Economic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 30 Jul 2025 13:34:46 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 รองนายกฯ ‘ประเสริฐ’ นั่งหัวโต๊ะประชุม บอร์ด AI แห่งชาติ ประกาศลงทุนภาครัฐขั้นต่ำ 25,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนภาคีเครือข่าย – ศูนย์ความเชี่ยวชาญ ด้าน AI https://thestandard.co/thailand-national-ai-plan/ Wed, 30 Jul 2025 13:34:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1101911 thailand-national-ai-plan

วันนี้ (30 ก.ค.68) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบั […]

The post รองนายกฯ ‘ประเสริฐ’ นั่งหัวโต๊ะประชุม บอร์ด AI แห่งชาติ ประกาศลงทุนภาครัฐขั้นต่ำ 25,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนภาคีเครือข่าย – ศูนย์ความเชี่ยวชาญ ด้าน AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-national-ai-plan

วันนี้ (30 ก.ค.68) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 2/2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ธีราภา ไพโรหกุล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี  และคณะกรรมการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมการประชุมเพื่อพิจารณาทิศทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพของประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

 

ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รองนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงความสำคัญของการประชุมฯ ในวันนี้ ว่าเป็นการเดินหน้าอีกก้าวหนึ่งของแผนพัฒนาด้าน AI ของชาติ 

 

ทั้งนี้ ในการประชุมที่ผ่านมาได้มีการกำหนดกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ หรือ National AI Program เพื่อให้เป็นทิศทางในการพัฒนา AI ของประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้แผนงานต่างๆ เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ซึ่งการประชุมวันนี้จะมีการพิจารณากลไกการขับเคลื่อนตามกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Program) รวมทั้งกรอบงบประมาณการขับเคลื่อนตามกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2570 ให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ร่วมกันต่อไป

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญสรุป ดังนี้

 

ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 2 โดยเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นกรรมการ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการกำหนดนโยบายด้านการศึกษา การพัฒนาทักษะและการเตรียมความพร้อมกำลังคนของประเทศ เพื่อรองรับการประยุกต์ใช้และการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในภาคเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบ 

 

รวมทั้งที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนตามกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Program) ให้มีความชัดเจนและเป็นระบบต่อเนื่องจากการประชุมครั้งที่ผ่านมา โดยครอบคลุมทั้งมิติการสร้างความพร้อมด้าน AI (AI Readiness) และการประยุกต์ใช้ AI ในภาคส่วนต่าง ๆ (AI Adoption) และมีข้อสรุปสำคัญ 4 ประเด็น ดังนี้

 

  1. เห็นชอบการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในลักษณะของกลุ่มภาคีเครือข่าย (Consortium) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือดังกล่าว

 

  1. เห็นชอบแนวทางการยกระดับการทำงานให้เชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ AI โดยจัดตั้ง ศูนย์รวมความเชี่ยวชาญ (Center of Excellence:CoEs) ในสาขาต่าง ๆ เพื่อเร่งรัดการพัฒนาและบูรณาการการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เบื้องต้นจำนวน 9 แห่ง ได้แก่
  • ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการศึกษา
  • ศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้วยปัญญาประดิษฐ์
  • ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการเกษตร
  • ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการท่องเที่ยว
  • ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อสุขภาพและสุขภาวะ
  • ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการผลิต
  • กลุ่มภาคีเครือข่ายด้านโมเดลภาษาขนาดใหญ่ภาษาไทย
  • ศูนย์การประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ภาครัฐ
  • ศูนย์สอบเทียบสมรรถนะและทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติให้รับหลักการในการตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านความมั่นคงและความปลอดภัย (Safety and Security) เพิ่มอีกหนึ่งแห่ง 

 

  1. มอบหมายให้ศูนย์ความเชี่ยวชาญดำเนินการจัดทำแผนย่อยรายสาขา ครอบคลุมทั้งด้านความพร้อมและผู้ใช้งาน AI ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามกรอบที่วางไว้

 

  1. เห็นชอบในหลักการของกรอบการใช้จ่ายงบประมาณการขับเคลื่อนตามกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2570 และ รับทราบงบประมาณของภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ทั้งงบประมาณในแผนและนอกแผน รวมถึงเงินจากกองทุนของรัฐที่ได้ลงทุนไปแล้ว ซึ่งมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้เน้นย้ำการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การยกระดับโครงสร้างและการประยุกต์ใช้ AI ผ่านศูนย์รวมความเชี่ยวชาญ การจัดทำแผนย่อยรายสาขาเพื่อให้ดำเนินงานได้ตามกรอบที่กำหนด และการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ของประเทศอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

The post รองนายกฯ ‘ประเสริฐ’ นั่งหัวโต๊ะประชุม บอร์ด AI แห่งชาติ ประกาศลงทุนภาครัฐขั้นต่ำ 25,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนภาคีเครือข่าย – ศูนย์ความเชี่ยวชาญ ด้าน AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยเป็นโต 2.0% แต่เตือนความไม่แน่นอนนโยบายภาษีสหรัฐฯ ยังเป็นความเสี่ยงหลักของโลก https://thestandard.co/imf-thai-global-economy-outlook/ Wed, 30 Jul 2025 10:26:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1101823 imf-thai-global-economy-outlook

IMF ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยและโลกในปีนี้ แต่เตือน […]

The post IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยเป็นโต 2.0% แต่เตือนความไม่แน่นอนนโยบายภาษีสหรัฐฯ ยังเป็นความเสี่ยงหลักของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
imf-thai-global-economy-outlook

IMF ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยและโลกในปีนี้ แต่เตือนยังมีความเสี่ยงขาลงอีกมาก โดยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนทางการค้า และความเสี่ยงด้านลบจากภาษีที่สูงขึ้น (potentially higher tariff) ยังเป็นความเสี่ยงหลัก

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (The World Economic Outlook: WEO) ฉบับเดือนกรกฎาคม 2025 โดย IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยคาดจะขยายตัว 2.0% ในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าโตเพียง 1.8% จากที่ประมาณการไว้ในเดือนเมษายน 

 

ขณะที่การเติบโตในปี 2026 ทาง IMF มองว่า เศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตชะลอลงเหลือเพียง 1.7% ถึงแม้อย่างนั้นก็ยังเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นมาจากประมาณการครั้งก่อนที่ 1.6%

 

ทั้งนี้ ประมาณการเศรษฐกิจไทยของ IMF นับว่าสูงกว่าที่ธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ประเมินไว้ ตามรายงานที่เพิ่งเผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม โดยสถาบันทั้งสองแห่งมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตเพียง 1.8% เท่านั้น แต่ยังต่ำกว่าประมาณการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตที่ 2.2% และต่ำกว่าประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าจะ โต 2.3% ในปีนี้

 

โดยเศรษฐกิจของไทยยังถือว่าเติบโต ‘ต่ำกว่า’ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก และค่าเฉลี่ยกลุ่มเศรษฐกิจ ASEAN-5 ซึ่งประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ซึ่ง IMF คาดการณ์ไว้ว่ากลุ่ม ASEAN-5 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 4.1% ทั้งในปี 2025 และ 2026 

 

เศรษฐกิจโลกยังมีทิศทางขาลง แต่อาจดีขึ้นหากหลายชาติ ดีลภาษีกับสหรัฐฯ ลงตัว

 

ขณะที่ประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2025 มีการปรับขึ้นแตะระดับ 3.0% เพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.8% และปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจในปี 2026 เล็กน้อยเป็น 3.1% จากเดิมที่ 3.0% 

 

ซึ่งการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ IMF ชี้ว่า เป็นผลสะท้อนจากการเร่งส่งสินค้า (Front-Loading) ไปยังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงอัตราภาษีที่จะสูงขึ้นในภายหลังนั้นมีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ พร้อมกับที่อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยปรับตัวต่ำกว่าระดับในรายงานฉบับก่อนเมื่อเดือนเมษายน 

 

อย่างไรก็ตาม IMF มองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงขาลง เช่นเดียวกับที่ประเมินไว้ครั้งก่อน เนื่องจากอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจสูงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะกดดันการค้าโลกได้อีก รวมถึงความไม่แน่นอนทางการค้าสำหรับประเทศซึ่งยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ได้

 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุด และราคาน้ำมันหรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ พุ่งสูง ขณะที่ประเทศต่างๆ ขาดดุลงบประมาณกันมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยในระยะยาวอยู่ในระดับสูง จนกดดันภาวะการเงินโลก

 

ขณะเดียวกัน IMF ชี้ว่า หากประเทศส่วนใหญ่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ จนได้กรอบที่ชัดเจน รวมถึงมีอัตราภาษีที่ลดลง ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกปีนี้โตเพิ่มขึ้นได้อีก 

 

ไม่เพียงเท่านั้น IMF ยังให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายอีกด้วยว่า ภาครัฐมีความจำเป็นต้องลดความตึงเครียดการค้า คอยควบคุมเงินเฟ้อ ดูแลระบบการเงินไม่ให้ผันผวนจนเกินไป และฟื้นฟูพื้นที่การคลัง รวมถึงปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่จำเป็น

 

ภาพ: Thamonwan Noi-kruea / THE STANDARD 

The post IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยเป็นโต 2.0% แต่เตือนความไม่แน่นอนนโยบายภาษีสหรัฐฯ ยังเป็นความเสี่ยงหลักของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
สศค. เพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 68 เป็นขยายตัว 2.2% จากเดิมคาด 2.1% แรงหนุน 3 ปัจจัยหลักฟื้นตัว แต่หั่นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติลงเหลือ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.9% https://thestandard.co/thai-economy-forecast-2025/ Wed, 30 Jul 2025 10:05:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1101778 กราฟแสดงการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 โดย สศค.

พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) […]

The post สศค. เพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 68 เป็นขยายตัว 2.2% จากเดิมคาด 2.1% แรงหนุน 3 ปัจจัยหลักฟื้นตัว แต่หั่นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติลงเหลือ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.9% appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟแสดงการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 โดย สศค.

พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทย หรือ GDP ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.2% โดย GDP ไทยสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลการประมาณการเศรษฐกิจครั้งก่อน ณ เดือนเมษายน 2568 ที่คาด 2.1%

 

“ประมาณการ GDP ของไทยที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.2% ถือว่าสอดคล้องกับมุมมองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ล่าสุดเมื่อคืนนี้ที่ปรับเพิ่ม GDP ของไทยที่เดิมมองจะขยายตัว 1.8% เพิ่มมาเป็น 2% มาช่วยเสริมสมมติฐานของกระทรวงการคลัง” พรชัยกล่าว

 

ทั้งนี้ ประมาณการ GDP ที่ออกมาดังกล่าวอยู่ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) ว่าไทยมีโอกาสจะได้รับข้อตกลงที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ที่กว่า 36% ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางที่ตลาดโลกได้รับการผ่อนปรน โดยอัตราภาษีที่ได้รับการผ่อนปรนจะอยู่ในช่วง 15-36% โดย 15% คืออัตราต่ำสุดที่สหรัฐฯ ประกาศจะให้กับประเทศต่างๆ และ 36% คืออัตราสูงสุดที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ แต่ไม่สามารถให้ตัวเลขคาดการณ์ภาษีที่ชัดเจนได้เพราะอยู่ในช่วงการเจรจาเงื่อนไขรายละเอียดระหว่างทีมไทยแลนด์กับสหรัฐฯ

 

ภาพ: ประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2568 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)

 

โดย GDP ของไทยที่ขยายตัวดีขึ้นมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 3 ปัจจัยที่ฟื้นตัวดีขึ้น ดังนี้

 

  1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม คาดว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมปีนี้จะสามารถกลับมาขยายตัวได้ที่ 1.2% จากปีก่อนหน้าที่หดตัว 0.4% จากการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์และการผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ

 

  1. การส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ โดยในขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 5.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% เนื่องจากการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงกว่าคาดในครึ่งแรกของปี 2568

 

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าของไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 อาจจะมีทิศทางที่ชะลอตัวลงจากผลกระทบของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าประเทศไทยจะได้รับข้อตกลงการผ่อนปรนภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายในไตรมาสที่ 3/2568 ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าคาดว่าจะขยายตัว 5% โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อนำมาผลิตเพื่อส่งออก

 

  1. การบริโภคภาคเอกชนเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าปีนี้จะขยายตัว 3.1% ตามกำลังซื้อในประเทศสะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บในประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยเติบโตติดต่อกัน 9 ไตรมาสสำหรับการลงทุนภาคเอกชนปีนี้คาดว่าจะขยายตัวที่ 3% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 0.4%

 

โดยการลงทุนมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับแรงสนับสนุนจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการในครึ่งแรกของปี 2568 ด้านการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2% และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 3.9% จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และมีแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่มีส่วนช่วยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้เอื้อต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจัดสรรวงเงินแล้ว 115,375 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านน้ำและด้านคมนาคม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ และเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ เป็นต้น

 

ด้านเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.4% ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มเกินดุล 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 2 9% ของ GDP จากดุลการค้าที่เกินดุล

 

ทั้งนี้ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีในครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม 

 

ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือและบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนฯ ในการลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก และมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างทันท่วงทีและตรงจุด ครอบคลุมการจัดเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระทางการเงินของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ของห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ

 

ประเมินผลกระทบไทยปะทะกัมพูชา

 

สำหรับประเด็นผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ประเมินว่าผลกระทบมีจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดนและความเสียหายด้านทรัพย์สินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการทหาร เนื่องจากสัดส่วนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาคิดเป็นประมาณ 1.4% ของมูลค่าการค้ารวม และไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจากกัมพูชาค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ แหล่งท่องเที่ยวหลักของไทย เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ขัดแย้งตามแนวชายแดน ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาทชายแดน ประกอบด้วย

 

  1. การขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ จังหวัดละ 100 ล้านบาท และพร้อมพิจารณาขยายเพิ่ม หากไม่เพียงพอ เพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว

 

  1. การเลื่อนกำหนดเวลาชำระภาษี

 

  1. การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องและพักชำระหนี้ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ โดยกระทรวงการคลังมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีการเตรียมความพร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมได้ทันท่วงทีต่อไป

 

ในระยะต่อจากนี้ไป ควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่

 

  1. นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น

 

  1. ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ

 

  1. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ

 

  1. ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน

 

  1. การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ

 

หั่นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติลงเหลือ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.9%

 

ด้าน ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2568 ลงจากเดิม 36.5 ล้านคน เหลือเพียง 34.5 ล้านคน หรือลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

 

ภาพ: ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 2568 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)

 

โดยรายงานของ สศค. ระบุว่า ในไตรมาส 2/2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่ลดลงกว่า 40% ติดต่อกัน 5 เดือน เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจีนมีแนวโน้มชะลอตัว และนโยบายรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ การแข่งขันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนจากประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

ผลจากการปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในครั้งนี้ จะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเหลือ 1.62 ล้านล้านบาท และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมอยู่ที่ 46,900 บาท

 

มาเลเซีย-อินเดีย ยังเติบโต สวนทางภาพรวม

 

แม้ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติจะชะลอตัว แต่ก็ยังมีข่าวดีจากนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม โดย สศค. ชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและอินเดียยังคงขยายตัวในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนที่ผ่านมา โดยได้รับอานิสงส์จากวันหยุดเทศกาลศาสนา อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ นักท่องเที่ยวมาเลเซียและจีนยังคงเป็นชาติหลักที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ตามด้วยอินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ตามลำดับ

 

ครึ่งปีหลังลุ้นฟื้นตัว ไฮซีซันหนุนยุโรปเที่ยวไทย

 

กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ของนักท่องเที่ยวจากกลุ่มระยะไกล โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรป เนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียนในประเทศแถบยุโรป

 

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา

 

นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ภาคการท่องเที่ยวยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่

 

  • การขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ
  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ
  • การแข่งขันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนของประเทศต่างๆ ในเอเชีย
  • ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ที่มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง

The post สศค. เพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 68 เป็นขยายตัว 2.2% จากเดิมคาด 2.1% แรงหนุน 3 ปัจจัยหลักฟื้นตัว แต่หั่นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติลงเหลือ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.9% appeared first on THE STANDARD.

]]>
พลังงาน จ่อ ลดค่าไฟ งวดสิ้นปี ก.ย.-ธ.ค. 68 เหลือ 3.95 บาท/หน่วย หลังถกกฟผ.-ราคา LNG โลกปรับตัวลดลง https://thestandard.co/electricity-to-drop-3-95-baht-unit/ Wed, 30 Jul 2025 09:59:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1101802

พลังงาน เผยค่าไฟงวดสิ้นปี ก.ย.-ธ.ค. 68 คาดลดลงเหลือ 3.9 […]

The post พลังงาน จ่อ ลดค่าไฟ งวดสิ้นปี ก.ย.-ธ.ค. 68 เหลือ 3.95 บาท/หน่วย หลังถกกฟผ.-ราคา LNG โลกปรับตัวลดลง appeared first on THE STANDARD.

