ดร.กฤษฎา เสกตระกูล – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 20 Nov 2021 12:11:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เจาะลึกสไตล์ลงทุน ESG ในรูปแบบการลงทุน Responsible Investment https://thestandard.co/esg-responsible-investment/ Sat, 20 Nov 2021 12:11:14 +0000 https://thestandard.co/?p=562201 Responsible Investment

ซีรีส์…แนวโน้มการลงทุน Responsible Investment (7) ในตอน […]

The post เจาะลึกสไตล์ลงทุน ESG ในรูปแบบการลงทุน Responsible Investment appeared first on THE STANDARD.

]]>
Responsible Investment

ซีรีส์…แนวโน้มการลงทุน Responsible Investment (7)

ในตอนนี้จะอธิบายถึงประเด็นต่างๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Responsible Investment  ซึ่งสรุปมาจาก ESG Investing for Business โดย Brendan Bradley (2021)


1. การเปรียบเทียบการลงทุนแบบ SRI, Ethical และ Impact Investing

เวลาเราพูดถึงการดำเนินธุรกิจแบบคำนึงถึง ESG (Environmental, Social, Governance) หมายถึงตัวบริษัทที่ทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ โดยดูจาก 3 ประเด็นข้างต้น ในมุมมองนี้ ESG จึงไม่ใช่ Investment Style แต่หมายถึงบริษัทที่มุ่งมั่นทำธุรกิจโดยมุ่งให้เกิดผลกระทบทางบวกใน 3 ประเด็นเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจลงได้ ในมุมมองของนักลงทุนปัจจุบันและอนาคตอีกไม่ไกล กระแสการหาหุ้นที่ทำได้ดีในเรื่อง ESG จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นอย่างยิ่ง ซึ่งมีการออกแบบแนวการลงทุนในชื่อต่างๆ ดังนี้

  • Sustainable and Responsible Investing (SRI) ซึ่งเป็นแนวการลงทุนโดยพยายามค้นหาบริษัทที่ก่อให้เกิดปัญหา (Negative Screening) ออกจาก Portfolio เช่น หุ้นด้านยาสูบ หรือหุ้นธุรกิจได้ก่อผลกระทบทางลบ และเป็นอันตรายต่อส่วนรวม เช่น หุ้นของบริษัทที่ธุรกิจทำให้เกิดมลพิษ หรือละเมิดเรื่องสิทธิมนุษยชน

  • Ethical Investing มีบางอย่างที่คล้ายกับกรณี SRI เช่น การตัดออก พวก หุ้นกลุ่มที่สร้างผลกระทบทางลบด้าน ESG สิ่งที่แตกต่างคือการระบุประเด็นด้าน ESG (Issued-Based) ที่ชัดเจน เช่น ยาสูบ แรงงานเด็ก เป็นต้น

  • Impact Investing สนใจการลงทุนที่ให้ทั้งอัตราผลตอบแทนที่ดี และธุรกิจที่สามารถสร้างผลกระทบทางบวกต่อสังคมไปพร้อมกัน การลงทุนแนวนี้ต้องการหลักฐานที่ชัดเจน เช่น รายงานที่เปิดเผยให้เห็นถึงการกระทำ และผลลัพธ์ในเรื่องดังกล่าว และเริ่มมีการกำหนด Area ของการรายงานที่มีความลึกขึ้น เช่น ด้าน Renewable Energy, Sustainable Agriculture, Water Management และ Clean Technology เป็นต้น


ในการวัดผลกระทบด้าน ESG เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับนักลงทุน มีการพัฒนามาตรฐานการวัดขึ้นมา เช่น The Impact Reporting and Investment Standards หรือ IRIS เป็นต้น ซึ่งให้ความรู้และเครื่องมือนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ผ่านการบริหารโดย Global Impact Investing Network (GIIN) (https://iris.thegiin.org/about/)

การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ของบริษัทเป็นส่วนที่นิยมทำเพิ่มเติมเข้าไปในส่วนของการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน ถือว่าเป็นพัฒนาการด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อการลงทุน เช่น กรณีของ BlackRock บริษัท Asset Management ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ประกาศว่าการวิเคราะห์เรื่อง Sustainability ผ่าน ESG Performance ของบริษัทเป้าหมาย เป็นมาตรฐานใหม่ในการลงทุนที่ต้องยึดถือของ BlackRock บริษัทที่มี ESG Risk ที่สูงเมื่อทำการวิเคราะห์แล้ว จะถูกหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปลงทุน แต่ขณะที่บริษัทที่บริหาร ESG Risk ได้ดี จะถูกกำหนดให้เป็น ‘Good Companies’ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุน


2. ประเด็นความลึกด้าน ESG ที่นักลงทุนเพิ่มความสนใจ

 

หลังยุคโควิด ประเด็นการลงทุนที่จะกลับมาก็คือ ธุรกิจได้ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างไร และธุรกิจจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างไร



2.1 ธุรกิจกับเป้าหมายการลดภาวะโลกร้อน

 

การประกาศของรัฐบาลประเทศต่างๆ ว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จนไปสู่ Net Zero Emissions ภายใน ค.ศ. 2050 นั้นแปลว่าการร้องขอและกดดันให้ภาคธุรกิจที่ผลิตสินค้าและบริการต้องมีส่วนช่วยลดปัญหาโลกร้อน โดยกำหนดเป้าหมายและดำเนินการด้วย ในฝั่งของนักลงทุนก็เช่นกัน ทั้งมี Awareness ที่มากขึ้น รวมทั้งมีพลังจากเงินทุนที่ตนเองมีอยู่ ก็จะเป็นอีกแรงสำคัญที่กดดันภาคธุรกิจด้วย บริษัทจัดการลงทุนขนาดใหญ่อย่าง BlackRock ถึงกับประกาศว่า “Climate risk is investment risk.” ซึ่งต้องพิจารณาและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เวลาจะลงทุนในบริษัทใดๆ ก็ตาม Fund Managers บางกองทุนตามหา Clean Energies Policies and Investment ของบริษัทเป้าหมาย เพื่อต้องการเห็นว่าธุรกิจมีแผนปรับเปลี่ยนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งจะดีต่อโลก


2.2 ธุรกิจกับการแก้ปัญหาสังคม

 

ปกติประเทศต่างๆ และโลกของเราเต็มไปด้วยปัญหาสังคมในมิติต่างๆ โลกภายใต้และหลังยุคโควิดถูกคาดว่าจะได้รับผลกระทบทางลบ ซึ่งซ้ำเติมให้ปัญหาสังคมบนโลกนี้ย่ำแย่ไปกว่าเดิมอีก นักลงทุนสไตล์ Responsible Investment หลายแห่งพากันขึ้นลิสต์ แนวทางความเร่งด่วนที่จะต้องพิจารณาการลงทุน คือสนใจว่าบริษัทเป้าหมายมีการดำเนินการอะไรที่ดูแลเรื่องคน ซึ่งรวมถึงพนักงาน คู่ค้า ลูกค้า ชุมชน และสังคมอย่างไร โดยเฉพาะประเด็นสิทธิมนุษยชน ความสัมพันธ์กับชุมชน ความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงาน มาตรฐานการดูแลลูกค้า และการมีส่วนร่วมช่วยเหลือผู้ยากไร้ในชุมชนและสังคม ซึ่งอาจมีการละเมิดลดมาตรฐานลงได้จากผลกระทบของโควิด


2.3 ธุรกิจกับบรรษัทภิบาล

 

แม้ผลกระทบจากโควิดอาจทำให้ผลประกอบการของธุรกิจมีระดับลดลงไปบ้าง แต่บริษัทก็ไม่ควรย่อหย่อนในการกำกับดูแล และยังต้องยึดมั่นการบูรณาการ ESG เข้าไปในกระบวนการทำธุรกิจต่อไป นักลงทุนก็จะยังคงประเมินในประเด็นต่างๆ ของด้านบรรษัทภิบาล (Corporate Governance: CG) ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง CG Structure บทบาทของกรรมการ การกำหนดค่าตอบแทนของคณะกรรมการและฝ่ายจัดการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ การมีระบบงานที่เข้มแข็ง การบริหารความเสี่ยง และการตรวจสอบภายใน เป็นต้น

The post เจาะลึกสไตล์ลงทุน ESG ในรูปแบบการลงทุน Responsible Investment appeared first on THE STANDARD.

]]>
ESG Investing บทบาทของนักลงทุนสไตล์ Responsible Investor https://thestandard.co/esg-investing-responsible-investor/ Fri, 12 Nov 2021 11:00:55 +0000 https://thestandard.co/?p=559065 ESG Investing

ซีรีส์… แนวโน้มการลงทุน Responsible Investment (6 […]

The post ESG Investing บทบาทของนักลงทุนสไตล์ Responsible Investor appeared first on THE STANDARD.

]]>
ESG Investing

ซีรีส์… แนวโน้มการลงทุน Responsible Investment (6)

 

การลงทุนแบบที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Responsible Investment) ที่กลายเป็นกระแสมาแรงทุกวันนี้ก็เพราะนักลงทุนเริ่มมีความตระหนักว่าโลกของเรากำลังเสื่อมโทรม ทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งธุรกิจควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย โดยไม่ควรมุ่งแต่แสวงหากำไรสูงสุดเพื่อตอบสนองผู้ถือหุ้นเท่านั้น และนักลงทุนในแนวนี้ก็มีมากเพิ่มขึ้นทุกวัน พลังของนักลงทุนที่เป็น Responsible Investor อาจจะค้นหุ้นด้วยตนเองหรือผ่านกองทุนรวมต่างๆ ในการเลือกลงทุนในบริษัทที่ดูแลสิ่งแวดล้อม (E) สังคม (S) และตอนนี้เป็นต้นไป จะนำเสนอแนวคิดและวิธีการที่เรียกว่า ESG Investing ซึ่งสรุปได้จาก ESG Investing for Dummies โดย Brenden Bradly (2021)

 

1. ที่มาและความสำคัญ

คำว่า ESG นี้คาดว่าน่าจะเริ่มต้นขึ้นในโลกการเงินการลงทุนในปี 2005 เมื่อ United Nation ออก Global Compact Report ที่ระบุว่า ในการลงทุนในตลาดทุนควรพิจารณาจาก ESG Factors ของบริษัทต่างๆ เข้าไปด้วยเพื่อประกอบการตัดสินใจ หลังจากนั้นในวงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็เริ่มตื่นตัวกับคำว่า ESG นี้ ในปี 2006 มีการจัดตั้งเครือข่ายนักลงทุนที่ออกหลักการ Principle for Responsible Investment (PRI) โดยมีผู้จัดการกองทุนเข้าร่วมในตอนเริ่มต้นเพียง 63 ราย บริหารสินทรัพย์มูลค่า 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และโตมาเป็นผู้จัดการกองทุนเข้าร่วม 3,000 คน และมูลค่าสินทรัพย์ที่บริหารสูงเป็น 103 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นเพียงเวลาไม่กี่ปี มีการคิดค้นหลักการเทคนิคในการบริหาร ESG Portfolios กันอย่างมากมาย จนในปัจจุบัน ESG Investing ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า A Niche Investment อีกต่อไปแล้ว

 

ยิ่งในยุคการระบาดของโควิดนี้ หุ้นของบริษัทที่บริหารโดยคำนึงถึงความเสี่ยงด้าน ESG จะสามารถต่อสู้กับความผันผวนนี้ได้อย่างแข็งแรง ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกก็กำลังตามล่าหาหุ้นแบบนี้ที่อาจจะมีกระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ในยุคต่อไป ธุรกิจก็ยังเผชิญกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น Climate Change, Biodiversity, Social Diversity, Technology Disruption เป็นต้น บริษัทที่จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนจึงต้องเป็นบริษัทที่มีการปรับตัวได้ดี การที่จะรู้ว่าใครปรับตัวได้ดีจึงต้องสามารถวัดผลที่เกิดขึ้นต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ ทั้งมิติผลการดำเนินงาน (Output) และผลลัพธ์ทางสังคม (Outcomes) รวมทั้งนำไปเปิดเผย (Disclose) ให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบอย่างชัดเจน ซึ่งข้อมูลที่เปิดเผยนี้จะต้องออกจากกรอบเพียงการส่งรายงานงบการเงินเท่านั้น แต่ข้อมูลเชิง Descriptive ในยุคต่อไปจะมีความต้องการทราบข้อมูล ESG Development กันอย่างกว้างขวางมากขึ้น

 

2. ความหมายของ ESG

ESG กลายเป็นคำสากลที่ใช้เรียกการลงทุนแบบ Social Responsible Investment โดยในมิติของบริษัทหรือธุรกิจเป็นการดูว่าบริษัทได้บริหารความเสี่ยงชนิดใหม่เวลาทำธุรกิจหรือไม่ ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้บางทีเรียกว่า ESG Risk ส่วนในมิตินักลงทุนก็นำ ESG ไปใช้เป็นกลยุทธ์การลงทุนชนิดหนึ่ง ESG อาจเกิดจากการผสมผสานของคำ 2 คำ คือ Corporate Sustainability และ Corporate Social Responsivity (CSR)

 

  • Corporate Sustainability หรือความยั่งยืนของธุรกิจ ซึ่งสะท้อนไปยังการสร้างมูลค่าระยะยาวให้สูงขึ้นโดยแสวงหาโอกาส และบริหารความเสี่ยงให้นำไปสู่การพัฒนา Economic, Environmental, Social ให้เกิดประโยชน์ที่กลมกล่อมแก่บริษัท บริษัทที่ทำได้ดีในความหมายนี้คือเป็นบริษัทที่ ‘Doing Good’
  • Corporate Social Responsivity (CSR) เป็นแนวคิดการบริหารธุรกิจที่ใส่ใจกับผู้เกี่ยวข้อง (Stakeholder) ทั้งใกล้และไกล โดยพยายามให้กิจกรรมทางธุรกิจโดยตรงหรือโดยอ้อมให้ส่งผลกระทบทางลบต่อบริษัท และก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางสังคมที่ดีให้เกิดขึ้น

 

ในมิติการลงทุน นักลงทุนก็จะแสวงหา คัดเลือกบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยมีทาง Financial Performance ที่ดี และ ESG Performance ที่ดีไปด้วยพร้อมกัน โดยอาจพยายามหาหุ้นที่เป็น ‘Best-in-Class’ จาก ESG Scores ที่ได้คิดค้นพัฒนาขึ้น นักลงทุนที่เคร่งครัดมากอาจกำหนดนโยบายที่ชัดเจนว่าไม่มีนโยบายการลงทุนใน ‘Sin Stocks’ เช่น หุ้นของบริษัทยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น ซึ่งในบทวิจัยของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ในอนาคตจะต้องมีส่วนขยาย ESG Analysis ในบทวิจัยเพิ่มเติมให้กับนักลงทุนที่จะมีความต้องการข้อมูลเหล่านี้เพิ่มขึ้น การเขียนรายงานวิเคราะห์ก็จะต้องมีส่วนการวิเคราะห์ข้อมูล ESG ที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งในการแยกวิเคราะห์ทีละส่วนของ E, S, G, และการสรุปรวม

 

ในการสร้าง ESG Portfolio อาจสรุปได้ว่า Fund Managers จะพิจารณาอย่างน้อย 3 มิติ ดังต่อไปนี้

 

  1. Industry Sector โดยพยายามค้นหาว่าอะไรเป็น ESG Risks หรือ ESG Opportunities ที่สำคัญที่สุดของ Sector นั้น
  2. ESG Strategies คือดูว่า Data ของบริษัทเหมาะสมว่าเราควรใช้ ESG Execution Strategy อะไร จึงเป็นประโยชน์ต่อการลงทุน
  3. Material Indicators ค้นหาว่าอะไรเป็น Material ESG Components ที่กระทบต่อผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทนั้น

 

กรณีของ Industry Sector อาจศึกษาจาก The Sustainability Accounting Standard Boards (SASB) ซึ่งมี Materiality Map แยกออกรายอุตสาหกรรม ได้แก่

 

  • Healthcare
  • Services
  • Financials
  • Resource Transformation
  • Technology and Communications
  • Consumption
  • Non-Renewable Resources
  • Renewable Resources and Alternatives Energy
  • Transportation
  • Infrastructure

 

สำหรับ ESG Strategies อาจสรุปได้ว่ามี 9 กลยุทธ์ ดังต่อไปนี้

 

  1. Screening คือเลือกรวมหรือตัดหุ้นที่มีปัจจัย ESG ที่เราชอบออกจาก Portfolio
  2. Best-in-Class คัดเลือกหุ้นที่มี ESG Scores ค่าสูง
  3. Stock Rating คัดเลือกหุ้นผ่านระบบ ESG Performance Rating System
  4. Value Integration คือนำ ESG Issues ต่างๆ เข้าสู่แบบจำลอง Stock Valuation
  5. Thematic คือเลือกสร้าง ESG Portfolio บน Theme เฉพาะ เช่น พลังงานสะอาด
  6. Engagement คือเลือกรักษาหุ้นใน ESG Portfolio ที่มีต่อ Ongoing Performance
  7. Alignment คือสนใจหุ้นที่มี Social or Environment Goals
  8. Activism คือสนใจหุ้นที่กลุ่ม ESG Activists ระบุว่ามี Performance ดี ในมิติสังคมและสิ่งแวดล้อม
  9. Systematic คือหาหุ้น ESG โดยใช้ Quantitative Model

 

สำหรับกรณีของ Material Indicators ของรายบริษัทที่เป็น ESG Stocks อาจพิจารณาจากประเด็นต่างๆ เหล่านี้

 

  1. Environment โดยดูจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการดูแลผลกระทบที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
  2. Social Capital โดยดูจากการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน ความสัมพันธ์กับแรงงาน ชุมชน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
  3. Human Capital โดยพิจารณาในด้านการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมต่อแรงงาน เป็นต้น
  4. Business Model and Innovation ดูจากวัฏจักรของสินค้าและบริการที่จะทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปได้ รวมทั้งการพัฒนา Packaging ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
  5. Leadership and Governance โดยดูจากการบริหารห่วงโซ่อุปทานว่าได้ดูแลคู่ค้าและผู้เกี่ยวข้องจากต้นน้ำถึงปลายน้ำได้ดีเพียงใด รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยในการทำงาน เป็นต้น

The post ESG Investing บทบาทของนักลงทุนสไตล์ Responsible Investor appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไม Climate Change Strategy จึงเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ https://thestandard.co/why-climate-change-strategy-importance/ Sat, 11 Sep 2021 03:35:54 +0000 https://thestandard.co/?p=535563 Climate Change Strategy

ซีรีส์… แนวโน้มการลงทุน Responsible Investment (5 […]

The post ทำไม Climate Change Strategy จึงเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Climate Change Strategy

ซีรีส์… แนวโน้มการลงทุน Responsible Investment (5)

 

บทความในตอนนี้จะยังคงอยู่ในเนื้อหากลยุทธ์การลงทุนแบบ Climate Change Strategy ซึ่งเป็นความลึกของการลงทุนแบบ Responsible Investment ที่จะเป็นที่นิยมในระยะต่อไป

 

1. Investment Approaches

Climate Change Strategy เริ่มมีแนวโน้มจะได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักลงทุนจนทำให้สถาบันการเงินที่เป็น Investment Companies เริ่มพัฒนา Guidelines ที่เรียกว่า Climate Change Strategy Expectations to Companies เพื่อไว้เป็นแนวทางให้คำแนะนำวางแผนออกแบบ ESG Portfolio ให้กับลูกค้า เช่น หากจะมีการลงทุนในบริษัทพลังงานที่ยังต้องใช้ Fossil Fuels เป็นเรือธงหลักของธุรกิจก็จะต้องการข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับโครงการที่จะลดคาร์บอนจากการใช้พลังงานฟอสซิลเหล่านั้น เป็นต้น

 

หากความเข้มข้นหรือความลึกที่นักลงทุนสไตล์นี้มีมากขึ้น อาจนำมาซึ่งการปรับหุ้นของบริษัทพลังงาน Fossil เหล่านี้ที่ไม่ได้พัฒนาหรือหาวิธีลดคาร์บอนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกจาก Investment Portfolio ได้ในที่สุด ในอนาคตอันใกล้เราอาจพบว่าในกอง Private Equity หรือกองทุนรวมที่ Asset management Companies ออกมาขายให้นักลงทุน อาจมีการระบุ Investment Policy ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น

 

ตัวอย่างเช่นบางสถาบันการเงินกำหนดให้มี Carbon Footprint Portfolios โดยบริษัทที่ถูกคัดเข้า Portfolio จะเป็นบริษัทที่ดำเนินการลด Carbon Emission ได้ดีเท่ากับหรือดีกว่าเป้าหมาย ข้อมูลสำคัญพื่อประกอบการพิจารณาลงทุนจึงได้แก่ เป้าหมาย Areas ที่ต้องการลด แผนการดำเนินการและผลที่เกิดจริง ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปวิเคราะห์พื่อดูว่ากระทบต่อ Portfolio Risks อย่างไร เพราะต้นทางจะมาจาก Climate Change Risk ของหลักทรัพย์แต่ละตัวเป็นหลัก เป็นต้น

 

Fund Managers ของ Asset management Companies ควรติดตามข้อมูล Direct Investments ของบริษัทที่อยู่ใน Portfolio เช่น การลงทุนใน Green, Energy, Clean Technology, Sustainable Climate-related solutions ซึ่งสามารถแปลงผลสำเร็จออกมาเป็นคาร์บอนที่ลดลง ซึ่งหากมี Carbon Footprint Portfolios มากขึ้น ก็ถือว่า Fund Managers และนักลงทุนที่เป็น Asset Owners จะมีบทบาทสูงมากขึ้นในการช่วยควบคุมลดการปล่อยคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศลงได้มาก

 

2. ขั้นตอนการพัฒนา Climate Change Strategy

ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้ การวัด (Measure) การปฏิบัติ (Act) และการทบทวน (Review)

 

2.1 การวัด (Measure)

หุ้นสามัญที่เลือกเข้ามาใน Portfolio จะถูกตรวจสอบและติดตามในประเด็นต่างๆ เช่น Energy Efficiency, Emission ว่าบริษัทเหล่านี้ยังทำได้ดีหรือไม่ เพื่อทบทวนความเสี่ยงด้าน Climate Change ว่าจะปรับหุ้นนั้นออกหรือคงไว้ หรือหาหุ้นตัวอื่นใส่เข้าไปเพิ่ม

 

ในการวิเคราะห์เพื่อหาหุ้นอาจพิจารณาความเสี่ยง 3 ตัว (Three Carbon Risk Factors) ได้แก่ Policy And Legal, Technology และ Market, Economic มาร่วมในการวิเคราะห์ เช่น กฎหมายและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นหรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อาจทำให้เป็นผลทางลบหรือบวกต่อหุ้นที่อยู่เดิมใน Climate Change, Portfolio รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางรสนิยมของผู้บริโภคหรือราคาพลังงานฟอสซิลที่เปลี่ยนแปลงก็อาจส่งผลเป็นโอกาสหรืออุปสรรคของหุ้นเดิมหรือหุ้นใหม่ก็ได้ เป็นต้น

 

กลยุทธ์การลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งคือ ลงในหุ้นกลุ่ม Low-Carbon Investments เพื่อใช้ถ่วง (Hedge) กับกลุ่มหุ้น High-Carbon Investments เพื่อกระจายทำให้ความเสี่ยงด้าน Climate Change ของ portfolio มีระดับลดลง โดยยังสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนได้ระดับหนึ่ง

 

2.2 การปฏิบัติ (Act)

การสร้าง Carbon Footprint Portfolio เดิมทีก็เป็นไปในลักษณะที่ต้องการจะช่วยโลกให้เข้าสู่ Low-Carbon

 

Economy อยู่แล้ว Fund Managers ที่บริหาร Portfolio ในลักษณะนี้อาจยึดหลักกลยุทธ์ 3 ประการ ได้แก่ Engage, Invest และ Avoid

 

กลยุทธ์ Engage คือการติดตามนโยบายของภาครัฐว่าจะส่งเสริมหรือบังคับใช้เรื่องอะไร เช่น ด้าน Energy Efficiency, Renewable Energy, Low-carbon Technologies and Innovations, Plans to Phase out Subsidies for Fossil Fuels เป็นต้น แล้วดูว่านโยบายดังกล่าวกระทบทางบวกและทางลบต่อบริษัทใดบ้าง นอกจากนี้ Fund Managers และนักลงทุนอาจต้อง Engage with Companies คือติดตามการพัฒนาการดำเนินการให้เกิด Low-Carbon ของบริษัทว่ามีความก้าวหน้าเพียงใด

 

กลยุทธ์ Invest ในลักษณะ Carbon Footprint Portfolio จะมีความเหมาะสมที่จะใช้กลยุทธ์แบบ Active Manage Equities มากกว่าแบบ Passive เนื่องจากต้องคอยปรับการคัดเลือกหุ้นเข้าหรือออกจาก Portfolio ตลอดเวลาตามการเปลี่ยนแปลง Climate Change Risk Factors อย่างไรก็ดี กรณีที่ต้องการใช้กลยุทธ์แบบ Passion จริงๆ ก็อาจลงในดัชนีประเภท Low-Carbon Indices หรือผลิตภัณฑ์ประเภท Thematic Funds ที่เน้นในการลดปัญหา Climate Change เช่น Renewable Energy, Clean Energy, Water และ Waste Management เป็นต้น ซึ่งกองทุนเหล่านี้จะคอยคัดเลือกหุ้นที่ทำได้ดีในเรื่องดังกล่าวโดยที่นักลงทุนต้องไปค้นหาด้วยตนเอง

 

กลยุทธ์สุดท้ายคือ Avoid โดยระบุอย่างชัดเจนในนโยบายที่จะหลีกเลี่ยงหุ้นของบริษัท High-Carbon Companies เช่น ธุรกิจพลังงานฟอสซิล การลงทุนจะพยายามลด Exposure ออกจากหุ้นกลุ่ม High-Carbon เหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงลง

 

2.3 การทบทวน (Review)

Fund Managers หรือ Asset Owners ควรทบทวน Carbon Footprint Portfolio อย่างสม่ำเสมอ และจัดทำรายงานที่มาตราฐานเกี่ยวกับข้อมูล Climate Change ซึ่งเนื้อหาในรายงานอาจประกอบไปด้วย ความโปร่งใส การบริหารความเสี่ยง Low-Carbon Investment เป็นต้น

The post ทำไม Climate Change Strategy จึงเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลยุทธ์ Climate Change Strategy กับการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ https://thestandard.co/climate-change-strategy/ Fri, 03 Sep 2021 06:30:39 +0000 https://thestandard.co/?p=532698 Climate Change Strategy

ซีรีส์…แนวโน้มการลงทุนแบบ Responsible Investment […]

The post กลยุทธ์ Climate Change Strategy กับการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Climate Change Strategy

ซีรีส์…แนวโน้มการลงทุนแบบ Responsible Investment ตอน 4

 

ในการลงทุนแบบที่เรียกว่า Responsible Investment (RI) นักลงทุนหรือผู้จัดการกองทุน (ซึ่งบริหารเงินทุนแทนนักลงทุน) ภายใต้ชื่อ Asset Owners อาจเริ่มต้นจากการไปดูไกด์ไลน์ที่ทาง PRI (Principles for Responsible Investment) กำหนดขึ้น PRI เป็นเครือข่ายระดับนานาชาติของการลงทุนแบบ RI ซึ่งรวมตั้งแต่การคัดเลือก บริหาร ติดตาม ส่งเสริมให้เปิดเผยข้อมูล โดยพิจารณาจากมิติ ESG เป็นหลัก บทความชิ้นนี้จะมุ่งอธิบายกลยุทธ์การลงทุนแบบยั่งยืนในแนวทางเฉพาะที่เรียกว่า Climate Chang Strategy เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการลงทุน แบบ RI ต่อไป

 

ข้อมูลจากเนื้อหา ‘On reducing emissions and developing a Climate Change Strategy’ ของ Cary Krosinsky ใน ‘Sustainable Investing: Revolutions in Theory and Practice’ (2016) สรุปไว้ว่า แนวทางการลงทุนที่คำนึงถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจเริ่มต้นด้วยการกลับไปดูบทความหลัก 2 ชิ้นของ PRI คือ ‘Discussion Paper: Reducing Emissions Across the Portfolio’ (2015) และ ‘Developing an Asset Owner Climate Change Strategy: Pilot Framework’ (2015) และเมื่อรวมกับสิ่งที่ผู้จัดการกองทุนนำมาปฏิบัติกัน สรุปเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ได้ดังนี้

 

1. ปฏิกิริยาจาก Asset Owners 

การใส่ใจเรื่องการเกิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้โลกร้อน เป็นกระแสที่เริ่มทำให้ผู้คนทุกวงการหันมาให้ความสำคัญ ซึ่งรวมทั้งนักลงทุน (Asset Owners) ด้วย นักลงทุนซึ่งมีพลังอำนาจคือเงินทุนในมือ สามารถเลือกไปลงทุนกับธุรกิจที่ดูแลลดปัญหาโลกร้อนเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้โลกนี้ได้มากขึ้น

 

จากข้อมูลในแหล่งต่างๆ ล้วนชี้ให้เห็นว่าปัญหาโลกร้อนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศไม่ได้ลดลงตามเป้าหมายเลย ความห่วงใยนี้ได้ทำให้ PRI หันมาตั้งคำถามว่า นักลงทุนควรมีส่วนร่วมมากขึ้นในการบริหาร Investment Portfolio เพื่อช่วยแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่อย่างไร

 

Asset Owners ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบันอาจต้องคิดเรื่องนี้มากขึ้น เพื่อให้การลงทุนมีส่วนช่วยลดปัญหาโลกร้อน โดยยึดหลักว่าการที่ต้องสนใจเรื่องนี้เป็น Fiduciary Duty อย่างหนึ่ง ที่เมื่อเอามาดูเวลาลงทุนน่าจะมีส่วนช่วยทำให้โลกนี้ดีขึ้น จึงเป็นบทบาทหนึ่งที่ควรมีในฐานะที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของทรัพย์สินให้ทำหน้าที่แทนในการดูแลสินทรัพย์นั้น และการทำหน้าที่นี้ก็ถือว่าช่วยบริหารความเสี่ยงจาก Environmental Risks ซึ่งเป็น 1 ใน ESG Risks ด้วย

 

นักลงทุนควรกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก (Setting on emission reduction goal) ดังนั้น เวลาจะลงทุนจึงต้องนำ Investment Portfolio ไปวิเคราะห์ว่ามีหลักทรัพย์ที่มี Climate Change Risk สูงหรือไม่เพียงใด และนำมาบริหารจัดการให้ความเสี่ยงดังกล่าวมีระดับลดลง

 

นักลงทุนอาจมองไปที่ธุรกิจที่จะลงทุนว่ามีแอ็กชันในการช่วยลดโลกร้อนหรือไม่ เช่น การเปลี่ยนแหล่งผลิตไฟฟ้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานในอาคารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การใช้พลังงานทางเลือกในการผลิตหรือขนส่ง การสนับสนุนให้เกิดการเกษตรและการใช้ดินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า นอกจากนี้ ธุรกิจที่ดีจะทำการวางแผนเพื่อทรานส์ฟอร์มธุรกิจตนเองจากการใช้พลังงานฟอสซิลอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งผู้จัดการกองทุนควรได้รับความรู้และข้อมูลในเรื่องนี้ รวมทั้งติดตามในเรื่องนี้ว่าบริษัทเป้าหมายใดที่ทำเรื่องนี้ได้ดี มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ด้าน Climate Change ได้ดีอย่างต่อเนื่อง

 

2. Asset Class

ประเด็นและข้อมูลด้าน Climate Change ของธุรกิจ จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้จัดการกองทุนจะนำมาพิจารณามากขึ้นในการลงทุนในหลักทรพย์ประเภทต่างๆ

 

หุ้นสามัญ (Listed Equity)

ผู้จัดการกองทุนจะแสวงหาบริษัทที่ทำเรื่องการลดโลกร้อนได้ดีบนกระบวนการทำธุรกิจของตน (Well positioned for climate change) และเสนอวิธีการรวมทั้งผลงานจริงที่ทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำลง (Low carbon or adaptation solutions) ผู้จัดการกองทุนหลายแห่งที่แอ็กทีฟจะถึงขั้นขอสัมภาษณ์หรือให้คะแนนกับบริษัทที่มี Climate Change – related shareholder resolution and dialogue with companies and public policy makers on climate change

 

ตราสารหนี้ (Fixed Income)

ปัจจุบันเริ่มมีตราสารหนี้ประเภท Climate Bonds ออกมามากขึ้น เพื่อแสดงถึงความพยายามระดมเงินทุนไปใช้ในกิจการที่มี Commitment จะลดปัญหาคาร์บอนให้ต่ำลง โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมพลังงานและการขนส่ง เพราะความเสี่ยงด้านภูมิอากาศจะถูกวิเคราะห์เพิ่มเติมใน Credit Risk ด้วยในอนาคต จึงคาดว่าเมื่อมีผู้ออก Climate Bonds มากขึ้น จะกลายเป็นกลุ่ม Asset Class ใหม่ของ Bonds ที่มีความลึกมากขึ้นกว่าที่มีอยู่ในตลาดตราสารหนี้แบบเดิม ซึ่งจะสามารถดึงดูดนักลงทุนกลุ่มที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น

 

การลงทุนแบบไพรเวตอิควิตี้ (Private Equity) 

กลุ่มนักลงทุน High Net Worth ที่มาจ้างให้ผู้จัดการกองทุนบริหาร Investment Portfolio ให้อาจจะเกิดเซกเมนต์นักลงทุนกลุ่มนี้ที่สนใจเฉพาะให้เลือกลงทุนในธุรกิจที่ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนมากขึ้น และขอให้เพิ่มเติมกระบวนการค้นหาหลักทรัพย์ในธุรกิจที่ทำเรื่องนี้ได้ดีมากๆ เท่านั้นให้อยู่ใน Portfolio

 

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)

โดยปกติโครงการที่เป็นโครงการสร้างพื้นฐานมักเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ต้องใช้เงินลงทุนสูง เช่น การสร้างเส้นทางรถไฟฟ้า การสร้างสนามบิน การสร้างนิคมอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ในตอนก่อสร้างหรือในตอนที่ใช้งานแล้วอาจเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานฟอสซิลจำนวนมาก หรือทำให้เกิดฝุ่นละออง มลพิษในอนาคต จะมีการเรียกร้องให้การก่อสร้าง หรือในตอนดำเนินงานต้องดูแลในสิ่งเหล่านี้ รวมไปถึงในตอนระดมทุน อาจนำเสนอให้เห็น Green Process ซึ่งจะจูงใจให้นักลงทุนสนับสนุนได้มากขึ้น

 

การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ (Property)

การระดมทุนเพื่อก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ เช่น อาคารสำนักงาน หรือคอนโดมิเนียม เป็นต้น จะถูกเรียกร้องให้นำมาตรฐานสากล เช่น LEED (Leadership in Energy & Environmental Design) หรือ BREEAM (Building Research Establishment Environmental Assessment Method) เพื่อส่งเสริมให้มี Green Building มากขึ้นในอนาคต การระดมทุนในวันข้างหน้าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือที่อยู่อาศัยทั้งระหว่างก่อสร้างและการดูแลหลังการก่อสร้าง จะเป็นเงื่อนไขของนักลงทุนที่ต้องการให้ธุรกิจเหล่านี้ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมด้วย

 

สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) 

สินค้าประเภท (Commodities) หลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรและโลหะมีค่า ซึ่งมักถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการผลิตโดยใช้ที่ดินรุกล้ำเขตป่าไม้หรือไม่ หรือกระบวนการผลิตได้ทำให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนหรือไม่ มิติการจัดหาที่ดิน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อความยั่งยืน การลดการใช้สารเคมีที่อันตราย จะเป็นคำถามที่นักลงทุนใช้ประกอบการพิจารณาสนับสนุนเงินทุน ซึ่งบางครั้งถูกเรียกว่า ‘Conservation Finance’ จะเป็นกระแสที่มาแรงต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้

The post กลยุทธ์ Climate Change Strategy กับการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Impact Investing’ กับการลงทุนแบบ Responsible Investment https://thestandard.co/impact-investing-and-responsible-investment/ Fri, 20 Aug 2021 05:27:27 +0000 https://thestandard.co/?p=527162 Impact Investing

บทความตอนนี้จะให้ข้อมูลจากการสืบค้นคำว่า ‘Impact Invest […]

The post ‘Impact Investing’ กับการลงทุนแบบ Responsible Investment appeared first on THE STANDARD.

]]>
Impact Investing

บทความตอนนี้จะให้ข้อมูลจากการสืบค้นคำว่า ‘Impact Investing’ หรือการลงทุนที่จะสร้างให้เกิดผลกระทบทางบวกต่อส่วนรวม ซึ่งเป็นอีกความหมายของ ‘Responsible Investment’ หรือการลงทุนแบบมีความรับผิดชอบ


ความหมายและความเป็นมา

จากข้อมูลใน Wikipedia สรุปไว้ว่า Impact Investing คือการลงทุนในบริษัท หรือกองทุนรวมที่มุ่งเน้นให้เกิดผลกระทบที่ดีและวัดได้ที่มีต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม โดยยังก่อให้เกิดผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนได้ด้วย นักลงทุนสไตล์นี้ถูกเรียกว่า ‘Impact Investors’ จะคอยค้นหาบริษัทหรือองค์กรที่สามารถดำเนินธุรกิจที่สร้างผลลัพธ์ชัดเจนว่าทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้น หรือดำเนินธุรกิจที่แก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยตรง เช่น ธุรกิจในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน หรือธุรกิจเกษตรแบบยั่งยืน เป็นต้น รูปแบบผลิตภัณฑ์การลงทุนอาจเป็น หุ้นสามัญ หุ้นกู้ กองทุนรวม ซึ่งเมื่อรวมกลุ่มกันอาจถูกเรียกว่า ESG Products ที่ปัจจุบันกลายมาเป็น Asset Class ที่มีความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ข้อมูลจาก Impact Investing โดย Thomas Walker, Stefanie D.Kibsey และ  Stephanie Lee ใน Sustainable Investing: Revolutions in Theory and Practice (2017) ให้ความรู้ว่า คำศัพท์ ‘Impact Investing’ เริ่มต้นขึ้นราวๆ ปี 2007 โดย Rockefeller Foundation ถัดจากนั้นก็เกิดกระแสการลงทุนในแนวทางนี้มากขึ้น จนมีพลังของนักลงทุนสไตล์นี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้กดดันให้บริษัทต่างๆเห็นว่ามีนักลงทุนอีกไม่น้อยที่ต้องการเห็นบริษัทต่างๆ พัฒนาแบบจำลองธุรกิจให้มีลักษณะ Sustainable Business Model ในตลาดทุนเองก็มีพัฒนาการจนเกิดผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ในชื่อ Social Impact Bonds, Green Stocks ในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น Sustainable Agriculture, Renewable Energy และ Healthcare เป็นต้น

 

สหราชอาณาจักร (UK) ถือว่าเป็นผู้นำในเรื่อง Impact Investing โดยได้มีการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินในเรื่องนี้ เช่น การออก Impact Bonds เป็นประเทศแรกๆ รวมทั้งการออกมาตรการลดภาษี 30% ถ้ามีการลงทุนในด้าน Social Investments บนความเชื่อที่ว่าปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในประเทศกำลังพัฒนาน่าจะมีมากกว่าในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า 75% ของการลงทุนใน Impact Investment มาจากกลุ่มประเทศในอเมริกาเหนือ ยุโรป และโอเชียเนีย หากเงินทุนที่ไหลไปเป็นการลงทุนสำหรับแก้ไขปัญหาสังคมสิ่งแวดล้อมในประเทศกำลังพัฒนา สิ่งนี้จะมีความหมายมาก เป็นสัญญาณที่ดีต่อโลกของเรา

 

ในมิติของนักลงทุนสถาบันที่เป็นต้นแบบ มีการกล่าวขวัญถึง Impax Asset Management Group ของสหราชอาณาจักร และ Triodos Investment Management ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งต่อมามีบริษัทจัดการลงทุน และกองทุนรวมในแนวนี้เกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง ในด้านของธุรกิจก็มีการพัฒนาการเกิดธุรกิจที่มีความเข้มข้นในการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่แตกต่างจากรูปแบบเดิม เช่น การเกิดบริษัทที่บอกว่าตนเองเป็น Benefit Corporation, Low-profit Limited Liability Company (L3C), Community Interest Company และ Social Enterprise เป็นต้น

 

องค์ประกอบสำคัญของ Impact Investing

ข้อมูลจาก thegiin.org สรุปองค์ประกอบสำคัญของ Impact Investing ไว้ดังนี้


1. ความตั้งใจ (Intentionality) การลงทุนในแนว Impact Investing นักลงทุนที่นำเงินมาลงทุนจะมีความตั้งใจว่าอยากเห็นเงินที่ไหลไปยังกิจการที่ทำธุรกิจแล้วก่อให้เกิดผลกระทบทางบวกต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม

 

2. ความคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (Investment With Return Expectations) นักลงทุนสไตล์นี้ก็ยังคงคาดหวังอัตราผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน

 

3. ช่วงของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังตามประเภทของสินทรัพย์ (Range of Return Expectations and Asset Class) กลุ่มสินทรัพย์ลงทุนแบบ Impact Investing มีหลายประเภท เช่น ตารสารหนี้ ตราสารทุน การลงทุนแบบ Venture Capital หรือ Private Equity เป็นต้น ซึ่งในแต่ละประเภทจะมีลักษณะของความเสี่ยงและผลตอบแทนต่างๆ กัน

 

4. การวัดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Impact Measurement) ประเด็นสำคัญของการลงทุนสไตล์นี้ก็คือ ต้องทราบวิธีวัดและการรายงานเกี่ยวกับผลกระทบที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมว่าดีขึ้นอย่างไร ข้อมูลดังกล่าวนอกจากใช้ประเมินความสำเร็จของการใช้เงินทุนของผู้ระดมทุนแล้วยังสะท้อนถึงความโปร่งใส และความรับผิดชอบซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ลงทุนเกิดความมั่นใจด้วย ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จึงควรทราบกระบวนการที่ประกอบไปด้วย การกำหนดวัตถุประสงค์ด้านสังคมหรือสิ่งแวดล้อมในโครงการลงทุน การกำหนดเป้าหมาย ผลลัพธ์การดำเนินงานและตัวชี้วัดการติดตามและบริหารจัดการ และการรายงาน

 

ตัวอย่างโครงการลงทุนแบบ Impact Investing

ข้อมูลจาก thegiin.org ได้ยกตัวอย่างการจับคู่ระหว่างนักลงทุนสถาบัน (Investor) และผู้ระดมทุน (Investee) หรือธุรกิจไว้หลายตัวอย่าง ในที่นี้จะยกมาเป็นบางตัวอย่าง ดังนี้

 

1. Root Capital (Investor) และ The Savannah Fruits (Investee)

เป็นตัวอย่างโครงการลงทุนแบบ Impact Investing ในธุรกิจด้านการเกษตรในแอฟริกา โดยให้เงินกู้ ขนาดการระดมทุน 230,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.9 ล้านบาท) Root Capital เป็นนักลงทุนที่มีลักษณะเป็นกองทุนที่ไม่ได้มุ่งแสวงหากำไรสูงสุด (Nonprofit) และมุ่งลงทุนเพื่อพัฒนาสังคม (Social Investment Fund) โดยเฉพาะในชนบท เพื่อสนับสนุนธุรกิจเกษตรขนาดกลางและขนาดย่อมในเขต Latin America และ Sub-Saharan Africa

สำหรับ The Savannah Fruits Company เป็นธุรกิจการเกษตรอยู่ในประเทศกานา ทวีปแอฟริกา ซึ่งมีลักษณะธุรกิจดังนี้

Savannah เป็นธุรกิจรับซื้อ Organic-Certified Shea Nuts จากชาวบ้านผู้หญิงยากจนในกานาประมาณ 1,500 คน ซึ่งเดิมปลูกและรวบรวม Shea Nuts ซึ่งหาตลาดได้ไม่สม่ำเสมอและถูกกดราคา Savannah ได้พัฒนา Business Model โดยการพัฒนากลุ่มแม่บ้านอีก 2,000 คน ให้นำผลผลิต Shea Nuts มาแปรรูปเบื้องต้นโดยคั้นให้เป็น Butter แล้วขายให้ Savannah ซึ่งให้ราคาดีกว่า แล้ว Savannah ส่ง Bulter นี้ขายไปยังโรงงานผลิตเครื่องสำอางในยุโรป ซึ่งมีความต้องการ Butter จาก Shea Nuts สูงมาก แบบจำลองธุรกิจนี้จึงถือว่าเป็นประโยน์มากต่อกลุ่มแม่บ้านยากจนในประเทศกานา และ Savannah เองก็ได้กำไรจากโครงการนี้ไม่มากนัก แต่ก็ยังสามารถชำระหนี้เงินกู้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยได้

 

2. Esmee Fairbairn (Investor) และ Bridges Social Entrepreneurs Fund (Investee)

เป็นตัวอย่างของโครงการลงทุนด้านสังคม โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินในลักษณะหุ้นสามัญ ขนาดการลงทุน 750,000 ปอนด์ บนพื้นที่ยุโรปตะวันตก เป็นโครงการที่ Esmee Fairbairn Foundation( Esmee) เป็นผู้ให้เงินทุน Esmee เป็นมูลนิธิที่ทำงานโดยมุ่งช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพชีวิตในสหราชอาณาจักร (UK) ส่วน Bridges Social Entrepreneurs Fund (Bridges) เป็นกองทุนที่มุ่งสนับสนุนเงินทุนให้แก่ธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Social Enterprise ซึ่งมักต้องการการเติบโต แต่ขาดแคลนเงินทุน

ตัวอย่างนี้เกิดในปี 2009 เมื่อ Bridges มีเป้าหมายอยากช่วยสนับสนุนเงินทุนให้ Social Enterprise ที่อยู่ในขั้น Growth Stage ใน UK โดยกำหนดว่ายังต้องการอัตราผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลกับการลงทุน Bridges ต้องการระดมทุนขนาด 1.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า Flexible Investment Structure เช่น Quasi-equity หรือ Debt ก็ได้  เพื่อใช้ในการนี้และเสนอขอเงินทุนต่อ Esmee

Esmee นำเสนอรูปแบบการลงทุน 750,000 ปอนด์ เป็นหุ้นสามัญของ Bridges ในลักษณะที่เรียกว่า Equity: Partnership Share in a Limited Partnership โดยมีระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป (ซึ่ง Bridges สามารถซื้อคืนได้) และเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปที่สนใจเข้าซื้อหุ้นสามัญของ Bridges ในลักษณะนี้ได้เพื่อระดมทุนในส่วนที่เหลือ ซึ่งจะทำให้ Bridges สามารถนำเงินทุนนี้ไปสนับสนุน Social Enterprises แบบที่ต้องการได้ ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า  Bridges จะต้องสรุปรายงานผลการดำเนินงาน และการวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคมต่อนักลงทุนที่ถือหุ้นให้ทราบเป็นระยะด้วย

The post ‘Impact Investing’ กับการลงทุนแบบ Responsible Investment appeared first on THE STANDARD.

]]>
แนวโน้มการลงทุนแบบ Responsible Investment (2) https://thestandard.co/responsible-investment-2/ Sat, 14 Aug 2021 10:45:28 +0000 https://thestandard.co/?p=525120 Responsible Investment

การลงทุนในแนวการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม […]

The post แนวโน้มการลงทุนแบบ Responsible Investment (2) appeared first on THE STANDARD.

]]>
Responsible Investment

การลงทุนในแนวการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นับวันยิ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและผู้คนในวงการต่างๆ เพราะมีส่วนที่จะช่วยโลกที่มีปัญหาต่างๆ รุมเร้าในทุกวันนี้ได้ ชื่อที่เรียกแนวทางการลงทุนแบบนี้อาจมีต่างๆ กัน เช่น Ethical Investing, Impact Investing, Responsible Investing, Social Responsible Investing, หรือ Green Investing เป็นต้น บทความในตอนนี้จะขยายความเรื่องการลงทุนแบบที่เน้นผลลัพธ์ ทั้งการสร้างผลตอบแทนและแสดงความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเพิ่มเติมดังนี้

 

1. UN Principles for Responsible Investment (PRI)

องค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศ เป็นเวทีสำคัญให้ประเทศต่างๆ ร่วมกันเสนอวิธีการขับเคลื่อนโลกไปสู่จุดที่ดีกว่าร่วมกัน ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้เห็นความสำคัญในเรื่องการลงทุนในตลาดทุนของนักลงทุน (Investor) ว่าควรจะสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุน แต่ต้องดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดมั่นในหลักบรรษัทภิบาล (ESG) และได้ออกหลักการที่เรียกว่า UN Principle for Responsible Investment (PRI) มาในปี 2006 เพื่อเสนอต่อสถาบันการเงินต่างๆ ในตลาดการเงิน เพื่อให้ร่วมเปิดเผยข้อมูลการลงทุนแบบมีความรับผิดชอบนี้ในลักษณะ Voluntary Disclosure ซึ่งมีผู้ลงนาม (Signatories) มากขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลจาก Investopedia ประมาณไว้ว่า จนถึงปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์ลงทุนที่มีผู้ร่วมลงนามใช้ตามแนวทาง PRI มีสูงถึง 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การลงทุนตามแนวทาง PRI นับวันก็จะมีบทบาทและอิทธิพลต่อโลกการลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ และสามารถช่วยขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาของโลกได้รวดเร็วขึ้นด้วย

 

ปรัชญา PRI จะมุ่งเน้นหาปัจจัย (Factors) ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลที่บริษัทที่ประกอบธุรกิจอาจเป็นสาเหตุหรือทำให้เกิดผลกระทบทางลบ ในกระบวนการทำธุรกิจและพิจารณาว่าบริษัทได้กระทำการใดบ้างที่ช่วยลดผลกระทบทางลบ และส่งเสริมให้เกิดผลกระทบทางบวกต่อส่วนรวม บริษัทที่ทำได้ดีจะถูกพิจารณาว่าได้ทำธุรกิจอย่างประณีต ทำให้เกิดความยั่งยืน เนื่องจากเป็นบริษัทที่ใส่ใจและบริหารความเสี่ยงที่เรียกว่า ESG Risk ส่งผลให้ความผันผวนในการประกอบการลดลงเกิดเสถียรภาพของการเติบโตในมูลค่าบริษัท นักลงทุนก็จะเกิดความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในบริษัทดังกล่าวมากกว่าบริษัทที่ไม่ใส่ใจในเรื่องนี้

UN PRI ประกอบไปด้วยหลักการพื้นฐาน 6 ข้อ ซึ่งผู้ร่วมลงนามต้องยึดมั่นและนำไปปฏิบัติ ได้แก่

 

  • Principle 1: ผู้ลงทุนจะต้องนำประเด็นเรื่อง ESG เข้าไปในกระบวนการวิเคราะห์และการตัดสินใจลงทุน
  • Principle 2: ผู้ลงทุนจะต้องดูแลพอร์ตโฟลิโอการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (เป็น Active Owner) โดยนำเรื่อง ESG เข้าไปกำหนดไว้ในนโยบายการลงทุนและนำไปปฏิบัติเวลาลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
  • Principle 3: ผู้ลงทุนจะต้องค้นหาข้อมูลด้าน ESG ที่มีการเปิดเผยอย่างเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
  • Principle 4: ผู้ลงทุนจะต้องช่วยสนับสนุนหรือส่งเสริมให้การลงทุนแบบมีความรับผิดชอบ มีความแพร่หลายแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในอุตสาหกรรมการลงทุน
  • Principle 5: ผู้ลงทุนจะร่วมมือกันเพื่อปฏิบัติตามหลักการ PRI ให้เกิดขึ้นอย่างเข้มแข็ง
  • Principle 6: ผู้ลงทุนจะเผยแพร่รายงานการลงทุนแบบมีความรับผิดชอบโดยแสดงถึงกิจกรรมและความก้าวหน้าต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

 

ที่ผ่านมาสถาบันการเงินที่เป็นนักลงทุนสถาบันต่างก็ยอมรับหลักการ PRI นี้ และยึดหลักการ 6 ข้อนี้ในการบริหารพอร์ตการลงทุน ตัวอย่างที่ได้ปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง เช่น Norwegian Government Pension Fund, The Government Pension Fund of Thailand, The Canada Pension Plan Investment Board และ The California Public Employee Retirement System (CalPERS) เป็นต้น

อีกตัวอย่างหนึ่งของนักลงทุนสถาบันที่นำหลักการ PRI ไปใช้ เช่น กรณีของบริษัท Standard Life ซึ่งถูกซื้อกิจการจาก Manulife เมื่อปี 2015 และได้เข้าร่วมลงนาม PRI Signatory และเริ่มใช้ ESG Factors ในการประเมิน ESG Risk เพื่อดูโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ (Automobile Supply Chain) โดยเฉพาะเมื่อ European Union (EU) ออกกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะให้รถยนต์ลดการปล่อยมลพิษ (New Anti-Pollution Legislation) เพื่อนำ ESG ประเด็นนี้เข้าทำการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ก็พบว่าหุ้นบางตัวมีแนวโน้มที่ดี เช่น บริษัท LG Chem ซึ่งเป็นผู้ผลิต Lithium-ion Battery ให้กับรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะมาทดแทนรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษได้ การนำ ESG Factor ดังกล่าวมาพิจารณา ทำให้การประเมินมูลค่า LG Chem เปลี่ยนไปจากเดิม มูลค่าหุ้นดังกล่าวถูกปรับมูลค่าเพิ่มขึ้น (Upward Adjustment)


