Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 05 Feb 2025 14:28:50 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สื่อนอกรายงาน ไทยตัดไฟเมียนมา 5 เมือง หวังทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กระทบชาวบ้าน แต่ไม่สะเทือนจีนเทา คาดตัดไฟสูญรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี https://thestandard.co/foreign-press-thailand-myanmar-power-cut/ Wed, 05 Feb 2025 14:28:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1038469

สื่อต่างประเทศรายงานข่าว ไทยตัดไฟ-อินเทอร์เน็ตเมียนมา ร […]

The post สื่อนอกรายงาน ไทยตัดไฟเมียนมา 5 เมือง หวังทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กระทบชาวบ้าน แต่ไม่สะเทือนจีนเทา คาดตัดไฟสูญรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

สื่อต่างประเทศรายงานข่าว ไทยตัดไฟ-อินเทอร์เน็ตเมียนมา รวม 20.37 เมกะวัตต์ในพื้นที่ 5 แห่งตามแนวชายแดน บีบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เผยชาวบ้านได้รับผลกระทบ แต่ไม่สะเทือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คาดตัดไฟไทยสูญเสียรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี (ราว 17.84 ล้านดอลลาร์)

 

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า รัฐบาลไทยตัดกระแสไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และงดส่งเชื้อเพลิงในพื้นที่ชายแดน 5 แห่งในเมียนมา ท่ามกลางความพยายามในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ขยายวงกว้างกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคง

 

“แก๊งมิจฉาชีพอาจเผชิญกับปัญหาการจ่ายไฟฟ้าที่ลดลง แต่ตอนนี้เราถึงจุดที่ไม่มีใครสามารถตำหนิประเทศไทยได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งหรือมีส่วนในการสนับสนุนการกระทำที่ผิดกฎหมาย พวกเขาอาจหันไปใช้แหล่งพลังงานอื่นหรือผลิตไฟฟ้าเอง” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว

 

ทั้งนี้ ตามรายงานของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า พื้นที่ในเมียนมาแห่งนี้ซึ่งเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างรายได้หลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่แล้วหนังสือพิมพ์ Global New Light Of Myanmar ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ของรัฐบาลเมียนมา เผยแพร่บทความเกี่ยวกับพื้นที่อาชญากรรมออนไลน์แห่งนี้ โดยระบุว่า พลังงานไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตไม่ได้มาจากการจัดหาของเมียนมา แต่มาจากประเทศอื่น ซึ่งอ้างอิงถึงประเทศไทย

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

Reuters รายงานอีกว่า หลังจากที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ของไทยเริ่มทำการตัดไฟที่ส่งไปยังเมียนมาทั้ง 5 จุด บริเวณเมืองพญาตองซู รัฐมอญ, เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน และเมืองเมียวดี ในรัฐกะเหรี่ยง เมื่อเวลา 09.00 น. ของวันนี้ ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบ

 

โดยจากการเปิดเผยของชาวบ้านรายหนึ่งที่เมืองพญาตองซูกล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่เผชิญกับการถูกตัดไฟตั้งแต่เช้าวันพุธ ขณะที่ธุรกิจของชาวจีนในพื้นที่ รวมถึงฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงดำเนินงานได้จากเครื่องปั่นไฟ

 

รายงานข่าวระบุอีกว่า แรงกดดันจากนานาชาติที่ต้องการให้รื้อถอนและทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากแรงกดดันประเด็น หวังซิง นักแสดงชาวจีน ถูกลักพาตัวไป

 

สำหรับประเทศไทย การขยายตัวเป็นวงกว้างของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติเมียนมา ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักของประเทศ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยพยายามประชาสัมพันธ์เพื่อบรรเทาความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจากจีน เพราะนักท่องเที่ยวจีนเป็นตลาดสำคัญ

 

รายงานข่าวยังระบุอีกว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตัดกระแสไฟฟ้ารวม 20.37 เมกะวัตต์ในพื้นที่ 5 แห่งตามแนวชายแดน ซึ่งจะส่งผลให้ไทยอาจสูญเสียรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี (หรือราว 17.84 ล้านดอลลาร์)

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า สำหรับผลกระทบที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวไทย กรณีไม่มีเหตุการณ์นี้ ปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 8,019,631 คน และจะมีรายได้เข้าประเทศประมาณ 388,952 ล้านบาท ส่วนกรณีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ประเมินเหตุการณ์แย่ที่สุดจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประมาณ 7,724,982 คน ลดลง 3.7% และมีรายได้ประมาณ 374,662 ล้านบาท ลดลง 3.7% และกระทบ GDP 0.11%

 

ภาพ: Mar Naw / Getty Images

อ้างอิง: 

The post สื่อนอกรายงาน ไทยตัดไฟเมียนมา 5 เมือง หวังทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กระทบชาวบ้าน แต่ไม่สะเทือนจีนเทา คาดตัดไฟสูญรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐกิจไทยปี 68 ไม่ง่าย! ทรัมป์เปิดฉากป่วนเม็กซิโก แคนาดา และจีน ไทยเสี่ยงทางผ่านรับสินค้าจีนทะลักเข้ามาแย่งตลาด ทุบ GDP โตสุดแค่ 2.9% https://thestandard.co/thai-economy-2568-mexico-canada-china/ Wed, 05 Feb 2025 14:19:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1038463

เศรษฐกิจไทยปี 2568 ไม่ง่าย เจอทั้งศึกนอกและศึกใน! กกร. […]

The post เศรษฐกิจไทยปี 68 ไม่ง่าย! ทรัมป์เปิดฉากป่วนเม็กซิโก แคนาดา และจีน ไทยเสี่ยงทางผ่านรับสินค้าจีนทะลักเข้ามาแย่งตลาด ทุบ GDP โตสุดแค่ 2.9% appeared first on THE STANDARD.

]]>

เศรษฐกิจไทยปี 2568 ไม่ง่าย เจอทั้งศึกนอกและศึกใน! กกร. คงประมาณการ GDP ปีนี้โตสุดที่ 2.9% หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่ ยิ่งกดดันสินค้าต่างชาติทะลักเข้ามาแย่งตลาด ซ้ำเติมภาคการผลิตของไทย เพราะแม้ไทยจะเป็นประเทศเล็กในสายตาของสหรัฐฯ และดูผิวเผินไม่ใช่เป้าหมายที่จะถูกขึ้นภาษี แต่ผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ไทยเสี่ยงสูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนที่เป็น ‘ทางผ่าน’ สินค้าจีนส่งไปยังสหรัฐฯ 

 

โดยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ภาคเอกชนยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เสนอร่วมเป็นตัวแทนไปร่วมทีมไทยแลนด์รับมือทรัมป์ 2.0 พร้อมมองแผนรัฐบาลตัดไฟเมียนมาสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่มีผลกระทบการค้าชายแดน สมาคมธนาคารไทยทยอยปิดบัญชีม้าไปแล้วกว่า 1 ล้านบัญชี

 

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า กกร. ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะเติบโตได้ราว 2.4-2.9% มูลค่าการส่งออกขยายตัว 1.5-2.5% และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.8-1.2%

 

 

ทั้งนี้ สงครามการค้ารอบใหม่เริ่มแล้วที่เม็กซิโก แคนาดา และจีน ท่ามกลางการตอบโต้ โดยสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อกลุ่มประเทศเป้าหมาย ทั้งต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และจีนในอัตรา 10% ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี 2569 

 

ซึ่งเพียงไม่กี่วันทรัมป์ได้ผลักดันนโยบายเร่งด่วนทันทีผ่านการใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) ทุกวัน รวมถึงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ครอบคลุมทั้งประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม การจัดการคนเข้าเมือง และการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส 

 

“เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องจับตาคือ ความขัดแย้งทางการค้ากดดันสินค้าจากต่างชาติเข้ามาแย่งตลาดและกระทบต่อภาคการผลิตของไทย สินค้าต่างประเทศที่ล้นตลาดจากปัญหาสงครามการค้าและการแยกขั้ว (Decoupling) ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและการจ้างงานของไทย” เกรียงไกรกล่าว

