กรรณ์ หทัยศรัทธา – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 18 Dec 2025 05:28:39 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 2026: ช่วงเวลาแห่งศตวรรษของ AI https://thestandard.co/2026-ai-century-era/ Thu, 18 Dec 2025 05:28:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1155967 2026: ช่วงเวลาแห่งศตวรรษของ AI

ใกล้จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกที ทุกสายตาของโลก […]

The post 2026: ช่วงเวลาแห่งศตวรรษของ AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
2026: ช่วงเวลาแห่งศตวรรษของ AI

ใกล้จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกที ทุกสายตาของโลกการลงทุนจึงมองไปยังปี 2026 หรือ ปีหน้ากันแล้ว ว่าจะเป็น “ม้าลำพอง” หรือ “ม้าพยศ”

 

ก่อนอื่นผมขออนุญาตกล่าว สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่าน เดินทางปลอดภัยในช่วงปีใหม่นี้ และ มีแต่ความสุขความเจริญด้วยนะครับ

 

เข้าเรื่องกันเลย … ผมเชื่อว่าปีหน้า เรื่องของ AI ก็ยังจะเป็นประเด็นต่อไป ว่า

 

AI ใช่ฟองสบู่หรือไม่? แพงเกินไปแล้วรึยัง?

 

ผมจึงได้นำเสนอรูปที่บ่งบอกถึงการลงทุนของอุตสาหกรรมต่างๆตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันที่มีผลต่อเศรษฐกิจในยุคต่างๆ

 

กล่าวคือ ตั้งแต่อุตสาหกรรมรถไฟของสหราชอาณาจักร มาจนถึง AI ปัจจุบัน

 

สิ่งที่ผมพบ คือ

 

ในยุค UK Railroads (1860s) มีการลงทุนสูงสุดประมาณ 4.5% ของ GDP

 

ต่อมายุค US Railroads (1880s) และ US Auto Infrastructure (1910s) มีการลงทุนตามมาในระดับ 2–3% ของ GDP

 

และ พอเข้าสู่ยุค 90 หรือ ยุค US Electric Motor (1920s) และ US ICT Hardware (1990s) การลงทุนจะอยู่ราว 2% และ 1.5% ตามลำดับ

 

ส่วนปลายยุค 90 หรือ ยุค US Telecommunications (1990s) ตัวเลขอยู่ประมาณ 1.4%

 

และ ท้ายสุด ตัดภาพมาปัจจุบัน ยุค AI Generation (2020s) ตัวเลขอยู่ราว 0.8% ของ GDP

 

ใช่ครับ ตัวเลขการลงทุนปัจจุบันยังน้อยอยู่ และ หากพิจารณาภาพทางขวา จะพบว่า ช่วง Labor Productivity boom ยังเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น

 

หากสมมติฐานและภาพดังกล่าวเป็นจริง ฟองสบู่ในหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ก็อาจจะยังนะ แต่แน่นอนความเสี่ยงที่จะผิดก็มีพอสมควรเนื่องจากราคาหุ้นก็แพงมาก

 

2026: ช่วงเวลาแห่งศตวรรษของ AI 1

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในปี 2026 ท่ามกลางความไม่แน่นอนมีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ

 

  • ประการแรก แพงหมด แต่ ก็ต้องมีหมด
  • ประการที่สอง อย่า DCA แต่จง VA
  • ประการสุดท้าย จะเล่นหุ้น AI อย่าคิดแบบ VI

 

หรือพูดง่ายๆ

 

“ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ บิตคอยน์ ทองคำ ที่มองไปทางไหนก็แพงแสนแพง แต่ เราก็ต้องมีทั้งหมด เพราะ โอกาสที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นมีสูงหากพิจารณาจากภาพข้างต้น และ จงลงทุนด้วยการทำ VA (Value Averaging) หรือ ซื้อสะสมเพิ่มขึ้นเมื่อราคาปรับลดลง และ ซื้อน้อยลงเมื่อราคาปรับเพิ่มขึ้น เพราะ DCA (Dollar Cost Averaging) ณ ราคาที่แพง เสียเปรียบกว่า

 

อีกอย่างคือ จงจำไว้เสมอครับ ว่า หุ้น AI คือ การเปลี่ยนแปลงในรอบศตวรรษ ดังนั้น ถ้าเราคิดแบบ VI (Value Investor) เราอาจจะไม่ได้ซื้อหุ้น AI เนื่องจากราคาของหุ้นของมันนั่นเอง”

 

สวัสดีปีใหม่ครับ

 

*การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่า เป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้า เท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

 

ภาพ: IM Imagery/Shutterstock

The post 2026: ช่วงเวลาแห่งศตวรรษของ AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
(END) NVIDIA?! … No, we are not done yet. https://thestandard.co/opinion-nvidia-not-done-yet/ Thu, 20 Nov 2025 07:05:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1145430 (END) NVIDIA? … No, we are not done yet.

ทุกสายตาจ้องมองไปที่จุดเดียว เป้าหมายเดียว หุ้นตัวเดียว […]

The post (END) NVIDIA?! … No, we are not done yet. appeared first on THE STANDARD.

]]>
(END) NVIDIA? … No, we are not done yet.

ทุกสายตาจ้องมองไปที่จุดเดียว เป้าหมายเดียว หุ้นตัวเดียว …

 

ไม่ว่าคุณจะลงทุน S&P500 ค้าทองคำ หรือ เทรดบิตคอยน์ …

 

นั่นคือ งบกำไร FY3Q26 ของ NVIDIA (NVDA) ซึ่งใช่ครับ … งบ NVIDIA ดีกว่านักวิเคราะห์หรือตลาดคาดการณ์อีกแล้ว รายละเอียดเป็นอย่างไร ไปตามในบทความนี้กันครับ

 

ประการแรก: รายได้และกำไรมาหมด

 

รายได้รวมของ NVIDIA แตะ 57,006 ล้านดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดใหม่ เติบโต 62% yoy และ 22% qoq แม้ฐานเดิมจะสูงอยู่แล้ว

 

นี่คือจุดที่ตลาดมองว่า ‘ดีกว่าคาด’ เพราะ ตลาดประเมินรายได้ไว้เพียง 55,000 ล้านดอลลาร์

 

โดย กลุ่มที่ตลาดสนใจ คือ กลุ่มธุรกิจ Data Center ซึ่งคิดเป็น 90% ของรายได้รวมทั้งหมดของ NVIDIA เติบโตโดดเด่นที่สุดด้วยยอดขาย 51,215 ล้านดอลลาร์ +66% yoy ถือเป็นตัวเลขที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาด

 

กำไรสุทธิก็แรงไม่แพ้กัน ทำได้ 31,910 ล้านดอลลาร์

 

ประการที่สอง: ยาหวานจาก CEO

 

Jensen Huang CEO กล่าวย้ำอีกว่า

 

GPU ตระกูล Blackwell ขายดีจนของหมด และ ดีมานด์ฝั่งคลาวด์ยังคงเร่งขึ้นต่อเนื่อง”

 

จุดนี้ตอกย้ำและสะท้อนวัฏจักรการเติบโตของ AI ว่ายังอยู่ในเฟสขยายตัวอย่างรวดเร็ว และ NVIDIA ยังคงเป็นผู้เล่นที่ครอง Supply ที่สำคัญที่สุดของโลก

 

ประการที่สาม: ยุคทองของ AI … หาใช่ฟองสบู่

 

ต้องยอมรับจริงๆว่า ปัจจุบัน Hyperscale cloud (AWS, Azure, Google Cloud) ยังคงแห่ลงทุนใน AI และ ความต้องการฝึกโมเดล (Training) และรันโมเดล (Inference) ยังคงเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส

 

ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ฝึกให้ ChatGPT ฉลาดขึ้นนั้นแหละ รวมถึง การไปสู่จุดที่สูงขึ้น หรือ กลายเป็น AGI หรือ Artificial ‘Generative’ Intelligence

 

ในมุมมองของผมและตลาด … Ecosystem ของ NVIDIA แน่นที่สุด ทำให้ลูกค้ายังย้ายไปค่ายอื่นยาก

 

จาก GPU ตระกูล Hopper → Blackwell … NVIDIA จึงกลายเป็น ‘มาตรฐานกลาง’ หรือ ‘The Standard’ ของอุตสาหกรรมทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