]]>

พลังงาน เผยค่าไฟงวดสิ้นปี ก.ย.-ธ.ค. 68 คาดลดลงเหลือ 3.95 บาทต่อหน่วย พร้อมเกาะติดศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน เหตุตึงเครียดไทย-กัมพูชา จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

 

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าไฟงวดสุดท้ายของปี (งวดเดือน กันยายน-ธันวาคม 2568) ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดอัตราเป้าหมายของค่าไฟฟ้าไว้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย นั้น

 

ล่าสุด มีข้อสรุปจากการหารือ กฟผ. ว่า สามารถปรับลดค่าไฟให้ต่ำลงมาได้อีก โดยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.95 บาทต่อหน่วย ซึ่ง กฟผ. จะมีหนังสือแจ้ง กกพ. เพื่อกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดสุดท้ายของปีให้เป็นไปตามอัตราดังกล่าวต่อไป

 

ทั้งนี้ นอกจากจะสามารถเสนอให้ ครม. อนุมัติกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมาแล้ว ยังพยายามผลักดันให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้าลงอีก ซึ่งจากการหารือกับ กฟผ. ก็ได้ข้อสรุปว่า มีแนวทางที่สามารถดำเนินการได้ โดยอาศัยว่าราคาก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดโลกปรับตัวลดลง

 

พีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงพลังงานได้ตั้ง “ศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน” รับมือเหตุตึงเครียดไทย-กัมพูชา โดยย้ำว่า ‘น้ำมัน-ไฟฟ้า’ ต้องไม่ขาดแคลนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย อีกทั้งได้ตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของสำนักงาน กกพ. ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ นครราชสีมา สุรินทร์และบุรีรัมย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar), ชีวมวล (Biomass), ชีวภาพ (Biogas) ตลอดจนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP), ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และระบบผลิตไฟฟ้าใช้เอง (IPS) ทุกประเภทในพื้นที่และยังไม่พบผลกระทบ

 

ด้านพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันดีเซล ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับภาคขนส่งและค่าครองชีพของประชาชน

 

กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้าไปบริหารจัดการผ่านกลไกอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกในประเทศ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนมากจนเกินไป โดย กบน. ได้มีมติเร่งด่วน จำนวน 5 ครั้ง เพื่อลดผลกระทบ

 

แม้การรักษาเสถียรภาพ และตรึงราคาน้ำมันในช่วง 12 วันที่ผ่านมา จะส่งผลให้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯประเภทน้ำมันดีเซลติดลบ คือมีรายจ่ายสูงสุดประมาณวันละ 40.75 ล้านบาทต่อวัน แต่เมื่อสถานการณ์สงครามอิสราเอล – อิหร่าน เริ่มคลี่คลายราคาน้ำมันโลกก็เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ กลับมาจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้อีกครั้ง

 

ปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงติดลบอยู่ที่ 31,588 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันบวกอยู่ที่ 12,406 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 43,994 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากวิกฤตน้ำมันช่วงที่ผ่านมา สะท้อนถึงความจำเป็นของกลไกกองทุนน้ำมันฯ ที่มีความยืดหยุ่น ประคองค่าครองชีพที่ทันต่อสถานการณ์

 

ภาพ: kirisa99 / Getty Images

The post พลังงาน จ่อ ลดค่าไฟ งวดสิ้นปี ก.ย.-ธ.ค. 68 เหลือ 3.95 บาท/หน่วย หลังถกกฟผ.-ราคา LNG โลกปรับตัวลดลง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์เปรย – ส.ว.รีพับลิกันขานรับ! เสนอนำรายได้จากภาษีนำเข้า จ่ายให้ประชาชนคนละ 600 ดอลลาร์ https://thestandard.co/us-tariff-rebate-check/ Wed, 30 Jul 2025 09:22:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1101781 us-tariff-rebate-check

แนวคิดการแจกเงินสดให้กับชาวอเมริกันกลับมาเป็นประเด็นร้อ […]

The post ทรัมป์เปรย – ส.ว.รีพับลิกันขานรับ! เสนอนำรายได้จากภาษีนำเข้า จ่ายให้ประชาชนคนละ 600 ดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
us-tariff-rebate-check

แนวคิดการแจกเงินสดให้กับชาวอเมริกันกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อ จอช ฮอว์ลีย์ สมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน ได้เสนอร่างกฎหมายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 กรกฎาคม) เกี่ยวกับการจัดส่งเช็คเงินคืนจากภาษีนำเข้า (Tariff Rebate Checks) ให้กับครอบครัวชาวอเมริกัน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยใช้ในช่วงการระบาดของโควิด-19

 

สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ข้อเสนอดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์ (25 กรกฎาคม) ว่ารัฐบาลกำลัง “คิดถึงเรื่องเงินคืนเล็กๆ น้อยๆ” ที่จะมอบให้ชาวอเมริกันจากรายได้ภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ได้ทำให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและนักเศรษฐศาสตร์ต่างออกมาเตือนว่า อาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาหนี้สาธารณะและกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

 

รายละเอียดข้อเสนอ ‘American Worker Rebate Act of 2025’

 

ร่างกฎหมายของ ส.ว. ฮอว์ลีย์ ที่มีชื่อว่า ‘American Worker Rebate Act of 2025’ กำหนดให้มีการจ่ายเงินคืนแก่ประชาชนอย่างน้อย 600 ดอลลาร์ต่อผู้ใหญ่และบุตรหนึ่งคน หรือคิดเป็น 2,400 ดอลลาร์สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4 คน โดยอาจมีการจ่ายเงินคืนในจำนวนที่สูงขึ้นได้หากรายได้จากภาษีนำเข้าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

อย่างไรก็ตาม เงินช่วยเหลือนี้จะลดหลั่นลง 5% สำหรับผู้ที่ยื่นภาษีร่วมกันและมีรายได้รวมที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted Gross Income) เกิน 150,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือผู้ที่ยื่นภาษีคนเดียวและมีรายได้เกิน 75,000 ดอลลาร์ต่อปี

 

“เช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอ กฎหมายของผมจะช่วยให้ชาวอเมริกันที่ทำงานหนักได้รับประโยชน์จากความมั่งคั่งที่กำแพงภาษีของทรัมป์กำลังนำกลับคืนสู่ประเทศนี้” ฮอว์ลีย์กล่าว

 

แรงหนุนจากรายได้ภาษีที่ทำสถิติสูงสุด

 

ข้อเสนอนี้มีขึ้นหลังจากที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ รายงานตัวเลขงบประมาณเดือนมิถุนายนที่เกินดุลมากกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้ โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากรายได้ภาษีนำเข้าที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว รัฐบาลจัดเก็บอากรศุลกากรได้ถึงประมาณ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม และเพิ่มขึ้นถึง 301% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567

 

เสียงเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ เสี่ยงซ้ำเติมขาดดุล-กระตุ้นเงินเฟ้อ

 

แม้แนวคิดการคืนเงินให้ประชาชนจะดูน่าสนใจทางการเมือง แต่ก็เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับปัญหางบประมาณขาดดุลของรัฐบาลกลาง

 

อเล็กซ์ ดูรันเต นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Tax Foundation กล่าวกับ CNBC ว่า “ผมไม่คิดว่า (การให้เงินคืน) จะเป็นนโยบายที่ดีนัก ผมอยากให้รายได้ส่วนนี้ถูกนำไปใช้เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณมากกว่าที่จะนำมาแจกเป็นเช็คให้ผู้คน”

 

 ความกังวลนี้สอดคล้องกับรายงานล่าสุดของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ที่ประเมินว่า มาตรการลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่าย One Big Beautiful ของทรัมป์ที่เพิ่งผ่านกฎหมายไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม อาจทำให้ยอดขาดดุลของประเทศเพิ่มขึ้นถึง 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2577

 

โจเซฟ โรเซนเบิร์ก นักวิชาการอาวุโสจาก Urban-Brookings Tax Policy Center ชี้ว่า แรงจูงใจในการแจกเงินครั้งนี้แตกต่างจากช่วงโควิด-19 ซึ่งในตอนนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป แต่ในปัจจุบัน รัฐบาลกำลังใช้มาตรการกำแพงภาษีซึ่งจะสร้างภาระค่าใช้จ่ายให้กับครัวเรือนสหรัฐฯ เอง ดังนั้น การให้เงินคืนจึงเป็นเหมือนการช่วยเหลือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลเอง

 

โรเซนเบิร์กเตือนว่า การให้เงินคืนในลักษณะนี้จะยิ่ง “ขยายผลกระทบด้านเงินเฟ้อ” ที่เกิดจากกำแพงภาษีอยู่แล้วให้รุนแรงขึ้นไปอีก “ผู้คนจะนำเงินส่วนหนึ่งออกไปใช้จ่าย ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้าให้สูงขึ้น และน่าจะขยายผลกระทบด้านเงินเฟ้อให้มากขึ้น” โดยอ้างอิงงานวิจัยของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาเซนต์หลุยส์ในปี 2566 ที่พบว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังในยุคโควิด-19 เป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 2.6%

 

ภาพ: Andrew Harnik / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ทรัมป์เปรย – ส.ว.รีพับลิกันขานรับ! เสนอนำรายได้จากภาษีนำเข้า จ่ายให้ประชาชนคนละ 600 ดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศิริราชทุ่มงบกว่า 2 หมื่นล้าน ผุด 3 เมกะโปรเจกต์ รับมือ ‘สังคมสูงวัย’ และวิกฤตโรค NCDs ที่คาดว่าจะพุ่ง 5 เท่าตัว https://thestandard.co/siriraj-3-megaprojects-aging-society/ Wed, 30 Jul 2025 07:57:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1101740

โรงพยาบาลศิริราช กำลังเดินหน้าขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านบ […]

The post ศิริราชทุ่มงบกว่า 2 หมื่นล้าน ผุด 3 เมกะโปรเจกต์ รับมือ ‘สังคมสูงวัย’ และวิกฤตโรค NCDs ที่คาดว่าจะพุ่ง 5 เท่าตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>

โรงพยาบาลศิริราช กำลังเดินหน้าขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านบริการทางการแพทย์ครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมรับมือกับสองความท้าทายสำคัญของประเทศไทย คือการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คาดว่าจะขยายตัวสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 4-5 เท่าตัวตามสัดส่วนผู้สูงวัย

