Opinion – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 04 Dec 2024 06:11:33 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 อนาคตหุ้นจีน-ฮ่องกงในยุคทรัมป์ 2.0 จะเป็นอย่างไร https://thestandard.co/chinese-hong-kong-stocks-trump-era/ Wed, 04 Dec 2024 06:11:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1015874 หุ้นจีน-ฮ่องกง

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะผู้นำสหรัฐอเมริกาอาจเ […]

The post อนาคตหุ้นจีน-ฮ่องกงในยุคทรัมป์ 2.0 จะเป็นอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นจีน-ฮ่องกง

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะผู้นำสหรัฐอเมริกาอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญระหว่างสหรัฐฯ และจีนอีกครั้ง ความทรงจำจากยุคสงครามการค้าทรัมป์ 1.0 ยังชัดเจน และครั้งนี้อาจมาพร้อมกับนโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้นจากแผนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดถึง 60% ซึ่งอาจกดดันต่อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกงในระยะข้างหน้า ดังนั้นการเตรียมแผนรับมือกับความไม่แน่นอนดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

 

ย้อนกลับไปเมื่อยุคที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2017-2021 ซึ่งเปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีนด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 7-25% ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังกดดันให้บริษัทหลายแห่งในสหรัฐฯ และทั่วโลกย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เพื่อกระจายความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้า กดดัน FDI ที่ไหลเข้าจีนให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยปัจจัยกดดันข้างต้นส่งผลให้ GDP จีนลดลงจาก 6.7%YoY ในปี 2018 เหลือ 6%YoY ในปี 2019 เช่นเดียวกับตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ซึ่งสะท้อนผ่านดัชนี CSI 300 และ Hang Seng ที่ปรับลงถึงราว 25% และ 15% ตามลำดับในปี 2018

 

อย่างไรก็ดี จีนเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากยุคทรัมป์ 1.0 โดยเริ่มแก้เกมผ่าน 2 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. การกระจายความเสี่ยงทางการค้า และ 2. การพึ่งพาเทคโนโลยีของตนเอง โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจีนลดการพึ่งพาตลาดส่งออกสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยลดสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จาก 18% ในปี 2017 เหลือ 15% ในปี 2023 และกระจายการค้าไปยังภูมิภาคอื่นๆ มากขึ้น เช่น อาเซียน รัสเซีย และเม็กซิโก

 

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังให้การสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น การผลักดันบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น HUAWEI และ SMIC ให้พัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง อีกทั้งยังให้การสนับสนุนการลงทุนในนวัตกรรมด้าน AI, 5G, EV และพลังงานหมุนเวียน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีบางอย่างอาจยังตามหลังสหรัฐฯ แต่ในภาพรวมก็ไม่ได้ห่างกันมากแล้วในปัจจุบัน

 

ตัดภาพกลับมาที่แนวโน้มของจีนในยุคทรัมป์ 2.0 นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อาจกลับมาเป็นประเด็นหลักที่สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนอีกครั้ง โดยผลสำรวจของ Reuters เผยว่าคนจีนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2025 จะอยู่ในช่วง 15-60% โดยมีค่าเฉลี่ยประมาณ 38% โดย Reuters ประเมินว่านโยบายภาษีทรัมป์อาจกดดันเศรษฐกิจจีนในปี 2025 ให้โตลดลงราว 0.5-1.0% เหลือ 4.5%YoY ชะลอตัวจากคาดการณ์ GDP ปี 2024 ที่ 4.8%YoY

 

ดังนั้นตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกงในปี 2025 จึงอาจเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยกดดันภายนอกจากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มส่งออก ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกงจึงต้องมีความ Selective เน้นกลุ่มที่มีนโยบายภาครัฐสนับสนุน มีรายได้หลักมาจากในประเทศ และธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี โดยในเชิงพื้นฐานหุ้นเทคโนโลยีจีนยังคงน่าสนใจทั้งในแง่อัตราการเติบโตของกำไรและมูลค่า สะท้อนผ่านกราฟด้านล่างที่แสดงคาดการณ์กำไร หรือ Forward EPS 12 เดือนข้างหน้า (เส้นสีแดง) ของดัชนี Hang Seng TECH ซึ่งเป็นดัชนีตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับราคาดัชนี (เส้นสีส้ม) ที่ยังไม่ได้ปรับขึ้นตามทิศทางของคาดการณ์กำไร ขณะที่ Forward P/E 12 เดือนข้างหน้า (เส้นสีฟ้า) ยังอยู่ที่เพียง 15.3 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 24.9 เท่า ราว 1 S.D. สะท้อนว่ายังมี Upside เหลืออยู่อีกมาก โดยปัจจุบัน Consensus ให้ราคาเป้าหมายของดัชนี Hang Seng TECH ที่ 5,550 จุด คิดเป็น Upside ราว 26% จากราคาปัจจุบัน (ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2024)

 

 

ภาพ: Yongyuan Dai / Getty Images

อ้างอิง:

  • Bloomberg

The post อนาคตหุ้นจีน-ฮ่องกงในยุคทรัมป์ 2.0 จะเป็นอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตามติอัตราดอกเบี้ยของเหล่าธนาคารกลางชั้นนำ อีกปัจจัยชี้นำทิศทางราคาทองคำช่วงท้ายปี 2024 
 https://thestandard.co/central-banks-interest-measure-2024/ Sat, 30 Nov 2024 06:33:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1014556 ดอกเบี้ย

หลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นสร้างระดับสูงสุดตลอดกาลครั้ง […]

The post จับตามติอัตราดอกเบี้ยของเหล่าธนาคารกลางชั้นนำ อีกปัจจัยชี้นำทิศทางราคาทองคำช่วงท้ายปี 2024 
 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดอกเบี้ย

หลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นสร้างระดับสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ที่ 2,789.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม ราคาทองคำปรับตัวลงเรื่อยมา แล้วยิ่งปรับตัวร่วงลงอย่างหนักหลังตลาดทราบถึงผลการคว้าชัยในการเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ แคนดิเดตพรรครีพับลิกัน และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมทั้งการครองเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันทั้งในสภาสูง (Senate) และสภาล่าง (House) 

 

ทั้งนี้ ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ราว 1 สัปดาห์ ราคาทองคำปรับตัวลงราว 7% และเป็นการปรับตัวลงจากระดับสูงสุดตลอดกาลครั้งล่าสุดราว 8% หรือ 250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเคลื่อนไหวในระดับสูง 

 

อย่างไรก็ดี หลังจากนักลงทุนซึมซับกับผลการเลือกตั้งดังกล่าวไปแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้น อันกระตุ้นการเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองคำจึงฟื้นตัวขึ้น แต่กระนั้นด้วยแรงกดดันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ราคาทองคำลดช่วงการฟื้นตัวดังกล่าวลง และมีแนวโน้มว่าราคาทองคำจะยังเคลื่อนไหวสลับขึ้นลงต่อไปเช่นนี้อีกสักระยะ 

 

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ยังคงกดดันราคาทองคำ คือการทรงตัวในระดับสูงของค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ โดยในช่วงหลังการเลือกตั้งราว 1 สัปดาห์ ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นแตะระดับดัชนี 107.0 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นแตะระดับดัชนี 108.0 ได้ในสัปดาห์ถัดมา ซึ่งระดับดังกล่าวนับเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี 

 

สถานการณ์เช่นนี้เป็นผลมาจากการตอบสนองของนักลงทุนต่อแนวทางการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล การตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ และการกีดกันแรงงานข้ามชาติ ทั้งหมดนี้ถูกประเมินว่าจะทำให้สถานการณ์ทางการคลังของสหรัฐฯ ย่ำแย่ลง ซึ่งรัฐบาลอาจต้องออกขายพันธบัตรเพิ่มมากขึ้น 

 

ประกอบกับส่งเสริมการค้างตัวในระดับสูงของเงินเฟ้อสหรัฐฯ สร้างความเสี่ยงต่อการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อันเป็นผลให้นักลงทุนมีการเผื่อโอกาสที่ Fed อาจไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้เท่ากับที่เคยส่งสัญญาณไว้ 

 

ทั้งนี้ แม้ว่าล่าสุดนักลงทุนจะมีความหวังเพิ่มมากขึ้นต่อแนวโน้มที่ Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในเดือนธันวาคม หลังรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ Fed (FOMC) ระบุว่า กรรมการ Fed ล้วนยังเห็นพ้องถึงความเหมาะสมในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับข้อมูลด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา นับว่ายังบ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงของเงินเฟ้อสหรัฐฯ 

 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากระแสคาดการณ์ของตลาดต่อขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในระยะข้างหน้า หรือในปี 2025 พบว่าถูกปรับลดลงเหลือเพียง 0.5% หรือเท่ากับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกเพียง 2 ครั้ง นับเป็นกระแสคาดการณ์ที่มีทิศทางที่เข้มงวดมากกว่าเมื่อเทียบกับที่ Fed ส่งสัญญาณไว้ โดยจากรายงานประมาณการภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เดือนกันยายน ระบุถึงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสุดท้ายในปี 2025 ของ Fed ที่ระดับ 3.4% หรือเท่ากับการปรับลดด้วยขนาด 1%  

 

จากกระแสคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่าแนวทางการดำเนินนโยบายของทรัมป์จะจำกัดขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในระยะข้างหน้า สอดคล้องกับการประเมินของนักวิเคราะห์หลายรายที่ชี้ว่า Fed อาจส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่ลดลงในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ แม้ว่ารายงานการประชุม FOMC รอบเดือนพฤศจิกายนไม่ได้ระบุถึงการหารือของกรรมการ Fed ถึงผลกระทบของแนวทางการดำเนินของทรัมป์ แต่กรรมการบางส่วนให้ความเห็นว่า หากเงินเฟ้อค้างตัวในระดับสูง Fed อาจต้องพิจารณาหยุดการผ่อนคลายนโยบายการเงินลง 

 

อนึ่ง ค่าเงินดอลลาร์ที่ทรงตัวในระดับสูง นอกจากจะมาจากคาดการณ์ระดับอัตราดอกเบี้ยของ Fed แล้ว ยังคงมีผลมาจากคาดการณ์ระดับอัตราดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำแห่งอื่นร่วมด้วย โดยในช่วงที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแตะระดับดัชนี 108.0 มีส่วนถูกหนุนจากค่าเงินยูโรที่ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หลังการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกที่ล้วนออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ นักลงทุนจึงเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ในการประชุมเดือนธันวาคม 

 

แม้ว่าในปัจจุบัน นักลงทุนลดทอนความเป็นไปได้ดังกล่าวลง แต่กระนั้นส่วนใหญ่ของตลาดประเมินตรงกันว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ ECB โดยภายในสิ้นปี 2025 มีคาดการณ์ว่า ECB อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเข้าใกล้ระดับ 2% ขณะที่ Fed อาจอยู่ที่กรอบ 3.75-4% 

 

ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ถูกประเมินว่าอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงด้วยขนาดที่ลดลงคล้ายกับ Fed เนื่องด้วยแผนงบประมาณของ ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอังกฤษ ที่เปิดเผยออกมาในช่วงปลายเดือนตุลาคม พบว่ามีแนวโน้มหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะอันใกล้ ประกอบกับอัตราการเติบโตของค่าจ้างงานแรงงานที่ทรงตัวในระดับสูง ทำให้ BOE ยังคงมีความจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายการนำเงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าที่ 2% 

