Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 07 Nov 2025 13:19:45 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สรุป Economic Forum 2025: ประตูแห่งความหวังของไทย ในวันที่คนไม่ทนติดกับดักเดิมๆ https://thestandard.co/thailand-economic-hope-2025/ Fri, 07 Nov 2025 13:19:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1140866 สรุป Economic Forum 2025: ประตูแห่งความหวังของไทย ในวันที่คนไม่ทนติดกับดักเดิมๆ

“ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมรู้สึกว่าประตูเห็นโอกาสเริ่มเปิดออก […]

The post สรุป Economic Forum 2025: ประตูแห่งความหวังของไทย ในวันที่คนไม่ทนติดกับดักเดิมๆ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุป Economic Forum 2025: ประตูแห่งความหวังของไทย ในวันที่คนไม่ทนติดกับดักเดิมๆ

“ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมรู้สึกว่าประตูเห็นโอกาสเริ่มเปิดออก ไม่ใช่เพราะว่ามีใครคนไหนเข้ามา แต่เพราะว่าทุกคนไม่ทน”

 

นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ได้กล่าวปิดงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 โดยสะท้อนว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า ‘ประตูเห็นโอกาสเริ่มเปิดออก’ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มักจบลงด้วยคำถามว่าโจทย์และปัญหาที่พูดคุยกันจะถูกแก้ไขอย่างไร แต่ปีนี้แตกต่างออกไป เพราะ ‘Action จริงๆ’ ได้ปรากฎขึ้นให้เราเห็น

 

🟡 ภาพอนาคตที่เห็นตรงกัน

นครินทร์ชี้ว่า วันนี้ภาพอนาคตของประเทศไทยชัดเจนมาก ทั้งจากมุมมองต่างประเทศและในประเทศ ผู้นำเอกชน ภาครัฐ หรือคนรุ่นใหม่ ต่างพูดในทิศทางเดียวกัน โดยสรุปได้เป็น 2 เรื่องหลัก

 

1. จุดยืนในเวทีโลก ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเปิด เหมือนเรือกลางทะเล จึงต้องพึ่งพาเวทีโลก วันนี้ทุกคนมองตรงกันว่าเรามีโอกาสจาก จุดยืนที่เป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Neutral Position) ซึ่งทั้งจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาก็มองเห็น โจทย์คือ เราจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้อย่างไร ทำอย่างไรให้เป็น Creative balancer สร้าง ‘Connectivity Hub’ และเร่งสนธิสัญญาการค้า (FTA) ให้เกิดขึ้นจริง

 

2. ห้าอุตสาหกรรม DNA แห่งโอกาส มีความเห็นพ้องต้องกันอย่างไม่น่าเชื่อว่า 5 อุตสาหกรรมนี้คือศักยภาพที่ไทยมีจุดแข็ง มีพื้นฐาน และมีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง ได้แก่:

🔸Advanced & Green Manufacturing: เช่น ยานยนต์, ชิป (ในบางส่วนของ supply chain) และอิเล็กทรอนิกส์

🔸Agri & Food: แม้เราจะเป็นผู้ส่งออกเกษตรรายใหญ่และเป็น ‘ครัวของโลก’ แต่ความสามารถในการแข่งขันลดลง ยังมีโจทย์อีกมากที่ต้องยกระดับ

🔸Tourism: เราเคยทำได้ถึง 40 ล้านคน แต่โจทย์ต่อไปคือความยั่งยืน (sustainability) และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness)

🔸Creative & Digital Service: เรามีซีรีส์วาย, มีน้องลิซ่า มีความคิดสร้างสรรค์ที่ภูมิภาคยอมรับ รวมถึงบริการดิจิทัลที่ทำได้ดี

🔸Medical Hub: ทั้งความเก่งของหมอไทยและราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้คนทั่วโลกอยากบินมารักษา

โดยทั้งหมดนี้ มี AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ

 

⚙ จากพิมพ์เขียวสู่การลงมือทำ

นครินทร์เน้นว่า หลายภาคส่วนเริ่มเสนอกลยุทธ์ที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่การพูดคุยในภาพกว้างอีกต่อไป

🔸AI: ต้องเน้นเรื่อง Productivity และเจาะจงในอุตสาหกรรมที่เราถนัด เช่น การแพทย์ หรือการสร้าง Small Language Model ที่ใช้จุดแข็งเฉพาะทางของไทย เช่น โรคเขตร้อน หรือพืชเกษตร

🔸เกษตรและอาหาร: ต้องยกระดับสู่ Global Standard, สร้าง Value Creation และมีแบรนด์ ต้องมองเรื่อง ‘Green’ ที่ EU กำลังจะบังคับใช้ ให้เป็น ‘โอกาส’ ในการเติบโต ไม่ใช่ต้นทุน

🔸ท่องเที่ยว: ต้องนำการวิจัยทางการแพทย์มารองรับจุดแข็ง เช่น การนวด หรือยาดม และตั้งเป้าไปที่นักท่องเที่ยวรายได้สูง

แต่สิ่งสำคัญคือ ทุกภาคส่วนต้องมี Action Plan โดยมีบทบาทที่ชัดเจน

🔸รัฐบาล: ต้องเป็น ‘Lighthouse’ หรือคนให้แนวทาง และปลดล็อกอุปสรรค

🔸เอกชน: เป็นคนขับเคลื่อนและลงทุน

🔸ภาควิชาการและสตาร์ทอัพ: ต้องสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีของตัวเอง นำงานวิจัยจาก ‘หิ้ง’ ลงมาสู่ ‘ห้าง’

🔸ภาคการเงิน: เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุน

🔸ภาคประชาสังคม: ช่วยตรวจสอบและถ่วงดุลให้ผลประโยชน์ตกถึงชุมชน

🔸คนรุ่นใหม่: ต้องรับฟังเสียงของเขาและร่วมสร้างด้วยกัน

ที่สำคัญคือ การ ‘ลงมือทำ’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว นครินทร์ยกตัวอย่าง กกร.หรือ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันที่ไม่รอการเมือง แต่จับมือกับหน่วยงานรัฐสร้างแพลตฟอร์มต่างๆ ขึ้นมา เพราะพวกเขา ‘ไม่ทน’ กับคอร์รัปชันและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และ ‘เบื่อ’ กับการเปลี่ยนแปลงไปมาตลอด 20 ปี

ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาด Leadership และ Political Will หรือความกล้าหาญทางการเมือง ที่มีจริยธรรม และเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน นี่คือกับดักที่ประเทศไทยติดอยู่มา 20 ปี

ในฐานะสื่อมวลชน เขารู้สึกว่าช่วงเวลานี้คือ ‘ประตูบานเล็กๆ ที่ค่อยๆ เปิดออก’ แต่ประตูบานนี้ไม่ได้เปิดเพราะใครมาเปิดให้ แต่เพราะประชาชนทุกฝ่ายไม่ทนกับปัญหาอีกต่อไปแล้ว

“เพราะว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงที่เล็กที่สุดเสมอ”

 

The post สรุป Economic Forum 2025: ประตูแห่งความหวังของไทย ในวันที่คนไม่ทนติดกับดักเดิมๆ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘หลักนิติธรรมโลกในภาวะถดถอย’ สัญญาณเตือนและบทเรียนของไทย https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-25/ Fri, 07 Nov 2025 12:26:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1140823 ‘หลักนิติธรรมโลกในภาวะถดถอย’ สัญญาณเตือนและบทเรียนของไทย

หลักนิติธรรม (Rule of Law) หรือ หลักการปกครองโดยใช้กฎหม […]

The post ‘หลักนิติธรรมโลกในภาวะถดถอย’ สัญญาณเตือนและบทเรียนของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘หลักนิติธรรมโลกในภาวะถดถอย’ สัญญาณเตือนและบทเรียนของไทย

หลักนิติธรรม (Rule of Law) หรือ หลักการปกครองโดยใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม เป็นรากฐานและหัวใจสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ โดยมีผลสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม

 

อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกเผชิญกับ ‘ภาวะถดถอยของหลักนิติธรรม (Rule of Law Recession) ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างประเทศที่ ‘พัฒนา’ กับ ‘ถดถอย’ ขยายกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

โดย จอห์น เนรี (John Nery) กรรมการบริหารของ โครงการยุติธรรมโลก (World Justice Project: WJP) ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรม กล่าวในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 Thailand’s Next Frontier พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย ฉายให้เห็นภาพรวม สถานการณ์หลักนิติธรรมโลก และผลทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง ณ ปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงภาวะถดถอยที่รุนแรงและกว้างขวาง และเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง ว่าการละเลยหลักนิติธรรม อาจนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