 

ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงแผนการลงทุน 3 โครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้กลุ่มโรงพยาบาลศิริราชมีเครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุมถึง 5 แห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยให้เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง

 

โครงการที่ใหญ่ที่สุดคือ ‘สถาบันการแพทย์ศิริราช ระดับนานาชาติ’ บนทำเลบางโพ ซึ่งมีขนาดโครงการ 13 ไร่ และมีมูลค่าโครงการกว่า 16,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยมีระยะเวลาก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2574

 

ตามมาด้วยโครงการ ‘อาคารสถานีรถไฟศิริราช (RWS03)’ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท) ด้วยมูลค่าโครงการราว 4,000 ล้านบาท อาคารสูง 15 ชั้นแห่งนี้จะมุ่งเน้นการให้บริการดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ราวปี 2570

 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ ‘อาคารผู้ป่วยใน (IPD) หลังใหม่’ ที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ซึ่งได้รับการอนุมัติงบประมาณแผ่นดินแล้ว 60% จากทั้งหมด 1,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการก่อสร้างพร้อมจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งยังคงต้องใช้งบประมาณจากการระดมทุนอีกส่วนหนึ่ง

 

แผนงานทั้งหมดนี้จะทำให้เครือข่ายของศิริราชประกอบด้วย 5 โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก, ศิริราช เอช โซลูชั่น และสถาบันการแพทย์ศิริราชแห่งใหม่ที่บางโพ

 

ที่น่าสนใจคือโมเดลการดำเนินงานของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ซึ่งแม้จะเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีกำไรต่อปีราว 1,300 ล้านบาท แต่รายได้ครึ่งหนึ่งจะถูกนำไปสนับสนุนมูลนิธิในเครือเพื่อใช้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการรักษาพยาบาล

 

นอกจากการขยายอาคารแล้ว ศิริราชยังวางแผนลงทุนด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง โดยเตรียมจัดหาเครื่องฉายรังสีด้วยอนุภาคโปรตอน ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการรักษาโรคมะเร็งที่มีความซับซ้อนในอนาคต

 

ปัจจุบัน เครือข่ายของศิริราชรองรับผู้ป่วยนอกจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน โดยโรงพยาบาลศิริราชหลักมีผู้ป่วยราว 16,000-17,000 คน, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ราว 4,000 คน, ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ราว 1,200 คน และศิริราช เอช โซลูชั่น อีกกว่า 200 คน

 

ด้วยจำนวนบุคลากรกว่า 22,264 คน ที่ต้องดูแลผู้ป่วยในอีกราว 12,000 คน การลงทุนครั้งใหญ่นี้จึงเป็นการเตรียมความพร้อม เพื่อให้ศิริราชสามารถรองรับความต้องการด้านสาธารณสุขของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป

The post ศิริราชทุ่มงบกว่า 2 หมื่นล้าน ผุด 3 เมกะโปรเจกต์ รับมือ ‘สังคมสูงวัย’ และวิกฤตโรค NCDs ที่คาดว่าจะพุ่ง 5 เท่าตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เสียงสะท้อนธุรกิจรายเล็ก-รายใหญ่ ดิ้นหาทางรอดฝ่าเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงของจริงแล้ว https://thestandard.co/thailand-economic-crisis-small-big-business-2025/ Wed, 30 Jul 2025 06:58:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1101621 เจ้าของธุรกิจรายใหญ่ในไทยกำลังดิ้นรนฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 2025

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มรู้สึกได้ […]

The post เสียงสะท้อนธุรกิจรายเล็ก-รายใหญ่ ดิ้นหาทางรอดฝ่าเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงของจริงแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจ้าของธุรกิจรายใหญ่ในไทยกำลังดิ้นรนฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 2025

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มรู้สึกได้ว่า ‘อะไรก็แพงไปหมด’ รายได้เท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายกลับพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถ้ามองในมุมของคนทำธุรกิจ ยิ่งเห็นชัดว่าทุกอย่างกำลังฝืดเคือง คนจับจ่ายน้อยลง ยอดขายลดลง 

 

ที่น่าห่วงคือไทยไม่ได้เจอแค่เรื่องเศรษฐกิจซบเซาอย่างเดียว แต่ยังเจอแรงกดดันจากรอบด้าน ทั้งผลพวงสงครามจากต่างประเทศ ความไม่แน่นอนของการเมือง  รวมถึงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา กลายเป็นภาพรวมที่บีบให้ทั้งผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้บริโภคต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น

 

THE STANDARD WEALTH รวบรวมเสียงสะท้อนจากมุมผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ในภาวะเช่นนี้จะหาทางรอดให้ธุรกิจได้อย่างไร

 

เศรษฐกิจไทยไร้ทางออก คนไม่กล้าจับจ่าย

 

มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จ.อุดรธานี ค้าส่งรายใหญ่ของภาคอีสาน เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ทั้งจากภาวะสงคราม ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงเรื่อยๆ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิต การบริโภค และการส่งออก

 

เจ้าของธุรกิจรายใหญ่ในไทยกำลังดิ้นรนฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 2025

มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จ.อุดรธานี

 

ทั้งหมดทำให้ตลาดภายในประเทศซบเซาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ซัพพลายเออร์ต้องพึ่งพาปริมาณการขายในประเทศและการส่งออกเพื่อให้ถึงจุดคุ้มทุน ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัด ในระบบโรงงาน เมื่อเดินเครื่องจักรแล้วต้องรันต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง การจะผลิตสินค้า 1 ล้านกล่อง เราต้องมั่นใจว่าสามารถขายได้ในปริมาณนั้น เพื่อให้คุ้มค่าทั้งต้นทุนและค่าแรงงาน

 

แต่เมื่อยอดขายภายในประเทศลดลง โรงงานจึงจำเป็นต้องเร่งหาตลาดส่งออกเพื่อรักษากำลังการผลิต และป้องกันการขาดทุน อาจอาจต้องพึ่งพาโปรโมชั่นลดราคาไปด้วย

 

“ยิ่งการเมืองในประเทศที่ขาดเสถียรภาพ ถือเป็นปัจจัยซ้ำเติม เรียกง่ายๆ ว่าตอนนี้ไม่มีอะไรดีเลย คนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะไม่มีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ แค่มีข่าวร้ายก็ทำให้คนไม่กล้าจับจ่ายแล้ว” มิลินทร์ กล่าว 

 

ค้าปลีกยอดขายร่วง-เลิกโอที สัญญาณชัด ‘ยุคข้าวยากหมากแพง’ มาแล้ว

 

ผลกระทบดังกล่าวลุกลามมาถึงระดับร้านค้าปลีกขนาดกลางและเล็ก รวมถึง ร้านตั้งงี่สุ่น ในเดือนมิถุนายนยอดขายลดลงถึง 20% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และจากที่ได้พูดคุยกับเพื่อนในวงการค้าส่ง พบว่า หลายร้านเริ่มลดคำสั่งซื้อสินค้า บางแห่งถึงขั้นตัดโอที หรือพิจารณาลดพนักงาน 

 

“เรามาถึงยุคข้าวยากหมากแพงแล้วจริงๆ  และคำเดียวที่พูดกันบ่อยที่สุดในวงการค้าขายตอนนี้คือต้องรอดและต้องทำใจเท่านั้น” มิลินทร์ ย้ำ

 

 

ในอีกด้าน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาก็ยิ่งตอกย้ำสถานการณ์ให้ตึงเคลียดขึ้นซึ่งกระทบกับการค้าในพื้นที่ชายแดน เช่น จังหวัดอุบลราชธานีสะดุดทันทีซึ่งรัฐบาลควรรีบแก้ปัญหาความสัมพันธ์กับกัมพูชาให้ชัดเจน เพื่อให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้

 

‘สหพัฒน์’ ยังไม่เห็นทางสว่างเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะตลาดสิ่งทอซบเซาหนัก! 

