มณฑล จุนชยะ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 02 Sep 2025 08:38:51 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เริ่มต้นใหม่ สินทรัพย์เสี่ยงในไทย https://thestandard.co/opinion-thailand-risky-assets/ Tue, 02 Sep 2025 08:38:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1114583

เดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่มีผลต่อภาวการณ์ล […]

The post เริ่มต้นใหม่ สินทรัพย์เสี่ยงในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

เดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่มีผลต่อภาวการณ์ลงทุน โดยที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานซะทีเดียว มีทั้งเรื่องของต่างประเทศและในประเทศ รวมไปถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองของประเทศไทย ผมจะค่อยๆ เล่าเรื่องไปและอาจจะมีความเห็นบ้างแต่จะมุ่งเน้นไปในเรื่องของการเงิน การลงทุน มากกว่าไปจับประเด็นด้านการเมืองครับ

 

เริ่มจากต่างประเทศ ก็ขอคุยผ่านตลาดหุ้นก็แล้วกันครับ ต้องบอกว่าเทศกาลประกาศผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ต้องยกให้ตลาดหุ้น สหรัฐอเมริกา เพราะผลการดำเนินงานของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ออกมาน่าประทับใจทั้งนั้น เช่น NVIDIA ส่งผลให้ดัชนี Global equity index อย่าง MSCI ACWI index ให้ผลตอบแทนเชิงบวกที่ 3.3% ในเดือน ส.ค. นำโดยตลาดสหรัฐฯ ที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กอย่าง Russell 2000 ให้ผลตอบแทนในระดับ 7.5% ตามมาด้วยกลุ่ม Technology โดย Nasdaq ให้ผลตอบแทนเชิงบวกที่ระดับ 2.8% ใกล้เคียงกับ S&P500 index ที่มีผลตอบแทนเป็นบวกที่ 2.6% แรงจริงๆ ครับ 

 

ในช่วงปลายเดือน สหรัฐฯ ได้ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2 ของปี เพิ่มขึ้น 3.3% จากการเพิ่มขึ้นของการบริโภคภายในประเทศ นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับประเทศที่เน้นการบริโภค อย่าง สหรัฐฯ 

 

ตามมาติดๆ ก็เป็น นโยบายของ Fed ที่เริ่มมีทิศทางเป็นผ่อนคลาย หลังจากการประชุมที่ Jackson Hole ที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed กล่าวว่า อาจปรับท่าทีนโยบายการเงินตามความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลง และระบุว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังมีอยู่จากผลของภาษี reciprocal tariff ที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ความเสี่ยงฝั่งแรงงานก็เพิ่มสูงขึ้นชัดเจน และประกอบกับแคนดิเดต ประธาน Fed คนใหม่ก็สนับสนุนให้เริ่มลดดอกเบี้ยไตรมาสละ 0.25% ได้แล้ว จากภาวการณ์จ้างงานที่แย่ลง สรุป ประชุม Fed รอบหน้ามีโอกาสสูงมากที่ Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย 

 

หันมาที่ประเทศจีน ก็ขอมองผ่านตลาดหุ้นจีนอย่างดัชนี CSI300 ที่มีผลตอบแทนเป็นบวกราว 9.5% เนื่องจากนโยบาย China anti-involution ที่มุ่งเน้นในการปรับลดกำลังผลิตส่วนเกินในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักเช่น เหล็ก ปิโตรเคมี เป็นต้น เพื่อยับยั้งการแข่งขันด้านราคาอย่างสุดโต่ง ที่มีการตัดราคากัน พร้อมการส่งเสริมการควบรวมกิจการและปรับโครงสร้างตลาดให้มีคุณภาพขึ้น 

 

โดยภายหลังจากการประกาศนโยบายหลัก ก็เริ่มเห็นการตอบสนองในอุตสาหกรรมหลักต่างๆ เช่น ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีการทยอยลดกำลังผลิต พร้อมกันนี้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมทางจีนมีการลดกำลังผลิตของเหล็กในช่วงปี 2025-2026 เพื่อคุม อุปทานใหม่ 

 

กลับมาที่บ้านเราปัจจัยบวกเยอะมาก เริ่มจาก การผ่านงบประมาณรายจ่ายปี 2026 ที่ 3.78 ล้านล้านบาท ประกาศ GDP ไตรมาสที่ 2 ของไทยออกมาดีกว่าคาด ขยายตัว 2.8% จากตลาดคาด 2.5-2.7% และข่าวคุณทักษิณ ที่ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร คดี ม.112 ซึ่งข้อนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่อนุมานตามบรรยากาศการลงทุนว่าเป็นบวกก็แล้วกัน 

 

อย่างไรก็ตามภาวะการลงทุนในประเทศไทยค่อนข้างนิ่ง เพราะรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี คุณแพทองธาร ชินวัตร ประเด็นเรื่องจริยธรรม ในกรณี คลิปเสียงสนทนา กับ ฮุนเซ็น ซึ่งผลออกมาก็ไม่พลิก สรุป หลุด ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และ ครม. ก็เหลือแต่อำนาจรักษาการรอหา นายกรัฐมนตรี คนใหม่ วันนั้น ตลาดหุ้น ก็ปรับลงบ้างเพราะความไม่แน่นอน 

 

การลงทุนเดือนกันยายน คงต้องมาดูเรื่องการตามหา นายกรัฐมนตรี คนใหม่ และ หน้าตา ครม.ชุดใหม่จะเป็นอย่างไร แต่ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็น ชื่อ คุณชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย หรือ คุณอนุทิน ชาญวีรกุล จากพรรคภูมิใจไทย หรืออาจจะเป็นคนอื่น ปัจจัยพื้นฐานไม่น่าเปลี่ยนแต่บรรยากาศการลงทุน อาจจะเปลี่ยนทำให้เกิดความผันผวนในระยะสั้นได้ 

 

ซึ่งนักกลยุทธ์ส่วนใหญ่จะมองเป็นโอกาสเข้าลงทุนโดยเฉพาะผู้ที่ชอบสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น อย่างไรก็ตาม บนความผันผวน ก็น่าจะมีข่าวดีในเรื่องของทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทย เพราะ กนง. ก็ส่งสัญญาณชัดเจนในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ด้านเงินเฟ้อก็ยังปรับตัวลงไม่เป็นอุปสรรคต่อการลดอัตราดอกเบี้ย งบประมาณก็อยู่ในช่วงเร่งเบิกจ่าย 

 

ดูแล้วก็น่าจะพอไปไหวครับ 

 

ภาพ: Moment Makers Group/Getty Images

The post เริ่มต้นใหม่ สินทรัพย์เสี่ยงในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพจริงสงครามการค้ากำลังมา แนะลงทุนแบบกระจายลดผันผวนพอร์ต https://thestandard.co/trade-war-analysis-how-to-invest-now/ Thu, 12 Jun 2025 04:13:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1084252 สงครามการค้า แนะลงทุน

ภาพรวมการลงทุนทั่วโลกมองผ่านดัชนีหุ้นยังคงผันผวนในกรอบแ […]

The post ภาพจริงสงครามการค้ากำลังมา แนะลงทุนแบบกระจายลดผันผวนพอร์ต appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามการค้า แนะลงทุน

ภาพรวมการลงทุนทั่วโลกมองผ่านดัชนีหุ้นยังคงผันผวนในกรอบแคบๆ และออกไปในแนวฟื้นตัวขึ้นหลังจากวันที่ 2 เมษายน ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ Reciprocal Tariff

