Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 18 Mar 2025 10:03:35 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 คลื่นทุนจีน-สินค้าจีนทะลัก ถอดบทเรียนอาเซียน ไทยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร? https://thestandard.co/chinese-products-flood-thai-economy-opportunities/ Tue, 18 Mar 2025 09:36:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1053548 กราฟแสดงการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจีนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและมาตรการก […]

The post คลื่นทุนจีน-สินค้าจีนทะลัก ถอดบทเรียนอาเซียน ไทยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟแสดงการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจีนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและมาตรการกระตุ้นการส่งออกของรัฐบาลจีน ท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์สินค้าจีนล้นตลาด (Overcapacity) และทะลักเข้าสู่ตลาดโลก ซึ่งรวมถึงตลาดในภูมิภาคอาเซียน อันเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

 

การทุ่มตลาดของสินค้าจากจีนที่มีราคาถูกและต้นทุนต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง หลายกรณีต้องปิดตัวไปเพราะสู้ไม่ไหว แน่นอนว่าท้ายที่สุด ปัญหานี้จะส่งผลลุกลามไปถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

ไทยและประเทศอาเซียนรับมือกับปัญหาสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาอย่างไร ท่ามกลางความท้าทายจากการที่จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ และแรงกระตุ้นจากสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น 

 

นอกเหนือจากการฝ่าคลื่นความท้าทายจากสินค้าจีน คำถามใหญ่คือไทยจะพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร?

 

สงครามการค้า 1.0 จุดเริ่มต้นสินค้าจีนทะลัก

 

ปัญหาสินค้าจีนทะลัก เริ่มต้นมาตั้งแต่ยุค ‘ทรัมป์ 1.0’ หรือรัฐบาลสมัยแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยสหรัฐฯ เปิดฉากสงครามการค้าในปี 2018 ด้วยการขึ้นกำแพงภาษี ทำให้จีนต้องหาตลาดระบายสินค้าใหม่ และหนึ่งในเป้าหมายคือประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่มอาเซียน

 

ในยุคไบเดน จีนเดินหน้าสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้งเงินทุนและสินเชื่อ ส่งผลให้ภาคการผลิตเติบโตอย่างรวดเร็ว สวนทางกับภาคการบริโภคภายในประเทศที่ไม่กระเตื้องขึ้น สินเชื่อจำนวนมากไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็ก, EV, โซลาร์เซลล์, พลังงานสะอาด, และเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้จีนสามารถผลิตสินค้าออกมาได้ในปริมาณมาก และนำไปสู่ปัญหาสินค้าล้นตลาดและเกิดการทุ่มตลาดในต่างประเทศ

 

สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอาเซียน โดยไทยกระทบหนัก เพราะราคาสินค้าจีนที่ถูกกดลงต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ยาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหล็ก, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์, และเสื้อผ้า ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงผลกระทบจากการเข้ามาของสินค้าจีนจำนวนมหาศาล 

 

กราฟแสดงการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจีนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย

 

อ้างอิง: บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX)

 

แรงกระตุ้นของสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0

 

รศ. ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน อดีตอาจารย์เศรษฐศาสตร์การเมืองมหาวิทยาลัย National Graduate Institute for Policy Studies (GRIPS) อธิบายว่า แรงกระตุ้นของสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 นั้นส่งผลกระทบทางอ้อมต่อปัญหาสินค้าจีนทะลัก เนื่องจากผู้ผลิตทางฝั่งจีนนั้น มีกำลังการผลิตที่ล้นเกินมาตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 

 

โดยก่อนวิกฤตโควิด เศรษฐกิจของจีนค่อนข้างดี มีการพูดถึงการเติบโตระดับ 8-10% เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ในขณะที่ผู้ผลิตได้วางแผนการผลิตและลงทุนโรงงานไว้แล้ว ทำให้สินค้าคงเหลือเป็นจำนวนมาก และตัวเลขสินค้าคงคลังของจีนล้นทะลักมาตั้งแต่ช่วงโควิดแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

 

ผลที่ตามมาคือ สินค้าเหล่านี้มีโอกาสที่จะต้องหาตลาดใหม่ และแน่นอนว่า เมื่อพิจารณาประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะประเทศที่มีการลงนามในสัญญาการค้าเสรี และประเทศที่มีกฎระเบียบค่อนข้างเบา ซึ่งก็คือประเทศไทย ผลกระทบทางอ้อมจึงมีโอกาสเกิดขึ้นในปีนี้ค่อนข้างสูง

 

จีนพลิกแนวคิด ปัญหาอาจไม่สาหัส

 

อย่างไรก็ตาม ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้ความเห็นในอีกมุมว่า แนวโน้มสงครามการค้ากับจีนที่อาจรุนแรงขึ้นจากท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาจไม่ส่งผลให้ปัญหาสินค้าจีนล้นตลาด เพิ่มความน่ากังวลมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยชี้ถึงหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้น คือ ‘การเปลี่ยนแปลงในเชิงแนวคิด’ ของผู้นำจีน

 

ที่ผ่านมา จีนมุ่งเน้นการผลิตและส่งออกสินค้าไปนอกประเทศ ไม่เน้นกระตุ้นการบริโภคในประเทศมากนัก 

 

โดยหากมองจากท่าทีของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในอดีต คาดว่าอาจเป็นเพราะความกังวลว่า การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากเกินไป จะกลายเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนขี้เกียจในการแข่งขันทางการค้ากับประเทศอื่นๆ

 

อย่างไรก็ตาม ดร.ปิยศักดิ์ ชี้ว่าหนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญคือการที่จีนเริ่ม ‘เปลี่ยนท่าที’ หันมากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น

 

โดยเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา จีนได้ประกาศ ‘แผนปฏิบัติการพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภค’ ซึ่งถือเป็นความพยายามสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศอย่างจริงจัง

 

ก่อนหน้านี้ ในการประชุม 2 สภา นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง ยังได้ส่งมอบรายงานประจำปีเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาล ซึ่งระบุว่า การกระตุ้นการบริโภค ถือเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดสำหรับปีหน้า

 

หลี่เฉียง ยังกล่าวคำว่า “Prepare for changes unseen in a century.” ซึ่งถือเป็นคำพูดที่มีนัยมาก เพราะหมายความได้ว่า สงครามการค้าของโลกในสมัยทรัมป์ 2 จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปี

 

“พูดง่ายๆ คือการที่ทรัมป์ทำสงครามการค้าครั้งนี้ คนที่ได้รับผลกระทบอาจจะกลับกลายเป็นสหรัฐฯ เอง แล้วก็อาจจะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นมหาอำนาจโลกที่ครองมายาวนานในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นมหาอำนาจโลก จีนก็ต้องขึ้นมาแทนที่ และสิ่งที่จะต้องเตรียมตัวก็คือ การที่ต้องทำเศรษฐกิจในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ฐานการบริโภคต้องมีมากขึ้น เพื่อมาทดแทนการส่งออกที่แย่ลง”

 

REUTERS : RC2VADARV4QA

 

สำหรับภาพใหญ่ที่เห็นได้ชัดจากการประชุม 2 สภาของจีนคือ

 

  • ตั้งเป้า GDP ขยายตัว 5% ต่อปี 
  • เพิ่มการขาดดุลการคลังขึ้น 4% สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ และตั้งเป้าออกพันธบัตรระยะยาว 1.3 ล้านล้านหยวน
  • ลดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็น 2% ครั้งแรกใน 2 ทศวรรษ
  • กระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านมาตรการต่างๆ เช่น รถเก่าแลกรถใหม่ การลดหย่อนทางภาษี, สนับสนุนเงินช่วยเหลือในการซื้อสินค้าใหม่, กระตุ้นอุตสาหกรรม AI EV การผลิตเครื่องบิน เรือ และธัญพืช

 

ทั้งหมดเป็นการปรับกลยุทธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและความพร้อมของจีนสำหรับการเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่ง โดยหันมาเน้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น 

 

ข้อดีแม้ว่าจีนจะยังคงเน้นการส่งออก แต่การปรับเปลี่ยนทิศทางนี้อาจช่วยบรรเทาปัญหาการทุ่มตลาดลงได้บ้าง

 

ผลกระทบ SMEs ในอาเซียน

 

การทะลักเข้ามาของสินค้าจีนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ SMEs ในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม 

 

ราคาสินค้าจีนที่ต่ำกว่ามาก ซึ่งเป็นผลมาจาก Economy of Scale หรือการผลิตสินค้าในจำนวนมากและต้นทุนต่ำ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ทำให้ SMEs ในอาเซียนไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ส่งผลให้ธุรกิจท้องถิ่นจำนวนมากต้องปิดกิจการลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน เช่น Shein และ Temu ซึ่งนำไปสู่การลดลงของอัตราการจ้างงาน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

 

นอกเหนือจากผลกระทบด้านราคาและการแข่งขันแล้ว สินค้าจีนที่เข้ามาในตลาดอาเซียนยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพ โดยปรากฏรายงานบ่อยครั้ง เกี่ยวกับสินค้าที่มีคุณภาพต่ำหรือไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคในภูมิภาค 

 

ไทยควรรับมืออย่างไร?

