Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 13 Apr 2025 02:45:10 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทรัมป์ยกเว้นเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน https://thestandard.co/trump-tariff-exemption-electronics/ Sun, 13 Apr 2025 02:45:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1064004 trump-tariff-exemption-electronics

สหรัฐฯ ยกเว้นเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ […]

The post ทรัมป์ยกเว้นเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-tariff-exemption-electronics

สหรัฐฯ ยกเว้นเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่นำเข้าส่วนใหญ่จากจีน ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tarrif) ในอัตราสูงถึง 125% ช่วยบรรเทาภาระทางภาษีให้กับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ

 

โดยในประกาศที่ส่งถึงผู้ส่งสินค้า สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection Agency) ได้เผยแพร่รายชื่อรหัสสินค้าที่จะไม่เสียภาษีศุลกากร หรือได้รับการยกเว้น ซึ่งมีผลย้อนหลังไปจนถึงเวลา 00.01 น. EDT ของวันที่ 5 เมษายน

 

สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ ได้ระบุหมวดหมู่สินค้า 20 หมวดหมู่ รวมถึงรหัส 8471 ที่ครอบคลุมไปถึงคอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป ดิสก์ไดรฟ์ และ Automatic Data Processing นอกจากนี้ยังรวมถึงอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์ชิปหน่วยความจำ และจอภาพแบบจอแบน (Flat Panel Displays) ด้วย

 

แม้การประกาศดังกล่าวไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ แต่การยกเว้นภาษีนี้จะช่วยบรรเทาภาระทางภาษีให้กับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ รวมถึง Apple, Dell Technologies และบริษัทนำเข้าอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน

 

โดยการยกเว้นนี้ใช้ได้กับภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์ต่อสินค้าจีนเท่านั้น (ซึ่งเพิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 125% ในสัปดาห์นี้) ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ขณะที่การขึ้นภาษีศุลกากร 20% ก่อนหน้านี้ของทรัมป์ต่อสินค้าจีนทั้งหมด ที่ทรัมป์กล่าวว่าเกี่ยวข้องกับวิกฤตเฟนทานิลในสหรัฐฯ ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่

 

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกล่าวว่า ทรัมป์จะเปิดการสอบสวนการค้าด้านความมั่นคงแห่งชาติครั้งใหม่เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ในเร็วๆ นี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีศุลกากรใหม่ๆ ต่อภาคส่วนนี้ด้วย

 

นอกจากนี้ แคโรไลน์ ลีวิตต์ (Karoline Leavitt) โฆษกทำเนียบขาว ได้กล่าวในแถลงการณ์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่า สหรัฐฯ ไม่สามารถพึ่งพาให้จีนผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ชิป สมาร์ทโฟน และแล็ปท็อปได้ต่อไป พร้อมระบุต่อว่า บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่ง รวมถึง Apple และผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia และ Taiwan Semiconductor ‘กำลังเร่งย้ายฐานการผลิตของตนไปยังสหรัฐฯ โดยเร็วที่สุด’

 

การยกเว้นดังกล่าวอาจสะท้อนว่า รัฐบาลทรัมป์เริ่มตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่ภาษีศุลกากรของเขามีต่อผู้บริโภค ที่เบื่อหน่ายกับภาวะเงินเฟ้อมากขึ้น โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ยอดนิยม เช่น สมาร์ทโฟน แล็ปท็อป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ

 

ทั้งนี้ สมาร์ทโฟนเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมากที่สุดในปี 2024 โดยมีมูลค่ารวม 41,700 ล้านดอลลาร์ ขณะที่คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่สร้างในจีนอยู่ในอันดับสอง โดยมีมูลค่า 33,100 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ

 

ภาพ: ​​ Witthaya Prasongsin / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ทรัมป์ยกเว้นเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ข้าวโพดไพ่ไทยสู้ทรัมป์: ส่องไพ่ในมือ รัฐบาลไทยจะเสนอซื้อสินค้าเกษตรใดจากสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีตอบโต้ กลุ่มใดได้-เสียประโยชน์ https://thestandard.co/thai-us-agriculture-trade/ Sun, 13 Apr 2025 02:20:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1063973 thai-us-agriculture-trade

ส่องไพ่ในมือรัฐบาล จะยอมนำเข้าสินค้าเกษตรใดเพื่อเลี่ยงภ […]

The post ข้าวโพดไพ่ไทยสู้ทรัมป์: ส่องไพ่ในมือ รัฐบาลไทยจะเสนอซื้อสินค้าเกษตรใดจากสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีตอบโต้ กลุ่มใดได้-เสียประโยชน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-us-agriculture-trade

ส่องไพ่ในมือรัฐบาล จะยอมนำเข้าสินค้าเกษตรใดเพื่อเลี่ยงภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tarrif) ด้าน พิชัย ชุณหวชิร ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาแก้ไขปัญหากำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา ชู ‘ข้าวโพด’ กลยุทธ์ Win-Win ของไทยและสหรัฐฯ ชี้นำเข้าเพิ่ม จะดันไทยให้เป็นฮับอุตสาหกรรมการแปรรูปเกษตรกรรม ช่วยเพิ่มผลผลิต (Productivity) และการจ้างงานในประเทศ

 

เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tarrif) ออกไปอีก 90 วัน แต่ยังคงการขึ้นภาษีศุลกากรแบบ Universal Tarrif ไว้ที่ 19% นับเป็นการต่อเวลาให้รัฐบาลทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลไทยที่โดนเรียกเก็บ Reciprocal Tarrif สูงถึง 36% ให้มีเวลาทำการบ้านและเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ นานขึ้นอีกนิด

 

ดังนั้น ย้อนกลับไปวานนี้ (11 เมษายน) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาแก้ไขปัญหากำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา ได้จัดการประชุมหารือแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมการประชุมด้วย 

 

โดยหลังจากจบการประชุมนัดดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับ ‘กลุ่มสินค้าเกษตร’ สำหรับกลุ่มสินค้าอื่นๆ ก็จะมีการจัดประชุมนัดต่อไป ในเร็วนี้

 

กระทรวงการคลัง

 

‘สินค้าเกษตร’ สำคัญอย่างไร

 

ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกอาหาร สินค้าเกษตร และไลฟ์สไตล์จากไทยไปสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 30% คิดเป็นการส่งออกทั้งหมดของไทยไปสหรัฐฯ

 

นอกจากนี้ พิชัยยังกล่าวว่า ภาคเกษตรกรรมถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย และยังสามารถเติบโตได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการแปรรูปอาหารสัตว์ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกอาหารสัตว์แปรรูป มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท หรือประมาณ 21 ล้านตัน มีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกประมาณ 3%

 

ดังนั้น พิชัยจึงต้องการใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสแทน โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของไทยให้อยู่ที่ 6% ของโลก ในระยะยาวประมาณ 5-7 ปีข้างหน้า

 

พิชัย ประชุม

 

อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารสัตว์ไทยจะกลายเป็น Hub โลกได้อย่างไร?

