Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 01 Jun 2025 08:43:35 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เด็กเกิดน้อยลงทุกวัน สวนทาง AI ครองเมือง การศึกษาไทยต้อง ‘พลิกตำรา’ ปรับตัวทางไหนถึงจะรอดและสร้างคนสู้อนาคต? https://thestandard.co/education-thailand-low-birth-ai-2025/ Sun, 01 Jun 2025 08:43:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1081121 เด็กนักเรียนไทยใช้แท็บเล็ตเรียนรู้ในห้องเรียนอัจฉริยะ สะท้อนการเปลี่ยนแปลง การศึกษาไทย ยุค AI

ระบบ การศึกษาไทย กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เคยมีมา […]

The post เด็กเกิดน้อยลงทุกวัน สวนทาง AI ครองเมือง การศึกษาไทยต้อง ‘พลิกตำรา’ ปรับตัวทางไหนถึงจะรอดและสร้างคนสู้อนาคต? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เด็กนักเรียนไทยใช้แท็บเล็ตเรียนรู้ในห้องเรียนอัจฉริยะ สะท้อนการเปลี่ยนแปลง การศึกษาไทย ยุค AI

ระบบ การศึกษาไทย กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่ออัตราการเกิดของประชากรไทยปี 2567 ลดลงเหลือเพียง 462,240 คน ต่ำกว่าปีก่อนกว่า 50,000 คน สะท้อนแนวโน้มเดียวกับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ที่ต้องเผชิญกับ ‘สังคมผู้สูงอายุ’

 

ความท้าทายนี้ผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการต้องเร่งปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาครั้งใหญ่ เพื่อรองรับโลกแห่งอนาคตที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทสำคัญ

 

“แนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นความท้าทายสำคัญของการให้บริการทางการศึกษาทั้งในภาครัฐและเอกชน” พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ระบุ พร้อมขยายความว่า ปัจจุบันมีโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานราว 30,000 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนประมาณ 120 คนต่อแห่งถึง 15,000 แห่ง

 

สิ่งที่ต้องจับตามองคือการศึกษาไทยยุคใหม่กำลังเผชิญ 6 ความท้าทายหลักในปัจจุบัน 

 

ประการแรก รูปแบบการเรียนรู้ไม่จำกัดแค่ในห้องเรียน เนื่องจากการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป โลกปัจจุบันต้องการรูปแบบที่ยืดหยุ่น เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสื่อและเทคโนโลยีหลากหลาย

 

ประการที่สอง บทบาทครูเปลี่ยนจาก ‘ผู้สอน’ เป็น ‘ผู้สนับสนุนการเรียนรู้’ ครูไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้อีกต่อไป แต่ต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกที่สร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง

 

ประการที่สาม เทคโนโลยีและ AI กลายเป็นหัวใจของการเรียนรู้ ด้วยการมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ เครื่องมือดิจิทัล และแพลตฟอร์มออนไลน์ เทคโนโลยีไม่ใช่แค่ ‘ตัวช่วย’ แต่เป็น ‘สื่อกลาง’ สำคัญที่เปิดโอกาสให้เข้าถึงการศึกษาได้เท่าเทียม 

ประการที่สี่ การเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่เด็กนักเรียน แต่ทุกคนต้องเป็น ‘นักเรียนตลอดชีวิต’ แม้จะทำงานแล้วก็ยังต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา 

 

ประการที่ห้า ภาษาต่างประเทศและทักษะชีวิตสำคัญไม่แพ้ปริญญา ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้แต่สเปน กำลังกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสื่อสารและทำงานในโลกยุคใหม่

 

ประการสุดท้าย สิ่งแวดล้อม จริยธรรม และ ‘กรีนเอดูเคชัน’ ต้องมาคู่กัน การศึกษาไม่ได้เน้นแค่ความทันสมัย แต่ยังต้องปลูกฝังเรื่องจริยธรรมและการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม 

 

พิเชฐกล่าวว่า “แนวทางเหล่านี้จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการในระบบการศึกษาของคนรุ่นใหม่ที่อาจมองว่าไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญา แต่จะต้องมีทักษะที่จำเป็นในการทำงานในอนาคต”

 

ทำให้กระทรวงศึกษาธิการ ผลักดันแนวทาง Happy Learning เพื่อลดภาระของครูและนักเรียน และเพิ่มความสุขในการเรียนรู้ โดยเน้นการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เท่าเทียม และหลากหลาย

 

  • ลดภาระที่ไม่จำเป็น ให้ครูมีเวลาสอนมากขึ้น นักเรียนมีเวลาคิดมากขึ้น
  • เรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
  • ใช้ AI เสริมการสอนภาษา เช่น การใช้ระบบสอนภาษาอังกฤษหรือจีนแบบโต้ตอบได้ ช่วยให้โรงเรียนที่ไม่มีครูเฉพาะทางยังสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้

 

รวมถึงเตรียมผลักดันการเรียนภาษาสเปนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการเรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ด้วยความร่วมมือจากประเทศต้นทาง ทั้งการส่งครูสอนภาษาเข้ามาและการจัดโปรแกรมเรียนรู้ร่วมกัน

 

ขณะที่ ฮันส์ สโตเตอร์ กรรมการผู้จัดการประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ของ Messe Stuttgart มองว่า ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ระบบการศึกษาไม่สามารถยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิมได้อีกต่อไปห้องเรียนอัจฉริยะและปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้และสร้างความเท่าเทียมในการศึกษา

 

ดังนั้นเพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับอนาคต จึงจะมีการจัดงาน didacta asia 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยในปีนี้จะขยายพื้นที่จัดงานให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้จัดแสดงสินค้า และผู้เข้าชมงานกว่า 4,000 ราย 

 

ภาพ: Meepian Graphic / Shutterstock

The post เด็กเกิดน้อยลงทุกวัน สวนทาง AI ครองเมือง การศึกษาไทยต้อง ‘พลิกตำรา’ ปรับตัวทางไหนถึงจะรอดและสร้างคนสู้อนาคต? appeared first on THE STANDARD.

]]>
EU จัดไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำด้านการตัดไม้ทำลายป่า หนุนโอกาสส่งออก ‘ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน’ สู่ตลาดยุโรป https://thestandard.co/market-focus-eu-thailand-deforestation/ Sun, 01 Jun 2025 07:23:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1081044

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2025 สหภาพยุโรป (EU) จัดให้ไทยอย […]

The post EU จัดไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำด้านการตัดไม้ทำลายป่า หนุนโอกาสส่งออก ‘ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน’ สู่ตลาดยุโรป appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2025 สหภาพยุโรป (EU) จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่ม ‘เสี่ยงต่ำ’ จากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ตามกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation – EUDR) ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในปลายปีนี้กับธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ใน EU 

 

โดยกฎหมายนี้กำหนดให้การนำเข้าสินค้า ได้แก่ ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์แปรรูป, โกโก้, ปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์แปรรูป, ไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป, กาแฟ, ยางพาราและผลิตภัณฑ์แปรรูป และวัวและผลิตภัณฑ์แปรรูป เข้ามาในตลาด EU ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ต้องผลิตอย่างถูกกฎหมาย และผ่านกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Due Diligence) ใน 3 ขั้นตอน ทั้งการ 1) เก็บข้อมูล 2) ประเมินความเสี่ยง และ 3) ลดความเสี่ยง 

