Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 19 Dec 2025 03:56:49 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทำความรู้จัก ‘ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์’ MD ธอส. คนใหม่ https://thestandard.co/new-md-ghb-mahatana/ Fri, 19 Dec 2025 03:56:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1156297 ทำความรู้จัก ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ MD ธอส. คนใหม่

คณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีมติแต่งตั้ง ดร. […]

The post ทำความรู้จัก ‘ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์’ MD ธอส. คนใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำความรู้จัก ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ MD ธอส. คนใหม่

คณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีมติแต่งตั้ง ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

 

วานนี้ (18 ธันวาคม) อัครุตม์ สนธยานนท์ ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยว่า คณะกรรมการธนาคารมีมติแต่งตั้ง ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (กรรมการผู้จัดการลำดับที่ 15 ของ ธอส.) โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

 

โดยอัครุตม์ เผยว่า ดร.มหัทธนะมีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์เชิงนโยบาย ควบคู่กับประสบการณ์ในการขับเคลื่อน Digital Transformation ตลอดจนมีประสบการณ์บริหารจัดการองค์กรในตำแหน่งสำคัญ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้สามารถตอบสนองนโยบายรัฐบาล และสานต่อการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของ ธอส. ได้

 

การศึกษา

  • ปริญญาเอก : สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์, Claremont Graduate University (California), สหรัฐอเมริกา
  • ปริญญาโท : สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์, Claremont Graduate University (California), สหรัฐอเมริกา
  • ปริญญาโท : สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์, Suffolk University (Boston), สหรัฐอเมริกา
  • ปริญญาโท : สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์และการเงินระหว่างประเทศ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ปริญญาตรี : สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์, University of California (Irvine), สหรัฐอเมริกา

 

ประสบการณ์ทำงาน

  • พ.ศ. 2567 – 2568 ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
  • พ.ศ. 2566 – 2567 รองประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด
  • พ.ศ. 2566 – 2566 กรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
  • พ.ศ. 2564 – 2565 รองผู้จัดการใหญ่ และ Chief Digital and Data Officer บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
  • พ.ศ. 2563 – 2564 กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
  • พ.ศ. 2561 – 2562 Senior Vice President บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
  • พ.ศ. 2554 – 2561 ผู้อำนวยการส่วนนโยบายประกันภัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง

 

ทำความรู้จัก ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ MD ธอส. คนใหม่ 1

The post ทำความรู้จัก ‘ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์’ MD ธอส. คนใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะปม ‘คริปโต’ ทำ ‘บาทแข็ง’? ด้าน ‘แบงก์ชาติ’ ลุย! ยกระดับติดตามการแลกเงิน ที่เกี่ยงข้องสินทรัพย์ดิจิทัล สกัดบาทแข็ง https://thestandard.co/crypto-strong-baht-bank-of-thailand-monitoring/ Thu, 18 Dec 2025 11:25:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1156230 เจาะปม ‘คริปโต’ ทำ ‘บาทแข็ง’? ด้าน ‘แบงก์ชาติ’ ลุย ยกระดับติดตามการแลกเงิน ที่เกี่ยงข้องสินทรัพย์ดิจิทัล สกัดบาทแข็ง

เปิดปม USDT กระทบ ‘บาทแข็ง’ แค่ไหน? ‘แบงก์ชาติ’ ประกาศล […]

The post เจาะปม ‘คริปโต’ ทำ ‘บาทแข็ง’? ด้าน ‘แบงก์ชาติ’ ลุย! ยกระดับติดตามการแลกเงิน ที่เกี่ยงข้องสินทรัพย์ดิจิทัล สกัดบาทแข็ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะปม ‘คริปโต’ ทำ ‘บาทแข็ง’? ด้าน ‘แบงก์ชาติ’ ลุย ยกระดับติดตามการแลกเงิน ที่เกี่ยงข้องสินทรัพย์ดิจิทัล สกัดบาทแข็ง

เปิดปม USDT กระทบ ‘บาทแข็ง’ แค่ไหน? ‘แบงก์ชาติ’ ประกาศลุย ยกระดับติดตามธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) ที่เกี่ยวข้องสินทรัพย์ดิจิทัล หวังสกัดบาทแข็ง ด้านผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ชงกฎหมาย Travel Rule คือหนทางแก้ปริศนา ‘เงินเทา’

 

การแข็งค่าของเงินบาทที่เร็วและแรงในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 นี้ กำลังได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก ว่าต้นตอมาจากอะไร? นอกจากนี้ มีผู้คนในสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากกำลังตั้งข้อสงสัยถึง ‘โฟลว์’ หรือกระแสเงินลงทุนที่มาจากสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ รวมไปถึงสเตเบิลคอยน์อย่าง ‘USDT’ ที่อาจเชื่อมโยงกับ ‘เงินเทา’ จะมีส่วนที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าหรือไม่

 

หลังจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ในเดือนพฤศจิกายน USDT ครองสัดส่วนถึง 52% ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอ้างอิงข้อมูลจากแบบรายงานที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายงานต่อสำนักงานก.ล.ต.

 

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติชี้แจง ‘บาทแข็ง’ เพราะอะไร

 

วันนี้ (18 ธันวาคม) วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทมาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยพื้นฐาน และกระแสเงินทุน (Flow) ที่ไหลเข้ามาในประเทศ ดังนี้

 

  • ส่วนแรก: การแข็งค่าของบาทจาก ‘ปัจจัยพื้นฐาน’ (Fundamental) ตัวอย่างเช่น การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐที่ราว 10% ตั้งแต่ต้นปี การเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance) และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งวิทัยกล่าวว่า การแข็งค่าลักษณะนี้ เป็นปัจจัยที่ ธปท. ‘คุมไม่ได้’

 

  • ส่วนที่สอง: กระแสเงินลงทุน (Flow) ที่เข้ามาลงทุนในไทยจากต่างชาติ (Non-residents) ในตลาดต่างๆ ‘ค่อนข้างเยอะ’ ตัวอย่างเช่น ตราสารหนี้ ทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น

 

‘แบงก์ชาติ’ ดูแลค่าเงินบาทอย่างไร?

 

วิทัยกล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ธปท. พยายามเข้าไปดูแลในส่วนที่จะทำได้ทั้งหมดแล้ว ได้แก่

 

1. การเข้าดูแลหรือแทรกแซงในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า/ อ่อนค่าเร็วเกินไป

 

อย่างไรก็ตาม วิทัยชี้ว่า ธปท. ยังมีข้อจำกัด ตามเกณฑ์การแทรกแซงตลาดค่าเงินที่ตกลงไว้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และถูกย้ำอีกครั้งในช่วงการเจรจาภาษีกับรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ “ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวทำให้ ธปท.ไม่สามารถเข้าแทรกแซงค่าเงินในลักษณะที่ ‘ตรึง’ ค่าเงิน หรือทำให้ค่าเงิน ‘เปลี่ยนทิศทาง’ ได้” วิทัยกล่าว

 

2. มาตรการที่ดำเนินการแล้ว โดยให้ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสาร ก่อนรับทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (FX) ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ โดยต้องเรียกหลักฐานทุกธุรกรรม

 

3. มาตรการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่

 

ให้ผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูล การทำธุรกรรมทองคำอย่างละเอียด

 

การเข้าตรวจสอบธุรกรรมขาย FX เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปกติ

 

ผู้ว่าฯ ธปท. ย้ำยังไม่คิดเก็บภาษีสกัดเงินเข้าประเทศ

 

ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการที่มีความรุนแรงเกินกว่านี้ เช่น การเก็บภาษีเงินนำเข้า หรือการสกัดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ‘ยังไม่สามารถทำได้’ และยังไม่เหมาะสม

 

“ถามว่า Flow จากต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศ ธปท.ปิดได้หรือไม่ คำตอบคือ ปิดได้ แต่คำถามคือ เราพร้อมกันหรือไม่ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ แบงก์ชาติเคยใช้มาตรการกันสำรองเงินลงทุนต่างประเทศ 30% ในสมัยผู้ว่าการฯ ธาริษา วัฒนเกส ซึ่งทำให้ตลาดติดลบวันเดียว 13% ดังนั้น ผมคิดว่า เราต้องใช้มาตรการที่ค่อยๆ เป็นค่อยไป “

 

“การเก็บภาษีแบบสมัยท่านผู้ว่าฯ ธาริษา ทำได้ แต่การประเมินที่ไม่ดี ก็จะทำให้ตลาด Crash ได้ทันที ผมไม่คิดว่ามีใครในห้องนี้อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น รวมถึงแบงก์ชาติด้วย ซึ่งนับเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดของเรา”

 

“เราไม่สามารถใช้สิ่งที่รุนแรงเกินไปเช่น เก็บภาษีเหมือนช่วงปี 2010 ที่ทำให้ตลาด Crash ทันที อันนี้ทำไม่ได้” วิทัยกล่าว

 

ทั้งนี้ ธปท.เคยประกาศใช้มาตรการกันสำรองเงินลงทุนจากต่างประเทศ 30% ในช่วงปลายปี 2549 เพื่อสกัดกั้นเงินทุนระยะสั้นต่างประเทศที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาท และเพื่อชะลอการแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆ ก่อนจะยกเลิกในวันที่ 3 มีนาคม 2551

 

เปิดปม USDT กระทบ ‘บาทแข็ง’ แค่ไหน?

