Lifestyle & Passion – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 01 Jun 2025 06:59:20 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ยูโอบี จับมือ คริสตีส์ เชิญลูกค้า UOB Privilege Banking ร่วมงานพรีวิวคอลเล็กชันประมูลสุดเอ็กซ์คลูซีฟ https://thestandard.co/uob-christies-partner-exclusive-auction/ Sun, 01 Jun 2025 06:59:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1081025

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ คริสตีส์ สถาบันประมูลงาน […]

The post ยูโอบี จับมือ คริสตีส์ เชิญลูกค้า UOB Privilege Banking ร่วมงานพรีวิวคอลเล็กชันประมูลสุดเอ็กซ์คลูซีฟ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ คริสตีส์ สถาบันประมูลงานศิลปะระดับโลก เชิญลูกค้ากลุ่ม UOB Privilege Banking ร่วมดื่มด่ำกับค่ำคืนแห่งแรงบันดาลใจ ณ โรงแรมอมัน นายเลิศ กรุงเทพฯ ในบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมชมพรีวิวคอลเล็กชันเครื่องเพชร และชิ้นงานศิลปะหายากที่คัดสรรมาเป็นพิเศษก่อนใคร ก่อนจะเข้าสู่การประมูลของทางคริสตีส์ที่เจนีวาและฮ่องกง

 

โดยไฮไลต์ของการประมูล คือ A Bouquet of Gems: A Superb Collection of Jewels by JAR ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลเล็กชันส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด ประกอบด้วยผลงาน 21 ชิ้นของ Joel Arthur Rosenthal (JAR) ปรมาจารย์แห่งการออกแบบ อัญมณีของโลก ซึ่งไม่เคยปรากฏในตลาดหรือถูกประมูลมาก่อน รวมถึงอีกหนึ่งในไฮไลต์ที่โดดเด่นที่สุด คือการเปิดตัวผลงานสั่งทำพิเศษจาก Hermès ได้แก่ Kelly Doll หนังจระเข้ทูโทน และ Kelly 25 สีชมพูแมตต์ หายาก ซึ่งทั้งสองใบสะท้อนถึงความประณีตสูงสุดและศิลปะอันไร้ที่ติในการสร้างสรรค์

 

งานในครั้งนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของยูโอบี ในการนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับลูกค้าคนสำคัญ พร้อมเปิดมุมมองใหม่ของการบริหารความมั่งคั่ง ที่ผสานศิลปะ วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์เข้าไว้อย่างกลมกลืน ภายใต้แนวคิด Passion Investments หรือการลงทุนในสิ่งที่มีคุณค่า เต็มไปด้วยความหมาย และสะท้อนตัวตนอย่างลึกซึ้ง

 

The post ยูโอบี จับมือ คริสตีส์ เชิญลูกค้า UOB Privilege Banking ร่วมงานพรีวิวคอลเล็กชันประมูลสุดเอ็กซ์คลูซีฟ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย เปิดฉากแคมเปญใหญ่ World Class Rewards จัดเต็มปรากฏการณ์รีวอร์ดระดับโลก เริ่มแล้ว 1 มิถุนายนนี้ – 31 ธันวาคม 2568 https://thestandard.co/kasikorn-visa-world-class-rewards/ Sun, 01 Jun 2025 05:38:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1080991

บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย จัดแคมเปญซีรีส์ World Class Rew […]

The post บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย เปิดฉากแคมเปญใหญ่ World Class Rewards จัดเต็มปรากฏการณ์รีวอร์ดระดับโลก เริ่มแล้ว 1 มิถุนายนนี้ – 31 ธันวาคม 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>

บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย จัดแคมเปญซีรีส์ World Class Rewards ให้ลูกค้าสัมผัสปรากฏการณ์รีวอร์ดระดับโลกต่อเนื่องตลอดทั้งปี ฟินจัดเต็มกับการรวมตัวครั้งประวัติศาสตร์ของวงเกิร์ลกรุ๊ประดับโลกในเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตที่ BLINK ไทยรอคอย วอร์มนิ้วรอกดจองบัตรก่อนใครด้วยบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทยในรอบ Presale วันที่ 11 มิถุนายน 2568 และรอบทั่วไปวันที่ 13 มิถุนายน 2568 รับเครดิตเงินคืน 3% และสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2568 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ต่อด้วยความมันปลายปีกับทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับโลก และสิทธิ์ลุ้นชมแมตช์หยุดโลกที่สหรัฐอเมริกา พร้อมลุ้นอร่อยล่าดาว MICHELIN กับทริปฮ่องกง และโปรแรงแลก K Point ทุกวันที่ 8 ของเดือนกับดีลสุดคุ้ม หรือแลกรับส่วนลดสูงสุด 18%

 

ผกาฉัตร เตชาบูรพานนท์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ลูกค้าที่ถือบัตรเครดิตวีซ่า กสิกรไทย ส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการใช้จ่ายเพื่อซื้อประสบการณ์พิเศษเพิ่มมากขึ้น เช่น คอนเสิร์ต งานเทศกาล ร้านอาหารที่ได้รางวัลการันตี ในครึ่งปีหลัง 2568 บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย จึงจัดแคมเปญซีรีส์ World Class Rewards เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษในมหกรรมระดับโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมโปรโมชันที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือกเข้าร่วมได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ตนเองชื่นชอบทั้งสายบันเทิง แฟนด้อม สายช้อปคุ้ม สายกีฬา สายกิน เป็นต้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568”

 

พบกับปรากฏการณ์รีวอร์ดระดับโลก World Class Rewards กับบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย ต่อเนื่องตลอดทั้งปี

 

1. World Class CONCERT กับเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตของวงเกิร์ลกรุ๊ประดับโลก สิทธิพิเศษ จองบัตรรอบ Presale ในวันที่ 11 มิถุนายน 2568 และรอบทั่วไปวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ผ่านช่องทาง THAITICKETMAJOR ทางออนไลน์ รับเครดิตเงินคืน 3% เมื่อใช้บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย (รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 700 บาท/ท่าน) หรือรับเงินคืน 3% เมื่อใช้บัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทย (รับเงินคืนสูงสุด 180 บาท/ท่าน จำกัดสิทธิ์ 3,000 ท่านแรก) โดยลงทะเบียนผ่าน SMS พิมพ์ BP (วรรค) ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทยหรือบัตรเดบิตวีซ่า กสิกรไทย 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4545888 (ค่าบริการขึ้นกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ) ภายในระยะเวลาส่งเสริมการขาย สำหรับบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย เตรียมตัวรับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมพิเศษในวันคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2568 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

 

2. World Class GIFTS แลกคะแนน K Point ดีลคุ้มทุกวัน

 

  • ทุกวันที่ 8 ของเดือน แลกคะแนน K Point เริ่มต้นที่ 88-80,000 คะแนน เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 – 8 ตุลาคม 2568 เลือกแลกสินค้าได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ เช่น ตั๋วเครื่องบินสายการบินการบินไทย ไปกลับกรุงเทพ-ญี่ปุ่น Starbucks e-Coupon เป็นต้น

 

  • แลกคะแนน K Point เท่ายอดใช้จ่าย ในหมวดห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และช้อปปิ้งออนไลน์ เพื่อรับเครดิตเงินคืน 18% ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ และ 15% สำหรับวันจันทร์-พฤหัสบดี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568 ลงทะเบียนผ่าน SMS พิมพ์ K1 สำหรับการแลกคะแนน ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ และ SMS พิมพ์ K2 สำหรับการแลกคะแนน ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี (วรรค) หมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย (วรรค) ตามด้วยจำนวนคะแนนสะสม K Point เท่ายอดใช้จ่าย ส่งมาที่ 4545888 (ค่าบริการขึ้นกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม)

 

3. World Class SPORT พบกับทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับโลก และกิจกรรมพิเศษในประเทศไทยสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทยเท่านั้น ที่จะได้ร่วมสนุกหลากหลายรูปแบบ พร้อมลุ้นโอกาสเข้าชมแมตช์หยุดโลกที่สหรัฐอเมริกา

 

4. World Class MICHELIN ลุ้นอร่อยล่าดาว MICHELIN กับทริปฮ่องกง สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต PASSION

