Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 06 Jan 2025 14:17:13 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ค่าไฟปี 2568 ไทยจ่ายแพงแค่ไหน เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียน https://thestandard.co/thailand-electricity-rates-asean-comparison/ Mon, 06 Jan 2025 14:17:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1027627 ค่าไฟฟ้า

ภาคพลังงานเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ จะเห็นไ […]

The post ค่าไฟปี 2568 ไทยจ่ายแพงแค่ไหน เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าไฟฟ้า

ภาคพลังงานเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ จะเห็นได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พร้อมจะลงทุน Data Center เช่น Google, Microsoft และ AWS ต่างสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า หากจะย้ายฐานการผลิตมาไทย สิ่งแรกที่จะให้ความสำคัญคือ ‘ราคาค่าไฟฟ้า’

 

ปีนี้อานิสงส์จากภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) การแข่งขันภาคอุตสาหกรรมที่นับวันยิ่งสูงขึ้น บวกกับการกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ล้วนมีผลต่อการลงทุน FDI การย้ายฐานผลิตมาไทย ค่าครองชีพที่สูงที่คนไทยแบกรับ ‘ค่าไฟฟ้า’ จึงมักจะเป็นหนึ่งในปัจจัยแรกที่กดดันและวัดฝีมือรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงาน ซึ่งหากแก้ได้ก็จะทำให้ประเทศไทยมีแต้มต่อ 

 

เมื่อเทียบดูแล้ว ค่าไฟฟ้างวดปัจจุบันของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 2.69 บาทต่อหน่วย และอินโดนีเซีย 2.59 บาทต่อหน่วย 

 

เรียกได้ว่าราคาค่าไฟฟ้าของไทยแพงกว่าคู่แข่งเพื่อนบ้านเกือบ 2-3 เท่า

 

ขณะที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ย้ำชัดว่านโยบายเรือธงด้านพลังงานของรัฐบาลคือลดราคาค่าพลังงาน จะเร่งปรับโครงสร้างราคาพลังงานควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำ ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน

 

กระทั่งล่าสุด ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยที่จังหวัดเชียงรายวานนี้ (5 มกราคม) ว่า “เรื่องไฟฟ้า ปีนี้ค่าไฟฟ้าจะต้องลงไปอยู่ที่เลข 3 ไม่ใช่เลข 4 ใจอยากให้เหลือหน่วยละ 3.50 บาท แต่คงได้แค่ 3.70 บาท กำลังให้เขา (กระทรวงพลังงาน) ช่วยทุบอยู่ ปีนี้ค่าไฟลงแน่ เห็นตัวเลขแล้วทุบได้ ต่อไปค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย ค่ายา จะให้ลง”

 

THE STANDARD WEALTH ชวนสำรวจค่าไฟเปิดศักราช 2568 ราคาค่าไฟไทยอยู่ตรงไหน เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียน 

 

ค่าไฟปี 2568

The post ค่าไฟปี 2568 ไทยจ่ายแพงแค่ไหน เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจไทยครึ่งหลัง ‘เสี่ยงสูง’ แบงก์ชาติห่วงลดดอกเบี้ยก่อนเสี่ยงเสียกระสุน มองคงไว้ ‘ดีกว่า’ https://thestandard.co/thai-economy-risks-2025-interest-rate-concerns/ Mon, 06 Jan 2025 11:30:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1027581

ธปท. มอง เศรษฐกิจไทยครึ่งหลัง ‘เสี่ยงสูง’ ย้ำ อัตราดอกเ […]

The post เศรษฐกิจไทยครึ่งหลัง ‘เสี่ยงสูง’ แบงก์ชาติห่วงลดดอกเบี้ยก่อนเสี่ยงเสียกระสุน มองคงไว้ ‘ดีกว่า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ธปท. มอง เศรษฐกิจไทยครึ่งหลัง ‘เสี่ยงสูง’ ย้ำ อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเหมาะสมกับเศรษฐกิจ ไม่ฉุดและไม่รั้ง ชี้ การลดอัตราดอกเบี้ยมีต้นทุน (Cost) นั่นคือความเสี่ยงที่จะเสียกระสุนหรือ Policy Space ไป ย้ำความจำเป็นที่ ธปท. ต้องดำเนินนโยบายแบบพร้อมรับความเสี่ยงทั้งด้านบวกและลบ (Robust Policy)

 

วันนี้ (6 มกราคม) ในงาน Monetary Policy Forum สักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปีจะเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงขึ้น จากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้น และนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ธปท. ยังไม่ได้รวมเข้าไปในประมาณการเศรษฐกิจพื้นฐาน (Baseline) เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนสูง

 

ทั้งนี้ ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 2.9% โดยการขยายตัวยังมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน กล่าวคือ แรงส่งต่อเนื่องจากภาคท่องเที่ยว อุปสงค์ในประเทศ และการส่งออกที่ได้รับผลดีจากวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี ขณะที่บางอุตสาหกรรมมีพัฒนาการแย่ลง โดยเฉพาะกลุ่มที่เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

 

ย้ำ ต้องยึดหลัก Robust Policy – รักษาพื้นที่ในการดำเนินนโยบาย

 

ด้าน สุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ยืนยันว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ธปท. จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินที่พร้อมรองรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิด ที่อาจเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ที่อาจมีผลมากหรือน้อย หรือที่เรียกว่า Robust Policy

 

พร้อมทั้งอธิบายเป็น 2 ฉากทัศน์ (Scenario) ดังนี้

 

  1. การคงดอกเบี้ยไว้ หากเศรษฐกิจเป็นไปตามกรณีฐาน (ไม่มี Shock รุนแรง) การคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบัน 2.25% ยังสอดคล้องกับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะสั้นและยาว แต่หากเกิดฉากทัศน์ที่ 2 หรือเกิด Shock รุนแรงในครึ่งปีหลัง ธปท. ก็ยังมีพื้นที่ให้สามารถปรับลดดอกเบี้ยได้

 