 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ก็ยังคงสร้างความผันผวนไปมาไม่ว่าจะเป็นการยกระดับ Tariff ขึ้นในระดับ เกิน 100% ต่อประเทศจีนและประเทศจีน ก็ขึ้น Tariff สวนกลับแบบ หมัดต่อหมัด ก็ถือว่าเป็นการเปิดฉากสงครามการค้าเป็นรอบที่สอง สำหรับประเทศอื่นๆ ที่โดนหนัก ก็เป็นแถวโซนยุโรป และมีเอเชีย โดยรวมก็โดนกันทั่วโลก อย่างไรก็ตาม พัฒนาการ การเจรจาทางการค้าก็ออกมาดีขึ้น บรรยากาศเริ่มดีขึ้น แต่ระดับที่โดนกันขั้นต่ำสุดก็ไม่น่าจะน้อยกว่า 10-15% ในเบื้องต้น ภาพรวมของตลาดโลกดูดี ยกเว้น ประเทศ

 

มาเริ่มที่การเจรจาทางการค้า กับอังกฤษ เหมือนจะได้ข้อสรุป และจีนเองต่างก็เริ่มขยับกำแพงภาษีลงและอาจจะรวมไปถึงการลดข้อจำกัดในเรื่องของการส่งออกสินค้าเทคโนโลยี และแร่หายาก ซึ่งน่าจะเป็นการเริ่มต้นการเจรจาการค้าที่ดี มีแนวโน้มที่สดใสขึ้น อย่างไรก็ตาม Reciprocal Tariff ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือลดการขาดดุลของสหรัฐฯ แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศที่พึ่งพาการบริโภค นโยบายนี้ดูจะสวนทางกับธรรมชาติของคนอเมริกัน ทำให้ความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจจะถดถอย เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวของอเมริกาพุ่งทะลุ 5% และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เดินหน้าอ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินทั่วโลก รวมทั้งไทยด้วย

 

ยิ่งไปกว่านั้นสถาบันจัดอันดับเครดิต คือ Moody ต้องออกมา ปรับ เครดิตประเทศสหรัฐฯ ลงจาก Aaa เหลือ Aa1 เนื่องจากหนี้สาธารณะและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการขาดดุลทางการคลังรวมถึงความล้มเหลวการดำเนินนโยบายการคลังที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะใช้นโยบายทางการเงินแบบตึงตัว เนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อที่เกิดจากการขึ้นกำแพงภาษี ดังนั้น การประชุม FOMC รอบนี้ ก็น่าจะคงอัตราดอกเบี้ย ที่ 4.25-4.5%

 

ทางด้านภูมิภาคเอเชียมีข่าวบวกอยู่บ้างแต่อาจจะไม่พอ ขอพูดนิดเดียว คือแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือ ธุรกิจรายย่อยของประเทศจีนมูลค่าล้านล้านหยวน ถือว่ามีดีกว่าไม่มี หลักๆ ก็เพื่อช่วยเศรษฐกิจในการปรับตัวรับกับการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ สำหรับประเทศไทย ก็คงต้องพูดแบบตรงไปตรงมาคือตลอดช่วงเวลาทองสองปีแรกของรัฐบาล แทบจะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นตัวช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายแจกเงินไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ออกมาไม่ทันและที่ออกมาก็ยังมีขนาดเล็กเกินไป งบประมาณที่พร้อมใช้กลับกลายเป็นงบกระจัดกระจาย เนื่องจากมีการจัดสรรงบประมาณที่ล่าช้า ไม่มีแผนแม่บท

 

ทั้งหมดนี้ต้องบอกว่า เวลาทองของประเทศไทยได้ผ่านไปแล้ว ล่าสุดการทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลมีอาการติดขัดและล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เกิดกระแสข่าวว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ในเร็วๆ นี้ ปัญหาการเมืองในประเทศและการดำเนินนโยบายที่ล่าช้าโดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ส่งผลทำให้ภาพการลงทุนสวนทางกับทั่วโลกดูได้ผ่านตลาดหุ้น

 

โดยดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก อย่าง MSCI ACWI index ให้ผลตอบแทนเป็นเพิ่มขึ้น 4.5% ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมานำโดยดัชนีหลักอย่าง S&P500 ที่มีปรับขึ้นผล 4.2% ดัชนีหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก Russell 2000 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.9% และดัชนีหุ้นเทคโนโลยีอย่าง NASDAQ ปรับขึ้นมากถึง 7.4% ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปก็สามารถสร้างผลงานได้ดีเช่นกันโดยประเทศเยอรมัน ดัชนี DAX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%, ดัชนี STOXX600 และ CAC 40 รวมถึง FTSE100 สามารถปรับขึ้นได้ในช่วง 2-3% ส่วนตลาดเอเชียก็สามารถฟื้นตัวได้ดีโดยเฉพาะตลาดในเวียดนามและตลาดไต้หวัน รวมทั้ง ฮ่องกง ก็ปรับขึ้น 6-7% ยกเว้น ประเทศไทยที่ปรับตัวลดลง ยกเว้น SET Index ที่ติดลบ

 

ภาวะการลงทุนในเดือนมิถุนายน การฟื้นตัวของตลาดโลกน่าจะแผ่วลง ในขณะที่ประเทศไทยน้ำหนักส่วนใหญ่ยังเป็นประเด็นทางการการเมือง และยังคงไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา การส่งออกออกมาดีเนื่องจากการเร่งสะสมสินค้าเพื่อรองรับมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ส่วนการท่องเที่ยวมีการปรับตัวเลขประมาณการลงแต่ก็ยังคงไว้ที่ระดับ 33-34 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย

 

ด้านมุมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย บลจ.วรรณ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายนจะยังคงเผชิญความผันผวน จากปัจจัยภายในประเทศที่อ่อนแอ แนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่หลากหลาย อาทิ กลุ่มTHAIESGX พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไขกรมสรรพากร และ กระจายการลงทุนในหุ้นกลุ่ม SETHD สำหรับผู้ต้องการเน้นหุ้นปันผล ควบคู่กับการกระจายความเสี่ยงผ่านกองทุนตราสารหนี้ อาทิ ONE-FAR และ ONE-DI รวมถึงการลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศและสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของพอร์ตในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

ภาพ: Javier Ghersi / Getty Images

The post ภาพจริงสงครามการค้ากำลังมา แนะลงทุนแบบกระจายลดผันผวนพอร์ต appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นไทยยังพอหายใจ https://thestandard.co/thai-stock-market-outlook-2025/ Sat, 10 May 2025 02:48:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1073017 thai-stock-market-outlook-2025

ตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภาวะการลงทุนโดยรวมไม่ว่าจะเป็น […]

The post หุ้นไทยยังพอหายใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-stock-market-outlook-2025

ตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภาวะการลงทุนโดยรวมไม่ว่าจะเป็นตลาดทุน หรือตลาดเงินต่างก็ได้รับผลกระทบในเชิงลบทั้งสิ้น เหตุผลหลักก็มาจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลก ในวันที่ 2 เมษายน โดยไทยถูกเรียกเก็บสูงถึง 36% แต่ความโกลาหลครั้งใหญ่ก็เกิดตามมาคือการตอบโต้กลับจากจีน กลายเป็นสงครามการค้าครั้งใหม่ 

 

ภาวะการลงทุนต้องเผชิญกับความผันผวนต่อการประกาศสงครามการค้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้ที่รุนแรงของจีนต่อสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น เพื่อลดความเสี่ยง (Sell-off & Risk-Off) อย่างไรก็ตาม หลังจากตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง ก็กลับฟื้นตัวขึ้น ขานรับ ต่อการประกาศของ ประธานาธิบดี “ทรัมป์” ในการสั่งประกาศเลื่อนเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศต่างๆ เป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นจีน ทำให้ตลาดหุ้นไทย และตลาดภูมิภาคเกิด Relief Rally 

 

อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ระหว่าง สหรัฐ และ จีน ยังคงดำเนินต่อไปอย่างรุนแรง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน สู่ระดับ 125% และ 145% ท่ามกลางการตอบโต้กลับที่แข็งแกร่งจากจีน และความตึงเครียดต่อสงครามการค้าได้มีสัญญาณอ่อนลงอีกครั้ง หลังจากที่สหรัฐได้ประกาศยกเว้นภาษีตอบโต้สำหรับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนอื่นๆ เซมิคอนดักเตอร์ เป็นการชั่วคราว และ รัฐมนตรีคลังสหรัฐและประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งสัญญาณอาจลดอัตราเรียกเก็บภาษีจากจีนลงในระยะถัดไป แต่จะไม่เป็น 0% ทำให้บรรยากาศดีขึ้น โดยตลาดคาดหวังว่าจะสามารถเจรจากันได้ในที่สุด 

 

ส่วนน้ำมันซึ่งชะลอตัวลงจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มถดถอย ก็ยังถูกกดดันเพิ่มจากการเพิ่มกำลังการผลิตจากกลุ่ม OPEC+ ฉุดราคาน้ำมันตลาดโลกร่วง ท้ายสุดคือ ทอง ซึ่งได้ปรับขึ้นไปเกือบถึงระดับ 3,500 เหรียญต่อออนซ์ สะท้อนความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก

 

สำหรับในประเทศไทย ก็ต้องบอกตรงว่าภาพเศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก ตัวช่วยคือการท่องเที่ยวก็ดูท่าทางจะไม่ค่อยดีเพราะนักท่องเที่ยวลดลงไปมาก ข่าวลบอีกข่าว คือ Moody ปรับลดแนวโน้ม Credit Rating ประเทศไทยเป็น “เชิงลบ” จากเดิม “มีเสถียรภาพ” แต่ยังให้อันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ Baa1 เหมือนเดิม ส่วนปัจจัยบวกในประเทศไทย มาจากตัวเลขการส่งออกเดือน มี.ค. ที่ยังคงเติบโต +17.8% ซึ่งสูงสุดในรอบ 36 เดือน และ ปัจจัยบวกในวันสุดท้ายของเดือน จาก การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ออกมาลดดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 1.75% ตามคาด ทำให้บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัวขึ้น 

 

สำหรับแนวโน้มเดือน พฤษภาคม ก็ต้องบอกว่าพอจะมีข่าวดีอยู่บ้าง คือ การจัดตั้งกองทุน Thai ESGX จำนวน 37 กองทุน จาก 19 บลจ. ดีเดย์เสนอขายพร้อมกันเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาท และ วันที่ 13 พฤษภาคม การเปิดให้โอน LTF เพื่อดึงเม็ดเงินใหม่ 1.5-2 หมื่นล้านบาท – LTF กว่า 1.5 แสนล้านบาท ตามที่สมาคมบลจ.คาดว่าจะมีรีเทิร์นไม่ต่ำกว่า 10% ท้ายสุดคือ ความชัดเจนจากการออก พรบ.เงินกู้เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท เพื่อพยุงเศรษฐกิจ  มองยังเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้นไทย

 

พอร์ตการลงทุนเดือน พฤษภาคม หุ้นไทย SET Index อยู่ในระดับที่ต่ำมากยังมองเป็นระดับที่น่าสนใจ พอร์ตการลงทุน ยังคงหุ้นไว้ที่ 50% เป็นสหรัฐฯ 15% ส่วน ยุโรป และญี่ปุ่น รวมกัน 10% เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 20% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% และตลาดเงิน 10% ที่เหลือลงทุนในทอง น้ำมัน และรีทส์ รวมกันเป็น 10%


ภาพ: OMG_Studio / Shutterstock

The post หุ้นไทยยังพอหายใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความกังวลใหม่ Stagflation (มีเงินแต่ไม่อยากใช้) https://thestandard.co/opinion-economic-stagflation/ Sun, 06 Apr 2025 03:35:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1061143

ภาพการลงทุนโดยรวมในเดือน มีนาคมที่ผ่านมา อาจจะพูดได้ว่า […]

The post ความกังวลใหม่ Stagflation (มีเงินแต่ไม่อยากใช้) appeared first on THE STANDARD.

]]>

ภาพการลงทุนโดยรวมในเดือน มีนาคมที่ผ่านมา อาจจะพูดได้ว่ามีพัฒนาการในเชิงลบ มากกว่าไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความกังวลส่วนใหญ่กระจายไปในเรื่องของโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเริ่มถดถอยลง อันเนื่องมาจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนั้น ความกังวลเรื่อง เงินฝืดในหลายประเทศทั่วโลกเนื่องจากนโยบายภาษีดังกล่าว ก็ทำให้ความกังวลเรื่องภาวะเงินฝืดหรือมีเงินแต่ไม่ใช้ Stagflation เริ่ม ขยายตัวออกไปในวงกว้าง

 

ภาพต่างประเทศ ความกังวลต่อปัจจัยสงครามการค้าของสหรัฐ และมาตรการตอบโต้จากประเทศที่ถูกขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า หรือนโยบายภาษีเท่าเทียม โดยจีนได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่มเติมสูงสุด 15% และจีนได้ประกาศว่าพร้อมที่จะทำสงครามการค้าในทุกรูปแบบกับสหรัฐ ในขณะที่ยุโรป ได้ออกมาตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว โดยประกาศใช้มาตรการตอบโต้ที่รวดเร็วกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และแคนาดาได้ประกาศว่า จะเก็บภาษี 25% กับสินค้าสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 2.08 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมุ่งเป้าไปที่เหล็ก อะลูมิเนียม และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์กีฬา

 

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย จากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเดินหน้าสงครามการค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับภาวการณ์ลงทุนทั่วโลก

 

สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด และ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งต่ำกว่าคาด และต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ทำให้คาดกันว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง จากเดิมคาดไว้ 2 ครั้ง

 

แต่อย่างไรก็ตาม ความกังวลสงครามการค้าที่อาจสร้างความรุนแรงมากขึ้นคือ การตอบโต้ของสหรัฐ ที่เตรียมประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบที่สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าจากไทยด้วย ประมาณการผลกระทบที่อาจจะมาจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย จะทำให้ GDP ของประเทศไทยลดลง ประมาณ 0.3 – 0.6 % มีผลทำให้ GDP ไทยปีนี้ต่ำกว่า 3% แน่นอน

 

สำหรับภาพในประเทศ ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมา ไม่ดีส่วนใหญ่เป็นผลจาก ไตรมาส 4/67 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลต่อการทบทวนประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2568 ต่อมาในช่วงปลายเดือน ก็มีเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแต่ก็ไม่มีสาระสำคัญอะไร เสถียรภาพรัฐบาลยังเหมือนเดิม

 

ในช่วงสิ้นเดือนตลาดหุ้นได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วจากแผ่นดินไหวในประเทศไทยทำให้ตลาดหุ้นฯ ต้องหยุดทำการซื้อขายในช่วงบ่ายของวันที่ 28 มี.ค. เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่ก่อให้เกิดบรรยากาศที่เป็นลบระยะสั้น ในขณะที่ภาวะการลงทุนยังคงถูกกดันจากภาพเศรษฐกิจในประเทศที่มีพัฒนาการถดถอยมากกว่า

 

ปัจจัยบวกยังพอมี เช่น

  1. การประกาศตัวเลขส่งออกเดือนกุมภาพันธ์เติบโต 14% y-y อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง
  2. พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ คาสิโนได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว
  3. ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว เพื่อประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์ 
  4. ก.ล.ต. ออกเกณฑ์รองรับการจัดตั้งและจัดการกองทุน Thai ESGX โดย คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ Thai ESG Extra รับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท
  5. บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจได้ข้อสรุปการออก ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เฟส 3 ให้กับกลุ่มเจน Z หรือช่วงอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน
  6. จีนเร่งประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เตรียมพร้อมออกบอนด์ 1.3 ล้านล้านหยวน ภายในปีนี้