 

 

โดยหากไม่ปฏิบัติตาม ผู้นำเข้ามีสิทธิถูกปรับสูงสุด 4% ของมูลค่ายอดขายของบริษัทใน EU ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะถูกกีดกันไม่ให้รับงานประมูลและเงินสนับสนุนจากภาครัฐด้วย

 

ซึ่งการที่ไทยได้รับสถานะเสี่ยงต่ำนับเป็นข่าวดี ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่แวดล้อมด้วยสถานการณ์เลวร้าย เนื่องจากผู้นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยไปยัง EU จะได้รับ ‘สิทธิพิเศษ’ ในการไม่ต้องดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 ประเมินความเสี่ยง และขั้นตอนที่ 3 ลดความเสี่ยงในกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและมีต้นทุนสูง 

 

ดังนั้นการที่ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าจากไทยต่ำกว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศที่มีระดับความเสี่ยงปกติและสูง ที่ต้องดำเนินการกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับครบทั้ง 3 ขั้นตอน 

 

 

สถานะ ‘ประเทศเสี่ยงต่ำ’ ช่วยให้ไทยได้เปรียบด้านต้นทุนและเพิ่มโอกาสทางการค้าในตลาด EU เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติและเสี่ยงสูง โดยในปี 2024 ไทยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้า EUDR อันดับ 15 ของ EU (ไม่นับรวมประเทศในกลุ่ม EU) ที่มีมูลค่านำเข้า 2,041 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.5% ของการนำเข้าสินค้า EUDR ทั้งหมดจากนอกกลุ่ม EU ซึ่งยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพาราเป็นสินค้า EUDR หลักที่ไทยส่งไป EU โดยเมื่อพิจารณา 15 ประเทศคู่ค้าสินค้า EUDR หลักของ EU จะพบว่า 10 ประเทศ เช่น ไทย, จีน และเวียดนาม อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ ขณะที่อีก 5 ประเทศ เช่น บราซิล, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติ สะท้อนถึงโอกาสที่ไทยสามารถขยายตลาดได้จากการเปลี่ยนแหล่งนำเข้าของ EU เพื่อลดต้นทุนการนำเข้า 

 

 

SCB EIC ประเมินว่า ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม ‘เสี่ยงต่ำ’ มีโอกาสขยายการส่งออกสินค้า EUDR ทดแทนประเทศเสี่ยงปกติและเสี่ยงสูง ที่ปัจจุบันมีมูลค่าส่งออกไปยัง EU ราว 39,586 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้นำเข้าใน EU ที่ต้องการลดต้นทุนจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR มีแนวโน้มเปลี่ยนแหล่งนำเข้าสู่ประเทศเสี่ยงต่ำ ซึ่งไม่ต้องดำเนินการประเมินและลดความเสี่ยงเพิ่มเติม 

 

โดยเมื่อพิจารณาจากประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าสินค้า EUDR มากที่สุด 15 อันดับแรก และถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติหรือสูง จะพบว่า EU มีมูลค่านำเข้ารวมจากกลุ่มประเทศดังกล่าว แยกเป็นรายกลุ่มสินค้าภายใต้ EUDR และเรียงลำดับจากมูลค่ามากไปหาน้อย ดังนี้

 

  1. ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์แปรรูป 10,175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
  2. โกโก้ 7,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
  3. ปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์แปรรูป 5,995 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
  4. ไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป 5,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
  5. กาแฟ 5,802 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
  6. ยางพาราและผลิตภัณฑ์แปรรูป 2,657 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
  7. วัวและผลิตภัณฑ์แปรรูป 1,465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

 

นอกจากนี้ ประเทศเสี่ยงต่ำยังมีโอกาสเพิ่มการส่งออกทางอ้อมจากการเป็นแหล่งวัตถุดิบให้ผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานที่ส่งสินค้าไปยัง EU

 

ยางพาราและน้ำมันปาล์มเป็นสองสินค้าเกษตรหลักของไทยที่มีศักยภาพสูงในการขยายตลาดสู่ EU ภายใต้กฎหมาย EUDR โดยไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก ซึ่งในปี 2024 EU นำเข้ายางพาราจากโกตดิวัวร์, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย รวมกันกว่า 680,000 ตัน หรือมากกว่าที่นำเข้าจากไทยถึง 2.3 เท่า ผู้นำเข้า EU จึงมีแนวโน้มหันมานำเข้าจากไทยมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาระด้านกฎระเบียบ 

 

นอกจากนี้ ไทยยังจะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการที่จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตยางล้อรายใหญ่และส่งออกไปยัง EU จำนวนมาก ก็มีแนวโน้มหันมานำเข้ายางพาราจากไทยเพิ่มขึ้นเพื่อลดต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ EUDR 

 

สำหรับน้ำมันปาล์ม แม้ปัจจุบันไทยจะยังมีการส่งออกไป EU ไม่มาก แต่ก็เป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติ และต้องเผชิญข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่าไทย โดยในปี 2024 EU นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบและบริสุทธิ์จากสองประเทศนี้รวมกันกว่า 2.4 ล้านตัน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ไทยมีโอกาสเจาะเพิ่มได้ 

 

 

อย่างไรก็ตาม โอกาสของสินค้าเกษตรไทยในกลุ่มอื่น เช่น ถั่วเหลือง โกโก้ กาแฟ และวัว ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากปริมาณผลผลิตยังไม่เพียงพอที่จะทดแทนประเทศคู่แข่งในกลุ่มเสี่ยงปานกลางและสูงได้ในระยะสั้น

 

อย่างไรก็ตาม โอกาสนี้จะเป็น ‘ความได้เปรียบชั่วคราว’ หากไทยไม่สามารถรักษาความน่าเชื่อถือในห่วงโซ่การผลิต และมาตรฐานด้านความโปร่งใสได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผู้นำเข้าจากไทยจะได้รับการยกเว้นจากขั้นตอนการประเมินและลดความเสี่ยง แต่ยังต้องรวบรวมข้อมูลจำนวนมากในขั้นตอนที่ 1 ของ Due Diligence เช่น พิกัดแหล่งผลิตและหลักฐานความถูกต้องของการใช้ที่ดิน 

 

ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องพัฒนาระบบเก็บข้อมูลและตรวจสอบย้อนกลับให้พร้อมส่งต่อให้ผู้นำเข้า ซึ่งปัจจุบันมีบางรายเริ่มปรับตัวแล้ว เช่น โครงการ ‘ยางมีพิกัด’ ของกลุ่มศรีตรัง ที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มายางพาราได้ 100% ภาครัฐเองก็มีความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมรองรับ EUDR หลายด้าน เช่น การจัดทำแผนที่เกษตรกรรมและพื้นที่ป่าไม้ที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของ EU การเชื่อมโยงข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์ของเกษตรกรกับระบบของเอกชน ซึ่งต้องเร่งให้แล้วเสร็จก่อนการบังคับใช้กฎหมายในปลายปีนี้ ในระยะยาว ภาครัฐควรเร่งยกระดับศักยภาพสินค้า EUDR ที่ไทยยังผลิตได้น้อย เช่น กาแฟ และโกโก้ ซึ่งเป็นสินค้าที่ตลาดโลกต้องการและมีมูลค่าสูง ผ่านการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเชื่อมโยงเกษตรกรกับตลาดโลก พร้อมทั้งต้องติดตามสถานะความเสี่ยงของไทยในระบบของ EU อย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการอนุรักษ์ป่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสถานะ ‘ประเทศเสี่ยงต่ำ’ ไว้ให้ได้ในระยะยาว โดย EU มีกำหนดทบทวนระดับความเสี่ยงของประเทศต่างๆ ครั้งแรกในปี 2026