 

สำหรับประเทศไทย ซึ่งแม้จะมี ‘จุดแข็ง’ ในหลายด้าน แต่ก็ยังมีจุดอ่อนสำคัญที่ต้องระวังอีกหลายด้าน โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมาย การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน และความโปร่งใสของภาครัฐ

 

แนวโน้มหลักนิติธรรมทั่วโลก

 

เนรี ฉายภาพรวมของหลักนิติธรรม ในปี 2025 โดยชี้ให้เห็นถึงสัญญาณถดถอยอย่างต่อเนื่องทั่วโลก แม้จะมีบางช่วงที่สถานการณ์ชะลอตัวลง แต่ในปีล่าสุด สถานการณ์กลับย่ำแย่ลงอีกครั้ง

 

ดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) ของ WJP ปี 2025 ชี้ว่า จากทั้งหมด 143 ประเทศที่มีการสำรวจ มีมากถึง 68% ที่คะแนนหลักนิติธรรมลดลง ซึ่งสะท้อนถึงการอ่อนแอลงของกลไกสำคัญในการรักษาความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคม

 

เขาชี้ว่า สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เพียงจำนวนประเทศที่หลักนิติธรรมถดถอย แต่คือ ‘ช่องว่าง’ ระหว่างประเทศที่พัฒนาและประเทศที่ก้าวถอยหลัง ซึ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ

 

โดยเมื่อสิบปีก่อน ความแตกต่างของคะแนนระหว่างสองกลุ่มนี้อยู่ที่บวก 2% แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นติดลบ 36% นั่นหมายถึง โลกกำลังถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งคือประเทศที่หลักนิติธรรมแข็งแกร่งและเศรษฐกิจมั่นคง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือประเทศที่ระบบยุติธรรมเสื่อมถอยและการใช้อำนาจรัฐขาดการถ่วงดุล

 

ปัจจัยที่ทำให้หลักนิติธรรมถดถอย

 

เนรีชี้ว่า แรงผลักดันของภาวะหลักนิติธรรมถดถอยนี้ หลักๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของอำนาจนิยม หรือความพยายามรวมศูนย์อำนาจ โดยเฉพาะในฝ่ายบริหาร ทั้งกลไกถ่วงดุลหลักในรัฐบาล อย่างฝ่ายนิติบัญญัติ ศาล และหน่วยงานตรวจสอบอิสระ โดยมีถึง 3 ใน 5 ของประเทศทั้งหมดที่มีการสำรวจ และพบว่ากลไกเหล่านี้ถดถอย” เนรีกล่าว

 

เขาชี้ว่า กลไกที่น่าห่วงคือ ‘ศาล’ ซึ่งถือเป็น ‘แนวป้องกันสุดท้าย’ สำหรับการใช้อำนาจเกินขอบเขตของรัฐบาล

 

“ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเราพบ ‘อิทธิพลจากรัฐบาล’ มากขึ้นเรื่อย ๆ
และในคดีแพ่ง 2 ใน 3 ของประเทศที่ที่อยู่ในการสำรวจของ WJP ก็รายงานว่ามีการแทรกแซงจากรัฐบาลเช่นกัน ซึ่งไม่เพียงแต่สถาบันเหล่านี้จะอ่อนแอลง แต่ประชาชนที่เป็นกลไกถ่วงดุลหลัก ก็อ่อนแรงลงด้วย”

 

“พื้นที่พลเมือง” หดแคบลงอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม การรวมกลุ่ม และการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง ต่างก็ลดลงเกือบ 3 ใน 4 ของประเทศที่ทำการสำรวจ”

 

เนรี กล่าวว่าจากทั้งหมด 8 ปัจจัยที่ใช้ประเมินหลักนิติธรรมนั้น มี 4 ปัจจัยที่ส่งผลให้ภาวะหลักนิติธรรมถดถอย ได้แก่

 

1.การจำกัดอำนาจรัฐบาล
2.ความโปร่งใสของรัฐ
3.สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
4.กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง

 

โดย 2 ใน 3 ของ 143 ประเทศที่ทำการสำรวจมีคะแนนลดลงในทั้ง 4 ด้านนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า หลักนิติธรรมมิได้ถดถอยเฉพาะในเชิงกฎหมายเท่านั้น แต่รวมถึงในเชิงโครงสร้างของสังคมที่ควรสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมและตรวจสอบถ่วงดุล

 

สถานการณ์ของประเทศไทย

 

อย่างไรก็ตาม เนรีกล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมของสถานการณ์ทั่วโลกจะดูมืดมน แต่ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีผลงานดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก จากประเทศทั้งหมด 15 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไปจนถึงเมียนมาและกัมพูชา

 

จากดัชนีหลักนิติธรรมของ WJP ปี 2025 พบว่าประเทศไทยขยับจากอันดับ 79 ขึ้นมาอยู่ที่ 77 ในโดยมีคะแนนรวม 0.5 จากคะแนนเต็ม 1.0 ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 0.55 ถือเป็น ‘เสถียรภาพในระดับปานกลาง’ ที่แสดงถึงความก้าวหน้าในบางด้าน แม้จะยังมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก

 

โดยจุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดของไทยคือ ‘ระเบียบและความมั่นคง (Order and Security)’ ซึ่งด้คะแนนสูงถึง 0.75 แสดงให้เห็นว่า การจัดการอาชญากรรมและความขัดแย้งในประเทศมีประสิทธิภาพ และสังคมโดยรวมยังสงบเรียบร้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค

 

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่สำคัญสำหรับไทยคือ ‘การบังคับใช้กฎระเบียบ (Regulatory Enforcement)’ ที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 102 จาก 143 ประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบราชการ ความล่าช้าในการบังคับใช้กฎหมาย และอาจรวมถึงปัญหาความไม่เสมอภาคในการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างกลุ่มประชาชน

 

ผลทางเศรษฐกิจและบทเรียนของไทย

 

เนรี ยังฉายให้เห็นภาพที่ชัดเจน ในความเชื่อมโยงระหว่างหลักนิติธรรมกับภาวะเศรษฐกิจ โดยอ้างอิงข้อมูลจากการวิจัยของ WJP ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าระดับของหลักนิติธรรมกับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมี ‘ความสัมพันธ์โดยตรง’

 

โดยประเทศที่มีหลักนิติธรรมเข้มแข็งมักจะมีรายได้ต่อหัวสูงกว่า ซึ่งหลายประเทศรวมถึงเดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน และนิวซีแลนด์ ล้วนอยู่ใน ‘มุมขวาบน’ ของกราฟที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีหลักนิติธรรมและ GDP per capita หรือตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว

 

นอกจากนี้ พบว่าประเทศที่มีสันติภาพมากกว่า ก็มักมีหลักนิติธรรมที่แข็งแรงกว่าเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Global Peace Index ที่วิเคราะห์ร่วมกับดัชนีหลักนิติธรรม ให้ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า ประเทศที่อยู่ในมุมขวาบนของกราฟ ซึ่งมีทั้งความสงบและมีหลักนิติธรรมเข้มแข็ง คือกลุ่มที่มีเศรษฐกิจและสังคมมั่นคงที่สุด

 

สำหรับประเทศไทย เนรี ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดว่า “พรมแดนถัดไปของไทย จะอยู่ในมุมขวาบนของกราฟ” หรือหมายถึง การก้าวสู่ประเทศที่มีทั้งความสงบสุขและหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนา
แต่การที่จะขยับไปสู่จุดนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยต้องเสริมความเข้มแข็งของสถาบันยุติธรรม และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอำนาจรัฐมากขึ้น

The post ‘หลักนิติธรรมโลกในภาวะถดถอย’ สัญญาณเตือนและบทเรียนของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย’ ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย” https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-24/ Fri, 07 Nov 2025 11:52:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1140806 ‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย”

‘ผยง’ เปิดผลสำรวจปี 2568 คนไทยพึ่ง ‘หนี้นอกระบบ’ เพิ่ม […]

The post ‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย’ ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย” appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย”

‘ผยง’ เปิดผลสำรวจปี 2568 คนไทยพึ่ง ‘หนี้นอกระบบ’ เพิ่ม พร้อมตั้งคำถามถึงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย’ เนื่องจากไทยยังมีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย ชู ‘Reinvent Thailand’ เป็นทางออกประเทศ ปั้น 6 อุตสาหกรรม New S-Curve

 

วันนี้ (7 พฤศจิกายน) ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผย ผลการสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 : Thailand’s Next Frontier ที่จัดทำโดยความร่วมมือของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และธนาคารกรุงไทย ณ พฤศจิกายน 2568

 