 

ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทยังสามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้อยู่และยังไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า แม้แนวโน้มต้นทุนยังไม่นิ่งและต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในช่วงครึ่งปีหลัง

 

 

รวมไปถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้การจับจ่ายในตลาดเสื้อผ้าและสิ่งทอลดลงไปด้วย ยอมรับว่ายังไม่เห็นทางสว่าง บริษัทอาจจะลดการโฟกัสการผลิตสิ่งทอลง ถ้าดีมานด์ลด ซัพพลายก็ต้องลดลงตามไปด้วย

 

“สถานการณ์นี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับธุรกิจในการประเมินและปรับตัว เพราะใครที่ปรับตัวได้เร็วกว่า ย่อมมีโอกาสอยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว เช่นเดียวกับเครือสหพัฒน์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการปรับองค์กรเพื่อให้สอดรับกับบริบททางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปมาโดยตลอด” ธรรมรัตน์ ย้ำ

 

ฟาร์มเฮ้าส์สะเทือน! กำลังซื้อหดขนมปังกลายเป็นของฟุ่มเฟือย

 

ไม่เว้นแม้แต่ ฟาร์มเฮ้าส์ ’ ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมปังรายใหญ่ของไทย โดย อภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะดีมากนักบวกกับปัจจัยของอัตราเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค หลายคนเลือกประหยัดค่าใช้จ่ายเน้นซื้อสินค้าจำเป็นมากกว่าที่จะซื้อขนมปัง 

 

 

ทำให้สินค้าขนมปังมีการบริโภคน้อยลงเพราะผู้บริโภคมองว่าขนมปังเป็นกลุ่มเดียวกันกับขนมที่อาจไม่จำเป็นในยุคที่เงินในกระเป๋ามีจำกัด และที่เลวร้ายไปกว่านั้น

 

คือการต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แม้ในตลาดเบเกอรี่จะมีผู้เล่นแค่ไม่กี่ราย แต่หากสังเกตจะเห็นว่าแบรนด์คู่แข่งมีการลอนช์สินค้าใหม่ ราคาเข้าถึงง่ายออกมาอย่างต่อเนื่อง 

 

จากปัจจัยของความท้าทายดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการลดลงของรายได้และกำไรส่วนเหตุผลที่กำไรลด หลักๆ เป็นเพราะการแข่งขันกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งแต่ก่อนโควิดบริษัทจะโตมากสุดสองดิจิต แต่ตอนนี้ลดลงมาเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นโจทย์หินที่ฟาร์มเฮ้าส์ต้องปรับตัวอย่างหนัก 

 

ไตรมาส 2 บรรยากาศการจับจ่ายเริ่มเงียบ!

 

เช่นเดียวกับ NSL Foods บริษัทผู้ผลิตแซนด์วิชป้อนเซเว่นมากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อวัน ยังหนีไม่พ้นพิษของเศรษฐกิจ โดย ‘สมชาย อัศวปิยานนท์’ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ย้ำกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปกติแล้วสินค้าจะขายดีทุกเดือน กระทั่งเริ่มเข้าสู่ไตรมาส 2 เริ่มเห็นว่าบรรยากาศการจับจ่ายไม่คึกคักมากนักและยอดขายเริ่มลดลง 

 

 

จากนี้ไป นอกจากจะให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศแล้ว จะต้องหันไปโฟกัสต่างประเทศ ด้วยการเน้นส่งออกอาหาร Ready Milk และอาหารพร้อมกินแช่แข็ง ส่งออกไปยังตะวันออกกลาง ตุรกี และยุโรป รวมถึงอเมริกาด้วย แม้จะมีผลกระทบในแง่ภาษีอยู่บ้างแต่ถือเป็นสัดส่วนที่ยังน้อยมาก เพราะได้กระจายความเสี่ยงส่งออกไปยังประเทศอื่นๆด้วยเช่นกัน

 

เสียงสะท้อนจาก NSL Foods เป็นการตอกย้ำภาพที่ผู้ประกอบการทุกคนกำลังเผชิญร่วมกัน ตั้งแต่ชั้นวางของในซูเปอร์สโตร์ต่างจังหวัดที่ยอดขายลดลง ตลาดเสื้อผ้าที่ซบเซา ไปจนถึงขนมปังที่กลายเป็นของฟุ่มเฟือย สัญญาณทั้งหมดชี้ชัดว่า ‘กำลังซื้อ’ ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจในประเทศได้อ่อนแรงลงอย่างน่าเป็นห่วง

 

ดังนั้น การที่แต่ละองค์กรต่างดิ้นรนหาทางรอด ไม่ว่าจะด้วยการลดต้นทุน ปรับโครงสร้าง หรือหันไปพึ่งพาตลาดส่งออก จึงเปรียบเสมือนภาพแทนของเศรษฐกิจไทยที่กำลังต่อสู้ท่ามกลางมรสุมลูกใหญ่ และยังคงมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้อย่างชัดเจนนัก คงเหลือเพียงความหวังว่าการปรับตัวอย่างสุดกำลังในวันนี้ จะทำให้ธุรกิจยังแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้ในวันข้างหน้า

The post เสียงสะท้อนธุรกิจรายเล็ก-รายใหญ่ ดิ้นหาทางรอดฝ่าเศรษฐกิจไทยที่เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงของจริงแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงานชาวกัมพูชาแห่กลับบ้าน! แต่ภาคผลิตไทยไม่สะดุด เพราะค่าจ้าง-สวัสดิการยังดึงใจแรงงานบางกลุ่มให้อยู่ https://thestandard.co/cambodian-workers-return-no-disruption-yet/ Wed, 30 Jul 2025 06:40:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1101684 แรงงานชาวกัมพูชา

ถึงวันนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่คลี่คลายลง แม้ […]

The post แรงงานชาวกัมพูชาแห่กลับบ้าน! แต่ภาคผลิตไทยไม่สะดุด เพราะค่าจ้าง-สวัสดิการยังดึงใจแรงงานบางกลุ่มให้อยู่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงานชาวกัมพูชา

ถึงวันนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่คลี่คลายลง แม้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเจรจาข้อตกลงหยุดยิงไปตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่เหตุปะทะบริเวณแนวชายแดนในพื้นที่ภาคตะวันออกของไทยยังไม่มีวี่แววจะจบลง

 

ส่งผลให้แรงงานชาวกัมพูชาจำนวนมากตัดสินใจเร่งเดินทางกลับประเทศ ท่ามกลางความกังวลด้านความปลอดภัยและกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่แรงงานต่างชาติ

 

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติเป็นฟันเฟืองสำคัญในภาคการผลิต โดยเฉพาะภาคเกษตร ประมง ก่อสร้าง และโรงงานผลิตสินค้าในหลายพื้นที่

 

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ หวั่นกระทบเศรษฐกิจไทย

 

ดร. ธนิต โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปัจจุบันไทยมีแรงงานต่างชาติรวมๆ ราว 3.8 ล้านคน โดยแรงงานกัมพูชาในระบบมีอยู่กว่า 5 แสนคน หรือประมาณ 36% ยังไม่รวมกับกลุ่มที่อยู่นอกระบบอีก 3 แสนคน ซึ่งสัดส่วนกัมพูชารองจากเมียนมา ที่ยังเป็นแรงงานอันดับหนึ่งคิดเป็น 80% และลาวอยู่อันดับสุดท้าย มีประมาณ 280,000 คน

 

 

ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนตึงเครียดจากเหตุปะทะ กัมพูชาส่งสัญญาณผ่านโซเชียล บอกกล่าวญาติพี่น้องให้เร่งกลับบ้าน หวั่นเกิดอันตราย แม้หลายคนจะกลับไปแล้ว แต่มีจำนวนไม่น้อยที่อยากหวนคืนกลับมาทำงานที่ประเทศไทย เพราะที่กัมพูชาไม่มีงานทำและไม่มีรายได้

 

ทั้งนี้ แรงงานกัมพูชาที่เข้ามากฎหมายจำนวนมากยังเลือกอยู่ไทย เพราะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 – 400 บาท รวมต่อเดือนอาจแตะหลักหมื่น 

 

สิ่งนี้แตกต่างจากการทำงานในกัมพูชาที่เฉลี่ยอาจจะได้เพียง 7,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น ที่สำคัญในไทยยังมีสิทธิประกันสังคม รักษาพยาบาลและบุตรสามารถเข้าเรียนในไทยได้ ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญ

 

แรงงานกัมพูชาที่กลับไป ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ทำงานในภาคเกษตร

 

ดร. ธนิต ฉายภาพต่อไปว่า แรงงานที่ทยอยกลับผ่านด่านชายแดน จังหวัดจันทบุรีและตราด ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ทำงานในภาคเกษตร เช่น สวนทุเรียน สวนมังคุด และแรงงานประมง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นกลุ่มแรงงานที่อยู่นอกระบบ ต่างจากแรงงานถูกกฎหมายที่ยังคงอยู่ในภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตรองเท้า หรือโรงงานแปรรูปอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไทยยังต้องการสูง เพราะเป็นงานที่คนไทยไม่ถนัดหรือไม่เลือกทำ

 

25 มิถุนายน 2025 , จังหวัดสระแก้ว , ประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากมารอเดินทางข้ามแดนกลับประเทศ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ , ช่างภาพ : ฐานิส สุดโต / THE STANDARD

 

“จริงๆ แล้วแรงงานกัมพูชาทำงานดี โดยเฉพาะในโรงงานประกอบรองเท้า แต่ไม่ถนัดงานบริการตามร้านอาหาร ซึ่งมักเป็นงานของชาวไทยหรือชาวเมียนมามากกว่า” ดร. ธนิต ย้ำ

 

แม้กระแสข่าวจะทำให้บางโรงงานเริ่มกังวล แต่โดยท่าที่พูดคุยกันกับหลายภาคส่วนยังไม่มีผลกระทบชัดเจน โรงงานหลายแห่งยังคงยืนยันว่า ‘ไทยปลอดภัย’ ส่วนประชาชนไทยก็เข้าใจดีว่า ต้นเหตุความตึงเครียดเกิดจากการเมือง ไม่ใช่ประชาชน ทุกคนแยกแยะกันได้

 

แต่ถึงอย่างไร ถ้าหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ไทยจะขาดแรงงานที่มีทักษะ เพราะแต่ละตำแหน่งงานไม่สามารถหาคนมาแทนกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในภาคก่อสร้าง เกษตร ประมง และปศุสัตว์ ซึ่งมีแรงงานกัมพูชาทำงานอยู่กว่า 100,000 คน

