Wealth Management – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 23 Feb 2025 06:32:49 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 3 เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์! เผยวิธีลงทุนง่ายที่ไม่ต้องรู้ลึก แต่ต้องระวังกับดักที่นักลงทุนมือใหม่มักเจอ https://thestandard.co/self-made-millionaire-wealth-tip/ Sun, 23 Feb 2025 06:32:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1044973 เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์ เน้นการลงทุนแบบง่ายและสม่ำเสมอ

หากคุณตั้งเป้าสร้างความมั่งคั่งในปี 2025 เศรษฐีที่สร้าง […]

The post 3 เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์! เผยวิธีลงทุนง่ายที่ไม่ต้องรู้ลึก แต่ต้องระวังกับดักที่นักลงทุนมือใหม่มักเจอ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์ เน้นการลงทุนแบบง่ายและสม่ำเสมอ

หากคุณตั้งเป้าสร้างความมั่งคั่งในปี 2025 เศรษฐีที่สร้างตัวจากศูนย์มีคำตอบให้! แม้การ ‘รวยภายในปีเดียว’ อาจเป็นไปได้ยาก แต่มีขั้นตอนง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มความมั่งคั่งได้ ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากจุดไหน โดยเศรษฐีหลายคนยืนยันว่าการลงทุนไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่ทำตามหลักการพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอก็สร้างความมั่งคั่งได้ เหมือนการวิ่งมาราธอนที่ไม่ต้องวิ่งเร็ว แค่วิ่งให้ถึงเส้นชัย

 

Ramit Sethi ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเศรษฐีที่สร้างตัวเองเผยกับ CNBC Make It ว่า “หลายคนเชื่อว่าคนรวยมีการลงทุนลับๆ ที่ทำให้พวกเขาทำเงินมหาศาล ผมเข้าถึงการลงทุนพวกนั้นได้ และบอกได้เลยว่ามันไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนดัชนี S&P ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ” 

 

เขาแนะนำให้เริ่มลงทุนแต่เนิ่นๆ และตั้งระบบอัตโนมัติให้หักเงินเดือนเข้าการลงทุน 10% ทุกปี พร้อมเพิ่มสัดส่วน 1% ทุกสิ้นปี “ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และคุณจะกลายเป็นเศรษฐีเงินหลายล้าน”

 

อาจดูเหมือนว่าการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีที่กำลังมาแรง หรือทุ่มเงินทั้งหมดไปกับหุ้นที่มีประวัติผลตอบแทนดีจะทำให้รวยได้เร็วกว่า แต่กลยุทธ์เหล่านี้มาพร้อมความเสี่ยงมหาศาล ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต แม้แต่นักลงทุนที่มีประสบการณ์สูงก็ไม่สามารถจับจังหวะตลาดได้

 

Steve Adcock เศรษฐีที่เกษียณเร็วยอมรับว่า เขาเสียดายที่ไม่ได้ลงทุนเชิงรุกมากกว่านี้ตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ “มันคือการเติบโตแบบทบต้น ยิ่งลงทุนนานเท่าไรคุณก็จะมีเงินตอนเกษียณมากขึ้นเท่านั้น” การลงทุนแต่เนิ่นๆ ช่วยให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงาน เงินต้นและผลกำไรจะเติบโตต่อเนื่องแบบทวีคูณ เหมือนลูกบอลหิมะที่กลิ้งลงเขา ยิ่งกลิ้งนานยิ่งใหญ่ขึ้น

 

สำหรับคนที่มีประกันสังคมหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Sethi แนะนำให้ใช้ประโยชน์จากการหักเงินอัตโนมัติ โดยเฉพาะถ้าบริษัทมีการจ่ายสมทบ “นี่คือเงินฟรีที่คุณไม่ควรพลาด แม้คุณจะอายุยังน้อยและรายได้ไม่สูง แต่นี่คือโอกาสทองในการวางรากฐานนิสัยการออมและการลงทุนที่ดี”

 

อย่างไรก็ตาม Tess Waresmith เตือนว่า แม้ไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพก็ลงทุนได้ แต่ต้องระวัง ‘กับดักที่ปรึกษาการเงิน’ ที่ไม่เหมาะสม เธอเคยเสียเงินจากการรับคำแนะนำผิดๆ ตอนอายุ 26 ปี หลังจากเก็บเงินได้ก้อนใหญ่จากการทำงานบนเรือสำราญ “เพื่อนบอกว่าฉันควรให้เงินทำงานแทนที่จะกักตุนไว้เฉยๆ ด้วยความกลัวว่าจะลงทุนผิด ฉันเลยจ้างที่ปรึกษาการเงิน แต่พวกเขากลับตัดสินใจแย่ๆ แทนฉัน” เธอกล่าว

 

“ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ซื้อประกันบำนาญที่เหมาะกับคนอายุ 50 ปี” Waresmith เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวด แต่บทเรียนนี้ทำให้เธอเรียนรู้ที่จะสังเกตสัญญาณอันตราย เธอแนะนำให้อ่านหนังสือหรือเรียนคอร์สพื้นฐาน 1-2 เล่มก่อนเลือกที่ปรึกษา 

 

“คุณไม่จำเป็นต้องมีปริญญาเอกด้านการลงทุนหรือเป็นนักวิเคราะห์ แต่ต้องมีความรู้พอที่จะเห็นสัญญาณอันตราย ตอนนั้นฉันไม่รู้อะไรเลย จึงมองไม่เห็นจุดผิดปกติ”

 

นอกจากนี้เธอยังแนะนำให้เลือกที่ปรึกษาที่คิดค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่าย แทนการคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากผลกำไร และหากที่ปรึกษาไม่โปร่งใสเรื่องค่าใช้จ่าย เงินไม่โตอย่างที่ควรจะเป็น หรือคุณไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้ค่าตอบแทนอย่างไร นั่นคือสัญญาณว่าควรเปลี่ยนคนใหม่ 

 

เธอย้ำว่าความรู้พื้นฐานไม่เพียงช่วยปกป้องเงินออมของคุณ แต่ยังช่วยให้คุณมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้นด้วย

 

สุดท้ายผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเห็นพ้องว่า ‘ความสม่ำเสมอ’ คือกุญแจสำคัญสู่ความมั่งคั่ง การกระจายการลงทุน การรักษาระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม และการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาวมากกว่าการพยายามรวยทางลัด เหมือนนิทานกระต่ายกับเต่า บางครั้งการเดินช้าๆ แต่มั่นคงก็ชนะการวิ่งเร็วแต่ไม่สม่ำเสมอ

 

อ้างอิง:

The post 3 เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์! เผยวิธีลงทุนง่ายที่ไม่ต้องรู้ลึก แต่ต้องระวังกับดักที่นักลงทุนมือใหม่มักเจอ appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 กลยุทธ์จัดการเงินสร้างความมั่งคั่งสไตล์อเมริกัน! เจาะลึกโอกาสทองที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม พร้อมแนวทางปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน https://thestandard.co/american-wealth-building-strategies-overlooked-opportunities/ Sat, 22 Feb 2025 04:07:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1044704 แผนภาพแสดง 3 กลยุทธ์สร้างความมั่งคั่งแบบอเมริกัน ที่นักลงทุนมักมองข้าม ประกอบด้วยดอกเบี้ยทบต้น บัญชี HSA และการบริหารค่าตอบแทนในรูปหุ้น

