RANDOM WISDOM – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 27 Sep 2018 05:23:49 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ศรีริต้า เจนเซ่น โลกสวยไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญ แต่คือด้านที่เลือกมองชีวิตให้มีความสุข https://thestandard.co/podcast/randomwisdom15/ Thu, 27 Sep 2018 17:01:34 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=124514

ศรีริต้า เจนเซ่น คือนักแสดงคนหนึ่งที่เราเห็นตั้งแต่เธอถ […]

The post ศรีริต้า เจนเซ่น โลกสวยไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญ แต่คือด้านที่เลือกมองชีวิตให้มีความสุข appeared first on THE STANDARD.

]]>

ศรีริต้า เจนเซ่น คือนักแสดงคนหนึ่งที่เราเห็นตั้งแต่เธอถ่ายแบบลงนิตยสารวัยรุ่น เล่นละครหลายสิบเรื่อง แต่สิ่งที่แทบจะเป็นตัวแทนของเธอตลอดมาคือความสวยระดับนางฟ้า และดูเป็นคนดีจนบางครั้งถูกค่อนแคะว่าโลกสวย จนเธอได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วยบทบาทการเป็นเมนเทอร์ในเรียลิตี้ค้นหานางแบบ หลายคนก็มองเธอเปลี่ยนไป

 

ตลอดเวลาของการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ศรีริต้าเน้นอยู่ 2 เรื่องหลักๆ ที่พาเธอมาถึงทุกวันนี้ คือคำว่า ‘Mindset’ และ ‘โอกาส’ เธอผ่านประสบการณ์อะไรจึงเชื่อว่าการเลือกมองโลกด้วยมุมบวกจะส่งผลดีกับชีวิต และในขณะที่สปอตไลต์ของวงการบันเทิงกำลังส่องเธออยู่ เธอบริหารโอกาสอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด

 


 

จะสอนใครต้องเข้าใจเขาก่อน

จุดแข็งของริต้าที่คนอื่นไม่รู้คือริต้าเป็นคนที่ทำอะไรแล้วอยากทำให้ดี นิสัยเราเป็นคนเก็บรายละเอียด เพราะส่วนตัวเราทำธุรกิจเองทั้งหมดโดยไม่มีหุ้นส่วน เราคุมพนักงานทั้งหมด 40 คน เราสร้างแบรนด์ตั้งแต่มันไม่มีอะไรจนทุกวันนี้เข้าคิง เพาเวอร์ ศรีวารี สยามพารากอน มีแฟลกชิปของตัวเอง และกำลังจะเปิดที่สยาม ทาคาชิมาย่า ริต้าทำเองทั้งหมด โดยเฉพาะการคุมคนที่ต้องทำทั้งร้านอาหาร สปา ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก รายละเอียดทุกอย่างมันเยอะไปหมด มันเป็นสิ่งที่คนไม่รู้และริต้าไม่เคยถ่ายทอดออกมาว่ามีส่วนนี้ คนแค่เห็นเราหน้ากล้องหรือตอนสัมภาษณ์กับนักข่าว แต่คนไม่เคยเห็นเราในฐานะนักธุรกิจหรือการบริหารงานของเราเลย ริต้ามองว่าการเป็นเมนเทอร์ก็ไม่ต่างจากนี้ การสอนเด็กก็เหมือนสอนพนักงานของเรา สำคัญที่สุดการที่จะสอนใครได้คือต้องเข้าใจเขาก่อน บอกเลยว่าริต้าไม่ใช่เมนเทอร์ที่เก่ง แต่เป็นเมนเทอร์ที่เข้าใจเด็ก เพราะถ้าเราเข้าใจเขาเมื่อไร เราจะสอนเขาได้

 

ธรรมชาติของมนุษย์คือการปกป้องตัวเอง

การทำธุรกิจสอนให้เราเป็นคนละเอียดมากค่ะ ริต้าเองก็ไม่เคยรู้ว่าในรายการมันจะดึงศักยภาพเราออกมามากขนาดนี้ ริต้าเคยผิดพลาดนะคะ ไม่ใช่ว่าจะทำได้ดีตลอด เพราะนี่คือครั้งแรกที่มาเป็นเมนเทอร์ แต่รายการนี้เป็นรายการที่ดึงศักยภาพเราออกมาโดยปกปิดไม่ได้ ถึงปิดมันก็ดูออก เพราะมีสถานการณ์ที่บีบบังคับให้เราได้ใช้สติ ประมาท กลัว พลาดพลั้ง ทุกแคมเปญที่เข้ามามันวัดไหวพริบเราหมดเลย แต่สำคัญคือต้องมีสติ เพราะมันคือเทกเดียว กล้องดูเราอยู่ ริต้ารู้สึกว่าเขาคงทำให้เราดูเอ๋อ โง่ ทำอะไรไม่ถูก ดูไม่ดี ดูเป็นคนถูกรังแก หรือเป็นคนที่สู้คนไม่ได้ เหมือนสังคมมนุษย์เรา ถ้ามีใครมารังแกเรา เราก็ต้องปกป้องตัวเอง

 

ไม่มีใครทำอะไรเราได้นอกจากตัวเราเอง

พอเราโตขึ้น เราจะรู้ว่าไม่มีอะไรทำให้เราเจ็บได้นอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครทำอะไรเราได้ทั้งนั้นนอกจากเราทำตัวเอง ฉะนั้นถ้าเกิดเราดูแลตัวเองให้ดี มีสติ ระวังคำพูด มันไม่มีใครทำอะไรเราได้

ให้คิดถึงวันนี้วันเดียว วันหน้ามันจะมาเองถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด

มนุษย์จะพัฒนาศักยภาพได้ ถ้ามีความกลัว

การที่คนเราจะพัฒนาศักยภาพมันต้องมีความกลัวเกิดขึ้น คุณต้องผลักดันตัวเอง คุณเห็นไหม เราโดนตัดแล้ว ถ้าคุณยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ คุณต้องสู้ และถ้าเกิดเราไม่ตัด เราจะแข่งกันให้เหนื่อยทำไม

 

ทำวันนี้ให้ดีและสนุก

ริต้ารู้สึกว่าการทำงานเราต้องสนุกกับงาน อันนี้เป็นวิสัยทัศน์ของเราอย่างหนึ่ง ริต้ามาทำงานทุกวันนี้ต้องสนุกกับมัน คุณพ่อสอนริต้ามาตั้งแต่เด็กว่าต้องรักและสนุกในสิ่งที่เราทำ ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ริต้าให้ตลอดคือให้เด็กมีความสนุก อย่าคิดว่าใครจะไปไฟนอลวอล์กหรือจะเอาชนะ คิดแค่ว่าวันนี้เราจะมาทำอะไรที่มันสนุกมากๆ กัน ให้คิดถึงวันนี้วันเดียว วันหน้ามันจะมาเองถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด

 

การทำงาน ความไว้ใจเป็นเรื่องสำคัญ

เราอยากได้คนที่เหมือนเราอยู่แล้ว ยิ่งได้เพื่อนสนิทมาทำงานด้วยคงโชคดีมาก แต่เกมนี้ไม่ใช่เกมนั้น เราไม่ได้คนที่นิสัยเหมือนกันหรือไม่ได้เพื่อนสนิทมาทำงานด้วย ทุกอย่างเลยต้องเรียนรู้ คนเราเมื่ออายุมาถึงขั้นหนึ่ง การที่เราจะเชื่อใจใครสักคนหนึ่งมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก การที่ริต้าจะไว้ใจใครพอที่จะเล่าความเป็นตัวเองออกมาหรือเปิดเผยตัวตนให้เขารู้มันใช้เวลา มันไม่ใช่นิสัยเราที่สนิทใจกับใครตั้งแต่วันแรก

 

การเปลี่ยน Mindset คือการเปลี่ยนทุกอย่าง

ริต้ารู้สึกว่าชีวิตนี้เกิดมาแล้วเราเลือกได้ เราเลือกที่จะทุกข์หรือสุขได้ ริต้าเลือกที่จะสุขดีกว่า พอเราเลือกจะสุข คนก็บอกว่าอีนี่โลกสวย น่ารำคาญ แต่เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราเลือก เราอยากจะมีความสุข อยากแบ่งปันรอยยิ้ม อยากแบ่งปันความตลก สนุก เราอยากแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คนอื่น แล้วพอมีความสุขก็มีโอกาสจะมอบสิ่งดีๆ ให้คนอื่นมากมาย มันเป็นสิ่งที่ทำอยู่ตลอด แน่นอนว่าเวลาทำงานเราเป็นคนซีเรียส นอนไม่หลับก็เคย ไม่ใช่ว่าโลกสวยแล้วทุกอย่างมันจะดี แต่เราเป็นคนหนึ่งที่จริงจังและงานออกมาดี แต่สุดท้ายแล้วมันจะดีหรือไม่ดี เราก็เลือกด้านที่เรารู้สึก คือเราต้องมีความสุขทุกโมเมนต์ ถึงเครียดก็อย่าให้มันอยู่กับเรานาน และอย่างที่บอกว่าตั้งแต่ทำธุรกิจมา มันมีปัญหาเยอะแบบมรสุมมาก ปัง! แรกๆ ก็มีเครียดบ้าง แต่พอตอนหลังเรามองว่าปัญหามันไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต มันมีไว้เพื่อแก้ไขและเป็นเรื่องปกติ ริต้าเลยเชื่อคำว่า Mindset มันเป็นคำที่สำคัญมาก บางครั้งที่เราไปเจอลูกทีมแล้วเขาบอบช้ำมาก สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องเปลี่ยน Mindset เขา การเปลี่ยน Mindset เป็นสิ่งสำคัญและมีพลังมาก บางทีคลิกเดียวเราจะมองว่าเป็นเรื่องเครียดหรือมองเป็นอีกแบบก็ได้

 

โอกาสไม่เดินกลับมาหาเราเป็นครั้งที่ 2

ริต้ารู้สึกว่าเราโชคดีที่ได้รับโอกาสมาอยู่ตรงนี้ เลยอยากให้โอกาสคนอื่นกลับไปบ้าง นั่นคือสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ เหมือนเราโชคดีที่อยู่ๆ เรามีชื่อเสียง หาเงินได้ มีพี่ๆ ที่น่ารัก แต่แน่นอนว่ามันมีคนที่เขาไม่ได้รับโอกาสแบบนี้อีกมากมายที่เราพยายามจะถ่ายทอดออกไป คนเราบางทีมีโอกาสเข้ามา เราไม่รู้หรอกว่ามันจะดีหรือไม่ดี เหมือนที่เขาถามว่าริต้ามาเป็นเมนเทอร์ไหม ริต้าก็ไม่รู้ว่ามันจะดีหรือร้าย แต่เมื่อมันมีโอกาส สิ่งที่เราต้องทำคือต้องรับโอกาสนั้นและทำมันให้ดีที่สุด โอกาสมันไม่ได้เดินกลับมาให้เราเป็นครั้งที่ 2 ถ้าคุณปฏิเสธครั้งนี้ คุณกำลังดังอยู่ สปอตไลต์ส่องอยู่ที่คุณ แต่คุณปฏิเสธด้วยอารมณ์ จะด้วยอารมณ์หรืออะไรก็ตาม มนุษย์เรามาคู่กับอารมณ์อยู่แล้วค่ะ คุณปฏิเสธไป แต่อย่าลืมว่ามันจะไม่ย้อนกลับมาให้คุณอีกแล้ว มันจะผ่านเลยไป แล้ววันหนึ่งคุณจะมานั่งเสียดาย ถ้าทำแล้วมันไม่ดีหรือเลวร้าย อย่างน้อยเราก็ได้ลอง

 


 

Credits

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Interviewer ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

The Guest ศรีริต้า เจนเซ่น

 

Episode Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Music Westonemusic.com

The post ศรีริต้า เจนเซ่น โลกสวยไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญ แต่คือด้านที่เลือกมองชีวิตให้มีความสุข appeared first on THE STANDARD.

]]>
เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ “อาชีพนักแสดงก็เหมือนคนรัก เจ็บปวดแต่ก็ไม่เคยหันหลังให้มันเสียที” https://thestandard.co/podcast/randomwisdom14/ Wed, 26 Sep 2018 17:01:51 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=124286

ข่าวด้านลบเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวงการบันเทิงไทยมายาวนาน […]

The post เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ “อาชีพนักแสดงก็เหมือนคนรัก เจ็บปวดแต่ก็ไม่เคยหันหลังให้มันเสียที” appeared first on THE STANDARD.

