Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 18 Oct 2025 02:34:43 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทรัมป์ไม่สนโลกร้อน! ใช้พลังการทูตคว่ำมติเก็บภาษีคาร์บอนเรือขนส่ง เลื่อนไปอีกปี พร้อมจี้นานาชาติร่วมต้าน หวั่นเป็นภัยเศรษฐกิจ https://thestandard.co/shipping-carbon-tax-delayed/ Sat, 18 Oct 2025 02:34:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1132139 ทรัมป์ไม่สนโลกร้อน ใช้พลังการทูตคว่ำมติเก็บภาษีคาร์บอนเรือขนส่ง เลื่อนไปอีกปี พร้อมจี้ นานาชาติร่วมต้าน หวั่นเป็นภัยเศรษฐกิจ

ความหวังของกลุ่มนักสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่ต้องการผลักดันก […]

The post ทรัมป์ไม่สนโลกร้อน! ใช้พลังการทูตคว่ำมติเก็บภาษีคาร์บอนเรือขนส่ง เลื่อนไปอีกปี พร้อมจี้นานาชาติร่วมต้าน หวั่นเป็นภัยเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ไม่สนโลกร้อน ใช้พลังการทูตคว่ำมติเก็บภาษีคาร์บอนเรือขนส่ง เลื่อนไปอีกปี พร้อมจี้ นานาชาติร่วมต้าน หวั่นเป็นภัยเศรษฐกิจ

ความหวังของกลุ่มนักสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่ต้องการผลักดันการเก็บภาษีคาร์บอนต่อภาคการขนส่งทางเรือ เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เผชิญแรงต้านอย่างหนักจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ใช้พลังทางการเมืองและการทูตเข้าขัดขวางทุกวิถีทาง

 

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่ประชุมองค์การทางทะเลระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (IMO) มีมติเลื่อนการสรุปเรื่องการจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากภาคการขนส่งทางเรือออกไปอีกหนึ่งปี จากเดิมที่คาดว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการบังคับให้เรือขนส่งขนาดใหญ่ลดการปล่อยคาร์บอน หรือจ่ายค่าธรรมเนียมสูงถึง 380 ดอลลาร์ต่อหนึ่งตันของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

โดยการเลื่อนมติดังกล่าวถือเป็นผลลัพธ์ของการรณรงค์ที่ยืดเยื้อมาหลายเดือน โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ทั้งนักการทูต สมาชิกคณะรัฐมนตรี และตัวโดนัลด์ ทรัมป์เอง ต่างพร้อมใจกันร่วมกันคัดค้านแนวคิดนี้ โดยมองว่าเป็นภาษีคาร์บอนระดับโลกที่ไม่อาจยอมรับได้

 

ทั้งนี้ การลงมติครั้งล่าสุดจบลงด้วยคะแนน 49 ต่อ 57 เสียง เห็นชอบให้เลื่อนการตัดสินใจออกไปก่อน ส่งผลให้กลุ่มประเทศยุโรปและสหราชอาณาจักรซึ่งเคยสนับสนุนแนวทางเก็บภาษีคาร์บอนต้องพ่ายแพ้ ขณะที่สหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากประเทศคัดค้านนโยบายนี้อย่างซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และรัสเซีย

 

เทย์เลอร์ โรเจอร์ส โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ช่วยอเมริกาให้รอดพ้นจากแผนฉ้อโกงด้านสภาพภูมิอากาศ และเตือนให้ผู้นำประเทศอื่นละทิ้งวาระที่เป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ก่อนจะสายเกินไป พร้อมย้ำว่าการยับยั้งมติครั้งนี้คือชัยชนะของชาวอเมริกันและประเทศที่ไม่ยอมก้มหัวต่อข้อเรียกร้องด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม

 

หากย้อนไปในช่วงหลายเดือนก่อนการประชุม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เดินหน้ากดดันประเทศต่างๆ โดยอ้างเหตุผลด้านต้นทุนทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ โดยเริ่มมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทรัมป์จัดประชุมระหว่างหน่วยงานกลางเพื่อวางแผนต่อต้านภาษีคาร์บอน และต่อมาในเดือนสิงหาคม ได้ส่งหนังสือทูตไปยัง 108 ประเทศ เพื่อชี้แจงเหตุผลคัดค้าน

 

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์ใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ เตือนประเทศที่ยังสนับสนุนกรอบนโยบาย ‘Net-Zero Framework’ (NZF) อาจถูกเก็บภาษีตอบโต้ ด้วยการจำกัดการออกวีซ่า หรือถูกลงโทษทางการเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นแนวทางที่ทรัมป์มักจะใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันคู่เจรจาทางการเมือง

 

ด้านมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ระบุว่า ยืนยันว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของเศรษฐกิจชาติอย่างถึงที่สุด เนื่องจากภาษีคาร์บอนจะเพิ่มต้นทุนสินค้า กระตุ้นเงินเฟ้อ และกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ถึงแม้นักวิเคราะห์บางส่วนจะเห็นว่าผลกระทบอาจไม่รุนแรงถึงขั้นนั้นก็ตาม

 

และอีกประเด็นที่สหรัฐฯ ใช้เป็นเหตุผลหลักในการคัดค้าน คือความไม่ชัดเจนในการบริหารรายได้จากภาษีดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจกลายเป็นกองทุนสิ่งแวดล้อมไร้ความโปร่งใส มากกว่าจะใช้เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำตามที่เสนอไว้

 

นักวิเคราะห์มองว่า การออกมาคัดค้านของสหรัฐฯ ยังช่วยเปิดพื้นที่ให้ประเทศที่มีความลังเลหลายแห่งสามารถชะลอการตัดสินใจ โดยไม่ต้องเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติ และคาดว่าแนวโน้มลักษณะนี้อาจเกิดซ้ำในเวทีเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลกในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลื่อนมติครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มนักสิ่งแวดล้อม ซึ่งมองว่าเป็นความล้มเหลวของเป้าหมายลดโลกร้อน เนื่องจากที่ผ่านมาภาคขนส่งทางเรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 1,000 ล้านตันต่อปี และการชะลอการเก็บภาษีอาจเปิดช่องให้แต่ละประเทศออกกฎระเบียบของตนเอง สร้างความสับสนในระบบ และทำให้สหรัฐฯ สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ

 

แอนดรูว์ ฟอร์เรสต์ มหาเศรษฐีจากออสเตรเลียและผู้ก่อตั้ง Fortescue Metals Group ออกแถลงการณ์ประณามกลยุทธ์ข่มขู่ที่มีต่อประเทศสมาชิก IMO โดยยืนยันว่าบริษัทจะยืนเคียงข้างประเทศใดหรือบุคคลใดที่ถูกกดดัน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันปกป้องความยุติธรรมในเวทีระหว่างประเทศ

 

ส่วนทางฝั่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าไม่มีการข่มขู่เกิดขึ้นจริง แต่ในความจริงแล้วบรรยากาศการประชุมยังคงตึงเครียดจนถึงชั่วโมงสุดท้าย ก่อนที่ทรัมป์จะออกมาแสดงจุดยืนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เรียกร้องให้ทุกประเทศยืนเคียงข้างสหรัฐฯ และคัดค้านภาษีคาร์บอนที่ทรัมป์บอกว่าเปรียบเสมือนภาษีหลอกลวงระดับโลก พร้อมย้ำว่าสหรัฐจะไม่ยอมให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากนโยบายที่เพ้อฝันและไม่เป็นจริง

 

อ้างอิง:

The post ทรัมป์ไม่สนโลกร้อน! ใช้พลังการทูตคว่ำมติเก็บภาษีคาร์บอนเรือขนส่ง เลื่อนไปอีกปี พร้อมจี้นานาชาติร่วมต้าน หวั่นเป็นภัยเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่งออกสะดุด-เงินฝืดมาเยือน SCB EIC ชี้ ‘Quick Big Win’ พยุงได้ระยะสั้น แต่ไม่พอขับ GDP ให้เร่งตัว https://thestandard.co/market-focus-quick-big-win/ Sat, 18 Oct 2025 02:20:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1132125 ส่งออกสะดุด-เงินฝืดมาเยือน SCB EIC ชี้ ‘Quick Big Win’ พยุงได้ระยะสั้น แต่ไม่พอขับ GDP ให้เร่งตัว

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงมาก เสี่ยงโตไม่ถึง 1% ต […]

The post ส่งออกสะดุด-เงินฝืดมาเยือน SCB EIC ชี้ ‘Quick Big Win’ พยุงได้ระยะสั้น แต่ไม่พอขับ GDP ให้เร่งตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่งออกสะดุด-เงินฝืดมาเยือน SCB EIC ชี้ ‘Quick Big Win’ พยุงได้ระยะสั้น แต่ไม่พอขับ GDP ให้เร่งตัว

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงมาก เสี่ยงโตไม่ถึง 1% ตลอดครึ่งปีหลังถึงครึ่งแรกปีหน้า การส่งออกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน หลังสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้

 

  • ส่งออกมีแนวโน้มหดตัวสูงในช่วงที่เหลือของปีนี้ถึงปี 2569 แม้ส่งออกเดือน ส.ค. ยังโต 5.8% แต่ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยเฉพาะ เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และทองคำ ตัวเลขส่งออกที่ไม่รวมปัจจัยเฉพาะหดตัวราว -2% สะท้อนผลกระทบภาษีทรัมป์ชัดเจนขึ้น

 

  • การบริโภคภาคเอกชนน่าห่วง จากหนี้ครัวเรือนสูง ท่ามกลางรายได้ฟื้นช้า สินเชื่อหดตัว และความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ

 

  • อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยฟื้นตัวดีขึ้น ภาครัฐเตรียมออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญของไทย

 

ในระยะต่อไป ต้องติดตามความเสี่ยงเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน โดยเฉพาะความเสี่ยงเงินฝืด

 

  • SCB EIC ประเมินเงินเฟ้อไทยเฉลี่ยใกล้ศูนย์ในปีนี้และปีหน้า ปีนี้มองติดลบ -0.1% และปีหน้าอยู่ที่ 0.2% ผลจากราคาพลังงานที่ลดลงและมาตรการช่วยค่าครองชีพของรัฐบาล ตลอดจนอุปสงค์ในประเทศที่จะแผ่วลง

 

  • ความเสี่ยงเงินฝืดเพิ่มขึ้น จาก (1) เงินเฟ้อทั่วไปติดลบนาน 6 เดือนและอาจต่อเนื่องถึง Q1/2569 (2) สัดส่วนสินค้าที่ราคาลดลงเพิ่มต่อเนื่องเป็น 43% ของตะกร้าเงินเฟ้อ (3) รายได้ครัวเรือนฟื้นช้า หนี้สูง และอุปสงค์อ่อนแรง ส่งผลกดดันกำไร การลงทุน และการจ้างงานของภาคธุรกิจ

 

  • ดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มลดลงอีก SCB EIC คาด กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งเหลือ 1.25% ในเดือน ธ.ค. และอีกครั้งในช่วงต้นปี 2569 สู่ระดับ 1% เพื่อประคองเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง

 

นโยบาย Quick Big Win เน้นประคองเศรษฐกิจ แต่ผลกระตุ้นเพิ่มยังจำกัด

 

  • ชุดนโยบายรัฐบาลใหม่ Quick Big Win ช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่ผลกระตุ้นจำกัด มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” วงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาทจะช่วยหนุนการบริโภคในระยะสั้น แต่ผลบวกเพิ่มเติมต่อ GDP มีจำกัด เพราะจัดสรรจากงบประมาณเดิม ไม่ได้เพิ่มวงเงินกู้ใหม่ และการใช้จ่ายอาจลงเศรษฐกิจไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น ใช้จ่ายซื้อสินค้านำเข้า ใช้จ่ายให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการที่อยู่นอกระบบภาษี

 

เศรษฐกิจโลกจะเริ่มถูกกระทบจากภาษีทรัมป์ ขณะที่ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองโลกเร่งตัว

 

  • เศรษฐกิจโลกจะเริ่มชะลอลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และต่อเนื่องในปี 2569 โดยยังได้แรงหนุนจากนโยบายการคลังผ่อนคลายและดอกเบี้ยขาลง รวมถึงการลงทุน AI ในหลายประเทศ

 

  • ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กลับมาเร่งตัว สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีจีนอีก 100% ขณะที่ปัญหาการเมืองโลกรุนแรงขึ้น รัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญ Government shutdown และเสี่ยงยืดเยื้อ

 

  • ธนาคารกลางหลักผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง เช่น Fed คาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง รวม 75 bps ในปีนี้ ขณะที่ ECB จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งสู่ระดับ 1.75% ปลายปีนี้ สิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงรอบนี้ ด้าน PBOC จะผ่อนคลายดอกเบี้ยต่อเนื่องถึงปีหน้า

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับออนไลน์ได้ที่: https://www.scbeic.com/th/detail/product/eic-monthly-1025?utm_source=Influencer&utm_medium=Link&utm_campaign=EICMONTHLY_OCT_2025

The post ส่งออกสะดุด-เงินฝืดมาเยือน SCB EIC ชี้ ‘Quick Big Win’ พยุงได้ระยะสั้น แต่ไม่พอขับ GDP ให้เร่งตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนิติยืนยัน คณะทำงาน Connect the Dots เร่งหาที่มา-อุดช่องโหว่เงินเทา https://thestandard.co/ekniti-connect-the-dots-prince-group/ Fri, 17 Oct 2025 12:35:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1132086 ekniti-connect-the-dots-prince-group

วันนี้ (17 ตุลาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ […]

The post เอกนิติยืนยัน คณะทำงาน Connect the Dots เร่งหาที่มา-อุดช่องโหว่เงินเทา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ekniti-connect-the-dots-prince-group

วันนี้ (17 ตุลาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอบคำถามกรณีสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์บิตคอยน์จากผู้ก่อสร้างและประธานกลุ่มบริษัท Prince Holding Group ในกัมพูชา โดยระบุว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน ‘Connect the Dots’ ซึ่งได้ให้ ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง จัดตั้งขึ้นแล้ว 

 

โดยคณะทำงานนี้ประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย ตลอดจนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงิน

 

พร้อมกันนี้ ดร.เอกนิติ ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีว่า ไทยจำเป็นจะต้องมีการปรับหลักเกณฑ์เพื่ออุดช่องโหว่ในการสำแดงสินทรัพย์ (Declare) ในส่วนที่จะเข้ามาลงทุนภายในประเทศใหม่หรือไม่นั้น ดร.เอกนิติ ระบุว่า “จะต้องดูกัน” ต่อไป 

 

เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงคลังมีข้อมูลของธุรกิจไทยที่มีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มสแกมเมอร์แค่ไหน ดร.เอกนิติ ระบุว่า กระทรวงการคลังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของคณะทำงาน ‘Connect the Dots’ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจาก ปปง. เป็นหลัก เนื่องจากสแกมเมอร์อยู่ในขอบข่ายของเงินผิดกฎหมายนอกระบบ

The post เอกนิติยืนยัน คณะทำงาน Connect the Dots เร่งหาที่มา-อุดช่องโหว่เงินเทา appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอร์ดใหม่ ‘บีโอไอ’ ประเดิมอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ ‘ยานยนต์ไฟฟ้า – การแพทย์’ มูลค่า 7,000 ล้านบาท https://thestandard.co/boi-approve-hitachi-bdms-7bn/ Fri, 17 Oct 2025 08:58:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1131947 boi-approve-hitachi-bdms-7bn

บอร์ด ‘บีโอไอ’ ชุดใหม่อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ […]

The post บอร์ดใหม่ ‘บีโอไอ’ ประเดิมอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ ‘ยานยนต์ไฟฟ้า – การแพทย์’ มูลค่า 7,000 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
boi-approve-hitachi-bdms-7bn

บอร์ด ‘บีโอไอ’ ชุดใหม่อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการผลิต PCU Inverter สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าของ ‘ฮิตาชิ แอสเตโม เอเชีย’ มูลค่าลงทุน 3,500 ล้านบาท และโครงการ ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง (เคมีบำบัดและรังสีวิทยา) ของ ‘กรุงเทพดุสิตเวชการ’ มูลค่าลงทุน 3,496 ล้านบาท 

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ชุดใหม่ ซึ่งมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน เพื่อสนับสนุนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล 

 

ล่าสุด ที่ประชุมบีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และการแพทย์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ได้แก่

 

  1. บริษัท ฮิตาชิ แอสเตโม เอเชีย จำกัด โครงการผลิต PCU Inverter สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ จังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุน 3,500 ล้านบาท

 

  1. บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) โครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง (เคมีบำบัดและรังสีวิทยา) ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มูลค่าลงทุน 3,496 ล้านบาท โครงการนี้เป็นศูนย์โปรตอนแห่งที่ 2 ของไทยที่เน้นการรักษาด้วยอนุภาคโปรตอน

 

โดยบีโอไอจะตั้งทีมพิเศษเพื่อติดตามและเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับอนุมัติในช่วงปี 2566-2567 แต่ยังติดปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนจำนวนกว่า 70 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล (ดาต้าเซ็นเตอร์) อิเล็กทรอนิกส์ กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า และกิจการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 

 

พร้อมทั้งได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค 3 ด้าน ได้แก่ ด้านไฟฟ้า ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน และด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญร่วมกันของนักลงทุนในทุกอุตสาหกรรม โดยมีเลขาธิการบีโอไอ เป็นประธาน เพื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปลดล็อกอุปสรรคเหล่านี้โดยเร็ว  

 

นอกจากนี้ บีโอไอจะดำเนินการจัดทำระบบ Thailand FastPass เพื่อเป็นกลไกที่จะใช้ต่อเนื่องระยะยาวในการเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญ โดยจะวิเคราะห์เส้นทางการประกอบธุรกิจของอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกำหนดขั้นตอนการอนุมัติ/อนุญาตที่มีผลต่อการเริ่มต้นธุรกิจ จากนั้นจะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) เพื่อเป็นช่องทางพิเศษในการช่วยเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญให้ได้รับอนุญาตตามกรอบเวลาที่กำหนดใน SLA และสามารถเดินหน้าลงทุนจริงอย่างรวดเร็วที่สุด

 

ทั้งนี้ บอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโครงการเข้าสู่ระบบ ‘Thailand FastPass’ ซึ่งต้องเป็นโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์และชิ้นส่วน เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ดิจิทัลและ AI เป็นต้น อีกทั้งเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระดับสูง เช่น การจ้างงานบุคลากรไทย การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในประเทศ และการยกระดับเทคโนโลยี

 

“มาตรการเร่งรัดการลงทุนจะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการสร้างกลไก Thailand FastPass ซึ่งจะเป็นอาวุธใหม่ในการดึงดูดการลงทุนของประเทศไทย และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความสำคัญต่อประเทศ โดยจะช่วยแก้ปัญหา ลดขั้นตอนและระยะเวลา และเพิ่มความชัดเจนในกระบวนการอนุมัติและอนุญาตต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่อย่างรวดเร็วและเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านเม็ดเงินลงทุน การจ้างงาน และการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล” นฤตม์ กล่าว

 

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอเห็นชอบการเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตส่วนประกอบหลักของเซลล์แบตเตอรี่สำหรับแบตเตอรี่ความจุสูง (High Density Battery) ได้แก่ ขั้วแคโทด (Cathode) ขั้วแอโนด (Anode) อิเล็กโตรไลต์ (Electrolyte) และตัวแยกขั้วไฟฟ้า (Separator) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน 

 

โดยมีเป้าหมายดึงดูดผู้ประกอบการชั้นนำของโลกที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ และซัพพลายเชนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เข้ามาลงทุนตั้งฐานผลิตในไทย เพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าให้ครบวงจรและแข่งขันได้ในระดับโลก โดยการลงทุนในกิจการดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี 

The post บอร์ดใหม่ ‘บีโอไอ’ ประเดิมอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ ‘ยานยนต์ไฟฟ้า – การแพทย์’ มูลค่า 7,000 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดผลสำรวจ SCB EIC Real Estate Survey 2568 สัญญาณตลาดที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นเต็มตัว แต่ ‘บ้านมือสอง-เช่าซื้อ’ ขึ้นแท่นทางเลือกใหม่ https://thestandard.co/scbeic-housing-market-slow-recovery/ Fri, 17 Oct 2025 08:21:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1131922 scbeic-housing-market-slow-recovery

เจาะ 4 ประเด็นสำคัญ จากผลสำรวจ SCB EIC Real estate surv […]

The post เปิดผลสำรวจ SCB EIC Real Estate Survey 2568 สัญญาณตลาดที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นเต็มตัว แต่ ‘บ้านมือสอง-เช่าซื้อ’ ขึ้นแท่นทางเลือกใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
scbeic-housing-market-slow-recovery

เจาะ 4 ประเด็นสำคัญ จากผลสำรวจ SCB EIC Real estate survey 2568 และนัยต่อตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568-2569 

 

ผลสำรวจ SCB EIC Real estate survey 2568 สะท้อนสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในระยะต่อไปที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า จากผลกระทบของปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งส่งผลให้ปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคา และทำเลที่มีความสะดวก ยังคงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสูง รวมถึงทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง และตลาดการเช่าที่อยู่อาศัย ยังเป็นทางเลือกที่มีแนวโน้มได้รับความสนใจสูงอย่างต่อเนื่อง โดยสรุปออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญดังนี้

 

  1. กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568-2569 ในภาพรวมยังคงอ่อนแอ และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในช่วง 5 ปีข้างหน้า จากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน และราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่างค่อนข้างมาก และเริ่มส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-บนมากขึ้น รวมถึงเหตุผลด้านการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว 

 

โดยผลสำรวจ พบว่า สัดส่วนผู้ที่ไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายในช่วง 5 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 47% ของผู้ตอบแบบสอบถามโดยรวม ซึ่งยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจากผลสำรวจในช่วง 2 ปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 50%

 

สำหรับผู้ที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ยังคงมีสัดส่วนอยู่ในระดับต่ำที่ 27% ของผู้ตอบแบบสอบถามโดยรวม เนื่องจากส่วนหนึ่งตัดสินใจชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป เพื่อรอให้แรงกดดันทางเศรษฐกิจคลี่คลาย หรือมีความพร้อมทางการเงินมากขึ้น นอกจากนั้น แรงกดดันทางเศรษฐกิจยังส่งผลให้ผู้มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มลดงบประมาณในการซื้อลงอีกด้วย โดยสัดส่วนผู้ที่ระบุว่าจะลดงบประมาณการซื้อที่อยู่อาศัยลงจากที่ตั้งไว้เดิมอยู่ที่ 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย

 

กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงอ่อนแอดังกล่าว ส่งผลให้ SCB EIC คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ในตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 และ 2569 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องที่ระดับราว -10% ถึง -15%YOY ในปี 2568 และ -1% ถึง -5%YOY ในปี 2569 ตามลำดับ และอาจยังไม่สามารถกลับมาสู่ระดับ Pre-COVID ได้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

 

  1. ที่อยู่อาศัยมือสองยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความสนใจสูง จากปัจจัยด้านราคาที่ต่ำกว่ามือหนึ่งเป็นสำคัญ โดยผลสำรวจ พบว่า สัดส่วนผู้สนใจซื้อที่อยู่อาศัยมือสองในปี 2568 อยู่ที่ราว 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 63% โดยราคาที่อยู่อาศัยมือสองยังมีแนวโน้มทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยมือหนึ่งยังคงเร่งตัวขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความแตกต่างของระดับราคามือหนึ่งและมือสองยังมีสูง ส่งผลให้ผู้ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสามารถเข้าถึง และเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมือสองง่ายกว่ามือหนึ่ง 

 

โดยเฉพาะในกลุ่มทาวน์เฮาส์ และคอนโด ที่ผลสำรวจ พบว่า มีสัดส่วนผู้สนใจซื้อทาวน์เฮาส์ และคอนโดมือสองสูงกว่าที่อยู่อาศัยมือสองประเภทอื่น โดยคิดเป็นสัดส่วน 83% และ 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อทาวน์เฮาส์ และคอนโดในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตามลำดับ 

 

รวมถึงยังเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจปีก่อนหน้า เนื่องจากส่วนใหญ่ยังสามารถหาซื้อในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในทำเลที่มีความสะดวกในการเดินทางได้ ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างส่วนใหญ่ยังสามารถเข้าถึงได้มากกว่าราคามือหนึ่งในพื้นที่เดียวกัน อย่างไรก็ตาม SCB EIC คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในปี 2568-2569 จะมีแนวโน้มหดตัวตามสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในภาพรวม แต่เป็นอัตราการหดตัวที่ต่ำกว่ากลุ่มที่อยู่อาศัยมือหนึ่ง

 

  1. ความต้องการเช่ายังคงอยู่ในระดับสูง และการเช่าซื้อมีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มที่งบประมาณไม่พอที่จะซื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ทำให้ยังไม่สามารถเปลี่ยนจากการเช่ามาเป็นการซื้อได้ โดยผลสำรวจ พบว่า 44% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เช่าที่อยู่อาศัยหรือมีความต้องการเช่าอยู่อาศัย ให้เหตุผลในการเช่าว่า งบประมาณไม่พอสำหรับการซื้อ รวมถึงยังมีกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยหลังที่สอง เพื่อความสะดวกในการเดินทาง แต่ยังไม่ต้องการซื้อขาด เนื่องจากไม่ต้องการภาระหนี้ระยะยาวเพิ่มเติม วางแผนจะเช่าอยู่เพียงในระยะกลาง หรือต้องการจ่ายค่าเช่ารายเดือนต่ำกว่าค่างวดผ่อนชำระ เป็นต้น

 

ขณะที่การนำเสนอรูปแบบการเช่าซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโด ที่มีความต้องการเช่าและความต้องการซื้อสูง จากความสามารถในการตอบโจทย์ด้านทำเล มีแนวโน้มดึงดูดกลุ่มผู้ที่มีความต้องการเช่า โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำได้ดี 

 

โดยผลสำรวจ พบว่า ราว 2 ใน 3 ของผู้ที่เช่าอาศัยอยู่หรือมีความต้องการเช่าอาศัย สนใจที่จะเปลี่ยนจากการเช่าคอนโด มาซื้อคอนโดในรูปแบบการเช่าซื้อแทนในช่วง 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังสามารถจ่ายค่าเช่าในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่เดิม แต่เพิ่มโอกาสการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในอนาคต อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เช่าที่อยู่อาศัย หรือมีความต้องการเช่า เนื่องจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ยังคาดหวังว่าจะสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในระยะข้างหน้า แต่คาดว่าต้องใช้เวลาอีกนาน อย่างต่ำมากกว่า 5 ปี กว่าสถานการณ์ทางการเงินจะเริ่มคลี่คลายมากพอจนสามารถซื้อ

ที่อยู่อาศัยได้

 

  1. ปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคายังคงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด ขณะที่ปัจจัยด้านทำเลยังคงมีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ยังคงส่งผลต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ทำให้ 39% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า ยังให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคา หรือราคาที่เข้าถึงได้มากที่สุด ซึ่งครอบคลุมถึงที่อยู่อาศัยที่ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่ามีมูลค่าสูงกว่าที่จ่าย หรือสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย

 

เช่นเดียวกับปัจจัยด้านทำเลที่ยังคงได้รับความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความสะดวกต่อการเดินทาง ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และด้านการอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจัยด้านทำเลมีแนวโน้มส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นในระยะต่อไป สะท้อนจากสัดส่วนผู้ที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านทำเลเป็นอันดับแรกยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า จากการสำรวจในช่วง 2 ปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 26% 

 

ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ที่สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจในประเทศยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า 

 

SCB EIC มองว่ายังเป็นจังหวะที่ดีในการตัดสินใจซื้อ สำหรับกลุ่มที่มีความสามารถในการผ่อนชำระเพียงพอ โดยต้องพิจารณาปัจจัยอื่นอย่างรอบคอบด้วย เช่น ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ขณะที่กลุ่มที่ยังไม่มีแผนจะซื้อ เนื่องจากข้อจำกัดทางการเงิน ควรพิจารณาทางเลือกในการเช่า หรือเช่าซื้อไปก่อน เพื่อรักษาสภาพคล่อง 

 

กลุ่มที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 3 ปี ที่มีความพร้อมทางการเงินหรือมีความสามารถในการผ่อนชำระ ยังเป็นจังหวะที่ดีในการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีแนวโน้มแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ท่ามกลางสถานการณ์กำลังซื้อในตลาดที่มีอยู่จำกัด ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในช่วงขาลง และโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยสถาบันการเงินของรัฐที่มีการออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจพิจารณาที่อยู่อาศัยมือสองในด้านความคุ้มค่าของราคาหรือทำเล ควบคู่กับมือหนึ่งด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระในระยะต่อไป งบประมาณการปรับปรุงซ่อมแซมเพิ่มเติมในกรณีซื้อที่อยู่อาศัยมือสอง รวมถึงระดับของผลตอบแทนจากการลงทุนและโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าวในระยะต่อไป ในกรณีที่ซื้อเพื่อการลงทุน เป็นต้น

 

กลุ่มที่ยังไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 3 ปี จากข้อจำกัดทางการเงิน ควรพิจารณาทางเลือกในการเช่าที่มักมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการซื้อและการเช่าซื้อไปก่อน เพื่อเลี่ยงภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและรักษาสภาพคล่อง หรือพิจารณาการเช่าซื้อเป็นทางเลือกเพิ่มเติม หากมีความสามารถทางการเงินมากขึ้นและมีความต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้เช่าซื้อต้องพิจารณารายละเอียดและเงื่อนไขการเป็นเจ้าของอย่างระมัดระวัง

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับออนไลน์ได้ที่: https://www.scbeic.com/th/detail/product/REsurvey2025-171025?utm_source=Influencer&utm_medium=Link&utm_campaign=INFOCUS_RESURVEY_OCT_2025

The post เปิดผลสำรวจ SCB EIC Real Estate Survey 2568 สัญญาณตลาดที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นเต็มตัว แต่ ‘บ้านมือสอง-เช่าซื้อ’ ขึ้นแท่นทางเลือกใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบสหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง https://thestandard.co/why-scam-gangs-thrive/ Fri, 17 Oct 2025 04:38:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1131738 รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง

ข่าวร้อนแรงเมื่อช่วงต้นปี 2568 การหายตัวไปของดาราจีนนำม […]

The post รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบสหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง

ข่าวร้อนแรงเมื่อช่วงต้นปี 2568 การหายตัวไปของดาราจีนนำมาสู่การทลาย ‘อาณาจักรแก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ในเมียนมา กระทั่งรัฐบาลไทยประกาศปราบปรามอย่างจริงจัง แต่ผ่านไปไม่กี่เดือน วันนี้การก่อสร้างโครงการกลับผุดขึ้นมาตามเมืองต่างๆ มากขึ้น และเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

จากข้อมูลจาก AFP รายงานว่า ภาพถ่ายดาวเทียมและโดรน แสดงให้เห็นโครงการก่อสร้างพื้นที่แห่งใหม่ ที่มีการควบคุมเข้มรอบเมืองเมียวดี ชายแดนไทย-เมียนมา หลังเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เหล่าแก๊งคอลเซนเตอร์หลายแห่งกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง

 

Starlink ของ SpaceX อีลอน มัสก์ ยังคงให้บริการอาณาจักรแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

โดยติดตั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจานดาวเทียมสตาร์ลิงก์ (Starlink) ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ซึ่งก่อตั้งโดยอีลอน มัสก์ เชื่อมโยงระบบเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติหลายสิบจาน บนหลังคาอาคารขนาดใหญ่ ในเขตพื้นที่ ‘KK Park’ หนึ่งในคอมเพล็กซ์ใหญ่ที่สุดของจังหวัดเมียวดี

 

โดย ‘KK Park’ เป็นเขตอุตสาหกรรมไซซีกัง อยู่ฝั่งตรงข้าม ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก อยู่ในเขตอิทธิพลของ พันตรี เต่งวิน รองผู้บังคับกองพันกองกำลัง (กะเหรี่ยง BGF) เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐบาลเมียนมา

 

รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง 2

 

พื้นที่แห่งนี้ เป็นจุดผ่านแดนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเมียนมา โดยมีศูนย์การค้าแบรนด์เนมหรู โรงแรม กาสิโนคอมเพล็กซ์ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งมีหมอประจำโรงพยาบาลเป็นคนจีน เป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลอกลวงคนจากประเทศต่างๆ ให้มาทำงานเป็นสแกมเมอร์ออนไลน์

 

ข้อมูลจากทะเบียนอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาคเอเชีย (APNIC) ชี้ว่าเดิม ‘สตาร์ลิงก์’ ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของเมียนมา

 

“แต่ปัจจุบันกลายเป็นผู้ให้บริการอันดับหนึ่ง ตั้งแต่เดือน ก.ค. 68 แม้ที่ผ่านมาจีน ไทยและเมียนมาจะร่วมกันปราบปราม และสามารถช่วยเหลือเหยื่อกว่า 7,000 คน แต่พบว่ามีแรงงานกว่า 100,000 คน ยังไม่สามารถช่วยเหลือออกมาได้”

 

การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ AFP จาก Planet Labs PBC ระบุว่า มีอาคารหลายสิบหลังกำลังก่อสร้างหรือกำลังถูกปรับเปลี่ยนในบริเวณที่ใหญ่ที่สุดใน KK Park ตั้งแต่เดือนมีนาคมมีการขยายอาณาจักร ก่อสร้างถนนและวงเวียนใหม่

 

ภาพจากโดรนของ AFP ยังบันทึกภาพการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินอยู่ โดยมีเครนและคนงานกำลังทำงานอย่างหนัก ซึ่งน่าจะเป็นอาคารสำนักงานใหญ่ และมีเรือข้ามฟากข้ามแม่น้ำเมยอย่างน้อย 5 แห่ง ที่ดูเหมือนจะให้บริการจากฝั่งไทย

 

จากการวิเคราะห์ของ AFP พบว่า มีการก่อสร้างศูนย์ต้องสงสัยอีก 27 แห่งในกลุ่มเมียวดี รวมถึงศูนย์ที่กระทรวงการคลัง ของสหรัฐฯ เรียกว่า ‘ชเวก๊กโก’ ชื่อดัง ที่อยู่ทางตอนเหนือของเมียวดี

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เดือนที่แล้ว สหรัฐฯ ได้คว่ำบาตรบุคคล 9 คนที่เกี่ยวข้องกับ ชเวก๊กโก (Shwekokko) และ เชอ จื้อเจียง มาเฟียอาชญากรชาวจีน ผู้ก่อตั้งศูนย์การค้า Yatai New City ในย่านนั้น

 

รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง 3

ภาพ: AFP

 

วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ร่อนจดหมายถึงอีลอน มัสก์ เรียกร้องทบทวนบทบาทสตาร์ลิงก์เมียนมา

 

สมาชิกวุฒิสภา แม็กกี้ ฮัสซัน สมาชิกพรรคเดโมแครต คนสำคัญในคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้มัสก์ระงับการให้บริการสตาร์ลิงก์แก่โรงงานฉ้อโกงเหล่านี้

 

“แม้ว่าคนส่วนใหญ่เห็นการส่งข้อความ โทรศัพท์ และอีเมลหลอกลวงที่เพิ่มมากขึ้น แต่พวกเขาอาจอาจไม่ทราบว่าอาชญากรข้ามชาติที่อยู่ห่างออกไปอีกซีกโลกอาจกำลังก่ออาชญากรรมเหล่านี้โดยใช้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากสตาร์ลิงก์”

 

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุว่า วุฒิสมาชิกรายนี้เขียนจดหมายถึงมัสก์ในเดือนกรกฎาคม เพื่อเรียกร้องคำตอบสำหรับคำถาม 11 ข้อเกี่ยวกับบทบาทของสตาร์ลิงก์
เอริน เวสต์ อดีตอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการที่รณรงค์ต่อต้านศูนย์เหล่านี้ กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่าขยะแขยงที่บริษัทอเมริกันปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”

 

ในขณะที่เธอยังเป็นอัยการคดีอาชญากรรมไซเบอร์ เธอได้เตือนสตาร์ลิงก์ในเดือนกรกฎาคม 2567 ว่าแก๊งอาชญากรรม ที่มีทุนอยู่เบื้องหลังกำลังใช้บริการของสตาร์ลิงก์อยู่ ทว่า แต่ไม่ได้รับคำตอบจาก สตาร์ลิงก์ แต่อย่างใด

 

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ชาวอเมริกันเองก็ตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนักต้มตุ๋นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปีที่แล้ว สูญเสียเงินประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 66%

 

รายงานของสหประชาชาติ (UN) ในปี 2566 ระบุว่า อาจมีผู้คนมากถึง 120,000 คนที่ถูกบังคับให้อยู่ในเมียนมา และน่าจะมีอีก 100,000 คน ที่ถูกควบคุมตัวในสภาพที่คล้ายคลึงกันในกัมพูชา

 

รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง 4

 

รัฐบาลไทยควรเอาจริงแบบสหรัฐฯ-อังกฤษ-เกาหลีใต้ ก่อนสูญเศรษฐกิจปีละล้านล้านบาท

 

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า เงินที่หมุนเวียนเฉพาะอยู่ในกัมพูชา ที่เชื่อมโยงเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฟอกเงิน สูงมากถึงปีละ 1 ล้านล้านบาท มีคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกว่าแสนคน ใน 70 ประเทศ

 

อย่างกรณีเฉินจื้อเป็นเพียง 1 ใน 10 ที่เข้าไปอยู่ในวงจรแห่งนี้ซึ่งสหรัฐฯ จับตามองมาก และได้มีการดำเนินคดีไปแล้วใน 2 ข้อหา เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเป็น 10 ปีแล้ว เพียงแต่สหรัฐฯ เริ่มเข้ามามีบทบาท ซึ่งชาวอเมริกันเองก็ถูกล่อลวงไปลงทุนในกัมพูชาจำนวนมาก

 

“กฎหมายบ้านเรามีเยอะมาก ทั้งการฟอกเงิน สินทรัพย์ดิจิทัล การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่ปัญหาคือแอ็กชั่นที่ทำ ทำแบบไม่มีประสิทธิภาพ เราสูญเสียเงินไปในระดับแสนล้าน ให้กัมพูชามีรายได้จากธุรกิจสีเทากว่า 60%”

 

สิ่งที่ไทยต้องทำคือ รัฐบาลต้องบริหารจัดการข้อมูลส่วนตัวให้ไม่รั่วไหล และไทยต้องเร่งตรวจสอบแหล่งเงิน เครือข่ายในไทย ที่สำคัญคือการจัดการการท่องเที่ยวที่มาไทย