 

7 กลุ่มสินค้าไทยเตรียมรับผลกระทบหนัก 

 

เกรียงไกรกล่าวอีกว่า จากการศึกษาผลกระทบพบว่ากลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก รวมถึงเครื่องสำอาง 

 

“เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด เพราะการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก ภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติทะลัก”

 

ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) 

 

โดยใช้โอกาสในปีที่ผ่านมาที่มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และต้องเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTA ไทย – EFTA ที่เพิ่งสำเร็จ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

 

หวังรัฐบาลใช้โอกาสเจรจาระดับรัฐกับจีนและสหรัฐฯ

 

อย่างไรก็ดี กกร. จึงเสนอแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือทั้งผลกระทบจากทางตรงและทางอ้อม รัฐบาลควรใช้โอกาสเจรจาระดับรัฐกับจีน เพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียน เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน และสนับสนุนในด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศ และการปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน 

 

นอกจากนี้ควรใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) ปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการทางการค้าและการใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522

 

คุมเข้มการตั้งหรือขยายโรงงานสกัด Over Capacity

 

ที่สำคัญคือรัฐบาลควรควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ (Over Capacity) รวมถึงการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Free Zone อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ และการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศหรือสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและการส่งเสริมขยายตลาดภาคเอกชน 

 

“ภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ด้วย” เกรียงไกรย้ำ

 

รัฐบาลตั้งใจปราบปรามคอลเซ็นเตอร์เมียนมาถือเป็นเรื่องดี ชี้ไม่กระทบการค้าชายแดน

 

 

เกรียงไกรกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีคำสั่งให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือ กฟภ. ตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไป 5 จุดในเมียนมาอีกว่า ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากปัจจุบันเมียนมามีเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ ส่งผลให้ประชากรยังมีความต้องการสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค 

 

ทั้งนี้ มองว่าคงจะมีเพียงสินค้าเฉพาะจุดมากกว่าที่อาจมีผลกระทบบ้างเล็กน้อย แต่ยอมรับว่าน้อยมาก

 

ทยอยปิดบัญชีม้าไปแล้วกว่า 1 ล้านบัญชี 

 

ด้าน ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลเดินหน้ายุทธการปิดปากม้าพบว่าได้ผลดี แต่ระบบธนาคารต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการสร้างระบบกลางขึ้นมา โดยนับตั้งแต่มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ สมาคมธนาคารไทยก็ทยอยปิดบัญชีม้าไปแล้วกว่า 1 ล้านบัญชี ควบคู่กับมาตรการปิดปากม้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทำขึ้น ยอมรับว่าบัญชีม้าเกิดขึ้นทุกวัน แต่ต้องมีกลไกควบคุมให้ได้ 

 

ด้าน สนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า กกร. ยื่นหนังสือถึง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อขอให้ กกร. ส่งตัวแทนไปร่วมทีมไทยแลนด์ (TEAM THAILAND+) ที่เป็นคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนรับมือผลกระทบทรัมป์ 2.0

 

“เพราะการร่วมมือกับภาคเอกชนนั้นสำคัญมาก และภาคเอกชนจะสามารถช่วยเป็นกำลังสำคัญในการวางกลไกใดๆ ที่สามารถทำให้เข้าถึงนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้บ้าง ซึ่งก็หวังว่าหนังสือที่ กกร. ส่งไปนั้นจะได้รับคำตอบจากทางภาครัฐเร็วๆ นี้” สนั่นกล่าว 

 

ไทยเสี่ยงเป็น ‘ทางผ่าน’ รับสินค้าจีนส่งไปสหรัฐฯ

 

KKP Research ระบุถึงกรณีทรัมป์ 2.0 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยว่า แม้ไทยจะเป็นประเทศเล็กในสายตาของสหรัฐฯ และดูผิวเผินไม่ใช่เป้าหมายที่จะถูกขึ้นภาษี แต่ก็วิเคราะห์ว่ามี 3 ประเด็นที่อาจทำให้ไทยเสี่ยงเข้าข่ายเป็นประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายรองของสหรัฐฯ

 

โดยแม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นประเทศที่มีขนาดเกินดุลกับสหรัฐฯ มากที่สุด แต่หากสหรัฐฯ มองไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเป็นกลุ่มประเทศเดียวกันทั้งหมดจะพบว่า 

 

  1. กลุ่มประเทศอาเซียนมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นอันดับ 2 รองจากจีนเท่านั้น ประเทศในกลุ่มอาเซียนจึงมีความเสี่ยงที่จะเจอกับมาตรการกีดกันการส่งออกจากสหรัฐฯ พร้อมกันทั้งหมดได้

 

  1. สินค้าจีนที่ส่งผ่านไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ เพื่อหลบเลี่ยงภาษีนำเข้า ซึ่งนับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในปี 2018 ดุลการค้าของไทยที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐฯ พร้อมกับการขาดดุลกับจีนที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ทำให้ตั้งข้อสงสัยว่ากิจกรรมการค้าบางส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาของไทยส่วนหนึ่งคือการหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ ของจีน

 

  1. มาตรการกีดกันสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์มีนโยบาย Reciprocal Trade Act คือหากประเทศไหนขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะตอบโต้ขึ้นภาษีกลับในอัตราที่เท่ากันในสินค้านั้นๆ ในกรณีของประเทศไทย สินค้าหลักที่ไทยคิดภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าสหรัฐฯ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงยานพาหนะสำหรับการคมนาคม เป็นต้น

 

อย่างไรก็ดี KKP Research ระบุว่า การประเมินผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจไทยมีความซับซ้อนสูง เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ 

 

 

ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกเพ่งเล็งจากทรัมป์ 2.0 ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน จากการที่สหรัฐฯ เสียเปรียบทางการค้ากับไทยในหลายมิติ 

 

ไม่ว่าจะเป็นการเกินดุลการค้าของไทยสูง ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท หรือจำนวนคำสั่งมาตรการ AD และ CVD ในหลายประเภทสินค้าสูงกว่าคู่เทียบ 

 

“โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่ค้ารายอื่น ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ นำมาเป็นข้อต่อรองในการพิจารณาขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าระลอกใหม่ ส่งผลให้ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันให้เปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรที่สำคัญเพิ่มเติม เช่น เนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ ถั่วเหลือง รวมไปถึงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์”

 

ภาพ: Chip Somodevilla, MikeMareen / Getty images

The post เศรษฐกิจไทยปี 68 ไม่ง่าย! ทรัมป์เปิดฉากป่วนเม็กซิโก แคนาดา และจีน ไทยเสี่ยงทางผ่านรับสินค้าจีนทะลักเข้ามาแย่งตลาด ทุบ GDP โตสุดแค่ 2.9% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวอเมริกันหมดยุคช้อปของถูก? ทรัมป์สั่งยุติกฎ de minimis อีคอมเมิร์ซจีน SHEIN-Temu อ่วม https://thestandard.co/shein-temu-impact/ Wed, 05 Feb 2025 01:19:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1038166 shein-temu-impact

แม้กฎหมายบังคับใช้ภาษีในอัตรา 25% กับสินค้าจากเม็กซิโกแ […]

The post ชาวอเมริกันหมดยุคช้อปของถูก? ทรัมป์สั่งยุติกฎ de minimis อีคอมเมิร์ซจีน SHEIN-Temu อ่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
shein-temu-impact

แม้กฎหมายบังคับใช้ภาษีในอัตรา 25% กับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกระงับชั่วคราว แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยังยืนยันจะใช้มาตรการภาษี 10% กับสินค้าจีน โดยอาศัยคำสั่งพิเศษประธานาธิบดี (Executive Order) ซึ่งในรายละเอียดของคำสั่งดังกล่าวมีการพูดถึงข้อกำหนดสำคัญที่มุ่งเป้าไปยังกฏกฎที่เรียกว่า de minimis

 

de minimis เป็นกฎที่กำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าสินค้าโดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งในปัจจุบันสหรัฐฯ อนุญาตให้สินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าหากสั่งสินค้าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