 

EUDR จึงไม่ใช่เพียงกฎหมายสิ่งแวดล้อมของยุโรป แต่เป็นจุดเปลี่ยนของระบบการค้าสินค้าเกษตรโลก และเป็น ‘บททดสอบ’ สำคัญว่า ประเทศใดจะสามารถยืนหยัดในห่วงโซ่การค้ายั่งยืนที่มีมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้ในอนาคต และไทยต้องไม่พลาดโอกาสครั้งนี้

The post EU จัดไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำด้านการตัดไม้ทำลายป่า หนุนโอกาสส่งออก ‘ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน’ สู่ตลาดยุโรป appeared first on THE STANDARD.

]]>
Trump ประกาศกร้าว! สหรัฐฯ ดับเบิลภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม เป็น 50% ดีเดย์พุธนี้ อ้างอุ้มอุตสาหกรรมในบ้าน https://thestandard.co/trump-raises-us-steel-tariff-to-50-percent/ Sat, 31 May 2025 09:18:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1080719 Donald Trump ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมระหว่างการปราศรัยที่รัฐเพนซิลเวเนีย

ประธานาธิบดี Donald Trump แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบาย […]

The post Trump ประกาศกร้าว! สหรัฐฯ ดับเบิลภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม เป็น 50% ดีเดย์พุธนี้ อ้างอุ้มอุตสาหกรรมในบ้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Donald Trump ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมระหว่างการปราศรัยที่รัฐเพนซิลเวเนีย

ประธานาธิบดี Donald Trump แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบาย ‘เอาจริง’ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมอีกเท่าตัว จากเดิม 25% เป็น 50% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันพุธที่จะถึงนี้ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการเพิ่มแรงกดดันอย่างหนักต่อผู้ผลิตเหล็กทั่วโลก และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้สงครามการค้าที่คุกรุ่นอยู่แล้วยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกขั้น

 

Trump ประกาศข่าวนี้ระหว่างการปราศรัยที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯ โดยเขาย้ำว่า “เราจะขึ้นภาษีอีก 25% ทำให้จาก 25% เป็น 50% สำหรับเหล็กที่เข้ามาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วย ‘ปกป้องอุตสาหกรรม’ เหล็กในประเทศของเราให้มั่นคงยิ่งขึ้น”

 

เขายังเชื่อมโยงมาตรการนี้เข้ากับข้อตกลงมูลค่า 1.49 หมื่นล้านดอลลาร์ระหว่าง Nippon Steel ของญี่ปุ่น และ U.S. Steel ว่าจะช่วยรักษาตำแหน่งงานให้คนงานเหล็กในสหรัฐฯ พร้อมประกาศข่าวดีว่าคนงานเหล็กทุกคนใน U.S. Steel จะได้รับโบนัสพิเศษคนละ 5 พันดอลลาร์ในเร็วๆ นี้

 

ปฏิกิริยาจากนานาชาติ ‘ดุเดือด’

 

สภาหอการค้าแคนาดาออกแถลงการณ์ประณามการขึ้นภาษีนี้ทันที โดย Candace Laing ประธานสภาฯ ระบุว่า “การทำลายระบบการค้าข้ามชายแดนที่ดำเนินการมาอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในธุรกิจเหล็กและอะลูมิเนียม จะส่งผลเสียหายอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ”

 

ด้านรัฐบาลออสเตรเลียก็ออกมาประณามเช่นกัน โดย Don Farrell รัฐมนตรีการค้า กล่าวว่าการกระทำนี้ไม่มีเหตุผลอันควรและไม่ใช่การกระทำของมิตร และ”เป็นการทำร้ายเศรษฐกิจตัวเอง และจะส่งผลเสียต่อทั้งผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาการค้าที่เป็นธรรม”

 

ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาถือเป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก (ไม่รวมสหภาพยุโรป) โดยในปี 2024 มีการนำเข้าเหล็กถึง 26.2 ล้านตัน ดังนั้นการขึ้นภาษีครั้งใหม่นี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาเหล็กในตลาดโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภคในวงกว้าง

 

ข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ระบุว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าใน 289 ประเภทที่ได้รับผลกระทบจากภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในปี 2024 สูงถึง 1.473 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบสองในสามเป็นอะลูมิเนียม และหนึ่งในสามเป็นเหล็ก

 

ทางด้าน JoJo Burgess สมาชิกสหภาพแรงงาน United Steelworkers ซึ่งเข้าร่วมฟังการปราศรัยของ Trump กลับแสดงความเห็นในเชิงบวก โดยหวังว่าข้อตกลงกับ Nippon Steel จะช่วย ‘ปูทางความเสมอภาค’ ให้กับอุตสาหกรรมการผลิตของอเมริกาและสร้างคนงานเหล็กรุ่นใหม่ในพื้นที่

 

การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการภายใต้อำนาจตามมาตรา 232 ด้านความมั่นคงแห่งชาติ ครอบคลุมทั้งโลหะดิบและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องหลากหลายประเภท ตั้งแต่อ่างล้างจานสเตนเลสไปจนถึงบานพับประตูเหล็ก

 

ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images

อ้างอิง:

The post Trump ประกาศกร้าว! สหรัฐฯ ดับเบิลภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม เป็น 50% ดีเดย์พุธนี้ อ้างอุ้มอุตสาหกรรมในบ้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจ้าสัวธนินท์แห่ง CP วิเคราะห์ ภาษีทรัมป์ ‘ไม่สะเทือน’ อาเซียนเท่าจีน ชี้ ‘ญี่ปุ่น’ อาจพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทอง https://thestandard.co/trump-tariff-impact-asean-cp-analysis/ Sat, 31 May 2025 08:23:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1080722 เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือ CP พูดปาฐกถาที่งาน Future of Asia

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ […]

The post เจ้าสัวธนินท์แห่ง CP วิเคราะห์ ภาษีทรัมป์ ‘ไม่สะเทือน’ อาเซียนเท่าจีน ชี้ ‘ญี่ปุ่น’ อาจพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือ CP พูดปาฐกถาที่งาน Future of Asia

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ยักษ์ใหญ่ของไทย แสดงทรรศนะต่อสถานการณ์การค้าโลกว่า แม้กลุ่มประเทศอาเซียนจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกำแพงภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบที่ ‘ใหญ่หลวงนัก’ ขณะเดียวกันก็ชี้ว่าผู้ผลิตจีนจะได้รับผลกระทบเต็มๆ จากมาตรการกีดกันทางการค้านี้ แต่กลับมองว่านี่อาจเป็นโอกาสทองของญี่ปุ่น

 

ในการปาฐกถาพิเศษในการประชุมประจำปี Future of Asia ของ Nikkei ณ กรุงโตเกียว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าสัวธนินท์วิเคราะห์ว่า ญี่ปุ่นอาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เนื่องจากประสบการณ์ยาวนานในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ 