 

รายงาน ‘ผลกระทบจาก China Flooding ต่อภาคเศรษฐกิจของไทย’ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เผยแพร่เมื่อปลายปี 2024 ระบุว่า อุตสาหกรรมหลักของไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน ได้แก่อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และสิ่งทอ ซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อภาคการผลิตไทย 

 

โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ มีขนาด 1 ใน 4 ของภาคการผลิต และมีการจ้างงานในระบบประกันสังคมถึง 8 แสนคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของการจ้างงานในภาคการผลิตในระบบประกันสังคม จึงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และรัฐบาลควรพิจารณาการพัฒนาศักยภาพของประเทศในด้านการแข่งขัน ก่อนที่ผลกระทบจะเริ่มลุกลามกว่าในปัจจุบัน

 

แนวทางรับมือปัญหานี้ ถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและท้าทาย เพราะไทยอาจไม่สามารถใช้มาตรการกีดกันทางภาษีที่รุนแรงได้ เนื่องจากผลกระทบที่ตามมา ทั้งในเรื่องของการทูตและการผิดเงื่อนไขข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งไทยและจีนต่างเข้าร่วม

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมาตรการสกัดสินค้าจีนทะลักที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอยู่ มี 5 มาตรการหลัก ได้แก่

 

  1. บังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ในการตรวจสอบสินค้านำเข้า ทั้งเรื่องพิกัดสินค้า, ภาษี, มาตรฐานสินค้า (มอก.) และใบอนุญาต (อย.) ตรวจสอบการขายสินค้าออนไลน์ที่ได้มาตรฐาน มีมาตรการเชิงรุกตรวจสอบผู้ประกอบการและป้องกันการทำธุรกิจของนอมินี

 

  1. ปรับปรุงกฎระเบียบ โดยให้แพลตฟอร์มต่างชาติที่ขายสินค้าในไทยต้องจดทะเบียนนิติบุคคลและมีสำนักงานในไทย และเพิ่มสินค้าควบคุมภายใต้มาตรฐานบังคับ (สมอ.)

 

  1. มีมาตรการทางภาษี โดยกำหนดให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศและแพลตฟอร์มต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ขณะที่กรมการค้าต่างประเทศ จัดอบรมให้ความรู้กับภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ

 

  1. ช่วยเหลือ SMEs ไทย ด้วยการพัฒนาศักยภาพ SMEs ด้านการผลิตและการทำธุรกิจ และส่งเสริมการส่งออกผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

 

  1. สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยส่งเสริมการค้าผ่านอีคอมเมิร์ซกับประเทศคู่ค้า เช่น จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค

 

ขณะที่ รศ. ดร.วีระยุทธ ให้ความเห็นว่า “มาตรการป้องกันปัญหาของรัฐบาล ที่เริ่มทำเมื่อปลายปี 2024 ถือว่าช้าไปพอสมควร เพราะเปรียบเทียบแล้วเหมือนกับ น้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อนแตก แต่เราเพิ่งจะหาอุปกรณ์มากั้นไม่ให้น้ำมันไหลแรงโดยไม่ได้สร้างกำแพงหรือทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวในการป้องกัน”

 

สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ ผู้ประกอบการไทยแทบทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งด้านดิจิทัล หรือแม้แต่ผลิตผลทางการเกษตรต่างก็เจ็บปวดร่วมกัน

 

ในเชิงมาตรการ แม้จะเห็นความพยายามที่เข้มข้นขึ้นจริง แต่เนื่องจากเหมือนเขื่อนแตก น้ำทะลักลงมา มาตรการป้องกันกำลังคนที่เพิ่มขึ้น สัดส่วนการตรวจตู้คอนเทนเนอร์ก็คงต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย มิฉะนั้นจะทำได้แค่เพิ่มจำนวนแต่เทียบไม่ได้เลยกับปริมาณสินค้าที่ไหลทะลักเข้ามา 

 

“ต้องบอกว่าต้องเพิ่มทั้งเรื่องกำลังคนและกฎระเบียบด้วย ยกตัวอย่างเช่น มาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม สมอ. มีแค่ 144 มาตรฐาน ซึ่งยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด นี่ไม่นับเรื่องกำลังคนว่าสามารถเข้าไปตรวจในแต่ละตู้คอนเทนเนอร์ที่เข้ามาได้แค่ไหน กี่เปอร์เซ็นต์ของสินค้าที่เข้ามามีมาตรฐานหรือไม่ ดังนั้นต้องบอกว่า ต้องเพิ่มทั้งเรื่องกำลังคนและกฎระเบียบ” 

 

เขายังเสนอว่า ยังมีมาตรการการค้าอื่นๆ ที่รัฐบาลแทบไม่เคยนำมาใช้ ตัวอย่างเช่น กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มีเครื่องมือหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเครื่องมือต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping) หมายความว่า ถ้ามีการทุ่มตลาดเข้ามา โดยขายราคาต่ำกว่าทุนเพื่อตัดราคาสินค้าในประเทศนั้นๆ กระทรวงพาณิชย์สามารถใช้มาตรการตอบโต้ได้ 

 

หรืออีกอันคือมาตรการ Safe Guard หมายความว่าหากสัดส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากจนเห็นสัดส่วนการนำเข้าสินค้าบางประเภทเข้ามาตีตลาดมากเป็นพิเศษจนทำลายสินค้าในประเทศ เราก็มีเครื่องมือ คือ Safe Guard หรือชื่อเต็มว่า ‘มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น’ ซึ่งหลายประเทศก็ใช้กัน แต่ไทยยังไม่เคยใช้ 

 

“หมายความว่าเราควรนำทางเลือกเชิงนโยบายทั้งหมดมาพิจารณา แล้วดูว่าจะใช้มาตรการใดกับประเทศใดจึงจะเหมาะสม ซึ่งยังไม่เคยมีการพูดคุยและวางยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน”

 

ด้าน ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่า รัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีมาตรการในการดูแลปัญหาและลดผลกระทบ เพื่อให้ผู้ผลิตของไทยได้มีเวลาในการปรับตัว 

 

โดยภายใต้ภาวะสงครามการค้ารอบปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มว่าแรงกดดันจากการเข้ามาของสินค้าจีนจะเพิ่มขึ้นอีก สิ่งที่ต้องทำในระยะเร่งด่วน คือต้องผลักดันให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ให้ผู้ผลิตสินค้าจากต่างชาติเข้ามาแข่งขันในกฎกติกาเดียวกันกับผู้ผลิตในประเทศ (Level Playing Field) เช่น เรื่องคุณภาพและมาตรฐานสินค้า การจัดตั้งธุรกิจของต่างชาติ การเสียภาษี VAT และภาษีนิติบุคคล รวมถึงการกำกับดูแลการค้าขายสินค้าทางออนไลน์ให้อยู่บนมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งในอีกแง่หนึ่งก็จะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคไปพร้อมกันด้วย 

 

นอกจากนี้ ยังควรเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับผู้ผลิตสินค้าของไทย เช่น ขยายตลาดใหม่ๆ ตลอดจนสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มโอกาสที่ไทยจะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของโลกได้ด้วยเช่นกัน 

 

รายงานของ ธปท. ยังได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหา ว่าจำเป็นต้องอาศัยนโยบายที่เหมาะสมและตรงจุด

 

โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดส่งออกให้กับจีน ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาจจำเป็นต้องปรับตัวด้วยการหาตลาดใหม่ทดแทน 

 

ในขณะที่สินค้าที่มีความเสี่ยงจากตลาดในประเทศ ได้แก่ เหล็ก ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ อาจต้องการนโยบายจากภาครัฐในการปกป้องทางการค้าที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งจะมีส่วนช่วยปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่มีความเสี่ยงได้รับความเสียหายตามความเหมาะสม 

 

นอกจากนี้ การกำหนดมาตรฐานหรือคุณภาพสินค้านำเข้า รวมถึงมาตรการยกระดับความสามารถทางการผลิต (Production Capability) ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานโลก พร้อมกับการลงทุนในเทคโนโลยี นวัตกรรม และพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อการพัฒนาสู่การผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคการผลิตไทยในระยะยาว

 

เทียบโมเดลประเทศอาเซียน

 

สำหรับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน มีมาตรการที่แตกต่างกันเพื่อปกป้องผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมภายในของตน 

 

โดยอินโดนีเซียได้ใช้มาตรการที่เข้มงวด เช่น

 

  • ห้ามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทำอีคอมเมิร์ซโดยตรง เช่น การสั่งปิด TikTok Shop เพื่อป้องกันสินค้าจีนราคาถูกถล่มตลาด กระทบต่อผู้ค้ารายย่อยในท้องถิ่น
  • เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่กระทบต่อ SMEs ในประเทศ
  • สนับสนุนสินค้าท้องถิ่นผ่านโครงการ ‘Bangga Buatan Indonesia’ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าในประเทศ

 

ในขณะที่เวียดนามเลือกใช้การออกกฎหมายในการป้องกันสินค้าจากจีนและปกป้องผู้ประกอบธุรกิจของตน ได้แก่

 

  • ออกกฎหมายให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต้องเสียภาษีเหมือนธุรกิจท้องถิ่น เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี
  • เพิ่มข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอาหารที่นำเข้าจากจีน
  • ส่งเสริมให้ธุรกิจในประเทศใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของเวียดนามแทนแพลตฟอร์มจีน

 

ส่วนมาเลเซียให้ความสำคัญกับการควบคุมสินค้าจีนผ่านมาตรฐานและคุณภาพ โดยออกข้อกำหนดมาตรฐานสินค้า เพื่อให้สินค้านำเข้าต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ 

 

นอกจากนี้ยังพยายามผลักดันให้ธุรกิจ SMEs ปรับตัวสู่ดิจิทัล โดยให้เงินสนับสนุนแก่ธุรกิจที่ต้องการขยายสู่ตลาดออนไลน์

 

สำหรับฟิลิปปินส์ใช้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นกว่า ด้วยการใช้นโยบายภาษีนำเข้าแบบไดนามิก โดยจะปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว 

 

อย่างไรก็ตาม ปราณีมองว่า การใช้มาตรการรับมือของประเทศต่างๆ แตกต่างกันไปตามบริบทและความเหมาะสมของแต่ละประเทศ 

 

ตัวอย่างเช่น อินโดนีเซีย ที่สามารถกำหนดมาตรการหลายอย่างได้พร้อมกัน อาจเป็นเพราะอำนาจต่อรองที่อินโดนีเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นแหล่งผลิตแร่นิกเกิลรายสำคัญของโลก 

 