 

ผกาฉัตรกล่าวปิดท้ายว่า “แคมเปญ World Class Rewards เตรียมกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟอีกมากมายสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย ซึ่งจะทยอยเปิดเผยรายละเอียดในเร็วๆ นี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกค้าทุกท่านจะเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์สุดพิเศษระดับโลก และได้รับความคุ้มค่าจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทยในทุกวันอย่างเต็มที่”

 

หมายเหตุ:

  • ศึกษารายละเอียด ข้อจำกัด เงื่อนไขเพิ่มเติมที่ https://www.kasikornbank.com/k_3HhMJBq
  • ใช้เท่าที่จำเป็น และชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

The post บัตรเครดิตวีซ่ากสิกรไทย เปิดฉากแคมเปญใหญ่ World Class Rewards จัดเต็มปรากฏการณ์รีวอร์ดระดับโลก เริ่มแล้ว 1 มิถุนายนนี้ – 31 ธันวาคม 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Art of Collecting: เฟอร์นิเจอร์วินเทจ และ Timeless Collectibles ในฐานะมรดก การลงทุน และบทบันทึกรสนิยมส่วนตัว [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/the-art-of-collecting/ Sat, 31 May 2025 03:00:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1076347

ในโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็ว การได้หยุดและสัมผัสกับสิ่งที่เ […]

The post The Art of Collecting: เฟอร์นิเจอร์วินเทจ และ Timeless Collectibles ในฐานะมรดก การลงทุน และบทบันทึกรสนิยมส่วนตัว [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็ว การได้หยุดและสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า ‘กาลเวลา’ ผ่านวัตถุที่จับต้องได้ กลายเป็นเสน่ห์ที่ยากจะต้านทาน ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์วินเทจสักชิ้นที่เคยผ่านร้อนหนาว เครื่องลายครามโบราณที่บอกเล่าอารยธรรม หรือนาฬิกาเก่าแก่ที่ยังคงเดินอย่างซื่อตรง 

 

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงของเก่าเก็บ แต่คือ ‘Timeless Collectibles’ หรือมรดกอันล้ำค่าที่สะท้อนประวัติศาสตร์ ศิลปะ และเรื่องราวของผู้คนในยุคสมัยก่อน 

 

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกของของสะสมเหล่านี้ โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์วินเทจ ในฐานะสิ่งที่เชื่อมโยงแพสชัน ตัวตน และคุณค่าที่อยู่เหนือตัวเลขทางการเงิน และอาจเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม



UOB Privilege Banking เข้าใจและให้คุณค่ากับทุก Passion & Lifestyle จึงพร้อมที่จะช่วยส่งเสริมทุกความหลงใหลให้กลายเป็นความมั่งคั่ง ด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ เข้ากันกับไลฟ์สไตล์ของผู้มีความมั่งคั่งทุกท่าน เช่นบทความพิเศษในซีรีส์นี้ 

 

เฟอร์นิเจอร์วินเทจและของสะสมอื่น: ประวัติศาสตร์มีชีวิตในบ้าน

 

เสน่ห์ของเฟอร์นิเจอร์วินเทจนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความเก่าแก่ แต่เป็นผลรวมของ ‘ดีไซน์’ ที่ก้าวข้ามกาลเวลา ‘วัสดุ’ คุณภาพสูงที่ยิ่งใช้ยิ่งสวยงาม ‘งานฝีมือ’ อันประณีตของช่างในอดีต และ ‘ประวัติศาสตร์’ ที่อัดแน่นอยู่ในทุกอณู 

 

ลองนึกถึงไม้เนื้อแข็งที่ผ่านการใช้งานมาหลายสิบปี จนเกิดเป็น ‘Patina’ หรือร่องรอยแห่งกาลเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่ที่เน้นการผลิตจำนวนมากไม่อาจลอกเลียนได้ การเข้าไม้แบบโบราณ การแกะสลักด้วยมือ หรือการเลือกใช้โลหะที่บ่งบอกยุคสมัย ล้วนเป็นรายละเอียดที่นักสะสมหลงใหล เพราะมันคือ ‘ความงามที่แท้จริง’ ซึ่งไม่ได้ปรุงแต่ง

 

เมื่อพูดถึงเรื่องเล่าผ่านดีไซน์ สไตล์อย่าง ‘Mid-Century Modern’ (ประมาณช่วงปี 1933-1965) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความเรียบง่าย แต่สะท้อนปรัชญาการออกแบบที่เน้นประโยชน์ใช้สอยสูงสุด (Form follows function) หลังยุคสงคราม ผสานกับเส้นสายที่สะอาดตาและรูปทรงออร์แกนิก นักออกแบบชื่อดังอย่าง ชาร์ลส์ และ เรย์ อีมส์ หรือ ฮันส์ เวกเนอร์ ได้สร้างสรรค์ชิ้นงานที่ยังคงเป็นที่ต้องการมาจนถึงปัจจุบัน เพราะมันตอบโจทย์การใช้ชีวิตและสะท้อนความหวังในอนาคตที่ดีกว่า

 

ภาพ: Followtheflow / Shutterstock

 

ในขณะที่ ‘Art Deco’ (ช่วงทศวรรษ 1920-1930) คือตัวแทนของความหรูหราและความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม โดดเด่นด้วยรูปทรงเรขาคณิตที่สมมาตร การใช้วัสดุมันวาวอย่างโครเมียม กระจก หรือไม้เคลือบแลคเกอร์ และลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะอียิปต์โบราณหรือเครื่องจักร ซึ่งสะท้อนความมั่งคั่งและความเชื่อมั่นในยุคทองของดนตรีแจ๊สได้อย่างชัดเจน

 

การเลือกเฟอร์นิเจอร์วินเทจสักชิ้นจึงเป็นมากกว่าการซื้อหา มันคือการนำพา ‘ส่วนหนึ่งของตัวตน’ เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว เก้าอี้อาร์มแชร์ตัวโปรดที่มุมห้องนั่งเล่น ไม่ได้เป็นเพียงที่สำหรับพักผ่อน แต่อาจเป็นพยานของบทสนทนาสำคัญ หรือเป็นมุมสงบสำหรับความคิดสร้างสรรค์ โต๊ะทำงานไม้สักทนทาน อาจเป็นมรดกตกทอดที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของความมุ่งมั่นและความสำเร็จ การเลือกเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้สะท้อนถึงรสนิยมที่ไม่ตามกระแส ความเข้าใจในคุณค่าของงานฝีมือ และความปรารถนาที่จะสร้างพื้นที่ที่มีความหมายเฉพาะตัว

 

นอกเหนือจากเฟอร์นิเจอร์แล้ว โลกของของสะสมยังเปิดกว้างไปถึง ‘เครื่องลายครามโบราณ’ และ ‘นาฬิกาโบราณ’ ที่ต่างก็มีมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวอย่างลึกซึ้ง เครื่องลายคราม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปั้นจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ ‘เครื่องกังไส’ ซึ่งมาจากมณฑลเจียงซี หรือเครื่องเบญจรงค์ของไทยที่สั่งผลิตลวดลายเฉพาะในอดีต ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานศิลปะที่ต้องอาศัย ‘ความประณีต’ สูงสุด 

 

ตั้งแต่การเตรียมดิน การปั้นขึ้นรูป การเขียนลวดลายด้วยมืออันวิจิตรบรรจง ซึ่งแต่ละเส้นสายสะท้อนถึงสมาธิและความชำนาญของจิตรกร และการเผาในอุณหภูมิที่แม่นยำเพื่อให้ได้สีสันและความแกร่งตามต้องการ ‘ภูมิปัญญาของช่างฝีมือ’ เหล่านี้ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ลวดลายที่ปรากฏบนเครื่องลายครามก็ไม่ใช่เพียงความสวยงาม แต่ยังบอกเล่าเรื่องราวทางวรรณคดี สัญลักษณ์มงคล หรือบันทึกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์

 

ภาพ: HiTecherZ / Shutterstock

 