 

พูดง่ายๆ ใครจะลงทุน AI จะขาด NVIDIA ไม่ได้เลย

 

ดังนั้น กองแช่งหุ้นสหรัฐฯ หรือ 7 นางฟ้าหุ้นเทคโนโลยีที่บอกกันว่าแพงแล้ว แพงอยู่ แพงต่อ และ รอให้ฟองสบู่แตก … ต้องคิดให้ดี

 

เพราะ ฟองสบู่ ในมุมมองของผม ประกอบจากสองส่วน

 

หนึ่ง คือ ราคาที่ลอยขึ้นมา

 

สอง คือ การลอยขึ้นมานั้นไม่ได้มีอะไรมารองรับ

 

แต่พออ่านงบ NVIDIA ที่แข็งแกร่งมากๆ ขนาดนี้ … ประการที่สอง ผมขอตัดทิ้ง เพราะ ‘ราคาที่แพง’ ‘มีกำไรรองรับ’

 

องค์ประกอบของฟองสบู่ตอนนี้จึงยังไม่ครบ

 

*การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่า เป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้า เท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ใดๆ ทั้งสิ้น

 

ภาพ: Mijansk786/Shutterstock

The post (END) NVIDIA?! … No, we are not done yet. appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อดอลลาร์เสื่อมคลาย…ออลไทม์ไฮของทองคำและบิตคอยน์ https://thestandard.co/gold-bitcoin-all-time-high/ Tue, 14 Oct 2025 07:04:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1130182 ราคาทองคำและบิตคอยน์

จะไม่พูดก็ไม่ได้ เพราะ ตอนนี้ถือเป็น ‘Talk of the town’ […]

The post เมื่อดอลลาร์เสื่อมคลาย…ออลไทม์ไฮของทองคำและบิตคอยน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ราคาทองคำและบิตคอยน์

จะไม่พูดก็ไม่ได้ เพราะ ตอนนี้ถือเป็น ‘Talk of the town’ ของทั้งห้องค้าหุ้น โลกโซเชี่ยล และ บรรดานักลงทุนน้อยใหญ่ นั่นคือ การทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องของทั้งราคา ทองคำ (4,000 เหรียญสหรัฐฯ) และ บิตคอยน์ (4,000,000 บาท)

 

ในบทความนี้ ผมนำสถิติและเหตุผลแบบอ่านง่าย คุยสบาย สไตล์ Gen Z ว่า เพราะอะไร และ เหตุอันใด ทองคำและบิตคอยน์ ที่ขึ้นแล้ว ขึ้นอยู่ และ จะขึ้นต่อไป

 

ประการแรก De-dollar มาเร็วกว่าที่คาด ไล่ไปตั้งแต่ประเด็น FED เริ่มวงจรการ ‘ลด’ ดอกเบี้ย และ จะ ‘ลด’ ต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 1-2 ครั้ง ไปจนถึงประเด็นวิกฤตหนี้สหรัฐฯที่มากโขและสะสมมาเรื่อยๆ ตลอดหลายปีนี้ กอปรกับประเด็นเก่าเล่าใหม่ นั่นคือ การ Shutdown ล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ

 

ทั้งหมดทั้งมวลส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อสหรัฐฯ และ ให้เงินดอลลาร์…อ่อนค่าลง 

 

… เม็ดเงินจึงไหลเข้าทองคำ (สินทรัพย์ปลอดภัย) และ บิตคอยน์ (ตัวแทนสกุลเงินใหม่ หรือ ระบบการเงินใหม่ที่ไม่เชื่อในเรื่องการพิมพ์เงินของรัฐบาล)

 

ประการที่สอง Central Bank ซื้อแรงกว่าที่คิด สอดคล้องจากประการแรก เมื่อดอลลาร์คลายมนต์ขลัง ความต้องการการถือครองพันธบัตรของสหรัฐฯ (ในรูปของเงินดอลลาร์) ก็ลดลงไปโดยปริยาย ซึ่งส่งผลต่อธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกที่ต้องมีการซื้อสกุลเงินต่างๆรวมถึงสินทรัพย์ เพื่อสำรองไว้ใน ‘ทุนสำรองระหว่างประเทศ’

 

… เราจึงเริ่มเห็นกระแสธนาคารกลางต่างๆขายพันธบัตรสหรัฐฯออกมายังไงล่ะ

 

แน่นอนครับ เมื่อธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก ‘ขาย’ พันธบัตรสหรัฐฯ ก็ต้องซื้ออย่างอื่น … และใช่ ‘ซื้อ’ ทองคำ ครับ

 

ตามรูปข้างต้น การถือทองคำ ณ ปัจจุบันของธนาคารกลางทั่วโลก (% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ) ได้สูงกว่าพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้วนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996

 

 

ประการสุดท้าย พ่อใหญ่ Trump ต้องการดอลลาร์อ่อนค่า เหตุผลก็ง่ายๆ ครับ

 

  • ดอลลาร์อ่อน ทำให้ผู้ส่งออกสหรัฐฯ ค้าขายง่ายขึ้น
  •  ดอลลาร์อ่อน ทำให้การลงทุนจากต่างชาติ (FDI) เข้ามาลงทุนในสหรัฐฯถูกลง
  • ดอลลาร์อ่อน สนับสนุนการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวสหรัฐฯได้ถูกลง
  •  ดอลลาร์อ่อน สนับสนุนกำไรของบริษัท Magnificent 7 ซึ่งรายได้มาจากแทบทุกมุมโลก

 

รู้หรือไม่!: ตั้งแต่ต้นปี 2025 … Dollar Index อ่อนคงลงแล้ว 7.7% สวนทางกับการทำ All time high ของ ทองคำ และ บิตคอยน์ ไม่เห็นฝุ่น

 

สถิติที่น่าสนใจอีกหนึ่งชิ้น คือ Correlation หรือ ค่าสหสัมพันธ์ของ ทองคำ และ บิตคอยน์อยู่ที่ 0.9x … สูงลิบลิ่ว และ สูงมากๆ ในปี 2025 หากพิจารณาจากในรูป 

 

 

ประจวบเหมาะเสียเหลือเกินจากการ ‘อ่อนค่า’ แรงของดอลลาร์ในปี 2025 รู้หรือไม่!: Trump Media (บริษัท Trump Media & Technology Group (TMTG) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของโซเชียลมีเดีย Truth Social) ประกาศว่า บริษัทได้ถือครอง Bitcoin และหุ้นที่เกี่ยวกับบิตคอยน์แล้วมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์

 

น่าสนใจเหลือเกินครับว่าการทำจุดสูงสุดใหม่ของ ‘ทองคำ’ และ ‘บิตคอยน์’ … เมื่อฟังเหตุผล ‘สามประการ’ รวมถึง สถิติน่าสนใจข้างต้น

 

บางทีปี 2025 นี่อาจจะแค่เริ่มต้นของยุคใหม่ ยุคทองก็เป็นได้ครับ

 

หมายเหตุ:

  • การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่า เป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้า เท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

 

ภาพ: Rebel Red Runner / Shutterstock 

The post เมื่อดอลลาร์เสื่อมคลาย…ออลไทม์ไฮของทองคำและบิตคอยน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุทธการที่ผาแดง…ชัยชนะของทัพพันธมิตร…โจโฉแตกทัพเรือ https://thestandard.co/battle-red-cliffs-romance-three-kingdoms/ Tue, 09 Sep 2025 02:52:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1117105 ภาพวาดยุทธการที่ผาแดง ศึกสามก๊กทัพพันธมิตรเผาทัพเรือโจโฉ

ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความโกลาหลมากๆ กับเรื่องราวและประ […]

The post ยุทธการที่ผาแดง…ชัยชนะของทัพพันธมิตร…โจโฉแตกทัพเรือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพวาดยุทธการที่ผาแดง ศึกสามก๊กทัพพันธมิตรเผาทัพเรือโจโฉ

ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความโกลาหลมากๆ กับเรื่องราวและประเด็นร้อนที่เกิดขึ้น…

 

ในบทความนี้ ผมจึงได้นำเรื่องราววรรณกรรมชื่อดังอย่าง ‘สามก๊ก’ มาให้ผู้อ่านได้เพลิดเพลิน ท่ามกลางความตึงเครียดและดราม่ามากมายในปัจจุบันกันครับ