  1. แต่หาก ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปก่อน ก็จะมีต้นทุน (Cost) นั่นคือการเสีย Policy Space ไป และเสถียรภาพทางการเงินอาจปรับด้อยลงในระยะยาว จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ขณะที่กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ต่อ GDP (Debt Deleveraging) ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในกรณีที่เกิดฉากทัศน์ที่ 2 หรือเกิด Shock รุนแรงในครึ่งปีหลัง การลดดอกเบี้ยอาจเกิดประโยชน์อย่างจำกัด เนื่องจากประสิทธิผลอาจถูกทอนลงในช่วงที่ความไม่แน่นอนยังไม่คลี่คลาย

 

เศรษฐกิจไทยต้องเป็นอย่างไรแบงก์ชาติถึงจะลดดอกเบี้ย

 

เศรษฐกิจไทยต้องเป็นอย่างไรแบงก์ชาติถึงจะลดดอกเบี้ย

 

สักกะภพยืนยันอีกว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังมีจุดยืนที่เปิดกว้าง (Open) กล่าวคือ หากเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และภาวะการเงินปรับเปลี่ยนไปจากที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ กนง. ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย

 

ขณะที่ ปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน กล่าวเสริมว่า “ถ้าเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และต้นตอของการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวข้องกับเครื่องมือนโยบายการเงิน ก็จะสร้างโอกาสให้ กนง. ปรับแนวนโยบายมากขึ้น”

 

นอกจากนี้ปิติกล่าวอีกว่า เสถียรภาพระบบการเงินเป็นอีกกลไกที่ ธปท. เฝ้าระวังว่าตึงตัวเกินไปหรือไม่ กล่าวคือ สถาบันการเงินมีความกังวลมากไปจนทำให้สินเชื่อชะลอตัวมากกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ เนื่องจากภาวะการเงินย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การกู้ยืม และการลงทุน โดยเฉพาะในประเทศที่ธนาคารพาณิชย์มีบทบาทค่อนข้างเยอะ รวมถึงประเทศไทย

The post เศรษฐกิจไทยครึ่งหลัง ‘เสี่ยงสูง’ แบงก์ชาติห่วงลดดอกเบี้ยก่อนเสี่ยงเสียกระสุน มองคงไว้ ‘ดีกว่า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจไทยเสี่ยงมากขึ้น เหตุส่งออกในเอเชียชะลอตัวลงชัดเจนขึ้น https://thestandard.co/thai-economy-risk-exports-slowdown/ Mon, 06 Jan 2025 09:08:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1027534 thai-economy-risk-exports-slowdown

The post เศรษฐกิจไทยเสี่ยงมากขึ้น เหตุส่งออกในเอเชียชะลอตัวลงชัดเจนขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-economy-risk-exports-slowdown

The post เศรษฐกิจไทยเสี่ยงมากขึ้น เหตุส่งออกในเอเชียชะลอตัวลงชัดเจนขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัตราเงินเฟ้อไทยพุ่งสูงสุดรอบ 7 เดือนในเดือนธันวาคม 2567 ส่วนแนวโน้มปี 2568 จ่อเร่งตัวขึ้นจากปีก่อน https://thestandard.co/thailand-inflation-hits-7-month-high-dec-2024/ Mon, 06 Jan 2025 08:49:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1027511 thailand-inflation-hits-7-month-high-dec-2024

อัตราเงินเฟ้อไทยในเดือนธันวาคม 2567 สูงขึ้น 1.23% สูงสุ […]

The post อัตราเงินเฟ้อไทยพุ่งสูงสุดรอบ 7 เดือนในเดือนธันวาคม 2567 ส่วนแนวโน้มปี 2568 จ่อเร่งตัวขึ้นจากปีก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-inflation-hits-7-month-high-dec-2024

อัตราเงินเฟ้อไทยในเดือนธันวาคม 2567 สูงขึ้น 1.23% สูงสุดรอบ 7 เดือน ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง อาหารและเครื่องดื่ม ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อไทยเฉลี่ยทั้งปี 2567 กลับยังอยู่ระดับต่ำที่ 0.40% จับตา ธปท. ส่งจดหมายเปิดผนึก ขณะที่แนวโน้มทั้งปี 2568 กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะเร่งตัวขึ้น โดยจะเคลื่อนไหวระหว่าง 0.3-1.3% (ค่ากลาง 0.8%)

 

วันนี้ (6 มกราคม) พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) สูงขึ้น 1.23%YoY นับเป็นการเพิ่มขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน และเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยปัจจัยสำคัญคือราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีฐาน รวมถึงราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้นจากราคาผลไม้สด 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบเป็นรายเดือนพบว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ลดลง 0.18%MoM เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 

 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว สูงขึ้น 0.79%YoY ชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่สูงขึ้น 0.80%YoY 

 

ส่อง ‘เงินเฟ้อ’ เฉลี่ยทั้งปี 2567 ต่ำสุดรอบ 4 ปี 

 

สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) เฉลี่ยทั้งปี 2567 เทียบกับปี 2566 สูงขึ้น 0.40%AoA โดยมีปัจจัยสำคัญจากราคาอาหารและเครื่องดื่มที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป ผลไม้สด และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม มีสินค้าสำคัญที่ราคาลดลงจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำมันดีเซล

 

โดยระดับดังกล่าวนับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี และต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 1-3%

 

ย้อนดู ‘เงินเฟ้อไทยเฉลี่ย’ ปี 2563-2566

 

  • ปี 2563 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ลดลง 0.85% เนื่องมาจากการลดลงของราคาพลังงานตามราคาพลังงานโลก
  • ปี 2564 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ขยายตัว 1.23% ตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทย และการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 
  • ปี 2565 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ขยายตัว 6.08% จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกปรับตัวสูงขึ้น
  • ปี 2566 ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ขยายตัว 1.23% จากราคาอาหารสดที่สูงขึ้น เนื่องจากเอลนีโญ ส่งผลให้การเพาะปลูกพืชสำคัญบางชนิดต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย

 

จับตา ธปท. ส่งจดหมายเปิดผนึกแจงปมเงินเฟ้อ

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินที่เป็นความตกลงร่วมกันระหว่าง กนง. กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและปี 2567

 

ทั้งนี้ ในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา หรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า เคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ชี้แจงสาเหตุ แนวทางดำเนินการ และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย โดยจะมีจดหมายเปิดผนึกทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย

 

ธปท. ยืนยัน ยังไม่เห็นต้นทุนจากภาวะเงินเฟ้อต่ำมากนัก

 

วันนี้ (6 มกราคม) ปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้านเสถียรภาพการเงิน กล่าวในงาน Monetary Policy Forum โดยระบุว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำช่วงนี้มาจากกลไกการปรับฐาน (Correction) หลังจากก่อนหน้านี้อัตราเงินเฟ้อไทยปรับตัวขึ้นไปถึงเกือบ 8% เมื่อปี 2565

 

พร้อมทั้งมองว่า การเคลื่อนไหวของราคาปัจจุบันในภาพรวมยังคงยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ (Anchored Inflation Expectation) นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อต่ำในช่วงนี้ยังไม่ชัดว่าสร้างต้นทุนอะไรมากนัก ตรงกันข้ามกับภาวะอัตราเงินเฟ้อสูงที่อาจบั่นทอนคาดการณ์เงินเฟ้อได้

 

ทั้งนี้ ในรายงานนโยบายการเงินฉบับล่าสุดในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ธปท. คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ปี 2568 มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ โดยคาดว่าจะขยายตัว 1.1%YoY จากอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกถูกกดดันจากอุปสงค์จีนที่ชะลอตัว

 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ปี 2568 มีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้น 1.0% ตามเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งเอื้อต่อการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการ

 

เปิดแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อปี 2568 ของกระทรวงพาณิชย์

 

ด้านกระทรวงพาณิชย์คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2568 อยู่ที่ช่วง 0.3-1.3% (ค่ากลาง 0.8%) โดยมองว่ามีปัจจัยที่สนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ปรับตัวสูงขึ้นดังนี้ 

  1. เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปี 2567 ทั้งการขยายตัวของการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 
  2. ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2567

 

ขณะที่ปัจจัยที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ประกอบด้วย

  1. ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่าไฟฟ้าและการตรึงราคาก๊าซ LPG
  2. ฐานราคาผักและผลไม้สดปี 2567 อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์เอลนีโญและลานีญา ขณะที่ในปี 2568 คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อราคาไม่มากนัก 
  3. การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศจะส่งผลให้ค่าเช่าบ้านและราคารถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างจำกัด 

The post อัตราเงินเฟ้อไทยพุ่งสูงสุดรอบ 7 เดือนในเดือนธันวาคม 2567 ส่วนแนวโน้มปี 2568 จ่อเร่งตัวขึ้นจากปีก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยเป็น 1 ใน 9 ประเทศที่เข้าร่วมกลุ่ม BRICS เพิ่มเติมอย่างเป็นทางการในวันแรกของปี 2025 https://thestandard.co/thailand-joins-brics-2025/ Sun, 05 Jan 2025 07:59:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1027146 BRICS

ในวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา 9 ประเทศ ได้แก่ เบลารุส, โบล […]

The post ไทยเป็น 1 ใน 9 ประเทศที่เข้าร่วมกลุ่ม BRICS เพิ่มเติมอย่างเป็นทางการในวันแรกของปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
BRICS

ในวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา 9 ประเทศ ได้แก่ เบลารุส, โบลิเวีย, อินโดนีเซีย, คาซัคสถาน, ไทย, คิวบา, ยูกันดา, มาเลเซีย และอุซเบกิสถาน ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตร BRICS อย่างเป็นทางการ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนากลุ่ม BRICS หลังจากการขยายตัวครั้งประวัติศาสตร์

 

นอกจาก 9 ประเทศดังกล่าว สมาชิกก่อนหน้านี้ของกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, แอฟริกาใต้, อิหร่าน, อียิปต์, เอธิโอเปีย, ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

การเติบโตของกลุ่ม BRICS ที่ใหญ่ขึ้นนี้ ไม่เพียงเพิ่มบทบาททางเศรษฐกิจของกลุ่ม แต่ยังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการผลักดันการสร้างโลกหลายขั้ว

 

หวังโย่วหมิง ผู้อำนวยการสถาบันประเทศกำลังพัฒนาจากสถาบันวิจัยระหว่างประเทศจีนในปักกิ่ง กล่าวกับ Global Times ว่าการที่ประเทศทั้งเก้าเข้าร่วมเป็นพันธมิตร BRICS สะท้อนถึงแรงผลักดันของขบวนการโลกาภิวัตน์ที่ต้องการปรับเปลี่ยนระเบียบโลกที่ไม่เป็นธรรมและไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการผงาดขึ้นของประเทศในกลุ่มโลกใต้

 

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของครอบครัว BRICS ทำให้สื่อมวลชนตะวันตกบางส่วนแสดงความวิตกกังวลมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซาน เช่น Voice of America กล่าวว่า การประชุม BRICS ชี้ให้เห็นถึงความทะเยอทะยานทางภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันกับตะวันตก

 

ในระยะหนึ่งนักการเมืองและสื่อบางกลุ่มในตะวันตกมักมองว่า BRICS เป็นกลไกที่สร้างขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับตะวันตก แต่ในความเป็นจริง BRICS ไม่ใช่องค์กรต่อต้านตะวันตก แต่เป็นองค์กรที่มีเป้าหมายและภารกิจชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น คือไม่สร้างกลุ่มใหม่, ไม่แข่งขันในรูปแบบการแบ่งขั้ว และไม่พยายามแทนที่ใคร

 

โมเดลความร่วมมือของ BRICS หลีกเลี่ยงเกมผลรวมศูนย์ (Zero-Sum Games) ระหว่างประเทศมหาอำนาจ และเสนอแนวทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ครอบคลุมมากกว่า ด้วยความครอบคลุมนี้เองที่ดึงดูดให้ประเทศต่างๆ ในกลุ่มโลกใต้รีบสมัครเข้าเป็นสมาชิก BRICS