 

ทั้งนี้ แม้ว่าการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/24 ของอังกฤษ พบการเติบโตเพียง 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และชะลอตัวลงจากระดับ 0.5% ในไตรมาส 2/24 แต่ในปัจจุบันนักลงทุนให้น้ำหนักราว 20% ต่อคาดการณ์ที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.5% ในเดือนธันวาคม

 

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ไม่ควรละทิ้งโอกาสที่ BOE อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยเฉพาะหากข้อมูล GDP เดือนตุลาคมออกมาย่ำแย่กว่าคาดการณ์ BOE อาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันความเสี่ยงของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหาก BOE ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง หรือนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักต่อคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ BOE มีแนวโน้มที่เงินปอนด์และยูโรจะปรับตัวอ่อนค่าลง สร้างแรงหนุนต่อค่าเงินดอลลาร์เพิ่มเติมได้ 

 

นอกจากนั้นตลาดยังคงจับตากับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่น (BOJ) โดยหลัง คาซุโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ให้ถ้อยแถลงที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม สอดคล้องกับผลสำรวจของ Reuters ที่ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์ราว 56% คาดการณ์ว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.5% ในเดือนธันวาคม จากแนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินเยน 

 

นักลงทุนจึงเพิ่มน้ำหนักขึ้นเหนือระดับ 60% ต่อคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ ในเดือนธันวาคม ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีส่วนกระชับช่องว่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ทำให้เงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้น แต่กระนั้นด้วยหลายฝ่ายยังคงประเมินว่าช่องว่างดังกล่าวอาจหดแคบลงได้จำกัด ตามคาดการณ์ขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ลดลง ทำให้แม้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นได้ แต่ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไม่ไกลจากระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์ แม้ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมแล้วก็ตาม 

 

อนึ่ง หาก BOJ ส่งสัญญาณที่เข้มงวดต่อการดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหนือความคาดหมาย อาจมีผลให้ตลาดประเมินถึงช่องว่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นหดตัวลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นมากกว่าที่ถูกประเมินไว้ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ 

 

จากทั้งหมดข้างต้นบ่งชี้ว่าระดับอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่มีแนวโน้มค้างตัวในระดับสูง และมีแนวโน้มสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจชั้นนำแห่งอื่นอย่างสหภาพยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่น จะเป็นแรงหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวในระดับสูง คอยกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลง ด้วยเหตุนี้แนะนำนักลงทุนติดตามมติอัตราดอกเบี้ยและผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางชั้นนำโดยเฉพาะ Fed เพื่อประเมินทิศทางค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อันมีส่วนชี้นำราคาทองคำในช่วงท้ายปี 2024 

The post จับตามติอัตราดอกเบี้ยของเหล่าธนาคารกลางชั้นนำ อีกปัจจัยชี้นำทิศทางราคาทองคำช่วงท้ายปี 2024 
 appeared first on THE STANDARD.

]]>
4 ‘ทวิสต์ & ทรัมป์’ สำหรับปี 2025 https://thestandard.co/4-twists-and-trump-2025/ Thu, 28 Nov 2024 07:15:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1013831

ในช่วงที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับนักวิเคราะห์และ […]

The post 4 ‘ทวิสต์ & ทรัมป์’ สำหรับปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในช่วงที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับนักวิเคราะห์และนักลงทุนจากหลากหลายประเทศ รวมทั้งผู้ทำนโยบายที่เคยรับมือกับทรัมป์ 1.0 แต่ยังไม่มีโอกาสตกตะกอนความคิด จนไม่นานมานี้ จึงอยากจะฝากข้อสังเกต 4 ประการเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาและสงครามการค้าต่างๆ ที่คิดว่าธุรกิจ นักลงทุน และผู้วางนโยบาย ควรจะเตรียมรับมือในปีหน้าครับ

 

1. คนทำดีลไม่ใช่คนทำนโยบาย (Deal Maker > Policy Maker)

 

ในปีหน้า โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นผู้วางนโยบายที่สำคัญและมีผลกระทบต่อทั้งโลกมากที่สุด แต่ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองสหรัฐฯ และอดีตผู้นำประเทศที่เคยเจรจากับเขา ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทรัมป์คือนักเจรจา/นักทำดีล ไม่ใช่นักทำนโยบาย ซึ่งแปลว่านโยบายที่ประกาศออกมานั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอ ขึ้นอยู่กับดีลที่เขาอยากได้ และหลายมาตรการก็ทำขึ้นเพื่อเปิดโต๊ะเจรจาสร้างอำนาจต่อรองให้ตนเอง ถ้าอยากจะอ่านเกมให้ขาดต้องช่วยกันเดาว่าเขาต้องการดีลอะไร ไม่ใช่เพียงวิเคราะห์จุดยืนและหลักการของแต่ละนโยบาย

 

ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่านโยบายของทรัมป์จะไม่ดุดัน ตรงกันข้าม นักเจรจาต่อรองย่อมรู้ดีว่าการเจรจาต้องเริ่มจากการออกมาตรการ ‘ไม้แข็ง’ ที่เฟียร์ซมาก่อน เพื่อให้ฝั่งตนเองได้เปรียบและทุบโต๊ะให้คนรีบมาที่โต๊ะเจรจา ดังนั้นสงครามการค้าปีหน้าน่าจะดุดันเป็นพิเศษ

 

2. ทรัมป์ 2.0 อาจไม่เหมือนทรัมป์ 1.0

 

ผู้ที่ติดตามการเมืองหลายประเทศจะชอบเตือนคล้ายๆ กันว่าอย่าประมาทไปคิดว่าผู้นำในเทอมที่ 2 จะคล้ายๆ กับเทอมที่ 1 แม้สไตล์จะคล้ายกัน แต่บริบทที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนคนเดียวกันเป็นผู้นำที่ต่างกันมากใน 2 ยุค

 

แน่นอนว่าจุดเด่นของทรัมป์คือการที่คาดเดาได้ยากไม่ว่าจะเป็นยุคไหน แต่สิ่งที่เราพอรู้แล้ววันนี้คืออย่างน้อย

 

  • รอบนี้เขามีประสบการณ์การเป็นผู้นำรัฐบาลสหรัฐฯ มาแล้ว
  • รอบนี้เขามีทั้งสภาล่างและสภาสูงอยู่ในมือ ทำให้ผลักดันมาตรการต่างๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น
  • นี่จะเป็นเทอมสุดท้ายของเขา โอกาสสุดท้ายที่ ‘เช็กบิล’ และไว้ลายให้โลกจำ

 

ทั้งหมดนี้ชี้ไปว่าสงครามการค้าอาจเข้มข้นกว่ายุคก่อน และมีผลกระทบกับประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย อย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

  • ทางตรงที่ 1: หากสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีใส่ทุกประเทศดังที่เคยประกาศไว้ ก็จะโดนกระทบเต็มๆ
  • ทางตรงที่ 2: หากมีการตั้งกำแพงภาษีปิดช่องทางสินค้าของบริษัทจีนที่มาตั้งโรงงานในไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ด้วย ก็จะทำให้การส่งออกจากไทยโดนหางเลขไปด้วย

 

  • ทางอ้อมที่ 1: หากกำแพงภาษีใส่จีนบีบให้จีนต้องระบายสินค้ามาที่อาเซียนและไทยมากขึ้น สินค้าราคาถูกจะทะลักเข้ามามากขึ้น
  • ทางอ้อมที่ 2: หากจีนตอบโต้กำแพงภาษีด้วยการปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนลง (ดังที่ทำในอดีต) ทำให้เกิดการแข่งขันกับสินค้าไทยในตลาดอื่น
  • ทางอ้อมที่ 3: ความไม่แน่นอนทางการค้าโลกทำให้ธุรกิจทั่วโลกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ฉุดการค้าโลกตั้งแต่ก่อนมาตรการออกมา (Goldman Sachs พบว่าช่องทางนี้มีอิมแพ็กต์สูงมากในยุโรปยุคทรัมป์ 1.0)

 

ทั้งหมดนี้แปลว่าแรงกระแทกจากสงครามการค้าอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนมาตรการเกิดขึ้น และกระทบการส่งออกไทยได้แม้ไม่ได้โดนตรงๆ

 

3. อยากได้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า แต่ใช้นโยบายดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า

 

อีกความย้อนแย้งก็คือทรัมป์ชอบพูดว่าอยากได้เงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง แต่ชุดนโยบายของเขานั้นล้วนนำไปสู่การทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เช่น

 

  • นโยบายกำแพงภาษีสูง ลดการนำเข้า
  • ทำเงินเฟ้อสูงขึ้น (จากลดคนเข้าเมือง+ลดนำเข้า) อาจทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้น้อยลงกว่าที่คาด
  • ทำให้ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะยุโรปอ่อนแอลง ส่งผลให้เงินยูโรอ่อน (เวลายูโรอ่อนค่า ดอลลาร์มักแข็งค่า)

 

ดังนั้นนอกจากจะมีสงครามการค้าแล้ว ความย้อนแย้งนี้อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินเพิ่มไปอีก

 

4. อยากทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่ แต่นโยบายอาจกลับทำให้อาเซียนยิ่งใหญ่ขึ้น

 

ดังธีมในหนังสือ Twists and Turns ที่ว่าในทุก ‘ทวิสต์’ ย่อมมีโอกาส ‘เทิร์น’ สงครามการค้า 2.0 ที่ดุดันในปีหน้าอาจส่งผลบวกกับอินเดีย อาเซียน และเศรษฐกิจไทย ในระยะยาว โดยทำให้การเคลื่อนย้ายการลงทุนของธุรกิจข้ามชาติจากจีนมาที่เอเชียตอนใต้ที่เกิดขึ้นแล้วใน 3-4 ปีที่ผ่านมานั้นเร่งตัวขึ้นกว่าเดิม

 

นอกจากนี้ ต่อไปเราอาจเห็นการเคลื่อนย้ายไม่เพียงเงินทุน แต่รวมไปถึง Talent หรือหัวกะทิ มาทำงานในภูมิภาคมากขึ้น และผู้ประกอบการเก่งๆ อาจมาสร้างธุรกิจ สร้างงานใหม่ๆ ในตลาดนี้มากขึ้น

 

โดยประเทศที่เป็น ‘ตาอยู่’ ได้ประโยชน์มากหน่อยก็คือกลุ่มประเทศในอาเซียนรวมทั้งไทยด้วย (Pivot to ASEAN) แต่จะได้ประโยชน์มากน้อยก็คงขึ้นอยู่กับว่าไทยเราพร้อมที่จะตักตวงประโยชน์จากกระแสนี้อย่างเต็มที่แค่ไหน โรงงานที่มาจะใช้ไทยเป็นแค่ ‘เปลือกห่อ’ สินค้าส่งออกไปยังประเทศตะวันตก หรือจะมาพร้อม ‘แก่น’ คือความรู้และเทคโนโลยีที่ไทยเอามาใช้พัฒนาคนและต่อยอดได้

 

ทั้ง 4 ทวิสต์ในยุคทรัมป์ 2.0 ชี้ไปในทางเดียวกันว่าสถานการณ์โลกและอาเซียนอาจเป็นเหมือนตัว J คือจะแย่ลงก่อนในปีหน้าร้าย (อาจ) กลายเป็นดีในระยะยาวหากรู้จักฉกฉวยโอกาส

 

หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์กับการคิดถึงแผนปีหน้ากันครับ

 

ภาพ: Andriy Onufriyenko / Getty Images

อ้างอิง:

The post 4 ‘ทวิสต์ & ทรัมป์’ สำหรับปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Trumponomics 2.0: สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ไทยจะโดนอะไร https://thestandard.co/trumponomics-2-0/ Tue, 26 Nov 2024 12:12:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1013128

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ สู่ทำเนียบขาวในปี 2025 กำลั […]

The post Trumponomics 2.0: สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ไทยจะโดนอะไร appeared first on THE STANDARD.