 

วันนี้ (18 สิงหาคม) ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. ชี้แจงว่า การซื้อขายเหรียญ USDT ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange: DA exchange) ในประเทศไทย เป็นลักษณะของการทำธุรกรรมที่คล้ายการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ เช่น หลักทรัพย์ ซึ่งหากมีธุรกรรมขาย ก็จะได้รับเป็นเงินบาทกลับมา โดยไม่ต้องผ่านการแลกเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น การซื้อขาย USDT บน DA exchange ในประเทศจึงไม่ได้ส่งผลต่อค่าเงินบาทโดยตรง

 

ในทำนองเดียวกัน หากมีการนำเงินที่เข้าข่ายต้องสงสัยมาซื้อ/ขาย USDT ผ่าน DA exchange ในไทย ก็จะเป็นธุรกรรมในรูปเงินบาท ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินโดยตรงเช่นกัน

 

อย่างไรก็ดี โดยอ้อม หากมีการขาย USDT ในจำนวนที่มากกว่าแรงซื้อ จะส่งผลให้ราคาของ USDT ใน DA exchange ในไทยต่ำลง ก็อาจเกิดการนำเอา USDT ไปขายใน DA exchange ต่างประเทศที่มีราคาสูงกว่า ทำให้ได้รายรับเป็น USD และนำเงินดังกล่าวเข้ามาในไทยเพื่อแลกเป็นเงินบาท ซึ่งกรณีนี้ จะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าได้

 

โดยจากข้อมูลที่ได้รับในปัจจุบัน พบว่าสัดส่วนธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลมีสัดส่วนต่ำกว่า 1% ของธุรกรรมการซื้อขายเงินตราต่างประเทศทั้งหมด จึงไม่ใช่สาเหตุที่จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ

 

‘แบงก์ชาติ’ ลุย! ยกระดับติดตามการแลกเงินที่เกี่ยวข้องสินทรัพย์ดิจิทัล

 

นอกจากนี้ โฆษก ธปท. ยังกล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ธปท. อยู่ระหว่างการตรวจสอบและยกระดับความเข้มงวดในการติดตามรายละเอียดธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินที่มาจากสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มเติม

 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินในประเทศรายงานข้อมูลธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาททุกประเภทมายัง ธปท. ซึ่งรวมถึงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย

 

จะรู้ได้อย่างไรว่า USDT เทาหรือไม่เทา Travel Rule คือคำตอบ

 

ขณะที่ ผู้ว่าการ ธปท.ยังตอบประเด็นมีข้อสงสัยว่า มีการใช้ USDT แบบไม่พึงประสงค์หรือเป็นเงินเทาหรือไม่ โดยระบุว่า เข้าใจว่า มีหน่วยงานที่รับผิดชอบก็เร่งดำเนินการดูอยู่ พร้อมมองว่า การมีกฎหมาย Travel Rules คือคำตอบของข้อสงสัยนี้

 

“ที่บอกว่า มีการซื้อขาย USDT สูงผิดปกติทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ทำไมแบงก์ชาติไม่รู้ แบงก์ชาติรู้ครับ รู้ว่า มันไม่เกี่ยวกับบาทแข็ง เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกับความสงสัยว่า เงินที่เข้าเป็นแหล่งมาของเงินที่ไม่พึงประสงค์ หรือ ‘เงินเทา’ หรือไม่ อาจจะเป็นไปได้ว่า มีเงินจากต่างประเทศที่เป็นเทา หรือไม่เทา หรือไม่พึงประสงค์ ต้องการ convert เป็นบาทแล้วอาจทำให้เกิดการซื้อขายเยอะในไทย ผมเข้าใจว่า มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการดูอยู่ โดยการมีกฎหมาย Travel Rule คือคำตอบของข้อสงสัยนี้”

 

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำแก้บาทแข็ง-เงินเทาต้องใช้ ‘ความร่วมมือ’

 

วิทัยกล่าวย้ำว่า “แบงก์ชาติอยากให้ค่าเงินบาทอ่อนสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ แต่ (การทำให้บาทอ่อน) ไม่ใช่กดปุ่มแล้วทำได้เลย เหล่านี้ต้องใช้หน่วยงานหลายๆ หน่วยช่วยมากำกับดูแล”

 

พร้อมกล่าวต่อว่า ธปท.ได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และก.ล.ต. มาโดยตลอด เพื่อให้รู้แหล่งที่มาของเงินต่างๆ รวมไปถึง คริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งปัจจุบัน กำลังรอคอยกฎหมาย Travel Rule อยู่ ซึ่งหลายประเทศเริ่มออกไปแล้ว โดยไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่อยากให้มีกฎหมายนี้โดยเร็วที่สุด

 

ทั้งนี้ ‘Travel Rule’ คือ กฎหมายที่กำหนดให้ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งฝั่งผู้โอนและผู้รับ จะต้องรวบรวมและส่งข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนของทั้งผู้ริเริ่ม (Originator) และผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary) ไปพร้อมกับการโอนนั้น เพื่อป้องกันการฟอกเงิน

The post เจาะปม ‘คริปโต’ ทำ ‘บาทแข็ง’? ด้าน ‘แบงก์ชาติ’ ลุย! ยกระดับติดตามการแลกเงิน ที่เกี่ยงข้องสินทรัพย์ดิจิทัล สกัดบาทแข็ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนงัดแผน ‘แจกวันลา’ จาก 3 วันสู่ 25 วัน กู้วิกฤตประชากรเกิดน้อย หนุ่ม-สาวโสดล้นเมือง https://thestandard.co/china-25days-leave-birthrate/ Thu, 18 Dec 2025 10:53:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1156207 จีนงัดแผน ‘แจกวันลา’ จาก 3 วันสู่ 25 วัน กู้วิกฤตประชากรเกิดน้อย หนุ่ม-สาวโสดล้นเมือง

หลายประเทศในเอเชียกำลังประสบปัญหาโครงสร้างประชากร เมื่อ […]

The post จีนงัดแผน ‘แจกวันลา’ จาก 3 วันสู่ 25 วัน กู้วิกฤตประชากรเกิดน้อย หนุ่ม-สาวโสดล้นเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนงัดแผน ‘แจกวันลา’ จาก 3 วันสู่ 25 วัน กู้วิกฤตประชากรเกิดน้อย หนุ่ม-สาวโสดล้นเมือง

หลายประเทศในเอเชียกำลังประสบปัญหาโครงสร้างประชากร เมื่ออัตราการเกิดน้อยลงต่อเนื่อง สวนทางผู้สูงวัยที่มากขึ้น ปรากฏการณ์นี้กำลังเป็นระเบิดเวลาเศรษฐกิจ ทั้งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน แม้แต่ไทยเอง ต่างก็กังวลถึงปัญหาโครงสร้างวัยแรงงานที่จะขาดแคลนอนาคต

 

ล่าสุด ท้องถิ่นจีนแข่งขยายวันลา เพิ่มการเปิดสวนสนุก สร้างกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการแต่งงาน

 

การแข่งขันระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อเอาใจรัฐบาลกลางได้ขยายวงกว้างมาสู่การส่งเสริมการแต่งงาน โดยเจ้าหน้าที่ในหลายพื้นที่พยายามใช้กลยุทธ์หลากหลายรูปแบบเพื่อ ‘จูงใจ’ ให้คู่รักตัดสินใจเข้าพิธีสมรส

 

เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา มณฑลเสฉวนได้แก้ไขระเบียบข้อบังคับ อนุญาตให้คู่รักที่จดทะเบียนสมรสในมณฑลสามารถลาหยุดได้สูงสุดถึง 25 วัน ซึ่งมากกว่ามาตรฐานระดับชาติที่กำหนดไว้เพียง 3 วัน ขณะที่มณฑลหูหนานก็ได้ขยายวันลาเพื่อการแต่งงานเป็น 20 วันตั้งแต่เดือนตุลาคม

