Wealth Management – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 20 Apr 2025 11:44:00 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เตือน! จ่ายขั้นต่ำ ‘ยิ่งจ่าย หนี้ยิ่งเพิ่ม’ ผู้เชี่ยวชาญแนะ 2 วิธีสร้างวินัยและแรงจูงใจในการชำระหนี้ระยะยาว https://thestandard.co/minimum-payment-debt-trap/ Sun, 20 Apr 2025 11:44:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1066299

4 ใน 10 ชาวอเมริกันมีหนี้บัตรเครดิตผิดชำระ! ผู้เชี่ยวชา […]

The post เตือน! จ่ายขั้นต่ำ ‘ยิ่งจ่าย หนี้ยิ่งเพิ่ม’ ผู้เชี่ยวชาญแนะ 2 วิธีสร้างวินัยและแรงจูงใจในการชำระหนี้ระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>

4 ใน 10 ชาวอเมริกันมีหนี้บัตรเครดิตผิดชำระ! ผู้เชี่ยวชาญเตือน ยิ่ง ‘จ่ายขั้นต่ำ’ ไปเรื่อยๆ ยิ่งเป็นหนี้นานขึ้น

 

ตามรายงานล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐในนิวยอร์ก ระบุ ขณะนี้ชาวอเมริกันเผชิญหนี้บัตรเครดิตพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ 

 

แต่ที่น่าสนใจก็คือ เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่หนี้บัตรเครดิตยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจไม่ได้เกี่ยวกับการใช้จ่ายมากนัก แต่เกี่ยวกับ ‘ความสับสน’ มากกว่า 

 

โดยการสำรวจล่าสุดจาก Experian พบว่าชาวอเมริกัน 2 ใน 5 ที่เป็นหนี้บัตรเครดิต “เชื่อว่าการชำระเงินขั้นต่ำก็เพียงพอที่จะจัดการกับหนี้ได้”

 

Melissa Lambarena นักเขียนอาวุโสของทีมบัตรเครดิตที่ NerdWallet กล่าวว่า การคาดเดานั้นทำได้ง่าย เนื่องจากจำนวนเงินขั้นต่ำคือจำนวนเงินที่พิมพ์อยู่บนใบแจ้งยอด ดังนั้น การชำระยอดขั้นต่ำจึงอาจดูเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

 

อย่างไรก็ตาม “การชำระหนี้ขั้นต่ำไปเรื่อยๆ จะทำให้คุณเป็นหนี้นานขึ้นมาก” เธอกล่าว

 

หากต้องการปลดหนี้ ต้องจ่ายเงินมากกว่าขั้นต่ำในแต่ละเดือน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวอีกว่า ประเด็นนี้จำเป็นอย่างมาก และเป็นกลยุทธ์ที่สามารถจัดการหนี้ได้

 

โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้วิธีแบบ “ก้อนหิมะกลิ้งลงเขา” หรือ “ทลายหิมะให้ถล่ม” เพื่อสร้างวินัยและแรงจูงใจในการชำระหนี้บัตรเครดิต 

 

Lambarena กล่าวว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน แต่กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือ “วิธีที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับคุณซึ่งจะทำให้คุณมีแรงจูงใจในการชำระหนี้ระยะยาว”

 

1. กลิ้งก้อนหิมะลงจากเขา (The snowball method) 

 

วิธีกลิ้งก้อนหิมะลงเขาเป็นแนวทางให้คุณชำระหนี้ตามลำดับจากยอดหนี้ที่น้อยที่สุดไปยังยอดหนี้ที่มากที่สุด คุณชำระหนี้ขั้นต่ำทั้งหมด จากนั้นนำเงินที่เหลือไปชำระบัตรเครดิตที่มียอดหนี้น้อยที่สุดก่อน

 

เมื่อชำระยอดหนี้ในบัตรเครดิตที่น้อยที่สุดแล้ว คุณก็นำเงินที่คุณจะใช้ในการชำระบัตรใบนั้นไปชำระหนี้ที่น้อยที่สุดใบถัดไป วิธีนี้จะสร้างเอฟเฟกต์ก้อนหิมะที่เพิ่มแรงผลักดันเมื่อคุณชำระบัตรเครดิตแต่ละใบได้

 

ข้อดีของวิธีนี้คือแรงผลักดันที่คุณค่อยๆ สร้างขึ้นวินัย เมื่อคุณชำระหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะ “เหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งลงเนินเขา จะทำให้คุณมีแรงผลักดันและรู้สึกมีแรงจูงใจมากขึ้น”

 

วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เพื่อก้าวต่อไปในเส้นทางการจัดการหนี้ อาจเหมาะกับคุณหากคุณต้องการ “แรงจูงใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้รู้สึกว่าคุณกำลังก้าวหน้าเดินหน้าต่อไป” เขากล่าว

 

2. หิมะถล่ม (The Avalanche Method)

 

วิธีหิมะถล่ม จะเน้นไปที่หนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน หลังจากชำระเงินขั้นต่ำสำหรับหนี้ทั้งหมดแล้ว ให้นำเงินส่วนเกินไปชำระยอดคงเหลือที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุด

 

วิธีนี้มีประสิทธิภาพทางคณิตศาสตร์มากกว่า เนื่องจากหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะมีต้นทุนในการชำระสูงกว่า การกำจัดหนี้เหล่านี้ออกไปก่อนจะช่วยลดดอกเบี้ยรวมที่ต้องจ่ายและลดระยะเวลาในการปลดหนี้

 

Lambarena แนะนำว่า ตราบใดที่คุณยึดมั่นกับวิธีนี้ เมื่อพิจารณาว่า “อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงสุดตลอดกาล นี่จะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด แต่กลยุทธ์นี้จะไม่มีความหมายเลยหากไม่สามารถกระตุ้นคุณได้”

 

Rod Griffin ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการศึกษาสาธารณะและการสนับสนุนที่ Experian เห็นด้วยว่า “ความคืบหน้าของวิธีที่ 2 อาจดูช้ามาก โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น  อย่างไรก็ตาม วิธีถล่มหิมะให้ทลาย จะให้ประโยชน์ทางการเงินสูงสุดเพื่อการชำระหนี้ระยะยาว”

 

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้วิธีใด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการวางแผนและมุ่งมั่นกับแผนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ไม่มีเคล็ดลับเดียวที่ใช้ได้กับทุกคนในการชำระหนี้ แต่การหลีกเลี่ยง นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้หนี้หมดไป เขากล่าว

 

“หนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้ที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดสำหรับครัวเรือนส่วนใหญ่ หนี้ประเภทนี้ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเพื่อความเป็นอยู่ทางการเงินที่ดีของคุณ”

 

ภาพ: pixdeluxe / Getty images 

อ้างอิง: 

The post เตือน! จ่ายขั้นต่ำ ‘ยิ่งจ่าย หนี้ยิ่งเพิ่ม’ ผู้เชี่ยวชาญแนะ 2 วิธีสร้างวินัยและแรงจูงใจในการชำระหนี้ระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
วางแผนการเงิน สร้างเงิน 1 ล้านแรกว่าต้องออมเดือนละเท่าไร ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนอย่างไร https://thestandard.co/financial-planning-save-invest-1-million/ Thu, 17 Apr 2025 10:11:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1065370 1 ล้านแรก

‘1 ล้านแรก’ คงเป็นหมุดหมายแรกๆ ที่สำคัญของคนวัยทำงานหลา […]

The post วางแผนการเงิน สร้างเงิน 1 ล้านแรกว่าต้องออมเดือนละเท่าไร ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
1 ล้านแรก

‘1 ล้านแรก’ คงเป็นหมุดหมายแรกๆ ที่สำคัญของคนวัยทำงานหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ เพราะหากใครก็ตามสามารถไปแตะที่ตัวเลขดังกล่าวได้แล้ว การจะสร้างเงินล้านถัดไปก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้นอย่างที่ใครหลายๆ คนกล่าวไว้