2. Ethical Investing

การลงทุนแบบที่มีความรับผิดชอบสูง หากมีเกณฑ์เคร่งครัดมาก บางคนก็เรียกว่า Ethical Investing ซึ่ง Ethical อาจหมายถึงศีลธรรม จรรยาที่ดี ซึ่งหลักเหล่านี้อาจจะมาจากข้อปฏิบัติในศาสนา หรือแนวปฏิบัติทางสังคมที่นักลงทุนในกลุ่มนั้นยึดถือปฏิบัติ เช่น กองทุน Islamic Fund อาจจะกำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะไม่ไปลงทุนในธุรกิจที่ขัดกับหลักศาสนา เป็นต้น หรืออาจเป็นกองทุนที่มีการระบุชัดเจนว่าจะไม่ลงทุนในธุรกิจสีเทา (Sin Stocks) เช่น ธุรกิจคาสิโน ธุรกิจเหล้าเบียร์ ธุรกิจยาสูบ หรือธุรกิจอาวุธสงคราม เป็นต้น

ในการวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกหุ้น การปรับเอาหุ้นเข้าออกจากพอร์ตจึงต้องมีความละเอียดรอบคอบ เพราะหากขัดต่อ Personal Belief ของนักลงทุน ก็จะเกิดการถอนตัวออกจากกองทุน หรือกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่การฟ้องร้องได้หากขัดต่อเงื่อนไขที่นักลงทุนกำหนดไว้

ประวัติศาสตร์ของการลงทุนแบบ Ethical Investing ย้อนหลังไปได้ถึงศตวรรษที่18 เมื่อกลุ่มนักลงทุนที่เคร่งศาสนา (Quaker) ในสหรัฐฯ ประกาศกฎเข้มงวดในการใช้เงินทุน โดยห้ามไปลงในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าทาส หรือตัวอย่างกรณีของ จอห์น เวสลีย์ (John Wesley) นักบวชชาวอังกฤษผู้ก่อตั้งนิกาย Methodism ก็ได้ประกาศว่าไม่สนับสนุนการลงทุนที่ส่งผลกระทบลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น โรงงานเคมี เป็นต้น

ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา Ethical Investing เริ่มขยับจากการอิงเกณฑ์ทางศาสนามาเพื่อแก้ปัญหาสังคมมากขึ้น เช่น ในสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เริ่มมีการลงทุนแบบ Ethical Investing ในบริษัทที่ส่งเสริมเรื่องความเท่าเทียม หรือความเป็นธรรมต่อแรงงาน และตั้งแต่ทศวรรษ1990 เป็นต้นมา Ethical Investing เริ่มหันมาสนใจประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เพราะเริ่มตระหนักถึงพิษภัยจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เริ่มมีการเรียกร้องให้บริษัทในกลุ่มหุ้นพลังงานดำเนินการลดผลกระทบทางลบจากการใช้พลังงานฟอสซิล และหาวิธีการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น จนถึงปัจจุบัน Ethical Investing จึงหันมาครอบคลุมรวมประเด็น ESG ทั้งหมด


3. Green Investing

Green Investing เป็น Socially Responsible Investing (SRI) ประเภทหนึ่ง ซึ่งความหมายของ Green Investing คือรูปแบบการลงทุนในบริษัทหรือโครงการที่มุ่งมั่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (Conservation of Natural Resources) หรือสำรวจ ผลิตพลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน (Production and Discovery of Alternative Energy Sources) หรือการดำเนินการเพื่อให้เกิดอากาศที่ดีและแหล่งน้ำที่เพียงพอ (Implementation of Clean Air and Water Projects) หรือโครงการใดๆ ที่ทำให้เกิดกระบวนการธุรกิจที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม (Environmentally Conscious Business Practices) เป็นต้น บริษัทที่เข้าข่ายเป็น Green Investing อาจมีธุรกิจเดิมอย่างอื่นที่ไม่ใช่ Green Business อย่างสมบูรณ์ก็ได้ แต่อาจมีโครงการใหม่ที่สอดคล้อง (Green-Based Initiatives) ก็ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนได้

คำว่า Green นี้ นักลงทุนอาจจะต้องตีความ แต่โดยทั่วไปจะหมายถึงธุรกิจหรือโครงการที่ทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ดีทั้งทางตรงและทางอ้อม ผลิตภัณฑ์ที่นักลงทุนในแนว Green Investing จะเข้าลงทุนอาจเป็น หุ้น กองทุนรวม ETFs หรือตราสารหนี้ก็ได้ ตัวอย่างกองทุนรวมที่มีชื่อเสียงว่าเน้นลงทุนในแนว Green Investing เช่น TIAA-CREF Social Choice Equity Fund (TICRX); Portfolio 21 Global Equity Fund Class R (PORTX) หรือ Green Century Balanced Fund (GCBLX) เป็นต้น

ระดับความ Green เป็นเรื่องที่นักลงทุนรายย่อยต้องตีความและอ่านจากนโยบายการลงทุนของสถาบันที่จะนำเงินของเราไปลงทุนให้ดีก่อน เช่น กองทุนรวมบางแห่งอาจระบุชัดเจนว่าจะลงในบริษัทที่ทำ Renewable Energy เท่านั้น อย่างนี้ถ้าตรงกับ ‘จริต’ ของเรา ก็ลงทุนไปเลย แต่บางกองทุนรวมอาจระบุแค่ว่า จะลงในบริษัทที่ทำธุรกิจแบบมี Good Business Practices โดยกระบวนการทำธุรกิจต้องดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ถ้า ‘Green’ แบบหลังนี้ตรงกับ ‘จริต’ ของเรา ก็ตัดสินใจลงทุนได้ นักลงทุนรายย่อยจึงควรรู้ ‘จริต’ ด้าน ESG ของตนเองว่ามีความกว้างและลึกเพียงใด

The post แนวโน้มการลงทุนแบบ Responsible Investment (2) appeared first on THE STANDARD.

]]>
การลงทุนแบบ Responsible Investment กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (1) https://thestandard.co/responsible-investment/ Fri, 11 Jun 2021 07:30:03 +0000 https://thestandard.co/?p=499050 Responsible Investment

กระแสการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สัง […]

The post การลงทุนแบบ Responsible Investment กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (1) appeared first on THE STANDARD.

]]>
Responsible Investment

กระแสการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) เป็นสิ่งที่ฮิตอย่างมากในยุคนี้ ที่ฮิตนี้ ผมคิดว่าไม่ใช่แฟชั่นอะไร แต่เป็นความห่วงใยของผู้คนทั้งหลายที่มองเห็นว่า ยิ่งมนุษย์มีกิจกรรมเพื่อดำเนินชีวิตบนโลกไป ไม่ว่าจะผ่านกิจกรรมครัวเรือน กิจกรรมธุรกิจ อะไรต่างๆ ก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาบนโลก ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อมและสังคมมีปัญหาและเสื่อมโทรมมากขึ้น เช่น ปัญหาขยะ น้ำเสีย อากาศเสีย เป็นต้น และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมของโลก เช่น การเกิดปัญหาโลกร้อนตามมาและเชื่อมโยงไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เช่น ทำให้เกิดภัยแล้ง อุทกภัย ปัญหาฝุ่นละออง เป็นต้น จนอาจเกิดอันตรายต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์บนโลกในระยะยาวได้ 

 

ในด้านสังคมนั้นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความยากจน การละเมิดสิทธิมนุษย์ชน เป็นต้น ยังเป็นสิ่งที่เห็นอยู่ทั่วไป ทั้งในสังคมของประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนาเป็นต้น นักลงทุนถือว่าเป็นผู้มีกำลังเงินทุนที่สามารถใช้พลังอำนาจนี้ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงได้โดยมุ่งแสวงหาและสนับสนุนธุรกิจที่บริหารธุรกิจได้อย่างเข้มแข็ง มีผลประกอบการที่ดี แต่มีความประณีตในการดำเนินธุรกิจที่ดูแลผู้เกี่ยวข้องทั้งใกล้และไกลครอบคลุมทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคม 

 

การลงทุนในลักษณะนี้เรียกว่า การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Investments หรือ RI) ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนที่สนใจการลงทุนแบบ RI เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บทความตอนนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนแบบ RI เพื่อเป็นความรู้ให้แก่นักลงทุนไทยที่กำลังสนใจในการลงทุนแนวนี้

 

1. แนวโน้มการลงทุนแบบ RI ในปี 2021

จากข้อมูลในบทความเรื่อง ‘2021 ESG Trends to Watch/December 2020’ ใน msci.com ของ MSCI (Morgan Stanley Capital International) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำดัชนีหุ้นชั้นนำของโลกได้สรุปไว้ว่าในปี 2021 เรื่องที่เป็นแนวโน้มใหญ่ของการลงทุนแบบ RI หรือ ESG ประกอบไปด้วย 5 เรื่อง ได้แก่

 

  • ความสนใจเกี่ยวกับภูมิอากาศ (Climate)

โดยอธิบายว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (2015) ประเทศต่างๆ ในโลกไปตกลงกันที่ปารีสว่าจะช่วยกันลดปัญหาโลกร้อน โดยจะร่วมมือกัน ลดอุณหภูมิของโลกลงมา 2 องศาเซลเซียส แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้เป็นไปได้ช้ามาก ในปี 2021 บรรดานักลงทุน (สถาบัน) หวังว่าจะกดดันเรื่องนี้เพิ่มเพื่อทำให้บริษัทต่างๆเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญใน Business Model ที่จะทำให้กระบวนการทำธุรกิจ เกิดการช่วยปล่อยก๊าชเรือนกระจกเพิ่มขึ้น

 

  • กระแสการลงทุนแบบ ESG หรือ RI (ESG Bubbles)

นักลงทุนในยุคปัจจุบันมีกลุ่มที่สนใจอยากให้โลกนี้ดีขึ้นในจำนวนมากขึ้นและมีการขยายตัวอย่างมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่ยุคที่จะต้องมาออกแรงโน้มน้าวว่าการลงทุนแบบนี้ดีอย่างไรแล้ว แต่จะเป็นยุคที่หาข้อเท็จจริงว่าดีอย่างไรรวมทั้งการหาเครื่องมือเพื่อสรุปให้นักลงทุนให้เห็นว่าใครทำดีบ้าง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการคัดกรองหาหุ้น ESG ที่ดี ตรงตามความต้องการ

 

  • ความสนใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity)

นักลงทุนจะให้ความสำคัญและสนใจกับเรื่องวิกฤตด้านความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น ซึ่งสืบเนื่องมาจากเรื่องโควิด-19 ซึ่งอาจมีต้นตอมาจากสัตว์ป่า เช่น ค้างคาว ที่คนเข้าไปล่า การกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพภายในธรรมชาติ และก่อให้เกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งผลกระทบนี้เราก็ยังประสบอยู่ เรื่องดังกล่าวก่อให้เกิดความร้ายแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจเกินกว่าจะประเมินมูลค่าความเสียหายได้

 

  • การเปิดเผยข้อมูล ESG (Disclosure)

ปัจจุบันเป็นยุคของความท้วมท้นของข้อมูลการลงทุน รวมทั้งข้อมูล ESG ด้วย ซึ่งมีมากมาย ผ่านการรายงานในรูปแบบต่างๆ บนช่องทางที่หลากหลาย ในยุคต่อไปจากนี้จะมีความพยายาม ค้นหาวิธีหรือเครื่องมือแบบ AI (Artificial Intelligence) ที่จะจัดการและสรุปข้อมูล ซึ่งถ้าใครทำได้ก็จะเป็นที่ต้องการของนักลงทุนมากขึ้น

 

  • ความสนใจในเรื่องการแก้ไขความเหลื่อมล้ำในสังคม (Social Inequality)

แต่เดิมโลกก็พบกับปัญหาความยากจน สัดส่วนคนจนมีมากกว่าคนรวย การเอารัดเอาเปรียบกันในสังคมอยู่แล้ว เหตุการณ์โควิด-19 ยิ่งซ้ำเติมทำให้ปัญหาเหล่านี้มีมากขึ้น เพราะบุคคลได้รับความอ่อนแอทางเศรษฐกิจเพิ่ม คาดการณ์ว่าความสนใจเรื่องสิทธิมนุษย์ชนจะมีมากขึ้นเพื่อหวังว่าผู้ประกอบธุรกิจจะคำนึงถึงเรื่องนี้ ในประเด็นต่างๆ เช่น การดูแลแรงงาน สิทธิเด็ก สิทธิสตรี ผู้ด้อยโอกาส ระหว่างกระบวนการทำธุรกิจ เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เรื่องต่างๆ เหล่านี้จะอยู่ในความสนใจของนักลงทุนเพิ่มขึ้น

 

2. การผลักดันเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Reality Bites)

ข้อตกลงปารีสว่าด้วยเรื่องโลกร้อนในปี 2015 นั้น บรรดานักลงทุนสถาบันที่เป็น Global Investors ก็ได้มีส่วนร่วมผลักดันด้วย โดยใช้พลังอำนาจจากเงินทุนที่มีอยู่ในมือกดดันให้บริษัทต่างๆ (ผู้ออกหลักทรัพย์) ให้ความร่วมมือ แต่เมื่อผ่านไป  5 ปี แม้จะทำได้ระดับหนึ่งผ่านการสร้างพอร์ตการลงทุนในลักษณะ ‘Cooler Portfolio’ แต่ก็ยังห่างจากเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจ ซึ่งในอีก 5 ปีข้างหน้า บรรดานักลงทุนสถาบันคงต้องดำเนินการให้เข้มข้นขึ้นโดยผลักดันให้กระบวนการทำธุรกิจบน Business Model ของแต่ละบริษัทต้องมีแผนและกิจกรรมที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้มากกว่าเดิม และบริษัทที่ทำใด้จึงจะเป็นเป้าหมายการลงทุน