]]>

ข่าวด้านลบเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวงการบันเทิงไทยมายาวนาน และถ้าพูดถึงนักแสดงหญิงที่ต้องเผชิญกับข่าวเสียหายอยู่เป็นประจำ ชื่อของ เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ คงโผล่ขึ้นมาเป็นลำดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งความตรงไปตรงมาอย่างไม่ไว้หน้าใคร รวมถึงการตอบคำถามนักข่าวที่เธอโดนแบนไปหลายปีอย่างที่เราทราบกันดี

 

บทสัมภาษณ์ของ ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ ชิ้นนี้แทบจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เธอออกมาเล่าให้ฟังว่าช่วงเวลาที่หายไป เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เราไม่ได้ชวนเธอดำดิ่งไปที่อาการของโรคหรือสิ่งที่ต้องเผชิญ แต่เราชวนย้อนกลับมามองสิ่งที่เธอรักที่สุดอย่างอาชีพนักแสดงว่าอะไรคือสาเหตุสำคัญที่เธอไม่ยอมทิ้งมันไป ทั้งที่มันทำให้เธอทั้งมีความสุขและเจ็บปวดจนเป็นแผลติดตัวตลอดไปก็ตาม

 


 

วงการบันเทิงก็เหมือนคนรัก

วงการบันเทิงให้อะไรพลอยเยอะมาก พลอยมีชีวิตที่ดี มีเพื่อนฝูงที่ดี มีสังคมที่ดี แต่มันก็มีหลายสิ่งที่พลอยก็ต้องแลก แต่ถามว่าทำไมพลอยไม่หันหลังให้หรือเกลียดมัน ก็เหมือนเรารักแฟนคนหนึ่งมาก ชอบทุกอย่างในตัวเขา รู้ว่าเขามีตรงนี้ดีและไม่ดี แต่เรามองข้าม พร้อมที่จะแก้ไข และพร้อมที่จะจับมือแล้วเดินไปด้วยกัน งานตรงนี้ก็เหมือนกัน บางครั้งมันไม่ได้ทำให้พลอยมีความสุขเสมอไป มันสร้างความเจ็บปวดให้พลอยด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างเป็นเพราะรักเลยยังอยู่ พลอยรักอาชีพพลอยเหมือนคนรักค่ะ ความรักมันทำให้เราเจ็บปวด แต่เราไม่เคยหันหลังให้มันเสียที ใช่ค่ะ เพราะเรารัก

 

ไม่ว่าใครก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม

อันนี้ขอเถียงเลยค่ะ เรื่องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้เยาวชนและประเทศชาติ พลอยว่าทุกคนต้องเป็น ไม่ใช่หน้าที่ของนักแสดงอย่างเดียว จริงอยู่ว่าเราเป็นบุคคลที่ทุกคนให้ความสนใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่พลอยว่าหน้าที่การเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคมมันคือหน้าที่ของประชาชนทุกคน จะมายกให้ดาราเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวมันไม่ยุติธรรม ทุกคนต้องทำเท่ากัน

 

อย่าแบกโซเชียลมีเดีย

สมัยนี้โซเชียลมีเดียทำให้ทุกคนเข้าถึงกันหมด เรารับรู้ได้ แต่ต้องไม่แบก พลอยเคยแบกแล้วทุกข์มาก เลยมานั่งคิดว่าทำไมเราต้องทุกข์ขนาดนี้ พลอยเคยรู้สึกว่าทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำไมคนอื่นไม่เข้าใจ เหมือนเราเดินออกไปแล้วคนอื่นพยายามเอาหอกมาทิ่มตลอดเวลา ทุกครั้งที่พลอยล้ม พลอยล้มแรงมากเลยนะ แต่พลอยพยายามลุกขึ้นมาด้วยตัวเองตลอด

 

เราไม่สามารถทำให้ทุกคนในโลกถูกใจได้

เรารู้ว่ากับใครคนไหนเราให้ได้แค่ไหน แค่นั้นพอค่ะ จะไปหวังให้ทุกคนมารักมาถูกใจมันเป็นไปไม่ได้ ขนาดเราเองยังไม่ชอบคนอื่นเลยถูกไหม บางอย่างเราก็ไม่เห็นด้วย ฉะนั้นไม่แปลกถ้าคนอื่นจะไม่ชอบเรา เพราะไม่มีใครเข้าใจคนทุกคนได้ พูดตรงๆ ว่าไม่มีใครทำอะไรให้ถูกใจเราไปเสียทุกเรื่อง ขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นถูกใจหรือพึงพอใจไปทุกเรื่อง

 

เราต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง

จริงๆ แล้วพลอยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ ซึ่งเคยป่วยไปเมื่อตอนอายุ 19 รุนแรงอยู่เหมือนกัน แล้วมันก็หายไป แล้วก็เพิ่งกลับมาเป็นใหม่ตั้งแต่ 4 ปีที่แล้วที่เริ่มโดนแบน พลอยทรมานเหมือนกัน แต่คิดว่าพยายามรักษาตัวเอง ถ้าเราล้มเราก็ต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ยืนไม่ไหวก็ต้องคลาน คลานไปหาที่ใดที่หนึ่งเกาะแล้วดึงตัวเองขึ้นมา นี่คือวิธีที่พลอยสู้

 

เมื่ออดทนผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไปได้ เราจะเข้มแข็งขึ้น

พลอยจะไม่เอาตัวเองยืนอยู่ตรงแบ็กดรอปและจะไม่พูดอะไร ต่อให้คนด่าว่าพลอยเป็นฮิสทีเรียก็จะไม่พูดอะไร บางคนพูดกับพลอยว่าถ้าไม่กราบตีนนักข่าวปีนี้มึงก็ไม่ต้องมีงาน พลอยก็ไม่ตอบโต้และเลือกที่จะไม่พูด พลอยงงมากว่าไปทำอะไรให้คนเหล่านี้ พลอยเหมือนโดนกระทืบซ้ำให้มันจมเข้าไปอีกแบบไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด แต่พลอยคิดว่ามันไม่ใช่เวรกรรม มันคือช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเราผ่านไปได้เราจะเป็นคนเก่ง

 

ทุกคนมีแผลให้เรียนรู้และยอมรับ

มันเหมือนเป็นแผลฉกรรจ์ที่เคยหายไปแล้ว แต่มันถูกกรีดลงไปที่รอยเดิมแล้วมันลึกขึ้น มันเลยเป็นแผลที่ไม่เคยหาย มันคงต้องใช้เวลาให้เคยชินกับมัน เราคงไม่ชินกับทุกเรื่องได้ง่ายๆ ตอนแรกเรามองแผลเป็นว่าน่าเกลียด แล้วก็มองมันซ้ำอย่างนั้นเพราะไม่ชอบ แต่วันหนึ่งเราก็อยู่กับมันมา 20 ปี เราก็เริ่มเข้าใจและจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น เอาไว้เตือนใจ แต่มันใช้เวลาเหมือนกันค่ะกว่าเราจะชินกับแผลฉกรรจ์นั้นของเรา

 

เราต้องเล่นโซเชียลมีเดียอย่างมีสติ

พลอยแค่รู้สึกว่าเผลอแป๊บเดียว เวลามันบินไป 10 ปี อินสตาแกรมเพิ่งมาได้ 5-6 ปีหลัง เราก้มหน้าก้มตาไปกับมันปีละกี่ชั่วโมง ใครๆ ก็ติดต่อกันง่าย ใครก็อยากทำลาย หรือห่วงอะไรที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง โดยไม่มองว่าชีวิตจริงจะดำเนินไปอย่างไรหรือทำอย่างไรให้ชีวิตมีคุณภาพ มัวแต่สนใจว่าใครพูดอะไร ทำอะไร เห็นอะไรก็แชร์ พลอยเกลียดเรื่องพวกนี้มาก รู้สึกว่ามันไร้สาระ การใช้โซเชียลมีเดียต้องควบคุมแล้วมันจะดี เราจับหนังสือกันบ้างหรือเปล่า ดูหนังกันบ้างหรือเปล่า หรือเอะอะอะไรก็หยิบมือถือดูโน่นนี่ พลอยรู้สึกว่าคนใช้โซเชียลมีเดียกันไปในทางที่ไม่มีศีลธรรมจริยธรรม ไม่มีการไตร่ตรองหรือคัดกรองที่ดี มันส่งผลกระทบต่อเด็กรุ่นหลังได้เยอะมาก เราต้องยอมรับว่าโซเชียลมีเดียมันทำให้เราเสื่อม หลายคนมีช่องของตัวเอง มี YouTube หรือ Facebook Live แล้วจะพูดอะไรก็ได้ พลอยถึงบอกไงว่าทุกคนควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กันและกัน

 

เราต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

พลอยอยู่ในยุคที่ไม่มีใครยอมเล่นเป็นตัวร้าย เพราะกลัวภาพลักษณ์ไม่ดี กลัวงานโฆษณาไม่เข้า แต่พลอยเป็นนางร้ายที่มีโฆษณา 14-15 ตัว พลอยอยากพิสูจน์ให้คนเห็นว่าอาชีพของเราคืออะไร เราทำงานนี้เพราะอะไร พลอยเป็นนักแสดง ต้องเป็นให้ได้ทุกบท จะเป็นบ้าเป็นบอมันก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของละครหรือภาพยนตร์นั้น คุณเคยคิดหรือยังว่าต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แทนที่จะมาห่วงว่าฉันเล่นออกไปแล้วคนจะรักฉันไหม

 

รักแล้วไม่มีวันล้มเลิก

เวลาเรารักอะไรแล้วมันคือรักแท้ท่ีรักด้วยความบริสุทธิ์ใจ และหัวใจทั้งดวงของเราจะไม่มีวันยอมแพ้กับสิ่งนั้น ต่อให้มันทำร้ายหรือทำให้เราเจ็บปวดขนาดไหน เราก็ยังรักและอยากทำมันอยู่ดี นี่มันคงเป็นรักแท้ที่เกิดขึ้นในตัวพลอยกับหน้าที่การงาน พลอยจะไม่มีวันล้มเลิก ต่อให้เราเจ็บก็ไม่ยอมแพ้ แต่กว่าจะหาคำตอบได้ว่าเพราะอะไร มันก็ต้องใช้เวลาขัดเกลาและเจริญเติบโต พลอยถึงรู้ว่าเรารักอาชีพนี้เพราะอะไร

 


 

Credits

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Interviewer ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

The Guest เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์

 

Episode Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Music Westonemusic.com

The post เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ “อาชีพนักแสดงก็เหมือนคนรัก เจ็บปวดแต่ก็ไม่เคยหันหลังให้มันเสียที” appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทาทา ยัง ชีวิตมหัศจรรย์คือการทำทุกอย่างให้เต็มที่และมีความสุข https://thestandard.co/podcast/randomwisdom13/ Tue, 25 Sep 2018 17:01:21 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=123972

นอกจากภาพของสาวน้อยมหัศจรรย์ที่มีเพลงฮิตทั่วบ้านทั่วเมื […]

The post ทาทา ยัง ชีวิตมหัศจรรย์คือการทำทุกอย่างให้เต็มที่และมีความสุข appeared first on THE STANDARD.

]]>

นอกจากภาพของสาวน้อยมหัศจรรย์ที่มีเพลงฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ทาทา ยัง ที่เรารู้จักคือ ผู้หญิงที่มีความมั่นใจในระดับที่ลุกขึ้นมาประกาศว่า วันหนึ่งจะโกอินเตอร์และเธอก็ทำสำเร็จ

 

วันนี้ที่ ทาทา ยัง ไม่ได้เป็นสาวน้อย THE STANDARD มีโอกาสฟังเธอเล่าอย่างสนุกสนานและตรงไปตรงมาว่า การโกอินเตอร์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ใครๆ เขาว่ากันจริงๆ แต่เธอก็ไม่เคยเสียดาย เพราะได้ทำมันอย่างเต็มที่ ทุกวันนี้เธอเป็นคุณแม่ที่ยังมีความสุขกับการได้ร้องเพลง เป็นตัวของตัวเอง และได้เรียนรู้ว่า ความสุขเกิดขึ้นได้จากการที่เราน่ารักกับคนรอบข้าง และน่ารักกับตัวเองด้วย

 

การทำอะไรด้วยความรู้สึกจากข้างในจะทำให้ประสบความสำเร็จ

 

ตอนนั้นที่ประกวดร้องเพลง ทาทาคิดอย่างเดียวว่า อยากสนุก อยากทำอะไรที่เรารัก และมันพาทาทามาจนถึงจุดนี้ คงเพราะคิดอย่างนี้มั้งคะ เราเลยประสบความสำเร็จ เพราะเราทำมันด้วยความมุ่งมั่นและความสุขข้างในจากใจจริงๆ เราทำมันด้วยแพสชัน ความสบายใจ ความเอ็นจอย และความรัก ไม่ได้จะเอาดีเอาเด่น มันเลยแสดงออกมาด้วยความเป็นธรรมชาติที่สุด

 

ไม่ว่ากับใครเราก็ต้องทำตัวมีมารยาท

 

ทาทาถูกปลูกฝังจากคุณแม่มาตลอดเวลาว่า ถ้ามีคนจำเราได้ ดัง หรือประสบความสำเร็จ เราต้องเป็นคนน่ารัก ไม่ว่าอีกฝั่งจะเป็นดาราหรือไม่ก็ตาม แม่จะเข้มงวดเรื่องมารยาทมาก เดินผ่านหน้าผู้ใหญ่ก็ต้องก้ม เดินในบ้านก็ห้ามเสียงดัง แล้วยิ่งถ้าเรามีชื่อเสียง เราต้องเคารพคนที่เขาให้โอกาสเรา เขารักแสดงว่าเขาเอ็นดูเรา ฉะนั้นเราก็ต้องเคารพเขา

 

การคิดบวกเป็นสิ่งที่ดีเสมอ

 

มันไม่มีชีวิตของศิลปินคนไหนที่ประสบความสำเร็จแล้วจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกคนกัดฟันสู้ค่ะ เพราะมันคือทางเดินของคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ทาทาถูกหล่อหลอมมาด้วยคนคิดบวก คุณพ่อคุณแม่เราไม่ใช่คนปลอบประโลมนะ เราไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นตรงนี้ แต่เราก็ได้ทำอีกอย่าง ท่านจะมีข้อเปรียบเทียบให้เรารู้สึกว่าเจ๋งและดีที่ได้รับโอกาสนั้น

 

หาวิธีรักษาจิตใจของตัวเอง

 

ช่วงเวลาของความทุกข์หรือความเสียใจมันไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องแสดงออกต่อสื่อ แต่เราต้องรักษาจิตใจด้วยตัวเองหรือคนรอบข้างที่รัก เพราะมันคือการรักษาตัวเองแบบจริงๆ ทาทาเจอมาหมด ทั้งตอบสื่อไม่เป็น ตอบผิดก็ต้องขอโทษ เจอมาทุกอย่าง แต่ในที่สุดมันอยู่ที่การรับมือว่า เราจะรับมือกับแต่ละเรื่องอย่างไรบ้าง จังหวะ เวลา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์หมด

 

ความมั่นใจไม่ใช่สิ่งผิด

 

อย่างแรก เราผิดอะไรกับการที่เราพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองแล้วดูมั่นใจ หรือเกี่ยวกับการทำงานของเรา บางอย่างเราทำด้วยความมั่นใจว่าจะทำแบบนี้ และออกมาเป็นอย่างที่พูด มันไม่ได้ก้าวก่ายหรือไปพูดเรื่องคนอื่นไม่ดี หรือเราก็ไม่ได้พูดจาไม่สุภาพ มันคืออีกเรื่อง เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้รู้สึกผิดหรือต้องไฟต์ หรือต้องแก้ตัวกับอะไร แค่เชื่อในสิทธิ์ของเรา ความจริงคือ เราพูดไปอย่างไร เดี๋ยวมันก็ออกมาเป็นแบบนั้น ฉะนั้นถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวเองและมีซัพพอร์ตจากคนรอบข้างก็แค่ทำต่อไป

 

เราแค่ยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเป็น

 

การ Bullying เป็นการกระทำของคนที่น่าอายค่ะ เราต้องไม่เป็นเหยื่อของคนที่กำลังทำร้ายเราทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเราต้องรู้สึกร่วมไปกับเขา แน่ล่ะว่ามันมีคอมเมนต์เยอะมาก แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นหรือไม่ได้ทำ เราก็จะยืนในที่ของเรา เท่าที่เรายืนได้อย่างไม่สนใจ เรามักคิดเสมอว่า คนที่ทำแบบนี้ ลึกๆ เขาน่าจะเป็นคนที่มีปัญหาและไม่รู้จะแสดงออกกับใคร ก็ต้องมานั่งรวมกลุ่มกัน คุณเอาความเกลียดชังมาเป็นกระแส แค่คุณสร้างกระแสรุมเกลียดคนคนหนึ่งก็แย่มากพออยู่แล้ว ไปหาอย่างอื่นทำไหม