 

“ญี่ปุ่นผ่านการเจรจากับสหรัฐฯ มานักต่อนัก” เจ้าสัวธนินท์กล่าว “ดังนั้นผมคิดว่าญี่ปุ่นรู้ดีว่าจะรับมือกับสหรัฐฯ อย่างไร” ซึ่งความ ‘เจนจัดเวทีโลก’ นี้เองที่อาจทำให้ญี่ปุ่นพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้

 

เจ้าสัวธนินท์มองว่าญี่ปุ่น “สามารถใช้โอกาสนี้ในการยกระดับด้านเทคนิคของอุตสาหกรรมไฮเทคของตนเอง” นอกจากนี้ เขายังเห็นโอกาสอีกประการสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเขากล่าวว่า “ญี่ปุ่นสามารถเป็นผู้นำในอาเซียนได้ หากถือว่าตลาดอาเซียนเป็นตลาดของตัวเอง” คำแนะนำนี้เป็นการสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายบทบาทและเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น

 

เจ้าสัว CP ยังได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ความขัดแย้งและสงครามในปัจจุบันว่ากำลังนำพาสังคมโลกไปในทิศทางที่ผิด “เราต้องการทำการค้าโดยไม่ให้พรมแดนมาเป็นอุปสรรค” เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงประโยชน์ของเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) “นั่นคือทิศทางที่โลกควรจะมุ่งหน้าไป…เพื่อให้การค้าดำเนินต่อไปได้ สันติภาพคือ ‘หัวใจสำคัญ’ ที่เราต้องการ”

 

นอกจากประเด็นการค้าและภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นายธนินท์ ซึ่งอาณาจักรธุรกิจเกษตรและค้าปลีก CP เริ่มต้นจากร้านขายเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ยังได้กล่าวถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและการนำมาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง เช่น โดรนพ่นยาฆ่าแมลง และเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรม (Gene Recombination) ซึ่งช่วย ‘พลิกโฉม’ การทำเกษตรแบบดั้งเดิม

 

“เราสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาคเกษตร” เจ้าธนินท์กล่าวปิดท้าย “ภาคเกษตรกรรมมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในปริมาณมหาศาล”

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต / THE STANDARD 

อ้างอิง:

The post เจ้าสัวธนินท์แห่ง CP วิเคราะห์ ภาษีทรัมป์ ‘ไม่สะเทือน’ อาเซียนเท่าจีน ชี้ ‘ญี่ปุ่น’ อาจพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายได้คนไทย ‘โตไม่ทัน’ รายจ่าย ธุรกิจค้าปลีกจ่อเหนื่อย? KResearch คาด ยอดค้าปลีกปีนี้จ่อชะลอ https://thestandard.co/thai-spending-outpaces-income-retail-sector/ Sat, 31 May 2025 07:15:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1080687

KResearch เผยในปี 2567 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนไทยอยู่ที่ 19, […]

The post รายได้คนไทย ‘โตไม่ทัน’ รายจ่าย ธุรกิจค้าปลีกจ่อเหนื่อย? KResearch คาด ยอดค้าปลีกปีนี้จ่อชะลอ appeared first on THE STANDARD.

]]>

KResearch เผยในปี 2567 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนไทยอยู่ที่ 19,319 บาทต่อเดือน ‘สูงกว่า’ ค่าจ้างเฉลี่ยที่ 15,901 บาทต่อเดือน พร้อมเตือน! ภาวะรายได้คนไทย ‘โตไม่ทัน’ รายจ่ายกำลังกดดันยอดค้าปลีกปีนี้ให้ชะลอตัว

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ระบุว่า แม้เงินเฟ้อจะมีแนวโน้มต่ำลง แต่ผู้บริโภคยังเผชิญค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.5% ต่อปี นับว่าสูงกว่าการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มเฉลี่ยเพียง 1.0% ต่อปี โดยค่าครองชีพสูงที่กดดันการใช้จ่ายผู้บริโภคนี้ ทำให้คาดว่า ยอดค้าปลีกปี 2568 จะโตราว 3%

 

โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ในปี 2567 ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 15,901 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ 19,319 บาทต่อเดือน

 

KResearch กล่าวอีกว่า ยอดขายปลีกในไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัว 4.0% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยอดค้าปลีกทั้งปี 2568 คาดว่า จะโตราว 3% เท่านั้น อยู่ที่ 4.25 ล้านล้านบาท จากก่อนหน้านี้ที่เคยโต 3.8% ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูง ทำให้ผู้บริโภคยังคงระวังการใช้จ่าย

 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ กดดันยอดขายและการขยายสาขาใหม่ เช่น

 

  • กำลังซื้อคนในประเทศไม่ฟื้น และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหด
  • การแข่งขันที่รุนแรงโดยเฉพาะแพลตฟอร์มต่างชาติ
  • ต้นทุนการทำธุรกิจยังสูง

 

อ้างอิง:

The post รายได้คนไทย ‘โตไม่ทัน’ รายจ่าย ธุรกิจค้าปลีกจ่อเหนื่อย? KResearch คาด ยอดค้าปลีกปีนี้จ่อชะลอ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘รมช. เผ่าภูมิ’ ยิ้ม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เม.ย. บวก 2.2% พลิกบวกครั้งแรกใน 9 เดือน ยานยนต์บวก 1.3% พลิกบวกครั้งแรกใน 21 เดือน VAT ในประเทศบวก 28 เดือนติด https://thestandard.co/industry-output-up-9-month-high/ Sat, 31 May 2025 06:55:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1080671

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ใ […]

The post ‘รมช. เผ่าภูมิ’ ยิ้ม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เม.ย. บวก 2.2% พลิกบวกครั้งแรกใน 9 เดือน ยานยนต์บวก 1.3% พลิกบวกครั้งแรกใน 21 เดือน VAT ในประเทศบวก 28 เดือนติด appeared first on THE STANDARD.

]]>

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน เม.ย. 68 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน +2.2% พลิกกลับเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 9 เดือน เราเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในภาคการผลิต ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอดในระยะหลัง อย่างไรก็ตามต้องติดตามพัฒนาการนี้อย่างใกล้ชิด

 

นอกจากนั้น อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นสิ่งที่รัฐบาลติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากติดลบหนักมาโดยตลอด แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัว โดยในเดือน เม.ย. 68 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ +1.3% พลิกเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 21 เดือน รถยนต์ส่วนบุคคล +8.8% พลิกเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 12 เดือนเช่นกัน และรถจักรยานยนต์ +14.2% บวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และบวกสูงสุดในรอบ 22 เดือน

 

โดย 5 อุตสาหกรรมที่ส่งผลบวกต่อ MPI เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่

 

  1. อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ร้อยละ +8.0
  2. อุตสาหกรรมยานยนต์ ร้อยละ +1.3
  3. อุตสาหกรรมการผลิตยางและพลาสติก ร้อยละ +2.9
  4. อุตสาหกรรมการผลิตแร่อโลหะ ร้อยละ +7.3
  5. อุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ร้อยละ +10.8

 

