Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 11 May 2025 06:10:15 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ประธานาธิบดี Trump เตรียมเยือนอ่าวอาหรับ ชี้ชะตาสงครามกาซา-ดีล AI ยักษ์-อนาคตนิวเคลียร์ https://thestandard.co/trump-arabian-gulf-visit-gaza-war-ai-nuclear/ Sun, 11 May 2025 06:10:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1073237 Donald Trump

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump มีกำหนดเยือนภูมิภาคอ่าว […]

The post ประธานาธิบดี Trump เตรียมเยือนอ่าวอาหรับ ชี้ชะตาสงครามกาซา-ดีล AI ยักษ์-อนาคตนิวเคลียร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Donald Trump

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump มีกำหนดเยือนภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย หรือที่เขาอาจเรียกว่าอ่าวอาหรับในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ โดยจะแวะเยือนซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่คุกรุ่น 

 

การเยือนครั้งนี้มีวาระสำคัญทั้งการเจรจาหยุดยิงในสงครามอิสราเอล-กาซา ประเด็นน้ำมัน การค้า ข้อตกลงการลงทุน รวมถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนานโยบายใหม่ๆ ด้านการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง และโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่ ‘เดิมพันสูง’ อย่างยิ่ง 

 

Monica Malik หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Abu Dhabi Commercial Bank ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า “เราคาดว่าจะได้เห็นการประกาศสำคัญๆ หลายอย่าง และคิดว่าครอบคลุมในหลากหลายด้านเช่นกัน” เธอยังชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ Trump อาจยกเลิกภาษี 10% สำหรับอะลูมิเนียมและเหล็ก ซึ่งจะเป็นผลดีต่อรัฐอ่าวอาหรับบางแห่งที่ส่งออกโลหะเหล่านี้ไปยังสหรัฐฯ แม้จะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยใน GDP ของประเทศเหล่านั้นก็ตาม

 

ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง Trump กับประเทศอาหรับในภูมิภาคอ่าว โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งครอบครัวของเขามีธุรกิจและโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง อาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ๆ 

 

ทว่าก็สร้างความกังวลในหมู่ผู้วิจารณ์ถึงผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ครอบครัว Trump ปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียยังเป็นเจ้าภาพการเจรจาที่ Trump หวังว่าจะยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราชอาณาจักรแห่งนี้มีความสำคัญต่อวอชิงตันมากยิ่งขึ้น ส่วนกาตาร์ก็มีบทบาทสำคัญในการเจรจาระหว่างอิสราเอลและฮามาส

 

การเยือนของประธานาธิบดีครั้งนี้ยังดึงดูดบรรดายักษ์ใหญ่จาก Wall Street และ Silicon Valley สู่ซาอุดีอาระเบีย โดยการประชุม Saudi-U.S. investment forum ที่เพิ่งประกาศและจะจัดขึ้นในวันที่ 13 พฤษภาคม ณ กรุงริยาด จะมีแขกคนสำคัญ อาทิ Larry Fink ซีอีโอ BlackRock, Alex Karp ซีอีโอ Palantir และซีอีโอจากบริษัทชั้นนำอย่าง Citigroup, IBM, Qualcomm, Alphabet และ Franklin 

Templeton รวมถึง David Sacks ที่ปรึกษาทำเนียบขาวด้าน AI และคริปโต

 

Monica Malik กล่าวเสริมว่า “เราคาดว่าจะมีการประกาศข้อตกลงการลงทุนจำนวนมากเช่นกัน และเป็นการลงทุนทั้งสองทาง เราได้เห็น UAE ประกาศลงทุนในสหรัฐฯ หลายโครงการแล้ว ทั้งในด้าน AI พลังงาน อะลูมิเนียม และเราก็คิดว่าจะมีโอกาสสำหรับบริษัทสหรัฐฯ ในการเพิ่มการลงทุนเช่นกัน” ทั้งซาอุดีอาระเบียและ UAE ได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI โดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก

 

ดังนั้น ประเด็นสำคัญสำหรับผู้นำเหล่านี้คืออนาคตการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นชิปขั้นสูงที่พวกเขายังไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ แต่สถานการณ์นี้อาจกำลังเปลี่ยนแปลง รัฐบาล Trump เพิ่งประกาศว่าจะยกเลิกกฎควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูงที่เข้มงวดของยุค Biden โดยจะนำมาตรการใหม่ที่เรียบง่ายกว่ามาแทนที่ โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า กฎใหม่นี้จะช่วยปลดปล่อยศักยภาพด้านนวัตกรรมของอเมริกาและรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของประเทศ

 

ประเด็นโครงการนิวเคลียร์อิหร่านก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่รัฐบาล Trump กำลังเจรจาอย่างแข็งขัน โดยได้รับการสนับสนุนจาก UAE และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากท่าทีในสมัย Obama ในขณะเดียวกัน ซาอุดีอาระเบียก็ต้องการมีโครงการพลังงานนิวเคลียร์ที่ไม่ใช่เพื่อการทหารเป็นของตนเอง และได้ขอการอนุมัติและความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ 

 

ก่อนหน้านี้การสนับสนุนใดๆ จากสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับการที่ซาอุดีอาระเบียจะปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลให้เป็นปกติ แต่เงื่อนไขนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ในการเยือนครั้งนี้ Chris Wright รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ กล่าวระหว่างเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือนเมษายนว่า ทั้งสองประเทศอยู่บน ‘เส้นทาง’ สู่ข้อตกลงโครงการพลังงานนิวเคลียร์ที่ไม่ใช่เพื่อการทหาร แต่การประกาศใดๆ เพิ่มเติมจะมาจาก Trump เอง

 

อนาคตของกาซาเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในการเจรจา Trump ประกาศชัดเจนว่าต้องการยุติความขัดแย้ง แต่ก็สร้างความไม่พอใจเมื่อเสนอแนวคิดว่าสหรัฐฯ อาจเข้าควบคุมพื้นที่กาซา Greg Branch ผู้ก่อตั้ง Branch Global Capital Advisors ที่ตั้งอยู่ใน UAE ให้ความเห็นว่า นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นประเทศอาหรับร่วมกันแก้ไขปัญหากาซา โดยเชื่อว่าการเจรจาในประเด็นนี้จะดำเนินไปอย่างระมัดระวังและไม่เปิดเผยสู่สาธารณะ

 

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ารัฐบาล Trump อาจประกาศเปลี่ยนชื่อเรียกอ่าวเปอร์เซียเป็นอ่าวอาหรับ ซึ่งจะได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากรัฐอาหรับ แต่อาจสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้อิหร่านในช่วงเวลาที่การเจรจานิวเคลียร์มีความละเอียดอ่อน 

 

ส่วนราคาน้ำมันก็อยู่ในความสนใจ Trump ผลักดันให้กลุ่ม OPEC ซึ่งนำโดยซาอุดีอาระเบียเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อลดราคาให้ผู้บริโภคชาวอเมริกัน ซึ่งซาอุดีอาระเบียก็กำลังทำเช่นนั้น แต่ อาจต้องเปลี่ยนทิศทางหากราคายังคงซบเซา กระทบรายได้ของราชอาณาจักร ดังนั้น การจัดหาเงินทุนจึงเป็นวาระสำคัญสำหรับซาอุดีอาระเบียในการเยือนของ Trump ครั้งนี้ ตามความเห็นของ Malik 

 