แต่สำหรับไทย แม้จะใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีหรือ Anti-Dumping ภายใต้กรอบของ WTO ได้ แต่ยังดูแลได้เฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีการค้าขายอย่างไม่เป็นธรรม โดยอาจจะยังมีสินค้าอีกหลายกลุ่มที่ต้นทุนการผลิตของจีนต่ำกว่าไทย ซึ่งเมื่อประกอบกับช่องทางการค้าขายกับจีนที่สะดวกขึ้นทั้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และการขนส่ง จึงทำให้ผู้ผลิตของไทยไม่ทันได้มีเวลาปรับตัวและได้รับผลกระทบ 

 

หนทางไทย พลิก ‘วิกฤต’ เป็น ‘โอกาส’

 

ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นในบทความแสดงความเห็นเรื่อง ‘ตั้งหลักให้ถูกในการรับมือคลื่นสินค้าและทุนจีน’ ที่เผยแพร่ทาง THE STANDARD ระบุว่า ปรากฏการณ์ไหลทะลักของคลื่นสินค้าและทุนจีน ด้านหนึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องตั้งรับให้ดี แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มาพร้อมกับโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย 

 

เขาชี้ถึง 4 โอกาสสำคัญ ได้แก่ 

 

  1. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เครื่องจักร และวัตถุดิบ ราคาถูกจากจีน ซึ่งรัฐบาลอาจตั้ง Taskforce ขึ้นมาอีกหนึ่งหน่วยที่จะรับผิดชอบเรื่องการวิเคราะห์ทำ Matching เทคโนโลยี เครื่องจักร และวัตถุดิบ จากจีนที่เหมาะสมเข้ากับภาคธุรกิจไทย

 

  1. การดึงดูดคลื่นการลงทุนจากจีน โดยพยายามดึงดูดทุนจีนที่มีคุณภาพและทุนจีนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคต และมุ่งเน้นผลลัพธ์ 2 ประการ คือการถ่ายทอดเทคโนโลยี กับการพยายามส่งเสริมให้ทุนจีนที่มาลงทุนใช้ห่วงโซ่การผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องหรือ Local Content ภายในประเทศไทยให้มากที่สุด 

 

  1. ส่งเสริมทุนไทยร่วมกับทุนจีนรุกตลาดอาเซียนภาคพื้น (ตลาด CLMV) ร่วมกัน โดยอาศัยฐานการผลิตในประเทศไทย ศักยภาพของตลาดผู้บริโภคในภูมิภาคที่ยังเติบโต และจุดแข็งในความเข้าใจกลไกธุรกิจและวัฒนธรรมของอาเซียนภาคพื้นของทุนไทย

 

  1. ใช้แพลตฟอร์มจีนรุกกลับเข้าในตลาดจีน โดยตลาดผู้บริโภคของจีนก็ยังคงเป็นตลาดที่มีขนาดมหึมาและมีพลังการบริโภคมหาศาล ซึ่งการใช้แพลตฟอร์มจีนรุกเข้าไปในตลาดจีนยังจะทำให้ผู้ประกอบการไทยและภาคนโยบายไทยได้เรียนรู้อุปสรรคทางการค้ากับจีน ซึ่งจะช่วยในการสื่อสารและเจรจากับจีน เพื่อผ่อนคลายอุปสรรคทางการค้าเหล่านั้นด้วย

 

ขณะที่ ดร.ปิยศักดิ์ มองว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นทั้ง ‘โอกาส’ และ ‘หนทาง’ ที่อาจช่วยบรรเทาปัญหาสินค้าจีนล้นตลาด คือการที่จีนเองก็ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ รวมถึงไทย เพื่อแสดงออกในฐานะตัวแทนประเทศกำลังพัฒนาที่ต่อกรกับการบูลลี่และเอารัดเอาเปรียบของรัฐบาลทรัมป์ 

 

เขาเชื่อว่า การที่จีนต้องการจะเป็นตัวแทนประเทศกำลังพัฒนา จะส่งผลให้ปัญหาการทุ่มตลาดของสินค้าจีนมายังไทยและประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ในระยะต่อไป ลดน้อยลง 

 

“ในเชิงภาพใหญ่ จีนก็อาจจะต้องการมุ่งเน้นการค้าเสรี และการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศกำลังพัฒนา เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนาในการรับมือสหรัฐฯ ซึ่งในสมัยของทรัมป์ คือกลายเป็นมหาอำนาจที่เอารัดเอาเปรียบประเทศอื่น ด้วยความที่จีนต้องการจะเป็นตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนา การที่จะส่งสินค้ามาทุ่มตลาดในระยะต่อไปน่าจะลดลง” ดร.ปิยศักดิ์ กล่าว

 

หลังจากนี้ ภาพที่น่าจะปรากฏมากกว่า คือการเข้ามาลงทุนของจีนที่มากขึ้น โดยรัฐบาลไทยคงต้องจับตามองสิ่งที่จะตามมา ทั้งในเรื่องของ Supply Chain การจ้างงานคนไทย การใช้วัตถุดิบของไทยในการผลิต ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ 

 

ในขณะที่การกำหนดนโยบายของภาครัฐ อาจจะต้องส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นดีมานด์ในประเทศให้มากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากมีผลต่อความต้องการเข้ามาลงทุน

 

แน่นอนว่าสินค้าจีนราคาถูกที่ทะลักเข้ามาจะส่งผลกระทบต่อ SMEs ไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคของจีน รวมถึงการวางตัวเป็น ‘พี่ใหญ่’ ของประเทศกำลังพัฒนา อาจช่วยบรรเทาปัญหาให้ไทยได้ในระยะยาว 

 

อ้างอิง: 

The post คลื่นทุนจีน-สินค้าจีนทะลัก ถอดบทเรียนอาเซียน ไทยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ จำกัดวีซ่าไทย ตอบโต้ส่งอุยกูร์กลับจีน กระทบการค้าไทยแค่ไหน? https://thestandard.co/us-visa-restrictions-thai/ Tue, 18 Mar 2025 02:58:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1053325 us-visa-restrictions-thai

พิชัยถกหอการค้า วางแนวทางกระตุ้นการลงทุน ผุดนโยบายสูตร […]

The post สหรัฐฯ จำกัดวีซ่าไทย ตอบโต้ส่งอุยกูร์กลับจีน กระทบการค้าไทยแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
us-visa-restrictions-thai

พิชัยถกหอการค้า วางแนวทางกระตุ้นการลงทุน ผุดนโยบายสูตร 80:20 กู้วิกฤตเศรษฐกิจ พร้อมเผย สหรัฐฯ ระงับวีซ่าไม่กระทบการค้าไทย ขณะที่หอการค้ามองบวก รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่หยิบยกประเด็นสิทธิมนุษยชนกรณีอุยกูร์มาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้าการลงทุนกับไทย แต่ห่วงทรัมป์ 2.0 กระทบและคาดเดายาก ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังเป็นกับดักร้ายฉุดเศรษฐกิจไทย

 

พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลัง การประชุมหารือแนวทางการผลักดันการค้าการลงทุนของไทยปี 2568 ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย วันนี้ (17 มี.ค.) ว่า กรณีที่สหรัฐฯ ประกาศนโยบาย จำกัดวีซ่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย เพื่อตอบโต้ การส่งอุยกูร์กลับจีนว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อการค้า และการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐ เชื่อว่ารัฐบาลไทยสามารถเจรจาได้

 

ขณะที่นโยบายการลงทุนที่วางไว้คือ นโยบาย 80:20 หมายความว่า 80% เน้นสนับสนุนภาคเอกชนและผู้ประกอบการให้เติบโต ส่วนอีก 20% เน้นการกำกับดูแล ตรวจสอบ เช่น เรื่องสินค้าด้อยคุณภาพ

 

ขณะเดียวกันประเมินว่าปีนี้ การส่งออก และการท่องเที่ยวจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากการส่งออกเติบโตได้ดี เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ขยายตัวสูงถึง 13.6% เดือนถัดไปจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เพราะช่วงกลางปีนี้คาดว่าจะมีการส่งออกสินค้าแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ได้มากขึ้น หลังจากโรงงานในไทยเริ่มเดินเครื่องและผลิตเพื่อส่งออกได้

 

“เศรษฐกิจไทยเวลานี้ เราแย่มาสิบปี เราโตเฉลี่ย ปีละ 1.9% มาสิบปี เราโตต่ำแบบนี้ การจะแก้ ถือว่าไม่ง่าย และไม่เร็ว แต่ขอย้ำว่าทิศทางดีขึ้นมาก”

 

พิชัย

 

พิชัยย้ำว่า การส่งออกไทยปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 4% ตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวก็ขยายตัวดี คาดการณ์ว่าปีนี้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 39 ล้านคน

 

อย่างไรก็ตาม เห็นตรงกันว่าปัญหาเดียวที่ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีปัญหาแม้ว่าส่งออก และท่องเที่ยวจะดี คือ แก้ปัญหาหนี้โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนซึ่งมีสัดส่วนที่ถึง90% ของจีดีพีและปัญหาหนี้นอกระบบ เป็น10% ของ GDP

 

ดังนั้น ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งหากสามารถแก้ปัญหานี้ได้ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะโตได้ 5-6% “ พิชัย กล่าว

 

ส่วนด้านดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อปรับโครงสร้างการส่งออก ทั้ง AI Data Center และ PCB ซึ่งทยอยเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยอย่างต่อเนื่อง และอุตสาหกรรมอาหาร ประเทศแถบตะวันออกกลางให้ความสนใจ จึงจะผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตร ทั้งข้าว มันสำปะหลัง รวมทั้งพร้อมทลายทุนผูกขาดข้าว เปิดเสรีข้าว

 

ขณะเดียวกันจะเร่งเจรจา FTA ทั้ง ไทย-เกาหลีใต้, ไทย-ยูเออี, อาเซียน-แคนาดา เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทั้งหมดนี้ในการขยายตลาด ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และดึงดูดนักลงทุน