 

มาเล่าบรรยากาศการลงทุนด้วยตลาดหุ้นดีกว่า SET Index ในเดือนมีนาคม 2568 ปิดที่ 1,158.09 จุด ดัชนีปรับลดลง 45.63 จุด (-3.8%) โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 38,097 ล้านบาท ลดลง 25.9% จากเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เหตุผลหลักก็มาจากความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่เข้าสู่ภาวะถดถอย และเศรษฐกิจจีนที่อาจเกิดภาวะเงินฝืด เล่าสั้นๆ แค่นี้ก็พอครับ

 

สำหรับเดือน เมษายน ภาพการลงทุนไม่น่าเปลี่ยนแปลง หลายสำนักบอกว่าตลาดหุ้นต่ำแล้ว ส่วนตลาดตราสารหนี้ ยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอนแนวโน้ม กนง. อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกสักครั้ง ราคาน้ำมันมีทิศทางปรับตัวลดลงมาจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ราคาทองยังปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากความไม่แน่นอน เรื่องสงครามจริงและสงครามการค้า

 

ปัจจัยที่น่าจับตามองสำหรับเดือน เมษายน คือ นโยบายภาษีของสหรัฐฯที่จะประกาศในวันที่ 2 เม.ย. และ ความคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

 

อย่างไรก็ดี การลงทุนในเดือนนี้ ระดับของ SET Index อยู่ในระดับที่ต่ำมาก พอร์ตการลงทุน ยังควรที่จะมีหุ้น 50% แต่มีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้น เน้นกระจายสหรัฐฯ 15% ส่วน ยุโรป และ ญี่ปุ่น รวมกัน 15% เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 15% และจีน 5%

 

ทั้งนี้การวางกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงถัดจากนี้แนะนำกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะข้างหน้าพร้อมจับจังหวะช่วงตลาดฟื้นตัว หลังตลาดหุ้นโลกถูกกดดันจากความกังวลด้านสงครามการค้าที่รุนแรง อีกทั้ง จากข้อมูลในไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่า หุ้นมูลค่า (Value) และหุ้นปลอดภัย (Defensive Stocks) หุ้นกลุ่มนี้ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเฉลี่ยในไตรมาสแรก หากเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) และหุ้นเติบโต (Growth) ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนควรมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างเหมาะสม

 

ภาพ: Denisfilm / Getty Images

The post ความกังวลใหม่ Stagflation (มีเงินแต่ไม่อยากใช้) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ติดตามนโยบายเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ https://thestandard.co/opinion-tracking-us-economic/ Sun, 09 Feb 2025 03:53:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1039952

ผ่านเดือนแรกของปีไปแบบนิ่งๆ แต่มีสั่นๆ ช่วงปลายเดือน หล […]

The post ติดตามนโยบายเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผ่านเดือนแรกของปีไปแบบนิ่งๆ แต่มีสั่นๆ ช่วงปลายเดือน หลายปัจจัยที่เป็นโมเมนตัมต่อเนื่องจากปีที่แล้วยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความกังวลที่มาจากนโยบาย America First, ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็น่าจะมาพร้อมกับ Executive Order หรือประกาศฉุกเฉินในการใช้อำนาจประธานาธิบดีโดยไม่ต้องผ่านสภา โดยมีเป้าหมายหลักๆ คือจัดการผู้อพยพ และขึ้นภาษีนำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ถัดมาก็น่าจะเป็นเรื่องทิศทางของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกว่าจะรับมือกับสงครามการค้าครั้งใหม่อย่างไร

 

สำหรับในประเทศไทยถือว่าเป็นช่วงจับจ่ายใช้สอยตามนโยบายรัฐบาล เช่น ช้อปดีมีคืน และแจกเงิน 10,000 บาทสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งน่าจะช่วยเรื่องการบริโภค แต่ไม่น่าจะช่วยภาพรวมการลงทุนมากนัก

 

สำหรับสถานการณ์ตลาดหุ้น ภาพรวมตลาดหุ้นต่างประเทศในเดือนมกราคม (ณ วันที่ 30 มกราคม) ให้ผลตอบแทนเชิงบวก โดยดัชนี MSCI ACWI ให้ผลตอบแทนเป็นบวกที่ 3.3% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จากผลตอบแทนเชิงบวกในตลาดหุ้นหลักอย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะที่ดัชนี Dow Jones ให้ผลตอบแทนเชิงบวกในระดับ 4.7% ทำผลตอบแทนได้ดีกว่า S&P 500 และ Nasdaq จากการที่หุ้น Value ทำได้ดีกว่าหุ้น Growth

 

สำหรับตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในเดือนมกราคมคือตลาดในกลุ่มประเทศยุโรป อย่างประเทศเยอรมนีที่ดัชนี DAX ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 9.2% และดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศส ที่ให้ผลตอบแทนเชิงบวกราว 7.7% ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษ ให้ผลตอบแทนราว 6.1% แต่สำหรับกลุ่มในประเทศเอเชียอย่างญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนติดลบ หลังจากที่ BOJ ขึ้นดอกเบี้ย

 

ปัจจัยสำคัญในเดือนมกราคมคือการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างความไม่แน่นอนทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ และตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะดัชนีภาคบริการของสหรัฐฯ ที่สูงสุดในรอบ 2 ปี รวมถึงข้อมูลตลาดการจ้างงานที่ดีกว่าคาด ทำให้มุมมองการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้อาจมีโอกาสแค่ครั้งเดียวหรืออาจไม่ลดเลย โดยเมื่อวันที่ 29 มกราคม Fed มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.50% ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณไม่รีบลดอัตราดอกเบี้ย

 

อีกประเด็นคือ การมาของ AI จากประเทศจีนชื่อ DeepSeek และ Qwen2.5 จาก Alibaba ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่า ChatGPT โดยที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก ทำให้ตลาดหุ้น Nasdaq เจอกับความผันผวนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะหุ้น Chips Maker เช่น NVIDIA ปรับตัวลงอย่างรุนแรง สำหรับตลาดในยุโรป ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นจากเศรษฐกิจที่มีสัญญาณฟื้นตัวจากภาคการผลิต รวมถึงผลประกอบการกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูที่เกี่ยวข้องกับเครื่องประดับและนาฬิกาที่ดีกว่าคาด และการที่ทรัมป์ยังไม่มีการส่งสัญญาณขึ้นภาษีกับยุโรป ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปยังดีอยู่

 

ขณะที่ตลาดฝั่งเอเชียอย่างตลาดญี่ปุ่นปรับตัวลดลง -0.8% จากการที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวขึ้น ด้านตลาดจีนและฮ่องกงได้รับปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลจีนสั่งการให้กองทุนหุ้นและบริษัทประกันเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหุ้นสามัญในประเทศ โดยจะเพิ่มสัดส่วน 10% ทุกปีภายใน 3 ปีสำหรับกองทุนรวม และสำหรับกองทุนประกันต้องจัดสรรเงินลงทุน 30% ของรายได้จากเบี้ยประกันใหม่ (New Premium Revenue) ในการลงทุนหุ้นภายในประเทศจีน อีกทั้งมีการเพิ่มสภาพคล่องจาก BOC ราว 2.2 ล้านล้านหยวน ผ่านตลาดรับซื้อคืนพันธบัตรประเภทไม่เกิน 14 วัน

 

สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคมปรับตัวลดลงราว 6.1% ตลาดโดยรวมยังคงดูอ่อนแอในเกือบทุกอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มธนาคารที่ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินไหลออกจากอุตสาหกรรมอื่น และจากผลกำไรที่คาดว่าจะยังดีอยู่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลและการซื้อหุ้นคืน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในสภาวะที่มีการเติบโตต่ำ นอกจากนี้ ตลาดยังคงไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาเสริมนอกเหนือไปจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างช้อปดีมีคืนและเงินดิจิทัลเฟส 2

 

มุมมองการลงทุนในเดือนกุมภาพันธ์ ยังคงมีมุมมองเป็นบวกในตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกยังมีมุมมองที่ปรับตัวลง ในขณะที่หุ้นทุนดูเหมือนจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าที่อาจปะทุขึ้นเมื่อไรก็ได้ นอกนั้นยังคงเป็นปัจจัยเดิมคือภาวะตึงเครียดในตะวันออกกลางและยูเครน สิ่งที่ต้องจับตาและตลาดให้ความสำคัญคือการเริ่มนโยบายของทรัมป์ในการขึ้นภาษีนำเข้าประเทศอื่นเพิ่มเติม การรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4 ของไทย และติดตามการประชุมธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก

 

พอร์ตการลงทุนเดือนกุมภาพันธ์ SET Index อยู่ในระดับที่ต่ำมาก พอร์ตการลงทุนยังควรที่จะมีหุ้น 50% แต่มีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้น โดยแบ่งเน้นที่สหรัฐฯ 15% ส่วนยุโรปและญี่ปุ่น รวมกัน 15%, เวียดนาม อินเดีย และไทย รวมกันไม่เกิน 15% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15%, ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% และตลาดเงิน 10% ที่เหลือลงทุนในทอง น้ำมัน และ REIT รวมกันเป็น 10%

 

ภาพ: Steve Christensen / Getty Images

The post ติดตามนโยบายเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพใหญ่เริ่มดีขึ้น https://thestandard.co/investment-overview-2024/ Sun, 10 Nov 2024 05:12:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1006725 การลงทุน

เดือนที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นเดือนที่น่าจะดีที่สุดของปี ด […]

The post ภาพใหญ่เริ่มดีขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
การลงทุน

เดือนที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นเดือนที่น่าจะดีที่สุดของปี ดัชนีหุ้นปรับตัวดีที่สุดในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยหลักก็มาจากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ก่อนหน้าที่กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จะเริ่มเข้าลงทุนอย่างเป็นทางการ ทำให้ครึ่งเดือนแรกนี้ต้องยกให้ตลาดหุ้น ส่วนครึ่งเดือนหลังจะมาจากตราสารหนี้ ที่ผลตอบแทนปรับทิศทางเป็นปรับตัวลงเกินความคาดหมาย เมื่อมติ กนง. ออกมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหนือความคาดหมายของนักลงทุน เพราะส่วนใหญ่ไม่คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงในรอบนี้

 

ในช่วงสัปดาห์สุดท้าย ประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็กลับเข้ามาเป็นปัจจัยหลักของนักลงทุนทั่วโลก ทำให้ ณ ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ภาพรวมการลงทุนจะดูนิ่งๆ เพราะจับตาดูผลของการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด ก่อนที่สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกจะดีดตัวขึ้นเมื่อทราบว่าทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้

 

ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ เริ่มจากสหรัฐฯ การจ้างงานนอกภาคเกษตรมากกว่าคาดที่เพิ่มขึ้น 233,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่คาดและสูงสุดในรอบ 1 ปี อัตราการว่างงานที่ปรับตัวลงมาที่ 4.05% GDP ไตรมาส 3 ขยายตัวในระดับ 2.8% ถึงแม้จะออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 3% เกิดจากการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ Net Export ลดลง แต่การบริโภคที่เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.7% เทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส สะท้อนภาพความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เริ่มปรับมุมมองของ Federal Funds Rate จากเดิมที่คาดว่าจะลดอีก 0.5% เป็น 0.25% ซึ่งก็เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดคือ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นการปรับลดลงก่อนหน้า 2-3 วัน หลังจากทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ทำให้ความกังวลที่จะมีการนำมาซึ่งนโยบายกีดกันทางการค้า การขึ้นภาษีศุลกากร และข้อจำกัดด้านผู้อพยพ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของทรัมป์น่าจะเริ่มมีผลได้หลังจากประชุมสภาครั้งแรก ซึ่งน่าจะประมาณกลางไตรมาส 2 ของปีหน้า นโยบายเหล่านั้นอาจจะเป็นการเร่งให้อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นมาสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่ Federal Funds Rate อาจจะไม่สามารถลดลงได้ตามที่คาดหมายกันไว้ก่อนหน้านี้

 

ขยับมาที่ยุโรปกันบ้าง เศรษฐกิจของยุโรปมีการขยายตัวของ GDP ราว 0.9% มากกว่าคาด นำโดยเยอรมนีที่ GDP สามารถขยายตัว 0.2% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับช่วง 3 เดือนก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของรัฐบาลและภาคครัวเรือน ตัวเลขขยายตัวดังกล่าวดีกว่าที่คาดการณ์กันไว้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของเยอรมนีสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยมาได้ และมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% มากกว่าคาดที่ 1.8%

 

ในส่วนของภูมิภาคเอเชีย เศรษฐกิจของประเทศจีนเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้งโดยเฉพาะภาคการผลิตของจีนที่มีการรายงาน PMI ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 50.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 49.8 ในเดือนที่แล้วและดีกว่าที่คาดการณ์ ในขณะเดียวกันรัฐบาลจีนเองก็เตรียมแผนตอบโต้ต่อกำแพงภาษีที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา โดยมีการประชุมคณะกรรมาธิการสามัญในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ซึ่งเป็นองค์กรนิติบัญญัติสูงสุดของประเทศ

 

ภาพรวมตลาดหุ้นต่างประเทศในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเชิงบวกในตลาดสหรัฐอเมริกา นำโดยดัชนี NASDAQ ที่ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 2.3% เป็นรองเพียงตลาดญี่ปุ่นที่ดัชนี NIKKEI ให้ผลตอบแทนราว 3.2% ในขณะที่ตลาดที่ให้ผลตอบแทนเชิงลบคือตลาดยุโรป ดัชนี EURO STOXX 50 มีดัชนีติดลบ 2.29% และตลาดจีนและฮ่องกงที่มีผลตอบแทนเชิงลบที่ระดับ 2.5-2.7% ตามลำดับ ในขณะที่ตลาดอินเดียปิดลบถึง 5.7% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y UST) ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากจากระดับ 3.80% มาที่บริเวณ 4.30% มาจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดี ปิดเดือนดัชนี MSCI ACWI แกว่งตัวคงที่ในเดือนตุลาคม

 

สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.62% ได้รับ Sentiment เชิงบวกเล็กน้อยจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยครั้งแรกที่ 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปที่ระดับ 2.25% แต่ไม่คาดว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเหมือนอย่างในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นเพียงการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เข้าสู่สภาวะสมดุลมากขึ้น

 

นอกจากนี้ ตลาดยังคงคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มต่อจากรัฐบาลในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี

 

โดยที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิมากถึง 2.8 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับการซื้อสุทธิในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนสถาบันมีการซื้อสุทธิราว 3.2 หมื่นล้านบาท คาดส่วนหนึ่งมาจากกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง

 

สำหรับเดือนพฤศจิกายน ผมแนะนำให้ปล่อยพอร์ตการลงทุนหุ้นไทยให้เป็นไปตามภาพใหญ่ในระดับโลก ดูค่อนข้างดีและน่าจะยาวไปตลอดเดือนนี้ และค่อยพิจารณาทำกำไรเมื่อ SET Index ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,500 จุด

 

อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ พอร์ตการลงทุนยังควรที่จะมีหุ้น 50% โดยแบ่งเน้นที่สหรัฐฯ 15% เนื่องจากปีแรกหลังการเลือกตั้งหุ้นสหรัฐฯ มักจะปรับตัวสูงขึ้น ส่วนยุโรปและญี่ปุ่นรวมกัน 15% ส่วน เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 15% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% และตลาดเงิน 10% ที่เหลือลงทุนในทองคำ น้ำมัน และรีท รวมกันเป็น 10%

 

ภาพ: ben-bryant / Getty Images, anyaberkut / Getty Images

The post ภาพใหญ่เริ่มดีขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
โมเมนตัมเชิงบวกยังอยู่ https://thestandard.co/positive-momentum-still-exist/ Sat, 05 Oct 2024 06:24:37 +0000 https://thestandard.co/?p=992052 ตลาดหุ้นไทย

ภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา กา […]

The post โมเมนตัมเชิงบวกยังอยู่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหุ้นไทย

ภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา การลงทุนได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยบวกและเป็นปัจจัยต่างประเทศ มีผลทำให้ตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น และในตลาดตราสารหนี้ การปรับเปลี่ยนทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ก็มีผลทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรทั่วโลกปรับตัวลดลง สะท้อนถึงการยุติวงจรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ย 

 

เรามาดูกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันบ้าง ขอเริ่มจากฝั่งตะวันตก นำโดยสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนกันยายน การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก 0.50% จาก 5.50% เป็น 5.00% จบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นในฝั่งสหรัฐฯ และเป็นครั้งแรกของการลดอัตราดอกเบี้ยขนาด 0.50% ตั้งแต่ช่วงปี 2008 ทั้งนี้ FOMC ยังมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.50% ในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี ขณะที่ความกังวลด้านเศรษฐกิจถดถอยใน EU เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้น ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ที่ 0.25% ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายน เป็น 3.5% เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงในเดือนสิงหาคมมาอยู่ที่ 2.2% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 3 ปี 

 

และในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ โดยคาดหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวให้ถึง 5% เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งประกอบไปด้วย 

 

  1. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสำหรับธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรอายุ 7 วัน (Reserve Repo) ลง 0.2% จาก 1.7% เหลือ 1.5% 
  2. ปรับลดอัตราส่วนกันเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% ที่จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบราว 1 ล้านล้านหยวน โดยคาดว่าจะยังสามารถปรับลดลงได้อีก 0.25-0.50% 
  3. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยลง 0.5% และปรับลดอัตราเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับอสังหาริมทรัพย์มือสองมาที่ 15% จาก 25% 
  4. อนุญาตให้กองทุน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทประกันภัย เข้าถึงแหล่งเงินทุนพิเศษที่สามารถใช้ทรัพย์สินค้ำประกันเพื่อแลกเปลี่ยนสภาพคล่องจาก PBOC ในการซื้อหุ้นได้ รวมถึงการจัดตั้งแหล่งเงินทุนเฉพาะสำหรับบริษัทจดทะเบียนและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพื่อให้สามารถซื้อหุ้นคืนหรือเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นตอบรับเชิงบวกเป็นอย่างมาก 

 

เดือนกันยายน MSCI ACWI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% นำโดยสหรัฐฯ ทั้ง Dow Jones, NASDAQ และ S&P 500 สร้างผลตอบแทนให้ได้ 2.0-2.5% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางเดือน ในขณะที่ตลาดยุโรป ดัชนี EURO STOXX 50 ให้ผลตอบแทน 2.73% 

 

ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น นำโดยตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงที่สร้างผลตอบแทนในเดือนกันยายนมากถึง 11.5% และ 15% ตามลำดับ หลังจากจีนส่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนชุดใหญ่ในวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา 

 

สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนกันยายนก็ปรับตัวขึ้น 7% ได้รับผลเชิงจิตวิทยาจากการขายกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง และกระแสเงินไหลเข้ามาในเอเชียอย่างต่อเนื่องหลัง Fed ปรับลดดอกเบี้ย และการเริ่มแจกเงิน 10,000 บาทสำหรับกลุ่มเปราะบาง ทำให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีพลิกกลับขึ้นมาอยู่ในแดนบวกประมาณ 3% ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทยไม่ได้ส่งผลตอบรับจากการปรับลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ มากนัก แต่ในทางกลับกัน กระแสเงินที่ไหลเข้าเอเชียมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับค่าเงินสหรัฐฯ

 

สำหรับมุมมองการลงทุนในเดือนตุลาคม ภาพการลงทุนโดยรวมยังคงมีโมเมนตัมต่อเนื่องจากเดือนกันยายน ตลาดหุ้นยังมีทิศทางเป็นบวก ทั้งจากเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มเปราะบาง ตลาดตราสารหนี้ ผลตอบแทนน่าจะยังอยู่ในช่วงแคบๆ ซึ่งคงต้องจับตามองทิศทางของคณะกรรมการนโยบายการเงินอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องที่ต้องระมัดระวังก็คงเป็นเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย และสถานการณ์การสู้รบทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง 

 

คำแนะนำการลงทุนในเดือนกันยายน ภาพใหญ่ในระดับโลกดูค่อนข้างดีและมีโมเมนตัม ซึ่งน่าจะยาวไปจนถึงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ดังนั้น กลยุทธ์ Let Profit Run ในส่วนของหุ้นน่าจะเหมาะสมกว่า และค่อยพิจารณาที่จะ Lock Profit เมื่อ SET Index เกินระดับ 1,480 จุด เป็นจุดพิจารณาที่จะเพิ่มการถือครองเงินสดขึ้น 5-10% 

 

อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ พอร์ตการลงทุนยังควรมีหุ้น 50% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% และตลาดเงิน 10% ที่เหลือลงทุนในทอง น้ำมัน และ REIT รวมกันเป็น 10% 

The post โมเมนตัมเชิงบวกยังอยู่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์หุ้นกลุ่มเทค https://thestandard.co/us-economy-tech-stocks-impact/ Wed, 07 Aug 2024 09:08:05 +0000 https://thestandard.co/?p=968455 เศรษฐกิจสหรัฐฯ

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนส่วน […]

The post เศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์หุ้นกลุ่มเทค appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจสหรัฐฯ

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งกระแสการลงทุนที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีผลมาจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ ยังมีปัญหาความไม่สงบและภาวะสงครามระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง เป็นปัจจัยที่ยังรอความชัดเจนและพร้อมสร้างความผันผวนใหม่ได้ หากมีความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น

 

ในแง่ของตัวเลขเศรษฐกิจ การรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ตัวเลขอัตราการว่างงานที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดการณ์ โดยแตะระดับ  4.1% อีกทั้งตัวเลขอัตราการว่างงานเฉลี่ย 3 เดือนปรับเพิ่มสูงขึ้น 0.5% จากจุดต่ำสุด สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะต่อไป ต่อเนื่องด้วยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงแรงจาก 3.3% มาแตะระดับ 3.0% สอดคล้องกับมุมมองของ Fed ที่เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะทยอยปรับตัวลงสู่ระดับ 2.0% ตามคาด

 

ดังนั้น Fed มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้ถึง 3 ครั้งในปีนี้ จากการคาดการณ์ดังกล่าว ทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ เริ่มอ่อนค่าลง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ทั้งนี้ ค่าเงินสหรัฐฯ ยังต้องประสบกับแรงขายอย่างรุนแรง เป้าหมายที่โดนขายออกมามากคือหุ้นกลุ่ม เทคโนโลยี เป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ถือครองอยู่เป็นจำนวนมากและค่อนข้างกระจุกตัว

 

อีกเหตุการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจแต่ขอแตะนิดเดียวคือ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ถูกลอบสังหารแต่ก็รอดมาได้ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหุ้นเสียทรงกันนิดหน่อย แต่ผมมองว่าเรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนเป็นขาลง พร้อมกับแรงขายหุ้นเทคโนโลยีเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อภาวะการลงทุนอย่างแท้จริงครับ

 

ดัชนี MSCI ACWI เดือนกรกฎาคม ปรับตัวลง 0.1% โดยดัชนีหุ้นในตลาดหลักปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดเกิดใหม่ สะท้อนจากดัชนี MSCI World ที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.1% ขณะที่ MSCI EM ปรับลดลง 1.3% โดยแรงกดดันหลักมาจากทางฝั่ง MSCI Asia ex Japan ที่ตลาดปรับตัวลง 1.7% โดยประเทศหลักที่ปรับตัวลงแรงคือ จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น ในขณะที่ตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ในเอเชียใต้ที่ไม่มีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ กลับปรับตัวสูงขึ้นสวนทิศทางของตลาดหุ้นขนาดใหญ่ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

 

ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีของสหรัฐฯ ปิดปรับตัวลง 0.40% จาก 4.75% ในเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 4.36% ในเดือนกรกฎาคม และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลง 0.26% จาก 4.40% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 4.14% ในเดือนกรกฎาคม ถือว่าเป็นการปรับตัวลงที่สูงและเร็วมาก ซึ่งสอดรับกับแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในส่วนราคาทองปรับตัวขึ้น 3.6% เป็น 2,410.78 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สอดคล้องกับค่าเงินสหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง 1.2% ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ปรับตัวลง 9.0% เป็น 78.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายหลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านและอิสราเอลดูลดระดับลง

 

สำหรับตลาดหุ้นไทยเดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 0.5% แต่ตั้งแต่ต้นปีปรับตัวลงถึง 7.6% ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า MSCI ACWI มากที่ปรับตัวขึ้น 10.2% โดยช่วงต้นเดือนดัชนี SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดโลก ตามการคาดการณ์ที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยตอบรับเชิงบวกได้ไม่นานครับ เรามีประเด็นทางการเมืองสำคัญที่เข้ามากดดันหลายคดี โดยใกล้ถึงวันที่ศาลจะอ่านคำวินิจฉัยตัดสินคดี ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปี ทรงตัวที่ระดับ 2.33% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับตัวลง 0.08% เป็น 2.59% ไม่มีนัยอะไร ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิ 1.19 แสนล้านบาทในตลาดหุ้นไทย และขายสุทธิ 2 หมื่นล้านบาทในตลาดตราสารหนี้จากต้นปี ขณะที่ค่าเงินบาทเทียบ USD แข็งค่าขึ้น 2% เป็น 35.98 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกรกฎาคม 2567 แต่อ่อนค่ากว่า 5.4% จากต้นปี

 

มุมมองการลงทุนเดือนสิงหาคม ความกังวลยังให้น้ำหนักที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์กันหรือไม่ ซึ่งจะกระทบภาวะการลงทุนได้ในที่สุด เพราะอัตราการว่างงานส่งสัญญาณจะมีโมเมนตัมต่อเนื่องไม่น่าจะหยุดได้ง่ายนัก รวมๆ ก็น่าจะถึงเวลาขายกลุ่มเทคโนโลยี และหาจังหวะกระจายการลงทุนออกจากสกุลเงินสหรัฐฯ ผมมองว่าภาวะแบบนี้อาจยาวถึงสิ้นปีได้

 

ขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทยเรา มองว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีจะแกว่งไปมาอยู่แถวนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจัยหลักที่ยังให้น้ำหนักคือความนิ่งของสถานการณ์การเมืองของไทยเอง ซึ่งหากการเมืองภายในประเทศเราชัดเจน บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของเราจะเห็นทางเดินชัดเจนขึ้นเช่นกันครับ

 

ผมยังคงให้คำแนะนำเป็นแบบ Moderate คือมีหุ้น 50% เป็นสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศละ 10% เวียดนาม อินเดีย ไทย รวมกันไม่เกิน 15% และจีน 5% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 15% ตราสารหนี้เอกชนระยะกลางที่อยู่ในระดับ Investment Grade 15% ตลาดเงิน 10% ที่เหลือ ลงทุนใน น้ำมัน ทอง และ REIT รวมกัน 10%

The post เศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์หุ้นกลุ่มเทค appeared first on THE STANDARD.

]]>
บรรยากาศตลาดหุ้นไทย ให้น้ำหนักปัจจัยทางการเมือง https://thestandard.co/thai-stock-market-atmosphere/ Sun, 07 Jul 2024 03:00:22 +0000 https://thestandard.co/?p=954526

เริ่มกันตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน ภาพการลงทุนทั่วโลกต่างก […]

The post บรรยากาศตลาดหุ้นไทย ให้น้ำหนักปัจจัยทางการเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>

เริ่มกันตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน ภาพการลงทุนทั่วโลกต่างก็ปรับตัวลดลง โดยตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นการปรับขึ้นลงตามโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ในขณะที่ประเทศไทยจะเป็นการปรับตัวลดลง มาจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยุบพรรคหรือเรื่องการถอดถอนนายกรัฐมนตรี 

 

ภาพการลงทุนในต่างประเทศมีทิศทางปรับตัวขึ้นลงตามการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยในรอบนี้มีการประมาณการว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ถึง 2 ครั้ง ก่อนสิ้นปี เป็นผลมาจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง และอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงจาก 3.4% เป็น 3.3% ทั้งหมดนี้ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับลดลงและค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า หนุนให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลการประชุม FOMC ของ Fed ออกมาเป็นคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.50% และทำให้ประมาณการการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง เป็นเหลือเพียง 1 ครั้ง 

 

อย่างไรก็ดี นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าการพิจารณาในที่ประชุม FOMC ครั้งนี้ยังไม่ได้รวมทิศทางตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดที่ประกาศก่อนการประชุม FOMC เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะยังคงเป็น 2 ครั้ง ตามที่ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้

 

ภาพตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้น 2.1% ดัชนีหุ้นในตลาดหลักปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่าตลาดเกิดใหม่ สะท้อนจากดัชนี MSCI World ที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.9% ขณะที่ MSCI EM ปรับขึ้นสูงถึง 3.6% แรงกดดันหลักมาจากตลาดหุ้นฝั่งยุโรปที่ปรับตัวลดลง 1.8% หลังดัชนีหุ้น FTSE ของอังกฤษ และดัชนี CAC ของฝรั่งเศส ต่างก็ปรับตัวลดลงเนื่องจากเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังอังกฤษและฝรั่งเศสประกาศยุบสภาและเตรียมจัดให้มีการเลือกตั้ง อีกทั้งตลาดยุโรปปรับตัวลงตามความกังวลว่าจีนอาจมีมาตรการตอบโต้หลังยุโรปประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถ EV จากจีนเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 38% ส่วน MSCI Asia ex Japan เพิ่มขึ้น 3.9% นำโดย TAIEX (ไต้หวัน) 8.8%, KOSPI (เกาหลีใต้) 6.1% และ SENSEX (อินเดีย) 6.9%

 

มาที่ตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีของสหรัฐฯ ปิดปรับตัวลง 0.12% จาก 4.87% ในเดือนพฤษภาคม มาอยู่ที่ 4.75% ในเดือนมิถุนายน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลง 0.10% จาก 4.50% ในเดือนพฤษภาคม มาอยู่ที่ 4.40% ในเดือนมิถุนายน ราคาทองทรงตัวที่ 2,325 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น 5.9% เป็น 86.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังที่ประชุม OPEC+ มีมติขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตแบบสมัครใจออกไปจากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนนี้ ไปเป็นสิ้นเดือนกันยายน 2567

 