 

การจะสร้างเงินล้านแรกได้นั้นก็คงมีหลายวิธี และหากตอบแบบกำปั้นทุบดินก็จะบอกได้ว่า ก็เก็บเงิน 1 แสนบาท เป็นเวลา 10 เดือน ก็สามารถแตะ 1 ล้านบาทได้แล้วภายในเวลาไม่ถึงปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว จะมีคนสักกี่เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทยที่สามารถออมเงินด้วยสัดส่วนดังกล่าวได้ 

 

ดังนั้นแล้วการออมเงินและวางแผนเพื่อการลงทุน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่หากเริ่มต้นได้ไว เดินไปอย่างมีวินัย และมีความแน่วแน่ ใครๆ ก็สามารถไปถึงได้อย่างแน่นอน

 

ทั้งนี้ ผลตอบแทนที่จะทำได้ขึ้นกับปัจจัยหลักๆ 3 ส่วน ดังที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนผู้บุกเบิกแนว VI (Value Investor) ของประเทศไทย ได้แก่ เงินต้น (เงินลงทุนต่อเดือน), ผลตอบแทนที่ทำได้ (% ต่อปี) และระยะเวลา (ปี)

 

ในบทความนี้ทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปสำรวจ ‘วิธีการวางแผนสู่เงิน 1 ล้านแรกกัน’ ว่าต้องเก็บเงินเดือนละเท่าไร จะสามารถมีเงิน 1 ล้านบาทได้ภายใน 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี

 

 

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

The post วางแผนการเงิน สร้างเงิน 1 ล้านแรกว่าต้องออมเดือนละเท่าไร ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนอย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก FIRE 5 แบบ ปูทางสู่ ‘อิสรภาพทางการเงิน’ https://thestandard.co/financial-freedom-fire-types/ Fri, 11 Apr 2025 00:00:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1062692 financial-freedom-fire-types

Financial Independence, Retire Early หรือ FIRE คือแนวคิ […]

The post รู้จัก FIRE 5 แบบ ปูทางสู่ ‘อิสรภาพทางการเงิน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
financial-freedom-fire-types

Financial Independence, Retire Early หรือ FIRE คือแนวคิดการเกษียณให้เร็วผ่านการวางแผนการเก็บเงินอย่างเข้มข้นในสัดส่วนถึง 50-70% ของเงินเก็บ แล้วนำไปบริหารจัดการให้เติบโต เพื่อให้สามารถเข้าถึงอิสรภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด บ้างก็ตั้งเป้าอายุ 40 ปี บ้างก็ตั้งเป้าตั้งแต่อายุ 30 ปี เพื่อให้สามารถมีเวลาไปทำสิ่งที่ต้องการและออกแบบชีวิตของตนเองได้

 

ซึ่งในยุคปัจจุบันแนวคิดแบบ FIRE ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หลังแนวคิดทางการเงินเริ่มเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น เด็กยุคใหม่มองหาวิธีให้ตัวเองสามารถออกจากวงจรงานประจำได้เร็วที่สุด แต่ยังมีเงินมากพอให้สามารถไปใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้

 

ในบทความนี้ ทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปศึกษาแนวคิดแบบ FIRE หรือ Financial Independence, Retire Early ว่ามีหลักคิดแบบใดและมีรูปแบบอย่างไรบ้าง

 


 

รู้จัก FIRE 5 แบบ

 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

The post รู้จัก FIRE 5 แบบ ปูทางสู่ ‘อิสรภาพทางการเงิน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่าน 5 แนวคิด บริหารเงิน ของเศรษฐีที่รวยด้วยตัวเอง “เงินไม่ได้มีไว้เพื่อสะสม แต่เงินมีไว้เพื่อแก้ปัญหาและสนุกกับชีวิต” https://thestandard.co/5-mindsets-self-made-millionaires/ Sun, 23 Mar 2025 11:16:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1055352

กว่าคนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จเป็นคนรวยในวันนี้ได้อาจไม […]

The post อ่าน 5 แนวคิด บริหารเงิน ของเศรษฐีที่รวยด้วยตัวเอง “เงินไม่ได้มีไว้เพื่อสะสม แต่เงินมีไว้เพื่อแก้ปัญหาและสนุกกับชีวิต” appeared first on THE STANDARD.

]]>

กว่าคนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จเป็นคนรวยในวันนี้ได้อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางคนเกิดมามีต้นทุนจากความมั่งคั่งของมรดกตกทอด ทำให้มีจุดเริ่มต้นที่ดี ในขณะที่บางคนทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่น และต้องอาศัยการตัดสินใจเลือกอาชีพที่ถูกจังหวะ และกับบางคน โชคก็มีส่วน

 

อย่างไรก็ตาม มีนิสัยทั่วไปบางประการในหมู่คนร่ำรวยหรือเศรษฐีที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยตัวเอง มีหลักการออมเงิน 5 ข้อ และยึดถือกฎเหล่านี้เพื่อสร้างความมั่งคั่ง Ramit Sethi พิธีกรรายการโทรทัศน์ ได้รวบรวมและบอกเล่าเอาไว้ว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผู้คนควรจะเลิกบูชาคนรวย และหันมาเรียนรู้แบบอย่างวิธีคิดในสิ่งที่พวกเขาทำจนกว่าจะมีวันนี้จริงๆ”

 

1. รู้จุดอ่อนและจุดแข็งด้านการเงินของตัวเอง

 

หากคุณรู้ว่าคุณทำเงินได้เท่าไรในหนึ่งปี คุณก็ก้าวล้ำหน้าผู้คนมากมายไปแล้วหนึ่งก้าว

 

“คุณต้องรู้ตัวเลขเงินในบัญชีของคุณ” เขากล่าวกับ CNBC Make It โดยเขาเก็บข้อมูลการบริการเงินของคนรวย ซึ่งพบข้อมูลอันน่าทึ่งว่ากว่า 50% ของคู่รักไม่รู้รายได้ครัวเรือนของตนเอง และ 90% ของคนที่มีหนี้สินไม่รู้ว่าตนเองเป็นหนี้อยู่เท่าไร

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

นอกจากนี้ การติดตามและหมกมุ่นอยู่กับราคาไข่หรือน้ำมันหนึ่งแกลลอนนั้นเป็นเรื่องง่ายก็จริงแต่คงไม่ใช่ข้อดีนัก ปัจจัยเหล่านี้อาจไม่มีผลต่อค่าครองชีพเพื่อการออมการเกษียณอายุ สิ่งสำคัญก่อนจะไปถึงจุดนั้นคุณควรหันมาทบทวนและตั้งคำถามกับตัวเอง 7 ข้อ

 

  • ฉันจะหาเงินได้เท่าไร
  • ฉันมีหนี้เท่าไรและจะชำระหนี้หมดเมื่อใด
  • รายได้ของฉันกี่เปอร์เซ็นต์ที่นำไปออม
  • รายได้ของฉันกี่เปอร์เซ็นต์ที่นำไปลงทุน
  • รายได้ของฉันใช้ไปกับที่อยู่อาศัยเท่าไร
  • ฉันอยากใช้จ่ายกับอะไรมากขึ้นและน้อยลง
  • ฉันมีความเชื่อเกี่ยวกับเงินอย่างไร

 

แน่นอนว่าการรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ได้แต่หากไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลยคงไม่สามารถช่วยให้คุณไปได้ไกลมากกว่าการหันมาใส่ใจ ทำความเข้าใจสถานะทางการเงินของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจว่าขั้นตอนต่อไปของการเงินของคุณคืออะไร

 

“คนรวยที่รู้จักใช้เงินอย่างชาญฉลาดจะสามารถบอกคุณได้ว่าพวกเขาจะมีเงินเท่าไรในเดือนหน้า ปีหน้า หรือแม้กระทั่งอีก 5 ปีข้างหน้า”

 

2. ตัดสินใจให้ ‘เฉียบ’ และมีระบบในเรื่องการเงิน

 