 

เอกชนวอนรัฐบาลเร่งแก้หนี้ครัวเรือน เจรจาจีนเปิดนำเข้าน้ำเชื่อม สกัดทุนจีนสวมสิทธิ์ทุเรียนไทย

 

ด้านสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้เศรษฐกิจไทยเดินต่อไปไม่ได้เพราะปัญหาหนี้ครัวเรือน และ เอสเอ็มอีเข้าไม่ถึงแหล่งทุน และประชาชนไม่มีกำลังซื้อ หากแก้หนี้ได้เศรษฐกิจจะไปต่อได้ เพราะการส่งออกและท่องเที่ยว ขยายตัวดีอยู่แล้ว

 

ทั้งนี้ ในระยะสั้นหอการค้าฯ ต้องการให้รัฐบาลเร่งเจรจาแก้ไขปัญหาจีนระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำเชื่อมจากไทย ปัญหาการนำเข้าทุเรียนไทยถูกสวมสิทธิ์ รวมทั้งเร่งสกัดสินค้าด้อยคุณภาพราคาถูกจากต่างประเทศที่เข้ามาตีตลาดไทย

 

ส่วนด้านการลงทุน ขอให้รัฐบาลโดย BOI เข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมในประเทศที่ต้องการขยายการลงทุน ด้วยการปรับปรุงเครื่องจักรใหม่ ให้สิทธิพิเศษยกเว้นภาษีเครื่องจักรและภาษีเงินได้นิติบุคคลกับภาคอุตสาหกรรมของไทยให้เหมือนกับที่ให้แก่นักลงทุนต่างชาติ

 

“สำหรับการยกเลิกวีซ่าของเจ้าหน้าที่รัฐ ในมุมมองของเอกชน คาดว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบ แต่สิ่งที่ต้องติดตามคือนโยบาย ทรัมป์ 2.0 เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่”

 

ด้านชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะไม่หยิบยกประเด็นเรื่อง สิทธิมนุษยชน มาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้าการลงทุนกับไทย

 

“ไทยได้รับการยอมรับและรับรองจากหน่วยงานสหรัฐฯ มั่นใจว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะไม่หยิบยกประเด็นเรื่อง สิทธิมนุษยชน กรณีอุยกรูขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้าการลงทุนกับไทยแน่นอน” ชนินทร์ กล่าว

ภาพ: Fahroni / Getty Images

The post สหรัฐฯ จำกัดวีซ่าไทย ตอบโต้ส่งอุยกูร์กลับจีน กระทบการค้าไทยแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทุนจีนบุกหนัก แห่ซื้อที่ดินลงทุนใน EEC ดันราคาที่ดินพุ่งแรง แซงค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนช่วงโควิดระบาด https://thestandard.co/chinese-investment-eec/ Tue, 18 Mar 2025 02:28:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1053313 chinese-investment-eec

REIC รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่ EEC ไตรมาส 4/6 […]

The post ทุนจีนบุกหนัก แห่ซื้อที่ดินลงทุนใน EEC ดันราคาที่ดินพุ่งแรง แซงค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนช่วงโควิดระบาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
chinese-investment-eec

REIC รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่ EEC ไตรมาส 4/67 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผลจากความต้องการที่ดินมาจากกลุ่มนักลงทุนจีนที่มีการย้ายฐานการผลิตมาไทย ด้าน WHA เดินหน้าขึ้นราคาขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม

 

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงาน ‘ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไตรมาสที่ 4/67’ พบว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 323.9 จุด เพิ่มขึ้น 26.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2558-2562 ที่มีอัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 14% ส่งผลให้ดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่จังหวัดชลบุรีมีค่าสูงที่สุดในพื้นที่ EEC โดยมีค่าเท่ากับ 447.6 จุด เพิ่มขึ้น 47.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 19.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 

 

ดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่ EEC รายไตรมาสช่วงปี 2566-2567

ดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่ EEC รายไตรมาสช่วงปี 2566-2567

 

ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มนักลงทุนจีนที่มีการย้ายฐานการผลิตมายังจังหวัดชลบุรีเพิ่มขึ้น และปัจจัยบวกจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการเปิดศูนย์บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ (Government All-Service Center) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนในการขอใบอนุญาตต่างๆ 

 

รองลงมา ได้แก่ จังหวัดระยอง มีค่าดัชนีเท่ากับ 203.6 จุด เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 

 

ส่วนพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรามีค่าดัชนีเท่ากับ 197.7 จุด เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 

 

ดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่ EEC ช่วงปี 2558-2562

 ดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่ EEC ช่วงปี 2558-2562

 

สถิติดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่ EEC ระหว่าง ปี 2558-2567

สถิติดัชนีราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่ EEC ระหว่าง ปี 2558-2567 

 

หากพิจารณาเป็นรายทำเลพบว่า ทำเลที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มสูงสุด 5 อันดับแรก มีดังนี้ 

 

อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในอำเภอแกลง จังหวัดระยอง มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 92.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เนื่องจากเป็นอำเภอที่มีการซื้อ-ขายที่ดินส่วนใหญ่ เพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยรองรับประชากรที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว

 

อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 50.6% เป็นอำเภอที่ตั้งของเมืองพัทยา ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของจังหวัด โดยที่ดินส่วนใหญ่นำมาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมและโรงแรมสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 47.6% ที่ดินส่วนใหญ่นำไปพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยรองรับคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมและท่องเที่ยว

 

อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในอำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 27.5%

 

อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 1.8%

 

ตารางแสดงดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่ EEC ไตรมาส 4/67

 

เปิด 5 ทำเลใน EEC ที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มสูงสุด 5 อันดับแรก

เปิด 5 ทำเลใน EEC ที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มสูงสุด 5 อันดับแรก

 

WHA ลุยขึ้นราคาขายที่ดินใน EEC ปีนี้ 10-15% หลังดีมานด์พุ่ง

 

ด้าน จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา บริษัทมีการปรับราคาขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมขึ้นประมาณ 10-15% ซึ่งหลักตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ EEC โดยถือเป็นอัตราการปรับเพิ่มขึ้นที่มากกว่าระดับปกติในอดีต ซึ่งจะมีการปรับขึ้นราคาขายประมาณ 1-2% ต่อปี

 

จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

จรีพร จารุกรสกุล

ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

 

“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการปรับขายที่ดินเพิ่มขึ้นมาก โดยในปี 2567 ราคาโอนขายที่ดินสูงขึ้นถึง 19% จากปี 2566 โดยมาจากการปรับราคาขายขึ้นจำนวน 2 ครั้งในปี 2024 มาจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงต้นทุนที่ดินของที่ดินใหม่ที่มีราคาสูงขึ้นด้วย แต่ภาพรวมถือว่าทำราคาที่ดินได้ดี เพราะปีที่แล้วเราทำ EBITDA Margin ได้ถึง 66% ส่วนปีนี้มั่นใจว่าจะทำได้เกิน 45% และเชื่อมั่นว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะดีต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีข้างหน้านี้”

 

ทั้งนี้ ในปีนี้ WHA ตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวมไว้ที่ 2,350 ไร่ แบ่งเป็นในไทย 1,700 ไร่ และเวียดนามอีก 650 ไร่ โดยมุ่งเน้นการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 

 

“ระยะหลังเห็นความต้องการของลูกค้าจะซื้อที่ดินแปลงใหญ่ขึ้นอยู่ที่ราว 400-1,000 ไร่ต่อราย เปลี่ยจากภาพเดิมในอดีตที่จะต่ำกว่า 100 ไร่ต่อราย”

 

สำหรับกลุ่มลูกค้า 3 อันดับแรกขณะที่มีดีมานด์เข้ามาลงทุนซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทมีดังนี้ 

 

อันดับที่ 1 จีน

อันดับที่ 2 สหรัฐฯ 

อันดับที่ 3 ญี่ปุ่น ที่เริ่มทยอยกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้น รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนไต้หวันที่มีแนวโน้มการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

 

โดยอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนมีความหลากหลาย ทั้งอุตสาหกรรมกลุ่มเทคโนโลยี ผู้ผลิตแบตเตอรี่ในกลุ่มยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอนซูเมอร์ และอื่นๆ ซึ่งจะยังมีความต้องการที่ดีต่อเนื่อง

 

จรีพรกล่าวต่อว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มเข้ามาประเทศเพิ่มขึ้นมาจากต้องการกระจายความเสี่ยงย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น อีกทั้งในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยังมีความต้องการของลูกค้าต่างชาติที่ยังดีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันที่ดินที่กำลังเจรจาและมีหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) เป็นหลักพันไร่ อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4/67 มียอดขายที่ดินรอโอน (Backlog) ประมาณ 1,500 ไร่ที่รอจะโอนในปีนี้

 

ภาพ: zmotions / Shutterstock, Pornprasit Panada / Shutterstock

The post ทุนจีนบุกหนัก แห่ซื้อที่ดินลงทุนใน EEC ดันราคาที่ดินพุ่งแรง แซงค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนช่วงโควิดระบาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินบาทแข็งค่าเท่าช่วงก่อนต้มยำกุ้งแล้ว น่ากังวลแค่ไหน? https://thestandard.co/wealth-in-depth-baht-strength-pre-97/ Tue, 18 Mar 2025 00:00:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1053177

ย้อนกลับไปช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยใช้ระบบอั […]

The post เงินบาทแข็งค่าเท่าช่วงก่อนต้มยำกุ้งแล้ว น่ากังวลแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ย้อนกลับไปช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate) โดยเงินบาทในช่วงนั้นมีการเคลื่อนไหวอยู่ราว 24-26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามหลังจากถูกโจมตีค่าเงินบาทอย่างหนักจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายครั้ง จนทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศลดลงจาก 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 2.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท กล่าวคือ เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยน ‘ลอยตัวแบบมีการบริหารจัดการ’ (Managed Float) แทน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 ทำให้ค่าเงินบาทหลังจากประกาศ อ่อนค่าลงอย่างหนัก จากราว 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาแตะระดับอ่อนค่าสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

 

โดยหลังจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทครั้งนั้น เงินบาทไทย ‘ไม่เคย’ กลับไปแตะระดับ 24-26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอีกเลย

 

 

ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) แข็งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997

 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กลับตั้งข้อสังเกตว่า หากมาดูดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ซึ่งเป็นการเทียบค่าเงินบาทกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งของไทย พบว่า ตอนนี้เงินบาทของไทย ‘แข็งเกือบเท่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง’ แล้ว

 

โดยตามข้อมูลของธปท. แสดงให้เห็นว่า ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 128.30 ซึ่งถือเป็นระดับแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่มิถุนายนปี 1997 ซึ่งอยู่ที่ 135.4 โดยในเดือนดังกล่าวถือเป็นเดือนสุดท้าย ก่อนไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 เวลา 08.30 น.