ในด้านการบริโภค ยังเห็นสัญญาณบวกต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไม่หักเงินเฟ้อ ที่จัดเก็บในประเทศ +11.0% ขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง 28 เดือน

 

สิ่งที่เราอยากเห็นต่อจากนี้ คือภาคการบริโภคที่ต้องโตต่อเนื่อง และนำไปสู่ภาคการผลิตที่ยังมีปัญหา แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น

The post ‘รมช. เผ่าภูมิ’ ยิ้ม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เม.ย. บวก 2.2% พลิกบวกครั้งแรกใน 9 เดือน ยานยนต์บวก 1.3% พลิกบวกครั้งแรกใน 21 เดือน VAT ในประเทศบวก 28 เดือนติด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดแผนลับ! ทรัมป์อาจใช้กฎหมายเก่า ‘Trade Act of 1974’ เก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุด 15% นาน 150 วัน https://thestandard.co/trump-trade-act-1974/ Fri, 30 May 2025 08:29:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1080378 trump-trade-act-1974

The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าววงในว่า รัฐบาลสหรั […]

The post เปิดแผนลับ! ทรัมป์อาจใช้กฎหมายเก่า ‘Trade Act of 1974’ เก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุด 15% นาน 150 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-trade-act-1974

The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าววงในว่า รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาใช้มาตรการชั่วคราวเพื่อตั้งกำแพงภาษีต่อประเทศต่างๆ เป็นอีกแผน ‘Plan B’ โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติในกฎหมายการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ซึ่งอนุญาตให้เรียกเก็บภาษีศุลกากรได้สูงสุดถึง 15% เป็นเวลา 150 วัน

 

อย่างไรก็ดี ในรายงานระบุว่า รัฐบาลยังไม่ได้ตัดสินใจชี้ขาดในเรื่องนี้ ซึ่งอาจต้องรอศาลตัดสิน หลังจากศาลอุทธรณ์กลางเพิ่งมีคำสั่งให้มาตรการภาษีชุดใหญ่ที่สุดของทรัมป์กลับมามีผลบังคับใช้ได้ต่อไป ซึ่งถือเป็นการพลิกคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่สั่งระงับในช่วงวานนี้

 

ประเด็นภาษีสะเทือนการค้าโลกนี้กำลังกลายเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายภายในของสหรัฐฯ เอง เพราะคำสั่งของแต่ละศาลที่ออกมาห่างกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภาษี ขณะที่นักลงทุนยังจับตาผลการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

สำหรับกฎหมาย Trade Act of 1974 นั้นครอบคลุมตั้งแต่มาตรา 301-310 โดยรวมเรียกว่า ‘มาตรา 301’ ถือเป็นเครื่องมือที่บังคับใช้สิทธิของสหรัฐฯ ตามสัญญาทางการค้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

 

โดยครั้งหนึ่งสหรัฐฯ ได้เปิดสอบสวนสินค้านำเข้าจากจีนภายใต้มาตรา 301 และมาตรา 232 เกี่ยวกับสินค้านำเข้าที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ จนนำไปสู่การตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนเมื่อปี 2018 

 

ภาพ: Jabin Botsford / The Washington Post via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post เปิดแผนลับ! ทรัมป์อาจใช้กฎหมายเก่า ‘Trade Act of 1974’ เก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุด 15% นาน 150 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แม้ทั่วโลกจะเจอความเสี่ยงที่คล้ายกัน แต่ไทยเสี่ยงถูกกระทบรุนแรงกว่า วิจัยกรุงศรีหั่นประมาณการ GDP ไทยปีนี้เหลือ 2.1% https://thestandard.co/thai-gdp-2568-cut-risk-krungsri-research/ Fri, 30 May 2025 07:33:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1080336 กราฟแนวโน้ม GDP ไทยปี 2568 จากรายงานวิจัยกรุงศรี

วิจัยกรุงศรีปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ พร้อมเตือนว […]

The post แม้ทั่วโลกจะเจอความเสี่ยงที่คล้ายกัน แต่ไทยเสี่ยงถูกกระทบรุนแรงกว่า วิจัยกรุงศรีหั่นประมาณการ GDP ไทยปีนี้เหลือ 2.1% appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟแนวโน้ม GDP ไทยปี 2568 จากรายงานวิจัยกรุงศรี

วิจัยกรุงศรีปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ พร้อมเตือนว่า นอกจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ แล้ว ไทยยังมี ‘ความเปราะบาง’ ภายในประเทศ ปัญหาเชิงโครงสร้าง นโยบายเศรษฐกิจเสี่ยงไม่มีประสิทธิผล และภาคท่องเที่ยวเสี่ยงฟื้นช้า โดยปัญหาเหล่านี้อาจกำลังฝังลึกลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

 

วันนี้ (30 พฤษภาคม) ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโต 2.1% ชะลอลงจากคาดการณ์เดิมที่ 2.7%

 

พร้อมทั้งเตือนว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องประสบกับความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีฉากทัศน์ที่หลากหลายและมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงซ้อนจากความเปราะบางภายในประเทศ ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ความไม่แน่นอนของประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ และความล่าช้าของการฟื้นตัวในภาคท่องเที่ยว ปัจจัยดังกล่าวล้วนเพิ่มความเสี่ยงด้านต่ำต่อการเติบโต และอาจเป็นปัญหาที่ฝังลึกลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

 

“แม้ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วโลก แต่เมื่อผนวกกับแรงกดดันภายใน อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบที่รุนแรงกว่าหลายประเทศ ดังนั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องอาศัยความระมัดระวังเชิงนโยบายควบคู่ไปกับการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์” ดร.พิมพ์นารา กล่าว 

 

วิจัยกรุงศรีเผย หั่น GDP ปีนี้จาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

 

  1. ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม

 

  1. แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงเนื่องจากความกังวลของนักท่องเที่ยวจีนต่อสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย

 

  1. ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องอย่างเป็นวงจร (Negative feedback loop) ผ่านความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและลงทุน

 

โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน มาอยู่ที่ 36.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง ตามบริบทของความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 

“ถึงแม้ว่าล่าสุด ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ) ศาลการค้าของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งระงับมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) แต่ยังมีความเสี่ยงที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้อำนาจตามกฎหมายอื่นๆ เพื่อเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม เช่นกฎหมายการค้าปี 1974 มาตรา 122 ที่อาจทำให้ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราไม่เกิน 15% ซึ่งจากความไม่แน่นอนดังกล่าว การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังจึงยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ”

 

ดร.พิมพ์นารา ระบุอีกว่า การคาดการณ์ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ต่อประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่รวมถึงไทย ส่งผลให้การส่งออกทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.0% หลังจากที่เติบโตสูงด้วยอัตราเลขสองหลักในช่วงไตรมาสแรก

 

ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงที่ 2.6% ท่ามกลางแรงกดดันจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง แนวโน้มรายได้ภาคเกษตรที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการฟื้นตัวช้าของภาคท่องเที่ยวที่จะกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ ในด้านการลงทุน 

 

แม้การลงทุนภาครัฐอาจเติบโตถึง 5.8% แต่ยังไม่สามารถเหนี่ยวนำให้การลงทุนภาคเอกชนกลับมาเติบโต (Crowding-In Effect) ได้ ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นช้ากระทบต่อการขยายการลงทุนในภาคบริการ เพิ่มความเสี่ยงที่การลงทุนภาคเอกชนอาจหดตัวต่อเนื่องที่ -0.5%

 

นอกจากนี้ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยลบที่บั่นทอนความเชื่อมั่น และทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน

 

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้ความเสี่ยงของการค้าระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลังขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้

 

วิจัยกรุงศรีระบุว่า ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายสำคัญหลายประการ ได้แก่ 

 

  • นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความเสี่ยงสูง

 

  • ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปราะบาง

 

  • ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านพื้นที่ทางการคลัง

 

  • ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตที่ลดลง ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว

The post แม้ทั่วโลกจะเจอความเสี่ยงที่คล้ายกัน แต่ไทยเสี่ยงถูกกระทบรุนแรงกว่า วิจัยกรุงศรีหั่นประมาณการ GDP ไทยปีนี้เหลือ 2.1% appeared first on THE STANDARD.