 

… ทัพเรือนับหมื่น อาชานับแสน ไพร่พลนับล้าน … อุบัติมหาสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในสามก๊ก … ใช่แล้ว ในบทความนี้จะมาเขียนเกี่ยวกับ ยุทธการที่เซ็กเพ็ก (赤壁之战) หรือ ยุทธการที่ผาแดง 

 

ยุทธการที่ผาแดง คือ การรบในแม่น้ำแยงซีช่วงฤดูหนาว ปี ค.ศ. 208-209 ระหว่างทัพพันธมิตรของซุนกวน เล่าปี่ กับ ทัพโจโฉจากแดนเหนือผู้ซึ่งหวังยึดครองดินแดนฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีเพื่อพยายามรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียว

 

ศึกนี้เต็มไปด้วยการเดินหมากและวางกลยุทธ์อันแยบยล ไม่ว่าจะเป็น 

 

  1. การล่อลวง (อุยกายแม่ทัพของซุนกวนแสร้งยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉและเตรียมกองเรือรบซึ่งถูกดัดแปลงให้เป็น ‘เรือไฟ’ ด้วยการบรรทุกฟืน ต้นอ้อแห้ง น้ำมัน)
  2. ไฟ และ ลมตะวันออก (การใช้ลมพัดจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลมที่เหมาะกับการโจมตีด้วยไฟ ทำให้เรือของทัพพันธมิตรสามารถเผาเรือโจโฉได้)

*บ้างก็ว่า โจโฉ สั่งเผากองเรือเองเพราะโรคระบาด และ สกัดการไล่ตามของข้าศึก

  1. ชัยภูมิเป็นต่อ ทัพเรือเป็นรอง (เนื่องจากการรบเกิดขึ้นในแม่น้ำแยงซี และ การโจมตีด้วยไฟทำให้ทัพเรือโจโฉได้รับความเสียหายอย่างหนักในพื้นที่จำกัด)

 

บทสรุปของศึกผาแดง

 

  • ทัพพันธมิตรของซุนกวน เล่าปี่ เอาชนะทัพของโจโฉขุนศึกทางภาคเหนือที่มีกำลังมากกว่าประมาณ 4 เท่าลงได้ …
  • ความพยายามของโจโฉที่ต้องการจะรวมจีนเป็นหนึ่งเดียวต้องล้มเหลว …
  • ชัยชนะของทัพพันธมิตรทำให้เล่าปี่และซุนกวนอยู่รอดและสร้างแนวชายแดนที่ต่อมาจะกลายเป็นรากฐานของ จ๊กก๊ก และ ง่อก๊ก ในสามก๊ก ใน เวลาต่อมา …

 

ความคิดเห็น และ มุมมอง ที่แตกต่างกันของทั้งสามก๊ก คือ ชนวนของยุทธนาวีครั้งนี้

 

โจโฉ (วุยก๊ก): ผู้พิชิตแดนเหนือ และ ผู้ปราบ ‘อ้วนเสี้ยว’ อาชาทัพลงใต้ เพื่อต้องการรวมจีนเป็นหนึ่งเดียว ด้วยวลีติดปากว่า

 

  • ‘ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้ใครมาทรยศข้า’
  • ‘ข้ายอมทำผิดต่อผู้คนในใต้หล้า ดีกว่าให้ผู้คนมาทำผิดต่อข้า’

 

ซุนกวน (ง่อก๊ก): ผู้ซึ่งขึ้นเป็นผู้นำแทนพี่ชาย อย่าง ‘ซุนเซ็ก’ และ ‘ซุนเกี๋ยน’ ผู้เป็นบิดาได้ไม่นาน ด้วยคำแนะนำของ ‘จิวยี่’ ว่าจะ ยอมแพ้โจโฉไม่ได้ มิฉะนั้น ง่อก๊ก พยัคฆ์แห่งกังตั๊งจะหายไป ด้วยวลีติดปากว่า

 

  • ‘เมื่อข้ากล้าใช้ท่าน ก็แปลว่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราจะร่วมเป็นร่วมตาย’
  • ‘ผู้นำที่แท้ต้องพรางตัวเป็น ซ่อนความฉลาดในคราบคนโง่ … ซ่อนความเลือดเย็นในคราบคนอ่อนแอ … ปล่อยให้ศัตรูคิดว่าได้เปรียบ’
  • ‘ทำงานใหญ่ได้ นับว่า สามารถเหนือใคร … ใช้คนทำงานใหญ่ได้ นับว่า เหนือคน’

 

เล่าปี่ (จกก๊ก): ผู้ที่พ่ายศึกที่เกงจิ๋ว และ พ่ายให้กับโจโฉ มาพร้อมกับกุนซือใหม่อย่าง ‘ขงเบ้ง’ ผู้เสนอยุทธศาสตร์สามส่วน หรือ ‘สามก๊ก’ ด้วยเป้าหมายสูงสุด นั่นคือ ต้องการฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น ด้วยวลีติดปากว่า

 

  • ‘อำนาจไม่คงที่ … ความดีสิคงทน’

 

เรื่องราวของยุทธการผาแดงในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสามก๊กเท่านั้น

 

เพราะ แม้ทัพพันธมิตรของซุนกวน เล่าปี่ จะช่วยกัน ล้ม โจโฉ ลงได้ แต่ในเวลาต่อมาทั้งสองฝ่ายก็เกิดข้อพิพาทในเรื่องอาณาเขตของแคว้นเกงจิ๋วทางตอนใต้ในช่วงต้นทศวรรษ 210

 

ทั้งสองฝ่ายตกลงแบ่งดินแดนตามแนวตลอดแม่น้ำของทั้งสองฝ่าย โดย ซุนกวนได้พื้นที่ทางตะวันออกของแม่น้ำ และ เล่าปี่ยังคงครองพื้นที่ทางตะวันตกของแม่น้ำ

 

แต่ถึงแม้จะมีข้อตกลงสงบศึกจากกรณีพิพาทเรื่องอาณาเขต ท้ายที่สุดซุนกวนก็ส่งทัพเข้าโจมตีอาณาเขตของเล่าปี่ในการรุกรานในปี ค.ศ. 219 และยึดครองทั้งแคว้นเกงจิ๋วได้สำเร็จ … สมกับคำกล่าวว่า ‘ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร’

 

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเพลิดเพลิน / ตีความกันได้อย่างสนุกสนาน และ ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตนะครับ อิอิ

 

รูป: สามก๊ก

 

*การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่า เป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้า เท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ใดๆ ทั้งสิ้น

The post ยุทธการที่ผาแดง…ชัยชนะของทัพพันธมิตร…โจโฉแตกทัพเรือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 เหตุผล ดอกเบี้ยไทยไป 0.50% https://thestandard.co/thai-interest-rate-0-50/ Thu, 14 Aug 2025 07:32:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1107296 การลดดอกเบี้ย

สดๆ ร้อนๆ (และแสบๆ) หลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) […]

The post 5 เหตุผล ดอกเบี้ยไทยไป 0.50% appeared first on THE STANDARD.