 

MSCI มีกลุ่มเป้าหมาย (Universe) ของการลงทุนอยู่ด้วยถึง 8,900+ บริษัทอยู่ใน MSCI ACWI Investable Market Index (IMI) ที่สามารถนำมาคัดกรองผ่าน MSCI’s Warming Potential Metricเพื่อดูว่าใครที่ทำได้ดีในเรื่องการลดโลกร้อน

 

โดยบริษัทที่ถูกคัดเลือกเข้าสู่ Portfolio ได้ จะต้องสามารถดำเนินกิจกรรมธุรกิจที่ช่วยลดโลกร้อนได้โดยต้องสามารถลดอุณหภูมิโลกลงได้ 2 องศาเซลเซียส หรือ 1.5 องศาเซนเซียส ทั้งนี้จะมีการเพิ่มน้ำหนักใน Portfolio สำหรับบริษัทที่ทำได้จากเป้าหมายต่างๆ ดังกล่าวจากฝั่งนักลงทุน จะเป็นตัวผลักให้ฝั่งบริษัทหรือธุรกิจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำธุรกิจของตนเอง และดำเนินกิจกรรมที่จะลดโลกร้อน 

 

รวมทั้งมีการคำนวณวัดผลและเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนให้แก่นักลงทุน และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบในต่างประเทศ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญของเดนมาร์กและสหราชอาณาจักร เริ่มค้นหาสินทรัพย์ลงทุนที่มีลักษณะเป็น Green Investments เช่น Green Bond ที่นำเงินไปลงทุนใน Green Infrastructure หรือการลงทุนในลักษณะ Zero and Negative – Carbon Investments 

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ประเภทนี้ยังมีอยู่ไม่มากนัก อาจเป็นเพราะยังมีขั้นตอนและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอยู่มาก ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสม รวมทั้งให้ความรู้แก่ผู้เกี่ยวข้องต่อไป 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post การลงทุนแบบ Responsible Investment กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (1) appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดพอร์ตจำลองการลงทุนหุ้นยั่งยืน เพิ่มความอุ่นใจการลงทุน https://thestandard.co/sustainable-stocks-invest-trial/ Fri, 09 Apr 2021 08:09:25 +0000 https://thestandard.co/?p=474365 เปิดพอร์ตจำลองการลงทุนหุ้นยั่งยืน เพิ่มความอุ่นใจการลงทุน

กระแสการลงทุนในหุ้นยั่งยืนกำลังได้รับความสนใจมากขึ้น ซึ […]

The post เปิดพอร์ตจำลองการลงทุนหุ้นยั่งยืน เพิ่มความอุ่นใจการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดพอร์ตจำลองการลงทุนหุ้นยั่งยืน เพิ่มความอุ่นใจการลงทุน

กระแสการลงทุนในหุ้นยั่งยืนกำลังได้รับความสนใจมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีเพราะความต้องการที่มีสูงจากฝั่งของผู้ลงทุนถือว่าจะมีอิทธิพล และส่งแรงกดดันต่อบริษัทจดทะเบียนที่ต้องทำธุรกิจให้อยู่รอดอย่างเข้มแข็ง และเพิ่มมิติการดูแลสังคมสิ่งแวดล้อม และด้วยธรรมาภิบาล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็เล็งเห็นความสำคัญเรื่องนี้ ได้ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน รวมทั้งสนับสนุนให้มีการประเมินผลเพื่อคัดเลือกบริษัทที่ทำเรื่องนี้ได้ดีจนสามารถติดอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (THSI หรือ Thailand Sustainability Investment List) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน (2563) SET ได้ประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืน 124 ตัว ซึ่งผู้ลงทุนสามารถนำไป Screen สร้างพอร์ตหุ้นยั่งยืนด้วยตนเองได้ บทความตอนนี้จะให้ความรู้พื้นฐานเรื่องหุ้นยั่งยืน THSI ของ SET และทดลองทำพอร์ตหุ้นยั่งยืนเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับผู้ลงทุนนำไปประยุกต์ และปฏิบัติจริงในการลงทุนต่อไป

 

1. รู้จักหุ้นยั่งยืน ‘THSI’

SET จัดทำ Thailand Sustainability Investment (THSI) หรือรายชื่อหุ้นยั่งยืนตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคมและมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนตามแนวทางของการลงทุน อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Investment)

หุ้นใน THSI จะถูกคัดเลือกจากบริษัทจดทะเบียนจากบริษัทที่สมัครใจเข้าร่วมตอบแบบประเมินความยั่งยืนที่จัดทำโดย SET จะมีการทบทวนแบบประเมินทุกปีให้สอดคล้องกับบริบทและแนวโน้มด้านความยั่งยืนที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับสากลและระดับประเทศ บริษัทที่อยู่ใน THSI ต้องมีผลคะแนนจากการตอบแบบประเมินความยั่งยืน อย่างน้อง 50% ในแต่ละด้านของ ESG หรือเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ผลการประเมินคุณภาพรายงานด้านบรรษัทภิบาล (Corporate Governance Reporting หรือ CGR) ผลประกอบการด้านกำไรสุทธิและส่วนของผู้ถือหุ้น ผลการกำกับดูแลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของบริษัทจดทะเบียน และไม่สร้างผลกระทบด้าน ESG การเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C เป็นต้น โดยมีคณะทำงานเพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืนที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านบรรษัทภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และหน่วยงานในตลาดทุนเป็นผู้กลั่นกรองและคัดเลือกอย่างโปร่งใส

หุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในรายชื่อ THSI ถือได้ว่าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพของการนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจ มีการเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น (Emerging Risks) อีกทั้งมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อรองรับและบริหารจัดการประเด็นต่างๆ ที่ชัดเจน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างโอกาสทางธุรกิจพร้อมรับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก

นอกจากนี้ SET ยังได้จัดทำดัชนีความยั่งยืน SETTHSI Index โดยคัดเลือกหุ้นจากรายชื่อหุ้นยั่งยืน (THSI) ปีล่าสุดที่มีการซื้อขายใน SET ไม่น้อยกว่า 6 เดือนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท มีสัดส่วนผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อย (Free Float) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุนชำระแล้ว และมีจำนวนหุ้นซื้อขายไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนของบริษัทในเวลาไม่ต่ำกว่า 9 ใน 12 เดือน การจัดทำ SETTHSI Index จะทำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ลงทุนที่สนใจใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ Tracking หุ้นตามดัชนี เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนแบบ Passive ต่อไป

สำหรับรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI ปีล่าสุด (2563) จำนวน 124 รายชื่อ ผู้ลงทุนสามารถดูได้จาก www.setsustainability.com รวมทั้งดาวน์โหลดได้ทั้งเวอร์ชันภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

 

2. การสร้างพอร์ตจำลองหุ้นยั่งยืน

จากข้อมูลรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI 124 รายชื่อ ผมจะลองใช้หลักการคัดกรองหาหุ้นดี ราคาไม่แพงในลักษณะที่เป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี โดยอาศัยข้อมูลและ Financial Ratio ที่สำคัญที่สรุปจากงบการเงินประจำปี 2563 และทำการเรียงลำดับเพื่อนำหุ้นยั่งยืนทั้ง 124 ตัวนี้มาคัดเลือก โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

  • อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (เท่า) หรือ P/E Ratio ซึ่งอัตราส่วนนี้ยิ่งต่ำเท่าใดจะสะท้อนถึงราคาของหุ้นว่ามีราคาถูก
  • อัตราส่วนราคาปิดต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (เท่า) หรือ P/B Ratio ซึ่งอัตราส่วนนี้คล้ายกับ P/E Ratio คือยิ่งต่ำเท่าใด หมายถึงหุ้นนั้นมีราคาที่ถูก โดยเฉพาะถ้ามีค่าต่ำกว่า 1 เท่า แสดงว่าราคาตลาดของหุ้นถูกกว่ามูลค่าตามบัญชีเสียอีก
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%) หรือ Dividend Yield ซึ่งมีวิธีการคำนวณโดยนำเงินปันผลจ่าย (บาท) หารด้วยราคาของตลาดหุ้นนั้น เพื่อสะท้อนว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของราคาตลาด หากสมมติว่าราคาตลาดหรือราคาปิดนั้นเป็นเงินลงทุนในหุ้นนั้น ซึ่งยิ่ง Dividend Yield มีค่าเป็นบวกมากๆ ก็จะยิ่งทำให้หุ้นนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น
  • อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) หรือ ROE ซึ่งคำนวณจาก กำไรสุทธิ หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นและทำให้อยู่ในรูปเปอร์เซ็นต์ อธิบายว่าบริษัทได้นำเงินทุนที่เปรียบเสมือนเจ้าของไปทำธุรกิจ บริษัทที่ทำได้ดีย่อมจะทำให้ได้รับกำไรสุทธิ ซึ่งเป็นตัวเศษมีจำนวนเงินได้มาก ดังนั้นเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ยิ่งบริษัทมีค่า ROE สูงย่อมทำให้หุ้นของบริษัทนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น
  • อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity) หรือ D/E ซึ่งคำนวณจาก หนี้สินรวมหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น เอาไว้อธิบายว่าเงินทุนของบริษัทมาจากหนี้สินเท่าใด มาจากส่วนของทุนภายในเท่าใด ยิ่งอัตราส่วนนี้มีค่าสูงมากกว่า 1 เท่า เท่าใด จะสะท้อนว่าบริษัทใช้เงินทุนจากภายนอกมากเท่านั้น ซึ่งค่ายิ่งสูงความเสี่ยงทางการเงินก็จะยิ่งสูง เพราะต้องมีภาระจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยจ่ายที่สูง แต่ถ้าบริษัทบริหารงานได้ดี แม้จ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยแล้วยังมีกำไรและกระแสเงินสดจากการทำธุรกิจได้อยู่ก็จะไม่มีปัญหามากนัก

 

การคัดกรองหุ้นยั่งยืนของผม จะเอาหุ้น 124 ตัวดังกล่าวมาดูค่า Ratio ทีละตัว และหาค่าเฉลี่ยของ Ratio ไว้แล้วเรียงลำดับ ต่อมาจะคัดเลือกหุ้น 30 อันดับแรกที่ดีของแต่ละ Ratio ถัดจากนั้นก็จะคัดว่าในบรรดาหุ้น 30 ตัวมีใครบ้างที่มีค่า Ratio ทั้ง 5 Ratio ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ผลดังกล่าวทำให้คัดกรองหุ้นยั่งยืนตามเงื่อนไขนี้ได้ 12 ตัว โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

 

 

จากข้อมูลข้างต้นที่คัดกรองหุ้น THSI มาได้ 12 ตัวนี้ ก็อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ลงทุนไปลงมือสร้างพอร์ตหุ้นยั่งยืนได้ง่ายขึ้นกว่าสร้างพอร์ตจากหุ้น 124 ตัว ซึ่งผู้ลงทุนสามารถไปลงลึกอ่านข้อมูลธุรกิจและวิเคราะห์หุ้น 12 ตัวนี้ต่อไป

อย่างไรก็ดีผมจะลองหาเหตุผล Screen หุ้น 12 ตัวนี้ให้เหลือน้อยลง โดยส่วนตัวผมคิดว่า Fundamental Ratio ที่สำคัญที่สุดคือ ROE เพราะสะท้อนฝีมือในการทำธุรกิจจริงๆ และเป็นกำไรจาก Ratio นี้เป็นส่วนที่ตกมาถึงผู้ถือหุ้น จากข้อมูลในตาราง ผมก็ใช้หลักง่ายๆ กำหนดเอาเองว่า ผมสนใจบริษัทที่มีค่า ROE มากกว่า 15% ต่อปี ซึ่งปี 2563 เกิดโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ใครที่ฝ่าฟันได้ก็น่ายกย่องมาก (ตัวเลขนี้กะเอา ไม่ได้บอกว่าบริษัทที่ได้น้อยกว่านี้หมายถึงแย่นะครับ เป็นการล้อมวงหาหุ้นลงทุนให้วงแคบเข้ามาเท่านั้น) ซึ่งหากใช้หลักเกณฑ์ที่ว่านี้ หุ้น THSI 12 ตัวก็จะเหลือเพียง 5 ตัว ดังต่อไปนี้

 

 

ซึ่งหากเราย้อนไปตั้งพอร์ตหุ้น 5 ตัวนี้ด้วยเงินเท่าๆ กัน ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2559 และมาออก ณ วันที่ 5 เมษายน 2564 (วันล่าสุดที่เขียนบทความ) พอร์ตหุ้นยั่งยืน 5 ตัวนี้จะมี Return ในส่วน Capital Gain และ Loss ดังนี้

 

 

หากเราเริ่มลงทุนด้วยเงิน 70.40 บาทใน 4 ปีที่แล้ว พอร์ตจำลองข้างต้นนี้จะเติบโตเป็น 113.92 บาทในปัจจุบัน และได้รับ Net Capital Gain 43.52 บาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตสะสมตลอด 5 ปี เท่ากับ (43.52/70.40) X 100 = 61.82 % ต่อปี หรือคิดคร่าวๆ เป็นประมาณ 15.46% ต่อปี

 

 

จากข้อมูลเงินปันผลของหุ้น THIS ทั้ง 5 ตัว ตลอด 4 ปี ได้รับเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 2.831 บาท หากสมมติว่าจากเงินลงทุน 70.40 บาท ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2559 และลงในลักษณะถือระยะยาวมา 4 ปี (Buy and Hold) คิดเป็น Dividend Yield เท่ากับ (2.831/70.40) x 100 = 4.02% ต่อปี ซึ่งแม้ว่าจะไม่สูงมากนัก แต่ก็ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารโดยเปรียบเทียบ


อนึ่ง การคำนวณผลตอบแทนพอร์ตหุ้นยั่งยืนนี้ยังไม่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหุ้น ค่าธรรมเนียมต่างๆ และภาษีที่เกี่ยวข้อง และการใช้ข้อมูลจากอดีตไม่ได้ยืนยันว่าข้อมูลอนาคตจะเหมือนกัน ผู้ลงทุนจะต้องติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างใกล้ชิดด้วย

การสร้างพอร์ตจำลองหุ้น THSI นี้ เป็นเพียงตัวอย่างและแนวทางเพื่อให้ผู้ลงทุนได้เรียนรู้และทดลองปฏิบัติ การทำความเข้าใจจริงๆ ว่า หุ้นยั่งยืนนั้น ยั่งยืนมาจากอะไร เป็นหุ้นที่ทั้งดีและเก่งนั้น มาจากสาเหตุใด การเข้าไปศึกษาข้อมูลของบริษัทเหล่านั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อท่านผู้ลงทุนเข้าใจแล้ว การลงทุนในหุ้นที่ยั่งยืนนั้น ผมคิดว่า จะทำให้ท่านรู้สึกสบายใจ นอกจากผลตอบแทนที่เรารอคอยแล้ว เรายังดีใจอุ่นใจที่ช่วยสนับสนุนบริษัทที่เราเชื่อมั่นว่าทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบด้วย ขอให้ท่านผู้ลงทุนโชคดีครับ

 

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

The post เปิดพอร์ตจำลองการลงทุนหุ้นยั่งยืน เพิ่มความอุ่นใจการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 3) https://thestandard.co/treasure-on-the-website-set-part3/ Sat, 13 Mar 2021 04:30:13 +0000 https://thestandard.co/?p=464459 ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 3)

บทความในตอนนี้จะอธิบายต่อจากตอนที่แล้ว เพื่อให้เห็นประโ […]

The post ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 3) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 3)

บทความในตอนนี้จะอธิบายต่อจากตอนที่แล้ว เพื่อให้เห็นประโยชน์ของข้อมูลที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบฟรีๆ หากท่านเข้าใจวิธีการอ่าน ก็จะช่วยทำให้เกิดความสนใจและสร้างความมั่นใจเพื่อตัดสินใจลงทุนได้

 

การอ่านข้อมูลค่าสถิติที่สำคัญ ยกตัวอย่างหุ้น : DRT

 

รูปที่ 1

 

ค่าสถิติที่สำคัญของ DRT

 

การอ่านข้อมูลค่าสถิติที่สำคัญ ยกตัวอย่างหุ้น : DRT

 

1. ราคาล่าสุด

 

 

จากรูปที่ 1 แสดงราคาปิดของหุ้น DRT ย้อนหลัง 4 ปี (2560-2563) และราคาปิดล่าสุด ณ วันที่ 2 มีนาคม 2564 แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นราคาที่เคลื่อนไหวแต่ละวัน แต่ก็พอจะเห็นข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นแบบยาวๆ ถึง 4 ปีย้อนหลัง จากข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าหุ้น DRT อยู่ที่ราคา 5.70 บาท ในปี 2560 และเพิ่มเป็น 6.25 บาท ในปี 2562 ถ้าเราถือหุ้น DRT ในช่วง 3 ปีนี้ ส่วนเปลี่ยนแปลงราคา (Capital Gain) ซึ่งเป็นผลตอบแทนของหุ้นชนิดหนึ่งจะมีอัตรา (6.25-5.70/5.70) เท่ากับ 9.64% สำหรับปี 2563 ราคาหุ้น DRT มีระดับลดลงเหลือ 5.85 บาท ซึ่งในปีนี้คงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ข้อมูล ณ วันที่ 2 มีนาคม 2564 ราคาหุ้น DRT ได้กลับมาอยู่ในระดับ 6.20 บาท ตามภาวะตลาดที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวหลังมีการวัคซีนรักษาโรค

 

แม้ว่าเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น DRT ที่ไม่หวือหวานัก แต่ถ้าถือในระยะยาว แนวโน้มของราคาเป็นไปในทางอัปเทรนด์ ความไม่หวือหวาของหุ้นอาจมาจากขนาดของธุรกิจที่ไม่ได้มีการขยายตัวมากนัก ส่วนแบ่งการตลาดและยอดขายของธุรกิจจึงอยู่ในลักษณะอิ่มตัว ไม่จำเป็นต้องลงทุนขยายธุรกิจ (วิเคราะห์ผ่านข้อมูลผลประกอบการในตอนที่แล้ว) แต่สินค้าของบริษัทยังขายได้เรื่อยๆ สม่ำเสมอ มีกำไรที่ดี ธุรกิจแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีจุดขายที่ Asset Growth แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ความมั่นคงของปัจจัยพื้นฐานเดิม ถ้าหากบริษัทมีกำไรดี จ่ายปันผลดี และสม่ำเสมอ หุ้นลักษณะนี้เข้าข่าย ‘หุ้นปันผล’ ได้ หากว่าใครที่ซื้อหุ้นตัวนี้มาในราคาที่ไม่แพงและติดตามมาตลอด คิดว่าน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีทีเดียว เช่น ข้อมูลการจ่ายเงินปันผลของ DRT ในปี 2563 เท่ากับ 0.40 บาท หากสมมติว่าเราเคยซื้อ DRT มา ตั้งแต่ราคา 4 บาท และยังไม่เคยขายออกเลย อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะเท่ากับ (0.40/4.00) หรือ 10% ต่อปี ซึ่งคือว่าน่าสนใจมากทีเดียวเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน

 

2. มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด

 

ข้อมูลนี้เกิดจากการนำราคาตลาดซึ่งเป็นราคาปิดของหุ้นคูณด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดในขณะนั้น ซึ่งมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดนี้จะเพิ่มได้ อาจมาจากราคาตลาดที่เพิ่มขึ้นและ/หรือจำนวนหุ้นสามัญที่เพิ่มขึ้น เช่น การเพิ่มทุน จากข้อมูลของ DRT จำนวนหุ้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์จึงมาจากราคาตลาดเป็นสำคัญ

 

3. P/E (เท่า)

 

        

อัตราส่วนนี้มีประโยชน์สำหรับผู้ลงทุน สามารถนำมาเปรียบเทียบว่าหุ้นใดมีราคาแพงหรือราคาถูก เพราะไม่สามารถจะดูที่ราคา (P) ของหุ้นได้โดยตรง เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีฐานของราคาต่างกัน เนื่องจากมี Par Value ที่ไม่เท่ากัน

 

เช่น

 

 

จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ราคาหุ้นอาจไม่เหมือนราคาสินค้าบริการในตลาดที่บอกได้ว่า 120 บาท แพงกว่า 30 บาท เพราะราคา Par ต่างกัน และสตอรีการเติบโตที่ผ่านมาก็มีประวัติที่ต่างกัน เวลาเปรียบเทียบ หากนำกำไรต่อหุ้นไปหารทั้ง 2 หุ้น ก็จะสามารถเปรียบเทียบได้ เพราะเมื่อหารเสร็จตัวหารจะมีค่าเป็น 1 เสมอ ดังนั้น P/E ของหุ้น A = 10:1 หรือ 10 เท่า อธิบายว่าใน 1 หน่วยของกำไร ผู้ลงทุนให้ราคาตลาดของหุ้น A เป็น 10 เท่าของกำไร ในขณะที่ P/E ของหุ้น B เท่ากับ 15:1 หรือ 15 เท่า อธิบายว่าผู้ลงทุนให้ราคาตลาดของหุ้น B เป็น 15 เท่าของกำไร

 

เนื่องจากเป็นการเปรียบเทียบใน 1 หน่วยของกำไรเหมือนกัน ใครที่มีค่า P/E สูงกว่าจะถือว่ามีราคาหุ้น (โดยเปรียบเทียบกับกำไร) ที่สูงกว่า ซึ่งอาจเทียบจากตนเองในอดีต หรือเปรียบเทียบกับคู่แข่งก็ได้

 

             

จากข้อมูล P/E ในช่วง 4 ปี ย้อนหลังของ DRT พบว่า P/E ของ DRT มีระดับที่ลดลง จาก 13.58 เท่าในปี 2560 เหลือประมาณ 9 เท่าในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับในอดีต ผู้ลงทุนสามารถนำ P/E ของ DRT นี้ไปเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือเทียบกับ P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ หาก P/E ของ DRT ต่ำกว่า ก็สรุปจากข้อมูลนี้ได้ว่าราคาหุ้น DRT มีระดับที่ถูกกว่า (โดยธรรมชาติ ผู้ลงทุนจะชอบของราคาถูกและดี) ซึ่งของถูกดูได้จาก P/E ที่ต่ำ แล้วค่อยไปค้นเพิ่มว่าเป็นของดีด้วยไหม

 

4. มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share)

 

ต้องเริ่มกล่าวจาก Book Value หรือมูลค่าตามบัญชีของหุ้นก่อน Book Value คือส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินนั่นเอง ซึ่งมีที่มาจาก

 

Book Value = สินทรัพย์-หนี้สิน

 

ถ้าบริษัทหนึ่งมีสินทรัพย์ตามงบการเงิน ซึ่งถือว่าเป็นราคาตามบัญชีอยู่ ณ วันใดๆ แต่มูลค่าสินทรัพย์ตามบัญชีนี้มิใช่เป็นของผู้ถือหุ้นทั้งหมด เนื่องจากการได้มาซึ่งสินทรัพย์นี้อาจมาจากการกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้ จึงเกิดหนี้สินที่บริษัทมีภาระผูกพันจะต้องจ่ายคืน ดังนั้นถ้าจะดูสินทรัพย์ในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้น จึงต้องหักหนี้สินให้ได้สินทรัพย์สุทธิ ซึ่งถูกเรียกว่า Book Value

 

Book Value มีความสำคัญเพราะกลายเป็นมูลค่าพื้นฐานของธุรกิจ หากเราต้องการลงทุนซื้อหรือขายธุรกิจ ส่วนใหญ่จะใช้ Book Value เป็นจุดตั้งต้นขั้นต่ำว่าไม่ควรขายต่ำกว่านี้ มีแต่จะสูงกว่านี้เพราะ

 

  1. สินทรัพย์ที่มีอยู่ในงบการเงิน อาจมีมูลค่าตลาดที่สูงกว่ามูลค่าตามบัญชี
  2. บริษัทอาจมีสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนอื่นๆ ที่มีมูลค่าแต่ยังไม่ถูกตีค่าในทางบัญชี เช่น ลิขสิทธิ์นวัตกรรม แบรนด์ 
  3. ผลประโยชน์สุทธิในอนาคตที่ธุรกิจอาจสร้างขึ้นมาได้

 

Book Value per Share (BV)

= Book Value / จำนวนหุ้นสามัญของบริษัท

= มูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้น

 

 

5. P/BV (เท่า)

 

ผู้ลงทุนจำนวนมากมักใช้ Book Value ต่อหุ้น (BV) ไปเทียบกับราคาตลาดต่อหุ้น (P) เช่น สร้างเป็นอัตราส่วนที่เรียกว่า Price to Book Ratio (P/BV) และหาหลักการว่าถ้า P/BV มีค่าน้อย เมื่อเทียบกับในอดีต หรือเทียบกับคู่แข่งจะถือว่าหุ้นนั้นมีราคาถูก หลักการคล้ายกรณีที่อธิบายเรื่อง P/E เพราะเมื่อนำ BV มาเป็นตัวหาร หารเสร็จตัวส่วนจะมีค่าเป็น 1 ทำให้นำมาเปรียบเทียบได้ นอกจากนี้ยังสามารถอธิบายเพิ่มได้ว่า P/BV ที่มีค่าต่ำ และ P มีค่าใกล้ BV นั้น อาจเป็นเพราะว่า ค่า P ซึ่งมาจากราคาซื้อขายปัจจุบันในตลาดนั้น ผู้ลงทุนอาจยังมองไม่เห็นมูลค่าส่วนเพิ่มที่ธุรกิจนั้นจะทำได้ในอนาคต จึงให้ราคา P ใกล้ๆ กับมูลค่า BV ถ้าเราวิเคราะห์แล้วและมั่นใจว่าธุรกิจดี เขาซื้อตอนที่ P/BV มีค่าน้อย และในอนาคตหากธุรกิจที่เราว่าดีนั้นทำธุรกิจได้ดีจริง มีการเติบโตของรายได้และกำไร ก็จะทำให้ P และ P/BV ในอนาคตสูงขึ้น ผู้ที่ลงทุนซื้อในขณะที่ P/BV ปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำก็จะได้ประโยชน์

 

 

จะเห็นได้ว่า หุ้น DRT เมื่อมองจากมุม P/BV เป็นหุ้นที่มีราคาไม่แพงเลย อยู่ในระดับ 2 เท่ากว่าๆ เมื่อเทียบกับ Book Value เราอาจมองว่า ราคา (P) ก็ไม่ค่อยไปไหน รวมทั้ง BV ก็ไม่ค่อยขยับไปไหนเหมือนกัน ดูจืดชืดไปไหม ถ้าเราย้อนกลับไปดูธุรกิจที่พบว่าไม่ต้องขยายการลงทุนมากแล้ว แต่มีกำไรและนำมาจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ จึงไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นกำไรสะสมไว้มากเกินไป การลงทุนซื้อไว้ตอนราคาต่ำๆ (P/BV ที่ต่ำ) แบบนี้แหละที่จะได้ประโยชน์โดยเฉพาะจากเงินปันผล (Dividend) มากกว่าที่จะมองจากประโยชน์จากส่วนต่างราคา (Capital Gain)