 

แรงผลักดันสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา BRICS คือความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประเทศกำลังพัฒนาสำหรับระเบียบโลกที่ยุติธรรมและเท่าเทียมมากขึ้น ผ่านความร่วมมือและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบโลกหลายขั้ว

 

อ้างอิง:

The post ไทยเป็น 1 ใน 9 ประเทศที่เข้าร่วมกลุ่ม BRICS เพิ่มเติมอย่างเป็นทางการในวันแรกของปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
JPMorgan เผย บริษัทผิดนัดชำระหนี้ซ้ำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 https://thestandard.co/jpmorgan-record-defaults-2024/ Sun, 05 Jan 2025 07:48:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1027143

บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงผิดนัดชำระหนี้ซ้ำในปี 2024 สูงส […]

The post JPMorgan เผย บริษัทผิดนัดชำระหนี้ซ้ำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>

บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงผิดนัดชำระหนี้ซ้ำในปี 2024 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากรายงานล่าสุดของ JPMorgan Chase & Co.

 

รายงานจากทีมยุทธศาสตร์ที่นำโดย เนลสัน แจนต์เซน ระบุว่า 35% ของกรณีผิดนัดชำระหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้ในปี 2024 มาจากบริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้ซ้ำ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด ขณะที่อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดเงินกู้ที่มีการใช้เลเวอเรจ (Leveraged Loan) อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี

 

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทที่มีอันดับเครดิตต่ำ โดยเฉพาะในตลาดเงินกู้ที่มีการใช้เลเวอเรจ ซึ่งบริษัทเหล่านี้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในบางกรณีหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา แต่ก็ส่งสัญญาณว่าจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025

 

ตลาดเงินกู้ยังมีสัดส่วนของบริษัทที่มีอันดับเครดิตต่ำมากกว่าตลาดพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Bond) เนื่องจากบริษัทเอกชน (Private Equity) หันมาใช้แหล่งเงินทุนดังกล่าวมากขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ ส่งผลให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดเงินกู้สูงกว่าตลาดพันธบัตรอย่างมาก โดยช่องว่างระหว่างทั้งสองตลาดในปีนี้กว้างที่สุดในรอบ 24 ปี

 

อัตราการผิดนัดชำระหนี้แบบถ่วงน้ำหนักในตลาดพันธบัตร High Yield ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 1.47% ขณะที่อัตราเดียวกันในตลาดเงินกู้สูงถึง 4.49% ณ สิ้นปี

 

บริษัทที่มีภาระหนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘การบริหารหนี้สิน’ (Liability Management) เพื่อปรับโครงสร้างเงินทุน โดยเฉพาะในกรณีที่เผชิญกับความเสี่ยงของการถึงกำหนดชำระหนี้หรือวิกฤตเงินสด รายงานระบุว่า 70% ของปริมาณการผิดนัดชำระหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้ในปี 2024 มาจากการปรับโครงสร้างหนี้ในภาวะวิกฤต (Distressed Exchange) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด

 

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ลดภาระหนี้ลงอย่างมีนัยสำคัญเสมอไป ซึ่งอาจทำให้บริษัทเหล่านี้กลับมาผิดนัดชำระหนี้อีกครั้ง ส่งผลให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการฟื้นตัวของหนี้ในระดับที่ต่ำลงกว่าเดิม

 

อ้างอิง:

The post JPMorgan เผย บริษัทผิดนัดชำระหนี้ซ้ำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าเงินจีนอ่อนค่าทะลุ 7.3 หยวนต่อดอลลาร์ มากสุดตั้งแต่ปลายปี 2023 จากพิษเศรษฐกิจ https://thestandard.co/china-yuan-slips-opens-room-for-further-drops/ Sat, 04 Jan 2025 07:04:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1027012 ค่าเงินหยวน

ค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าทะลุระดับ 7.3 หยวนต่อดอลลาร์เป็ […]

The post ค่าเงินจีนอ่อนค่าทะลุ 7.3 หยวนต่อดอลลาร์ มากสุดตั้งแต่ปลายปี 2023 จากพิษเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าเงินหยวน

ค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าทะลุระดับ 7.3 หยวนต่อดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายปี 2023 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจของจีน และส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ขยายกว้างขึ้นเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ การอ่อนค่าครั้งนี้เกิดขึ้น แม้ว่าธนาคารกลางจีนจะยังคงสนับสนุนค่าเงินด้วยการกำหนดอัตราอ้างอิงรายวันในวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 มกราคม)

 

การอ่อนค่าครั้งนี้อาจบ่งชี้ว่าธนาคารกลางจีนกำลังเลือกที่จะผ่อนคลายแรงกดดันด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการปล่อยให้ค่าเงินอ่อนค่าลง หลังจากที่พยายามควบคุมค่าเงินให้คงที่มานานกว่า 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การควบคุมดังกล่าวทำให้เงินหยวนแข็งค่าสุดเมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนของคู่ค้าตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศ

 

“การที่เงินหยวนหลุดระดับ 7.3 ถือว่าเลี่ยงไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ และการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในประเทศ” วี คูน ชอง นักยุทธศาสตร์ตลาด APAC จาก BNY กล่าว 

 

เงินหยวนในประเทศอ่อนค่าลงสูงสุด 0.3% มาอยู่ที่ 7.3190 หยวนต่อดอลลาร์ในวันศุกร์ ก่อนที่จะแข็งค่ากลับเล็กน้อย การอ่อนค่าผ่านระดับ 7.3510 หยวนต่อดอลลาร์ จะทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 หรือในรอบกว่า 17 ปี

 

การลดค่าของหยวนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ เช่น ดอลลาร์ไต้หวันอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 

 

ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีนชี้ให้เห็นถึงโอกาสการอ่อนค่าของหยวนเพิ่มเติม ความเชื่อมั่นยังคงอยู่ในระดับต่ำ ดัชนีหุ้นหลักปิดที่ระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนกันยายน โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จีนเผชิญกับการไหลออกของเงินทุนจากตลาดการเงินในระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

