ในกลุ่มโปรตีน พบว่าเนื้อสัตว์ที่มาจากปลา ไก่ และสัตว์ทะเล จะมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าสัตว์เนื้อแดง เช่น หมู และวัว ดังนั้นการรับประทานเนื้อแดงบ่อยเกินไปก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองเช่นกัน

 

คำแนะนำในการเลือกซื้ออาหารนอกบ้าน 

  1. ลองสำรวจร้านอาหารละแวกบ้านหรือออฟฟิศว่าร้านไหนมีอาหารหลากหลาย ร้านไหนมีข้าวกล้อง หรือร้านไหนที่ให้ผักเยอะ 

 

  1. เมื่อพบร้านที่ใช่แล้ว ให้เลือกเมนูที่ดีต่อสุขภาพ เช่น เลือกให้มีผักและโปรตีนมากพอ ถ้าต้องการคุมเรื่องไขมัน อาจจะกำหนดว่าต้องมีสัก 1 มื้อที่เป็นอาหารที่ไม่ใช่การทอดเลย แล้วเลือกแต่ของนึ่ง ต้ม หรือตุ๋นแทน เช่น ต้มจืดผักกาดขาว ไข่ตุ๋น ก๋วยเตี๋ยวน้ำ 

 

  1. ปรับนิสัยการกินให้มีเมนูผักแซมเข้ามาเยอะขึ้น เช่น ถ้าไปร้านอาหารที่เป็นข้าวแกงหรืออาหารตามสั่ง อาจจะเลือกสั่งอาหารที่มีผักเป็นหลักมาด้วยทุกมื้อ 

 

  1. ถ้ารู้สึกอยากรับประทานขนมกรุบกรอบ ให้ลองเตรียมผลไม้ที่มีความกรอบมาแช่ตู้เย็นไว้กินแทน เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง ชมพู่ จะช่วยให้เราได้รับวิตามินและเกลือแร่จากผลไม้มากขึ้น 

 

  1. พยายามเลือกกินแต่อาหารที่ปรุงจากของสด ไม่ผ่านการแปรรูป มาเก็บไว้กินในตู้เย็นก็ได้ ถ้าชอบกินขนมอบกรอบ อาจจะเปลี่ยนมากินถั่วลิสงหรือถั่วแระต้มแทน หรือคนที่ชอบไส้กรอก หมูยอ อาจจะปรับเป็นไข่ตุ๋นที่ทำกินเองในไมโครเวฟ หรือกินโยเกิร์ตหรือนม ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีแทน 

 

ฟังเอพิโสดนี้จบแล้ว หลายๆ คนน่าจะเริ่มมีไอเดียในการปรับอาหารการกินในแต่ละวันของเราให้ครบ 5 หมู่มากขึ้น แถมยังมีเทคนิคดีๆ ที่ทำตามได้ไม่ยากในการเลือกสารอาหารที่เหมาะสมต่อร่างกายอีกด้วย สำคัญไปกว่านั้นคือต้องเริ่มทำ และทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่ความแข็งแรงจะได้อยู่คู่ร่างกายของเราไปนานๆ 

 

ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง


Credits

 

The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์

The Guest นายแพทย์เอกภพ หมอกพรม

 

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Webmaster รพีพรรณ​ เกตุสมพงษ์

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี,

วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ยากอย่างที่คิด แนะนำวิธีที่ทำได้จริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตรวจสุขภาพประจำปี แนะนำวิธีเลือกแพ็กเกจให้เหมาะกับความเสี่ยงในแต่ละช่วงวัยของคุณ https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep22/ Mon, 20 Dec 2021 06:08:21 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=573411 Health-Hacker-EP22

การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นสิ่งที่คนยุคนี้เริ่มตระหนักถึง […]

The post ตรวจสุขภาพประจำปี แนะนำวิธีเลือกแพ็กเกจให้เหมาะกับความเสี่ยงในแต่ละช่วงวัยของคุณ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Health-Hacker-EP22

การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นสิ่งที่คนยุคนี้เริ่มตระหนักถึงความสำคัญกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่จะเกิดปัญหาทุกทีตอนที่ตัดสินใจเลือกแพ็กเกจ เพราะมันมีอยู่หลากหลายเหลือเกิน แล้วเราควรเลือกอย่างไร เลือกแบบไหน ถึงจะเหมาะกับตัวเองที่สุด

 

การตรวจสุขภาพประจำปี หรือ ‘การตรวจคัดกรองสุขภาพ’ คือการตรวจค้นหาโรคหรือภาวะที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งต้องมีปัจจัยสำคัญ 3 ประการ จึงถือว่าการตรวจนั้นจะได้ประโยชน์ต่อผู้รับการตรวจ ได้แก่ 

 

  1. เป็นโรคพบบ่อย เพราะเป็นปัญหาพื้นฐานที่หลายๆ คนเจอได้

 

  1. เป็นโรคที่มีระยะไม่ปรากฏอาการอยู่นาน และการรักษาในระยะไม่ปรากฏอาการแล้วได้ผลดี เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งลำไส้ใหญ่

 

  1. โรคที่มีวิธีตรวจไม่ยุ่งยากเกินไป หรือรุกล้ำร่างกายจนเสี่ยงอันตรายเกินไป และให้ผลแม่นยำ

 

ใครที่เคยลองศึกษาแพ็กเกจการตรวจร่างกายประจำปีจากที่ต่างๆ จะพบว่ามีรายการพื้นฐานที่มักจะที่ซ้ำกันในทุกแพ็กเกจ ไม่ว่าจะเป็นการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดรอบเอว วัดความดันเลือด การตรวจน้ำตาล และไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือด การตรวจส่วนประกอบของเลือด เอกซเรย์ปอด ตรวจปัสสาวะ ฯลฯ ซึ่งรายการหลักๆ พวกนี้จัดอยู่ในปัจจัยข้อที่ 1 ของการตรวจร่างกายประจำปี คือเป็นไปเพื่อคัดกรองภาวะที่นำไปสู่โรคที่พบบ่อยของคนเรา ก็คือโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง นั่นเอง

 

จริงๆ แล้วการตรวจสุขภาพประจำปีมีตั้งแต่ในช่วงแรกเกิดแล้ว ซึ่งจะเป็นการตรวจเช็กน้ำหนักและส่วนสูงว่าเจริญเติบโตตามเกณฑ์หรือไม่ ได้รับวัคซีนที่จำเป็นครบหรือยัง แล้วเมื่อเริ่มโตขึ้น การตรวจก็จะห่างหายไป 

 

แต่ตามคำแนะนำคือ เมื่ออายุ 18 ปีควรกลับมาเริ่มตรวจสุขภาพอีกครั้ง โดยจะเป็นการตรวจคัดกรองภาวะน้ำหนักตัวเกินและความดันโลหิต แล้วพออายุถึง 25 ปีก็จะเริ่มมีการตรวจที่ต้องเจาะเลือดเยอะขึ้น และต้องตรวจต่อเนื่องเรื่อยไปทุกปีไปจนถึงวัยชรา 

 

การตรวจสุขภาพจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มโรคที่เป็นความเสี่ยงต่อหัวใจและหลอดเลือด ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง และความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ ซึ่งผู้หญิงจะแตกต่างจากผู้ชายตรงการตรวจกลุ่มมะเร็ง เพราะแพทย์จะแนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มเติม ในขณะที่ผู้ชายจะมีการตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่เพียงอย่างเดียว 

 

การตรวจมะเร็งปากมดลูก เริ่มคัดกรองตอนอายุ 25-30 ปี เป็นการตรวจภายในโดยใช้ไม้เล็กๆ และสำลีป้ายเซลล์จากปากมดลูกมาตรวจ โดยแนะนำให้ตรวจซ้ำทุกๆ 2 ปี หากตรวจไม่พบไวรัสก่อมะเร็ง สามารถยืดเวลาออกไปได้อีกเป็น 3 ปี

 

การตรวจมะเร็งเต้านม เริ่มคัดกรองตอนอายุ 35-40 ปี แนะนำการตรวจที่เรียกว่า Mammogram ร่วมกับ Ultrasound เต้านม โดย Mammogram เป็นการถ่ายภาพเอกซเรย์แบบเดียวกับที่ใช้ในการเอกซเรย์ปอด แต่จะถ่ายเต้านมแทน ภาพเหล่านี้จะมีลักษณะบางอย่างบอกได้ว่ามีความเสี่ยงเป็นมะเร็งหรือไม่ ควรตรวจซ้ำทุกๆ 1-2 ปี 

 

การตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ เริ่มคัดกรองตอนอายุ 45-50 ปี เทคนิคที่ใช้บ่อยจะเป็นการตรวจอุจจาระเพื่อหาเม็ดเลือดแดงแฝง (Stool occult blood) ปีละ 1 ครั้ง หรือการส่องกล้องทางลำไส้ใหญ่ ถ้าตรวจแล้วปกติก็เว้นช่วงได้ทุกๆ 10 ปี หรือถ้าเป็นการส่องกล้องเฉพาะลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Sigmoidoscopy) ก็ควรตรวจซ้ำทุกๆ 5 ปี 

 

การตรวจหลอดเลือดหัวใจ ยังไม่จำเป็นต้องตรวจ หากยังไม่มีอาการที่เกี่ยวกับโรคหัวใจ ส่วนในผู้ที่มีอาการ เช่น แน่นกลางอก หรือเหนื่อยหอบทั้งที่ออกแรงไม่มาก อาการเหล่านี้อาจจะเป็นอาการได้ทั้งโรคหัวใจ โรคปอด และโรคอื่นๆ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุให้ตรงจุด

 

การตรวจความหนาแน่นกระดูก (BMD) เป็นการตรวจเพื่อคัดกรองภาวะกระดูกพรุน ที่จะบ่งบอกว่ามีความเสี่ยงที่กระดูกจะหักง่าย ภาวะนี้มักจะพบในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป หรือผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป หรือในผู้ที่มีความเสี่ยงบางอย่าง เช่น ใช้ยาสเตียรอยด์ หรือเป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดรูมาตอยด์ 

 

กล่าวโดยสรุปคือ การเลือกแพ็กเกจตรวจร่างกายประจำปีนั้น จริงๆ แล้วเป็นการเลือกยึดตามอายุและเพศของเรานั่นเอง ซึ่งการตรวจด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการเจาะเลือดเพื่อวัดค่าบางอย่างอาจยังไม่จำเป็นมากนัก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ยังแนะนำให้รับการตรวจเป็นประจำทุกปี เพื่อหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัว จะได้แก้ไขและป้องกันอย่างทันท่วงที ส่วนการดูแลสุขภาพด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อน และการออกกำลังกาย ก็ยังคงต้องทำต่อไป เพื่อให้ชีวิตของเรายืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต  


ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


 

Credits


The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์

The Guest นายแพทย์เอกภพ หมอกพรม

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Webmaster อารยา ปานศรี

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี, วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post ตรวจสุขภาพประจำปี แนะนำวิธีเลือกแพ็กเกจให้เหมาะกับความเสี่ยงในแต่ละช่วงวัยของคุณ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กาแฟ กินทุกวันอันตรายไหม กินมากไปแล้วเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือเปล่า Feat. หมอกอล์ฟ https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep21/ Tue, 14 Dec 2021 08:40:01 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=571225

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้กาแฟแทบจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในช […]

The post กาแฟ กินทุกวันอันตรายไหม กินมากไปแล้วเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือเปล่า Feat. หมอกอล์ฟ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้กาแฟแทบจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตของคนเมืองไปแล้ว ดูได้จากจำนวนร้านกาแฟที่มีอยู่มากมายแทบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเครื่องชงกาแฟที่สมัยนี้มีนวัตกรรมแพร่หลายมากขึ้น จนทุกคนสามารถทำกาแฟสดกินเองที่บ้านได้ง่ายๆ ภายในไม่กี่นาที 

 

แต่เคยสงสัยกันไหมว่าการกินกาแฟทุกวันมันดีต่อร่างกายจริงไหม แล้วถ้าติดมากจนถึงขั้นกินวันละหลายๆ แก้ว หัวใจจะทำงานหนักกว่าปกติหรือเปล่า? 

 

ทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าในกาแฟมีสารสำคัญชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า คาเฟอีน (Caffeine) ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า บรรเทาความอ่อนล้า โดยเฉพาะในคนที่อดนอน คาเฟอีนจะช่วยได้มาก เพราะจะทำให้รู้สึกมีเรี่ยวแรง กระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัวได้มากขึ้น

 

จริงๆ แล้วคาเฟอีนไม่ได้มีเฉพาะในกาแฟเท่านั้น มันยังอยู่ในน้ำชาและน้ำอัดลมสีดำด้วย โดยปริมาณของคาเฟอีนจะน้อยกว่ากาแฟเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ปริมาณคาเฟอีนจะเยอะมากถึง 200 มิลลิกรัมเลยทีเดียว

 

นอกจากกาแฟจะมีส่วนช่วยให้สมองตื่นตัว ยังเคยมีการศึกษาวิจัยที่บอกว่า คาเฟอีนอาจจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคบางโรคได้ด้วย เช่น โรคทางระบบประสาท โดยคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดโอกาสการเสื่อมของเซลล์ประสาทสมองที่ผลิตสารโดพามีน จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคพาร์กินสันได้ ซึ่งโรคนี้มักเกิดในผู้สูงอายุ อาการก็คือมีการเคลื่อนไหวช้า มือสั่น และทรงตัวได้ไม่ดี 

 

ส่วนในผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบซี คาเฟอีนจะช่วยคงสภาพตับให้แข็งแรง ซึ่งการดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ นอกจากนี้คาเฟอีนยังมีฤทธิ์แก้ปวดด้วย  

 

กินกาแฟแค่ไหนถึงจะดี

  • ไม่ควรดื่มกาแฟหลัง 15.00 น. เพื่อให้เข้านอนในช่วงกลางคืนได้ดี 
  • ไม่ควรรับคาเฟอีนเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน (ประมาณกาแฟดำ 3-4 แก้ว หรือเครื่องดื่มชูกำลังไม่เกินวันละ 2 ขวด) 
  • สำหรับในคนที่ร่างกายไวมาก หรือไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำ ไม่ควรรับคาเฟอีนเข้าร่างกายเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย วิตกกังวล และนอนไม่หลับได้ 