การมีอยู่ของกฎ de minimis ก็เป็นเหมือนกับช่องโหว่ให้บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ อย่างเช่น SHEIN, Temu รวมถึงธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมาก ได้ใช้ประโยชน์เพื่อจัดส่งสินค้ามูลค่าต่ำไปยังผู้บริโภคชาวอเมริกัน

 

กฎ de minimis ที่ว่านี้มีมาเกือบ 1 ศตวรรษ ตามที่แหล่งอ้างอิงของ Bloomberg Law ระบุ โดยกฎดังกล่าวเริ่มมีบทบาทสำคัญขึ้นในช่วงที่มีการค้าข้ามพรมแดนของอีคอมเมิร์ซ เพราะตั้งแต่ปี 2015 จำนวนแพ็กเกจที่เคยได้รับการยกเว้นภาษีมีอยู่ราว 139 ล้านรายการ แต่ในปี 2024 จำนวนแพ็กเกจประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1.36 พันล้านรายการ หรือประมาณเกือบ 10 เท่าตัว อ้างอิงจากข้อมูลศุลกากรและการป้องกันชายแดนสหรัฐฯ

 

SHEIN และ Temu ใช้กลยุทธ์สินค้าราคาถูกเพื่อแลกกับการรอสินค้านานหน่อย ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มมองว่าการรอสินค้าจากจีนเป็นเรื่องปกติหากการรอจะทำให้ตนได้ราคาที่ประหยัดกว่า ซึ่งกฎ de minimis ก็ถูกใช้เป็นรากฐานสำคัญของโมเดลธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำจากสองบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน

 

อย่างไรก็ดี The Verge รายงานว่า ทรัมป์ต้องการใช้คำสั่งพิเศษประธานาธิบดีเพื่อปิดช่องโหว่นี้ โดยจะทำให้สินค้าที่เดิมไม่เคยต้องเสียภาษีนำเข้ากลายเป็นต้องถูกเก็บภาษีอีก 3 ต่อ

 

  1. จากเงื่อนไขภาษีที่มีอยู่เดิมตามประเภทสินค้านั้นๆ
  2. เงื่อนไขภาษีที่เจาะจงเฉพาะสินค้าจีน ที่ทรัมป์เคยบังคับใช้ในสมัยแรกที่เขาเป็นประธานาธิบดี
  3. ภาษีใหม่กับจีนอีก 10%

 

ตัวอย่างเช่น เสื้อยืดจากจีนจะต้องจ่ายภาษี 10% ใหม่ บวกกับภาษีนำเข้าตามประเภทสินค้า และภาษีเฉพาะสินค้าจากจีนที่ได้รับการบังคับใช้ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกของทรัมป์ ซึ่งการเพิ่มต้นทุนดังกล่าวอาจทำให้ธุรกิจเหล่านี้ไม่สามารถรักษาข้อได้เปรียบเรื่องราคาต่ำสุดที่เป็นจุดเด่นในการแข่งขันได้

 

ความสำเร็จของ SHEIN และ Temu สร้างแรงกดดันให้กับบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Amazon โดยเมื่อปีที่แล้ว Amazon เปิดตัว Amazon Haul ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เลียนแบบเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของจีน และมีสินค้าราคาถูกหลายรายการ โดย Amazon ก็ใช้ช่องโหว่ของกฎ de minimis เพื่อรักษาต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำ แสดงให้เห็นว่ากฎดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจประเภทนี้

 

หากทรัมป์สั่งยกเลิกกฎ de minimis จริงสำหรับสินค้าจากจีน ผู้บริโภคในสหรัฐฯ อาจได้เห็นราคาสินค้า เช่น เสื้อผ้า กระเป๋าถือ และของตกแต่งบ้าน เพิ่มสูงขึ้น

 

นักวิเคราะห์เตือนว่า การยกเลิกกฎ de minimis อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันก็จะทำให้รัฐบาลต้องใช้จ่ายเงินเพื่อบังคับใช้เพิ่มขึ้นอีกหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ให้เหตุผลการยกเลิกกฎ de minimis ว่าเป็นการป้องกันการลักลอบขนส่งสารเสพติดอย่างโอปิออยด์ โดยอ้างว่าแพ็กเกจขนาดเล็กมักได้รับการตรวจสอบน้อยกว่า แต่ฝั่งผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เห็นด้วยกลับโต้แย้งว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าแพ็กเกจมูลค่าต่ำจะมีความเสี่ยงมากกว่าการขนส่งแพ็กเกจขนาดใหญ่

 

แน่นอนว่าผู้ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือแพลตฟอร์มอย่าง SHEIN และ Temu ที่ต้องพึ่งพาการควบคุมต้นทุนให้ต่ำที่สุด และหากคำสั่งผู้บริหารของทรัมป์ถูกบังคับใช้ สินค้าราคาถูกเหล่านี้ก็อาจกลายเป็นแค่ความจริงในอดีต

 

อ้างอิง:

The post ชาวอเมริกันหมดยุคช้อปของถูก? ทรัมป์สั่งยุติกฎ de minimis อีคอมเมิร์ซจีน SHEIN-Temu อ่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยเก่งอะไร และยังต้องแก้จุดใด เพื่อก้าวเป็นศูนย์กลางทางการเงิน หลัง ครม. เห็นชอบ พ.ร.บ. Financial Hub แล้ว https://thestandard.co/thailand-financial-hub-strengths/ Tue, 04 Feb 2025 12:17:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1038072 Financial Hub

ครม. มีมติเห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอ […]

The post ไทยเก่งอะไร และยังต้องแก้จุดใด เพื่อก้าวเป็นศูนย์กลางทางการเงิน หลัง ครม. เห็นชอบ พ.ร.บ. Financial Hub แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Financial Hub

ครม. มีมติเห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินแล้ว เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub ได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกรุงเทพฯ รั้งตำแหน่งที่ 95 จาก 121 ในดัชนีศูนย์กลางการเงินทั่วโลก สะท้อนว่าอันดับของไทยยังทิ้งห่างอยู่มากเมื่อเทียบกับ Financial Hub ชั้นนำอันดับต้นๆ ของโลก

 

วันนี้ (4 กุมภาพันธ์) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักการของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. แล้วตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

 

โดย พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า พ.ร.บ. Financial Hub ดังกล่าว เป็นการยกร่างกฎหมายชุดใหม่ให้มีความเป็นสากล โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub ได้อย่างแท้จริงตามนโยบายรัฐบาล

 

ทั้งนี้ ในระยะต่อไปร่าง พ.ร.บ. จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ก่อนที่จะมีผลใช้บังคับต่อไป

 

กรุงเทพฯ รั้งตำแหน่งที่ 95 จาก 121 ศูนย์กลางการเงินทั่วโลก

 

อย่างไรก็ดี Global Financial Centres Index 36 (GFCI) ล่าสุด ซึ่งจัดทำโดย Z/Yen Group และเผยแพร่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ากรุงเทพฯ รั้งตำแหน่งที่ 95 จาก 121 ศูนย์กลางการเงินทั่วโลก สะท้อนว่าอันดับของไทยยังทิ้งห่างอยู่มากเมื่อเทียบกับศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำอันดับต้นๆ ของโลก

 

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) มองเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า เมื่อเทียบกับศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคหรือโลก เช่น นิวยอร์ก (อันดับ 1) ลอนดอน (อันดับ 2) ฮ่องกง (อันดับ 3) สิงคโปร์ (อันดับ 4) และดูไบ (อันดับ 16) จะพบว่าอันดับของไทยยังทิ้งห่างอยู่มาก เนื่องจากเมืองศูนย์กลางทางการเงินอันดับต้นๆ เหล่านั้นได้รับการออกแบบกฎกติกา เกณฑ์ด้านภาษี และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ ที่พร้อมสนับสนุนการเคลื่อนย้ายเงินทุนและการระดมทุนอย่างมาก

 