การสร้างความมั่งคั่งไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงใช้จ่ายน้ […]

The post 3 กลยุทธ์จัดการเงินสร้างความมั่งคั่งสไตล์อเมริกัน! เจาะลึกโอกาสทองที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม พร้อมแนวทางปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แผนภาพแสดง 3 กลยุทธ์สร้างความมั่งคั่งแบบอเมริกัน ที่นักลงทุนมักมองข้าม ประกอบด้วยดอกเบี้ยทบต้น บัญชี HSA และการบริหารค่าตอบแทนในรูปหุ้น

การสร้างความมั่งคั่งไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ เก็บออมเงินสดไว้สำหรับเหตุฉุกเฉิน และนำส่วนที่เหลือไปลงทุนระยะยาว หากทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีหรือหลายทศวรรษ ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นเศรษฐีได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องการสร้างความมั่งคั่งให้มากขึ้น นักวางแผนการเงินในสหรัฐอเมริกา เผยโอกาสสำคัญที่หลายคนมองข้าม

 

‘พลังของดอกเบี้ยทบต้น’ คือหัวใจสำคัญประการแรก ที่สามารถเปลี่ยนผู้ออมธรรมดาให้กลายเป็นผู้สะสมทรัพย์สินรายใหญ่ได้ โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือ ‘เวลา’ เมื่อลงทุนแล้วได้ผลตอบแทน การนำผลตอบแทนนั้นกลับไปลงทุนต่อจะทำให้เกิดการเติบโตแบบทวีคูณ Warren Buffett เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน แม้เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 11 ปี แต่สร้างความมั่งคั่งส่วนใหญ่หลังอายุ 65 ปี นี่คือพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่ต้องใช้เวลา

 

สำหรับชาวอเมริกัน Health Savings Account (HSA) คือโอกาสที่สองที่มักถูกใช้ต่ำกว่าศักยภาพ HSA เป็นบัญชีพิเศษที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 3 ชั้น คือเงินที่นำเข้าบัญชีสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ต้องเสียภาษี และหากถอนออกมาเพื่อค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ก็ไม่ต้องเสียภาษี โดยหลังอายุ 65 ปีสามารถถอนเงินออกมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้เช่นเดียวกับบัญชีเกษียณอายุแบบ Traditional IRA

 

ทั้งนี้ การเปิดบัญชี HSA ต้องใช้คู่กับแผนประกันสุขภาพแบบ High-Deductible Health Plan (HDHP) ซึ่งมีค่าเบี้ยประกันรายเดือนต่ำ แต่ผู้เอาประกันต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองก่อนในวงเงินที่สูง ผู้วางแผนการเงินจึงมักแนะนำกลยุทธ์นี้เฉพาะกับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง มีประวัติค่าใช้จ่ายทางการแพทย์น้อย และมีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอที่จะรับมือกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น

 

โอกาสที่สามสำหรับพนักงานบริษัทในสหรัฐฯ คือการบริหารค่าตอบแทนในรูปแบบหุ้น ไม่ว่าจะเป็น Employee Stock Purchase Plan (ESPP) หรือ Stock Options ประเภทต่างๆ ESPP เป็นโครงการที่ให้พนักงานซื้อหุ้นบริษัทในราคาที่ได้ส่วนลด 5-15% แต่ประโยชน์นี้อาจกลายเป็นการขาดทุนได้หากถือหุ้นไว้โดยไม่มีแผนจัดการที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง

 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ขายหุ้นทันทีที่ได้รับสิทธิ์ เพื่อล็อกกำไรจากส่วนลดที่ได้รับ แล้วนำเงินไปลงทุนในพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงทั่วโลกด้วยต้นทุนต่ำ เพราะความสำเร็จทางการเงินระยะยาวมักขึ้นอยู่กับการออมและลงทุนอย่างสม่ำเสมอในพอร์ตที่กระจายความเสี่ยง มากกว่าการเก็งกำไรจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง

 

สำหรับผู้ที่ได้รับค่าตอบแทนในรูปหุ้น ควรศึกษาและทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 

 

  1. ประเภทของหุ้นที่ได้รับ เพราะมีเงื่อนไขต่างกัน
  2. ผลกระทบทางภาษีและความเสี่ยง
  3. เงื่อนไขการซื้อขาย รวมถึงช่วงห้ามซื้อขาย (Blackout Period)
  4. วางกลยุทธ์การจัดการที่เหมาะกับตนเอง 
  5. ติดตามดูแลความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการลงทุนและรักษาการกระจายความเสี่ยงให้ดี ไม่ควรปล่อยให้อนาคตทางการเงินพึ่งพานายจ้างมากเกินไป

 

ทั้งสามกลยุทธ์นี้เป็นแนวทางที่ใช้กันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีระบบภาษีและกฎหมายที่แตกต่างจากประเทศไทย ผู้ลงทุนชาวไทยควรศึกษาเครื่องมือและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในประเทศไทย เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เป็นต้น

 

การสร้างความมั่งคั่งไม่จำเป็นต้องถูกลอตเตอรี่ หรือเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว แต่อยู่ที่การรู้ว่าการตัดสินใจใดที่สร้างความแตกต่าง และลงมือทำอย่างชาญฉลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะแต่ละกลยุทธ์อาจเหมาะสมกับแต่ละคนไม่เท่ากัน

 

อ้างอิง:

The post 3 กลยุทธ์จัดการเงินสร้างความมั่งคั่งสไตล์อเมริกัน! เจาะลึกโอกาสทองที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม พร้อมแนวทางปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิธีเอาชนะเงินเฟ้อของนักลงทุนมืออาชีพ เมื่อราคาสินค้าพุ่ง 3.5% เผยเคล็ดลับรักษามูลค่าเงินออมด้วยพันธบัตรพิเศษ พร้อมรับมือเศรษฐกิจผันผวน https://thestandard.co/how-to-win-inflation-race-like-pro/ Wed, 19 Feb 2025 05:42:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1043657

ความจริงอันโหดร้ายของเงินเฟ้อกำลังปรากฏชัด! ล่าสุดดัชนี […]

The post วิธีเอาชนะเงินเฟ้อของนักลงทุนมืออาชีพ เมื่อราคาสินค้าพุ่ง 3.5% เผยเคล็ดลับรักษามูลค่าเงินออมด้วยพันธบัตรพิเศษ พร้อมรับมือเศรษฐกิจผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ความจริงอันโหดร้ายของเงินเฟ้อกำลังปรากฏชัด! ล่าสุดดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐอเมริกาที่รายงานเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 3% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตพุ่งแรงถึง 3.5% สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเงินเฟ้อเริ่มต้นแล้ว มันเหมือนไฟลามทุ่งที่หยุดยั้งได้ยาก ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและการออมของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมราคาไข่ที่พุ่งสูงจึงไม่ใช่ตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่แท้จริง นักเศรษฐศาสตร์อธิบายว่า มันเป็นเพียงปัญหาอุปสงค์-อุปทานจากการระบาดของไข้หวัดนก ไม่ได้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน เห็นได้จากราคาอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นเพียง 2.5% เท่านั้น แต่ผลกระทบที่น่ากังวลคือการที่เงินเฟ้อส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย ทำให้การผ่อนบ้านแพงขึ้นและราคาพันธบัตรร่วงลง