โดยระบุว่า แม้ส่วน ‘หนี้ในระบบ’ ลดลง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก GDP ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวปริมาณหนี้ยังสูงอยู่

 

นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า ครัวเรือนยังพึ่งพา ‘หนี้นอกระบบ’ มากขึ้น โดยสัดส่วนหนี้นอกระบบในการสำรวจปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 14% จากระดับ 12% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดในปี 2567 ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ ‘น่ากังวล’ ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนที่แท้จริง ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สูงเกิน 100% ต่อ GDP

 

‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย” 1

 

ผยงยังตั้งคำถามว่า ทำไมคนไทยถึงพึ่งพาหนี้นอกระบบมากขึ้น ทั้งๆ ที่ในประเทศไทยมีผู้ให้บริการปล่อยกู้หรือสภาพคล่องราว 9,723 ราย สะท้อนว่า “ไทยไม่ได้เผชิญปัญหาผู้แข่งขันไม่พอเพียง แต่คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิดความบิดเบือน” ผยงกล่าว

 

ผยงยังชี้ว่า ปัจจุบัน ข้อมูลหนี้ในระบบยังไม่สมบูรณ์ โดยบางส่วนยังไม่อยู่ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร (NCB) โดยจะเห็นว่า มีผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มแบงก์และหรือธนาคารเฉพาะกิจ (SFIs) มีมากกว่า 30% โดย 30% เหล่านั้นไม่ได้มีข้อมูลรวมศูนย์อยู่ในระบบ สะท้อนถึงความเขย่งในเชิงของกติกาการแข่งขันและเชิงโครงสร้าง

 

‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย” 2

 

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการต่างๆ ยังเผชิญกฎเกณฑ์การกำกับดูแลไม่เหมือนกันในระดับขั้นกฎหมาย และความสามารถใช้ข้อมูลในระบบ เช่น หนี้ของผู้ประกอบการที่ไม่ได้ส่งข้อมูลเข้ามาในระบบก็ไม่ปรากฏให้กับผู้ประกอบการที่ส่งข้อมูล

 

“ปัญหาโครงสร้างเหล่าระบบนี้ไม่ควรที่จะดำรงคงอยู่ต่อไป” ผยงกล่าวย้ำ

 

ผยงยังตั้งคำถามถึง การลงทุนในประเทศไทยที่ลดลง ทั้งๆ ที่สภาพคล่องในระบบของไทยยังสูง

 

โดยกล่าวว่า “สภาพคล่องในระบบของไทย รวมถึงตัวปริมาณการซื้อพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อมาบริหารสภาพคล่องระยะสั้นและเงินที่มีการปล่อยกู้ประจำวันผ่าน Repo Market ของธปท.เฉลี่ยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สูงกว่า 5 ล้านล้านบาท

 

‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย” 3

 

“สะท้อนว่า ปัญหาของประเทศเราไม่ใช่เรื่องสภาพคล่องในระบบ แต่เงินไทยกลับไหลออกไปอยู่ในกองทุนรวมลงทุนในต่างประเทศ (FIF) และไปลงทุนต่างประเทศ (TDI) ต่อเนื่อง มากกว่า 7 ล้านล้านบาท ขณะที่ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในประเทศไทยกลับต่ำที่สุด ตามหลังภูมิภาค

 

ท่ามกลางปัญหาหนี้ภาครัฐสูงและภัยทุจริตทางการเงิน บั่นทอนความเชื่อมั่นที่กระทบเศรษฐกิจและสังคมไทย

 

‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย” 4

 

ย้ำใช้ Reinvent Thailand เป็นทางออก

 

เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และหาทางออกให้กับประเทศไทย ผยงย้ำว่า Reinvent Thailand ที่เป็นเวที (Platform) ร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยมีภาคเอกชนเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน มีภาครัฐ สนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับตัว และมีภาคการเงินที่ช่วยจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนประเทศได้ โดยภายใต้ Reinvent Thailand จะจัดการความท้าทายใหญ่ 3 ด้าน ได้แก่
ความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม
ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่
ความท้าทายของภาครัฐ

 

โดยมี 6 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Six Priority Sectors) เพื่อสร้าง New S-Curve และขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะ ได้แก่ การท่องเที่ยว, Smart Electronic, Food Processing, อุตสาหกรรมรถยนต์, Retail Trading และ Medical Wellness ซึ่งกลุ่มนี้ครอบคลุมผู้ประกอบการกว่า 2.4 แสนราย (46% ของนิติบุคคล) และการจ้างงานกว่า 10 ล้านคน

The post ‘ผยง’ เขย่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย’ ตั้งคำถาม “ทำไมหนี้นอกระบบยังเพิ่ม ทั้งที่มีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย” appeared first on THE STANDARD.

]]>
สายการบินสหรัฐฯ แห่ยกเลิกหลายร้อยเที่ยวบิน หลัง FAA สหรัฐฯ สั่งจำกัดเพดานบิน 40 สนามบิน รับมือปัญหาพนักงานขาดแคลนจาก Government Shutdown https://thestandard.co/faa-limits-force-us-cancellations/ Fri, 07 Nov 2025 10:24:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1140787 สายการบินสหรัฐฯ แห่ยกเลิกหลายร้อยเที่ยวบิน หลัง FAA สหรัฐฯ สั่งจำกัดเพดานบิน 40 สนามบิน รับมือปัญหาพนักงานขาดแคลนจาก Government Shutdown

สายการบินที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ หลายแห่งได้ประกาศยกเลิก […]

The post สายการบินสหรัฐฯ แห่ยกเลิกหลายร้อยเที่ยวบิน หลัง FAA สหรัฐฯ สั่งจำกัดเพดานบิน 40 สนามบิน รับมือปัญหาพนักงานขาดแคลนจาก Government Shutdown appeared first on THE STANDARD.

]]>
สายการบินสหรัฐฯ แห่ยกเลิกหลายร้อยเที่ยวบิน หลัง FAA สหรัฐฯ สั่งจำกัดเพดานบิน 40 สนามบิน รับมือปัญหาพนักงานขาดแคลนจาก Government Shutdown

สายการบินที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ หลายแห่งได้ประกาศยกเลิกเที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวบิน หลังจากที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) เตรียมออกมาตรการ ‘จำกัดเพดานบิน’ ที่สนามบินหลักหลายสิบแห่งทั่วประเทศ เพื่อลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) ที่ขาดแคลนอย่างหนักอันเนื่องมาจากการชัตดาวน์ของรัฐบาล

 

United Airlines ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (6 พ.ย.) ว่าจะยกเลิกเที่ยวบิน 4% ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยระบุว่า สำหรับวันศุกร์ (7 พ.ย.) จะมีการยกเลิกเที่ยวบินไม่ถึง 200 เที่ยวบิน ขณะที่ American Airlines ระบุว่าจะยกเลิกเที่ยวบินประมาณ 220 เที่ยวบินต่อวัน ตั้งแต่ วันศุกร์ (7 พ.ย.) ถึงวันจันทร์ (10 พ.ย.) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 4% เช่นกัน ส่วน Delta Air Lines จะยกเลิกประมาณ 170 เที่ยวบินใน วันศุกร์ (7 พ.ย.)

 

การยกเลิกเที่ยวบินครั้งนี้ถือเป็นผลกระทบในวงกว้างครั้งแรกต่ออุตสาหกรรมการบินที่เกิดจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางหลายแสนคน รวมถึงเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสนามบิน ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างมานานหลายสัปดาห์

 

ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่ามาตรการลดเพดานบินดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสนามบินหลัก 40 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดอย่างนิวยอร์ก, ลอสแอนเจลิส, ชิคาโก, ดัลลัส และแอตแลนตา ซึ่งเคยมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 108 ล้านคนในปี 2024

 

FAA ระบุว่าการลดเที่ยวบินจะเกิดขึ้นเป็นระยะ เริ่มต้นที่ 4% ใน วันศุกร์ (7 พ.ย.), เพิ่มเป็น 6% ใน วันที่ 11 พ.ย. และจะเพิ่มสูงสุดถึง 10% ภายใน วันที่ 14 พ.ย. โดยมาตรการนี้จะมุ่งเน้นไปที่เที่ยวบินในประเทศและเส้นทางระดับภูมิภาคเป็นหลัก และยืนยันว่า เที่ยวบินระหว่างประเทศระยะไกลจะไม่ได้รับผลกระทบ

 

ดัฟฟีย้ำว่าแม้ระบบการจราจรทางอากาศของประเทศจะยังคงปลอดภัย แต่มาตรการนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อ ‘รักษาระดับความปลอดภัย’ เอาไว้ หลังจากที่การชัตดาวน์ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคลากรอย่างหนัก เขากล่าวว่าเจ้าหน้าที่ ATC บางส่วนไม่ได้มาทำงาน แต่หันไปรับ ‘งานพิเศษ’ (Side jobs) อื่นๆ เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวแทน

 

สายการบินต่างๆ ได้เริ่มแจ้งเตือนผู้โดยสารถึงมาตรการดังกล่าวแล้ว โดย Delta ได้แจ้งให้ผู้โดยสารที่เดินทางในช่วงสุดสัปดาห์นี้สามารถเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม เช่นเดียวกับ United, American และ Southwest ที่ต่างออกมาตรการช่วยเหลือผู้โดยสารในการขอคืนเงินหรือเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินโดยไม่เสียค่าปรับ

 

สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างความโกลาหลให้กับผู้เดินทาง ไทเลอร์ วอยต์ ย 38 ปี ตัดสินใจยกเลิกเที่ยวบินของ Delta ไปยังวิสคอนซิน และเลือกที่จะใช้วิธีขับรถนาน 15 ชั่วโมงแทน เขาให้เหตุผลว่าไม่ต้องการเสี่ยงไปรอที่สนามบิน “เพื่อเจอกับแถว TSA (เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยการขนส่ง) ที่ยาวเหยียด แล้วสุดท้ายก็โดนยกเลิกเที่ยวบินอยู่ดี”

 

ความกังวลนี้ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังธุรกิจอื่นๆ บริษัทรถเช่า Hertz รายงานว่ายอดจองรถเช่าแบบเที่ยวเดียวในช่วงสุดสัปดาห์นี้พุ่งสูงขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากผู้โดยสารที่พยายามหาทางเลือกอื่นในการเดินทางแทนเครื่องบิน

 

ในขณะที่ผลกระทบเริ่มขยายวงกว้าง ความพยายามในการยุติการชัตดาวน์ในสภาคองเกรสก็เข้มข้นขึ้น โดยมีรายงานว่า ส.ว. กลุ่มสายกลางจากทั้งสองพรรคกำลังเจรจาเพื่อหาทางออก แต่ยังคงติดขัดในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักประกันงบประมาณในอนาคตและการคุ้มครองการเลิกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลาง

 

พรรครีพับลิกันได้ออกมากล่าวโทษพรรคเดโมแครตว่าเป็นต้นเหตุของผลกระทบที่เกิดขึ้น โดย ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้อ้างถึงแถลงการณ์ของสมาคมผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ ที่เรียกร้องให้เดโมแครตล้มเลิก ‘ข้อเรียกร้องทางการเมืองที่ยึดผลประโยชน์พรรค’ และรีบผ่านงบประมาณเพื่อทำให้รัฐบาลกลับมาทำงานได้ตามปกติ

 

ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ยังคงยืนยันให้พรรครีพับลิกันใช้วิธี เปลี่ยนกฎการอภิปรายของวุฒิสภา (Filibuster) ซึ่งเป็นกฎที่อนุญาตให้เสียงข้างน้อยขัดขวางมติ เพื่อให้พวกเขาสามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้ด้วยเสียงข้างมากธรรมดา แต่แนวคิดดังกล่าวก็ถูกปฏิเสธโดย ส.ว. ของพรรครีพับลิกันเอง

 

สถานการณ์นี้ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ชัตดาวน์ครั้งก่อนในปี 2019 ซึ่งในครั้งนั้น ความกังวลเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางและการหยุดชะงักของเที่ยวบินได้กลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้สภาคองเกรสและประธานาธิบดีทรัมป์ในขณะนั้นต้องยอมประนีประนอมในที่สุด

 

ภาพ : Juliana Yamada / Los Angeles Times via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post สายการบินสหรัฐฯ แห่ยกเลิกหลายร้อยเที่ยวบิน หลัง FAA สหรัฐฯ สั่งจำกัดเพดานบิน 40 สนามบิน รับมือปัญหาพนักงานขาดแคลนจาก Government Shutdown appeared first on THE STANDARD.

]]>
OECD ชี้ระบบยุติธรรมไร้ประสิทธิภาพ อาจทำประเทศสูญ GDP 3% แนะยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-23/ Fri, 07 Nov 2025 09:37:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1140751 OECD ชี้ระบบยุติธรรมไร้ประสิทธิภาพ อาจทำประเทศสูญ GDP 3% แนะยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

OECD เผยปัญหาทางกฎหมายที่ไม่ได้รับการแก้ไขสามารถสร้างคว […]

The post OECD ชี้ระบบยุติธรรมไร้ประสิทธิภาพ อาจทำประเทศสูญ GDP 3% แนะยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
OECD ชี้ระบบยุติธรรมไร้ประสิทธิภาพ อาจทำประเทศสูญ GDP 3% แนะยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

OECD เผยปัญหาทางกฎหมายที่ไม่ได้รับการแก้ไขสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศต่างๆ สูงถึง 3% ของ GDP แนะไทยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

 

Mary Beth Goodman รองเลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) กล่าวบนเวที Opening Remarks by OECD ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ว่า ‘หลักนิติธรรม’ (Rule of Law) ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดทางกฎหมาย แต่คือ ‘ระบบปฏิบัติการ’ (Operating System) ที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของนโยบายเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเตือนว่า ระบบยุติธรรมที่ไร้ประสิทธิภาพและมีปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข อาจสร้างต้นทุนมหาศาลให้ประเทศถึง 3% ของ GDP

Goodman แนะว่า การที่ประเทศไทยจะปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้นั้น จำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้าง โดยมีหัวใจสำคัญคือการสร้าง ‘ระบบยุติธรรมที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง’
Goodman ย้ำว่า การลงทุนในหลักนิติธรรมไม่ใช่แค่เรื่องของหลักการประชาธิปไตย แต่คือ “ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ด้านเศรษฐกิจ” ที่สำคัญอย่างยิ่ง

“เมื่อกฎเกณฑ์มีความชัดเจนและถูกบังคับใช้อย่างเป็นธรรม ข้อพิพาทจะได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะตามมา ในทางตรงกันข้าม เมื่อกฎเกณฑ์ไม่ชัดเจน ความไว้วางใจก็จะพังทลาย, ต้นทุนสูงขึ้น และโอกาสต่างๆ ก็จะหยุดชะงัก” Goodman กล่าว
ประเด็นสำคัญที่ OECD เน้นย้ำคือ ต้นทุนที่จับต้องได้ของความไร้ประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงถึงรายงานที่ทำร่วมกับ World Justice Project ซึ่งชี้ว่า “ปัญหาทางกฎหมายที่ไม่ได้รับการแก้ไขสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศต่างๆ สูงถึง 3% ของ GDP นั่นคือราคาที่สูงมากสำหรับการไม่ลงมือทำ”

Goodman ชี้ว่า กลุ่มที่เปราะบางที่สุดและได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากปัญหานี้คือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของธุรกิจทั่วโลก รวมถึงในไทย “SMEs คือกลุ่มแรกที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากความล่าช้า, ช่องว่างของข้อมูล และกระบวนการที่ซับซ้อน” ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาคือการจ้างงานที่สูญหาย, โครงการที่ล่าช้า และนวัตกรรมที่ถูกพับเก็บไป

3 เสาหลัก สู่ระบบยุติธรรมที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

Goodman ให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่า การปฏิรูประบบยุติธรรมต้องยึด “ความต้องการที่แท้จริง” ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยมี 3 แนวทางสำคัญที่ทุกประเทศสามารถนำไปใช้เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันได้

 

  • ต้องส่งเสริม ‘ความเป็นอิสระ’ ภายในระบบยุติธรรม เพื่อสร้างความไว้วางใจจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ซึ่งต้องประกอบด้วยการแต่งตั้งตามความสามารถ, งบประมาณที่เสถียร, การจัดสรรคดีแบบสุ่ม และการเผยแพร่คำตัดสินที่สมเหตุสมผล
  • การเข้าถึงต้อง ‘ง่าย-เร็ว-ไม่แพง’ บริการด้านความยุติธรรมควรจะเรียบง่าย, ทันเวลา และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน โดยต้องอาศัยการประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างตำรวจ, อัยการ, ศาล และหน่วยงานอื่นๆ
  • ขับเคลื่อนด้วย ‘ข้อมูล-ดิจิทัล-ความโปร่งใส’ สถาบันยุติธรรมควรเชื่อมต่อกันผ่านยุทธศาสตร์ข้อมูล (Data Strategy) และใช้เครื่องมือดิจิทัลและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยกูดแมนย้ำว่า “AI ต้องโปร่งใส, ตรวจสอบได้ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมนุษย์”

 

รองเลขาธิการ OECD กล่าวว่า การที่ไทยกำลังเดินหน้ากระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD (Accession Process) ถือเป็นสัญญาณที่ดี “แสดงให้เห็นถึงการตระหนักว่า ระบบยุติธรรมที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางสามารถเป็นรากฐานให้กับความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจได้”
“เราได้เห็นเครื่องมือ AI ที่พัฒนาโดยประเทศไทยเพื่อสแกนกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อดูว่าสิ่งใดสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน OECD” Goodman กล่าว

กูดแมนเรียกร้องให้ไทยใช้โอกาสนี้ในการ “หลอมรวมการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สมบูรณ์” ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างอนาคตที่แข็งแกร่ง เธอย้ำว่า สมาชิกใหม่ของ OECD ที่ผ่านกระบวนการนี้ ไม่เพียงแต่ยกระดับระบบยุติธรรม แต่ยังสามารถปรับปรุงกรอบนโยบายเศรษฐกิจโดยรวมให้ทันสมัย ซึ่งนำไปสู่ “บรรยากาศการลงทุนที่น่าดึงดูดใจมากขึ้น”

“ท้ายที่สุดแล้ว งานด้านการเข้าเป็นสมาชิกนี้สามารถเป็นรากฐานให้กับธุรกิจที่แข็งแรง, การลงทุนที่เพิ่มขึ้น และความมั่งคั่งสำหรับประชาชนชาวไทยทุกคน” Goodman กล่าวปิดท้าย

The post OECD ชี้ระบบยุติธรรมไร้ประสิทธิภาพ อาจทำประเทศสูญ GDP 3% แนะยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยควรวางบทบาท Geopolitical Safe Zone! ‘ดร.ศุภวุฒิ’ มองต่างเบรกไทยเข้ากลุ่ม BRICS แนะเดินหน้า CPTPP-OECD https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-21/ Fri, 07 Nov 2025 08:47:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1140730 ไทยควรวางบทบาท Geopolitical Safe Zone!

“ดร.ศุภวุฒิ ชี้ไทยต้องเร่งยืนบนเวทีโลก สร้าง Rule-based […]

The post ไทยควรวางบทบาท Geopolitical Safe Zone! ‘ดร.ศุภวุฒิ’ มองต่างเบรกไทยเข้ากลุ่ม BRICS แนะเดินหน้า CPTPP-OECD appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยควรวางบทบาท Geopolitical Safe Zone!

“ดร.ศุภวุฒิ ชี้ไทยต้องเร่งยืนบนเวทีโลก สร้าง Rule-based Trade ลดพึ่งพาสหรัฐฯ แนะควรเข้าร่วม CPTPP และ OECD
เร่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 14 ให้เร็วขึ้น ปรับโครงสร้างประชากรสู้สังคมสูงวัย วางยุทธศาสตร์เชื่อมจีน สร้างรางรถไฟ เดินหน้าพลังงานสีเขียว และวางตัวเป็น ‘Geopolitical Safe Zone’ ของโลก

 

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวบนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ที่จัดขึ้นวันนี้ (7 พฤศจิกายน) เป็นวันสุดท้าย ในหัวข้อ ‘Rewiring the Global Supply Chain’ ยุทธศาสตร์ใหม่เปลี่ยนเกมโลกว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก Geopolitics (ภูมิรัฐศาสตร์) – Geo-Economics การแบ่งขั้ว 2 มหาอำนาจที่รุนแรง รวดเร็ว และกำลังสร้างระเบียบโลกใหม่ ประเทศไทยควรมุ่งสร้างความเข้มแข็งบนเวทีโลกผ่าน 4 แนวทางสำคัญ

 

1.สร้างระบบการค้าระหว่างประเทศแบบ Rule-based Trade
ไทยควรยกระดับบทบาทในเวทีการค้าโลก โดยไม่ยึดโยงกับสหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว แต่สร้างระบบการค้าที่มี “กฎเกณฑ์ที่เป็นธรรม” มากกว่าการเปิดเสรีแบบ FTA เดิม ๆ ซึ่งรวมถึงการเข้าร่วมความตกลง CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) และการเร่งรัดการเข้าเป็นสมาชิก OECD


พร้อมกันนี้ ไทยควรใช้โอกาสจากการเป็นเจ้าภาพการประชุม IMF ในปีหน้า เพื่อแสดงศักยภาพและผลักดันแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ควบคู่กับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและเสริมภาพลักษณ์ประเทศ

 

2. ปรับโครงสร้างข้อมูลด้านประชากรและสังคมสูงวัย
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ โดยจะมีประชากรสูงอายุถึงกว่า 20 ล้านคนในอนาคตอันใกล้ จึงจำเป็นต้องบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อยกระดับสุขภาพคนไทย และขยายบริการด้านสุขภาพไปสู่ชาวต่างชาติ

 

3. ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและการรับมือ Climate Change
ไทยควรสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Green Energy) โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Data Center ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จะเปิดให้เอกชนสามารถใช้สายส่งไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อส่งต่อพลังงานสะอาดไปยังผู้ผลิตรายอื่นได้ เนื่องจากพลังงานเป็นต้นทุนหลักของการผลิต และลูกค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสีเขียวมากขึ้น

 

4.เดินหน้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง เชื่อมโยงไทย-จีน
จีนต้องการให้ไทยเร่งเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟจีน-ไทย ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์นี้ โดยการเชื่อมต่อดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ของจีน ที่จะเชื่อมเส้นทางขนส่งสินค้าการเกษตร เช่น ทุเรียน จากไทยและลาวไปสู่ตลาดจีนโดยตรง

 

ดร.ศุภวุฒิ สรุปทิ้งท้ายว่า “ในท้ายที่สุด ไทยและอาเซียนต้องกำหนดบทบาท ของตนเองให้ชัดเจน ในฐานะ ‘Geopolitical Safe Zone’ ของโลก เพื่อสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างมหาอำนาจ โดยการรวมกลุ่มของประเทศตลาดเกิดใหม่อย่าง BRICS อาจไม่ตอบโจทย์บทบาทดังกล่าวของไทยได้ทั้งหมด แต่ไทยควรเดินหน้าเข้าร่วม CPTPP-OECD”

The post ไทยควรวางบทบาท Geopolitical Safe Zone! ‘ดร.ศุภวุฒิ’ มองต่างเบรกไทยเข้ากลุ่ม BRICS แนะเดินหน้า CPTPP-OECD appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติ เปิดให้ตั้ง JV AMC รอบใหม่แล้ว ลุยแก้หนี้เสีย สนองนโยบาย Quick Big Win รัฐบาล https://thestandard.co/bot-opens-new-amc-round/ Fri, 07 Nov 2025 04:46:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1140596 แบงก์ชาติ เปิดให้ตั้ง JV AMC รอบใหม่แล้ว ลุยแก้หนี้เสีย สนองนโยบาย Quick Big Win รัฐบาล

ธปท. ไฟเขียวให้แบงก์พาณิชย์ แบงก์รัฐ และ Non-bank สามาร […]

The post แบงก์ชาติ เปิดให้ตั้ง JV AMC รอบใหม่แล้ว ลุยแก้หนี้เสีย สนองนโยบาย Quick Big Win รัฐบาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติ เปิดให้ตั้ง JV AMC รอบใหม่แล้ว ลุยแก้หนี้เสีย สนองนโยบาย Quick Big Win รัฐบาล

ธปท. ไฟเขียวให้แบงก์พาณิชย์ แบงก์รัฐ และ Non-bank สามารถร่วมลงทุนกับ AMC หรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์ตั้ง JV AMC ใหม่แล้ว โดยต้องยื่นขอจัดตั้งกิจการร่วมทุนภายใน 2 ปีนี้ และจะให้ดำเนินการเป็นระยะเวลา 15 ปี หวังแก้ปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ

 

วันนี้ (7 พฤศจิกายน) รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์ส่งเสริมการจัดตั้งกิจการร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงิน (ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และบริษัทบริหารสินทรัพย์ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด 19 โดยสิ้นสุดระยะเวลาการจัดตั้งเมื่อปี 2567 นั้น

 

เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจและครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่อาจมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงคุณภาพสินเชื่อ สถาบันการเงินจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกลไกที่ยืดหยุ่นขึ้นเพื่อรองรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่อาจทยอยเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป

 

ธปท. จึงจะอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ Non-bank สามารถร่วมลงทุนกับบริษัทบริหารสินทรัพย์หรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์ในกิจการร่วมทุนได้เป็นการชั่วคราว กล่าวคือ ให้ระยะเวลา 2 ปีในการยื่นขอจัดตั้งกิจการร่วมทุน และมีระยะเวลา 15 ปีในการดำเนินกิจการ

 

สำหรับหลักกเกณฑ์ที่มีการปรับปรุงเพิ่มเติม ธปท.ระบุว่า กิจการร่วมทุนต้องให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่ได้รับโอนมาด้วย เช่น ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับและสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงจะขยายให้กิจการร่วมทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่จัดตั้งแล้วสามารถรองรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากธนาคารพาณิชย์และ Non-bank ได้จากเดิมที่รับซื้อรับโอนได้จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจเท่านั้น

 

ธปท. หวังว่า มาตรการข้างต้นจะช่วยให้สถาบันการเงินทั้ง ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ Non-bank มีเครื่องมือเพิ่มเติมในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ดูแลลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ ด้วยกลไกของกิจการร่วมทุนจะทำให้ลูกหนี้มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้ยังสามารถดำเนินชีวิตหรือธุรกิจต่อไปได้ และเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต่อไป

The post แบงก์ชาติ เปิดให้ตั้ง JV AMC รอบใหม่แล้ว ลุยแก้หนี้เสีย สนองนโยบาย Quick Big Win รัฐบาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทูตญี่ปุ่นย้ำจุดแข็งของไทย ชี้โอกาสปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุน https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-18/ Thu, 06 Nov 2025 11:49:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1140439 ทูตญี่ปุ่นย้ำจุดแข็งของ ไทย ชี้โอกาสปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุน

โอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยขึ้นกล […]

The post ทูตญี่ปุ่นย้ำจุดแข็งของไทย ชี้โอกาสปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทูตญี่ปุ่นย้ำจุดแข็งของ ไทย ชี้โอกาสปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุน

โอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยขึ้นกล่าว Keynote บนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ในวันนี้ (6 พฤศจิกายน) โดยกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและไทยดำเนินมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ช่วงสมัยอยุธยา ก่อนที่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเข้มแข็งขึ้นผ่านการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น

 

โดยองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลญี่ปุ่น มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของไทยให้แข็งแกร่งตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เช่น สนามบินหลักทั้งสองแห่ง (ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) และท่าเรือแหลมฉบัง ต่างก็ได้รับการสนับสนุนจาก JICA เช่นกัน

 

จุดแข็งของประเทศไทยในฐานะฐานการลงทุน

 

ท่านทูตมาซาโตะ ระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานของไทยที่ JICA มีส่วนช่วยสร้างขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาทำงานร่วมกับคนไทย โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ จึงทำให้ห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งเกิดขึ้น สิ่งนี้คือ ‘ความเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริงระหว่างญี่ปุ่นกับไทย’

 

นอกจากนี้ระบบการศึกษาและความขยันของคนไทยทำให้มีบุคลากรที่มีคุณภาพสูงมาก ตั้งแต่ระดับผู้จัดการ วิศวกร ไปจนถึงผู้ปฏิบัติงาน โดยสถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับไทยคือ การที่นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน ทำงานร่วมกับบริษัทและคนไทย และสร้างบริษัทที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดที่สามได้

 

แนวโน้มการลงทุนและการแข่งขัน

 

ภาพรวมการลงทุนของญี่ปุ่นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างคงที่ แต่การลงทุนในภาคที่ไม่ใช่การผลิต (Non-Manufacturing) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคการเงินและการประกันภัย รวมถึงการค้าส่งและการค้าปลีก เช่น Uniqlo, Muji

 

ขณะที่การลงทุนโดยตรงในไทย แม้ว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะเคยเป็นอันดับหนึ่งจนถึงปี 2022 แต่หลังปี 2023 ถูกแซงหน้าโดยประเทศอื่นๆ เช่น จีนและสิงคโปร์ อย่างไรก็ตามการลงทุนของญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ส่วนการลงทุนสะสม (Investment in Stock Basis) ญี่ปุ่นยังคงเป็นอันดับหนึ่งในไทย โดยมีมูลค่าสะสมประมาณ 40 ล้านล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยกำลังแข่งขันอย่างเข้มข้นกับเวียดนามและอินโดนีเซีย ในการดึงดูดการลงทุนจากญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ

 

โดยประเทศไทยมีหลายภาคส่วนที่ถือว่ามีศักยภาพ เช่น ภาคยานยนต์ (Automotive Sector) ยังคงเป็น แรงผลักดันหลักของเศรษฐกิจไทย แต่กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีบทบาทมากขึ้น, อุตสาหกรรมเคมีและอิเล็กทรอนิกส์, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), สิ่งแวดล้อมและชีวมวล (Biomass) รวมถึงการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ ความร่วมมือด้านอวกาศ และด้านอุตสาหกรรมอาหาร

 

ไทยกับการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

 

ท่านทูตมาซาโตะ ระบุว่า ต้นทุนไฟฟ้าของไทยสูงกว่าคู่แข่งหลักอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียอย่างมาก ปัญหานี้ทำให้หลายบริษัทพยายามผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใช้เอง แต่ถูกจำกัดการเชื่อมต่อกับระบบสายส่ง (Grid) ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ไทยยังคงสามารถแข่งขันได้

 

อีกทั้งยังเสนอให้ไทยใช้ประโยชน์จากการมีพรมแดนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านให้เต็มที่ สร้างเชื่อมโยงภายในอาเซียน (Connectivity in ASEAN) โดยหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนพัฒนาการที่ดีคือ การสร้างศูนย์ CIQ (Customs, Immigration, Quarantine) ที่ทันสมัยที่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา เพื่อให้การค้าและการเคลื่อนย้ายผู้คนเป็นไปอย่างราบรื่น

 

การดำเนินการในด้านพลังงานและการเชื่อมโยงเหล่านี้ จะช่วยให้ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจ สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลกต่อไป

 

ภาพ: THE STANDARD

The post ทูตญี่ปุ่นย้ำจุดแข็งของไทย ชี้โอกาสปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมนับวันญี่ปุ่นหันไปลงทุนเวียดนาม? “วิกรม” เตือนไทยเร่งแข่งขัน หวัง One Belt One Road เชื่อมทุนจีน-ญี่ปุ่น https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-17/ Thu, 06 Nov 2025 11:41:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1140436 ทำไมนับวันญี่ปุ่นหันไปลงทุน เวียดนาม? “วิกรม” เตือน ไทย เร่งแข่งขัน หวัง One Belt One Road เชื่อมทุน จีน-ญี่ปุ่น

วิกรม ‘อมตะ’ แนะไทยใช้ยุทธศาสตร์เชื่อมจีน-ญี่ปุ่น ปลุกก […]

The post ทำไมนับวันญี่ปุ่นหันไปลงทุนเวียดนาม? “วิกรม” เตือนไทยเร่งแข่งขัน หวัง One Belt One Road เชื่อมทุนจีน-ญี่ปุ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมนับวันญี่ปุ่นหันไปลงทุน เวียดนาม? “วิกรม” เตือน ไทย เร่งแข่งขัน หวัง One Belt One Road เชื่อมทุน จีน-ญี่ปุ่น

วิกรม ‘อมตะ’ แนะไทยใช้ยุทธศาสตร์เชื่อมจีน-ญี่ปุ่น ปลุกการลงทุนภูมิภาค
ชี้แนวโน้มญี่ปุ่นย้ายฐานลงทุนสู่เวียดนาม แนะไทยเร่งยกระดับขีดความสามารถแข่งขัน

 

วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA
กล่าวบนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ที่จัดขึ้นวันนี้ (6 พฤศจิกายน) เป็นวันที่ 2 ในหัวข้อ The Next Chapter : Powering Thailand’s Future with Japanese Investment ขับเคลื่อนอนาคตไทย บทใหม่แห่งการลงทุนญี่ปุ่น ว่า ตลอดเส้นทางการบริหาร “อมตะ” และชีวิตการทำงาน มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับประเทศญี่ปุ่นมายาวนาน ทั้งในเชิงธุรกิจและสายสัมพันธ์ส่วนตัว
โดยบริษัทมีลูกค้าญี่ปุ่นจำนวนมากซึ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทมาโดยตลอด

 

ปัจจุบันภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ มีโรงงานญี่ปุ่นกว่า 750 แห่ง จากทั้งหมด 1,600 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของลูกค้าทั้งหมด

 

ทำไมนับวันญี่ปุ่นหันไปลงทุน เวียดนาม? “วิกรม” เตือน ไทย เร่งแข่งขัน หวัง One Belt One Road เชื่อมทุน จีน-ญี่ปุ่น 1

 