มาดูที่ประเทศไทย ตลาดหุ้นไทยเดือนมิถุนายน ปรับตัวลดลง 3.3% และปรับตัวลงถึง 8.1% ตั้งแต่ต้นปี ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) มากถึง 10.3% แรงกดดันหลักมาจากปัจจัยในประเทศต่อเนื่องจากปลายเดือนพฤษภาคม หลังสภาพัฒน์รายงานตัวเลข GDP ไทยไตรมาสแรกที่ขยายตัวต่ำเพียง 1.5% แต่ที่สำคัญน่าจะมาจากประเด็นทางการเมือง โดยศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดพิจารณาคดีการเมืองสำคัญถึง 4 คดีในระหว่างเดือนมิถุนายนคือ

  1. คดียุบพรรคก้าวไกล
  2. คดี 40 สว. ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งรัฐมนตรีผิดหลักจรรยาบรรณ
  3. คดี ทักษิณ ชินวัตร เข้าข่ายกระทำความผิดมาตรา 112
  4. คดีการได้มาซึ่ง สว. อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ

 

ซึ่งตลาดกังวลว่าผลการพิจารณาคดีเหล่านี้จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและมีผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาเงินงบประมาณปี 2568 และทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย 

 

อย่างไรก็ดี ช่วงปลายเดือนมิถุนายน สถานการณ์การเมืองในประเทศคลี่คลายไปได้ในระยะสั้น หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าวิธีการเลือกตั้งหรือการได้มาซึ่ง สว. ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ คดีมาตรา 112 ของทักษิณ แม้อัยการสั่งฟ้องแต่ศาลให้ประกันตัวปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวน ด้านคดียุบพรรคก้าวไกลและคดียื่นถอดถอนนายกฯ ถูกเลื่อนพิจารณาไปช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ดัชนีตลาดพลิกฟื้นในช่วงปลายเดือน ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปี แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ้นเดือนอยู่ที่ 2.35% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง 0.11% มาอยู่ที่ 2.71% นับจากต้นปี นักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิ 1.17 แสนล้านบาท ในตลาดหุ้นไทย และขายสุทธิ 4.5 หมื่นล้านบาท ในตลาดตราสารหนี้

 

ในเดือนกรกฎาคมนี้ ผมมองว่า Fed มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 2 ครั้ง ส่วนเรื่องการเมืองในประเทศคงจะต้องรอดูความคืบหน้าและความชัดเจนทางการเมือง หากคลี่คลายก็จะทำให้บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัวขึ้นได้ ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลน่าจะทรงตัวไม่ต่างจากเดือนที่ผ่านมา ยกเว้นรุ่นอายุ 10 ปีขึ้นที่ยังมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ

The post บรรยากาศตลาดหุ้นไทย ให้น้ำหนักปัจจัยทางการเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปรับมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ ติดตามเหตุการณ์ตะวันออกกลาง https://thestandard.co/debt-instruments-positive-view/ Sat, 04 May 2024 04:15:51 +0000 https://thestandard.co/?p=929929 ตราสารหนี้

เดือนเมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นเดือนที่มีความเสี่ยงใหม่เพิ […]

The post ปรับมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ ติดตามเหตุการณ์ตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตราสารหนี้

เดือนเมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นเดือนที่มีความเสี่ยงใหม่เพิ่มขึ้นคือการเผชิญหน้าระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ภาพการลงทุนก็จะดูไปต่อลำบากขึ้น ในขณะที่ปัจจัยเดิมเรื่องของทิศทางอัตราดอกเบี้ยทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

 

ประเด็นในเรื่องความไม่สงบที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และที่เพิ่มเข้ามาคืออิสราเอลกับอิหร่าน โดยเริ่มมีประเด็นตั้งแต่อิสราเอลใช้ขีปนาวุธเข้าไปโจมตีแบบจำกัดพื้นที่ในอิหร่าน และอิหร่านก็ได้ตอบโต้โดยการส่งฝูงโดรนเข้าไปถล่มในอิสราเอล ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างกังวลว่าความไม่สงบดังกล่าวจะขยายวงออกไป แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะยังไม่ขยายวงออกไปมากนัก

 

สำหรับความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวลดลง 3.4% ในเดือนเมษายน เทียบกับดัชนีในภูมิภาค MSCI Asia ex Japan ที่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 1.1% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ เนื่องจากว่าดัชนีหุ้นในตลาด Shanghai และ Hang Seng มีการปรับตัวขึ้นแรงถึง 2.1% และ 7.4% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีหุ้นในตลาดหลักและกลุ่มลาตินอเมริกามีการปรับตัวลดลงแรง สะท้อนจาก MSCI World และ MSCI LATAM ที่ปรับลดลง 3.9% และ 4.0% ตามลำดับ เรียกได้ว่าเคลื่อนไหวไปคนละทิศทาง

 

ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่นอายุ 2 ปี และรุ่นอายุ10 ปี มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.40% และ 0.48% ตามลำดับ ดูแล้วเหมือนกับว่านักลงทุนจะรับรู้กันหมดแล้วว่านอกจากรอบการประชุมที่จะถึงนี้ FOMC จะคงอัตราดอกเบี้ยและยังมีแนวโน้มว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง

 

ในส่วนของราคาทองคำ เห็นได้ชัดเจนว่าปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเด็นหลักก็น่าจะมาจากความไม่สงบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน โดยเพิ่มขึ้น 2.33% มาอยู่ที่ราคา 2,286 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็เป็นการทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 1.69% ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลง 1.1% มาอยู่ที่ราคา 85.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังความตึงเครียดในตะวันออกกลางไม่ได้เร่งระดับมากอย่างที่นักลงทุนส่วนใหญ่กังวล

 

กลับมาที่สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยเดือนเมษายนปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.7% ซึ่งหากเทียบกับดัชนีหุ้นโลกแล้วดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงน้อยกว่ามาก หลักๆ ก็อาจจะมาจากการที่เรามีวันหยุดเยอะ และผลจากแรงซื้อกลับของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากมองว่าเป็นระดับที่น่าสนใจ เพราะตั้งแต่ต้นปีดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลง 3.4% แต่ MSCI ACWI เพิ่มขึ้นถึง 4.1% ถือว่ามีส่วนต่างพอสมควรที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิสูงถึงราว 4,000 ล้านบาทในเดือนเมษายน

 

ด้านเศรษฐกิจไทย ตัวเลขเงินเฟ้อหรือดัชนีผู้บริโภคเดือนมีนาคมยังคงอยู่ในระดับต่ำ เป็นการปรับลดลง 0.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและการปรับมุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยของ Fed ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 2 ปี และรุ่นอายุ 10 ปี มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.20% และ 0.26% ตามลำดับ ขณะที่ค่าเงินบาทมีการปรับอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ 2.3% มาอยู่ที่ 37.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนของภาพการลงทุนในเดือนพฤษภาคมนี้ ผมมีมุมมองเป็นบวกกับการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและกลาง เพราะ Fed ยังไม่มีท่าทีที่จะปรับลดดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ตราสารหนี้ที่อยู่ในระดับ Investment Grade ก็ดีกว่าฝากเงิน ในส่วนของหุ้นนั้นผมมองว่าหุ้นไทยก็ถือว่าน่าสนใจไม่ว่าจะเทียบทั้งมิติของปัจจัยพื้นฐานในประเทศ และในมิติของการเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนปัจจัยที่ควรจะต้องเฝ้าติดตามก็ยังคงเป็นแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เพราะจะเป็นตัวกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเขาเลย อีกปัจจัยก็คงหนีไม่พ้นสถานการณ์ไม่สงบในตะวันออกกลาง เพราะต้องเฝ้าระวังว่าจะมีการขยายวงออกไปหรือไม่

The post ปรับมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ ติดตามเหตุการณ์ตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>