ทำให้เครื่องลายครามแต่ละชิ้นมี ‘คุณค่าทางประวัติศาสตร์’ ที่เชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบัน การได้ครอบครองเครื่องลายครามโบราณสักชิ้น จึงเปรียบเสมือนการได้ดูแลรักษาหน้าหนึ่งของบันทึกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ

 

สำหรับ ‘นาฬิกาโบราณ’ นั้น คือบทกวีแห่งกาลเวลาที่ขับขานผ่านกลไกอันซับซ้อน ‘ความประณีต’ ของนาฬิกาโบราณไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความสวยงามของตัวเรือนที่อาจแกะสลักอย่างวิจิตร หรือหน้าปัดที่ตกแต่งอย่างมีศิลปะ แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ ‘ภูมิปัญญาของช่างฝีมือ’ ในการสร้างสรรค์จักรกลขนาดจิ๋วที่สามารถวัดและบอกเวลาได้อย่างแม่นยำ 

 

ลองจินตนาการถึงช่างทำนาฬิกาในศตวรรษที่ 18 หรือ 19 ที่ต้องใช้เครื่องมือธรรมดาและความอดทนอย่างสูงในการประดิษฐ์และประกอบชิ้นส่วนเล็กๆ นับร้อยนับพันชิ้นเข้าด้วยกัน การซ่อมแซมนาฬิกาโบราณในปัจจุบันก็ยังคงต้องอาศัยทักษะและความเข้าใจในกลไกดั้งเดิมเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง 

 

‘คุณค่าทางประวัติศาสตร์’ ของนาฬิกาโบราณก็มีมากมาย ตั้งแต่นาฬิกาพกเรือนแรกๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม ไปจนถึงนาฬิกาตั้งพื้น (Grandfather Clock) ที่เคยเป็นศูนย์กลางของบ้าน หรือนาฬิกาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในภารกิจสำคัญ เช่น การเดินเรือหรือการทหาร เสียงติ๊กต็อกของนาฬิกาโบราณจึงไม่ใช่แค่เสียงกลไก แต่เป็นเสียงกระซิบจากอดีตที่บอกเล่าถึงนวัตกรรม ความอดทน และเรื่องราวของผู้คนในยุคสมัยนั้นๆ

 

ภาพ: SV Production / Shutterstock

 

ทั้งหมดนี้คือ ‘คุณค่าทางใจ’ ที่ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ การได้สัมผัส ลูบไล้ และชื่นชมรายละเอียดของเครื่องลายครามที่เคยผ่านมือผู้คนมาหลายชั่วอายุคน หรือการได้ฟังเสียงเดินของนาฬิกาโบราณที่ยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ คือความสุขและความภาคภูมิใจที่แท้จริงของนักสะสม

 

ก้าวสู่โลกนักสะสม: กลยุทธ์และแนวโน้มในมุมมอง Wealth Management

 

การเริ่มต้นเส้นทางนักสะสมนั้นควรมาจาก ‘ความหลงใหล’ อย่างแท้จริง ลองใช้เวลาศึกษา ค้นคว้า และทำความรู้จักกับสิ่งที่คุณสนใจ อาจจะเริ่มจากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ร้านขายของเก่าที่มีชื่อเสียง อ่านหนังสือ นิตยสาร หรือบทความออนไลน์ และที่สำคัญคือการพูดคุยกับผู้รู้หรือนักสะสมท่านอื่นๆ เพื่อสร้างความเข้าใจในเบื้องต้น 

 

เมื่อคุณเริ่มค้นพบสิ่งที่ ‘ใช่’ สำหรับคุณแล้ว การเริ่มต้นจากชิ้นเล็กๆ หรือจากของในงบประมาณที่จัดการได้ จะช่วยให้คุณค่อยๆ เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์โดยไม่กดดันตัวเองมากจนเกินไป

 

เมื่อตัดสินใจที่จะครอบครองชิ้นงานที่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะผ่านช่องทางการประมูล การเตรียมตัวคือหัวใจสำคัญ ‘การศึกษาข้อมูล’ (Research) ไม่ได้หมายถึงแค่การดูรูปทรงภายนอก แต่ต้องเจาะลึกถึงประวัติของชิ้นงาน สภาพความสมบูรณ์ รายละเอียดของตำหนิ (ถ้ามี) ประวัติการซ่อมแซม 

 

และที่สำคัญคือ ‘Provenance’ หรือหลักฐานแสดงที่มาและความเป็นเจ้าของ ซึ่งจะช่วยยืนยันความแท้และเพิ่มมูลค่าได้อย่างมาก การ ‘ตั้งงบประมาณ’ (Budgeting) ก็ไม่ใช่แค่ตัวเลขสูงสุดที่คุณยินดีจ่าย แต่ต้องรวมถึงค่าธรรมเนียมการประมูล (Buyer’s Premium) ภาษี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจตามมา เช่น ค่าขนส่ง ค่าบูรณะ หรือค่าประกัน 

 

ภาพ: ALPA PROD / Shutterstock

 

การ ‘เข้าใจบรรยากาศการประมูล’ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการประมูลแบบออนไลน์หรือในห้องประมูลจริง การรักษาความเยือกเย็น การตัดสินใจอย่างรอบคอบ และการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด คือทักษะที่ต้องอาศัยประสบการณ์

 

ในส่วนของ ‘การดูแนวโน้มตลาด’ ปัจจัยที่มีผลต่อราคาและความนิยมของของสะสมนั้นมีหลายมิติ ‘ความหายาก’ (Rarity) เป็นปัจจัยพื้นฐาน ยิ่งมีน้อยชิ้นยิ่งเป็นที่ต้องการ ‘สภาพ’ (Condition) ก็สำคัญไม่แพ้กัน ของที่อยู่ในสภาพเดิมสมบูรณ์ที่สุด หรือที่เรียกว่า ‘New Old Stock’ (NOS) มักจะมีราคาสูงกว่าชิ้นที่ผ่านการบูรณะมามาก ‘ที่มา’ (Provenance) ดังที่กล่าวไปแล้ว และชื่อเสียงของ ‘ดีไซเนอร์หรือผู้ผลิต’ ก็มีผลอย่างยิ่ง 

 

การแยกแยะระหว่างกระแสความนิยมชั่วคราวกับ ‘คุณค่าที่ยั่งยืน’ นั้นต้องอาศัยการมองตลาดในระยะยาว ศึกษาข้อมูลการซื้อขายย้อนหลัง และทำความเข้าใจในคุณค่าเชิงศิลปะและประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของชิ้นงานนั้นๆ ไม่ใช่แค่หลงไปกับกระแสที่อาจจะมาแล้วก็ไป

 

ในมุมมองของ ‘Wealth Management’ หรือการบริหารความมั่งคั่ง การลงทุนในสิ่งที่จับต้องได้อย่าง ‘Passion Investments’ เช่น เฟอร์นิเจอร์วินเทจ, งานศิลปะ, นาฬิกา, ไวน์ หรือรถคลาสสิก สามารถเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การกระจายพอร์ตการลงทุน (Portfolio Diversification) เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมได้ 

 

สินทรัพย์เหล่านี้มักจะมีความสัมพันธ์กับตลาดการเงินหลักในระดับต่ำ หมายความว่ามูลค่าของมันอาจไม่ผันผวนไปในทิศทางเดียวกับหุ้นหรือพันธบัตรเสมอไป อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ Passion Assets ส่วนใหญ่มี ‘สภาพคล่องต่ำ’ การซื้อขายอาจต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมสูง 

 

นอกจากนี้ยังต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ ซึ่งก่อให้เกิด ‘ต้นทุนในการถือครอง’ (Cost of Ownership) เช่น ค่าประกัน ค่าจัดเก็บในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หรือค่าบูรณะซ่อมแซมเมื่อจำเป็น การมีเอกสารประกอบที่ครบถ้วน เช่น ใบรับรองความแท้ ประวัติการซ่อม หรือรูปถ่ายโดยละเอียด เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบริหารจัดการและการประเมินมูลค่าในอนาคต

 