 

เราต้องให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ

 

พอมีลูก ทาทาจะบอกลูกเสมอว่า มีคนมาดูคอนเสิร์ตแม่เยอะมากเลย มันโคตรเจ๋งเลย แม่เรย์เป็นคนเปรี้ยวค่ะ คือคนเราน่ะ เราควรบอกตัวเองอยู่เสมอว่า เราดีเพื่อให้กำลังใจตัวเอง เราต้องคอยบอกตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้ว นี่คือสไตล์เรา

 

เป็นตัวของตัวเอง มีความสุขกับชีวิต น่ารักกับตัวเองและคนรอบข้าง

 

อย่างแรกคือ ต้องเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม รู้จักผจญภัย มีความสุขกับชีวิต ออกไปเห็นอะไรเยอะๆ เพื่อเปิดหูเปิดตา ที่สำคัญต้องน่ารักกับตัวเองและคนอื่น ทาทาว่าทั้ง 3 ข้อที่รวมกันนี้ ทาทาอยากให้เรย์เป็นคนที่มีความสุข ไม่ต้องไอคิวดีเลิศแบบเด็กเรียนเก่ง แต่อยากให้อีคิวดี เพราะเขาจะเป็นคนที่เอาตัวรอดได้เสมอ เรียนไม่เก่งเดี๋ยวเพื่อนก็ช่วย ครูก็ช่วยด้วยความเอ็นดู

 

อย่าคิดถึงแค่เรื่องทันสมัย แต่ให้มองความต้องการของตัวเอง

 

ทุกวันนี้ด้วยโซเชียลมีเดียและอะไรหลายอย่าง คนเราโดนโน้มน้าวให้ขาดความเป็นตัวของตัวเองมากพอสมควร คนเราลืมคิดถึงความสุขของตัวเอง แต่มัวไปคิดถึงแฟชั่น คิดถึงสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน แล้วถ้าทำตามจะรู้สึกว่าอินเทรนด์ แต่ไม่ได้คิดถึงว่านอกจากอินเทรนด์แล้วได้อะไรบ้าง เราพอใจจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องตามคนอื่น แต่จะถามตัวเองว่าทำแล้วมีความสุขไหม เลือกทำแบบนี้ดีกว่า สมมติว่าเราไม่มีรองเท้าคู่หนึ่ง แต่ทุกคนมีกันหมด บางคนอาจรู้สึกว่าเราเชย ไม่อัปเดตเท่าคนอื่น สำหรับทาทาไม่คิดและไม่เดือดร้อนแล้ว มันไม่เกี่ยวแล้วค่ะ มันแค่รองเท้า แต่เรามองหาของจริงของเราดีกว่า ว่าเราชอบรองเท้าแบบไหน เรียบ สีดำ สีขาว หาสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองให้เจอ มัวแต่ทำเหมือนคนอื่นแต่ไม่เป็นตัวของเรา มันเหนื่อย เราหาอะไรที่เป็นแก่นสารชีวิตเราดีกว่า

 

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป

 

จำไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านเตือนเราด้วยความหวังดี บางทีที่ท่านเตือนมันอาจจี้ใจดำ จนเรารู้สึกว่า ‘พูดอีกแล้ว พูดอยู่ได้ ฟังมาแล้วตั้งกี่ปีไม่รู้’ แต่วันหนึ่งเราลองคิดว่า ที่เขาพูดทั้งหมดเพราะเขารัก เราปรับลองเปลี่ยนดูสิ ‘เออ แม่พอแล้ว ไป ไปกินข้าวกัน’ คือเราต้องลองทำอย่างนี้ให้แม่เข้าใจ ผู้ใหญ่เวลาที่เขามาจี้หรืออะไรกับเรามากๆ จนเราหงุดหงิดบรรยากาศทั้งบ้านก็จะเป็นแบบนั้นไปตลอด ลองฟังท่านบ้าง ท่านไม่ได้อยู่นานพอจะพูดอย่างนี้กับเราไปตลอดหรอก จริงๆ นะ ทุกคนต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราตลอดไป เราต้องพึงพอใจ และรู้สึกว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของเราที่ได้อยู่ด้วยกัน เราทำอะไรให้เขาได้บ้าง ถ้าจะเสียดาย เสียดายตั้งแต่วันนี้ไว้ก่อนเลยว่า เรายังไม่ได้ทำอะไรให้ท่าน ตอนท่านไปแล้วเราจะได้ไม่เสียดาย

 

ยอมจำนนอะไรบางอย่างที่เกินตัว

 

ความสุขไม่ใช่สิ่งที่ต้องหาค่ะ มันมีอยู่ทั่วไป เรามีความสุขได้ง่ายๆ เพียงแค่เราจะทำตัวเองอย่างไรให้มีความสุข ถ้าเราไม่มีความสุข เราก็ไม่มีความสุข ทาทาเคยบอกว่า เราต้องน่ารักกับตัวเอง กับอีกอย่าง เราต้องรู้จักยอมจำนนกับสิ่งที่มันเกินตัวเราไป บางคนบอกว่า ‘ใช่สิ ฉันไม่ใช่ ทาทา ยัง นี่ ฉันต้องหาเช้ากินค่ำ’ ถ้ามัวแต่คิดแบบนี้ ชีวิตคุณก็ไปไหนไม่ได้ ชีวิตเราถ้าลองทำอะไรสักอย่างแล้วไม่สำเร็จ แล้วเอาแต่มัวบ่นว่า ‘แม่งเจ๊งอีกแล้ว พังอีกแล้ว’ ไม่ค่ะ ยอมมันเสีย

 


Credits

 

The Interviewer ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

The Guest ทาทา ยัง

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producer & Editor อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer ทรงพล จั่นลา

Proofreader  ภาวิกา ขันติศรีสกุล

Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์

The post ทาทา ยัง ชีวิตมหัศจรรย์คือการทำทุกอย่างให้เต็มที่และมีความสุข appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมทินี กิ่งโพยม “ประสบการณ์สอนให้เรารู้จักอดทน เข้มแข็ง และเป็นผู้แพ้ที่ดี” https://thestandard.co/podcast/randomwisdom12/ Mon, 24 Sep 2018 17:01:00 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=122780

เมทินี กิ่งโพยม คือผู้หญิงสตรองในสื่อที่เรารู้จักเธอมาแ […]

The post เมทินี กิ่งโพยม “ประสบการณ์สอนให้เรารู้จักอดทน เข้มแข็ง และเป็นผู้แพ้ที่ดี” appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมทินี กิ่งโพยม คือผู้หญิงสตรองในสื่อที่เรารู้จักเธอมาแล้วแทบทุกแง่มุม ทั้งนางงาม นักแสดง ซูเปอร์โมเดล เราเห็นความสามารถของเธอผ่านการเป็นเมนเทอร์ในเรียลิตี้ค้นหานางแบบ เราเห็นความเข้มแข็งของเธอผ่านการรับมือกับคำวิจารณ์มานับครั้งไม่ถ้วน

 

ครั้งนี้ต่างออกไป ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ และ THE STANDARD ชวนเธอออกนอกการตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเอง แต่ชวนมองเรื่องสังคมตั้งแต่ยุคนิตยสารจนถึงวันที่ทุกคนเล่นโซเชียลมีเดียว่ามีความเปลี่ยนไปอย่างไร ในฐานะที่คนที่เคยถูก Bully ผ่านโซเชียลฯ ต้องรับมือด้วยวิธีไหน และในฐานะแม่คนหนึ่งเธอจะสอนลูกอย่างไรให้สตรองเช่นเดียวกับเธอ

 

การแข่งขันทำให้รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้

 

การเป็นเมนเทอร์สอนให้เกดรู้จักเป็นผู้แพ้ที่ดี เพราะปกติเป็นคนชอบการแข่งขันและเป็นคนชอบชนะซึ่งไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่การมารายการ เดอะเฟซ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะชนะทุกครั้ง และก็ไม่ได้แฟร์กับเราเสมอไป ฉะนั้นการรู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ จัดการความผิดหวังและเดินต่อไปข้างหน้าได้จึงสำคัญมาก สิ่งนี้คือสิ่งที่เกดพยายามสอนทุกคนในทีมว่าในชีวิตจริงเราสามารถเจอความผิดหวังได้ทุกที่ทุกเวลา

 

โซเชียลมีเดียทำให้การแสดงออกตัวตนของคนเปลี่ยนไป

 

ตอนนั้นเป็นยุคก่อนโซเชียลมีเดีย แต่พอโซเชียลมีเดียเข้ามาการแสดงออกซึ่งตัวตนมันเปลี่ยนไป อย่างแต่ก่อนการถ่ายแบบชุดว่ายน้ำหรือชุดเซ็กซี่ดาราจะได้เงินเยอะมากเพราะว่านานๆ ทีคนจะได้เห็น แต่พอโซเชียลมีเดียเข้ามาทุกคนก็พยายามหามุมเซ็กซี่ของตัวเอง หรือถ่ายรูปโชว์รูปร่างว่าตัวเองฟิตมาก ถ่ายคลิปตัวเองออกกำลังกาย ถ่ายรูปตัวเองสวมชุดว่ายน้ำอยู่บนชายหาด ทุกวันนี้การที่ใครจะมาถ่ายชุดว่ายน้ำมันแทบไม่มีใครต้องการจะเห็นแล้ว เพราะสามารถพบเห็นได้ทั่วไป

 

ศิลปะ VS อนาจาร

 

เราต้องมองบวกและมั่นใจในผลงานของตัวเอง เกดมั่นใจในผลงานของตัวเองเพราะเราเลือกที่จะทำแบบนั้นแล้ว ฉะนั้นถ้าเราเคว้งแล้วไปตามกระแสวิพากษ์วิจารณ์เราก็จะกลายเป็นคนเครียดและมองทุกอย่างลบไปด้วย มันจะกลายเป็นการตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราทำอะไรลงไป ไม่ค่ะ เราต้องมั่นใจว่ารูปที่เราถ่ายไปคือศิลปะ คือแฟชั่น และเรารู้ว่าเรากำลังเสนอแฟชั่นอยู่ เกดไม่ได้ไปแก้ผ้ายืนหน้าวัดแล้วถ่ายรูป ฉะนั้นคุณจะมาเกดทำไม แล้วดูตอนนี้สิ สิบเจ็ดปีผ่านไปคุณไปดูในโซเชียลมีเดียสิ โอมายก๊อด ทุกคนทำกันหมดเลย

 

คอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียคือแค่คอมเมนต์

 

ในยุค 90 เกดเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของมาดอนน่าว่าข่าวทั่วไปคือข่าวดี ข่าวกระแสลบคือข่าวโคตรดี เพราะไม่ว่าเมื่อก่อนหรือว่าปัจจุบันนี้ข่าวคาวขายได้มากกว่าข่าวจริงๆ มันเป็นความจริงเสมอ ทุกคนเสพข่าวคาวว่าใครนอนกับใคร ใครกิ๊กกับใคร ใครเสพยา ข่าวพวกนี้มันขายมาก และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นคุณจะด่าอะไรก็เชิญเลย เกดอ่านแล้วหัวเราะด้วยซ้ำไปเพราะแยกแยะออก เพราะถ้าเกดเลวแล้วมีคนเข้ามาด่าในชีวิตจริง อันนั้นเกดต้องพิจารณาแล้วว่าทำไมเราถึงถูกด่าหรือถูกแอนตี้ แต่จริงๆ แล้วเกดไม่ได้เลวไง ถ้าเกดไม่สตรองแล้วไปนั่งอ่านข่าวพวกนั้นหมดคงเป็นบ้า คนเป็นพัน มาด่าว่าอีลูกเกด อีดอก อย่างโน้นอย่างนี้ Fuck You กูก็ต้องเป็นบ้าเข้าสักวันสิถูกไหม

 

โซเชียลมีเดียเป็นดาบสองคม

 

โซเชียลมีเดียทำให้คนเป็นบ้า คนทุกวันนี้ขาดความยอมรับนับถือในตัวเองมาก เพราะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นในโซเชียลมีเดียตลอดเวลา เห็นเพื่อนมีแบบนี้อยากมีบ้าง เห็นเพื่อนไปเที่ยวที่นั่นที่นี่อยากไปบ้าง โดยเฉพาะวัยรุ่นสมัยนี้แทบไม่มีความอดทนเลยเพราะเขาไม่จำเป็นต้องอดทนไง ชอบคนโน้นก็เลิกกับคนนี้ ถ้าไม่ชอบคนนี้กูก็ไม่ทนหรอก โซเชียลมีเดียมันคือดาบสองคมชัดๆ เสพเยอะเกินไปก็ไม่ดี จะไม่เล่นเลยก็ไม่ได้ เพราะเราต้องยอมรับว่าเราอยู่ในยุคโซเชียลมีเดียจริงๆ

 

ไอดอลจริงๆ ควรดังจากผลงาน

 

โชคดีที่เกดดังในยุคที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย ยุคนั้นถ้าจะดังจริงๆ ต้องดังจากละคร ทีวี วิทยุ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ 5 สื่อแค่นี้ แต่วันดีคืนดีเน็ตไอดอลก็ดังจากโซเชียลมีเดีย แต่เขามีผลงานอะไรให้เราเห็นบ้าง จะมีโชว์เหนือ โชว์เจ๋ง อันไหนเจ๋งกว่ากัน คนรุ่นใหม่ปรับความคิดหน่อยเถอะว่า การที่คุณจะดังหรือเป็นไอดอลจริงๆ มันควรมาจากผลงานหรือเปล่า ไม่ใช่คนที่ฟอลโลว์คุณในโซเชียลมีเดีย

 

เราต้องยอมรับว่าหมดยุคของซูเปอร์โมเดลแล้ว

 

น่ากลัวมาก กระดาษกำลังจะหายไป เกดว่ามันน่ากลัวตั้งแต่ยุคเทปคลาสเซตต์หายไปแล้วกลายมาเป็น MP3 หรือการดาวน์โหลด นักร้องต้องมีหวิวๆ บ้างแหละ นางแบบก็เหมือนกัน แค่เมื่อก่อนนิตยสารมีเป็นสิบๆ หัว แต่ทุกวันนี้เหลือแค่ไม่กี่เล่มเพราะทุกอย่างไปอยู่ในออนไลน์หมด มันหมดยุคของซูเปอร์โมเดลแล้วค่ะ ทุกวันนี้มีแต่เซเลบริตี้ เราอยู่ในยุคที่เซเลบริตี้ขายได้ แต่ก่อนเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้เซเลบฯ ยืมเสื้อใส่ออกงาน เพื่อให้ถ่ายลงนิตยสารแล้วคนอ่านแล้วอยากจะมาซื้อ แต่ทุกวันนี้แบรนด์เนมกลายเป็นจ่ายเงินให้เซเลบฯ แล้วถ่ายลงโซเชียลมีเดีย บางคนใส่ปัง 2-3 วัน เสื้อผ้าขายหมด มันเปลี่ยนไปหมดแล้วค่ะ แต่ที่เกดดังได้ในยุคนั้นมันเกิดขึ้นจากตัวเองและความสามารถ ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปลงรูปเก่งค่ะ

 

ความอดทน ความเข้มแข็ง และรู้จักเป็นผู้แพ้

 

สิ่งที่อยากจะสอนทุกคนเลยคือเรื่องความอดทน มันเป็นสิ่งแรกที่สำคัญมาก เพราะตัวเกดเองไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย และทุกคนต้องปากกัดตีนถีบเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ มันไม่มีอะไรง่ายค่ะ แม้แต่มาเมืองไทยก็ต้องสู้ มันไม่เคยสบายหรือหรูหราอย่างที่ทุกคนคิด การที่เราอดทนมันจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของเรามาก มันทำให้เราสตรองและเป็นนักสู้

 

อีกคุณสมบัติที่สำคัญคือต้องสตรองค่ะ การที่เราเป็นนักสู้และรู้วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ เราจะไม่ใช่ Looser เพราะไม่ว่าเราจะทำงานสายงานไหนก็ตาม เราก็ต้องต่อสู้กับทั้งตัวเอง ทั้งสิ่งแวดล้อม ต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย มันไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้ทุกอย่างที่เราต้องการเสมอไป เพราะฉะนั้นคุณสมบัติข้อสุดท้ายคือเราต้องรู้จักเป็นผู้แพ้ที่ดีค่ะ ต้องเรียนรู้ความผิดหวัง และก็รู้ว่ามันไม่ใช่จุดสิ้น โลกไม่ได้ถล่ม เราต้องก้าวต่อไปข้างหน้าให้ได้ ถ้ามีคุณสมบัติทั้งสามข้อนี้แล้วเราก็จะเป็นผู้ชนะ

 

เกดพยายามสอนลูกชายซึ่งเขาเป็นนักว่ายน้ำของโรงเรียน ช่วงแรกที่เขาว่ายเข้าคนสุดท้าย เขาชอบร้องไห้ เกดเลยบอกลูกว่าถ้าชนะ ลูกก็ต้องไปแสดงความยินดีกับเพื่อนที่ไม่ชนะ และบอกให้เขาพยายามต่อไป ในขณะเดียวกันถ้าเราแพ้ เราก็ต้องเข้าไปแสดงความยินดีกับคนอื่นเพื่อน้ำใจนักกีฬา การแพ้มันไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เราต้องพยายามต่อ ฝึกฝนต่อ และอย่ายอมแพ้ ถ้าทำทั้ง 3 อย่างนี้ได้เราจะมองความเป็นไปของชีวิตดีขึ้น เกดบอกเลยว่าเมื่อก่อนเกดเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่หลังจากนั้นเกดพยายามมองทุกอย่างให้บวกขึ้น คงเพราะเกดมาจากครอบครัวที่แตกแยกและต้องต่อสู้ แต่พอเริ่มทำงานและได้เวิร์กช็อปต่างๆ เลยทำให้รู้ว่า อ๋อ เราต้องรู้จักปล่อยวาง ถ้าเรามองให้บวกทุกอย่างจะดีขึ้น เราจะไม่โกรธแค้นโลกใบนี้ และถ้าบวกกับความสตรอง แข็งแรง อดทน ความสำเร็จอื่นๆ ในชีวิตมันก็จะตามมา

 


 

Credits

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Interviewer ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

The Guest เมทินี กิ่งโพยม

 

Episode Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์

Music Westonemusic.com

The post เมทินี กิ่งโพยม “ประสบการณ์สอนให้เรารู้จักอดทน เข้มแข็ง และเป็นผู้แพ้ที่ดี” appeared first on THE STANDARD.

]]>
เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, มาช่า วัฒนพานิช รสชาติความเป็นคนคือการค้นพบด้วยตัวเอง https://thestandard.co/podcast/randomwisdom11/ Sun, 23 Sep 2018 17:01:55 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=122775

ถ้าพูดถึงศิลปินนักร้องหญิงแกร่งในวงการเพลงไทย ชื่อของ เ […]

The post เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, มาช่า วัฒนพานิช รสชาติความเป็นคนคือการค้นพบด้วยตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ถ้าพูดถึงศิลปินนักร้องหญิงแกร่งในวงการเพลงไทย ชื่อของ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร และ มาช่า วัฒนพานิช คงเป็นชื่อที่ติดอันดับต้นๆ ทั้งเรื่องความรักระดับตำนาน และเรื่องงานเพลงเศร้าที่ถูกถ่ายทอดเหมือนมานั่งในใจคนกำลังเจ็บปวด

 

ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ และ THE STANDARD ถือโอกาสที่ทั้ง 2 คน ขึ้นคอนเสิร์ตร่วมกันได้พูดคุยซักถามทั้งเรื่องการมองตัวเองในวันนี้และอดีต ประโยชน์ของน้ำตาและความเศร้าในมนุษย์ สิ่งที่ตระหนักรู้ในวัยกลางคน รวมไปถึงนิยามคำว่า ‘แกร่ง’ ที่ทั้งคู่พยายามบอกว่าตนเองไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไร เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงอีกหลายล้านคนบนโลกนี้

 


คนเราเปลี่ยนแปลงทุกปี อย่าเอาวันนี้ไปตัดสินอดีต

มาช่า: ไม่มีอัลบั้มไหนที่เป็นพี่ที่สุดหรอกค่ะ เพราะพี่รู้สึกว่ามันก็สมควรกับเขาแล้วในแต่ละช่วงเวลา เพราะว่า ณ เวลานั้นเขาก็เป็นคนอย่างนั้น และอยากทำอย่างนั้น เมื่อเวลาเปลี่ยนเป็นอัลบั้มอื่น เขาก็เปลี่ยนเป็นอีกอย่าง มันไม่ใช่อัลบั้ม ถามดาว หรือ มายา จะเป็นอัลบั้มที่เป็นพี่ที่สุด แต่เวลานั้นตอนนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

 

แอม​: คนเราแต่ละปีความคิด ความอ่าน ความชอบ ความรู้สึกก็จะเปลี่ยนไป บางทีเรามองกลับไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเราเองเมื่อปีที่แล้วกับปีนี้การคิด การตัดสินใจ หรือรีแอ็กชันกับสิ่งต่างๆ ยังไม่เหมือนกันเลย ไม่ต้องย้อนถึงอัลบั้มแรกหรอก ซึ่งสุดท้ายมันก็สมควรกับผู้หญิงคนนั้นของปีนั้น เขาก็ทำในสิ่งที่เขาน่าจะเป็น เราไม่เคยขัดใจกับอะไรที่ผ่านมาแล้ว เพราะมันไม่ใช่เราวันนี้ เราเอาวันนี้ไปตัดสินคนนั้นมันคงไม่ค่อยแฟร์เท่าไร

 

มาช่า: และถ้าไม่มีวันนั้นที่เขาเดินก้าวที่หนึ่ง เราจะมีก้าวที่สิบหรือ เราจะเอาก้าวที่สิบไปตัดสินใจก้าวที่หนึ่งคงไม่ใช่ คนเราถ้าไม่เริ่มก้าวแรกมา มันจะมี สอง สาม สี่ ห้า ตามมาได้อย่างไร

 

แอม: ถ้าเราไม่เคยทำอะไรอี๋ๆ เราจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันอี๋และอย่าทำอีกนะแก

 

น้ำตาคือสิ่งวิเศษของมนุษย์ที่ธรรมชาติให้มา

มาช่า: มนุษย์เราโชคดีตรงที่มีต่อมน้ำตาให้ระบาย ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่เก็บไว้และไม่มีทางระบายออกมันคงอึดอัดมาก คงต้องกรี๊ดหรือต้องทำอะไรสักอย่าง แต่มนุษย์เรามีน้ำตาให้ร้องไห้ และพอได้ร้องออกมาบางครั้งบางคนก็รู้สึกว่าโล่งใจขึ้น บางคนก็อาจจะเปิดเพลงเศร้าเพื่อบิลด์ตัวเอง มันเป็นไปได้ บางทีก็อยากเล่นเอ็มวี

 

แอม: พวกเราเคยร้องไห้ไม่ออกไหมคะ เคยรู้สึกเครียดมากแล้วร้องไห้ไม่ออกไหม มันทรมานนะ บางทีเราต้องการเพลงเศร้าหรืออะไรสักอย่าง เหมือนเราได้เทกระโถน หรือเทขยะ ร้องไห้ไม่ออกมันทารุณค่ะ เราต้องหาเพลงฟังเพื่อให้ร้องให้เสร็จสักคืน พรุ่งนี้จะได้จบและไปทำการทำงานต่อ เพราะไม่อย่างนั้นเราไม่รู้ว่าจะไปน้ำตาแตกต่อหน้าผู้คน หรือในที่ที่ไม่ควรที่จะร้องไห้หรือเปล่า เจอแบบนี้เพลงช่วยได้ในหลายครั้ง

 

พี่พูดเปรียบเทียบทางร่างกายกับทางอารมณ์นะคะ ทางร่างกายถ้าเราปวดอึ ปวดฉี่ เราต้องกลั้น แต่สุดท้ายก็ต้องไปอึ ไปฉี่อยู่ดี คุณจะเก็บไว้ทำไม เพราะนั่นคือการระบายของเสียออกจากร่างกาย ส่วนของเสียทางอารมณ์ ถ้าคุณกำลังระบายออกแล้วมีใครสักคนมาชี้หน้าด่าว่าคุณงอแงหรืออ่อนแอ ขอโทษเถอะค่ะ Fuck You นี่คือสิ่งธรรมชาติให้มา ร้องไห้เถอะค่ะจะเก็บไว้ทำไม แล้วพอร้องไห้ออกไปถึงจุดหนึ่งที่มันโล่ง มันไม่มีใครร้องไห้ไปตลอดตาปีตาชาติหรอก สุดท้ายมันก็ต้องถึงจุดที่ เฮ้ย ปวดหัว ตาตุ่ย ส่องกระจกแล้วตกกะใจตัวเอง มันจะมีจุดของมัน

 

ไม่ใช่แค่เพลงเศร้าแต่เราเรียนรู้ได้จากทุกอย่าง

แอม: พี่คิดว่า จริงๆ แล้วคนเราเรียนรู้อะไร จากอะไรก็ได้ ไม่ใช่ว่าเราตะบี้ตะบันจะฟังแต่เพลงเศร้าแล้วก็มาจ่อมจมอยู่กับมัน เราเรียนรู้จากอะไรก็ได้ทุกอย่างบนโลกนี้ถ้าอยากเรียนและมีปัญญา ถ้าเราไม่ใช้ปัญญากับอะไรเลย ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ไม่ว่าจะจากเพลงหรือแม้กระทั่งการเดินข้ามถนนหรือซื้อกาแฟสักแก้ว หรือมองคนที่ป้ายรถเมล์ คนที่ไม่คิดอะไรก็คือไม่คิด และไม่เคยได้อะไรเลยตั้งแต่เกิดจนตาย คนที่คิดก็จะได้กำไร หนังเรื่องเดียวกัน คนที่ดูก็ได้อะไรกลับมาไม่เท่ากัน ทั้งๆ ที่ซื้อตั๋วเท่ากัน คนซื้อหนังสือราคาเดียวกันแต่กำไรไม่เท่ากัน

ทุกอย่างที่เราเอาความรู้สึกของเราไปยึดมั่นหรือผูกพัน แล้วเราเรียกมันว่าความรัก เมื่อมันต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย พลัดพราก ไปตามกฎธรรมชาติ เป็นทุกข์ทั้งนั้น

หากนั่นคือความจริงแท้ท่ีเราต้องรับมัน

แอม: เมื่อเด็กๆ ได้ยินคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ‘ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์’ พี่รู้สึกคัดค้านเพราะไม่เคยเข้าใจเลยว่ามันจะทุกข์ไปได้อย่างไร ความรักมันออกจะหลั่งสารแห่งความสุข ในสายตาของเด็กหรือวัยรุ่น ความรักมันสวยงามและมองความทุกข์ไม่ออก แต่ถ้าถามพี่วันนี้ นี่คือสิ่งที่พี่เพิ่งจะเข้าใจเมื่อตอนแก่ และพี่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ว่ารักอะไรก็ทุกข์กับสิ่งนั้น พี่ไม่ได้หมายความถึงเฉพาะความรักหนุ่มสาวหรือคู่รัก รักอะไรก็ทุกข์ค่ะ เรามีบ้านบ้านไฟไหม้ก็ทุกข์ มีรถโดนชนหรือพังก็เป็นทุกข์ เลี้ยงหมาแล้วหมาตายเป็นทุกข์ ทุกอย่างที่เราเอาความรู้สึกของเราไปยึดมั่นหรือผูกพัน แล้วเราเรียกมันว่าความรัก เมื่อมันต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย พลัดพราก ไปตามกฎธรรมชาติ เป็นทุกข์ทั้งนั้นค่ะ แม้ว่าก่อนจะพลัดพรากเราก็รู้สึกเป็นห่วงในสิ่งที่รัก นั่นก็เป็นทุกข์มากพอแล้ว ทุกอย่างที่เราบอกว่านั่นคือของเรา แล้วมันสูญหาย แตกหัก มันเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น

 

รสชาติความเป็นคนคือการค้นพบด้วยตัวเอง

แอม: บทเรียนที่ฉมังที่สุดก็คือการพบเจอด้วยตัวเอง คนอื่นสามารถไกด์ได้ หรือเราก็สามารถเรียนรู้จากคนอื่นได้ การฟังในส่วนที่ดีมันดีทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่าไอดอลแต่ละคนก็ไม่ใช่ไม่เคยทำอะไรเลวร้าย สิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดพวกเราก็มากมาย แล้วแต่ว่าจะหยิบตรงไหนไปใช้

 

มาช่า: จริงๆ ง่ายๆ อย่างที่พี่แอมบอก ไปเรียนรู้เอาเอง เราคงไม่มีอะไรหรอก อยากจะหยิบมุมไหนอะไรไปใช้ก็ตามใจ

 

แอม: บอกแล้วจะเชื่อไหม

 

มาช่า: แล้วอีกอย่าง เราไม่อยากให้ใครรู้สึกว่าเราเป็นฮีโร่ เพราะพี่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่ผ่านร้อนหนาวผิดพลาดกันมา แต่สิ่งที่พี่รู้คือพยายามทำให้ดีที่สุดในแต่ละวัน ก้าวต่อไปข้างหน้า นี่คือทางเลือกของชีวิต

 


Credits

 

Interviewer ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

The Guest เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, มาช่า วัฒนพานิช


Show Creator
ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producer & Editor อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจัทร์

Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์

Music Westonemusic.com

The post เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, มาช่า วัฒนพานิช รสชาติความเป็นคนคือการค้นพบด้วยตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
พอลลีน งามพริ้ง กับเรื่องฟุตบอลที่ไม่ได้หายไปตามการข้ามเพศ https://thestandard.co/podcast/randomwisdom10/ Fri, 13 Jul 2018 11:07:56 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=107039

พอลลีน งามพริ้ง หรือในอดีตคือ พินิจ งามพริ้ง ผู้ก่อตั้ง […]

The post พอลลีน งามพริ้ง กับเรื่องฟุตบอลที่ไม่ได้หายไปตามการข้ามเพศ appeared first on THE STANDARD.