 

อย่างไรก็ตาม บทความจาก Forbes ระบุถึงข่าวดีสำหรับนักลงทุนและผู้ออมในสหรัฐฯ เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือรับมือกับเงินเฟ้อที่ดีกว่าเมื่อก่อน นั่นคือพันธบัตร TIPS (Treasury Inflation-Protected Security) หรือพันธบัตรที่มีการปรับมูลค่าตามอัตราเงินเฟ้อ โดยรุ่นอายุ 30 ปี รับประกันผลตอบแทนที่แท้จริง 2.4% ต่อปีหลังหักเงินเฟ้อแล้ว นับเป็นตัวเลขที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่ติดลบ

 

การทำความเข้าใจตลาดพันธบัตรอาจซับซ้อน แต่มีวิธีง่ายๆ คือ ดูส่วนต่างระหว่างพันธบัตร 2 ประเภท เมื่อเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลทั่วไปที่ให้ดอกเบี้ย 4.7% กับ TIPS ที่ให้ 2.4% พบว่ามีส่วนต่าง 2.3% ซึ่งเป็นอัตราที่ตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.2% ในระยะยาว ต่ำกว่าที่ผู้บริโภคคาดการณ์ที่ 3% ตามผลสำรวจของ Fed นิวยอร์ก

 

ความน่าสนใจของ TIPS คือการรับประกันว่าเงินที่ลงทุนจะไม่สูญค่าจากเงินเฟ้อ เพราะเงินต้นจะถูกปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อ ตัวอย่างเช่น ถ้าลงทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 34 ล้านบาท) และเงินเฟ้อปีนั้นอยู่ที่ 3% เงินต้นจะเพิ่มเป็น 1.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 34.7 ล้านบาท) โดยอัตโนมัติ พร้อมรับดอกเบี้ยอีก 2.4% จากมูลค่าที่ปรับแล้ว

 

ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อมีความชัดเจนขึ้น เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง และเดินหน้านโยบายขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งจะผลักดันราคาสินค้าให้สูงขึ้น การเนรเทศแรงงานต่างด้าวอาจทำให้ค่าจ้างพุ่ง

 

และที่น่ากังวลที่สุดคือการขาดดุลงบประมาณที่คาดว่าจะสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 64 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นอีกหากมีการขยายการลดภาษีปี 2017 หรือยกเว้นภาษีค่าล่วงเวลาและทิปตามที่ทรัมป์สัญญาไว้

 

ชาร์ลส์ คาโลมิริส นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง มองว่าการขาดดุลอาจกดดันให้รัฐบาลต้องเก็บภาษีเงินเฟ้อจากระบบเศรษฐกิจ ผ่านการลดค่าเงินและเงินสำรองธนาคาร ซึ่งจะกระทบกำลังซื้อของประชาชนโดยตรง

 

ขณะที่ จอห์น โคชเรน จาก Hoover Institution มองว่าเงินเฟ้อเกิดจากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะต้องมีงบประมาณเกินดุลในอนาคต เพื่อชำระหนี้รัฐบาลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

ทั้งสองมุมมองข้างต้นชี้ให้เห็นว่าการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยของนักการเมืองกำลังสร้างแรงกดดันต่อระดับราคาสินค้า

 

แม้แนวโน้มจะชัดเจน แต่ Fed ดูเหมือนจะยังงุนงงกับความยืดเยื้อของเงินเฟ้อ เมื่อไม่กี่ปีก่อน Fed เผยว่า ราคาที่พุ่งสูงเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่ต้องล้มเลิกคำอธิบายนี้ไปในที่สุด และเพิ่งผ่อนคลายนโยบายการเงินเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยความมั่นใจว่าควบคุมเงินเฟ้อได้แล้ว ซึ่งดูเหมือนจะเร็วเกินไป

 

สำหรับนักลงทุนที่กังวลว่าเงินเฟ้อจะสูงกว่า 2.2% ในระยะยาว บทความจาก Forbes ถึงกับแนะนำให้ขายพันธบัตรรัฐบาลทั่วไปใน IRA (Individual Retirement Account) และซื้อ TIPS แทน

 

แม้จะไม่ได้รับประกันว่าจะไม่เสียใจถ้าอัตราผลตอบแทน TIPS สูงขึ้นในอีก 1 ปี แต่อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจสูงกว่าคาด และรับประกันว่าเงินออมจะยังคงมีอำนาจซื้อเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคต

 

อ้างอิง:

The post วิธีเอาชนะเงินเฟ้อของนักลงทุนมืออาชีพ เมื่อราคาสินค้าพุ่ง 3.5% เผยเคล็ดลับรักษามูลค่าเงินออมด้วยพันธบัตรพิเศษ พร้อมรับมือเศรษฐกิจผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะลึกผลวิจัยจากวิกฤตการเงินโลก พร้อมบทเรียนสำคัญจากผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุด https://thestandard.co/stock-market-volatility-test/ Tue, 18 Feb 2025 05:10:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1043176

อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะ […]

The post อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะลึกผลวิจัยจากวิกฤตการเงินโลก พร้อมบทเรียนสำคัญจากผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>

อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะลึกผลวิจัยจากวิกฤตการเงินโลก พร้อมบทเรียนสำคัญจากผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุด

 

ความกลัวและความหวาดระแวงในการลงทุนเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักลงทุน โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดผันผวน ซึ่งเป็นสัญชาตญาณการตอบสนองต่อความเครียดที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ ดังที่ Harvard Medical School ระบุว่า “กลไกการต่อสู้หรือหนีพัฒนามาเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์คับขันได้อย่างรวดเร็ว” แต่กลไกนี้กลับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนในปัจจุบัน

 

Benjamin Graham ผู้เขียนหนังสือ The Intelligent Investor และบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า กล่าวว่า “ปัญหาใหญ่ที่สุดของนักลงทุน และอาจเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด คือตัวของเขาเอง” จากการศึกษาผู้เกษียณชาวอเมริกันเกือบ 2,000 คน พบว่าผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุดมักไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แต่ใช้ข้อมูลและมุมมองระยะยาวในการพิจารณา

 

Daniel Kahneman และ Amos Tversky นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้ศึกษาพบว่า การขาดทุนสร้างผลกระทบทางจิตวิทยามากกว่าการได้กำไรถึงสองเท่า ตามทฤษฎี Prospect Theory 

 

ยกตัวอย่างเช่น พอร์ตการลงทุนที่เติบโตจาก 1 ล้านดอลลาร์เป็น 1.5 ล้านดอลลาร์ แล้วปรับตัวลงมาที่ 1.3 ล้านดอลลาร์ นักลงทุนมักจะรู้สึกเสียใจกับการขาดทุน 2 แสนดอลลาร์ มากกว่าความยินดีที่ได้กำไร 3 แสนดอลลาร์

 

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่วงวิกฤตต่างๆ อย่างฟองสบู่ดอทคอมปี 2000-2002 ที่ดัชนี S&P 500 ร่วงถึง 49% หากลงทุน 10,000 ดอลลาร์ในจังหวะแย่ที่สุด เงินจะเติบโตเป็น 61,000 ดอลลาร์

 

หรือแม้แต่ในวิกฤต The Great Recession ปี 2007-2009 ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression ดัชนีร่วงถึง 57% แต่การลงทุนในจังหวะแย่ที่สุดยังให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือเงินสด

 

จากการศึกษาพบว่า การลงทุนในหุ้นปันผลระยะยาวมีศักยภาพในการเอาชนะเงินเฟ้อ โดยข้อมูลระหว่างปี 1980-2024 แสดงให้เห็นว่า การลงทุน 10,000 ดอลลาร์ในดัชนี S&P 500 จะได้เงินปันผลรายปีเพิ่มขึ้นจาก 529 ดอลลาร์เป็น 6,837 ดอลลาร์ และมูลค่าการลงทุนมีโอกาสเติบโตเป็น 544,898 ดอลลาร์ ในขณะที่การลงทุนในดัชนีพันธบัตร Lehman/Barclays Aggregate Bond Index จะเติบโตเป็น 13,902 ดอลลาร์

 

ผู้เกษียณที่มีความสุขมักเข้าใจว่าความผันผวนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน พวกเขามองการลงทุนเหมือนต้นแอปเปิ้ล ที่เมื่อดูแลอย่างเหมาะสมจะออกผลให้เก็บเกี่ยวได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องโค่นต้นทิ้ง ‘ความอดทน’ จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการลงทุนระยะยาว

 

นอกจากนี้ผู้เกษียณที่มีความสุขยังมองว่าการลงทุนไม่ใช่แค่การเพิ่มมูลค่าเงินออม แต่เป็นการรักษา ‘อำนาจซื้อ’ ให้คงอยู่ หากในช่วงทำงานใช้ชีวิตด้วยเงิน 75,000 ดอลลาร์ต่อปี พวกเขาต้องการรักษาระดับการใช้ชีวิตนี้ไว้ได้อีก 20-30 ปีหลังเกษียณ โดยคำนึงถึงผลกระทบของเงินเฟ้อที่จะทำให้ต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อรักษามาตรฐานการครองชีพเดิม 

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน พิจารณาเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะแม้ประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีศักยภาพในการรักษาอำนาจซื้อระยะยาว แต่ผลการดำเนินงานในอดีตก็ไม่ได้เป็นสิ่งรับประกันผลตอบแทนในอนาคต

 

อ้างอิง:

The post อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะลึกผลวิจัยจากวิกฤตการเงินโลก พร้อมบทเรียนสำคัญจากผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผลสำรวจชี้ 62% ของคู่รักเก็บเงินแยกกันอย่างน้อยบางส่วน แต่สำคัญกว่ารวมหรือแยกคือวางแผนร่วมกัน https://thestandard.co/couples-separate-finances-survey/ Sun, 16 Feb 2025 07:01:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1042551 การวางแผนเงินร่วมกับคู่รัก

สำหรับคู่รักมักเผชิญกับคำถามสำคัญเกี่ยวกับเรื่องเงิน “เ […]

The post ผลสำรวจชี้ 62% ของคู่รักเก็บเงินแยกกันอย่างน้อยบางส่วน แต่สำคัญกว่ารวมหรือแยกคือวางแผนร่วมกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
การวางแผนเงินร่วมกับคู่รัก

สำหรับคู่รักมักเผชิญกับคำถามสำคัญเกี่ยวกับเรื่องเงิน “เราควรแยกเงินกัน, รวมกัน หรือใช้ผสมกัน” ผลสำรวจของ Bankrate เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาพบว่า 62% ของคู่รักที่มีความสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง เก็บเงินอย่างน้อยบางส่วนแยกจากกัน

 

จากการสำรวจความเห็นของผู้ใหญ่ 2,217 คน พบว่า 38% ใช้บัญชีร่วมกัน ในขณะเดียวกัน 34% มีทั้งบัญชีร่วมและบัญชีส่วนตัว ส่วนอีก 27% เก็บเงินแยกกันโดยสิ้นเชิง

 

Bankrate พบว่าคู่รักที่อายุน้อยกว่ามีแนวโน้มที่จะชอบการแยกเงินกันมากกว่า ผลสำรวจพบว่า 88% ของ Gen Z เก็บเงินอย่างน้อยบางส่วนไว้กับตัวเอง เทียบกับ 70% ของ Millennial, 59% ของ Gen X และ 52% ของ Baby Boomer

 

Ted Rossman นักวิเคราะห์อาวุโสของ Bankrate กล่าวว่า คู่รักที่อายุน้อยกว่าอาจให้ความสำคัญกับบัญชีแยกต่างหากมากขึ้น เพราะพวกเขาแต่งงานกันช้าลงและคุ้นเคยกับการจัดการรายได้ของตนเอง นอกจากนี้การทำธุรกรรมธนาคารและการช้อปปิ้งออนไลน์ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งเสริมให้คู่รักที่อายุน้อยกว่ามีบัญชีแยกกัน

 

ทั้งนี้ การแยกเงินกันแต่เท่าเทียมกันสามารถทำได้ ตราบใดที่คู่รักตกลงกันล่วงหน้า Rossman กล่าว

 

“นั่นเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้คน คือคุณต้องสื่อสารเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำกับเงินของคุณ” Rossman กล่าว

 

ที่ปรึกษาทางการเงินหลายคนกล่าวว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของคู่รัก และสิ่งที่เหมาะสมที่สุดคือเมื่อเป็นการทำเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงิน

 

David Zavarelli นักวางแผนทางการเงินที่ได้รับการรับรองและที่ปรึกษาทางการเงินของ LPL กล่าวว่า เขากำลังทำงานร่วมกับคู่รักที่ยืนยันที่จะมีบัญชีแยกกันสำหรับทุกสิ่ง โดยคู่รักบางส่วนมีบัญชีมากถึง 27 บัญชี ซึ่งอาจเป็นเรื่องยุ่งยากในการดูแลด้วยซอฟต์แวร์การวางแผนทางการเงินของบริษัท แต่ก็ยังสามารถบริหารจัดการได้

 

การวิจัยจาก Cornell University ชี้ให้เห็นว่าทัศนคติของคู่รักที่มีต่อเงิน ไม่ว่าพวกเขาจะมองว่าปัญหาต่างๆ ว่าสามารถแก้ไขได้หรือไม่ มีอิทธิพลต่อวิธีที่พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการเงิน หากพวกเขารู้สึกว่าไม่มีทางออก พวกเขามักจะไม่พูดคุยกัน การขาดการสื่อสารนั้นอาจนำไปสู่การนอกใจทางการเงิน เมื่อคู่รักคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนโกหกหรือซ่อนข้อมูลทางการเงิน 

 

ผลสำรวจของ Bankrate พบว่า 40% ของผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่กับคู่ของตนกำลังกระทำหรือเคยกระทำการนอกใจทางการเงิน ตัวอย่างของความลับที่พวกเขาเก็บไว้ ได้แก่ การใช้จ่ายมากกว่าที่คู่ของตนต้องการ มีหนี้สินลับ หรือมีบัตรเครดิตลับ บัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีเช็ค เพื่อช่วยป้องกันสิ่งนั้น การใช้เวลาสื่อสารกับคู่ของคุณเกี่ยวกับเป้าหมายทางการเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาวนั้นเป็นประโยชน์ Rossman กล่าว

 

เคล็ดลับบริหารเงินสำหรับคู่รัก

 