กระนั้น “สิ่งสำคัญที่สุดเกี่ยวกับการลงทุนในสิ่งที่รักคือการสะสมสิ่งของที่คุณรักและมีความสุขที่จะเก็บมันไว้ในระยะยาว” นั่นหมายความว่าผลตอบแทนทางอารมณ์และความสุขจากการได้ครอบครองควรเป็นปัจจัยหลัก และผลตอบแทนทางการเงิน (ถ้ามี) ถือเป็นโบนัส การลงทุนใน Passion Assets จึงเป็นเรื่องของ ‘การเดินทาง’ ที่ต้องใช้ทั้งความรู้ ความอดทน และความรักอย่างแท้จริง

 

ภาพ: alexkich / Shutterstock

 

คุณค่าที่อยู่เหนือกาลเวลา และมิติการลงทุนแห่งความหลงใหล

 

โดยสรุปแล้ว ‘Timeless Collectibles’ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์วินเทจหรืองานศิลปะล้ำค่า ต่างก็เป็นมากกว่าสินทรัพย์ที่ตีราคาได้ มันคือมรดกทางวัฒนธรรม คือเรื่องราว คือตัวตน และคือความภาคภูมิใจของผู้ครอบครอง คุณค่าที่แท้จริงอาจไม่ได้วัดกันที่ป้ายราคาที่เพิ่มขึ้นเสมอไป แต่คือความสุข ความผูกพัน และความเป็นไปได้ในการส่งต่อสิ่งเหล่านี้ไปยังคนรุ่นหลัง

 

ในแง่ของการบริหารความมั่งคั่ง การลงทุนใน ‘Passion Assets’ อาจไม่ได้ให้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินที่รวดเร็วหรือสม่ำเสมอเหมือนการลงทุนในตลาดหุ้นหรือพันธบัตร แต่มันสามารถเติมเต็มความมั่งคั่งในมิติที่จับต้องได้ทางความรู้สึก สร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางการเงินกับความสุขส่วนตัว และยังเป็น ‘มรดก’ ที่สะท้อนถึงรสนิยมและตัวตนของคุณได้อย่างแท้จริง 

 

การพิจารณาสินทรัพย์ประเภทนี้ในพอร์ตการลงทุนจึงควรมาจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทั้งในตัวสินทรัพย์และความปรารถนาของตนเอง เพื่อให้ทุกการลงทุนนำมาซึ่งความมั่งคั่งและความหมายอย่างยั่งยืน บริการให้คำปรึกษาด้านการบริหารความมั่งคั่งที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถช่วยให้คำแนะนำในการประเมินคุณค่า การจัดการ และการผสมผสานสินทรัพย์แห่งความหลงใหลเหล่านี้เข้ากับแผนการเงินโดยรวมของคุณได้อย่างเหมาะสม

 

UOB Privilege Banking

 

ภาพปก: digitalgenetics / iStock / Getty Images Plus

อ้างอิง:

The post The Art of Collecting: เฟอร์นิเจอร์วินเทจ และ Timeless Collectibles ในฐานะมรดก การลงทุน และบทบันทึกรสนิยมส่วนตัว [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผย ญี่ปุ่นยังติดอันดับประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เดินหน้ารุกตลาด ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นเติบโต 15% https://thestandard.co/japan-top-destination-for-thai-travelers/ Sun, 13 Apr 2025 08:10:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1064172 นักท่องเที่ยวไทย

บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยข้อมูลการใช้จ่า […]

The post กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผย ญี่ปุ่นยังติดอันดับประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เดินหน้ารุกตลาด ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นเติบโต 15% appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักท่องเที่ยวไทย

บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรชี้ ญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย โดยบัตรเครดิตยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกในการชำระเงินที่เป็นที่นิยม ด้วยความสะดวกสบายในการใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ โดยในปี 2567 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ที่ญี่ปุ่น เติบโต 12% ชี้หมวดห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, โรงแรม, เครื่องสำอาง และสินค้าปลอดภาษี ติดอันดับหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรยอดนิยม เตรียมสานต่อแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” จับมือพันธมิตรแบรนด์และร้านค้าชั้นนำกว่า 600 รายทั้งในไทยและญี่ปุ่น จัดดีลช้อป เที่ยว สุดคุ้ม เพิ่มสิทธิพิเศษครบจบทุกประสบการณ์เรื่องญี่ปุ่น หวังกระตุ้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรรับฤดูท่องเที่ยว ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นในปี 2568 กว่า 2,530 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบกับปีก่อน 

 

สมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ในฐานะตัวแทนบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ อันประกอบไปด้วย บัตรเครดิต กรุงศรี, บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตโลตัส กล่าวว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย โดยจากข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในต่างประเทศในปี 2567 พบว่า ญี่ปุ่น ยังครองอันดับหนึ่งในฐานะประเทศที่สมาชิกบัตรฯ เดินทางไปและมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุด 

 

 

 

โดยในปีที่ผ่านมา มีสมาชิกบัตรฯ เดินทางและใช้จ่ายที่ญี่ปุ่นกว่า 120,000 บัญชีบัตร เติบโต 18% และมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นรวมกว่า 2,200 ล้านบาท เติบโต 12% เทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีทางเลือกในการใช้จ่ายที่หลากหลายขึ้น แต่บัตรเครดิตยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกในการใช้จ่ายในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม เนื่องจากความสะดวกสบายและสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายทั้งส่วนลด คะแนนสะสมและสิทธิพิเศษ ตอบโจทย์นักเดินทางที่ต้องการความคุ้มค่า โดยเฉพาะในการใช้จ่ายที่มียอดสูง โดยจากข้อมูลชี้ให้เห็นว่าการรูดชำระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 บาทต่อครั้ง ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นเฉลี่ยต่อคน 29,000 บาทต่อปี ส่วนหมวดใช้จ่ายยอดนิยมเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ 1. ห้างสรรพสินค้า, 2. สินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย, 3. โรงแรมที่พัก, 4. เครื่องสำอางสินค้าเบ็ดเตล็ด และ 5. สินค้าปลอดภาษี

 

 

 

จากศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายดังกล่าว ในปีนี้ บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ จึงมุ่งสานต่อแคมเปญ ‘เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี’ เพื่อรุกตลาดคนรักการท่องเที่ยวญี่ปุ่น รับเทศกาลท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว โดยจะต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำกว่า 600 ร้านค้าทั้งในไทยและญี่ปุ่น เพื่อขยายสิทธิประโยชน์ให้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเพิ่มยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกบัตร เช่น ฟีเจอร์ ‘U Japan’ ในแอปพลิเคชัน UCHOOSE ที่รวบรวมดีลสุดคุ้มเกี่ยวกับการเที่ยวญี่ปุ่น รวมทั้งฟังก์ชันอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้จ่าย และส่งเสริมภาพลักษณ์ของบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในฐานะบัตรเครดิตหลักที่ลูกค้านิยมใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น 

 

“บริษัทตั้งเป้าในปี 2568 จะมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่น 2,530 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบกับปีก่อน” สมหวังกล่าวสรุป

 

ทั้งนี้ แคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” มอบสิทธิพิเศษหลากหลายที่ญี่ปุ่น สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568 โดยระยะเวลาและเงื่อนไขของแต่ละโปรโมชันขึ้นอยู่กับร้านค้าและประเภทของบัตรที่ร่วมรายการ กรุณาตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.krungsricard.com ทั้งนี้ ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี  

 

The post กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผย ญี่ปุ่นยังติดอันดับประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เดินหน้ารุกตลาด ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นเติบโต 15% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องเทรนด์สงกรานต์บนโซเชียล! ปี 2568 คนนิยมเสิร์ชหาเพลงฮิต ท่าเต้น และเมกอัพกันน้ำ https://thestandard.co/songkran-2025-social-trends/ Sun, 13 Apr 2025 03:54:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1064045

จากกระแสบนโซเชียลเริ่มมีการพูดถึงเรื่องสงกรานต์ปีนี้กัน […]

The post ส่องเทรนด์สงกรานต์บนโซเชียล! ปี 2568 คนนิยมเสิร์ชหาเพลงฮิต ท่าเต้น และเมกอัพกันน้ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>

จากกระแสบนโซเชียลเริ่มมีการพูดถึงเรื่องสงกรานต์ปีนี้กันอย่างคึกคัก บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ‘สงกรานต์ 2568’ ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม – 10 เมษายน 2568 ผ่านเครื่องมือ Zocial Eye พบว่ามีการพูดถึงเรื่องนี้บนโซเชียลมีเดียสูงถึง 106,619,437 Engagement จาก 219,455 Message