]]>
จะเกิดอะไรขึ้นต่อ-ผลกระทบการต่อสู้ในชั้นศาล ปมภาษีทรัมป์ https://thestandard.co/trump-tariffs-next-steps/ Fri, 30 May 2025 04:14:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1080196

ศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) ในนครนิวยอร์ก มีคำสั่งให้ร […]

The post จะเกิดอะไรขึ้นต่อ-ผลกระทบการต่อสู้ในชั้นศาล ปมภาษีทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) ในนครนิวยอร์ก มีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากรต่อทั่วโลก รวมถึงภาษีศุลกากรตอบโต้ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศไปเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่า นโยบายดังกล่าวเป็นการ ‘ใช้อำนาจเกินขอบเขต’ จากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

 

รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มอบอำนาจแก่รัฐสภาในการควบคุมการค้ากับประเทศอื่นๆ และอำนาจนี้ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยอำนาจของประธานาธิบดีในการปกป้องเศรษฐกิจ ขณะที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่อทั่วโลก โดยอ้างกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (IEEPA) ซึ่งศาลมองว่ากฎหมายฉุกเฉินดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิฝ่ายเดียวในการกำหนดภาษีศุลกากรกับแทบทุกประเทศทั่วโลก

 

ก่อนที่ทีมบริหารของทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์ โดยทรัมป์ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก และรัฐบาลก็มุ่งมั่นที่จะใช้ทุกอำนาจของฝ่ายบริหารเพื่อแก้ไขวิกฤตนี้และฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ของอเมริกา

 

ต่อมาศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯ ได้สั่งระงับคำตัดสินของศาลการค้า พร้อมคุ้มครองนโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ชั่วคราว ซึ่งทั้งสองคำตัดสินเกิดขึ้นต่อเนื่องกันภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง สร้างความโกลาหลเพิ่มเติมให้กับนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์

 

จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

 

อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า ขณะนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ชายแดน ภาษีนำเข้ายังคงต้องชำระเช่นเดิม เรื่องนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์ก่อน และหากผลอุทธรณ์สำเร็จ CBP จึงจะออกคำแนะนำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม

 

หนทางยังอีกยาวไกล และศาลในระดับสูงกว่าอาจมีแนวโน้มเอื้อประโยชน์ต่อทรัมป์มากกว่า แต่ถ้าหากศาลทั้งหมดสนับสนุนคำตัดสินนี้ ธุรกิจที่เคยจ่ายภาษีนำเข้าจะได้รับเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)

 

อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CBP ยังให้รายละเอียดว่า กฎหมายที่ทรัมป์ใช้เป็นข้ออ้างในการเก็บภาษีตอบโต้ (IEEPA) เป็นกฎหมายที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจากยุค 1970 ซึ่งถูกนำกลับมาใช้ในปี 2019 เพื่อรองรับการเก็บภาษีกับเม็กซิโก ขณะที่ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายอีกฉบับ (Section 232) จะไม่ได้รับผลกระทบจากคำตัดสินในวันนี้

 

ขณะนี้บรรดาสหภาพยุโรป จีน และอีกหลายประเทศต่างกำลังเร่งหาทางทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ให้ทันก่อนถึงเส้นตาย 8 กรกฎาคมนี้ คำถามสำคัญคือ พวกเขายังจำเป็นต้องเร่งรีบเช่นนั้นต่อไปหรือไม่ หรือแม้แต่ต้องดำเนินการต่อไปหรือเปล่า บทวิเคราะห์ใน BBC มองว่า ไม่ว่าสุดท้ายแล้วศาลจะตัดสินอย่างไรเกี่ยวกับความชอบธรรมในการประกาศใช้นโยบายการขึ้นภาษี ทรัมป์ก็ยังคงจะเดินหน้าต่อสู้ในประเด็นนี้ต่อไป จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะหา ‘ช่องทางอื่น’ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เขาต้องการในระบบการค้าระหว่างประเทศ

 

หัวหน้าคณะเจรจาการค้าของอินเดียกับสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ว่า การเจรจา “ดำเนินไปได้ด้วยดี” ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาและประเทศอื่นๆ จะยังคงต้องพยายามหาทางเจรจาแก้ไขความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ต่อไป

 

ส่วนฉากทัศน์ที่ว่า ทรัมป์จะหาทางลงและยอมถอยเกี่ยวกับนโยบายภาษีนี้ ยังเป็นแนวทางที่เป็นไปได้ ‘น้อยที่สุด’ โดยในหนังสือ The Art of the Deal ทรัมป์ระบุชัดเจนว่าเขาเชื่อว่า “คุณควรต่อสู้ในทุกการเจรจาจนถึงที่สุด” และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งชี้ว่า เขาจะยอมถอยในเร็วๆ นี้

 

มุมมองผู้เชี่ยวชาญของไทย

 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) แสดงความเห็นผ่านเพจ Facebook เกี่ยวกับคำพิพากษาของศาล CIT ว่าเป็น ‘เบรกมือฉุกเฉิน’ ที่สำคัญต่อการใช้อำนาจฝ่ายบริหารในนโยบายการค้า เนื่องจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศไม่ควรเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์หรือกลยุทธ์การเมืองในแต่ละช่วงเวลา หากศาลไม่ยับยั้งคำสั่งเหล่านี้ไว้ เราอาจเห็นการใช้คำว่า ‘ภัยคุกคาม’ เป็นข้ออ้างเพื่อออกภาษีทุกครั้งที่มีปัญหาทางการทูต และที่สำคัญวันนี้ยังไม่มีประเทศไหนลงนามรับเงื่อนไขภาษีเหล่านี้อย่างถาวร

 

หลังจากที่ศาลอุทธรณ์สั่งชะลอคำตัดสินของศาล CIT โดยเปิดทางให้กลับมาเก็บภาษีต่อได้ชั่วคราว ระหว่างรอผลอุทธรณ์ ฝ่ายทีมบริหารของทรัมป์ก็ระบุว่า ถ้าไม่ชนะจะเดินหน้ายื่นเรื่องต่อศาลฎีกาต่อ พร้อมหาช่องทางอื่นมารองรับแทน เพื่อไม่ให้คำตัดสินนี้ล้มระบบภาษีนำเข้าทั้งหมด โดย ดร.พิพัฒน์ มองว่า บรรยากาศคือระเบิดเวลาแบบ ‘วันปลดแอก’ (Liberation Day) จริงๆ ซึ่งเกี่ยวพันทั้งมิติการเมือง กฎหมายและเศรษฐกิจโลกในเวลาเดียวกัน