]]>
การลดดอกเบี้ย

สดๆ ร้อนๆ (และแสบๆ) หลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ ‘ลด’ ดอกเบี้ยนโยบายลง 25bp เหลือ 1.50% ส่งท้ายวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ก่อนการเข้ามาของ วิทัย รัตนากร ผู้ว่า ธปท. คนต่อไปในเดือนตุลาคม 2025

 

การประชุมครั้งนี้มี ‘บางอย่าง’ และ ผมแบ่งมันออกเป็น ‘5 ข้อ’ ว่า ดอกเบี้ยไทยลดลงได้อีกโดยตลาด และผมมองดอกเบี้ยนโยบายของไทยราว 1.00% ก็จริง แต่เผลอๆ คิดวนไปวนมา

 

ดอกเบี้ยไทยอาจลงไปถึง 0.50% เลยก็เป็นได้…เห็นอย่างไร ไปอ่านกันครับ

 

ประการแรก ลดดอกเบี้ยแต่บาทไม่อ่อน…หากผู้อ่านสังเกตให้ดี โดยปกติแล้วการ ‘ลด’ ดอกเบี้ยจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลงส่งผลให้เงินทุนไหลออกเนื่องจากดอกเบี้ยของประเทศนั้นๆ ‘ลดลง’…แต่ตอนนี้บาทแข็งอยู่แบบงงๆ นะ

 

เหตุผลก็เพราะว่า ปัจจุบันสกุลเงินบาทและสกุลเงินเอเชียต่างยังได้รับผลบวกจากเทรนด์ ‘De-Dollarization’ หรือการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้บาทยังแข็งโป้กๆ เช่นในปัจจุบัน ดังนั้นผมมองว่าจังหวะนี้แหละ…ลดดอกเบี้ยแต่บาทไม่อ่อนถือเป็นจังหวะชุลมุน ให้รีบจ้วง ‘ลด’ ต่อเลย

 

ประการที่สอง FED กลับลำ…ใกล้ลดดอกเบี้ย มากไปกว่าเทรนด์ดอลลาร์อ่อน คือธนาคารกลางสหรัฐฯ จากที่ตอนแรกทำทรง ‘Higher for longer’ มาเสียนาน แต่พอเห็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนล่าสุดที่เพิ่มขึ้นราว 70,000 กว่าคน (ต่ำกว่าคาดการณ์และต่ำแสนคนในรอบหลายเดือน)…ทำให้มีการเก็งว่าใกล้แล้วที่ FED จะ ‘ลด’ ดอกเบี้ย ดังนั้นประเทศไทยเราไม่แตกแถวแล้วแน่นอนครับ

 

ประการต่อมา COVID-19 กับปัจจุบัน…อะไรหนักกว่ากัน ตรงตัวครับกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันแม้จะเติบโตได้ 2% แต่ก็เป็นการเติบโตจากการ ‘เร่งส่งออก’ ก่อนภาษีทรัมป์ และความเสี่ยงมีอยู่อีกเพียบในครึ่งปีหลัง (ท่องเที่ยวชะลอ เงินหมื่นพักก่อน ส่งออกเร่งไปแล้ว การเมืองยังร้อนแรง ไหนจะชายแดนอีก)

 

นี่ยังไม่รวมเงินเฟ้อไทยที่ติดลบมาแล้วกว่า 4 เดือน และไม่มีท่าทีจะกลับมาเป็นบวกด้วยซ้ำ อย่างน้อยๆ ก็ในปีนี้ในความเห็นของผม

 

ดังนั้นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน ‘แตกต่าง’ ‘รากลึก’ และ ‘แก้ยาก’ กว่า COVID-19 แน่นอน

 

ประการถัดมา ผู้ว่าท่านใหม่ หรือ วิทัย รัตนากร ซึ่งตลาดและผมเห็นตรงกันว่า ถ้ามาแล้ว ท่านจัดการให้ชุดใหญ่ ‘ลด’ แหลกแจกแถม เพราะการส่งผ่านดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ส่งไปถึงภาคครัวเรือน และ SMEs ณ ปัจจุบันยังน้อยอยู่

 

ประการสุดท้าย ทุนสำรองระหว่างประเทศแข็งแกร่ง โดย ณ ปัจจุบัน ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยยังแข็งแกร่งและสูงกว่าระดับ 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ดังนั้น ถ้า ‘ลด’ ดอกเบี้ยเยอะๆ แล้วเงินไหลออก (เงินบาทอ่อนค่า) ประเทศไทยเรามีเงินทุนสำรองกว่าสองแสนล้านดอลลาร์เพื่อจัดการกับการไหลออกของค่าเงินบาทได้…ไร้กังวล

 

“แต่เอาจริงๆ พูดก็พูดเถอะครับ ผมคิดว่ารอบนี้ ยามนี้ ถึงแม้เราจะ ‘ลด’ ดอกเบี้ยนโยบายลงไปถึง 0.50%…ผมว่าเงินบาทก็ไม่อ่อนค่าหรอก ทั้งจากเทรนด์ De-dollarize และ FED ก็จะลดดอกเบี้ยอีก ดังนั้นก็อย่างที่ว่าแหละครับ จังหวะชุลมุนและเข้าทางแบบนี้ต้องรีบจ้วง ‘ลด’ ดอกเบี้ยเลย อย่ารอช้า”

 

กระสุนลดดอกเบี้ยของประเทศไทยถึงเวลายิงแบบหมดแม็กกาซีน หรือ ‘All-in’ แล้ว ในความเห็นส่วนตัวของผมอะนะ

 

ภาพ: ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย

 

*การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่าเป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

The post 5 เหตุผล ดอกเบี้ยไทยไป 0.50% appeared first on THE STANDARD.

]]>
In Thailand, we Trust … Under Vithai, we Cut !? https://thestandard.co/set-jumbo-cut/ Thu, 17 Jul 2025 08:54:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1097395

บทจะดีก็ดีจนงง สำหรับ SET Index ซึ่งปัจจุบันปรับตัวขึ้น […]

The post In Thailand, we Trust … Under Vithai, we Cut !? appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทจะดีก็ดีจนงง สำหรับ SET Index ซึ่งปัจจุบันปรับตัวขึ้นแล้วเกือบร้อยจุด 

แม้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น การเมืองร้อนแรงไม่มีพัก ภาษีทรัมป์ยังชุลมุน ณ ระดับ 36% ซึ่งเริ่มเห็นพัฒนาการเชิงบวกบ้างแล้ว 

 

แต่สิ่งหนึ่งที่มีพัฒนาการชัดเจนกว่าใครเพื่อน คือ การเข้ามารับตำแหน่งของ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ท่านใหม่ในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ 

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้ออกมายืนยันว่าได้มีการเสนอชื่อ คุณ วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน มายังที่ประชุมครม. แล้ว แต่ท้ายที่สุดกลับบรรจุเข้าวาระไม่ทัน เนื่องจาก ข้อมูลที่ส่งมานั้น… เอกสารไม่ครบถ้วน ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจคุณสมบัติให้ครบถ้วน ก่อนเสนอ ครม. อีกครั้ง

 

อย่างไรก็ดี ตลาดทุน เป็น ตลาดของ’คนโลภ’ และ’ใจร้อน’ และ ได้เทใจไปที่ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเรียบร้อยแล้ว 

 

ผมจึงอยากชวนคุยและมาหาคำตอบกันว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหุ้นขึ้นได้ขนาดนี้

 

ประการแรก ตลาด (รวมถึงผม) อยากเห็น ‘Jumbo Cut’ จากคุณวิทัย รัตนากร เพราะเศรษฐกิจไทย พูดตรงๆ ไม่ไหวแล้ว และต้องการการกระตุ้นทางเศรษฐกิจมากไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ท่ามกลางคำครหาว่า แม้ลดดอกเบี้ยไปแต่ธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ยอมปล่อยเงินกู้อยู่ดี 

 

ความเห็นของผมต่อประเด็นนี้ เรียบง่าย ถ้าแบงก์ไม่ปล่อย…ก็จัดไปเลย ‘Jumbo Cut’ … ให้รู้ดำ…เห็นแดง เพราะแม้ธนาคารจะยังปล่อยกู้ยากอยู่ แต่ ถ้าปล่อยออกมาจะเห็นผลแน่นอน…หากว่า ‘Jumbo Cut’ เกิดขึ้น

 

ปัจจุบัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 2 ปี ของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้สะท้อนอัตราดอกเบี้ยของธปท. ได้ปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 1.40% เรียบร้อยแล้ว 

 

กล่าวคือ ณ ระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ปัจจุบันตลาดทุน หรือตลาดพันธบัตรมองว่าน่าจะต้องมีการลดอีกอย่างน้อย 1-2 ครั้งแล้ว

 

ผมซึ่งก็สวมหมวกนักเศรษฐศาสตร์อยู่ที่ CGS International มองว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มจะลดลงไปอยู่ที่ 1.00% ภายในปี 2026 สอดคล้องตามๆกัน

 

ประการที่สอง ตลาดต้องการ ‘ข้อมูลใหม่’ นอกเหนือไปจากข้อมูล ภาษีทรัมป์ที่ไปๆมาๆ แต่ เริ่มเห็นท่าทีที่เร่งรีบมากขึ้นของไทยหลังประเทศอื่นๆได้ดีลการค้า (ตลาดเองก็ชอบข้อมูลใหม่นี้) การเมืองในประเทศ ประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา 