อย่าใช้แต่เพียงความตั้งใจในการตัดสินใจเรื่องเงินอย่างชาญฉลาด แทนที่จะตั้งงบประมาณและมุ่งมั่นที่จะทำตามนั้น ให้ลองใช้ระบบจัดการเงินของแบบตัดค่าใช้จ่ายอัตโนมัติ ทั้งเงินออม การลงทุน และการชำระบิลของคุณสามารถทำโดยอัตโนมัติได้ เพื่อให้คุณไม่ต้องคิดเรื่องต่างๆ เช่น คุณจะจ่ายค่าวันหยุดในปีนี้ได้หรือไม่

 

คุณสามารถทำได้โดยตั้งค่าการหักเงินจากเงินเดือนของคุณหรือโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีนายหน้าโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ คุณยังสามารถกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเงินสำหรับตัวเองได้ เช่น ตัดสินใจว่าจะนำเงินก้อนโตที่ได้รับไปลงทุนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เท่าไร และส่วนที่เหลือเพื่อซื้อความสุขให้กับชีวิตอย่างพอดี

 

Sethi เขียนว่า “คนรวยไม่เสี่ยงเอาความสำเร็จทางการเงินของตนเองกับแรงจูงใจที่พวกเขารู้สึกมีในปัจจุบันมาคิด พวกเขาจะสร้างระบบที่รัดกุมเพื่อจัดการเงินของพวกเขาโดยอัตโนมัติ”

 

3. วางแผนก่อนใช้จ่ายเสมอ

 

ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ชีวิตก็เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึง แต่สิ่งที่ทำให้คนรวยแตกต่างจากคนอื่นก็คือ “พวกเขามีแผนสำหรับอนาคต”

 

พวกเขาไม่เพียงแต่มีกองทุนฉุกเฉินที่มั่นคงเท่านั้น แต่ยังมีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่าต้องการและออกแบบให้ชีวิตเป็นอย่างไร

 

“คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าควรออมหรือลงทุนเท่าไร คิดให้ดีว่าคุณต้องการทำอะไรกับเงินของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการลาออกจากงานทั้งหมดเมื่ออายุ 60 ปี หรือเริ่มต้นธุรกิจของคุณเองเมื่อเลิกงาน”

 

เมื่อคุณตัดสินใจได้แล้ว คุณต้องสร้างไทม์ไลน์และวางแผน สร้างระบบการเก็บออมเงินเพื่อให้คุณไม่ลำบากในภายภาคหน้า

 

4. ดำเนินชีวิตตามหลักการ 80/20

 

คนรวยดำเนินชีวิตตามหลักการ 80/20 กล่าวคือ 80% ของผลลัพธ์ของคุณมาจากความพยายาม 20% หากเป็นธุรกิจนี่อาจหมายความว่า 80% ของกำไรมาจากลูกค้า 20%

 

หมายความว่าแทนที่จะกังวลเกี่ยวกับคำถามมูลค่า 3 ดอลลาร์ เช่น คุณควรซื้อลาเต้หรือชงกาแฟที่บ้านหรือไม่ ให้มุ่งเน้นไปที่ “คำถามมูลค่า 30,000 ดอลลาร์” เช่น คุณสามารถเจรจาขอขึ้นเงินเดือนหรือลดค่าที่อยู่อาศัยได้มากน้อยเพียงใด

 

“เพราะหากเราเอาแต่วนเวียนอยู่กับปัญหาและพยายามทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก”

 

5. เน้นคุณค่า มากกว่า ‘ต้นทุน’

 

แน่นอนว่าคุณสามารถประหยัดเงินได้บ้าง โดยเลือกตัวเลือกที่ถูกที่สุดเสมอ แต่การประหยัดเงินเพียงแลกสิ่งเล็กน้อยอาจไม่คุ้มกับผลิตภัณฑ์หรือประสบการณ์

 

“คนรวยที่ฉลาดเรื่องเงินไม่สนใจแค่ต้นทุนเท่านั้น แต่สนใจคุณค่าด้วย”

 

เขายกตัวอย่างการเลือกจ่ายเงินจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัว แทนที่จะพยายามสอนตัวเองผ่านแหล่งข้อมูลฟรี เช่น วิดีโอ YouTube “การจ่ายเงินให้ใครสักคนช่วยให้ฉันไม่ต้องหงุดหงิดอีกต่อไป และยังได้สิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น นั่นคือเวลา”

 

กฎเหล่านี้ควรนำไปใช้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ เลือกลงทุนในบางด้านที่สำคัญแทนที่จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายกับสิ่งที่ไม่สำคัญ

 

อย่าลืมว่า “The point of money isn’t to hoard it, The point of money is to use it to solve problems and enjoy your life.

 

จุดประสงค์ของเงินนั้นไม่ใช่เพื่อสะสมไว้ แต่จุดประสงค์ของเงินคือมีไว้ใช้เพื่อแก้ปัญหาวันข้างหน้าและสนุกกับชีวิต

 

ภาพ: Deagreez / Getty images

อ้างอิง:

The post อ่าน 5 แนวคิด บริหารเงิน ของเศรษฐีที่รวยด้วยตัวเอง “เงินไม่ได้มีไว้เพื่อสะสม แต่เงินมีไว้เพื่อแก้ปัญหาและสนุกกับชีวิต” appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิด 5 ประเทศที่มีระบบประกันสังคม เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณ บางประเทศให้เงินบำนาญขั้นต่ำ 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน https://thestandard.co/best-countries-for-retirement-social-security-2025/ Sun, 23 Mar 2025 05:35:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1055277 เปรียบเทียบ 5 ประเทศที่เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณที่มีระบบประกันสังคมดี โปรตุเกส เม็กซิโก คอสตาริกา มาเลเซีย และสเปน

ทำงานมาทั้งชีวิต ทุกคนต่างอยากใช้ชีวิตในวัยเกษียณเพื่อก […]

The post เปิด 5 ประเทศที่มีระบบประกันสังคม เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณ บางประเทศให้เงินบำนาญขั้นต่ำ 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปรียบเทียบ 5 ประเทศที่เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณที่มีระบบประกันสังคมดี โปรตุเกส เม็กซิโก คอสตาริกา มาเลเซีย และสเปน

ทำงานมาทั้งชีวิต ทุกคนต่างอยากใช้ชีวิตในวัยเกษียณเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ปัจจุบันการเกษียณอายุได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าขอบเขตแบบเดิมๆ และเปิดโอกาส ให้กับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตในต่างประเทศอย่างที่ต้องการในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น

 

ข้อมูลจาก Global Passport สำรวจจุดหมายปลายทางการเกษียณอายุที่น่าดึงดูดที่สุดของปี 2025 โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ค่าครองชีพ การรักษาพยาบาล การเข้าถึงวีซ่า และคุณภาพชีวิต 5 ประเทศ และหนึ่งในนั้นมีเพื่อนบ้านมาเลเซียติดอันดับอีกด้วย ดังนี้

 

โปรตุเกส: เมืองสวรรค์ของการใช้ชีวิตหลังเกษียณชาวยุโรป

 

โปรตุเกสยังคงครองตำแหน่งจุดหมายปลายทางการเกษียณอายุอันดับ 1 ของยุโรป โดยมีเสน่ห์แบบโลกวัฒนธรรมยุคเก่าที่ผสมผสานกับความสะดวกสบายที่ทันสมัยได้อย่างไม่มีใครเทียบ ซึ่งโปรตุเกสมีวีซ่า D7 หรือที่เรียกอีกอย่างว่าวีซ่า Passive Income ที่อนุญาตให้พลเมืองสหรัฐฯ สามารถพำนักอยู่ในโปรตุเกสได้หากมีรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง มีรายได้จากเงินบำนาญที่มั่นคง ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศสามารถเข้าถึงได้โดยเฉพาะ

 