]]>

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ สู่ทำเนียบขาวในปี 2025 กำลังจะจุดชนวนสงครามการค้าครั้งใหญ่ที่จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยในช่วงที่ผ่านมา การแต่งตั้งทีมเศรษฐกิจชุดใหม่อย่างรวดเร็วของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยหลายฝ่ายมองว่ามีสามปัจจัยที่จะกำหนดอนาคตเศรษฐกิจโลก

 

  1. นโยบายแบบ ‘ทรัมป์’ ที่เน้นการปกป้องผลประโยชน์สหรัฐฯ: ในด้านบวก ทรัมป์ได้แต่งตั้ง อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของ Tesla และ วิเวก รามาสวามี นักธุรกิจรุ่นใหม่ ให้นำทีมปฏิรูประบบราชการผ่านหน่วยงานใหม่ที่เรียกว่า DOGE พร้อมสัญญาว่าจะลดงบประมาณรัฐถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี AI แต่ในทางกลับกัน นโยบายที่น่ากังวลคือการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนถึง 60% และจากประเทศอื่นๆ 10-20% รวมถึงแผนเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานและเงินเฟ้อพุ่งสูง

 

  1. อุปสรรคในทางปฏิบัติที่ต้องเผชิญ: แม้นโยบายจะฟังดูแข็งกร้าว แต่การนำไปปฏิบัติจริงอาจไม่ง่ายนัก การขึ้นภาษีนำเข้าต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งแม้แต่พรรครีพับลิกันเองก็อาจคัดค้าน ขณะที่การเนรเทศผู้อพยพจำนวนมากต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐต่างๆ ซึ่งหลายรัฐอาจปฏิเสธ

 

  1. ปัจจัยด้านบุคลิกภาพของทรัมป์: ทรัมป์เป็นที่รู้จักในเรื่องการตัดสินใจที่ไม่แน่นอนและการให้ความสำคัญกับตลาดหุ้น การดำเนินนโยบายจริงอาจแตกต่างจากที่ประกาศไว้ โดยเฉพาะหากส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน

 

แม้มีความเป็นไปได้ที่นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ยุค 2.0 จะทำได้ไม่เร็ว แต่ความเสี่ยงมีมาก โดยเฉพาะสงครามการค้า เมื่อสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% สูงกว่าประเทศอื่นที่จะถูกเก็บที่ 10-20% ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจทำให้การนำเข้าจากจีนอาจดิ่งลงถึง 85% หากมาตรการนี้มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ โดยในฝั่งของจีน หลายฝ่ายมองว่าจีนพร้อมจะตอบโต้ด้วยการปล่อยค่าเงินหยวนอ่อนค่า ท่ามกลางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวต่อเนื่องกว่า 3 ปี ทำให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจยอมให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงเพื่อช่วยผู้ส่งออก ขณะที่หันไปเน้นการลงทุนในภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้น 9.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 เพื่อรองรับการส่งออกไปยังตลาดอื่นทดแทนสหรัฐฯ

 

เรามองว่าการที่เศรษฐกิจจีนซบเซาในประเทศ ประกอบกับตลาดสหรัฐฯ ที่กำลังจะปิดประตู ทำให้การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของจีนต้องมุ่งเป้าไปที่การส่งออกไปยังประเทศที่สามเช่นไทยมากขึ้น โดยหากพิจารณาจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของไทยที่ขยายตัวดีที่ 3.0% แต่เมื่อพิจารณาไส้ในจะพบว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสขยายตัวดีนั้นมาจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวแรงตามการเบิกจ่ายงบประมาณที่เร่งขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสุทธิเป็นส่วนทำให้ GDP ขยายตัวชะลอจากไตรมาสก่อนจากการนำเข้าที่มากขึ้น โดยการนำเข้าสินค้าที่ขยายตัวดีนั้นส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก คอมพิวเตอร์ หม้อแปลงและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า บ่งชี้การตีตลาดของจีน ซึ่งจะมีมากขึ้นหากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น

 

ในภาพใหญ่ เราจับตาสินค้าต่างๆ ที่จะมีการทำสงครามการค้ารุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเพิ่มการส่งออกจาก 1 ล้านคันในปี 2018 เป็น 5 ล้านคันในปี 2024 ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ทำให้หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการกีดกัน ทั้งสหรัฐฯ ที่เตรียมห้ามใช้ซอฟต์แวร์จีนในรถยนต์ ซึ่งเท่ากับห้ามนำเข้ารถยนต์จีนไปโดยปริยาย แคนาดาที่ตั้งกำแพงภาษี 100% และยุโรปที่กำลังถกเถียงเรื่องการเก็บภาษี 45% แต่เยอรมนีและฮังการีคัดค้านเพราะกลัวจีนตอบโต้ นอกจากนั้นบราซิล ชิลี และเม็กซิโก เพิ่มภาษีเหล็กนำเข้าจากจีน อินโดนีเซียที่ขู่เก็บภาษีสูงถึง 200% ในสินค้าบางหมวด เช่น เซรามิก สิ่งทอ และรองเท้า และมาเลเซียทบทวนมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กจากจีน

 

ในส่วนของไทย การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 19 ด้วยมูลค่า 3.28 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจทำให้ไทยเผชิญความท้าทายในประเด็นเครื่องกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) อย่างน้อย 3 ประการ คือ

 

  1. ปัจจุบันไทยยังคงถูกจัดอยู่ใน Watch List (WL) ในประเด็นการคุ้มครองและการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา โดยสหรัฐฯ กังวลในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ การจำหน่ายสินค้าปลอมแปลง ความล่าช้าในกระบวนการจดสิทธิบัตร และการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ อาจนำประเด็นเหล่านี้มาเล่นงานได้

 

  1. ไทยถูกจัดให้อยู่ในสถานะประเทศที่ต้องจับตาในเกณฑ์ประเทศผู้บิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulator) ของสหรัฐฯ โดยเกณฑ์ดังกล่าวมี 3 ข้อหลัก และประเทศที่ถูกจับตาต้องเข้าเงื่อนไขอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อ ซึ่งในปัจจุบันไทยเข้าเกณฑ์ 2 จาก 3 ข้อ คือมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 32,839 ล้านดอลลาร์ (เกินเกณฑ์ 20,000 ล้านดอลลาร์) และมีการสะสมทุนสำรองเพิ่มขึ้น 25,300 ล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือน (เกินเกณฑ์ 2% ของ GDP) ซึ่งหากเราถูกจัดให้เป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน ไทยอาจถูกบังคับให้ปรับนโยบายการเงินตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่มาตรการกดดันทางการค้าและการลงทุนเพิ่มเติม และ

 

  1. สหรัฐฯ กดดันให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สาร Ractopamine ซึ่งหากเราต้องยอมตาม จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยที่ปัจจุบันมีเกษตรกรรายย่อยกว่า 180,000 ราย มีฟาร์มขนาดกลางถึงใหญ่อีก 20,000 ราย และจะทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ 15-20% ซึ่งสหรัฐฯ อาจใช้ประเด็นนี้เป็นเงื่อนไขในการเจรจาการค้า โดยขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าไทยหากไม่ยอมเปิดตลาด

 

ในส่วนคำแนะนำการลงทุน เรามองว่านักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศและมีลักษณะป้องกันความเสี่ยง (Defensive Growth) เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม การท่องเที่ยว โรงพยาบาล และค้าปลีก ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

 

สำหรับหุ้นที่แนะนำสำหรับไตรมาส 1/25 มี 5 ตัว ดังนี้: ADVANC, AOT, BCH, CPALL และ HMPRO โดยจุดเด่นร่วมของหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ 1. เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ 2. มีลักษณะ Defensive Growth (เติบโตแต่มีความเสี่ยงต่ำ) 3. ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4. มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 5. มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังความเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่อาจกลับมา ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องกลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น

 

โดยสรุป เรามองว่าปี 2025 อาจเป็นปีแห่งโอกาสและความท้าทาย ผู้ลงทุนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง

 

ขอให้นักลงทุนโชคดี

 

หมายเหตุ:

  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

อ้างอิง:

  • ‘CafeInvest’ แหล่งรวมข้อมูลการลงทุน และบทวิเคราะห์คุณภาพ โดย InnovestX: www.innovestX.co.th/cafeinvest
  • ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนักลงทุนกับ InnovestX เปิดบัญชีลงทุน: https://innovestx.onelink.me/23if/u2qmpt6r
  • รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก: https://linktr.ee/InnovestX

The post Trumponomics 2.0: สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ไทยจะโดนอะไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปี 2025 ลูกค้าจะเริ่มล้า ขอหยุดพัก ธุรกิจและแบรนด์สินค้าจะทำอะไรได้บ้าง? https://thestandard.co/business-customer-engagement-2025/ Tue, 26 Nov 2024 11:00:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1013063 ธุรกิจ

ปี 2025 ลูกค้าจะมองหาอะไร?   เหนื่อยแล้ว…ที่ […]

The post ปี 2025 ลูกค้าจะเริ่มล้า ขอหยุดพัก ธุรกิจและแบรนด์สินค้าจะทำอะไรได้บ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจ

ปี 2025 ลูกค้าจะมองหาอะไร?

