Wealth Management – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 19 Nov 2024 06:23:27 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 หนุนนักลงทุนใช้เครื่องมือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน (Switching) พร้อมบริหารพอร์ตกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อเป้าหมายระยะยาว https://thestandard.co/investors-switching-tax-saving-funds/ Tue, 19 Nov 2024 06:23:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1010328

ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของทุกปี เป็นโค้งสุดท้ายของกา […]

The post หนุนนักลงทุนใช้เครื่องมือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน (Switching) พร้อมบริหารพอร์ตกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อเป้าหมายระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>

ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของทุกปี เป็นโค้งสุดท้ายของการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี นักลงทุนส่วนมากมักเริ่มกลับมาพิจารณาพอร์ตการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในช่วงนี้ ซึ่งเรามองว่านักลงทุนกลุ่มนี้จำเป็นต้องพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษี ข้อกำหนด และเงื่อนไขการลงทุนของกองทุนรวมลดหย่อนภาษีให้ดี ซึ่งปีนี้มีกองทุนรวมลดหย่อนภาษีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน   

 

สำหรับลูกค้าที่ไม่มีข้อจำกัดด้านเงินลงทุน สามารถใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มที่ได้ตามเงื่อนไขข้อกำหนดของแต่ละกองทุน โดยต้องลงทุนไม่เกินสิทธิที่จะได้รับ เพราะส่วนที่เกินจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี   

 

หากผู้ลงทุนมีการวางแผนการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการ Dollar-Cost Averaging หรือ DCA ตั้งแต่ต้นปี ทยอยใส่เงินลงทุนเป็นประจำทุกเดือน จะช่วยลดปัญหาเรื่องการเสียโอกาสลงทุนได้ไม่เต็มที่ตามสิทธิที่มี แต่หากไม่ได้วางแผนไว้ เพิ่งมาให้ความสำคัญในช่วงปลายปี และต้องการลดหย่อนภาษีให้ได้เต็มสิทธิ อาจต้องลงทุนด้วยเงินก้อนจำนวนมากในคราวเดียว ซึ่งบางท่านอาจประสบปัญหาไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะนำมาลงทุนตามสิทธิได้ 

 

ทั้งนี้ SCB CIO แนะนำให้นักลงทุนมองกองทุนรวมลดหย่อนภาษีเป็นมากกว่าการลงทุน เพื่อวัตถุประสงค์ใช้ลดหย่อนภาษีที่ซื้อและถือไว้จนครบกำหนดโดยไม่มีการทบทวนการลงทุน และขอให้มองเป็นเครื่องมือการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาวหรือเพื่อการเกษียณอายุ และบริหารจัดการการลงทุนอย่างสม่ำเสมอผ่านกลยุทธ์การสับเปลี่ยนกองทุน (Switching Vehicle) โดยอาจจัดสรรเงินลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเป็นพอร์ตลงทุนที่จะมีการทบทวนสัดส่วนลงทุนเป็นประจำ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มระยะยาวและสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น 

 

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์สับเปลี่ยนกองทุน ได้แก่ กรณีนักลงทุนเคยซื้อกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีภายใต้นโยบายลงทุนหนึ่งไว้ แต่ผลการดำเนินงานไม่ดี หากพิจารณาแล้วว่าแนวโน้มระยะยาวยังดี อาจพิจารณาลงทุนเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน แต่กรณีที่พิจารณาแล้วกองทุน RMF ที่ลงทุนอยู่ในปัจจุบันมีนโยบายการลงทุนที่ไม่เห็นอนาคตการเติบโตในระยะยาวแล้วจากปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แนะนำให้ใช้วิธีสับเปลี่ยนไปยังกองทุน RMF อื่นที่มีนโยบายลงทุนที่ตอบโจทย์มากกว่า โดยกรณีที่ยังเลือกนโยบายใหม่ที่สนใจไม่ได้อาจสับเปลี่ยนเงินลงทุนไปไว้ยังกองทุน RMF ที่ลงทุนในตราสารตลาดเงิน (Money Market) เพื่อพักเงินลงทุนไว้รอสับเปลี่ยนไปยังกองทุน RMF อื่นได้ 

 

ในกรณีที่เคยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไว้แล้วขาดทุนอยู่มาก อาจเลือกลงทุนในกองทุน ThaiESG ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยเหมือนกัน เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนได้ รวมทั้งภายใต้พอร์ตลงทุนกองทุน ThaiESG เพียงอย่างเดียว ก็สามารถจัดพอร์ตลงทุนได้ เนื่องจากปัจจุบันกองทุนประเภทนี้มีนโยบายให้เลือกลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ กองทุนตราสารทุน และกองทุนผสม ยกตัวอย่างเช่น กองทุน ThaiESG ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนการขาย ปัจจุบันมีนโยบายการลงทุนให้เลือกถึง 5 นโยบาย 9 กองทุน ได้แก่ SCBTB (ThaiESGA) ลงทุนในตราสารหนี้ไทยที่โดดเด่นด้าน ESG เน้นตราสารภาครัฐ เสริมด้วยตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี,  SCBTM (ThaiESG) และ SCBTM (ThaiESGA) ลงทุนแบบผสมยืดหยุ่น 0-100% ทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุนของบริษัทไทยที่มีความโดดเด่นด้าน ESG, SCBTA (ThaiESG) และ SCBTA (ThaiESGA) ลงทุนหุ้นไทยที่ได้รับการคัดเลือกว่ามีความโดดเด่นด้าน ESG บริหารเชิงรุก, SCBTD (ThaiESG) และ SCBTD (ThaiESGA) บริหารพอร์ตเชิงรุก เน้นลงทุนหุ้นไทยปันผล และโดดเด่นด้าน ESG ไม่น้อยกว่า 80%, SCBTP (ThaiESG) และ SCBTP (ThaiESGA) ลงทุนหุ้นไทย ESG เพื่อให้ได้ผลตอบแทนกองทุนใกล้เคียงกับดัชนี SETESG TRI มากที่สุด 

 

คำเตือน:

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน รวมทั้งศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด และแอป SCB EASY หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0 2777 7777

The post หนุนนักลงทุนใช้เครื่องมือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน (Switching) พร้อมบริหารพอร์ตกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อเป้าหมายระยะยาว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: เคล็ดลับจัดการเงินแบบ ก๊อต จิรายุ ที่เปลี่ยนชีวิตให้รวย! | NEW GEN INVESTOR (HL) https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-13-3/ Sun, 11 Aug 2024 06:00:44 +0000 https://thestandard.co/?p=969914

หากเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ทำอย่างไรดี? NEW GEN INVESTOR ชวน […]

The post ชมคลิป: เคล็ดลับจัดการเงินแบบ ก๊อต จิรายุ ที่เปลี่ยนชีวิตให้รวย! | NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>

หากเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ทำอย่างไรดี? NEW GEN INVESTOR ชวน ก๊อต-จิรายุ ตันตระกูล มาพูดคุยถึงเทคนิคเก็บเงินเปลี่ยนชีวิต การแบ่งเงิน 6 บัญชีที่ช่วยให้ควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างวินัยทางการเงิน และบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้เร็วขึ้น

 

รับชมคลิปเต็มๆ ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=8QsB7CfI-bw

 

ติดตามรายการ NEW GEN INVESTOR ทุกวันเสาร์ เวลา 10.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

The post ชมคลิป: เคล็ดลับจัดการเงินแบบ ก๊อต จิรายุ ที่เปลี่ยนชีวิตให้รวย! | NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>
บรรยากาศจากงานอีเวนต์ครั้งแรกของ NEW GEN INVESTOR ‘20+ รวยได้จริง?’ https://thestandard.co/new-gen-investor-first-event/ Sun, 28 Jul 2024 11:55:52 +0000 https://thestandard.co/?p=964249 NEW GEN INVESTOR

งานอีเวนต์ครั้งแรกของรายการ NEW GEN INVESTOR ในธีม ‘20+ […]

The post บรรยากาศจากงานอีเวนต์ครั้งแรกของ NEW GEN INVESTOR ‘20+ รวยได้จริง?’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
NEW GEN INVESTOR

งานอีเวนต์ครั้งแรกของรายการ NEW GEN INVESTOR ในธีม ‘20+ รวยได้จริง?’ ก่อนอื่นขอขอบคุณ New Gen ทุกคนที่สละเวลามาอีเวนต์ครั้งแรกของพวกเรา และยังร่วมแชร์ประสบการณ์ พร้อมกับข้อซักถามที่ดีภายในงาน

 

ในโอกาสนี้ THE STANDARD WEALTH ขอรวบรวมบรรยากาศที่น่าประทับใจมาให้ทุกคนได้ชมกัน และหวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันใหม่ในอีเวนต์ครั้งต่อไป

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

อีเวนต์ครั้งแรกของรายการ NEW GEN INVESTOR ชวนทุกคนมาคุยกันว่า 20+ รวยได้จริง?

 

NEW GEN INVESTOR

New Gen ที่มาร่วมงานวันนี้ที่ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน

 

โฮสต์รายการ NEW GEN INVESTOR ของพวกเรา พี่เฟิร์น-ศิรัถยา อิศรภักดี

 

ความมุ่งมั่นของ New Gen ที่มาร่วมค้นหาเส้นทางสู่ความรวยไปพร้อมกัน

 

NEW GEN INVESTOR

WFH หรือ ‘What for, How long, How much’ สูตรในการตั้งเป้าหมายการเงินให้เป็นไปได้จริง

 

NEW GEN INVESTOR

ความรวยไปถึงได้ ไม่ยากอย่างที่คิด และจะยิ่งดีถ้ามีเพื่อนร่วมทาง

 

NEW GEN INVESTOR

‘ตารางรวย’ หนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าความรวยเป็นยังไง แล้วเราเข้าใกล้ความรวยแล้วหรือยัง

 

อะไรทำให้ท้อกับความรวยมากที่สุด? มาร่วมแชร์ความเห็นกันได้นะ

 

NEW GEN INVESTOR

ขอบคุณสำหรับคำถามดีๆ ที่มาแชร์ร่วมกันในงานครั้งนี้

 

ใครจะเป็นคนรวยคนต่อไป ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ

 

ขอขอบคุณ New Gen ทุกๆ คนที่เดินทางมาพบกับพวกเราในวันนี้ ไว้พบกันใหม่ในอีเวนต์ครั้งต่อไป!

The post บรรยากาศจากงานอีเวนต์ครั้งแรกของ NEW GEN INVESTOR ‘20+ รวยได้จริง?’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทคนิคจัดพอร์ตไตรมาส 3 รับมือความไม่แน่นอน https://thestandard.co/q3-portfolio-management-techniques/ Tue, 16 Jul 2024 07:28:21 +0000 https://thestandard.co/?p=958592 เทคนิคจัดพอร์ตไตรมาส 3 รับมือความไม่แน่นอน

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 การ จัดพอร์ต ของนักลงทุนควรจับ […]

The post เทคนิคจัดพอร์ตไตรมาส 3 รับมือความไม่แน่นอน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทคนิคจัดพอร์ตไตรมาส 3 รับมือความไม่แน่นอน

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 การ จัดพอร์ต ของนักลงทุนควรจับตา 3 ประเด็นหลักที่ส่งผลต่อการลงทุน ได้แก่ 

 

  1. การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะการเลือกตั้งยุโรปช่วงที่ผ่านมา ซึ่งผลการเลือกตั้งที่ออกมาอาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนด้านนโยบายตามมา เช่นเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ถือเป็นความไม่แน่นอนหลักสำหรับเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้เช่นกัน
  2. ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีน ที่แม้จะดีขึ้นในระยะสั้น แต่ระยะปานกลางมีแนวโน้มชะลอตัวจากปัญหาเชิงโครงสร้าง
  3. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่แม้จะลดลงแต่ยังไม่หมดไป โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า

 

หากผู้ลงทุนต้องการให้พอร์ตลงทุนรับมือกับความเสี่ยงจากทั้ง 3 ประเด็นหลักนี้ รวมถึงพร้อมรับสถานการณ์อื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต SCB CIO มองว่า ลำดับแรกเลยคือ ผู้ลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

ในกรณีที่ผู้ลงทุนรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ เราแนะนำให้ลงทุนบนพอร์ตลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป (Core Portfolio) เพียงอย่างเดียวและภายใต้พอร์ตลงทุนนี้ เน้นที่การลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด ผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก 

 

ส่วนในกรณีที่ผู้ลงทุนรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง ควร จัดพอร์ต ลงทุนด้วยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน เงินลงทุนส่วนแรกใช้สำหรับการลงทุนบน Core Portfolio เน้นการลงทุนระยะยาว โดยในพอร์ตลงทุนนี้จะเน้นเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ต้องปรับพอร์ตลงทุนบ่อยครั้ง เพื่อคาดหวังผล 3 วัตถุประสงค์หลักจากการลงทุน ได้แก่ 