เมืองต่างๆ ในโปรตุเกส เช่น ปอร์โตและภูมิภาคอัลการ์ฟ เน้นคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้เกษียณอายุด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันตก ทั้งระบบการดูแลสุขภาพ ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดในโลก ที่ครอบคลุมทั้งทางเลือกของรัฐและเอกชน ทำให้ผู้เกษียณอายุได้รับการดูแลทางการแพทย์ระดับสูงสุด

 

ส่วนภูมิอากาศโปรตุเกสมีสไตล์แบบเมดิเตอร์เรเนียน รายล้อมไปด้วยชายฝั่งทะเลที่สวยงาม และเมืองแห่งประวัติศาสตร์ ที่เหมาะสำหรับผู้เกษียณอายุที่ผสมผสานเมืองเก่าและใหม่ที่ยังมีชีวิตชีวา ชุมชนชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งของโปรตุเกส โดยเฉพาะในพื้นที่เช่น คาสไกส์และลากอส ช่วยให้ผู้มาใหม่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างราบรื่นในขณะที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารเป็นภาษาหลัก

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

เม็กซิโก: เกษียณอายุสไตล์หรูหราแต่เอื้อมถึงได้

 

เม็กซิโกเป็นที่ชื่นชอบของผู้เกษียณอายุในอเมริกาเหนือมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างราคาที่เอื้อมถึงได้ โดยสถานที่เกษียณอายุยอดนิยม เช่น ซาน มิเกล เดอ อัลเลนเดและเปอร์โตวัลลาร์ตา เป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวาซึ่งผู้เกษียณอายุสามารถเพลิดเพลินกับวิถีชีวิตที่หรูหราในงบประมาณที่จำกัด

วีซ่าที่อยู่ชั่วคราวของผู้เกษียณอายุของประเทศนี้ที่ต้องการหลักฐานรายได้ที่มั่นคง มีเกณฑ์ที่เข้าถึงได้ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ในยุโรป 

 

ส่วนระบบประกันสังคมมีสถานพยาบาลที่ทันสมัยในเมืองใหญ่ๆ ร่วมกับตัวเลือกประกันเอกชนราคาไม่แพง ช่วยให้ผู้เกษียณอายุสามารถเข้าถึงการดูแลทางการแพทย์ที่มีคุณภาพได้

 

อีกทั้งเม็กซิโกตั้งอยู่ใกล้กับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทำให้เหมาะสำหรับผู้เกษียณอายุที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับครอบครัว สภาพอากาศที่อบอุ่น มรดกทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย และชุมชนผู้ย้ายถิ่นฐานที่มั่นคง สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรสำหรับผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

 

คอสตาริกา: สวรรค์แห่งการเกษียณอายุในเขตร้อน

 

คอสตาริกามีโปรแกรมวีซ่าสำหรับผู้เกษียณอายุของคอสตาริกาจัดทำขึ้นสำหรับผู้เกษียณอายุโดยเฉพาะ โดยกำหนดให้มีรายรับจากบำนาญต่อเดือน 1,000 ดอลลาร์ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศจำนวนมากสามารถเข้าถึงได้ และด้วยสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่มั่นคงของประเทศและความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมที่น่าดึงดูดเหมาะแก่การใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

 

คอสตาริกามีระบบการดูแลสุขภาพของประเทศซึ่งผสมผสานตัวเลือกของรัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน ราคาเหมาะสม โดยพื้นที่เกษียณอายุยอดนิยม เช่น Central Valley และ Pacific Coast มีตัวเลือกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้ชีวิตบนภูเขาไปจนถึงชุมชนริมชายหาด

 

มีภูมิประเทศที่สวยงามของธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ เหมาะแก่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ที่สำคัญคอสตาริกาดึงดูดผู้เกษียณอายุที่แสวงหาไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง ที่เปรียบเสมือนปรัชญา “pura vida” อันหมายถึงชีวิตอันบริสุทธิ์ ของประเทศที่ส่งเสริมแนวทางการใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุที่ผ่อนคลายและมีสุขภาพดี

 

มาเลเซีย: ความหรูหราหลังเกษียณอายุในงบประมาณจำกัด

 

มาเลเซียมีโปรแกรม MM2H (Malaysia My Second Home) ที่นำเสนอตัวเลือกวีซ่าระยะยาวที่ต่ออายุได้สำหรับผู้เกษียณอายุพร้อมข้อกำหนดทางการเงินที่เหมาะสม มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่เช่นปีนังและกัวลาลัมเปอร์ มีสิ่งอำนวยความสะดวก ค่าครองชีพในราคาที่ต่ำกว่าประเทศตะวันตกอย่างมาก

 

ชาวมาเลเซียใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสื่อสารทั่วทั้งมาเลเซีย ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศง่ายขึ้น บวกกับระบบการดูแลสุขภาพที่ดี โดยมาเลเซียได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในระบบประกันสุขภาพที่ดีที่สุดในเอเชีย ที่มีการดูแลทางการแพทย์ระดับโลกในราคาที่เอื้อมถึงได้

 

รวมถึงวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาหารที่อร่อย และภูมิอากาศแบบเขตร้อนตลอดทั้งปี ทำให้เหมาะแก่สภาพแวดล้อมการเกษียณอายุที่แปลกใหม่แต่สะดวกสบาย อีกทั้งที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ของมาเลเซียยังทำให้มาเลเซียเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำธุรกิจหรือเป็นสถานที่ทำงานภูมิภาคเอเชียในช่วงเกษียณอายุ

 

สเปน: เกษียณอายุในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน

 

สเปนมีโปรแกรมวีซ่าที่ไม่แสวงหากำไร เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผู้อยู่อาศัยหลังเกษียณอายุ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดค่าครองชีพและรายได้ที่สูงกว่าโปรตุเกสเล็กน้อย แต่หากพูดถึงระบบการดูแลสุขภาพ มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดของโลก ทำให้สเปนเป็นจุดหมายปลายทางการเกษียณอายุที่น่าดึงดูด

 

โดยเฉพาะเมืองต่างๆ ในสเปน เช่น บาเลนเซียและมาลากา มอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์และความสะดวกสบายที่ทันสมัยให้กับผู้เกษียณอายุ ระบบขนส่งสาธารณะ และเมืองที่สามารถเดินได้ ทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายสำหรับผู้เกษียณอายุที่ไม่ต้องการขับรถ

 

อาหารเมดิเตอร์เรเนียนอันเลื่องชื่อ ชีวิตทางสังคมที่กระตือรือร้น และวัฒนธรรมกลางแจ้งล้วนเป็นปัจจัยที่ดึงดูดผู้เกษียณอายุที่ใส่ใจสุขภาพในสเปน ชุมชนชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ เหมาะแก่การเชื่อมโยงทางสังคมแก่ผู้มาใหม่

 

ภาพ: Aleh Varanishcha / Getty Images

อ้างอิง:

The post เปิด 5 ประเทศที่มีระบบประกันสังคม เหมาะแก่การใช้ชีวิตหลังเกษียณ บางประเทศให้เงินบำนาญขั้นต่ำ 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025 https://thestandard.co/best-money-books-2025/ Fri, 21 Mar 2025 00:49:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1054456 best-money-books-2025

การเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) กลายเป็นหนึ่งในสิ่ง […]

The post 10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
best-money-books-2025

การเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนในยุคนี้จำเป็นต้องศึกษาท่ามกลางสังคมสูงวัยที่อัตราการเกิดน้อยลง เพื่อให้สามารถมีชีวิตที่เหมาะสมกับเงินเดือน และมีเงินเกษียณไว้ใช้ดูแลตนเองได้ในยามแก่ ซึ่งการอ่านหนังสือและการฟังวิดีโอหรือพอดแคสต์ ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอันหนึ่งสำหรับการศึกษาด้านการเงิน

 