 

6. อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)

 

Dividend Yield = (Dividend / Price) x100 %

 

ข้อมูลอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนมีประโยชน์ในการใช้เป็นข้อมูลประมาณการว่า ถ้าเรานำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นตัวนี้ 100 บาท และเราถือไว้ 1 ปี โดยได้รับเฉพาะเงินปันผลเท่านั้น เราจะได้อัตราผลตอบแทนต่อปีเท่าไร เราอาจนำข้อมูลเหล่านี้ไปดูเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร อาจทำให้เราสนใจที่จะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็ได้ 

 

 

จะเห็นได้ว่าในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา Dividend Yield ของ DRT ให้อัตราผลตอบแทนดีมากอยู่ในช่วง 5-7% และจะยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก ถ้าผู้ลงทุนที่หาของดีราคาถูกมาตั้งแต่ต้น เช่น ลงทุนที่ต้นทุน 4 บาท โดยยังไม่ขายออกไป สมมติว่าบริษัทจ่ายปันผล 0.40 บาทต่อหุ้นมาอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนสูงถึง 10% ต่อปี แบบนี้เขาเรียกว่า ‘หุ้นห่านทองคำ’ ที่ให้ไข่ทองคำแก่เราทุกปีสม่ำเสมอ เราเองก็ไม่จำเป็นต้องรีบขายห่านทองคำออกไป เก็บไว้กินไข่ก็ดีไม่ใช่น้อย

บทความตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของขุมทรัพย์บนเว็บ SET แต่ถือว่าเป็นจุดตั้งต้นให้ท่านที่สนใจสามารถเข้าไปดูข้อมูลหุ้นแบบฟรีๆ บน www.set.or.th โดยลองฝึกอ่านข้อมูลแบบย่อของหุ้นตามที่ผมอธิบาย อ่านแล้วพอใจหุ้นตัวไหน ลองไปค้นอ่านต่อเชิงลึกได้เลยครับ เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเหมือนเหมืองทองคำที่ใครรู้จักค้น รู้จักหา ก็สามารถเจอหุ้นทองคำดีๆ อีกจำนวนมากครับ

 

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

The post ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 3) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 2) https://thestandard.co/treasure-on-the-website-set-part2/ Tue, 16 Feb 2021 03:56:42 +0000 https://thestandard.co/?p=454914 ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 2)

บทความตอนนี้จะแสดงให้เห็นว่า ข้อมูลแค่บางหน้าบนเว็บไซต์ […]

The post ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 2) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 2)

บทความตอนนี้จะแสดงให้เห็นว่า ข้อมูลแค่บางหน้าบนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็อาจทำให้รู้สึกตื่นเต้นและอยากที่จะเริ่มลงทุน แค่เรารู้ข้อมูลเบื้องต้นของบริษัทจดทะเบียนนั้นก็สามารถบอกได้ถึงความมั่นคง แนวโน้มการเติบโต และความเข้มแข็งของธุรกิจ โดยจะขอยกตัวอย่างการอ่านข้อมูลแบบต่างๆ ดังต่อไปนี้

 

การอ่านข้อมูลงบการเงิน / ผลประกอบการ ยกตัวอย่างหุ้น : DRT

ก่อนอื่นขอชี้แจงก่อนว่าผู้เขียนไม่มีเจตนาเชียร์หุ้นอะไรเป็นพิเศษ แค่ต้องการนำข้อมูลที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้ลงทุนและผู้สนใจลงทุนเพื่อใช้เป็นแนวทางพิจารณา ตัดสินใจ และค้นหาข้อมูลหรือรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป

 

 

ตัวอย่างที่ผมยกมาจากตอนที่แล้ว คือ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีตัวย่อหลักทรัพย์ว่า DRT สมมติเรารู้แค่ว่าบริษัทนี้เป็นธุรกิจที่ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องมุงหลังคาตรา ‘เพชร’ แต่ยังไม่รู้ว่าธุรกิจนี้น่าสนใจอย่างไร ผมจึงขอแนะนำให้เริ่มจากหน้านี้ก่อน เพราะเป็นข้อมูลสำคัญที่สะท้อนถึงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานแบบย่อย้อนหลังไปประมาณ 3 ปี โดยตัวอย่างนี้แสดงข้อมูลของปี 2560, 2561, 2562 และงบ 9 เดือนล่าสุดของปี 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563) ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทำให้เราประเมินและเห็นการเปลี่ยนแปลงของบริษัทที่สะท้อนผลการดำเนินธุรกิจทั้งในมุมบวกและมุมลบ ไปเริ่มที่ส่วนข้อมูล ‘บัญชีการเงินที่สำคัญ’ กันก่อนครับ

 

1. สินทรัพย์รวม, หนี้สินรวม, ส่วนของผู้ถือหุ้น และทุนชำระแล้ว

ในส่วนแรกมาจากรายการสำคัญจากงบดุลหรืองบแสดงฐานะทางการเงิน

  • สินทรัพย์รวม 

กิจการจะทำธุรกิจได้ต้องมีสินทรัพย์ เช่น โรงงาน เครื่องจักร สินค้าคงเหลือ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการผลิต การขาย รายได้ ยอดขาย ค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้ธุรกิจมีกำไรหรือขาดทุน โดยสินทรัพย์สะท้อนถึง ‘ขนาดของกิจการ’ แม้ว่ากิจการที่มีขนาดใหญ่จะแสดงถึงการมีกำลังและโอกาสสร้างรายได้หรือกำไรได้มากกว่าก็จริง แต่หากบริหารจัดการสินทรัพย์ไม่ดีหรือไม่มีคุณภาพ ก็อาจไม่ช่วยเพิ่มกำไรให้กิจการได้มากนัก ในทางตรงกันข้าม บริษัทที่มีขนาดของสินทรัพย์ที่น้อยกว่า แต่มีคุณภาพดี เพียงพอต่อกำลังการผลิต เหมาะสมกับการเติบโตและขนาดตลาด ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันและสร้างกำไรได้มากกว่า

 

 

จากข้อมูลของ DRT พบว่า ณ 30 กันยายน 2563 บริษัทมีขนาดของสินทรัพย์ประมาณ 3.4 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งมีขนาดเพียง 3 พันล้านบาท โดยมีการเติบโตปีละประมาณ 100 ล้านบาท แสดงให้เห็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นทุกปี น่าคิดนะครับว่า DRT ขยายสินทรัพย์เพราะอะไร เพราะสินค้าขายได้เพิ่มหรือไม่ สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมหรือไม่ หรือเพราะมีฝีมือแบบทั้งเก่งทั้งเฮงหรือเปล่า แม้เราจะยังไม่รู้ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรครับ เก็บภาพข้อมูลสินทรัพย์ของ DRT เอาไว้ก่อน

 

  • หนี้สินรวม ส่วนของผู้ถือหุ้น และทุนชำระแล้ว

ภาษาบัญชีบอกว่า สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น สำหรับภาษาของนักการเงินจะอธิบายว่า เงินที่เอาไปลงทุนสินทรัพย์นั้นเอามาจากไหน ไปกู้มา (หนี้สิน) หรือใช้เงินทุนจากภายใน (เพิ่มทุน หรือใช้จากกำไรของกิจการ) การไปกู้มาก็คือไปยืมเงินคนอื่นเพื่อนำไปลงทุน ถ้าผลประกอบการดี จ่ายคืนดอกเบี้ยและเงินต้นได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจ่ายไม่ได้ก็จะเกิดปัญหาหนี้สินตามมาได้ 

 

ส่วนการใช้เงินทุนจากภายใน ถ้าเอามาจากการเพิ่มทุน ผู้ถือหุ้นที่ยอมเพิ่มทุนย่อมจะคาดหวังว่าในอนาคตกิจการบริหารเงินทุนนี้ได้ดี ประสบความสำเร็จจนมีผลประกอบการดี เงินปันผล และราคาหุ้นอาจสูงขึ้นในอนาคต แต่หากใช้กำไรของกิจการไปลงทุนในสินทรัพย์ อาจทำให้การจ่ายเงินปันผลในงวดนั้นลดลง ผู้ถือหุ้นย่อมคาดหวังว่า หากกิจการบริหารเงินทุนได้ดี เงินปันผลและราคาหุ้นที่สูงขึ้นอาจทำให้ได้ผลตอบแทนที่รอคอยสูงกว่าก็ได้

 

 

จากข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นว่าระหว่างปี 2560-2562 หนี้สินของ DRT แทบไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาท ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น และทุนเรียกชำระแล้วไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง สะท้อนว่าเงินทุนที่นำไปใช้ลงทุนในสินทรัพย์มาจากกำไรของกิจการในแต่ละปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการคุมระดับหนี้สินให้ไม่สูงเกินไป แต่หากเมื่อดูข้อมูลในปี 2563 (9 เดือน) DRT มีหนี้สินเพิ่มขึ้นประมาณ 500 ล้านบาท ในขณะที่สินทรัพย์เพิ่มขึ้นเพียง 70 ล้านบาท จึงน่าติดตามว่า DRT สร้างหนี้สินเพื่อทำอะไร อย่างไรก็ดี สภาพดังกล่าวยังไม่น่าทำให้เกิดความเสี่ยงมากนัก เนื่องจาก DRT ยังคงมีระดับหนี้สินที่ต่ำกว่าส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ (1,554.16 < 1,848.76)

 

1. รายได้รวม กำไรสุทธิ และกำไรต่อหุ้น

ตัวเลขสำคัญ 3 รายการนี้ สะท้อนถึงผลการดำเนินงาน โดยข้อมูลรายได้บอกว่าสินค้าและบริการของบริษัทยังได้รับความนิยมจากลูกค้ามากน้อยเพียงใด ส่วนกำไรสุทธิสะท้อนว่า เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ บริษัทยังคงเหลือรายได้สุทธิเป็นบวกหรือไม่ ซึ่งยิ่งมากก็ยิ่งดีสำหรับกำไรต่อหุ้น เอาไว้ใช้เปรียบเทียบว่าในหน่วย 1 หุ้น บริษัททำกำไรได้กี่บาท อาจไว้ใช้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของบริษัทอดีตหรือคู่แข่งในอุตสาหกรรม (ขึ้นอยู่กับ ราคา Par และจำนวนหุ้นของแต่ละกิจการด้วย) นอกจากนี้ กำไรต่อหุ้นยังใช้ประมาณการว่าจะมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นเท่าใด ยิ่งกำไรต่อหุ้นสูงและบริษัทอยู่ในช่วงเติบโตเต็มที่แล้ว ไม่ต้องขยายตัวมากแล้ว โอกาสที่นำกำไรมาจ่ายเงินปันผลก็จะมากขึ้นด้วย

 

 

 

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าในช่วง 3 ปี (2560-2562) DRT มียอดขายเพิ่มขึ้นโดยตลอดเฉลี่ยปีละประมาณ 300-400 ล้านบาท โดยยอดขายในปี 2562 อยู่ที่ประมาณ 4.8 พันล้านบาท ขณะที่ปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่เกิดโรคระบาด COVID-19 แต่บริษัทยังคงทำยอดขาย 3 ไตรมาส ได้ถึงประมาณ 3.4 พันล้านบาท จึงคาดว่าจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก

 

สำหรับกำไรสุทธิของ DRT ในปี 2560 และ 2561 ซึ่งหักค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายทางการเงินต่างๆ มาแล้ว DRT มีกำไรเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 411 และ 422 ล้านบาทตามลำดับ และมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 571 ล้านบาทในปี 2562 แสดงถึงความสามารถที่เข้มแข็งในการทำกำไรที่ดีมาโดยตลอด โดยในช่วง 9 เดือนของปี 2563 DRT มีกำไรสุทธิแล้ว 462 ล้านบาท เมื่อพิจารณากำไรต่อหุ้นของ DRT ในช่วงปี 2560-2562 เพิ่มขึ้นโดยตลอดจาก 0.43 บาทต่อหุ้น เป็น 0.45 บาท และ 0.60 บาทต่อหุ้นตามลำดับ และช่วง 9 เดือนของปี 2563 บริษัทมีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.51 บาทต่อหุ้น

 

จากนั้นผมขอแนะนำต่อให้กดไปที่แถบ ‘สิทธิประโยชน์’ ของหุ้น DRT เราจะเจอข้อมูลแบบนี้ครับ

 

 

ผมพบข้อมูลที่ชวนตื่นเต้นก็คือ ในปี 2563 DRT จ่ายเงินปันผล 2 ครั้ง ครั้งละ 0.20 บาท รวม 0.40 บาท ถ้าเราคำนวณคร่าวๆ ว่า จากกำไรต่อหุ้นที่มี 0.60 บาท การจ่ายเงินปันผลนี้คิดเป็น 67% ของกำไรที่ถือว่าสูงใช้ได้ ใครที่ชอบหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ หุ้นลักษณะแบบนี้ก็สามารถค้นหาได้ด้วยตัวเองครับ

 

เห็นไหมครับ เริ่มจากข้อมูลแค่ 7 บรรทัด ถ้าเรารู้วิธีอ่านก็สามารถเห็นภาพอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากเดิมที่เบลอๆ ไม่ทราบจะเริ่มต้นอย่างไร ในตอนต่อไป ผมจะพาท่านอ่านข้อมูลแบบย่อนี้ต่อในส่วนที่เหลือของข้อมูลการเงินอีก 10 บรรทัด เพื่อเป็นประโยชน์ก่อนตัดสินใจไปศึกษาข้อมูลเชิงลึกของหุ้นต่อไป

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

The post ขุมทรัพย์บนเว็บ SET (ตอนที่ 2) appeared first on THE STANDARD.

]]>