นอกจากนี้ เมืองเหล่านั้นยังมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน สอดคล้องกับจุดแข็งทางเศรษฐกิจและการเงินของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน เช่น สิงคโปร์มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการทางการเงิน (Wealth Managemen) ขณะที่ฮ่องกงเป็นประตูทางการเงินสู่จีนและประเทศอื่นในโลก ทำให้เชี่ยวชาญด้านบริการทางการเงินสำหรับกิจการข้ามชาติ เช่น Investment Bank และ Trade Finance

 

 

กระนั้น KResearch มองว่าไทยมีจุดแข็งหลายด้าน ทั้งโครงสร้างดิจิทัล โลจิสติกส์ ความเป็นเมืองน่าอยู่ และมาตรฐานของสถาบันการเงินไทย ซึ่งทั้งหมดถือเป็น ‘ปัจจัยตั้งต้น’ สำหรับไทยที่ต้องการขยายบทบาทการเป็นศูนย์กลางทางการเงินในอนาคต

 

ไทยเก่งอะไรถึงท้าชิงตำแหน่ง Financial Hub

 

KResearch ระบุว่า จากสายตาของต่างชาติ ไทยถูกมองว่ามีจุดแข็งหลายด้าน ได้แก่

 

  • เงินบาทเป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด รองจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการรับชำระค่าสินค้าส่งออกและจ่ายเป็นค่าสินค้านำเข้ากับคู่ค้าในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะการค้ากับกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา
  • พัฒนาการของตลาดการเงินไทยที่มีความเป็นสากล
  • มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโลจิสติกส์ที่ดี
  • มีค่าครองชีพที่อยู่ในระดับที่ยังไม่สูงนัก
  • มีวัฒนธรรมที่หลากหลายและเปิดกว้าง
  • กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ติดอันดับโลก

 

โดยใน InterNations ซึ่งเป็นชุมชนออนไลน์สำหรับชาวต่างชาติ จัดอันดับเมืองที่น่าอยู่และน่าทำงานที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติปี 2566 พบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่เป็นอันดับ 9 ของโลกสำหรับชาวต่างชาติ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพชีวิต ค่าครองชีพ และความพึงพอใจในอาชีพการงาน ขณะเดียวกัน นิตยสาร Time Out จัดอันดับให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลกในปี 2568 โดยเน้นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาหาร และความสุขของคนในเมือง

 

 

 

“จุดแข็งข้างต้นทั้งด้านโครงสร้างดิจิทัล โลจิสติกส์ ความเป็นเมืองน่าอยู่ และมาตรฐานของสถาบันการเงินไทย ถือเป็น ‘ปัจจัยตั้งต้น’ สำหรับไทยที่ต้องการขยายบทบาทการเป็นศูนย์กลางทางการเงินในอนาคต” KResearch กล่าว

 

ไทยยังต้องปรับอะไรหากจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินโลกอย่างแท้จริง

 

ดังนั้นหากต้องการขยายบทบาทของการเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ได้รับการตอบรับจากต่างชาติมากขึ้นกว่านี้ KResearch มองว่าไทยต้องเร่งปรับปรุงเรื่องต่างๆ ดังนี้

 

  1. การเร่งเพิ่มศักยภาพของแรงงานไทย
  2. การสนับสนุนให้มี Talent จากต่างชาติเข้ามามากขึ้น
  3. การลดภาษีและการผ่อนคลายเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค ควบคู่ไปกับการพัฒนาจุดแข็งทางเศรษฐกิจของไทย

 

“ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจการเงิน พ.ศ. …. ขณะนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังต้องร่วมมือกันพัฒนา เพื่อให้ไทยสามารถมีพื้นที่ยืนที่ดีขึ้นในเวทีการเป็นศูนย์กลางทางการเงินโลกอย่างแท้จริง” KResearch กล่าว

 

อ้างอิง:

The post ไทยเก่งอะไร และยังต้องแก้จุดใด เพื่อก้าวเป็นศูนย์กลางทางการเงิน หลัง ครม. เห็นชอบ พ.ร.บ. Financial Hub แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดเกมเดือด! จีนโต้กลับสหรัฐฯ ทันที ประกาศขึ้นภาษีสูงถึง 15% มีผล 10 ก.พ. หลังทรัมป์เมินต่อเวลา 30 วันเหมือนแคนาดา-เม็กซิโก https://thestandard.co/china-retaliates-us-tariffs-trade-war/ Tue, 04 Feb 2025 11:26:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1038037 จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ตอบโต้มาตรการทรัมป์

จีนโต้กลับสหรัฐฯ! ประกาศขึ้นภาษีถ่านหิน – LNG  […]

The post เปิดเกมเดือด! จีนโต้กลับสหรัฐฯ ทันที ประกาศขึ้นภาษีสูงถึง 15% มีผล 10 ก.พ. หลังทรัมป์เมินต่อเวลา 30 วันเหมือนแคนาดา-เม็กซิโก appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ตอบโต้มาตรการทรัมป์

จีนโต้กลับสหรัฐฯ! ประกาศขึ้นภาษีถ่านหิน – LNG – น้ำมัน – สินค้าเกษตร ยกแผง 10-15% ทันทีที่สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10% ซึ่งมีผลในช่วงเที่ยงของวันนี้ หลังทรัมป์เมินผ่อนปรนจีน ไม่เลื่อนให้ 30 วันเหมือนแคนาดา-เม็กซิโก 

 

วันนี้ (4 กุมภาพันธ์) รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังของจีน ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ โดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายรายการ เพื่อตอบโต้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากร 10% กับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งมีผลช่วงเวลา 12.00 น. ของวันนี้ โดยภายใต้มาตรการใหม่ กำหนดอัตราภาษี 15% สำหรับถ่านหินบางประเภทและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สินค้าเกษตร รวมถึงภาษี 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร รถยนต์ขนาดใหญ่ และรถกระบะ ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป

 

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ของจีนยังออกมาตรการควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญ เช่น วัสดุที่เกี่ยวข้องกับทังสเตนที่ใช้ในอุตสาหกรรมและการป้องกันประเทศ รวมถึงวัสดุที่เกี่ยวข้องกับเทลลูเรียม ซึ่งสามารถนำไปผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ได้

 

กระทรวงยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างสอบสวนบริษัทสัญชาติอเมริกัน 2 แห่ง ได้แก่ บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Illumina และ PVH ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกสินค้าแฟชั่นเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Calvin Klein และ Tommy Hilfiger โดยระบุว่าบริษัทเหล่านี้ “ละเมิดหลักการซื้อขายในตลาดปกติ” ซึ่งก่อนหน้านี้มีประเด็นข้อหาการใช้ผ้าฝ้ายจากเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกของจีน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่จีนขู่ขึ้นบัญชีดำบริษัทจากสหรัฐฯ 

 

นอกจากนี้ สำนักงานกำกับดูแลตลาดของจีนระบุว่า กระทรวงกำลังดำเนินการสอบสวน Google ในข้อกล่าวหาละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอีกด้วย

 

เลื่อนขึ้นภาษีสินค้าจากแคนาดา-เม็กซิโก 25% ออกไป 1 เดือน 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ทรัมป์ออกมาระบุว่า เขาจะเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% เป็นเวลา 1 เดือน หลังจากที่ประกาศว่าจะมีการส่งทหาร 10,000 นายไปยังชายแดนสหรัฐฯ ทันที เพื่อป้องกันการค้ายาเสพติดจากเม็กซิโก

 

โดยทรัมป์โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า ในช่วงที่รอการขึ้นภาษีจะมีการเจรจาเกี่ยวกับภาษีดังกล่าว โดยมี มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนระดับสูงของเม็กซิโก เป็นผู้นำในการเจรจาดังกล่าว การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้น 2 วันหลังจากที่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10%

 

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เคลาเดีย ไชน์บัม ประธานาธิบดีเม็กซิโก ขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ และมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร แต่ไม่ได้เปิดเผยอัตราภาษี ขณะที่ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีของแคนาดา กล่าวว่า แคนาดาจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ในอัตรา 25% เพื่อตอบโต้มาตรการจัดเก็บภาษีของทรัมป์ที่ประกาศไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ และจีนกล่าวว่าจะโต้แย้งมาตรการจัดเก็บภาษีกับองค์การการค้าโลก

 

ทรัมป์และไชน์บัมพูดคุยกันในเช้าวันจันทร์ ก่อนที่จะมีการประกาศหยุดการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งคู่กล่าวว่า กองกำลังป้องกันประเทศของเม็กซิโกที่ส่งไปยังชายแดนสหรัฐฯ จะมีภารกิจในการหยุดยั้งการค้าขายยาเสพติดจากเม็กซิโก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟนทานิล ซึ่งเป็นสารโอปิออยด์ที่อันตรายถึงชีวิต 

 

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเขียนด้วยว่า กองกำลังของเม็กซิโกจะมีเป้าหมายเพื่อหยุดยั้งการไหลบ่าเข้ามาของ “ผู้อพยพในประเทศของเรา”

 

ราคาทองคำยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง

 

ทันทีที่มีข่าว หุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเปิดตลาดในแดนลบเมื่อวันจันทร์ ฟื้นตัวกลับมาจากข่าวการหยุดจัดเก็บภาษีสินค้าจากเม็กซิโก ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones ฟื้นตัวขึ้น โดยปิดตลาดวันนี้ที่ 44,421.91 จุด ลดลง 122.75 จุด หรือ -0.28% หลังจากที่ทรัมป์กล่าวว่าจะระงับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดวันนี้ที่ 5,994.57 จุด ลดลง 0.76% และดัชนี NASDAQ Composite ปิดตลาดวันนี้ที่ 19,391.96 จุด ลดลง 1.2%

 

กองทุน iShares MSCI Mexico ETF ซึ่งลงทุนในหุ้นของเม็กซิโก ฟื้นตัวขึ้น และปิดตลาดสูงขึ้น 2% สกุลเงินเปโซเปลี่ยนจากสกุลเงินที่ผลตอบแทนแย่ที่สุดเป็นสกุลเงินที่ทำกำไรได้ดีที่สุดในบรรดาสกุลเงินหลัก สกุลเงินดอลลาร์แคนาดาก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้เช่นกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแทบไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 4.53% 

 

แม้ว่าดอลลาร์ที่แข็งค่าจะส่งผลให้ตลาดทองคำได้รับผลกระทบตามปกติ แต่ราคาทองคำยังคงพุ่งขึ้นเนื่องมาจากอุปสงค์ในสินทรัพย์ที่หลบภัย (Safe Haven) ซึ่งขับเคลื่อนโดยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของทรัมป์

 

ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้น 0.8% สู่ระดับ 2,818.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 05.00 น. หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,830.49 ดอลลาร์ในช่วงก่อนหน้านั้น

 

อ้างอิง:

The post เปิดเกมเดือด! จีนโต้กลับสหรัฐฯ ทันที ประกาศขึ้นภาษีสูงถึง 15% มีผล 10 ก.พ. หลังทรัมป์เมินต่อเวลา 30 วันเหมือนแคนาดา-เม็กซิโก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวอเมริกันผุดแคมเปญ ‘No Buy 2025’ ประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยการตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก https://thestandard.co/no-buy-2025-america/ Tue, 04 Feb 2025 07:19:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1037944 แคมเปญ No Buy 2025

วลีติดปากวัยรุ่น ‘ของมันต้องมี’ ไม่จำเป็นสำหรับชาวอเมริ […]

The post ชาวอเมริกันผุดแคมเปญ ‘No Buy 2025’ ประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยการตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
แคมเปญ No Buy 2025

วลีติดปากวัยรุ่น ‘ของมันต้องมี’ ไม่จำเป็นสำหรับชาวอเมริกันอีกต่อไป ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นแม้ทรัมป์รับปากว่าจะลดค่าครองชีพ พร้อมเดินหน้าประหยัดเงินในกระเป๋าผ่านแนวคิด ‘No Buy 2025’ ตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก

 

สำหรับแคมเปญ ‘No Buy 2025’ เป็นแนวคิดที่เหล่า Content Creator ชาวอเมริกันเผยแพร่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้หลายคนลุกขึ้นมาต่อต้านการบริโภคหรือการซื้อสินค้าที่เกินความจำเป็นหรือสินค้าฟุ่มเฟือย ในช่วงเวลาเดียวกัน เทรนด์ Project Pan หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามให้หมดจนถึงก้นกระปุกก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

 

แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลายคนจะทำได้ เพราะสินค้าหลายๆ แบรนด์พยายามโปรโมตสินค้าคอลเล็กชันใหม่ๆ ด้วยการให้คลิกลิงก์ใน Amazon ดูรีวิวแนะนำต่างๆ แน่นอนว่าหากเราไม่มีการยับยั้งชั่งใจก็จะทำให้คล้อยตามและกดสั่งซื้อสินค้า

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ขณะเดียวกันชาวอเมริกันต่างจับตาดูนโยบายเศรษฐกิจใหม่ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยให้คำมั่นสัญญาว่าเมื่อชนะการเลือกตั้งจะลดราคาสินค้าเพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนทันที

 

ไรลีย์ มาร์คัม แม่บ้านที่อาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดา กล่าวว่า ครอบครัวของเรามีส่วนสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจภายใต้การบริหารของทรัมป์ ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นและค่อนข้างกังวลกับอนาคตมาก เพราะครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด 6 คน ต้องบริหารค่าใช้จ่ายให้พอที่จะจ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ และของใช้ในบ้าน

 

“ทั้งหมดยึดตามแนวคิด ‘No Buy 2025’ ไม่ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ตัดค่าใช้จ่ายด้านการทำเล็บและเข้าร้านเสริมสวย และออกไปกินอาหารนอกบ้านน้อยลง ทำให้ประหยัดเงินได้ราว 100 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์” ไรลีย์ย้ำ

 

รีเบคก้า โซว์เดน ที่อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ชีวิตต้องเข้มงวดกับการใช้จ่ายมากขึ้น โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้เข้าร่วมแคมเปญ No Buy 2025ไม่ซื้อสินค้าเกินความจำเป็นในชีวิตประจำวันเลย ทำให้ประหยัดเงินได้ถึง 4,272 ดอลลาร์

 

รวมถึง เฟเชียน คีล ที่อาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดา กล่าวว่า ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา สามารถประหยัดเงินได้ 300 ดอลลาร์ ซึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนนิสัยการใช้จ่ายของตัวเอง เริ่มตั้งแต่เลิกซื้อของตามอารมณ์ ซื้อเฉพาะของใช้จำเป็นที่ใช้หมดแล้วเท่านั้น และที่สำคัญคือการเลิกใช้บัตรเครดิต ช่วยสร้างวินัยในการใช้จ่ายมากขึ้น

 

สอดรับกับข้อมูลจาก The Conference Board ที่ระบุว่า ภาพรวมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากทำเนียบขาวเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และจากจีนอีก 10%

 

นอกจากนี้ไข่ไก่ที่กำลังได้รับผลกระทบจากไข้หวัดนกระบาดก็มีราคาแพงขึ้น จนใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามด้วยกลุ่มกาแฟ แม้ทรัมป์จะยกเลิกแผนเก็บภาษีนำเข้ากาแฟจากโคลอมเบียแต่ราคาก็ไม่ได้ถูกลง รวมไปถึงเนื้อวัวและน้ำส้มก็มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

อ้างอิง:

The post ชาวอเมริกันผุดแคมเปญ ‘No Buy 2025’ ประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยการตัดค่าทำเล็บและเสริมสวยออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดมุมมอง 4 นักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 และผลกระทบจากภาษี ‘ทรัมป์ 2.0’ https://thestandard.co/4-economists-on-thai-economy-2568/ Tue, 04 Feb 2025 02:03:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1037818

4 นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยคาดว […]

The post เปิดมุมมอง 4 นักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 และผลกระทบจากภาษี ‘ทรัมป์ 2.0’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