 

ในวันเดียวกันพิชัย ได้ให้สัมภาษณ์กับ นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร THE STANDARD โดยระบุว่า ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมและมีขีดความสามารถในการแปรรูป โดยปัจจุบันไทยส่งออกอาหารสัตว์แปรรูปประมาณ 21 ล้านตัน โดยจำนวนนี้ ใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบในสัดส่วนค่อนข้างมากถึง 9 ล้านตัน

 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันไทยสามารถผลิตข้าวโพดได้ประมาณ 5 ล้านตันเท่านั้น ทำให้ต้องนำเข้าข้าวโพดมาจากประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านถึง 4 ล้านตันต่อปี

 

ดังนั้น การมีวัตถุดิบที่เพียงพอ การนำเข้าข้าวโพดมากขึ้นพร้อมๆ กับการยกระดับผลผลิตอาหารสัตว์ในประเทศเพิ่ม ย่อมจะทำให้ประเทศไทยขึ้นเป็นศูนย์กลาง (Hub) การเกษตรแปรรูปได้ ช่วยเพิ่มผลผลิต (Productivity) และการจ้างงานในประเทศ

 

พิชัย เคน นครินทร์

 

Win-Win Solution: ข้าวโพด ‘ไพ่ไทย’ สู้ทรัมป์

 

พิชัย ยังเปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า ปัจจุบัน รัฐบาลพยายามโฟกัสไปที่สิ่งที่อเมริกาอยากส่งออกมากที่สุดพบว่า คือ ‘ข้าวโพด’ เนื่องจากหากความขัดแย้งกับจีนรุนแรงขึ้น สหรัฐฯ อาจมีปัญหาด้านการส่งออกข้าวโพดได้ ดังนั้นข้าวโพดจึงเป็นจุดแข็งของเรา

 

พิชัยกล่าวอีกว่า สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่ต้นทุนข้าวโพดถูกมากๆ ดังนั้นย่อมจะทำให้ราคาอาหารสัตว์ในประเทศถัวเฉลี่ยลดลงด้วย เป็นผลประโยชน์ที่ลงตัวทั้งสำหรับสหรัฐฯ และไทย

 

“ผมคุยกับผู้ประกอบการอาหารสัตว์ของไทยเขาบอกว่า ถ้ามีข้าวโพดมากกว่านี้ก็สามารถผลิตและส่งออกได้อีก ผมเลยคิดว่า อาจทดลองนำเข้ามาจากสหรัฐฯ สัก 1 ล้านตันก่อนดูว่า สะดวกไหม แต่สิ่งที่นำเข้ามาต้องไม่แพงกว่าในประเทศ เบื้องต้น ผมดูแล้ว พบว่า ราคายังถูกกว่าเล็กน้อย แม้มีค่าขนส่งอยู่ เข้ามาแล้วจะไม่ทำให้ตลาดในประเทศเสีย” พิชัยกล่าว

 

ทั้งนี้ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวกระทรวงการคลังระบุว่า ไทยจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าข้าวโพดสำหรับอาหารสัตว์ (Feed Corn) อยู่ที่ 73%

 

ไทยยังมีโอกาสนำเข้าสินค้าเกษตรอื่นๆ จากสหรัฐฯ ด้วย

 

พิชัยกล่าวอีกว่า ไม่ใช่แค่ข้าวโพดเท่านั้นแต่ไทยยังมีโอกาสนำเข้าสินค้าอื่นๆ จากสหรัฐฯ ด้วย ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไทยขาดแคลน และต้องนำเข้าอยู่แล้ว (Net Import) สินค้าที่จะนำเข้าเพิ่มจากสหรัฐฯ ต้องมีคุณภาพดีและราคาถูก เพียงพอที่จะแข่งขันกับประเทศคู่ค้าเดิมอื่นๆ ของไทยได้ (Competitive)

 

นอกจากนี้ เพื่อช่วยทำให้การแข่งขันเป็นธรรมมากขึ้นสำหรับสหรัฐฯ พิชัยกล่าวว่า กำลังทบทวนอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ให้เท่าๆ กับประเทศอื่นๆ ส่วนอัตราจะอยู่ที่เท่าไหร่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ผลิตภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญ

 

“สินค้าเกษตรของไทยกับประเทศคู่ค้าใหญ่ๆ เป็นศูนย์เกือบหมดแล้ว การทำให้ภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือศูนย์เท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ ไม่มีปัญหา แต่ประเด็นคือ ไม่ว่าสหรัฐฯ จะไปเวียดนามหรือมาไทย สหรัฐฯ ก็ต้องแข่งกับประเทศอื่นๆ ที่อัตราภาษีเหลือศูนย์เช่นกัน เราเลยเลือกสนับสนุนสินค้าที่สหรัฐฯ มีปัญหามากที่สุดเหลือมากที่สุด คือข้าวโพดที่มีราคาถูกสุดในโลก ถ้าคุณมาเรามั่นใจว่า คุณจะสู้กับคนอื่นได้” พิชัยกล่าว

 

แหล่งข่าวกระทรวงการคลังยังเปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า นอกเหนือจากข้าวโพดแล้ว ไทยยังต้องนำเข้ากากถั่วเหลืองมาเพื่อผลิตอาหารสัตว์ ราว 3 ล้านตัน นอกจากนี้ ไทยก็ยังนำเข้าชีส (มูลค่า 3.5 พันล้านบาท) เฟรนช์ฟรายส์ (มูลค่า 1 พันล้านบาท) ผลไม้เมืองหนาว (มูลค่า 1.1 พันล้านบาท) เช่น แอปเปิ้ล องุ่น สตรอว์เบอร์รี และเชอร์รีอยู่แล้ว ซึ่งส่วนนี้อาจเพิ่มโอกาสให้สหรัฐฯ ได้เช่นกัน

 

จับตาผลิตภัณฑ์หมู-โค

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายกลุ่มสินค้าที่รัฐบาลยังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ เช่นผลิตภัณฑ์เครื่องในหมูและโค กระนั้น พิชัย ได้ส่งสัญญาณว่าจะไม่นำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ เพิ่ม เนื่องมาจากปัจจุบันการผลิตหมูในไทยเหลือจนสามารถส่งออกได้ ไม่ขาดแคลน แตกต่างจากข้าวโพดที่เป็นสินค้าที่ไทยขาดแคลน (Net Importer) 

 

นอกจากนี้ การนำเข้าเครื่องในหมูมาอาจจะทำให้ราคาในประเทศตกต่ำส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

 

ภาพ: KobchaiMa / Shutterstock

The post ข้าวโพดไพ่ไทยสู้ทรัมป์: ส่องไพ่ในมือ รัฐบาลไทยจะเสนอซื้อสินค้าเกษตรใดจากสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีตอบโต้ กลุ่มใดได้-เสียประโยชน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลุ้นเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ใน 90 วัน…ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย https://thestandard.co/us-thai-tax-talks-90days/ Sat, 12 Apr 2025 07:36:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1063803 us-thai-tax-talks-90days

แม้ทรัมป์จะประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบออกไป […]

The post ลุ้นเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ใน 90 วัน…ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย appeared first on THE STANDARD.