 

ทางด้าน ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แสดงความเห็นผ่านเพจ Facebook ถึงผลกระทบระยะสั้นว่า ภาษีนำเข้าชุดใหญ่ของทรัมป์ จะยังมีผลบังคับใช้ต่อไปชั่วคราว และเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหาร ‘ยื้อเวลา’ พร้อมพิจารณาใช้กฎหมายอื่นแทน IEEPA

 

คำถามสำคัญคือ แล้วรัฐบาลสหรัฐฯ อาจทำอะไรต่อ? ดร.สันติธาร ระบุว่า หลังจากอ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ เข้าใจว่าต่อให้สมมติว่า สุดท้ายการอ้างกฎหมาย IEEPA ถูกตีตกไป แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยังสามารถใช้อำนาจภายใต้กฎหมายอื่น เพื่อเดินหน้ายุทธศาสตร์ภาษีได้ เช่น

 

1. มาตรา 122 (Trade Act of 1974)

  • สามารถใช้ได้ทันที ไม่ต้องสอบสวน
  • เก็บภาษีได้สูงสุด 15% เป็นเวลา 150 วัน
  • ต้องขออนุมัติรัฐสภาหากต้องการต่ออายุ
  • คาดว่าอาจใช้แทนภาษี 10% ที่ถูกระงับ

 

2. มาตรา 301 (Trade Act of 1974)

  • ใช้ตอบโต้ ‘การค้าที่ไม่เป็นธรรม’ เช่น การอุดหนุน หรือขโมยเทคโนโลยี
  • ไม่มีเพดานหรือข้อจำกัดด้านเวลา แต่ต้องผ่านการสอบสวนก่อน
  • เหมาะกับการเจาะเป้าหมายประเทศคู่ค้ารายใหญ่

 

3. มาตรา 232 (Trade Expansion Act of 1962)

  • ใช้เหตุผลด้าน ‘ความมั่นคงแห่งชาติ’
  • เคยใช้กับเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ อาจขยายสู่ยาหรืออิเล็กทรอนิกส์ หรือกว้างกว่านั้น

 

4. มาตรา 338 (Tariff Act of 1930)

  • อนุญาตให้เก็บภาษีสูงสุด 50% หากประเทศนั้นเลือกปฏิบัติต่อสหรัฐฯ
  • ยังไม่เคยมีรัฐบาลใดใช้มาก่อน

 

ดร.สันติธาร ระบุว่า แม้จะเสียหมาก IEEPA จากศาลชั้นต้น แต่คำสั่งศาลอุทธรณ์ล่าสุดทำให้รัฐบาลทรัมป์ยังคงเดินหน้าต่อได้ เช่น ในระยะสั้น อาจใช้มาตรา 122 ออกภาษีใหม่ทันที ขณะที่ในระยะยาว อาจเปิดแนวรบใหม่ผ่านมาตรา 301 และ 232 เพื่อสร้าง ‘ระบบภาษีถาวร ที่เจาะลึกและรัดกุมกว่าเดิม

 

สิ่งที่แน่นอนคือ ‘ความไม่แน่นอน’ ที่เกิดขึ้นจากที่ไกลตัว แต่ดันมีผลกระทบใกล้ตัวมาก ดังนั้น คน ธุรกิจ และประเทศต้องเตรียมรับมืออยู่เสมอ สงครามการค้าอาจเปลี่ยนรูปแบบต้องใช้กระบวนท่ายากและซับซ้อนขึ้น ‘แต่ยังไม่จบแน่นอน’ คงต้องตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะหนึ่งในคำถามสำคัญคือ หากเขาไม่ได้มี ‘กระสุนกีดกันการค้า’ แบบไม่จำกัดแบบเดิมแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ จะเลือกใช้กับประเทศไหนบ้าง อุตสาหกรรมใดบ้าง และประเทศไทยอยู่ตรงไหนในเรดาร์

 

แฟ้มภาพ: Win McNamee / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post จะเกิดอะไรขึ้นต่อ-ผลกระทบการต่อสู้ในชั้นศาล ปมภาษีทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ป่วนค้าโลก ขู่รีดภาษีใครบ้างก่อนศาลสั่งเบรก เจ้าตัวไม่ถอย ยื่นอุทธรณ์! ‘ไทยยูเนี่ยน-เดลต้า’ จับตากระทบครึ่งปีหลัง https://thestandard.co/trump-trade-tariff-courts-delta-thai-union/ Thu, 29 May 2025 13:20:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1080125 ทรัมป์ป่วนค้าโลก

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าส […]

The post ทรัมป์ป่วนค้าโลก ขู่รีดภาษีใครบ้างก่อนศาลสั่งเบรก เจ้าตัวไม่ถอย ยื่นอุทธรณ์! ‘ไทยยูเนี่ยน-เดลต้า’ จับตากระทบครึ่งปีหลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ป่วนค้าโลก

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการ โดยให้เหตุผลว่าภาษีเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการผลิตของสหรัฐฯ และจ้างงานคนในประเทศ 

 

ทรัมป์ต้องการลดช่องว่างระหว่างมูลค่าของสินค้าที่สหรัฐฯ ซื้อจากประเทศอื่น และสินค้าที่ขายให้กับประเทศเหล่านั้น และอ้างว่าอเมริกาถูก ‘คนโกง’ และ ‘ปล้นสะดม’ โดยชาวต่างชาติมานาน

 

แต่นับจากคำประกาศก็ทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน และอาจทำให้สินค้าของผู้บริโภคในสหรัฐฯ มีราคาแพงขึ้นเสียเอง

 

มีเพียงสหราชอาณาจักรที่บรรลุข้อตกลงเรื่องภาษีนำเข้า ส่วนประเทศอื่นๆ ก็หวังว่าจะบรรลุข้อตกลงกับทำเนียบขาวได้ในเร็ววัน

 

ทว่าก่อนที่จะครบกำหนดที่ทรัมป์ยืด 90 วัน ล่าสุด วันนี้ (29 พ.ค.) ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) มีคำตัดสินว่า มาตรการกำแพงภาษีทั่วโลก (Global Tariff) ส่วนใหญ่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำนั้นขัดต่อกฎหมาย

 

แม้ผลกระทบโดยตรงของคำตัดสินของศาลยังไม่ชัดเจน แต่ทำเนียบขาวได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว

 

กว่า 2 เดือน นับจากวันปลดแอก 2 เม.ย. ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษี ใครบ้างที่โดนหางเลข?