 

นักยุทธศาสตร์จาก BNP Paribas คาดการณ์ว่าเงินหยวนจะอ่อนค่าลงถึง 7.45 หยวนต่อดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2025 ขณะที่ Nomura คาดการณ์ในเดือนธันวาคมว่าอาจอ่อนค่าลงถึง 7.6 หยวนต่อดอลลาร์ในการซื้อขายต่างประเทศภายในเดือนพฤษภาคม ส่วน JPMorganChase คาดว่าหยวนในต่างประเทศจะอ่อนค่าลงถึง 7.5 หยวนต่อดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2

 

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจีนอาจไม่ปล่อยให้เกิดการอ่อนค่าที่รวดเร็ว เนื่องจากอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเงิน ธนาคารยังสามารถใช้อัตราอ้างอิงรายวัน ซึ่งกำหนดกรอบการซื้อขายของค่าเงินหยวนในประเทศให้เคลื่อนไหวได้ในช่วงบวกลบ 2% 

 

เครื่องมืออื่นๆ ที่ธนาคารกลางจีนสามารถใช้ได้ ได้แก่ การดูดซับสภาพคล่องของหยวนในตลาดต่างประเทศ และการแทรกแซงโดยตรงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา

 

อ้างอิง:

 

The post ค่าเงินจีนอ่อนค่าทะลุ 7.3 หยวนต่อดอลลาร์ มากสุดตั้งแต่ปลายปี 2023 จากพิษเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไม Gen Y-Z ต้องเรียนรู้ ‘Gen Beta’ Gen ใหม่ที่จะโตมากับ AI ความหลากหลาย และวิกฤตโลกร้อน https://thestandard.co/gen-beta-ai-climate-change-adaptation/ Sat, 04 Jan 2025 03:24:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1026967 Gen Beta

ทุกคนคงทราบกันดีว่า Generation Alpha ที่เกิดระหว่างปี 2 […]

The post ทำไม Gen Y-Z ต้องเรียนรู้ ‘Gen Beta’ Gen ใหม่ที่จะโตมากับ AI ความหลากหลาย และวิกฤตโลกร้อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gen Beta

ทุกคนคงทราบกันดีว่า Generation Alpha ที่เกิดระหว่างปี 2010-2024 ถือเป็น Gen ที่เกิดมาท่ามกลางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเข้ามาของโลกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เผชิญเหตุการณ์สำคัญของโลก ทั้งสงคราม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรง และการระบาดของโควิด 

 

เมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนในวันส่งท้ายปีเก่า 2024 โลกก็โบกมือลา Gen Alpha คลื่นลูกสุดท้ายสิ้นสุดลง พร้อมต้อนรับการมาถึงของ Gen ใหม่ ‘Beta’

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

จาก Alpha สู่ Beta โลกเปิดรับ Gen ใหม่ สำคัญอย่างไร ทำไมต้องรู้

 

Gen Beta เกิดระหว่างปี 2025-2039 เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเข้าสู่โลกที่เปลี่ยนแปลง เด็กๆ Gen นี้จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วย AI ยุคที่มีเทคโนโลยีพร้อมอย่างสมาร์ทโฟน, VR และหุ่นยนต์ และจะเป็นกลุ่มประชากรที่เผชิญกับปัญหามากมาย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่องว่างระหว่างวัยและการเพิ่มขึ้นของประชากร ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่ง Gen Beta จะได้รับการเลี้ยงดูจากคนรุ่น Millennials และ Gen Z ที่เริ่มเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี จึงเรียกรวมๆ กันว่า ‘GenZennials’

 

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ในอนาคตภายในปี 2026 การสื่อสารผ่านออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทมากกว่า 90% และหลายๆ อย่างจะถูกสร้างขึ้นโดย AI อีกทั้งภายในปี 2050 ประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในเมืองจะบูรณาการขับเคลื่อนด้วย AI ทั้งสิ้น

 

McCrindle สำนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์ ให้คำจำกัดความ Gen Beta ว่าจะเป็นเด็กที่เกิดมาใน ‘ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง’ และภายในปี 2035 Gen นี้จะมีจำนวนประชากรคิดเป็น 16% ของประชากรโลก ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตอย่างมาก

 

นอกจากนี้ ยังมีอีกสิ่งที่น่าสนใจคือ เด็กที่เกิดในปี 2025 คือ Gen Beta จะมีโอกาสมีอายุถึง 76 ปี หรือถึงปี 2101 

 

“หมายความว่าเด็กกลุ่มนี้จะได้ใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 22 ซึ่งเป็นยุคที่คนใน Gen ปัจจุบันอาจไปไม่ถึง”

 

McCrindle ระบุอีกว่า ปัจจุบัน Gen Beta เติบโตในยุคเทคโนโลยี โลกที่ Gen Beta จะเติบโตมาจึงไม่แยก ‘ออนไลน์’ และ ‘ออฟไลน์’ ออกจากกันอีกต่อไป แต่จะเป็นโลกที่ผสานทั้ง 2 ส่วน และเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน และจะรวมไว้ในระบบดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ 

 

ในอนาคต Gen Beta จะไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ Gen นี้จะต้องเผชิญกับ ‘ปัญหาระดับโลกที่ซับซ้อน’ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มขึ้นของประชากร ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งจะได้รับอิทธิพลจากพ่อแม่ที่เกิดในยุค Gen Y และ Gen Z

 

Mark McCrindle นักวิจัยสังคมและผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคตศาสตร์ สรุป 5 นิยาม Gen Beta ที่พ่อแม่ Gen Y-Z ต้องรู้ ดังนี้

 

  1. แม้เด็ก Gen Beta จะเกิดมาในโลกที่ถูกแบ่งแยกด้วยออนไลน์และออฟไลน์ แต่โลกของพวกเขาจะเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อจากการพัฒนาระบบดิจิทัลที่ครบวงจร ตั้งแต่การเรียนรู้ การทำงาน ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวัน

 

  1. โลกแห่ง AI คือส่วนหนึ่งของชีวิต และ AI คือโลกแห่งอนาคต เสมือนกับภาพยนตร์ Science Fiction ที่เราดูกันสมัยเด็กๆ แต่โลกอนาคตที่มากกว่านั้นคือโลกแห่งความเป็นจริง Gen Beta จะเติบโตมาท่ามกลางเทคโนโลยีขั้นสูง, AI และระบบอัตโนมัติ (Automation) 

 

3.‘สนใจสิ่งแวดล้อม’ เพราะ Gen Beta ส่วนมากคือผลผลิตจากพ่อแม่ Gen Y และ Gen Z 

โดยข้อมูลของศูนย์วิจัย Pew พบว่า 71% ของกลุ่ม Millennials และ 67% ของกลุ่ม Gen Z มองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในอนาคต เมื่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนเริ่มเป็นปัญหาในการดำรงชีวิตในหลากหลายประเทศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม ทำให้ Gen Beta หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม และตระหนักมากกว่า Gen ก่อนหน้า

 

  1. สังคมต้องมี ‘ความเท่าเทียม’ ในอนาคต Gen Beta จะเติบโตท่ามกลางสังคมที่ยอมรับความแตกต่างและโอบกอดความหลากหลาย เช่น เชื้อชาติ สัญชาติ สีผิว เพศ หรือความเชื่อต่างๆ ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความตระหนักเรื่องความเท่าเทียม และเคารพความเสมอภาคและความยุติธรรม

 

  1. ตระหนักถึงภัยออนไลน์ ยึดหลักความปลอดภัย ในปัจจุบันที่เราต่างตกเป็นเหยื่อในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการโกงจากมิจฉาชีพ หรือสแกมเมอร์ ในอนาคต Gen Beta จะเกิดและเติบโตมาด้วยการ ‘ระวังภัยคุกคาม’ ที่เกิดจากการเข้าถึงโลกออนไลน์มากขึ้น พร้อมทั้งเน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวจากการปลูกฝังและสั่งสอนจากพ่อแม่ Gen ก่อนๆ

 

เตรียมรับมือกับตลาดแรงงานในอนาคต

 

ตลาดแรงงานจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่ยุค Gen Beta ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดแรงงานและระบบการศึกษา โดยจะต้องปรับตัวให้เข้ากับตลาดงานที่เปลี่ยนแปลงให้ทันโลกที่เน้นการใช้ AI ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย รวมไปถึงการทำงานจากทางไกลจะเป็นเทรนด์ของ Gen Beta ในอนาคต Gen นี้จะหันมาสนใจการเป็นผู้ประกอบการและนวัตกรรมมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้กับตนเอง

 

รายงานจาก Prudential Financial ระบุอีกว่า ในเรื่องการเงิน กลุ่มคน Gen Beta จะมีอนาคตที่แตกต่างจากพ่อแม่รุ่นก่อนๆ โดยเสียงสะท้อนจากพ่อแม่ที่จะให้กำเนิด Gen Beta ชาวอเมริกัน 80% เห็นด้วยว่า จะให้ความสำคัญกับการวางแผนเกษียณอายุมากขึ้น และส่วนใหญ่ระบุว่า การไม่เริ่มต้นออมเงินเพื่อการเกษียณอายุให้เร็วเป็นเรื่องที่พวกเขาเสียใจมากที่สุด

 

Brandon Goldstein นักวางแผนการเงินของ Prudential Financial กล่าวอีกว่า แม้ว่าจะไม่สามารถทำนายอนาคต Gen Beta ได้ แต่พ่อแม่สามารถวางแผนได้ตั้งแต่วันแรกว่าอนาคตของลูกควรเริ่มต้นจากคนในครอบครัว เพราะในอนาคต โลกเทคโนโลยีและความท้าทายที่เสี่ยงต่อโรคที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่อาจคาดเดาได้ พ่อแม่มือใหม่ที่จะเริ่มให้กำเนิด Gen Beta ควรวางแผนประกันสุขภาพหรือกรมธรรม์ประกันภัย ประเมินงบประมาณค่าใช้จ่าย เพื่อให้แน่ใจว่าได้คำนึงถึงเป้าหมายการออมในระยะยาว และคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสำหรับทั้งครอบครัว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในอนาคต 

 

ภาพ: Oscar Wong / Getty Images 

อ้างอิง:

 

The post ทำไม Gen Y-Z ต้องเรียนรู้ ‘Gen Beta’ Gen ใหม่ที่จะโตมากับ AI ความหลากหลาย และวิกฤตโลกร้อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปทุกเรื่องที่ควรรู้! ยื่นภาษี-ค่าลดหย่อน ประจำปีภาษี 2567 https://thestandard.co/everything-tax-2567-info/ Fri, 03 Jan 2025 12:25:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1026911 ยื่นภาษี ภาษี ลดหย่อนภาษี 2567

เมื่อเริ่มปีใหม่ทุกๆ ปี สิ่งหนึ่งที่เป็นหน้าที่ของพลเมื […]

The post สรุปทุกเรื่องที่ควรรู้! ยื่นภาษี-ค่าลดหย่อน ประจำปีภาษี 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยื่นภาษี ภาษี ลดหย่อนภาษี 2567

เมื่อเริ่มปีใหม่ทุกๆ ปี สิ่งหนึ่งที่เป็นหน้าที่ของพลเมืองผู้มีรายได้ (ถึงเกณฑ์) ต้องทำนั้นก็คือ ‘การยื่นภาษีประจำปี’ ปีภาษี 2567 โดยปีนี้กรมสรรพากรเปิดช่องทางให้ยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ตั้งแต่วันนี้ – 8 เมษายน 2568 สำหรับใครที่ยังต้องการยื่นเอกสารในรูปแบบกระดาษอยู่ สามารถยื่นได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2568

 

เงินเดือนเท่าไรต้องเสียภาษี?