 

 

เปิดสาเหตุ ทำไมเงินบาทไทยแข็งเมื่อเทียบกับเพื่อน

 

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า โดยปกติแล้วเมื่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า สกุลเงินเอเชียต่างๆ มักจะอ่อนค่าตาม อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD/THB) เริ่มฉีกออกจากดอลลาร์สหรัฐ (DXY) กล่าวคือเมื่อช่วงราว 6 เดือนที่ผ่านมา เมื่อดอลลาร์สหรัฐแข็ง แต่เงินบาทกลับนิ่งๆ หรือรักษาเสถียรภาพไว้ได้ดี เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ

 

“โดยเฉพาะหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดการคาดการณ์มากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจไม่ต้องลดดอกเบี้ยแล้ว ทำให้ดัชนีดอลลาร์ขึ้นไปแตะระดับ 109 ราวเดือนมกราคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เงิน USD/THB กลับมีเสถียรภาพ หรือไม่อ่อนตาม ขณะที่สกุลเงินเพื่อนกลับอ่อนค่าตามดอลลาร์ไปกันหมด” ดร.พิพัฒน์กล่าว

 

 

โดยสาเหตุหลักอาจมาจากช่วงไตรมาสที่ 4 ลากยาวมาถึงไตรมาสที่ 1 เป็นช่วง High Season ของภาคการท่องเที่ยวไทยทำให้มีความต้องการค่าเงินบาทมากขึ้น โดยภาคการท่องเที่ยวของไทยที่เริ่มฟื้นตัวกลับเป็นปกติมากขึ้น ทำให้ไทยเริ่มเกินดุลบัญชีเดินสะพัด หลังจากไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาค่อนข้างยาวในช่วงโควิด

 

นอกจากนี้ค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับทองคำค่อนข้างสูง โดยสูงเป็นอันดับต้นของภูมิภาค กล่าวคือ เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้นเงินบาทก็จะแข็งค่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคนไทยซื้อขายทองคำค่อนข้างเยอะและมีธุรกรรมเกี่ยวกับทองคำค่อนข้างมาก

 

อีกเหตุผลคือ มีส่วนที่อธิบายไม่ได้ในดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) กล่าวคือมีกระแสเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศไทยที่หาคำอธิบายไม่ได้ว่ามาจากไหน มากขึ้น

 

ดัชนีเงินบาทแข็งมาก น่ากังวลหรือไม่?

 

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า ในมุมหนึ่งการที่ดัชนีค่าเงินบาทกลับไปแข็งเท่าช่วงปี 1997 อาจไม่น่ากังวลเท่าไหร่ เนื่องจากสะท้อนให้เห็นว่า มีคนอยากเอาเงินบาทเข้าประเทศมากกว่าออกจากประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์เตือนว่า ปัจจุบันไทยมีสินค้าหลายประเภทที่กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไป เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยเคยทำได้ดีและจ้างงานคนค่อนข้างเยอะ กำลังถูกค่าเงินบาทที่แข็งซ้ำเติม

 

“นอกจากภาคอุตสาหกรรมกำลังเจอกับการแข่งขันจากภายนอก หลังหลายประเทศสามารถขายสินค้าบางอย่างได้ถูกกว่าไทย และการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปไปเป็นรถ EV ตอนนี้ดัชนีค่าเงินบาทที่กำลังแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ กำลังสะท้อนให้เห็นว่า วันนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาไปด้วย”

 

แม้ดร.พิพัฒน์กล่าวย้ำว่า การแข็งค่าของเงินบาทย่อมมีภาคส่วนที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ แต่หากพิจารณาจากผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม  ดร.พิพัฒน์เชื่อว่า บาทอ่อนดีกว่าบาทแข็ง เพราะว่า สุดท้ายไทยยังเป็นประเทศส่งออกสุทธิ ไทยยังเป็นประเทศที่รับรายได้จากการท่องเที่ยว ดังนั้นบาทอ่อนจะทำให้ไทยมีความสามารถด้านการแข่งขันด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีขึ้น

 

จับตา ไทยกำลังเจอ Dutch Disease

 

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้เหมือนประเทศไทยกำลังเจอกับภาวะ ‘Dutch Disease’  ซึ่งเป็นอาการที่เนเธอร์แลนด์เคยเผชิญเมื่อช่วง 1960 หลังเจอแหล่งพลังงานจนทำให้เนเธอร์แลนด์สามารถขายพลังงาน และนำเงินตราต่างประเทศกลับเข้าประเทศได้ค่อนข้างเยอะ ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น และทำให้ภาคอุตสาหกรรมเสียความสามารถในการแข่งขันไป หมายความว่า การบูมใน Sector หนึ่งย่อมทำให้ Sector หนึ่งมีปัญหาได้

 

“วันนี้ ภาคการท่องเที่ยวกำลังสร้างรายได้จากต่างประเทศ ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวก็ทำให้ค่าเงินบาทแข็งด้วย จนทำให้กระทบความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมในประเทศ” ดร.พิพัฒน์กล่าว

 

ชมคลิปสัมภาษณ์ได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=lxe1qqencO4

 

The post เงินบาทแข็งค่าเท่าช่วงก่อนต้มยำกุ้งแล้ว น่ากังวลแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
อเมริกา ‘ไม่มั่นคง’? คนรวยแห่ซื้อบ้าน-ขอสัญชาติต่างประเทศ พบอังกฤษ-ออส-โปรตุเกส เป้าหมายหลัก หวั่นเศรษฐกิจ-การเมืองสหรัฐฯ ผันผวน หลัง ‘ทรัมป์’ กลับมา https://thestandard.co/wealthy-americans-buying-homes-abroad/ Mon, 17 Mar 2025 13:32:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1053289 คนอเมริกันซื้อบ้านต่างประเทศ: นักธุรกิจชาวอเมริกันกำลังพิจารณาบ้านหรูในต่างประเทศ หลังจากการกลับมาของทรัมป์สร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ท่ามกลางความไม่สงบทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันจ […]

The post อเมริกา ‘ไม่มั่นคง’? คนรวยแห่ซื้อบ้าน-ขอสัญชาติต่างประเทศ พบอังกฤษ-ออส-โปรตุเกส เป้าหมายหลัก หวั่นเศรษฐกิจ-การเมืองสหรัฐฯ ผันผวน หลัง ‘ทรัมป์’ กลับมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนอเมริกันซื้อบ้านต่างประเทศ: นักธุรกิจชาวอเมริกันกำลังพิจารณาบ้านหรูในต่างประเทศ หลังจากการกลับมาของทรัมป์สร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ท่ามกลางความไม่สงบทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันจำนวนมากเริ่มมองหา ‘แผนสำรอง’ ด้วยการซื้อบ้านในต่างประเทศและหาทางได้สิทธิพำนักถาวร เหมือนกับที่คนรวยจากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงเคยทำมาก่อนหน้านี้

 

อังกฤษ ออสเตรเลีย และโปรตุเกส กลายเป็นจุดหมายยอดนิยม โดยตัวแทนขายบ้านในประเทศเหล่านี้รายงานว่า มีลูกค้าชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลังการกลับมาของ Donald Trump ที่สร้างความไม่แน่นอนในหลายเรื่อง ตั้งแต่เศรษฐกิจไปจนถึงกฎหมาย

 

“คนอเมริกันหลายคนเริ่มคิดว่าการมีพาสปอร์ตแค่เล่มเดียวเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้อีกต่อไป” Basil Mohr-Elzeki หัวหน้าฝ่ายอเมริกาเหนือของ Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการได้สิทธิพำนักและสัญชาติผ่านการลงทุนในลอนดอนเผย

 

ตัวเลขจากบริษัทนี้แสดงให้เห็นว่าลูกค้าชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นกว่า 1,000% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยในปีที่แล้ว คนอเมริกันคิดเป็น 1 ใน 4 ของลูกค้าทั้งหมด มากกว่ากลุ่มลูกค้า 4 สัญชาติถัดไปรวมกัน

 

“ความคิดนี้ไม่ได้หายไปไหน” Mohr-Elzeki กล่าว “ในปี 2025 ความต้องการหาที่อยู่หรือสัญชาติสำรองยังคงพุ่งสูงขึ้น เรามีลูกค้าชาวอเมริกันมากกว่าที่เคย โดยคนรวยมองว่านี่เป็นเหมือนประกันภัยที่จำเป็นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในสหรัฐฯ”

 

ในโปรตุเกสกระแสนี้ก็ชัดเจนไม่แพ้กัน Luiz Felipe Maia ผู้อำนวยการบริษัทอสังหาในลิสบอนเล่าว่า “หลังการเลือกตั้งเมื่อพฤศจิกายนที่ผ่านมา เราเห็นความสนใจพุ่งพรวดจากผู้ซื้อชาวอเมริกัน จากเดิมเดือนละ 30-50 ราย เพิ่มเป็นเกือบ 100 ราย”

 