]]>
us-thai-tax-talks-90days

แม้ทรัมป์จะประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบออกไปอีก 90 วัน แต่ก็จะไม่ช่วยให้ธุรกิจไทยรอดพ้นจากมรสุมทางเศรษฐกิจที่กำลังจะตามมาได้ โดยการเก็บภาษีตอบโต้ที่ระดับ 10% ในระยะ 90 วัน อาจช่วยลดแรงกระแทกในระยะสั้นต่อภาคธุรกิจไทยได้บางส่วน อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่า ภาคธุรกิจไทยก็จะยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากกฎกติกาการค้าโลกที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป 

 

โดยไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาในรูปแบบใด ธุรกิจไทยก็จะยังคงได้รับผลกระทบทั้งทางตรง (Direct impact) ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ และทางอ้อม (Indirect impact) อีกหลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็น 

 

  1. ความต้องการสินค้าขั้นกลางจากประเทศคู่ค้าต่างๆ ของไทยที่อาจชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่มีการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจีนโดนกำแพงภาษีในอัตราที่สูงถึง 145% 
  2. สินค้าจีนมีแนวโน้มทะลักเข้ามาในไทยและตลาดโลกมากขึ้น 
  3. อุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดโลกโดยรวมมีแนวโน้มแผ่วลง 
  4. การเปิดตลาดสินค้าบางประเภทเพื่อใช้ในการเจรจาต่อรองลดแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ
  5. ไทยอาจได้รับอานิสงส์ในการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากประเทศที่มีการออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ 

 

สินค้าส่งออกไทย

 

ขณะที่ผลกระทบในระยะต่อไปที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ 

  1. แนวโน้มการปรับเปลี่ยนและออกแบบห่วงโซ่อุปทานใหม่ของโลกที่อาจส่งผล

ให้มีการชะลอการลงทุนหรือย้ายฐานการผลิตออกจากไทยและอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยตามมาได้

 

SCB EIC ประเมินว่ากลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับสูงในกรณีที่ไทยโดนภาษีตอบโต้ที่ 36% ในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์ จักรยานยนต์

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก ยางพาราและไม้ยางพารา สินค้าประมงโดยเฉพาะกุ้ง สิ่งทอ แผงโซลาร์เซลล์ และส่วนประกอบ ถุงมือยาง เป็นต้น

 

สำหรับกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับปานกลาง เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรอื่นๆ ผักผลไม้สดและแปรรูป เนื้อสัตว์และอาหารแปรรูป ยานยนต์ เม็ดพลาสติก เป็นต้น

 

ขณะที่กลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับต่ำ ได้แก่ ข้าว นมและผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่มต่างๆ นอกจากนี้ ระดับความรุนแรงของผลกระทบจาก Reciprocal Tariffs ต่อภาคธุรกิจไทยมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเงื่อนเวลา เนื่องจากยิ่งภาษีถูกใช้นานขึ้น ผลกระทบก็จะยิ่งมากขึ้น

 

สอดคล้องกับค่าความยืดหยุ่นของความต้องการนำเข้าต่อราคาที่สูงขึ้นตามระยะเวลา โดยหากใช้สมมติฐานการวิเคราะห์โดยกำหนดให้ Reciprocal Tariffs อยู่ที่ระดับ 36% โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ลดลงสะสมราว 8.1 แสนล้านบาท เมื่อมีการบังคับใช้มาตรการด้านภาษีครบ 5 ปี 

 

 

 

กลุ่มสินค้า

 

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อออกไปทั้งนี้การชะลอการเก็บภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบของสหรัฐฯออกไปอีก 90 วัน ซึ่งทุกประเทศรวมทั้งไทยจะโดนเก็บภาษีที่อัตราพื้นฐาน

(Universal rate) ที่ 10% (ยกเว้นจีนซึ่งโดนเก็บที่ 145% ทันที) จะช่วยลดแรงกระแทกในระยะสั้นต่อภาคธุรกิจไทยได้บางส่วนจากอานิสงส์ 3 ประการ ได้แก่ 

 

  1. การเร่งส่งออกสินค้าในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ยังไม่ปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างเต็มรูปแบบกับไทย อย่างไรก็ดี ผลบวกในด้านนี้อาจถูกลดทอนลงได้ เนื่องจากมีการเร่งส่งออกสินค้าไปบ้างแล้วบางส่วนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

 

  1. ระดับภาษีที่ไทยถูกเก็บจากสหรัฐฯ ในช่วงเวลา 90 วันต่อจากนี้ จะอยู่ในระดับเดียวกันกับคู่แข่งซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทยในระยะสั้นๆ เอาไว้ได้ 

 

  1. โอกาสในการเข้ามาทดแทนการส่งออกสินค้าจากจีนไปยังตลาดสหรัฐฯ และจากตลาดสหรัฐฯ ไปยังจีน โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยมีอุปทานในประเทศและมีกำลังการผลิตส่วนเหลือมากเพียงพอ

 

SCB EIC ประเมินว่าผู้ประกอบการไทยสามารถใช้กลยุทธ์ 4P ในการปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากนโยบายของ Trump 2.0 และจากปัญหาโครงสร้างการผลิตที่ยังอ่อนแอ ประกอบด้วย

  1. Product: พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์/แตกต่าง/สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า 
  2. Place: กระจายตลาด
  3. Preparedness: บริหารความเสี่ยงในทุกมิติทั้ง Supply Chain และ Balance Sheet 
  4. Productivity: การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน

    และถือโอกาสใช้วิกฤตครั้งนี้ยกเครื่องโครงสร้างการผลิตของไทยให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไป เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

ภาษีตอบโต้

The post ลุ้นเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ใน 90 วัน…ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ว่าการ ธปท. ส่งจดหมายเปิดผนึก แจงเหตุเงินเฟ้อหลุดกรอบ แต่ย้ำ ‘เงินเฟ้อต่ำ’ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ https://thestandard.co/central-bank-low-inflation/ Sat, 12 Apr 2025 05:20:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1063775 central-bank-low-inflation

ผู้ว่าแบงก์ชาติส่งจดหมายเปิดผนึก แจงสาเหตุเงินเฟ้อทั่วไ […]

The post ผู้ว่าการ ธปท. ส่งจดหมายเปิดผนึก แจงเหตุเงินเฟ้อหลุดกรอบ แต่ย้ำ ‘เงินเฟ้อต่ำ’ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
central-bank-low-inflation

ผู้ว่าแบงก์ชาติส่งจดหมายเปิดผนึก แจงสาเหตุเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา ‘ต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย’ มองในระยะข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มทรงตัวใกล้ ‘ขอบล่าง’ และมีโอกาสต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในบางช่วง แต่ยืนยันเงินเฟ้อต่ำไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย

 

วันที่ 11 เมษายน เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือน ที่ผ่านมาต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย หลังจากเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์ของเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ 1.3% ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ถึงเดือนมกราคม 2568) อยู่ที่ 0.6% ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน 

 

เปิดสาเหตุเงินเฟ้อหลุดกรอบ

 

โดยเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกระบุว่า สาเหตุที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาต่ำกว่ากรอบเป้าหมายมาจากปัจจัยด้านอุปทานในหมวดพลังงานและอาหารสด โดยในหมวดพลังงานเป็นผลจากการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก

 

ประกอบกับมาตรการดูแลค่าครองชีพของภาครัฐที่มีต่อเนื่อง อาทิ มาตรการลดราคาน้ำมันผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการลดภาษีสรรพสามิต รวมทั้งมาตรการลดค่าไฟฟ้า ทำให้ราคาหมวดพลังงานขยายตัวเพียง 1.0% 

 

อย่างไรก็ดี หากไม่รวมผลของมาตรการดังกล่าว ราคาหมวดพลังงานจะขยายตัว 4.9% และทำให้ค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.1%

 

สำหรับราคาหมวดอาหารสดขยายตัวในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.4 โดยเป็นผลจากปริมาณสุกรที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาผักที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจากปีก่อนหน้า

 

ทั้งนี้ แรงกดดันด้าน ต้นทุนที่ขยายตัวต่ำนี้ทำให้การส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ อยู่ในระดับต่ำด้วย ทำให้ค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) อยู่ที่ 0.6%

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีข้อตกลงร่วมกัน โดยระบุให้ กนง. มีจดหมายเปิดผนึก หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย

 

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2568 

 

เปิดแนวโน้มระยะข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวใกล้ขอบล่าง

 

จดหมายยังระบุว่า อย่างไรก็ดี ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทยอยปรับเพิ่มขึ้นจาก

