Wealth Management – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 13 May 2025 12:14:34 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ฟินนิกซ์เผยยอดผู้เรียนคอร์สความรู้การเงิน 62,000 ราย 68% เป็น Gen Y อยากเก่งจัดการเงิน-บริหารหนี้ https://thestandard.co/finnix-gen-y-financial-skills-debt-management/ Tue, 13 May 2025 12:14:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1073863 ฟินนิกซ์ Gen Y

ฟินนิกซ์ (FINNIX) แพลตฟอร์มสินเชื่อนาโนในเครือบริษัท มั […]

The post ฟินนิกซ์เผยยอดผู้เรียนคอร์สความรู้การเงิน 62,000 ราย 68% เป็น Gen Y อยากเก่งจัดการเงิน-บริหารหนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟินนิกซ์ Gen Y

ฟินนิกซ์ (FINNIX) แพลตฟอร์มสินเชื่อนาโนในเครือบริษัท มันนิกซ์ จำกัด ซึ่งเป็นฟินเทคสตาร์ทอัพร่วมทุนระหว่างกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCB X Group) และกลุ่มอบาคัส (Abakus Group) ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีน เผยอินไซต์ผู้เรียนคอร์ส “เงินดีมีสุข รู้ทันหนี้ไม่มีทุกข์” กว่า 62,000 คน เป็นกลุ่ม Gen Y 68% และ Gen X 32%

 

ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) กล่าวว่า ด้วยเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างทักษะและพฤติกรรมทางการเงินที่สอดรับกับความเป็นจริงของสังคมไทย ผ่าน 7 คอร์สออนไลน์ ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนการเงิน การบริหารหนี้ การจัดการรายรับ-รายจ่าย-การออม-การลงทุน ไปจนถึงการเลือกใช้สินเชื่ออย่างเหมาะสม พร้อมแบบทดสอบท้ายบทเรียน ผู้สนใจสามารถเรียนฟรีได้ทุกที่ทุกเวลาที่ https://www.finnix.co/e-learning

 

จากอินไซต์ของโครงการระบุว่า ผู้เรียนเป็นเพศชาย 60% และเพศหญิง 40% โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนวัยทำงาน แบ่งเป็น Gen Y 68% และ Gen X 31% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของเครดิตบูโรที่ชี้ว่า Gen Y คือกลุ่ม ‘แซนด์วิชเจเนอเรชัน’ หรือกลุ่ม ‘เดอะแบก’ ของครอบครัว ที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่และลูก จึงมีภาระหนี้สูง

 

“เราตั้งใจให้ฟินนิกซ์เป็นมากกว่าแอปเงินกู้ โดยเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยคนไทยสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคง เราเชื่อว่าการส่งเสริมทักษะการเงินในทุกมิติของโครงการ ‘เงินดีมีสุข รู้ทันหนี้ไม่มีทุกข์’ ตั้งแต่การจัดการหนี้ไปจนถึงการวางแผนการเงินระยะยาว จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงและทำให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ ‘มีสุข’ สมกับแนวคิดของเรา”

 

ปัจจุบันเราช่วยให้คนไทยมีทักษะการเงินที่ดีขึ้นแล้วกว่า 62,000 ราย สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้กว่า 6 เท่า อีกทั้งอินไซต์ที่ได้จากโครงการนี้ยังช่วยสะท้อนความต้องการเรียนรู้ทักษะการเงินของคนไทย และจะเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาคอร์สและเนื้อหาใหม่ๆ ของเราที่ตอบโจทย์ผู้เรียนต่อไป”

 

แม้ภาพรวมทักษะทางการเงินของคนไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่จากผลสำรวจทักษะทางการเงินของไทย ปี 2565 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังชี้ให้เห็นความเปราะบางด้านการเงินที่น่ากังวล

 

คนไทยยังมีทัศนคติและพฤติกรรมในด้านการเงินที่น่าเป็นห่วง โดยกว่า 70% ไม่ได้วางแผนการเงินล่วงหน้า และมีเพียง 22.4% เท่านั้นที่มีเงินออมเพียงพอสำหรับกรณีฉุกเฉิน 6 เดือนขึ้นไป

 

ขณะที่ข้อมูลหนี้สินภาคครัวเรือนจากเครดิตบูโร ณ ไตรมาสสาม ปี 2566 ชี้ว่า คน Gen Y (25-43 ปี) เป็นกลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียในสัดส่วนที่สูงมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่าปัญหาทางการเงินของคนไทยไม่ได้เกิดจาก “ไม่มีเงิน” เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจาก “ไม่รู้ ไม่เข้าใจ” ในการบริหารจัดการเงิน ซึ่งจะกลายเป็นต้นตอของภาระหนี้ในระยะยาวอีกด้วย

 

ปัญหานี้เองที่ทำให้ “ความรู้ทางการเงิน” กลายเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตทางการเงินของคนไทย และเป็นเหตุผลที่ฟินนิกซ์เร่งขับเคลื่อนโครงการ “เงินดีมีสุข รู้ทันหนี้ไม่มีทุกข์” ตั้งแต่เดือนเมษายนในปีที่ผ่านมา

 

ภาพ: Kmatta / Getty Images

The post ฟินนิกซ์เผยยอดผู้เรียนคอร์สความรู้การเงิน 62,000 ราย 68% เป็น Gen Y อยากเก่งจัดการเงิน-บริหารหนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เงินสด’ ไม่ใช่ ‘หลุมหลบภัย’ ที่ดีที่สุดเสมอไป อย่าเลียนแบบปู่ Buffett กูรูชี้ หุ้น-พันธบัตร ชนะเงินสดระยะยาว แม้ตลาดผันผวนก็ต้องลงทุน https://thestandard.co/stocks-bonds-cash-long-term/ Tue, 29 Apr 2025 03:23:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1069307

เงินสดมหาศาลถึง 334,000 ล้านดอลลาร์ที่ Warren Buffett ส […]

The post ‘เงินสด’ ไม่ใช่ ‘หลุมหลบภัย’ ที่ดีที่สุดเสมอไป อย่าเลียนแบบปู่ Buffett กูรูชี้ หุ้น-พันธบัตร ชนะเงินสดระยะยาว แม้ตลาดผันผวนก็ต้องลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

เงินสดมหาศาลถึง 334,000 ล้านดอลลาร์ที่ Warren Buffett สำรองไว้ในบริษัท Berkshire Hathaway กำลังสร้างความฮือฮาในวงการการเงิน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านักลงทุนทั่วไปควรเลียนแบบกลยุทธ์นี้โดยไม่ไตร่ตรอง

 

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มหาเศรษฐีผู้มีสมญาว่า ‘เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา’ ยังคงยืนยันว่า “แม้บางคนจะมองว่าเรามีเงินสดมากผิดปกติ” แต่ความจริงแล้วสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของ Berkshire ยังคงอยู่ในรูปของหุ้น และ Berkshire จะ “ไม่มีวัน” เลือกถือเงินสดแทนการเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน

 

ย้อนดูแล้ว กลยุทธ์การถือเงินสดก้อนใหญ่ของ Buffett ดูชาญฉลาด โดยเฉพาะในช่วงที่นโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาล Trump ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตลาด แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไป การมีเงินสดมากเกินไปอาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว

 

นักลงทุนทั่วโลกกำลังกักตุนเงินสดมหาศาลถึง 6.88 ล้านล้านดอลลาร์ในกองทุนตลาดเงิน (ข้อมูล ณ 16 เมษายน) แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการถือเงินสดมากเกินไปอาจทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า

 

Jack Manley นักกลยุทธ์จาก JPMorgan ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนแบบผสมผสานระหว่างหุ้น 60% และพันธบัตร 40% ให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือเงินสดในระยะยาวอย่างชัดเจน จากการศึกษาย้อนหลังตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2024 พบว่ายิ่งระยะเวลาลงทุนนานขึ้น โอกาสที่พอร์ตแบบนี้จะชนะเงินสดยิ่งสูงขึ้น

 