4 นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ไม่เกิน 3% ในปีนี้ พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบาย ‘ทรัมป์ 2.0’ เตือนผลกระทบภาษีอาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในภาคส่งออกไทย

 

ในงาน TEA Annual Forum 2025 สัมมนาเศรษฐกิจประจำปี 2568 ในหัวข้อ ‘ทางรอดไทย ในยุคโลกป่วน: Surviving the Year of Geopolitical Uncertainties’ ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อประเทศไทย อาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงภาคส่งออกเท่านั้น เห็นได้จากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าโคลอมเบีย แคนาดา และเม็กซิโก ก็มีจุดประสงค์ชัดเจนคือการจัดการกับปัญหาคนเข้าเมือง

 

ดร.พิพัฒน์ ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ในวันแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งได้ออก Presidential Memorandum เกี่ยวกับนโยบายทางการค้า ที่ให้ไปตรวจสอบการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practice) ของประเทศอื่นๆ ที่มีต่อสหรัฐฯ ซึ่งประเทศไทยก็เข้าข่ายทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ ด้วย ตัวอย่างเช่น มีสินค้าหลายประเภทที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากไทย ‘น้อยกว่า’ ที่ไทยเก็บจากสหรัฐฯ เช่น ภาคเกษตรและภาคอาหาร

 

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ไทยยังแบนการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ขณะเข้าร่วม CPTPP โดยอ้างว่าสหรัฐฯ ใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นการใช้อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers: NTBs) จึงอาจทำให้ไทยถูกกล่าวหาว่าใช้ Unfair Trade Practice ต่อสหรัฐฯ ได้ ดังนั้นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอาจไม่ใช่แค่ภาคส่งออก แต่เป็นภาคส่วนอื่นๆ ในประเทศด้วย (Domestic Sectors)

 

ด้าน ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสำนักวิจัยธนาคาร CIMB Thai กล่าวเตือนด้วยว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนต้องเกิดขึ้นต่อเนื่องอยู่แล้ว ดังนั้นจีนต้องหาทางออกว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจโตได้ตามเป้า 5% และเพื่อจะให้โตได้ตามนี้ จีนจำเป็นต้องเร่งการผลิตสินค้า เพื่อให้คนในประเทศจีนมีรายได้และมีงานทำ ดังนั้นเมื่อจีนมีผลผลิตเหลือก็ย่อมต้องเร่งระบายสินค้าออกไปประเทศคู่ค้าอย่างประเทศไทย เป็นต้น

 

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จึงกล่าวเสริมว่า เหรียญมีสองด้านเสมอ เนื่องจากสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนมากที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมากลับไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภค แต่เป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์และเครื่องจักรที่ใช้ในโรงงาน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเหรียญมีสองด้าน ได้แก่ ด้านหนึ่งคือสินค้าราคาถูกจากจีน ก็จะมาแข่งกับสินค้าที่ผลิตในไทย ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จะมีคนอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการนำเข้าเครื่องจักรและชิ้นส่วนที่ราคาไม่แพง รวมถึงคุณภาพโอเค ทำให้เป็นการลดต้นทุนไปในตัว

 

ทรัมป์ 2.0 อาจเร่งเงินเฟ้ออีกครั้ง เปลี่ยนทิศทางลดดอกเบี้ย Fed?

 

นอกจากนี้ ดร.กิริฎา ยังเตือนอีกว่า นโยบายหลายประการของทรัมป์ รวมถึงนโยบายนำผู้อพยพผิดกฎหมายออกจากประเทศ (Deportation) ของทรัมป์อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นได้

 

“ปัจจุบันมีการประเมินว่าแรงงานอพยพผิดกฎหมายในสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 8 ล้านคน โดยในยุคทรัมป์ 1.0 มีการส่งแรงงานอพยพผิดกฎหมายไปแล้วกว่า 1.5 ล้านคน สำหรับสมัยปัจจุบันทรัมป์ตั้งเป้าว่าจะนำแรงงานอพยพผิดกฎหมายออกจากประเทศให้หมด หมายความว่าอาจทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้ค่าแรงในสหรัฐฯ สูงขึ้น เมื่อค่าแรงขึ้นก็ย่อมส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราแลกเปลี่ยน” ดร.กิริฎา กล่าว

 

ดร.พิพัฒน์ เห็นด้วยว่านโยบายต่างๆ ในยุคทรัมป์ 2.0 มีโอกาสทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ สูงขึ้น จึงเป็นคำถามต่อไปว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจำเป็นต้องพยายามคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับราว 2% ซึ่งอาจทำให้ Fed ไม่สามารถลดเงินเฟ้อได้ตามที่คาดไว้ในตอนแรก

 

Fed อาจลดดอกเบี้ยน้อยลง แต่ กนง. มีโอกาสลดมากกว่า 1 ครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดร.พิพัฒน์ มองว่า สถานการณ์มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยอาจเห็นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง หรือมากกว่า 1 ครั้ง เนื่องจาก ดร.พิพัฒน์ มองว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ของไทย หรืออัตราดอกเบี้ยที่หักลบกับผลของเงินเฟ้อแล้ว อยู่ในระดับค่อนข้างสูง นอกจากนี้จากการสื่อสารของ ธปท. ก็ระบุชัดเจนว่าปัจจุบันคงอัตราดอกเบี้ยไว้เพื่อเก็บกระสุน รับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆ รวมถึงความไม่แน่นอนจากประธานาธิบดีทรัมป์

 

สอดคล้องกับ ดร.อมรเทพ ที่เห็นด้วยว่าอาจเห็น ธปท. ลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้ง เนื่องจากเศรษฐกิจมีข่าวร้ายค่อนข้างเยอะ ทั้งจากปัจจัยในประเทศและนอกประเทศ

 

ดร.อมรเทพ ยังมองด้วยว่านโยบายต่างๆ ของทรัมป์เตรียมจะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีเงินได้ต่างๆ หรือการขึ้นภาษีนำเข้า เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่กดดันบาทให้อ่อนค่าไปถึง 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐภายในปีนี้ก็เป็นไปได้

 

เปิดมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568

 

ภายในงาน 4 นักเศรษฐศาสตร์ก็ยังเห็นตรงกันด้วยว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 น่าจะขยายตัวได้ไม่เกิน 3% ในปีนี้ โดยมีปัจจัยบวกและความเสี่ยง ดังนี้

 

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้คือภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อย โดย ดร.พชรพจน์ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเยือนไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 39 ล้านคนจากระดับ 35.54 ล้านคนในปี 2567 โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ (Man-Made Destination) ตัวอย่างเช่น งานเทศกาล อีเวนต์ ศูนย์การประชุม และโรงแรม ฯลฯ

 

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารสำนักวิจัยธนาคาร CIMB Thai มองว่า อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้มาจากการลงทุน เนื่องจากหนึ่งในข้อดีของสงครามการค้าคือการคาดการณ์ว่าจะมีการย้ายฐาน (Relocation) โดยจะเห็นได้จากในปีที่ผ่านมาเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนก็ตาม

 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มองว่า อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้คือการขยายตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า รัฐบาลยังใช้นโยบายขาดดุลทางการคลัง โดยการเบิกจ่ายเริ่มเข้าสู่ระดับปกติ หลังจากในปี 2567 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ นอกจากนี้ในปี 2568 รัฐบาลอาจใช้มาตรการแจกเงินถึง 2 รอบ 

 

ดร.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า การส่งออกเป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2567 ส่งออกไทยขยายตัวถึง 4-5% โดยในปี 2568 ส่งออกไทยก็น่าจะขยายตัว 2-3% แต่สิ่งที่ไทยควรกังวลคือภาวะที่การนำเข้าโตเร็วกว่าการส่งออก โดยจะเห็นว่าในบางอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมส่งออกรถยนต์ของไทย ก็เริ่มเปลี่ยนผ่านจากการเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกไปเป็นการนำเข้ามาใช้แทน ภาวะดังกล่าวทำให้การขยายตัวของภาคการส่งออกไทยไม่ส่งผลไปถึงการขยายตัวของ GDP มากเท่าอดีตแล้ว 