 

  1. ผลของฐานราคาพลังงานในปีก่อนที่อยู่ในระดับต่ำตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ
  2. แรงกดดันด้านอุปทานที่ทำให้ราคาหมวดอาหารสดอยู่ในระดับต่ำมีแนวโน้มคลี่คลาย ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย

 

ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมายและมีโอกาส ที่จะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในบางช่วง โดยอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำนั้นมาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก รวมถึง ปัจจัยเฉพาะ อาทิ การแข่งขันจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน

 

เงินเฟ้อต่ำไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 

 

จดหมายระบุอีกว่า “กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อไทยที่ต่ำในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงแนวโน้มในระยะข้างหน้าไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ” เนื่องจาก

 

  1. อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคา โดยอัตราเงินเฟ้อ

ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ อาทิ ราคาน้ำมันโลกและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อปัจจุบันได้กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายแล้ว ขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ใน 5 ปีข้างหน้าทั้งจากผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจของ Asia Pacific Consensus Economics ณ เดือนตุลาคม 2567 และข้อมูลตลาดการเงิน ณ เดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 1.8 ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นว่านโยบายการเงินจะดูแลเสถียรภาพราคาในระยะปานกลางได้ดี

 

  1. อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำไม่ได้เป็นสัญญาณของภาวะเงินฝืด เนื่องจากราคา

สินค้าและบริการไม่ได้ปรับลดลงในวงกว้าง โดยราคาสินค้าและบริการกว่า 3 ใน 4 ของตะกร้าเงินเฟ้อ ยังเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่ผ่านมายังขยายตัวได้ที่ร้อยละ 4.4ในปี 2567 จึงไม่ได้สะท้อนปัญหาด้านอุปสงค์

 

(3) อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันและการลงทุน โดยปัจจัยที่ทำให้

การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำไม่ได้มาจากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ แต่มาจากการที่ภาคเอกชนขาดแรงจูงใจให้ขยายกำลังการผลิต โดยภาคการผลิตถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและการแข่งขันสินค้าจากสินค้า ต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ปิโตรเคมี ยางและพลาสติก และรถยนต์ EV เป็นต้น

 

ในขณะเดียวกันแนวโน้มเงินเฟ้อที่ต่ำและไม่ผันผวนมีส่วนช่วยให้ต้นทุนการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ของทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่ในระดับต่ำ และช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้านราคาของผู้ประกอบการผ่านต้นทุนการผลิตที่ไม่เร่งสูงขึ้นและผ่านอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง (real exchange rate)

 

นอกจากนี้ เงินเฟ้อที่ต่ำในช่วงที่ผ่านมายังมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน หลังจากที่ราคาสินค้าหลายรายการเพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่หลังวิกฤตโควิด โดยราคาพลังงานและอาหาร ที่จำเป็นต่อการครองชีพของประชาชน อาทิ เนื้อสัตว์ น้ำมันพืช และน้ำมันเชื้อเพลิง ยังอยู่ในระดับสูงกว่า ช่วงก่อนวิกฤตโควิดถึงประมาณ 20%

 

ในระยะต่อไป กนง. จะประเมินนัยของเงินเฟ้อต่อเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อไม่สูงหรือต่ำจนเกินไปจนกระทบต่อเศรษฐกิจและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการแข่งขันและลงทุน โดยจะติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ ได้แก่ แนวโน้มราคาพลังงานที่อาจต่ำลงจากเศรษฐกิจโลก ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด และความผันผวนของสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาอาหารสด

 

ย้ำกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นเหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจไทย

 

นอกจากนี้ ในจดหมายยังยืนยันว่า ตกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting: FIT) เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ภายใต้กรอบดังกล่าว อัตราเงินเฟ้ออาจผันผวนออกนอกกรอบในระยะสั้นได้ 

 

“การดูแลเสถียรภาพด้านราคาภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting: FIT) โดยมีกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบช่วง (range target) ที่ 1-3% หมายความว่านโยบายการเงินจะมุ่งดูแลให้อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายและไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ค่าใดค่าหนึ่งตลอดเวลาโดยอัตราเงินเฟ้ออาจผันผวนออกนอกกรอบในระยะสั้นได้”

 

“กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นเหมาะสมกับการดูแลเสถียรภาพราคาในบริบทเศรษฐกิจไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิด พึ่งพาการนำเข้าพลังงาน และมีสัดส่วนของการบริโภคอาหารที่สูง ทำให้เงินเฟ้อไทยมักผันผวนทั้งจากปัจจัยต่างประเทศและปัจจัยด้านอุปทานในประเทศ อาทิ ราคาน้ำมันโลกหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ นโยบายการเงินจะมีบทบาทจำกัดในการตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทาน (supply shock) โดยนโยบายการเงินจะมีบทบาทมากกว่าในการดูแลเงินเฟ้อที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในวงกว้างที่สะท้อนอุปสงค์ที่สูงหรือต่ำกว่าศักยภาพเศรษฐกิจ (demand shock) หรือการคาดการณ์เงินเฟ้อที่หลุดลอยและอาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อที่สูงหรือต่ำยืดเยื้อจนกระทบเสถียรภาพ ด้านราคาได้ ทั้งนี้ กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยืดหยุ่นแบบ range target และกำหนดเป้าหมายเป็นเงินเฟ้อระยะปานกลาง เอื้อให้นโยบายการเงินสามารถมองข้ามความผันผวนระยะสั้น และไม่จำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายบ่อยหรือแรงเกินไป ซึ่งอาจสร้างความผันผวนและส่งผลลบต่อเศรษฐกิจและระบบการเงิน”

 

อ้างอิง:

The post ผู้ว่าการ ธปท. ส่งจดหมายเปิดผนึก แจงเหตุเงินเฟ้อหลุดกรอบ แต่ย้ำ ‘เงินเฟ้อต่ำ’ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รมว.คลัง ส่งสัญญาณ ไม่นำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ เพิ่ม เหตุไม่เข้าข่ายสินค้าขาดแคลน https://thestandard.co/no-us-pork-imports/ Sat, 12 Apr 2025 02:52:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1063722 no-us-pork-imports

รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ส่งสัญญาณว่า จะไม่นำเข้าเคร […]

The post รมว.คลัง ส่งสัญญาณ ไม่นำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ เพิ่ม เหตุไม่เข้าข่ายสินค้าขาดแคลน appeared first on THE STANDARD.