 

เหนื่อยแล้ว…ที่ผ่านมาต้องวิ่งคว้า Milestone ปีหน้าขอเดินช้าลงเพื่อชื่นชม Minorstone หรือความสำเร็จเล็กๆ ในชีวิตบ้างได้ไหม

 

World Global Style Network หรือ WGSN ผู้นำด้านการวิเคราะห์เทรนด์ระดับโลก คาดการณ์อนาคตผู้บริโภคที่น่าจับตามองในช่วง 18-24 เดือนข้างหน้า โดย The Secret Sauce เลือกหยิบ 4 โปรไฟล์ผู้บริโภคจากรายงาน Future Consumer 2026 มาแบ่งปันให้คนทำแบรนด์และทำสินค้าอ่านใจลูกค้าออก เห็นภาพชัด นำอินไซต์ไปปรับใช้ได้ในทันที

 

🟡 The Gleamers – ผู้แสวงหาความสว่าง


ผู้บริโภคกลุ่มนี้เบื่อกับชีวิตที่เร่งรีบ ต้องการสร้างสมดุลให้กับชีวิตด้วยการเฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ และเรียกมันว่า Minorstone เพราะมองว่านั่นคือ ‘แสงสว่าง’ ในชีวิตที่ควรหยิบมาเชยชมบ้าง พวกเขาหันมาให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของตนเองและสังคมรอบข้าง

 

ไอเดียสำหรับแบรนด์:

 

  • ร่วมฉลองความสำเร็จเล็กๆ ของลูกค้า
  • แสดงออกว่ารับรู้และเข้าใจถึงความเหนื่อยล้า
  • ส่งเสริม Well-being ของลูกค้าและชุมชน

 

🟡 The Autonomists – ผู้เป็นอิสระ

 

กลุ่มนี้มีความเป็นตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ อยากได้ผู้สนับสนุนมากกว่า พวกเขาปฏิเสธบรรทัดฐานแบบเดิมๆ ไม่ชอบทำตามขนบ แต่ก็ยังต้องการคอมมูนิตี้ให้พบปะกับคนที่คิดแบบเดียวกัน

 

แบรนด์สามารถสนับสนุนลูกค้าผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้โดย:

 

  • สื่อสารจริงใจ โปร่งใส และให้เกียรติ
  • เปิดพื้นที่ให้ได้แสดงออก
  • สนับสนุนตัวตนของลูกค้า ไม่ควบคุมหรือโน้มน้าวให้เปลี่ยน

 

🟡 The Imperialists – ผู้แสวงหาความจริง

 

สำหรับกลุ่มนี้ ‘ความจริง’ สำคัญที่สุด ไม่อยากฟังเรื่องเล่าที่สวยหรู แค่ต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสินค้า พวกเขาจะตรงๆ และพร้อมให้โอกาสแม้แบรนด์จะทำผิดพลาด ตราบใดที่แบรนด์กล้ายอมรับผิดและแสดงออกด้วยความจริงใจ

 

ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะชื่นชอบ:

 

  • การตลาดที่โปร่งใสและเน้นความจริง
  • ฉลากที่ให้ข้อมูลห่วงโซ่อุปทานโดยละเอียด
  • การสื่อสารที่ชัดเจน ตรงๆ ไม่ประดิษฐ์หรือบิดคำพูด

 

🟡 The Synergists – ผู้ประสานประโยชน์

 

กลุ่มนี้เปรียบเสมือน Cyborg รักในนวัตกรรม แต่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ เชื่อใน Human-First Technology เทคโนโลยีต้องเท่าเทียมและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

 

สิ่งที่แบรนด์ควรทำเพื่อมัดใจผู้บริโภคกลุ่มนี้:

 

  • ลงทุนใน R&D สร้างนวัตกรรมอย่างรับผิดชอบ
  • สื่อสารให้รู้ว่าแบรนด์ช่วยอะไรโลกบ้าง
  • ร่วมมือกับภาคส่วนที่หลากหลาย เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือจัดการกับปัญหาของโลก

The post ปี 2025 ลูกค้าจะเริ่มล้า ขอหยุดพัก ธุรกิจและแบรนด์สินค้าจะทำอะไรได้บ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ซาลาห์ vs. Moneyball สัญญาใหม่ต่อไม่ได้ ไม่อยากต่อ หรือรออะไรอยู่? https://thestandard.co/opinion-salah-vs-moneyball-new-contract-issues/ Tue, 26 Nov 2024 05:11:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1012764

ภาพการหยุดยืนเพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อของ โม ซาลาห์ ที่บร […]

The post ซาลาห์ vs. Moneyball สัญญาใหม่ต่อไม่ได้ ไม่อยากต่อ หรือรออะไรอยู่? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ภาพการหยุดยืนเพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อของ โม ซาลาห์ ที่บริเวณ Mixed Zone พร้อมตอบคำถามเรื่องเกี่ยวกับอนาคตและสัญญาการเล่นของตัวเองที่ไร้ความคืบหน้าใดๆ ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ

 

แต่เป็นความจงใจของซูเปอร์สตาร์ชาวอียิปต์ที่ต้องการเล่นเกมกับสโมสรโดยอาศัยความรู้สึกของแฟนฟุตบอลลิเวอร์พูลเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างแรงกดดันให้เกิดขึ้นกับฝ่ายบริหารของสโมสร ที่อีกด้านหนึ่งก็มีการยืนยันจากแหล่งข่าวว่ากำลังเปิดฉากเจรจากับ รามี อับบาส อยู่

 

และที่สำคัญการเจรจาที่ผ่านมาดำเนินไปด้วยดี

 

คำถามคือซาลาห์เลือกจะทำแบบนี้ทำไม?

 

ปกติแล้วซาลาห์เป็นผู้เล่นที่เก็บตัว น้อยครั้งมากและยากยิ่งที่จะยอมเปิดใจให้สัมภาษณ์กับสื่อ

 

แต่นับตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2024/25 เป็นต้นมา ซูเปอร์สตาร์ของทีมลิเวอร์พูลในวัย 32 ปี ออกมาส่งสัญญาณถึงเรื่องอนาคตในการเล่นของตัวเองอย่างน้อย 3 ครั้งแล้ว

 

ครั้งแรกหากยังจำกันได้เกิดขึ้นหลังเกม ‘แดงเดือด’ ที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 3-0 ซาลาห์ซึ่งเป็นผู้ทำประตูปิดท้ายในเกมนั้นและเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งเกมทำให้ทุกคนตะลึงกับคำพูดของเขา

 

“นี่เป็นฤดูกาลสุดท้ายของผมที่ลิเวอร์พูล และผมอยากจะมีความสุขไปกับมัน” 

 

ก่อนจะตัดพ้ออีกนิดเป็นการส่งท้ายว่า “ไม่มีใครที่สโมสรคุยกับผมเรื่องสัญญาใหม่เลย มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมแล้ว มันขึ้นอยู่กับสโมสร”

 

สารนี้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วในเวลานั้นเพราะลิเวอร์พูลกำลังเปิดฉากฤดูกาลใหม่ได้อย่างสวยงาม ตัวของเขาเองก็อยู่ในฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม สภาพร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำนอกจากยากที่จะเอาลงแล้ว ความเร็วของเขายังคงจัดจ้านเหมือนเดิมหรืออาจจะดีกว่า 1-2 ฤดูกาลที่ผ่านมาด้วย ซึ่งเป็นผลตอบแทนของการดูแลสภาพร่างกายและจิตใจเป็นอย่างดี

 

ครั้งต่อมาเกิดขึ้นหลังเกมที่เหนื่อยยากของลิเวอร์พูลที่เฉือนเอาชนะไบรท์ตันแอนด์​ โฮฟอัลเบียนได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซาลาห์จู่ๆ ก็โพสต์ข้อความบอกเป็นนัย

 

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะไม่มีวันลืมความรู้สึกของการได้ทำประตูในแอนฟิลด์” ประหนึ่งเป็นข้อความบอกรักและบอกลาทุกคนในเกมสุดท้ายของฤดูกาล

 

 

ข้อความนี้ทำให้ในเกมถัดมาที่แอนฟิลด์เราเห็นป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่ทำขึ้นเพื่อสนับสนุนนักเตะที่แฟนๆ บูชาว่าเป็น The Egyptian King เจ้าของเพลง Mo Salah Running down the Wing

 

ข้อความนั้นบอกว่า “He fires the bow – now give him his dough” 

 

Bow ในที่นี้หมายถึงหนึ่งในท่าฉลองประตูของซาลาห์ในช่วงหลังที่เป็นทำเหมือนดึงลูกธนูจากด้านหลังก่อนจะง้างคันศรยิงไปสู่กองเชียร์ทุกคน ซึ่งที่มาที่ไปของท่านี้เป็นการเลียนแบบท่าฉลองชัยชนะของ อิสราเอล อเดซานยา นักสู้ UFC ที่เห็นท่านี้แล้วรู้สึกชอบ

 

ส่วน Dough นั้นมีความหมายถึง ‘เงิน’ นั่นเอง

 

ป้ายผ้าผืนนี้จึงเป็นการขอร้องวิงวอนแทนจากแฟนบอลว่าซาลาห์ยิงกระฉูดขนาดนี้ ให้ค่าตอบแทนที่เขาต้องการเถอะ

 

แต่ถึงกระนั้นเรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้า

 

นั่นทำให้เจ้าตัวออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังเกมที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะเซาแธมป์ตันได้อย่างสุดมันที่เซนต์แมรี ซึ่งเขาทำ 2 ประตูสำคัญช่วยให้ทีมพลิกสถานการณ์กลับมาคว้า 3 คะแนนเต็มได้

 

การสัมภาษณ์เกิดขึ้นที่บริเวณ Mixed Zone ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นักข่าวจะมาดักรอให้สัมภาษณ์นักฟุตบอลที่ปกติแล้วไม่ใช่ทุกครั้งหรือทุกวันจะแวะมาพูดคุยด้วย ยกเว้นจะมีประเด็นหรือสิ่งที่อยากสื่อสารออกมา

 

โดยเฉพาะกับซาลาห์ที่แทบไม่เคยหยุดให้สัมภาษณ์เลย ตลอด 7 ปีครึ่งที่ผ่านมาเคยหยุดให้สัมภาษณ์แค่ 2 ครั้งเท่านั้น

 

แต่ครั้งนี้ซาลาห์หยุด! เพื่อพูดคุยกับ เจมส์​ เพียร์ซ นักข่าวคนดังของ The Athletic ที่แฟนลิเวอร์พูลรู้จักกันเป็นอย่างดี (ซึ่งเพียร์ซบอกว่าเคยพยายามเรียกให้โมหยุดมาเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่นี่เป็นเพียงครั้งที่ 3 ที่หยุดคุยด้วย) และตอบคำถามแบบชัดเจนไม่มีอ้อมค้อมจนน่าตกใจ

 

“นี่ก็จะเข้าเดือนธันวาคมแล้ว ผมยังไม่ได้รับข้อเสนออะไรจากสโมสรเลย ดูแล้วผมน่าจะไปมากกว่าอยู่” 

 

นอกจากนี้ยังตอบชัดถึงความรู้สึกตอนนี้ที่ยังไม่ได้รับข้อเสนอเลยว่า “ผมก็ผิดหวังแต่ต้องรอดูกัน”

 

 

คำถามว่าซาลาห์ทำแบบนี้ทำไม? ตอบได้ไม่ยากอยู่แล้ว

 

นี่คือ PR Battle เป็นการเดินเกมเพื่อกดดันสโมสรให้เร่งดำเนินการในการต่อสัญญา ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเลือกจะใช้วิธีแบบนี้ เพราะในช่วงของการเจรจาต่อสัญญาครั้งล่าสุดก็เคยออกมาสื่อสารในลักษณะแบบนี้เช่นเดียวกัน

 

ในด้านหนึ่งการออกมาพูดขนาดนี้ของซาลาห์ได้รับการขานรับจากแฟนเดอะค็อปทั่วโลกที่เร่งเร้าให้สโมสรรีบจัดการต่อสัญญากับซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 คนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุด เพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าซาลาห์ในวัย 32 ปี ยังเป็นผู้เล่นหมายเลข 1 ของสโมสรที่เป็นฮีโร่ของทีมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

 