 

“วันนี้ไทยถูกล้อมด้วยอาชญากรรมไซเบอร์กัมพูชา-เมียนมา เป็นทางผ่านค้ามนุษย์ ซื้อขายตลาดมืดคริปโต ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หลอกลวงทำธุรกิจท่องเที่ยวสีเทา ซึ่งถึงเวลาที่รัฐบาลไทยควรต้องเอาจริงเอาจังกับปัญหา เช่นเดียวกับสหรัฐฯ อังกฤษ เกาหลีใต้ ก่อนสายเกินแก้”

 

ภาพ: jacus / Getty images

 

อ้างอิง:

The post รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบสหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย https://thestandard.co/half-half-plus-store-registration/ Thu, 16 Oct 2025 09:14:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1131484 ร้านค้าลงทะเบียน คนละครึ่ง พลัส วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย

ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก กว่า 79,736 รา […]

The post ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ร้านค้าลงทะเบียน คนละครึ่ง พลัส วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย

ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก กว่า 79,736 ราย และอยู่ระหว่างขั้นตอนรับสมัครอีก 107,457 ราย

 

วันนี้ (16 ตุลาคม) กระทรวงการคลังเผย ความคืบหน้า โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ หลังเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 เป็นวันแรก โดยระบุว่า จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2568 เวลา 9.00 น. มีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ดังนี้

 

ร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการสำเร็จแล้ว 79,736 ราย แบ่งเป็น

 

  • ร้านค้าเดิม 62,276 ราย
  • ร้านค้าใหม่ 7,460 ราย

 

ร้านค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการสมัคร 107,457 ราย แบ่งเป็น

 

  • รอให้ร้านค้าเข้ามากดยอมรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการ 102,150 ราย
  • รอดำเนินการตรวจสอบ 5,307 ราย

 

ทั้งนี้ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ระหว่างการประชาสัมพันธ์โครงการคนละครึ่งว่า จากฐานข้อมูลร้านค้าเดิม พบว่า มีร้านค้าที่ลงทะเบียนอยู่ราว 9 แสนรายในระหว่างโครงการ คนละครึ่ง เฟส 5 แต่ด้วยตัวโครงการห่างหายไปนาน จึงทำให้ปัจจุบันเหลือผู้ประกอบการที่ยังแอ็กทีฟอยู่เพียงเกือบ 1 แสนรายเท่านั้น ซึ่งโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ครั้งนี้ ดร.เอกนิติ ตั้งเป้าให้มียอดลงทะเบียนร้านค้าให้สูงกว่ายอดเดิมที่ 9 แสนราย

 

สำหรับร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568

 

วิธีลงทะเบียนสำหรับร้านค้ารายเดิม

 

โดยร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 จะต้องอัปเดตแอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ ก่อน หากผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติในแอปพลิเคชันจะปรากฏปุ่ม ‘คนละครึ่ง พลัส’ ให้กดยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการได้

 

ทั้งนี้ ร้านค้าถุงเงินที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 (ปี 2565) และพบปุ่ม ‘คนละครึ่ง พลัส’ คือ ร้านค้าที่ภาครัฐมีฐานข้อมูลตรวจสอบได้ชัดเจนแล้วว่า ร้านค้านี้มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการได้ กรณีไม่พบปุ่ม ‘คนละครึ่ง พลัส’ จำเป็นต้องสมัครเข้าร่วมโครงการใหม่

 

วิธีลงทะเบียนสำหรับร้านค้ารายใหม่

 

ส่วนร้านค้ารายใหม่ สามารถลงทะเบียนผ่านสาขาของธนาคารกรุงไทยฯ หรือจุดตั้งบูธของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับธนาคารกรุงไทยฯ

 

ทั้งนี้ กรณีร้านค้าที่ต้องได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอ ปลัดเทศบาล เป็นต้น หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อลงนามยืนยันการประกอบกิจการจริงในแบบฟอร์มการสมัครก่อนนำไปยื่นที่สาขาของธนาคารกรุงไทยฯ หรือจุดตั้งบูธของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อดำเนินการเปิดแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และสมัครเป็นร้านค้าคนละครึ่ง พลัสต่อไป

 

ทั้งนี้ การยืนยันการประกอบกิจการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร ถือเป็นกระบวนการตามปกติที่ดำเนินการในโครงการคนละครึ่งในระยะก่อนหน้านี้

 

เนื่องจากโครงการปัจจุบันได้เว้นช่วงจากโครงการคนละครึ่งระยะก่อนหน้ามาพอสมควร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้มีขั้นตอนยืนยันการประกอบกิจการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกครั้งหนึ่ง

 

อย่างไรก็ดี สำหรับร้านค้าบางรายที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 และเป็นผู้ที่กระทรวงการคลังมีฐานข้อมูลสามารถตรวจสอบได้ว่ายังคงประกอบกิจการอยู่ เช่น ผู้ประกอบการขนส่งที่มีใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ ร้านธงฟ้าร้าน OTOP เป็นต้น

 

กระทรวงการคลังได้ใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเพื่อการอำนวยความสะดวกโดยลดขั้นตอนไม่ต้องให้ร้านค้ากลุ่มนี้ขอรับการยืนยันการประกอบกิจการจากเจ้าหน้าที่ของรัฐอีก แต่สามารถกดปุ่มโครงการในแอปพลิเคชันถุงเงินเพื่อเข้าร่วมโครงการได้ทันที

 

วิธีลงทะเบียนประชาชนทั่วไป

 

ในส่วนของการลงทะเบียนสำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ประชาชนสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยการติดตั้งแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ และยืนยันตัวตน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’

 

ทั้งนี้ โครงการฯ จะเปิดให้เริ่มลงทะเบียนสำหรับประชาชนวันแรกในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เวลา 06.00 – 22.00 น. จนกว่าจะครบจำนวน 20 ล้านคน หรือจนกว่าจะครบวงเงินสิทธิในวงเงินไม่เกิน 44,000 ล้านบาท หรือถึงปิดลงทะเบียนวันสุดท้ายในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 แล้วแต่เกณฑ์ใดจะถึงก่อน ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์รายละเอียดการลงทะเบียนของประชาชนให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง

 

อนึ่ง ผู้ประกอบการร้านค้าและประชาชนสามารถตรวจสอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการฯ และรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ คนละครึ่ง พลัส

The post ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF คาดขนาด ‘เศรษฐกิจไทย’ จะกลายเป็นอันดับ 5 ของอาเซียนในปี 2030 หลัง GDP ชะลอตัวรั้งภูมิภาคต่อเนื่อง https://thestandard.co/imf-thailand-economy-ranking-2030/ Thu, 16 Oct 2025 08:48:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1131469 imf-thailand-economy-ranking-2030

จากการประมาณการล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF […]

The post IMF คาดขนาด ‘เศรษฐกิจไทย’ จะกลายเป็นอันดับ 5 ของอาเซียนในปี 2030 หลัง GDP ชะลอตัวรั้งภูมิภาคต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
imf-thailand-economy-ranking-2030

จากการประมาณการล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่า ‘ขนาดของเศรษฐกิจไทย’ กำลังตกอันดับเป็นที่ 5 ของอาเซียนในปี 2030 หรืออีกราว 5 ปีเท่านั้น จากปัจจุบันรั้งอันดับที่ 3 ของกลุ่มหลังการเติบโตของ GDP ไทยต่ำรั้งท้ายภูมิภาคต่อเนื่อง

 

โดยตามข้อมูลล่าสุดของ IMF ประมาณการว่า ขนาดเศรษฐกิจไทยใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียนในปีนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 5.58 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองเพียงอินโดนีเซีย และสิงคโปร์

 

เปิดเศรษฐกิจใหญ่ 5 อันดับแรกของอาเซียนในปี 2025

 