]]>
no-us-pork-imports

รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ส่งสัญญาณว่า จะไม่นำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ มาเพิ่ม เหตุไม่เข้าข่ายสินค้าขาดแคลน ต่างจากข้าวโพดที่ไทยนำเข้าสุทธิ หลังกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูยื่นหนังสือขอความเห็นใจ

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาแก้ไขปัญหากำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา ส่งสัญญาณว่าจะไม่นำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ เพิ่ม เนื่องมาจากปัจจุบันการผลิตหมูในไทยเหลือจนสามารถส่งออกได้ ไม่ขาดแคลน แตกต่างจากข้าวโพดที่เป็นสินค้าที่ไทยขาดแคลน (Net Importer)

 

“หมูในไทยต้องกินอาหารสัตว์ แต่เนื่องจากอาหารสัตว์ในไทยไม่ได้ถูกเท่าไหร่ ทำให้ต้นทุนหมูในไทยแพงหน่อย การเลี้ยงหมูในไทยก็มีจำนวนไม่มากเท่าสหรัฐฯ Economy of Scale ไม่ได้ ต้นทุนเลยแพงกว่า นอกจากนี้หมูในประเทศไทยก็ไม่ขาดแคลนและมีเหลือนิดหน่อยพอส่งออกด้วยซ้ำ จึงไม่เข้าเงื่อนไขเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาเพิ่ม” พิชัยกล่าว หลังจากการประชุมหารือแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมการประชุม เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568

 

นอกจากนี้ พิชัยยังกล่าวอีกว่า แม้การนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ที่มีราคาถูกกว่าเข้าประเทศไทยผลประโยชน์จะตกอยู่กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจว่า ความเป็นประเทศไทย มีทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ดังนั้นเมื่อผู้บริโภคไทยมีจำนวนเยอะ ถ้าผู้บริโภคกินหมูในราคาถูกลงแม้เล็กน้อย ก็อาจทำให้ผู้ผลิตได้รับผลกระทบไปหมดเลยได้ รัฐบาลจึงต้องเลือกยังไม่นำเข้า แต่ต้องค่อยๆ พัฒนาให้ผู้ผลิตไทยมีขีดความสามารถมากขึ้น เพื่อให้ต้นทุนถูกลง และพร้อมที่จะขายในประเทศและส่งออกไปได้

 

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูกว่า 1,000 คน เดินทางไปยังกระทรวงการคลังและหอการค้าไทยฯ ยื่นหนังสือขอความเห็นใจ เหตุห่วงว่า รัฐบาลไทยเตรียมเจรจาเปิดทางนำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู และห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดที่มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท

 

นอกจากนี้ สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า เนื่องจาก กฎหมายสหรัฐฯ ไม่ห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดง หากผู้บริโภครับประทานเนื้อสัตว์หรือเครื่องในที่มีสารตกค้างดังกล่าว จะมีผลเป็นความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ และแม้จะนำเข้ามาเพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงกลุ่มสุนัขและแมว ก็ไม่เป็นผลดีกับสุขภาพสัตว์เลี้ยง และอาจเกิดข้อจำกัดในการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปตามมา

 

ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ไม่รับประทานเครื่องในหมู ยกเว้นไส้และกระเพาะ ที่นำไปทำไส้กรอก สตู หรือเป็นส่วนประกอบของยา ดังนั้นอาจเกิดเหตุที่ผู้ผลิตสหรัฐฯ นำเครื่องในหมูมาทุ่ม (Dump) ทิ้งในเมืองไทย ทำให้ราคาเครื่องในหมูตกต่ำลง จนส่งผลกระทบต่อผู้ผลิต

 

ภาพ: AThonglor / Shutterstock 

The post รมว.คลัง ส่งสัญญาณ ไม่นำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ เพิ่ม เหตุไม่เข้าข่ายสินค้าขาดแคลน appeared first on THE STANDARD.

]]>
CPF เผย ภาษีทรัมป์ไม่กระทบธุรกิจ แต่ห่วงเกษตร-อาหารไทย ฝากรัฐเร่งเจรจา https://thestandard.co/cpf-trump-tariff-impact-thai-food-exports/ Fri, 11 Apr 2025 10:25:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1063541 cpf-trump

หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐฯ ชะลอการขึ […]

The post CPF เผย ภาษีทรัมป์ไม่กระทบธุรกิจ แต่ห่วงเกษตร-อาหารไทย ฝากรัฐเร่งเจรจา appeared first on THE STANDARD.

]]>
cpf-trump

หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐฯ ชะลอการขึ้นภาษี เป็นระยะ 90 วัน เพื่อเปิดทางให้หลายๆ ประเทศเข้าไปเจรจา แน่นอนว่าพิษภาษีแค่ชะลอ แต่ยังไม่ได้ยกเลิก แล้วอุตสาหกรรมอาหารไทยจะมีแนวทางตั้งรับอย่างไร 

 

ประสิทธิ์ บุญดวงประสิทธิ์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์กับรายการ MORNING WEALTH เช้าวันนี้ (11 เมษายน) ว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากนัก เนื่องจากได้วางแผนลงทุนระยะยาว ด้วยการสร้างโรงงานผลิตอาหารในสหรัฐฯ แล้วถึง 4 แห่ง

 

โดยใช้วัตถุดิบที่ใช้นำมาในสหรัฐฯ เป็นหลัก เช่น เนื้อไก่และหมู ส่วนเครื่องแกงสำเร็จรูปและ วัตถุดิบบางส่วนยังคงนำเข้าจากประเทศไทย ซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบผสมผสานกัน

 

ถึงอย่างไร CPF ยังคงมีการส่งออกสินค้าอาหารจากไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าอย่าง ‘เกี๊ยวกุ้ง’ ซึ่งได้รับความนิยมสูงและมีมูลค่าการส่งออกเกือบ 1,000 ล้านบาท

 

เมื่อพูดถึงมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม บางประเภท โดยเฉพาะภาคเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นหมวดสินค้าที่ไทยพึ่งพาการ ส่งออกเป็นหลัก และจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ในขณะที่สินค้าหมวดเทคโนโลยี ที่ไทยนำเข้า แม้มีมูลค่าสูง แต่สร้างมูลค่าในประเทศเพียง 10-15% เท่านั้น 

 

เพราะฉะนั้นตัวเลขของเกณฑ์ดุลการค้า อาจจะต้องมาวิเคราะห์ให้ละเอียด ว่าเกณฑ์จริงๆ ของไทยอยู่ที่เท่าไรกันแน่ อย่างกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โซลาร์รูฟ สมาร์ทโฟน ที่สร้างมูลค่าให้ประเทศไทยอยู่ที่เท่าไร ถ้าเทียบกับสินค้าอื่นที่นำ เข้ามาต้องทำให้ชัด

 

พร้อมกล่าวต่อไปว่า หลังจากได้ฟังรองนายกรัฐมนตรี มองว่ามีมุมมองและกระบวนการเจรจาที่รอบคอบ และน่าจะนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ

 

ในขณะที่นโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังชะลอการขึ้นภาษีออกไปอีก 90 วัน ทำให้เห็นว่าตัวเลขภาษีที่กำหนดไว้น่าจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ไทยจะเข้าไปเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ โดยควรพิจารณา เจาะลึกถึงสินค้าที่ผู้บริโภคไทยต้องพึ่งพาการนำเข้า เช่น ผลไม้เมืองหนาว ชีส หรือข้าวโพด ซึ่งมีภาษีนำเข้าสูง หากสามารถเจรจาให้ลดภาษีลงได้ ก็จะเป็นผลดีต่อผู้บริโภค

 

สำหรับข้าวโพด ไทยมีความต้องการใช้ปีละประมาณ 9 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน ส่วนที่เหลือต้องนำเข้า หากเปิดให้นำเข้าได้มากขึ้นก็จะไม่กระทบกับเกษตรกร เพราะไทยมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้ว และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตเนื้อสัตว์ได้อีกด้วย

 

ในส่วนของอุตสาหกรรมกุ้ง ยอมรับว่า หากไทยต้องเสียภาษีสูงถึง 36-37% จะเสียเปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเอกวาดอร์ ซึ่งเสียภาษี เพียง 10% เท่านั้น ขณะที่เวียดนามต้องเสียภาษีถึง 46% 

 

ทำให้ประเทศเอกวาดอร์กลายเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของอุตสาหกรรมส่งออกกุ้งไทย คือการกระจายตลาดได้ดี โดยสัดส่วน การส่งออกกุ้งไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 12% ของปริมาณทั้งหมด

 

สุดท้าย ‘ประธานคณะผู้บริหาร’ เน้นว่า รัฐบาลไทยควรเร่งหาช่องทางการเจรจาที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เสียเปรียบในการแข่งขันและรักษาความสามารถของประเทศในการส่งออกสินค้าหลักสู่ตลาดโลก

The post CPF เผย ภาษีทรัมป์ไม่กระทบธุรกิจ แต่ห่วงเกษตร-อาหารไทย ฝากรัฐเร่งเจรจา appeared first on THE STANDARD.