 

  1. สร้างกระแสเงินสดผ่านการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพสูง (Investment Grade) ระยะสั้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ยังมีความเสี่ยงจำกัด หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง และผลตอบแทนยังอยู่ในระดับสูงเทียบกับอดีต
  2. สร้างการเติบโตให้พอร์ตด้วยการลงทุนในหุ้นที่ต้านทานได้ทุกสภาวะ เช่น หุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่มีงบการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรต่อเนื่อง มีเงินทุนไหลเข้า และราคายังถูก ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯ กลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากหุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 7 ตัวในตลาด (Magnificent 7) ที่ยังปรับตัวขึ้นตาม Magnificent 7 ไม่ทันในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะหุ้นที่สอดรับกับแนวโน้มการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) รวมถึงหุ้นอินเดีย และหุ้นจีน A-Share  
  3. ป้องกันความเสี่ยงและรักษาสมดุลให้พอร์ตจากเงินเฟ้อ รวมถึงความเสี่ยงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกในกลุ่ม Private Credit และทองคำ 

 

ขณะที่เงินลงทุนส่วนที่ 2 เป็นการลงทุนผ่านพอร์ตระยะสั้น ลงทุนน้อยกว่า 1 ปี (Opportunistic Portfolio) เพื่อเพิ่มโอกาส โดยปัจจุบันเราแนะนำทยอยลงทุนในตลาดหุ้นจีน H-Share ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นยุโรปอยู่

 

สำหรับตัวอย่างกรณีที่ผู้ลงทุนรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้สูง แนะนำให้ลงทุนบน Core Portfolio ไม่น้อยกว่า 80% และลงทุนผ่าน Opportunistic Portfolio ไม่เกิน 20% 

 

โดยภายใต้ Core Portfolio จะมีการจัดสรรสัดส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์ใกล้เคียงเงินสด 5%, ตราสารหนี้ 32%, สินทรัพย์ทางเลือก ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หรือกองทุนผสม 4%, หุ้นไทย 7%, หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว 40%, หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ 7% และสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ 5%  

 

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ไม่เชี่ยวชาญหรือไม่มีเวลาในการจัดสรรสัดส่วนในแต่ละสินทรัพย์ลงทุนผ่าน Core Portfolio เอง สามารถลงทุนผ่านกองทุนผสมที่มีผู้จัดการกองทุนคอยปรับพอร์ตตามสถานการณ์แทนได้ เช่น กองทุน SCBGA(A) ซึ่งเป็นตัวแทนของ Core Portfolio ได้ดี เนื่องจากภายในกองทุนแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ

 

  1. ลงทุนกองทุนหลัก (Core Fund) ผ่านกองทุนผสม JB Dynamic Asset Allocation Fund สัดส่วนประมาณ 70% ขณะที่อีกประมาณ 30% ลงทุนกองทุนเสริม (Satellites) เน้นสร้างสมดุลให้กับพอร์ตโดยรวม ซึ่งคัดเลือกกองทุนที่ลงทุนโดยบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ 

 

นอกจากนี้เรามองว่าในสภาวะตลาดการลงทุนที่ยังมีความผันผวน การลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ (Structured Product) ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับลูกค้ากลุ่ม High Net Worth Individuals โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงรับมือกับความผันผวนได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ Inverse Floater THOR Complex Return ที่มีระยะเวลาลงทุน 1 ปี ระดับความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ มีการแบ่งเงินลงทุน 2 ส่วน  

 

ส่วนแรก จะลงทุนผ่านตราสารหนี้และเงินฝากคุณภาพดี เมื่อครบกำหนดอายุกองทุน จะได้รับเงินลงทุนส่วนนี้คืนพร้อมผลตอบแทน ซึ่งเป็นส่วนที่ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนเงินต้นได้ 

 

ส่วนที่สอง ผลตอบแทนส่วนเพิ่มลงทุนในสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Swap: IRS) โดยอ้างอิงแบบผกผันกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงตลาดซื้อคืนพันธบัตรภาคเอกชนระยะข้ามคืนระหว่างธนาคาร (Thai Overnight Repurchase Rate: THOR) ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยส่วนนี้จะให้ผลตอบแทนแบบลอยตัวสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง มีการกำหนดอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงของการจ่ายผลตอบแทนไว้ โดยจะพิจารณาระดับเพดานอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THOR ทุก 3 เดือน  

 

หากผู้ลงทุน จัดพอร์ต ลงทุนสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เน้นการลงทุนระยะยาว กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย รวมถึงปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์แล้ว ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงจากการลงทุนอะไรเกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ในที่สุดพอร์ตการลงทุนก็จะผ่านพ้นความเสี่ยงและมุ่งหน้าสู่เป้าหมายการลงทุนที่เราวางไว้ได้ 

 

คำเตือน: 

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • กองทุน SCBGA(A) มีความเสี่ยงระดับ 5 คือ เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง 
  • การลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อนสูง มีความแตกต่างจากการลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนลงทุน
  • หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงเป็นตราสารที่มีความซับซ้อนมากกว่าหุ้นกู้ทั่วไป เนื่องจากเป็นตราสารที่ประกอบด้วยตราสารหนี้และอนุพันธ์แฝง (Embedded Derivatives) โดยการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง จะมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องหลายด้าน เช่น ความเสี่ยงของปัจจัยอ้างอิง และความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกตราสาร 
  • ผู้ลงทุนมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วน หากหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงชุดใดไม่ได้มีการคุ้มครองเงินต้นในจำนวนร้อยละ 100% ของมูลค่าที่ตราไว้ นอกจากนั้นหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงยังเป็นตราสารที่มีสภาพคล่องต่ำและมีตลาดรองที่มีขอบเขตจำกัด ดังนั้นผู้ลงทุนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน 
  • การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงนี้เป็นธุรกรรมที่ไม่ใช่ ‘เงินฝาก’ และธุรกรรมการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงดังกล่าวจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากแต่อย่างใด 
  • เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน / หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด 
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0 2777 7777