ไม่ว่าคุณจะเลือกจัดการเงินอย่างไร คือแยกบัญชีกันโดยสิ้นเชิง แชร์บัญชีกันบางส่วน หรือเก็บเงินร่วมกันทั้งหมด ทุกครอบครัวต้องตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนจ่ายอะไร อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับประสบการณ์ก่อนหน้านี้กับเพื่อนร่วมห้อง อาจไม่ต้องการแยกรายการอาหารในครัวออกจากกันเมื่อแต่งงานกัน แต่อย่างน้อยควรคุยกันก่อนว่าใครจ่ายบิลอะไร รวมทั้งเป้าหมายทางการเงินที่อาจมีร่วมกัน และวางแผนการพูดคุยเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าคุณทั้งคู่เห็นด้วยกับกลยุทธ์ทางการเงินของตัวเอง

 

ตั้งค่าการชำระเงินอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมล่าช้าและลดความเครียด ตรวจสอบการเงินเป็นประจำ ขณะเดียวกันแต่ละคู่ควรพูดคุยเกี่ยวกับเป้าหมายการเกษียณอายุ และเป้าหมายระยะยาว เช่น การซื้อบ้านหรือไปเที่ยวพักผ่อนในฝัน หากเป็นไปได้ทั้งสองคนควรมีส่วนร่วมในบัญชีเกษียณอายุ และตั้งค่าการออมอัตโนมัติสำหรับความต้องการในอนาคต

 

เก็บรวม เก็บแยก หรือทั้งรวมและแยก

 

3 แนวทางหลักในการจัดการเงินสำหรับคู่แต่งงานใหม่ บัญชีแยก บัญชีร่วม หรือแบบผสมผสาน

 

สำหรับบัญชีแยก

 

การมีบัญชีแยกกันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่สะดวกสบายสำหรับคู่รักหลายคู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุ้นเคยกับการจัดการการเงินของตัวเอง ระบบบัญชีแยกต่างหากสามารถช่วยให้ความแตกต่างของรายได้ หนี้สิน และความขัดแย้งทางบุคลิกภาพที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง ‘นักใช้จ่าย’ กับ ‘นักออม’ ชัดเจนขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม บัญชีแยกต้องมีการสื่อสารมากขึ้นว่าใครจ่ายอะไร บางคู่แบ่งค่าใช้จ่ายเท่าๆ กัน ในขณะที่บางคู่อาจชอบจ่ายตามสัดส่วนรายได้

 

ข้อดีคือ แต่ละคนรับผิดชอบนิสัยการใช้จ่ายของตัวเองและชำระหนี้สินใดๆ ที่นำเข้ามาในการแต่งงาน วิธีการจัดการเงินนี้มักถูกมองว่ายุติธรรม และคุณอาจมีโอกาสน้อยที่จะทะเลาะกันเรื่องนิสัยการใช้จ่ายของคู่สมรสของคุณ

 

ข้อเสียคือ การติดตามว่าใครเป็นหนี้อะไรกลายเป็นงานหนักในแต่ละเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงอาชีพหรือมีลูก หากคู่รักแต่ละคนออมเงินเพื่อการเกษียณอายุโดยพิจารณาจากรายได้ส่วนบุคคล คุณอาจไม่ได้รับการปรับปรุงการลงทุนร่วมกันให้เหมาะสม

 

สำหรับบัญชีร่วม

 

การจัดการการเงินด้วยบัญชีร่วมกันสามารถทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นสำหรับคู่รัก เมื่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวจ่ายจากบัญชีเดียว การติดตามการใช้จ่ายจะง่ายขึ้น 

 

ข้อดีคือ การติดตามงบประมาณและการใช้จ่ายทำได้ง่ายขึ้น ไม่มีการแบ่งทรัพยากรรายเดือน และวิธีนี้ปรับให้เข้ากับความต้องการของครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงและเติบโต

 

ข้อเสียคือ: นิสัยการใช้จ่ายที่แตกต่างกันอาจนำไปสู่ความไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคู่รักคนหนึ่งมีรายได้มากกว่าอีกคน นอกจากนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะเก็บของขวัญเซอร์ไพรส์เป็นความลับ

 

สำหรับบัญชีแบบผสม

 

แนวทางแบบไฮบริดของบัญชีแยกและบัญชีร่วมสามารถสร้างสมดุลได้ ด้วยวิธีนี้รายได้ทั้งหมดจะเข้าบัญชีร่วมสำหรับค่าใช้จ่ายร่วมกัน ในขณะที่คู่รักแต่ละคนมีบัญชีส่วนตัวพร้อมการโอนเงินรายเดือนที่กำหนด การออม หนี้สิน และการเกษียณอายุทั้งหมดได้รับการจัดการร่วมกัน

 

บัญชีส่วนตัวนี้อนุญาตให้ซื้อของใช้ส่วนตัวได้อย่างอิสระโดยไม่มีการตัดสินจากทั้งสองฝ่าย จำนวนเงินที่โอนไปยังบัญชีส่วนตัวต้องมีการพูดคุยและตกลงกันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

 

ข้อดีคือ ไม่ต้องจัดการกับความแตกต่างของรายได้เมื่อจ่ายบิล ในขณะที่ยังคงมีอิสระในการซื้อสิ่งที่คุณต้องการ แต่ยังคงมีบัญชีเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน รวมทั้งการเกษียณอายุ

 

ข้อเสียคือ การจัดการบัญชีธนาคารหลายบัญชี การมีเงินฝากเข้าบัญชีส่วนตัวของคุณในแต่ละเดือนอาจให้ความรู้สึกเหมือนเบี้ยเลี้ยง ซึ่งอาจทำให้บางคนรู้สึกไม่พอใจ

 

อ้างอิง:

 

The post ผลสำรวจชี้ 62% ของคู่รักเก็บเงินแยกกันอย่างน้อยบางส่วน แต่สำคัญกว่ารวมหรือแยกคือวางแผนร่วมกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เจียรวนนท์-อยู่วิทยา-จิราธิวัฒน์’ ติด 20 อันดับแรก ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย https://thestandard.co/three-thai-families-asia-richest-2025/ Fri, 14 Feb 2025 05:32:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1041758 ภาพแสดงตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียประจำปี 2025 จัดอันดับโดย Bloomberg

จากการจัดอันดับ 20 ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ปี 202 […]

The post ‘เจียรวนนท์-อยู่วิทยา-จิราธิวัฒน์’ ติด 20 อันดับแรก ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพแสดงตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียประจำปี 2025 จัดอันดับโดย Bloomberg

จากการจัดอันดับ 20 ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ปี 2025 โดย Bloomberg พบว่ามี 3 ตระกูลของไทยที่ติดอยู่ใน 20 อันดับแรก ได้แก่ ตระกูลเจียรวนนท์ อันดับ 2 ความมั่งคั่ง 4.26 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.43 ล้านล้านบาท ตระกูลอยู่วิทยา อันดับ 8 ความมั่งคั่ง 2.57 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 8.66 แสนล้านบาท และตระกูลจิราธิวัฒน์ อันดับ 17 ความมั่งคั่ง 1.57 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 5.29 แสนล้านบาท

 

สำหรับตระกูลอื่นๆ ในเอเชียที่ร่ำรวยที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 

 