]]>
BOI ระงับบัตรส่งเสริมการลงทุน ‘ซิน เคอ หยวน’ พบผิดทั้ง พ.ร.บ.โรงงาน-พ.ร.บ.มอก. ป้องกันความเสียหายระหว่างสอบสวนปมตึก สตง. https://thestandard.co/boi-revokes-xin-ke-yuan-investment-rights/ Fri, 11 Apr 2025 10:22:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1063505 BOI ซิน เคอ หยวน

BOI ระงับบัตรส่งเสริมลงทุนโรงงานเหล็กจีน ‘ซิน เคอ หยวน’ […]

The post BOI ระงับบัตรส่งเสริมการลงทุน ‘ซิน เคอ หยวน’ พบผิดทั้ง พ.ร.บ.โรงงาน-พ.ร.บ.มอก. ป้องกันความเสียหายระหว่างสอบสวนปมตึก สตง. appeared first on THE STANDARD.

]]>
BOI ซิน เคอ หยวน

BOI ระงับบัตรส่งเสริมลงทุนโรงงานเหล็กจีน ‘ซิน เคอ หยวน’ พบผิดทั้ง พ.ร.บ.โรงงาน-พ.ร.บ.มอก. ป้องกันความเสียหายระหว่างสอบสวนปมตึก สตง. ย้ำจุดยืนปกป้องเหล็กในประเทศ เสริมกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้าง ซัพพลายเชน 

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือถึงบีโอไอ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 แจ้งว่า บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรมฯ และ พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฯ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณากรณีดังกล่าวและมีมติให้เพิกถอนการใช้สิทธิประโยชน์เป็นการชั่วคราว 

 

โดยไม่กระทบกับสิทธิประโยชน์ที่ได้ใช้ไปแล้ว ของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ซึ่งได้รับการส่งเสริมในกิจการผลิตเหล็กแท่ง (Billet) ตามบัตรส่งเสริมเลขที่ 1235(2)/2556 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556 โดยให้มีผลนับแต่วันที่คณะกรรมการมีมติ จนกว่ากระทรวงอุตสาหกรรมจะมีหนังสือแจ้งมายังสำนักงานว่าอนุญาตให้บริษัทกลับมาดำเนินการผลิตได้ และหากกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการเพิกถอนหนังสือรับรองการประกอบกิจการโรงงานแล้ว สำนักงานจะนำเสนอคณะกรรมการเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ในระหว่างที่กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานอื่นๆ ยังตรวจสอบรายละเอียดและดำเนินการตามกฎหมายไม่แล้วเสร็จ

 

“ที่ผ่านมาบีโอไอไม่ได้นิ่งนอนใจกับกรณีดังกล่าว โดยได้เข้าตรวจสอบโรงงานของบริษัท ซิน เคอ หยวน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง และได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้บริษัทต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในบัตรส่งเสริม รวมทั้งต้องปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด จากนั้นได้เร่งนัดประชุมร่วมกันระหว่างบีโอไอและกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีท่านรองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร เป็นประธาน เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 เพื่อพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบ ก่อนจัดประชุมบอร์ดบีโอไอในวันนี้เพื่อดำเนินการในทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างที่กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานต่างๆ กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง” นฤตม์กล่าว

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ยันเฝ้าระวังเหล็ก ‘ใกล้ชิด’

 

สำหรับประเด็นการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็ก บีโอไอได้ยกเลิกการส่งเสริมเหล็กเส้นสำหรับงานก่อสร้าง เช่น เหล็กเส้น และเหล็กข้ออ้อย มาตั้งแต่ปี 2543 ส่วนผลิตภัณฑ์เหล็กอื่นๆ บีโอไอได้เฝ้าระวังและได้หารือกับกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับภาวะผลิตภัณฑ์เหล็กล้นตลาด และปัญหาการทุ่มตลาดในอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กก่อสร้าง

 

โดยในปีที่ผ่านมา บอร์ดบีโอไอได้ออกประกาศยกเลิกการส่งเสริมการผลิตเหล็กหลายประเภท เช่น เหล็กแท่ง เหล็กลวด เหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรง อีกทั้งได้ลดสิทธิประโยชน์เหลือเฉพาะสิทธิที่มิใช่ภาษี (Non-Tax) สำหรับกิจการผลิตเหล็กทรงแบน (เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นไร้สนิมรีดร้อนหรือรีดเย็น เหล็กแผ่นหนา เหล็กแผ่นเคลือบ) และกิจการผลิตเหล็กทรงยาว (เหล็กรูปพรรณ เหล็กเพลา ลวดเหล็ก) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กไทย และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการในประเทศ

 

ทั้งนี้ บีโอไอย้ำจุดยืนในการส่งเสริมกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้างซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย กิจการที่มีความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเกิดประโยชน์ต่อประเทศ ในด้านต่างๆ เช่น การจ้างงาน การพัฒนาบุคลากรไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนา การเพิ่มมูลค่าจากวัตถุดิบในประเทศ การส่งออกเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของซัพพลายเชน รวมทั้งการพัฒนาผู้ประกอบการในประเทศ

The post BOI ระงับบัตรส่งเสริมการลงทุน ‘ซิน เคอ หยวน’ พบผิดทั้ง พ.ร.บ.โรงงาน-พ.ร.บ.มอก. ป้องกันความเสียหายระหว่างสอบสวนปมตึก สตง. appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 2.4% ใน มี.ค. ต่ำกว่าคาด อานิสงส์ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน ‘ต่ำสุดในรอบ 4 ปี’ https://thestandard.co/thailand-inflation-drops-to-2-4-percent-march-2025/ Fri, 11 Apr 2025 02:31:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1063246 อัตราเงินเฟ้อ

สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า อัต […]

The post อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 2.4% ใน มี.ค. ต่ำกว่าคาด อานิสงส์ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน ‘ต่ำสุดในรอบ 4 ปี’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัตราเงินเฟ้อ

สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า อัตราเงินเฟ้อของราคาผู้บริโภคลดลงมากกว่าที่คาดไว้ในเดือนมีนาคม ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเปิดฉากเก็บภาษีกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ

 

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้ากับบริการโดยรวมในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลง 0.1% เมื่อปรับตามฤดูกาลในเดือนมีนาคม ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในช่วง 12 เดือนอยู่ที่ 2.4% ลดลงจาก 2.8% ในเดือนกุมภาพันธ์

 

หากไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน ซึ่งเรียกว่า ‘เงินเฟ้อพื้นฐาน’ (core CPI) อัตราเงินเฟ้อรายปีอยู่ที่ 2.8% โดยเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดของเงินเฟ้อพื้นฐานนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2021 วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.6% และเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 3%

 

ราคาพลังงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่องช่วยให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ โดยราคาน้ำมันเบนซินที่ลดลงถึง 6.3% เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ดัชนีพลังงานโดยรวมลดลง 2.4%

 

ขณะที่ราคาสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมีนาคม โดยเฉพาะราคาไข่ที่เพิ่มขึ้นอีก 5.9% และพุ่งสูงขึ้นถึง 60.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

 