โดยซาอุดีอาระเบียเคยให้คำมั่นในเดือนพฤศจิกายนว่าจะลงทุน 6 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 22.08 ล้านล้านบาท) ในสหรัฐฯ ตลอดวาระของ Trump แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงลิ่วสำหรับโครงการลงทุน Vision 2030 ของตนเอง ซึ่งการเยือนครั้งนี้อาจเป็น ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ สำคัญในหลายมิติ

ภาพ: Brandon Bell / Getty Images

อ้างอิง:

The post ประธานาธิบดี Trump เตรียมเยือนอ่าวอาหรับ ชี้ชะตาสงครามกาซา-ดีล AI ยักษ์-อนาคตนิวเคลียร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นโยบายภาษีทรัมป์กำลังป่วนตลาดสะสมงานศิลปะทั่วโลก https://thestandard.co/trump-tax-policy-impact-global-art-market/ Sat, 10 May 2025 09:05:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1073088 นโยบายภาษีทรัมป์

หลังจากทั่วโลกปั่นป่วนกับนโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลโดนัล […]

The post นโยบายภาษีทรัมป์กำลังป่วนตลาดสะสมงานศิลปะทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
นโยบายภาษีทรัมป์

หลังจากทั่วโลกปั่นป่วนกับนโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ล่าสุดก็มีเซอร์ไพรส์ด้วยการเปรยว่าจะเรียกเก็บภาษีจากภาพยนตร์ที่ถ่ายทำนอกอเมริกาถึง 100% นั่นหมายความว่าพิษภาษีกำลังลามไปทั่วทุกหย่อมหญ้าไม่เว้นแม้แต่ตลาดสะสมงานศิลปะที่เคยได้รับการยกเว้นภาษี

 

ก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริกายกเว้นภาษีสินค้าบางประเภท รวมถึงงานศิลปะ ซึ่งหมายถึง ภาพวาด ภาพแกะสลัก ภาพพิมพ์ ประติมากรรม วัตถุที่มีคุณค่าทางโบราณคดี และของโบราณที่มีอายุเกิน 100 ปี แต่นโยบายภาษีใหม่ได้สร้างความสับสนในอุตสาหกรรมศิลปะ จนต้องพยายามทำความเข้าใจกฎระเบียบใหม่และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในการซื้อขายและขนส่งงานศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ 

 

ตลาดศิลปะโลกเฟื่องฟูจากการไหลเวียนของชิ้นงานอย่างเสรี อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในอาวุธทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน อย่างเช่นในยุคทรัมป์ 1.0 ในปี 2019 มีการกำหนดภาษีนำเข้างานศิลปะจากจีนในช่วงสั้นๆ ที่ 15% ต่อมามีการตกลงทางการค้าทำให้ภาษีลดลงเหลือ 7.5% โดย สหรัฐอเมริกาและจีนมีส่วนแบ่งการตลาดงานศิลปะทั่วโลกรวมกันประมาณ 60% 

 

ดังนั้น ความขัดแย้งระหว่างสองเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อการซื้อขายงานศิลปะทั่วโลก โดยเฉพาะในรอบใหม่ที่เริ่มลามไปสู่ชาติที่เคยคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดาและเม็กซิโกที่ถูกกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 25% ไปก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นในระยะสั้นๆ แต่ตัวแทนจำหน่ายหลายรายก็ได้เลื่อนหรือยกเลิกแผนการจัดแสดงผลงานศิลปะและชะลอการนำเข้าผลงานศิลปะของสหรัฐฯ มายังแคนาดาไปแล้ว เพราะหากการยกเว้นภาษีงานศิลปะจบลง ราคาของงานศิลปะอาจพุ่งสูงขึ้น 25% 

 

ขณะที่แกลเลอรีในยุโรปก็กำลังร้อนๆ หนาวๆ กับการเก็บภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรป 20% ที่ไม่รู้ว่าจะรวมเอาผลงานศิลปะเข้าไปไว้ด้วยหรือเปล่า จนอาจทำให้นักสะสมชาวอเมริกันลังเลที่จะซื้อผลงานศิลปะจากยุโรป ส่วนสหภาพยุโรปก็ส่งสัญญาณว่าจะตอบโต้หากการเจรจาล้มเหลว ขณะที่สหราชอาณาจักรที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรปก็อาจโดนภาษีนำเข้างานศิลปะจากสหรัฐฯ ในอัตราพื้นฐาน 10% ซึ่งอาจส่งผลให้การค้าขายงานศิลปะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกลดลง

 

อีกส่วนที่ยังไม่ชัดเจนคือการคิดอัตราภาษีว่าจะขึ้นอยู่กับประเทศต้นกำเนิดของผลงาน สถานที่ผลิตผลงานศิลปะนั้นๆ สัญชาติของศิลปินกันแน่ ซึ่งธรรมชาติของตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอนเมื่อรวมเข้ากับความผันผวนทางเศรษฐกิจหลังจากการประกาศนโยบายภาษีใหม่ของทรัมป์ที่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของ 500 มหาเศรษฐีของโลกลดลง 208,000 ล้านดอลลาร์ในวันเดียว ก็อาจทำให้่เหล่านักสะสมงานศิลปะผู้มั่งคั่ง ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของตลาดชะลอการซื้อลง 

 

ตลาดศิลปะออนไลน์จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่? 

 

จริงอยู่ว่าตลาดศิลปะออนไลน์ช่วยเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดด้านการขนส่งและภาษีอยู่ดี แม้แพลตฟอร์มต่างๆ จะมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายและนักสะสมมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากงานจัดแฟร์ที่ต้องนำงานศิลปะชิ้นนั้นๆ เข้าประเทศ แต่การจัดส่งงานศิลปะจริงไปยังนักสะสมยังคงต้องเจอกับภาษี ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ธุรกรรมออนไลน์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาทางการค้าได้

 

จนถึงตอนนี้นักสะสมและผู้ค้ากำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการซื้อขาย โดยหันมาให้ความสนใจกับงานศิลปะและของเก่าที่มาจากแหล่งในประเทศมากขึ้น หรือเลื่อนการซื้อขายออกไปจนกว่าสถานการณ์จะชัดเจน ส่วนแกลเลอรีและบริษัทประมูลก็เริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ประเมินระบบโลจิสติกส์และสถานที่ขายใหม่ เนื่องจากการซื้อขายงานศิลปะข้ามพรมแดนต้องเสียภาษีศุลกากร ผู้ขายและผู้ซื้อบางรายเลือกที่จะจัดเก็บงานศิลปะในคลังสินค้าปลอดภาษี (freeports) หรือฝากขายผลงานในเมืองต่างๆ นอกสหรัฐอเมริกาเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่สูงมาก

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ยอดขายจากการประมูลงานระดับไฮเอนด์ในช่วงต้นปี 2025 ยังคงแข็งแกร่งสะท้อนให้เห็นว่านักสะสมบางรายไม่ได้หวั่นไหวกับภาษีของผลงานชิ้นเอก ส่วนนักสะสมที่หวังลงทุนระยะยาวก็เห็นโอกาส ในช่วงตลาดซบเซาคว้าผลงานดีๆ ในราคาถูกถือเอาไว้ แล้วรอขายในสภาวะปกติ โดยผลกระทบส่วนใหญ่กลับไปตกอยู่ที่กลุ่มตลาดกลางที่มีมูลค่าตั้งแต่หมื่นหรือหลักแสนดอลลาร์ อาจเห็นการอ่อนตัวลงของราคาที่ราว 20% เนื่องจากภาษีนำเข้า 

 