 

สหภาพยุโรป (EU)

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่าจะให้ขึ้นภาษี 50% สำหรับสินค้าทั้งหมดจากสหภาพยุโรปที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ

 

ในตอนแรกเขาเสนอให้ขึ้นภาษี 20% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของสหภาพยุโรป แต่ได้ลดลงเหลือ 10% จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม เพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจา โดยเขียนในโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า “การหารือกับสหภาพยุโรปไม่ได้ผลอะไรเลย!” ดังนั้น ภาษีใหม่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน”

 

แต่วันถัดมา ทรัมป์ระบุว่าเพิ่งได้รับแจ้งว่า EU ติดต่อมาเพื่อเร่งกำหนดวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดี และหวังว่าพวกเขาจะยอมเปิดตลาดให้กับสหรัฐอเมริกาในที่สุด เหมือนกับที่เขาเรียกร้องจากจีน ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า EU มีท่าที “ดึงเกม” ในการเจรจากับทำเนียบขาวเรื่องข้อตกลงการค้าอย่างมาก

 

จีน

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ และจีนได้เพิ่มภาษีศุลกากรอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่ปัจจุบันได้บรรลุข้อตกลงในการลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ

 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

 

หลังจากวันที่ 2 เมษายน ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ แต่บางประเทศ รวมถึงจีน ก็ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า ในวันนั้นจีนตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ และการเพิ่มภาษีดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 145% เมื่อวันที่ 9 เมษายน และจีนจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางส่วน 125%

 

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ และจีนได้ ‘พักรบ’ ภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมด ยกเว้น 10% ในช่วงที่ชะลอออกไป 90 วัน 

 

มาตรการดังกล่าวจะทำให้สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลงเหลือ 30% ขณะที่จีนลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 10%

 

แคนาดาและเม็กซิโก

แคนาดาและเม็กซิโกก็ตกเป็นเป้าหมายของทรัมป์มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เช่นกัน เมื่อเขาประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากทั้งสองประเทศ 25% และเก็บภาษีพลังงานของแคนาดา 10% แต่ทรัมป์ก็ ‘กลับลำ’ เลื่อนและยกเว้นภาษีหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งแคนาดาจึงประกาศเก็บภาษี 25% สำหรับรถยนต์บางรุ่นที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 9 เมษายน

 

เหล็กและอะลูมิเนียม

ภาษีนำเข้า 25% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมดที่เข้าสู่สหรัฐฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะเหล่านี้ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม

 

รถยนต์

ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน รถยนต์ที่ผลิตในต่างประเทศถูกเรียกเก็บภาษี 25% ซึ่งขยายเวลาให้ครอบคลุมถึงเครื่องยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ ที่นำเข้ามาตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม

 

สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์

วันที่ 12 เมษายน มีการประกาศยกเว้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภทจากจีนและที่อื่นๆ รวมถึงสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ แต่ในเวลาต่อมาทรัมป์เตือนว่าสัมปทานดังกล่าวอาจหมดลง

 

ส่งผลให้เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ‘ขั้นต่ำ’ สำหรับ iPhone ของ Apple ที่ไม่ได้ผลิตในอเมริกา

 

ภาพยนตร์

วันที่ 4 พฤษภาคม ทรัมป์ต้องการเรียกเก็บภาษี 100% สำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของชาวอเมริกัน

 

ระงับวีซ่านักเรียน

วันที่ 28 พฤษภาคม ทรัมป์ออกคำสั่งไปยังสถานทูตและสถานกงสุลทั่วโลกให้ระงับการรับจองคิวสำหรับการยื่นขอวีซ่าของนักศึกษาต่างชาติเป็นการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีการออกระเบียบปฏิบัติสำหรับการตรวจสอบโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่าเรียบร้อยแล้ว

 

คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ อย่าง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งทรัมป์เชื่อว่าเป็นฝ่ายซ้ายเกินไป 

 

สะเทือนหุ้น เศรษฐกิจโลก!

นับตั้งแต่วันประกาศภาษี เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นโลกอย่างมาก ซึ่งบริษัทต่างๆ ขายหุ้นในธุรกิจของตน หลายคนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นในตลาดหุ้น แม้ว่าจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นโดยตรงก็ตาม เนื่องจากผลกระทบต่อเงินบำนาญ การจ้างงานและอัตราดอกเบี้ย

 

มูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโดยปกติถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ก็ลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน

 

ราคาหุ้นตกต่ำลง ส่งผลอย่างไร ทำไมดอลลาร์สหรัฐตกจึงมีความสำคัญ

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปี 2025 อันเป็นผลจากภาษีศุลกากรอีกด้วย

 

โดยคาดว่าสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด และระบุว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้นในปี 2025

 

ขณะที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งครบ 100 วัน กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวลงในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2025 หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสก่อนหน้า

 

ท่ามกลางประธานาธิบดียืนกรานว่านโยบายของเขาได้ผล แต่อีกเสียงที่มีอิทธิพลภายในพรรครีพับลิกันของเขาเองได้เข้าร่วมกับพรรคเดโมแครตฝ่ายค้านและผู้นำต่างประเทศในการโจมตีมาตรการดังกล่าว 

 

เพราะราคาสินค้าที่นำเข้าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต่างๆ ส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นบางส่วนหรือทั้งหมด

 

ผู้ผลิต adidas และ Mattel ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกหลายแห่ง ต่างเห็นตรงกันว่าจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าชาวอเมริกันมากขึ้น

 

จนบริษัทบางแห่งอาจตัดสินใจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศน้อยลง ซึ่งอาจทำให้สินค้าที่มีจำหน่ายมีราคาแพงขึ้น คาดว่าต้นทุนของสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยใช้ส่วนประกอบนำเข้าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

 

ภาษีทรัมป์กระทบ ‘ไทยยูเนี่ยน-เดลต้า’ หวั่นกดดันกำไร

แม้ว่าล่าสุด ศาลการค้าสหรัฐได้สั่งห้าม แต่ดูเหมือนรัฐบาลทรัมป์ ‘ไม่ยอม’ และอาจประวิงเวลา เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อ 

 

Nikkei Asia รายงานว่า สำหรับบริษัทเอกชนไทย อย่าง ‘ไทยยูเนี่ยน’ ผู้ผลิตและส่งออกปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ ได้ปรับลดคาดการณ์รายได้ลง ขณะที่ ‘เดลต้า ประเทศไทย’ ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ก็ห่วงว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นหลังเดือนกรกฎาคม

 

โดยไทยยูเนี่ยน ผู้ผลิตแบรนด์ ‘Chicken of the Sea’ ในสหรัฐฯ ได้ปรับลดเป้าการเติบโตของยอดขายทั้งปี จากเดิมที่คาดไว้ 3-4% เหลือเพียง 1-3% 

 

การปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะส่งผลให้ยอดขายลดลงมากถึงราว 27 ล้านดอลลาร์ หรือราว 900 ล้านบาท บริษัทระบุว่าจะปรับลดการลงทุนปีนี้ลงมากถึง 2,000 ล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสภาพคล่องเงินสด

 

ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน โดย วิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย กล่าวในการแถลงข้อมูลแก่นักลงทุนว่า นโยบายภาษีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป

 

“แม้แนวโน้มความต้องการจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปจนถึงเดือนมิถุนายน จากคำสั่งซื้อช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนที่การชะลอเก็บภาษีเพิ่มเติม ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม หลังจากนั้นหากอัตราภาษีเกิน 15% ลูกค้าจะไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้

 

ภาพ: Demetrius Freeman / The Washington Post via Getty Images

อ้างอิง:

 

The post ทรัมป์ป่วนค้าโลก ขู่รีดภาษีใครบ้างก่อนศาลสั่งเบรก เจ้าตัวไม่ถอย ยื่นอุทธรณ์! ‘ไทยยูเนี่ยน-เดลต้า’ จับตากระทบครึ่งปีหลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>