นอกจากนี้ ราคาค่าที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ดื้อด้านที่สุดของเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนมีนาคม และเพิ่มขึ้น 4% แบบรายปี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021

 

ราคายานพาหนะมือสองลดลง 0.7% ขณะที่ราคารถใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ภาษีนำเข้าจะถูกบังคับใช้และคาดว่าจะกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์อย่างรุนแรง ค่าโดยสารเครื่องบินลดลง 5.3% ในเดือนมีนาคม ขณะที่เบี้ยประกันภัยรถยนต์ลดลง 0.8% และราคายาใบสั่งแพทย์ลดลง 2%

 

รายงานดังกล่าวถูกเผยแพร่เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ พลิกแผนภาษีของเขาอย่างน่าประหลาดใจ โดยประกาศเลื่อนการบังคับใช้ภาษีที่รุนแรงที่สุดบางรายการที่เคยตั้งไว้กับหลายสิบประเทศ โดยแทนที่จะเดินหน้าตามแผนเดิม เขายังคงไว้ซึ่งภาษีแบบครอบคลุม 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดที่ประกาศไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน พร้อมกำหนดช่วงเวลา 90 วันสำหรับการเจรจาเพื่อตัดสินใจว่าจะขึ้นภาษีมากกว่านี้หรือไม่

 

ประธานาธิบดี ทรัมป์ เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เจ้าหน้าที่ Fed แสดงท่าทีลังเลที่จะดำเนินการ เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนทางนโยบายอยู่มาก และการประเมินของตลาดบ่งชี้ว่า Fed น่าจะรอจนถึงเดือนมิถุนายนก่อนจะปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง

 

ลักษณะของมาตรการขึ้นภาษีทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเกิดแรงกดดันเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่แน่ชัดนัก หลังจาก Trump เปิดช่องเจรจาเรื่องภาษี หลังรายงาน CPI ตลาดยังไม่เปลี่ยนแปลงคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยมากนัก โดยนักลงทุนยังคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ย 3 ถึง 4 ครั้งภายในสิ้นปีนี้

 

ราคาทองคำพุ่งขึ้นเกือบ 3% โดยแตะระดับสูงสุดตลอดกาล (All-time high) ในวันพฤหัสบดี เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งทำให้นักลงทุนหันไปหาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่หลบภัย (safe-haven)

 

Nikos Tzabouras นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจาก tradu.com กล่าวว่า ทองคำฟื้นตัวจากความน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ที่หลบภัยและมีแนวโน้มที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ อย่างไรก็ตาม โอกาสในการทำข้อตกลงกับคู่ค้าถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อศักยภาพขาขึ้นของทองคำ เนื่องจากอาจสร้างแรงกดดันต่อโลหะชนิดนี้อีกครั้ง นอกจากนี้ อาจมีอุปสรรคจากการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้

 

ภาพ: Joe Raedle / Getty Images

อ้างอิง:

The post อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 2.4% ใน มี.ค. ต่ำกว่าคาด อานิสงส์ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน ‘ต่ำสุดในรอบ 4 ปี’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์เตือน! อาจเจอปัญหาการเปลี่ยนผ่านจากการเก็บภาษีนำเข้าจีน 145% แต่ยังย้ำ สหรัฐฯ อยู่ในสถานการณ์ที่ดีมาก https://thestandard.co/trump-defends-high-tariffs-amid-transition-concerns/ Fri, 11 Apr 2025 02:17:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1063243 ภาษีนำเข้าจีน

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า นโยบายภาษีขอ […]

The post ทรัมป์เตือน! อาจเจอปัญหาการเปลี่ยนผ่านจากการเก็บภาษีนำเข้าจีน 145% แต่ยังย้ำ สหรัฐฯ อยู่ในสถานการณ์ที่ดีมาก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาษีนำเข้าจีน

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า นโยบายภาษีของเขาอาจก่อให้เกิดปัญหาระหว่างการเปลี่ยนผ่าน แต่เขายืนยันความเชื่อมั่นในแผนของตน หลังทำเนียบขาวชี้แจงว่าภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนได้เพิ่มขึ้นเป็น 145% แล้ว

 

ทรัมป์กล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันพฤหัสบดี (10 มีนาคม) ที่ผ่านมาว่า “มันจะมีต้นทุนและปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่สุดท้ายมันจะเป็นสิ่งที่สวยงาม” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีมาก”

 

ภาษีการค้านำเข้าที่สูงลิ่วของสหรัฐฯ ต่อประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกได้จุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าตอบโต้กัน ซึ่งสร้างความไม่มั่นคงให้กับตลาดการเงินทั่วโลก ราคาหุ้นร่วงลงในวันพฤหัสบดี หนึ่งวันหลังจากเกิดการแห่ซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ดัชนี S&P 500 ร่วงลงกว่า 6% ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาบางส่วน ความดีใจเปลี่ยนเป็นความกังวลจากความหวั่นเกรงว่าสงครามการค้าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

 

ทรัมป์ชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดเมื่อวันพุธ หลังจากที่เขาประกาศพักการขึ้นภาษีเป็นเวลา 90 วันสำหรับประเทศคู่ค้าหลายสิบประเทศ โดยกล่าวว่า “เมื่อวานเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ของเรา” เขายังบอกกับผู้สื่อข่าวในภายหลังว่าเขายังไม่ได้ดูตัวเลขตลาดในวันพฤหัสบดี

 

เขาบอกกับนักข่าวว่า เขาคิดว่าข้อตกลงแรกนั้นใกล้จะสำเร็จ และแสดงความหวังว่าจีนจะยอมตกลงในที่สุด นอกจากนี้ เขายังแสดงความเต็มใจที่จะยืดหยุ่นในเรื่องข้อยกเว้นสำหรับบริษัทหรือประเทศต่างๆ จากระบบภาษีศุลกากร รวมถึงอัตราขั้นต่ำ 10% ที่เขากำหนดไว้สำหรับคู่ค้าทั้งหมด ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงเน้นย้ำว่าเขาจะนำนโยบายภาษี ‘ตอบโต้แบบเท่าเทียม’ กลับมาใช้อีกครั้ง หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่น่าพอใจภายใน 3 เดือนข้างหน้า และยังระบุว่าเขาจะพิจารณายกเลิกอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี แม้แต่กับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ก็ตาม

 

อัตราภาษีที่ประกาศนั้นสูงเกินกว่าระดับที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่าอาจทำลายการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้ และระดับภาษีรวมโดยรวมอาจส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วเศรษฐกิจ แม้ทรัมป์จะประกาศหยุดพักการขึ้นภาษีชั่วคราว แต่ภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ ก็ยังคงพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ที่ 24% ตามการวิเคราะห์ของ Bloomberg Economics

 

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเพิ่มเติมสำหรับพัสดุขนาดเล็กซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการยกเว้นภาษี ​โดยสหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่มีราคาสูงสุดไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ในอัตรา 90% ของมูลค่าสินค้า จากแผนเดิมที่จะเก็บภาษีแบบเฉลี่ยที่ 30% ตามการแก้ไขข้อกำหนดภาษีตอบโต้ซึ่งทำเนียบขาวเผยแพร่เมื่อวันพุธ

 

แม้ว่าการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าต่ำตามกฎที่ใช้มาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 จะสิ้นสุดในวันที่ 2 พฤษภาคม การขึ้นภาษีครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนตอบโต้การขึ้นภาษีรอบก่อนของ Trump โดยตลาดออนไลน์ของจีนอย่าง Temu และ SHEIN เคยอาศัยช่องโหว่ ‘de-minimis’ เพื่อส่งสินค้าเข้ามายังสหรัฐฯ ได้โดยไม่เสียภาษี จนถึงตอนนี้