สรุปแล้วผลกระทบที่แท้จริงของนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อตลาดศิลปะยังคงไม่แน่นอน และอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศต่างๆ ตลาดศิลปะจึงต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวได้ แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทาย โดยผู้เล่นในตลาดกำลังปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ และมีความหวังว่าปัญหาทางการค้าจะได้รับการแก้ไขในที่สุด 

 

ภาพ: Pressmaster / Shutterstock 

อ้างอิง: 

The post นโยบายภาษีทรัมป์กำลังป่วนตลาดสะสมงานศิลปะทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘นักศึกษาจีน’ ขุมทรัพย์มหาวิทยาลัยอังกฤษ! สร้างรายได้ 2.4 แสนล้านบาท บางแห่ง ‘พึ่ง’ เกือบ 1 ใน 3 แม้รัฐบาลเตือนความเสี่ยง https://thestandard.co/chinese-students-uk-university-revenue/ Sat, 10 May 2025 03:06:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1073023 chinese-students-uk-university-revenue

มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรยังคงพึ่งพารายได้จากนักศึกษาจ […]

The post ‘นักศึกษาจีน’ ขุมทรัพย์มหาวิทยาลัยอังกฤษ! สร้างรายได้ 2.4 แสนล้านบาท บางแห่ง ‘พึ่ง’ เกือบ 1 ใน 3 แม้รัฐบาลเตือนความเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>
chinese-students-uk-university-revenue

มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรยังคงพึ่งพารายได้จากนักศึกษาจีนเป็นอย่างมาก แม้จะมีคำแนะนำจากภาครัฐให้ลดการพึ่งพิงเงินทุนจากปักกิ่งก็ตาม จากการวิเคราะห์บัญชีการเงินของมหาวิทยาลัยในปี 2023-24 โดย The Telegraph พบว่าสถาบันบางแห่งมีรายได้เกือบหนึ่งในสามมาจากนักศึกษาจีน

 

โดยรวมแล้ว นักศึกษาจีนสร้างรายได้ค่าเล่าเรียนให้แก่มหาวิทยาลัย 158 แห่งทั่วสหราชอาณาจักร ประมาณ 5.5 พันล้านปอนด์ (ราว 2.4 แสนล้านบาท) ในปีที่แล้ว คิดเป็นประมาณ 10% ของรายได้ค่าเล่าเรียนทั้งหมดของมหาวิทยาลัย

Royal College of Art (RCA) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน โดยมีนักศึกษาจากจีนถึง 1,295 คนในปีที่แล้ว หรือคิดเป็น 45% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมดของสถาบันในลอนดอนแห่งนี้ The Telegraph ประเมินว่า เมื่อคำนวณเป็นค่าเล่าเรียน จะเทียบเท่ากับรายได้ถึง 100 ล้านปอนด์ (ราว 4.4 พันล้านบาท) หรือ 37% ของรายได้ทั้งหมดของวิทยาลัย นอกจากนี้

 

จากการวิเคราะห์พบว่า 21 มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรพึ่งพารายได้จากนักศึกษาจีนมากกว่า 10% ของรายได้ทั้งหมด โดยมี 4 มหาวิทยาลัยที่รายได้มากกว่า 20% มาจากนักศึกษาจีน ได้แก่  Royal College of Art, University of the Arts London (UAL), University of Southampton และ Goldsmiths, University of London

 

นอกจากนี้ 57 มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร (คิดเป็น 37% ของสถาบันที่ได้รับการวิเคราะห์) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากนักศึกษาจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


สถานการณ์นี้เกิดขึ้นแม้ว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ จะได้รับคำแนะนำให้ลดการพึ่งพานักศึกษาจีนมากเกินไป ท่ามกลางความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลจากปักกิ่ง

 

โดย Office for Students (OfS) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลมหาวิทยาลัย ได้ส่งหนังสือถึงสถาบันบางแห่ง (ประมาณ 23 แห่ง ซึ่งไม่ได้เปิดเผยชื่อ) ที่มีสัดส่วนนักศึกษาจีนจำนวนมากในปี 2023 เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาวางแผนสำรองในกรณีที่การรับนักศึกษาต่างชาติหยุดชะงักกะทันหัน ซึ่งอาจเกิดจาก ‘สภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป และอาจส่งผลกระทบอย่างฉับพลันและมีนัยสำคัญต่อรายได้’ ซึ่งถูกตีความอย่างกว้างขวางว่าหมายถึงความสัมพันธ์ที่อาจเลวร้ายลงกับปักกิ่ง

ในรายงานประจำปีเกี่ยวกับสถานะการเงินของมหาวิทยาลัยที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (8 มิถุนายน)ที่ผ่านมา OfS ย้ำเตือนสถาบันต่างๆ เกี่ยวกับผลกระทบของ ‘ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์’ ต่อการรับนักศึกษา สถานการณ์นี้ยิ่งน่ากังวลหลังจากจำนวนนักศึกษาต่างชาติโดยรวมลดลงกว่าหนึ่งในห้าเมื่อปีที่แล้ว

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อจำกัดวีซ่านักศึกษาที่รัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมนำมาใช้ ทำให้เกิดความกังวลว่ามหาวิทยาลัยอาจต้องเร่งรับนักศึกษาจากจีนมากยิ่งขึ้นในปีนี้เพื่อรักษาสมดุลทางการเงิน และก่อนที่อาจมีข้อจำกัดใหม่ๆ กับประเทศอื่นๆ

 

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยหลายแห่งเตือนว่ามาตรการจำกัดวีซ่านักศึกษาจะทำให้วิกฤตการเงินของมหาวิทยาลัยรุนแรงขึ้น โดย The Telegraph รายงานว่า 43% ของสถาบันอุดมศึกษาในสหราชอาณาจักรกำลังประสบภาวะขาดทุน นักศึกษาจีนครองตำแหน่งกลุ่มนักศึกษาต่างชาติที่มีจำนวนมากที่สุดในสหราชอาณาจักรมาโดยตลอดจนกระทั่งปีการศึกษา 2022/23 ก่อนที่จำนวนนักศึกษาจากอินเดียจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนแซงหน้าเป็นครั้งแรก

แต่การลดลงของนักศึกษาต่างชาติโดยรวมในปีที่แล้ว และการลดลงอย่างมากของนักศึกษาอินเดีย ทำให้ช่องว่างระหว่างอินเดียและจีนแคบลง ข้อมูลจาก Higher Education Statistics Authority (Hesa) ที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี แสดงให้เห็นว่ามีนักศึกษาอินเดีย 107,489 คน และนักศึกษาจีน 98,400 คนในสหราชอาณาจักรเมื่อปีที่แล้ว

 

Will Dent หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืนทางการเงินของ OfS กล่าวในการแถลงข่าวกับ The Telegraph ว่า “อินเดียและจีนเป็นประเทศที่มีนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในสหราชอาณาจักรมากที่สุดอย่างชัดเจน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีอยู่ และเราได้กล่าวถึงประเด็นนี้ในรายงานของเราเป็นครั้งแรก”

ความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลจีนในสหราชอาณาจักรเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว จากกรณีความขัดแย้งทางการทูตเรื่องโรงงานเหล็กที่จีนเป็นเจ้าของในเมือง Scunthorpe

 

ผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์เจ้าหน้าที่อังกฤษว่าเพิกเฉยต่อการแทรกแซงของจีนในมหาวิทยาลัย ขณะที่ประธานคณะกรรมการข่าวกรองและความมั่นคงของรัฐสภาได้เรียกร้องให้มีการจัดทำทะเบียนสาธารณะบันทึกเงินบริจาคจากจีนที่ให้แก่มหาวิทยาลัยอังกฤษ