 

กินกาแฟแล้วใจสั่น เป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจหรือเปล่า

จริงๆ แล้วกาแฟมีฤทธิ์ในการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต โดยอาการจะเด่นชัดในผู้ที่ไม่ได้ดื่มเป็นประจำ แต่มีการศึกษาพบว่าปัจจัยทางพันธุกรรม อาจทำให้ร่างกายของบางคนมีอัตราการกำจัดคาเฟอีนออกจากร่างกายช้าจนทำให้อาการใจสั่นเด่นชัด และต้องใช้เวลานานกว่า 7 วันในการปรับสภาพร่างกาย

ผลการวิจัยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า การดื่มกาแฟในคนที่สุขภาพปกติ ไม่เป็นการเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหัวใจ และในคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำก็ไม่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคความดันโลหิตสูงด้วย โดยวารสารทางการแพทย์ Circulation เคยตีพิมพ์ผลการวิจัยว่า การดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้วช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ แต่จะต้องเป็นการดื่มแบบไม่ใส่น้ำตาลหรือครีม เพราะน้ำตาลกับครีมที่ใส่เข้ามาอาจส่งผลต่อสุขภาพได้

 

**ข้อมูลข้างต้นเป็นผลการศึกษาในคนสุขภาพดีเท่านั้น แต่หากคุณมีโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่แล้ว ก็ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟอยู่ เพราะอาจจะกระตุ้นให้อาการที่มีอยู่เป็นมากขึ้นได้**

 

กินกาแฟแล้วผอมจริงหรือ

มีงานวิจัยทางการแพทย์ที่ให้ผู้ถูกทดลองรับประทานคาเฟอีนแบบเม็ดวันละ 100 มิลลิกรัม (ซึ่งปริมาณคาแฟอีนใกล้เคียงกาแฟ 1 แก้ว) ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 วัน ซึ่งพบว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายดีขึ้น 3-4 % คิดเป็น 80-150 กิโลแคลอรีโดยประมาณ แต่ยังไม่เคยมีการศึกษาว่าน้ำหนักจะลดได้จริงหรือไม่ เนื่องจากแคลอรีที่เผาผลาญได้เพิ่มก็ยังไม่มากนัก และถ้ารับประทานกาแฟที่มีน้ำตาลหรือครีม น้ำหนักก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้ 


ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


 

Credits



The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์
The Guest นายแพทย์เอกภพ หมอกพรม

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Webmaster ไชยพร ศิริกลการ

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี,
วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post กาแฟ กินทุกวันอันตรายไหม กินมากไปแล้วเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือเปล่า Feat. หมอกอล์ฟ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฝึกหายใจตอนออกกำลังกายให้ถูกวิธี ลดเหนื่อย ลดเครียด https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep20/ Sun, 12 Dec 2021 02:00:34 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=570054 Health-Hacker-EP20

รู้หรือไม่ว่า ‘การหายใจ’ ส่งผลต่อร่างกายมากกว่าที่คิด เ […]

The post ฝึกหายใจตอนออกกำลังกายให้ถูกวิธี ลดเหนื่อย ลดเครียด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Health-Hacker-EP20

รู้หรือไม่ว่า ‘การหายใจ’ ส่งผลต่อร่างกายมากกว่าที่คิด เพราะเมื่อเราทำกิจกรรมหรืออยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ความถี่ของการหายใจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความรู้สึกในขณะนั้น เช่น ถ้ารู้สึกตื่นเต้นเราก็จะหายใจแรงและถี่ขึ้น เมื่อออกกำลังกายเราก็จะหายใจเหนื่อยขึ้น และบางครั้งการหายใจผิดวิธีก็อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติหรือเป็นลมไปเลยก็มี

 

สำหรับคนที่ออกกำลังกายในฟิตเนสเป็นประจำ ต้องเคยได้ยินเทรนเนอร์ย้ำบ่อยๆ ว่าให้หายใจเข้าออกตามจังหวะนั้นจังหวะนี้ แล้วเคยสงสัยกันหรือเปล่าว่าการหายใจแบบนั้นมีประโยชน์อย่างไร ถ้าเราหายใจเข้าออกไม่ตรงจังหวะ มันจะเกิดอะไรขึ้น

 

จริงๆ แล้ววิธีการหายใจในการออกกำลังกายแต่ละประเภทก็จะมีเทคนิคแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นตอนเวตเทรนนิ่ง ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ตอนยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือเล่นโยคะ ซึ่งการหายใจที่ถูกวิธีจะทำให้เราสามารถออกกำลังกายได้เต็มที่และไม่เกิดอันตรายจากกลไกต่างๆ นั่นเอง

 

เทคนิคการหายใจขณะเวตเทรนนิ่ง

เนื่องจากการออกกำลังกายชนิดนี้จะต้องมีการเกร็งกล้ามเนื้อสู้กับแรงต้านชนิดต่างๆ ทั้งน้ำหนักตัว เพลต หรือดัมป์เบล เพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดความแข็งแรง ซึ่งทุกการขยับที่ต้านกับแรงต้านนั้น หัวใจของเราจะเต้นให้เร็วและแรงขึ้นเพื่อนำเลือดไปสูบฉีดที่กล้ามเนื้อและสมองให้เพียงพอ

 

แต่ปัญหาที่พบบ่อยๆ คือ หลายคนจะเผลอเกร็งและกลั้นหายใจขณะที่ใช้แรงมากๆ ส่งผลให้บางครั้งรู้สึกหน้ามืดจนเกือบเป็นลม นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเรากลั้นหายใจ ความดันในอกจะไม่เพิ่มขึ้นตามที่ควรจะเป็น เลือดจึงไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมองไม่ทัน จนทำให้รู้สึกหน้ามืด

 

คำแนะนำ ขณะที่ยกเวต ให้พยายามหายใจเข้าออกเป็นจังหวะที่ไม่เร็วเกินไป เทคนิคที่ง่ายที่สุดก็คือการนับออกเสียงเพื่อให้สัญญาณตัวเองในตอนที่กล้ามเนื้อกำลังถูกใช้งาน เช่น หากเป็นการ Squat ก็ให้นับ 1 ออกเสียงแล้วหายใจเข้าในขณะที่ย่อลง แล้วค่อยๆ หายใจออกตอนที่ยืนขึ้น

 

แต่ถ้าเราออกแรงต้านมากเกินไปจนต้องกลั้นหายใจหรือไม่สามารถหายใจได้เป็นจังหวะ แสดงว่าน้ำหนักที่ยกอาจจะเยอะเกินไป ทางแก้คือควรลดน้ำหนักลงก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้หน้ามืด เป็นลม หรือกล้ามเนื้อบาดเจ็บระยะยาวได้ 

 

