×

Tinder ระบุ “Gen Z จะเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จเรื่องการแต่งงานมากที่สุด”

01.06.2023
  • LOADING...
Tinder

HIGHLIGHTS

  • เหตุผลที่คนหย่าร้างกันก็เพราะ ‘การเลือกคนรักผิด’ ในขณะที่คน Gen Z รู้จักตัวเองดีว่าเขาต้องการอะไร และนั่นทำให้เขารู้ว่าควรเลือกคู่อย่างไรถึงจะดีที่สุด  
  • Gen Z เป็นกลุ่มที่ตื่นตัวกับการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกใบนี้แล้ว นี่คือสิ่งดีที่จะเห็นพวกเขาออกมาขับเคลื่อนอนาคตมากขึ้น

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไปร่วมงาน The Future of Dating ที่ทาง Tinder จัดขึ้นที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ร่วมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลก ที่ทำให้เราได้เห็นเทรนด์การเดตในโลกอนาคตของคน Gen Z ปี 2023 ที่มีมุมมองเรื่องการออกเดตแตกต่างจากคนยุคมิลเลนเนียล 

 

 

คลิกอ่าน วิถีการออกเดตรูปแบบใหม่ของคน Gen Z ได้ที่ https://thestandard.co/7-dating-trends-gen-z/

 

 

ในงานนี้เองเรายังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ พอล บรูนสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระดับโลก ที่เขาได้นำเสนอเทรนด์การเดตของคน Gen Z ที่หลักๆ มี 9 ประการด้วยกัน ผ่าน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ การครอบคลุมคนทุกกลุ่ม เทคโนโลยี และตัวตนที่แท้จริง ซึ่งฟังแล้วบางข้อก็เก็ต เข้าใจในทันที แต่บางสิ่งก็ยังมีที่คลางแคลงสงสัยอยู่ เช่น ทำไม Gen Z จึงมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จด้านการแต่งงานมากที่สุด? ผู้ชายยุค Healthy Masculinity เป็นอย่างไร? และทำไมเขาถึงรู้สึกดีที่ตอนนี้โลกอยู่ในมือของ Gen Z? ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถค้นหาคำตอบได้จากบทสัมภาษณ์พิเศษ พอล บรูนสัน (Paul Brunson) ที่ทั่วโลกรู้จักกันในนาม Love Doctor ที่นี่ที่เดียวในเมืองไทย 

 

 

วันก่อนคุณได้พูดบนเวทีว่า ผู้ชายสมัยนี้มีความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น และมีอัตลักษณ์ความเป็นชายในแง่บวก (Healthy Masculinity) มากขึ้น คุณคิดว่านั่นจะทำให้พวกเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไหม? 

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้หญิงกว่าทั่วโลกต่างทำวงจรสะท้อนกลับ (Feedback Loop) ไว้ได้ดีมาก ซึ่งวงจรสะท้อนกลับเปรียบเสมือนเครื่องมือวัดที่หลายๆ องค์กรต่างนำมาใช้กันเพื่อประเมินผล สิ่งนี้เรียกว่าการวิเคราะห์แบบ 360 องศา ซึ่งทำให้เราได้ฟีดแบ็กจากเพื่อนร่วมงาน ทั้งจากคนที่เราต้องรายงานเขา และเขาต้องรายงานเรา 

 

แต่วงจรสะท้อนกลับก็สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ผู้หญิงเป็นคู่เดตที่ดีขึ้นได้เช่นกัน เรื่องของความสัมพันธ์มันต้องใช้ทักษะ และผมคิดว่าวงจรสะท้อนกลับจะช่วยเพิ่มทักษะเหล่านั้น เช่น สาวๆ กลับมาบ้านก็จะคุยสนุกกับเพื่อนสาว แนะนำให้เธอทำแบบนี้ อย่าทำแบบนั้น ใส่ชุดแบบนี้ คนนี้เธอเทเขาเถอะ