Bridget Phillipson รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า “ตัวเลขที่น่ากังวลเหล่านี้เป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่าเหตุใดการเพิ่มค่าเล่าเรียนและมาตรการปฏิรูปที่ผมประกาศเมื่อปีที่แล้วจึงมีความจำเป็น”

 

ด้านโฆษกของ UAL กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับความหลากหลายของนักศึกษา และนักศึกษาต่างชาติเป็นส่วนสำคัญของความหลากหลายนั้น UAL ตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมาหลายปีแล้ว และได้วางมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้”

 

ขณะที่โฆษกของ Goldsmiths, University of London ระบุว่า “จุดแข็งของสหราชอาณาจักรในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติกลับถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนในปัจจุบัน เนื่องจากรูปแบบการระดมทุนมหาวิทยาลัยที่มีปัญหา ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน”


ภาพ: Richard Baker/In Pictures via Getty Images 

 

อ้างอิง:

The post ‘นักศึกษาจีน’ ขุมทรัพย์มหาวิทยาลัยอังกฤษ! สร้างรายได้ 2.4 แสนล้านบาท บางแห่ง ‘พึ่ง’ เกือบ 1 ใน 3 แม้รัฐบาลเตือนความเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จาก 145% สู่ 80%? ทรัมป์โยนหินถามทางลดภาษีจีน ก่อนเจรจาที่เจนีวา หวังลดระดับความตึงเครียดก่อนบานปลาย https://thestandard.co/trump-china-tariff-cut-80-percent/ Sat, 10 May 2025 03:02:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1073020 trump-china-tariff-cut-80-percent

ประธานาธิบดี Donald Trump แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันศุกร์ […]

The post จาก 145% สู่ 80%? ทรัมป์โยนหินถามทางลดภาษีจีน ก่อนเจรจาที่เจนีวา หวังลดระดับความตึงเครียดก่อนบานปลาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-china-tariff-cut-80-percent

ประธานาธิบดี Donald Trump แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันศุกร์ (9 พฤษภาคม 2025) ว่าอัตราภาษี 80% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ‘ดูเหมาะสม’ ในขณะที่ตัวแทนทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อควบคุมสงครามการค้าที่กำลังคุกรุ่นระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลก

 

Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และ Jamieson Greer หัวหน้าผู้แทนเจรจาการค้าสหรัฐฯ มีกำหนดพบกับ He Lifeng ผู้ดูแลนโยบายเศรษฐกิจของจีน ซึ่งอาจเป็นก้าวแรกสู่การแก้ไขข้อพิพาททางการค้า

 

“จีนควรเปิดตลาดของตนเองให้สหรัฐฯ จะเป็นประโยชน์มากสำหรับพวกเขา! ระบบตลาดปิดมันใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” Trump โพสต์ข้อความบน Truth Social ก่อนเสริมว่า “ภาษีนำเข้า 80% สำหรับสินค้าจีนดูเหมาะสม แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ Scott”

 

นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม Trump ได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไปแล้วถึง 145% เพิ่มเติมจากที่เคยเรียกเก็บในสมัยแรกและจากที่รัฐบาล Biden เคยกำหนดไว้ ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่หายากบางชนิดและขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ เป็น 125% รวมถึงภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าบางรายการ เช่น ถั่วเหลืองและก๊าซธรรมชาติเหลว

 

การส่งสัญญาณลดเพดานภาษีลงเหลือ 80% จากเดิม 145% ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม อัตรา 80% ก็ยังคงถูกมองว่าสูงเกินไปและอาจเป็นอุปสรรคต่อการค้าอยู่ดี อีกทั้งยังสูงกว่าอัตราภาษีพื้นฐาน 10% ในข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-สหราชอาณาจักรที่เพิ่งประกาศไปเมื่อวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) อย่างมาก 

 

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า Trump ต้องการให้อัตรา 80% เป็นอัตราภาษีระยะยาวสำหรับจีน หรือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเจรจาต่อรอง

 

เจ้าหน้าที่รัฐบาล Trump พยายามลดความคาดหวังต่อผลลัพธ์การเจรจาในสุดสัปดาห์นี้ โดยระบุว่าเป็นเพียงก้าวแรกเพื่อ ‘ลดระดับความตึงเครียด’ และจะไม่นำไปสู่ข้อตกลงใหญ่ใดๆ โดย Jamieson Greer กล่าวว่าเขาต้องการให้การหารือครั้งนี้นำไปสู่เสถียรภาพที่อาจเป็น ‘รากฐานสำหรับบางสิ่งที่มากกว่านั้น’

ขณะที่ Scott Bessent กล่าวเสริมว่า “ความรู้สึกของผมคือ นี่จะเป็นเรื่องของการลดความตึงเครียด ไม่ใช่ข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่ แต่อัตราภาษี 145% หรือ 125% นั้นเทียบเท่ากับการคว่ำบาตรทางการค้า เราไม่ต้องการแยกเศรษฐกิจออกจากกัน สิ่งที่เราต้องการคือการค้าที่เป็นธรรม” ซึ่งเขาคาดว่าอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปีกว่าการค้ากับจีนจะกลับสู่ภาวะปกติ

 

ผลกระทบจากสงครามการค้าเริ่มปรากฏชัดเจนแล้ว ข้อมูลการขนส่งล่าสุดชี้ว่าปริมาณสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากถึง 60% ตามการเปิดเผยของ Ryan Petersen ซีอีโอของ Flexport ซึ่งนำไปสู่ความกังวลเรื่องราคาสินค้าที่อาจสูงขึ้นหรือการขาดแคลนสินค้าบางชนิด

 

นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs คาดการณ์ว่าตัวชี้วัดเงินเฟ้อสำคัญอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแตะ 4% ภายในสิ้นปีนี้เนื่องจากสงครามการค้า แม้ว่าภาษีจะลดลงเหลือ 0% ในสุดสัปดาห์นี้ สหรัฐฯ ก็ยังคงเผชิญกับปัญหาราคาสินค้าสูงและการขาดแคลนชั่วคราวอยู่ดี เพราะมีสินค้านำเข้ามายังท่าเรือน้อยมาก 

 

นอกจากนี้ รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ล่าสุดของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี 2022 ซึ่งเป็นผลกระทบจากการที่บริษัทต่างๆ กักตุนสินค้าเพื่อรับมือกับภาษี


ภาพ: Eva Marie Uzcategui / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post จาก 145% สู่ 80%? ทรัมป์โยนหินถามทางลดภาษีจีน ก่อนเจรจาที่เจนีวา หวังลดระดับความตึงเครียดก่อนบานปลาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
รวมวาทะเด็ด ‘ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ งาน Meet the Press ครั้งที่ 1 ปี 2568 https://thestandard.co/sethaput-meet-the-press-2025/ Sat, 10 May 2025 02:26:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1072997 sethaput-meet-the-press-2025

วันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดงาน […]

The post รวมวาทะเด็ด ‘ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ งาน Meet the Press ครั้งที่ 1 ปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
sethaput-meet-the-press-2025

วันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568

 

โดยในงานนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดใจตอบคำถามผู้สื่อข่าวในหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นจุดยืนนโยบายการเงิน มุมมองต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) และการปรับลดมุมมองแนวโน้มรัฐบาลไทยของ Moody’s เป็นต้น

 

นอกจากนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ ยังฝากถึง ‘ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนต่อไป’ ว่า ‘สิ่งสำคัญ’ นอกเหนือจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ คือการให้ความสำคัญกับเรื่องระยะยาวและโครงสร้างพื้นฐาน

 


 

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

 

“เดิมทีเราพยายามปรับให้ดอกเบี้ยอยู่โซนเป็นกลาง (Neutral) แต่ตอนนี้สถานการณ์และแนวโน้มที่แย่ลง เราจึงเปลี่ยนจุดยืนไปเป็นผ่อนคลาย (Accommodative Stance) และดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 1.75% ต่ำกว่าระดับเป็นกลาง และเป็นอัตราที่เอื้อหรือช่วยเศรษฐกิจแล้ว”

 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) วันที่ 9 พฤษภาคม 2568

 


 

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

 

“ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป มีความท้าทายใหม่ๆ เข้ามา รวมไปถึงสินค้าต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาในไทย จึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะทบทวนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขอบคุณรัฐบาลที่รับฟังความเห็นของ ธปท.”