เทคนิคการหายใจขณะออกกำลังกายแบบแอโรบิก

ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเป็นการวิ่งเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น โดยการวิ่งจะใช้กล้ามเนื้อสะโพกและขาเป็นหลักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เราต้องการออกซิเจนที่เพียงพอในการสร้างพลังงาน ทำให้นักวิ่งต้องมีการหายใจที่ลึกและถี่ขึ้น ซึ่งการหายใจแบบนี้จะทำให้ร่างกายมีช่วงเวลาในการแลกเปลี่ยนก๊าซน้อยลง และไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น จนกระทั่งวิ่งต่อไปไม่ไหวในที่สุด 

 

คำแนะนำ มีการศึกษามากมายในการหาจังหวะหายใจที่เหมาะสมต่อการวิ่ง แต่หลักการที่นิยมกันมากที่สุดก็คือการหายใจในจังหวะ 3:2 ซึ่งหมายถึง ให้เราหายใจเข้านับ 1-2-3 และหายใจออกนับ 1-2 ในใจ หรือบางคนอาจจะใช้วิธีนับตามจังหวะก้าวก็ได้ โดยการหายใจเข้า 3 จังหวะนั้นจะทำให้เราได้อากาศในปริมาตรที่เยอะ มีเวลาในการแลกเปลี่ยนออกซิเจน และในขณะเดียวที่เรากำหนดลมหายใจเข้า กล้ามเนื้อกะบังลมกับช่องท้องจะมีการเกร็งตัวเพื่อเตรียมพร้อมก่อนจะหายใจออก ทำให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวมีความคงที่และทรงตัวได้ดีในขณะวิ่งนั่นเอง

 

เทคนิคการหายใจขณะยืดเหยียดหรือเล่นโยคะ

สำหรับเทคนิคการหายใจในกลุ่มนี้จะมีหลักการคล้ายๆ กับเวตเทรนนิ่ง คือต้องหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอตามท่าทางต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนหรือขยับ ไม่กลั้นหายใจ เพื่อไม่ให้เกิดอาการหน้ามืดหรือเป็นลม

 

คำแนะนำ เทคนิคการหายใจเพื่อผ่อนคลายในกีฬาโยคะเรียกว่า Relaxation Breathing Exercise ซึ่งจะเห็นได้ชัดมากๆ ในท่าศพอาสนะที่เป็นการนอนลง และจับความรู้สึกของกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงของอวัยวะส่วนต่างๆ ไว้ทีละส่วนขณะหายใจเข้า ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกยาวๆ และผ่อนคลายกล้ามเนื้อจุดนั้นๆ ซึ่งจะได้ผลดีในคนที่มีความตึงเครียดจนทำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง และเป็นหนึ่งในเทคนิคที่แพทย์จิตเวชแนะนำให้คนไข้ทำเมื่อเกิดความเครียดในสถานการณ์ต่างๆ

 

สำหรับเทคนิคในการหายใจทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นการฝึกสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่ยังควบคุมไม่ได้ แต่สำหรับคนที่มักจะรู้สึกเหนื่อยง่ายแม้ร่างกายจะอยู่ในสภาวะปกติ หรือไม่แน่ใจว่าตนเองมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจหรือไม่ แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและหาสาเหตุก่อน เพราะบางภาวะ เช่น โรคถุงลมโป่งพอง ก็จะมีเทคนิคการฝึกหายใจเพื่อฟื้นฟูปอดโดยเฉพาะด้วย

 

ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


 

Credits

The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์

 

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader นัฐฐา สอนกลิ่น

Webmaster อารยา ปานศรี

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี, วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post ฝึกหายใจตอนออกกำลังกายให้ถูกวิธี ลดเหนื่อย ลดเครียด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผมร่วงแค่ไหนที่ไม่ปกติ พร้อมวิธีแก้ปัญหาอย่างตรงจุด https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep19/ Wed, 08 Dec 2021 01:10:54 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=568806 ผมร่วงแค่ไหนที่ไม่ปกติ พร้อมวิธีแก้ปัญหาอย่างตรงจุด

ผมร่วงเป็นเรื่องธรรมชาติจริงหรือ แล้วถ้าผมร่วงเยอะเป็นก […]

The post ผมร่วงแค่ไหนที่ไม่ปกติ พร้อมวิธีแก้ปัญหาอย่างตรงจุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผมร่วงแค่ไหนที่ไม่ปกติ พร้อมวิธีแก้ปัญหาอย่างตรงจุด

ผมร่วงเป็นเรื่องธรรมชาติจริงหรือ แล้วถ้าผมร่วงเยอะเป็นกำๆ สระผมก็ร่วง หวีผมก็ร่วง พอเสยผมแต่ละทีก็หลุดติดมือออกมาเลย ทำเอาหวั่นใจว่าผมจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แล้วจะมีหนทางแก้ไขอย่างไรได้บ้าง

 

ปัญหาผมร่วง ผมบาง เป็นหนึ่งในอาการที่มีคนไข้มาปรึกษาในคลินิกโรคผิวหนังกันบ่อยมาก เพราะผมเป็นส่วนหนึ่งของความสวยงามที่ช่วยส่งเสริมบุคลิกของเราให้ดูดี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนเซนสิทีฟเรื่องการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะกันมากๆ 

 

เริ่มจากทำความเข้าใจโครงสร้างกันก่อน เส้นผมของคนเรานั้นเป็นเส้นใยเคราตินที่ยึดติดกันด้วยซัลเฟอร์ และภายในก็จะมีเม็ดสีซึ่งแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ เช่น คนเอเชียก็ผมสีเข้ม คนฝั่งตะวันตกก็จะมีผมสีอ่อนกว่า นอกจากนี้ความหนาแน่นของเส้นผมยังขึ้นกับกรรมพันธุ์ อายุ และสุขภาพของเราด้วย

 

ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเส้นผมบนศีรษะของคนเราจะมีอยู่ประมาณ 100,000 เส้น วงจรชีวิตของมันตั้งแต่ผมงอกจนกระทั่งหลุดร่วงไปจะอยู่ที่ประมาณ 2-6 ปี 

 

โดยปกติแล้วปริมาณผมที่ร่วงมักจะไม่เกิน 100 เส้นต่อวัน และสามารถร่วงได้ถึง 200 เส้นในวันที่สระผม แต่ถ้าเราสระผมทุกวัน ปริมาณผมที่ร่วงจะเฉลี่ยๆ อยู่ที่ประมาณ 100-200 เส้นต่อวัน

 

เวลาที่ผมร่วง หลายคนจะวิตกกังวลมาก ซึ่งเรามีวิธีเช็กเบื้องต้นอยู่คือ ต้องสังเกตดูก่อนว่าหนังศีรษะบริเวณที่ผมร่วงยังเหลือรูขุมขนอยู่หรือเปล่า ถ้าบริเวณดังกล่าวดูเรียบจนไม่เห็นรูขูมขน แบบนี้ต้องมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม หรือตัดชิ้นเนื้อไปตรวจดูความผิดปกติ

 