 

โดยข้อความส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม Facebook มากที่สุด 51% ตามมาด้วย TikTok 15% และช่องทางอื่น ๆ 34% ส่วนท็อปแฮชแท็ก ได้แก่ สงกรานต์, songkran2025 และสงกรานต์2025 

 

สงกรานต์ social

 

สิ่งที่น่าสนใจของเทรนด์ที่มาแรงบนโซเชียลในปีนี้เริ่มตั้งแต่

 

  1. เพลงฮิตวันสงกรานต์ เมื่อสำรวจความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย พบว่า คีย์เวิร์ดเพลงที่ได้รับความนิยมมากถึง 5,884,334 Engagement หรือคิดเป็น 8,004 Message เป็นเพลงคุบุคะ ที่ถูกกล่าวถึงมาจากแอ็กเคานต์ moznattha ของ อูโน่ หลาวทอง จากช่องทาง TikTok หรือจะเป็นเพลง Baby Tee สุดฮิต ขวัญใจ TikToker หรือแนวโจ๊ะๆ บางแสนแดนเจอรัก (เรือกล้วยก็มีให้ขี่) ที่ถูกกล่าวถึงมากไม่แพ้กัน

 

  1. ท่าเต้นสงกรานต์ กระแสท่าเต้นสงกรานต์ มาแรง คือ ‘ท่ากุไม่ฟัง’ จาก อูโน่ หลาวทอง และ จะสงกรานต์แล้วติ ของอิงฟ้า ที่กลายเป็นกระแสที่ทุกคนใน TikTok ต่างก็แชร์คลิปเต้นพร้อมข้อความสงกรานต์นี้มีท่าเต้นกันรึยัง โดยมียอดความนิยมพุ่งสูงถึง 4,810,687 Engagement

 

  1. แต่งหน้ากันน้ำ ท้าแดด ท้าน้ำ กลายเป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในปีนี้ พร้อมแนะนำไอเท็มแต่งหน้าแนวกันน้ำที่ช่วยให้สวยท้าแดด จนตัวเลขที่พุ่งสูงถึง 4,135,426 Engagement และมีการพูดถึงกว่า 1,074 Message สะท้อนว่าเมกอัพยังคงเป็นไอเท็มคู่ใจของคนเล่นน้ำ โดยเหล่า TikToker สายบิวตี้ก็ต่างรีวิวไอเท็ม ทั้งคุชชัน บลัชออน ที่เขียนคิ้ว มาสคาร่า และลิปสติก

 

  1. จังหวัดขอนแก่น ครองแชมป์สงกรานต์ปีนี้ ด้วยความนิยมในปีนี้สร้างยอด Engagement สูงถึง 827,958 โดยเฉพาะการจัดงานสงกรานต์ถนนข้าวเหนียวที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ส่วนกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ก็มีกิจกรรมที่ไม่แพ้กัน เช่น งาน Maha Songkran World Water Festival และ ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง ที่คนต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก

 

เมื่อมาดูที่จุดเช็กอินเล่นน้ำสงกรานต์ที่ผู้คนค้นหามากที่สุดเริ่มจาก

 

  1. ICONSIAM ThaiICONIC Songkran Celebration 2025 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีตัวเลขความนิยม 534,215 Engagement 

 

  1. Maha Songkran World Water Festival 2025 ที่สนามหลวง มีตัวเลขความนิยม 289,082 Engagement, 

 

  1. บรรทัดทอง Water Street 2025 มีตัวเลขความนิยม 213,705 Engagement

 

  1. S2O Songkran Music Festival 2025 มีตัวเลขความนิยม 176,342 Engagement

 

  1. สีลม มีตัวเลขความนิยม 116,207 Engagement 

 

  1. ข้าวสาร มีตัวเลขความนิยมมากถึง 83,208 Engagement

The post ส่องเทรนด์สงกรานต์บนโซเชียล! ปี 2568 คนนิยมเสิร์ชหาเพลงฮิต ท่าเต้น และเมกอัพกันน้ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำกำไรจากความหลงใหลในรถยนต์ กับรถคลาสสิกยอดนิยมราคาแรง https://thestandard.co/classic-car-investment/ Sat, 01 Mar 2025 09:41:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1047521 classic-car-investment

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แวดวงรถคลาสสิกเพิ่งสร้ […]

The post ทำกำไรจากความหลงใหลในรถยนต์ กับรถคลาสสิกยอดนิยมราคาแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
classic-car-investment

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แวดวงรถคลาสสิกเพิ่งสร้างสถิติใหม่ เมื่อรถ Mercedes-Benz W 196 R Stromlinienwagen จากปี 1954 ได้รับการประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.74 พันล้านบาท คว้าตำแหน่งรถคลาสสิกราคาแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก 

 

ความพิเศษของ Mercedes-Benz W 196 R Stromlinienwagen หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Streamliner คันนี้อยู่ที่เคยเป็นรถแข่งของสองนักแข่งรถในตำนานคือ Juan Manuel Fangio และ Stirling Moss อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในรถยนต์ W 196 R ที่สร้างขึ้นมาเพียง 14 คัน โดยมีเพียง 10 คันเท่านั้นที่รอดจากการแข่งขัน Formula 1 ฤดูกาลปี 1955 แถมในจำนวนนั้นมีเพียง 4 คันเท่านั้นที่ยังคงรูปแบบ Streamline ไว้ ส่วนประวัติก็ถือว่าดีเยี่ยม เพราะ Juan Manuel Fangio เคยขับเข้าเส้นชัยในการแข่งขันที่บัวโนสไอเรสในปี 1955

 

Streamliner คันนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ Indianapolis Motor Speedway ถูกขายไปในงานประมูลรถยนต์ที่จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Mercedes-Benz ในเมืองสตุ๊ตการ์ต ประเทศเยอรมนี มีราคาสูงเป็นรองแค่ Mercedes Benz 300 SLR ‘Uhlenhaut-Coupé’ ปี 1955 ที่มีราคา 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 4.76 พันล้านบาท ซึ่งได้รับการประมูลไปในปี 2022 ส่วนอันดับ 3 คือ Ferrari 330 LM / 250 GTO ปี 1962 ขายได้ในราคา 51.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.73 พันล้านบาท ในปี 2023

รถคลาสสิกเป็นของสะสมในฝันของคนรักรถ ด้วยเสน่ห์ของการได้เป็นเจ้าของรถยนต์ประวัติศาสตร์ควบคู่ไปกับศักยภาพในการทำกำไร และอาจจะเป็นก้าวแรกไปสู่การสะสมรถยนต์ประเภทอื่นๆ ที่มีราคาแพงกว่าในอนาคต ราคาที่เพิ่มขึ้นก็ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ ความหายาก ชื่อเสียง มีจำนวนจำกัด และมีฐานแฟนพันธุ์แท้จำนวนมาก ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วจากสถิติโลกครั้งใหม่ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นสะสมต้องพิจารณาให้รอบคอบและทำความเข้าใจรายละเอียดต่างๆ 

 

รถยนต์คลาสสิกมีต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ทั้งการบูรณะ บำรุงรักษา และจัดเก็บ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไร โดยการบูรณะรถยนต์คลาสสิกให้กลับมาสวยเหมือนใหม่อาจใช้ต้นทุนสูง ต้องใช้ทักษะและชิ้นส่วนเฉพาะทาง ขณะที่การบำรุงรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และการจัดเก็บที่ดี ก็เป็นค่าใช้จ่ายต่อเนื่องที่ต้องนำมาพิจารณาในสมการการลงทุนอีกด้วย 

 

ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือ สภาพคล่องค่อนข้างต่ำและเบี้ยประกันสูง รวมถึงต้นทุนการขนส่งเพื่อย้ายรถ นอกจากนี้มูลค่าของรถยนต์คลาสสิกยังขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจผันผวนได้ตามแนวโน้มต่างๆ และสภาพเศรษฐกิจ

 