]]>

พอลลีน งามพริ้ง หรือในอดีตคือ พินิจ งามพริ้ง ผู้ก่อตั้งกลุ่มเชียร์ไทย ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญให้กระแสฟุตบอลไทยคึกคักขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ด้วยการข้ามเพศ เรื่องฟุตบอลยังหลงเหลืออยู่ในชีวิตเธอแค่ไหน เธอยังอินกับฟุตบอลไทยอยู่หรือไม่ และฟุตบอลให้อะไรกับเธอมาจนถึงวันนี้

 


 

ฟุตบอลเข้ามาในชีวิตตั้งแต่เมื่อไร

ตั้งแต่ฟุตบอลโลก ปี 1978 จำได้ว่านักฟุตบอลคนแรกที่เห็นคือ เซปป์ ไมเออร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมนี ประทับใจในสีสันสวยงามของเสื้อฟุตบอลสีฟ้า เราเองเป็นคนชอบสีฟ้าด้วยโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ตอนนั้นเลยชื่นชอบฟุตบอลและฝึกเล่นมาตั้งแต่อายุ 11 ปี

 

เป็นนักฟุตบอลจริงจังเลยไหม

เริ่มแรกเราเล่นให้ทีมโรงเรียน ตอนอยู่โรงเรียนหอวังก็ได้แชมป์กรมพลศึกษา ม.ปลาย ย้ายไปอยู่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีก็เป็นแชมป์โค้กคัพ แต่เราไม่ได้เล่นเลย แต่ตอนอยู่สุรศักดิ์มนตรีก็ได้ไปคัดตัวกับทีมธํารงไทยสโมสร เป็นทีมใหญ่ที่แข่งไทยซอคเกอร์ลีก คล้ายๆ กับไทยลีกในปัจจุบัน พอไปคัดตัวก็ติด ซึ่งเราเด็กที่สุดในทีม แต่หนึ่งฤดูกาลก็ได้เป็นแค่ตัวสำรอง พออายุ 17 ปีก็เลิกเล่นเลย อยู่ๆ อารมณ์หญิงก็โผล่ขึ้นมา อยากทำตัวสำอาง แต่ฟุตบอลก็ยังฝังอยู่ หลังจากนั้นก็ทำมันเป็นงานอดิเรก

 

การทำเชียร์ไทย

หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจบออกมาทำงานทำการแล้ว เราก็มีประสบการณ์พอสมควร ได้รับการยอมรับในที่ทำงาน เลยแอบเข้ามาเชียร์บอลเป็นเรื่องเป็นราว ตอนนั้นเจลีกกำลังเริ่ม เราไปญี่ปุ่นก็ได้สัมภาษณ์ประธานเจลีก ไปดูกองเชียร์ของทีมอุลตร้า นิปปอน และสโมสรต่างๆ ในเจลีก ไปคุยกับหัวหน้าของเขา เราก็ถามว่าทำไมเชียร์พร้อมกันจังเลย เขาก็อธิบายว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนขี้อายเหมือนคนไทย จะให้ตะโกนร้องเพลงโดยที่ไม่มีกลองแบบคนยุโรปคงไม่ได้ ต้องมีจังหวะนำ นำเสร็จก็ต้องมีกรุ๊ปลีดเดอร์ คือมีหลายๆ คนที่คอยเป็นต้นเสียง เราก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาปรับให้เป็นของไทยเรา ใช้วิธีการเดียวกัน เพราะว่าพื้นฐานคนคล้ายๆ กัน ก็เริ่มก่อตั้งโดยที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย เดินเข้าไปในสนามด้วยตัวเอง ทำเว็บไซต์ชื่อว่า cheerthai.com เพื่อเป็นศูนย์รวม เข้าไปที่สนาม เราก็ดึงคนเข้ามาที่เว็บไซต์แล้วก็ดึงเข้าสนาม วันเสาร์-อาทิตย์ก็เตะฟุตบอลเพื่อให้รู้จักหน้าตากัน เวลามีแข่งฟุตบอลจะได้ไม่เขิน ก็เริ่มทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จากตัวเรา จาก 2 คนเป็น 4 คน พอคนเห็นแล้วเขาชอบ เขาก็เข้ามาร่วม

 

ชีวิตหลังข้ามเพศในวงการฟุตบอล

ภาพที่เราเห็นกับตาก็ดี เวลาที่ไปอยู่ตรงไหนในวงการฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มกองเชียร์ หรือว่าไปเจอผู้บริหารสมาคมเก่าๆ ก็รู้สึกว่ามีการยอมรับที่ดี เพียงแต่ว่าความเข้าใจอาจจะไม่ได้เข้าใจมาก เพราะว่าฟุตบอลเป็นวงการของผู้ชายที่โคตรจะแมน คือไม่แมน แต่ก็พยายามทำตัวให้แมนเพื่อที่จะเบ่งกล้ามกับคนอื่น นี่คือสิ่งที่พอลลีนสัมผัสในฐานะผู้หญิงข้ามเพศในคราบผู้ชาย แต่พอเราเข้าไปเขาก็ให้เกียรติ เพียงแต่เขาจะเข้าใจแค่ไหน ผู้หญิงข้ามเพศคืออะไร เป็นกะเทยหรือว่าเหมือนกับเกย์ไหม เราก็เข้าไปแบบนิ่มๆ ไม่ได้บู๊เหมือนเมื่อก่อน

 

หลังจากข้ามเพศแล้วความชื่นชอบฟุตบอลลดลงไหม

ไม่ลด แต่เรามองเห็นในบางแง่มุมมากขึ้น เช่น การที่ผู้หญิงเข้าไปดูบอล คือสนามฟุตบอลมันไม่ได้ติดแอร์เหมือนคอนเสิร์ต ถึงแม้จะแข่งตอนเย็นๆ ค่ำๆ แต่ว่าออกมาตัวเหนียวทุกคน เราเข้าไปก็รู้สึกว่าเมื่อก่อนเราทำได้ยังไง เดี๋ยวนี้มีเมกอัพ พอเหงื่อออกก็ไม่ค่อยสบายตัว เราได้สัมผัสฟุตบอลในแง่มุมที่แปลกออกไป เราเข้าใจในมุมมองของผู้หญิง บางทีผู้หญิงตามแฟนเข้าไปดู ความชอบของผู้หญิงจะไม่เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงจะชอบแบบชื่นชม แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนอยากเป็นแฟนนักฟุตบอล

 

ความชอบฟุตบอลของเรายังอยู่ แต่ถ้าต้องไปแบกกลองอะไรเยอะแยะ เราคงเลือกที่จะสวยๆ ดีกว่า แต่บางทีก็อดไม่ได้ เราเห็นอุปกรณ์วางอยู่ ไม่ได้ขนสักที ฟุตบอลเลิก 4-5 ทุ่มก็ต้องช่วยเขาอยู่ดี พอเราไปขน ทุกคนก็จะมาช่วยกัน ด้วยความเป็นผู้นำในแบบของคุณพินิจ จะลงมือทำเองให้เห็นก่อน แล้วทุกคนก็จะมาช่วยกัน มันอดไม่ได้จริงๆ ทั้งที่เราควรอยู่สวยๆ (หัวเราะ)

พอลลีนกับฟุตบอลไทย

เมื่อก่อนชอบดูมาก แต่พอมาทำเชียร์ไทยมันกลายเป็นภารกิจ เราอยากให้มีกองเชียร์ เวลาถ่ายทอดสดออกมาจะได้มีเสียงคนดู คนจะอยากเข้ามาดู สปอนเซอร์ก็จะได้เข้ามาสนับสนุนฟุตบอล ฟุตบอลไทยจะได้มีเงินและมีการพัฒนาเป็นฟุตบอลอาชีพ และจะไปฟุตบอลโลกหรืออะไรก็แล้วแต่ สำคัญตรงจุดที่ว่าจะต้องมีคนดูก่อน พอเชียร์ไทยเริ่มก่อตั้งมาได้ 3-4 ปีก็ผยองมาก ไปไล่นายกสมาคมคนเก่าออก และหลังจากนั้นเป็นภารกิจที่ต้องทำ

เวลาเข้าสนาม จะบอกว่าเราไม่ใช่จิ๊กโก๋ปากซอยรวมพลมาเชียร์บอล การพูดในสนามฟุตบอลจะต้องมียุทธวิธีที่ไม่ให้มันมากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ไม่กระตุ้นจนคนรู้สึกหวาดกลัว หรือไม่สบายๆ จนกระทั่งไม่มีเสียงเชียร์ เราต้องทำให้มันอยู่ตรงกลาง

อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการฟุตบอลบ้างไหม

ตั้งแต่วันแรกของเชียร์ไทยจนมาถึงวันที่ออกไป เป็นประธานอยู่ 14 ปี มันก็เปลี่ยนมาแล้วในกระบวนการที่พินิจ งามพริ้ง เขาทำไว้ เมื่อมองไปมันก็เกินเป้าที่ตัวเองตั้งไว้แล้ว ในชีวิตคนมันคงทำอะไรได้ไม่เยอะหรอก สำคัญคือเราปูพื้นฐานให้คนรุ่นต่อไปมาทำได้มากแค่ไหน สิ่งใดจะสำเร็จ มันจะต้องมีหลายเจเนอเรชัน แล้วอะไรคือความสำเร็จ สมมติไปฟุตบอลโลก คนอาจจะดีใจแล้วก็หอบประตูกลับบ้าน มันเป็นเรื่องของความเป็นชาติของเรา ความพยายามของคนในชาติร่วมกัน ฟุตบอลมันยากตรงที่ว่ามันใช้ความพยายามเยอะ มันไม่ใช่แค่คนคนเดียว นอกจาก 11 คนแล้วยังมีตัวสำรองอีกเป็น 20-30 คน แล้วก็มีโค้ช สตาฟฟ์โค้ช มีแพทย์ประจำทีม มีนักจิตวิทยา มีคนบริหาร มีคนจ่ายเงิน มีคนดู มีคนเอาไปทำการตลาด มันใช้ความพยายามเยอะ ถ้าทำสำเร็จได้ มันคือความสำเร็จของคนทั้งชาติ มันคือการพัฒนาในวงการที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น สังคมก็จะดีขึ้น จะไปฟุตบอลโลกมันต้องมีความพร้อมทุกอย่าง ไม่มีคำว่าฟลุก ยกตัวอย่าง ซาอุดีอาระเบียเข้าฟุตบอลโลกไปหลายครั้งก็ยังหอบประตูกลับบ้านทุกครั้ง เพราะฉะนั้นทำใจไว้สำหรับทีมที่ไปแรกๆ ได้เสมอนัดหนึ่งก็ยิ่งใหญ่แล้ว หรือชนะขึ้นมาก็ต้องฉลองแล้ว แต่ประเด็นก็คือถ้าเราแพ้วันนี้แล้วเราพยายามต่อไปมากน้อยแค่ไหน นั่นคือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นหัวใจมากกว่าสำหรับการพยายามทำในเรื่องฟุตบอล

 

บอลไทยจะมีโอกาสไปบอลโลกไหม

มี แต่อย่าถามว่าเมื่อไร มันเป็นเรื่องที่คนเอามาเล่นเป็นโจ๊กกันเยอะ เป็นเรื่องที่ขำและก็ไม่ขำ เราได้ยินมาเยอะตั้งแต่เด็กๆ แล้ว บอลไทยไม่ต้องไปดูมันหรอก ยังไงก็แพ้ กระจอก มันมีแต่เส้นสาย แล้วมันจริงไหม จริง แล้วมันถาวรไหม มันไม่ถาวร ถ้าคุณจะเปลี่ยนคุณก็เปลี่ยนได้ หรือคุณทำอะไรบ้างนิดหน่อยหรือเปล่า เข้าสนามไปเชียร์ไหม หรือเปิดทีวีให้กำลังใจเขาบ้างหรือยัง ซื้อเสื้อทีมชาติมาใส่บ้างหรือยัง จะทำอะไรก็แล้วแต่ เราจะชอบวิพากษ์วิจารณ์โดยที่ตัวเองก็อยู่เฉยๆ เป็นผู้ดู เราว่าคนพวกนี้ไม่มีสิทธิ์วิจารณ์ คนที่มีสิทธิ์วิจารณ์คือคนที่เขาทำแล้วก็บอกว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ อันนี้คือสร้างสรรค์

ฟุตบอลสอนอะไร

ต้องย้อนกลับไปเรื่องข้ามเพศ ตอนเป็นพินิจมันยากมาก เพราะเราเกิดมามีจิตใจเป็นผู้หญิง แต่เราต้องพยายามที่จะเป็นผู้ชาย และฟุตบอลก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีความมั่นใจในฐานะผู้ชาย เราเตะฟุตบอลได้ เราทำเรื่องนี้ได้ สิ่งที่พอลลีนได้จากฟุตบอลมันถูกใช้ไปกับพินิจแล้ว พินิจได้พิสูจน์ตัวเองในวงการฟุตบอลแล้ว

ฟุตบอลสอนเราในเรื่องความพยายาม การเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ผู้ที่ชื่นชมความสำเร็จ

กว่าที่ทีมทีมหนึ่งจะได้ชัยชนะ เส้นทางมันมากกว่านั้น มันเคยแพ้มาก่อนทุกทีมแล้วถึงจะชนะ ทุกคนต้องเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนั้นในทีม ถ้าคนใดคนหนึ่งท้อ มันก็ต้องมีอีกคนไปหยิบเขาขึ้นมา ถ้าเรามองตรงนี้มันก็เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเราด้วย ทำอย่างไรเราจะไปถึงจุดสุดยอดของวิชาชีพที่เราทำ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้ารอบบอลโลกในตัวของเราเองได้

 


 

Credits

 

Intro Voice-over จริยา มุ่งวัฒนา

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producers อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค, เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer กษิดิ์เดช ทัยธิษา

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Music Westonemusic.com

The post พอลลีน งามพริ้ง กับเรื่องฟุตบอลที่ไม่ได้หายไปตามการข้ามเพศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โค้ชง้วน-สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ “ลูกกลมๆ ในโลกฟุตบอลกำลังไปในทางที่แน่นอนขึ้น” https://thestandard.co/podcast/randomwisdom09/ Thu, 12 Jul 2018 11:54:20 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=106828

โค้ชง้วน-สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ตำนานกองกลางทีมชาติไทยในยุ […]

The post โค้ชง้วน-สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ “ลูกกลมๆ ในโลกฟุตบอลกำลังไปในทางที่แน่นอนขึ้น” appeared first on THE STANDARD.

]]>

โค้ชง้วน-สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ตำนานกองกลางทีมชาติไทยในยุคดรีมทีม ยุคเดียวกับ ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน และธชตวัน ศรีปาน

 

หลังจากแขวนสตั๊ดแล้วผันตัวเองมาเป็นโค้ช เขาก็แสดงฝีมือจนได้ร่วมงานกับสโมสรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเขาคือผู้อำนวยการสโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าสที่ดูแลภาพใหญ่ทั้งเรื่องโค้ช สัญญานักเตะ และอะคาเดมี

 

หัวใจในการคุมทีมฟุตบอลคืออะไร เขาอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการฟุตบอล และคำว่า ‘ลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้’ ยังเป็นเรื่องจริงอยู่ไหมในมุมมองของโค้ชง้วน


เป็นนักเตะมาก่อนแล้วมาเป็นโค้ช ถือว่าได้เปรียบไหม

จะรู้ว่านักกีฬาต้องเป็นอย่างไร บุคลิกภาพที่ดี ความเป็นอยู่ทั้งในและนอกสนาม แล้วก็การสื่อสารระหว่างการเป็นผู้เล่นกับโค้ช แต่มันก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะจากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ อย่างสมัยผมเองจะต้องเรียนหนังสือเป็นหลักก่อน เพราะว่าสมัยก่อนมันไม่มีกีฬาอาชีพ การปฏิบัติตัว เราจะเชื่อฟังโค้ชและสนิทสนมกับเพื่อนร่วมทีมมากกว่าปัจจุบัน เพราะว่าไม่มีเรื่องเงินทองมาเกี่ยวข้อง เราเล่นกีฬาเพื่อความสนุกสนาน แต่นักกีฬาปัจจุบันเป็นนักกีฬาอาชีพมากขึ้น ก็อาจจะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีครอบครัวเร็วขึ้น ความคิดความอ่าน การเรียนรู้อะไรต่างๆ ได้เร็วขึ้น มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความมั่นใจสูง มันก็ปกครองยากหน่อย

ฟุตบอลจริงๆ มันเป็นเรื่องของการฝึกซ้อม การทำซ้ำๆ ความเข้าใจในเพื่อนร่วมทีม ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทีมกับโค้ช ถ้ามันดีแล้ว การฝึกซ้อม การทำงานในทีม การแข่งขัน หรือทำอะไรก็จะสำเร็จได้ง่ายขึ้น

คนเป็นโค้ชต้องฝึกฝนอย่างไร

ถ้าเรื่องฟุตบอลหลักๆ เลยคือการ Coaching มี Pro Licence มีเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาที่ต้องพูดคุย บริหารจัดการคน ดูแลสตาฟฟ์ ดูแลผู้เล่นทั้งเรื่องร่างกายและพละกำลัง ถ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เราจะคุยกับคนในทีมไม่รู้เรื่อง อย่างตัวนักกีฬา เราต้องรู้ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ชอบฝึกหนักหรือไม่หนัก ต้องเสริมเติมแต่งตรงไหน ส่วนที่เขาดีแล้ว ทำอย่างไรให้มันดีขึ้น ส่วนที่ไม่ดีก็ต้องปรับปรุง แก้ไขสไตล์การเล่นให้เข้ากับทีมมากที่สุด เราต้องมีปรัชญา มีเป้าหมายในการสร้างทีมว่าเราต้องเล่นระบบแบบไหน ตัวนักกีฬาที่มีเป็นแบบไหน แล้วเราต้องใส่ให้เขาแบบไหน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราต้องมอง    

 

หัวใจของการเป็นโค้ช

ทำให้การฝึกซ้อมสนุก นักกีฬาเข้าใจง่าย เหมือนครูสอนนักเรียน ถ้าฟังแล้วมันเครียดเกินไปก็ไม่สนุก ต้องมีลูกล่อลูกชนบ้าง อันไหนที่เบื่อแล้วเราก็ไม่ทำ บางทีก็หยุดไปเลย ต้องทำสิ่งใหม่ๆ ให้นักกีฬาชอบ ในช่วงที่เรากำลังฝึกซ้อมอยู่เพื่อให้เขาซึมซับได้เร็ว ตรงนี้คือเป้าหมายหลัก

 

ทีมฟุตบอลไม่มีโค้ชได้ไหม มีแค่กัปตันทีมพอไหม

ถ้าเป็นฟุตบอลระดับ อบจ. อบต. พอได้ แต่ฟุตบอลในระดับหากินต้องมีผู้นำ ทีมฟุตบอลที่มีเป้าหมายที่สูงๆ ต้องมีโค้ช มีทีมงาน อย่างที่เขาเรียกกันว่า Team Behind the Team ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ

 

มันแฟร์จริงไหมที่เวลาบอลแพ้แล้วคนเอาแต่โทษโค้ช

มันเป็นสิทธิ์ของคน อาจจะบ่นว่าโค้ชคนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่เก่ง ตราบใดที่คนดูซื้อตั๋วเข้ามาดู ผมไม่แคร์ แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งคือฟุตบอลมันเป็นศาสตร์ มันไม่สามารถทำให้ใครดูแล้วบอกว่าไอ้นี่มันเก่ง มันไม่เก่ง ผมอยากถามว่าให้โค้ชระดับโลกไปคุมทีมต่ำๆ ดู แล้วจะรู้ว่าฟีลลิ่งนี้คือมึงทำได้รึเปล่า ถ้าทำทีมล่างๆ แล้วได้แชมป์ ผมยอมรับ

ทีมเวิร์กคือสิ่งสำคัญที่สุดไหมในการได้ชัยชนะ

ตัวนักกีฬาต้องมีทักษะที่ดีก่อน มีความกระหาย มีความมุ่งมั่น แล้วทีมเวิร์กก็จะตามมา เมื่อไรที่นักกีฬารวมตัวกันได้ เล่นกันด้วยจังหวะเดียวกัน มีหัวจิตหัวใจที่สู้พร้อมกัน เข้าใจในระบบการเล่น มีความสามัคคีในทีม มันจะมีพลังแฝงให้ได้รับชัยชนะ

 

ทีมฟุตบอลที่ชอบ

ผมไม่มีทีมที่โปรดมาก แต่ดูการทำทีมมากกว่า อย่างในพรีเมียร์ลีกก็จะดูอาร์เซนอล ดูสไตล์การทำทีมของอาร์เซน เวนเกอร์ เป็นทีมที่มีแมวมองเก่ง สามารถปั้นเด็กขึ้นมาเล่น ทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้โดยใช้งบประมาณไม่มาก ตรงนั้นเป็นสิ่งที่เรามองเป็นหลักและเป็นต้นแบบมาตลอด แล้วก็อาจจะไม่ได้เก่งมากมายนัก แต่ว่าเกือบจะมีแชมป์บอลถ้วยติดมาทุกปี

 

อยากเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงในวงการฟุตบอล

อยากเห็นการทำงานที่เป็นระบบมากกว่านี้ในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันในสมาคม อยากให้สมาคมเป็นคนกลางจริงๆ ที่จะประสานงานได้กับทุกทีม ไม่มีความขัดแย้ง มีการวางแผนระยะยาวที่ชัดเจน แล้วก็ทำงานอย่างมืออาชีพ ถ้าตรงนี้ทำได้ มันก็จะทำให้ฟุตบอลบ้านเราเจริญและเดินไปตามแนวทางได้อย่างถูกต้อง

 

ทุกวันนี้ฟุตบอลเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ในชีวิต

ก็อยู่มาทั้งชีวิต อาจจะอยู่ในบทบาทนักกีฬามาก่อน เป็นโค้ชมาก่อน ตอนนี้เป็นผู้บริหารก็ต้องมองอีกมุมหนึ่งที่เราจะทำอะไรให้สโมสรมีความเจริญก้าวหน้า มีระบบการทำงานที่ยั่งยืน แล้วก็มีทีมที่มั่นคง เล่นดี สวยงาม

  

คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะยังอยู่กับฟุตบอลอยู่ไหม

คงไม่ไปไหน แต่มันจะเปลี่ยนแปลงไปรูปแบบไหนก็อยู่ที่เทรนด์ของฟุตบอล ตอนนี้มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทุก 4 ปีตามเวิลด์คัพ ก็จะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามา จะเห็นเลยว่าทีมในปัจจุบันก็จะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามา ทำให้ฟุตบอลมันดูสนุกขึ้น มีความถูกต้องใสสะอาดมากขึ้น

คำว่า ‘ลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้’ เริ่มไม่จริงแล้ว มันกลมจริงๆ แต่มันเริ่มแน่นอนขึ้น เพราะว่าสนามดีขึ้น สิ่งอำนวยความสะดวกในสนามก็ดีขึ้น มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ เข้ามาทำให้ฟุตบอลที่เป็นลูกกลมๆ ไปในทิศทางที่แน่นอนมากขึ้น


 

Credits

 

Intro Voice-over จักรพงษ์ เมษพันธุ์

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producers อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค, เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Music Westonemusic.com

The post โค้ชง้วน-สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ “ลูกกลมๆ ในโลกฟุตบอลกำลังไปในทางที่แน่นอนขึ้น” appeared first on THE STANDARD.

]]>
สารัช อยู่เย็น นักฟุตบอลที่ผ่านมาแล้วทั้งช่วงรุ่ง เหลิง และเริ่มใหม่ https://thestandard.co/podcast/randomwisdom08/ Tue, 10 Jul 2018 17:01:48 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=105880

ตัง-สารัช อยู่เย็น นักฟุตบอลทีมชาติไทย วัย 26 ปี ที่ติด […]

The post สารัช อยู่เย็น นักฟุตบอลที่ผ่านมาแล้วทั้งช่วงรุ่ง เหลิง และเริ่มใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตัง-สารัช อยู่เย็น นักฟุตบอลทีมชาติไทย วัย 26 ปี ที่ติดทีมชาติชุดเยาวชนมาตั้งแต่เด็ก หลายคนอาจจะคุ้นหน้าค่าตาเขาจากบทบาทพระเอกมิวสิกวิดีโอ เชือกวิเศษ ของวงลาบานูน แน่นอน เขาเป็นนักฟุตบอลที่หน้าตาดี แต่ผลงานในสนามก็ดีไม่แพ้กัน เขาเป็นส่วนหนึ่งที่เคยพาทีมชาติทำผลงานได้ดีมาแล้วในหลายรายการ และปัจจุบันยังเป็นกำลังสำคัญให้กับสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด

 

การเป็นนักฟุตบอลอาชีพของสารัชเริ่มตั้งแต่เมื่อไร เส้นทางนี้ต้องพิสูจน์ตัวเองแค่ไหน และเขาผ่านช่วงบาดเจ็บครั้งใหญ่ก่อนกลับคืนสู่สนามได้อย่างไร

 

กดปุ่ม Play ด้านบนเพื่อฟังพอดแคสต์ Random Wisdom ซีรีส์พิเศษ Soccer Wisdom แต่ถ้าถนัดอ่านก็ไล่สายตาเพื่อเสพบทความด้านล่างได้เลย

 


 

 

เริ่มเตะฟุตบอลตั้งแต่ตอนไหน

เริ่มแรกดูจากคุณพ่อก่อน เพราะว่าคุณพ่อเป็นคนที่ชอบเล่นฟุตบอลอยู่แล้ว เราก็ติดตามเขาไปเรื่อยๆ ไปตามสนามที่เขาแข่ง เรารู้สึกว่ามันน่าจะสนุก หลังจากนั้นเราก็เริ่มเล่นมาตั้งแต่ 7 ขวบ

 

เมื่อไรที่รู้สึกว่าจะเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ

เริ่มจากเล่นฟุตบอลโรงเรียนมาก่อน พอช่วง ม.ปลาย เรามาอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ตอนนั้นฟุตบอลอาชีพกำลังบูมในประเทศไทย ฟุตบอลโรงเรียนจะแข่งขันกันมากเพื่อที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

 

นัดแรกของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพและนัดแรกในนามทีมชาติไทย

ผมจำความรู้สึกนั้นได้ ตื่นเต้นมาก เพราะผมเล่นแต่ฟุตบอลโรงเรียน พอมาเล่นฟุตบอลอาชีพ บรรยากาศจะแตกต่างกัน คนดูค่อนข้างเยอะ ส่วนนัดแรกในทีมชาติไทยไม่ตื่นเต้นเท่า เพราะเราปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมหรือคนที่เข้ามาดูได้หมดแล้ว แต่เป็นความกดดันมากกว่า เพราะทุกคนจับจ้องมาที่เรา เราคือตัวแทนของประเทศ เราต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุด

 

แมตช์ในความทรงจำ

นัดชิง ซูซูกิ คัพ ที่เราไปเยือนมาเลเซีย คือเราไม่ได้แชมป์มา 12 ปีแล้ว ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ก็มีคนที่ดูถูกและสบประมาทเราค่อนข้างเยอะว่าจะไม่ได้แชมป์อีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายสถานการณ์ก็เกือบจะเป็นแบบนั้น แต่พอทุกคนรวมใจกลับมาอีกครั้ง เราก็คว้าแชมป์ในรอบ 12 ปีได้

มีคนวิจารณ์เราเยอะ เราก็ต้องซ้อมให้มากขึ้น ทำงานในแต่ละวันให้หนักขึ้น และสุดท้ายผลงานในสนามจะตอบทุกคำวิจารณ์เอง

 

เสน่ห์ของฟุตบอล

ผมมองว่าเป็นการใช้สมอง พละกำลัง และร่างกายของแต่ละคน สมัยนี้ฟุตบอลเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง เพราะว่าฟุตบอลมีระบบเข้ามาแทรกด้วย สังเกตว่าจะพัฒนาไปเรื่อยๆ จะไม่ตายตัว คือฟุตบอลโลกปีนี้ เราดูอย่างทีมสเปนเล่นบอลเท้าสู่เท้า ก็เริ่มพัฒนามาในแต่ละปี