แต่ถ้าหนังศีรษะยังเหลือทางเปิดของรูขุมขนอยู่ ก็อาจมีแค่บางกรณีเท่านั้นที่ต้องมาพบแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น ผมร่วงเป็นหย่อมๆ จนเห็นเป็นวงชัดเจน, ผมร่วงแบบทั่วบริเวณเกิน 100 เส้นต่อวัน หรือผมร่วงไม่เกิน 100 เส้นต่อวัน แต่เป็นมานานกว่า 6 เดือน นอกจากนั้นถ้ามีผื่นหรือขุยบริเวณที่ผมร่วง มีผื่นขึ้นตามตัว มีความเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น เป็นไข้ ปวดข้อ ร่วมกับผมร่วง ก็ต้องมาปรึกษาแพทย์ด้วยเช่นกัน

 

และอีกเรื่องสำคัญที่บางคนอาจมองข้ามไปคือ ผมบางจากกรรมพันธุ์ ซึ่งหากมีคนในครอบครัวที่ประสบกับภาวะนี้ แนะนำว่าให้รีบเข้ามาทำการรักษาเพื่อป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า อย่าปล่อยให้บางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งผมไม่ขึ้นแล้ว เพราะเมื่อถึงตอนนั้นจะรักษาได้ยาก 

 

นอกจากนี้ยังมีภาวะผมร่วงจากบางสาเหตุที่สามารถหายได้เอง เช่น คุณแม่หลังคลอดที่ใน 3 เดือนแรกมักจะเจอปัญหาผมร่วงเยอะได้ หรือในเด็กวัยรุ่นผู้หญิงที่อดอาหารเยอะๆ ก็อาจจะผมร่วงจากภาวะขาดสารอาหารได้เช่นกัน 

 

หรือถ้าหากมีอาการเจ็บป่วย เป็นไข้ โดยเฉพาะคนที่เป็นหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรือต้องผ่าตัด หลังออกจากโรงพยาบาลไปแล้วก็อาจมีปัญหาผมร่วงผิดปกติได้เหมือนกัน รวมทั้งเรื่องของความเครียด ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อยในยุคนี้

 

ถ้าพบว่าอาการผมร่วงของเราอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ ให้ลองแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทั้งการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมทำเพื่อคลายเครียดบ้าง ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยได้

 

ผมร่วงมากเกินไปไหม ต้องลองนับเส้นผมดู!

วิธีคำนวณแบบง่ายๆ ว่าผมของเราร่วงเกินปกติหรือเปล่า ให้เริ่มจากการนับเส้นผมที่ร่วงใน 24 ชั่วโมงว่าอยู่ที่ประมาณวันละกี่เส้น วิธีการคือให้เก็บเส้นผมที่ร่วงในแต่ละวันแยกไว้ในถุงพลาสติก โดยให้นับจำนวนเส้นผมเขียนไว้ที่ถุงด้วย พอครบ 7 วันให้ลองเอามารวมกันแล้วหารเฉลี่ยดู ถ้าผลลัพธ์ที่ได้เกิน 100 เส้นต่อวัน ก็ให้มาปรึกษาแพทย์ได้เลย 

 

อาหารเสริมและวิตามินช่วยป้องกันผมร่วงได้จริงไหม

มีผลการวิจัยออกมาว่า วิตามินที่ดีต่อเส้นผมซึ่งทำได้ง่ายและประหยัดที่สุดคือ การดื่มน้ำ จริงๆ แล้วน้ำอาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องจำนวนหรือความหนา แต่ช่วยให้ผมของเราชุ่มชื้น ไม่แห้งกรอบ และไม่ร่วงง่าย 

 

หรือถ้าผมร่วงมากและอยากเสริมสร้างด้วยวิตามิน แนะนำให้เลือกกิน Biotin, Zinc หรือธาตุเหล็ก เพราะมีการศึกษาพบว่า ในกลุ่มของคนที่ผมร่วงจะมีสารอาหารเหล่านี้ในร่างกายต่ำกว่าคนปกติ  

 

สำหรับคนที่กำลังกังวลเกี่ยวกับอาการผมร่วง เมื่อฟังเอพิโสดนี้จบก็ลองสังเกตตัวเองเพื่อหาสาเหตุเบื้องต้น แล้วหาทางแก้ไขตามคำแนะนำของหมอมีมี่ แต่ถ้าแก้ไม่ได้หรือยังหาสาเหตุไม่เจอ การเข้าพบแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเพื่อรับคำปรึกษา ก็เป็นทางออกที่ดีและปลอดภัยทีเดียว


ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


 

Credits



The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์
The Guest แพทย์หญิงเพ็ญวิภา ตระกูลวรรณชัย

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader ภาวิกา ขันติศรีสกุล

Webmaster ไชยพร ศิริกลการ

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี,
วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post ผมร่วงแค่ไหนที่ไม่ปกติ พร้อมวิธีแก้ปัญหาอย่างตรงจุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปวดหลังตั้งแต่อายุยังน้อยเกิดจากอะไร ปวดมากแค่ไหนต้องไปพบแพทย์ https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep18/ Sun, 05 Dec 2021 02:51:25 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=567928 HEALTH HACKER

ปวดหลัง เมื่อยคอ ตึงไหล่ ลุกก็ไม่สะดวก นั่งก็ไม่สบาย ยื […]

The post ปวดหลังตั้งแต่อายุยังน้อยเกิดจากอะไร ปวดมากแค่ไหนต้องไปพบแพทย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
HEALTH HACKER

ปวดหลัง เมื่อยคอ ตึงไหล่ ลุกก็ไม่สะดวก นั่งก็ไม่สบาย ยืนก็ไม่ค่อยได้ ถ้าคุณยังอายุน้อยแต่มีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นไปได้ว่าคุณกำลังใช้ร่างกายหนักเกินไป 

 

ที่น่าเป็นห่วงคือในช่วงที่มีการ Work from Home และเด็กๆ จะเรียนผ่านช่องทางออนไลน์กันมาเป็นปีๆ ทำให้อาการปวดหลังกลายเป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับคนที่น้อยลงเรื่อยๆ จากเมื่อก่อนที่อาการนี้จะเป็นโรคของคนวัยทำงานหรือคนอายุมากเท่านั้น

 

ตามหลักแล้ว อาการปวดหลังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือแบบเฉียบพลัน จะมีอาการขึ้นแบบทันทีทันใด โดยมากมักจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือการขยับใช้งานผิดท่า จนทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอักเสบหรือบาดเจ็บ

กลุ่มที่สองคือกลุ่มปวดหลังเรื้อรัง ลักษณะอาการคือจะปวดเป็นๆ หายๆ หรือปวดน้อยๆ แต่นานๆ โดยมากจะมีอาการมากกว่า 3 เดือนขึ้นไป ซึ่ง Health Hacker เอพิโสดนี้จะมาโฟกัสที่กลุ่มนี้กัน พร้อมตอบคำถามที่ว่า ปวดแค่ไหนถึงจะต้องไปหาหมอ

 

ก่อนอื่นต้องบอกว่าสาเหตุของอาการปวดหลังที่เจอบ่อยที่สุดมักจะเกิดจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่หลังอักเสบ ซึ่งการอักเสบนั้นมักเกิดจากการใช้งานผิดวิธี เช่น นั่งนาน ยืนนาน นอนคว่ำ นอนท่าแปลกๆ อ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งการก้มยกของผิดวิธี ซึ่งถ้าหากยังมีอายุน้อย การฟื้นตัวของร่างกายจะยังดีอยู่ ไม่ถึงขั้นที่จะปวดหลังเรื้อรัง