 

ภาพ : TANG CHHIN Sothy / AFP

 

แนะรัฐบาลตั้งกองทุนหนุนเทคโนโลยี ยกระดับอุตสาหกรรมไทย

 

ในโอกาสนี้ ดร. ธนิต ได้ฝากข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลไทยที่ต่อจากนี้ต้องหันมาให้ความสำคัญในการปรับนโยบายด้านแรงงาน อย่าหละหลวมในการคัดกรองแรงงานต่างชาติ พร้อมทั้งเร่งสนับสนุนการใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานในอนาคต

 

โดยเฉพาะการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรให้ภาคเอกชน โดยไม่ต้องขอ BOI เหมือนกับในหลายๆ ประเทศ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งแรงงานต่างชาติในระยะยาว พร้อมเสนอให้ตั้งกองทุนสนับสนุนเทคโนโลยี เพื่อผลักดันธุรกิจไทยให้หลุดจากวังวนการผลิตสินค้าที่อิงกับแรงงานราคาถูก

 

ขณะเดียวกัน ประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท ทั่ว กทม. และบางจังหวัดในต่างจังหวัด โดยมีผล 1 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้สร้างความกังวลให้ผู้ประกอบการหลายราย โดยเฉพาะในภาคโรงแรม ที่มองว่าเป็นนโยบาย ทิ้งทวนที่ออกมาโดยไม่ผ่านกระบวนการอนุกรรมการค่าจ้างตามปกติ

 

“ถ้ารอบหน้ารัฐยังใช้วิธีสั่งการจากบนลงล่าง ก็คงไม่ต้องมีกรรมการค่าจ้างอีกต่อไป เพราะไม่มีการอิงสูตรเงินเฟ้อหรือภาวะเศรษฐกิจเลย” ดร. ธนิต ย้ำ

 

ร้านอาหาร-ธุรกิจเอกชน ยืนยัน ไลน์ผลิตยังไม่สะเทือน

ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ส่วนใหญ่แรงงานกัมพูชาจะนิยมทำงานในร้านอาหารตามแหล่งท่องเที่ยว เช่น เกาะ ต่างๆ แต่จากที่ได้พูดคุยกับทางผู้ประกอบการร้านอาหารหลายรายบอกยังไม่ได้รับผลกระทบ

 

 

อาจด้วยช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยวพอดี และถือเป็นโอกาสในการลดคนด้วย เพราะที่ผ่านมายอดขายไม่ดี แต่ต้องแบกต้นทุนจ้างงานหนัก ส่วนร้านอาหารที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะใช้แรงงานชาวเมียนมา เพราะแรงงานกัมพูชาจะไม่นิยมทำงานบริการ ส่วนใหญ่จะไปทำก่อสร้างมากกว่า

 

ด้านแหล่งข่าวจากแวดวงอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ แสดงความเห็นว่า จริงๆ แล้วแรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตบางแห่ง ได้ขอกลับบ้านมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนใหญ่ต่างให้เหตุผลว่าญาติพี่น้อง อยากให้กลับไป เพราะกลัวว่าอยู่ไทยจะไม่ปลอดภัย แต่ก็มีแรงงานบางส่วนที่ยังยืนยันว่าจะอยู่ต่อ ซึ่งบริษัทหลายแห่งได้พยายามดูแลและให้ความเชื่อมั่นถึงความปลอดภัย ต่างๆ

 

ทั้งนี้ แม้แรงงานกัมพูชาจะออกไปจำนวนมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นกระทบไลน์ผลิต เพราะยังมีพนักงานทั้งเมียนมาและคนไทยที่พร้อมทำงานจำนวนมาก

แม้สถานการณ์เฉพาะหน้าในหลายอุตสาหกรรมจะยังดูไม่น่าเป็นห่วงนัก และเสียงจากผู้ประกอบการยังคงยืนยันว่ารับมือได้ แต่ในภาพใหญ่แล้ว ภาพแรงงานกัมพูชาที่ทยอยเดินทางกลับประเทศกลับเป็นดั่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังคงผูกติดอยู่กับความเปราะบางของแรงงานข้ามชาติ 

 

วิกฤตการณ์ชายแดนครั้งนี้อาจเป็นเพียงอาการเริ่มต้นของปัญหาที่ใหญ่กว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อหรือเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันในอนาคต การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะในภาคการผลิตสำคัญอาจไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

ดังนั้น โจทย์ใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาลไทยในวันนี้ อาจไม่ใช่แค่การประคับประคองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรม และลดการพึ่งพิงแรงงานต่างชาติด้วยเทคโนโลยีตามข้อเสนอของผู้ประกอบการอย่างจริงจัง หรือจะปล่อยให้ฟันเฟืองเศรษฐกิจไทยยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความไม่แน่นอนต่อไป

 

ภาพปก: 25 มิถุนายน 2025 , จังหวัดสระแก้ว , ประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากมารอเดินทางข้ามแดนกลับประเทศ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ , ช่างภาพ : ฐานิส สุดโต / THE STANDARD

The post แรงงานชาวกัมพูชาแห่กลับบ้าน! แต่ภาคผลิตไทยไม่สะดุด เพราะค่าจ้าง-สวัสดิการยังดึงใจแรงงานบางกลุ่มให้อยู่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ชีวิตดีๆ ในยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง’ แฮชแท็กโหยหาอดีตของคนหนุ่มสาวจีน ที่ครั้งหนึ่งเคย ‘เลือกงานได้’ แต่ปัจจุบันกลับหาความมั่นคงไม่ได้ https://thestandard.co/beauty-in-the-time-of-economic-upturns/ Wed, 30 Jul 2025 05:25:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1101653

ในยามที่ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการอาจไม่น่าเชื่อถือเ […]

The post ‘ชีวิตดีๆ ในยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง’ แฮชแท็กโหยหาอดีตของคนหนุ่มสาวจีน ที่ครั้งหนึ่งเคย ‘เลือกงานได้’ แต่ปัจจุบันกลับหาความมั่นคงไม่ได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในยามที่ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการอาจไม่น่าเชื่อถือเสมอไป กระแสไวรัลในโซเชียลมีเดียของจีนกลับกลายเป็นดัชนีชี้วัดทางสังคมที่น่าสนใจยิ่งกว่า โดยล่าสุดแฮชแท็ก ‘ชีวิตดีๆ ในยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง’ (beauty in the time of economic upturns) ได้กลายเป็นภาพสะท้อนความรู้สึกโหยหาอดีตและความคับข้องใจของคนหนุ่มสาวที่กำลังเผชิญกับตลาดแรงงานที่ฝืดเคืองอย่างหนัก

 

แฮชแท็กดังกล่าวคือการรำลึกถึงช่วงยุค 2000-2010 ที่เศรษฐกิจจีนเฟื่องฟูจนบัณฑิตจบใหม่สามารถเลือกงานได้หลายแห่งพร้อมกัน ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

 

ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวหลายล้านคนที่เข้าสู่ตลาดแรงงานในแต่ละปีกลับต้องเผชิญกับภาวะที่ภาคเอกชนไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมด ทำให้หลายคนจำใจต้องรับงานที่ไม่ตรงกับความฝันและไม่มีความมั่นคง

 

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อนักเศรษฐศาสตร์เริ่มตั้งข้อสงสัยในความน่าเชื่อถือของตัวเลขการจ้างงานของทางการ หลังจากที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเคยระงับการเปิดเผยข้อมูลการว่างงานของเยาวชนไปชั่วคราว หลังจากที่ตัวเลขพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 ทำให้นักวิเคราะห์ต้องหันไปพึ่งพาตัวชี้วัดจากภาคเอกชนและกระแสในโลกออนไลน์เพื่อทำความเข้าใจภาพที่แท้จริง

 

ข้อมูลจากสถาบันการเงินอย่าง Barclays และ Goldman Sachs ต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ตลาดแรงงานของจีนมี ‘สัญญาณการเสื่อมถอยอย่างต่อเนื่อง’ การจ้างงานชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

 

ขณะที่การเติบโตของค่าจ้างก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่จีนยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค

 

ความ ‘เจ็บปวด’ นี้แผ่ขยายไปในวงกว้าง เออร์นาน ชุย จาก Gavekal Dragonomics ชี้ว่าการปรับลดค่าจ้างในปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นในหลายภาคส่วนและรุนแรงยิ่งกว่าช่วงการระบาดของโควิดเสียอีก

 

โดยไม่เพียงแต่ภาคเทคโนโลยีที่เคยรุ่งเรืองจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด แม้แต่หน่วยงานภาครัฐเองก็ต้องลดค่าจ้างพนักงานเช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงปัญหางบประมาณของรัฐบาลท้องถิ่น

 

ทั้งหมดนี้ได้สร้างวงจรอุบาทว์ที่น่ากังวล เมื่อตำแหน่งงานและรายได้ที่ ‘เปราะบาง’ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าอนาคตของตนเองไม่แน่นอน และส่งผลให้พวกเขา ‘ไม่เต็มใจที่จะใช้จ่าย’ ซึ่งการบริโภคที่ซบเซาก็ยิ่งกลับมากดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงไปอีก กลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกของรัฐบาลปักกิ่ง

 

ที่สุดแล้วสิ่งที่ผู้คนโหยหาผ่านแฮชแท็กนี้อาจไม่ใช่แค่ตำแหน่งงานหรือเงินเดือนสูงๆ เท่านั้น แต่เป็นการรำลึกถึงยุคสมัยที่พวกเขามี ‘ความหวัง’ และความเชื่อมั่นว่าการเติบโตของรายได้เป็นสิ่งที่แน่นอน, ราคาบ้านจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อที่ว่าความขยันหมั่นเพียรและจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการจะได้รับการตอบแทนเสมอ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่กำลังเลือนหายไปจากสังคมจีนในปัจจุบัน

 

ภาพ: humphery / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ‘ชีวิตดีๆ ในยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง’ แฮชแท็กโหยหาอดีตของคนหนุ่มสาวจีน ที่ครั้งหนึ่งเคย ‘เลือกงานได้’ แต่ปัจจุบันกลับหาความมั่นคงไม่ได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศึกนอก ศึกในล้อมไทย! ชายแดนไทย-กัมพูชา ดีลภาษีสหรัฐฯ กดดันเศรษฐกิจไทยจะเดินเกมอย่างไร? https://thestandard.co/wealth-in-depth-external-internal-crises/ Wed, 30 Jul 2025 04:56:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1101609

เส้นตายการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ วันที่ 1 ส.ค. อาจ […]

The post ศึกนอก ศึกในล้อมไทย! ชายแดนไทย-กัมพูชา ดีลภาษีสหรัฐฯ กดดันเศรษฐกิจไทยจะเดินเกมอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>

เส้นตายการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐ วันที่ 1 ส.ค. อาจเป็นจุดเปลี่ยน การเดิมพันเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ขณะเดียวกันปัญหา ‘ชายแดนไทย-กัมพูชา’ ที่ร้อนระอุ กลายเป็นเงื่อนไขที่ไทยอาจถูกใช้เป็นเกมต่อรองเจรจาภาษีสหรัฐ

 

เมื่อทรัมป์ที่ประกาศว่า หากไทยและกัมพูชาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ภายในเวลาอันจำกัด สหรัฐจะไม่พิจารณาเปิดเจรจาลดภาษีให้กับไทย

 

 

นอกเหนือจากมิติการทหารและการเมืองแล้ว ภาคธุรกิจต่างเฝ้าจับตามิติเศรษฐกิจ อย่างใกล้ชิด เพราะหากไทยไม่สามารถเจรจาลดภาษีสหรัฐได้ทัน ผลกระทบหนักจะตกไปอยู่ที่ภาคการส่งออก ธุรกิจ SME จะเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกแสนล้านบาท ให้กับประเทศที่เก็บภาษีต่ำกว่าอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย

 

ยังไม่นับรวมมรสุมปัญหาที่ไทยยังคงเผชิญเชิงโครงสร้าง การท่องเที่ยว หนี้ครัวเรือน ดังนั้น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องภาษี และชายแดน หากยืดเยื้ออาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน ภาพลักษณ์ของไทยในสายตาโลก

 

ส.อ.ท. ลุ้น ทรัมป์ให้ ‘รางวัลพิเศษ’ ภาษีไทยต่ำ 19-20% เหตุทำตามสัญญาหยุดยิงชายแดนกัมพูชา

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ถึงความกังวล แนวโน้มการเจรจาภาษีการค้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะครบกำหนดวันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยมองว่าสถานการณ์ของประเทศไทยมีความพิเศษและแตกต่างจากประเทศอื่นๆ

 

“เนื่องจากบทบาทสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา”

 

เกรียงไกร ชี้แจงว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดเงื่อนไขชัดเจนว่าจะยังไม่มีการเจรจาเรื่องภาษี จนกว่าการปะทะหรือความขัดแย้งบริเวณชายแดนจะยุติลง ทำให้เกิดการประชุมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นตัวกลางในการเจรจา และได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

 

อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลงโดยหยุดยิงทันทีเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม แต่ทางฝ่ายกัมพูชายังคงมีการยิงอย่างต่อเนื่องจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

 

ลุ้น 2 แนวโน้มเป็นบวกหลังเจรจาภาษีสหรัฐฯ

 

เกรียงไกร กล่าวต่อว่า รองนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งว่าสหรัฐฯ ได้เห็นถึงความตั้งใจของไทยในการปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเจรจาภาษีที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นประเมินว่ามีความเป็นไปได้ 2 กรณี ดังนี้

 

1. ประกาศผลก่อน 1 สิงหาคมนี้ เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก่อนกำหนดเส้นตาย หากการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี สหรัฐฯ อาจจะประกาศผลก่อนวันที่ 1 สิงหาคม

 

2. เลื่อนกำหนดเวลาสำหรับไทยโดยเฉพาะ เนื่องจากกรณีของไทยเป็นกรณีพิเศษที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาเป็น คนกลางไกล่เกลี่ยเอง และรับทราบว่าไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด สหรัฐฯ อาจพิจารณาเลื่อนกำหนดเวลาสำหรับประเทศไทยออกไป เพื่อให้มีเวลาในการเจรจามากขึ้น

 

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ยังคงคาดหวังว่าผลการเจรจาจะออกมาดี โดยคาดว่าอัตราภาษีของไทยจะอยู่ที่ประมาณ 19-20% ซึ่งจะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ที่ได้อัตรา 20%, อินโดนีเซีย ที่ได้อัตรา 19%, ฟิลิปปินส์ 19% และมาเลเซีย ที่ได้อัตรา 25%

 

 

หวัง ‘ทรัมป์’ เคาะภาษีต่ำกว่า 19-20%

 

เกรียงไกร ระบุต่อว่า ยังมีความหวังว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะพิจารณาให้ ‘รางวัลพิเศษ’ ให้กับประเทศไทย ด้วยการลดอัตราภาษีให้ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอีก เนื่องจากไทยได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือและรักษาสัญญาอย่างเคร่งครัด

 

เกรียงไกร ย้ำว่า ส.อ.ท. ยังคงคาดหวังว่า ไทยจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงถึง 36% อย่างแน่นอน และเชื่อว่าการที่ไทยแสดงความน่าเชื่อถือนี้จะช่วยเพิ่มแต้มต่อในการเจรจาได้อย่างมาก ตรงกันข้ามกับกัมพูชาที่ยังไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะพิจารณาในอีกมุมมองหนึ่ง

 

“ตอนนี้เชื่อว่าไทยจะได้ภาษีต่ำกว่า 36% ดังนั้น คาดมูลค่าเสียหายจากการขึ้นภาษีดังกล่าว ราว 8-9 แสนล้านบาทที่เคยประเมินไว้จะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ซึ่งหากภาษีที่ไทยได้เหลือ 19-20% เชื่อว่าเราจะไม่เสียหายเท่าไร เพราะถือว่าใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค” เกรียงไกรกล่าว

 

หวั่นเหตุปะทะชายแดน ซ้ำเติมเศรษฐกิจ

 

สำหรับประเด็นความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการค้าชายแดน โดยประเมินว่ากรณีที่มีการปิดด่านถาวรทั้งหมด 6 ด่าน มูลค่าความเสียหายจะสูงถึงประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน

 

โดยเป็นมูลค่าการส่งออกของไทยประมาณ 400 ล้านบาท และการนำเข้าจากกัมพูชาประมาณ 100 ล้านบาท

 

ขณะที่ในสถานการณ์ความตึงเครียดปัจจุบัน ด่านชายแดนหลายแห่งได้หยุดการดำเนินการลง การขนส่งสินค้าทางเรือก็ลดลงเช่นกัน และแม้จะมีการหาช่องทางอ้อมผ่านประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์ หรือเวียดนาม แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นมากและความเข้มงวดในการผ่านแดน

 

ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจไม่กล้าเดินทางมาไทยและกระทบต่อ GDP นั้น เกรียงไกร มองว่า

 

“ผลกระทบจะจำกัดอยู่ในวงแคบ โดยส่วนใหญ่จะกระทบกับการท่องเที่ยวบริเวณชายแดนที่มีแหล่งโบราณสถานสำคัญ ซึ่งนักท่องเที่ยวอาจลดลงในช่วงสั้นๆ แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวทั้งประเทศ เนื่องจากเหตุการณ์ยังจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดนเท่านั้น”

 

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ความขัดแย้งบานปลาย และมีการใช้อาวุธระยะไกล เช่น เครื่องยิงจรวดที่ยิงได้ไกลถึง 130 กิโลเมตร ยิงเข้ามาในพื้นที่ลึกของไทย อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการท่องเที่ยวและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

 

แนะรัฐบาลตั้งรับ อัดเม็ดเงินเศรษฐกิจ เยียวยาผู้ส่งออก

 

เกรียงไกร กล่าวว่า ข้อเสนอแนะในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มีการเสนอต่อรัฐบาลไปตั้งแต่ต้นแล้ว โดยเฉพาะมาตรการด้านการเงินและการคลังที่จำเป็นต้องดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อรับมือกับกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลงและปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องภาษีการค้าของทรัมป์

 