 

ฝึกซ้อมหนักแค่ไหน

ถ้าเป็นช่วงก่อนเปิดซีซันจะเป็นช่วงที่หนัก จะใส่เรื่องพละกำลังหรือฟิตเนสค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเป็นช่วงระหว่างซีซันจะไม่หนักมาก เพราะมีโปรแกรมแข่งตลอดทั้งปี ทีมงานจะเป็นคนออกแบบให้เราทั้งหมด

 

คิดจะไปเล่นลีกต่างประเทศบ้างไหม

ก่อนหน้านี้เราก็คิด ตอนที่เรายังไม่เจ็บ ช่วงนั้นฟอร์มการเล่นของเราค่อนข้างดี แต่พอเราเจ็บ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เหมือนเดิม คงต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปี

 

ตอนนั้นบาดเจ็บหนักแค่ไหน

ขาหักครับ เอ็นรอบข้อเท้าฉีกหมดเลย ทุกวันนี้ยังมีเหล็ก มีน็อตอยู่ที่ขา เป็นช่วงเวลา 3 เดือนที่เราอยู่เฉยๆ มีช่วงหนึ่งที่คิดว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับตัวเรา พอได้เริ่มกายภาพ ได้เริ่มออกกำลังกาย มีคนรอบข้างให้กำลังใจ เพื่อนร่วมทีม ครอบครัว แฟนบอลส่งกำลังใจให้เราตลอด มันก็ทำให้สภาพจิตใจเราดีขึ้น แล้วกลับมา

 

ถ้าไม่ใช่ฟุตบอล มีความชอบอย่างอื่นบ้างไหม

มีฟุตบอลอย่างเดียวเลยครับ เพราะผูกพันกับมันมาตลอด ถ้าไม่เล่นฟุตบอลก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเหมือนกัน

 

มองย้อนกลับไปในวันแรกที่เล่นฟุตบอลใหม่ๆ กับวันนี้ ตัวตนของคุณเปลี่ยนไปไหม

เปลี่ยนเยอะครับ เพราะสมัยก่อนผมชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบอยู่กับคนเยอะ แต่ทุกอย่างก็อยู่ที่การปรับตัว ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยชิน (หัวเราะ)

 

 

มีช่วงที่เหลิงหรือคิดว่าตัวเองเก่งบ้างไหม

มีครับ เพราะเราติดทีมชาติมาตั้งแต่เด็ก มีช่วงหนึ่งตอนอายุ 17 ปี ที่คิดว่าเราเหลิง คิดว่าตนเองเก่ง ออกนอกกรอบ ออกจากกฎระเบียบทุกอย่างที่โรงเรียนตั้งไว้ มาคิดได้ตอนอายุ 19 ปี เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนกับนักฟุตบอลอาชีพ ต้องเลือกระหว่างฟุตบอลกับเรียนมหาวิทยาลัยด้วย เราก็คิดได้ตรงนั้นแล้วกลับมาเต็มที่กับฟุตบอล

 

ฟุตบอลสอนอะไร

ระเบียบวินัยในตนเองและในการใช้ชีวิต การเป็นคนตรงต่อเวลา พอมาเล่นฟุตบอลอาชีพ เราจะสายแม้แต่นาทีเดียวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกปรับเงินที่ค่อนข้างเยอะ คือทุกอย่างต้องตรงเป๊ะหมดตามกฎระเบียบที่ตั้งไว้ ฟุตบอลสอนเราหลายเรื่องทั้งในและนอกสนาม

 

จะเล่นฟุตบอลไปอีกนานแค่ไน

อยากเล่นไปอีก 6-7 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายด้วย ทุกวันนี้ก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หลังจากนั้นก็จะทำงานอยู่ในวงการฟุตบอลต่อไป

เพราะฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมถนัดและรักที่สุดในชีวิต


 

Credits

 

Intro Voice-over เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producers อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค, เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer กษิดิ์เดช ทัยธิษา

Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Music Westonemusic.com

The post สารัช อยู่เย็น นักฟุตบอลที่ผ่านมาแล้วทั้งช่วงรุ่ง เหลิง และเริ่มใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
น้าหัง-อัฐชพงษ์ สีมา นักพากย์ฟุตบอลที่อินเนอร์มาเต็ม! https://thestandard.co/podcast/randomwisdom07/ Mon, 09 Jul 2018 17:01:00 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=105479

อัฐชพงษ์ สีมา หรือ น้าหัง นักพากย์ฟุตบอลที่คอบอลบอกเป็น […]

The post น้าหัง-อัฐชพงษ์ สีมา นักพากย์ฟุตบอลที่อินเนอร์มาเต็ม! appeared first on THE STANDARD.

]]>

อัฐชพงษ์ สีมา หรือ น้าหัง นักพากย์ฟุตบอลที่คอบอลบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า พากย์ได้อิน มัน เร้าใจที่สุด การันตีด้วยรางวัลผู้บรรยายกีฬาดีเด่น รางวัลโทรทัศน์ทองคำ ปี 2559

 

กว่า 20 ปีในวงการ จุดเริ่มต้นเป็นมาอย่างไร การพากย์ในสมัยก่อนยากแค่ไหน เขาฝึกฝนและมีเทคนิคอะไรถึงทำให้พากย์ได้สนุกอยู่เสมอ   

 

กดปุ่ม Play ด้านบนเพื่อฟังพอดแคสต์ Random Wisdom ซีรีส์พิเศษ Soccer Wisdom แต่ถ้าถนัดอ่านก็ไล่สายตาเพื่อเสพบทความด้านล่างได้เลย

 


 


จุดเริ่มต้นของการเป็นนักพากย์

เริ่มจากการแข่งขันฟุตบอลภายใน สมัยเรียนสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาที่จุฬาฯ เริ่มพากย์จากความสนุกตามประสาเด็กทั่วไปที่ชอบพากย์ แล้วตอนนั้นได้รู้จักกับอาจารย์สุวัฒน์ (น้าติง) ซึ่งเป็นนักพากย์อยู่แล้ว เลยบอกอาจารย์ว่าถ้ามีงานพากย์ชวนผมไปด้วยนะครับ แกยังบอกกลับมาเลยว่า อย่างเราจะได้เรื่องเหรอ (หัวเราะ)

 

สมัยนั้นเคเบิลทีวียังเป็น UTV และ IBC เราได้ไปพากย์ของ UTV ก่อนที่จะย้ายมาพากย์ที่ IBC แล้วก็พากย์มาตลอด ตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา ช่วงที่ IBC มารวมกับ UTV กลายเป็น UBC เป็นช่วงเวลา 4-5 ปีที่โดนคัดออกเพราะเราก็ยังโนเนม ภายหลังก็มีโอกาสไปพากย์ใหม่ แล้วก็พากย์มาเรื่อยๆ

 

น้าหัง จำแมตช์แรกที่พากย์ได้ไหม

สมัยนั้นคือการพากย์เทป ไม่ใช่บอลสด เราต้องดูเทปก่อนแล้วค่อยลงเสียงใส่ จำได้ว่าแมตช์นั้นคือบอลลีกโปรตุเกส คู่ FC Porto กับ S.L. Benfica หรือไม่ก็ Sporting CP ต้องกรอเทปเพื่อดูหลังเสื้อแล้วจดว่ามีใครบ้าง จนครบ 11 คน ถึงจะพากย์ได้เพราะไม่มีข้อมูลเลย ถ้าพากย์สองคนก็ช่วยกันจด แบ่งจากล่างขึ้นบน และบนลงล่าง ไม่เหมือนสมัยนี้ที่หาข้อมูลได้ตลอดเวลา แต่เราก็รู้สึกสนุกกับมัน

 

 

ศิลปะในการพากย์ ความยาก และการฝึกฝน

ความยากอยู่ที่ต้องออกเสียงให้ถูกต้อง ตัวผมเองมีปัญหาด้านการออกเสียงภาษาอังกฤษอยู่บ้าง หรือการออกเสียงควบกล้ำก็พยามยามทำให้ถูกต้อง นอกจากนี้ ความยากคือ เราจะบอกเหตุการณ์ตรงนั้นให้มันใช่ได้อย่างไร หากผู้รักษาประตูเอามือรับ จะพูดว่าเข้าซอง ปัดออก หรือทุบออก มันไม่เหมือนกัน ถ้าเราทำให้มันถูกต้องได้ มันจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป ถ้ามีเวลาว่าง ผมจะนั่งดูเทปเก่าที่เราพากย์แล้วดูว่าจุดไหนที่เราพลาดบ้าง เราจะพยายามปรับปรุง

 

สมัยก่อนทีวียังไม่ชัด เราเห็นนักฟุตบอลบอลจากไกลๆ ต้องหาเทคนิคในการจำ ผมจะจดเช่น คนนั้นใส่รองเท้าสีอะไร ถนัดซ้ายหรือขวา เราต้องจำให้หมด ทุกวันนี้มองชัดแล้วมันง่ายขึ้น แต่เราติดเป็นนิสัยในการจดไปแล้ว

 

เสน่ห์ของการพากย์บอล

การพูดถึงเกมในจอในแบบที่คนดูอยากให้พูด เป็นจุดที่เราต้องทำให้ได้ ในทางกลับกัน ถ้าเราบอกอีกแบบหนึ่งอาจเป็นที่ขัดใจ เราต้องทำให้มีเสน่ห์ตรงนี้ ต้องถอดตัวเองออกมาเป็นผู้ชม จังหวะแบบนี้ควรจะบอกว่าอะไร นี่คือเสน่ห์ที่ทำให้คนดูชอบ

 

 

แบ่งงานกับคู่พากย์อย่างไร

ผมจะแบ่งงานกับน้องปากสองว่า ถ้าบอลกำลังเล่นอยู่ ผมจะพากย์ตามจังหวะเกมไป แต่ถ้าบอลตาย บอลออกข้าง กรรมการเป่า เกิดการฟาวล์ น้องปากสองจะเข้ามาให้ข้อมูลนักเตะ ช่วงที่บอลตายสามารถพูดอะไรก็ได้ แต่หากบอลเป็น ผมต้องกลับมาพากย์เกมตามที่เกิดขึ้นจริง นี่คือสไตล์ของผม ซึ่งมันก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน ส่วนจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวะนี้ต้องเร่งเสียงแค่ไหน มันเป็นความรู้สึกที่เราอินกับมัน เราสามารถเข้าใจได้เพราะเป็นนักฟุตบอลมาก่อนด้วย จังหวะแบบนี้ต้องยิง หรือจังหวะแบบนี้ยิงไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้ถูกเสมอไป บางครั้งก็แป้ก เช่น เมสซีไม่ยิง จะมีจังหวะการยั้ง การล็อกต่างๆ เราก็ต้องเปลี่ยนทางใหม่ การพากย์บาร์เซโลนา ทำให้เรามีสเตปในการมองมากยิ่งขึ้น ตัวผมอยู่กับบอลสเปนมาตลอด เราเข้าใจว่าบอลมันต้องเป็นแบบนี้ถึงจะน่าดู พอเจอบอลแนวอื่นเราก็เข้าใจ จะพรีเมียร์ลีกหรือบอลไทย แม้จะเป็นฟุตบอลเหมือนกัน แต่การพากย์ก็แตกต่างกัน

ถ้าเราพากย์แล้วไม่มัน เราเองยังเบื่อ คนดูก็คงเบื่อแน่ๆ นี่คือหลักของผมตั้งแต่สมัยพากย์ช่วงดึก ถ้าเราง่วง แล้วคนดูจะมานั่งดูเราง่วงทำไม เราจะปลุกตัวเองด้วยการที่เราสนุกไปกับเกม มันจึงติดเป็นนิสัย สำหรับผมเลยไม่มีบอลคู่ไหนที่ไม่สนุก

ผมชอบดูการวางแผนของโค้ช ทีมที่เป็นรองท้ายตาราง แต่ต้องเจอกับทีมใหญ่ เขาจะมาสู้อย่างไร สู้ได้หรือไม่ บางครั้งไม่จำเป็นต้องยิงก็มันได้ เพียงเรารู้จังหวะ และวิธีการพูด ที่สำคัญเราต้องสนุกกับมันและไม่เฟก

 

ฟุตบอลเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ในชีวิต

สมัยเด็ก กีฬาอย่างเดียวที่เล่นคือฟุตบอล ผมเล่นเป็นนักฟุตบอลในทีมโรงเรียน มหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่เคยคิดจะเป็นนักพากย์ ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยได้เล่นด้วยสภาพร่างกายและอายุ จึงหันมาเล่นกอล์ฟแทน แต่ในด้านการงาน ฟุตบอลก็คือร้อยเปอร์เซ็นต์ พอผมมีเวลาว่างก็จะหาข้อมูล โชคดีที่เป็นฟรีแลนซ์จึงมีเวลาว่างสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ช่วงเวลาที่อยู่กับลูก

 

กิจวัตรประจำวัน

สำหรับวันหยุด ถ้าไม่มีงาน ตื่นเช้ามา ผมจะพาลูกไปออกกำลังกาย ไปส่งภรรยา เสร็จแล้วก็ไปเล่นกีฬา หากวันไหนมีงานพากย์ดึก ผมจะนอนช่วงเช้า ตื่นช่วงเที่ยง ส่วนช่วงบ่ายอาจจะไปออกกำลังกาย ตีกอล์ฟ จ๊อกกิ้งในสวนสาธารณะ ปั่นจักรยาน แล้วแต่วันว่าวันนั้นเหมาะกับการออกกำลังกายเเบบไหน อาชีพของผมเป็นอาชีพที่ต้องทำงานดึก ฉะนั้นต้องออกกำลังกายสู้ ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม และรักษาร่างกายสำหรับอนาคต

 

 


 

Credits

 

Intro Voice-over นทธัญ แสงไชย

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producers อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค, เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค

Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Music Westonemusic.com

The post น้าหัง-อัฐชพงษ์ สีมา นักพากย์ฟุตบอลที่อินเนอร์มาเต็ม! appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอ.บู๋ คอลัมนิสต์ที่ชีวิตแสบร้อนที่สุดในวงการฟุตบอล https://thestandard.co/podcast/randomwisdom6/ Sun, 08 Jul 2018 17:01:15 +0000 https://thestandard.co/?post_type=podcast&p=104999

ชื่อของ บอ.บู๋ ต่อให้เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องฟุตบอลก็น่าจ […]