ตัวเลขน่าสนใจคือ ในระยะสั้นแค่หนึ่งเดือน พอร์ตแบบนี้ชนะเงินสด 65% แต่เมื่อขยายเวลาลงทุนเป็น 12 ปี พอร์ตแบบ 60/40 ชนะเงินสด 100% โดยไม่มีข้อยกเว้น นั่นหมายความว่า หากใครอดทนลงทุนยาวนานพอ การถือหุ้นและพันธบัตรจะให้ผลดีกว่าการถือเงินสดเสมอ

 

“เวลาที่นักลงทุนใช้อารมณ์นำเหตุผล มักตัดสินใจผิดพลาด โดยเฉพาะเมื่อตื่นตระหนก พวกเขามักจะวิ่งไปหาเงินสดเป็นที่พึ่ง” Manley อธิบาย

 

ปี 2024 เป็นปีทองของพอร์ตแบบ 60/40 ที่ทำผลตอบแทนได้ถึง 15% ตามข้อมูลจาก Morningstar ซึ่งดีกว่าพอร์ตที่กระจายลงทุนใน 11 สินทรัพย์ต่างๆ ที่ทำได้เพียง 10%

 

แต่ภาพนี้เริ่มเปลี่ยนในปี 2025 เมื่อนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ เข้ามามีบทบาท Amy Arnott จาก Morningstar ชี้ว่า พอร์ตที่กระจายการลงทุนกลับมาแซงหน้า โดยทองคำพุ่งสูงถึง 32% ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์ พันธบัตรทั่วโลก และอสังหาริมทรัพย์ ก็เอาชนะหุ้นสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน

 

สำหรับเงินสด Morningstar พบว่า ในช่วงดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ เงินสดกลายเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่มีข้อแนะนำว่า ควรแยกเงินสดไว้นอกพอร์ตการลงทุนหลัก ใช้เป็นเงินฉุกเฉินหรือรองรับค่าใช้จ่ายใหญ่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะผู้เกษียณควรสำรองเงินสดไว้สำหรับค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1-2 ปี

 

“แม้ตลาดจะผันผวนในตอนนี้ แต่อย่าเพิ่งรีบปรับเปลี่ยนการลงทุนแบบหักด้ามพร้า เพราะการตัดสินใจแบบเร่งรีบมักให้ผลลัพธ์แย่กว่าเดิม” Arnott กล่าว “หากคุณมีการจัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะกับกรอบเวลาและเป้าหมายการลงทุนของคุณก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเพียงเพราะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจไม่ใช่ความคิดที่ดี” Arnott กล่าว

 

Adrianna Adams ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินจาก Domain Money สังเกตว่า คนที่มีเงินสำรองพอดีมักรู้สึกสบายใจในช่วงตลาดผันผวน แต่เธอเตือนว่า หากคุณมีเงินฉุกเฉินเพียงพอแล้ว เงินส่วนที่เหลือควรนำไปลงทุนในตลาดจะดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ

 

“เงินที่ตั้งใจเก็บไว้ใช้ระยะยาว ไม่ควรปล่อยให้เป็นเงินสด” Adams ให้คำแนะนำ “แต่ถ้าเป็นเงินที่ต้องใช้ภายในสองปีนี้ ควรเก็บเป็นเงินสดไว้จะดีกว่า”

 

“คนส่วนใหญ่นิยมเก็บเงินฉุกเฉินในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง” Adams กล่าว “แต่สำหรับคนที่เสียภาษีในอัตราสูง ควรพิจารณาลงทุนในกองทุนพันธบัตรท้องถิ่นแทน เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับจะได้รับการยกเว้นภาษี”

 

ในขณะที่ Buffett อาจมีเหตุผลเฉพาะในการถือเงินสดมหาศาล นักลงทุนทั่วไปควรระมัดระวังในการหาความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความปลอดภัยของเงินสดและโอกาสในการเติบโตจากการลงทุนในตลาด 

 

เพราะในท้ายที่สุด ศิลปะของการลงทุนไม่ได้อยู่ที่การเลียนแบบกลยุทธ์ของผู้เชี่ยวชาญอย่างไม่ไตร่ตรอง แต่อยู่ที่การปรับใช้หลักการให้เข้ากับสถานการณ์เฉพาะของตัวเอง

 

ภาพ: Roman Samborskyi / Shutterstock

อ้างอิง:

The post ‘เงินสด’ ไม่ใช่ ‘หลุมหลบภัย’ ที่ดีที่สุดเสมอไป อย่าเลียนแบบปู่ Buffett กูรูชี้ หุ้น-พันธบัตร ชนะเงินสดระยะยาว แม้ตลาดผันผวนก็ต้องลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘คนจนรุ่นเก่า’ สอน ‘คนจนรุ่นใหม่’ หลังชาวอเมริกันผวาเศรษฐกิจถดถอย! Gen Z-Millennial แห่เรียนเคล็ดลับประหยัดยุค 2008 บน TikTok! https://thestandard.co/gen-z-millennials-saving-tips/ Mon, 28 Apr 2025 05:58:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1068999 gen-z-millennials-saving-tips

ความหวาดวิตกเรื่องเศรษฐกิจกำลังแผ่ซ่านไปทั่วสหรัฐอเมริก […]

The post ‘คนจนรุ่นเก่า’ สอน ‘คนจนรุ่นใหม่’ หลังชาวอเมริกันผวาเศรษฐกิจถดถอย! Gen Z-Millennial แห่เรียนเคล็ดลับประหยัดยุค 2008 บน TikTok! appeared first on THE STANDARD.

]]>
gen-z-millennials-saving-tips

ความหวาดวิตกเรื่องเศรษฐกิจกำลังแผ่ซ่านไปทั่วสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะหลังประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ของประธานาธิบดี Donald Trump เมื่อต้นเดือนเมษายน ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจกำลังจะถดถอยอีกครั้ง 

 

Google เผยว่าการค้นหาคำว่า Global Financial Crisis และ Great Recession พุ่งสูงขึ้นจนเกือบถึงระดับที่ไม่เคยเห็นมานับสิบปี สะท้อนความกังวลที่เพิ่มขึ้นของชาวอเมริกัน

 

ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ Kiki Rough สาววัย 28 ปี เริ่มนึกถึงทักษะการประหยัดที่เธอเคยใช้ในยามยาก และตัดสินใจสร้างวิดีโอสอนทำอาหารจากตำราที่ตีพิมพ์ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำและสงคราม 

 

เธอสอนเทคนิคทำอาหารราคาถูกและวิธีทดแทนของแพงด้วยสิ่งที่มีอยู่แล้วในครัว วิดีโอของเธอดังเปรี้ยงปร้างบนโซเชียลมีเดีย ดึงดูดผู้ชม 21 ล้านวิวในเวลาเพียงเดือนเดียว 

 

“ฉันเห็นคอมเมนต์ตลกๆ ซ้ำๆ ว่า คนจนรุ่นเก่ากำลังสอนคนจนรุ่นใหม่” Rough เล่า “ทุกคนกำลังหวาดกลัว การแบ่งปันความรู้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้คนรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น”

 

ปรากฏการณ์นี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วบน TikTok เมื่อกลุ่ม Millennial และ Gen X เข้ามารับบทเป็นพี่เลี้ยง แบ่งปันเคล็ดลับประหยัดเงินให้คนรุ่นใหม่ “นี่อาจเป็นครั้งแรกที่พวก Millennial ได้เป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ในบางเรื่อง” Scott Sills นักการตลาดวัย 33 ปีกล่าว “เราเชี่ยวชาญในการรับมือเมื่อชีวิตพลิกผันกะทันหัน และทุกอย่างที่เคยมั่นคงถูกกระชากออกไป”

 

คำแนะนำเหล่านี้ย้อนกลับไปสู่ช่วงวิกฤตปี 2008 ทั้งการท่องเที่ยวประหยัดแทนทริปหรูต่างประเทศ การเก็บใบเสร็จเพื่อรอลดราคา การใช้ชุดทำงานในงานสังคมเพราะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าหลายแบบ และอาหารยอดนิยมอย่าง ‘เนื้อหมู’ ที่มีราคาไม่แพงเกินไป 

 