The post เทคนิคจัดพอร์ตไตรมาส 3 รับมือความไม่แน่นอน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ออมเงินเล็กน้อยก็มีค่า! งานวิจัยเผย คนมีรายได้น้อยก็มีความสุขได้ถ้ามีเงินเก็บ ช่วยเพิ่มความสุขและความหวังในอนาคต แถมนอนหลับดีขึ้นด้วย https://thestandard.co/research-say-saving-money-promotes-joy/ Sun, 14 Jul 2024 06:19:46 +0000 https://thestandard.co/?p=957644 ออมเงิน

งานวิจัยใหม่จากมหาวิทยาลัย Bristol เผยว่า การ ออมเงิน เ […]

The post ออมเงินเล็กน้อยก็มีค่า! งานวิจัยเผย คนมีรายได้น้อยก็มีความสุขได้ถ้ามีเงินเก็บ ช่วยเพิ่มความสุขและความหวังในอนาคต แถมนอนหลับดีขึ้นด้วย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ออมเงิน

งานวิจัยใหม่จากมหาวิทยาลัย Bristol เผยว่า การ ออมเงิน เป็นประจำแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยให้นอนหลับดีขึ้น และยังช่วยลดความกังวล เพิ่มความรู้สึกมั่นคงทางการเงิน และมีความหวังต่ออนาคตมากขึ้น

 

งานวิจัยนี้พบว่า คนที่มีรายได้น้อยที่ออมเงินเป็นประจำจะมีความพึงพอใจในชีวิตใกล้เคียงกับคนที่มีรายได้สูงแต่ไม่ได้ออม ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจ เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การออมเงินเป็นเรื่องยากลำบาก เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนประมาณ 6 ใน 10 คนที่มีนิสัยการออมเงิน

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

รายงานชี้ว่า การออมเงินเป็นประจำช่วยเพิ่มความพึงพอใจในชีวิต เพราะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับเงิน ลดโอกาสในการเป็นหนี้เสีย และทำให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ดีขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อความสุขในชีวิต เช่น การย้ายบ้านหรือการแต่งงาน ซึ่งช่วยเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ ในขณะที่การตกงานหรือการมีลูกอาจส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจมากกว่า

 

แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะลดลงอีกครั้งในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนจากการออมลดลง

 

Andrew Gall หัวหน้าฝ่ายออมทรัพย์ของ Building Societies Association ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนงานวิจัยนี้ กล่าวว่า “แม้ว่าเราเข้าใจว่าบางคนอาจไม่สามารถออมเงินได้ในตอนนี้ แต่ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ทำไมทุกคนควรได้รับการส่งเสริมให้ออมเงินเล็กน้อยเมื่อทำได้”

 

รายงานยังแนะนำว่า ผู้ให้บริการทางการเงินควรทำให้บัญชีออมทรัพย์มีความเรียบง่าย ยืดหยุ่น และมีแรงจูงใจเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าออมเงิน

 

สำหรับผู้ที่สนใจออมเงิน สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์ต่างๆ เพื่อเลือกบัญชีที่เหมาะสมกับตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับธนาคารเดิมๆ เพราะบัญชีเก่ามักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า

 

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการรายอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่ธนาคารใหญ่ๆ โดยข้อเสนอที่ดีที่สุดจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล

 

ภาพ: Lysenko Andrii / Shutterstock 

อ้างอิง:

The post ออมเงินเล็กน้อยก็มีค่า! งานวิจัยเผย คนมีรายได้น้อยก็มีความสุขได้ถ้ามีเงินเก็บ ช่วยเพิ่มความสุขและความหวังในอนาคต แถมนอนหลับดีขึ้นด้วย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gen Y เตรียมรับมรดก 3 พันล้านล้านบาท! เป็นโอกาสหรือหายนะ? เพราะขี้เกียจ-ฟุ่มเฟือย ผู้เชี่ยวชาญเตือนจะบริหารจัดการไหวไหม? https://thestandard.co/gen-y-3-trillion-baht-inheritance-management-concerns/ Wed, 10 Jul 2024 13:09:14 +0000 https://thestandard.co/?p=956160 Gen Y

บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก Knight Frank […]

The post Gen Y เตรียมรับมรดก 3 พันล้านล้านบาท! เป็นโอกาสหรือหายนะ? เพราะขี้เกียจ-ฟุ่มเฟือย ผู้เชี่ยวชาญเตือนจะบริหารจัดการไหวไหม? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gen Y

บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก Knight Frank คาดการณ์ว่า คน Gen Y จะกลายเป็น ‘คนรุ่นที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์’ จากการรับมรดกมูลค่ารวม 90 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.28 พันล้านล้านบาท) ในอีก 20 ปีข้างหน้า

 

อย่างไรก็ตาม คน Gen Y ถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจและใช้เงินฟุ่มเฟือย เน้นใช้จ่ายไปกับของฟุ่มเฟือยมากกว่าการออมเงิน ทำให้เกิดคำถามว่าพวกเขาพร้อมรับมือกับกระแสเงินสดที่กำลังจะหลั่งไหลเข้ามาหรือไม่

 

Salvatore Buscemi ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการของ Brahmin Partners บริษัทบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัว กล่าวว่า คน Gen Y ‘ยังไม่พร้อม’ สำหรับความมั่งคั่งที่จะได้รับ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขารับมรดก พวกเขาอาจจะอยู่ในวัย 40 ปีแล้ว และอาจไม่มีความสามารถในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองหรือการลงทุน

 

“พวกเขาไม่มีทักษะในการทำสิ่งนั้นตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะไม่เคยถูกผลักดัน” เขากล่าว “และปัญหาคือพวกเขาจะมีแรงจูงใจในภายหลังที่จะผลักดันตัวเองให้มีทักษะเหล่านี้หรือไม่” พร้อมเสริมว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว คนเรามักจะไม่ค่อยสนใจที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เมื่ออายุมากขึ้น

 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คน Gen Y มักจะมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระยะสั้น ในขณะที่คนรุ่นก่อนๆ มักจะมุ่งเน้นไปที่การออมเพื่อเป้าหมายในระยะยาว เช่น การสร้างครอบครัวและการเกษียณอายุ

 

นอกจากนี้ งานวิจัยของ LendingClub บริษัทให้บริการทางการเงินยังพบว่า คน Gen Y เป็นรุ่นที่มักจะใช้เงินเดือนชนเดือน เนื่องจากเป็น ‘Sandwich Generation’ ที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่สูงวัยและลูกของตัวเอง

 

นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างคนที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองกับคนที่ได้รับมรดก โดยคนกลุ่มหลังมักจะเสียเปรียบในการบริหารจัดการทรัพย์สินหรือรับมือกับการสูญเสีย