The post บอ.บู๋ คอลัมนิสต์ที่ชีวิตแสบร้อนที่สุดในวงการฟุตบอล appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชื่อของ บอ.บู๋ ต่อให้เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องฟุตบอลก็น่าจะพอรู้จัก ในบทบาทคอลัมนิสต์และนักจัดรายการก็จะมีทั้งคนชิงชังและชื่นชอบ แม้จะโดนด่าว่าปากจัด หยาบคาย ไร้จรรยาบรรณ แถมโดนสื่อแบนหลายครั้ง แต่เขาก็ยังเป็นตัวจริงที่อยู่ในวงการนี้มาได้กว่า 20 ปี และมีแฟนๆ ติดตามอย่างเหนียวแน่น

 

ความผูกพันกับฟุตบอลเริ่มจากอะไร การเป็นตัวเองในวงการนี้มันยากแค่ไหน เขาเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาด และเขาจะอยู่กับเรื่องฟุตบอลไปอีกนานเท่าไร

 

กดปุ่ม Play ด้านบนเพื่อฟังพอดแคสต์ Random Wisdom ซีรีส์พิเศษ Soccer Wisdom แต่ถ้าถนัดอ่านก็ไล่สายตาเพื่อเสพบทความด้านล่างได้เลย

 

 

นิยามตัวเอง

ไม่อยากใช้คำว่าเป็นนักข่าวด้วยซ้ำ เพราะคำว่านักข่าว เราต้องออกภาคสนาม หาแหล่งข่าว ไปพูดคุย ที่ทำอยู่ตอนนี้เหมือนเขียนหนังสือมากกว่า เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ นิตยสาร โลกโซเชียล นอกนั้นก็จะอยู่ในทีวี ก็อาจจะนิยามว่าเป็นคนที่บ้าบอล แล้วพอดีมีโอกาสเขียนหนังสือ มีโอกาสถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นได้รับรู้

 

โตมากับฟุตบอล

ตั้งแต่เด็กๆ เลย เรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน มันเป็นโรงเรียนที่เด็กบ้าบอล ก็เล่นฟุตบอลมา แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร เตะฟุตบอลก๊อกๆ แก็กๆ จนกระทั่งประมาณ ป.6 มีนิตยสารเล่มหนึ่งเป็นรายสัปดาห์ ชื่อว่า สตาร์ซอคเกอร์ เห็นว่าเป็นนิตยสารฟุตบอล ก็ซื้อมาดูมาอ่าน ประกอบกับมีรุ่นพี่ที่เขาบ้าบอลก่อนเรา เขาก็เอาหนังสือมาให้เราดู มันมีเสื้อทีมนั้นทีมนี้ นี่นักเตะลิเวอร์พูล นักเตะแมนฯ ยู เราก็ตามเขามาตั้งแต่ตอนนั้น เลยเริ่มปลูกฝัง

ความบ้าฟุตบอล ไม่ใช่รักฟุตบอลนะ ต้องบ้าเลย เพราะรักมันกลายเป็นเรื่องที่ไม่พอ ถ้ารัก พนักงานบัญชี นายธนาคาร คนช้อนลูกน้ำอาจจะรักฟุตบอลได้ แต่ถ้าบ้าบอลมันต้องทำอย่างนี้ คือต้องทำงานอยู่กับฟุตบอลมาตั้งแต่แรกยันปัจจุบันเลย ไม่เคยเปลี่ยนงาน

ทุ่งหญ้าแห่งความฝัน

คอลัมน์นี้เกิดจากมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่งที่เขาชอบเบี้ยวงาน พอเราเข้ามาเป็นน้องใหม่ เราก็เป็นคนทะลึ่งตึงตัง เป็นคนบ้าๆ บอๆ เขาก็เห็นว่าไอ้นี่บ้าๆ ดีว่ะ ความคิดมันแปลกแยก เขาก็เลย เฮ้ย มันน่าจะเขียนหนังสือได้ พอเขาให้เขียนแทน เขาบอก มึงตั้งชื่อคอลัมน์ไปเลย เราก็มานั่งนึกว่าจะตั้งชื่อคอลัมน์อะไรดีวะ ตอนนั้นช่อง 7 วันเสาร์ มันมีโปรแกรมเพชรหนังพันล้าน ที่เอาหนังมาฉายทุกวันเสาร์ มันมีหนังเรื่อง Field of Dreams เราก็ เฮ้ย ทุ่งหญ้าแห่งความฝัน เออ เอาตรงนี้แหละวะ ตั้งๆ ไปก่อน นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเขียนคอลัมน์

 

 

ความผิดพลาด

ตอนสมัยที่อายุ 20 กว่าๆ 30 เศษๆ ตอนนั้นเราชนหมด กูไม่สน กูไม่แคร์การแบน เมื่อก่อนโซเชียลมันไม่ได้ขนาดนี้ พอโดนไปก็ต้องระมัดระวังตัวไว้จุดหนึ่ง เสร็จแล้วมันก็จะมีพลาดเพิ่มขึ้น เป็นระดับๆ ขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่า บทเรียนมันเรียนไม่รู้จบ

 

โดนวิทยุแบนไป 4 ครั้ง ครั้งแรกโดนเพราะทำรายการ แล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาสดๆ แล้วก็ด่ากับมัน พอมันสดๆ ก็ตัดออกและเซนเซอร์ไม่ได้ โอเค เราก็เลิกรับโทรศัพท์ พอล่าสุดที่โดนแบนจากวิทยุก็คือ เราทะลึ่งไง ตอนนั้นคลื่นวิทยุมันต้องหมุนเปลี่ยนช่อง คือสมมติถ้าถึงเวลาเที่ยงคืนแล้วจะฟังต่อก็ต้องหมุนไปอีกคลื่นหนึ่ง ตอนนั้นมีหนังเรื่อง The Ring เราก็พูดเล่นๆ ถ้าใครได้ยินเสียงผมแล้วไม่เปลี่ยนช่องตาม เดี๋ยวจะมีตีนไปถีบหน้ามึง อะไรอย่างนี้ แม่งแบนกูอีก ก็คิดว่าประเทศนี้แม่งไม่มีอารมณ์ขันเลยเหรอวะ

 

ตั้งแต่นั้นมาก็ตั้งปณิธานว่า กูไม่ทำแล้ว เพราะว่าถ้าทำเราก็ต้องเป็นตัวของตัวเอง เราก็เป็นคนอย่างนี้ ถ้าเราทำอีก มันก็ต้องแบนอีก เพราะฉะนั้นตัดปัญหาคือไม่ทำวิทยุดีกว่า ไม่ได้จัดรายการวิทยุมาสิบกว่าปีแล้ว ทีวีก็น้อยลงเรื่อยๆ แต่พอมันเป็นออนไลน์ พูดตรงๆ นะ โคตรดีใจเลยที่โลกนี้มีออนไลน์ จะพูดเหี้ย ไอ้สัตว์ หน้าส้นตีนอะไรก็ได้ คือมีความสุขมากกับการที่ได้มาทำตรงนี้ แม่งเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครมาเสือก ไม่มีใครมาสนใจ ไม่มีใครมาด่าได้ เพราะเหมือนเรามีช่องเป็นของตัวเอง

 

ถูกมองว่า เป็นคนหยาบคาย ไร้จรรยาบรรณ

ถ้าทำในช่องทางของเรา นั่นคือตัวเรา แต่เวลาไปทำในสื่อหลัก ก็ต้องระมัดระวังคำพูดมากขึ้น พูดในเพจของ บอ.บู๋ ก็อย่างหนึ่ง แต่มาพูดในเพจของสยามสปอร์ต มันก็ต้องเป็นงานเป็นการ ก็อีกอย่างหนึ่ง เราจะรู้ว่าตอนนั้นอยู่ในบทบาทไหน ถ้าเราอยู่ในบทบาทของตัวเอง เราก็เป็นตัวของตัวเอง เราพูดในเพจว่า ไอ้ส้นตีน อะไรอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้เขียนหนังสือแบบนี้นี่ เขียนหนังสือก็เหมือนเดิม คืออยู่ในกรอบ อยู่ในข้อจำกัดที่สังคมเขาตีไว้ว่าอะไรควรไม่ควร ก็ยังยึดถือกฎเกณฑ์ตรงนั้น แต่พอมาเป็นตัวเรา เราก็ใส่เต็มที่ว่านี่เป็นตัวของเรา

บางทีมีคนบอกว่า ไอ้บู๋ มึงถ่อยแล้วเท่เหรอวะ เราก็บอกว่ากูไม่ได้ถ่อยแล้วเท่ ก็ปากกูเป็นอย่างนี้ กูเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่มึงยังเป็นวุ้นอยู่เลย ก็จะด่ามันคืน

จริงๆ เรื่องฟีดแบ็กในโลกออนไลน์ จะไม่ค่อยไปสนใจ ไม่ค่อยไปให้ราคามาก แต่บางวันมันว่างไง บางทีด่ากูแรงเกิน ด่าแบบไม่มีเหตุไม่มีผล เวลาเขาด่า เขาตำหนิ เขาตำหนิเพื่อที่จะให้เอาไปปรับปรุงตัว เหมือนเป็นกระจกสะท้อนการทำงาน แต่คนรุ่นใหม่ คนที่เล่นอินเทอร์เน็ตไม่เข้าใจจุดนี้ มันจะด่าเอามัน เอาสนุก เอาแบบกูเกลียดมึง กูอคติมึง อยู่ดีๆ ก็มาด่า ไอ้สัตว์บู๋ กูเกลียดหน้ามึง อย่างนี้ให้กูเอาไปปรับปรุงยังไง

 

ไอดอล

พี่ย.โย่ง-เอกชัย นพจินดา ที่ล่วงลับไปแล้ว ถือเป็นแรงบันดาลใจให้มาทำงานตรงนี้ ทำให้รู้สึกว่าเอาบอลมาเป็นอาชีพได้ ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงได้ ก็เลยยึดถือเป็นแม่แบบในการทำงาน อีกอย่างพี่โย่งเป็นคนเขียนหนังสือดี เพราะแกอ่านเยอะ ก่อนที่คุณจะเป็นนักเขียนได้ คุณก็ต้องเป็นนักอ่านมาก่อน พี่โย่งเขียนบอกไว้แบบนี้ประจำ สองก็คือ โย่งเป็นคนแม่นยำในเรื่องข้อมูล ซึ่งยุคก่อนต้องใช้ความจำอย่างเดียว ไปเปิดกูเกิล ไปเปิดวิกิพีเดียไม่ได้ เราก็อยู่ในยุคนั้น สมัยที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต การจะจำว่าแมตช์นี้ผลเป็นอย่างไร ต้องใช้เวลาค้นหนังสือเป็นชั่วโมง เพื่อที่จะเขียนแค่คำไม่กี่คำ เพราะฉะนั้นความจำต้องแม่นมาก ส่งผลมาถึงทุกวันนี้ว่าข้อมูลต้องเป๊ะ เราจะเขียนเรื่องอะไร เราต้องรู้ลึก รู้จริง เราถึงจะเขียนเรื่องนั้นได้ อย่าไปเขียนแบบฉาบฉวย เห็นบ้าๆ บอๆ เวลาทำงาน เขียนข้อมูล ต้องเอาให้เป๊ะ เอาให้ลึกกว่าคนอื่น เอาให้มันกินขาด

 

ไอดอลทางการเขียน

นักเขียนที่ชอบที่สุดคือ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เมื่อก่อนก็ตามทุกอย่างเลย จนโดนคนด่าว่าเขียนเหมือนเกินไป เพราะเราอ่านมากแล้วมันอิน เหมือนโดนครอบงำ แต่พอเวลาผ่านไปสัก 5-6 ปี มันก็จะเริ่มปรับกลับมาเป็นตัวเรา คนอื่นๆ ที่ชอบก็อากังฟู, ขุนทอง อสุนี, อารีย์ แท่นคำ และอีกเยอะ สมัยก่อนชอบอ่านหนังสือเพลง เป็นคนชอบเพลงร็อก เพลงเฮฟวี ซึ่งศัพท์ของหนังสือเพลงมันจะเป็นแบบเพลงนี้แม่งทะลุเข้าไปในรูหูอะไรอย่างนี้ เราสามารถปรับมาเป็นภาษาฟุตบอลได้ ซึ่งเราได้อิทธิพลมาจากหนังสือเพลงพวกนี้เยอะ

 

 

อะไรคือสิ่งที่ทำให้ยังอยู่ตรงนี้ได้กว่า 20 ปี

บอกแล้วว่าไม่ได้รักบอล มันบ้าบอล พอบ้าบอลแล้วมันทำให้เรามีอาชีพ มีเงิน มีรายได้เลี้ยงครอบครัว และก็ได้รับประสบการณ์ พูดตรงๆ มีที่ไหนคนจ้างไปดูบอลนัดชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีคนจ้างไปดูนัดชิงฟุตบอลโลก ไปดูแล้วยังได้เงินอีก มีคนออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ มีคนขับรถพาไป ได้เบี้ยเลี้ยง แถมเอามาต่อยอดได้อีก ทุกอย่างหล่อเลี้ยงของมันอยู่อย่างนี้

 

บอ.บู๋ ในอีก 10 ปีข้างหน้า

ย้อนกลับไปสิบปีที่แล้วยังมองตัวเองตอนอายุ 48 ไม่ออกว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้หรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ยังอยู่ที่เดิม ตอนนี้มันมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้เราทำงานง่ายขึ้น อย่างพอมีแฟนเพจขึ้นมา มันนอนทำก็ได้ ตื่นมา กดรูปดู นึกจะเขียนอะไรก็ว่ากันไป นั่งอยู่บนรถ นั่งขี้อยู่ กินเหล้าอยู่กับเพื่อน มันก็ทำได้หมดเลย มันก็สบายขึ้น แต่ไม่รู้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเทคโนโลยีมันจะไปถึงไหน เฟซบุ๊กยังอยู่หรือเปล่า เราก็ยังมองไม่ออก ส่วนเราก็คงยังไม่ได้ทิ้งฟุตบอลไป ยังอยู่ในวงโคจรนี้ แต่บทบาทอาจจะเปลี่ยน อาจจะไม่ได้เขียนข่าว ไม่ได้เขียนคอลัมน์ แต่อาจจะไปเปิดสนามฟุตบอล หรือสร้างทีมทีมหนึ่งขึ้นมา เป็นทีมสมัครเล่น แล้วค่อยๆ เข้าสู่ฟุตบอลอาชีพ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

 


 

Credits

 

Intro Voice-over ภูมิชาย บุญสินสุข

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producers อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค, เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์

Photographer เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า

Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์

Music Westonemusic.com

The post บอ.บู๋ คอลัมนิสต์ที่ชีวิตแสบร้อนที่สุดในวงการฟุตบอล appeared first on THE STANDARD.

]]>