ปัจจุบัน ปัจจัยที่ ส.อ.ท. และภาคเอกชนกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิด คือ ตัวเลขภาษีที่สหรัฐฯ จะประกาศออกมา หากผลการเจรจาเป็นบวกและไทยได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เช่น หากลดลงมาถึง 15% เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่ไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตสินค้าหลัก ก็จะเป็นผลดีอย่างมากต่อภาคการส่งออกของไทย

 

“แต่ในทางตรงกันข้าม หากอัตราภาษีของไทยยังคงสูงถึง 36% และไม่ได้รับการลดหย่อน รัฐบาลจะต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และจัดหาแพ็กเกจช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยใช้เงินสนับสนุนตามความเหมาะสม”

 

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ได้เสนอแนวทางต่างๆ ไปแล้ว และขณะนี้ก็รอเพียงแค่ผลการประกาศตัวเลขภาษีเท่านั้น ที่จะบอกถึงทิศทางและขนาดของมาตรการที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการต่อไป

 

 

หอการค้าฯ จับตาเส้นตายภาษี 1 สิงหาคม ชี้สหรัฐอเมริกา คือหุ้นส่วนสำคัญเศรษฐกิจไทย

 

ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “แม้สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจะเพิ่งคลี่คลาย และนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงแต่ภาคเอกชนขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดเจรจาทางเศรษฐกิจในทุกกรอบ โดยเฉพาะประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ที่มีเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม อยู่เบื้องหน้า”

 

โดยเชื่อมั่นว่าข้อเสนอของฝ่ายไทยในครั้งนี้มีความเหมาะสม สมดุล และอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน จึงอยากขอให้ฝ่ายเจรจาไทยเร่งหาข้อสรุปอัตราภาษีจากสหรัฐอย่างเป็นธรรมโดยด่วนเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจหลังจากเส้นตาย

 

“ภาคเอกชนไทยยังมีความเชื่อมั่นว่า สหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย จะพิจารณานโยบายด้านภาษี การค้า และการลงทุนกับประเทศคู่ค้าในภูมิภาคนี้อย่างเป็นธรรม”

 

ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการเจรจาหยุดยิงของไทยและกัมพูชา นี้จะนำไปสู่การลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน และเปิดทางให้ทั้งสองประเทศเดินหน้าเข้าสู่การหารือในกรอบของความร่วมมือเพื่อสันติภาพและการเคารพซึ่งกันและกันในด้านอธิปไตย

 

แม้ว่าจะยังมีความไม่ไว้วางใจและข้อกังวลจากฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง แต่ภาคเอกชนไทยขอสนับสนุนให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทน อดกลั้น และดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ภายใต้กลไกความร่วมมือของอาเซียน

 

อย่างไรก็ตาม การหารือภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ณ ประเทศกัมพูชา จะเป็นอีกก้าวที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองประเทศ และนำไปสู่แนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืนต่อปัญหาที่ค้างคา

 

สรท. แนะรัฐบาลใช้ประเด็นขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นข้อต่อรองภาษี

 

 

ขณะที่ ธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ยอมรับว่ามีความกังวลต่อการเจรจา Reciprocal Tariff ระหว่างไทยและสหรัฐฯ โดยระบุว่าผู้ประกอบการประเมินโอกาสของการเจรจาครั้งนี้ไว้ที่ 50% เท่ากัน ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยได้รับอัตราภาษีที่ดีขึ้นใกล้เคียงกับคู่แข่งทางการค้าที่ 19-20% หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจโดนอัตราภาษีสูงถึง 36%

 

ธนากร ย้ำว่า สรท. ได้เตรียมการรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแล้ว และได้เสนอความคิดเห็นไปยังทีมเจรจาของไทยว่า เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มีความตั้งใจที่จะไม่เจรจากับไทยและกัมพูชา จนกว่าข้อขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาจะยุติลง

 

สรท. จึงเสนอให้รัฐบาลไทยใช้โอกาสนี้ในการขอให้สหรัฐฯ ยกเว้นไทยและกัมพูชาออกจากการบังคับใช้ Executive Order ที่จะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ และขอให้คงอัตราภาษีมาตรฐานที่ 10% ไปก่อน

 

“ถ้าสหรัฐฯ ไม่สามารถประกาศหรือตกลงเรื่องภาษีใหม่กับไทยได้ และทรัมป์มีความตั้งใจที่จะให้เรื่องข้อขัดแย้งชายแดนจบลงก่อน ก็ไม่ควรยืดเยื้อการเจรจาภาษีออกไป ดังนั้น เราจึงให้ความคิดเห็นไปว่า ลองนำเสนอไปสหรัฐฯ ได้ไหม เพราะเป็นความตั้งใจของทรัมป์ที่จะมาสนใจตรงเรื่องความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา” ธนากร กล่าว

 

ข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกนำเสนอไปเมื่อทรัมป์ได้แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียของเขา โดย สรท. มองว่าเป็นโอกาสดีที่จะดึงเรื่องภาษีของไทยและกัมพูชาออกไปก่อน

 

สำหรับผลกระทบหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดที่ไทยต้องเสียภาษี 36% จากการค้ากับสหรัฐฯ คิดจากมูลค่าการค้ารวม 2 ล้านล้านบาทต่อปี จะเฉลี่ยเป็นผลกระทบประมาณ 5,479 ล้านบาทต่อวัน

 

อย่างไรก็ตาม ธนากร ชี้แจงว่าไม่ใช่สินค้าทุกรายการที่จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากสหรัฐฯ มีข้อตกลงยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าเฉพาะอย่างกับหลายประเทศอยู่แล้ว เช่น ยางพารา ยางรถยนต์ หรือชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งสินค้าเหล่านี้อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง

 

 

ห่วงอาเซียนตกเป็นเกมต่อรอง ‘จีนและสหรัฐอเมริกา’

 

ด้าน รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจหากไทยและกัมพูชาหาทางออกไม่ได้ แน่นอนว่า บรรยากาศจับจ่ายไม่ดีในช่วง 3 – 6 เดือน ผู้ผลิตไทยที่ส่งออกไปกัมพูชาก็ต้องหาตลาดอื่น สุดท้ายผู้บริโภค ก็ไม่ซื้อของไทย กินของไทย นำเข้าของไทย

 

“ปัญหาที่ตามมาคือกัมพูชาก็จะหันไปค้าขายกับเวียดนาม จีน แทน ท้ายที่สุดคนที่ลำบากคือ ประชาชน เพราะค้าชายแดนปิด คนทำมาหากินไม่ได้ จะคล้ายกับปัญหาเมียนมาที่ไม่พึ่งพาสินค้าไทยแล้ว เพราะความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้น”

 

รศ.ดร.ปิติ มองว่า ทั้ง 2 ประเทศ ไทยและกัมพูชา มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ค้าขายเพื่อนบ้านกันมายาวนาน ในช่วงเวลาที่โลกไม่แน่นอนทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ความท้าทายของเศรษฐกิจ การเมือง ควรจะรวมตัวกันต่อรองในฐานะสร้างความแข็งแกร่งภูมิภาคอาเซียนกับจีนและสหรัฐอเมริกา แต่เหตุการณ์นี้สุดท้ายก็กลับเป็นจุดอ่อน ที่ประชาสังคมโลกต่างจับตามอง

 

หากเจาะข้อมูลค้าชายแดนไทย-กัมพูชา นั้นเปรียบเสมือนท่อน้ำเลี้ยงเศรษฐกิจกว่าแสนล้าน ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ด่าน และมี 1 ด่านเป็นจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว เขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ
ปี 2024 การค้าระหว่างไทยและกัมพูชา มีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 300,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ไทยส่งออกไปกัมพูชาประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 90%
ขณะที่ รศ. ดร. อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไทยส่งออกเพิ่ม 4,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 9,000 ล้านดอลลาร์ ราว 3 แสนล้านบาท

 

แต่วันนี้ส่วนแบ่งตลาดถูกจีนและเวียดนามแย่งไป จาก 15% เหลือ 10% หากยืดเยื้อปิดทุกด่านรายได้ไทยจะหายไป 800 ล้านบาทต่อวัน

 

ชี้หากปะทะยืดเยื้อ ไทยอาจสูญเสียตลาดกัมพูชาให้จีน-เวียดนามแบบถาวร

 

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า หากเหตุการณ์ปะทะรุนแรงจนต้องปิดด่านทั้ง 5 แห่ง คาดว่าจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทย 1.1 หมื่นล้าน/เดือน และหากเหตุการณ์ยืดเยื้อไปจนถึงสิ้นปีนี้อาจจะสร้างความเสียหาย รวมราว 5.5 หมื่นล้านบาท

 

ทั้งนี้ หากปิดด่านยืดเยื้อนานถึง 1 ปีอาจสร้างความเสียหายถึง 1.7 แสนล้านบาท และไทยอาจสูญเสียตลาดกัมพูชาในบางสินค้าให้จีนหรือเวียดนามแบบถาวร

The post ศึกนอก ศึกในล้อมไทย! ชายแดนไทย-กัมพูชา ดีลภาษีสหรัฐฯ กดดันเศรษฐกิจไทยจะเดินเกมอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>