 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) วันที่ 9 พฤษภาคม 2568

 


 

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

 

“ตอนนี้เรากำลังกังวลเรื่องสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทยมากขึ้น มาตรการบางอย่างจึงอาจไม่ค่อยเหมาะสมกับสภาวะตอนนี้ อาทิ การกระตุ้นการบริโภค แทนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเรา ก็จะกลายเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศอื่นแทน”

 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) วันที่ 9 พฤษภาคม 2568

 


 

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

 

“ด้วยบริบทปัจจุบัน เครดิตเรตติ้งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ เนื่องจากตอนนี้เราอยู่ในสภาวะที่ ‘พายุกำลังมา’ เรื่องเสถียรภาพจึงสำคัญ”

 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) วันที่ 9 พฤษภาคม 2568

 


 

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

 

“ภาพลักษณ์เป็นเรื่องสำคัญ คาสิโนเสี่ยงทำให้ภาพประเทศไทย ‘เทา’ มากขึ้น ถือเป็นความเสี่ยง เราควรทำตัวขาวสะอาด ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ โดยเฉพาะหลัง Moody’s ปรับลด Outlook”

 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) วันที่ 9 พฤษภาคม 2568

 


 

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

 

“แต่ละคนจะมุ่งให้ความสำคัญในเรื่องที่ต่างกัน แต่สิ่งที่ผมพยายามทำมาโดยตลอดคือ ‘การแก้ปัญหา’ ที่เข้ามาสารพัด อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือเรื่องระยะยาวและการปูพื้นโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จะช่วยทำให้ภาพรวมดีขึ้น”

 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) วันที่ 9 พฤษภาคม 2568

 

The post รวมวาทะเด็ด ‘ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ งาน Meet the Press ครั้งที่ 1 ปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำรัฐบาลควร ‘ทบทวนดิจิทัลวอลเล็ต’ หลังสถานการณ์เปลี่ยน เตือนหากไทยถูกดาวน์เกรดเครดิตเรตติ้งอาจกระทบเสถียรภาพ https://thestandard.co/bot-governor-economic-stability/ Fri, 09 May 2025 12:45:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1072950 bot-governor-economic-stability

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ขอบคุณรัฐบาลฟังความเห็น ธปท. ย้ำ ‘ทบท […]

The post ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำรัฐบาลควร ‘ทบทวนดิจิทัลวอลเล็ต’ หลังสถานการณ์เปลี่ยน เตือนหากไทยถูกดาวน์เกรดเครดิตเรตติ้งอาจกระทบเสถียรภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
bot-governor-economic-stability

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ขอบคุณรัฐบาลฟังความเห็น ธปท. ย้ำ ‘ทบทวนดิจิทัลวอลเล็ต’ เป็นเรื่อง ‘เหมาะสม’ มองไม่ควรกระตุ้นการบริโภคท่ามกลางภาวะที่สินค้าต่างประเทศทะลักเข้ามาในไทย ห่วงเงินงบประมาณที่ใช้จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศอื่นแทนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ แนะรัฐใส่ใจอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) เหตุพายุกำลังมา เรื่องเสถียรภาพจึงสำคัญ

 

วันนี้ (8 พฤษภาคม) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ความเห็นของ ธปท. ต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม กล่าวคือ รัฐบาลควรต้องพิจารณาเรื่องความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลให้ดีเป็นหลัก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และมีความท้าทายใหม่ๆ เข้ามา รวมไปถึงกรณีสินค้าต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาไทย จึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะทบทวน พร้อมกล่าวขอบคุณรัฐบาลที่รับฟังความเห็นของ ธปท.

 

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า ด้วยบริบทปัจจุบัน อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ เนื่องจากตอนนี้เราอยู่ในสภาวะที่พายุกำลังมา เรื่องเสถียรภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ

 

พร้อมเตือนว่า หากไทยถูกดาวน์เกรดขึ้นมาก็จะมีผลไม่น้อย เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐจะเพิ่มขึ้นทันที แล้วก็จะส่งผลไปถึงต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนด้วย โดยเฉพาะผู้ออกตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นการตัดสินใจต่างๆ ต้องใส่ใจ โดยเฉพาะในด้านเสถียรภาพทางการคลัง

 

ดร.เศรษฐพุฒิ ย้ำว่า ตอนนี้ลูกกระสุนทั้งฝั่งนโยบายการเงินและการคลังมีจำกัด สะท้อนว่า ผู้กำหนดนโยบายจะต้องใช้กระสุนที่เหลืออยู่ให้ ‘ถูกต้อง’ และต้องเกิดประโยชน์อย่าง ‘เต็มเม็ดเต็มหน่วย’ ซึ่งมาตรการบางอย่างอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมกับสภาวะตอนนี้ ตัวอย่างเช่น มาตรการกระตุ้นการบริโภคต่างๆ

 

พร้อมอธิบายว่า “ตอนนี้เรากำลังกังวลเรื่องสินค้าต่างประเทศทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้น แทนที่เราจะกระตุ้นเศรษฐกิจเรา ก็จะกลายเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศแทน” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press)

 

โดยแนะนำว่า ยังมีบางมาตรการที่ควรทำแทน ซึ่งอาจไม่ได้ใช้เงินงบประมาณเยอะ เช่น การปฏิรูปกฎหมายต่างๆ (Regulatory Guillotine) เพื่อลดอุปสรรคและต้นทุนการทำธุรกิจต่างๆ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องการ

 

ห่วง Entertainment Complex ทำประเทศ ‘เทา’ ขึ้น

 

ดร.เศรษฐพุฒิ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีที่รัฐบาลผลักดันโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ว่า โจทย์ที่ใหญ่กว่าการดึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาในประเทศ คือการทำอย่างไรให้การท่องเที่ยวเติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้เรื่องภาพลักษณ์ของประเทศก็มีความสำคัญ ดังนั้นการทำอะไรที่มีความไม่ชัดเจน มีความไม่แน่นอนสูง ไทยจะถูกมองว่าทำตัวไม่ถูกต้อง ไม่ขาวสะอาด

 

“ภาพลักษณ์เป็นเรื่องสำคัญ คาสิโนมีความเสี่ยงที่จะทำให้ภาพของความเทามีมากขึ้น ซึ่งถือเป็นความเสี่ยง เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องทำตัวขาวสะอาด ถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์ โดยเฉพาะหลัง Moody’s ปรับลด Outlook”

 

ดร.เศรษฐพุฒิ ยังแนะว่า ตอนนี้นักท่องเที่ยวมีทางเลือกเยอะ ดังนั้นในฝั่งของการท่องเที่ยว ไทยต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ได้ โดยหนึ่งในตัวอย่างที่ทำได้คือธุรกิจ Wellness ในยุคสังคมสูงวัย ซึ่งตลาดในส่วนนี้มีแนวโน้มการเติบโตสูง การรับนักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ จะช่วยตอบโจทย์เรื่องการยกระดับการสร้างมูลค่าเพิ่มได้เป็นอย่างดี และมีความเสี่ยงน้อยกว่า