 

รายงานจากสำนักข่าวซินหัว ระบุว่า ราว 28 มณฑล จาก 31 มณฑล เทศบาลระดับมณฑล และเขตปกครองตนเองในจีนแผ่นดินใหญ่ ต่างได้ขยายสิทธิวันลาเพื่อการแต่งงานแล้ว โดยพื้นที่ที่มีสัดส่วนประชากรสูงอายุมากมักจะให้วันลาที่นานกว่า

 

ทั้งนี้ รัฐบาลท้องถิ่นกำลังเผชิญแรงกดดันจากการลดลงอย่างรวดเร็วของจำนวนการแต่งงาน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออัตราการเกิด เนื่องจากการเกิดนอกสมรสในจีนยังคงอยู่ในระดับต่ำ ปีที่แล้วมีการจดทะเบียนสมรสเพียง 6.1 ล้านคู่ ลดลงเหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของช่วงที่เคยทำสถิติสูงสุด

 

หลังจากบังคับใช้นโยบายลูกคนเดียวมานานหลายทศวรรษ จีนได้ยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าวทั้งหมดในปี 2021 และหันมาส่งเสริมการมีบุตรอย่างเต็มที่ สำหรับรัฐบาลท้องถิ่น การเพิ่มจำนวนการแต่งงานจึงกลายเป็นกลไกสำคัญในการตอบสนองเป้าหมายของรัฐบาลกลาง

 

ในระบบการปกครองของจีน รัฐบาลท้องถิ่นมักแข่งขันกันเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลกลางให้ความสำคัญ การแข่งขันเช่นนี้ในอดีตเคยนำไปสู่ภาวะอุปทานล้นตลาดและการแข่งขันที่รุนแรงเกินจำเป็น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘เน่ยจวน’ (neijuan)

 

รูปแบบการแข่งขันเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นอีกครั้งในนโยบายส่งเสริมการแต่งงาน โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการแพร่หลายของสวนสนุกที่มุ่งสนับสนุนให้คู่รักหมั้นหมายและสร้างครอบครัว

 

เมืองเซียงถาน มณฑลหูหนาน ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของเหมา เจ๋อตุง ได้เปิดสวนสนุกเพื่อการศึกษาเกี่ยวกับการแต่งงานและการมีบุตรเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ภายในสวนมีป้ายแสดงภาพชายหญิงในชุดฮั่นฝูแบบดั้งเดิม พร้อมข้อความส่งเสริม ‘มุมมองที่ดี’ ต่อความรักและชีวิตคู่

 

อีกทั้งยังมีรายงานว่าสวนแห่งนี้จัดกิจกรรมเล่นวิดีโอเกมเพื่อเปิดโอกาสให้ชายหญิงโสดได้ทำความรู้จักกัน

 

ข้อมูลจากสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศจีน ระบุว่า ภายในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา มีสวนสนุกลักษณะนี้อย่างน้อย 26 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ และจำนวนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ผลจากมาตรการดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะเริ่มส่งผลในเชิงบวก โดยจำนวนการแต่งงานทั่วประเทศในช่วงสามไตรมาสแรกของปีเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นับเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ยกเว้นปี 2023 ซึ่งเป็นช่วงฟื้นตัวหลังจีนยกเลิกนโยบายปลอดโควิด-19

 

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตัวเลขดังกล่าวคือการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเปิดทางให้คู่รักสามารถจดทะเบียนสมรสได้ทุกที่ในประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองว่าแนวโน้มการลดลงของการแต่งงานยังไม่ได้พลิกกลับอย่างแท้จริง เนื่องจากอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้จำนวนคนหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยคิดเรื่องการแต่งงานลดลงตามไปด้วย

 

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าการแข่งขันกันให้วันลาแต่งงานที่เอื้อเกินไปอาจสร้างภาระให้ภาคธุรกิจ ทั้งในแง่การขาดแคลนแรงงานและต้นทุนค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้กับพนักงานที่ลาหยุด หากบริษัทต่างๆ เลี่ยงการจ้างงานคนในวัยที่พร้อมจะแต่งงาน อัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูงของคนหนุ่มสาวอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

 

“ตอนที่ผมลาหยุดงานเพื่อแต่งงาน เงินเดือนของผมก็ลดลงตามไปด้วย” ชายหนุ่มวัยเมืองต้าเหลียน กล่าว

 

ขณะเดียวกัน ปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ ก็ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจแต่งงานของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายได้ที่ไม่เติบโต รวมถึงประเพณีดั้งเดิมที่กำหนดให้ฝ่ายชายต้องเตรียมที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัวใหม่ และต้องจ่าย ‘ค่าสินสอด’ ซึ่งมีมูลค่าเฉลี่ยสูงถึง 140,000 หยวน หรือราว 19,900 ดอลลาร์สหรัฐ อีกด้วย

 

ภาพ: Nazar Abbas Photography / Getty images

อ้างอิง:

The post จีนงัดแผน ‘แจกวันลา’ จาก 3 วันสู่ 25 วัน กู้วิกฤตประชากรเกิดน้อย หนุ่ม-สาวโสดล้นเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องอนาคต ‘อุตสาหกรรมกระเบื้องไทย’ ปี 2026 ท่ามกลางวิกฤตอสังหาฯ ซบเซา-สินค้านำเข้าจีน-อินเดียทุบราคา จับตาทางรอดใหม่ในตลาด Premium https://thestandard.co/market-focus-thai-tile-2026/ Thu, 18 Dec 2025 04:08:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1155930 ส่องอนาคต ‘อุตสาหกรรมกระเบื้องไทย’ ปี 2026 ท่ามกลางวิกฤตอสังหาฯ ซบเซา-สินค้านำเข้า จีน อินเดียทุบราคา จับตาทางรอดใหม่ในตลาด Premium

ในปี 2026 ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเท […]

The post ส่องอนาคต ‘อุตสาหกรรมกระเบื้องไทย’ ปี 2026 ท่ามกลางวิกฤตอสังหาฯ ซบเซา-สินค้านำเข้าจีน-อินเดียทุบราคา จับตาทางรอดใหม่ในตลาด Premium appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องอนาคต ‘อุตสาหกรรมกระเบื้องไทย’ ปี 2026 ท่ามกลางวิกฤตอสังหาฯ ซบเซา-สินค้านำเข้า จีน อินเดียทุบราคา จับตาทางรอดใหม่ในตลาด Premium

ในปี 2026 ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศมีแนวโน้มอยู่ที่ 189 ล้านตารางเมตร (-1.5%YOY) หดตัวต่อเนื่องจากปี 2025 ตามการใช้งานในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ยังคงอ่อนแอ ขณะที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY)

 

ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีอุปทานหน่วยที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมระดับสูง ส่งผลให้การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2026 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง กระทบต่อความต้องการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งเป็นอุปสงค์หลักของอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง ให้ปรับตัวลดลงจากปี 2025 นอกจากนี้ ราคากระเบื้องโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 149 บาท/ตารางเมตร (-1.5%YOY) เป็นผลจากต้นทุนราคาพลังงานสำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิตและขนส่งลดลง ท่ามกลางอุปสงค์การใช้งานยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้ยังต้องจับตาการจัดโปรโมชันเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายในตลาดกระเบื้อง ที่มีการแข่งขันทั้งระหว่างผู้ผลิตกระเบื้องในประเทศ และกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาต่ำ จะเป็นปัจจัยกดดันด้านราคาเพิ่มเติม

 

อุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยยังต้องเผชิญแรงกดดันจากกระเบื้องนำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย

 

ในปี 2020-2025 กระเบื้องจากต่างประเทศถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณปีละ 63 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง +3%CAGR โดยเฉพาะการนำเข้ากระเบื้องจากจีน, เวียดนาม และอินเดีย ที่มีราคาโดยเฉลี่ยต่ำกว่ากระเบื้องที่ผลิตในไทยกว่า 6-10% ส่งผลให้สัดส่วนกระเบื้องนำเข้าในตลาดจำหน่ายกระเบื้องในไทยเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2020 เป็น 34% ในปี 2025 และคาดว่าจะยังคงมีการนำเข้ากระเบื้องจากต่างประเทศเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องในปี 2026 หลังจากที่ผู้ผลิตและส่งออกกระเบื้องในหลายประเทศได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมถึงยังต้องจับตาการนำเข้ากระเบื้องจากอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยทำให้มีความสะดวกด้านการขนส่ง อีกทั้ง ราคาสินค้าต่างจากจีนและเวียดนามไม่มาก