ความสม่ำเสมอของมาตรฐานการเล่นในระดับสูงของเขาเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่ใช่จะพบเจอได้ง่ายนัก

 

ถ้าไม่เก็บซาลาห์ไว้จะไปหาใครมาแทนที่? ถึงแม้ว่าแนวรุกคนอื่นของทีมตอนนี้จะดูดีไม่น้อย แต่เมื่อมองไปที่ หลุยส์ ดิอาซ, ดีโอโก โชตา, โคดี กักโป, ดาร์วิน นูนเญซ หรือ เฟเดริโก เคียซ่า ไม่มีใครที่เล่นได้สม่ำเสมอในระดับเดียวกับนักเตะหมายเลข 11 

 

และคุณค่าของซาลาห์ไม่ได้มีแค่เรื่องของในสนาม

 

ความเป็นฮีโร่ เป็นนักเตะในระดับไอคอนของเขาเป็นต้นแบบที่ดีของทุกคน เป็นนักเตะที่ดาวรุ่งในสโมสรเฝ้ามองเป็นแบบอย่าง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะซื้อหาใครเข้ามาแล้วทดแทนกันได้

 

มันต้องเกิดจากการที่ต้องพิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่ยอมรับ

 

สำหรับซาลาห์แล้วเขามาไกลกว่าการเป็น ‘นักเตะผู้มหัศจรรย์ฤดูกาลเดียว’ (One Season Wonder) 

 

เพราะนี่คือ ‘นักเตะผู้มหัศจรรย์ทุกฤดูกาล’ (Every Season Wonder)

 

แรงกดดันตอนนี้จึงตกอยู่กับฝ่ายบริหารของสโมสร ซึ่งนำโดย ริชาร์ด ฮิวจ์ส ในฐานะผู้อำนวยการของลิเวอร์พูล และ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ซีอีโอฟุตบอลของกลุ่ม Fenway Sports Group เจ้าของสโมสร

 

ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม กฎข้อแรกสำหรับการบริหารกิจการใดๆ คือการห้ามนำความรู้สึกส่วนตัวเข้ามามีเหตุผลต่อการตัดสินใจ

 

โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อองค์กรอย่างเรื่องของการต่อสัญญากับซาลาห์

 

การต่อสัญญาของนักเตะในระดับนี้ปกติก็ไม่เคยเป็นเรื่องที่ง่ายอยู่แล้ว เพราะมันไม่ได้จบแค่เรื่องของตัวเลขค่าตอบแทนที่จะได้รับในแต่ละสัปดาห์ แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายที่สามารถเจรจากันได้ไม่รู้จบ เช่น เรื่องเงินโบนัสพิเศษที่คุยกันได้ตั้งแต่การลงสนามตัวจริง การลงสนามตัวสำรอง การลงสนามในรายการใหญ่ การทำประตู การทำแอสซิสต์ ไปจนถึงเป้าหมายจำนวนประตูที่ต้องการ 

 

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ (Image Rights) ที่เป็นเรื่องยากสำหรับการหาข้อตกลงที่ลงตัวระหว่างผู้เล่นระดับสตาร์กับสโมสรที่จะไม่จบง่ายๆ ด้วยการแบ่งกัน 50-50 เสมอไป

 

 

สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการเจรจา ที่ไม่สะดวกเหมือนตอนเล่นเกม Football Manager ที่แค่เลือกชอยส์คำตอบ เคาะตัวเลขที่ต้องการแน่

 

สิ่งที่ยากที่สุดคือลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีแนวทางการบริหารกิจการในแบบ ‘Moneyball’

 

การจะเซ็นสัญญากับผู้เล่นคนไหนจะต้องมีการนำสถิติตัวเลขและข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ทั้งหมดเพื่อดูว่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่สำหรับสโมสร 

 

จำนวนเกมที่ลงสนามในแต่ละฤดูกาล ผลงานที่ทำได้ จำนวนประตู/แอสซิสต์ ระยะทางในการวิ่ง อาการบาดเจ็บ ไปจนถึงเรื่องรายละเอียดยิบย่อยอย่างมวลร่างกาย และสิ่งที่ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้อย่างปัญหาสุขภาพ สุขภาพจิต ความเข้ากันได้กับเพื่อน อิทธิพลที่มีต่อทีม ความสัมพันธ์กับโค้ช ความประพฤติ แนวโน้มในอนาคต

 

สำหรับซาลาห์มีการประเมินคร่าวๆ ว่าหากสโมสรต่อสัญญาให้ตามมูลค่าที่สะท้อนถึง ‘คุณค่า’ ที่ผู้เล่นต้องการ ซึ่งจะเป็นระดับสูงที่สุดของพรีเมียร์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัยนั้น จะทำให้ลิเวอร์พูลต้องจ่ายให้กับซาลาห์ราวปีละ 20 ล้านปอนด์

 

ถ้าเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ทีมอื่นการต่อสัญญากับนักฟุตบอลผู้ไม่อาจหาใครทดแทนได้แบบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องคุยกันยาก

 

แต่สำหรับสโมสรอย่างลิเวอร์พูลที่บริหารการเงินแบบมีวินัยไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินมหาศาลแบบใครเขา และไม่ต้องกู้ยืมเงินหรืออาศัยทุนจากเจ้าของเข้ามาโปะ การจะจ่ายเงินมากขนาดนี้ให้กับผู้เล่นในวัย 32 ปีที่จะเป็นช่วงขาลงของชีวิตเป็นเรื่องที่ขัดต่อความเชื่อและแนวทางของสโมสรเป็นอย่างยิ่ง

 

นั่นจึงทำให้การเจรจายักแย่ยักยัน ไม่มีบทสรุปที่สวยงามจนถึงตอนนี้

 

และทุกอย่างมันยิ่งยากขึ้นไปอีกเพราะไม่ใช่แค่ซาลาห์คนเดียว แต่ลิเวอร์พูลยังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กัปตันทีมที่เป็นเสาหลักของแนวรับ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ Local Lad ที่เป็นฮีโร่ของชาวเมืองที่ทุกคนคาดหวังว่าจะอยู่ในแอนฟิลด์ไปตลอดชีวิตการเล่น

 

หากมองตามพื้นฐานของ Moneyball แล้ว คนเดียวที่ลิเวอร์พูลควรจะต่อสัญญาก่อนแบบไม่คิดคือ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่อายุแค่ 26 ปี การต่อสัญญายาว 4-5 ปีเป็นเรื่องที่สามารถทำได้

 

ขณะที่ซาลาห์ (32) และฟาน ไดจ์ค (33) ไม่มีใครตอบได้ว่าวันนี้เล่นดีอยู่ แต่วันข้างหน้าในอีก 1-2 ฤดูกาลจะเป็นอย่างไร?

 

อย่าลืมว่าลิเวอร์พูลเคยผิดและพลาดมาเหมือนกันในกรณีของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อดีตกัปตันทีมที่ เจอร์เกน คล็อปป์ อดีตผู้จัดการทีมแทรกแซงการทำงานของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ด้วยการขอให้ต่อสัญญาใหม่ออกไปเพราะคิดว่าผู้นำของทีมควรได้รับผลตอบแทนจากการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

 

การใช้ ‘ความรู้สึก’ นำเหตุผลครั้งนั้นจบลงที่เฮนเดอร์สัน ผลงานตกลงอย่างน่าใจหายในเวลาไม่นานและสุดท้ายต้องย้ายไปซาอุดีอาระเบีย ก่อนระเห็จมาอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

 

 

นี่คือสิ่งที่สโมสรต้องชั่งน้ำหนัก โดยที่ไม่อาจนำความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยได้

 

ดังนั้นไม่ว่าซาลาห์จะพยายามกดดันสโมสรด้วยการใช้แฟนฟุตบอลเป็นเครื่องมือ – ซึ่ง เจมี คาร์ราเกอร์ ตำนานของสโมสรออกมาโจมตีว่าเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวเกินไป เพราะทีมกำลังทำได้ดี การออกมาพูดแบบนี้จะสั่นคลอนเพื่อนก่อนเกมใหญ่กับเรอัล มาดริด และแมนฯ ซิตี้ได้

 

ลิเวอร์พูลจะตัดสินใจเรื่องสัญญาของเขาตามหลักเกณฑ์และแนวทาง Moneyball โดยไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดเหมือนกรณีของเฮนเดอร์สัน (หรือที่เคยเกิดกับสโมสรอื่น เช่น อาร์เซนอล กับกรณี เมซุต โอซิล และ ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง

 

สิ่งที่จะทำให้ซาลาห์ได้รับในสิ่งที่เขาต้องการคือผลงานในสนาม และการพิสูจน์ของเขาเองว่าปัจจุบันนี้นักฟุตบอลสามารถยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น ‘Longevity’ ในเกมฟุตบอลเป็นไปได้หากนักเตะดูแลรักษาสภาพร่างกายได้เพียงพอ

 

ถ้าถามตามสิ่งที่เห็นแล้วซาลาห์ก็สมควรจะได้รับสัญญาฉบับใหม่ แล้วก็มีโอกาสที่เรื่องจะจบแบบ Happy Ending เหมือนครั้งก่อนที่อัดคลิปวิดีโอสั้นๆ ว่า ‘Mo Stay’

 

แต่ถ้าลิเวอร์พูลมองว่า ‘ไม่คุ้ม’ และมี ‘เป้าหมายใหม่’ ที่เป็นนักเตะที่หนุ่มกว่า สดกว่า มีอนาคตมากกว่าแล้ว ต่อให้แฟนบอลจะรักและเทิดทูนซาลาห์แค่ไหนก็ต้องทำใจและทำความเข้าใจที่ ‘Mo จะ Go’

 

เพราะไม่มีนักฟุตบอลคนใดอยู่ค้ำฟ้า

 

ทุกคนมาแล้วก็ไป

The post ซาลาห์ vs. Moneyball สัญญาใหม่ต่อไม่ได้ ไม่อยากต่อ หรือรออะไรอยู่? appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อ https://thestandard.co/opinion-liquidity-loans-5-facts/ Tue, 26 Nov 2024 04:16:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1012704

ช่วงหลังผมเจอคำถามบ่อยขึ้นว่า การที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อ […]

The post 5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ช่วงหลังผมเจอคำถามบ่อยขึ้นว่า การที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อลดลงมาจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ‘ดูดสภาพคล่อง’ ออกจากระบบมากเกินไปหรือไม่ เพราะถ้าคิดง่ายๆ ว่าเมื่อสภาพคล่องในระบบการเงินต่ำลง สภาพคล่องในระบบธนาคารก็น่าจะตึงตัวไปด้วย ทำให้ปล่อยสินเชื่อได้น้อยลง (เปรียบง่ายๆ เหมือนสภาพคล่องในระบบการเงินเป็นน้ำที่ ธปท. ดูดหรือปล่อยผ่านภาคธนาคาร และส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจ) ซึ่งธนาคารพาณิชย์เองก็ไม่อยากปล่อยสินเชื่อเพราะจะเอาเงินมาฝาก ธปท. เพื่อรับดอกเบี้ย ตรรกะสองเรื่องนี้ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลอยู่ ทำให้คนฟังคล้อยตามง่าย แต่ในความเป็นจริงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง ผมจึงขอใช้โอกาสนี้อธิบายข้อเท็จจริง 5 ประการ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการดูดปล่อยสภาพคล่องของ ธปท. และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ 