The post ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำรัฐบาลควร ‘ทบทวนดิจิทัลวอลเล็ต’ หลังสถานการณ์เปลี่ยน เตือนหากไทยถูกดาวน์เกรดเครดิตเรตติ้งอาจกระทบเสถียรภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ยืนยัน ธปท. เปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงินเป็น ‘ผ่อนคลาย’ แล้ว มองดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน 1.75% ต่ำกว่าระดับ Neutral https://thestandard.co/thai-interest-rate-cut-2025/ Fri, 09 May 2025 10:51:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1072902 thai-interest-rate-cut-2025

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ยืนยัน ธปท. เปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงิ […]

The post ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ยืนยัน ธปท. เปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงินเป็น ‘ผ่อนคลาย’ แล้ว มองดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน 1.75% ต่ำกว่าระดับ Neutral appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-interest-rate-cut-2025

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ยืนยัน ธปท. เปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงินไปเป็น ‘ผ่อนคลาย’ (Accommodative Stance) แล้ว มองดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน 1.75% ต่ำกว่าระดับเป็นกลาง (Neutral) ย้ำพร้อมปรับลดดอกเบี้ยอีก หากสถานการณ์แย่ลง  เตือนหากไทยไม่ปรับตัว ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจจ่อลด

 

วันนี้ (9 พฤษภาคม) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 1.75% ถือว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (Neutral Rate) แล้ว และเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อหรือช่วยเศรษฐกิจแล้ว (Accommodative Interest Rate) 

 

“ก่อนหน้านี้เดิมทีเราพยายามสื่อสารว่าเราพยายามจะปรับให้อัตราดอกเบี้ยกลับไปสู่โซนเป็นกลาง (Neutral) แต่ตอนนี้ด้วยสถานการณ์และแนวโน้ม (Outlook) ที่อ่อนลง (Soft) เราจึงเปลี่ยนจุดยืนไปเป็นผ่อนคลาย (Accommodative Stance) แล้ว” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press) 

 

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (Neutral Interest Rate) หมายถึงระดับอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้เศรษฐกิจอยู่ในภาวะสมดุล กล่าวคือไม่ได้ฉุดรั้งหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า ถ้าสถานการณ์แย่กว่าฉากทัศน์ต่างๆ ที่ ธปท. มองไว้ ก็คงมีการลดดอกเบี้ยลงได้อีก กระนั้นก็ยังเตือนว่า พื้นที่ที่มีให้ลงไม่ได้เหลือเยอะขนาดนั้นแล้ว เนื่องจาก เมื่อดอกเบี้ยต่ำลง เนื่องจากการส่งผ่านดอกเบี้ย (Transition) จะค่อยๆ ต่ำลง หมายความว่าประสิทธิภาพของการลดดอกเบี้ยที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจจะค่อยๆ ลดลง

 

เตือนหากไทยไม่ปรับตัว ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจจ่อลด!

 

หากไม่มีการปรับตัว ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย (Potential Growth Rate) ก็มีแนวโน้มที่จะต่ำลง จาก ‘เดิม’ ที่ ธปท. มองไว้อยู่ที่ต่ำกว่า 3% เล็กน้อย

 

แต่ถามว่าจะลดลงเป็นเท่าไร ตอนนี้ประเมินค่อนข้างยาก เนื่องจากความท้าทายมีค่อนข้างเยอะ ตัวอย่างเช่น ต้องรอดูว่าท้ายที่สุดการค้าโลกจะเป็นอย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม ดร.เศรษฐพุฒิ ย้ำว่าถ้าไทยมีการปรับตัว Potential Growth Rate ของไทย ก็อาจมีแนวโน้มจะโตได้ดีกว่าก่อนได้

 

โดย ดร.เศรษฐพุฒิ ยังกล่าวต่ออีกว่า “การเปลี่ยนแปลงของ Potential Growth Rate หรือ Long-Term Growth ไม่มีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (Neutral Interest Rate) เยอะขนาดนั้น กล่าวคือ Growth Rate ต้องขยับเยอะถึงจะมีนัยต่อ Neutral Rate ไม่ได้หมายความว่าเมื่อ Growth Rate ลงปุ๊บ ต้องขยับ Neutral Rate ตาม นอกจากนี้อย่างที่รู้กันดีว่าไม่มีใครรู้หรอกว่า Neutral Rate เป๊ะๆ อยู่ที่เท่าไร”

The post ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ยืนยัน ธปท. เปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงินเป็น ‘ผ่อนคลาย’ แล้ว มองดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน 1.75% ต่ำกว่าระดับ Neutral appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร.เศรษฐพุฒิ ฝาก ‘ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ คนต่อไป’ ให้ความสำคัญกับเรื่องระยะยาว-โครงสร้างพื้นฐาน https://thestandard.co/thai-bank-governor-infrastructure-plan/ Fri, 09 May 2025 09:39:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1072862 thai-bank-governor-infrastructure-plan

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนปัจจุบัน […]

The post ดร.เศรษฐพุฒิ ฝาก ‘ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ คนต่อไป’ ให้ความสำคัญกับเรื่องระยะยาว-โครงสร้างพื้นฐาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-bank-governor-infrastructure-plan

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนปัจจุบัน ฝากถึง ‘ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ คนต่อไป’ ว่า ‘สิ่งสำคัญ’ นอกเหนือจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องระยะยาวและโครงสร้างพื้นฐาน

 

วันนี้ (9 พฤษภาคม) ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตอบคำถามผู้สื่อข่าว เกี่ยวกับเรื่องที่อยากฝากถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนต่อไป หลังจากวานนี้ กระทรวงการคลังประกาศเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการ ธปท. ลำดับที่ 25 ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม – 4 มิถุนายนนี้

 

โดย ดร.เศรษฐพุฒิ ตอบว่า “แต่ละคนก็จะมุ่งให้ความสำคัญ (Priority) ในเรื่องที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ผมพยายามทำมาโดยตลอดคือ ‘การแก้ปัญหา’ ที่เข้ามาสารพัด ไม่จบไม่สิ้น เช่นโควิด เงินเฟ้อ เหตุการณ์ในยูเครน และ Shocks ต่างๆ รวมถึงภาษีศุลกากร (Tariff) ล่าสุด”

 

“โดยนอกจากการแก้ปัญหาต่างๆ พวกนี้แล้ว ประการหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือ เรื่องระยะยาว และการปูพื้นโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราพยายามทำมาโดยตลอด แม้เป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นผลในเร็ววัน แต่เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้ภาพรวมดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ภูมิทัศน์ทางการเงินดิจิทัล (Digital Financial Landscape) ตัวอย่างเช่น Open Data ซึ่งจะช่วยเรื่องการแข่งขันได้” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press)

The post ดร.เศรษฐพุฒิ ฝาก ‘ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ คนต่อไป’ ให้ความสำคัญกับเรื่องระยะยาว-โครงสร้างพื้นฐาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Trump เปิดตัวข้อตกลงการค้ากับ UK ครั้งแรก หลังการหยุดพักภาษีแบบตอบโต้ https://thestandard.co/trump-first-trade-deal-with-uk-after-tariff/ Fri, 09 May 2025 02:33:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1072665 ข้อตกลงการค้า

ประธานาธิบดี Donald Trump เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (8 พฤ […]

The post Trump เปิดตัวข้อตกลงการค้ากับ UK ครั้งแรก หลังการหยุดพักภาษีแบบตอบโต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ข้อตกลงการค้า