 

อย่างไรก็ตาม Paul Hokemeyer นักจิตวิทยาคลินิก สังเกตว่า คน Gen Y มักจะมีความเข้าใจในพลังของความมั่งคั่งมากกว่า และมองว่าเงินเป็นเครื่องมือในการ ‘ปรับปรุงโลกที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้อยู่’

 

ภาพ: 4 PM production /  Shutterstock 

อ้างอิง:

The post Gen Y เตรียมรับมรดก 3 พันล้านล้านบาท! เป็นโอกาสหรือหายนะ? เพราะขี้เกียจ-ฟุ่มเฟือย ผู้เชี่ยวชาญเตือนจะบริหารจัดการไหวไหม? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินสดอาจไม่ใช่ราชาอย่างที่คิด ผู้เชี่ยวชาญแนะ โยกส่วนที่ไม่ต้องใช้อีก 5 ปีไปลงทุน https://thestandard.co/money-expert-dont-load-up-on-cash/ Wed, 10 Jul 2024 07:00:11 +0000 https://thestandard.co/?p=955956 เงินสด

แม้ว่าตลาดหุ้นหลายแห่งจะไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาล (A […]

The post เงินสดอาจไม่ใช่ราชาอย่างที่คิด ผู้เชี่ยวชาญแนะ โยกส่วนที่ไม่ต้องใช้อีก 5 ปีไปลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินสด

แม้ว่าตลาดหุ้นหลายแห่งจะไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) อย่างต่อเนื่อง แต่การออมเงินสดก็ยังคงเป็นวิธีการเก็บเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักลงทุนรุ่นใหม่ แต่รู้หรือไม่ว่าการถือเงินสดมากเกินไปอาจทำให้คนเราพลาดโอกาสมากกว่าที่คิด

 

การถือเงินสด (บ้าง) เป็นเรื่องดี 

 

ในโลกของการลงทุน เงินสดมีข้อดีมากกว่าหุ้นและพันธบัตรอยู่หลายอย่าง ประการแรกคือ เรื่องสภาพคล่อง เราสามารถใช้เงินสดเพื่อซื้อสินค้าและบริการได้อย่างสะดวกและง่ายดายโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนก่อนใช้จ่าย ประการต่อมาคือ เงินสดจะยังมีปริมาณเท่าเดิมถ้าเรายังคงถือครองไว้ หมายความว่า พันธบัตร 100 บาท จะยังคงเป็นพันธบัตร 100 บาทเท่าเดิม 

 

อย่างไรก็ตาม มีบางเหตุผลที่การถือเงินสดของคุณจะมีมูลค่าลดลงนั่นคืออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะค่อยๆ กัดเซาะอำนาจการใช้จ่ายของเงินของคุณ ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงควรนำเงินบางส่วนเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่สามารถชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้

 

Amy Arnott นักยุทธศาสตร์ด้านพอร์ตโฟลิโอของ Morningstar Research Services กล่าวว่า “ผู้คนจำนวนมากถูกล่อลวงให้พกเงินสด และพวกเขาเหล่านั้นมีค่าเสียโอกาสค่อนข้างมากในแง่ของการเติบโตในระยะยาว แทนที่จะเก็บเงินอย่างเดียว นักลงทุนควรนึกถึงการใช้เงินสดอย่างเหมาะสม สำหรับเงินทุนฉุกเฉินและเป้าหมายการใช้จ่ายระยะสั้น”

 

การมีเงินสดมากเกินไปอาจทำให้พลาดโอกาสทำกำไรอย่างมหาศาล

 

แม้ว่าการถือเงินสดจะไม่ได้ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงิน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนกำลังเตือนว่า การรู้สึกสบายใจเกินไปกับผลตอบแทนที่ปลอดภัยมากเป็นพิเศษ อาจทำให้พลาดโอกาสได้รับผลตอบแทนจากตลาดที่มากกว่า

 

Callie Cox หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ Ritholtz Wealth Management มองว่า ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับเงินสดมากเกินไป และนักลงทุนอายุน้อย ซึ่งมีระยะเวลาการลงทุนที่ยาว และมีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่สูง กำลังจัดสรรไว้ในรูปเงินสดเป็นส่วนใหญ่ในเวลานี้

 

ผลการวิจัยล่าสุดจาก Bank of America พบว่า ขณะนี้นักลงทุนอายุน้อยที่มีความมั่งคั่งอายุ 21-43 ปี มากกว่า 55% เลือกถือเงินสดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เทียบกับบุคคลที่มีอายุ 44 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 46% นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการซื้อขาย eToro เปิดเผยเมื่อต้นปีนี้ว่า นักลงทุนอายุน้อยมีแนวโน้มเพิ่มสินทรัพย์เงินสดมากกว่ารุ่นพ่อแม่ถึง 2 เท่า 

 

บัญชีออมทรัพย์ของธนาคารในประเทศไทยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 0.25-0.35% ส่วนอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน ให้ผลตอบแทนที่ 1.55-1.95% ในขณะเดียวกัน บัญชีเงินฝากดิจิทัลอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยบางแห่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 5.55% อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5% อาจต่ำกว่าผลกำไรที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในหุ้น

 

การจัดสรรพอร์ตการลงทุนเชิงรุกในหุ้นอาจทำให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 7% แม้ว่าในบางปีจะสูงกว่าและต่ำกว่านี้บ้าง หากดัชนี S&P 500 ไต่ขึ้นไปที่ 5,800 ภายในสิ้นปีนี้ อาจทำให้ผลตอบแทนรวมในปีนี้มากกว่า 20% เลยทีเดียว หลังจากที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 24% เมื่อปี 2023 นั่นหมายความว่าอัตราผลตอบแทนของ 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2023-2024 อยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสดและออมเงินสดที่พลาดโอกาสทำผลกำไรมหาศาลเหล่านั้น เนื่องจากพวกเขาต้องใช้เวลา 10 ปีกว่าจะได้ผลลัพธ์เดียวกัน 

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจเสมอไป บริษัทวิจัย BCA Research คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 อาจร่วงลงมากกว่า 30% ในปลายปีนี้ หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย การมีเงินสดยังคงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักจะแนะนำว่า นักลงทุนทุกคนควรมีเงินสดไว้ เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 3-6 เดือน ในกรณีฉุกเฉิน

 

‘Cash is King’ อาจไม่จริงเสมอไป

 