แต่ถ้ามีอายุมากขึ้น หรืออยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ก็จะเจอกับอาการปวดหลังแบบนี้บ่อย อาการจะเป็นๆ หายๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีอาการปวดเมื่อยติดตัวอยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายของเราซ่อมแซมฟื้นฟูไม่ทันกับการใช้งานนั่นเอง 

 

ปวดหลังแค่ไหนที่ควรไปพบแพทย์

แนะนำว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมในการไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการคือตอนที่รู้สึกว่าอาการปวดหลังเริ่มรบกวนการใช้ชีวิต เช่น ปวดมากจนนอนไม่ได้ ทำงานไม่ไหว หรือมีอาการปวดหลังร่วมกับเป็นไข้ น้ำหนักลดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกว่าการกลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะของตัวเองเริ่มผิดปกติ หากคุณมีประวัติเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกับอาการปวดหลัง แนะนำว่าควรรีบไปพบแพทย์ทันที 

 

ป้องกันอาการปวดหลังตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมของตนเอง

  1. ปรับโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับการนั่งทำงาน
  2. หมั่นขยับร่างกายให้บ่อย ไม่นั่งท่าเดิมนานๆ 
  3. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ 
  4. ออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวอย่างสม่ำเสมอ 


ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


Credits

The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์
The Guest แพทย์หญิงเพ็ญวิภา ตระกูลวรรณชัย

 

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี,
วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post ปวดหลังตั้งแต่อายุยังน้อยเกิดจากอะไร ปวดมากแค่ไหนต้องไปพบแพทย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผิวแก่ก่อนวัย เพราะแสงสีฟ้าบนหน้าจอจริงหรือ? Botox-Filler ช่วยได้จริงไหม https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep17/ Wed, 01 Dec 2021 02:00:58 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=566171 Health-Hacker

ผิวแก่ก่อนวัย กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่ทิ่มแทงใจคุณอยู่หรือ […]

The post ผิวแก่ก่อนวัย เพราะแสงสีฟ้าบนหน้าจอจริงหรือ? Botox-Filler ช่วยได้จริงไหม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Health-Hacker

ผิวแก่ก่อนวัย กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่ทิ่มแทงใจคุณอยู่หรือเปล่า?

 

เคยสงสัยกันบ้างไหม ต่อให้เราจะสรรหาครีมบำรุงแพงๆ มาดูแลผิวก็แล้ว ทาครีมกันแดดเยอะๆ ก็แล้ว แต่ทำไมริ้วรอยและความเหี่ยวย่นก็ยังตามติดเป็นเงา บางคนมีผิวที่ดูแก่กว่าวัยทั้งๆ ที่ยังอายุไม่มาก สาเหตุมันเกิดจากอะไรกันแน่

 

สาเหตุของผิวแก่ก่อนวัยมาจากหลายปัจจัย เริ่มตั้งแต่ปัจจัยภายในกรรมพันธุ์และฮอร์โมนในร่างกาย ผิวของบางคนอาจจะสร้างคอลลาเจนได้น้อย หรือมีสภาพผิวที่แห้งหรือบางแต่กำเนิด ทำให้มีรอยย่น รอยกระ รอยแดง เกิดขึ้นตามผิวหนังได้ง่าย 

 

ส่วนปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นทำให้เรามีผิวแก่ก่อนวัย อันดับแรกคือแสงแดด ซึ่งมีทั้งรังสี UVA และ UVB และอีกหนึ่งสาเหตุใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม นั่นก็คือแสงสีฟ้าจากหน้าคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อผิว เช่น มลพิษ บุหรี่ ความเครียด ฯลฯ 

 

ซึ่งการจะป้องกันผิวแก่ก่อนวัยมีอยู่หลายวิธี ทั้งทาครีมกันแดด การใช้เครื่องมือช่วยลดริ้วรอย และกินวิตามินเสริมเพื่อบำรุงผิว แต่นอกจากเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยชะลอความแก่ของผิวแล้ว การหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นสาเหตุตรงๆ ก็สำคัญเช่นกัน ซึ่งทางแก้เบื้องต้นที่ทุกคนเข้าถึงได้คือการทาครีมกันแดด และที่ต้องเน้นคือการเลือกครีมกันแดดให้ถูกประเภท และใช้ในปริมาณที่เหมาะสมด้วย

 

วิธีใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้อง

  • ควรเป็นครีมกันแดดที่กันได้ทั้ง UVA, UVB และ Visible Light ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จากการอ่านส่วนผสมในฉลากว่าต้องมี Physical Sunscreen 
  • ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป หรือมากกว่านั้นยิ่งดี (ค่า PA ก็เช่นกัน)
  • ต้องทาก่อนออกแดด 15-30 นาที 
  • ปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละครั้งคือ ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะสำหรับบริเวณลำตัว และ 1-2 ช้อนชาบริเวณใบหน้าและคอ
  • ในกรณีที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ว่ายน้ำ ออกกำลังกาย หรือมีเหงื่อออกจนต้องซับหน้าเยอะ แนะนำให้ทาครีมกันแดดซ้ำบ่อยๆ แต่ถ้าในชีวิตประจำวันทั่วไปที่ไม่มีเหงื่อออก ครีมกันแดดจะสามารถอยู่บนผิวของเราได้ประมาณ 8 ชั่วโมง 

 

Botox, Filler และเทคโนโลยีการยกกระชับใบหน้าด้วยเครื่องมือต่างๆ จำเป็นแค่ไหน

จริงๆ แล้วเทคโนโลยีที่ช่วยชะลอความแก่ของผิวหน้าอาจจะได้ผลมากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละคน ถึงแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงปัจจัยภายนอกและใช้เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้มาเสริมแล้ว แต่ก็ยังมีปัจจัยภายในที่ทำให้ผิวของเราเสื่อมตามกาลเวลา มีริ้วรอย มีความหย่อนคล้อยเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้แค่ไหน

สัจธรรมของโลกคือร่างกายเราแก่ลงทุกวัน ไม่ว่าเราจะทำอะไรเพื่อป้องกันมากแค่ไหนก็ตาม ริ้วรอยก็จะตามมาเมื่อถึงเวลาอยู่ดี ที่สำคัญกว่าคือเมื่อเราดูแลร่างกายและผิวพรรณอย่างดีแล้ว ก็อย่าลืมดูแลใจของตัวเองด้วย เพื่อที่จะได้เป็นคนมีอายุที่สวย และมีความสุขตามช่วงวัยของตัวเอง

 

ทริกง่ายๆ ในการดูแลผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย 

  1. หลีกเลี่ยงแสงแดด พยายามอยู่ในที่ร่ม รับแสงสีฟ้าเท่าที่จำเป็น 
  2. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยคนต้องการการนอนอย่างต่อเนื่อง 6-8 ชั่วโมง 
  3. กินอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารประเภทแป้ง ไขมัน อาหารแปรรูป และดื่มน้ำให้เพียงพอ 
  4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  5. งดปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ผิวแก่ก่อยวัย เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ 