ขณะนี้บริษัทกำลังดูแลลูกค้าชาวอเมริกัน 15 รายที่มีกำหนดบินมาดูบ้านในเดือนหน้า โดยส่วนใหญ่มาจากแคลิฟอร์เนีย ซีแอตเทิล และแอริโซนา ส่วนฟลอริดาที่ Trump ชนะขาดลอยกลับไม่มีลูกค้าเลย

 

ความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นยังสะท้อนให้เห็นจากการที่สายการบิน TAP Air Portugal เพิ่มเที่ยวบินลอสแอนเจลิส-ลิสบอน และบอสตัน-ปอร์โต

 

“มันเหมือนกับหลังเหตุการณ์ในฮ่องกงปี 2019 เลย” Maia เปรียบเทียบกับช่วงที่คนฮ่องกงแห่ซื้อบ้านในโปรตุเกสหลังเกิดความวุ่นวายทางการเมือง “ความรู้สึกเหมือนกันไม่มีผิด”

 

ทางฝั่งออสเตรเลีย Ken Jacobs ตัวแทนขายในซิดนีย์บอกว่าลูกค้าชาวอเมริกันที่สนใจบ้านหรูเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังการเลือกตั้ง และส่วนใหญ่มองหาการย้ายถิ่นฐานถาวรเนื่องจากออสเตรเลียมีข้อจำกัดด้านการลงทุนอสังหาสำหรับคนต่างชาติ

 

Qi Chen ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์หาบ้านในออสเตรเลีย OpenLot.com.au ยืนยันว่ามี ‘คลื่นผู้ใช้ใหม่จากสหรัฐฯ’ หลังการเลือกตั้ง โดยผู้ใช้งานประจำจากอเมริกาเพิ่มขึ้น 42% ระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ และการเข้าชมเว็บไซต์พุ่งขึ้นถึง 91%

 

“ภายใต้กฎหมายการลงทุนของออสเตรเลีย ชาวต่างชาติไม่สามารถซื้อบ้านมือสองได้ แต่ซื้อบ้านใหม่ อพาร์ตเมนต์ใหม่ หรือแพ็กเกจบ้าน-ที่ดินได้” Chen อธิบาย

 

ในอังกฤษก็เช่นกัน David Johnson จาก Inhous บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาเผยว่า มีกระแสผู้ซื้อจากอเมริกาเพิ่มขึ้นชัดเจนหลังการเลือกตั้ง แม้ว่าคนจีนและฮ่องกงยังครองตำแหน่งผู้ซื้อต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดก็ตาม

 

ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2024 มีคำขอสัญชาติอังกฤษจากชาวอเมริกันกว่า 1,700 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี และตลอดทั้งปี 2024 มีคำขอรวม 6,100 ราย เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน

 

Kashif Ansari ซีอีโอของ Juwai IQI เว็บไซต์ตลาดซื้อขายบ้านและที่ดิน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ความสนใจของชาวอเมริกันในพาสปอร์ตที่สองเพิ่มขึ้นตั้งแต่โควิด ขณะที่จำนวนคนจีนในมาเลเซียเพิ่มขึ้น 3 เท่าหลังจีนเปิดประเทศในปี 2023 ปัจจุบันมีคนจีนและฮ่องกงราว 12 ล้านคน และคนอเมริกันโดยกำเนิด 5 ล้านคนอาศัยอยู่ต่างประเทศ”

 

เมื่อก่อนเราเคยได้ยินเรื่องคนจีนและฮ่องกงหาทางออกนอกประเทศเพราะไม่พอใจรัฐบาล แต่วันนี้คนอเมริกันก็เริ่มทำเช่นเดียวกัน สะท้อนความไม่มั่นใจในอนาคตประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็น ‘ดินแดนแห่งความฝัน’ ของผู้คนทั่วโลก

 

อ้างอิง:

The post อเมริกา ‘ไม่มั่นคง’? คนรวยแห่ซื้อบ้าน-ขอสัญชาติต่างประเทศ พบอังกฤษ-ออส-โปรตุเกส เป้าหมายหลัก หวั่นเศรษฐกิจ-การเมืองสหรัฐฯ ผันผวน หลัง ‘ทรัมป์’ กลับมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
BOI ไฟเขียว 2 แสนล้านบาท ผุด 4 โปรเจกต์ยักษ์ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้มและ Data Center 3 แห่ง หนุนทุนจีน-สิงคโปร์ร่วมลงทุนรับดีมานด์ AI https://thestandard.co/boi-approves-200-billion-baht-4-mega-projects/ Mon, 17 Mar 2025 09:45:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1053170

บอร์ด BOI อนุมัติส่งเสริมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงกา […]

The post BOI ไฟเขียว 2 แสนล้านบาท ผุด 4 โปรเจกต์ยักษ์ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้มและ Data Center 3 แห่ง หนุนทุนจีน-สิงคโปร์ร่วมลงทุนรับดีมานด์ AI appeared first on THE STANDARD.

]]>

บอร์ด BOI อนุมัติส่งเสริมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการใหญ่ กว่า 2 แสนล้านบาท ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ Data Center 3 แห่งจากบริษัทไทย จีน และสิงคโปร์ เสริมแกร่งระบบนิเวศดิจิทัล รองรับยุค AI พร้อมหนุนเอกชนร่วมลงทุนกิจการโรงพยาบาลของรัฐ ยกระดับบริการทางการแพทย์ 

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า วันนี้ (17 มีนาคม) การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ด BOI) ที่มี พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญขนาดใหญ่ 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท 

 

BOI

Aerial view of Bangkok modern office buildings and condominium in Bangkok city downtown with blue sky and clouds at Bangkok, Thailand. BTS skytrain

 

ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุน 109,210 ล้านบาท และโครงการ Data Center 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่

 

  • บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี 
  • บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง 
  • บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

 

“Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สำหรับรองรับความต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI การที่มีบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทยก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน นอกจากจะส่งเสริมให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าถึงบริการของศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ที่มีมาตรฐาน สร้างงานที่มีคุณค่าสูงให้กับคนไทย พัฒนาโปรแกรม ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และงานสนับสนุนด้านไอที” นฤตม์กล่าว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565-2567) มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service จำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.9 แสนล้านบาท

 

ส่งเสริมการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชนในกิจการโรงพยาบาล

 

นอกจากนี้ ตามที่รัฐบาลมีแนวทางส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในบริการด้านสาธารณสุขมากขึ้นในรูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) เพื่อยกระดับมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถทางการรักษาพยาบาล โดยลดภาระงบประมาณภาครัฐ แต่สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยที่เป็นผู้ประกันตนได้จำนวนมากบอร์ด BOI จึงได้เห็นชอบให้กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับกิจการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 91 เตียงขึ้นไป 

 

ในกรณีที่มีการร่วมทุนในรูปแบบ PPP กับหน่วยงานรัฐ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรเครื่องจักรและอุปกรณ์ และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี (โรงพยาบาลทั่วไปจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี) นอกจากนี้ บอร์ด BOI ได้อนุมัติหลักการในการส่งเสริมโครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 จังหวัดระยอง ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนรัฐ-เอกชนในรูปแบบ PPP ครั้งแรกของกระทรวงสาธารณสุขให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้เป็นโครงการแรกด้วย 

 

หนุนเอกชนเปลี่ยนเครื่องจักร ลงทุนลดคาร์บอน

 

เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคอุตสาหกรรม ที่ประชุมได้เห็นชอบให้กิจการที่มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ไปแล้ว แต่ต้องการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Battery Energy Storage System: BESS) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ของระบบ BESS เพิ่มเติม สามารถขอรับการส่งเสริมภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานทดแทนได้

 

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมวัสดุ ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดน (CBAM) ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบให้กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ผลิตภัณฑ์เซรามิกในกลุ่ม Earthenware และกระเบื้องเซรามิก ซึ่งเป็นกิจการที่มีปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

 

ภาพ: Diversity Studio / Getty images

The post BOI ไฟเขียว 2 แสนล้านบาท ผุด 4 โปรเจกต์ยักษ์ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้มและ Data Center 3 แห่ง หนุนทุนจีน-สิงคโปร์ร่วมลงทุนรับดีมานด์ AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตาความเสี่ยงเกิด ‘สงครามค่าเงิน’ หลังเศรษฐกิจโลกชะลอ-ความตึงเครียดทางการค้าส่อรุนแรงขึ้น https://thestandard.co/currency-war-trump-policies-global-economic-slowdown/ Mon, 17 Mar 2025 08:39:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1053140 สงครามค่าเงิน: ผู้เชี่ยวชาญจากซีไอเอ็มบี อีสท์สปริง เอ็มเอฟซี และไทยพาณิชย์ วิเคราะห์ผลกระทบนโยบายทรัมป์ต่อเศรษฐกิจไทยและกลยุทธ์การลงทุนรับความผันผวน

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จัดสัมมนา Investment Outlook 2025 […]

The post จับตาความเสี่ยงเกิด ‘สงครามค่าเงิน’ หลังเศรษฐกิจโลกชะลอ-ความตึงเครียดทางการค้าส่อรุนแรงขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามค่าเงิน: ผู้เชี่ยวชาญจากซีไอเอ็มบี อีสท์สปริง เอ็มเอฟซี และไทยพาณิชย์ วิเคราะห์ผลกระทบนโยบายทรัมป์ต่อเศรษฐกิจไทยและกลยุทธ์การลงทุนรับความผันผวน

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จัดสัมมนา Investment Outlook 2025 : Navigating Thailand’s Economy and Financial Market in the Trump Era สำหรับสมาชิก CIMB Preferred เพื่ออัปเดตมุมมอง กลยุทธ์ และทิศทางการลงทุนปี 2025 

 