ตลาดการลงทุนในรถคลาสสิกก็ไม่ต่างจากตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์คือ มีช่วงเวลาที่ราคาพุ่งขึ้นสูง ช่วงสั้นๆ ที่ราคาตก และรถแต่ละประเภทก็มีราคาเคลื่อนไหวไม่เสมอกันทั้งหมด อย่างเช่น รถสะสมระดับกลางราคาตกลงนับตั้งแต่เกิดโควิด ขณะที่ตลาดรถคลาสสิกยอดนิยมราคาอาจจะไม่ตกลงเลย อย่างเช่น Lamborghini Miura ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1966-1973 ซึ่งเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์หลังรุ่นแรกๆ ราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 195 เท่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ก็มีผลต่อนิยามและความนิยมรถคลาสสิกแต่ละรุ่น 

 

นักสะสมรถส่วนใหญ่คือชายวัยกลางคน รถยนต์ที่เคยโด่งดังในช่วงที่พวกเขาเป็นวัยรุ่นจะกลายเป็นรถในฝันเมื่อมีกำลังทรัพย์มากพอ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความนิยมก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างรถรุ่นเก่าๆ เช่น Austin Healey 3000 Mk 3 หรือ Aston Martin รุ่นคลาสสิกอื่นๆ ความต้องการก็ลดลงตามอายุของผู้ซื้อ กลายเป็นว่ารถยนต์ยอดนิยมในช่วงปี 1970-1990 กลับเป็นที่ต้องการของนักสะสม อาทิ Ford Sierra Cosworth

 

สรุปแล้วการลงทุนในรถยนต์คลาสสิกจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจตลาด มีความรักในรถยนต์จริงๆ เพราะต้องยอมรับในข้อเสียและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้กำไรเป็นตัวเงิน แต่ได้ความสุขใจกลับมาแน่นอน

 

Ferrari 250 GTO Mercedes-Benz 300 SL ‘Gullwing’ Porsche 911 (รุ่นดั้งเดิม)
Mercedes Benz 300 SLR ‘Uhlenhaut-Coupé’
Aston Martin DBR1

 

ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

 

อ้างอิง:

The post ทำกำไรจากความหลงใหลในรถยนต์ กับรถคลาสสิกยอดนิยมราคาแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวจีนเชื่อ ‘ความสูง’ เป็นแต้มต่อได้งานดี ยอมจ่ายค่าฮอร์โมนเสริมการเติบโตให้ลูกตั้งแต่ 5 ขวบ https://thestandard.co/height-advantage-china/ Sat, 01 Mar 2025 09:07:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1047513 height-advantage-china

คนจีนเชื่อ ‘ความสูง’ กลายเป็นแต้มต่อได้ทำงานดี มากกว่าค […]

The post ชาวจีนเชื่อ ‘ความสูง’ เป็นแต้มต่อได้งานดี ยอมจ่ายค่าฮอร์โมนเสริมการเติบโตให้ลูกตั้งแต่ 5 ขวบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
height-advantage-china

คนจีนเชื่อ ‘ความสูง’ กลายเป็นแต้มต่อได้ทำงานดี มากกว่าคนที่ไม่สูง แถมยังหาคู่สมรสได้ง่าย บางครอบครัวเครียดหนัก ยอมจ่ายเงินซื้อฮอร์โมนเร่งความสูงให้ลูกตั้งแต่ 5 ขวบ หวังสร้างรูปร่างให้ได้เปรียบในสังคม

 

Nikkei Asia รายงานว่า แม้ปัจจุบันเด็กชาวจีนจะมีความสูงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต แต่หลายครอบครัวยังคงต้องการให้ลูกของตัวเองสูงมากขึ้น เพราะเชื่อว่าความสูงจะมีผลต่อโอกาสในการหางานและการหาคู่ชีวิต ทำให้พ่อแม่หลายคนหันไปซื้อฮอร์โมนเร่งความสูง เพื่อให้ลูกมีรูปร่างที่ได้เปรียบในสังคม

 

NCD Risk Factor Collaboration เครือข่ายนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ทำงานร่วมกับ องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ในช่วงปี 1986-2019 เด็กชาวจีนทั้งชายและเด็กหญิงอายุ 19 ปี มีความสูงเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับ 200 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจากบทบาทของระบบสาธารณสุข โภชนาการที่ดี มีการบริโภคโปรตีน วิตามินดี และแคลเซียม ทำให้การเจริญเติบโตของเด็กดีขึ้น

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

อีกทั้งยังมีโครงการนมโรงเรียนแห่งชาติ แจกนมฟรีให้กับนักเรียนจำนวน 32.1 ล้านคนต่อวัน เพื่อส่งเสริมการเติบโตของเด็กทั่วประเทศ โดยเฉพาะชาวจีนในหลาย พื้นที่ทางภาคเหนือที่มีส่วนสูงเฉลี่ยลดลง เมื่อเทียบกับชาวจีนในนครเซี่ยงไฮ้ และมณฑลกวางตุ้งที่มีส่วนสูงเฉลี่ยเพิ่มขึ้น

 

ถึงกระนั้นแม้ว่าเด็กชาวจีนจะสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่ยังต้องการให้ลูกสูงขึ้นอีก สะท้อนจากผลสำรวจของ China Children and Teenagers’ Fund ที่ได้สอบถาม คุณแม่ชาวจีน 4,000 คน พบว่า กว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถาม รู้สึกว่าลูกของตัวเองที่มีอายุระหว่าง 3-17 ปี ยังสูงไม่เท่าระดับที่พ่อแม่ตั้งเป้าเอาไว้

 

โดยเฉลี่ยแล้วพ่อแม่ของเด็กอายุ 16-17 ปี คาดหวังว่าลูกชายควรมีส่วนสูงประมาณ 180 ซม. และลูกสาวควรสูง 169 ซม.

 

ลู่เหวินหลี่ แพทย์จากโรงพยาบาลรุ่ยจินในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า พ่อแม่ชาวจีนส่วนใหญ่จะสอบถามว่า ทำไมลูกของตัวเองไม่สูงเหมือนคนอื่น ในเชิงเปรียบเทียบกับเด็กที่มีอายุใกล้เคียงกันแต่ในความเป็นจริงแล้วความสูงของเด็กบางคนนั้นถือว่าตรงตามมาตรฐานของประเทศแล้ว

 

ถามว่าทำไมคนจีนถึงให้ความสำคัญกับความสูงมากขึ้น เพราะสถานการณ์สังคมในจีน ผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิง ทำให้การหาคู่ครองยากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้การหางานยากขึ้น โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา 

 

หลายบริษัทเปิดรับสมัครงานในบางตำแหน่ง ถึงขั้นกำหนดไว้ว่าผู้สมัครผู้ชายต้องมี ความสูงไม่น้อยกว่า 185 ซม. ส่วนผู้หญิงจะต้องมีความสูงไม่น้อยกว่า 170 ซม. 

 

แน่นอนว่ามีส่วนทำให้คนจีนเชื่อว่าคนสูงดูดีจะมีโอกาสได้งานดีๆ มากกว่าคนที่ไม่สูง บางครอบครัวถึงขั้นพาลูกชายวัย 5 ขวบ ไปหาหมอ เพื่อฉีดฮอร์โมนเร่งการเจริญ เติบโต ควบคู่ไปกับให้ลูกกระโดดเชือก เล่นบาสเกตบอล และกิจกรรมทางกายเพื่อ กระตุ้นการเติบโตของร่างกาย ใช้ระยะเวลา 1 ปี เด็กชายก็สามารถสูงแซงหน้า เด็กวัยเดียวกันได้ 

 

รวมแล้วพ่อแม่หมดค่าใช้จ่ายยาเพิ่มความสูงพุ่งสูงถึง 130,000 หยวน หรือราว 640,000 บาท ทำให้มีบางคนเริ่มกังวลว่า การที่พ่อแม่ชาวจีนให้ความสำคัญกับความสูงของลูกๆ อาจทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในสังคมแย่ลง เพราะพ่อแม่ที่มีกำลังซื้อก็จะมีโอกาสหาฮอร์โมนเร่งการเติบโตให้กับลูก ซึ่งจะทำให้ลูกได้เปรียบในการหาคู่สมรสและได้ทำงานที่มีเงินเดือนสูง ซึ่งอาจเป็นวงจรที่เกิดขึ้นไปสู่รุ่นต่อรุ่น