โดยจะเห็นว่า ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีโรงงานญี่ปุ่นมากกว่า 600 แห่ง ซึ่งญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพและระบบบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม

 

ทว่าทิศทางการลงทุนของญี่ปุ่นในภูมิภาคอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) กลับเปลี่ยนแปลงไป โดยมีแนวโน้มมุ่งสู่เพื่อนบ้าน สปป.ลาว เมียนมา โดยเฉพาะ ‘เวียดนาม’ มากขึ้นอย่างชัดเจน

 

“หากมองย้อนกลับไป ปี 1991 เวียดนามยังถือเป็นประเทศที่เริ่มต้นพัฒนา แต่วันนี้กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง เวียดนามบินได้แล้ว ไม่ใช่แค่วิ่ง นักลงทุนญี่ปุ่นจำนวนมากหันไปลงทุนที่นั่น ทั้งที่เคยอยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ในขณะที่การลงทุนของญี่ปุ่นในไทยค่อยๆ ลดลง”

 

วิกรม กล่าวอีกว่า “วันนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นเหลือเพียงราว 10% ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก เพราะผมรักญี่ปุ่นมาก และอยากให้เมื่อพวกเขามาลงทุนในประเทศไทย ‘อมตะ’ ควรเป็นที่แรกที่พวกเขานึกถึง แต่ตอนนี้ชาวญี่ปุ่นกำลังตกหลุมรักเวียดนาม เพราะเวียดนามทำได้ดีจริงๆ”

 

ทำไมนับวันญี่ปุ่นหันไปลงทุน เวียดนาม? “วิกรม” เตือน ไทย เร่งแข่งขัน หวัง One Belt One Road เชื่อมทุน จีน-ญี่ปุ่น 2

 

ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโต วิกรม ระบุว่า เวียดนามตั้งเป้าให้ GDP ปีหน้าขยายตัวถึง 10% และคาดว่าปีนี้จะเติบโต 8% ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่ดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่นให้หันไปลงทุนเพิ่มขึ้น

 

พร้อมกันนี้ วิกรมยังถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานร่วมกับชาวญี่ปุ่นว่า คนญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตที่ใจดี ขยัน ทำงานอย่างพิถีพิถัน มีมาตรฐานสูง เคารพกฎระเบียบ และตรงต่อเวลาอย่างเคร่งครัด

 

“เมื่อคุณให้คำมั่นสัญญากับชาวญี่ปุ่น คุณต้องทำให้ได้ตามนั้น และควรมาก่อนเวลานัดหมาย เพราะหากคุณมาช้า พวกเขาจะไม่รอ และอาจโทรตามคุณแม้ในยามค่ำคืน”

 

วิกรม มองว่า โมเดลการลงทุนแบบเก่าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ถึงเวลาที่ต้องยกระดับความสัมพันธ์เพื่อรับมือกับการแข่งขันและเทคโนโลยีใหม่ โดยอาจใช้โอกาสจากยุทธศาสตร์ One Belt One Road “เส้นทางสายไหม” ซึ่งเส้นทางสายนี้จะสามารถเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางแบบที่เรียกได้ว่าเส้นทางสายนี้สามารถเชื่อมโลกเข้าหากันได้

 

ทำไมนับวันญี่ปุ่นหันไปลงทุน เวียดนาม? “วิกรม” เตือน ไทย เร่งแข่งขัน หวัง One Belt One Road เชื่อมทุน จีน-ญี่ปุ่น 3

 

โดยหวังว่า ในอนาคต ญี่ปุ่นและจีนจะสามารถกลับมาร่วมมือกันได้อีกครั้ง เพราะทั้งสองประเทศต่างเป็นมิตรที่ดีของไทย ซึ่งมีประวัติความสัมพันธ์อันยาวนาน ไทยกับจีนกว่า 900 ปี และไทยกับญี่ปุ่นกว่า 600 ปี โดยไม่เคยมีความขัดแย้งรุนแรงต่อกัน แม้ในช่วงสงครามโลก ไทยก็ยังคงเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่สามารถร่วมมือกับญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่น

 

วิกรม ทิ้งท้ายว่า “สิ่งที่ผมอยากฝากในวันนี้ คือ เรากำลังเห็นการลงทุนจากจีนที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนจากญี่ปุ่นค่อยๆ ลดลง ไทยควรใช้จุดแข็งทางยุทธศาสตร์เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมและส่งเสริมให้ญี่ปุ่นและจีนร่วมมือกันในฐานะมิตรที่ดี เพื่อเสริมพลังให้ภูมิภาคเติบโตไปด้วยกัน”

ท้ายที่สุด “ความฝันของผมคือ การทำให้จีนและญี่ปุ่นมาทำงานร่วมกันในบ้านของเรา เพื่อประโยชน์ของประเทศกลุ่มภูมิภาคลุ่มนํ้าโขง” วิกรม กล่าว

ในโอกาสที่บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งความสำเร็จ วิกรมกล่าวทิ้งท้ายว่า อมตะจะยังคงเดินหน้าพัฒนา “เมืองอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบ (Perfect City)” ภายใต้แนวคิด “Eternal Dream” มุ่งขยายศักยภาพโครงสร้างพื้นฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

 

 

The post ทำไมนับวันญี่ปุ่นหันไปลงทุนเวียดนาม? “วิกรม” เตือนไทยเร่งแข่งขัน หวัง One Belt One Road เชื่อมทุนจีน-ญี่ปุ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตีโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ เกมอำนาจ จีน-สหรัฐฯ ไทยควรรับมืออย่างไร? https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-16/ Thu, 06 Nov 2025 10:06:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1140413 ตีโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ เกมอำนาจ จีน-สหรัฐฯ ไทยควรรับมืออย่างไร?

การเผชิญหน้าระหว่างสองมหาอำนาจ จีน-สหรัฐฯ ตลอดหลายปีที่ […]

The post ตีโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ เกมอำนาจ จีน-สหรัฐฯ ไทยควรรับมืออย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตีโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ เกมอำนาจ จีน-สหรัฐฯ ไทยควรรับมืออย่างไร?

การเผชิญหน้าระหว่างสองมหาอำนาจ จีน-สหรัฐฯ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลายเป็นความท้าทายที่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ณ ปัจจุบัน โดยหลายประเทศรวมถึงไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างนโยบายและยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับผลกระทบที่ตามมา

 

ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ ทั้งสงครามร้อน (การสู้รบโดยใช้อาวุธ) และสงครามเย็น (การสู้รบโดยไม่ใช้อาวุธ เช่น เศรษฐกิจ การค้าและการเมือง) ตลอดจนการแข่งขันทางเทคโนโลยี และภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ กลายเป็นแรงกระเพื่อมที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทั่วโลก

 

โจทย์ความท้าทายเหล่านี้ ถูกหยิบยกขึ้นหารือบนเวทีเสวนา หัวข้อ “Redefining Thailand’s Role in the New World Order : ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก รุกเพื่อกลับสู่จอเรดาร์ได้อย่างไร” ภายในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 โดยผู้ร่วมเสวนาได้แก่

 

  • นิกรเดช พลางกูร

อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

 

  • รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น

อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

  • ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และอดีตที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกรัฐมนตรี (2546-2549)

 

ดร.สุรชาติ เรียกความเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนตัวของปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น ว่าเป็น ‘รอยเลื่อนทางยุทธศาสตร์” (Strategic Shift)’

 

โดย ณ วันนี้โลกได้เห็นรอยเลื่อนนี้แล้ว แต่คำถามสำคัญสำหรับประเทศไทย คือเราจะรับมือมันอย่างไร?