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย บรรยายหัวข้อ Global Economic Update Y2025 มองว่านโยบายการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังเติบโตที่ 2% และจีนขยายตัวต่ำกว่า 5% แต่สหรัฐฯ มีแนวโน้มขาดดุลการค้ามากขึ้น แม้จะขาดดุลกับจีนลดลงจาก 40% เหลือ 20% แต่กลับขาดดุลเพิ่มขึ้นกับประเทศอื่น รวมถึงไทย เนื่องจากประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 11 สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวและเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ส่งผลให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเผชิญแรงกดดัน 

 

ด้านเศรษฐกิจไทย แม้ไตรมาส 1/25 จะเติบโต 3% แต่คาดว่าครึ่งปีหลังจะชะลอลงเหลือ 2% โดยผลกระทบจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจเห็นชัดขึ้นในไตรมาสถัดไป และมีแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แม้การส่งออกช่วงต้นปี 2025 จะเร่งตัวขึ้นก่อนที่ความตึงเครียดทางการค้าจะรุนแรงขึ้น แต่ในระยะถัดไปอาจเผชิญความเสี่ยงจากสงครามค่าเงิน 

 

ทั้งนี้ ทรัมป์มีแนวโน้มใช้นโยบายที่ชะลอโลกาภิวัตน์ (Pause Globalization) ส่งเสริมการนำอุตสาหกรรมกลับประเทศ (Reverse Reshoring) ใช้นโยบายการคลังแบบเป็นกลาง (Neutral Fiscal Spending) ซึ่งอาจทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และผลักดันให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการค้า (Drive for Devaluation)

 

แนะกระจายความเสี่ยงการลงทุนรับมือความผันผวน

 

ด้าน Patrick Chang ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนภูมิภาค (Regional CIO) กลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวหัวข้อ Investment Opportunity & Market Outlook ว่า ภาพรวมตลาดการลงทุนเปลี่ยนแปลงมาก โดยเฉพาะหลังการขึ้นดำรงตำแหน่งของทรัมป์ เกิดปรากฏการณ์ ‘Trump 2.0’ สร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนในตลาดการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน และยุโรป 

 

ดังนั้นปัจจัยสำคัญสำหรับนักลงทุนปี 2025 คือความสามารถในการปรับตัวและความคล่องตัว โดยเฉพาะการจัดพอร์ตลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในตลาดพัฒนาแล้ว รวมถึงการลงทุนตลาดตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และกลยุทธ์การใช้ Covered Call Options ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน 

 

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ มองว่ายังไม่ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี เป็นเพียงช่วงปรับฐานจากปัจจัยเรื่องภาษีศุลกากร อนาคตอาจลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาด นอกจากนี้ การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI มีโอกาสเติบโตและเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดสหรัฐฯ ด้านตลาดจีนมีการฟื้นตัวอย่างน่าสนใจหลังรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

 

ขณะที่ตลาดยุโรปและอาเซียนเป็นโอกาส แม้เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ เช่น กลุ่ม REITs ในตลาดสิงคโปร์มีผลตอบแทนน่าสนใจ โดยรวมแล้ว แนะนำนักลงทุนคงความหลากหลายและกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน รับมือความผันผวนและโอกาสที่เกิดขึ้นในตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

 

Eastspring คาดนโยบายการค้า ‘ทรัมป์’ เป็นการขู่คู่ค้า 

 

ขณะที่ ยิ่งยง เจียรวุฑฒิ CFA รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) (Eastspring) กล่าวหัวข้อ Finding Opportunities Amid Market Uncertainty โดยวิเคราะห์หลายแง่มุมของทรัมป์ทั้งการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจ ตั้งแต่ลักษณะนิสัยวัยเยาว์จนถึงยุคที่เขากลายเป็นบุคคลสาธารณะมีชื่อเสียงระดับโลก โดยเมื่อ 40 ปีก่อน ทรัมป์เขียนหนังสือ The Art of the Deal เผยแพร่ศิลปะการต่อรองธุรกิจรับเหมาและโครงการสร้างคาสิโนที่แอตแลนติกซิตี้ แม้โครงการจะประสบปัญหาการเงินและการหาผู้ร่วมทุน แต่เขาสามารถดึง Holiday Inn มาร่วมทุนได้ด้วยการสร้างภาพลักษณ์ให้ไซต์ก่อสร้างดูคึกคักสร้างความประทับใจแก่นักลงทุน สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นนักเจรจาที่เฉียบแหลมและความสามารถในการดึงดูดความสนใจจากสาธารณชน และช่วง 10 ปีที่แล้ว รายการเรียลลิตี้โชว์ The Apprentice ของทรัมป์ได้รับความนิยม เรตติ้งสูง และได้รับรางวัลเอมมี่จนทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในวงการสื่อ 

 

เมื่อพิจารณาการดำเนินนโยบายการค้าของทรัมป์ในปัจจุบัน จึงคาดว่าจะเป็นการ ‘ขู่’ คู่ค้า ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าและตอบโต้แบบ ‘ถ้าคุณทำ ผมก็จะทำ’ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดโลก นโยบาย Inflationary เช่น การลดภาษี การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐและการควบคุมคนเข้าเมืองอาจสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและนำไปสู่เงินเฟ้อในอนาคต แม้จะมีความผันผวน แต่ช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง 

 

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบ่งแนวทางการลงทุนระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ หุ้นเอเชีย หุ้นเติบโต ตราสารหนี้สหรัฐฯ และหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มสุขภาพ ทรัมป์ไม่เพียงแต่แสดงความเป็นนักเจรจาที่ชาญฉลาด แต่ยังเป็นนักสร้างภาพลักษณ์ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและนโยบายการค้าระดับโลก สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างโอกาสในตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

 

ยิ่งยงกล่าวเพิ่มเติมว่า สงครามการค้าของทรัมป์คือ Very Loud Noise เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับสังคมอเมริกา ที่พาเราเข้าสู่การ Protectionism, Standalone and Unwind Globalization แต่มองว่าสหรัฐฯ ยังคงต้องพึ่งพาภาคการผลิตของจีนอยู่และในช่วง 5 ปีต่อจากนี้สหรัฐก็จะยังคงเป็นประเทศผู้นำของโลก ด้าน EM มีมูลค่าหุ้นที่ถูกและมีความน่าสนใจ 

 

แนะลดสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Tech ขนาดใหญ่

 

ส่วน เชาวน์กร โชติบัณฑ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) บรรยายหัวข้อ How to Invest in Market Volatility in Trump Era ว่าการกลับมาของทรัมป์อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนมากขึ้น นักลงทุนควรเตรียมกลยุทธ์รับมือ ยกตัวอย่าง Buy on Dip โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานที่ยังแข็งแกร่ง เช่น GDP เติบโต 2% ตัวเลขการจ้างงานออกมาดี และการบริโภคขยายตัว สะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้เผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและการเงิน 

 

ด้าน ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล, FRM ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ แต่ปีนี้คาดว่าจะเห็นการกระจายการลงทุนมากขึ้น นักลงทุนอาจลดสัดส่วนในหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ไปสู่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง รวมถึงนโยบายการปรับลดภาษีที่อาจจะเกิดขึ้น

The post จับตาความเสี่ยงเกิด ‘สงครามค่าเงิน’ หลังเศรษฐกิจโลกชะลอ-ความตึงเครียดทางการค้าส่อรุนแรงขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เวียดนามประกาศภารกิจชาติ ปั้นประชากร ‘สองภาษา’ อังกฤษเป็นภาษาที่สอง ทุ่มไม่อั้น ตั้งแต่เด็กอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย https://thestandard.co/vietnam-english-bilingual/ Sun, 16 Mar 2025 09:40:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1052796 vietnam-english-bilingual

กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามเดินหน้าแผนการใหญ่ ผลักดันให้ภ […]

The post เวียดนามประกาศภารกิจชาติ ปั้นประชากร ‘สองภาษา’ อังกฤษเป็นภาษาที่สอง ทุ่มไม่อั้น ตั้งแต่เด็กอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
vietnam-english-bilingual

กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามเดินหน้าแผนการใหญ่ ผลักดันให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่สองของประเทศ โดยได้มีการจัดเวทีระดมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางรากฐานการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในทุกระดับการศึกษา ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย นับเป็นความพยายามครั้งสำคัญที่จะยกระดับการศึกษาของประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติ

 

แผนระยะยาวนี้จะเริ่มตั้งแต่ปี 2025 ไปจนถึง 2045 โดยมีเป้าหมายทะเยอทะยานที่จะสร้างประชากรที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทดลองในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยนำร่องหลายแห่ง เพื่อประเมินความเป็นไปได้และปรับปรุงแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

 

Pham Ngoc Thuong รองรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรม เน้นย้ำในที่ประชุมว่า การนำโมเดลจากต่างประเทศมาใช้ต้องปรับให้เข้ากับบริบทสังคมและวัฒนธรรมของเวียดนาม โดยไม่ลอกเลียนแบบทั้งหมด เขากล่าวว่า “เราต้องเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลวของประเทศอื่น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างระบบที่เป็นของเราเอง” 

 

ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการประกอบด้วย การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกอบรมครูให้มีความพร้อม การสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม

 

การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและเทคโนโลยีการศึกษาจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแผนนี้ให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลดช่องว่างระหว่างพื้นที่เมืองและชนบทที่ห่างไกล การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ แอปพลิเคชัน และสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลจะช่วยให้นักเรียนในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงการเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ช่วยประหยัดเวลา และลดความต้องการครูสอนภาษาอังกฤษจำนวนมากซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดในปัจจุบัน

 

ในด้านของผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา รองศาสตราจารย์ Nguyen Van Trao จากมหาวิทยาลัยการศึกษาแห่งชาติฮานอย เสนอว่าแผนนี้ต้องระบุบทบาทและความรับผิดชอบของระบบอุดมศึกษาให้ชัดเจน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยด้านศึกษาศาสตร์ซึ่งจะเป็นแหล่งผลิตครูภาษาอังกฤษในอนาคต 

 