 

ข้อเท็จจริงที่ 1: ระบบธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่มากตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนจากตัวเลขยอดเงินฝากและเงินลงทุนของธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ที่ ธปท. ในช่วงที่ผ่านมา สูงถึง 4-5 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างนิ่ง ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงมาก และการเปลี่ยนแปลงที่พอจะเห็นนี้ หลักๆ ก็มาจากการดูดหรือปล่อยสภาพคล่องของ ธปท. จากผลของการเข้าดูแลความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
 

 

จากตัวเลขที่เห็น การที่ ธปท. ต้องดูดสภาพคล่องจากระบบธนาคารพาณิชย์จำนวนมาก สะท้อนว่าภาคธนาคารมีสภาพคล่องระยะสั้นจำนวนมากและเพียงพอ ซึ่งแปลว่าไม่ได้ขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อให้ประชาชน แต่เป็นเหตุผลอื่นที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์เลือกที่จะไม่ปล่อยสินเชื่อ

 

ข้อเท็จจริงที่ 2: แบงก์ชาติไม่ได้กำหนดปริมาณการดูดซับสภาพคล่องในแต่ละวัน แต่เป็นธนาคารพาณิชย์ที่จะบริหารจัดการสภาพคล่องในแต่ละวัน และนำสภาพคล่องส่วนเกินมาฝากกับ ธปท. ตามความเหมาะสมของธนาคารแต่ละแห่ง โดยจะเห็นได้ว่าธุรกรรมที่ธนาคารพาณิชย์ทำกับ ธปท. เกือบทั้งหมด (42.4%) เป็นธุรกรรมระยะสั้น ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนต่ำ ซึ่งแปลว่าหากธนาคารพาณิชย์ต้องการใช้สภาพคล่องนั้น ก็สามารถมาถอนออกไปได้ในระยะเวลาไม่นาน

 

จากข้อเท็จจริงที่ 1 และ 2 จึงบอกได้ว่า การดูดซับสภาพคล่องของ ธปท. ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถ้าไปดูข้อมูลย้อนหลังจะเห็นได้ชัดเจนว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับยอดเงินฝากและยอดเงินลงทุนของธนาคารพาณิชย์ที่ไว้กับ ธปท.

 

ข้อเท็จจริงที่ 3: แบงก์ชาติไม่ต้องดูดหรือปล่อยสภาพคล่องเพิ่มเติม เมื่อมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลายท่านที่ถามผมมักคิดว่าเมื่อ ธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จำเป็นต้องมีการดูดหรือปล่อยสภาพคล่อง เพื่อดูแลปริมาณเงินในระบบให้เหมาะสม เช่น ถ้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. ต้องดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบเพิ่มขึ้น เพื่อลดอุปทานของสภาพคล่องและทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับสูงขึ้น แต่ในความเป็นจริง ธปท. ไม่ต้องปรับการดูดสภาพคล่อง เนื่องจากตลาดมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำธุรกรรมกับ ธปท. ได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินอยู่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดย ธปท. ไม่จำเป็นต้องปรับสภาพคล่องในระบบ (หากท่านสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ผมขอแนะนำบทความ FAQ ที่ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส เคยอธิบายไว้เมื่อปี 2554) 

 

ข้อเท็จจริงที่ 4: การตัดสินใจปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขึ้นอยู่กับ 1) ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ หากลูกหนี้มีภาระหนี้สูง หรือธุรกิจมีความเสี่ยงด้านเครดิตมากขึ้น โอกาสที่จะชำระคืนหนี้ได้ครบก็จะลดลง ซึ่งธนาคารอาจประเมินว่ารายได้จากดอกเบี้ยอาจไม่คุ้ม เมื่อเทียบกับความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะมีต้นทุนต่างๆ ในการดำเนินการตามมา รวมถึงกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย และ 2) ระดับความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์ยอมรับได้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามแนวโน้มการดำเนินธุรกิจ สภาวะทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของแต่ละธนาคาร เช่น ในช่วงที่หนี้ครัวเรือนสูงและคุณภาพสินเชื่อด้อยลง ธนาคารอาจระมัดระวังการปล่อยกู้แก่ภาคครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง

 

ทั้งนี้ ในบทบาทของแบงก์ชาติ การแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะ SMEs จำเป็นต้องมีแนวทางที่ช่วยเหลือลูกหนี้ให้ตรงจุดและยั่งยืน ซึ่งแบงก์ชาติและกระทรวงการคลังทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยระยะสั้นได้ผลักดันให้มีกลไกการลดความเสี่ยงของลูกหนี้ ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS (Portfolio Guarantee Scheme) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่จะเน้นช่วยกลุ่มเปราะบาง และผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระ และผู้ประกอบการใหม่ ขณะที่ระยะยาว อยู่ระหว่างผลักดันให้จัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (National Credit Guarantee Agency: NaCGA) เพื่อยกระดับให้กลไกการค้ำประกันของภาครัฐมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่การให้บริการค้ำประกัน ให้ความรู้และคำปรึกษาทางการเงินแก่ทั้งภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลความเสี่ยงด้านเครดิต ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น และลดต้นทุนทางการเงิน นอกจากนี้ โครงการ Your Data ก็จะช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิต ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลของภาคธุรกิจและประชาชนไปยังผู้ให้บริการต่างๆ เพื่อประเมินสถานะและพฤติกรรมทางการเงินได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น

 

ข้อเท็จจริงที่ 5: แบงก์ชาติไม่มีการปรับเกณฑ์การกำกับด้านสินเชื่อให้เข้มขึ้น ช่วงที่ผ่านมา ธปท. ไม่มีการปรับเพิ่มความเข้มงวดของหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลด้านสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพียงระบุว่า ธนาคารจะต้องพิจารณากำหนดค่างวดให้เหมาะสมกับการดำรงชีพของลูกหนี้ ให้ลูกหนี้มีเงินเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพ แต่ในอีกหลายประเด็น เช่น การกำหนดอัตราส่วนการผ่อนชำระต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) การกำหนด Credit Scoring ขั้นต่ำในการปล่อยสินเชื่อ การกำหนดตัวเลขรายได้คงเหลือขั้นต่ำหลังหักภาระผ่อนชำระ การห้ามปล่อยสินเชื่อแก่คนหรือลูกหนี้ธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ และการกำหนดวงเงินดาวน์รถขั้นต่ำนั้น ธปท. ยังไม่ได้ปรับเพิ่มหรือนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาใช้แต่อย่างใด

 

อย่างไรก็ดี หลักเกณฑ์ Responsible Lending มีการปรับเพิ่มการคุ้มครองสิทธิแก่ประชาชนให้เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะการโฆษณาและให้ข้อมูลที่ถูกต้องก่อนการกู้ยืม การช่วยเหลือกลุ่ม Persistent Debt และการกำหนดให้ธนาคารต้องนำเสนอการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่ประชาชนก่อนการเป็นหนี้เสีย 1 ครั้ง และหลังเป็นหนี้เสียอีก 1 ครั้ง ก่อนการโอนขายหนี้หรือดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาให้แก่ลูกหนี้ได้อย่างทันท่วงที (ท่านที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ในหนังสือเวียนที่ ธปท. ส่งถึงสถาบันการเงิน) 

 

*บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด

The post 5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพคล่องและการปล่อยสินเชื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN https://thestandard.co/opinion-long-us-long-mag7/ Mon, 25 Nov 2024 11:23:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1012611

ชัยชนะของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตกเป็นของพรรครีพับลิกันและ […]

The post LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชัยชนะของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตกเป็นของพรรครีพับลิกันและ โดนัลด์ ทรัมป์ ใช่แล้วครับ ทรัมป์…เขาคนนั้นจะกลับมาพร้อมกับระลอกใหม่ของสงครามการค้า กำแพงภาษี นโยบายแรงงาน และความผันผวนจากการโพสต์ผ่าน X 

 

ในบทความนี้ผมจึงอยากชวนคุยในประเด็นนโยบายของทรัมป์ เพื่อให้นักลงทุนเห็นถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 พร้อมกับการปรับพอร์ตสินทรัพย์การลงทุนกันครับ

 

นโยบายการคลังของทรัมป์เป็นไปได้สูงว่าจะยังคงดำเนินมาตรการคงหรือลดภาษีนิติบุคคลที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2017 หรือกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) และอาจปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% เพิ่มเติมอีกด้วย

 

‘นโยบายการค้า’ ของทรัมป์จะจัดเก็บภาษีนำเข้า 10-20% กับทุกประเทศทั่วโลก และภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจากจีน

 

‘นโยบายแรงงาน’ ของทรัมป์ยังคงความชาตินิยมและสนับสนุน America First โดยจะกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการให้สัญชาติอเมริกัน 

 

‘นโยบายพลังงาน’ ของทรัมป์ จากความเชื่อในเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งอาจนำไปสู่การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซภายในสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงแนวโน้มการยกเลิก Inflation Reduction Act (IRA) ของ โจ ไบเดน ที่โฟกัสพลังงานสะอาดหรือข้อตกลงปารีส

 

‘นโยบายการเงิน’ ของทรัมป์จะส่งเสริมสกุลเงินดิจิทัลในทุกด้าน ทั้งการทำให้สหรัฐฯ เป็น ‘เมืองหลวงของโลกด้าน Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี’ และข้อเสนอให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin 1 ล้าน BTC เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Reserves) รวมถึงประเด็นที่ทรัมป์เคยหาเสียงเอาไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ คนปัจจุบัน หรือเปลี่ยนตัว เจอโรม พาวเวลล์

 

‘นโยบายด้านความมั่นคง’ ของทรัมป์แสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องสันติ ซึ่งอาจนำไปสู่การสนับสนุนให้มีการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และโน้มน้าวอิสราเอลให้สงบศึกกับฮามาส

 

นโยบายอื่นๆ ของทรัมป์ เช่น สนับสนุนสิทธิในการพกอาวุธ การไม่ลงนามในกฎหมายห้ามทำแท้ง และแต่ละรัฐควรกำหนดนโยบายการทำแท้งของตนเอง 

 

ผลกระทบต่อการลงทุนที่ผมมองเห็นอย่างชัดเจนมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่

 

ประการที่ 1 คือ กำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์จะเติบโตต่อ จากมาตรการช่วยเหลือการลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศอื่นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ โดยตลาดคาดการณ์ว่าทุกการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง 1% กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Russell 2000 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.0-1.5% รวมถึง S&P 500 และ Nasdaq ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.4-1.0%

 

ประการที่ 2 คือ น้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดหมีในขณะที่เงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้ ทั้งการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตหรืออุปทานของน้ำมันโลกก็เยอะมากอยู่แล้ว รวมไปถึงการเจรจาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ หากสำเร็จราคาน้ำมันดิบคงไม่สวยแน่สำหรับปี 2025

 

ประการที่ 3 คือ ความผันผวนคือสิ่งที่แน่นอนในปี 2025 แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลง แต่นั่นไม่อาจทำให้เงินเฟ้อลดลงตาม เพราะราคาสินค้าและบริการจะแพงขึ้นทั่วโลก รวมถึงมาตรการแรงงานที่เน้นคนอเมริกัน เราอาจจะเห็นเงินเฟ้อจากที่ส่งผ่านค่าแรงอีกระลอกก็เป็นได้ ด้วยความคลุมเครือนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงยังต้อง ‘Data Dependent’ กันต่ออีกปี รวมถึงความเสี่ยงเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ

 

ผมจึงอยากนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนกองทุน SSF RMF ต้อนรับปี 2025 กันครับ การลงทุนในสหรัฐฯ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBRS2000(SSF) ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ตามดัชนี Russell 2000 และสำหรับ RMF ผมแนะนำ KUS500XRMF ซึ่งลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ตามดัชนี S&P 500 (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน)

 

ส่วนการลงทุนในคริปโตและหุ้นเทคโนโลยี สำหรับ SSF ผมแนะนำ TNEXTGEN-SSF ซึ่งลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีม Next Generation Internet และสำหรับ RMF ผมแนะนำ TISCONEXTGENRMF-A

 

การลงทุนป้องกันเงินเฟ้อ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBGOLDH-SSF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) และสำหรับ RMF ผมแนะนำ SCBGOLDHRMF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) เพราะเงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้

 

อย่าลืมปรับพอร์ตการลงทุนรับปี 2025 และลดหย่อนภาษีกันนะครับ 

 

นโยบายของทรัมป์และผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ 

 

อ้างอิง: 

  • CGS International, CGSI Estimates, CGSI Macro & Wealth Research, CGSI Quantitative Team, Bloomberg)

The post LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN appeared first on THE STANDARD.