 

ตลาดต้องการข่าวดีใหม่ๆ และ การเข้ามาของคุณวิทัย คือ ข้อมูลที่ตลาดตามหา เหมือนหนัง Superman ที่กำลังเข้าโรงภาพยนตร์ ณ ปัจจุบัน

 

และ ประการสุดท้าย ตลาดเข้าโหมด ‘ซื้อก่อน ถามทีหลัง’ เนื่องจากหากพิจารณาจากเหตุผลในข้อที่สอง ต้องบอกว่า ข้อมูลช่วง 3-6 เดือนที่ผ่านมา มีแต่ข่าวทางด้าน ‘ลบ’ หาด้าน ‘บวก’ ได้น้อยมาก

 

กอปรกับ SET Index ที่ซื้อขายอยู่ ณ Valuation ที่ต่ำ และ อยู่ในโซนปลอดภัย หรือ ระดับ P/E (x) ที่ 12-13x (แตกต่างจาก S&P500 ที่ซื้อขายกันที่ Valuation สูง หรือ Price for Perfection หรือ เทรดกัน ณ ระดับ P/E (x) ที่ 20x กว่าๆ) 

 

การ ‘ซื้อก่อน ถามทีหลัง’ ณ ดัชนี 1,000 ปลายๆ ถึง 1,100 ต้นๆ จากทั้งนักลงทุนรายเล็กและรายใหญ่จึงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

ก็ได้แต่รอลุ้นกันครับว่า สุดท้ายแล้ว ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยท่านใหม่จะเป็นท่านใด… ‘เงินคู่คลัง’ จะเกิดขึ้นหรือไม่ เราคงได้เห็นกัน 

 

เพราะถ้าจะให้ฝรั่งหรือนักลงทุนต่างชาติ รวมไปถึง นักลงทุนสถาบันในประเทศ ลงทุนซื้อหุ้นไทย และ ซื้ออย่างมีนัยสำคัญ มันต้องเกิดจาก เศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ไม่ก็ การเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ 

แบบที่เรากำลังเห็นการเปลี่ยนผ่านยุคของผู้ว่าธปท. อยู่นี่ยังไงล่ะครับ

 

รูป: การเคลื่อนไหวของ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 2 ปี ของไทย และ ดอกเบี้ยนโยบายของไทย มีแนวโน้มที่สอดคล้องกัน

รูป: การเคลื่อนไหวของ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 2 ปี ของไทย และ ดอกเบี้ยนโยบายของไทย มีแนวโน้มที่สอดคล้องกัน

 

* การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่า เป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้า เท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

The post In Thailand, we Trust … Under Vithai, we Cut !? appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ตั้งแถวใหม่’ ในตลาดหุ้นไทย ท่ามกลาง ‘สงครามสภาพคล่อง’ https://thestandard.co/thai-stock-market-2025-liquidity-crisis/ Wed, 18 Jun 2025 01:06:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1086119 ภาพแสดงแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าในปี 2568 ขณะที่เงินไหลเข้าตราสารหนี้มากกว่าตลาดหุ้น

ช่วงนี้ซีรีส์ สงคราม ส่งด่วน หรือ Mad Unicorn (2025) ซึ […]

The post ‘ตั้งแถวใหม่’ ในตลาดหุ้นไทย ท่ามกลาง ‘สงครามสภาพคล่อง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพแสดงแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าในปี 2568 ขณะที่เงินไหลเข้าตราสารหนี้มากกว่าตลาดหุ้น

ช่วงนี้ซีรีส์ สงคราม ส่งด่วน หรือ Mad Unicorn (2025) ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มที่ก่อร่างสร้างตัวจากศูนย์ ต่อสู้ในสงครามล้มยักษ์ จนกลายเป็นสตาร์ทอัพธุรกิจขนส่งด่วนยูนิคอร์นตัวแรกของไทย กำลังเป็นที่ฮือฮาและได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย

 

สามประโยคของตัวละครที่ผมชอบมากจากเจ้าสัวคณินคือ

 

  1. ผมเป็นคนชอบยืนหัวแถว
  2. เวลาผมเห็นโอกาสทางธุรกิจอะไร ผมจะไปตั้งแถวใหม่ทันที
  3. ตรงไหนมีปัญหาตรงนั้นมีเงิน

 

สามประโยคนี้ตรงกับตลาดหุ้นไทยถึงสองในสามข้อ เพราะ

 

  • ใครซื้อตอนนี้เหมือนกับได้ยืนที่หัวแถว เพราะดัชนีปรับตัวลงมากว่า 20%YTD
  • ใครๆ ก็ทราบกันดีถึงสภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบันซึ่งสะท้อนมายัง SET Index

 

คำถามคือ ตลาดหุ้นไทยตอนนี้เป็นโอกาสที่จะไปตั้งแถวใหม่รึยัง?

ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจไทยและการเมืองไทย ผมคิดว่าเราคงไม่ต้องคุยกันถึงสองประเด็นดังกล่าวกันแล้ว เพราะ ทุกคนต่างทราบกันดีว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยในความรู้สึกของใครหลายๆคนอาจจะแย่กว่าช่วงโควิดเสียด้วยซ้ำ

 

มากไปกว่านั้นประเด็นการเมืองไทย ตอนนี้หนักหน่วง ทั้งศึกใน (ประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ ประเด็นการยกเลิกแจกเงินหมื่นไปกระตุ้นเศรษฐกิจ) และ ศึกนอก (ประเด็นทรัมป์ และ ประเด็นไทย-กัมพูชา)

 

ในบทความนี้ ผมอยากชวนคุยถึงประเด็นที่สาม หรือ ประเด็นสภาพคล่อง ในตลาดหุ้นไทยมากกว่า ว่า ภาพปัจจุบันมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง

 

หนึ่ง สภาพคล่อง ‘หด’ หากมองย้อนดูตามสถิติ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาดหุ้นไทย SET Index เคยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ณ ระดับ 5-6 หมื่นล้านบาท (ณ ปี 2020)

 

ในขณะที่ปัจจุบันหรือเดือนล่าสุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ตกลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง! ใช่ครับ เหลือเพียง 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวันเท่านั้นเอง

 

สอง สภาพคล่อง ‘เปลี่ยน’ เมื่อมองในรายละเอียดของมูลค่าการซื้อขายต่อวันที่ลดลงหรือหายไป ผมพบว่ามูลค่าการซื้อขายต่อวันที่เกิดจากคนนั้นได้แปรเปลี่ยนกลายไปเป็นสิ่งที่เรียกว่า Program Trading หรือที่หลายคนเรียกว่า High Frequency Trade ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นกว่า 45% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวันเรียบร้อยแล้ว

 

หรือพูดง่ายๆ ในหนึ่งวันของมูลค่าการซื้อขายของ SET Index ครึ่งหนึ่งคือมนุษย์ และอีกกว่าครึ่งหนึ่งคือ Program Trading

 

และสาม สภาพคล่อง ‘หนี’ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนและผู้อ่านคงจะคุ้นกันตลอดๆ ว่า ‘ฝรั่งขายหุ้นไทย’ หรือนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย

 

และด้วย ณ ปัจจุบัน ที่กระแส Sell America รุนแรงมาก ทำให้ภาพของดอลลาร์อ่อนค่า (บาทแข็ง)

 

เงินบาทที่แข็งจึงเท่ากับเม็ดเงินที่ไหลเข้า ซึ่งก็ควรจะเข้ามาในหุ้นไทยด้วย อย่างไรก็ดี ฟ้าอาจจะยังไม่เปิด เพราะเงินที่ไหลเข้ามาก็ยังเลือกที่จะเข้ามาในพันธบัตรไทย (ตราสารหนี้) ไม่ใช่หุ้นไทย (ตราสารทุน)

 

ดังนั้นผมคิดว่าจะ ‘ตั้งแถวใหม่’ ในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ต้องคิดให้ดี ต้องคิดให้รอบ จะอิงแค่ ‘เศรษฐกิจ’ หรือ ‘การเมือง’ เห็นทีคงไม่ได้เสียแล้ว เพราะ ‘สภาพคล่อง’ เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลมากต่อตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

 

ณ ปัจจุบัน สิ่งที่เรารู้แน่นอนและควบคุมได้ในรอบนี้มีอยู่สามอย่างในความเห็นของผม

 

  1. ซื้อหุ้นไทยตอนนี้ได้ยืน ‘หัวแถว’ แน่ๆ เพราะตอนนี้นักลงทุนไม่ Cut Loss ก็ติดดอยอยู่
  2. ของ ‘ถูก’ หรือ Valuation ที่ ‘ถูก’ มีที่มาที่ไป และไม่ได้แปลว่าต้องขึ้นหรือปลอดภัย
  3. ตลาดหุ้นคือ ‘กระจกหน้า’ ที่มองไปข้างหน้าหรือ ‘อนาคต’

 

ดังนั้นไม่ว่าจะ ‘เศรษฐกิจ’ ‘การเมือง’ หรือ ‘สภาพคล่อง’ หากฟื้นตัวแม้จะเพียงเล็กน้อย ตลาดหุ้นที่เปรียบเสมือนกระจกหน้าจะวิ่งก่อนแน่นอน และวิ่งก่อนที่ตัวเลขจะรายงานออกมาด้วยซ้ำ

 

คนยืน ‘หัวแถว’ อาจหนาวๆ ตอนนี้ แต่ถ้ากำไร ‘หัวแถว’ ก็กินก่อนครับ 

 

ทบทวนกันให้ดี เพราะไม่ว่าจะยูนิคอร์นหรือคนประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของการลงทุนหรือการทำธุรกิจต้อง ‘กล้าเสี่ยง’ ‘รอบคอบ’ เพราะเล่ห์เหลี่ยมเต็มไปหมดทั้งในเชิงธุรกิจและการลงทุน และคนที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนไม่สำเร็จเสมอ

 

เงินบาทที่แข็งจึงเท่ากับเม็ดเงินที่ไหลเข้า ซึ่งก็ควรจะเข้ามาในหุ้นไทยด้วย อย่างไรก็ดี ฟ้าอาจจะยังไม่เปิด เพราะเงินที่ไหลเข้ามาก็ยังเลือกที่จะเข้ามาในพันธบัตรไทย (ตราสารหนี้) ไม่ใช่หุ้นไทย (ตราสารทุน)

 

Program Trading หรือที่หลายคนเรียกว่า High Frequency Trade ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นกว่า 45% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวัน

 

หมายเหตุ:

  • การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่าเป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

ภาพ: Dilok Klaisataporn / Shutterstock

The post ‘ตั้งแถวใหม่’ ในตลาดหุ้นไทย ท่ามกลาง ‘สงครามสภาพคล่อง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF และ TINA Effect ในตลาดหุ้นไทย https://thestandard.co/gulf-tina-effect-thai-stock-market-2025/ Fri, 16 May 2025 10:23:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1075090 ภาพอินโฟกราฟิกแสดงหุ้น GULF กับแนวโน้ม TINA Effect ในตลาดหุ้นไทย ปี 2025

ป้วนเปี้ยนแถว 1,200 จุด อยู่มาช้านานสำหรับ SET Index ใน […]

The post GULF และ TINA Effect ในตลาดหุ้นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพอินโฟกราฟิกแสดงหุ้น GULF กับแนวโน้ม TINA Effect ในตลาดหุ้นไทย ปี 2025

ป้วนเปี้ยนแถว 1,200 จุด อยู่มาช้านานสำหรับ SET Index ในปี 2025

 

ไหนจะสงครามการค้าและการเจรจาของทีมไทยแลนด์ … ไหนจะเสียงลือเสียงเล่าอ้างปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) … ไหนจะการเคาะเลื่อนแจกเงินหมื่นหรือถึงขั้นยกเลิก

 

ตลาดทุนไทยยังรออยู่อีกหลายปัจจัย โดยถึงแม้จะมีการไหลเข้ามาของเม็ดเงินกองทุน TESGX แต่ หุ้นไทยก็ยังไม่ไปไหน

 

ดังนั้นหากปัจจัยเชิงมหภาค (Macro / Top-down) ไม่ได้ทำให้หุ้นขึ้น ก็ต้องเป็นปัจจัยเชิงจุลภาค (Micro / Bottom-up)

 

คำถามคือ หุ้นไทยตัวไหนมีปัจจัยเฉพาะตัวหรือเติบโตเด่นบ้าง?

 

ผมอยากให้ผู้อ่านพินิจพิเคราะห์ มองไปรอบๆ (กลุ่มอุตสาหกรรมหุ้นไทย) และ มองในเชิงเปรียบเทียบ (หุ้นต่างประเทศอื่นๆ) ก่อนที่จะอ่านบทความนี้ต่อ

 

ใช่ครับ คำตอบในความเห็นส่วนตัวของผมคือ น้อยมาก!

 

และส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งก็ยังมีปัจจัยหรือความเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา ทั้ง Force Sell, การระดมทุนหุ้นกู้ ณ ปัจจุบัน และประเด็น ESG Rating

 

หุ้นหนึ่งตัวที่ผมเห็นได้ชัดกว่าใครเพื่อน คือ GULF Energy ซึ่งสอบผ่านทั้งในแง่การเติบโตที่ ‘เด่น’ และเป็นหุ้นขนาด ‘ใหญ่’ คลายกังวลปัจจัยที่หุ้นกลางและเล็กต้องเผชิญ

 

เล่าแบบคร่าวๆ GULF เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจสาธารณูปโภคในแง่ของปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. โดยมีการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า การนำเข้าก๊าซธรรมชาติ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

 

นอกจากนี้ GULF ยังขยายกิจการไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลผ่านการควบรวมกิจการ (amalgamation) กับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH, เพิกถอนหุ้นออกจากตลาดแล้ว) ซึ่งควบรวมกิจการแล้วเสร็จในปลายเดือนมีนาคม 2568

 

ประการแรกที่ผมเห็นคือ GULF ไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้าอีกต่อไปแล้ว

 

แต่ ‘อาจจะ’ และ ‘น่าจะ’ กลายเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ สำคัญของประเทศไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า (ถ้าไม่เร็วกว่านั้น) ทั้งจากการเข้าลงทุนบริษัทโทรคมนาคม และธนาคารพาณิชย์อย่าง KBANK

 

ประการที่สอง การเติบโตของหุ้นไทยตัวอื่นๆ หรือกลุ่มอื่นๆ ในปัจจุบันนั้นต่ำพอสมควร

 

หากผู้อ่านลองมองไปในหุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว … ต้องถือว่าลำบากพอสมควรครับ หากพินิจ พิจารณาจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ใครหลายๆ คนกล่าวกันว่านี่หนักหนาสาหัส ‘ยิ่งกว่าต้มยำกุ้ง’ ‘ยิ่งกว่าปี 2008 และ น้ำท่วมใหญ่ 2011’ หรือ ‘ยิ่งกว่าโควิด-19’ ซะอีก … ทั้งสังคมสูงวัย … ทั้งนักท่องเที่ยวที่หายไป … ทั้งแผ่นดินไหว และภาษีวันปลดแอกของ โดนัลด์ ทรัมป์

 

ประการสุดท้าย ‘TINA Effect’ หรือ ‘There is no Alternative’

 

ในความเห็นส่วนตัวของผม การหาหุ้นเติบโตที่มาพร้อมกับขนาดที่ใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นเปราะบางเฉพาะตัว หรือตามหา Large Cap Growth หรือ Mid Cap Growth (หุ้นเติบโตที่มีขนาดใหญ่และกลาง) ในตลาดหุ้นไทยนั้นท้าทายพอสมควร

 

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากตัวเลือกที่มีจำกัดในตลาดหุ้นไทย และ Growth Story ที่ผมตามหา …

 

… GULF อาจจะเป็นตัวเลือกเพียงไม่กี่ตัวที่ผมจะเลือก

… ถ้าอยากจะเดิมพันกับตลาดหุ้นไทย

 

*การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่าเป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

The post GULF และ TINA Effect ในตลาดหุ้นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ปั่นป่วน-นรกแตก’ จาก ‘ปลดแอกอเมริกา’ https://thestandard.co/us-liberation-day/ Fri, 18 Apr 2025 03:48:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1065613 Liberation Day