 

อีกผลกระทบจากการเพิ่มส่วนสูงในจีนเริ่มส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้หลายหน่วยงานต้องปรับมาตรฐานด้านการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและรถไฟใต้ดิน รวมถึงบริษัทรถยนต์อย่าง BYD และ Nio เริ่มนำเปิดตัวรุ่นรถที่มีพื้นที่วางขากว้างขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้ผลิตเสื้อผ้าก็เร่งพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับขนาดร่างกายของประชากรที่สูงขึ้น

 

ภาพ: James Jiao / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ชาวจีนเชื่อ ‘ความสูง’ เป็นแต้มต่อได้งานดี ยอมจ่ายค่าฮอร์โมนเสริมการเติบโตให้ลูกตั้งแต่ 5 ขวบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วัยรุ่นเกาหลีใต้ฮิตดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ พร้อมส่งต่อเทรนด์ไปทั่วโลก นักวิเคราะห์ชี้ จะยึดส่วนแบ่งตลาดเบียร์ทั่วโลกได้ถึง 10% https://thestandard.co/korean-teens-non-alcoholic-beer/ Mon, 17 Feb 2025 04:52:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1042702 korean-teens-non-alcoholic-beer

วัยรุ่นในเกาหลีใต้ ฮิตดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ จุดกระแส ‘ […]

The post วัยรุ่นเกาหลีใต้ฮิตดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ พร้อมส่งต่อเทรนด์ไปทั่วโลก นักวิเคราะห์ชี้ จะยึดส่วนแบ่งตลาดเบียร์ทั่วโลกได้ถึง 10% appeared first on THE STANDARD.

]]>
korean-teens-non-alcoholic-beer

วัยรุ่นในเกาหลีใต้ ฮิตดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ จุดกระแส ‘NoLo’ ที่ย่อมาจาก Non-Alcohol พร้อมส่งต่อเทรนด์ไปทั่วโลก คาดอนาคตเบียร์ไร้แอลกอฮอล์จะยึดส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วโลกได้ถึง 10% 

 

สำนักข่าว The Korea Times รายงานว่า จากเดิมแล้วผู้บริโภคที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงานจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามงานสังสรรค์ต่างๆ แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมการดื่มในเกาหลีใต้เปลี่ยนไป หันมาเลือกดื่มเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์เพื่อสุขภาพกันมากขึ้น

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

จนมีคำพูดใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น NoLo ซึ่งย่อมาจาก Non-Alcohol ซึ่งเป็นคำที่วัยรุ่นใช้พูดกันในกลุ่มเพื่อน ทั้งนี้ เทรนด์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเกาหลีเท่านั้นแต่กำลังเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมทั่วโลก 

 

จนทำให้บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องปรับตัวตามไปด้วย ในปีที่ผ่านมาจะเห็นความเคลื่อนไหวของบริษัทเบียร์ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ในเกาหลีใต้พยายามเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์และเน้นการทำตลาดเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่กันอย่างหนัก

 

หนึ่งในนั้นก็คือ Lotte Chilsung Beverage 1 ใน 3 บริษัทเบียร์ใหญ่ที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ เดือนที่ผ่านมาได้เปิดตัว Kloud Non Alcoholic ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่า 1% แต่ยังคงรสชาติแบบดั้งเดิมเอาไว้เพื่อรับโอกาสการเติบโตในอนาคต

 

เช่นเดียวกับ Lotte Chilsung ได้เปิดตัว Kloud Non Alcoholic ซึ่งเป็นเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์ออกมาเป็นทางเลือกใหม่ รวมถึง Oriental Brewery เจ้าของบริษัทเบียร์แบรนด์ Cass ได้เปิดตัว Cass Lemon Squeeze 0.0 โดยเป็นเครื่องดื่มมีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่า 0.05% ในงานแข่งขันโอลิมปิกที่ปารีสเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา

 

รวมถึงบริษัท Oriental Brewery ระบุว่า ผู้บริโภควัย 20 ปี มีความต้องการเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ที่มีรสชาติที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ และหลายคนต้องการดื่มเพื่อเข้าสังคมแต่ไม่ต้องการเจอกับอาการเมาเหมือนในอดีตซึ่งหลังจากกฎหมายฉบับใหม่ได้อนุญาตให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและบาร์ได้ เราก็พร้อมที่จะขยายไปในช่องทางเหล่านี้ครอบคลุมขึ้น 

 

ไม่เว้นแม้แต่ Jeju Beer Company บริษัทเบียร์คราฟต์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีเริ่มให้ความสำคัญกับตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์และในปีนี้มีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ใหม่อีก 3 รายการ และเตรียมหยุดการผลิตเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์แล้วเปลี่ยนมาลงทุนผลิตเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์แทน 

 

ปัจจุบันบริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์ไปมากกว่า 20 ประเทศ รวมทั้งจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย และเนเธอร์แลนด์ สัดส่วนรายได้จากการส่งออกเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์หลักๆ มาจากรัสเซีย วัยรุ่นในรัสเซียเริ่มให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ของเราเพิ่มขึ้น ต่างจากคนรุ่นเก่าที่ยังนิยมดื่มวอดก้า

 

นักวิเคราะห์ภายใต้ Euromonitor International ระบุว่า ในปี 2023 ตลาดเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ในเกาหลีมีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านวอน เติบโตขึ้นกว่า 55% และคาดว่าในปี 2027 จะมีมูลค่าถึง 1 แสนล้านวอน เนื่องจากความนิยมของเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ทำให้มีช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์มที่ไม่เพียงแค่ขายเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์จากหลายแบรนด์ออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้คนที่มีความคิดเหมือนกันสามารถแชร์เรื่องราวและเผยแพร่เนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านออนไลน์ได้อีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม เบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงในตลาดอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าในญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึง 10% 

 

ขณะที่ยอดขายเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในสหรัฐอเมริกาปี 2023 เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ถ้าเทียบจากปี 2019 โดยมีการเติบโต 35% ต่อปี แซงหน้าตลาดเบียร์โดยรวมที่มีการเติบโตเพียง 1% เท่านั้น 

 

ภาพ: kadefoto / Shutterstock 

 

อ้างอิง:

The post วัยรุ่นเกาหลีใต้ฮิตดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ พร้อมส่งต่อเทรนด์ไปทั่วโลก นักวิเคราะห์ชี้ จะยึดส่วนแบ่งตลาดเบียร์ทั่วโลกได้ถึง 10% appeared first on THE STANDARD.

]]>
วาเลนไทน์ปี 2025 คนไทยใช้งบ 500-2,000 บาท เปย์ของขวัญให้คนรัก ดอกไม้และเครื่องออกกำลังกายขายดีสุด https://thestandard.co/valentines-day-2025-spending/ Fri, 14 Feb 2025 03:26:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1041693 วาเลนไทน์ปี 2025

‘ดอกไม้และเครื่องออกกำลังกาย’ ขึ้นแท่นของขวัญขายดีสุดวั […]

The post วาเลนไทน์ปี 2025 คนไทยใช้งบ 500-2,000 บาท เปย์ของขวัญให้คนรัก ดอกไม้และเครื่องออกกำลังกายขายดีสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
วาเลนไทน์ปี 2025

‘ดอกไม้และเครื่องออกกำลังกาย’ ขึ้นแท่นของขวัญขายดีสุดวันวาเลนไทน์ ส่องเทรนด์ปี 2025 คนไทยยังนิยมซื้อของขวัญให้คนรัก ใช้งบ 500-2,000 บาท Gen Z เน้นซื้อเครื่องสำอาง Gen Y ซื้อสินค้าแฟชั่น และ Gen X ซื้อสินค้าสุขภาพ

 

The 1 Insight ระบุว่า เทรนด์วาเลนไทน์ปี 2025 พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนหันมานิยมเลือกซื้อของขวัญแนวสุขภาพ (Healthy Gifting) ให้กับคนรักมากขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมของขวัญแนวสุขภาพที่มีการเติบโตสูงขึ้นถึง 2 เท่า โดย 5 สินค้าขายดีสูงสุด ได้แก่ เครื่องออกกำลังกาย สมาร์ทวอทช์ รองเท้ากีฬา ชุดออกกำลังกาย และอุปกรณ์กีฬา 