]]>
ซีอีโอชั้นนำรับมือกับความผันผวนทั่วโลกด้วยการทุ่มเทให้กับ AI และบุคลากร https://thestandard.co/opinion-ceo-global-ai-people/ Mon, 25 Nov 2024 07:26:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1012509

KPMG CEO Outlook ฉบับล่าสุด ซึ่งเผยแพร่โดยเคพีเอ็มจี อิ […]

The post ซีอีโอชั้นนำรับมือกับความผันผวนทั่วโลกด้วยการทุ่มเทให้กับ AI และบุคลากร appeared first on THE STANDARD.

]]>

KPMG CEO Outlook ฉบับล่าสุด ซึ่งเผยแพร่โดยเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล มีหลายประเด็นสำคัญที่ผมคิดว่าน่าจับตามอง

 

จากผลการสำรวจ CEO Outlook ของเคพีเอ็มจีชี้ว่า มีเพียงร้อยละ 72 ของซีอีโอที่มั่นใจในทิศทางเศรษฐกิจโลกในอีกสามปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เมื่อมองย้อนกลับไปดูข้อมูลในปี 2558 จะพบว่าซีอีโอมีความมั่นใจสูงถึงร้อยละ 93

 

ตัวเลขที่ลดลงอย่างมากนี้เป็นผลกระทบจากความท้าทายทางธุรกิจหลายประการที่ซีอีโอต้องเผชิญตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ความท้าทายด้านห่วงโซ่อุปทานและปัญหาในการดำเนินงานได้กลายมาเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดในปีนี้ แซงหน้าความปลอดภัยทางไซเบอร์และความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในปีที่ผ่านมา

 

ปี 2567 เป็นอีกหนึ่งปีที่มีทั้งความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจที่ภาคเศรษฐกิจต้องคำนึงถึงในหลายประเด็น มุมมองของผู้นำองค์กรต่อประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางสำคัญของโลกธุรกิจในอนาคต ผมจึงอยากหยิบยกข้อมูลที่น่าสนใจจากผลสำรวจ KPMG CEO Outlook ฉบับล่าสุด ซึ่งเผยแพร่โดยเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล มาแบ่งปันกับทุกท่าน เพื่อให้ท่านได้เห็นถึงแนวคิดของซีอีโอจากบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์โลก ซึ่งมีหลายประเด็นสำคัญที่ผมคิดว่าน่าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของธุรกิจในอีกสามปีข้างหน้า เพื่อให้ทุกท่านได้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและตัวแปรต่างๆ ในโลกธุรกิจแห่งอนาคต

 

สิบปีของการสำรวจซีอีโอทั่วโลกกับความท้าทายที่เปลี่ยนไป

 

จากผลการสำรวจ CEO Outlook ของเคพีเอ็มจีชี้ว่า มีเพียงร้อยละ 72 ของซีอีโอที่มั่นใจในทิศทางเศรษฐกิจโลกในอีกสามปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับช่วงสองปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 71 ในปี 2565 และร้อยละ 73 ในปี 2566) แต่เมื่อมองย้อนกลับไปดูข้อมูลในปี 2558 จะพบว่าซีอีโอมีความมั่นใจสูงถึงร้อยละ 93 ตัวเลขที่ลดลงอย่างมากนี้เป็นผลกระทบจากความท้าทายทางธุรกิจหลายประการที่ซีอีโอต้องเผชิญตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ความท้าทายด้านห่วงโซ่อุปทานและปัญหาในการดำเนินงานได้กลายมาเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดในปีนี้ แซงหน้าความปลอดภัยทางไซเบอร์ และความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในปีที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่าซีอีโอถึงร้อยละ 72 รู้สึกกดดันมากกว่าปีก่อนหน้าในการรับประกันความสำเร็จในระยะยาวของธุรกิจ เพื่อรับมือกับแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ผมมีความเห็นว่าซีอีโอต้องหาวิธีสร้างความเชื่อมั่นโดยการเร่งการเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มการลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี การให้ความสำคัญกับบุคลากร และการให้คำมั่นในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เพื่อเป็นการสร้างคุณค่าให้แก่องค์กร

 

ความมุ่งมั่นในการลงทุนในเทคโนโลยี AI

 

เมื่อพูดถึงเทรนด์ธุรกิจแห่งอนาคต แน่นอนครับว่าการนำ AI (Artificial Intelligence) มาใช้ในการดำเนินงานเป็นประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองในทุกภาคเศรษฐกิจ และผลการสำรวจ CEO Outlook เองก็แสดงข้อมูลที่สอดคล้องกัน โดยระบุว่าในปีนี้ซีอีโอร้อยละ 64 ให้ความสำคัญในการลงทุนด้าน AI เป็นลำดับต้นๆ และร้อยละ 63 คาดหวังจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนนี้ภายในสามถึงห้าปีข้างหน้า

 

อย่างไรก็ตาม การเร่งลงทุนกับ AI ยังคงมีความเสี่ยง โดยผลสำรวจได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายด้านต่างๆ ที่ผมอยากให้ธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำองค์กร พิจารณาเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านจริยธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่รับมือยากที่สุด ตามมาด้วยการขาดกฎข้อบังคับที่ชัดเจน และการขาดแคลนทักษะความสามารถ ผมคิดว่าการให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรเพื่อให้สามารถใช้งานเทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มที่เป็นสิ่งจำเป็น เพราะบุคลากรคือหัวใจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ AI อย่างเต็มรูปแบบ

 

หัวใจสำคัญคือการรักษาสมดุลระหว่างความต้องการของบุคลากรและธุรกิจ

 

หนึ่งในหัวข้อของทรัพยากรบุคคลที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในช่วงสิบปีที่ผ่านมาคือเรื่องความยืดหยุ่นในการทำงาน ในยุคที่บุคลากรให้ความสำคัญกับความสอดคล้องระหว่างเป้าหมายส่วนตัวและเป้าหมายขององค์กรมากขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือผู้นำองค์กรต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์ขององค์กรให้สอดคล้องกับความต้องการนี้ ด้วยการวางบุคลากรไว้เป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์ด้านการเติบโต เพื่อที่จะดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้

 

ประเด็นเกี่ยวกับการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้นำองค์กรต้องนำมาพิจารณา ผลการสำรวจในปีนี้แสดงให้เห็นว่าซีอีโอร้อยละ 83 คาดหวังว่าพนักงานจะกลับมาทำงานในออฟฟิศอย่างเต็มรูปแบบภายในสามปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 64 ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ผมคิดว่าองค์กรที่เลือกใช้โมเดลการทำงานแบบไฮบริดเองก็อาจมีข้อได้เปรียบในการรักษาบุคลากรด้วยการให้ความยืดหยุ่นในการทำงาน

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ด้านบุคลากรที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะที่จะมาทดแทนแรงงานที่กำลังจะเกษียณ ซีอีโอร้อยละ 80 เห็นด้วยว่าควรลงทุนกับการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้ตลอดชีวิตในชุมชนท้องถิ่น และร้อยละ 92 ตั้งใจที่จะเพิ่มจำนวนพนักงานในสามปีข้างหน้า เพื่อเตรียมรับมือกับจำนวนแรงงานที่ลดลงนี้

 

ความสำคัญของงานด้าน ESG ที่เพิ่มขึ้น

 

ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ประเด็นด้าน ESG อาจเป็นสิ่งที่ผู้นำองค์กรอาจไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก ในปีนี้ผมอยากให้ทุกท่านได้เห็นข้อมูลที่น่าสนใจที่แสดงให้เห็นว่าซีอีโอให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้าน ESG และความยั่งยืนมากขึ้น และได้ผสาน ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร โดยเกือบหนึ่งในสี่ (ร้อยละ 24) ตระหนักว่าการไม่ปฏิบัติตามความคาดหวังด้าน ESG เป็นการยอมให้คู่แข่งได้เปรียบ สามในสี่ (ร้อยละ 76) ของซีอีโอกล่าวว่าพวกเขาพร้อมที่จะตัดส่วนที่ทำกำไรของธุรกิจทิ้งหากมันส่งผลต่อชื่อเสียงขององค์กร และซีอีโอร้อยละ 68 บอกว่าพวกเขาพร้อมที่จะแสดงจุดยืนในประเด็นที่มีความขัดแย้งทางการเมืองหรือทางสังคม แม้ว่าที่ประชุมคณะกรรมการจะแสดงถึงความกังวลในการกระทำดังกล่าว

 

แม้ประเด็นด้าน ESG เป็นสิ่งที่สังคมจับตามองและถกเถียงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลการสำรวจชี้ว่าซีอีโอมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 66) ยอมรับว่าพวกเขายังไม่พร้อมที่จะรับมือกับการตรวจสอบที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ซีอีโอต้องหาวิธีรับมือกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น โดยร้อยละ 69 เผยว่าแม้องค์กรจะใช้กลยุทธ์งานด้านสภาพภูมิอากาศแบบเดิมในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่ก็ได้ปรับปรุงภาษาที่ใช้สื่อสารให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม หากท่านผู้นำองค์กรใดยังไม่เริ่มคำนึงประเด็นด้าน ESG ผมเห็นว่าการเริ่มต้นพิจารณาผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนวางแผนปรับกลยุทธ์ขององค์กรเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม

 

สรุป

 