ประธานาธิบดี Donald Trump เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (8 พฤษภาคม) ถึงกรอบข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักร ข้อตกลงนี้ถือเป็นฉบับแรกของสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักร ประเทศที่เคยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าใหม่โดย Trump เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

 

สหรัฐฯ มีดุลการค้าเกินดุลกับสหราชอาณาจักรในส่วนของสินค้า รายละเอียดเฉพาะเจาะจงของข้อตกลงยังไม่ชัดเจนในทันที และไม่มีการลงนามเอกสารใดๆ ในระหว่างพิธีที่จัดขึ้นที่ Oval Office ซึ่ง Trump เผยว่าทุกอย่างจะชัดเจนสมบูรณ์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

 

เขาระบุว่า ข้อตกลงนี้จะเปิดโอกาสให้สินค้าส่งออกของอเมริกาเข้าถึงตลาดมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น และทางสหราชอาณาจักรจะลดหรือยกเลิกอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีหลายประการ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม

 

ในรายละเอียดเบื้องต้นของข้อตกลง สหรัฐฯ จะยังคงเก็บภาษีนำเข้าแบบครอบคลุมจากอังกฤษในอัตรา 10% ต่อไป ขณะเดียวกัน จะมีการปรับอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จากอังกฤษ โดย 100,000 คันแรกต่อปี จะถูกเก็บภาษีที่ 10% ส่วนคันที่เกินจากนั้น จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 25%”

 

สหรัฐฯ ชี้ว่า ข้อตกลงนี้จะสร้างโอกาสการส่งออกใหม่มูลค่ากว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะเอทานอลมากกว่า 700 ล้านดอลลาร์ และเนื้อวัวอเมริกันอีกกว่า 250 ล้านดอลลาร์

 

ทั้ง 2 ประเทศยังตกลงร่วมมือกันเพื่อเปิดตลาดภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมให้มากขึ้น รวมถึงการปิดช่องโหว่ทางการค้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทอเมริกันในตลาดจัดซื้อจัดจ้างของอังกฤษ และเร่งรัดกระบวนการศุลกากรสำหรับสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ ทั้ง 2 ประเทศยังตกลงที่จะเร่งรัดขั้นตอนด้านศุลกากรสำหรับสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ในขณะที่พิธีประกาศข้อตกลงการค้ากำลังดำเนินต่อไป บัญชี Truth Social ของประธานาธิบดี Trump ระบุว่า สหรัฐฯ จะคงภาษีนำเข้าสินค้าจากสหราชอาณาจักรไว้ที่ 10% เมื่อถูกถามว่า อัตราภาษี 10% นี้จะกลายเป็นแม่แบบสำหรับข้อตกลงการค้าในอนาคตหรือไม่ Trump ตอบว่านี่เป็นตัวเลขที่ต่ำ พร้อมระบุว่า“บางประเทศจะต้องเสียภาษีสูงกว่านี้มาก เพราะพวกเขามีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มหาศาล”

 

ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Trump กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหราชอาณาจักรในอัตรา 10% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ที่เขาอ้างว่าใช้กับเกือบทุกประเทศทั่วโลก สหราชอาณาจักรยังได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่มีอยู่แล้วก่อนหน้า ทั้งในกลุ่มเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ผลิตจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตลาดการเงินปั่นป่วนและเกิดกระแสวิจารณ์รุนแรง Trump ก็ถอยจากแนวทางภาษีตอบโต้ดังกล่าว พร้อมประกาศ “หยุดชั่วคราว 90 วัน” โดยกำหนดอัตราภาษีแบบเหมารวม 10% สำหรับทุกประเทศ ยกเว้นจีน Trump อ้างว่าการตัดสินใจหยุดชั่วคราวดังกล่าว เนื่องจากมีประเทศจำนวนมากติดต่อเข้ามา เพื่อเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่กับสหรัฐฯ

 

BOE หั่นดอกเบี้ยเหลือ 4.25% 

 

ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 4.5% เหลือ 4.25% ในการประชุมล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือผู้กู้รายย่อย ธุรกิจ และประชาชนที่กำลังเผชิญกับค่าครองชีพที่สูง การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจอังกฤษโตช้า และมีความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของ Trump ซึ่งกระทบการค้าระหว่างประเทศ

 

นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าธนาคารกลางน่าจะลดดอกเบี้ย เพราะอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอลง โดยในรอบ 12 เดือนถึงเดือนมีนาคม เงินเฟ้อลดลงเหลือ 2.6% จาก 2.8% ในเดือนก่อนหน้า สำหรับการตัดสินใจครั้งนี้ คณะกรรมการ 5 คนจากทั้งหมด 9 คนโหวตให้ลดดอกเบี้ย อีก 2 คนอยากให้ลดดอกเบี้ยมากกว่านี้อีก และอีก 2 คนต้องการให้คงดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม

 

BOE ระบุถึงความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าทั่วโลกกระทบแนวโน้มเศรษฐกิจ และเน้นย้ำว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น นับตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า และมีการตอบโต้จากหลายประเทศ BOE ระบุว่า ความไม่แน่นอนเหล่านี้ รวมถึงประกาศใช้ภาษีใหม่ ส่งผลให้แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของอังกฤษน่าจะมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

 

อ้างอิง:

 

The post Trump เปิดตัวข้อตกลงการค้ากับ UK ครั้งแรก หลังการหยุดพักภาษีแบบตอบโต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ททท. หั่นเป้านักท่องเที่ยวปีนี้ หลังภาพลักษณ์เชิงลบ-ข่าวร้าย ทำคนจีนผวาเที่ยวไทย แต่ยังมั่นใจรายได้มากกว่าปีที่แล้ว เร่งแก้ภาพลักษณ์-ดึงตลาดใหม่ https://thestandard.co/tat-cuts-2025-tourism-target/ Fri, 09 May 2025 01:35:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1072636 ททท.

วานนี้ (8 พ.ค.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้จัดงาน ‘ […]

The post ททท. หั่นเป้านักท่องเที่ยวปีนี้ หลังภาพลักษณ์เชิงลบ-ข่าวร้าย ทำคนจีนผวาเที่ยวไทย แต่ยังมั่นใจรายได้มากกว่าปีที่แล้ว เร่งแก้ภาพลักษณ์-ดึงตลาดใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ททท.

วานนี้ (8 พ.ค.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้จัดงาน ‘ตลาดทุนพบภาครัฐ 3/2568’ โดยครั้งนี้จัดขึ้นในหัวข้อ “ททท. พบนักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบัน” โดยมี ธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านนโยบายและแผน มาร่วมเป็นวิทยากร และเป็นผู้ให้ข้อมูล 

 

ธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านนโยบายและแผน กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยว่า ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงไป -0.2% แบ่งเป็นตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือลดลง -20% โดยเฉพาะจีนที่ลดลงราว 30% อย่างไรก็ตาม ตลาดยุโรปยังคงเติบโต 16% โดยเฉพาะตลาดระยะกลาง-ไกล ยังเติบโตได้ดี

 

ภาพรวมนักท่องเที่ยว 4 เดือนแรก ปี 2568 

 

สถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาประเทศไทย ปี 2567 และ 3 เดือนแรกของปี 2568

 