การถือเงินสดไม่ใช่กลยุทธ์การสร้างความมั่งคั่งและคงมูลค่าของเงินไว้ตามกาลเวลาอย่างที่หลายคนเข้าใจ จากรายงานของ The Wall Street Journal นับตั้งแต่ปี 1928 เป็นต้นมา เงินสดทำผลตอบแทนได้ดีกว่าทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตรในรอบปีปฏิทินเพียง 12 ครั้งเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อีก 87% ที่เหลือของช่วงเวลาที่ผ่านมา เงินสดไม่ได้เป็น ‘ราชา’ ดังที่หลายคนเชื่อ 

 

หากออมเงิน 1 ล้านบาท ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีต่ำกว่า 1% พอร์ตการลงทุนของคุณจะได้ผลตอบแทนเพียง 92,000 บาทในช่วงหนึ่งทศวรรษ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ หากเราย้อนกลับไปถึงเดือนพฤษภาคม 1997 ซึ่งรวมช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตดอทคอม วิกฤตซับไพรม์ และวิกฤตโควิด ตลาดหุ้นทำผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณ 8.3% ต่อปี เทียบกับเงินสดที่ให้ผลตอบแทน 1.9%

 

ฉะนั้นแล้ว คำถามสำคัญคือ เราควรจะถือเงินสดไว้มากน้อยเพียงใด หนึ่งในคำแนะนำที่น่าสนใจจากผู้เชี่ยวชาญคือ สำหรับเงินที่จำเป็นจะต้องใช้จ่ายในช่วง 1-2 ปี หรือแม้แต่ 3-5 ปี เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่จะเก็บเงินไว้เป็นเงินสด หรือเก็บไว้ในที่ที่เราสามารถเข้าถึงได้ทันทีเมื่อต้องการ 

 

แต่สำหรับเงินที่เราไม่มีแผนจะใช้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เราควรพิจารณานำเงินเหล่านี้ไปลงทุนในหุ้นหรือในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเช่นกัน

 

อ้างอิง:

 

The post เงินสดอาจไม่ใช่ราชาอย่างที่คิด ผู้เชี่ยวชาญแนะ โยกส่วนที่ไม่ต้องใช้อีก 5 ปีไปลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ออมเงินอย่างบ้าคลั่ง’ กำลังเป็นกระแสของ Gen Z ในจีน สวนกระแส Gen Z ทั่วโลก https://thestandard.co/revenge-saving-gen-z-in-china/ Wed, 03 Jul 2024 01:31:10 +0000 https://thestandard.co/?p=953055

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์โรคโควิดระบาดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่า […]

The post ‘ออมเงินอย่างบ้าคลั่ง’ กำลังเป็นกระแสของ Gen Z ในจีน สวนกระแส Gen Z ทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์โรคโควิดระบาดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้กระแสการใช้เงินเพื่อชดเชยช่วงเวลาเหล่านั้น หรือที่เรียกว่า ‘Revenge Spending’ ยังทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ในประเทศอย่างจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เด็กรุ่นใหม่กลับมีกระแสการออมเงินอย่างบ้าคลั่ง หรือ ‘Revenge Saving’ ไปทั่วโซเชียลมีเดีย จากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังชะลอตัว

 

โดยวัยรุ่นจีนเหล่านี้จะตั้งเป้ารายจ่ายต่อเดือนแบบต่ำสุดขีด แล้วนำเงินส่วนที่เหลือไปออม อย่างเช่น วัยรุ่นอายุ 26 ปีรายหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อบัญชีในโซเชียลว่า ‘Little Zhai Zhai’ อธิบายว่า เขาจำกัดรายจ่ายตนเองให้ไม่เกิน 41.28 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,444 บาทต่อเดือน ตกเป็นค่าอาหารเพียง 1.38 ดอลลาร์ หรือประมาณ 48 บาทต่อวันเท่านั้น

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

 

Shaun Rein ผู้จัดการของ China Market Research เผยว่า วัยรุ่นจีนกำลังใช้ชีวิตอยู่บนแนวคิดการออมเงินอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งแตกต่างจากวัยรุ่นสมัยปี 2010 อย่างสิ้นเชิง ที่ต้องการใช้เงินมากกว่าที่หาได้ และกู้เงินเพื่อมาซื้อของใช้แพงๆ อย่างกระเป๋า Gucci และ iPhone 

 

ซึ่งแนวโน้มในจีนดูเหมือนว่าจะสวนทาง Gen Z (คนที่เกิดช่วงปี 1997-2012) ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ที่มักจะกู้เงินเพื่อนำไปท่องเที่ยวและทำกิจกรรมอย่างอื่น จากข้อมูลของ Prosperity Index ยังเผยอีกว่า Gen Z ราว 73% ในสหรัฐอเมริกา เลือกที่จะใช้จ่ายไปกับคุณภาพชีวิตที่ดี แทนที่จะมีเงินเก็บเพิ่มในบัญชีธนาคาร

 

แต่ทำไมวัยรุ่นจีนเลือกที่จะเก็บเงินมากกว่าวัยรุ่นในประเทศอื่นๆ Christopher Beddor ผู้อำนวยการด้านการวิจัยเกี่ยวกับจีนของ Gavekal Dragonomics ตอบว่า เพราะวัยรุ่นจีนก็สัมผัสได้เหมือนกับทุกคนว่าเศรษฐกิจจีนในขณะนี้ดูจะไม่ค่อยดีนัก

 

Bank of China พบว่า เงินฝากในไตรมาสแรกของปี 2024 ในจีนเพิ่มขึ้นราว 11.8% จากปีก่อนหน้า

 

แม้ว่าตัวเลข GDP ของจีนแตะ 5.3% ในช่วงไตรมาสแรก แต่ IMF ก็มองว่ามีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงและลดเหลือเพียง 4.5% ในปี 2025

 

Jia Miao ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ NYU Shanghai ชี้ว่า สำหรับเด็กรุ่นใหม่แล้วไม่เพียงต้องเผชิญปัญหาการหางานยาก แต่คนที่มีงานอยู่แล้วยังพบกับปัญหาการขึ้นเงินเดือนลำบากอีกด้วย ทำให้ทางเลือกจึงเหลือเพียงการลดการใช้จ่าย

 

โดยอัตราการว่างงานของประชากรจีนในช่วงอายุ 16-24 ปี สูงถึง 14.2% ในเดือนพฤษภาคม 2024 มากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 5%

 