 

ส่วนผู้ชาย เมื่อก่อนเวลากลับจากการเดต เพื่อนก็จะถามแค่ว่า เฮ้ย เป็นไงบ้าง? ผู้ชายไม่ค่อยพูดคุยเรื่องทำนองนี้กันนัก ทำให้ไม่ได้ฟีดแบ็กอะไร แต่สำหรับ Gen Z เขาเป็นวัยที่มีความเห็นอกเห็นใจกัน รู้จักวางตัวทางอารมณ์และการสื่อสาร ทำให้บทสนทนาเริ่มต้นอย่าง ลูกชายผมเล่นกีฬารักบี้กับเพื่อนผู้ชายกันอย่างดุเดือด แต่พอเวลากลับมาบ้าน เขาก็มาคุยเล่นอบคุกกี้ อบขนมเค้ก และพูดคุยกัน พระเจ้า! นี่แหละถือเป็นสิ่งที่จะจุดประกาย และทำให้เราได้เห็นอัตลักษณ์เพศชายในเชิงบวก หรือ Healthy Masculinity มากขึ้น นำพาไปสู่เรื่องความสัมพันธ์  

 

คุณบอกว่า Gen Z จะประสบความสำเร็จด้านการแต่งงานมากกว่าคนเจเนอเรชันอื่น สงสัยว่าเราควรให้ค่าความซื่อสัตย์มากกว่ากฎหมายอย่างการจดทะเบียนหรือไม่

 

จริงๆ ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าคนให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ หลายคนคิดว่าการแต่งงานเป็นแค่กระดาษเปล่า แต่มันไม่ใช่ เพราะตอนนี้รัฐบาลกำลังเพ่งเล็งไปที่อัตราการลดลงของประชากร และการแต่งงานทำให้อัตราการมีบุตรเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นรัฐบาลจึงกระตุ้นส่งเสริมการแต่งงาน ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็น่าจะเห็นจากการลดภาษีต่างๆ กันแล้ว 

 

ความดีงามของเรื่องนี้สำหรับ Gen Z คือพวกเขาสามารถเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น พวกเขาเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าจะไปที่จุดไหน ปัญหาใหญ่สุดคือ ‘ความสัมพันธ์’ เหตุผลที่คนหย่าร้างกันก็เพราะ ‘การเลือกคนรักผิด’ ในขณะที่คน Gen Z รู้จักตัวเองดีว่าเขาต้องการอะไร และนั่นทำให้เขารู้ว่าควรเลือกคู่อย่างไรถึงจะดีที่สุด 

 

 

พอล บรูสัน 

 

อยากให้คุณช่วยนิยามความหมายของการแต่งงานที่ประสบความสำเร็จของ Gen Z หน่อย? 

 

นักวิจัยต่างใช้แบบประเมินการวัดความพึงพอใจที่หลากหลาย ถ้าในอเมริกาจะนิยมประเมินแบบ Quality of Marriage Scale ส่วนผมใช้ ‘การปรับตัว’ สมมติว่าคุณรู้สึกว่าวันนี้มันแย่ คุณจะปรับตัวอย่างไร? มันคือสิ่งที่เรียกว่า ‘Neuroticism’ (ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ เช่น อ่อนไหวง่าย กังวลง่าย) เช่น คุณมีความสุขไหม? หรือ คุณกำลังมัวแต่คิดถึงคนอื่นอยู่? สำหรับผม การปรับตัว ความสุข Commitment และความเชื่อใจ คือการประเมินความพึงพอใจ แม้ว่าแต่ละที่จะมีการประเมินแตกต่างกันออกไป แต่ทุกการประเมินล้วนมุ่งเน้นไปที่ความพึงพอใจของความสัมพันธ์ทั้งนั้น  

 

คุณพูดถึง Empathic Man และอัตลักษณ์เพศชายในแง่บวกของคน Gen Z อยากให้ช่วยขยายความสองคำนี้หน่อย และหากผู้ชายในยุคมิลเลนเนียลจะทำอย่างนั้นบ้าง ควรทำอย่างไร  