 

ตามระเบียบของสรรพากรระบุว่า ผู้ที่มีรายได้ขั้นต่ำต่อปี โดยมีเงินได้สุทธิทั้งปีมากกว่า 120,000 บาทต่อปี จำเป็นต้อง ‘ยื่นภาษีเงินได้’ (ภ.ง.ด.91) แต่ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี

 

ทั้งนี้ เงินได้สุทธิทั้งปีสามารถคำนวณได้ผ่านสูตร ‘รายได้ตลอดทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อนภาษี = รายได้สุทธิ’ 

 

เปิดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยิ่งเงินเดือนมากยิ่งเสียภาษีมาก

 

  • รายได้สุทธิต่อปีตั้งแต่ 150,001-300,000 บาท จะต้องเสียภาษีในอัตรา 5%
  • รายได้สุทธิต่อปีตั้งแต่ 300,001-500,000 บาท จะต้องเสียภาษีในอัตรา 10%
  • รายได้สุทธิต่อปีตั้งแต่ 500,001-750,000 บาท จะต้องเสียภาษีในอัตรา 15%
  • รายได้สุทธิต่อปีตั้งแต่ 750,001-1,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีในอัตรา 20%
  • รายได้สุทธิต่อปีตั้งแต่ 1,000,001-2,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีในอัตรา 25%
  • รายได้สุทธิต่อปีตั้งแต่ 2,000,001-5,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีในอัตรา 30%
  • รายได้สุทธิต่อปีตั้งแต่ 5,000,001 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตรา 35% 

 

เปิดช่องทางการ ยื่นภาษี และระยะเวลายื่นภาษี

 

ทั้งนี้ ช่องทางการยื่นภาษี ประจำปีภาษี 2567 สามารถทำได้ 2 ช่องทาง ดังนี้

 

  1. ยื่นภาษี แบบเอกสาร สามารถยื่นภาษีได้ตามสำนักงานสรรพากรทุกสาขา โดยระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม – 31 มีนาคม 2568

 

  1. ยื่นภาษี ผ่านระบบ e-Filing และระบบ D-MyTax (Digital MyTax) ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th และแอปพลิเคชัน RD Smart Tax ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม – 8 เมษายน 2568 

 

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่มีภาษีต้องชำระตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นได้ สามารถขอผ่อนชำระภาษีได้ 3 งวด

 

สรุปรายการลดหย่อน ประจำปีภาษี 2567 

 

ส่วนตัว / ครอบครัว

  • ส่วนตัว 60,000 บาท
  • คู่สมรส (ไม่มีรายได้) 60,000 บาท
  • บุตร คนละ 30,000 บาท
  • บุตรคนที่ 2 ขึ้นไป (เกิดตั้งแต่ปี 2561) 60,000 บาท
  • ค่าคลอดบุตร ไม่เกินท้องละ 60,000 บาท
  • ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา คนละ 30,000 บาท
  • ค่าเลี้ยงดูผู้พิการ / ทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท

 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 100,000 บาท
  • Easy e-Receipt 2567 ไม่เกิน 50,000 บาท
  • เที่ยวเมืองรอง 2567 ไม่เกิน 15,000 บาท
  • สร้างบ้านใหม่ 2567-2568 ไม่เกิน 100,000 บาท (10,000 บาทต่อค่าก่อสร้างทุก 1 ล้านบาท)

 

ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

  • ค่าซ่อมบ้าน ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ค่าซ่อมรถ ไม่เกิน 30,000 บาท

(ที่จ่ายไประหว่างวันที่ 16 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2567) *เฉพาะเขตพื้นที่ที่กำหนด

 

ประกันชีวิตและการลงทุน

  • ประกันชีวิตทั่วไป / สะสมทรัพย์ ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ประกันสุขภาพตนเอง ไม่เกิน 25,000 บาท
  • ประกันสุขภาพพ่อแม่ ไม่เกิน 15,000 บาท
  • ประกันชีวิตคู่สมรส (ไม่มีรายได้) ไม่เกิน 10,000 บาท
  • ประกันสังคม ไม่เกิน 9,000 บาท
  • เงินลงทุนวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ไม่เกิน 100,000 บาท
  • กองทุน ThaiESG (30% ของเงินได้) ไม่เกิน 300,000 บาท
  • กองทุน SSF (30% ของเงินได้) ไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุน RMF (30% ของเงินได้) ไม่เกิน 500,000 บาท
  • ประกันบำนาญ (15% ของเงินได้) ไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ไม่เกิน 30,000 บาท
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) (15% ของค่าจ้าง) ไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนสงเคราะห์ครูฯ ไม่เกิน 500,000 บาท
  • กบข. ไม่เกิน 500,000 บาท

 

เงินบริจาค

  • กลุ่มการศึกษา / กีฬา / มูลนิธิด้านการแพทย์และการสาธารณสุข (ตาม พ.ร.ฎ. 771 พ.ศ. 2566) 2 เท่าของเงินบริจาค (ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าลดหย่อน)
  • บริจาคสถานพยาบาลของรัฐ 2 เท่าของเงินบริจาค (ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าลดหย่อน)
  • บริจาคทั่วไป ตามที่จ่ายจริง (ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าลดหย่อน)
  • พรรคการเมือง ไม่เกิน 10,000 บาท

 

 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

The post สรุปทุกเรื่องที่ควรรู้! ยื่นภาษี-ค่าลดหย่อน ประจำปีภาษี 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
TDRI เตือนรัฐบาลไทย หยุดเน้นมาตรการระยะสั้น ต้องเก็บกระสุนเงินงบประมาณไว้รับมือความไม่แน่นอนในปี 2568 https://thestandard.co/tdri-warns-thai-government-budget-2025/ Thu, 02 Jan 2025 10:23:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1026542 tdri-warns-thai-government-budget-2025

นักเศรษฐศาสตร์ TDRI ชี้ เศรษฐกิจปี 2568 ‘ปีงูเล็ก’ เศรษ […]

The post TDRI เตือนรัฐบาลไทย หยุดเน้นมาตรการระยะสั้น ต้องเก็บกระสุนเงินงบประมาณไว้รับมือความไม่แน่นอนในปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
tdri-warns-thai-government-budget-2025

นักเศรษฐศาสตร์ TDRI ชี้ เศรษฐกิจปี 2568 ‘ปีงูเล็ก’ เศรษฐกิจโลกจ่อปั่นป่วน เหตุเพราะสหรัฐฯ อาจเปิดสงครามการค้า ตั้งกำแพงภาษี ห่วงไทยโดนด้วย หวั่นสินค้าจีนทะลัก ทุบราคาหลายตลาด แนะรัฐบาลให้ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าเน้นมาตรการระยะสั้น ควรเตรียม ‘กระสุน’ เงินงบประมาณไว้รับมือความไม่แน่นอน 

 

วันนี้ (2 มกราคม) ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2568 ว่า ปีนี้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมเข้ารับตำแหน่งเป็นครั้งที่ 2 พร้อมแนะรัฐบาลไทยให้ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าเน้นมาตรการระยะสั้น พร้อมเตรียมกระสุนรับมือกับความไม่แน่นอน 

 

“เมื่อมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในโลกมากมาย สิ่งรัฐบาลจะต้องมีคือ ‘กระสุน’ หรือเงินงบประมาณ เพราะหากมีวิกฤตอะไรเกิดขึ้น เช่น ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด จะต้องมีงบประมาณที่จะใช้จ่ายในการช่วยเหลือประชาชน” ดร.กิริฎา ระบุ

 

ดร.กิริฎา อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะเพ่งเล็งไปที่ประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ซึ่งในปี 2567 ไทยเป็นประเทศในอันดับที่ 12 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลด้วย โดยวิธีการลดขาดดุลของสหรัฐฯ มี 2 วิธี คือ การขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากประเทศไทย และอาจมีการเจรจาขอให้ไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น 

 

“สหรัฐฯ ต้องการขายสินค้าเกษตรให้กับไทยมาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหมู แต่ที่ผ่านมาไทยไม่อนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ เพราะมีสารเร่งเนื้อแดงเกินมาตรฐานที่ไทยกำหนด ดังนั้นไทยจึงมีความเสี่ยงที่จะถูกบีบให้เปิดการนำเข้าเนื้อหมูและสินค้าเกษตรอื่นๆ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลกับผู้เลี้ยงหมูในประเทศไทย” ดร.กิริฎา ระบุ

 

ขณะเดียวกันสินค้าจากจีนที่ถูกกำแพงภาษีสหรัฐฯ กีดกันจะทะลักเข้าไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบกับหลายธุรกิจในประเทศอย่าง เช่น เหล็ก ปิโตรเคมี พลาสติก และสิ่งทอ แต่จะเป็นผลดีกับธุรกิจที่นำเข้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือเครื่องจักรจากจีน ที่นำไปต่อยอดผลิตสินค้าและบริการของตนเอง

 

America First อาจนำไปสู่ความตึงเครียดช่องแคบไต้หวัน

 

ดร.กิริฎา ระบุด้วยว่า แนวนโยบายอเมริกามาก่อน (America First) อาจส่งผลให้สหรัฐฯ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน ซึ่งสถานการณ์ความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันอาจเพิ่มมากขึ้น และส่งผลต่อค่าระวางเรือขนส่งสินค้าจากญี่ปุ่นและจีนมาไทยแพงขึ้น 

 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทในไต้หวันหลายแห่งเริ่มกังวลต่อความเสี่ยง จึงโยกย้ายธุรกิจจากไต้หวันและจีนมาลงทุนในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น 

 

โดยตัวเลขจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า มีบริษัทต่างชาติหลายประเทศเข้ามาขอลงทุนในไทยผ่าน BOI เนื่องจากมองว่าไทยเป็นพื้นที่ปลอดภัย เพราะวางตัวเป็นกลาง ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด เรื่องนี้จึงถือเป็นปัจจัยบวกกับเศรษฐกิจของประเทศ 

 

แต่ก็มีความเสี่ยงว่าหากบริษัทจีนย้ายโรงงานมาไทยเพื่อส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จำนวนมาก ก็อาจทำให้ถูกสหรัฐฯ เพ่งเล็งและกีดกันการนำเข้า เนื่องจากมองว่าเป็นสินค้าของบริษัทจีนได้

 

ความเสี่ยงที่แทบจะไม่มีด้านบวกเลย

 

ดร.กิริฎา ระบุว่า แม้เหรียญจะมีสองด้าน แต่ความเสี่ยงที่แทบจะไม่มีด้านบวกเลยคือปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งท่าทีของทรัมป์สนับสนุนอิสราเอล ดังนั้นความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านจะอยู่ต่อไป โดยหากเกิดความไม่สงบขึ้นอาจจะส่งผลให้มีการปิดช่องแคบฮอร์มุซที่เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน ก็จะกระทบต่อราคาพลังงานทั่วโลก 

 

“ปีหน้าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะค่อนข้างผันผวน จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะว่ามีความเสี่ยงมากและมีความไม่แน่นอนหลายอย่าง ซึ่งถ้าเราตระหนักและรับทราบปัจจัยต่างๆ ทางภูมิรัฐศาสตร์ ก็จะทำให้ไทยเตรียมตัวเพื่อรับมือได้” ดร.กิริฎา ระบุ  

 

คาด กนง. ลดดอกเบี้ย 0.25% เงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 68

 

ดร.กิริฎา ยังมองด้วยว่า เรื่องค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลสำคัญกับระบบเศรษฐกิจโลก โดยหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า จะทำให้ต้นทุนการผลิตของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ ลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงมีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจลดดอกเบี้ยนโยบายเพียง 2 ครั้ง หรือ 0.5% จากเดิมที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่าตลอดทั้งปีจะลดถึง 4 ครั้ง หรือ 1%

 

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะลดลง 0.25% ในปีนี้ ส่วนค่าเงินบาทนั้นประมาณการว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และจะผันผวนระหว่างปี ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงของไทย เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกและนำเข้ามาก 

ภาพ: J Studios / Getty Images

The post TDRI เตือนรัฐบาลไทย หยุดเน้นมาตรการระยะสั้น ต้องเก็บกระสุนเงินงบประมาณไว้รับมือความไม่แน่นอนในปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>