 

การพัฒนากระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ และกลุ่มพรีเมียม จะช่วยหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และรักษาอัตรากำไร

 

การพัฒนากระเบื้องที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กระเบื้องกันเชื้อแบคทีเรีย ทนรอยขีดข่วนสำหรับสัตว์เลี้ยง กระเบื้อง Anti-slip สำหรับผู้สูงอายุ กระเบื้องที่มีลวดลายและให้ผิวสัมผัสเสมือนวัสดุจริง อย่างลายไม้ หินอ่อน และแกรนิต เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ผลิตไทยสร้างความแตกต่าง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระเบื้องนำเข้าราคาถูก โดยกระเบื้องเกรดพรีเมียมเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค และยังคงใช้สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง-สูงขึ้นไป ซึ่งเน้นคุณภาพ การออกแบบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ส่งผลให้ผู้ผลิตกระเบื้องสามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา และมีอัตรากำไรสูงกว่าตลาดกระเบื้องทั่วไป อีกทั้ง ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์และตำแหน่งการแข่งขันที่ชัดเจนให้กับแบรนด์ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตกระเบื้องสามารถขยายสู่ตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้ากลุ่มพรีเมียม นอกจากนี้ การปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ก็ยังช่วยให้ผู้ผลิตกระเบื้องมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากต้นทุนด้านพลังงานที่ลดลงด้วยเช่นกัน

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับออนไลน์ได้ที่:

https://www.scbeic.com/th/detail/product/Tiles-industry-161225?utm_source=Influencer&utm_medium=Influencer

The post ส่องอนาคต ‘อุตสาหกรรมกระเบื้องไทย’ ปี 2026 ท่ามกลางวิกฤตอสังหาฯ ซบเซา-สินค้านำเข้าจีน-อินเดียทุบราคา จับตาทางรอดใหม่ในตลาด Premium appeared first on THE STANDARD.

]]>
กนง. มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% พร้อมส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว ‘ชัดเจน’ SCB EIC ประเมินหั่นอีกรอบ ‘ครึ่งแรกปีหน้า’ รับความเสี่ยงภาวะเงินฝืด-บาทแข็งค่า https://thestandard.co/monetary-policy-committee-mpc-unanimously/ Thu, 18 Dec 2025 03:59:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1155926 กนง. มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% พร้อมส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว ‘ชัดเจน’ SCB EIC ประเมินหั่นอีกรอบ ‘ครึ่งแรกปีหน้า’ รับความเสี่ยงภาวะเงินฝืด-บาทแข็งค่า

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา กนง. มีมติเอกฉันท์ให้ล […]

The post กนง. มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% พร้อมส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว ‘ชัดเจน’ SCB EIC ประเมินหั่นอีกรอบ ‘ครึ่งแรกปีหน้า’ รับความเสี่ยงภาวะเงินฝืด-บาทแข็งค่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
กนง. มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% พร้อมส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว ‘ชัดเจน’ SCB EIC ประเมินหั่นอีกรอบ ‘ครึ่งแรกปีหน้า’ รับความเสี่ยงภาวะเงินฝืด-บาทแข็งค่า

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา กนง. มีมติเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% มาอยู่ที่ 1.25% เพื่อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายภายใต้เศรษฐกิจที่จะชะลอลงชัดเจนและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นการบรรเทาภาระหนี้กลุ่มเปราะบางและเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงิน มองไปข้างหน้า กนง. พร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่อาจเปลี่ยนแปลง โดยคำนึงถึงเสถียรภาพระบบการเงินระยะยาว และ Policy space ที่มีจำกัด

 

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และภาวะการเงิน กนง. ประเมินว่า

 

  • เศรษฐกิจจะชะลอลงชัดเจน จากการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามรายได้ การส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และมีปัจจัยลบ/ปัจจัยเสี่ยงเข้ามาเพิ่มเติม ได้แก่ (1) สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ จะยังส่งผลลบต่อเศรษฐกิจต่อเนื่องไปถึงช่วงปีหน้า และ (2) ความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจทำให้งบประมาณปี 2027 ประกาศใช้ล่าช้า
  • อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะเฉลี่ยติดลบ และไม่เข้ากรอบเป้าหมายในปีหน้า โดยยังคงเป็นผลจากราคาพลังงาน
    ที่ปรับลดลงตามราคาพลังงานโลก และมาตรการอุดหนุนของภาครัฐ โดยความเสี่ยงภาวะเงินฝืดยังมีไม่มาก
  • สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง จากทั้งความต้องการสินเชื่อที่ลดลงตามการชะลอลงของอุปสงค์ในประเทศ และสถาบันการเงินที่ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เงินบาทแข็งค่านำสกุลเงินภูมิภาค ตามแนวโน้มนโยบายการเงินสหรัฐฯ และปัจจัยเฉพาะของไทย
  • 3 ปัจจัยหลักที่ กนง. จะติดตาม ได้แก่ 1) มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจมีออกมาเพิ่มเติม 2) การขยายตัวของสินเชื่อและการแข็งค่าของเงินบาท และ 3) ความเสี่ยงเงินฝืด

 

SCB EIC มองว่าการสื่อสารของ กนง. ในครั้งนี้ต่างจากการสื่อสารในครั้งก่อนๆ หลายประเด็น ได้แก่

 

  1. กนง. มองเศรษฐกิจชะลอตัวลง “ชัดเจน” ในปีหน้า โดยเน้นสื่อสารปัจจัยลบ และความเสี่ยงเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามากกว่าการสื่อสารถึงตัวเลขเศรษฐกิจและการส่งออกที่ออกมาค่อนข้างดีในช่วงที่ผ่านมา และเปิดเผยมุมมองต่อเศรษฐกิจปี 2027 เพิ่มเติมด้วยว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นแต่จะยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งเป็นการสื่อสารให้ภาพเศรษฐกิจไปข้างหน้าที่ค่อนข้างระมัดระวัง โดยประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2027 จะขยายตัวได้เพียง 2.3%YOY 
  2. กนง. จะติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่าง “ใกล้ชิด” โดยเริ่มสื่อสารถึงแรงกดดันด้านอุปสงค์ในประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการสื่อสารเพิ่มเติมจากการประชุมรอบก่อนๆ ที่เน้นประเด็นว่าความเสี่ยงเงินฝืดมีน้อย
    โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงปัจจัยด้านอุปสงค์มากนัก แต่ในรอบนี้เริ่มพูดถึงปัจจัยด้านอุปสงค์ที่มีบทบาทประคอง
    เงินเฟ้อทั่วไปได้น้อยลง
  3. กนง. กังวลบาทแข็งค่านำสกุลเงินภูมิภาค พร้อมพิจารณามาตรการลดแรงกดดันบาทแข็ง ซึ่งโดยปกติแล้ว กนง. มักไม่กล่าวถึงมาตรการดูแลเงินบาทใน Statement

 

โดยรวม Statement ในครั้งนี้ให้ท่าทีผ่อนคลาย (Dovish tone) มากกว่าการสื่อสารครั้งก่อนๆ และให้น้ำหนักกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจ และการตึงตัวของภาวะการเงินชัดเจนมากขึ้น

 

IMPLICATIONS

 

SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งภายในครึ่งแรกของปีหน้า เนื่องจาก

  • อัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องสอดคล้องกับ เศรษฐกิจไทยที่จะโตต่ำกว่าศักยภาพไปอีกอย่างน้อย 2 ปี
    • โดย กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2026 จะขยายตัวเพียง 1.5%YOY (เท่ากับประมาณการของ SCB EICณ ธันวาคม 2025) เป็นระดับการเติบโตที่ต่ำที่สุดนอกช่วงวิกฤต ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กนง. ยังมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2027 จะยังทำได้ไม่เต็มที่เนื่องจากเผชิญแรงกดดันหลายด้าน
      จึงทำให้เศรษฐกิจในช่วง 3 ปีนี้ (2025 – 2027) มีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.0%YOY ซึ่งต่ำกว่าระดับศักยภาพและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจไทยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจต้องปรับลดลงอีกเพื่อให้สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจที่จะขยายตัวต่ำและฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่

 