  1. 🇮🇩อินโดนีเซีย1443.256 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  2. 🇸🇬สิงคโปร์ 574.185 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  3. 🇹🇭ไทย 558.573 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  4. 🇵🇭ฟิลิปปินส์ 494.158 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  5. 🇲🇾มาเลเซีย 470.572 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2030 หรืออีกราว 5 ปีข้างหน้า IMF ประมาณการว่า ขนาดเศรษฐกิจไทย จะตกไปอยู่อันดับที่ 5 ของอาเซียน หลังถูกฟิลิปปินส์และเวียดนามแซง

 

เปิดเศรษฐกิจใหญ่ 5 อันดับแรกของอาเซียนในปี 2030

 

  1. 🇮🇩อินโดนีเซีย 2079.139 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  2. 🇵🇭ฟิลิปปินส์ 746.498 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  3. 🇸🇬สิงคโปร์ 721.319 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  4. 🇻🇳เวียดนาม 666.786 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  5. 🇹🇭ไทย 654.084 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ทั้งนี้ IMF ไม่ใช่องค์กรแรกที่ออกประมาณการขนาดเศรษฐกิจไทยกำลังตกอันดับ โดยก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ (The Centre for Economics and Business Research: Cebr) ก็คาดการณ์ว่า ฟิลิปปินส์ จะมีขนาดเศรษฐกิจแซงไทย ไปอยู่ที่อันดับ 28 ของโลก ภายในปี 2029 ขณะที่ เวียดนามจะมีขนาดเศรษฐกิจแซงไทยภายในปี 2034 ไปอยู่ที่อันดับ 27 ของโลก 

 

IMF ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยปีนี้เป็น 2% เตือนปีหน้าจ่อชะลอตัว

 

ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook: WEO) ฉบับล่าสุด (ตุลาคม 2025) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ของประเทศไทยในปี 2025 เป็น 2% จากประมาณการที่ 1.8% ในรายงานฉบับเมษายน 2025

 

โดยประมาณการ GDP ไทยที่ 2% ในปี 2025 นี้สะท้อนว่า IMF มองว่าเศรษฐกิจไทยจ่อเติบโตชะลอลงจากปี 2024 ที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ 2.5% ก่อนจะชะลอตัวลงต่อเนื่องไปถึงปีหน้า โดย IMF คาดการณ์ว่า GDP ไทยในปี 2026 จะขยายตัวได้เพียง 1.6%

 

ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียวที่ถูกปรับขึ้นประมาณการ GDP โดย IMF ยังได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกด้วย เมื่อเทียบกับรายงาน WEO ฉบับเดือนเมษายน 2025

 

กระนั้น IMF ยังคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจาก 3.3% ในปี 2024 เป็น 3.2% ในปี 2025 และ 3.1% ในปี 2026

 

“เศรษฐกิจโลกกำลังปรับตัวเข้ากับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากมาตรการนโยบายใหม่ๆ โดยการขึ้นภาษีศุลกากรในระดับที่รุนแรงบางส่วนได้ผ่อนคลายลง อันเป็นผลมาจากข้อตกลงและการปรับเปลี่ยนที่ตามมา แต่สภาวะแวดล้อมโดยรวมยังคงมีความผันผวน และปัจจัยชั่วคราวที่เคยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เช่น การเร่งดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจล่วงหน้า (Front-Loading) กำลังจางหายไป” IMF ระบุ

 

การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร? เมื่อเทียบกับ ASEAN-5

 

IMF มีการจัดกลุ่มประเทศ ASEAN-5 ซึ่งประกอบด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย โดย IMF คาดการณ์การเติบโตของ GDP โดยรวมของกลุ่มนี้ไว้ที่ 4.6% ในปี 2024, 4.2% ในปี 2025 และ 4.1% ในปี 2026 สะท้อนว่า การเติบโตของ GDP ไทยยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม แต่มีอัตราการเติบโตต่ำที่สุดของกลุ่ม ดังนี้

 

เปิดประมาณการการเติบโต GDP ประเทศ ASEAN-5

 

🇵🇭ฟิลิปปินส์: 5.40% ในปี 2025 และ 5.70% ในปี 2026

🇮🇩อินโดนีเซีย: 4.90% ในปี 2025 และ 4.90% ในปี 2026

🇲🇾มาเลเซีย: 4.50% ในปี 2025 และ 4.00% ในปี 2026

🇹🇭ไทย: 2.00% ในปี 2025 และ 1.60% ในปี 2026

🇸🇬สิงคโปร: 2.20% ในปี 2025 และ 1.80% ในปี 2026

 


 

เศรษฐกิจไทย

IMF ประมาณการ: ขนาดเศรษฐกิจไทย

IMF ประมาณการ: ขนาดเศรษฐกิจไทย

 

ภาพประกอบ: ณัฏฐ์กานต์ ดวงมาตย์พล

The post IMF คาดขนาด ‘เศรษฐกิจไทย’ จะกลายเป็นอันดับ 5 ของอาเซียนในปี 2030 หลัง GDP ชะลอตัวรั้งภูมิภาคต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fitch Ratings มองคุณภาพสินทรัพย์แบงก์ไทยยัง ‘อ่อนแอ’ เตือนสินเชื่อด้อยคุณภาพจ่อเพิ่ม https://thestandard.co/fitch-warns-thai-bank-npls-rise/ Thu, 16 Oct 2025 08:32:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1131442 Fitch Ratings

ฟิทช์ เรทติ้งส์ มองคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารไทยยังคง ‘อ่ […]

The post Fitch Ratings มองคุณภาพสินทรัพย์แบงก์ไทยยัง ‘อ่อนแอ’ เตือนสินเชื่อด้อยคุณภาพจ่อเพิ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fitch Ratings

ฟิทช์ เรทติ้งส์ มองคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารไทยยังคง ‘อ่อนแอ’ พร้อมเตือนสินเชื่อด้อยคุณภาพจ่อขยับขึ้นอีกในปีนี้ท่ามกลางอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงอ่อนแอ ประเมินแรงกดดันส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม SME

 

วันนี้ (15 ตุลาคม) ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) คาดว่า อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (impaired-loan ratio) ของภาคธนาคารไทยจะขยับเพิ่มจาก 3.4% ในปี 2567 เป็น 3.7% ในปี 2568 และน่าจะยังทรงตัวในปี 2569

 

โดยแรงกดดันส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 7.9% ในครึ่งแรกของปี 2568 (จากสิ้นปี 2567ที่ 7.2%) ท่ามกลางอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ

 

โดยฟิทช์คาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) จะอยู่ที่ 2.2% ในปี 2568
และ 1.9% ในปี 2569 นับเป็นอัตราที่ชะลอตัวจากปี 2567 ที่ 2.5%

 

อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงน่าจะช่วยสนับสนุนความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้บ้าง

 

นอกจากนี้ หลายธนาคารได้ทำการปรับลดพอร์ทลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงมาก่อนหน้านี้แล้วและธนาคารยังคงมีความสามารถที่จะตัดจำหน่ายสินเชื่อด้อยคุณภาพได้

 


บทความที่เกี่ยวข้อง


 

ทั้งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อกันยายนที่ผ่านมา Fitch Ratings ประกาศหั่นแนวโน้มอันดับเครดิต แบงก์ไทย 5 แห่งเป็น ‘ลบ’ (Negative) ได้แก่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) (SCBT) และธนาคารยูโอบี (ไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBT) ตามการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของรัฐบาลไทย

 

อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ยังคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวธนาคารอื่นๆ ของไทยไว้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBank) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) และบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) เหตุพิจารณาจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของแต่ละธนาคารยังมีเสถียรภาพ

The post Fitch Ratings มองคุณภาพสินทรัพย์แบงก์ไทยยัง ‘อ่อนแอ’ เตือนสินเชื่อด้อยคุณภาพจ่อเพิ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เบสเซนต์ชูแนวทางพักศึกการค้า ต่อรองจีนคุม ‘แร่หายาก’ https://thestandard.co/scott-bessent-china-tariff-truce-rare-earth/ Thu, 16 Oct 2025 05:21:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1131326 scott-bessent-china-tariff-truce-rare-earth

สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ […]

The post เบสเซนต์ชูแนวทางพักศึกการค้า ต่อรองจีนคุม ‘แร่หายาก’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
scott-bessent-china-tariff-truce-rare-earth

สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้เปิดโอกาสที่จะขยายการระงับภาษีนำเข้าสินค้าจีนออกไปนานกว่าสามเดือน หากจีน ‘ระงับ’ แผนควบคุมการส่งออกแร่หายากชุดใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม

 

เมื่อกลางปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และจีนได้ตกลงที่จะสงบศึกเป็นเวลา 90 วัน และได้มีการขยายเวลาสงบศึกต่อเนื่องอีก 90 วัน ซึ่งเส้นตายครั้งต่อไปจะสิ้นสุดในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ 

 

“มีความเป็นไปได้ที่เราขยายเวลาสงบศึกออกไปอีกครั้ง ถ้ามีการเจรจาเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่จะถึงนี้” เบสเซนต์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวในกรุงวอชิงตัน

 

หลังจากที่ความสัมพันธ์แบบเฉพาะกาลได้ดำเนินมาหลายเดือน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขยายข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี รวมถึงเสนอให้มีการจัดเก็บเรือจีนที่มีการเทียบท่าเรือสหรัฐฯ ซึ่งจีนตอบโต้ด้วยวิธีที่คล้ายคลึงกัน และยังคุมการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) รวมถึงแร่สำคัญอื่นๆ ให้เข้มงวดขึ้นอีกด้วย

 

นักเศรษฐศาสตร์ได้อธิบายถึงการเคลื่อนไหวล่าสุดของทั้งสองฝ่ายว่าเป็นความพยายามในการสร้างแต้มต่อ ก่อนการประชุมระหว่างผู้นำทั้งสองที่น่าจะมีขึ้นในเดือนนี้ นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (APEC) ที่เกาหลีใต้

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะเกิดสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และจีน สองประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกหรือไม่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอบว่า “คุณอยู่ในสถานการณ์นั้นแล้ว” ทรัมป์กล่าวต่อว่า “หากไม่ตั้งกำแพงภาษี 100% เราอาจถูกมองว่าเป็นพวกไร้ความสามารถเอาได้”

 

หุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดเป็นบวกจากความเห็นของเบสเซนต์ ขณะที่ทรัมป์แสดงความเห็นหลังตลาดในนิวยอร์กปิดแล้ว ส่วนการซื้อขายช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคมในเอเชีย พบว่า สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับดัชนีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้และกรุงโตเกียว แต่ร่วงลงในตลาดฮ่องกง

 

เจมิสัน เกรเออร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ไม่คิดว่าจีนจะสามารถคุมการส่งออกแร่หายากได้มากนัก เนื่องจากการค้าจะต้องหยุดชะงักลงอย่างมาก โดยกล่าวว่า “ขอบเขตและขนาดของการควบคุมมากเกินจะหยั่งถึง และไม่สามารถปฏิบัติได้จริง”

 

ขณะเดียวกัน เบสเซนต์ได้คาดการณ์ถึงการตอบสนองของพันธมิตรสหรัฐฯ หากจีนเริ่มเคลื่อนไหว โดยกล่าวในที่ประชุมซึ่งจัดโดย CNBC ว่า “เราจะมีการตอบสนองร่วมกันอย่างเต็มรูปแบบ เพราะพนักงานรัฐจีนไม่สามารถควบคุมห่วงโซ่อุปทาน หรือกระบวนการผลิตสำหรับส่วนที่เหลือของโลกได้”

 

พร้อมกับชี้ว่า ‘รัฐมนตรีคลังทั้งหมด‘ ได้อยู่ที่กรุงวอชิงตันเพื่อเข้าร่วม งานประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ในสัปดาห์นี้ “ซึ่งเราจะหารือกับพันธมิตรชาติยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย และประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ในเอเชีย”

 

กฎระเบียบใหม่ของจีนที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้กำหนดให้บริษัทในต่างประเทศต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีน ก่อนที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์ซึ่งประกอบด้วยแร่หายากที่มีต้นกำเนิดในจีน แม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม

 

ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มเติมอีก 100% ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน พร้อมขู่จะยกเลิกการประชุมนอกรอบที่วางไว้กับสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีน ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังขู่ว่าจะตัดการค้าน้ำมันปรุงอาหาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio-Fuel) อีกด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์ระบุว่า ทรัมป์ยังคงเดินหน้าพบปะกับสี จิ้นผิงที่เกาหลีใต้ตามเดิมในปลายเดือนนี้ และยังกล่าวอีกด้วยว่า เป็นโอกาสดีที่เบสเซนต์จะได้เดินทางไปเอเชียล่วงหน้า เพื่อพบปะกับ เหอ ลี่เฟิง (He Lifeng) รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลังจีน

 

เบสเซนต์คาดว่าจะมีการประกาศทางการค้าเกิดขึ้น ระหว่างการเดินทางเยือนเอเชียของทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ที่มาเลเซีย ก่อนไปญี่ปุ่น และเข้าร่วมการประชุม APEC ที่เกาหลีใต้

ไม่เพียงเท่านั้น เบสเซนต์ยังระบุอีกด้วยว่า สหรัฐฯ ใกล้บรรลุการเจรจาการค้ากับเกาหลีใต้แล้ว โดยการหารือครั้งล่าสุดอยู่ที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่วนการเจรจากับแคนาดาก็กลับเข้าลู่เข้าทางอีกครั้ง เช่นเดียวกับอินเดียที่มีความคืบหน้ามากขึ้น

 

นอกจากนี้ เบสเซนต์ยังปัดตกทัศนะที่มองว่า รัฐบาลภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ต้องรีบแจ้นเจรจากับจีน เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังตกต่ำลงอย่างมาก โดยระบุว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการพูดคุยกับจีน

 

เบสเซนต์ยังปัดตกความกังวลต่อปัจจัยพื้นฐานของสกุลเงินดอลลาร์ หลังราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่าเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และยังชี้ว่า สกุลเงินยูโรควร ‘แข็งค่าขึ้น’ เมื่อนโยบายการคลังมีการขยายตัว ซึ่งปัจจุบันสกุลเงินยูโรยังไม่แข็งค่าเท่าที่ควรตามทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์

 

เบสเซนต์ยังวิจารณ์มากเป็นพิเศษถึง หลี่ เฉิงกัง (Li Chenggang) รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์จีน ผู้ซึ่งเคยวิจารณ์เบสเซนต์ว่า ‘ไม่สมประดี’ ในคราวเยือนสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พร้อมเตือนว่า จีนจะสร้างความปั่นป่วนต่อโลกหากสหรัฐฯ ยังมุ่งหน้าเก็บค่าเทียบเรือกับจีน

 

โดยเบสเซนต์ระบุว่าหลี่ เฉิงกัง ไม่ได้รับเชิญให้มาเยือนสหรัฐฯ และยังแสดงความหยามเกียรติด้วยภาษาที่ยั่วยุ

 

นอกจากนี้ เบสเซนต์ยังระบุว่า ไม่สามารถไว้ใจจีนได้ หลังจากที่เคยบอกว่า การส่งออกแร่หายากที่ชะลอตัวลงเป็นผลกระทบจากช่วงหยุดยาวของจีน ซึ่งเสี่ยงนำไปสู่การค้าโลกที่แยกตัว (Decouple) หากจีนยังคงทำตัวไม่น่าเชื่อถือต่อไป

 

ภาพ: Andrew Harnik/Getty Images

 

อ้างอิง:

 

The post เบสเซนต์ชูแนวทางพักศึกการค้า ต่อรองจีนคุม ‘แร่หายาก’ appeared first on THE STANDARD.

]]>