คนถึงกับติดปากว่าเนื้อหมูมี ‘รสชาติเหมือน Great Recession’ เลยทีเดียว ส่วนการสังสรรค์ก็ย้ายจากบาร์มาจัดที่บ้านแทน พร้อมเครื่องดื่มยอดนิยมที่เรียกว่า ‘jungle juice’ ซึ่งเป็นการผสมเหล้าราคาถูกหลากหลายชนิดเข้าด้วยกัน

 

“สมัยก่อนฉันไม่รู้หรอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็น ‘สัญญาณบ่งชี้เศรษฐกิจถดถอย’ คิดว่าเป็นแค่เทรนด์ธรรมดา” M.A. Lakewood นักเขียนจากนิวยอร์กเล่า “แต่ตอนนี้สัญญาณเห็นชัดเจนมาแต่ไกลเลย”

 

อย่างไรก็ตาม คนจนรุ่นเก่ากำลังพบว่าเคล็ดลับประหยัดสมัยก่อนบางอย่างใช้ไม่ได้ผลแล้วในยุคเงินเฟ้อพุ่งสูง Kimberly Casamento ที่ทำซีรีส์สอนทำอาหารจากตำราปี 2009 พบว่าค่าใช้จ่ายของเมนูประหยัดเหล่านั้นพุ่งสูงขึ้น 100-150% ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำยังคงอยู่ที่ 7.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมงเหมือนเมื่อ 16 ปีที่แล้ว

 

“ทุกอย่างในชีวิตแพงจนแทบไม่มีใครอยู่รอด” Casamento บอก “แค่ประหยัดค่าอาหารได้ 5 ดอลลาร์สหรัฐก็นับเป็นชัยชนะแล้ว”

 

Megan Way รองศาสตราจารย์ที่ Babson College ผู้ศึกษาเศรษฐศาสตร์ครอบครัว อธิบายว่านี่เป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ที่จะแสวงหาความรู้และประสบการณ์จากผู้อื่นในช่วงไม่มั่นคง 

 

“การแบ่งปันความรู้อาจสร้างความแตกต่างในความรู้สึกว่าคุณกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างเตรียมพร้อม สิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจคือความหวาดกลัวแบบไร้ทิศทาง”

 

แม้จะมีความคล้ายคลึงกัน Way ระบุว่าวิกฤตในปัจจุบันแตกต่างจากปี 2008 ตรงที่ไม่มีปัญหาหนี้เสียที่จุดประกายวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ แต่ความไม่แน่นอนกลับมาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ หรือนโยบายภายในประเทศ

 

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนต่ำที่สุดในรอบกว่า 70 ปี บ่งชี้ว่าความวิตกกังวลกำลังพุ่งสูง Lukas Battle ผู้สร้างวิดีโอล้อเลียนเรื่องการหย่าร้างช่วง Great Recession พบว่าคอมเมนต์เต็มไปด้วยคนที่พ่อแม่เพิ่งแยกทาง “กำลังเกิดคลื่นลูกที่สองของการหย่าร้างในขณะนี้” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา

 

แม้กระทั่งวงการบันเทิงก็สะท้อนความคล้ายคลึงกับยุค 2008 การเต้น flashmob กลับมาฮิตอีกครั้ง Disney รีบูตการ์ตูน Phineas and Ferb ที่ดังในช่วงนั้น และศิลปินยุค 2008 อย่าง Miley Cyrus, Lady Gaga และ Katy Perry ก็กลับมาปล่อยเพลงและทัวร์คอนเสิร์ตในปี 2025

 

“เพลงเหล่านี้เหมือนเป็นใบอนุญาตที่ทำให้เราหลุดพ้นและได้รู้สึกดีสักพัก” Sills อธิบาย “ไม่ใช่ว่าเราหนีปัญหา แต่เป็นการหาช่วงเวลาแห่งความสุขเล็กๆ ให้ตัวเองท่ามกลางความยากลำบาก”

 

ในขณะที่ประเทศเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ การถ่ายทอดบทเรียนจาก ‘คนจนรุ่นเก่า’ ไปสู่ ‘คนจนรุ่นใหม่’ จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นที่มีค่าในการรับมือกับพายุเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัว



ภาพ: Dilok Klaisataporn / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ‘คนจนรุ่นเก่า’ สอน ‘คนจนรุ่นใหม่’ หลังชาวอเมริกันผวาเศรษฐกิจถดถอย! Gen Z-Millennial แห่เรียนเคล็ดลับประหยัดยุค 2008 บน TikTok! appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความกลัวอันดับ 1 ของชาวอเมริกันไม่ใช่ความตาย แต่คือ ‘เงินหมด’ หลังเกษียณ ชี้ทางรอด ‘ชะลอรับประกันสังคม-ซื้อประกันบำนาญ’ https://thestandard.co/americans-fear-retirement-money/ Mon, 28 Apr 2025 01:31:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1068826

ความกังวลใจอันดับหนึ่งของชาวอเมริกันในปัจจุบันไม่ใช่เรื […]

The post ความกลัวอันดับ 1 ของชาวอเมริกันไม่ใช่ความตาย แต่คือ ‘เงินหมด’ หลังเกษียณ ชี้ทางรอด ‘ชะลอรับประกันสังคม-ซื้อประกันบำนาญ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ความกังวลใจอันดับหนึ่งของชาวอเมริกันในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องสุขภาพหรือความตาย แต่เป็นเรื่อง ‘เงินหมด’ ในวัยเกษียณ ผลสำรวจล่าสุดจาก Allianz Life ชี้ชัดว่า 64% ของชาวอเมริกันกลัวเงินหมดก่อนตายมากกว่ากลัวความตายเสียอีก โดยเฉพาะกลุ่ม Gen X ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยเกษียณมีความกังวลสูงสุด รองลงมาคือ Millennials และ Baby Boomers



ในขณะเดียวกัน รายงานจาก Employee Benefit Research Institute พบว่าผู้เกษียณส่วนใหญ่บอกว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามที่วางแผนไว้และสามารถใช้จ่ายเงินได้ตามสมควร แต่มากกว่าครึ่งยอมรับว่าพวกเขาใช้จ่ายน้อยลงเพราะกลัวเงินหมด ตามผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2,700 คน

 

ขณะที่ผลสำรวจจาก Northwestern Mutual รายงานว่า 51% ของชาวอเมริกันคิดว่า ‘มีโอกาสพอสมควรหรือมีโอกาสสูง’ ที่พวกเขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าเงินออมที่มี จากการสำรวจชาวอเมริกันอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 4,626 คนในเดือนมกราคม

 

สาเหตุหลักของความกลัวนี้มีหลายประการ ทั้งเงินเฟ้อที่พุ่งสูง สวัสดิการ Social Security ที่ไม่เพียงพอ และภาระภาษีที่หนักอึ้ง นอกจากนี้นโยบายภาษีนำเข้าใหม่ยังสร้างความปั่นป่วนในตลาดหุ้น ขณะที่การเปลี่ยนแปลงในหน่วยงาน Social Security Administration ก็ทำให้หลายคนเริ่มกังวลว่าสวัสดิการที่เคยได้รับจะยังคงอยู่หรือไม่

 

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ ระบบบำนาญแบบเก่าที่นายจ้างจ่ายให้ตลอดชีวิตหลังเกษียณกำลังหายไป แทนที่ด้วยแผนออมเงิน 401(k) และแผนออมอื่นๆ ที่พนักงานต้องบริหารจัดการเอง ทำให้ภาระและความเสี่ยงตกอยู่กับตัวผู้เกษียณเองทั้งหมด

 

แม้ Northwestern Mutual จะสำรวจพบว่าคนอเมริกันคิดว่าต้องมีเงิน 1.26 ล้านดอลลาร์หรือราว 42 ล้านบาทเพื่อเกษียณอย่างสบาย 

 

แต่ Kyle Menke ผู้ก่อตั้ง Menke Financial ยืนยันว่าตัวเลขที่แท้จริงนั้นแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ส่วนบุคคล โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายด้าน ทั้งผลตอบแทนจากการลงทุน ภาษี เงินเฟ้อ และค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

 