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความผันผวน ผู้นำองค์กรต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์และการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์ ภาวะเงินเฟ้อ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ผมเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่ซีอีโอยุคปัจจุบันต้องมีคือความสามารถในการปรับตัวที่รวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงและวิสัยทัศน์ที่แน่วแน่ในการวางกลยุทธ์เพื่ออนาคตด้วยการลงทุนกับเทคโนโลยี นอกจากนี้การให้ความสำคัญกับบุคลากรและการสร้างความยั่งยืนผ่านการดำเนินงาน ESG จะช่วยสร้างคุณค่าให้องค์กรในระยะยาวได้

 

หมายเหตุ

 

  • การสำรวจ CEO Outlook ของเคพีเอ็มจีฉบับที่ 10 เป็นการสำรวจซีอีโอจำนวน 1,325 คน ในช่วงวันที่ 25 กรกฎาคม – 29 สิงหาคม 2567 และนำเสนอมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมอง กลยุทธ์ และการวางแผนงานของซีอีโอ
  • ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดเป็นผู้บริหารของบริษัทที่ทำรายได้ต่อปีมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนึ่งในสามของบริษัทที่ถูกสำรวจมีรายได้ต่อปีมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การสำรวจนี้มีซีอีโอจาก 11 ตลาดหลักเข้าร่วม ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา และจาก 11 ภาคธุรกิจหลัก ได้แก่ บริหารจัดการสินทรัพย์ ยานยนต์ ธนาคาร ค้าปลีก พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน ประกัน วิทยาศาสตร์ชีวภาพ อุตสาหกรรมการผลิต เทคโนโลยี และโทรคมนาคม
  • ตัวเลขบางส่วนอาจไม่รวมเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการปัดเศษ

The post ซีอีโอชั้นนำรับมือกับความผันผวนทั่วโลกด้วยการทุ่มเทให้กับ AI และบุคลากร appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน https://thestandard.co/opinion-trump-trade-war-strategy/ Mon, 25 Nov 2024 05:01:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1012416

สงครามการค้าสเกลมหึมาที่ทรัมป์หาเสียงไว้จะมาจริงไหม จะม […]

The post สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สงครามการค้าสเกลมหึมาที่ทรัมป์หาเสียงไว้จะมาจริงไหม จะมาเร็วแค่ไหน และจะมาแรงแค่ไหน

 

รอบนี้ทรัมป์มาแบบคนใจร้อน การตั้งทีม ครม. ก็ประกาศเกือบครบทุกตำแหน่งอย่างรวดเร็ว และทรัมป์ได้สั่งให้ทุกชุดนโยบายเตรียมแผนให้เรียบร้อยว่าจะทำอะไรตั้งแต่ Day One และ First One Hundred Days

 

แต่เรื่องนโยบายการค้าก็ยังคงไม่แน่นอนสูง คนที่หวังว่าสงครามการค้าคงไม่ทำจริงหรือไม่ทำเร็ว ก็จะชี้ว่าตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จเป็นต้นมา ทรัมป์แทบไม่พูดเรื่องนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีอีกเลย และตัวทรัมป์เองดูจะแคร์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาก ที่ปรึกษาทุกคนน่าจะบอกกับทรัมป์ว่าถ้าตั้งกำแพงภาษีกับจีนและทั่วโลกในสเกลแบบที่ทรัมป์หาเสียง ตลาดจะต้องช็อกและหุ้นจะต้องตกระเนระนาดแน่

 

ส่วนคนที่เชื่อว่าทรัมป์น่าจะทำจริง ทำแรง และทำเร็วนั้น มองว่ามาครั้งนี้ทรัมป์ต้องการจะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและความสัมพันธ์กับจีนในระดับพื้นฐานจริงๆ และชุดความคิดนี้เป็นสิ่งที่ทีมงานของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นว่าที่รัฐมนตรีพาณิชย์หรือว่าที่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ต่างประกาศแล้วว่าเชื่อมั่นในแนวทางนี้

 

ตัวผมเองพยายามประเมินข่าวแวดล้อม ทำให้มั่นใจว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีจีนทันทีตั้งแต่วันแรกหรือไม่นานหลังเข้ารับตำแหน่ง และเขาจะเร่งเครื่องออกมาตรการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากทั่วโลกด้วย ทรัมป์คงไม่ได้ขึ้นแบบรวดเดียวต่อจีนร้อยละ 60 และต่อทุกประเทศร้อยละ 10 ทันทีทันใดในคราวเดียว ในช่วงแรกสุดเขาน่าจะเลือกทำเป็นกลุ่มสินค้า (เพื่อให้กระทบผู้บริโภคน้อยหน่อย) และเน้นที่จีนให้หนักก่อน แต่ทิศทางคือจะทำจริง จะทำกับทุกประเทศ และจะมาแรงและเร็วกว่าสงครามการค้ารอบที่แล้ว

 

ในจีนเองยังมีนักวิเคราะห์ที่มองโลกในแง่ดีว่า กว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีต่อจีนได้น่าจะเป็นช่วงปลายปีหน้า โดยดูจากไทม์ไลน์ของการขึ้นกำแพงภาษีในรัฐบาลทรัมป์ 1 ซึ่งอาศัยอำนาจของประธานาธิบดีตามมาตรา 301 ของ Trade Act of 1974 และมาตรา 232 ของ Trade Expansion Act of 1962 โดยจำเป็นต้องมีกระบวนการสอบสวนพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม (ตามมาตรา 301) และผลกระทบต่อความมั่นคง (ตามมาตรา 232) เสียก่อน การสอบสวนจัดทำรายงานต้องใช้เวลาและจำเป็นต้องระบุกลุ่มสินค้าให้ชัดเจน ไม่สามารถขึ้นทุกสินค้าจากจีนแบบที่ทรัมป์หาเสียงได้ และกว่าจะสอบสวนทำรายงานเสร็จก็น่าจะใช้เวลาถึงปลายปีหน้า

 

แต่ในวงการกฎหมายสหรัฐฯ ขณะนี้มีการพูดกันมากว่าทรัมป์อาจเลือกใช้อำนาจตามกฎหมาย The International Emergency Economic Powers Act of 1977 โดยประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจและขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนที่อยากจะขึ้นได้ตั้งแต่วันแรก รอบนี้ทรัมป์อาจมาไม้ใหม่ ไม่ได้ใช้ไม้เดิมที่ต้องใช้เวลาสอบสวนนานแบบคราวที่แล้ว

 

ขณะเดียวกัน ตอนนี้มีรายงานข่าวว่าทีมงานของทรัมป์ได้ประสานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกรีพับลิกันในสภาคองเกรส โดยต้องการจะออกกฎหมายเรื่องการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้า นักกฎหมายหลายคนสงสัยว่าเหตุใดทรัมป์จึงต้องการออกเป็นกฎหมาย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วการขึ้นกำแพงภาษีเป็นอำนาจของประธานาธิบดีที่ทำได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปผ่านไปพึ่งคองเกรสให้ออกกฎหมายใหม่แม้แต่น้อย

 

คาดกันว่าทรัมป์มีสามเป้าหมายที่ในระยะยาวเขาต้องการเข็นเรื่องนี้ให้ผ่านเป็นกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่ใช้คำสั่งประธานาธิบดี

 

หนึ่ง ทรัมป์ต้องการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นการทั่วไปต่อทุกกลุ่มสินค้าและทุกประเทศ ดังที่ทรัมป์หาเสียงไว้ว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลกร้อยละ 10 ซึ่งมีนักกฎหมายหลายคนมองว่าหากอาศัยตามอำนาจกฎหมายการค้าปกติ ประธานาธิบดีน่าจะขึ้นกำแพงภาษีได้อย่างเฉพาะเจาะจงกลุ่มสินค้าหรือกลุ่มประเทศที่เอาเปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่เป็นประเด็นทางกฎหมายว่าจะสามารถขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดเป็นการทั่วไปได้หรือไม่โดยอาศัยอำนาจทางบริหารหรือต้องไปขอสภาผ่านเป็นกฎหมาย

 

สอง ทรัมป์ต้องการให้การขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าเป็นเรื่องระยะยาวที่ต่อไปไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางเรื่องนี้ได้ง่ายๆ หากเป็นเพียงการขึ้นกำแพงภาษีโดยอำนาจประธานาธิบดี ประธานาธิบดีคนใหม่มาถึงก็สามารถเปลี่ยนแปลงยกเลิกได้ทันที แต่หากเป็นกฎหมายที่ออกโดยสภาคองเกรส ก็จะอยู่ที่ว่าพรรคใดคุมคองเกรสและอาจต้องเสียต้นทุนทางการเมืองมากสำหรับประธานาธิบดีที่จะกลับลำนโยบายนี้ เรียกว่าทรัมป์คิดในระดับปฏิวัติทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลก ไม่ได้มองว่าการตั้งกำแพงภาษีจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเพื่อใช้บีบคู่ค้าให้มาเจรจาเท่านั้น

 

สาม มีข่าวว่าทรัมป์ต้องการขอให้สภาคองเกรสพิจารณาเรื่องการเก็บภาษีสินค้านำเข้าควบคู่ไปพร้อมกับแพ็กเกจการลดภาษีเงินได้ภายในประเทศ เพื่อให้เอารายได้จากการเก็บภาษีสินค้านำเข้ามาคิดทดแทนตัวเลขการลดภาษีภายในประเทศของทรัมป์ (ทรัมป์จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เลิกเก็บ Tax on Tips และ Tax on Overtime)

 

แต่เดิมมีหลายคนมองว่านโยบายลดภาษีของทรัมป์จะทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ดูไม่จืด แต่แนวคิดของทรัมป์คือจะเอารายได้จากภาษีนำเข้ามาเป็นรายได้สำคัญแทนรายได้จากภาษีเงินได้ภายในประเทศ ดังที่ทีมของทรัมป์ชอบคุยถึงยุคของ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ในช่วงเริ่มต้นตั้งประเทศสหรัฐฯ ซึ่งรายได้หลักทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ตอนเริ่มต้นมาจากการเก็บภาษีนำเข้าเป็นหลัก

 

สำหรับจีน ทรัมป์ยังต้องการให้คองเกรสออกกฎหมายยกเลิกสถานะการเป็นชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation Status) ของจีน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าจีนทั้งหมดต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าคู่ค้าประเทศอื่นของสหรัฐฯ ข้อนี้จะมีผลสำคัญมากในเชิงสัญลักษณ์ต่อการหย่าขาดกับจีนในทางเศรษฐกิจ และจะมีผลระยะยาวที่ประธานาธิบดีคนใหม่มาก็ยากที่จะเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ที่ดิ่งเหวลงในทางการค้านี้ได้

 

เมื่อดูการเตรียมการต่างๆ ที่ออกมาตามข่าวแล้ว ผมจึงเห็นว่าทรัมป์กำลังเดินไปในทิศทางที่แรงและเร็วในเรื่องสงครามการค้า แม้คงจะไม่ได้ทำสงครามการค้าทันทีทั้งหมดกับจีนและทุกประเทศ แต่จะค่อยๆ เดินไปตามแนวทางการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าทั่วโลก เพราะเป้าหมายของเขารอบนี้ต้องการปฏิวัติรากฐานระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและปฏิวัติให้การเก็บภาษีสินค้านำเข้ากลายมาเป็นรายได้สำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ เลยทีเดียว

 

ภาพ: Brian Snyder / Reuters

The post สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน appeared first on THE STANDARD.

]]>