  • อัตราเงินเฟ้อไทยที่อยู่ต่ำมากเป็นระยะเวลายาวนาน อาจกดดันการทำกำไรของภาคธุรกิจและการเติบโตของรายได้ครัวเรือน 
    • ในช่วงที่ผ่านมาระดับราคาผู้บริโภคไทยแทบไม่เติบโตเลย ซึ่งไม่สอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ แต่มีทิศทางคล้ายกับระดับราคาผู้บริโภคจีนซึ่งประสบปัญหาอุปสงค์ในประเทศซบเซาที่ค่อนข้างรุนแรง และหากดูจากประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของ ธปท. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2024-2026 จะเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.2% 
    • อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำมากนี้อาจกดดันการทำกำไรของภาคธุรกิจที่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มได้ ซึ่งจะส่งผลมายังรายได้ของครัวเรือนที่เติบโตได้ต่ำ นอกจากนี้ อาจทำให้ครัวเรือนเผชิญกับภาวะ “Debt deflation” ผ่านภาระหนี้ครัวเรือนที่ลดลงช้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไม่ได้อยู่ในระดับเหมาะสมที่จะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนในรูปมูลค่าที่แท้จริงได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นกลไกที่ลดทอนกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และอาจเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) 

 

  • ภาวะการเงินจะยังคงตึงตัวต่อภาคครัวเรือนและ SMEs ขณะที่ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง สะท้อนผ่านยอดสินเชื่อคงค้างที่หดตัวเป็นวงกว้าง นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจึงจะเข้ามามีบทบาทในการลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ ซึ่งจะช่วยให้ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวน้อยลง

 

สำหรับมุมมองนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอีกครั้งมาอยู่ที่ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปี 2026 เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำผ่านการลดต้นทุนทางการเงิน บรรเทาภาระหนี้สิน และเพื่อเพิ่มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายให้สูงขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะ Debt deflation ที่อาจกดดันการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้นได้ในระยะข้างหน้า

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับออนไลน์ได้ที่:

https://www.scbeic.com/th/detail/product/policy-rate-171225?utm_source=Influencer&utm_medium=Influencer

The post กนง. มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% พร้อมส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว ‘ชัดเจน’ SCB EIC ประเมินหั่นอีกรอบ ‘ครึ่งแรกปีหน้า’ รับความเสี่ยงภาวะเงินฝืด-บาทแข็งค่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติยืนยัน ไม่ได้ปิดประตูสำหรับการลดดอกเบี้ยต่อ ย้ำพร้อมปรับนโยบาย หากเศรษฐกิจแย่กว่าคาด https://thestandard.co/thailand-bot-rate-cut-policy/ Wed, 17 Dec 2025 11:46:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1155806 แบงก์ชาติยืนยัน ไม่ได้ปิดประตูสำหรับการลดดอกเบี้ยต่อ ย้ำพร้อมปรับนโยบาย หากเศรษฐกิจแย่กว่าคาด

กนง.ยืนยันไม่ได้ปิดทางลดดอกเบี้ยต่อ ย้ำไม่ได้ลดดอกเบี้ย […]

The post แบงก์ชาติยืนยัน ไม่ได้ปิดประตูสำหรับการลดดอกเบี้ยต่อ ย้ำพร้อมปรับนโยบาย หากเศรษฐกิจแย่กว่าคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติยืนยัน ไม่ได้ปิดประตูสำหรับการลดดอกเบี้ยต่อ ย้ำพร้อมปรับนโยบาย หากเศรษฐกิจแย่กว่าคาด

กนง.ยืนยันไม่ได้ปิดทางลดดอกเบี้ยต่อ ย้ำไม่ได้ลดดอกเบี้ยแบบ ‘Hawkish Cut’ แต่พร้อมปรับนโยบาย หากสถานการณ์แย่กว่าคาด ด้านกรุงศรีฯ มองกนง.มีท่าทีที่ระมัดระวังต่อความเสี่ยงที่ไทยจะสูญเสียโมเมนตัมในการเติบโตทางเศรษฐกิจ คาดปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569

 

วันนี้ (17 ธันวาคม) สักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวในงานแถลงผลการประชุม กนง. โดยระบุว่า แถลงการณ์ล่าสุดไม่ได้มีลักษณะเป็น ‘Hawkish Cut’ หรือลดดอกเบี้ยแล้วเตือนว่า จะไม่ลดต่อง่ายๆ พร้อมทั้งย้ำว่า แถลงการณ์ล่าสุดเป็นลักษณะ ‘เป็นกลาง’ เนื่องจาก แถลงการณ์ของกนง. ระบุว่า จะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อต่อไป และพร้อมปรับนโยบายหากแนวโน้มเปลี่ยนไปจากที่คาดการณ์ไว้

 

สำหรับปัจจัยที่จะทำให้ กนง. พิจารณาปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม สักกะภพกล่าวว่า คือหากเศรษฐกิจแย่กว่าที่คาด หรือความเสี่ยงภาวะเงินฝืดเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงภาวะการเงินด้วย

 

“คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยจะติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงเศรษฐกิจการเงินและพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะเดียวกันควรคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว และขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัดในการรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด” แถลงการณ์ระบุ

 

ทั้งนี้ ในวันที่ 17 ธันวาคม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี มาอยู่ที่ 1.25% ต่อปี การปรับลดครั้งนี้ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อเดือนมกราคม 2566

 

เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยหลัง กนง. ประกาศลดดอกเบี้ย

 

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยไปอยู่ที่ 31.52 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากประกาศลดอัตราดอกเบี้ย โดย กนง. ระบุว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามความคาดหวังของตลาดต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และปัจจัยเฉพาะของไทย กนง. เห็นพ้องกันที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงิน และพิจารณาแนวทางในการบริหารจัดการธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่สร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่อค่าเงินบาท

 

พร้อมทั้งกล่าวต่อว่า ในการแถลงของ กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2569 และปี 2570 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากครึ่งแรกของปี 2568 โดยการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง และภาคส่งออกเริ่มรับรู้ถึงผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภาคการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง และอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องจนถึงต้นปีหน้า ธปท.คาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ในปี 2568 อยู่ที่ 2.2% ในปี 2569 อยู่ที่ 1.5% และ ในปี 2570 อยู่ที่ 2.3%

 

กรุงศรีฯ มองกนง.มีท่าทีที่ระมัดระวัง คาดปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569

 

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ยังระบุต่อว่า สำหรับการประชุม กนง. ในครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2569 โดยการสื่อสารในวันนี้สะท้อนถึงท่าทีที่ระมัดระวังต่อความเสี่ยงที่ไทยจะสูญเสียโมเมนตัมในการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

โดยกนง. ย้ำว่านโยบายการเงินควรสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และคำนึงถึงพื้นที่ในการดำเนินนโยบายทางการเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด

 

โดย กรุงศรีฯ มองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ กนง. จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.00% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ความล่าช้าในกระบวนการอนุมัติงบประมาณปี 2570 และความท้าทายด้านความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ แม้ว่าบางประเด็นจะเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างก็ตาม

The post แบงก์ชาติยืนยัน ไม่ได้ปิดประตูสำหรับการลดดอกเบี้ยต่อ ย้ำพร้อมปรับนโยบาย หากเศรษฐกิจแย่กว่าคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
กนง.ถกเข้ม ‘ค่าเงินบาท’ ห่วง ‘บาทแข็ง’ ทะลุ 8% เกินปัจจัยพื้นฐาน-นำสกุลภูมิภาค https://thestandard.co/thailand-baht-strong-8percent/ Wed, 17 Dec 2025 11:39:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1155802 กนง.ถกเข้ม ‘ค่าเงินบาท’ ห่วง ‘บาทแข็ง’ ทะลุ 8% เกินปัจจัยพื้นฐาน-นำสกุลภูมิภาค

กนง.ถกเข้ม ‘ค่าเงินบาท’ ห่วง ‘บาทแข็ง’ เกินปัจจัยพื้นฐา […]

The post กนง.ถกเข้ม ‘ค่าเงินบาท’ ห่วง ‘บาทแข็ง’ ทะลุ 8% เกินปัจจัยพื้นฐาน-นำสกุลภูมิภาค appeared first on THE STANDARD.

]]>
กนง.ถกเข้ม ‘ค่าเงินบาท’ ห่วง ‘บาทแข็ง’ ทะลุ 8% เกินปัจจัยพื้นฐาน-นำสกุลภูมิภาค

กนง.ถกเข้ม ‘ค่าเงินบาท’ ห่วง ‘บาทแข็ง’ เกินปัจจัยพื้นฐาน-นำสกุลภูมิภาค เห็นควรยกระดับติดตามและตรวจสอบธุรกรรมสร้างที่แรงกดดัน

 

สักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่รวดเร็วและค่อนข้างเยอะ เป็นประเด็นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พูดคุยค่อนข้างมากในการประชุมรอบนี้

 

โดยตั้งแต่ต้นปีพบว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ที่แข็งค่าขึ้นกว่า 4%

 

“กนง. จึงได้ประเมินและเห็นว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเริ่มมีลักษณะที่ ‘เกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน’ มากขึ้น” สักกะภพกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม สักกะภพกล่าวต่อว่า ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ยกระดับการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด รวมถึงพิจารณาแนวทางดำเนินการกับธุรกรรมที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ แบ่งเป็นมาตรการที่ดำเนินการแล้ว และมาตรการอยู่ระหว่างการดำเนินการ

 

โดยมาตรการที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ ปรับแนวปฏิบัติและให้ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารก่อนรับทำธุรกรรม FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ โดยต้องเรียกตรวจหลักฐานทุกธุรกรรม

 

ส่วนมาตรการอยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ การให้ผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมทองคำอย่างละเอียด และการเข้าตรวจสอบธุรกรรมขาย FX เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปกติ

 

“ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้าดูแลความผันผวนของตลาดเงินอยู่แล้ว และในช่วงที่ผ่านมาได้เข้าดูแลมากกว่าปกติเนื่องจากความผันผวนสูง นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ยกระดับการติดตามเรื่องค่าเงินบาท โดยให้ความสำคัญกับการดูแลเงินทุนที่ไหลเข้ามาตั้งแต่จุดเริ่มต้น” สักกะภพกล่าว

 

สักกะภพระบุอีกว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยลง ท่ามกลางราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นยังเป็นปัจจัยเฉพาะที่ซ้ำเติมให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนเพิ่มขึ้น

The post กนง.ถกเข้ม ‘ค่าเงินบาท’ ห่วง ‘บาทแข็ง’ ทะลุ 8% เกินปัจจัยพื้นฐาน-นำสกุลภูมิภาค appeared first on THE STANDARD.

]]>
EXIM BANK เตือนส่งออกไทยปีหน้า ‘อาจโตเหลือ 0%’ ประเมินเงินบาทแข็งค่า 1 บาท ฉุดกำไรผู้ส่งออก 2% https://thestandard.co/exim-bank-warns-that-thai/ Wed, 17 Dec 2025 09:54:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1155763 EXIM BANK เตือนส่งออกไทยปีหน้า ‘อาจโตเหลือ 0%’ ประเมินเงินบาทแข็งค่า 1 บาท ฉุดกำไรผู้ส่งออก 2%

EXIM BANK เตือนส่งออกไทยปีหน้าอาจโต 0-2% พร้อมชำแหละปัญ […]

The post EXIM BANK เตือนส่งออกไทยปีหน้า ‘อาจโตเหลือ 0%’ ประเมินเงินบาทแข็งค่า 1 บาท ฉุดกำไรผู้ส่งออก 2% appeared first on THE STANDARD.

]]>
EXIM BANK เตือนส่งออกไทยปีหน้า ‘อาจโตเหลือ 0%’ ประเมินเงินบาทแข็งค่า 1 บาท ฉุดกำไรผู้ส่งออก 2%

EXIM BANK เตือนส่งออกไทยปีหน้าอาจโต 0-2% พร้อมชำแหละปัญหาเชิงโครงสร้าง ชี้ SMEs ขาดผู้เล่นหน้าใหม่ มีส่วนสร้างรายได้ส่งออกต่ำไม่ถึง 10% น้อยกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามถึง 3 เท่า ห่วงบาทแข็ง เตือนค่าเงินบาทแข็งค่า 1 บาท กำไรผู้ส่งออกอาจลดลง 2%

 

วันนี้ (17 ธันวาคม) ชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า แม้การส่งออกของไทยในปี 2568 จะมีแนวโน้มขยายตัวสูงราว 13%YoY แต่การฟื้นตัวดังกล่าวเป็นผลจากฐานที่ต่ำในช่วงครึ่งแรกของปีก่อน ควบคู่กับการเร่งนำเข้าสินค้าของประเทศคู่ค้า (Front-loading) มากกว่าเป็นผลของการเติบโตเชิงโครงสร้าง

 

ขณะที่แนวโน้มในปี 2569 ยังนับว่าน่ากังวล โดย EXIM BANK ประเมินว่า การส่งออกไทยอาจขยายตัวได้เพียง 0-2% จากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งฐานการส่งออกที่ปรับสูงขึ้น และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนความผันผวนของค่าเงินบาท ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ส่งออกไทย

 

นอกจากนี้ ชลัชยังห่วงสถานการณ์ของสกุลเงินบาทที่ ‘แข็งค่า’ ต่อเนื่อง ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ส่งออก โดยกล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1 บาท จะกระทบต่อกำไรของผู้ส่งออกเกือบ 2% และหากแข็งค่าขึ้นเป็น 2 บาท กำไรของผู้ส่งออกอาจหายไปสูงถึง 5%

 

ณ วันนี้ ค่าเงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยแข็งค่าขึ้นราว 8.5% ตั้งแต่ต้นปี (YTD)

 

EXIM BANK เปิดปัญหาเชิงโครงสร้างส่งออกไทย

 

นอกเหนือจากปัจจัยภายนอก ชลัชระบุอีกด้วยว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศยังเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ฉุดรั้งภาคการส่งออกของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะจำนวนผู้ส่งออกที่แทบไม่เพิ่มขึ้นในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

 

โดยจากข้อมูลของ EXIM BANK พบว่า ไทยมีผู้ส่งออก 26,932 ในปี 2556 ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับระดับ 27,007 รายในปี 2567 โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการ SMEs ถึง 20,588 ราย คิดเป็นสัดส่วน 76.2% ของผู้ส่งออกทั้งหมด และผู้ส่งออกรายใหญ่ 6,419 ราย คิดเป็นสัดส่วน 23.8%

 

แม้จะมีจำนวนมากในมิติปริมาณ แต่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยกลับสร้างมูลค่าส่งออกได้เพียง 9.6% ของมูลค่ารวม ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ครองสัดส่วนมูลค่าส่งออกสูงถึง 90.4% ซึ่งหากเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค จะพบว่า ผู้ส่งออกในกลุ่ม SMEs ของเวียดนาม ครองสัดส่วนด้านมูลค่ามากกว่า SMEs ไทยถึง 3 เท่า

 

นอกจากนี้ ชลัชยังเตือนว่า ตลาดโลกมีแนวโน้ม ‘เลือกข้าง’ มากขึ้น หากผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ยังพึ่งพาตลาดหลักเดิม เช่น สหรัฐฯ หรือจีนเป็นหลัก จะเผชิญความเสี่ยงสูงจากมาตรการกีดกันทางการค้า การขึ้นภาษีนำเข้า หรือการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวด

 

ชู 4 แนวทางขับเคลื่อนการส่งออกปี 2569

 

เพื่อช่วยเหลือภาคส่งออกไทยให้สามารถปรับตัว ทั้งในด้านการกระจายตลาด การยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน และการแก้ไขข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า EXIM BANK ดำเนินการโดยยกระดับบทบาท จากสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อ ไปสู่การเป็น ‘Export Co-pilot’ เพื่อร่วมขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก ผ่าน 4 แนวทางหลัก ดังนี้

 

1) เติมสภาพคล่อง มุ่งเป้าตลาดใหม่ (Liquidity for New Frontiers)

 

ชลัชยืนยันว่า จุดยืนของ EXIM Bank ไม่ใช่การแข่งขันรีไฟแนนซ์กับธนาคารพาณิชย์ แต่จะเป็นการเติมสภาพคล่องในส่วนที่ระบบการเงินยังเข้าไม่ถึง โดยมุ่งสนับสนุนผู้ส่งออกรายย่อย ให้ขยายตลาดจากตลาดเดิมที่มีการแข่งขันสูง ไปสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ (New Frontiers) อาทิ ตลาดที่มีกำลังซื้อสูงในตะวันออกกลาง และตลาดที่มีประชากรมากอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และจีนตอนกลาง

 

2) แก้หนี้ด้วยออเดอร์

 

EXIM BANK ระบุว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้จะไม่จำกัดอยู่แค่การปรับโครงสร้างหนี้หรือลดอัตราดอกเบี้ย แต่จะมุ่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการขาดรายได้ โดยใช้แนวคิด ‘แก้หนี้ด้วยการหาออเดอร์’ ผ่านการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนควบคู่การช่วยเปิดตลาดใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาผลิตและส่งออก สร้างกำไร และนำรายได้ไปชำระหนี้เดิมได้อย่างยั่งยืน ผ่านสินเชื่อ EXIM Export Booster

 

3) สร้างเสถียรภาพธุรกิจ รองรับกติกาการค้าโลกด้วย ESG

 

ในบริบทที่กติกาการค้าโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว EXIM BANK ให้ความสำคัญกับการยกระดับผู้ประกอบการไทยให้คำนึงถึงความยั่งยืนและมาตรฐาน ESG เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และเสริมสร้างเสถียรภาพทางธุรกิจในระยะยาว

 

4) ยกระดับบทบาท Export Co-pilot สร้างผู้ส่งออกหน้าใหม่อย่างยั่งยืน

 

ชลัชระบุว่า EXIM BANK จะไม่ทำหน้าที่เพียงผู้ปล่อยสินเชื่อ แต่จะเป็น ‘Export Co-pilot’ หรือ ‘เพื่อนคู่คิด’ ที่ช่วยวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการส่งออกในแต่ละธุรกรรม ว่าสามารถสร้างกำไรได้จริงหรือไม่ ภายใต้ความผันผวนของตลาดและอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมกับเดินหน้าขยายฐานผู้ประกอบการ SMEs ในพอร์ต เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ส่งออกไทยและยกระดับ SMEs ในประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

 

มาตรการเร่งด่วน รับมือความเสี่ยงเฉพาะหน้า

 

นอกเหนือจากแผนขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างระยะยาว ชลัชระบุว่า EXIM BANK ได้เตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อประคับประคองผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงเฉพาะหน้า 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ความผันผวนของค่าเงินบาท สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และเหตุปะทะตามแนวชายแดน

 

1) แนะ SMEs ปรับมายด์เซ็ต จัดการความเสี่ยง รับมือ ‘บาทแข็ง’

 

ชลัชระบุว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังขาดเครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มีระบบจองซื้อเงินตราล่วงหน้า (Forward) และทีมบริหารจัดการความเสี่ยงโดยเฉพาะ

 

โดยชลัชกล่าวว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาท กำไรของผู้ส่งออกอาจลดลงเกือบ 2% และหากแข็งค่าขึ้น 2 บาท กำไรอาจหายไปถึง 5%

 

ชลัชชี้ว่า จุดอ่อนสำคัญของ SMEs คือการมุ่งแข่งขันด้านปริมาณหรือราคาเพื่อให้ได้ออเดอร์ โดยไม่คำนวณผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือบางรายอาจเลือกเก็งกำไรค่าเงินซึ่งมีความเสี่ยงสูง จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนแนวคิด โดยคำนวณต้นทุนและกำไรสุทธิก่อนรับออเดอร์ เพื่อให้การส่งออกยังคงสร้างผลตอบแทนที่แท้จริง

 

2) สินเชื่อฟื้นฟูอุทกภัยภาคใต้ วงเงิน 1 ล้านบาท

 

สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ EXIM BANK ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะเปิดกว้างครอบคลุมอุตสาหกรรมทุกกลุ่ม ไม่จำกัดเฉพาะผู้ส่งออก

 

โดยมาตรการดังกล่าวเป็นสินเชื่อฟื้นฟูสำหรับนิติบุคคล วงเงินสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0% ในปีแรก ระยะเวลาผ่อนชำระ 3 ปี สำหรับทุกอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้ทันที

 

3) ประคับประคองผู้ประกอบการชายแดน ป้องกันผลกระทบลุกลามเป็นหนี้เสีย

 

สำหรับกรณีปัญหาระหว่างประเทศหรือชายแดน ชลัชระบุว่า EXIM BANK จะใช้มาตรการพักหนี้และยืดหนี้ประมาณ 6 เดือนเพื่อดูสถานการณ์ โดยพยายามไม่ผลักให้เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะเกิดจากปัจจัยภายนอก ไม่ใช่ประสิทธิภาพ (Performance) ของธุรกิจ

 

อย่างไรก็ตาม ชลัชระบุว่า ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจเกิดขึ้นซ้ำได้ในอนาคต ผู้ประกอบการจึงไม่ควรรอให้สถานการณ์คลี่คลายเพียงอย่างเดียว แต่ควรเร่งกระจายตลาดและหาตลาดใหม่ทดแทน เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและลดความเปราะบางของธุรกิจในระยะยาว

The post EXIM BANK เตือนส่งออกไทยปีหน้า ‘อาจโตเหลือ 0%’ ประเมินเงินบาทแข็งค่า 1 บาท ฉุดกำไรผู้ส่งออก 2% appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘คนละครึ่งพลัส’ ปลุกดัชนีอุตฯ ฟื้นรอบ 7 เดือน ส.อ.ท.ห่วงเบรกข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา วิกฤตสู้รบยืดเยื้อ https://thestandard.co/half-price-plus-scheme-boosts-industrial/ Wed, 17 Dec 2025 09:26:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1155753 ‘คนละครึ่งพลัส’ ปลุกดัชนีอุตฯ ฟื้นรอบ 7 เดือน ส.อ.ท.ห่วงเบรกข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา วิกฤตสู้รบยืดเยื้อ

ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม พ.ย. 2568 เพิ […]

The post ‘คนละครึ่งพลัส’ ปลุกดัชนีอุตฯ ฟื้นรอบ 7 เดือน ส.อ.ท.ห่วงเบรกข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา วิกฤตสู้รบยืดเยื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘คนละครึ่งพลัส’ ปลุกดัชนีอุตฯ ฟื้นรอบ 7 เดือน ส.อ.ท.ห่วงเบรกข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา วิกฤตสู้รบยืดเยื้อ

ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม พ.ย. 2568 เพิ่มเป็น 89.1 ขยับขึ้นในรอบ 7 เดือน จากแรงหนุนมาตรการเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวช่วง High Season การส่งออกข้าว G2G เบิกจ่ายงบปี 2569 ชี้ยังต้องจับตาน้ำท่วมภาคใต้ การค้าชายแดน การนำเข้าเพิ่ม และเงินบาทแข็งค่า เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทย

 

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 89.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 87.3 ในเดือนตุลาคม 2568 การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีดังกล่าว เป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย

 

อาทิ โครงการ คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน นอกจากนี้ การเข้าสู่ช่วง High Season ยังส่งผลเชิงบวกต่อการบริโภคสินค้า และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว

 

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการได้เร่งการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองต่อคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น สำหรับการจำหน่ายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี และก่อนวันหยุดยาวในเดือนธันวาคม ในส่วนของภาคการค้าการเจรจาการค้าเพื่อขยายตลาดส่งออกไทย

 

อาทิ การค้าข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government-to-Government หรือ G2G) กับจีน (ปริมาณ 5 แสนตัน) และสิงคโปร์ (ปริมาณ 1 แสนตัน) มีส่วนช่วยขยายตลาดส่งออกให้เกษตรกร ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มรายได้และกำลังซื้อในระดับภูมิภาค

 

นอกจากนี้ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 (ณ 1 ตุลาคม-21 พฤศจิกายน 2568) อยู่ที่ 24.18% จากเป้าหมาย 33% ในไตรมาส 1 ยังช่วยให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ และสนับสนุนการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม

 

ห่วงระงับข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชาชั่วคราว เสี่ยงขัดแย้งยืดเยื้อ

 

เกรียงไกร ระบุอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังมีปัจจัยลบหลายประการที่กดดันภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ สถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรม และบ้านเรือนเป็นวงกว้างก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ในช่วงเดือน ธ.ค. ปี 2568 และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องในปี 2569 ประมาณ 90,000 ล้านบาท

 

“การระงับข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชาชั่วคราว ยังทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อออกไป และกระทบต่อการค้าชายแดนอย่างต่อเนื่อง บวกกับการแข่งขันที่รุนแรงจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ก็เป็นแรงกดดันสำคัญ ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568”

 

สินค้าจากต่างประเทศยังคงทะลักเข้าไทยเพิ่ม 16.3%

 

โดยพบว่าการนำเข้า เพิ่มขึ้น +16.3% (YOY) จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น +8.68% (MOM) จากเดือนก่อน โดยเฉพาะสินค้าแผงวงจรไฟฟ้า (+28.69% YOY) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (+14.33% YOY) และเหล็ก (+8.23% YOY) ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศอย่างชัดเจน

 

นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อยู่ที่ -5.77% YTD (เทียบอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 1 มกราคม กับ 26 พฤศจิกายน 2568) ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบต่อรายได้และความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย

 

แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกจากหลายปัจจัยดังกล่าว แต่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญเนื่องจาก ความเสียหายจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ยังคงต้องได้รับการเร่งฟื้นฟูและเยียวยาเพื่อให้พื้นที่และกิจกรรมเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อีกทั้งการชะลอการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับไทย อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า

 

แนะ 3 เรื่องสำคัญถึงภาครัฐ

 

1. เสนอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ อาทิ เร่งให้บริษัทประกันจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว กองทุนซ่อมแซมเครื่องจักรและมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับผู้ประสบอุทกภัย

 

2. เสนอให้ภาครัฐยกระดับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำให้เป็นวาระแห่งชาติ

 

3. เสนอให้ภาครัฐพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงาน (Direct PPA) ไปสู่ยังภาคอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรม Data center เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านพลังงาน เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

The post ‘คนละครึ่งพลัส’ ปลุกดัชนีอุตฯ ฟื้นรอบ 7 เดือน ส.อ.ท.ห่วงเบรกข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา วิกฤตสู้รบยืดเยื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
10 ธุรกิจเสี่ยงตกงาน ปี 2569 นักวิชาการเตือน 5 สัญญาณอันตรายกดดัน GDP ไทยโตต่ำแค่ 1.6% https://thestandard.co/10-businesses-job-loss-gdp-1-6/ Wed, 17 Dec 2025 08:47:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1155726 10 ธุรกิจเสี่ยงตกงาน ปี 2569 นักวิชาการเตือน 5 สัญญาณอันตรายกดดัน GDP ไทยโตต่ำแค่ 1.6%

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2569 […]

The post 10 ธุรกิจเสี่ยงตกงาน ปี 2569 นักวิชาการเตือน 5 สัญญาณอันตรายกดดัน GDP ไทยโตต่ำแค่ 1.6% appeared first on THE STANDARD.

]]>
10 ธุรกิจเสี่ยงตกงาน ปี 2569 นักวิชาการเตือน 5 สัญญาณอันตรายกดดัน GDP ไทยโตต่ำแค่ 1.6%

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2569 พร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีหน้าเสี่ยงโตต่ำเพียง 1.6% ซึ่งสะท้อนจากภาวะโครงสร้างที่ยังเปราะบาง

 

โดยธุรกิจดาวรุ่ง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มดิจิทัลและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ขณะที่ ธุรกิจดาวร่วง เป็นกลุ่มดั้งเดิมที่ถูกดิสรัปชัน ร้านขายหนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ ร้านโชห่วย รถยนต์มือสอง

 

วันที่ 17 ธันวาคม ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้มีการจัดอันดับธุรกิจ ดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2569 โดยปัจจัยพื้นฐานมาจากเศรษฐกิจในปี 2569

 

และสภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวม คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวประมาณ 1.6%

 

รวมถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงสำรวจผู้ประกอบการและข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค การประเมินใช้เกณฑ์ 5 ด้าน เช่น ยอดขาย ต้นทุน กำไร ปัจจัยเสี่ยง และการแข่งขัน

 

10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2569

 

1. ธุรกิจ Cloud Service และธุรกิจบริการ Cyber Security Social Media และ Online Entertainment

 

2. ธุรกิจจัดทําคอนเทนต์ ธุรกิจ YouTuber การรีวิวสินค้า และ Influencer, ธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสาร เช่น ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต หรือ สัญญานสื่อสารต่างๆ, ธุรกิจนายหน้าออนไลน์ ขายสินค้า

 

3. ธุรกิจ E-commerce (ธุรกิจที่ทำการซื้อขายผ่านอิเล็กทรอนิกส์) ธุรกิจความเชื่อ (สายมู, หมอดู, ฮวงจุ้ย)

 

4. ธุรกิจการแพทย์และความงาม, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ธุรกิจเงินด่วน, โรงรับจำนำ, ธุรกิจ AI

 

5. ธุรกิจโลจิสติกส์ Delivery และคลังสินค้า, Street Food และตลาดนัดกลางคืน, ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ขายอาหาร อุปกรณ์และแฟชั่น และดูแลสัตว์

 

6. ธุรกิจพลังงานทดแทน เซ่น โซลาร์เซลล์, ธุรกิจอาหารเสริมสุขภาพและความงาม

 

7.ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการลงทุน หรือวางแผนทางการเงิน, ธุรกิจเกมส์

 

8. ธุรกิจให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (ธุรกิจ EV Charging Station) และติดตัง

 

ธุรกิจด้านการเงินธนาคาร Fintech และการชําระเงินผ่านระบบ เทคโนโลยี, Ed Tech (Technology in Education)

 

9. ธุรกิจประกันภัย, ประกันชีวิต,ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่มีแอลกอฮอลล์), ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม

 

10. ธุรกิจรถยนต์ EV, ธุรกิจการบิน, ธุรกิจร้านเสริมสวย ต่อผม ทําเล็บ , ธุรกิจดแลเกี่ยวกับสภาพเส้นผม, ธุรกิจผู้หยอดเหรียญเครืองดื่ม อาหาร และธุรกิจเครื่องสะดวกซัก, ธุรกิจด้านกีฬา เช่น ให้บริการสนาม อุปกรณ์

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

 


 

10 อันดับธุรกิจดาวร่วง ปี 2569

 

1. ร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Cafe) , ธุรกิจจําหน่ายและผลิตอุปกรณ์บันทึกข้อมูล

 

2. ร้านขายหนังสือ แผงหนังสือ และสื่อสิ่งพิมพ์

 

3. ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่มี Platform Online, ส่งหนังสือพิมพ์

 

4. ร้านโชห่วย (Traditional Trade)

 

5 . ธุรกิจผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

 

6. ธุรกิจถ่ายเอกสาร

 

7. ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบดั้งเดิม ไม่มีการออกแบบดีไซน์

 

8. ธุรกิจของเล่นเด็ก

 

9. ธุรกิจร้านถ่ายรูปและล้างอัดภาพ แบบดั้งเดิม

 

10. ธุรกิจรถยนต์มือสอง

 

จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยง

 

ทั้งนี้ ธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2569 สะท้อนจากปัจจัยเสี่ยง 5 เรื่องที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยและ ทำให้ยังไม่เปลี่ยนมุมมองเป็นบวก

 

ปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง: ความไม่ชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ นโยบายเศรษฐกิจ และผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุน

 

สถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา: ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาและการค้า

 

ความผันผวนของภาคการส่งออก: จากภาวะซัพพลายเชนโลกและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก

 

การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว: ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามคาด หากยังมีความกังวลเรื่องแก๊ง Scammer และสถานการณ์ภัยพิบัติต่างๆ

 

ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ: ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ปัญหาโครงสร้างการผลิต และการพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากเกินไป ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องเร่งแก้ไข

 

สำหรับแนวโน้มธุรกิจเด่น ได้มีการการวิเคราะห์ ภายใต้หลักการ ‘L-I-E-S’ ซึ่งหมายถึง การใช้ชีวิตยืนยาวอย่างยั่งยืน

 

L (Longevity) ธุรกิจสุขภาพและความงาม [6และอาหารเสริม/อาหารเพื่อสุขภาพ ยังคงโดดเด่น

 

I กลุ่มธุรกิจ ระบบคลาวด์/Data Center, Online Entertainment Social Media และ E-commerce เนื่องจากสังคมไทยเข้าสู่ยุค C Society ที่มีการใช้จ่ายแบบไร้เงินสด

 

E (Environment/Entertainment/Energy) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ ESG, EV , Green Energy , ธุรกิจเกม และ Entertainment Online

 

S (Security/Safety).ธุรกิจประกัน (ชีวิต สุขภาพ ภัย) และที่โดดเด่นเป็นพิเศษในภาวะความเสี่ยงสูงคือ ธุรกิจสายมู (ความเชื่อ, เครื่องราง, ดูดวง)

 

นอกจากนี้ ยังมีกรอบคิดที่ครอบคลุมทั้งหมดคือ M (Modern) ในกรอบที่เรียกว่า MILES ซึ่งเป็นแนวโน้มธุรกิจที่ทันสมัย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ (Gen Y, Gen Z) และตอบสนองความต้องการในยุคเศรษฐกิจขาลงที่เน้นความคุ้มค่า ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย

 

ภาพ: cosmaa/Getty images

The post 10 ธุรกิจเสี่ยงตกงาน ปี 2569 นักวิชาการเตือน 5 สัญญาณอันตรายกดดัน GDP ไทยโตต่ำแค่ 1.6% appeared first on THE STANDARD.

]]>