 

สิ่งที่ควรทำคือ การฟัง และพร้อมที่จะแสดงความรู้สึก ที่ผ่านมาผู้ชายมักเป็นคนที่เข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ ซึ่งนั่นไม่ใช่ Healthy Masculinity (อัตลักษณ์เพศชายในแง่บวก) แต่มันคือ Toxic Masculinity (อัตลักษณ์เพศชายในแง่ลบ เช่น มีความแมนจัด ไม่แสดงความรู้สึก) Healthy Masculinity คือการสอนให้ผู้ชายกล้าแสดงออกทางอารมณ์ ร้องไห้ได้ รู้จักการฟังมากขึ้น ยินดีที่จะเผยความรู้สึกออกมา และข้อดีของ Gen Z คือพวกเขากำลังทำสิ่งนี้กันอยู่  

 

เมื่อ 2 วันก่อน ผมไป Borough Market มีผม ภรรยา และลูกชายอีก 2 คน เดินออกจากร้านอาหาร เห็นกลุ่มวัยรุ่น ดูออกเลยว่าเป็น Gen Z กำลังไถสเกตบอร์ดอยู่ บังเอิญผมไปได้ยินใครคนหนึ่งในนั้นพูดว่า “อย่างน้อย เราก็ได้ลองรับการบำบัด” นี่มันสุดยอดมาก สมัยก่อนแทบไม่มีใครพูดเรื่องการบำบัด แต่ตอนนี้คือเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว ผมมองว่าการบำบัดคือการพัฒนาตนเอง ให้เรากล้าที่จะแสดงอารมณ์ออกมา และนี่คือสิ่งที่เรียกว่า อัตลักษณ์เพศชายในแง่บวก

 

สำหรับคนยุคมิลเลนเนียมที่อาจเป็นพ่อแม่ของ Gen Z แล้ว บทบาทของพวกเขาในเรื่องเดตเป็นอย่างไร เรายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ Gen Z ได้บ้างไหม

 

ผมขอพูด 2-3 อย่างละกัน อย่างแรกที่ควรทำคือ Model Great Behavior ผมเชื่อว่าพวกเขาจะเป็นในสิ่งที่เขาเห็น นี่คือแนวคิดของ Model Great Behavior (แนวทางการสอนเด็กๆ ให้รู้จักการเคารพ จิตใจดี มีน้ำใจเผื่อแผ่) แต่สิ่งหนึ่งที่มีบทบาทค่อนข้างสำคัญคือ Gen Z เป็นเจเนอเรชันแรกที่พร้อมจะทลายกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เราเคยทำมา  

 

ในมุมของผม ผมคิดว่าถ้า Gen Z เห็นว่ามิลเลนเนียลไปทางซ้าย งั้นฉันไปทางขวาดีกว่า (หัวเราะ) ฉันจะไม่ไปทางนั้นหรอกน่า ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดของเราคือ อย่าไปขวางทางพวกเขา หลายคนคิดว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับคนสมัยนี้กันละเนี่ย’ แต่ผมกลับมีความรู้สึกว่า เฮ้ย มันดีนะที่โลกของเราตอนนี้อยู่ในมือของ Gen Z พวกเขาเป็นวัยที่ตื่นตัวกับการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกใบนี้แล้ว นี่คือสิ่งดีที่จะเห็นพวกเขาออกมาขับเคลื่อนอนาคตมากขึ้น ดังนั้น อย่าไปขวางทางพวกเขาเลยดีกว่า นี่แหละครับที่ผมจะบอก

 

ตอนนี้คนกลุ่มมิลเลนเนียลกำลังเรียนรู้วิธีการสื่อสารกับ Gen Z กันอยู่ คุณมีคำแนะนำบ้างไหม 

 