 

สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้นตามช่วงวัย โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y, Gen X และ Baby Boomer ซึ่งเป็นไปตามเมกะเทรนด์ Health & Wellness ที่กำลังมีอิทธิพลทั่วโลก 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ขณะที่ภาพรวมการใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ยอดการใช้จ่ายภาพรวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 20% แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังให้ความสำคัญกับเทศกาลวาเลนไทน์ เพราะถือเป็นโอกาสที่จะแสดงความรักต่อคนรอบข้างพร้อมมอบของขวัญให้กัน 

 

ด้านผลสำรวจความคิดเห็นในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ปี 2025 โดย CRC VoiceShare พบว่า 80% คิดว่าวาเลนไทน์เป็นวันสำหรับการแสดงออกความรัก และความห่วงใย มีเพียง 15% คิดว่าเป็นเทศกาลหนึ่งสำหรับวัยรุ่นและ 5% คิดว่าเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ

 

วาเลนไทน์ปี 2025

 

สิ่งที่น่าสนใจคือลิสต์ 10 ของขวัญวาเลนไทน์ที่กำลังมาแรง และมียอดขายเติบโตสูงสุด ได้แก่ 1.ดอกไม้ 2. เครื่องออกกำลังกาย 3. สมาร์ทวอทช์ 4. จิวเวลรี 5. ตุ๊กตา 6. สปอร์ตแวร์ 7. ช็อกโกแลต คุกกี้ 8. นาฬิกา 9. น้ำหอม และ 10. รองเท้ากีฬา 

 

ส่วนกิจกรรมยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ ออกไปทานอาหารนอกบ้าน ช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า ชมภาพยนตร์ ทำอาหารทานที่บ้านและออกกำลังกาย 

 

นอกจากนั้นยังพบว่าคนไทยเลือกมอบของขวัญให้กับคนในครอบครัวเป็นอันดับหนึ่งที่ 45% รองลงมาคือคนรัก 40% เพื่อน 10% และตนเอง 5% โดยส่วนใหญ่มีงบประมาณอยู่ที่ 500-2,000 บาทต่อชิ้น และซื้อล่วงหน้า 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันวาเลนไทน์

 

เมื่อวิเคราะห์ตามช่วงวัย The 1 Insight พบว่า ทัศนคติของคนแต่ละกลุ่มอายุ ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงวาเลนไทน์อย่างเห็นได้ชัด เริ่มตั้งแต่ Gen Z อายุ 13-28 ปี นิยมซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอม โดยเฉพาะลิปสติกและอายแชโดว์ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ 

 

ตามด้วย Gen Y อายุ 29-44 ปี เริ่มดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น มียอดการใช้จ่ายสูงขึ้นในกลุ่มสปอร์ตแวร์ จิวเวลรี และแอ็กเซสซอรีแฟชั่น เนื่องจากมองว่าของขวัญเหล่านี้สามารถเสริมสุขภาพและบุคลิกภาพตามช่วงวัย และ Gen X อายุ 45-60 ปี ไปจนถึง Baby Boomer อายุ 61-79 ปี เน้นการดูแลสุขภาพ นิยมซื้อ อุปกรณ์กีฬา สกินแคร์ รวมถึงจับจ่ายวัตถุดิบสำหรับทำอาหารฉลองที่บ้านเป็นหลัก

 

The post วาเลนไทน์ปี 2025 คนไทยใช้งบ 500-2,000 บาท เปย์ของขวัญให้คนรัก ดอกไม้และเครื่องออกกำลังกายขายดีสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวอเมริกันผุดแคมเปญ ‘No Buy 2025’ ประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยการตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก https://thestandard.co/no-buy-2025-america/ Tue, 04 Feb 2025 07:19:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1037944 แคมเปญ No Buy 2025

วลีติดปากวัยรุ่น ‘ของมันต้องมี’ ไม่จำเป็นสำหรับชาวอเมริ […]

The post ชาวอเมริกันผุดแคมเปญ ‘No Buy 2025’ ประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยการตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
แคมเปญ No Buy 2025

วลีติดปากวัยรุ่น ‘ของมันต้องมี’ ไม่จำเป็นสำหรับชาวอเมริกันอีกต่อไป ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นแม้ทรัมป์รับปากว่าจะลดค่าครองชีพ พร้อมเดินหน้าประหยัดเงินในกระเป๋าผ่านแนวคิด ‘No Buy 2025’ ตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก

 

สำหรับแคมเปญ ‘No Buy 2025’ เป็นแนวคิดที่เหล่า Content Creator ชาวอเมริกันเผยแพร่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้หลายคนลุกขึ้นมาต่อต้านการบริโภคหรือการซื้อสินค้าที่เกินความจำเป็นหรือสินค้าฟุ่มเฟือย ในช่วงเวลาเดียวกัน เทรนด์ Project Pan หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามให้หมดจนถึงก้นกระปุกก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

 

แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลายคนจะทำได้ เพราะสินค้าหลายๆ แบรนด์พยายามโปรโมตสินค้าคอลเล็กชันใหม่ๆ ด้วยการให้คลิกลิงก์ใน Amazon ดูรีวิวแนะนำต่างๆ แน่นอนว่าหากเราไม่มีการยับยั้งชั่งใจก็จะทำให้คล้อยตามและกดสั่งซื้อสินค้า

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ขณะเดียวกันชาวอเมริกันต่างจับตาดูนโยบายเศรษฐกิจใหม่ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยให้คำมั่นสัญญาว่าเมื่อชนะการเลือกตั้งจะลดราคาสินค้าเพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนทันที

 

ไรลีย์ มาร์คัม แม่บ้านที่อาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดา กล่าวว่า ครอบครัวของเรามีส่วนสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจภายใต้การบริหารของทรัมป์ ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นและค่อนข้างกังวลกับอนาคตมาก เพราะครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด 6 คน ต้องบริหารค่าใช้จ่ายให้พอที่จะจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ และของใช้ในบ้าน

 

“ทั้งหมดยึดตามแนวคิด ‘No Buy 2025’ ไม่ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ตัดค่าใช้จ่ายด้านการทำเล็บและเข้าร้านเสริมสวย และออกไปกินอาหารนอกบ้านน้อยลง ทำให้ประหยัดเงินได้ราว 100 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์” ไรลีย์ย้ำ

 

รีเบคก้า โซว์เดน ที่อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ชีวิตต้องเข้มงวดกับการใช้จ่ายมากขึ้น โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้เข้าร่วมแคมเปญ No Buy 2025ไม่ซื้อสินค้าเกินความจำเป็นในชีวิตประจำวันเลย ทำให้ประหยัดเงินได้ถึง 4,272 ดอลลาร์

 

รวมถึง เฟเชียน คีล ที่อาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดา กล่าวว่า ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา สามารถประหยัดเงินได้ 300 ดอลลาร์ ซึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนนิสัยการใช้จ่ายของตัวเอง เริ่มตั้งแต่เลิกซื้อของตามอารมณ์ ซื้อเฉพาะของใช้จำเป็นที่ใช้หมดแล้วเท่านั้น และที่สำคัญคือการเลิกใช้บัตรเครดิต ช่วยสร้างวินัยในการใช้จ่ายมากขึ้น

 

สอดรับกับข้อมูลจาก The Conference Board ที่ระบุว่า ภาพรวมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากทำเนียบขาวเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และจากจีนอีก 10%

 

นอกจากนี้ไข่ไก่ที่กำลังได้รับผลกระทบจากไข้หวัดนกระบาดก็มีราคาแพงขึ้น จนใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามด้วยกลุ่มกาแฟ แม้ทรัมป์จะยกเลิกแผนเก็บภาษีนำเข้ากาแฟจากโคลอมเบียแต่ราคาก็ไม่ได้ถูกลง รวมไปถึงเนื้อวัวและน้ำส้มก็มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

อ้างอิง:

The post ชาวอเมริกันผุดแคมเปญ ‘No Buy 2025’ ประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยการตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก appeared first on THE STANDARD.

]]>