 

6 ปัจจัยท้าทายสำหรับไทย

 

ดร.สุรชาติชี้ว่าโจทย์ท้าทายสำหรับประเทศไทย ณ วันนี้ มี 6 ปัจจัย ทั้งภายนอกและภายใน โดยปัจจัยภายนอกได้แก่

 

1.ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์

2.สงคราม

3.สงครามการค้า

4.สแกมเมอร์ อาชญากรรมข้ามพรมแดน

5.ภาวะโลกรวน

6.ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

 

ขณะที่ปัจจัยภายในนั้น โจทย์ใหญ่มีทั้งเสถียรภาพทางการเมือง, ภาวะเศรษฐกิจ สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาในมิติความมั่นคง อย่างปัญหาความ เหลื่อมล้ำ ทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการเมืองเป็นโจทย์ข้อแรกที่ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อน

 

“ถ้าโจทย์ภายนอก ก็หนีไม่พ้นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งการจะสู้ก็ลำบากสำหรับไทยเพราะเป็นประเทศเล็ก แต่การที่จะรับมือโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ได้ โจทย์การเมืองภายในต้องได้คำตอบก่อน” เขากล่าว

 

ด้านนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้ความเห็นในมุมนโยบายการต่างประเทศ โดยเห็นด้วยว่าการเมืองภายในของไทยต้องนิ่งเสียก่อน จึงจะช่วยให้การกำหนดนโยบายต่างประเทศมีความต่อเนื่อง

 

เขาชี้ว่าสิ่งสำคัญคือการรักษาสมดุล ระหว่างกระแสกับหลักการ และมองว่าเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้นมีความสำคัญพอๆ กับภูมิเศรษฐศาสตร์ ท่ามกลางบริบทของระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นโอกาสของไทยที่จะชูบทบาทในระดับโลก

 

“เรากำลังพูดถึงการเป็นฮับความเชื่อมโยง พูดถึงการเป็นฮับความมั่นคงทางอาหาร ฮับความมั่นคงทางพลังงาน มีหลายเรื่องที่ระเบียบโลกเอื้ออำนวยให้ไทยเข้าไปมีบทบาท”

 

โดยเขาชี้ว่า ไทยไม่จำเป็นต้องเล่นทุกเรื่อง และต้องมีทั้ง Niche Diplomacy หรือการทูตที่มุ่งเน้นเฉพาะบางเรื่อง และ Hedge Diplomacy หรือการทูตแบบสมดุล โดยเลือกวาระ แต่ไม่จำเป็นต้องเลือกฝ่าย

 

ไทยต้องกล้า ‘ชกเกินน้ำหนัก’

 

นิกรเดช ชี้ถึงแนวทางของกระทรวงการต่างประเทศในการวางนโยบายการต่างประเทศ ท่ามกลางโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ โดยชี้ว่า ณ ตอนนี้ ไทยพร้อมที่จะ ‘ชกเกินน้ำหนัก’

 

เขาอธิบายว่าคำนี้ ไม่ใช่การเผชิญหน้า แต่เป็นการแสดงบทบาทเชิงรุกในวาระต่างๆ ที่เป็นวาระของโลก

 

“ตัวอย่างที่จับต้องได้ คือประเทศ ไทยเพิ่งไปร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนมา และต่อด้วย APEC ขณะที่ไทยเองก็เดือดร้อนจากเรื่องอาชญากรรมข้ามพรมแดน และได้เอาเรื่องนี้ไปผลักดันในเวทีอาเซียน โดยบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของ ประเทศไทย แต่เป็นปัญหาของภูมิภาคหรือมากกว่านั้น คือเป็นปัญหาของโลก ซึ่งเราก็ไปขยายแนวคิดว่า จะจัดการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยเรื่องการต่อต้าน อาชญากรรมออนไลน์ และมีหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ เกาหลี จีน อาเซียน อินเดีย ที่ให้ความสนใจ อันนี้คือการชกข้ามน้ำหนักสำหรับผม คือการแสดงบทบาทในวาระที่ Beyond Thailand หรือมากกว่าประเทศไทย”

 

โดยไทยสนับสนุนให้มี Action Plan ในเรื่องนี้ ซึ่งนิกรเดช กล่าวว่าเราควรมีบทบาทนำ และชวนประเทศพันธมิตรมาร่วมด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการหารือกับเกาหลีใต้แล้ว และมีหลายประเทศที่บอกว่าจะมาร่วมสนับสนุนการต่อต้านปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงออนไลน์

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับโจทย์ความท้าทายที่ไทยต้องก้าวข้ามให้ได้ เขาชี้ว่ามีอยู่ 3 เรื่อง คือ

 

1.ประเทศไทยต้อง Relevant หรือ มีส่วนร่วมในวาระระดับโลกมากกว่านี้

2.ประเทศไทยต้อง Competitive หรือ มีศักยภาพในการแข่งขันมากกว่านี้

3.ประเทศไทยต้อง Visible มีบทบาทนำที่ทั่วโลกมองเห็นมากกว่านี้

 

“ถ้าเราทำได้ครบสามอย่างนี้ ไทยจะไม่ใช่ผู้ตาม แต่จะเป็นประเทศที่คนอื่นต้องฟัง”

 

กลยุทธ์สู่ Middle Power

 

สำหรับคำถามว่าไทยมีโอกาสที่จะก้าวไปถึงขั้นเป็น ประเทศอำนาจขนาดกลาง (Middle Power) ได้หรือไม่นั้น ดร.สุรชาติ ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ยังคงอีกไกลกว่าจะไปถึงจุดนั้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการที่ไทยหายไปจากจอเรดาร์โลกนับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารปี 2014

 

“ถ้ามองความเป็นจริง วันนี้ถามว่าไทย เป็นรัฐมหาอำนาจมั้ย มันเป็นโดยเงื่อนไขในความหมายว่า เป็น ‘ รัฐมหาอำนาจในภูมิภาค’ แต่ถ้าจะเป็น Middle Power หรือ Small Power เรายังเป็นไม่ได้ เพราะปัญหาภายในหลังรัฐประหาร ปี 2014 ซึ่งเราหายไปจากจอเรดาร์ หรือพูด ง่ายๆ คือไทยใช้นโยบายเครื่องบินล่องหน F117 คือ ไม่ ปรากฏบนจอเรดาร์มานานมาก”

 

เขาชี้ว่าการจะขยายบทบาทและทำให้ไทยกลับสู่จอเรดาร์นั้น คำถามที่รัฐบาลไทยต้องตอบมี 6 เรื่อง คือ

 

1. Location ของประเทศไทยบนแผนที่ทางภูมิรัฐศาสตร์โลกอยู่ตรงไหน

2. จะฟื้นสถานะทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างไร

3. เศรษฐกิจและการลงทุน ไหลไปเวียดนามกับอินโดนีเซีย ทำอย่างไรที่จะดึงกลับมาสู่ไทย

4. ความเป็นไปได้ที่จะสร้างบรรยากาศทางการเมืองและเศรษฐกิจ หลังเลือกตั้ง

5. ไทยจะเดินบนกระดานหมากรุกโลกอย่างไร

6. รัฐบาลจะสื่อสารกับประชาชนไทยอย่างไร

 

Rare Earth ไพ่เศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์ของไทย

 

อีกประเด็นที่อาจเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของการทูตเชิงเศรษฐกิจ คือการลงนาม บันทึกความเข้าใจไทย-สหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญระดับโลก หรือเรียกง่ายๆ ว่า MOU แรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นการเดินหมากใหม่ในเกมอำนาจทางเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานโลก

 

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ขยายประเด็นนี้ว่า “Rare Earth อยู่ในกำมือของจีน” ที่ควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมากกว่า 90% ของตลาดโลก ซึ่งการที่สหรัฐฯ เข้ามาเจรจากับไทยและลงนามใน MOU จึงสะท้อนว่า “ไทยมีไพ่ในมือที่โลกต้องการ” แต่จะใช้ไพ่นั้นอย่างไรขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐในการวางยุทธศาสตร์ระยะยาว”

 

“นี่คือสิ่งที่อาจจะเรียกว่า เป็นสมรภูมิแร่หายากที่มหาอำนาจแข่งขันกัน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐ พูดเองเลยว่า จะลดการพึ่งพาจีนให้ได้ภายใน 24 เดือน หรือ 2 ปี” รศ.ดร.อักษรศรี กล่าว

 

ขณะที่เธอชี้ว่าการทำ MOU ระหว่างไทยและสหรัฐฯ นั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าจะดำเนินการความร่วมมืออย่างไรต่อไป โดยหากไทยจะเข้าไปเป็นโซ่ข้อหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก ก็ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ซึ่งหากมีการลงนาม MOU แต่ไม่ทำอะไรเลย อาจจะ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ และไทยควรที่จะ Diversify หรือกระจายความเสี่ยงและบริหารจัดการสิ่งที่มีให้มากกว่านี้

 

“เกมนี้เราต้องเล่นให้เป็น จะมองเป็นโอกาสก็ได้ หรือหากไม่เล่นเกมนี้ เราอาจจะ ไปมุ่งที่อุตสาหกรรมอื่น ก็เป็นโจทย์ที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจ”

 

ด้าน นิกรเดชมองว่าการลงนามใน MOU ฉบับนี้ ไทย ‘ได้มากกว่าเสีย’

 

เขามองว่าการขยับครั้งนี้คือ “แรงบีบเชิงบวก” ที่จะทำให้ไทยต้องเร่งดำเนินการและวางยุทธศาสตร์ในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับแร่หายากต่อไป

The post ตีโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ เกมอำนาจ จีน-สหรัฐฯ ไทยควรรับมืออย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>