เมื่อเจาะไปที่นักท่องเที่ยวจีน โดยย้อนดูสถิตินักท่องเที่ยวในปี 2567 พบว่านักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยมากที่สุด รองลงมาคือไปญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แต่ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นมากที่สุด จากปัจจัยเรื่องค่าเงินเยน และเดินทางง่าย มีโครงสร้างพื้นฐานที่สะดวก และใกล้กับจีน รองลงมาคือเดินทางไปเวียดนาม จากปัจจัยกรุ๊ปทัวร์ที่ไหลจากไทยไป ส่วนไทยร่วงลงมาอยู่อันดับ 3 ดังนั้นจะต้องดึงนักท่องเที่ยวกรุ๊ปที่ไหลไปกลับมา

 

สาเหตุหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง มาจากภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัยของไทย จากทั้งเรื่องเหตุการณ์การลักพาตัวชาวจีน การแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติ การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน การก่อวินาศกรรมในสุไหงโก-ลก และเหตุแผ่นดินไหวในประเทศไทย ส่งผลให้กระทบ Sentiment นักท่องเที่ยวจีนหายไป และลามไปถึงนักท่องเที่ยวฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีด้วย

 

“นอกจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ก็ยังมีนักท่องเที่ยวเกาหลีที่ลดลงด้วย แต่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างมอนิเตอร์ เพราะสองประเทศนี้อยู่ใกล้จีน และจีนมีนโยบายเร่งดึงนักท่องเที่ยว ทั้งให้คนจีนเที่ยวในประเทศ และดึงนักท่องเที่ยวอินบาวด์เข้ามาโดยให้การสนับสนุน ซึ่งบริษัททัวร์ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่เป็นลูกค้าของจีน ก็เป็นลูกค้ากลุ่มเดียวกับไทย” ธีระศิลป์กล่าว

 

จ่อลดเป้า นทท. หลัง นทท. จีนวูบ แต่มั่นใจรายได้โตกว่าปีก่อน

 

สำหรับเป้าหมายนักท่องเที่ยวปี 2568 ตั้งไว้ 39 ล้านคน ส่วนรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท แต่แม้ขณะนี้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการในการปรับลดเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ส่วนตัวมองว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ไม่น่าจะไปถึงเป้า เพราะตลาดใหญ่อย่างจีนลดลงมาก ต่อให้หลังจากนี้กลับมามีอัตราเพิ่มเท่าเดิมเหมือนปีที่แล้ว ในช่วงเดือนที่เหลือนักท่องเที่ยวก็หายไปอยู่ดี

 

จำนวนนักท่องเที่ยว และรายได้จากการท่องเที่ยวปี 2567 

 

เป้าหมาย (เดิม) จำนวนนักท่องเที่ยว และรายได้จากการท่องเที่ยวปี 2568

 

แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยว และรายได้จากการท่องเที่ยวปี 2568

 

ธีระศิลป์กล่าวว่า แม้ในปีนี้จะมีการปรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวลง แต่ยืนยันว่าแนวโน้มรายได้รวมไม่น่าจะลดลงไปมากกว่าปีที่แล้ว 

 

“สมมติว่าเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวจริงเท่ากับปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน ก็มั่นใจว่ารายได้รวมปีนี้จะได้มากกว่าปีที่แล้วแน่นอน ในส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ในปี 67 เดินทางเข้าไทย 6 ล้านกว่าคน ซึ่งปีนี้จะกระตุ้นอย่างไรก็ไม่น่าถึงระดับเดียวกับปีก่อน แต่จะพยายามกระตุ้นให้ได้ 4 กว่าล้านคน โดยเน้นนักท่องเที่ยวแบบมีคุณภาพ อย่างตอนนี้สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวไทยเกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวเอง (Free Individual Traveler: FIT) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากชาวจีนในเมืองใหญ่ แต่รายจ่ายต่อหัวสูงกว่ากลุ่มทัวร์”

 

เร่งปรับภาพลักษณ์ ดึงกรุ๊ปทัวร์จีนกลับ

 

ธีระศิลป์กล่าวว่า ข่าวไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เช่น ข่าวการตัดไต ขายไตในไทย ข่าวโรงแรมในประเทศไทยมีประตูลับเพื่อทำการลักพาตัว ยังคงปรากฏในโซเชียลมีเดียของจีนอยู่ ซึ่งปัญหานี้รุนแรง เพราะคนจีนที่ไม่เคยมาไทย คือชาวจีนที่มาจากเมืองเล็ก และส่วนใหญ่มักจะเลือกเดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์ และเมื่อได้รับข่าวสารประเภทนี้ ทำให้การตัดสินใจเดินทางมาไทยชะงัก

 

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการปรับภาพลักษณ์ในเมืองรองของจีน คุยกับบริษัททัวร์ในเมืองย่อยเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์กลับมา และในระยะยาวอาจต้องมีมาตรการปรับโครงสร้างตลาดจีน เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

 

“จะหวังแต่ High-spending ทั้งหมดเลยก็ไม่ได้ เพราะรายได้อาจลงไม่ถึงรากหญ้า ในระยะสั้นนี้จึงต้องมีการจัดการ”

 

สำหรับแผนการดำเนินงานในส่วนของตลาดต่างประเทศ คือ

  1. รักษาการเติบโตตลาดจีน โดยการแก้ไขภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ฟื้นฟูความเชื่อมั่น

 

  1. จัดหาตลาดทดแทน (Relocation) โดยเน้นเพิ่มจำนวน Quality Leisure, Family และ Incentive ในตลาดระยะใกล้ 9 ตลาด และระยะไกล 15 ตลาด

 

  1. ขยายตลาดกลุ่ม High Value มุ่งเน้นกลุ่ม Health and Wellness, Yacht, Sport และ Digital Nomad

 

  1. สื่อสาร 360 องศา ผ่านช่องทาง Online และ Offline พร้อมจัด Events ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยจัดกิจกรรมเทศกาล ดนตรี กีฬา และวัฒนธรรมตลอดทั้งปี

 

คาด มิ.ย. ดัน ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’

 

ธีระศิลป์กล่าวว่า โครงการ ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศได้ ซึ่งคาดว่าโครงการนี้น่าจะมีความชัดเจนในเดือน มิ.ย. โดยจะเน้นกระจายรายได้สู่เมืองรอง ส่งเสริมการเดินทางวันธรรมดา เพื่อลดความแออัด และสื่อสารภาพลักษณ์ “สุขทันทีที่เที่ยวไทย”

 

“ททท. จะเน้นโฟกัสตลาดต่างประเทศเพราะนักท่องเที่ยวลดลง ส่วนไทยเที่ยวไทยยังไม่ค่อยมีปัญหา แม้หลังโควิดเศรษฐกิจอาจไม่ดี แต่อย่างไรคนไทยก็ยังออกมาเที่ยว เพียงแต่รายจ่ายต่อหัวจะลดลง เพราะคนมีความระมัดระวังมากขึ้น ส่วนโครงการกระตุ้นในประเทศ อย่างเที่ยวไทยคนละครึ่ง ความชัดเจนน่าจะออกมาในเดือน มิ.ย. นี้ ซึ่งจะเน้นกระตุ้นท่องเที่ยววันธรรมดา ช่วงของการดำเนินการอาจอยู่ช่วงเดือน มิ.ย.-ต.ค. งบประมาณน่าจะอยู่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท กำหนดสิทธิ์ประมาณ 600,000 สิทธิ” ธีระศิลป์กล่าว

The post ททท. หั่นเป้านักท่องเที่ยวปีนี้ หลังภาพลักษณ์เชิงลบ-ข่าวร้าย ทำคนจีนผวาเที่ยวไทย แต่ยังมั่นใจรายได้มากกว่าปีที่แล้ว เร่งแก้ภาพลักษณ์-ดึงตลาดใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>