การเรียนรู้ที่จะสื่อสารเป็นแนวคิดที่ทำให้เราสามารถมองเห็นคุณค่าการกระทำของอีกฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น ลูกชายของผมวัยเป็นวัย Gen Z และ Alpha พวกเขาชอบเล่นวิดีโอเกมมาก นั่งเล่นเกมข้างๆ กันแต่คุยกันผ่านแอป สำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ แต่มันเป็นสิ่งที่เขาทำกันเป็นเรื่องปกติ 

 

ผมก็เลยโหลดแอปเกมที่พวกเขาเล่นกันอย่าง ‘Risen Kingdom’ ผมเล่นติดต่อกัน 15 วัน เมื่อวานเป็นวันแรกที่ผมไม่ได้เล่น นั่นทำให้ลูกชายรู้สึกผิดหวังในตัวผมที่ไม่ได้เข้าไปเล่น ผมโหลดเกมในแอปนั่งเล่นเกมข้างๆ กัน และคุยกันในแอป เพราะผมรู้ว่านั่นคือสิ่งที่พวกชอบทำ ใช่เลย พวกเราต้องเข้าหาพวกเขา แบบนี้ถึงจะเรียกว่าการเรียนรู้ที่จะสื่อสาร 

 

สำหรับประเทศที่มีความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อที่แตกต่างกัน อยากทราบว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำหากได้ออกเดตกับพวกเขา 

 

ผมคิดว่า ข้อดีของ Gen Z คือพวกเขาได้แสดงออกให้เห็นว่าพวกเขามองเห็นคุณค่าของคนอย่างชัดเจน ผมถึงได้กล่าวถึง Martin Luther King ไปเมื่อวาน เพราะผมคิดว่าสุนทรพจน์ที่เขาได้กล่าวต่อประชาชนทั่วโลกในปี 1963 ตอนที่กล่าวเรื่อง ‘I Have a Dream’ ( I have a dream that my four little children will one day live in a nation where they will not be judged by the color of their skin but by the content of their character. I have a dream today.) ความคิดของคนที่ได้ฟังในตอนนั้นอาจคิดว่านี่เป็นสิ่งที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นในชีวิตของเราแน่ แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าเรามาคิดดูดีๆ ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว 

 

Tinder ได้ทำสิ่งที่ดีมาก นั่นคือการที่ Tinder บอกว่า “คุณไม่ทางรู้หรอกว่าใครคือคู่แมตช์ที่ดีที่สุด ดังนั้น เราก็จะให้คุณได้พบเจอกับทุกๆ คนในแอป” ซึ่งผู้ใช้ Tinder ต่างชื่นชอบสิ่งนี้ เมื่อ 66% ของผู้ใช้บอกว่าพวกเขาชอบที่เขาได้เจอคนใหม่ๆ ที่อยู่นอกวงสังคม และ 80% ของผู้ใช้บอกว่าพวกเขาได้เดตกับคนต่างเชื้อชาติ นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากๆ เพราะเริ่มจากความสงสัยใคร่รู้ สานต่อในแพลตฟอร์ม และความสงสัยนี้ก็นำพาไปสู่การชื่นชมอีกฝ่าย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ได้เลย

 

คำถามสุดท้าย ถ้าให้คุณเลือกหนึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเส้นทางการสร้างความสัมพันธ์ของคน Gen Z สิ่งนั้นคือ? 

 

การเริ่มต้นจาก ‘ตัวคุณเอง’ ครับ ในอดีตมีวิจัยหลายชิ้นเน้นย้ำว่า ‘ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากตัวคุณเอง’ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ดังนั้น สิ่งที่เราได้เห็นจากรายงานชิ้นนี้ (The Future of Dating 2023) คือ ‘ทุกการเดินทาง เริ่มต้นที่ตัวคุณเอง’ ซึ่งผมว่าข้อนี้ทุกคนย่อมรู้กันดีอยู่แล้วครับ

 

ภาพ: Tinder

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising