THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 11 May 2025 11:45:56 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน ปี 2025 ตอนที่ 3: What’s Next? https://thestandard.co/india-pakistan-conflict-2025-part-3/ Sun, 11 May 2025 11:44:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1073298 india-pakistan-conflict-2025-part-3

ผมตั้ง 3 คำถาม นั่นคือ Why Not? Who Else? What’s Next? […]

The post ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน ปี 2025 ตอนที่ 3: What’s Next? appeared first on THE STANDARD.

]]>
india-pakistan-conflict-2025-part-3

ผมตั้ง 3 คำถาม นั่นคือ Why Not? Who Else? What’s Next? และพยายามหาคำตอบเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งรอบล่าสุด ณ ปี 2025 (ซึ่งที่ไม่ใช่ครั้งแรก และ จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย) ระหว่างอินเดียและปากีสถาน โดยในตอนที่ 1 เราตอบคำถามไปแล้วว่า เมื่อพิจารณาปัจจัยการเมืองภายในของแต่ละประเทศ ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็พร้อมที่จะเดินหน้าซัดกัน โดยอินเดียมีคะแนนนิยมต่อพรรค BJP เป็นเดิมพัน ในขณะที่ปากีสถานมีพลังอำนาจของรัฐพันลึกเป็นเดิมพัน และต่อคำถามที่ 2 เราพิจารณาถึงประเทศมหาอำนาจที่ใกล้ชิดหรือมีอิทธิพลเหนือ อย่างเช่น สหรัฐฯ ที่ใกล้ชิดอินเดียมากขึ้น และจีนที่มีอิทธิพลเหนือปากีสถาน และเราก็พบว่า ทั้งสองมหาอำนาจอาจจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสามารถเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเพื่อนำไปสู่ความสงบในระยะสั้นได้ หากแต่กลุ่มความร่วมมือทางด้านความมั่นคงอย่างเช่น องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) น่าจะเป็นพื้นที่ที่ทำให้ทั้งปากีสถานและอินเดียซึ่งต่างก็เป็นสมาชิกของ SCO ได้ร่วมพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกับประเทศสมาชิกที่เหลือ ซึ่งประเทศสำคัญๆ ก็คือ จีน รัสเซีย และอิหร่าน ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จนี่ก็จะเป็นก้าวย่างสำคัญของความร่วมมือของประเทศกำลังพัฒนาหรือ ประเทศในกลุ่ม Global-South

 

คำถามที่ 3 ซึ่งบางทีอาจจะเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด นั่นคือ แล้วเหตุการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้จะมีพัฒนาการต่อไปอย่างไร ซึ่งผมจะขอวิเคราะห์เป็น 3 ช่วง นั่นคือ ในระยะสั้น (คือภายในปีนี้)​ ในระยะกลาง คือในอีก 1-3 ปีข้างหน้า และในระยะยาวคือ พ้นจาก 3-5 ปีนี้ไปแล้ว

 

What will happen in the short term?

 

ในระยะสั้น เราอาจจะได้เห็นการตอบกลับจากฝ่ายปากีสถาน แม้ว่าปากีสถานจะมีกำลังรบที่น้อยกว่าในเชิงปริมาณในภาพรวม อาทิ กองทัพอินเดียมีกำลังทหาร 1.45 ล้านนาย และมีกำลังพลสำรองอีก 1.15 ล้านนาย ในขณะที่ปากีสถานที่เพียง 6.54 แสนนาย และ 5.5 แสนนายตามลำดับ งบประมาณทางด้านความมั่นคงของอินเดียอาจจะสูงกว่าปากีสถานราว 9.5 เท่า เครื่องบินทุกประเภทของอินเดียที่แตะระดับ 2,300 ลำ ในขณะที่ปากีสถานมีน้อยกว่าราว 1,000 ลำ ฯลฯ แต่การพิจารณาเพียงตัวเลขปริมาณรถถัง เครื่องบิน เรือรบ เรือดำน้ำ อาจจะไม่ใช่การเปรียบเทียบที่ถูกต้อง ทั้งนี้ต้องนำเอาอาณาเขตพื้นที่ และความยาว และความลึกของแนวชายแดน เข้ามาประกอบด้วย ดังนั้นอินเดียที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางถึง 3.287 ล้านตารางกิโลเมตร มีเส้นพรมแดนที่ทอดยาวสลับซับซ้อน ก็หมายความว่า พวกเขาไม่สามารถโยกย้ายกำลังรบและยุทโธปกรณ์ทั้งหมดมารบกับปากีสถานได้ ดังนั้นในสภาพพื้นที่จริง โดยเฉพาะในบริเวณแคชเมียร์ที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน และมีพื้นที่จำกัด กำลังพลและยุทโธปกรณ์ที่จะเข้าไปกระจุกอยู่ในพื้นที่ก็คงจะทำได้ในปริมาณที่พอๆ กันทั้ง 2 ฝ่าย และที่สำคัญคือ กองทัพและประชาชนในพื้นที่ก็คุ้นชิน และมีการเตรียมรับมือกับความรุนแรงในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ดังนั้นแน่นอนว่าสงครามย่อมทำให้เกิดความสูญเสีย แต่นั่นคงยังไม่ใช่สิ่งที่น่าห่วงกังวลเป็นอันดับที่ 1 

หลายๆ ท่านอาจจะห่วงกังวลมากกว่าในเรื่องของสงครามนิวเคลียร์ เพราะทั้ง 2 ประเทศต่างก็มีขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ด้วยกันทั้งคู่ โดยมีการประมาณการว่าอินเดียน่าจะมีหัวรบนิวเคลียร์ในราว 180 หัวรบ ในขณะที่ปากีสถานก็มีพอๆ กันที่ประมาณ​ 170 หัวรบ ซึ่งปริมาณขนาดนี้ไม่ใช่แต่จะเพียงทำลายล้างศัตรูอีกฟากของชายแดนเท่านั้น แต่ถ้าทั้ง 2 ประเทศนำหัวรบทั้ง 300 กว่าๆ หัวรบนี้ออกมายิงกันจริงๆ นั่นหมายความว่า ทั้งโลกก็แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้พลโลกได้อยู่อาศัยกันอีกต่อไป 

 

ดังนั้นทฤษฎีการยับยั้ง (Deterrence Theory) ซึ่งมีหัวใจสำคัญของทฤษฎีคือหากต่างฝ่ายต่างถล่มกันจริงด้วยอาวุธนิวเคลียร์แล้ว สถานการณ์ที่เรียกว่าการทำลายล้างซึ่งกันและกัน หรือ Mutually Assured Destruction (MAD) ก็จะเกิดขึ้น นั่นคือวิบัติด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นทั้ง 2 ฝ่ายก็จะเพียงแต่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการข่มขู่ ท้าทาย กันและกันเท่านั้น โดยทฤษฎีนี้วางอยู่บนเงื่อนไข 5 ข้อคือ

 

  1. ศักยภาพในการตอบโต้: ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างมีอาวุธนิวเคลียร์และระบบนำส่งขีปนาวุธที่สามารถโจมตีดินแดนของอีกฝ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ และมีในปริมาณพอๆ กัน แม้ว่าฝ่ายหนึ่งจะโจมตีก่อน อีกฝ่ายก็ยังมีศักยภาพที่เหลือพอจะตอบโต้กลับด้วยอาวุธนิวเคลียร์ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อผู้ที่โจมตีก่อน

 

  1. ต้นทุนที่สูงเกินไป: การใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีอีกฝ่ายจะนำมาซึ่งการตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน ผลลัพธ์คือความเสียหายอย่างมหาศาลต่อทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตผู้คน เศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และความมั่นคง การสูญเสียนี้สูงเกินกว่าผลประโยชน์ใดๆ ที่อาจได้รับจากการโจมตีก่อน

 

  1. ความกลัวต่อการยกระดับ: การใช้อาวุธนิวเคลียร์แม้แต่เพียงครั้งเดียว มีความเสี่ยงสูงที่จะนำไปสู่การยกระดับความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์เต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำของทั้งสองประเทศต่างตระหนักดีและต้องการหลีกเลี่ยง

 

  1. การส่งสัญญาณและการสื่อสาร: ทั้งสองประเทศอาจมีการแสดงแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ หรือการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและขีดความสามารถในการตอบโต้ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของทฤษฎีการยับยั้ง

 

  1. การรับรู้ร่วมกัน: แม้จะมีความตึงเครียดและความไม่ไว้วางใจระหว่างกัน แต่ผู้นำของทั้งอินเดียและปากีสถานต่างรับรู้ถึงอันตรายและผลลัพธ์ที่เลวร้ายของสงครามนิวเคลียร์ นั่นคือ พวกเขารบกันเพื่อเรียกคะแนนนิยมทางการเมือง เพื่อรักษาพลังอำนาจทางการเมืองในแต่ละประเทศ ไม่ได้ต้องการให้บ้านเมืองของตนเองวอดวาย เหล่านี้ทำให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการใช้กำลังนิวเคลียร์

 

ทั้ง 5 ข้อทำให้สรุปได้ว่าการที่ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า ‘การยับยั้งด้วยความกลัว’ (Deterrence by Fear) ซึ่งหมายถึงการที่ทั้งสองฝ่ายไม่กล้าที่จะเริ่มต้นการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เพราะตระหนักดีถึงผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่จะตามมาต่อตนเอง ทฤษฎีการยับยั้งจึงทำหน้าที่เป็นเหมือน ‘ดาบสองคม’ ที่สร้างความตึงเครียดและความเสี่ยง แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายไปสู่สงครามนิวเคลียร์

 

แล้วสถานการณ์ใดที่น่าห่วงกังวลมากที่สุดในระยะสั้น คำตอบก็คือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อผลกระทบทางสังคม เพราะเมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น มาตรการที่ทั้งปากีสถานและอินเดียเริ่มต้นดำเนินการทันทีนั่นคือ การปิดพรมแดนและการยกเลิกวีซ่าของประชาชนในอีกประเทศทันที นั่นแปลว่า คนอินเดียที่อยู่ในปากีสถานต้องเดินทางกลับอินเดียในทันที และเช่นเดียวกันกับคนปากีสถานที่อยู่ในประเทศอินเดีย พร้อมกับที่การข้ามพรมแดน การค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนที่หยุดชะงัก  

 

นอกจากนั้นแล้วอีกประเด็นที่จะสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจและสังคมคือ การระงับการจ่ายน้ำในลุ่มแม่น้ำสินธุตามที่ตกลงกันไว้ใน สนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ (The Indus Water Treaty: IWT) ซึ่งอินเดียที่อยู่ทางฝั่งต้นน้ำ หากปิดกั้นการจ่ายน้ำได้ (ผ่านการปิดเขื่อน Tarbela Dam ที่กั้นแม่น้ำสินธุ และ Mangla Dam ที่กั้นแม่น้ำเฌลัม) นี่จะทำให้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของคนปากีสถานที่อยู่ปลายน้ำเดือดร้อน เศรษฐกิจที่เป็นอัมพาต พร้อมกับความเดือดร้อนของประชาชน และในขณะเดียวกันสิ่งที่เราพบเห็นก็คือการใช้วาทกรรมที่ปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech) ทั้งที่ออกมาจากรัฐบาล สื่อมวลชน และ Social media ซึ่งเกิดขึ้นในทั้ง 2 ประเทศ วาทกรรมประเภทเลือดต้องล้างด้วยเลือด วาทกรรมดูหมิ่นดูถูกประชาชนและประเทศชาติ การมองคนต่างศาสนาเป็นศัตรู ประกอบกับสิ่งแวดล้อมก่อนหน้านี้ที่ประชาชนถูกปลุกกระแสชาตินิยมหัวรุนแรงโดยมีศาสนาเป็นแกนกลางทั้งฮินดูในอินเดีย และอิสลามในปากีสถาน เหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะนำไปสู่ ความไม่สงบภายใน ที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในทั้งประเทศอินเดีย และปากีสถาน ทั้ง 2 ประเทศต่างมีประสบการณ์ที่ฝูงชนบ้าคลั่งที่จุดติดด้วยความเกลียดชังออกมาชุมนุมเผชิญหน้า และจบลงด้วยโศกนาฏกรรมประชาชนเหยียบกันตาย (Crowd Collapses / Crowd Crushes / Crowd Stampedes) 

 

นี่คือสถานการณ์ที่น่ากลัวที่สุด เพราะในชายแดนแคชเมียร์ มีทหาร มีฝ่ายความมั่นคง ควบคุมแทบจะเรียกได้ว่าทุกมุมถนนหลัก ซึ่งประจำการอยู่แล้ว แม้ในยามปกติ ประชาชนเองก็เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตึงเครียดอยู่ทุกขณะ แต่การจลาจลของประชาชนที่บ้าคลั่งเพราะกระแสเกลียดชังถูกจุดติดในพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่เคยอยู่ภายใต้การเตรียมความพร้อม และสามารถกระจายตัวเกิดขึ้นได้ทุกจุด ทุกรัฐ ทุกเมืองภายในประเทศ และนั่นคือภาวะวุ่นวายโกลาหลที่ควบคุมไม่ได้

 

What will happen in the medium term?

 

ความสุขสงบ และการเยียวยาจะเกิดขึ้น เมื่อความขัดแย้งแตกออกกลายเป็นสงครามในระยะสั้น ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียทั้งชีวิต และยุทโธปกรณ์ เช่นเดียวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และที่วิบัติที่สุดคือ ความขัดแย้งของประชาคมของประชาชนแต่ละกลุ่มภายในประเทศที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกัน (สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ วรรณะ) จะทำให้คะแนนนิยมทางการเมืองของนักการเมืองที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงแรกของความขัดแย้ง เริ่มตกต่ำลง เมื่อถึงจุดต่ำสุด ทั้ง 2 ฝ่ายก็จะแกล้งๆ ลืมๆ เรื่องความขัดแย้ง ทยอยถอนทหารและอาวุธหนักออกจากพื้นที่ 

 

เราคาดการณ์เช่นนี้ได้เพราะเราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ โดยสงครามครั้งล่าสุดระหว่างอินเดียและปากีสถานคือ สงคราม Kargil War ในปี 1999 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อกองทหารของปากีสถานเริ่มต้นกิจกรรมที่รุกล้ำเส้นเขตแดนทางพฤตินัย (Line of Control: LoC) เข้ามาในดินแดนแคชเมียร์ฝั่งที่อยู่ใต้การควบคุมของอินเดียที่เรียกว่าเนินเขา Tololing และ Tiger Hill ในเขต Kargil ซึ่งอยู่ในดินแดนสหภาพลาดัค (ในปัจจุบัน) จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 1999 ทหารอินเดีย 5 คนถูกควบคุมตัวในระหว่างลาดตระเวนและถูกสังหารโดยฝ่ายปากีสถาน ตามด้วยการยิงปืนใหญ่ของปากีสถานเข้ามาในพื้นที่ขัดแย้งในวันที่ 9 พฤษภาคม นั่นทำให้ฝ่ายอินเดียประกาศส่งยุทโธปกรณ์เข้าประจำในพื้นที่ในวันที่ 18 พฤษภาคม การสู้รบกลางเวหาระหว่างกองทัพอากาศอินเดียและปากีสถานเริ่มต้นในวันที่ 26 พฤษภาคม อินเดียยึดคืนเนินเขา Tololing ได้สำเร็จในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยการยึดคืน Tiger Hill ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมโดยกองทัพอินเดียควบคุมจุดสูงสุดบนยอด Batalik ได้ในวันที่ 11 กรกฎาคม และกองทัพปากีสถานประกาศถอนทหารกลับเข้าหลังแนว LoC ในวันรุ่งขึ้น 14 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรี Atal Bihari Vajpayee (ซึ่งมาจากพรรค BJP เช่นเดียวกับรัฐบาลในชุดปัจจุบัน) ประกาศชัยชนะของปฏิบัติการวิชัย (Operation Vijay ซึ่งแปลว่า ชัยชนะ) พร้อมยื่นข้อเสนอต่อปากีสถานเพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต 26 กรกฎาคม 1999 กองทัพอินเดียถอนทัพและยุทโธปกรณ์หนักออกจากพื้นที่อย่างสมบูรณ์ รวมระยะเวลาของสงครามนับตั้งแต่ยิงกระสุนนัดแรก 2 เดือน 3 สัปดาห์ กับอีก 2 วัน โดยกองทัพอินเดียสูญเสียนายทหาร 527 นาย และปากีสถานสูญเสียนายทหาร 700 นาย (ตัวเลขประมาณการโดยสหรัฐอเมริกา ปากีสถานไม่เคยรายงานความเสียหาย และอินเดียแจ้งว่าปากีสถานสูญเสียมากกว่านี้)

 

จะเห็นได้ว่าความรุนแรงระดับสงครามที่เกิดขึ้นในระยะเวลาร่วมสมัย (ไม่นับสงครามครั้งแรกในปี 1947-1948 และสงครามครั้งที่ 2 ในปี 1965 และสงครามครั้งที่ 3 ในปี 1971 ซึ่งมาเกิดขึ้นที่ดินแดนปากีสถานตะวันออก หรือประเทศบังกลาเทศในปัจจุบัน) เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว จำกัดขอบเขตในพื้นที่ ไม่ลุกลาม 

 

แต่นั่นไม่ใช่สงครามเพียงแค่ 4 ครั้ง เพราะตลอดประวัติศาสตร์ อินเดียและปากีสถานมีความขัดแย้ง และมีการปะทะกัน ยิงกัน ตลอดแนวเส้นเขตแดนทางพฤตินัย (Line of Control: LoC) ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในปี 1986-1987, ความขัดแย้งทางทะเลในปี 1999 ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 1 เดือนเศษหลังสงคราม Kargil, ความขัดแย้งในปี 2001-2002 เพื่อไล่ล่ากลุ่มก่อการร้ายเจ้าเก่า Lashkar-e-Taiba จากเหตุการณ์กราดยิงในรัฐสภาอินเดีย เดือนธันวาคม 2001, ความตึงเครียดปี 2008 หลังเหตุการณ์มุมไบ, การปะทะกันของหน่วยลาดตระเวนชายแดนในปี 2011 ที่ Kupwara, การปะทะกันในปี 2013 เมื่อทหารอินเดียถูกฆ่าตัดคอ โดยฝั่งอินเดียเชื่อว่าฝ่ายปากีสถานเป็นผู้ลงมือ ทำให้เกิดการปะทะกันจนนายทหารอินเดียเสียชีวิต 22 นาย และนายทหารปากีสถานเสียชีวิต 10 นาย, นอกจากนั้นยังมีการยิงกันในปี 2014-2015, 2016-2018, 2019 และ 2020-2021 

 

จะเห็นได้ว่าตลอดเส้นเขตแดนทางพฤตินัย (Line of Control: LoC) ที่ยาวเหยียดทอดข้ามพื้นที่ที่เป็นหุบเขาสลับซับซ้อน สูงชัน และเบาบางปราศจากผู้คน การปะทะและความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศเกิดขึ้นจนเกือบจะเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเราจึงพอจะคาดการณ์ได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง และเมื่อความสูญเสียเกิดขึ้นในระดับที่ทั้ง 2 ฝ่ายรับไม่ได้แล้ว การยุติความขัดแย้ง ความสุขสงบก็จะเกิดขึ้นแบบชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อรอการบ่มเพาะ และพร้อมที่จะลุกฮือขึ้นมาปะทะกันได้อีกในอนาคต ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการแบ่งแยกเขตแดน Partition of India ที่เกิดขึ้นอย่างรีบร้อน เร่งด่วน ไร้ความรับผิดชอบ รวมทั้งอาจจะต้องการฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งทิ้งเอาไว้โดยอดีตเจ้าอาณานิคมอังกฤษในปี 1947 คุณผู้อ่านคงอาจจะไม่เชื่อในความจริงที่ว่า Sir Cyril Radcliffe  บุรุษผู้ได้รับเลือกให้เป็นคนลากเส้นเขตแดนระหว่างอินเดียและปากีสถาน ลากเส้นเขตแดนเหล่านั้นลงไปโดยที่เขาไม่เคยได้เดินทางไปเยือนดินแดนอนุทวีปอินเดียเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

What will happen in the long term?

 

ดินแดนแคชเมียร์คงจะเป็นดินแดนที่สงบสุขได้เพียงระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวแล้ว ความขัดแย้ง การปะทะ หรือ แม้แต่สงครามคงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก ทั้งนี้เนื่องจากตะกอนตกค้างจากการแบ่งแยกเขตแดน Partition of India ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกของการสถาปนาสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ในวันที่ 14 สิงหาคม 1947 และการสถาปนาสาธารณรัฐอินเดียในอีก 1 วันถัดมาในวันที่ 15 สิงหาคม 1947 

 

ปัจจุบันดินแดนแคชเมียร์ มีเส้นเขตแดนทางพฤตินัย หรือเส้นควบคุม (Line of Control: LoC) ที่แบ่งดินแดนแคชเมียร์ออกเป็นฝั่งปากีสถานและอินเดีย โดยเส้นนี้เกิดขึ้นจาก Simla Agreement ในปี 1972 ภายหลังจากสงครามอินเดีย-ปากีสถานครั้งที่ 3 ในคราวประกาศเอกราชบังกลาเทศในปี 1971 เส้น LoC มีระยะทางยาว 740 กิโลเมตร (ตามคำอธิบายของฝ่ายอินเดีย) และ/หรือ ระยะทางยาว 776 กิโลเมตร (ตามคำอธิบายของฝ่ายปากีสถาน) ซึ่งแน่นอนว่า เส้นเขตแดนเดียวกัน แต่ระยะทางยาวไม่เท่ากันของทั้ง 2 ฝั่งนี้ ย่อมก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งไม่รู้จบตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน

 

นอกจากเส้นเขตแดนทางพฤตินัย หรือเส้นควบคุม (Line of Control: LoC) ระหว่างปากีสถานแล้ว ในดินแดนแคชเมียร์ยังมีเส้นควบคุมแท้จริง (Line of Actual Control) ซึ่งเป็นเส้นที่ลากในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างอินเดีย และจีนอีกด้วย โดยเส้นควบคุมแท้จริง (LoAC) มีความยาวถึง 4,057 กิโลเมตร และแบ่งออกเป็น 3 ช่วงตัดผ่านแคว้น 3 แคว้นในรัฐทางตอนเหนือของอินเดีย โดยช่วงที่ 1 ทางตะวันตก ระหว่างดินแดนสหภาพลาดัค (Ladakh) ในพื้นที่แคชเมียร์ของอินเดียกับเขตปกครองตนเองซินเจียงและเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน ช่วงที่ 2 ตอนกลาง ระหว่างรัฐอุตตราขัณฑ์ (Uttarakhand) รัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) ของอินเดีย และช่วงที่ 3 ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างรัฐอรุณาจัลประเทศ (Arunachal Pradesh) และพื้นที่ที่จีนเรียกว่า Zangnan ซึ่งช่วงที่ 2 และ 3 นี้จะอยู่ในเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน ดังนั้นในระยะยาว นอกจากความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-ปากีสถานแล้ว เรายังคาดการณ์ที่จะได้เห็นความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-จีนที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้เสมอๆ

 

ในระยะยาว นอกจากดินแดนแคชเมียร์ที่จะเป็นชนวนของความขัดแย้งตลอดไปแล้ว อีกหนึ่งพื้นที่ที่เราต้องเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยคือ ‘ปัญจาบ’ และความเคลื่อนไหวในการตั้งรัฐเอกราชในนาม ‘ขาลิสถาน’ (Khalistan)

 

ปัญจาบเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และมีประชาชนตั้งหลักแหล่งมาอย่างยาวนานจนเกิดอารยธรรมสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั่นคือ โมเฮนโจดาโร (Mohenjo-Daro) และ ฮารัปปา (Harrappa) ซึ่งก่อตัวขึ้นเมื่อกว่า 5,000 ปีที่แล้วในลุ่มแม่น้ำสินธุ ปัญจาบ เป็นชื่อภาษาเปอร์เซียมาจากคำว่า ‘ปัญจ-’ ที่แปลว่า ห้า และ ‘-าบ’ ที่แปลว่า สายน้ำ ปัญจาบจึงรวมแล้วแปลว่า ‘แม่น้ำห้าสาย’ แม่น้ำห้าสายนั้นประกอบด้วย แม่น้ำสตลุช (Sutlej), แม่น้ำบีอาส (Beas), แม่น้ำราวี (Ravi), แม่น้ำจนาพ (Chenab) และ แม่น้ำเฌลัม (Jhelum) และด้วยความเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งนี้เองที่ทำให้ตลอดประวัติศาสตร์ ปัญจาบเป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่ง

 

เช่นเดียวกับที่เกิดปัญหาขึ้นในแคชเมียร์นั่นคือ เมื่อมีการแบ่งแยกดินแดน Partition of India ในปี 1947 ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์นี้ก็ถูกเฉือนออกเป็นปัญจาบทางฝั่งตะวันตกของปากีสถาน และปัญจาบทางตะวันออกของอินเดีย และนี้คือ ประเด็นความขัดแย้งที่ฝังราก และนำมาสู่การเกิดขึ้นของขบวนการ Khalistan Movement ที่ต้องการสถาปนารัฐอธิปไตยขึ้นมาใหม่ในนาม ‘ขาลิสถาน’ (Khalistan) โดยยึดโยงอยู่กับแนวคิดแบบศาสนาซิกข์หัวรุนแรง ขบวนการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1940 และเคยเสนอเรื่องต่อรัฐสภาอินเดียในการขอให้มีการออกกฎหมายพิเศษเพื่อจัดการปกครองรัฐปัญจาบฝั่งอินเดียในรูปแบบเขตปกครองพิเศษภายใต้ชื่อ Anandpur Sahib Resolution ในปี 1973 ซึ่งได้ถูกตีตกโดยรัฐสภาในปี 1982 และนั่นก็ก่อให้ความไม่พอใจต่อประชาคมชาวซิกข์ โดยความไม่พอใจนี้ก่อให้เกิดความรุนแรงระดับสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อ หรจันท์ สิงห์ โลงโควาล (Harchand Singh Longowal) ประธานพรรค Shiromani Akali Dal (SAD) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีแกนกลางเป็นกลุ่มซิกข์หัวรุนแรงเชิญชวนให้ ภิณฑราณวาเล (Jarnail Singh Bhindranwale) มาอาศัยในหมู่อาคารที่พักอาศัยของมหาวิหาร ‘ฮัรมัรดิร ซาฮิบ’ (Harmandir Sahib) หรือ วิหารทองคำ (Golden Temple) ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดศูนย์รวมความศรัทธาของผู้นับถือศาสนาซิกข์ ตั้งอยู่ในเมืองอมฤตสาร์ รัฐปัญจาบฝั่งอินเดีย เพื่อหลบหลีกการจับกุมจากคดีการก่อการร้ายต่างๆ ที่ผ่านมา โดยต่อมาภิณฑราณวาเลได้ทำให้เปลี่ยนวิหารทองคำแห่งนี้ให้กลายเป็นคลังแสง สำนักงานใหญ่ และแหล่งซ่องสุมชุมนุมของผู้ก่อการร้ายเพื่อสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อสร้างประเทศขาลิสถาน

 

รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อินทิรา คานธี สั่งกองทัพให้ดำเนินปฏิบัติการ ‘ดาวสีน้ำเงิน’ (Operation Blue Star) เพื่อยึดคืนพื้นที่วิหารศักดิ์สิทธิ์และจับกุมกลุ่มผู้ก่อการร้าย ปฏิบัติการดาวสีน้ำเงินเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-10 มิถุนายน 1982 และจบลงด้วยการใช้อาวุธถล่มเข้าไปที่วิหารทองคำอันศักดิ์สิทธิ์ แม้ผู้นำผู้ก่อการร้ายอย่างภิณฑราณวาเลจะถูกสังหาร แต่เรื่องราวยังไม่สิ้นสุด เพราะการถล่มอาวุธหนักเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนาซิกข์ ทำให้ศาสนิกชนจำนวนมากไม่พอใจ และเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้คนต่างศาสนา การทำร้ายร่างกาย จนถึงขึ้นเสียชีวิต การเผาเมือง เผาหมู่บ้านเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศอินเดีย และความขัดแย้งนี้เองก็นำมาซึ่งการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี อินทิรา คานธี โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่วนตัวของเธอ นั่นคือ สัตวันต์ ซิงห์ และ บีนท์ ซิงห์ ซึ่งเป็นชาวซิกข์ทั้งคู่ ในวันที่ 31 ตุลาคม 1984 (อ่านเพิ่มเติมสถานการณ์ความโหดร้ายของเหตุการณ์นี้ได้จากบทความ เพื่อถิ่นอินเดีย : 100 ปีชาตกาล อินทิรา คานธี โดย รศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล http://www.ias.chula.ac.th/article/เพื่อถิ่นอินเดีย-100-ปีชาต

 

และแน่นอนว่านี่จะไม่ใช่ความรุนแรงครั้งสุดท้าย พื้นที่แคชเมียร์ ปัญจาบ ด้วยรากลึกของปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1947 วันที่ได้รับเอกราช พร้อมกับมรดกเลือดจากเจ้าอาณานิคมที่เฉือนแบ่งอนุทวีปออกเป็น 2 รัฐ อินเดียและปากีสถาน (และกลายเป็น 3 รัฐในปี 1971 เมื่อปากีสถานแยกตัวเป็นบังกลาเทศ) ยังมีอีกหลายจุดเปราะบางที่พร้อมที่จะยกระดับขึ้นเป็นสงครามได้ในอนาคต

 

แฟ้มภาพ: UmairAnwar / Shutterstock

The post ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน ปี 2025 ตอนที่ 3: What’s Next? appeared first on THE STANDARD.

]]>
พันศักดิ์เผยท่าทีไทย เจรจาสหรัฐฯ ไม่เพียงลดกำแพงภาษี แต่สร้างอนาคตเศรษฐกิจใหม่จากความร่วมมือระหว่างกัน https://thestandard.co/thailand-us-trade-talks-2025/ Sun, 11 May 2025 11:39:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1073295 thailand-us-trade-talks-2025

วันนี้ (11 พฤษภาคม) พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึ […]

The post พันศักดิ์เผยท่าทีไทย เจรจาสหรัฐฯ ไม่เพียงลดกำแพงภาษี แต่สร้างอนาคตเศรษฐกิจใหม่จากความร่วมมือระหว่างกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-us-trade-talks-2025

วันนี้ (11 พฤษภาคม) พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นกรณีการเจรจาในฐานะคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา

 

เจรจาด้วยพื้นฐานความเข้าใจปัญหาสหรัฐฯ

 

พันศักดิ์เปิดเผยถึงความพร้อมของทางการไทย สำหรับการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเรื่องกำแพงภาษี ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเก็บจากหลายประเทศทั่วโลก โดยยืนยันว่า เรามีความพร้อมกับเรื่องนี้มานานแล้ว เรายืนยันว่าเราพร้อมเจรจา บนพื้นฐานที่เรา “เข้าใจปัญหา” ของสหรัฐอเมริกา เราเป็นคู่ค้ากันมานาน เราต้องคุยกันเพื่อแก้ปัญหานี้

 

“ท่านทรัมป์ประกาศขึ้นกำแพงภาษีพร้อมกันทั้งโลก เราอยู่อันดับที่ 14 หรือ 12 ซึ่งถามผม ตอนนี้ผมก็เห็นใจประธานาธิบดีทรัมป์ ผมรู้ว่าแต่ละวันท่านทรัมป์ออกกฎหมายใหม่ๆ ออกมา รัฐมนตรีแต่ละคนพูดไม่เหมือนกัน ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติ เพราะประเทศไทยก็เป็นเหมือนกัน และถ้าเราต่อรองกับรัฐบาลใหม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเห็นใจเขา ว่าเขากำลังจัดการตัวเองอยู่ และเราได้ยื่นหนังสือให้เขาไปแล้วว่าเราพร้อมคุยด้วย และต้องอย่างมิตรที่ไม่มีการกล่าวหา และเขาส่งสัญญาณกลับมาว่า เขารู้สึกดี ที่จดหมายของนายกรัฐมนตรีไทยถึงเขา ไม่มีการกล่าวหาซึ่งกันและกัน”

 

พันศักดิ์ยืนยันว่า รัฐบาลนี้พร้อมเผชิญปัญหาเหล่านี้ ทั้งนโยบายรายวันที่มีการเตรียมตัวมาแล้ว โดยเฉพาะตนเองที่ได้เตรียมตัวมานานแล้วตั้งแต่ได้อ่านหนังสือของ เจ. ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ เรื่อง “Hillbilly Elegy” หรือ “บันทึกหลังเขา” รวมถึงช่วงก่อนการเลือกตั้ง ที่เราคาดคะเนไว้แล้วว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเราจะเผชิญ 2 อย่าง นั่นคือเรื่องภาษี และปัญหาความสัมพันธ์ทางการค้าภาพใหญ่ ที่เราต้องตอบสนองและนำเสนอ

 

จุดแข็งของไทย อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป

 

พันศักดิ์เล่าต่อว่า ทุกปีอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของประเทศไทย โดยทั่วไปจะค่อยๆ ขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นที่วิ่งขึ้นวิ่งลง เพราะเรามีความสามารถในการผลิตอาหารเพื่อส่งออก ซึ่งไม่ใช่แค่ปริมาณที่มากกว่าการขายผลผลิตทางการเกษตรเพียงอย่างเดียวด้วยซ้ำไป ที่สำคัญ อาหารไทยที่เรากินกันอยู่ทุกวันนั้น องค์ประกอบอย่างน้อย 30% มาจากสินค้านำเข้า ทั้งจากอินเดีย เมียนมา กัมพูชา จีน เป็นต้น ซึ่งถ้าประเทศไทยจะทำ “อาหารแปรรูป” เพื่อขาย อย่างไรก็ต้องนำเข้า และนี่คืออนาคตที่เป็นจริง

 

“ที่สำคัญ อาหารสัตว์เลี้ยงของชาวอเมริกัน ไทยขายเป็นที่ 2 ของโลกในสหรัฐฯ ซึ่งเราต้องใช้ของนำเข้า เพราะวัตถุดิบเราไม่เพียงพอ นี่เป็นตัวอย่างที่เราจะบอกว่า ประเทศไทยยินดีที่จะคิดนโยบายร่วมกันกับสหรัฐอเมริกา พร้อมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ หากสหรัฐฯ ผลิตอาหารคุณภาพส่งมายังประเทศไทย เราพร้อมแปรรูปอาหารนั้นเพื่อส่งออกไปทั่วโลก เราไม่ต้องส่งกลับไปอเมริกาก็ได้ แค่ส่งออกไปทั่วโลก และที่สำคัญ ประเทศไทยมีความสามารถในการแปรรูปอาหารระดับสูง เช่น อาหารแปรรูปแบบออร์แกนิก ซึ่งเราอยากได้วัตถุดิบจากสหรัฐฯ ด้วย และทางรัฐบาลใหม่ของสหรัฐก็กำลังสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราต้องคุยกันอย่างสร้างสรรค์ทั้งสองฝ่าย” พันศักดิ์กล่าว

 

เสนอสร้างกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของฝากและอาหารพรีเมียม

 

พันศักดิ์เล่าต่อไปอีกว่า ในกระบวนการการผลิตสินค้าสำหรับทุกอุตสาหกรรมทั้งหมดในโลก สิ่งที่ก๊อปปี้ยากที่สุดนั่นคือ “อาหาร” โดยเฉพาะรสชาติและเนื้อสัมผัส คือสิ่งที่ก๊อปปี้ยากที่สุด ถ้าเราทำเก่งในเรื่องการทำอาหารแปรรูป นี่คือพื้นที่ของเราที่เราจะอยู่ ในขณะที่ประเทศอื่นก็สู้กันไปในเรื่องของการผลิตสิ่งเดียวกันออกมาขาย เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ประเทศไทยต้องหาข้อมูลให้ได้ว่า แหล่งวัตถุดิบพรีเมียมในเอเชีย และในสหรัฐอเมริกา ที่เราจะเอามาใช้ได้ มันอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วเราก็เอามาใช้ได้เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก และบริโภคเองในประเทศได้อีกด้วย

 

“เวลาคิดถึงเรื่องไทย-สหรัฐ อย่าคิดแค่ในมิติของการยื่นหมูยื่นแมว เรามันแค่จิ้งหรีดตัวเล็ก ไปยื่นหมูยื่นแมวยังไงก็ไม่เท่าเขา เราต้องคิดว่าเรามีอะไรที่เขาอยากเห็นใจประชาชนเขา แต่เขาก็ไม่สามารถทำนโยบายที่ทำให้ประชาชนที่เขาเห็นใจรู้สึกดีได้ เช่น เรามีนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาไทยปีละ 39 ล้านคน เท่ากับมีลูกค้าที่เราเตรียมของฝากไว้ให้ ซึ่งเป็นของฝากหรือสินค้าจากสหรัฐ 39 ล้านคน หลายคนไม่อยากเดินทางไกลไปถึงนิวยอร์กหรือ L.A. แต่ก็สามารถซื้อของมือสอง หรือมือหนึ่งคุณภาพสูงได้จากประเทศไทย และที่สำคัญ ตลาด OTOP ของสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงมาก มากกว่าสิบล้านล้านดอลลาร์ เขาไม่ได้ผลิตแค่หนังจากฮอลลีวูดและรถยนต์ฟอร์ด เราเอาแค่ 20 ล้านคนก็ได้ ที่จะซื้อสินค้าจากสหรัฐในเมืองไทยไปเป็นของฝาก”

 

“ยกตัวอย่าง กล้องของ Leica ซึ่งเป็นกล้องคุณภาพสูงมาก เราเคยคิดว่าถ้าจะซื้อมือสองคุณภาพดี ต้องซื้อที่นิวยอร์ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าอยากได้มือสองคุณภาพสูง คุณต้องซื้อที่โตเกียว เพราะคนญี่ปุ่นเขาเลือกมาให้คุณแล้ว คุณภาพและราคาไม่โกหก ดังนั้น หากสรุปว่ากรุงเทพฯ คืออะไร คุณยอมไหมที่กรุงเทพฯ จะเป็นพื้นที่ของการขายของดีมีคุณภาพและราคาไม่โกหก แม้เป็นของมือสอง เราสามารถทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางของฝากของโลกได้หรือไม่”

 

พันศักดิ์เล่าอีกว่า แม้กระทั่งการให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางอีกแห่งของการกินอาหารชั้นดีแบบพิเศษของโลกได้หรือไม่ ทำไมโตเกียวเขาทำได้ แล้วกรุงเทพฯ เป็นไม่ได้เหรอ ถามว่าถ้าเรานำเข้าเนื้อคุณภาพจากสหรัฐฯ มา คนไทยจะกินกันซักกี่คน น้อยมาก แต่เรานำมาทำให้นักท่องเที่ยวรับประทานในรูปแบบของเรา ดังนั้น เวลาคิดเรื่องพวกนี้ ต้องคิดให้ไกลกว่าปลายจมูกของเรา

 

ไม่เลือกข้างปมสวมสิทธิ์การค้า

 

ส่วนเรื่องการสวมสิทธิทางการค้านั้น พันศักดิ์เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนมีความอึดอัดที่มีการทำเรื่องในลักษณะนี้เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งรัฐบาลจีนเคยขอร้องรัฐบาลไทยให้ใช้กฎหมายเต็มที่สำหรับการสวมสิทธิทางการค้า และการสวมสิทธิไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสวมสิทธิโดยสหรัฐในไทยเพื่อไปขายของในจีน หรือไม่ว่าการสวมสิทธิโดยจีนในไทยและไปขายของในสหรัฐ หรือฝรั่งเศสสวมสิทธิในไทยและไปขายของในศรีลังกา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เราไม่เลือกข้างในเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครสมควรสวมสิทธิของใคร แต่ถ้าไม่ว่าบริษัทจากประเทศใด มาทำธุรกิจหรือผลิตสินค้าในไทย โดยผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายไทยทุกประการ ซึ่งถ้าต่อมา คุณถูกกล่าวหาโดยใครก็แล้วแต่ว่าท่านมาสวมสิทธิ ประเทศไทยจะต่อสู้ให้คุณด้วย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใด และจากประเทศใดก็ตาม ย้ำว่าเรื่องการสวมสิทธิ เราไม่เลือกข้าง เลือกไปแล้วได้อะไร ย้ำว่าทุกบริษัทที่เข้ามาผลิตในประเทศไทย ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย

 

พันศักดิ์ยังเล่าถึงนโยบายการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ไม่จำเป็นอีกว่า การเก็บภาษีนำเข้าแอปเปิลจากสหรัฐถึง 50% แต่ในขณะเดียวกันสินค้าบางตัวเขาเก็บเราแค่ 1-2% ตรงนี้ เวอร์เกินไป เราก็ต้องลดลงมา ไม่กระทบใครทั้งสิ้น หรือแม้กระทั่งสินค้าอื่นๆ ก็ตามที่เห็นว่าการเก็บภาษีนำเข้าที่ไม่จำเป็น

 

“ผมกล้าพูดว่า เราเห็นใจคนอเมริกันมาก ที่ชีวิตตกระกำลำบาก เพราะปรัชญาเศรษฐกิจของอเมริกันแข็งตัวเกินไป ที่จะตอบสนองความเป็นจริงของชีวิตของชาวอเมริกันเอง และน่าตกใจที่สุดว่าคนผิวขาวตกงานมาถึงขนาดนี้ มีชีวิตทุรนทุราย ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยโดยเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่มหาอำนาจในโลกมีปัญหาภายใน จนกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นั่นเป็นอันตรายมากกับโลก เพราะฉะนั้น ผมจะคิดอะไรก็ตามที่ทำให้คนอเมริกันเหล่านี้ได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของเราและสหรัฐมากที่สุด เพราะเราต้องการเห็นสหรัฐเป็นมหาอำนาจที่มีสติ และมีอนาคต เพราะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เพราะประเทศไทยสามารถมีลูกค้าให้สหรัฐ ซึ่งเป็นคนที่มาเที่ยวเมืองไทยปีหนึ่งกว่า 30 ล้านคน และนี่คือ potential customer (ลูกค้าที่มีศักยภาพ) ของผลิตภัณฑ์จากสหรัฐในเมืองไทย” พันศักดิ์กล่าว

 

เมื่อถามว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับไทย จะลดลงหรือไม่ พันศักดิ์ระบุว่า ลดอยู่แล้ว เพราะเขาขายของให้เราได้มากขึ้น ซึ่งเราหาทุกวิถีทางที่ทำให้เขาขายของให้เราได้มากขึ้น โดยของที่เราได้มานั้น เป็นของที่ราคาดี มีประสิทธิภาพต่อการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของคนไทย

 

ไทยส่งเสริมสันติภาพผ่านการค้า

 

ส่วนที่หลายคนมองว่า รัฐบาลนี้ทำงานไม่เป็น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตภาษีทรัมป์ พันศักดิ์มองต่าง โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยมีนโยบายว่า เราจะเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพในโลกนี้ ด้วยการแข่งขัน และความมั่งมีร่วมกัน เราจะไม่เข้าข้างใคร แม้เราเข้าข้างจีน จีนก็ยังตรวจทุเรียนเราเหมือนเดิม งั้นเรามาลองหันมาดูประเทศอินเดีย น่าขายของให้หรือไม่ และรู้หรือไม่ว่า SMEs ที่เราส่งเสริมตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ขายเครื่องหอม และเครื่องทำความหอมในห้องน้ำให้กับอินเดียเป็นรายได้มหาศาลอย่างน่าตกใจ เรายืนว่า รัฐบาลนี้จะสนทนาทั้งสหรัฐและจีน ยกตัวอย่างที่เราเคยทำสำเร็จในการเป็นพื้นที่หลักในการเจรจาเพื่อสันติภาพในหลายครั้งของภูมิภาคนี้ เพื่อยุติความขัดแย้ง จนกระทั่ง “เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า” ได้สำเร็จมาแล้ว

 

“การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โครงสร้างที่ว่าไม่ใช่อิฐ หิน ปูน ทราย ต้นไม้ หรือถนน แต่โครงสร้างที่ว่า คือ สิ่งที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อสินทรัพย์ที่มีอยู่” พันศักดิ์กล่าวปิดท้าย

The post พันศักดิ์เผยท่าทีไทย เจรจาสหรัฐฯ ไม่เพียงลดกำแพงภาษี แต่สร้างอนาคตเศรษฐกิจใหม่จากความร่วมมือระหว่างกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
กทม. ลุยต่อ ทำงาน 24 ชม. รับมือฝน 80% เร่งพร่องน้ำ-เก็บขยะ เฝ้าระวังจุดเสี่ยง ป้องกันน้ำท่วมซ้ำ https://thestandard.co/bangkok-rainfall-alert-2025/ Sun, 11 May 2025 11:33:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1073292 bangkok-rainfall-alert-2025

วันนี้ (11 พฤษภาคม) เอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมห […]

The post กทม. ลุยต่อ ทำงาน 24 ชม. รับมือฝน 80% เร่งพร่องน้ำ-เก็บขยะ เฝ้าระวังจุดเสี่ยง ป้องกันน้ำท่วมซ้ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
bangkok-rainfall-alert-2025

วันนี้ (11 พฤษภาคม) เอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วย อาสา สุขขัง ผู้อำนวยการกองสารสนเทศระบายน้ำ สำนักการระบายน้ำ อัปเดตสถานการณ์ฝนประจำวัน พร้อมแผนการรับมือฝนหลังกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนในพื้นที่กรุงเทพมหานครถึง 80% ณ ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม กรุงเทพมหานคร สำนักการระบายน้ำ เขตดินแดง

 

โฆษก กทม. กล่าวว่า หลังจากวานนี้ (10 พฤษภาคม) เกิดฝนตกหนักในกรุงเทพมหานคร หลายพื้นที่น้ำลดไว แต่บางพื้นที่มีน้ำท่วมขังนาน วันนี้จึงพามาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ป้องกันน้ำท่วมฯ เพื่อติดตามสถานการณ์ฝนวันนี้ที่คาดการณ์ว่าจะมีฝนในพื้นที่กรุงเทพมหานครถึง 80%

 

ด้านอาสากล่าวว่า วันนี้กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในกรุงเทพมหานครจะมีฝน 80% ของพื้นที่ โดย 1 ชั่วโมงที่ผ่านมาฝนเริ่มก่อตัวด้านจังหวัดปทุมธานีและพัดลงมา ซึ่งวันนี้ลมพัดจากเหนือลงใต้ ทำให้มีกลุ่มฝนอยู่กลางกรุงเทพมหานครทั้งฝั่งธนและฝั่งพระนคร ด้านทางเขตประเวศ เขตบางนา ก็เริ่มมีฝนกลุ่มใหญ่ ทั้งนี้ ใน 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกเล็กน้อยสะสมที่เขตพญาไทเพียง 8.5 มิลลิเมตร ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเมื่อวาน

 

อาสากล่าวต่อไปว่า จากวานนี้ ฝนกระหน่ำทั้งกรุงเทพมหานครยาวนานถึง 6 ชั่วโมง ทำให้ปริมาณฝนสะสมรวมกว่า 130 มิลลิเมตร โดยส่วนใหญ่จะตกในโซนกลางพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น เขตลาดพร้าว เขตวังทองหลาง เขตบางเขน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังหลายแห่ง และจากเมื่อวานที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครจะมีฝนตก 60% ของพื้นที่ ประกอบกับอากาศร้อนมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก 

 

ในส่วนของพรุ่งนี้ (12 พฤษภาคม) คาดการณ์ว่าฝนจะลดลง สำหรับอุปสรรควานนี้ คือ 1. ฝนตกหนัก 2. สถานีสูบน้ำบางจุดไฟฟ้าดับ โดยทางศูนย์ป้องกันน้ำท่วมฯ มีการประสานงานโดยตรงกับการไฟฟ้าในการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นไปด้วยความรวดเร็ว 3. มีต้นไม้ล้มขวางเต็มคลองบางซื่อ ซึ่งคลองมีความกว้างประมาณ 10-15 เมตร ทำให้น้ำที่จะระบายไปทางอุโมงค์คลองบางซื่อค่อนข้างยาก เป็นอุปสรรคในการลดระดับน้ำในเขตพื้นที่ลาดพร้าว 

 

ทั้งนี้ วันนี้ทางสำนักการระบายน้ำจะเข้าไปตัดและเคลียร์ต้นไม้ที่ล้มดังกล่าวทั้งหมด

สำหรับเมื่อวานนี้ ฝนที่ตกบริเวณด้านบนในพื้นที่กรุงเทพฯ คลองสายหลักในการระบายน้ำ คือ คลองลาดพร้าวลงมา ซึ่งในเขตลาดพร้าวเองปริมาณน้ำก็ยังเยอะอยู่ ดังนั้นทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขัง ฝนตกช่วง 15 นาทีแรก พื้นที่ด้านบนของกรุงเทพฯ ตกเกือบ 40 มิลลิเมตร ซึ่งระบบท่อระบายน้ำช่วง 15 นาทีแรก เรารับได้ประมาณ 15-20 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งเขตลาดพร้าว โชคชัย 4 เกิดปัญหาอย่างมาก น้ำแห้งช้าที่สุด เนื่องจากต้องรอน้ำท่วมขังบนถนนลาดพร้าวแห้งก่อน น้ำในซอยต่าง ๆ ถึงจะสามารถไหลออกมาถนนใหญ่ได้ 

 

ส่วนจุดอื่น ๆ เช่น บางนา สุขุมวิท ดอนเมือง น้ำสามารถลดลงได้เร็ว ในส่วนคลองลาดพร้าว ช่วงก่อนเกิดฝนน้ำในคลองค่อนข้างต่ำมาก แต่เมื่อฝนตกไป 3 ชั่วโมงแรก ปริมาณน้ำในคลองก็เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ปัจจุบันเราเร่งดำเนินการลดระดับน้ำให้ได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนฝนตก เพื่อรอรับฝนที่จะตกลงมาใหม่ ส่วนคลองแสนแสบ คลองประเวศบุรีรมย์ ก็ลดระดับน้ำให้อยู่ระดับที่ควบคุมไว้เช่นกัน ข้อมูลเหล่านี้ประชาชนสามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์ของกรุงเทพมหานครได้

 

อาสากล่าวอีกว่า เมื่อวานนี้ฝนตกหนัก แต่ไม่ได้ถือว่าตกหนักที่สุดในรอบ 10 ปี เมื่อปี 2565 ตกหนักกว่า คือ ในเดือนกันยายน ประมาณ 170 มิลลิเมตร แต่ตกเพียงไม่กี่จุด ไม่ได้ตกเต็มพื้นที่เหมือนกับวานนี้ และน้ำท่วมขังน้อยกว่านี้

 

สำหรับสถานการณ์ต่อจากนี้ จากการคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 3 ชั่วโมงข้างหน้า แสดงให้เห็นว่าฝนจากด้านจังหวัดปทุมธานีซึ่งเป็นด้านบนของ กทม. ยังไม่มีกลุ่มฝน ยังวางใจได้ในช่วงบ่ายนี้ ซึ่งข้อมูลการแสดงเรดาร์ฝนนี้ ประชาชนสามารถเข้าดูได้ในเว็บไซต์ของสำนักการระบายน้ำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ บริษัท weathernews จากประเทศญี่ปุ่นร่วมกันจัดทำขึ้น

 

“วันนี้เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวข้องทั้งหมดลุยต่อ เจ้าหน้าที่ดำเนินการเก็บขยะหน้าตะแกรง อาคารรับน้ำพระราม 9 เร่งระบายน้ำลงอุโมงค์พระราม 9 ออกแม่น้ำเจ้าพระยา ดำเนินการเก็บขยะหน้าตะแกรงและเร่งสูบน้ำที่บ่อสูบน้ำสุขุมวิท 42 เป็นต้น และทางศูนย์ป้องกันน้ำท่วมฯ จะทำงาน 24 ชั่วโมง และเฝ้าระวังในจุดที่เกิดปัญหาเมื่อวานเป็นหลัก เพราะมีโอกาสเกิดปัญหาอีกได้ ยืนยันว่า กทม. ทำงานเต็มที่ ช่วงที่มีน้ำท่วมขังจะมีเจ้าหน้าที่ของสำนักการระบายน้ำและสำนักงานเขตออกไปเก็บขยะที่ไปอุดตันท่อระบายน้ำ หากประชาชนพบปัญหาน้ำท่วมสามารถแจ้งเข้ามาที่ Traffy Fondue หรือ โทร. 0 2248 5115” อาสากล่าว

The post กทม. ลุยต่อ ทำงาน 24 ชม. รับมือฝน 80% เร่งพร่องน้ำ-เก็บขยะ เฝ้าระวังจุดเสี่ยง ป้องกันน้ำท่วมซ้ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 THINGS WE LOVE ABOUT CHROME HEARTS แบรนด์เครื่องประดับสุดฮอตที่ไม่เคยตามเทรนด์ https://thestandard.co/chrome-hearts-jewelry-unique-style/ Sun, 11 May 2025 11:00:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1073240 chrome-hearts-jewelry-unique-style

หลังจากงาน Met Gala เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หนึ่งในลุคท […]

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT CHROME HEARTS แบรนด์เครื่องประดับสุดฮอตที่ไม่เคยตามเทรนด์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
chrome-hearts-jewelry-unique-style

หลังจากงาน Met Gala เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หนึ่งในลุคที่หลายคนพูดถึงมาจากเดรสหนังจระเข้ที่สวมใส่โดย Kim Kardashian จนเกิดการคาดเดามากมายว่าชุดที่เธอสวมใส่มาจากแบรนด์หรือดีไซเนอร์คนใดเป็นผู้ออกแบบ แต่แล้วชื่อที่ปรากฏกลับกลายเป็นแบรนด์เครื่องประดับอย่าง Chrome Hearts ผู้อยู่เบื้องหลังชุดนี้ 

 

ไม่แปลกหากจะเกิดข้อสงสัย เราเชื่อว่าหลายคนรู้จัก Chrome Hearts ในฐานะแบรนด์เครื่องประดับแนวโกธิก และคงไม่ได้จินตนาการว่าแบรนด์เครื่องประดับจะสามารถออกแบบเสื้อผ้าได้ นั่นเองคือเหตุผลที่เราอยากพูดถึงแบรนด์เครื่องประดับจากเมืองลอสแอนเจลิส กรอบของการเป็นแบรนด์ ‘เครื่องประดับ’ ไม่สามารถตีความตัวตนของ Chrome Hearts ได้หมด 

 

วันนี้ THE STANDARD POP จะพาทุกคนไปทำความรู้จักแบรนด์ที่สามารถครองใจคนดังทั่วโลก เช่น Rihanna, Kanye West, Travis Scott และอีกมากมาย ว่ามีความเป็นมาอย่างไร 

 


 

HOW THE BRAND STARTED

 

HOW THE BRAND STARTED

 

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Chrome Hearts มาจากชายที่มีชื่อว่า Richard Stark เดิมทีเขาไม่ใช่นักออกแบบโดยตรง เขาทำงานในธุรกิจค้าไม้มาก่อน แต่ด้วยความหลงใหลในวัฒนธรรมไบเกอร์ของเขาจุดประกายให้เขาเกิดไอเดียการสร้างแบรนด์สำหรับกลุ่มคนนี้โดยเฉพาะ โดยได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่าง John Bowman และ Leonard Kamhout ซึ่งทั้งสองคนชำนาญในด้านการตัดเย็บและเครื่องเงิน เป้าหมายแรกของทั้ง 3 คนไม่ใช่การเป็นแบรนด์แฟชั่น แต่แค่ต้องการสร้างสินค้าแนวไบเกอร์คุณภาพและมีสไตล์ที่ดี ผลงานแรกของพวกเขาคือแจ็กเก็ตหนังแบบคัสตอม ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การตกแต่งลวดลายเงินและดีเทลไม่เหมือนใคร ทุกชิ้นเป็นสินค้า ‘ทำมือ’ โดยเน้นวัสดุคุณภาพชั้นสูงอย่างเงินแท้และเงินสเตอร์ลิง 

 

ไม่นานนักงานของทั้ง 3 คนเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่คนดังทั้งวงการศิลปินร็อกและภาพยนตร์ และเคยถูกทาบให้ออกแบบเสื้อผ้าของภาพยนตร์เรื่อง Chrome Hearts มาแล้ว แม้จะไม่เคยออกฉาย แต่สุดท้ายทั้ง 3 คนเลยเลือกชื่อ Chrome Hearts มาเป็นชื่อแบรนด์ จุดเปลี่ยนสำคัญของ Chrome Hearts เกิดขึ้นในปี 1992 เมื่อเขาได้รับรางวัลจากเวที CFDA ในหมวด Accessories Designer of the Year ซึ่งนับว่าเป็นจุดพลิกสำคัญให้ Chrome Hearts เป็นที่รู้จักและก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นจริงจัง 

 


 

SIGNATURE DESIGN

 

SIGNATURE DESIGN

 

หากถามว่าจุดเด่นอะไรที่ทำให้ Chrome Hearts แตกต่างจากแบรนด์เครื่องประดับอื่นๆ แน่นอนว่าคำตอบอยู่ที่ลายเซ็นของแบรนด์ ซึ่งมีเอกลักษณ์ชัดเจนมากจากสไตล์โกธิกผสมร็อกแอนด์โรล และวัฒนธรรมไบเกอร์ยุค 80 หรือจะเรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะ งานฝีมือ และความไร้กรอบอย่างแท้จริง เป็นความหรูหราแบบหัวขบถ 

 

งานของ Chrome Hearts ทุกชิ้นถูกทำขึ้นจากความชอบส่วนตัว แพสชันที่มีต่อสิ่งที่ตนเองยึดมั่น ไม่เคยอิงกระแสแฟชั่น ทำให้แบรนด์โดดเด่น ไม่วิ่งตามเทรนด์แบบแบรนด์ทั่วไป ลวดลายซิกเนเจอร์ของ Chrome Hearts ประกอบไปด้วย ไม้กางเขน, ดอกลิลลี่ Fleur-de-Lis และฟอนต์เฉพาะของแบรนด์ ที่กล่าวมาทั้งหมดมักปรากฏบนเครื่องประดับ เสื้อผ้า และสินค้าไลน์อื่นๆ 

 

ปัจจุบันแบรนด์ Chrome Hearts ไม่ได้หยุดพัฒนาและต่อยอดดีไซน์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดรับการใช้สีมากขึ้นในคอลเล็กชันไปจนถึงการร่วมงานกับศิลปินหรือดีไซเนอร์รุ่นใหม่ เพื่อเปิดรับมุมมองแตกต่างให้กับแบรนด์อยู่เสมอ

 


 

HANDCRAFTED PRODUCTS

 

HANDCRAFTED PRODUCTS

 

แม้จะถูกมองว่าเป็นแบรนด์แฟชั่น แต่ Chrome Hearts มองตนเองเป็นสตูดิโอศิลป์ที่สร้างชิ้นงานทุกชิ้นเหมือนงานคราฟต์ระดับสูง ทำให้ทุกชิ้นมีมูลค่าและจิตวิญญาณในตัวของมันเอง Chrome Hearts ผลิตชิ้นงานทุกชิ้นด้วยมือโดยช่างฝีมือในเวิร์กช็อปของแบรนด์ในเมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เท่านั้น 

 

กระบวนการทั้งหมดอย่างการออกแบบ หล่อ แกะสลัก ขัดเงา เย็บหนัง ไปจนถึงการตรวจคุณภาพล้วนทำแบบ Manual ไม่มีสายพานอัตโนมัติ 

 

อีกหนึ่งเสน่ห์ของ Chrome Hearts คือการให้ค่าชิ้นงานทุกชิ้น เพราะทุกอย่างทำด้วยมือ จึงมีความแตกต่างกันเล็กน้อยที่แสดงถึง ‘ความเป็นมนุษย์’ เช่น รอยตอก รอยขัด หรือผิวสัมผัสเฉพาะตัว ทุกชิ้นไม่มีข้อผิดพลาดจากเครื่องจักร แต่มีลายเซ็นของช่างฝีมือ ซึ่งความไม่สมบูรณ์เชิงศิลป์นี้ กลายเป็นจุดที่แฟนคลับตัวยงของ Chrome Hearts หลงใหลและมองว่าสินค้าเป็นของจริงและมีคุณค่า 

 


 

MARKETING TACTICS

 

MARKETING TACTICS

 

กลยุทธ์การตลาดของ Chrome Hearts ขัดแย้งกับแบรนด์แฟชั่นหรูอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง Chrome Hearts ไม่มีโฆษณา ไม่มีพรีเซนเตอร์ และไม่มีการสปอนเซอร์ใช้ดาราเพื่อสร้างภาพลักษณ์ เพราะ Richard Stark มองว่า “คุณภาพกับดีไซน์ต้องพูดแทนแบรนด์” สิ่งที่ Chrome Hearts วางแผนและสร้างนั้นยิ่งใหญ่กว่าการโฆษณา มันคือการสร้างคัลเจอร์แทนแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมไบเกอร์หรือความโกธิกผ่านการจัดนิทรรศการ ทำนิตยสาร งานศิลปะ และโปรเจกต์ร่วมกับศิลปินเพื่อสื่อสารตัวตนของตัวเอง ทุกอย่างถูกสร้างด้วยแนวคิดที่คุม Mood & Tone ของแบรนด์อย่างเข้มงวด คนดังระดับโลกจำนวนมากใส่ Chrome Hearts เพราะพวกเขาอยากใส่ไม่ใช่ถูกจ้างให้ใส่ ยิ่งส่งผลให้แบรนด์มีคุณค่ามากขึ้นในสายตาของผู้บริโภค กลยุทธ์แบบ ‘Influence by Authenticity’ ทรงพลังยิ่งกว่าการจ้างอินฟลูเอ็นเซอร์เสียอีก

 


 

LIMITED ACCESS

 

LIMITED ACCESS

 

แค่คุณมีเงิน ไม่สามารถการันตีว่าจะซื้องานจาก Chrome Hearts ได้ เพราะ Chrome Hearts ไม่มีวางขายตามห้างสรรพสินค้าหรือแฟลตฟอร์มออนไลน์ แม้จะมีเว็บไซต์ แต่ก็ใช้เพื่อแสดงตัวตน ไม่ใช่ช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ถ้าหากคุณต้องการครอบครอง Chrome Hearts คุณต้องเดินทางไปที่ร้านจริงเท่านั้น 

 

Chrome Hearts สร้างระบบจัดจำหน่ายที่ตรงข้ามกับแบรนด์แฟชั่นปกติ ไม่มีการเร่งยอด ไม่มีการลดราคา และไม่มีการขายผ่านแฟลตฟอร์มอื่น แต่ใช้ประสบการณ์ การออกแบบร้าน และความหายาก ในการกระตุ้นความต้องการ ซึ่งปัจจุบัน Chrome Hearts มีทั้งหมด 30 สาขาทั่วโลก เช่น โตเกียว โซล ปารีส นิวยอร์ก ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ ในแต่ละสาขาจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง การเข้าไปที่ร้านจึงกลายเป็นประสบการณ์ระดับไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่แค่ช้อปปิ้ง แต่พนักงานจะให้คำแนะนำแบบตัวต่อตัว หากลูกค้าแสดงถึงความเข้าใจในแบรนด์ถึงจะมีโอกาสได้รับชมคอลเล็กชันที่ซ่อนอยู่ สินค้าลิมิเต็ดบางประเภทจะไม่ถูกวางโชว์หน้าร้าน คุณต้องเป็นลูกค้าประจำหรือต้องรู้จักและถามถูกคน ถึงจะมีโอกาสได้เห็นคอลเล็กชันนั้นๆ

 


 

COLLABORATIONS

 

COLLABORATIONS

 

การสร้างผลงานร่วมกับแบรนด์หรือใครสักคนของ Chrome Hearts เกิดขึ้นจากเจตนาและความเชื่อร่วมกันระหว่างศิลปินทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่เพื่อกระตุ้นยอดขายเท่านั้น Richard Stark และครอบครัว จะเลือกทำงานกับคนที่มีทัศนคติแบบขบถ อิสระ และเป็นศิลปิน 

 

ผลงานที่ถูกกล่าวถึงของ Chrome Hearts เช่น Rick Owens การผสมผสานระหว่างความดาร์กและพังก์ของทั้งสองแบรนด์ สร้างผลงานอันลงตัว, COMME des GARÇONS ส่วนผสมของความมินิมัลและสตรีทโกธิก, Off-White™ / Virgil Abloh งานสั่งทำพิเศษก่อนที่ Virgil Abloh จะโด่งดัง เป็นอีกหนึ่งงานคอลแลบที่คนพูดถึงอย่างมาก, Takashi Murakami ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่งานของทั้งสองได้ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกับงานศิลปะมากกว่าแฟชั่น ความสดใสของ Murakami ไม่น่าเชื่อว่าจะผสานเข้ากับโทนดาร์กของ Chrome Hearts ได้อย่างคาดไม่ถึง และ Bella Hadid ซูเปอร์โมเดลชื่อดังที่เธอสนิทสนมกับ Jesse Jo Stark ลูกสาวของ Richard จนได้ออกคอลเล็กชันแว่นตาร่วมกัน 

 


 

EXPANDING BEYOND JEWELRY

 

EXPANDING BEYOND JEWELRY

 

ถึงตอนนี้ทุกคนเริ่มเข้าใจตรงกันแล้วว่า Chrome Hearts มีจุดเริ่มต้นจากการทำไบเกอร์แจ็กเก็ต ก่อนจะลุยเครื่องประดับเงินในเวลาต่อมา ปัจจุบัน Chrome Hearts แตกไลน์สินค้าไปมากมายกว่าแค่แฟชั่นและเครื่องประดับ หากเอ่ยถึงไลน์อื่นๆ ของ Chrome Hearts จะประกอบไปด้วย ไลน์แว่นตา ถือเป็นอีกหนึ่งไลน์สินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูง, ไลน์รองเท้าที่ผลิตเฉพาะในอิตาลีและญี่ปุ่นเท่านั้น, ไลน์กระเป๋าและเครื่องหนัง สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มลูกค้าระดับสูง, ไลน์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน, ไลน์น้ำหอมซึ่งจะมีจำหน่ายแค่บางสาขาเท่านั้น, ร้านอาหาร คาเฟ่ และไอศกรีม มีเฉพาะบางสาขาเท่านั้น เช่น โตเกียวและไมอามี 

 

แน่นอนว่าอีกหนึ่งไลน์สินค้าคือการคัสตอมชุดให้เซเลบริตี้ที่พวกเขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นวงร็อกแอนด์โรลชื่อดัง ศิลปินอย่าง G-DRAGON รวมถึง Bella Hadid ที่เคยตัดชุดให้สวมใส่เดินพรมแดงงาน Met Gala ปี 2018 และล่าสุดกับ Kim Kardashian ที่เคยทำชุดขึ้นพิเศษให้เธอสวมใส่หลายครั้ง รวมถึง Met Gala ครั้งล่าสุด ไลน์สินค้าทั้งหมดที่เรากล่าวมาคงไว้ด้วยลายเซ็นโกธิก-ร็อก และความหรูหราแบบขบถ เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ แม้ว่าสินค้าจะต่างกันออกไปก็ตาม

The post 7 THINGS WE LOVE ABOUT CHROME HEARTS แบรนด์เครื่องประดับสุดฮอตที่ไม่เคยตามเทรนด์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โอ๊ต ปราโมทย์ แท็กทีม Only Monday ส่งซิงเกิลแทนใจคนเศร้า ขี้แพ้คนเดิม (Unchanged) https://thestandard.co/oat-pramote-only-monday-unchanged/ Sun, 11 May 2025 09:48:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1073286 oat-pramote-only-monday-unchanged

ขี้แพ้คนเดิม (Unchanged) ซิงเกิลที่เป็นการกลับมาพร้อมเน […]

The post โอ๊ต ปราโมทย์ แท็กทีม Only Monday ส่งซิงเกิลแทนใจคนเศร้า ขี้แพ้คนเดิม (Unchanged) appeared first on THE STANDARD.

]]>
oat-pramote-only-monday-unchanged

ขี้แพ้คนเดิม (Unchanged) ซิงเกิลที่เป็นการกลับมาพร้อมเนื้อหาเพลงเศร้าสะเทือนอารมณ์อีกครั้งของ โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน จาก KHOTKOOL MUSIC ที่ในซิงเกิลนี้เขาชวนวงร็อกมาแรงอย่าง Only Monday มาร่วมฟีเจอริง ถ่ายทอดเรื่องราวของคนเศร้าสาย Loser ที่ไม่เคยชนะใจใครได้ พร้อมปล่อยมิวสิกวิดีโอออกมาเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา

 

สำหรับซิงเกิล ขี้แพ้คนเดิม (Unchanged) ที่นอกจากโอ๊ต ปราโมทย์ จะพา Only Monday มาร่วมร้องด้วยกันแล้ว นักร้องนำของวงอย่าง ธีร์-ทีปกร คำสุรีย์ ยังมีส่วนร่วมในการแต่งคำร้อง และทำนองให้กับซิงเกิลนี้อีกด้วย

 

โอ๊ต ปราโมทย์ แท็กทีม Only Monday

 

“คนอย่างฉันต่อให้รักเธอมากแค่ไหน ต่อให้ฝืนหัวใจเท่าไหร่ก็เป็นได้แค่ขี้แพ้คนเดิม”

 

โอ๊ต ปราโมทย์ เล่าถึงซิงเกิล ขี้แพ้คนเดิม (Unchanged) ไว้เพิ่มเติมว่า “จริงๆ แล้วผมอยากให้ธีร์ทำเพลงให้ 1 เพลง ก่อนมาลงเอยเป็นเพลงที่ว่าด้วยเรื่องของการไม่ได้เป็นคนที่ถูกรักแต่แรก การใช้ความพยายามมากหน่อยที่เราจะเอาชนะอะไรบางอย่าง โดยเราจะพูดถึงความรู้สึกนี้ออกมาในมุมไหน แล้วคนจะรู้สึกว่าประทับใจมากขึ้น ก่อนกลายมาเป็นซิงเกิล ขี้แพ้คนเดิม ที่สื่อว่าแม้วันนี้ที่เราจะประสบความสำเร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นคนที่เอาชนะความรักเสมอไป

 

โอ๊ต ปราโมทย์ แท็กทีม Only Monday

 

ฝากด้วยนะครับ หวังว่าเพลงนี้จะทำให้ใครหลายๆ คนฟังแล้วก็น้ำตาตกไปตามๆ กัน และขอเอาใจช่วยคนที่กำลังเศร้าในเรื่องความรักอยู่ด้วยครับ”

 

 

The post โอ๊ต ปราโมทย์ แท็กทีม Only Monday ส่งซิงเกิลแทนใจคนเศร้า ขี้แพ้คนเดิม (Unchanged) appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิ้งค์ พิชฌามลณ์ อนาคตยังอีกไกล ขอแค่ ‘ใจไม่ยอมแพ้’ https://thestandard.co/pink-pitchamon-badminton-future/ Sun, 11 May 2025 09:01:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1073282 pink-pitchamon-badminton-future

ในการแข่งขันแบดมินตันรายการ Taipei Open 2025 รายการระดั […]

The post พิ้งค์ พิชฌามลณ์ อนาคตยังอีกไกล ขอแค่ ‘ใจไม่ยอมแพ้’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
pink-pitchamon-badminton-future

ในการแข่งขันแบดมินตันรายการ Taipei Open 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ Super 300 ที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน 

 

หนึ่งในไฮไลต์ที่แฟนแบดมินตันไทยจับตามองที่สุด คือการทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศในระดับ Super 300 ครั้งแรกในชีวิตของ พิ้งค์-พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ นักแบดหญิงหน้าหวาน ดาวรุ่งวัย 18 ปี มืออันดับ 77 ของโลก

 

ในรอบชิงฯ พิ้งค์ต้องเจอกับศึกหนักกับ โทโมกะ มิยาซากิ มืออันดับ 8 ของโลกจากญี่ปุ่น ที่มีวัยเท่ากัน และเคยคว้าแชมป์เยาวชนโลกเช่นเดียวกัน จึงถือเป็นแมตช์ของ “ดาวรุ่งปะทะดาวรุ่ง” ที่ต่างก็มุ่งมั่นพิสูจน์ตัวเองบนเวทีระดับโลก

 

พิ้งค์ออกสตาร์ตได้ไม่ดีนัก เสียเกมแรกไป 12-21 จากความผิดพลาดที่เกิดจากการคุมจังหวะไม่อยู่ และยังหาช็อตเกมรุกที่เด็ดขาดไม่พอในการหยุดคู่แข่งที่เล่นได้อย่างแน่นอนและนิ่งกว่า

 

แต่ในเกมที่สอง เธอกลับมาได้อย่างน่าชื่นชม ค่อยๆ เก็บแต้ม ไล่บี้แบบไม่กลัว และสามารถพลิกสถานการณ์ในช่วงปลายเกมด้วยการฮึดสู้จนเอาชนะไปได้ 22-20 เรียกความหวังของแฟนแบดไทยกลับมาอีกครั้ง

 

เกมตัดสินในเกมที่ 3 กลายเป็นบททดสอบของความนิ่งและความแน่นอน ซึ่งฝั่งโทโมกะยังคุมเกมได้เหนือกว่า ขณะที่พิ้งค์เองแม้จะพยายามทุกทางในการกลับสู่เกม แต่ยังมีบางจุดที่เป็นอุปสรรค ทั้งในเรื่องของการคุมน้ำหนักลูกที่ยังไม่นิ่ง และ ความเด็ดขาดในการปิดแต้มสำคัญที่ยังไม่มากพอ ทำให้สุดท้ายเธอพ่ายไปในเกมตัดสิน 14-21

 

พิ้งค์จบการแข่งขันด้วยตำแหน่งรองแชมป์หญิงเดี่ยว ของรายการ Taipei Open 2025 ถึงแม้จะไม่ได้ถ้วยแชมป์ติดมือกลับบ้าน แต่สำหรับดาวรุ่งวัย 18 ปีคนนี้ มันคือ “ประตูบานสำคัญ” ที่จะพาเธอก้าวเข้าสู่เวทีที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม

 

การได้สัมผัสเกมรอบชิงฯในระดับ Super 300 (ครั้งแรก) การเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่มี Ranking สูงกว่า ได้เรียนรู้ว่าอะไรคือช่องว่างที่ต้องพัฒนา และอะไรคือจุดแข็งที่เธอสามารถต่อยอดได้ สิ่งเหล่านี้คือ ‘กำไร’ ของประสบการณ์ที่มีค่าไม่น้อยไปกว่าถ้วยรางวัล

 

วันนี้ พิ้งค์อาจยังไม่ถึงเส้นชัย แต่ทุกก้าวที่เธอกำลังเดิน คือบทเรียนล้ำค่า และแรงผลักดันชั้นเยี่ยมที่ไม่มีในตำราเล่มไหน

 

ด้วยวัยเพียง 18 ปี เส้นทางของ พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ ยังทอดยาวอีกไกล และหากเธอยังคงฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดยั้ง ปรับในสิ่งที่ยังขาด และจุดไฟในใจให้ลุกโชนในทุกแมตช์ที่ลงแข่ง

 

ก็ไม่มีเหตุผลใดเลยที่หญิงเดี่ยวคนนี้…จะไปไม่ถึงมือระดับท็อปของไทย และระดับโลกในอนาคต

 

เพราะบางครั้ง…แชมป์ไม่ใช่ทุกอย่างของการเดินทาง 

 

แต่หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ต่างหาก จะพาเธอไปไกลกว่าที่ใครคาดคิด

The post พิ้งค์ พิชฌามลณ์ อนาคตยังอีกไกล ขอแค่ ‘ใจไม่ยอมแพ้’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ-จีน เจรจาการค้าที่สวิตเซอร์แลนด์ ทรัมป์ชี้ ปรับสัมพันธ์การค้า เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด https://thestandard.co/us-china-trade-talks-switzerland-2025/ Sun, 11 May 2025 08:43:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1073278 us-china-trade-talks-switzerland-2025

หลังจากที่ทีมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงจากสหรัฐอเมริกา […]

The post สหรัฐฯ-จีน เจรจาการค้าที่สวิตเซอร์แลนด์ ทรัมป์ชี้ ปรับสัมพันธ์การค้า เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
us-china-trade-talks-switzerland-2025

หลังจากที่ทีมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงจากสหรัฐอเมริกาและจีนได้เจรจาหารือกัน เพื่อลดความตึงเครียดที่เกิดจากสงครามการค้าระหว่างทั้งสองประเทศที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวานนี้ (10 พฤษภาคม) เป็นวันแรก ซึ่งใช้เวลาพูดคุยกันนานราว 7 ชั่วโมง โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า การเจรจานั้น เป็นไปด้วยดี เป็นมิตรและสร้างสรรค์ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้ ‘เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด’ หลังจากวันแรกของการเจรจา

 

การเจรจาครั้งนี้มีความหมายอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่ทั้งสองประเทศใช้ตอบโต้กันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างต่ำ 145% ขณะที่จีนเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ถึง 125%

 

ภาษีที่รุนแรงเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก บริษัทอเมริกันต่างเร่งหาทางจัดหาสินค้าจากประเทศอื่นแทนจีน ส่วนโรงงานจีนก็หาทางหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ และส่งออกสินค้ามากขึ้นไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะเดียวกัน ธุรกิจในสหรัฐฯ หลายแห่งก็พิจารณาว่าจะขึ้นราคาสินค้าได้มากน้อยแค่ไหนเพื่อชดเชยต้นทุนจากภาษี

 

สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง และ เจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เป็นผู้นำการเจรจาฝั่งสหรัฐฯ ขณะที่จีนส่ง เหอลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจเป็นหัวหน้าคณะเจรจา โดยก่อนการประชุม ทรัมป์เสนอว่าอาจลดภาษีจาก 145% ลงเหลือ 80% แต่อาจจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนก่อนจึงจะลดภาษีได้ ส่วนจีนยืนยันว่าไม่ตั้งใจจะยอมอ่อนข้อทางการค้า เพื่อตอบโต้ภาษีของทรัมป์ และการเข้าร่วมเจรจาในครั้งนี้เป็นไปตามคำร้องขอของสหรัฐฯ

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ดูเหมือนจะพร้อมใช้ข้อแลกเปลี่ยนใดๆ จากจีนมาแสดงว่าเป็นชัยชนะของสหรัฐฯ โดยเขาเน้นย้ำว่า จีนควรเปิดตลาดให้บริษัทอเมริกัน ซึ่งนั้นจะเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่มาก

 

ทีมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงของทั้งสองประเทศจะประชุมหารือกันต่อในวันนี้ (11 พฤษภาคม) เป็นวันที่สอง แม้การเจรจาในสุดสัปดาห์นี้มีเป้าหมายเพื่อปูทางไปสู่การเจรจาเศรษฐกิจที่ครอบคลุมมากขึ้นระหว่างมหาอำนาจทั้งสองประเทศ แต่นักเศรษฐศาสตร์ยังไม่มั่นใจว่าจะมีข้อตกลงสำคัญใดเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน

 

ภาพ: Nathan Posner / Anadolu via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post สหรัฐฯ-จีน เจรจาการค้าที่สวิตเซอร์แลนด์ ทรัมป์ชี้ ปรับสัมพันธ์การค้า เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
โฆษกพรรคภูมิใจไทยยืนยัน กระแสข่าวจ่อคว่ำร่างงบประมาณ 69 ไม่จริง ชี้คนปล่อยข่าวอาจหวังเก้าอี้ใน ครม. https://thestandard.co/bhumjaithai-budget-bill-69-support/ Sun, 11 May 2025 08:30:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1073273 bhumjaithai-budget-bill-69-support

วันนี้ (11 พฤษภาคม) แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี […]

The post โฆษกพรรคภูมิใจไทยยืนยัน กระแสข่าวจ่อคว่ำร่างงบประมาณ 69 ไม่จริง ชี้คนปล่อยข่าวอาจหวังเก้าอี้ใน ครม. appeared first on THE STANDARD.

]]>
bhumjaithai-budget-bill-69-support

วันนี้ (11 พฤษภาคม) แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี โฆษกพรรคภูมิใจไทย ปฏิเสธถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พรรคภูมิใจไทยส่อคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 โดยระบุว่า พรรคภูมิใจไทย เห็นว่า พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาประเทศ และแก้ปัญหาประชาชน จึงขอปฏิเสธข่าวดังกล่าวอย่างสิ้นเชิงว่าไม่เป็นความจริง

 

“พรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล มีรัฐมนตรีที่กำกับดูกระทรวงซึ่งมีส่วนร่วมจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่มีเหตุที่จะไม่สนับสนุนการจัดสรรงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาประเทศ” โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าว

 

แนน บุณย์ธิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า พรรคภูมิใจไทยให้ความสำคัญกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นอย่างมาก เพราะเป็นกฎหมายการเงินของประเทศ เป็นกฎหมายที่ใช้ขับเคลื่อนประเทศในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจะบอกว่าพรรคภูมิใจไทยมาเล่นละครเพื่อความร่างกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องจริง และ สส. หลายคนภายในพรรคมีการสอบถามเรื่องกำหนดการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณ 

 

ทั้งนี้ จะมีการประชุมวิปรัฐบาลในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ เพื่อถกกรอบเวลาพิจารณาร่างกฎหมาย จากเดิมที่วางเอาไว้ว่าจะพิจารณาระหว่างวันที่ 28 ถึง 30 พฤษภาคม โดยกล่าวย้ำว่า ไม่มีเหตุผลใดที่พรรคภูมิใจไทยจะคว่ำร่างกฎหมายงบประมาณฯ 

 

“หรือว่าข่าวเรื่องระหองระแหงก็เป็นเรื่องหนึ่ง หากจะหนักที่สุด ถ้าเช็คข่าวดีๆ อาจจะเป็นเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ หรือมีใครอยากจะเป็นหรือเปล่า เลยไปปล่อยข่าว เราไม่ทราบได้ แต่ถามว่าภูมิใจไทยนิ่งไหม เรานิ่ง เราไม่ได้มีประเด็นปัญหาอะไร และพร้อมที่จะสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ อยู่แล้ว” แนน บุณย์ธิดากล่าว

 

ด้าน ดนุพร ปุณณกันต์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวพรรคภูมิใจไทยจะโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ดังกล่าว เพราะเกี่ยวข้องกับคดีการฮั้ว สว. ว่าไม่อยากให้สังคมคล้อยตามข่าวเช่นนี้ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ต่างก็ทำตามอำนาจหน้าที่ที่เขามี และข่าวที่ออกมาก็ไม่ได้มีการระบุว่าพรรคการเมืองใดอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจากที่มีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคต่างก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28-30 พฤษภาคมนี้ เป็นอย่างดี ฉะนั้น ย้ำว่าไม่อยากให้ข่าวเช่นนี้ออกมาแล้วทำให้สังคมเกิดความไขว้เขว ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล

 

ดนุพรย้ำว่า ทุกพรรคยังร่วมมือทำงานให้ประชาชนได้ และร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่ใช่เป็นงบประมาณของพรรคเพื่อไทยอย่างเดียว แต่พรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลนั้น งบประมาณของทุกกระทรวงต่างก็อยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับนี้ แน่นอนว่าหากงบประมาณฉบับนี้ไม่ผ่านจริงๆ รัฐบาลมีสองทางเลือกคือนายกรัฐมนตรีต้องลาออกหรือยุบสภาฯ และเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่อยากให้ข่าวที่ออกมาโจมตีพรรคภูมิใจไทยเช่นนี้ สร้างความไม่น่าเชื่อถือให้รัฐบาล

The post โฆษกพรรคภูมิใจไทยยืนยัน กระแสข่าวจ่อคว่ำร่างงบประมาณ 69 ไม่จริง ชี้คนปล่อยข่าวอาจหวังเก้าอี้ใน ครม. appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์ https://thestandard.co/thai-drug-bust-cartoon-ice-happy-water/ Sun, 11 May 2025 07:57:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1073262 thai-drug-bust-cartoon-ice-happy-water

วันนี้ (11 พฤษภาคม) ตำรวจสืบสวน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) […]

The post ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-drug-bust-cartoon-ice-happy-water

วันนี้ (11 พฤษภาคม) ตำรวจสืบสวน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) โชคชัย บุกจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ รวบผู้ต้องหา 4 ราย พร้อมของกลางยาเสพติดหลากหลายชนิด ทั้งยาไอซ์ ยาอีรูปการ์ตูน เคตามีน และแฮปปี้วอเตอร์จำนวนมาก หลังขยายผลจากการจับกุมก่อนหน้า พบหนึ่งในผู้ต้องหาเป็นระดับหัวจ่ายยาในสถานบันเทิง

 

ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจำนวน 4 ราย

 

  1. วงศกร หรือ หว่อง อายุ 37 ปี
  2. อัจฉราภัสส์ อายุ 32 ปี
  3. นัฐทิชา อายุ 21 ปี
  4. สุนิสา อายุ 27 ปี

 

ของกลางที่ยึดได้:

  • ยาไอซ์ รวมน้ำหนักกว่า 118 กรัม
  • ยาไฟว์ไฟว์ (Five Five) บรรจุแผง รวม 130 เม็ด
  • แฮปปี้วอเตอร์ (Happy Water) รวมน้ำหนัก 96.28 กรัม
  • ยาอีรูปการ์ตูน รวม 179 เม็ด
  • ยาเคตามีนชนิดน้ำ รวมปริมาณกว่า 54.04 กรัม
  • อุปกรณ์การเสพยาเสพติด, หัวพอตบุหรี่ไฟฟ้า, สมุดรายชื่อลูกค้า และเครื่องชั่งน้ำหนักดิจิทัล ซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ตามลิ้นชักและโต๊ะโซฟา

 

การจับกุมครั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม เวลาประมาณ 03.00 น. ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เบาะแสและวางแผนล่อซื้อยาไอซ์จำนวน 20 กรัมจากวงศกร ซึ่งทราบว่าเป็นระดับหัวจ่ายยาเสพติดในสถานบันเทิง โดยนัดส่งของกันที่ ซอยลาดพร้าว 47 และสามารถจับกุมวงศกรได้พร้อมยาไอซ์ 21.57 กรัม จากนั้นจึงขยายผลไปตรวจค้นห้องพักพระราม 9 ซึ่งพบผู้ต้องหาหญิงอีก 3 ราย ที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการของวงศกร

จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ให้การรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของห้องพักร่วมกัน และของกลางยาเสพติดทั้งหมดเป็นของพวกตนจริง อีกทั้งยังยอมรับว่าได้เสพยาเสพติดด้วย ซึ่งผลการตรวจปัสสาวะจากแพทย์ยืนยันว่าพบสารเสพติดประเภทเมทแอมเฟตามีนในร่างกายของผู้ต้องหาทั้งหมด

เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาดังนี้

 

  • วงศกร จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือ ยาไอซ์) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า
  • ผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย (รวมวงศกร)
  1. ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือ ยาไอซ์, ยาไฟว์ไฟว์, แฮปปี้วอเตอร์, ยาอี) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและอันมีลักษณะเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน
  2. ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดประเภทวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (ยาเคตามีน) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและอันมีลักษณะเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน
  3. ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ซื้อ รับไว้ หรือมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ทั้งที่รู้อยู่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นของที่ห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246
  4. เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย

 

จากนั้นจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะทำการสืบสวนขยายผลเพื่อหาผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์

ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์

ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์

ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์

ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์

ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์

ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์

The post ยึดล็อตใหญ่ แก๊งยาเสพติดการ์ตูน-ไอซ์-แฮปปี้วอเตอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Panasonic ปรับทัพครั้งมโหฬาร เตรียมปลดพนักงาน 1 หมื่นชีวิต กอบกู้วิกฤต ท่ามกลางมรสุมธุรกิจและคู่แข่งจีน https://thestandard.co/panasonic-restructuring-job-cuts/ Sun, 11 May 2025 07:08:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1073258 panasonic-restructuring-job-cuts

Panasonic Holdings ยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่ […]

The post Panasonic ปรับทัพครั้งมโหฬาร เตรียมปลดพนักงาน 1 หมื่นชีวิต กอบกู้วิกฤต ท่ามกลางมรสุมธุรกิจและคู่แข่งจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
panasonic-restructuring-job-cuts

Panasonic Holdings ยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่น กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ประกาศแผนปรับโครงสร้างครั้งสำคัญ รวมถึงการลดพนักงานทั่วโลกถึง 10,000 ตำแหน่ง หรือราว 4% ของพนักงานทั้งหมด เพื่อหวังพลิกฟื้นสถานการณ์จากส่วนแบ่งการตลาดที่ลดน้อยถอยลง และรับมือการแข่งขันอันดุเดือดจากคู่แข่งสัญชาติจีน โดยการตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรอย่างเร่งด่วน

 

การปรับลดพนักงานครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อพนักงาน 5,000 คนในญี่ปุ่น และอีก 5,000 คนในต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่จะมีผลในช่วงปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2026 บริษัทคาดการณ์ว่าจะต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายจากการปรับโครงสร้างนี้เป็นจำนวนเงิน 1.3 แสนล้านเยน เพื่อรวมฝ่ายขายและฝ่ายสนับสนุนเข้าด้วยกัน รวมถึงยุติธุรกิจที่ขาดทุน แม้จะยังไม่มีการระบุชัดเจนว่าจะลดขนาดธุรกิจใดบ้าง

 

Yuki Kusumi ประธานบริษัท ได้กล่าวในการแถลงข่าวออนไลน์อย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมที่ได้ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างไปแล้ว เรายังมีค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหารสูงกว่ามาก” เขาย้ำว่า “เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างต้นทุนประจำของบริษัทอย่างเร่งด่วนและรอบด้าน” เพื่อให้บริษัทกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

 

เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นรายนี้ประสบปัญหาอัตรากำไรต่ำมานานหลายปี โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานต่อปีอยู่ระหว่าง 3.4% ถึง 5.0% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งในประเทศอย่าง Sony Group และ Hitachi อย่างเห็นได้ชัด 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นหน้าเป็นตา เช่น ตู้เย็นและไมโครเวฟ กำลังดิ้นรนเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดในญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการทะลักเข้ามาของสินค้าคุณภาพสูงจากคู่แข่งจีนอย่าง Haier Group และ Midea Group

 

ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการลดพนักงานครั้งนี้ ตามมาด้วยฝ่ายสนับสนุนต่างๆ นอกจากนี้ Panasonic ยังเผชิญความท้าทายอื่นๆ เช่น โอกาสที่สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีต่อห่วงโซ่อุปทานในอเมริกาเหนือ และตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ยังคงซบเซา ซึ่ง Panasonic เป็นซัพพลายเออร์แบตเตอรี่ EV รายใหญ่ให้กับ Tesla

 

ธุรกิจโทรทัศน์เป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้าที่สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างหนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Kusumi เคยกล่าวไว้ในการแถลงข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า บริษัท “เตรียมพร้อมที่จะขาย (ธุรกิจนี้) หากจำเป็น” 

 

แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ โดยเขายอมรับว่าธุรกิจทีวีนั้นมี ‘ความท้าทายเชิงโครงสร้างทั่วโลก’ และกำลังพิจารณา ‘ทางเลือกที่หลากหลาย’ เช่น การเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรภายนอก ปัจจุบัน Panasonic ได้จ้างผู้ผลิตในเอเชียผลิตทีวีบางส่วนแล้ว

 

Panasonic ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะพลิกโฉมกลุ่มบริษัทให้มีผลกำไรสูง ในขณะที่ Hitachi และ Sony หันไปเน้นด้านพลังงาน เทคโนโลยีดิจิทัล และความบันเทิง ทิศทางธุรกิจของ Panasonic กลับยังไม่ชัดเจนนัก Kusumi ซึ่งเข้ารับตำแหน่ง CEO ในปี 2021 ได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสีเขียว เช่น แบตเตอรี่ EV และปั๊มความร้อน เพื่อเป็นหัวหอกในการเติบโตยุคใหม่

 

สำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025 Panasonic รายงานยอดขายสุทธิ 8.5 ล้านล้านเยนซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า แต่กำไรสุทธิกลับลดลง 17.5% เหลือ 3.66 แสนล้านเยน และยังคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิสำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2026 จะลดลงอีก 15.3% เหลือ 3.1 แสนล้านเยน

 

สถานการณ์นี้สะท้อนผ่านราคาหุ้นของ Panasonic ที่เพิ่มขึ้นเพียง 3% เมื่อเทียบกับทศวรรษที่แล้ว สวนทางกับดัชนี Nikkei Stock Average ที่เพิ่มขึ้นถึง 85% และคู่แข่งอย่าง Hitachi และ Sony ที่เติบโตถึง 379% และ 414% ตามลำดับ

 

อย่างไรก็ตาม Kusumi ให้คำมั่นว่าจะ ‘พลิกฟื้น’ กลุ่มบริษัทให้มีโครงสร้างที่สามารถแข่งขันได้มากขึ้นผ่านการปฏิรูปและลดต้นทุน โดยตั้งเป้าที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทมากกว่า 3 แสนล้านเยน ภายในเดือนมีนาคม 2029 และตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วให้สูงกว่า 10% ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่งในสภาวะปัจจุบัน

ภาพ: withGod / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post Panasonic ปรับทัพครั้งมโหฬาร เตรียมปลดพนักงาน 1 หมื่นชีวิต กอบกู้วิกฤต ท่ามกลางมรสุมธุรกิจและคู่แข่งจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>