อันดับ 1 ตระกูล Ambani (อินเดีย) ธุรกิจ Reliance Industries ความมั่งคั่ง 9.05 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Dhirubhai Ambani พ่อของ Mukesh และ Anil เริ่มสร้าง Reliance Industries ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 หลังจากที่ Dhirubhai เสียชีวิตในปี 2002 โดยไม่ได้ทำพินัยกรรม ภรรยาม่ายของเขาได้เจรจาตกลงระหว่างลูกชายของเธอเพื่อควบคุมทรัพย์สินของครอบครัว 

 

Mukesh ดำรงตำแหน่งผู้นำของกลุ่มบริษัทที่ตั้งอยู่ในมุมไบ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก และได้ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจเทคโนโลยี ค้าปลีก บริการทางการเงิน และพลังงานสีเขียว โดยมีลูกๆ ของเขาเป็นผู้ดูแลหน่วยธุรกิจต่างๆ เหล่านี้ เขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สูง 27 ชั้น ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบ้านส่วนตัวที่แพงที่สุดในโลก

 

อันดับ 2 ตระกูลเจียรวนนท์ (ไทย) ธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ ความมั่งคั่ง 4.26 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Chia Ek Chor หนีออกจากหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นในภาคใต้ของจีน และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศไทย โดยขายเมล็ดพันธุ์ผักร่วมกับพี่ชายในปี 1921 หนึ่งศตวรรษต่อมา ธนินท์ เจียรวนนท์ ลูกชายของ Chia ดำรงตำแหน่งประธานอาวุโสของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอาหาร ค้าปลีก และโทรคมนาคม

 

อันดับ 3 ตระกูล Hartono (อินโดนีเซีย) ธุรกิจ Djarum, Bank Central Asia ความมั่งคั่ง 4.22 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Oei Wie Gwan ซื้อบุหรี่ยี่ห้อหนึ่งในปี 1950 และเปลี่ยนชื่อเป็น Djarum ธุรกิจนี้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตบุหรี่รายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย และหลังจากที่ Oei เสียชีวิตในปี 1963 ลูกชายของเขาได้ขยายธุรกิจโดยการลงทุนใน Bank Central Asia ปัจจุบันหุ้นดังกล่าวคิดเป็นส่วนใหญ่ของทรัพย์สินของครอบครัว

 

อันดับ 4 ตระกูล Mistry (อินเดีย) ธุรกิจ Shapoorji Pallonji Group ความมั่งคั่ง 3.75 หมื่นล้านดอลลาร์

 

ปู่ของ Pallonji Mistry เริ่มต้นธุรกิจก่อสร้างกับชาวอังกฤษในอินเดียในปี 1865 ปัจจุบัน Shapoorji Pallonji Group ครอบคลุมธุรกิจหลายด้าน รวมถึงวิศวกรรมและการก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินของครอบครัวส่วนใหญ่ไม่มีสภาพคล่อง โดยอยู่ใน Tata Sons ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งหลักที่อยู่เบื้องหลัง Tata Group มูลค่า 400,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย ปัจจุบัน Noel Tata ดำรงตำแหน่งผู้นำของ Tata Trusts หลังจากที่ Ratan Tata ผู้ก่อตั้งตระกูลเสียชีวิต

 

อันดับ 5 ตระกูล Kwok (ฮ่องกง) ธุรกิจ Sun Hung Kai Properties ความมั่งคั่ง 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Kwok Tak-seng ได้นำ Sun Hung Kai Properties จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 1972 นับจากนั้นมา บริษัทก็กลายเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของฮ่องกง ลูกชายของ Kwok อย่าง Walter, Thomas และ Raymond ได้เข้ามาบริหารกิจการเมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1990 แม้ว่า Walter จะเสียตำแหน่งประธานในปี 2008 หลังจากการทะเลาะเบาะแว้งกับพี่น้องของเขา ปัจจุบัน Raymond ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท

 

อันดับ 6 ตระกูล Tsai (ไต้หวัน) ธุรกิจ Cathay Financial, Fubon Financial ความมั่งคั่ง 3.09 หมื่นล้านดอลลาร์

 

พี่น้องตระกูล Tsai ก่อตั้งบริษัท Cathay Life Insurance ขึ้นในปี 1962 ต่อมาในปี 1979 ครอบครัวได้ตัดสินใจแยกธุรกิจออกจากกัน โดยให้ Tsai Wan-lin และ Tsai Wan-tsai เข้ามาดูแลบริษัท Cathay Life Insurance และ Cathay Insurance ตามลำดับ ต่อมา Cathay Insurance ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Fubon Insurance ปัจจุบันครอบครัวนี้ถือหุ้นในบริษัทโฮลดิ้งทางการเงินขนาดใหญ่ 2 แห่งในไต้หวัน และได้ขยายธุรกิจไปสู่ภาคส่วนต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์และโทรคมนาคม

 

อันดับ 7 ตระกูล Jindal (อินเดีย) ธุรกิจ OP Jindal Group ความมั่งคั่ง 2.81 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Om Prakash Jindal เริ่มก่อตั้งโรงงานเหล็กในปี 1952 และเติบโตจนกลายเป็น OP Jindal Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ครอบคลุมตั้งแต่เหล็กไปจนถึงพลังงาน ซีเมนต์ และกีฬา เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานในรัฐ Haryana ทางตอนเหนือของอินเดีย Savitri ต่อมาเมื่อเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกในปี 2005 ภรรยาของเขาเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานของกลุ่ม โดยมีลูกชาย 4 คนเป็นผู้บริหารธุรกิจ

 

อันดับ 8 ตระกูลอยู่วิทยา (ไทย) ธุรกิจ TCP Group ความมั่งคั่ง 2.57 หมื่นล้านดอลลาร์

 

เฉลียว อยู่วิทยา ก่อตั้งบริษัท ที.ซี. ฟาร์มาซูติคอล ขึ้นในปี 1956 เพื่อจำหน่ายยารักษาโรค ต่อมาได้ขยายธุรกิจไปสู่สินค้าอุปโภคบริโภค และในปี 2518 ได้คิดค้นเครื่องดื่มชูกำลังที่เรียกว่า กระทิงแดง หลังจากที่ Dietrich Mateschitz นักการตลาดชาวออสเตรียค้นพบเครื่องดื่มชนิดนี้ระหว่างเดินทางไปทำธุรกิจในเอเชีย เขาจึงร่วมมือกับเฉลียวเพื่อปรับสูตรและทำการตลาดกระทิงแดงไปทั่วโลก ความสำเร็จของตระกูลอยู่วิทยาและมาเตชิตซ์นั้นส่วนใหญ่มาจากเครื่องดื่มชูกำลัง

 

อันดับ 9 ตระกูล Birla (อินเดีย) ธุรกิจ Aditya Birla Group ความมั่งคั่ง 2.30 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Aditya Birla Group เป็นหนึ่งในธุรกิจครอบครัวที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย โดยมีผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โลหะ บริการทางการเงิน และค้าปลีก บริษัทเริ่มต้นจากบริษัทค้าฝ้ายในศตวรรษที่ 19 ก่อนที่ Ghanshyam Das Birla ผู้ซึ่งให้เงินทุนสนับสนุนการต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากการปกครองของอังกฤษของมหาตมะ คานธี จะสร้างบริษัทแห่งหนึ่งที่กลายมาเป็นผู้ผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดของประเทศ หลานชายของเขาก็ชื่อ Kumar Mangalam Birla ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทในปัจจุบัน

 