 

จากคำสั่งฝ่ายบริหารที่ออกเมื่อวันพุธ สหรัฐฯ ยังจะเพิ่มค่าธรรมเนียมต่อพัสดุไปรษณีย์สำหรับสินค้าที่นำเข้าหลังวันที่ 2 พฤษภาคมถึงก่อนวันที่ 1 มิถุนายน จากเดิมที่วางแผนไว้ 25 ดอลลาร์ เป็น 75 ดอลลาร์ต่อชิ้น และสำหรับพัสดุที่เข้ามาหลังวันที่ 1 มิถุนายน จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 150 ดอลลาร์ต่อชิ้น แทนที่อัตราเดิมที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ที่ 50 ดอลลาร์

 

ภาพ: Kevin Dietsch / Getty Images

อ้างอิง:

The post ทรัมป์เตือน! อาจเจอปัญหาการเปลี่ยนผ่านจากการเก็บภาษีนำเข้าจีน 145% แต่ยังย้ำ สหรัฐฯ อยู่ในสถานการณ์ที่ดีมาก appeared first on THE STANDARD.

]]>
CIMB Thai มอง เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางความไม่แน่นอนภาษีทรัมป์ หวั่นศักยภาพระยะยาวจ่อลดอีก https://thestandard.co/cimb-thai-economic-recession-risk/ Thu, 10 Apr 2025 13:08:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1063151

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยมองว่า เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงเข้าสู่ภ […]

The post CIMB Thai มอง เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางความไม่แน่นอนภาษีทรัมป์ หวั่นศักยภาพระยะยาวจ่อลดอีก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยมองว่า เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ รวมถึงจากนโยบายภาษีทรัมป์ นอกจากนี้ ศักยภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว (Potential Growth) ก็มีความเสี่ยงลดต่ำลงด้วย

 

วันนี้ (10 เมษายน) ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ในไตรมาส 3 และ 4 อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยดังกล่าวยังมีไม่สูงในฉากทัศน์ฐานพื้นฐาน (Base Case Scenario)

 

สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยล่าสุดของซีไอเอ็มบี ไทย ประเมินว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัว 1.8% ในปี ในฉากทัศน์ฐานพื้นฐาน (Base Case Scenario) ซึ่งเป็นฉากทัศน์ที่คาดว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีประเทศส่วนใหญ่ (Universal Tarrif) รวมถึงไทยในอัตรา 10% เท่านั้น

 

โดยประมาณการล่าสุดนับว่า ลดลงจากประมาณการก่อนหน้านี้ที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวถึง 2.7% โดยดร.อมรเทพ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้ปรับประมาณการลง เนื่องจากก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวและการประกาศ (Reciprocal Tariff) ของทรัมป์ เศรษฐกิจไทยก็มีความเสี่ยงหลายปัจจัย ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุแล้ว ตัวอย่างเช่น จากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ ก็สะท้อนว่า กำลังซื้อของคนไทยอ่อนแอลง มาตรการแจกเงินดูไม่ได้มีประสิทธิภาพพอจะขับเคลื่อนได้ ความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ และนักท่องเที่ยวจีนมาน้อยกว่าที่ขาด เป็นต้น

 

แต่ในฉากทัศน์ที่หากทรัมป์เริ่มเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เศรษฐกิจไทยอาจโตแค่ 1.4% แต่ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยแม้เพียงเล็กน้อย และเกิดความผันผวนทั่วโลก (Global shocks) เศรษฐกิจไทยอาจชะลอลงหนักกว่าคาด จากการส่งออกที่แย่ลงและความผันผวนทั่วโลก โดยใน Worst Case Scenario ซีไอเอ็มบี ไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะโต 0.5%

 

เศรษฐกิจไทย ความเสี่ยงทรัมป์

 

เปิดข้อแนะนำสำหรับรัฐบาล

 

ดร.อมรเทพยังระบุว่า อันดับแรกที่รัฐบาลต้องทำคือ การเจรจา พร้อมระบุว่า “ตอนนี้เรามีไทม์ไลน์อยู่แล้ว 90 วัน ดังนั้น จึงต้องคิดว่า เราจะเจรจาอย่างไรเพื่อลดปัญหาการขาดดุลของสหรัฐฯ ให้ได้ โดยอาจเพิ่มการลดกฎระเบียบหรือ Non Tariff Barrier เข้าไปด้วย”

 

อันดับต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ก็ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ รัฐบาลจึงควรหามาตรการมาช่วยดูแลเพิ่มเติม ไม่ใช่แค่การแจกเงินเท่านั้น แต่ควรช่วยเพิ่มการสร้างงานสร้างอาชีพ และเพิ่มการกระจายรายได้ให้มากขึ้น

 

“คุณภาพของเม็ดเงินที่ใส่ลงไปที่ผ่านมาเราเห็นว่า ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ไม่ได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่น หรือการลงทุนในระยะยาว เหมือนกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือการสร้างงานสร้างอาชีพ ที่เป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว”

 

อันดับต่อไปคือ การสร้างความเชื่อมั่น เนื่องจากปัจจุบัน ยังมีหลายกลุ่มที่ยังมีศักยภาพและมีเงินอยู่ แต่ขาดความเชื่อมั่น ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้คนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว มาลงทุนและใช้จ่ายมากขึ้น

 

“ท่ามกลางปัญหาในตลาดทุนและในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผมเชื่อว่า มีหลายมาตรการที่ต้องดำเนินการพร้อมกัน ท่ามกลางความเชื่อว่า มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะโตช้ากว่าที่คาดและโตช้าต่อไปเรื่อยๆ ในระยะยาว จึงอาจทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความน่าสนใจต่อการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ไปได้” ดร.อมรเทพกล่าว

 

ห่วง Potential Growth ไทยลดลงอีก

 

ดร.อมรเทพ กล่าวอีกว่า มีความเสี่ยงที่ศักยภาพเศรษฐกิจไทยระยะยาว (Potential Growth) ซึ่งต่ำอยู่แล้วอยู่ที่ราว 2.5%-3% จะลดลงต่ำลงไปอีก ในระยะ 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังเจอกับปัญหาสังคมสูงวัย ขาดแคลนแรงงาน และขาดเทคโนโลยี ท่ามกลางความเสี่ยงเรื่องการค้าโลก (Global Trade) ซึ่งหากไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดไว้ ก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อผลิตภาพ (Productivity) และการจ้างงานในประเทศไทย

 

สำหรับสถานการณ์แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติระยะสั้น จึงอาจจะมีผลต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทยระยะยาว (Potential Growth) นิดหน่อยเท่านั้น

 

“สิ่งสำคัญคือ การปรับตัว หาอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพิ่มทักษะแรงงาน เน้นการลงทุนระยะยาว ลดกฎระเบียบต่างๆ” ดร.อมรเทพกล่าว

 

ก่อนหน้านี้ มีนักเศรษฐศาสตร์หลายคน ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกครั้งที่เศรษฐกิจไทยเจอวิกฤตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น วิกฤตการเงินเอเชียเมื่อปี 1997 วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ปี 2008 ปัญหาน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2011 และวิกฤตการระบาดของโควิด อัตราการเติบโตของไทย หรือ Potential Growth จะค่อยๆ ชะลอลง

The post CIMB Thai มอง เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางความไม่แน่นอนภาษีทรัมป์ หวั่นศักยภาพระยะยาวจ่อลดอีก appeared first on THE STANDARD.

]]>