David Blanchett หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านการเกษียณที่ PGIM DC Solutions แนะนำทางออกว่า “การสร้างกระแสรายได้ตลอดชีพที่มั่นคงซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็น จะช่วยลดผลกระทบทางการเงินจากเหตุการณ์ที่อาจทำให้ผู้เกษียณต้องลดการใช้จ่าย” โดยวิธีที่ดีที่สุดคือเริ่มจากการชะลอการรับสิทธิประโยชน์ Social Security ไปจนถึงอายุ 70 ปี เพื่อให้ได้รับเงินรายเดือนสูงสุด

 

นอกจากนี้การซื้อประกันบำนาญแบบ Lifetime Income Annuity ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ล่วงหน้าก็ตาม โดย Blanchett แนะนำให้เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์พื้นฐานที่เข้าใจง่ายก่อน เช่น single premium immediate annuities

 

“หากไม่ทำสิ่งเหล่านี้ คุณจะไม่สามารถกำจัดความกลัวเรื่องเงินหมดได้” Blanchett กล่าวทิ้งท้าย “การเกษียณอาจกินเวลา 10 ปี หรือนานถึง 40 ปี คุณไม่มีทางรู้ว่ามันจะยาวนานแค่ไหน”

 

Kelly LaVigne รองประธานฝ่ายข้อมูลเชิงลึกผู้บริโภคที่ Allianz Life เตือนว่า “นี่เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรวางแผนด้วยตัวเอง” เนื่องจากมีปัจจัยซับซ้อนมากมายที่ต้องพิจารณา 

 

ดังนั้นการปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการวางแผนเกษียณที่มั่นคง เพราะพวกเขาสามารถจำลองสถานการณ์และทดสอบแผนภายใต้ความกดดันต่างๆ ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่บั้นปลายชีวิตได้อย่างไร้กังวล

 

ภาพ: sebra / Shutterstock

อ้างอิง:

The post ความกลัวอันดับ 1 ของชาวอเมริกันไม่ใช่ความตาย แต่คือ ‘เงินหมด’ หลังเกษียณ ชี้ทางรอด ‘ชะลอรับประกันสังคม-ซื้อประกันบำนาญ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เตือน! จ่ายขั้นต่ำ ‘ยิ่งจ่าย หนี้ยิ่งเพิ่ม’ ผู้เชี่ยวชาญแนะ 2 วิธีสร้างวินัยและแรงจูงใจในการชำระหนี้ระยะยาว https://thestandard.co/minimum-payment-debt-trap/ Sun, 20 Apr 2025 11:44:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1066299

4 ใน 10 ชาวอเมริกันมีหนี้บัตรเครดิตผิดชำระ! ผู้เชี่ยวชา […]

The post เตือน! จ่ายขั้นต่ำ ‘ยิ่งจ่าย หนี้ยิ่งเพิ่ม’ ผู้เชี่ยวชาญแนะ 2 วิธีสร้างวินัยและแรงจูงใจในการชำระหนี้ระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>

4 ใน 10 ชาวอเมริกันมีหนี้บัตรเครดิตผิดชำระ! ผู้เชี่ยวชาญเตือน ยิ่ง ‘จ่ายขั้นต่ำ’ ไปเรื่อยๆ ยิ่งเป็นหนี้นานขึ้น

 

ตามรายงานล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐในนิวยอร์ก ระบุ ขณะนี้ชาวอเมริกันเผชิญหนี้บัตรเครดิตพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ 

 

แต่ที่น่าสนใจก็คือ เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่หนี้บัตรเครดิตยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจไม่ได้เกี่ยวกับการใช้จ่ายมากนัก แต่เกี่ยวกับ ‘ความสับสน’ มากกว่า 

 

โดยการสำรวจล่าสุดจาก Experian พบว่าชาวอเมริกัน 2 ใน 5 ที่เป็นหนี้บัตรเครดิต “เชื่อว่าการชำระเงินขั้นต่ำก็เพียงพอที่จะจัดการกับหนี้ได้”

 

Melissa Lambarena นักเขียนอาวุโสของทีมบัตรเครดิตที่ NerdWallet กล่าวว่า การคาดเดานั้นทำได้ง่าย เนื่องจากจำนวนเงินขั้นต่ำคือจำนวนเงินที่พิมพ์อยู่บนใบแจ้งยอด ดังนั้น การชำระยอดขั้นต่ำจึงอาจดูเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

 

อย่างไรก็ตาม “การชำระหนี้ขั้นต่ำไปเรื่อยๆ จะทำให้คุณเป็นหนี้นานขึ้นมาก” เธอกล่าว

 

หากต้องการปลดหนี้ ต้องจ่ายเงินมากกว่าขั้นต่ำในแต่ละเดือน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวอีกว่า ประเด็นนี้จำเป็นอย่างมาก และเป็นกลยุทธ์ที่สามารถจัดการหนี้ได้

 

โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้วิธีแบบ “ก้อนหิมะกลิ้งลงเขา” หรือ “ทลายหิมะให้ถล่ม” เพื่อสร้างวินัยและแรงจูงใจในการชำระหนี้บัตรเครดิต 

 

Lambarena กล่าวว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน แต่กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือ “วิธีที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับคุณซึ่งจะทำให้คุณมีแรงจูงใจในการชำระหนี้ระยะยาว”

 

1. กลิ้งก้อนหิมะลงจากเขา (The snowball method) 

 

วิธีกลิ้งก้อนหิมะลงเขาเป็นแนวทางให้คุณชำระหนี้ตามลำดับจากยอดหนี้ที่น้อยที่สุดไปยังยอดหนี้ที่มากที่สุด คุณชำระหนี้ขั้นต่ำทั้งหมด จากนั้นนำเงินที่เหลือไปชำระบัตรเครดิตที่มียอดหนี้น้อยที่สุดก่อน

 

เมื่อชำระยอดหนี้ในบัตรเครดิตที่น้อยที่สุดแล้ว คุณก็นำเงินที่คุณจะใช้ในการชำระบัตรใบนั้นไปชำระหนี้ที่น้อยที่สุดใบถัดไป วิธีนี้จะสร้างเอฟเฟกต์ก้อนหิมะที่เพิ่มแรงผลักดันเมื่อคุณชำระบัตรเครดิตแต่ละใบได้

 

ข้อดีของวิธีนี้คือแรงผลักดันที่คุณค่อยๆ สร้างขึ้นวินัย เมื่อคุณชำระหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะ “เหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งลงเนินเขา จะทำให้คุณมีแรงผลักดันและรู้สึกมีแรงจูงใจมากขึ้น”

 

วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เพื่อก้าวต่อไปในเส้นทางการจัดการหนี้ อาจเหมาะกับคุณหากคุณต้องการ “แรงจูงใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้รู้สึกว่าคุณกำลังก้าวหน้าเดินหน้าต่อไป” เขากล่าว

 

2. หิมะถล่ม (The Avalanche Method)

 

วิธีหิมะถล่ม จะเน้นไปที่หนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน หลังจากชำระเงินขั้นต่ำสำหรับหนี้ทั้งหมดแล้ว ให้นำเงินส่วนเกินไปชำระยอดคงเหลือที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุด

 

วิธีนี้มีประสิทธิภาพทางคณิตศาสตร์มากกว่า เนื่องจากหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะมีต้นทุนในการชำระสูงกว่า การกำจัดหนี้เหล่านี้ออกไปก่อนจะช่วยลดดอกเบี้ยรวมที่ต้องจ่ายและลดระยะเวลาในการปลดหนี้

 

Lambarena แนะนำว่า ตราบใดที่คุณยึดมั่นกับวิธีนี้ เมื่อพิจารณาว่า “อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงสุดตลอดกาล นี่จะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด แต่กลยุทธ์นี้จะไม่มีความหมายเลยหากไม่สามารถกระตุ้นคุณได้”

 

Rod Griffin ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการศึกษาสาธารณะและการสนับสนุนที่ Experian เห็นด้วยว่า “ความคืบหน้าของวิธีที่ 2 อาจดูช้ามาก โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น  อย่างไรก็ตาม วิธีถล่มหิมะให้ทลาย จะให้ประโยชน์ทางการเงินสูงสุดเพื่อการชำระหนี้ระยะยาว”

 

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้วิธีใด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการวางแผนและมุ่งมั่นกับแผนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ไม่มีเคล็ดลับเดียวที่ใช้ได้กับทุกคนในการชำระหนี้ แต่การหลีกเลี่ยง นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้หนี้หมดไป เขากล่าว

 

“หนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้ที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดสำหรับครัวเรือนส่วนใหญ่ หนี้ประเภทนี้ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเพื่อความเป็นอยู่ทางการเงินที่ดีของคุณ”

 

ภาพ: pixdeluxe / Getty images 

อ้างอิง: 

The post เตือน! จ่ายขั้นต่ำ ‘ยิ่งจ่าย หนี้ยิ่งเพิ่ม’ ผู้เชี่ยวชาญแนะ 2 วิธีสร้างวินัยและแรงจูงใจในการชำระหนี้ระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
วางแผนการเงิน สร้างเงิน 1 ล้านแรกว่าต้องออมเดือนละเท่าไร ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนอย่างไร https://thestandard.co/financial-planning-save-invest-1-million/ Thu, 17 Apr 2025 10:11:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1065370 1 ล้านแรก

‘1 ล้านแรก’ คงเป็นหมุดหมายแรกๆ ที่สำคัญของคนวัยทำงานหลา […]

The post วางแผนการเงิน สร้างเงิน 1 ล้านแรกว่าต้องออมเดือนละเท่าไร ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
1 ล้านแรก

‘1 ล้านแรก’ คงเป็นหมุดหมายแรกๆ ที่สำคัญของคนวัยทำงานหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ เพราะหากใครก็ตามสามารถไปแตะที่ตัวเลขดังกล่าวได้แล้ว การจะสร้างเงินล้านถัดไปก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้นอย่างที่ใครหลายๆ คนกล่าวไว้

 

การจะสร้างเงินล้านแรกได้นั้นก็คงมีหลายวิธี และหากตอบแบบกำปั้นทุบดินก็จะบอกได้ว่า ก็เก็บเงิน 1 แสนบาท เป็นเวลา 10 เดือน ก็สามารถแตะ 1 ล้านบาทได้แล้วภายในเวลาไม่ถึงปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว จะมีคนสักกี่เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทยที่สามารถออมเงินด้วยสัดส่วนดังกล่าวได้ 

 

ดังนั้นแล้วการออมเงินและวางแผนเพื่อการลงทุน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่หากเริ่มต้นได้ไว เดินไปอย่างมีวินัย และมีความแน่วแน่ ใครๆ ก็สามารถไปถึงได้อย่างแน่นอน

 

ทั้งนี้ ผลตอบแทนที่จะทำได้ขึ้นกับปัจจัยหลักๆ 3 ส่วน ดังที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนผู้บุกเบิกแนว VI (Value Investor) ของประเทศไทย ได้แก่ เงินต้น (เงินลงทุนต่อเดือน), ผลตอบแทนที่ทำได้ (% ต่อปี) และระยะเวลา (ปี)

 

ในบทความนี้ทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปสำรวจ ‘วิธีการวางแผนสู่เงิน 1 ล้านแรกกัน’ ว่าต้องเก็บเงินเดือนละเท่าไร จะสามารถมีเงิน 1 ล้านบาทได้ภายใน 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี

 

 

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

The post วางแผนการเงิน สร้างเงิน 1 ล้านแรกว่าต้องออมเดือนละเท่าไร ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก FIRE 5 แบบ ปูทางสู่ ‘อิสรภาพทางการเงิน’ https://thestandard.co/financial-freedom-fire-types/ Fri, 11 Apr 2025 00:00:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1062692 financial-freedom-fire-types

Financial Independence, Retire Early หรือ FIRE คือแนวคิ […]

The post รู้จัก FIRE 5 แบบ ปูทางสู่ ‘อิสรภาพทางการเงิน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
financial-freedom-fire-types

Financial Independence, Retire Early หรือ FIRE คือแนวคิดการเกษียณให้เร็วผ่านการวางแผนการเก็บเงินอย่างเข้มข้นในสัดส่วนถึง 50-70% ของเงินเก็บ แล้วนำไปบริหารจัดการให้เติบโต เพื่อให้สามารถเข้าถึงอิสรภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด บ้างก็ตั้งเป้าอายุ 40 ปี บ้างก็ตั้งเป้าตั้งแต่อายุ 30 ปี เพื่อให้สามารถมีเวลาไปทำสิ่งที่ต้องการและออกแบบชีวิตของตนเองได้

 

ซึ่งในยุคปัจจุบันแนวคิดแบบ FIRE ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หลังแนวคิดทางการเงินเริ่มเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น เด็กยุคใหม่มองหาวิธีให้ตัวเองสามารถออกจากวงจรงานประจำได้เร็วที่สุด แต่ยังมีเงินมากพอให้สามารถไปใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้

 

ในบทความนี้ ทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปศึกษาแนวคิดแบบ FIRE หรือ Financial Independence, Retire Early ว่ามีหลักคิดแบบใดและมีรูปแบบอย่างไรบ้าง

 


 

รู้จัก FIRE 5 แบบ

 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

The post รู้จัก FIRE 5 แบบ ปูทางสู่ ‘อิสรภาพทางการเงิน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่าน 5 แนวคิด บริหารเงิน ของเศรษฐีที่รวยด้วยตัวเอง “เงินไม่ได้มีไว้เพื่อสะสม แต่เงินมีไว้เพื่อแก้ปัญหาและสนุกกับชีวิต” https://thestandard.co/5-mindsets-self-made-millionaires/ Sun, 23 Mar 2025 11:16:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1055352

กว่าคนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จเป็นคนรวยในวันนี้ได้อาจไม […]

The post อ่าน 5 แนวคิด บริหารเงิน ของเศรษฐีที่รวยด้วยตัวเอง “เงินไม่ได้มีไว้เพื่อสะสม แต่เงินมีไว้เพื่อแก้ปัญหาและสนุกกับชีวิต” appeared first on THE STANDARD.

]]>

กว่าคนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จเป็นคนรวยในวันนี้ได้อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางคนเกิดมามีต้นทุนจากความมั่งคั่งของมรดกตกทอด ทำให้มีจุดเริ่มต้นที่ดี ในขณะที่บางคนทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่น และต้องอาศัยการตัดสินใจเลือกอาชีพที่ถูกจังหวะ และกับบางคน โชคก็มีส่วน

 

อย่างไรก็ตาม มีนิสัยทั่วไปบางประการในหมู่คนร่ำรวยหรือเศรษฐีที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยตัวเอง มีหลักการออมเงิน 5 ข้อ และยึดถือกฎเหล่านี้เพื่อสร้างความมั่งคั่ง Ramit Sethi พิธีกรรายการโทรทัศน์ ได้รวบรวมและบอกเล่าเอาไว้ว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผู้คนควรจะเลิกบูชาคนรวย และหันมาเรียนรู้แบบอย่างวิธีคิดในสิ่งที่พวกเขาทำจนกว่าจะมีวันนี้จริงๆ”

 

1. รู้จุดอ่อนและจุดแข็งด้านการเงินของตัวเอง

 

หากคุณรู้ว่าคุณทำเงินได้เท่าไรในหนึ่งปี คุณก็ก้าวล้ำหน้าผู้คนมากมายไปแล้วหนึ่งก้าว

 

“คุณต้องรู้ตัวเลขเงินในบัญชีของคุณ” เขากล่าวกับ CNBC Make It โดยเขาเก็บข้อมูลการบริการเงินของคนรวย ซึ่งพบข้อมูลอันน่าทึ่งว่ากว่า 50% ของคู่รักไม่รู้รายได้ครัวเรือนของตนเอง และ 90% ของคนที่มีหนี้สินไม่รู้ว่าตนเองเป็นหนี้อยู่เท่าไร

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

นอกจากนี้ การติดตามและหมกมุ่นอยู่กับราคาไข่หรือน้ำมันหนึ่งแกลลอนนั้นเป็นเรื่องง่ายก็จริงแต่คงไม่ใช่ข้อดีนัก ปัจจัยเหล่านี้อาจไม่มีผลต่อค่าครองชีพเพื่อการออมการเกษียณอายุ สิ่งสำคัญก่อนจะไปถึงจุดนั้นคุณควรหันมาทบทวนและตั้งคำถามกับตัวเอง 7 ข้อ

 

  • ฉันจะหาเงินได้เท่าไร
  • ฉันมีหนี้เท่าไรและจะชำระหนี้หมดเมื่อใด
  • รายได้ของฉันกี่เปอร์เซ็นต์ที่นำไปออม
  • รายได้ของฉันกี่เปอร์เซ็นต์ที่นำไปลงทุน
  • รายได้ของฉันใช้ไปกับที่อยู่อาศัยเท่าไร
  • ฉันอยากใช้จ่ายกับอะไรมากขึ้นและน้อยลง
  • ฉันมีความเชื่อเกี่ยวกับเงินอย่างไร

 

แน่นอนว่าการรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ได้แต่หากไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลยคงไม่สามารถช่วยให้คุณไปได้ไกลมากกว่าการหันมาใส่ใจ ทำความเข้าใจสถานะทางการเงินของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจว่าขั้นตอนต่อไปของการเงินของคุณคืออะไร

 

“คนรวยที่รู้จักใช้เงินอย่างชาญฉลาดจะสามารถบอกคุณได้ว่าพวกเขาจะมีเงินเท่าไรในเดือนหน้า ปีหน้า หรือแม้กระทั่งอีก 5 ปีข้างหน้า”

 

2. ตัดสินใจให้ ‘เฉียบ’ และมีระบบในเรื่องการเงิน

 

อย่าใช้แต่เพียงความตั้งใจในการตัดสินใจเรื่องเงินอย่างชาญฉลาด แทนที่จะตั้งงบประมาณและมุ่งมั่นที่จะทำตามนั้น ให้ลองใช้ระบบจัดการเงินของแบบตัดค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ ทั้งเงินออม การลงทุน และการชำระบิลของคุณสามารถทำโดยอัตโนมัติได้ เพื่อให้คุณไม่ต้องคิดเรื่องต่างๆ เช่น คุณจะจ่ายค่าวันหยุดในปีนี้ได้หรือไม่

 

คุณสามารถทำได้โดยตั้งค่าการหักเงินจากเงินเดือนของคุณหรือโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีนายหน้าโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ คุณยังสามารถกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเงินสำหรับตัวเองได้ เช่น ตัดสินใจว่าจะนำเงินก้อนโตที่ได้รับไปลงทุนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เท่าไร และส่วนที่เหลือเพื่อซื้อความสุขให้กับชีวิตอย่างพอดี

 

Sethi เขียนว่า “คนรวยไม่เสี่ยงเอาความสำเร็จทางการเงินของตนเองกับแรงจูงใจที่พวกเขารู้สึกมีในปัจจุบันมาคิด พวกเขาจะสร้างระบบที่รัดกุมเพื่อจัดการเงินของพวกเขาโดยอัตโนมัติ”

 

3. วางแผนก่อนใช้จ่ายเสมอ

 

ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ชีวิตก็เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึง แต่สิ่งที่ทำให้คนรวยแตกต่างจากคนอื่นก็คือ “พวกเขามีแผนสำหรับอนาคต”

 

พวกเขาไม่เพียงแต่มีกองทุนฉุกเฉินที่มั่นคงเท่านั้น แต่ยังมีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่าต้องการและออกแบบให้ชีวิตเป็นอย่างไร

 

“คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าควรออมหรือลงทุนเท่าไร คิดให้ดีว่าคุณต้องการทำอะไรกับเงินของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการลาออกจากงานทั้งหมดเมื่ออายุ 60 ปี หรือเริ่มต้นธุรกิจของคุณเองเมื่อเลิกงาน”

 

เมื่อคุณตัดสินใจได้แล้ว คุณต้องสร้างไทม์ไลน์และวางแผน สร้างระบบการเก็บออมเงินเพื่อให้คุณไม่ลำบากในภายภาคหน้า

 

4. ดำเนินชีวิตตามหลักการ 80/20

 

คนรวยดำเนินชีวิตตามหลักการ 80/20 กล่าวคือ 80% ของผลลัพธ์ของคุณมาจากความพยายาม 20% หากเป็นธุรกิจนี่อาจหมายความว่า 80% ของกำไรมาจากลูกค้า 20%

 

หมายความว่าแทนที่จะกังวลเกี่ยวกับคำถามมูลค่า 3 ดอลลาร์ เช่น คุณควรซื้อลาเต้หรือชงกาแฟที่บ้านหรือไม่ ให้มุ่งเน้นไปที่ “คำถามมูลค่า 30,000 ดอลลาร์” เช่น คุณสามารถเจรจาขอขึ้นเงินเดือนหรือลดค่าที่อยู่อาศัยได้มากน้อยเพียงใด

 

“เพราะหากเราเอาแต่วนเวียนอยู่กับปัญหาและพยายามทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก”

 

5. เน้นคุณค่า มากกว่า ‘ต้นทุน’

 

แน่นอนว่าคุณสามารถประหยัดเงินได้บ้าง โดยเลือกตัวเลือกที่ถูกที่สุดเสมอ แต่การประหยัดเงินเพียงแลกสิ่งเล็กน้อยอาจไม่คุ้มกับผลิตภัณฑ์หรือประสบการณ์

 

“คนรวยที่ฉลาดเรื่องเงินไม่สนใจแค่ต้นทุนเท่านั้น แต่สนใจคุณค่าด้วย”

 

เขายกตัวอย่างการเลือกจ่ายเงินจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัว แทนที่จะพยายามสอนตัวเองผ่านแหล่งข้อมูลฟรี เช่น วิดีโอ YouTube “การจ่ายเงินให้ใครสักคนช่วยให้ฉันไม่ต้องหงุดหงิดอีกต่อไป และยังได้สิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น นั่นคือเวลา”

 

กฎเหล่านี้ควรนำไปใช้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ เลือกลงทุนในบางด้านที่สำคัญแทนที่จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายกับสิ่งที่ไม่สำคัญ

 

อย่าลืมว่า “The point of money isn’t to hoard it, The point of money is to use it to solve problems and enjoy your life.

 

จุดประสงค์ของเงินนั้นไม่ใช่เพื่อสะสมไว้ แต่จุดประสงค์ของเงินคือมีไว้ใช้เพื่อแก้ปัญหาวันข้างหน้าและสนุกกับชีวิต

 

ภาพ: Deagreez / Getty images

อ้างอิง:

The post อ่าน 5 แนวคิด บริหารเงิน ของเศรษฐีที่รวยด้วยตัวเอง “เงินไม่ได้มีไว้เพื่อสะสม แต่เงินมีไว้เพื่อแก้ปัญหาและสนุกกับชีวิต” appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิด 5 ประเทศที่มีระบบประกันสังคม เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณ บางประเทศให้เงินบำนาญขั้นต่ำ 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน https://thestandard.co/best-countries-for-retirement-social-security-2025/ Sun, 23 Mar 2025 05:35:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1055277 เปรียบเทียบ 5 ประเทศที่เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณที่มีระบบประกันสังคมดี โปรตุเกส เม็กซิโก คอสตาริกา มาเลเซีย และสเปน

ทำงานมาทั้งชีวิต ทุกคนต่างอยากใช้ชีวิตในวัยเกษียณเพื่อก […]

The post เปิด 5 ประเทศที่มีระบบประกันสังคม เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณ บางประเทศให้เงินบำนาญขั้นต่ำ 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปรียบเทียบ 5 ประเทศที่เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณที่มีระบบประกันสังคมดี โปรตุเกส เม็กซิโก คอสตาริกา มาเลเซีย และสเปน

ทำงานมาทั้งชีวิต ทุกคนต่างอยากใช้ชีวิตในวัยเกษียณเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ปัจจุบันการเกษียณอายุได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าขอบเขตแบบเดิมๆ และเปิดโอกาส ให้กับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตในต่างประเทศอย่างที่ต้องการในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น

 