อันดับ 10 ตระกูล Lee (เกาหลีใต้) ธุรกิจ Samsung ความมั่งคั่ง 2.27 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Lee Byung-chull ก่อตั้งบริษัทซัมซุงในปี 1938 ในฐานะบริษัทการค้าที่ส่งออกผลไม้ ผัก และปลา เขาก้าวเข้าสู่วงการเทคโนโลยีด้วยการก่อตั้งบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ในปี 1969 ซึ่งกลายเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำและสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1987 ลูกชายคนที่ 3 ของเขา Lee Kun-hee ได้เข้ามาดูแลธุรกิจนี้ต่อ เขาเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 2020 หลังจากต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานานหลายปีจากอาการหัวใจวายในปี 2014 Jay Y. Lee ซึ่งได้ยึดอำนาจเหนือกลุ่มบริษัทนี้มาตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเขาเคยติดคุกในข้อหาติดสินบนในเรื่องอื้อฉาวที่นำไปสู่การถอดถอนอดีตประธานาธิบดี Park Geun-hye ในปี 2017 เขาได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดในปี 2021 และได้รับการอภัยโทษในปีถัดมา

 

อันดับ 17 ตระกูลจิราธิวัฒน์ (ไทย) ธุรกิจ Central Group ความมั่งคั่ง 1.57 หมื่นล้านดอลลาร์

 

ตระกูลจิราธิวัฒน์ควบคุมกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทพาณิชย์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมีบริษัทลูกมากกว่า 50 แห่ง ตระกูลที่มีเชื้อสายจีนนี้เดิมทีมีคุณเตียน จิราธิวัฒน์เป็นผู้นำ ซึ่งอพยพมาจากไหหลำเพื่อมาตั้งร้านเล็กๆ ในกรุงเทพฯ ในปี 1947 ลูกชายของเขาบริหารอาณาจักรนี้มาประมาณครึ่งศตวรรษ ก่อนที่รุ่นหลานจะเข้ามาบริหาร

 

อ้างอิง:

The post ‘เจียรวนนท์-อยู่วิทยา-จิราธิวัฒน์’ ติด 20 อันดับแรก ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
มหาเศรษฐีรวยสุด 500 คน มั่งคั่งรวมกันกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ https://thestandard.co/worlds-richest-500-wealth-10-trillion-dollars/ Wed, 01 Jan 2025 03:55:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1026305 worlds-richest-500-wealth-10-trillion-dollars

กลุ่มมหาเศรษฐี 500 อันดับแรกของโลกมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ […]

The post มหาเศรษฐีรวยสุด 500 คน มั่งคั่งรวมกันกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
worlds-richest-500-wealth-10-trillion-dollars

กลุ่มมหาเศรษฐี 500 อันดับแรกของโลกมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในปี 2024 โดย อีลอน มัสก์, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก และ เจนเซน หวง นำกลุ่มมหาเศรษฐีไปสู่จุดสูงสุดใหม่ด้วยความมั่งคั่งรวมกันแตะระดับ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

การปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความมั่งคั่งของกลุ่มนี้ เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ อย่าง แลร์รี เอลลิสัน, เจฟฟ์ เบโซส์, ไมเคิล เดลล์ และผู้ร่วมก่อตั้ง Google อย่าง แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน โดยมหาเศรษฐีเทคโนโลยีทั้ง 8 รายนี้มีความมั่งคั่งเพิ่มรวมกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 43% จากการเพิ่มขึ้นทั้งหมดของมูลค่าความมั่งคั่ง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่มหาเศรษฐี 500 อันดับแรกได้รับในปีนี้

 

มัสก์ ซึ่งถูกเรียกว่า ‘เพื่อนสนิทคนแรก’ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 2.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจากต้นปีเป็น 4.42 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ตลาดหุ้นโดยรวมเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 24% ในปี 2024 โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 รวมถึง Tesla ของมัสก์, Meta ของซักเคอร์เบิร์ก และ NVIDIA ของหวง ซึ่งทั้ง 3 บริษัทนี้มีบทบาทสำคัญในผลประกอบการของตลาด

 

ชัยชนะของทรัมป์ในการเลือกตั้งยังเพิ่มแรงกระตุ้นให้กับตลาด โดยดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024 พร้อมการเพิ่มขึ้นสูงสุดในวันหลังการเลือกตั้งในประวัติศาสตร์

 

นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลก็ได้รับผลดี โดย Bitcoin ทะลุระดับ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้กับมหาเศรษฐีในวงการคริปโตเคอร์เรนซี เช่น ฉางเผิงจ้าว (CZ) แห่ง Binance ซึ่งมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 60% เป็น 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ความมั่งคั่งรวมของมหาเศรษฐี 500 อันดับแรกพุ่งขึ้นสูงสุด ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2024 อยู่ที่ 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 9.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2024 ใกล้เคียงกับ GDP ของเยอรมนี ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย รวมกันในปีที่ผ่านมา

 

ภาพ: Brandon Bell / Staff / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post มหาเศรษฐีรวยสุด 500 คน มั่งคั่งรวมกันกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
มหาเศรษฐีจีนกลับมารวยขึ้นอีกครั้งในรอบ 4 ปี Pony Ma เจ้าของ Tencent รวยขึ้นมากสุด https://thestandard.co/china-s-billionaires-are-making-money-for-first-time-since-2020/ Thu, 19 Dec 2024 02:00:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1021260 Pony Ma Tencent

ความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีชาวจีนเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น […]

The post มหาเศรษฐีจีนกลับมารวยขึ้นอีกครั้งในรอบ 4 ปี Pony Ma เจ้าของ Tencent รวยขึ้นมากสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Pony Ma Tencent

ความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีชาวจีนเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากความมั่งคั่งโดยรวมลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้ (2021-2023) เนื่องจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และนโยบาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ (Common Prosperity) ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่มุ่งเป้าลดอิทธิพลของเจ้าของธุรกิจเอกชนรายใหญ่  

 

ความมั่งคั่งรวมของ 55 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ อิงจาก Bloomberg Billionaires Index เพิ่มขึ้น 16% สู่ระดับ 8.09 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.13 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 3.8 ล้านล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หลังจากความมั่งคั่งลดลง 42% จากจุดสูงสุดที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2020 มาเหลือ 6.96 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2023 

 

มหาเศรษฐีในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่ความมั่งคั่งฟื้นตัวมากที่สุด โดยเฉพาะ Pony Ma เจ้าของ Tencent Holdings Ltd. ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 4.79 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 500 คนแรก

 

รองลงมาคือ Lei Jun ผู้ก่อตั้ง Xiaomi Corp. ซึ่งความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์ โดย Xiaomi ได้แรงหนุนจากการเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว  


ในบรรดาผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัว Chen Tianshi ประธานบริษัท Cambricon Technologies Corp. และ Wang Ning เจ้าของธุรกิจ Pop Mart International Group Ltd. มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 3 เท่าในปีนี้  

 

อย่างไรก็ตาม จีนเป็นประเทศที่ตำแหน่งบุคคลที่รวยที่สุดเปลี่ยนมือบ่อยที่สุดระหว่างปี ตั้งแต่ Bloomberg เริ่มจัดอันดับในปี 2012 แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจจีนที่สร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจที่สามารถจับความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภคในวงกว้าง

 

Colin Huang ผู้ก่อตั้ง PDD Holdings Inc. ผู้ให้บริการ Temu ร้านค้าปลีกออนไลน์ราคาประหยัด กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในจีนเมื่อเดือนสิงหาคม แต่ครองตำแหน่งเพียง 18 วัน ก่อนจะสูญเสียให้กับ Zhong Shanshan มหาเศรษฐีเจ้าของ Nongfu Spring Co.  