ในขณะที่เงินเดือนของเด็กจบใหม่ในปี 2023 ก็อยู่ที่เพียง 832 ดอลลาร์ หรือประมาณ 29,120 บาท เติบโตจากปีก่อนหน้าเพียงแค่ 1% จากข้อมูลของ MyCOS Research

 

อ้างอิง:

The post ‘ออมเงินอย่างบ้าคลั่ง’ กำลังเป็นกระแสของ Gen Z ในจีน สวนกระแส Gen Z ทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามชนชั้น Gen Y! คนรวยอวดหรู คนจนกู้หนี้ยืมสินสร้างภาพ เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นสมรภูมิอวดรวย https://thestandard.co/gen-y-class-war/ Thu, 27 Jun 2024 12:22:06 +0000 https://thestandard.co/?p=950585

งานวิจัยชิ้นใหม่เผยว่า ความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งระ […]

The post สงครามชนชั้น Gen Y! คนรวยอวดหรู คนจนกู้หนี้ยืมสินสร้างภาพ เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นสมรภูมิอวดรวย appeared first on THE STANDARD.

]]>

งานวิจัยชิ้นใหม่เผยว่า ความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งระหว่างกลุ่มคน Gen Y ที่ร่ำรวยกับคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันนั้น ถือว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ สร้างความตึงเครียดและความไม่พอใจในสังคมยุคใหม่

 

ในขณะที่คน Gen Y ส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับหนี้สินจากการศึกษา ทำงานบริการที่ค่าแรงต่ำ ราคาบ้านที่แพง และเงินออมที่น้อย คน Gen Y กลุ่ม ‘Elite’ กลับร่ำรวยแซงหน้าคนรุ่นก่อน 

 

โดยคน Gen Y ทั่วไปมีทรัพย์สินน้อยกว่า Baby Boomer ถึง 30% เมื่ออายุ 35 ปี แต่คน Gen Y ที่ร่ำรวยที่สุด 10% กลับมีทรัพย์สินมากกว่า Baby Boomer ที่ร่ำรวยที่สุด 10% ในวัยเดียวกันถึง 20%

 

“คน Gen Y แตกต่างกันมากจนไม่สามารถพูดถึงประสบการณ์ ‘โดยเฉลี่ย’ ของคน Gen Y ได้” ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว “มีคน Gen Y บางคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เช่น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก และ แซม อัลต์แมน ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังดิ้นรน”

 

งานวิจัยยังพบว่า คน Gen Y ซึ่งปัจจุบันมีอายุระหว่าง 28-43 ปี ต้องเผชิญกับอุปสรรคทางการเงินหลายครั้ง พวกเขาเติบโตขึ้นในช่วงวิกฤตการเงิน ทำให้มีอัตราการเป็นเจ้าของบ้านที่ต่ำกว่า มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน มีงานที่ค่าแรงต่ำและไม่มั่นคง และมีอัตราการสร้างครอบครัวที่มีรายได้สองทางที่ต่ำกว่า

 

ขณะเดียวกัน ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวว่า คน Gen Y ที่ร่ำรวยที่สุด 10% ได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนที่มากขึ้นสำหรับงานที่มีทักษะสูง ผลตอบแทนจากเส้นทางอาชีพที่มีสถานะสูงเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลตอบแทนจากเส้นทางอาชีพที่มีสถานะต่ำซบเซาหรือลดลง

 

Gen Y ที่เรียนจบมหาวิทยาลัย หางานระดับบัณฑิตศึกษา และเริ่มต้นครอบครัวค่อนข้างช้า จะมีทรัพย์สินมากกว่า Baby Boomer ที่มีเส้นทางชีวิตคล้ายคลึงกัน

 

ปรากฏการณ์การถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่

 

อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้ Gen Y มีทรัพย์สินมากขึ้นคือ ‘มรดก’ ในสิ่งที่เรียกว่า ‘การถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่’ Baby Boomer คาดว่าจะส่งต่อความมั่งคั่งระหว่าง 70-90 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,587-3,326 ล้านล้านบาท) ในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่คาดว่าจะตกทอดไปยังลูกหลาน Gen Y ของพวกเขา

 

จากข้อมูลของ Cerulli Associates บุคคลที่มีสินทรัพย์สูงมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป (ประมาณ 185 ล้านบาท) คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด โดยบริษัทจัดการความมั่งคั่งกล่าวว่า ความมั่งคั่งบางส่วนเริ่มส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไปแล้ว

 

“การถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ ซึ่งเราพูดถึงกันมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา กำลังดำเนินอยู่” จอห์น แมทธิวส์ หัวหน้าฝ่าย Private Wealth Management ของ UBS กล่าว “อายุเฉลี่ยของมหาเศรษฐีโลกอยู่ที่เกือบ 69 ปี ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงหรือการส่งมอบความมั่งคั่งทั้งหมดนี้จะเริ่มเร่งขึ้น”

 

ความตึงเครียดระหว่างชนชั้นของ Gen Y มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนความมั่งคั่งมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การอวดร่ำอวดรวยบนโซเชียลมีเดียโดย ‘ลูกคนรวย’ รุ่น Gen Y อาจยิ่งเพิ่มสงครามระหว่างชนชั้นในรุ่นเดียวกัน และผลักดันให้ Gen Y ที่ไม่ร่ำรวยใช้จ่ายเกินตัวหรือสร้างภาพลักษณ์การใช้ชีวิตที่หรูหรา

 

ผลสำรวจของ Wells Fargo พบว่า 29% ของ Gen Y ที่ร่ำรวย (มีสินทรัพย์ตั้งแต่ 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ถึงมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.24 ล้านบาท ถึงมากกว่า 37 ล้านบาท) ยอมรับว่า “บางครั้งซื้อของที่เกินกำลังเพื่อสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น” จากผลสำรวจ 41% ของ Gen Y ที่ร่ำรวยยอมรับว่า ใช้บัตรเครดิตหรือเงินกู้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เทียบกับ 28% ของ Gen X และ 6% ของ Baby Boomer

 

การต่อสู้ระหว่าง Gen Y ที่ร่ำรวยและ Gen Y ที่เหลือ อาจส่งผลต่อทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อความมั่งคั่ง เป็นเวลากว่าสี่ทศวรรษแล้วที่เศรษฐีและมหาเศรษฐีส่วนใหญ่ในอเมริกาสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเอง โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ การศึกษาของ Fidelity Investments พบว่า 88% ของเศรษฐีชาวอเมริกันสร้างฐานะด้วยตนเอง

 

แต่ความมั่งคั่งที่ได้รับมรดกอาจกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น การศึกษาของ UBS พบว่า ในบรรดามหาเศรษฐีหน้าใหม่เมื่อปีที่แล้ว ทายาทที่ได้รับมรดกมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่ามหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบอย่างน้อย 9 ปี และมหาเศรษฐีอายุต่ำกว่า 30 ปีทั้งหมดในรายชื่อมหาเศรษฐี Forbes ล่าสุดล้วนได้รับมรดก ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี

 

ความมั่งคั่ง ‘สุดขั้ว’

 

การเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งในหมู่ทายาท Gen Y ยังสร้างตลาดใหม่ที่ร่ำรวยสำหรับบริษัทจัดการความมั่งคั่ง บริษัทสินค้าหรู บริษัทท่องเที่ยว และนายหน้าอสังหาริมทรัพย์

 

เคลย์ตัน ออร์ริโก หนึ่งในนายหน้าอสังหาริมทรัพย์หรูชั้นนำในแมนฮัตตัน ได้สร้างธุรกิจที่เฟื่องฟูจากคน Gen Y ผู้มั่งคั่ง ผู้ก่อตั้ง The Hudson Advisory Team ที่ Compass ขายอสังหาริมทรัพย์ไปแล้วกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.48 แสนล้านบาท) และเป็นนายหน้าในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่ากว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 370 ล้านบาท) เป็นประจำ เขากล่าวว่า ‘ส่วนใหญ่’ ธุรกิจของเขาในช่วงนี้มาจากผู้ซื้อในช่วงอายุ 20 และ 30 ปีที่ได้รับมรดก

 

“ผมเพิ่งขายอพาร์ตเมนต์มูลค่า 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 591 ล้านบาท) ให้กับคนอายุ 20 กว่าๆ และผู้ซื้อเข้าถึงทรัสต์ของครอบครัว” เขากล่าว “ความมั่งคั่งที่อยู่เบื้องหลังเด็กเหล่านี้มีมากมายมหาศาล”

 

ความมั่งคั่งที่ได้รับมรดกกลายเป็นความเชี่ยวชาญของออร์ริโก เขากล่าวว่า เขาทำงานเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสำนักงานครอบครัว กองทรัสต์ และกลุ่มคนหนุ่มสาวผู้มั่งคั่งที่สังสรรค์กันในคลับสมาชิกในนิวยอร์ก เช่น Casa Cipriani

 

รูปแบบที่คุ้นเคยคือ ครอบครัวที่ร่ำรวยมาขอเช่าบ้านให้ลูกชายหรือลูกสาว ไม่กี่ปีต่อมา พวกเขาต้องการคอนโด 2 ห้องนอน มูลค่า 5 ล้าน หรือ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 185-370 ล้านบาท) เพื่อซื้อคอนโดในอาคารใหม่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงในตัวเมือง

 

“งานของผมคือการทำงานอย่างเงียบๆ และรอบคอบกับครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลก” ออร์ริโกกล่าว

 

ภาพ: Semachkovsky / Shutterstock

อ้างอิง: 

The post สงครามชนชั้น Gen Y! คนรวยอวดหรู คนจนกู้หนี้ยืมสินสร้างภาพ เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นสมรภูมิอวดรวย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sam Altman แห่ง OpenAI ประกาศบริจาคความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของตนผ่าน Giving Pledge https://thestandard.co/sam-altman-openai-giving-pledge-donation/ Wed, 29 May 2024 05:14:47 +0000 https://thestandard.co/?p=938779 Sam Altman

Sam Altman ซีอีโอ OpenAI พร้อมด้วยคู่ชีวิต ขึ้นแท่นกลาย […]

The post Sam Altman แห่ง OpenAI ประกาศบริจาคความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของตนผ่าน Giving Pledge appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sam Altman

Sam Altman ซีอีโอ OpenAI พร้อมด้วยคู่ชีวิต ขึ้นแท่นกลายเป็นมหาเศรษฐีรายใหม่ล่าสุดที่ลงนามใน Giving Pledge องค์กรการกุศลที่สนับสนุนให้คนรวยเป็นพิเศษบริจาคความมั่งคั่งของตนเพื่อการกุศล

 

รายงานอ้างอิงจดหมายที่ระบุเจตนารมณ์ของทั้งคู่ที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (28 พฤษภาคม) โดยเนื้อความระบุว่า Altman และสามี Oliver Mulherin ให้เครดิตว่า “การทำงานหนัก ความฉลาด ความมีน้ำใจ และการอุทิศตนเพื่อปรับปรุงโลกของผู้คนจำนวนมากที่สร้างรากฐานของสังคมที่ทำให้พวกเขามาถึงจุดนี้” และบอกว่าทั้งคู่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรู้สึกขอบคุณอย่างล้นหลามและมุ่งมั่นที่จะตอบแทน

 

ทั้งนี้ รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า Altman มีมูลค่าสินทรัพย์อย่างน้อยที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของเจ้าตัวมาจากการลงทุนในสตาร์ทอัพ รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ใน Reddit ซึ่งจนถึงขณะนี้ Altman ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ จาก OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับแนวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)

 

ด้านกลุ่ม The Giving Pledge เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดยมหาเศรษฐี Warren Buffett และอดีตสามีภรรยา Bill & Melinda French Gates เพื่อให้บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกให้คำมั่นที่จะบริจาคทรัพย์สินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพวกเขาให้กับองค์กรการกุศลและมูลนิธิที่เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ทั้งช่วงเวลาที่มีชีวิตหรือหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้วผ่านพินัยกรรม

 

สำหรับคำมั่นสัญญาดังกล่าวไม่ใช่สัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เป็นข้อผูกมัดทางศีลธรรมมากกว่า จุดประสงค์ของแคมเปญคือสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่ว่าจะให้มากแค่ไหน แต่ยังเป็นการให้เพื่อจุดประสงค์อะไรและเพื่อผลลัพธ์ใด โดยปัจจุบันมีคู่รักและบุคคลมากกว่า 245 คู่ จาก 30 ประเทศ ที่ได้ลงนามเข้าร่วม The Giving Pledge แล้ว

 

อ้างอิง:

The post Sam Altman แห่ง OpenAI ประกาศบริจาคความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของตนผ่าน Giving Pledge appeared first on THE STANDARD.

]]>