ซึ่งการศึกษาด้านการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) จะทำให้ผู้ศึกษาได้เรียนรู้แนวทางการบริหารจัดการเงินในหลากหลายรูปแบบ แล้วหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดแก่ตัวเอง

 

ในบทความนี้ทีมงาน THE STANDARD WEALTH รวบรวม 10 หนังสือสำหรับการเงินส่วนบุคคลสำหรับปี 2025 ตามคำแนะนำของสำนักข่าว Business Insider ให้ผู้สนใจไปเลือกอ่านกัน

 


 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

1. Get Good with Money by Tiffany / The Budgetnista Aliche

 

Get Good with Money เป็นหนังสือที่เขียนโดย Tiffany Aliche ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม Budgetnista (ผู้ที่มีความสามารถในการจัดสรรเงิน) และเต็มไปด้วยเนื้อหาที่ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของ Tiffany ทั้งการแก้หนี้และเส้นทางตั้งแต่การวางแผนการเงินไปจนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ไม่เพียงเท่านั้นในหนังสือเล่มนี้ยังมี Worksheet สำหรับผู้อ่านใช้เป็นแนวทางการวางแผนการเงินได้อีกด้วยเช่นกัน

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

2. Retire Before Mom & Dad by Rob Berger

 

หนังสือเล่มนี้อธิบายหลักคิดที่สำคัญและแนวทางสำหรับคนที่ต้องการเป็น FIRE (Financially Independent, Retire Early) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่วางแผนการเงินอย่างเข้มข้นเพื่อการเกษียณตั้งแต่อายุน้อยได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ก็มีหลักคิดเกี่ยวกับการวางแผนสู่การมีอิสรภาพทางการเงินอย่างไร ซึ่งเหมาะกับคนที่สนใจการเงินแม้จะไม่ต้องการเกษียณเร็วเช่นกัน

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

3. How I Invest My Money by Joshua Brown and Brian Portnoy

 

สำหรับผู้ที่เคยสงสัยว่าเหล่านักวางแผนการเงิน นักลงทุน หรือ Venture Capitalist ลงทุนอย่างไร หนังสือเล่มนี้จะมาเปิดเผยรายละเอียดเหล่านี้ว่า ในระหว่างเส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินควรลงทุนหรือจัดสรรเงินอย่างไร ซึ่งหนังสือเล่มนี้อาจจะเหมาะกับผู้ที่มีพื้นฐานการเงินมาอยู่แล้ว และต้องการแนวทางหรือการต่อยอดสำหรับการลงทุนที่ดีขึ้น

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

4. The Simple Path to Wealth by JL Collins

 

แนวคิดเรื่อง The Simple Path to Wealth หรือแนวทางเรียบง่ายสู่ความมั่งคั่ง ถูกกล่าวขึ้นเมื่อ JL Collins ซึ่งเป็นผู้เขียนของหนังสือเล่มดังกล่าว เขียนจดหมายให้กับลูกสาวของตนเอง ทำให้หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเนื้อหาที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งยังอธิบายเรื่องซับซ้อนด้วยวิธีการเรียบง่าย เช่น ความแตกต่างระหว่างการลงทุนในตลาดกระทิงและตลาดหมี เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้นหนังสือเล่มนี้ยังติดอันดับ 1 หนังสือการเงินส่วนบุคคลที่ได้รับคะแนน 4.8 ดาว ด้วยจำนวนรีวิวมากกว่า 3,800 ความเห็นใน Amazon

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

5. Wealth Warrior: 8 Steps for Communities of Color to Conquer the Stock Market by Linda Garcia

 

Wealth Warrior โดย Linda Garcia เขียนเนื้อหาที่ให้กำลังใจกลุ่มคนผิวดำ โดยการอธิบายแนวคิดการลงทุนในตลาดหุ้นที่เข้าใจง่าย และขั้นตอน 8 ขั้นตอนสำหรับผู้เริ่มต้นในการลงทุนได้อย่างชัดเจน หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับคนที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการเก็บเงินแล้วต้องการต่อยอดไปสู่อีกขั้นของการลงทุน

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

6. The Psychology of Money: Timeless Lessons on Wealth, Greed, and Happiness by Morgan Housel

 

The Psychology of Money หรือ จิตวิทยาว่าด้วยเงิน (มีฉบับแปลไทยแล้ว) หนังสือการเงินชื่อดังที่จะนำพาผู้อ่านไปสำรวจว่าอารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ที่พบเจอในชีวิตแบบใด จะนำไปสู่พฤติกรรมและการตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินในรูปแบบใด แม้หนังสือเล่มนี้อาจไม่ได้มีคำแนะนำทางการเงินที่ชัดเจน แต่ทำให้ผู้อ่านได้สำรวจตัวตนและการตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิต ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตด้านการเงินได้เป็นอย่างดี

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

7. Finance for the People: Getting a Grip on Your Finances by Paco de Leon

 

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Paco de Leon อดีตนักวางแผนทางการเงินที่จะมาอธิบายเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อชีวิตการเงินของตนเอง แม้โลกใบนี้จะเต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม หรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากมาย ไม่เพียงเท่านั้นหนังสือเล่มดังกล่าวหยิบหยกเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยให้ควบคุมชีวิตการเงินตนเอง และการวางรากฐานการเงินได้มากขึ้นอีกด้วย

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

8. Broke Millennial Takes On Investing by Erin Lowry

 

หนังสือเล่มนี้เรียกเสียงฮือฮาจากสังคม เกี่ยวกับแนวคิดการจัดสรรเงินสำหรับกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลที่นิยมใช้ชีวิตหรูหราได้เป็นอย่างดี Erin Lowry ผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวยังแนบหลักคิดสำหรับการลงทุนให้กับผู้เริ่มต้น และการลงทุนในตลาดหุ้นให้สอดคล้องกับคุณค่าและความเชื่ออีกเช่นกัน

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

9. I Will Teach You to be Rich by Ramit Sethi

 

ในหนังสือเล่มนี้ Ramit Sethi นักเขียนด้านการเงินส่วนบุคคล อธิบายแนวคิด 6 สัปดาห์สำหรับการใช้ชีวิตแบบคนรวย ตามคำนิยามของแต่ละบุคคล Ramit ยังพาผู้อ่านไปสำรวจวิธีการใช้บัตรเครดิตเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด การเปิดบัญชีเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด หรือแม้แต่การตั้งระบบตัดเงินออมอัตโนมัติ เพื่อไม่ต้องใช้ความพยายามในการออมในแต่ละเดือน เป็นต้น ซึ่งในหนังสือเล่มดังกล่าวจะรวบรวมแนวทางที่สามารถปรับไปใช้งานได้อย่างมากมาย

 

10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025

 

10. Financially Lit!: The Modern Latina’s Guide to Level Up Your Dinero & Become Financially Poderosa by Jannese Torres

 

หนังสือ Financially Lit! จะเปิดเผยแนวทางการบริหารจัดการเงินที่ใช้ได้จริง และสามารถนำไปสร้างการเติบโตได้สูงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุนหรือการทำธุรกิจ ซึ่งหนังสือเล่มนี้อาจเขียนสำหรับกลุ่มคนลาตินเป็นพิเศษ 

 

อ้างอิง: 

The post 10 หนังสือจัดการเงินตัวเองด้วยตัวเองที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์! เผยวิธีลงทุนง่ายที่ไม่ต้องรู้ลึก แต่ต้องระวังกับดักที่นักลงทุนมือใหม่มักเจอ https://thestandard.co/self-made-millionaire-wealth-tip/ Sun, 23 Feb 2025 06:32:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1044973 เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์ เน้นการลงทุนแบบง่ายและสม่ำเสมอ

หากคุณตั้งเป้าสร้างความมั่งคั่งในปี 2025 เศรษฐีที่สร้าง […]

The post 3 เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์! เผยวิธีลงทุนง่ายที่ไม่ต้องรู้ลึก แต่ต้องระวังกับดักที่นักลงทุนมือใหม่มักเจอ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์ เน้นการลงทุนแบบง่ายและสม่ำเสมอ