The post เปิดมุมมอง 4 นักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 และผลกระทบจากภาษี ‘ทรัมป์ 2.0’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ดร.ศุภวุฒิ’ ยืนยันไม่รับการทาบทามตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ด้าน ‘อาคม’ ปฏิเสธแสดงความคิดเห็น ก่อนกำหนดส่งชื่อ 5 ก.พ. นี้ https://thestandard.co/dr-supavud-declines-bank-chair/ Mon, 03 Feb 2025 11:59:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1037748 dr-supavud-declines-bank-chair

‘ดร.ศุภวุฒิ’ ยืนยันอีกครั้ง ไม่ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำ […]

The post ‘ดร.ศุภวุฒิ’ ยืนยันไม่รับการทาบทามตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ด้าน ‘อาคม’ ปฏิเสธแสดงความคิดเห็น ก่อนกำหนดส่งชื่อ 5 ก.พ. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
dr-supavud-declines-bank-chair

‘ดร.ศุภวุฒิ’ ยืนยันอีกครั้ง ไม่ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ด้าน ‘อาคม’ ปฏิเสธแสดงความคิดเห็น ก่อนกำหนดเดดไลน์ส่งชื่อ 5 กุมภาพันธ์นี้

 

วันนี้ (3 กุมภาพันธ์) ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ไม่ได้รับทาบทามให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ)

 

โดยหลังผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการทาบทามอีกครั้ง ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า “ไม่เห็นมีเลยครับ และไม่รับด้วยครับ แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ควรจะเกษียณได้แล้ว อายุ 68 ปีแล้ว” ในงาน TEA Annual Forum 2025 สัมมนาเศรษฐกิจประจำปี 2568 ในหัวข้อ ‘ทางรอดไทย ในยุคโลกป่วน: Surviving the Year of Geopolitical Uncertainties’ ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์

 

ขณะที่ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งมาร่วมงานเดียวกัน ก็ปฏิเสธที่จะตอบและแสดงความคิดเห็นหลังผู้สื่อข่าวถามว่าได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติหรือไม่

 

ทั้งนี้ อาคมเกิดวันที่ 25 กันยายน 2499 หมายความว่าในเดือนกันยายนปีนี้อาคมจะมีอายุ 69 ปี

 

ขณะที่พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 บัญญัติให้ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์

 

ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะส่งรายชื่อให้คณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ที่มี สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นประธาน ได้ภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อให้ทันการประชุมนัดแรกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้อย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้มีรายชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสมอยู่ในใจแล้ว

 

โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าจะมีการเสนอชื่อ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ เข้าชิงตำแหน่งดังกล่าวจากฝั่งกระทรวงการคลัง ขณะที่ฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีกระแสข่าวว่าได้เทียบเชิญ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ และ วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่ง ภายหลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ถูกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าขาดคุณสมบัติ

The post ‘ดร.ศุภวุฒิ’ ยืนยันไม่รับการทาบทามตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ด้าน ‘อาคม’ ปฏิเสธแสดงความคิดเห็น ก่อนกำหนดส่งชื่อ 5 ก.พ. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุค ‘คนโสด’ ครองเมือง ปรากฏการณ์ใหม่ทำอัตราเกิดดิ่งเหว เมื่อคนใช้ชีวิตลำพังพุ่งสูงขึ้น https://thestandard.co/rise-of-singledom-birth-rate-drops/ Mon, 03 Feb 2025 06:52:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1037587

ในยุคที่ ‘อัตราการเกิด’ กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในแทบทุกว […]

The post ยุค ‘คนโสด’ ครองเมือง ปรากฏการณ์ใหม่ทำอัตราเกิดดิ่งเหว เมื่อคนใช้ชีวิตลำพังพุ่งสูงขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในยุคที่ ‘อัตราการเกิด’ กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในแทบทุกวงสนทนา และถูกจับตาโดยผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก ‘ปรากฏการณ์คนโสด’ กำลังระบาดหนักและแผ่ขยายวงกว้างไปทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา, ฟินแลนด์, เกาหลีใต้, ตุรกี, ตูนิเซีย หรือแม้แต่ไทย อัตราการเกิดที่ลดลงล้วนเป็นผลพวงมาจากความสัมพันธ์ที่ลดน้อยลงในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาว

 

จนนำไปสู่อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างน่าใจหาย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มี ‘ความแตกต่าง’ จากอดีตอย่างสิ้นเชิง 

 

เพราะไม่ใช่แค่การตัดสินใจมีลูกน้อยลงของคู่รัก แต่เป็นการลดลงของจำนวน ‘คู่รัก’ อย่างเห็นได้ชัด เรื่องราวสำคัญทางประชากรศาสตร์ในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่อัตราการมีลูกที่ลดลง แต่เป็น ‘อัตราความโสด’ ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดต่างหาก

 

ถือเป็นการเปลี่ยนแปลง ‘พื้นฐาน’ ครั้งใหญ่ในสังคมยุคใหม่ โดยข้อมูลจากสหรัฐฯ ชี้ชัดว่า หากอัตราการแต่งงานและการอยู่ร่วมกันของคนอเมริกันยังคงที่ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมของสหรัฐฯ ในวันนี้จะสูงกว่าที่เป็นอยู่ ความสัมพันธ์ไม่ได้แค่เกิดขึ้นน้อยลง แต่ยังเปราะบางมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

 

แม้แต่ในฟินแลนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเท่าเทียม ก็พบว่าคู่รักที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันมีแนวโน้มที่จะ ‘เลิกรา’ มากกว่าการมีลูก ซึ่งตรงกันข้ามกับบรรทัดฐานในอดีตอย่างสิ้นเชิง แม้คู่รักยุคใหม่ที่ทั้งสองคนต่างทำงานและเลือกที่จะไม่มีลูก ซึ่งทำให้พวกเขามีอิสระทางการเงินและสามารถใช้ชีวิตได้ตามใจ อาจเป็นเทรนด์ที่ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร

 

แต่การเพิ่มขึ้นของความโสดและการแยกทางกลับไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบว่าการก่อตัวของความสัมพันธ์ที่ลดลงนั้น ‘รุนแรงที่สุด’ ในกลุ่มคนยากจน แม้ว่าจะมีหลายคนที่พึงพอใจกับการเป็นโสด และเสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่ข้อมูลที่สะท้อนความเหงาและความผิดหวังจากการออกเดต บ่งชี้ว่าทุกอย่างอาจไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

 

John Burn-Murdoch ผู้สื่อข่าวแห่ง Financial Times เคยกล่าวไว้ว่า “เรื่องราวสำคัญทางประชากรศาสตร์ในยุคนี้ไม่ใช่แค่การมีลูกที่ลดลง แต่คือการเพิ่มขึ้นของความโสด” คำถามคืออะไรเป็นสาเหตุของการลดลง และทำไมถึงเกิดขึ้นในตอนนี้ การที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น ‘เกือบทุกที่’ พร้อมๆ กัน ชี้ให้เห็นว่ามีปัจจัยในระดับโลกที่ส่งผลกระทบมากกว่าปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศ

 

การแพร่หลายของสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในปัจจัยภายนอกที่เข้ามามีบทบาท ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ในการเพิ่มขึ้นของความโสดสอดคล้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีวิธีคิดในการเลือกคู่ครองเปลี่ยนไป สอดคล้องกับงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียช่วยให้ ‘ค่านิยมเสรี’ แพร่กระจายและส่งเสริมพลังของผู้หญิง

 