 

ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


 

Credits

 

The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์

The Guest แพทย์หญิงเพ็ญวิภา ตระกูลวรรณชัย

 

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Webmaster อารยา ปานศรี

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี, วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post ผิวแก่ก่อนวัย เพราะแสงสีฟ้าบนหน้าจอจริงหรือ? Botox-Filler ช่วยได้จริงไหม appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ปวดคอ ไหล่ห่อ หน้ายื่น เพราะทำงานหน้าคอมตลอดเวลา https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep16/ Sun, 28 Nov 2021 11:12:14 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=565204 วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ปวดคอ ไหล่ห่อ หน้ายื่น เพราะทำงานหน้าคอมตลอดเวลา

ปวดคอ หน้ายื่น ไหล่ห่อ อาการที่มักจะเกิดขึ้นกับคนทำงานอ […]

The post วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ปวดคอ ไหล่ห่อ หน้ายื่น เพราะทำงานหน้าคอมตลอดเวลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ปวดคอ ไหล่ห่อ หน้ายื่น เพราะทำงานหน้าคอมตลอดเวลา

ปวดคอ หน้ายื่น ไหล่ห่อ อาการที่มักจะเกิดขึ้นกับคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน หลายคนมักแก้ปัญหาด้วยการไปนวดคอ บ่า ไหล่ หรือไปจัดกระดูกกับคลินิกเฉพาะทาง

แต่จะดีกว่าไหมถ้าเรามาแก้ปัญหากันที่ต้นเหตุ โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง แค่นี้อาการปวดที่ว่ามาก็สามารถหายได้ แถมยังส่งผลดีต่อร่างกายในระยะยาวอีกด้วย

ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักโครงสร้างของร่างกายกันก่อน รู้หรือไม่ว่าศีรษะของคนเรานั้นมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 กิโลกรัม ตั้งอยู่บนกระดูกสันหลังส่วนคอ โดยมีกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยึดอยู่รอบๆ เพื่อให้ศีรษะของเรานั้นสามารถตั้งตรงอยู่ได้ ซึ่งโดยปกติที่ควรจะเป็นนั้น แนวของศีรษะควรจะตรงกับแนวของลำตัวอยู่เสมอ

แต่เมื่อเราก้มหรือยื่นหน้าเป็นเวลานานๆ อาจจะเป็นการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือเพลิดเพลินกับการก้มหน้าเล่นมือถือ จะทำให้ศีรษะที่ควรจะตั้งตรงนั้นหลุดออกจากแนวปกติไป ทำให้กล้ามเนื้อที่ยึดอยู่รอบๆ คอต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อพยุงไม่ให้ศีรษะของเราหลุดหรือหล่นพับจนบาดเจ็บ

มีผลการศึกษาบอกเอาไว้ว่า ถ้าเราก้มหน้าเพียง 15 องศา น้ำหนักของศีรษะจะเพิ่มขึ้นจาก 5 กิโลกรัมเป็นราวๆ 12 กิโลกรัม แต่ถ้าเราก้มต่ำกว่านั้นที่ 30 องศา น้ำหนักที่คอต้องรับจะเพิ่มเป็นเกือบ 20 กิโลกรัมเลยทีเดียว และในเมื่อกล้ามเนื้อเส้นเอ็นและข้อต่อบริเวณคอจะต้องรับน้ำหนักเยอะขนาดนี้บ่อยๆ เป็นเวลานานๆ ก็ไม่แปลกที่อาการปวดและอักเสบจะต้องเกิดขึ้น

แต่ถ้าเริ่มปวดแล้วไม่แก้ไข ยังอดทนอยู่ในท่าเดิมๆ แบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ กล้ามเนื้อรอบๆ คอของเราที่ปกติจะมีความยาวเหมาะสมในการรักษาท่าทางก็จะเกร็งและหย่อนผิดปกติ จนทำให้โพสเจอร์ของเราเปลี่ยนไป จากปกติที่ตัวตรง คอตรง ก็จะกลายเป็นคนคางยื่น ไหล่ห่อ สะบักกางออก รู้ตัวอีกทีก็อาจกลายเป็นคนหลังค่อมไปโดยปริยาย 

มาถึงตรงนี้ หลายๆ คนคงเริ่มมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า เราจะมีวิธีรักษา ป้องกัน หรือปรับพฤติกรรมอย่างไรบ้าง สำหรับผู้ที่ยังมีอาการไม่มาก สามารถลดปวดด้วยการประคบเย็นหรือกินยาแก้ปวดได้ และอีกส่วนที่สำคัญมากคือการป้องกันการกลับเป็นซ้ำในระยะยาว ด้วยการปรับโพสเจอร์ในการทำกิจวัตรประจำวันให้เหมาะสม ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้  

 

  1. จัดโต๊ะทำงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomic) เพื่อให้คอไม่ก้ม และไหล่ไม่ยกขณะทำงาน

 

  1. ขยับตัวบ่อยๆ ทุก 20 นาที อาจจะเป็นแค่การหมุนเอียงคอไปทางซ้ายและขวา ผ่อนคลายบ่าไหล่ ยืดอกขึ้น และกลับเข้าสู่โพสเจอร์ที่ถูกต้อง ถ้ากลัวลืมก็ใช้วิธีตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อเตือนตัวเองก็ได้ 

 

  1. หากเป็นไปได้ ควรมีเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน เดินไปกินข้าว หรือกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ทำให้เราไม่ต้องอยู่ในท่าเดิมนานๆ 

 

  1. หมั่นยืดกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ เป็นประจำและสม่ำเสมอ หรือจะทำในช่วงพักทุกๆ 20 นาทีก็ยังได้ ซึ่งท่าทางที่ถูกต้องสามารถเสิร์ชหาได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต โดยใช้คำค้นว่า Office Syndrome Stretching  

 

ฟังเอพิโสดนี้จบแล้ว อยากใหัทุกคนลองสังเกตท่าทางของตัวเองในการนั่งทำงานหรือนั่งเล่นมือถือดูว่าผิดไปจากปกติหรือเปล่า และเมื่อรู้ตัวแล้วก็ให้กลับมาอยู่ในท่าทางที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อลดภาระการทำงานของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อของกระดูกคอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพบเจอกับอาการปวดคอ หน้ายื่น ไหล่ห่อ ในอนาคต  


ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


 

Credits



The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Webmaster ไชยพร ศิริกลการ

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี,
วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ปวดคอ ไหล่ห่อ หน้ายื่น เพราะทำงานหน้าคอมตลอดเวลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผื่น ภูมิแพ้ เป็นสิว ไขข้อสงสัยในสิ่งที่คนใส่หน้ากากอนามัยทั้งวันจะต้องเจอ Feat. หมอมีมี่ https://thestandard.co/podcast/health-hacker-ep15/ Tue, 23 Nov 2021 07:50:04 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=563030

หน้าพังเพราะใส่หน้ากากอนามัยทั้งวัน บางคนเกิดผื่นคัน บา […]