หากคุณตั้งเป้าสร้างความมั่งคั่งในปี 2025 เศรษฐีที่สร้างตัวจากศูนย์มีคำตอบให้! แม้การ ‘รวยภายในปีเดียว’ อาจเป็นไปได้ยาก แต่มีขั้นตอนง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มความมั่งคั่งได้ ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากจุดไหน โดยเศรษฐีหลายคนยืนยันว่าการลงทุนไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่ทำตามหลักการพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอก็สร้างความมั่งคั่งได้ เหมือนการวิ่งมาราธอนที่ไม่ต้องวิ่งเร็ว แค่วิ่งให้ถึงเส้นชัย

 

Ramit Sethi ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเศรษฐีที่สร้างตัวเองเผยกับ CNBC Make It ว่า “หลายคนเชื่อว่าคนรวยมีการลงทุนลับๆ ที่ทำให้พวกเขาทำเงินมหาศาล ผมเข้าถึงการลงทุนพวกนั้นได้ และบอกได้เลยว่ามันไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนดัชนี S&P ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ” 

 

เขาแนะนำให้เริ่มลงทุนแต่เนิ่นๆ และตั้งระบบอัตโนมัติให้หักเงินเดือนเข้าการลงทุน 10% ทุกปี พร้อมเพิ่มสัดส่วน 1% ทุกสิ้นปี “ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และคุณจะกลายเป็นเศรษฐีเงินหลายล้าน”

 

อาจดูเหมือนว่าการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีที่กำลังมาแรง หรือทุ่มเงินทั้งหมดไปกับหุ้นที่มีประวัติผลตอบแทนดีจะทำให้รวยได้เร็วกว่า แต่กลยุทธ์เหล่านี้มาพร้อมความเสี่ยงมหาศาล ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต แม้แต่นักลงทุนที่มีประสบการณ์สูงก็ไม่สามารถจับจังหวะตลาดได้

 

Steve Adcock เศรษฐีที่เกษียณเร็วยอมรับว่า เขาเสียดายที่ไม่ได้ลงทุนเชิงรุกมากกว่านี้ตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ “มันคือการเติบโตแบบทบต้น ยิ่งลงทุนนานเท่าไรคุณก็จะมีเงินตอนเกษียณมากขึ้นเท่านั้น” การลงทุนแต่เนิ่นๆ ช่วยให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงาน เงินต้นและผลกำไรจะเติบโตต่อเนื่องแบบทวีคูณ เหมือนลูกบอลหิมะที่กลิ้งลงเขา ยิ่งกลิ้งนานยิ่งใหญ่ขึ้น

 

สำหรับคนที่มีประกันสังคมหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Sethi แนะนำให้ใช้ประโยชน์จากการหักเงินอัตโนมัติ โดยเฉพาะถ้าบริษัทมีการจ่ายสมทบ “นี่คือเงินฟรีที่คุณไม่ควรพลาด แม้คุณจะอายุยังน้อยและรายได้ไม่สูง แต่นี่คือโอกาสทองในการวางรากฐานนิสัยการออมและการลงทุนที่ดี”

 

อย่างไรก็ตาม Tess Waresmith เตือนว่า แม้ไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพก็ลงทุนได้ แต่ต้องระวัง ‘กับดักที่ปรึกษาการเงิน’ ที่ไม่เหมาะสม เธอเคยเสียเงินจากการรับคำแนะนำผิดๆ ตอนอายุ 26 ปี หลังจากเก็บเงินได้ก้อนใหญ่จากการทำงานบนเรือสำราญ “เพื่อนบอกว่าฉันควรให้เงินทำงานแทนที่จะกักตุนไว้เฉยๆ ด้วยความกลัวว่าจะลงทุนผิด ฉันเลยจ้างที่ปรึกษาการเงิน แต่พวกเขากลับตัดสินใจแย่ๆ แทนฉัน” เธอกล่าว

 

“ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ซื้อประกันบำนาญที่เหมาะกับคนอายุ 50 ปี” Waresmith เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวด แต่บทเรียนนี้ทำให้เธอเรียนรู้ที่จะสังเกตสัญญาณอันตราย เธอแนะนำให้อ่านหนังสือหรือเรียนคอร์สพื้นฐาน 1-2 เล่มก่อนเลือกที่ปรึกษา 

 

“คุณไม่จำเป็นต้องมีปริญญาเอกด้านการลงทุนหรือเป็นนักวิเคราะห์ แต่ต้องมีความรู้พอที่จะเห็นสัญญาณอันตราย ตอนนั้นฉันไม่รู้อะไรเลย จึงมองไม่เห็นจุดผิดปกติ”

 

นอกจากนี้เธอยังแนะนำให้เลือกที่ปรึกษาที่คิดค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่าย แทนการคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากผลกำไร และหากที่ปรึกษาไม่โปร่งใสเรื่องค่าใช้จ่าย เงินไม่โตอย่างที่ควรจะเป็น หรือคุณไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้ค่าตอบแทนอย่างไร นั่นคือสัญญาณว่าควรเปลี่ยนคนใหม่ 

 

เธอย้ำว่าความรู้พื้นฐานไม่เพียงช่วยปกป้องเงินออมของคุณ แต่ยังช่วยให้คุณมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้นด้วย

 

สุดท้ายผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเห็นพ้องว่า ‘ความสม่ำเสมอ’ คือกุญแจสำคัญสู่ความมั่งคั่ง การกระจายการลงทุน การรักษาระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม และการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาวมากกว่าการพยายามรวยทางลัด เหมือนนิทานกระต่ายกับเต่า บางครั้งการเดินช้าๆ แต่มั่นคงก็ชนะการวิ่งเร็วแต่ไม่สม่ำเสมอ

 

อ้างอิง:

The post 3 เคล็ดลับสร้างความมั่งคั่งจากเศรษฐีที่เริ่มจากศูนย์! เผยวิธีลงทุนง่ายที่ไม่ต้องรู้ลึก แต่ต้องระวังกับดักที่นักลงทุนมือใหม่มักเจอ appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 กลยุทธ์จัดการเงินสร้างความมั่งคั่งสไตล์อเมริกัน! เจาะลึกโอกาสทองที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม พร้อมแนวทางปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน https://thestandard.co/american-wealth-building-strategies-overlooked-opportunities/ Sat, 22 Feb 2025 04:07:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1044704 แผนภาพแสดง 3 กลยุทธ์สร้างความมั่งคั่งแบบอเมริกัน ที่นักลงทุนมักมองข้าม ประกอบด้วยดอกเบี้ยทบต้น บัญชี HSA และการบริหารค่าตอบแทนในรูปหุ้น

การสร้างความมั่งคั่งไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงใช้จ่ายน้ […]

The post 3 กลยุทธ์จัดการเงินสร้างความมั่งคั่งสไตล์อเมริกัน! เจาะลึกโอกาสทองที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม พร้อมแนวทางปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แผนภาพแสดง 3 กลยุทธ์สร้างความมั่งคั่งแบบอเมริกัน ที่นักลงทุนมักมองข้าม ประกอบด้วยดอกเบี้ยทบต้น บัญชี HSA และการบริหารค่าตอบแทนในรูปหุ้น

การสร้างความมั่งคั่งไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ เก็บออมเงินสดไว้สำหรับเหตุฉุกเฉิน และนำส่วนที่เหลือไปลงทุนระยะยาว หากทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีหรือหลายทศวรรษ ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นเศรษฐีได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องการสร้างความมั่งคั่งให้มากขึ้น นักวางแผนการเงินในสหรัฐอเมริกา เผยโอกาสสำคัญที่หลายคนมองข้าม

 