การลดลงของคู่รักพบมากที่สุดในยุโรป เอเชียตะวันออก และลาตินอเมริกา ตามมาด้วยตะวันออกกลางและแอฟริกา ความโสดนั้นยังคงหายากในเอเชียใต้ ซึ่งผู้หญิงเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ‘จำกัดกว่า’ แม้กลไกที่แท้จริงยังคงเป็นที่ถกเถียง แต่การแพร่หลายของความโสดและบทบาทในการทำให้อัตราการเกิดลดลงอย่างรวดเร็วแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่แรงจูงใจทางการเงินและนโยบายอื่นๆ สามารถกระตุ้นอัตราการเกิดได้บ้าง แต่ก็กำลังเผชิญกับ ‘แรงต้าน’ จากกระแสสังคมและวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งกว่ามาก นโยบายที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์อาจมีประสิทธิภาพมากกว่านโยบายที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือคู่รักให้มีลูก โลกที่เต็มไปด้วยคนโสดอาจไม่ได้ดีหรือแย่ไปกว่าโลกที่เต็มไปด้วยคู่รักและครอบครัว

 

แต่มัน ‘แตกต่าง’ อย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่เคยเป็นมา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า นี่คือสิ่งที่ผู้คนต้องการจริงๆ หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ อะไรคือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง

 

อ้างอิง:

The post ยุค ‘คนโสด’ ครองเมือง ปรากฏการณ์ใหม่ทำอัตราเกิดดิ่งเหว เมื่อคนใช้ชีวิตลำพังพุ่งสูงขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เตือน! ชื่อเจ้าของเบอร์ต้องตรงกับชื่อ Mobile Banking ภายใน 30 เม.ย. นี้ ไม่อย่างนั้นใช้ Mobile Banking ไม่ได้ หลังดีอีเริ่มตัดตอนบัญชีม้า https://thestandard.co/matching-name-mobile-banking/ Mon, 03 Feb 2025 03:47:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1037490

เตือน! หากหมายเลขโทรศัพท์มือถือมีชื่อเจ้าของซิมไม่ตรงกั […]

The post เตือน! ชื่อเจ้าของเบอร์ต้องตรงกับชื่อ Mobile Banking ภายใน 30 เม.ย. นี้ ไม่อย่างนั้นใช้ Mobile Banking ไม่ได้ หลังดีอีเริ่มตัดตอนบัญชีม้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

เตือน! หากหมายเลขโทรศัพท์มือถือมีชื่อเจ้าของซิมไม่ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ต้องเริ่มติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือหรือธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน 

 

ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกำหนดมาตรการการดำเนินการตรวจสอบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือและเจ้าของบัญชีธนาคาร Mobile Banking หรือการ Cleaning Mobile Banking เพื่อให้ชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ

 

โดย กสทช. และ Telco (ผู้ให้บริการโทรคมนาคม) รวมถึงสำนักงาน ปปง., ธปท. และธนาคาร ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์จำนวนกว่า 120 ล้านหมายเลข แล้วเสร็จเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 และได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

 

  • กลุ่มที่ 1 ลูกค้าที่ Telco แจ้งเป็น M (ชื่อเจ้าของซิมและ Mobile Banking ตรงกัน) มีจำนวนประมาณ 75.8 ล้านหมายเลข คิดเป็น 63.02%
  • กลุ่มที่ 2 ลูกค้าที่ Telco แจ้งเป็น N (ชื่อเจ้าของซิมและ Mobile Banking ไม่ตรงกัน) มีจำนวนประมาณ  30.9 ล้านหมายเลข คิดเป็น 25.68%
  • กลุ่มที่ 3 ลูกค้าที่ Telco แจ้งกลับมาเป็น P (ไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูล) มีจำนวน 13.5 ล้านหมายเลข คิดเป็น 11.29%

 

เปิดขั้นตอนการดำเนินการ หากเป็นกลุ่ม 1-3

 

ธนาคารจะดำเนินการแจ้งประชาชน (ลูกค้าในกลุ่มที่ 2 (กลุ่ม N) และกลุ่มที่ 3 (กลุ่ม P)) ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยประชาชนที่ได้รับแจ้งต้องดำเนินการอัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิมและชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกันภายในเวลา 90 วัน (สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2568) หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง., ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป 

 

สำหรับกลุ่ม N (เจ้าของซิมและ Mobile Banking ไม่ตรงกัน) บัญชีต่างชาติ กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี 2566 ที่มีชื่อเจ้าของซิมกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ไม่ตรงกัน ประชาชนสามารถดำเนินการได้ดังนี้ 

 

ในกรณีหมายเลขโทรศัพท์มือถือมีชื่อเจ้าของซิมไม่ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือเพื่อเปลี่ยนเจ้าของซิม หรือติดต่อธนาคารที่ใช้งาน Mobile Banking เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผูกกับ Mobile Banking ของธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน 

 

ส่วนของกลุ่ม P (ไม่พบชื่อเจ้าของซิม) กลุ่มลูกค้าที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี 2566 ที่ตรวจสอบจากค่ายมือถือแล้วแต่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม (ดำเนินการพร้อมกัน 2.4 ล้านเลขหมาย) โดยกรณีหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนกับธนาคารมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้บริการด้วยตนเอง เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ 

 

ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking หรือลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมเป็นชื่อตามที่ประสงค์ที่เข้าเกณฑ์การจดทะเบียนซิมได้ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (ธนาคารไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้แทนได้) พร้อมบัตรประชาชน เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน

 

ลูกค้าที่ได้รับแจ้งต้องดำเนินการอัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิมและชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกันภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง., ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป

 

กรณีของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้รับการแจ้งผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคารยังไม่ต้องดำเนินการใดๆ และสามารถใช้ Mobile Banking ได้ตามปกติ แม้ชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์จะไม่ตรงกับเจ้าของ Mobile Banking

 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณายกเว้นในกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้

 

  1. เบอร์โทรศัพท์มือถือที่จดทะเบียนในชื่อหน่วยงานราชการ (เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด) หรือองค์กรที่ใช้โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ จะได้รับการพิจารณาเป็นข้อยกเว้น และไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการนี้

 

  1. ลูกค้าที่มีความจำเป็นหรือข้อจำกัดเฉพาะ เช่น ไม่สามารถเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมายหรือเอกสาร สามารถยื่นคำขอยกเว้น พร้อมเอกสารประกอบแสดงเหตุผลต่อธนาคาร

 

  1. กลุ่มบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่ บุตร พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย คู่สมรส (จดทะเบียน) โดยจะต้องแสดงเอกสารความสัมพันธ์ต่อธนาคาร ได้แก่ เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน สูติบัตร ทะเบียนสมรส และเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์

 

  1. นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทเอกชน หรือนิติบุคคลตามกฎหมาย (กรณีที่ลงทะเบียนในนามนิติบุคคลและให้พนักงานในองค์กรใช้งาน) จะต้องมีเอกสารรับรองจากบริษัทที่มีข้อความระบุชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอนุญาตให้ใช้เบอร์โทรศัพท์ผูก Mobile Banking

 

  1. ผู้ที่ต้องได้รับความดูแลตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ไร้ความสามารถ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ และผู้พิการ จะต้องนำเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้อนุบาลหรือเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้พิทักษ์ บัตรผู้พิการ หรือเอกสารที่หน่วยงานราชการออกให้ มายื่นแสดงต่อธนาคาร

 

“มาตรการนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งประชาชนที่จะต้องดำเนินการติดต่อธนาคารจะได้รับการแจ้งเตือนผ่าน Mobile Banking ของธนาคารโดยตรงเท่านั้น จะไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่ Mobile Banking เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวง โดยการยกระดับมาตรการด้าน Mobile Banking เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับการทำงานร่วมกันของกระทรวงดีอี, กสทช., ปปง., ภาคธนาคาร และภาคโทรคมนาคม เพื่อยกระดับการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของกลุ่มมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อสกัดเส้นทางการใช้บัญชีม้าในการหลอกลวงประชาชน ซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นนโยบายที่สำคัญ” ประเสริฐกล่าว

The post เตือน! ชื่อเจ้าของเบอร์ต้องตรงกับชื่อ Mobile Banking ภายใน 30 เม.ย. นี้ ไม่อย่างนั้นใช้ Mobile Banking ไม่ได้ หลังดีอีเริ่มตัดตอนบัญชีม้า appeared first on THE STANDARD.

]]>