การพัฒนาหลักสูตรสำหรับฝึกอบรมครูต้องได้มาตรฐานและทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ขณะเดียวกัน สื่อการสอนและอุปกรณ์ต่างๆ ต้องได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทของเวียดนาม โครงสร้างพื้นฐานในสถาบันฝึกครูต้องได้รับการปรับปรุง 

 

และต้องมีแผนที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายการรับนักศึกษา การสนับสนุนทางการเงินสำหรับครูและนักเรียน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษทั้งในและต่างประเทศ

 

ด้าน ดร. Nguyen Thanh Binh จากมหาวิทยาลัยการศึกษาโฮจิมินห์ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า แผนนี้จะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่คำนึงถึงการเข้าถึงของนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและภูเขา ซึ่งมักมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและโอกาสทางการศึกษา 

 

เขาเสนอให้มีการสร้างกลไกพิเศษเพื่อสนับสนุนโรงเรียนและนักเรียนในพื้นที่เหล่านี้ นอกจากนี้ ยังต้องแก้ไขปัญหาความแตกต่างในคุณภาพของครูผู้สอนระหว่างเมืองใหญ่และพื้นที่ชนบท ซึ่งอาจทำได้ผ่านการฝึกอบรมออนไลน์ การแลกเปลี่ยนครู หรือโครงการพี่เลี้ยงสำหรับครูในพื้นที่ห่างไกล 

 

นอกจากนี้ การระดมทุนจากแหล่งต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ จะช่วยให้มีงบประมาณเพียงพอในการพัฒนาบริการให้คำปรึกษาและเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

 

ตามแผนการที่วางไว้ ภายในปี 2035 โรงเรียนอนุบาลทุกแห่งที่มีคุณสมบัติพร้อมจะเริ่มสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กอายุ 3-5 ปีทั่วประเทศ โดยเน้นการสอนผ่านเกม เพลง และกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และภายในปี 2045 จะขยายไปยังเด็กก่อนวัยเรียนทุกคน รวมถึงเด็กในเนิร์สเซอรี เพื่อปูพื้นฐานการเรียนรู้ภาษาตั้งแต่เยาว์วัย

 

สำหรับการศึกษาภาคบังคับ ภายในปี 2035 นักเรียนทุกคนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะได้เรียนตามหลักสูตรภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในระดับพื้นฐาน (ระดับ 1-3) โดยเน้นทักษะการสื่อสารในชีวิตประจำวัน 

 

ส่วนภายในปี 2045 โรงเรียนทุกแห่งจะเปิดสอนถึงระดับสูง (ระดับ 4-6) ซึ่งครอบคลุมทักษะการคิดวิเคราะห์ การอภิปราย และการนำเสนอที่ซับซ้อนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยทุกแห่งจะนำหลักสูตรระดับสูงมาใช้ด้วย เพื่อให้บัณฑิตมีความพร้อมในการทำงานในบริษัทข้ามชาติหรือองค์กรระหว่างประเทศ

 

สถาบันอาชีวศึกษาทุกแห่งก็ไม่ได้ถูกละเลย โดยจะมีการบูรณาการภาษาอังกฤษเฉพาะทางเข้ากับหลักสูตรวิชาชีพ เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับการท่องเที่ยว การโรงแรม อุตสาหกรรมการผลิต หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นอกจากนี้ เวียดนามยังตั้งเป้าที่จะพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาต่อเนื่องให้เสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2030 เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใหญ่ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพหรือการศึกษาต่อด้วย

 

ภาพ: xuanhuongho / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post เวียดนามประกาศภารกิจชาติ ปั้นประชากร ‘สองภาษา’ อังกฤษเป็นภาษาที่สอง ทุ่มไม่อั้น ตั้งแต่เด็กอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘หายนะ’ ทางประชากร? ทารกญี่ปุ่นเกิดใหม่ต่ำสุดในรอบ 125 ปี คนแก่ล้นเมือง คนหนุ่มสาวเหลือน้อย https://thestandard.co/japan-birthrate-crisis/ Sun, 16 Mar 2025 09:34:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1052792 japan-birthrate-crisis

จำนวนทารกที่เกิดในญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วดิ่งลงสู่ระดับ ‘ […]

The post ‘หายนะ’ ทางประชากร? ทารกญี่ปุ่นเกิดใหม่ต่ำสุดในรอบ 125 ปี คนแก่ล้นเมือง คนหนุ่มสาวเหลือน้อย appeared first on THE STANDARD.

]]>
japan-birthrate-crisis

จำนวนทารกที่เกิดในญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วดิ่งลงสู่ระดับ ‘ต่ำที่สุด’ นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสถิติเมื่อ 125 ปีที่แล้ว ตอกย้ำวิกฤตการณ์ประชากรที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ และสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของความพยายามของรัฐบาลในการพลิกฟื้นสถานการณ์ 

 

ข้อมูลเบื้องต้นจากรัฐบาลญี่ปุ่นที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ระบุว่า ในปี 2024 ญี่ปุ่นมีทารกเกิดใหม่เพียง 720,988 คน ตัวเลขนี้ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 และดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการจูงใจทางการเงินและมาตรการอื่นๆ ที่รัฐบาลมอบให้แก่คู่สมรสเพื่อมีบุตรมากขึ้น 

 

ตัวเลขในปี 2024 ลดลง 5% จากปีก่อนหน้า และเป็นจำนวนที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสถิติในช่วงยุคเมจิของญี่ปุ่นในปี 1899 เมื่อรวมกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.6 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว หมายความว่าประชากรญี่ปุ่น ‘ลดลง’ เกือบ 900,000 คน 

 

เมื่อหักลบด้วยตัวเลขผู้อพยพเข้าประเทศ ในปี 2023 ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้น  เตือนว่าประเทศกำลังยืนอยู่บน ‘ปากเหว’ ของ “การที่เราจะยังสามารถดำรงอยู่ได้ในฐานะสังคมหรือไม่” เนื่องจากจำนวนประชากรที่ลดลงและสูงวัยขึ้น

 

โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นกำลัง ‘บิดเบี้ยว’ มากขึ้นเรื่อยๆ โดยจำนวนคนหนุ่มสาวลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและความมั่นคงทางสังคมของประเทศที่มีหนี้สาธารณะมหาศาล

 

ปัจจุบัน ประมาณ 30% ของประชากรมีอายุมากกว่า 65 ปี หน่วยงานภาครัฐได้นำมาตรการที่ ‘รุนแรง’ มากขึ้นมาใช้เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ รวมถึงโครงการทดลองของมหานครโตเกียวที่อนุญาตให้พนักงานทำงานเพียงสัปดาห์ละ 4 วัน

 

อัตราการเกิดที่ลดลงของญี่ปุ่น ‘สวนทาง’ กับเกาหลีใต้ ซึ่งรายงานอัตราการเจริญพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีโดยได้รับแรงหนุนจากการแต่งงานที่เพิ่มขึ้น

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรบางคนเคยหวังว่าจะเกิดภาวะ ‘เบบี้บูม’ ในญี่ปุ่นหลังจากการระบาดใหญ่ แต่จำนวนการเกิดกลับลดลงอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

 

การศึกษาในปี 2011 โดยสถาบันวิจัยประชากรฯ คาดการณ์ว่าญี่ปุ่นจะมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงเหลือ 720,000 คนในปี 2039 แต่ความเป็นจริงคือตัวเลขนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดมาก แสดงให้เห็นว่าวิกฤตประชากรของญี่ปุ่นรุนแรงและเร่งตัวเร็วกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินไว้

 

ภาพ: paulaphoto / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ‘หายนะ’ ทางประชากร? ทารกญี่ปุ่นเกิดใหม่ต่ำสุดในรอบ 125 ปี คนแก่ล้นเมือง คนหนุ่มสาวเหลือน้อย appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติคว้ารางวัล ธนาคารกลางแห่งปี 2025 ชูผลงานโดดเด่น ‘นโยบายเป็นอิสระ’ https://thestandard.co/bot-wins-central-bank-of-the-year-2025-award/ Sun, 16 Mar 2025 06:57:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1052759 ธนาคารกลางแห่งปี

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับรางวัลธนาคารกลางแห่งปี […]

The post แบงก์ชาติคว้ารางวัล ธนาคารกลางแห่งปี 2025 ชูผลงานโดดเด่น ‘นโยบายเป็นอิสระ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาคารกลางแห่งปี

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับรางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 (Central Bank of the Year 2025) จากการมอบรางวัล Central Banking Awards ในปีนี้

 

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับรางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 (Central Bank of The Year 2025) จาก Central Banking Publications ที่เป็นสื่อชั้นนำด้านการเงินและการธนาคารกลางของโลก เพื่อยกย่ององค์กรและบุคคลในแวดวงธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นด้านการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล 

 

รางวัล Central Banking Awards แบ่งออกเป็น 16 สาขา มีรางวัลธนาคารกลางแห่งปีเป็นรางวัลสูงสุด โดย ธปท. ถือเป็นธนาคารกลางแห่งที่ 12 จากธนาคารกลางทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนี้นับแต่เริ่มการมอบรางวัลในปี 2014 เป็นต้นมา

 

Central Banking Publications ระบุว่า รางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 สะท้อนการทำงานของ ธปท. ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจการเงินระยะยาว ด้วยการรักษาสมดุลของการดูแลเศรษฐกิจและการมุ่งรักษาเสถียรภาพราคาและเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งผสมผสานนโยบายเพื่อดูแลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานทางการเงินของประเทศให้พร้อมสำหรับอนาคต 

 

ธปท. ขอขอบคุณ Central Banking Publications ที่เห็นประโยชน์และความตั้งใจในการทำงานของ ธปท. การได้รับรางวัลครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ ธปท. และพนักงานทุกคนทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังต่อไป

The post แบงก์ชาติคว้ารางวัล ธนาคารกลางแห่งปี 2025 ชูผลงานโดดเด่น ‘นโยบายเป็นอิสระ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>