‘พลังของดอกเบี้ยทบต้น’ คือหัวใจสำคัญประการแรก ที่สามารถเปลี่ยนผู้ออมธรรมดาให้กลายเป็นผู้สะสมทรัพย์สินรายใหญ่ได้ โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือ ‘เวลา’ เมื่อลงทุนแล้วได้ผลตอบแทน การนำผลตอบแทนนั้นกลับไปลงทุนต่อจะทำให้เกิดการเติบโตแบบทวีคูณ Warren Buffett เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน แม้เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 11 ปี แต่สร้างความมั่งคั่งส่วนใหญ่หลังอายุ 65 ปี นี่คือพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่ต้องใช้เวลา

 

สำหรับชาวอเมริกัน Health Savings Account (HSA) คือโอกาสที่สองที่มักถูกใช้ต่ำกว่าศักยภาพ HSA เป็นบัญชีพิเศษที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 3 ชั้น คือเงินที่นำเข้าบัญชีสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ต้องเสียภาษี และหากถอนออกมาเพื่อค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ก็ไม่ต้องเสียภาษี โดยหลังอายุ 65 ปีสามารถถอนเงินออกมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้เช่นเดียวกับบัญชีเกษียณอายุแบบ Traditional IRA

 

ทั้งนี้ การเปิดบัญชี HSA ต้องใช้คู่กับแผนประกันสุขภาพแบบ High-Deductible Health Plan (HDHP) ซึ่งมีค่าเบี้ยประกันรายเดือนต่ำ แต่ผู้เอาประกันต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองก่อนในวงเงินที่สูง ผู้วางแผนการเงินจึงมักแนะนำกลยุทธ์นี้เฉพาะกับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง มีประวัติค่าใช้จ่ายทางการแพทย์น้อย และมีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอที่จะรับมือกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น

 

โอกาสที่สามสำหรับพนักงานบริษัทในสหรัฐฯ คือการบริหารค่าตอบแทนในรูปแบบหุ้น ไม่ว่าจะเป็น Employee Stock Purchase Plan (ESPP) หรือ Stock Options ประเภทต่างๆ ESPP เป็นโครงการที่ให้พนักงานซื้อหุ้นบริษัทในราคาที่ได้ส่วนลด 5-15% แต่ประโยชน์นี้อาจกลายเป็นการขาดทุนได้หากถือหุ้นไว้โดยไม่มีแผนจัดการที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง

 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ขายหุ้นทันทีที่ได้รับสิทธิ์ เพื่อล็อกกำไรจากส่วนลดที่ได้รับ แล้วนำเงินไปลงทุนในพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงทั่วโลกด้วยต้นทุนต่ำ เพราะความสำเร็จทางการเงินระยะยาวมักขึ้นอยู่กับการออมและลงทุนอย่างสม่ำเสมอในพอร์ตที่กระจายความเสี่ยง มากกว่าการเก็งกำไรจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง

 

สำหรับผู้ที่ได้รับค่าตอบแทนในรูปหุ้น ควรศึกษาและทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 

 

  1. ประเภทของหุ้นที่ได้รับ เพราะมีเงื่อนไขต่างกัน
  2. ผลกระทบทางภาษีและความเสี่ยง
  3. เงื่อนไขการซื้อขาย รวมถึงช่วงห้ามซื้อขาย (Blackout Period)
  4. วางกลยุทธ์การจัดการที่เหมาะกับตนเอง 
  5. ติดตามดูแลความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการลงทุนและรักษาการกระจายความเสี่ยงให้ดี ไม่ควรปล่อยให้อนาคตทางการเงินพึ่งพานายจ้างมากเกินไป

 

ทั้งสามกลยุทธ์นี้เป็นแนวทางที่ใช้กันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีระบบภาษีและกฎหมายที่แตกต่างจากประเทศไทย ผู้ลงทุนชาวไทยควรศึกษาเครื่องมือและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในประเทศไทย เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เป็นต้น

 

การสร้างความมั่งคั่งไม่จำเป็นต้องถูกลอตเตอรี่ หรือเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว แต่อยู่ที่การรู้ว่าการตัดสินใจใดที่สร้างความแตกต่าง และลงมือทำอย่างชาญฉลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะแต่ละกลยุทธ์อาจเหมาะสมกับแต่ละคนไม่เท่ากัน

 

อ้างอิง:

The post 3 กลยุทธ์จัดการเงินสร้างความมั่งคั่งสไตล์อเมริกัน! เจาะลึกโอกาสทองที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม พร้อมแนวทางปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิธีเอาชนะเงินเฟ้อของนักลงทุนมืออาชีพ เมื่อราคาสินค้าพุ่ง 3.5% เผยเคล็ดลับรักษามูลค่าเงินออมด้วยพันธบัตรพิเศษ พร้อมรับมือเศรษฐกิจผันผวน https://thestandard.co/how-to-win-inflation-race-like-pro/ Wed, 19 Feb 2025 05:42:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1043657

ความจริงอันโหดร้ายของเงินเฟ้อกำลังปรากฏชัด! ล่าสุดดัชนี […]

The post วิธีเอาชนะเงินเฟ้อของนักลงทุนมืออาชีพ เมื่อราคาสินค้าพุ่ง 3.5% เผยเคล็ดลับรักษามูลค่าเงินออมด้วยพันธบัตรพิเศษ พร้อมรับมือเศรษฐกิจผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ความจริงอันโหดร้ายของเงินเฟ้อกำลังปรากฏชัด! ล่าสุดดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐอเมริกาที่รายงานเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 3% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตพุ่งแรงถึง 3.5% สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเงินเฟ้อเริ่มต้นแล้ว มันเหมือนไฟลามทุ่งที่หยุดยั้งได้ยาก ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและการออมของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมราคาไข่ที่พุ่งสูงจึงไม่ใช่ตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่แท้จริง นักเศรษฐศาสตร์อธิบายว่า มันเป็นเพียงปัญหาอุปสงค์-อุปทานจากการระบาดของไข้หวัดนก ไม่ได้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน เห็นได้จากราคาอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นเพียง 2.5% เท่านั้น แต่ผลกระทบที่น่ากังวลคือการที่เงินเฟ้อส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย ทำให้การผ่อนบ้านแพงขึ้นและราคาพันธบัตรร่วงลง

 

อย่างไรก็ตาม บทความจาก Forbes ระบุถึงข่าวดีสำหรับนักลงทุนและผู้ออมในสหรัฐฯ เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือรับมือกับเงินเฟ้อที่ดีกว่าเมื่อก่อน นั่นคือพันธบัตร TIPS (Treasury Inflation-Protected Security) หรือพันธบัตรที่มีการปรับมูลค่าตามอัตราเงินเฟ้อ โดยรุ่นอายุ 30 ปี รับประกันผลตอบแทนที่แท้จริง 2.4% ต่อปีหลังหักเงินเฟ้อแล้ว นับเป็นตัวเลขที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่ติดลบ

 

การทำความเข้าใจตลาดพันธบัตรอาจซับซ้อน แต่มีวิธีง่ายๆ คือ ดูส่วนต่างระหว่างพันธบัตร 2 ประเภท เมื่อเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลทั่วไปที่ให้ดอกเบี้ย 4.7% กับ TIPS ที่ให้ 2.4% พบว่ามีส่วนต่าง 2.3% ซึ่งเป็นอัตราที่ตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.2% ในระยะยาว ต่ำกว่าที่ผู้บริโภคคาดการณ์ที่ 3% ตามผลสำรวจของ Fed นิวยอร์ก

 

ความน่าสนใจของ TIPS คือการรับประกันว่าเงินที่ลงทุนจะไม่สูญค่าจากเงินเฟ้อ เพราะเงินต้นจะถูกปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อ ตัวอย่างเช่น ถ้าลงทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 34 ล้านบาท) และเงินเฟ้อปีนั้นอยู่ที่ 3% เงินต้นจะเพิ่มเป็น 1.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 34.7 ล้านบาท) โดยอัตโนมัติ พร้อมรับดอกเบี้ยอีก 2.4% จากมูลค่าที่ปรับแล้ว

 

ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อมีความชัดเจนขึ้น เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง และเดินหน้านโยบายขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งจะผลักดันราคาสินค้าให้สูงขึ้น การเนรเทศแรงงานต่างด้าวอาจทำให้ค่าจ้างพุ่ง

 

และที่น่ากังวลที่สุดคือการขาดดุลงบประมาณที่คาดว่าจะสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 64 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นอีกหากมีการขยายการลดภาษีปี 2017 หรือยกเว้นภาษีค่าล่วงเวลาและทิปตามที่ทรัมป์สัญญาไว้

 

ชาร์ลส์ คาโลมิริส นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง มองว่าการขาดดุลอาจกดดันให้รัฐบาลต้องเก็บภาษีเงินเฟ้อจากระบบเศรษฐกิจ ผ่านการลดค่าเงินและเงินสำรองธนาคาร ซึ่งจะกระทบกำลังซื้อของประชาชนโดยตรง

 

ขณะที่ จอห์น โคชเรน จาก Hoover Institution มองว่าเงินเฟ้อเกิดจากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะต้องมีงบประมาณเกินดุลในอนาคต เพื่อชำระหนี้รัฐบาลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

ทั้งสองมุมมองข้างต้นชี้ให้เห็นว่าการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยของนักการเมืองกำลังสร้างแรงกดดันต่อระดับราคาสินค้า

 

แม้แนวโน้มจะชัดเจน แต่ Fed ดูเหมือนจะยังงุนงงกับความยืดเยื้อของเงินเฟ้อ เมื่อไม่กี่ปีก่อน Fed เผยว่า ราคาที่พุ่งสูงเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่ต้องล้มเลิกคำอธิบายนี้ไปในที่สุด และเพิ่งผ่อนคลายนโยบายการเงินเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยความมั่นใจว่าควบคุมเงินเฟ้อได้แล้ว ซึ่งดูเหมือนจะเร็วเกินไป

 

สำหรับนักลงทุนที่กังวลว่าเงินเฟ้อจะสูงกว่า 2.2% ในระยะยาว บทความจาก Forbes ถึงกับแนะนำให้ขายพันธบัตรรัฐบาลทั่วไปใน IRA (Individual Retirement Account) และซื้อ TIPS แทน

 

แม้จะไม่ได้รับประกันว่าจะไม่เสียใจถ้าอัตราผลตอบแทน TIPS สูงขึ้นในอีก 1 ปี แต่อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจสูงกว่าคาด และรับประกันว่าเงินออมจะยังคงมีอำนาจซื้อเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคต

 

อ้างอิง:

The post วิธีเอาชนะเงินเฟ้อของนักลงทุนมืออาชีพ เมื่อราคาสินค้าพุ่ง 3.5% เผยเคล็ดลับรักษามูลค่าเงินออมด้วยพันธบัตรพิเศษ พร้อมรับมือเศรษฐกิจผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะลึกผลวิจัยจากวิกฤตการเงินโลก พร้อมบทเรียนสำคัญจากผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุด https://thestandard.co/stock-market-volatility-test/ Tue, 18 Feb 2025 05:10:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1043176

อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะ […]

The post อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะลึกผลวิจัยจากวิกฤตการเงินโลก พร้อมบทเรียนสำคัญจากผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>

อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะลึกผลวิจัยจากวิกฤตการเงินโลก พร้อมบทเรียนสำคัญจากผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุด

 

ความกลัวและความหวาดระแวงในการลงทุนเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักลงทุน โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดผันผวน ซึ่งเป็นสัญชาตญาณการตอบสนองต่อความเครียดที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ ดังที่ Harvard Medical School ระบุว่า “กลไกการต่อสู้หรือหนีพัฒนามาเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์คับขันได้อย่างรวดเร็ว” แต่กลไกนี้กลับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนในปัจจุบัน

 

Benjamin Graham ผู้เขียนหนังสือ The Intelligent Investor และบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า กล่าวว่า “ปัญหาใหญ่ที่สุดของนักลงทุน และอาจเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด คือตัวของเขาเอง” จากการศึกษาผู้เกษียณชาวอเมริกันเกือบ 2,000 คน พบว่าผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุดมักไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แต่ใช้ข้อมูลและมุมมองระยะยาวในการพิจารณา

 

Daniel Kahneman และ Amos Tversky นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้ศึกษาพบว่า การขาดทุนสร้างผลกระทบทางจิตวิทยามากกว่าการได้กำไรถึงสองเท่า ตามทฤษฎี Prospect Theory 

 

ยกตัวอย่างเช่น พอร์ตการลงทุนที่เติบโตจาก 1 ล้านดอลลาร์เป็น 1.5 ล้านดอลลาร์ แล้วปรับตัวลงมาที่ 1.3 ล้านดอลลาร์ นักลงทุนมักจะรู้สึกเสียใจกับการขาดทุน 2 แสนดอลลาร์ มากกว่าความยินดีที่ได้กำไร 3 แสนดอลลาร์

 

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่วงวิกฤตต่างๆ อย่างฟองสบู่ดอทคอมปี 2000-2002 ที่ดัชนี S&P 500 ร่วงถึง 49% หากลงทุน 10,000 ดอลลาร์ในจังหวะแย่ที่สุด เงินจะเติบโตเป็น 61,000 ดอลลาร์

 

หรือแม้แต่ในวิกฤต The Great Recession ปี 2007-2009 ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression ดัชนีร่วงถึง 57% แต่การลงทุนในจังหวะแย่ที่สุดยังให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือเงินสด

 

จากการศึกษาพบว่า การลงทุนในหุ้นปันผลระยะยาวมีศักยภาพในการเอาชนะเงินเฟ้อ โดยข้อมูลระหว่างปี 1980-2024 แสดงให้เห็นว่า การลงทุน 10,000 ดอลลาร์ในดัชนี S&P 500 จะได้เงินปันผลรายปีเพิ่มขึ้นจาก 529 ดอลลาร์เป็น 6,837 ดอลลาร์ และมูลค่าการลงทุนมีโอกาสเติบโตเป็น 544,898 ดอลลาร์ ในขณะที่การลงทุนในดัชนีพันธบัตร Lehman/Barclays Aggregate Bond Index จะเติบโตเป็น 13,902 ดอลลาร์

 

ผู้เกษียณที่มีความสุขมักเข้าใจว่าความผันผวนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน พวกเขามองการลงทุนเหมือนต้นแอปเปิ้ล ที่เมื่อดูแลอย่างเหมาะสมจะออกผลให้เก็บเกี่ยวได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องโค่นต้นทิ้ง ‘ความอดทน’ จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการลงทุนระยะยาว

 

นอกจากนี้ผู้เกษียณที่มีความสุขยังมองว่าการลงทุนไม่ใช่แค่การเพิ่มมูลค่าเงินออม แต่เป็นการรักษา ‘อำนาจซื้อ’ ให้คงอยู่ หากในช่วงทำงานใช้ชีวิตด้วยเงิน 75,000 ดอลลาร์ต่อปี พวกเขาต้องการรักษาระดับการใช้ชีวิตนี้ไว้ได้อีก 20-30 ปีหลังเกษียณ โดยคำนึงถึงผลกระทบของเงินเฟ้อที่จะทำให้ต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อรักษามาตรฐานการครองชีพเดิม 

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน พิจารณาเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะแม้ประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีศักยภาพในการรักษาอำนาจซื้อระยะยาว แต่ผลการดำเนินงานในอดีตก็ไม่ได้เป็นสิ่งรับประกันผลตอบแทนในอนาคต

 

อ้างอิง:

The post อาการ ‘หวั่นไหว’ ในตลาดหุ้น บททดสอบอารมณ์นักลงทุน! เจาะลึกผลวิจัยจากวิกฤตการเงินโลก พร้อมบทเรียนสำคัญจากผู้เกษียณที่มีความสุขที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>