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ป […]

The post ‘ปั่นป่วน-นรกแตก’ จาก ‘ปลดแอกอเมริกา’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Liberation Day

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศศักดาต่อทุกคนบนโลกโดย ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มจากหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ 37% ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ที่โดนนั้นมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง

 

ประกาศดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับนักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักธุรกิจ และนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากอัตราภาษีที่เรียกเก็บนั้น เรียกได้ว่า แย่กว่าในกรณีเลวร้ายที่สุดเลยก็ว่าได้…จนหลายฝ่ายขนานนามวันดังกล่าวว่า ‘Liberation Day’ หรือ ‘วันปลดแอกอเมริกา’

 

โชคยังดีที่การประกาศดังกล่าวมีอายุที่สั้นมาก เนื่องจากในวันที่ 9 เมษายน 2025 ทรัมป์ได้ประกาศระงับมาตรการภาษีดังกล่าวเป็นเวลา 90 วัน กับ 150 ประเทศทั่วโลก (รวมไทย) แต่ยังคงระดับภาษีขั้นพื้นฐานไว้ที่ 10% 

 

ตัวผมและหัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ CGS International จึงไม่รอช้าปรับประมาณการณ์กันยกใหญ่ 

 

ประการแรก เศรษฐกิจไทยกระทบแน่ๆ แล้ว 1% เราปรับลดประมาณการ GDP ไทยในปี 2025 เป็น 1.5%YoY (vs. จากของเดิม 2.5%) สะท้อนทั้ง 

 

  • ประเด็นแผ่นดินไหวซึ่งเราคาดว่าความเสียหายจะอยู่ราว 2-3 หมื่นล้านบาท หรือ ราว -0.2% ต่อ GDP 
  • ผลกระทบต่อทั้งการส่งออกและนำเข้าของประเทศไทยที่จะปรับตัวลดลงทั้งทางตรง (ส่งออกไปสหรัฐฯ) และทางอ้อม (ส่งออกไปจีนและประเทศคู่ค้าอื่นๆ) หรือราว -0.5% ต่อ GDP
  • ภาคการผลิตหรือโรงงานในไทยที่รับจ้างผลิตเพื่อส่งออกที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบ และ ส่งผลมาถึงผู้ที่มีรายได้น้อยในภาคการผลิตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือราว -0.3% ต่อ GDP

 

ประการที่สอง ค่อนข้างชัวร์ว่า เงินเฟ้อไทยต่ำ 1% เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้จะเติบโตในระดับ 0.5%YoY จากทั้งนโยบายค่าไฟฟ้าที่ 3.99 บาท/หน่วย และ การไหลทะลักของสินค้านำเข้าราคาถูกจากประเทศจีน ซึ่งแนวโน้มน่าจะหนักขึ้นไปอีกจากสงครามการค้า 2.0 ซึ่งจีนโดนภาษีไปแล้วกว่า 100% ดังนั้นสินค้าจีนจะทะลักเข้ามาไทยอีกแน่ๆ ในความเห็นของผม เพราะส่งไปอเมริกาก็แพงแสนแพง

 

ดังนั้น เราจึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. ในกรณีเลวร้ายสุดจะอยู่ที่ 1.00% ในปี 2025 โดย 

 

  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะปรับลดดอกเบี้ย 25bp ในเดือนเมษายนนี้ จากทั้งประเด็นเดิม นั่นคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจำกัดมาก และประเด็นใหม่ นั่นคือ แผ่นดินไหว และมาตรการภาษีของทรัมป์ในวันปลดแอก 
  • หากการปรับลดดอกเบี้ยรอบเดือนเมษายน (ถ้าเกิดขึ้น) ไม่เพียงพอ เราเชื่อว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้ง หรือ ลด 25bp ในเดือนมิถุนายนหรือสิงหาคม
  • มากไปกว่านั้น เราเชื่อว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 25bp เมื่อผู้ว่าการ ธปท. คนปัจจุบันจะดำรงตำแหน่งครบวาระในเดือนกันยายน 2025 
  • และถ้ากระสุนทั้งสามนัดที่ลดดอกเบี้ยไปไม่เพียงพอ กนง. อาจจะพิจารณาลดดอกเบี้ยอีก 25bp 

 

ด้วยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะลดถึง 4 รอบ ดอลลาร์บาทจึงมีแนวโน้มอ่อนค่าแล้วแน่ๆ ซึ่งเรามองไว้ที่ 35.50 ณ สิ้นปี

 

ท้ายสุด…เราได้มีการปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปีเหลือ 1,200 จุด หรือ เท่ากับ P/E 13.4x ในปี FY26 จากทั้ง 1. เรื่องที่ใครก็ไม่คาดคิด (แผ่นดินไหว) และ 2. เรื่องที่แย่มากกว่าที่หลายๆ คนคิด (ภาษีทรัมป์ในวันปลดแอกอเมริกา)

 

นี่แหละครับชีวิต วันปลดแอกเค้าแต่ป่วนมาถึงเรา เหมือนฝนที่ตกทางโน้นแต่หนาวมาถึงคนทางนี้ 

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผม ‘เชื่อ’ และ ‘เริ่ม’ จะมั่นใจขึ้นมาบางแล้ว นั่นคือการ Downgrade หุ้นไทยและเศรษฐกิจไทย รอบนี้ถือว่า ‘เยอะ’ และ ‘ลึก’ พอสมควร 

 

ผมจึง ‘เชื่อ’ และ ‘หวัง’ ว่าปรับประมาณการณ์รอบหน้าจะเป็นปรับ ‘ขึ้น’ ไม่น่าปรับ ‘ลง’ แล้ว เพราะถ้าปรับ ‘ลง’ อีกก็คงต้องเรียกว่า ‘จรดลล้างบาง’ แล้วละครับ 

 

Screenshot

CGS International ปรับลดประมาณการณ์ GDP ปี 2025 เหลือเติบโตเพียง 1.5%YoY และมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง เหลือ 1.00% ในปี 2025

 

 

ภาพ: Andrew Harnik / Getty Images

อ้างอิง: 

  • CGS International, CGSI Estimates, CGSI Macro & Wealth Research, CGSI Quantitative Team, Bloomberg

The post ‘ปั่นป่วน-นรกแตก’ จาก ‘ปลดแอกอเมริกา’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดทุนไทย กับใจที่ยังหวังและจิตที่ยังศรัทธา https://thestandard.co/thai-capital-market/ Wed, 19 Mar 2025 04:15:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1053743 thai-capital-market

สวัสดีหุ้หุ้นไทยที่ระดับต่ำกว่า 1,200 จุด…ผมเชื่อว่าแม้ […]

The post ตลาดทุนไทย กับใจที่ยังหวังและจิตที่ยังศรัทธา appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-capital-market

สวัสดีหุ้หุ้นไทยที่ระดับต่ำกว่า 1,200 จุด…ผมเชื่อว่าแม้ผู้อ่านและนักลงทุนหลายท่านจะหมดหวังและถอดใจกับ SET Index บ้านเรา แต่น่าจะมีอยู่น้อยคนที่คิดว่าหุ้นไทยจะมีเลข 1,1xx นำหน้า เพราะต่างคิดว่า 1,2xx น่าจะเอาอยู่

 

ไม่มีใครอยากให้ประเทศไทย และ หุ้นไทย มาถึงจุดนี้

 

ดังนั้น ทางการ ทั้ง ภาครัฐฯ และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จึงได้มีการหารือ และ พูดคุย ถึง มาตรการพยุงหุ้นไทยอีกครั้ง ทั้ง โครงการ JUMP+ การกลับมาของ TESGX และ โมเดล TISA แบบญี่ปุ่น

 

ในบทความนี้ ผมจะพาไปล้วงลึกเกี่ยวกับมาตรการข้างต้นกันครับ

 

ประการแรก รู้จักกับมาตรการ JUMP+ / TESGX / TISA

 

JUMP+ คือ โครงการจากตลท. ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568-2570) ของ ตลท. ซึ่ง บริษัทที่เข้าร่วมจะได้รับการยกเว้นกำไรภาษี เช่น 1) หากกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจะได้รับการยกเว้นภาษีในช่วง 3 ปีแรก 2) ลดข้อจำกัดทางภาษีหากมีการทำ M&A

 

TESG หรือ Thailand ESG Fund คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนซึ่งมีสิทธิพิเศษให้ผู้ลงทุนสามารถนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเหมือนกับการลงทุนใน RMF SSF SSFX หรือ LTF โดย TESG TESGX กำหนดให้สามารถลงทุนในหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนหรือตามหลัก ESG

 

TISA หรือ Thailand Individual Saving Account เป็นโมเดลที่ ตลท. นำมาจากมาตรการของประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า NISA (Nippon Individual Savings Account) ซึ่งโครงการนี้จะทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนหุ้นรายตัวได้โดยถือระยะยาว และ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีบุคคลประจำปีภายใต้เพดานที่กำหนด

 

ซึ่งจะคล้ายคลึงกับกองทุนประหยัดภาษีแต่จะไม่ใช่มาตรการที่เข้ามาแทนกองทุนรวมที่มีอยู่เดิม ทั้ง RMF หรือ TESG แต่จะเป็นมาตรการใหม่ที่ช่วยสนับสนุนหุ้นไทยโดยตรง โดย มีเงื่อนไขว่าจะถือครองหุ้นไปจนถึงวัยเกษียณถึงจะขายหุ้นออกมาได้โดยไม่เสียภาษี

 

ประการที่สอง ไทม์ไลน์ของ JUMP+ / TESGX / TISA

 

ล่าสุด รัฐบาลประกาศจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ย้ายการลงทุนใน LTF มาอยู่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษที่จัดตั้งขึ้นใหม่ หรือ คือ “TESGX” โดยกำหนดให้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนี้ได้ 300,000 บาท ส่วนอีก 200,000 บาทจะใช้สิทธิลดหย่อนได้ปีละ 50,000 บาทเป็นเวลา 4 ปี

นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทแก่นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน TESGX ช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. 2025

ส่วนโครงการ JUMP+ ตลท. ตั้งเป้าเริ่มโครงการ พ.ค.68

 

ประการต่อมา ตัวเลขทางสถิติ กับ JUMP+ / TESGX / TISA

 

กระทรวงการคลังประเมินว่า “มีแนวโน้มว่าน่าจะมีเงินลงทุนในกองทุน LTF (1.8 แสนล้านบาทหรือ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ประมาณ 75% ย้ายเข้ามาลงทุนใน TESGX และคาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่กองทุนอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เท่ากับว่า กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าจะมีเงินลงทุนในกองทุน TESGX ประมาณ 1.65 แสนล้านบาท”

 

ส่วน TISA นั้น หากอ้างอิงจากสถิติของ NISA พบว่ามูลค่าเงินลงทุนในบัญชี NISA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากราวๆ 6 ล้านล้านเยนในปี 2015 มาเป็น 46 ล้านล้านเยน ในปี 2025 หรือ เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าภายในระยะเวลา 10 ปี เนื่องจาก NISA บัญชีการลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งเงินปันผล (Dividend) กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) และ ดอกเบี้ย (Interest) ทั้งหมด

 

และ ประการสุดท้าย มุมมองต่อ JUMP+ / TESGX / TISA

 

สิ่งที่ผมเห็นเหมือน คือ ทั้ง ‘สาม’ มาตรการ คือ แรงจูงใจทางภาษีทั้งในแง่ของนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาในเชิงการลดหย่อน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าสูงทีเดียว

สิ่งที่ผมเห็นต่าง คือ ในส่วนของ TESGX ผม และ CGSI เชื่อว่ากระทรวงการคลังอาจมองในแง่ดีเกินไป

 

“เราคาดว่าน่าจะมีเงินลงทุนใน LTF เพียงครึ่งเดียวที่จะย้ายมาลงทุนใน TESGX ใหม่ ส่วนเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนใน TESGX น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเท่ากับว่า เราคาดการณ์ว่าจะมีเงินลงทุนในกองทุน TESGX ประมาณ 1.0 แสนล้านบาท (น้อยกว่าคาดการณ์ของกระทรวงการคลังที่ 1.65 แสนล้านบาท)”

 

แต่ในส่วนของ TISA ผมกลับมีมุมมองเชิงบวกกับ TISA หากบ้านเราทำตามแบบ NISA ของญี่ปุ่นในแง่ของภาษีตามที่กล่าวด้านบน ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องของการออมนั้นเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ทั้งวินัยในการออม ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆในชีวิตประจำวัน รวมถึง สภาวะหนี้ครัวเรือนและการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันของเศรษฐกิจไทย ณ ปัจจุบัน สิ่งดังกล่าวอาจส่งผลต่อเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่โครงการ TISA ของเราได้

 

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่าผู้อ่านและนักลงทุนหลายคนต่างทั้งท้อใจกับเศรษฐกิจที่ยังฟื้นได้ไม่เต็มที่ อากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษ หุ้นไทยที่สาละวันเตี้ยลง หลายคนหมดกำลังใจ…ทุกคนต่างมีปัญหาของตนเอง

 

ณ ปัจจุบัน ตัวผมก็ได้เผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นเดียวกัน เพราะ คุณปู่ หรือ อากงของผมที่เลี้ยงผมมากว่าสามสิบปีก็ได้จากไปจากอุบัติเหตุที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น

 

ก่อนนอนทุกคืนอากงกับผมมักจะชอบดูหนังจีนม้วนเก่าที่มีชื่อว่า ‘เจ้าพ่อตลาดหุ้น’ กันเป็นประจำ

 

ตัวละครที่ผมและอากงชื่นชอบก็คือ ติงไห่ นำแสดงโดย เจิ้งเซ่าชิว

 

ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง ‘ติงไห่เอฟเฟกต์’ หรือปรากฏการณ์ที่หุ้นฮ่องกงมักจะร่วงลงหลัง เจิ้งเซ่าชิว มีผลงานใหม่ โดยสถิติย้อนหลังช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าเมื่อใดที่ผลงานของ เจิ้งเซ่าชิว ออกอากาศ มีโอกาสที่หุ้นจะตกอยู่ที่ 70% โดยในแต่ละครั้งหุ้นจะตกลงประมาณ 5-6%

 

หุ้นไทยของเราอาจกำลังเผชิญกับติงไห่เอฟเฟกต์อยู่ก็เป็นได้

แม้คุณปู่ของผมที่อยู่บนสวรรค์ก็ยังคงได้แต่ส่ายหน้ากับสภาวะตลาดทุนไทยในปัจจุบัน แต่ทั้งตัวผมและท่านไม่เคยหมดหวัง ดังนั้น ผมจึงอยากจะมาบอกกับเพื่อนๆ ผู้อ่าน และ นักลงทุน อีกครั้งหนึ่งตามหัวข้อว่า

 

“ยอมได้ ท้อได้…และถึงแม้ว่าการขายตัดขาดทุนตรงนี้อาจจะไม่ใช่จังหวะที่ดีสักเท่าไร แต่ถ้าอยากจะทำ ผมแนะนำว่าถ้าทำแล้วก็อย่าลืมไปมองในกองทุนลดหย่อนภาษี TESG TESGX ด้วย…แค่ในมุมมองของการลดหย่อนภาษีก็ยังดี”

 

ชีวิตดำเนินต่อ…จงมีความหวัง จงมีความฝัน และ จงศรัทธา สนุกกับการใช้ชีวิต และ การลงทุนครับ จาก กรรณ์ หทัยศรัทธา (นักกลยุทธ์การลงทุน) และ กัน (หลานชายคนโตของอากง)

 

เม็ดเงินที่ไหลออกจากกองทุน LTF ยังไหลออกต่อเนื่อง และไหลออกไปแล้ว ทะลุ 3 หมื่นล้านบาท

เม็ดเงินที่ไหลออกจากกองทุน LTF ยังไหลออกต่อเนื่อง และไหลออกไปแล้ว ทะลุ 3 หมื่นล้านบาท

 

อ้างอิง:

  • CGS International, CGSI Estimates, CGSI Macro & Wealth Research, CGSI Quantitative Team, Bloomberg

The post ตลาดทุนไทย กับใจที่ยังหวังและจิตที่ยังศรัทธา appeared first on THE STANDARD.

]]>