The post ผื่น ภูมิแพ้ เป็นสิว ไขข้อสงสัยในสิ่งที่คนใส่หน้ากากอนามัยทั้งวันจะต้องเจอ Feat. หมอมีมี่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

หน้าพังเพราะใส่หน้ากากอนามัยทั้งวัน บางคนเกิดผื่นคัน บางคนก็ถึงขั้นเป็นสิว อาการแบบนี้เป็นเพราะเราแพ้มาสก์หรือเปล่านะ 

 

ในเมื่อใส่ก็แพ้ แต่จะไม่ใส่ก็ไม่ได้! Health Hacker เอพิโสดนี้ หมอแพนจะพาทุกคนมาไขข้อสงสัยให้กระจ่าง พร้อมแขกรับเชิญพิเศษ หมอมีมี่-เพ็ญวิภา ตระกูลวรรณชัย แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง ที่จะมาอธิบายเกี่ยวกับปัญหาภูมิแพ้ผิวหนังให้ทุกคนได้ฟังกัน  

 

ผื่นแพ้ผิวหนังถือเป็นหนึ่งในอาการของโรคภูมิแพ้ ซึ่งตัวของโรคภูมิแพ้เองนั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุ แต่หลักๆ เป็นเพราะสารที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายของเรามีความผิดปกติ ซึ่งจะแสดงออกได้ทั้งทางผิวหนัง เช่น การเกิดผื่น ผิวแห้ง หรือมีอาการคันตามตัว นอกจากนั้นอาจจะมีอาการคันที่เยื่อบุตา จมูก หรือส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบันที่มีทั้งโรคระบาด มลภาวะ และฝุ่นควัน ทำให้คนมีความเครียดเยอะขึ้น ซึ่งก็ยิ่งทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบมากขึ้นตามไปด้วย 

 

จริงหรือไม่! การแพ้มาสก์เกิดเพราะใส่หน้ากากอนามัยทั้งวัน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดผื่นผิวหนังบนใบหน้า 

หากจะเรียกว่าแพ้มาสก์ก็อาจไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะการที่มีผื่นบริเวณใบหน้าที่สัมผัสหน้ากาก จริงๆ แล้วเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการแพ้สารที่อยู่ในหน้ากาก หรือเป็นแค่การระคายเคืองธรรมดา แต่ส่วนใหญ่คนที่มาหาหมอในช่วงนี้ เมื่อตรวจแล้วมักจะเกิดจากการระคายเคืองของหน้ากาก โดยอาการจะเป็นเหมือนสิว คือมีตุ่มแดงหรือตุ่มหนองอยู่บริเวณส่วนล่างของใบหน้า ยิ่งเราไปแกะเกาก็จะยิ่งเกิดความระคายเคืองและผื่นก็ยิ่งเยอะขึ้น

 

แต่หากจะแยกให้รู้แน่ชัดว่าเกิดจากแพ้สารในหน้ากากหรือเป็นแค่การระคายเคืองกันแน่ ก็ต้องใช้วิธีสังเกตดู โดยส่วนใหญ่ผื่นจากการระคายเคืองจะขึ้นในระยะเวลา 6 สัปดาห์หลังเริ่มสัมผัส ผื่นจะดูกระจายทั่วพื้นที่ใต้หน้ากาก แต่ถ้าเป็นผื่นแพ้จากสารในหน้ากาก จะมีผื่นขึ้นบริเวณที่สัมผัสกับสารชนิดนั้น ซึ่งจะอยู่บริเวณยางหรือโครงเหล็ก

 

สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ ต้องบอกว่าการที่ผื่นหรือสิวจะหายไปได้นั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิด เช่น ถ้าเกิดจากการแพ้สารที่อยู่ในหน้ากาก เมื่อเลิกใส่หน้ากาก อาการก็จะดีขึ้นเอง แต่ถ้าเป็นผื่นที่เกิดจากโรคบางอย่าง เช่น Seborrheic Dermatitis ที่หลายๆ เรียกกันว่าเซบเดิร์ม โดยธรรมชาติของมันจะเป็นโรคที่เรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถควบคุมได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ

 

ข้อควรระวังคือถ้ายังไม่แน่ใจว่าอาการแพ้ของเราเกิดจากอะไรกันแน่ แนะนำว่าไม่ควรซื้อยามาทาเองเด็ดขาด เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์มาใช้ ซึ่งอาจทำให้เกิดผื่นชนิดใหม่ขึ้นมาอีกแบบไม่จบไม่สิ้น

 

วิธีดูแลผิวหน้าหากต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดทั้งวัน

  1. เลือกใช้หน้ากากที่ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เช่น คอตตอน, ลินิน หรือซิลก์ และหลีกเลี่ยงหน้ากากที่มีโลหะ 

 

  1. ไม่ควรใส่หน้ากากต่อเนื่องเกิน 4 ชั่วโมง ถ้าระหว่างวันมีช่วงที่ได้อยู่คนเดียวก็ถอดหน้ากากออกบ้างก็ได้ 

 

  1. ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน มี pH ใกล้เคียงกับผิวหรือเป็นกรดเล็กน้อย อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น 

 

  1. เลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่เป็นเซรั่มหรือโลชั่นเนื้อบางเบา หลีกเลี่ยงครีมที่มีแอลกอฮอล์, กรดซาลิไซลิกหรือเรตินอล เพราะส่วนใหญ่สารเหล่านี้จะอยู่ในผลิตภัณฑ์รักษาสิว ซึ่งอาจทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้มากขึ้น

 

  1. การทาครีมกันแดด ให้เลี่ยงการใช้สูตรกันน้ำ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย แต่ถ้าจำเป็นต้องออกแดดเป็นเวลานาน ให้ใช้วิธีทาซ้ำทุก 3-4 ชั่วโมงจะดีกว่า

 

สำหรับคนที่มีอาการผื่นแพ้ผิวหนังอยู่ก็ไม่ต้องกังวล ให้ลองปรึกษาคุณหมอผิวหนังเพื่อดำเนินการรักษาอย่างตรงจุดและได้ผลดีที่สุด ผิวหน้าของเราจะได้สวยสุขภาพดีไปนานๆ


ติดตามฟังพอดแคสต์ Health Hacker ได้ทุกวันพุธและอาทิตย์ ทาง THE STANDARD Podcast ทุกช่องทาง

 


 

Credits



The Host แพทย์หญิงศุภรัศมิ์ ทวนนวรัตน์

Show Creator Care Label

Project Manager ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Show Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Creative นัทธมน หัวใจ

Sound Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์

Videographer เสาวภา โตสวาท

Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ

Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Channel Admin เอกราช มอเซอร์

Proofreader นัฐฐา สอนกลิ่น

Webmaster ไชยพร ศิริกลการ

Social Media Admins สุทธกิตติ์​ สุทธาวรรณกุล, ธิติกร ลิ้มทองมณี,
วนัชพร ดวงนิล, วิมลณัฐ พรศิริอนันต์   

Archive Officer ชริน จำปาวัน

The post ผื่น ภูมิแพ้ เป็นสิว ไขข้อสงสัยในสิ่งที่คนใส่หน้ากากอนามัยทั้งวันจะต้องเจอ Feat. หมอมีมี่ appeared first on THE STANDARD.

]]>