 

อ้างอิง:

The post มหาเศรษฐีจีนกลับมารวยขึ้นอีกครั้งในรอบ 4 ปี Pony Ma เจ้าของ Tencent รวยขึ้นมากสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Top 10 ครอบครัวมหาเศรษฐีของโลก ปี 2024 https://thestandard.co/top-10-wealthy-families-2024/ Mon, 16 Dec 2024 10:42:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1020135 top-10-wealthy-families-2024

‘2024’ ปีของความผันผวนที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่นแห่งความแป […]

The post Top 10 ครอบครัวมหาเศรษฐีของโลก ปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
top-10-wealthy-families-2024

‘2024’ ปีของความผันผวนที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่นแห่งความแปรปรวน จากทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการเงิน ในไทยและต่างประเทศ การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ, การลอบยิงคนสำคัญของโลก, การก่อสงครามในหลายพื้นที่ทั่วโลก ตลอดจนการฉ้อโกงในตลาดหุ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เต็มไปด้วยพัฒนาการจากโลกเทคโนโลยีด้าน AI (Artificial Intelligence), รถยนต์ไฟฟ้า และ Biotechnology

 

แต่ไม่ว่าระลอกคลื่นแห่งความผันผวนเหล่านี้จะเป็นไปอย่างไร มหาเศรษฐีกลุ่มหนึ่งของโลกก็ยังสามารถรักษาและสร้างความเติบโตในด้านความมั่งคั่งให้กับตนเองได้อย่างต่อเนื่อง

 

ในบทความนี้ทางทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปรู้จักกับ 10 ครอบครัวมหาเศรษฐีประจำปี 2024 ว่าเป็นใครบ้างและอยู่ในแวดวงธุรกิจอะไร

 

top-10-wealthy

 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

The post Top 10 ครอบครัวมหาเศรษฐีของโลก ปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
วอร์เรน บัฟเฟตต์ แนะพ่อแม่ทุกคนให้ทำสิ่งหนึ่งก่อนเสียชีวิต ไม่ว่าจะมีมากหรือมีน้อย https://thestandard.co/buffett-advises-parents-one-thing/ Sun, 01 Dec 2024 08:33:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1014861

วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้มีความ […]

The post วอร์เรน บัฟเฟตต์ แนะพ่อแม่ทุกคนให้ทำสิ่งหนึ่งก่อนเสียชีวิต ไม่ว่าจะมีมากหรือมีน้อย appeared first on THE STANDARD.

]]>

วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้มีความมั่งคั่งกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีลูก 3 คน แนะนำพ่อแม่ทุกคน ไม่ว่าจะมีความมั่งคั่งเล็กน้อยหรือมหาศาล นั่นคือ ควรให้ลูกๆ อ่านพินัยกรรมก่อนจะลงนาม

 

“ทำให้แน่ใจว่าลูกๆ แต่ละคนเข้าใจทั้งเหตุผลในการตัดสินใจของคุณและความรับผิดชอบที่พวกเขาจะต้องเผชิญเมื่อคุณเสียชีวิต” บัฟเฟตต์กล่าว

 

พร้อมระบุต่อว่า “คุณคงไม่อยากให้ลูกๆ ของคุณถามว่า ‘ทำไม’ เกี่ยวกับการตัดสินใจในพินัยกรรมในยามที่คุณไม่สามารถตอบได้อีกต่อไป” อีกทั้งยังมองว่า “การสนทนาที่ยากลำบากจะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

 

ขณะที่ ดักลาส โบนพาร์ธ นักวางแผนการเงิน ผู้ก่อตั้งและประธาน Bone Fide Wealth ในนิวยอร์กซิตี้ เห็นด้วยกับคำแนะนำของบัฟเฟตต์ในการเปิดเผยแผนการจัดการมรดก โดยระบุว่า “การสนทนาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยาก แต่มีความหมาย และหากพูดคุยกันอย่างถูกต้องจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ได้ 

 

“จินตนาการของลูกๆ สามารถโลดแล่นไปกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่าควรได้รับ ดังนั้นคุณควรชัดเจนและละเอียดถี่ถ้วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ว่าใครจะได้รับอะไรและทำไม” โบนพาร์ธกล่าว

 

บัฟเฟตต์เล่าอีกว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาเห็นครอบครัวหลายครอบครัวแตกแยกกันจากคำสั่งในพินัยกรรมหลังเสียชีวิต ทำให้ผู้รับผลประโยชน์สับสนและบางครั้งก็โกรธ ความอิจฉาริษยารวมถึงการดูถูกเหยียดหยามที่เกิดขึ้นจริงหรือจินตนาการขึ้นในวัยเด็กทวีความรุนแรงมากขึ้น

 

โบนพาร์ธแนะว่า หากมรดกไม่ได้ถูกแบ่งให้พี่น้องเท่าๆ กัน คุณจะต้องอธิบายว่าทำไม โดยบางทีลูกคนหนึ่งอาจได้รับมรดกมากกว่า เพราะอีกคนหนึ่งควรได้รับความช่วยเหลือในการดาวน์บ้านหรือเข้าเรียนในวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก

 

แคโรลีน แมคคลานาฮาน ผู้ก่อตั้ง Life Planning Partners แนะนำอีกว่า “ตอนที่กำลังจัดทำเอกสารเกี่ยวกับมรดก ควรถามลูกๆ ล่วงหน้าว่าอะไรสำคัญสำหรับพวกเขา เพื่อคุณจะได้คำนึงถึงสิ่งนั้น”

 

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีพ่อแม่ควรปกปิดข้อมูลบางอย่างไว้ในพินัยกรรม ตัวอย่างเช่น เธอจะแนะนำให้พ่อแม่ระมัดระวังมากขึ้นหากลูกๆ ต้องการเอาเปรียบพ่อแม่ ขณะเดียวกันหากเด็กไม่มีความรับผิดชอบต่องานหรือเงิน การจะได้รับมรดกจำนวนมากอาจกัดกร่อนจริยธรรมในการทำงานและความทะเยอทะยานของลูกๆ มากขึ้น 

 

“หากคุณมีลูกที่ยังไม่โต การแบ่งปันข้อมูลดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายได้” แมคคลานาฮานกล่าว พร้อมเสริมว่า เธออาจแนะนำให้ลูกค้าในสถานการณ์เช่นนี้เขียนจดหมายถึงลูกๆ ของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะไม่เห็นจนกว่าพวกเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว เพื่ออธิบายถึงการตัดสินใจเรื่องมรดกของพวกเขา

 

“แต่ละครอบครัวแตกต่างกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรมีกฎเกณฑ์ตายตัว” แมคคลานาฮานกล่าว

 

อ้างอิง: 

The post วอร์เรน บัฟเฟตต์ แนะพ่อแม่ทุกคนให้ทำสิ่งหนึ่งก่อนเสียชีวิต ไม่ว่าจะมีมากหรือมีน้อย appeared first on THE STANDARD.

]]>