ข้อมูลจาก Global Passport สำรวจจุดหมายปลายทางการเกษียณอายุที่น่าดึงดูดที่สุดของปี 2025 โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ค่าครองชีพ การรักษาพยาบาล การเข้าถึงวีซ่า และคุณภาพชีวิต 5 ประเทศ และหนึ่งในนั้นมีเพื่อนบ้านมาเลเซียติดอันดับอีกด้วย ดังนี้

 

โปรตุเกส: เมืองสวรรค์ของการใช้ชีวิตหลังเกษียณชาวยุโรป

 

โปรตุเกสยังคงครองตำแหน่งจุดหมายปลายทางการเกษียณอายุอันดับ 1 ของยุโรป โดยมีเสน่ห์แบบโลกวัฒนธรรมยุคเก่าที่ผสมผสานกับความสะดวกสบายที่ทันสมัยได้อย่างไม่มีใครเทียบ ซึ่งโปรตุเกสมีวีซ่า D7 หรือที่เรียกอีกอย่างว่าวีซ่า Passive Income ที่อนุญาตให้พลเมืองสหรัฐฯ สามารถพำนักอยู่ในโปรตุเกสได้หากมีรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง มีรายได้จากเงินบำนาญที่มั่นคง ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศสามารถเข้าถึงได้โดยเฉพาะ

 

เมืองต่างๆ ในโปรตุเกส เช่น ปอร์โตและภูมิภาคอัลการ์ฟ เน้นคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้เกษียณอายุด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันตก ทั้งระบบการดูแลสุขภาพ ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดในโลก ที่ครอบคลุมทั้งทางเลือกของรัฐและเอกชน ทำให้ผู้เกษียณอายุได้รับการดูแลทางการแพทย์ระดับสูงสุด

 

ส่วนภูมิอากาศโปรตุเกสมีสไตล์แบบเมดิเตอร์เรเนียน รายล้อมไปด้วยชายฝั่งทะเลที่สวยงาม และเมืองแห่งประวัติศาสตร์ ที่เหมาะสำหรับผู้เกษียณอายุที่ผสมผสานเมืองเก่าและใหม่ที่ยังมีชีวิตชีวา ชุมชนชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งของโปรตุเกส โดยเฉพาะในพื้นที่เช่น คาสไกส์และลากอส ช่วยให้ผู้มาใหม่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างราบรื่นในขณะที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารเป็นภาษาหลัก

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

เม็กซิโก: เกษียณอายุสไตล์หรูหราแต่เอื้อมถึงได้

 

เม็กซิโกเป็นที่ชื่นชอบของผู้เกษียณอายุในอเมริกาเหนือมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างราคาที่เอื้อมถึงได้ โดยสถานที่เกษียณอายุยอดนิยม เช่น ซาน มิเกล เดอ อัลเลนเดและเปอร์โตวัลลาร์ตา เป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวาซึ่งผู้เกษียณอายุสามารถเพลิดเพลินกับวิถีชีวิตที่หรูหราในงบประมาณที่จำกัด

วีซ่าที่อยู่ชั่วคราวของผู้เกษียณอายุของประเทศนี้ที่ต้องการหลักฐานรายได้ที่มั่นคง มีเกณฑ์ที่เข้าถึงได้ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ในยุโรป 

 

ส่วนระบบประกันสังคมมีสถานพยาบาลที่ทันสมัยในเมืองใหญ่ๆ ร่วมกับตัวเลือกประกันเอกชนราคาไม่แพง ช่วยให้ผู้เกษียณอายุสามารถเข้าถึงการดูแลทางการแพทย์ที่มีคุณภาพได้

 

อีกทั้งเม็กซิโกตั้งอยู่ใกล้กับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทำให้เหมาะสำหรับผู้เกษียณอายุที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับครอบครัว สภาพอากาศที่อบอุ่น มรดกทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย และชุมชนผู้ย้ายถิ่นฐานที่มั่นคง สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรสำหรับผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

 

คอสตาริกา: สวรรค์แห่งการเกษียณอายุในเขตร้อน

 

คอสตาริกามีโปรแกรมวีซ่าสำหรับผู้เกษียณอายุของคอสตาริกาจัดทำขึ้นสำหรับผู้เกษียณอายุโดยเฉพาะ โดยกำหนดให้มีรายรับจากบำนาญต่อเดือน 1,000 ดอลลาร์ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศจำนวนมากสามารถเข้าถึงได้ และด้วยสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่มั่นคงของประเทศและความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมที่น่าดึงดูดเหมาะแก่การใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

 

คอสตาริกามีระบบการดูแลสุขภาพของประเทศซึ่งผสมผสานตัวเลือกของรัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน ราคาเหมาะสม โดยพื้นที่เกษียณอายุยอดนิยม เช่น Central Valley และ Pacific Coast มีตัวเลือกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้ชีวิตบนภูเขาไปจนถึงชุมชนริมชายหาด

 

มีภูมิประเทศที่สวยงามของธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ เหมาะแก่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคอสตาริกาดึงดูดผู้เกษียณอายุที่แสวงหาไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง ที่เปรียบเสมือนปรัชญา “pura vida” อันหมายถึงชีวิตอันบริสุทธิ์ ของประเทศที่ส่งเสริมแนวทางการใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุที่ผ่อนคลายและมีสุขภาพดี

 

มาเลเซีย: ความหรูหราหลังเกษียณอายุในงบประมาณจำกัด

 

มาเลเซียมีโปรแกรม MM2H (Malaysia My Second Home) ที่นำเสนอตัวเลือกวีซ่าระยะยาวที่ต่ออายุได้สำหรับผู้เกษียณอายุพร้อมข้อกำหนดทางการเงินที่เหมาะสม มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่เช่นปีนังและกัวลาลัมเปอร์ มีสิ่งอำนวยความสะดวก ค่าครองชีพในราคาที่ต่ำกว่าประเทศตะวันตกอย่างมาก

 

ชาวมาเลเซียใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสื่อสารทั่วทั้งมาเลเซีย ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศง่ายขึ้น บวกกับระบบการดูแลสุขภาพที่ดี โดยมาเลเซียได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในระบบประกันสุขภาพที่ดีที่สุดในเอเชีย ที่มีการดูแลทางการแพทย์ระดับโลกในราคาที่เอื้อมถึงได้

 

รวมถึงวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาหารที่อร่อย และภูมิอากาศแบบเขตร้อนตลอดทั้งปี ทำให้เหมาะแก่สภาพแวดล้อมการเกษียณอายุที่แปลกใหม่แต่สะดวกสบาย อีกทั้งที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ของมาเลเซียยังทำให้มาเลเซียเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำธุรกิจหรือเป็นสถานที่ทำงานภูมิภาคเอเชียในช่วงเกษียณอายุ

 

สเปน: เกษียณอายุในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน

 

สเปนมีโปรแกรมวีซ่าที่ไม่แสวงหากำไร เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผู้อยู่อาศัยหลังเกษียณอายุ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดค่าครองชีพและรายได้ที่สูงกว่าโปรตุเกสเล็กน้อย แต่หากพูดถึงระบบการดูแลสุขภาพ มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดของโลก ทำให้สเปนเป็นจุดหมายปลายทางการเกษียณอายุที่น่าดึงดูด

 

โดยเฉพาะเมืองต่างๆ ในสเปน เช่น บาเลนเซียและมาลากา มอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์และความสะดวกสบายที่ทันสมัยให้กับผู้เกษียณอายุ ระบบขนส่งสาธารณะ และเมืองที่สามารถเดินได้ ทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายสำหรับผู้เกษียณอายุที่ไม่ต้องการขับรถ

 

อาหารเมดิเตอร์เรเนียนอันเลื่องชื่อ ชีวิตทางสังคมที่กระตือรือร้น และวัฒนธรรมกลางแจ้งล้วนเป็นปัจจัยที่ดึงดูดผู้เกษียณอายุที่ใส่ใจสุขภาพในสเปน ชุมชนชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ เหมาะแก่การเชื่อมโยงทางสังคมแก่ผู้มาใหม่

 

ภาพ: Aleh Varanishcha / Getty Images

อ้างอิง:

The post เปิด 5 ประเทศที่มีระบบประกันสังคม เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณ บางประเทศให้เงินบำนาญขั้นต่ำ 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025 https://thestandard.co/best-money-books-2025/ Fri, 21 Mar 2025 00:49:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1054456 best-money-books-2025

การเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) กลายเป็นหนึ่งในสิ่ง […]

The post 10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
best-money-books-2025

การเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนในยุคนี้จำเป็นต้องศึกษาท่ามกลางสังคมสูงวัยที่อัตราการเกิดน้อยลง เพื่อให้สามารถมีชีวิตที่เหมาะสมกับเงินเดือน และมีเงินเกษียณไว้ใช้ดูแลตนเองได้ในยามแก่ ซึ่งการอ่านหนังสือและการฟังวิดีโอหรือพอดแคสต์ ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอันหนึ่งสำหรับการศึกษาด้านการเงิน

 

ซึ่งการศึกษาด้านการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) จะทำให้ผู้ศึกษาได้เรียนรู้แนวทางการบริหารจัดการเงินในหลากหลายรูปแบบ แล้วหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดแก่ตัวเอง

 

ในบทความนี้ทีมงาน THE STANDARD WEALTH รวบรวม 10 หนังสือสำหรับการเงินส่วนบุคคลสำหรับปี 2025 ตามคำแนะนำของสำนักข่าว Business Insider ให้ผู้สนใจไปเลือกอ่านกัน

 


 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

1. Get Good with Money by Tiffany / The Budgetnista Aliche

 

Get Good with Money เป็นหนังสือที่เขียนโดย Tiffany Aliche ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม Budgetnista (ผู้ที่มีความสามารถในการจัดสรรเงิน) และเต็มไปด้วยเนื้อหาที่ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของ Tiffany ทั้งการแก้หนี้และเส้นทางตั้งแต่การวางแผนการเงินไปจนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ไม่เพียงเท่านั้นในหนังสือเล่มนี้ยังมี Worksheet สำหรับผู้อ่านใช้เป็นแนวทางการวางแผนการเงินได้อีกด้วยเช่นกัน

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

2. Retire Before Mom & Dad by Rob Berger

 

หนังสือเล่มนี้อธิบายหลักคิดที่สำคัญและแนวทางสำหรับคนที่ต้องการเป็น FIRE (Financially Independent, Retire Early) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่วางแผนการเงินอย่างเข้มข้นเพื่อการเกษียณตั้งแต่อายุน้อยได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ก็มีหลักคิดเกี่ยวกับการวางแผนสู่การมีอิสรภาพทางการเงินอย่างไร ซึ่งเหมาะกับคนที่สนใจการเงินแม้จะไม่ต้องการเกษียณเร็วเช่นกัน

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

3. How I Invest My Money by Joshua Brown and Brian Portnoy

 

สำหรับผู้ที่เคยสงสัยว่าเหล่านักวางแผนการเงิน นักลงทุน หรือ Venture Capitalist ลงทุนอย่างไร หนังสือเล่มนี้จะมาเปิดเผยรายละเอียดเหล่านี้ว่า ในระหว่างเส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินควรลงทุนหรือจัดสรรเงินอย่างไร ซึ่งหนังสือเล่มนี้อาจจะเหมาะกับผู้ที่มีพื้นฐานการเงินมาอยู่แล้ว และต้องการแนวทางหรือการต่อยอดสำหรับการลงทุนที่ดีขึ้น

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

4. The Simple Path to Wealth by JL Collins

 

แนวคิดเรื่อง The Simple Path to Wealth หรือแนวทางเรียบง่ายสู่ความมั่งคั่ง ถูกกล่าวขึ้นเมื่อ JL Collins ซึ่งเป็นผู้เขียนของหนังสือเล่มดังกล่าว เขียนจดหมายให้กับลูกสาวของตนเอง ทำให้หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเนื้อหาที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งยังอธิบายเรื่องซับซ้อนด้วยวิธีการเรียบง่าย เช่น ความแตกต่างระหว่างการลงทุนในตลาดกระทิงและตลาดหมี เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้นหนังสือเล่มนี้ยังติดอันดับ 1 หนังสือการเงินส่วนบุคคลที่ได้รับคะแนน 4.8 ดาว ด้วยจำนวนรีวิวมากกว่า 3,800 ความเห็นใน Amazon

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

5. Wealth Warrior: 8 Steps for Communities of Color to Conquer the Stock Market by Linda Garcia

 

Wealth Warrior โดย Linda Garcia เขียนเนื้อหาที่ให้กำลังใจกลุ่มคนผิวดำ โดยการอธิบายแนวคิดการลงทุนในตลาดหุ้นที่เข้าใจง่าย และขั้นตอน 8 ขั้นตอนสำหรับผู้เริ่มต้นในการลงทุนได้อย่างชัดเจน หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับคนที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการเก็บเงินแล้วต้องการต่อยอดไปสู่อีกขั้นของการลงทุน

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

6. The Psychology of Money: Timeless Lessons on Wealth, Greed, and Happiness by Morgan Housel

 

The Psychology of Money หรือ จิตวิทยาว่าด้วยเงิน (มีฉบับแปลไทยแล้ว) หนังสือการเงินชื่อดังที่จะนำพาผู้อ่านไปสำรวจว่าอารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ที่พบเจอในชีวิตแบบใด จะนำไปสู่พฤติกรรมและการตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินในรูปแบบใด แม้หนังสือเล่มนี้อาจไม่ได้มีคำแนะนำทางการเงินที่ชัดเจน แต่ทำให้ผู้อ่านได้สำรวจตัวตนและการตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตด้านการเงินได้เป็นอย่างดี

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

7. Finance for the People: Getting a Grip on Your Finances by Paco de Leon

 

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Paco de Leon อดีตนักวางแผนทางการเงินที่จะมาอธิบายเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อชีวิตการเงินของตนเอง แม้โลกใบนี้จะเต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม หรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากมาย ไม่เพียงเท่านั้นหนังสือเล่มดังกล่าวหยิบหยกเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยให้ควบคุมชีวิตการเงินตนเอง และการวางรากฐานการเงินได้มากขึ้นอีกด้วย

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

8. Broke Millennial Takes On Investing by Erin Lowry

 

หนังสือเล่มนี้เรียกเสียงฮือฮาจากสังคม เกี่ยวกับแนวคิดการจัดสรรเงินสำหรับกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลที่นิยมใช้ชีวิตหรูหราได้เป็นอย่างดี Erin Lowry ผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวยังแนบหลักคิดสำหรับการลงทุนให้กับผู้เริ่มต้น และการลงทุนในตลาดหุ้นให้สอดคล้องกับคุณค่าและความเชื่ออีกเช่นกัน

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

9. I Will Teach You to be Rich by Ramit Sethi

 

ในหนังสือเล่มนี้ Ramit Sethi นักเขียนด้านการเงินส่วนบุคคล อธิบายแนวคิด 6 สัปดาห์สำหรับการใช้ชีวิตแบบคนรวย ตามคำนิยามของแต่ละบุคคล Ramit ยังพาผู้อ่านไปสำรวจวิธีการใช้บัตรเครดิตเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด การเปิดบัญชีเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด หรือแม้แต่การตั้งระบบตัดเงินออมอัตโนมัติ เพื่อไม่ต้องใช้ความพยายามในการออมในแต่ละเดือน เป็นต้น ซึ่งในหนังสือเล่มดังกล่าวจะรวบรวมแนวทางที่สามารถปรับไปใช้งานได้อย่างมากมาย

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

10. Financially Lit!: The Modern Latina’s Guide to Level Up Your Dinero & Become Financially Poderosa by Jannese Torres

 

หนังสือ Financially Lit! จะเปิดเผยแนวทางการบริหารจัดการเงินที่ใช้ได้จริง และสามารถนำไปสร้างการเติบโตได้สูงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุนหรือการทำธุรกิจ ซึ่งหนังสือเล่มนี้อาจเขียนสำหรับกลุ่มคนลาตินเป็นพิเศษ 

 

อ้างอิง: 

The post 10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>