Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 08 Jul 2025 10:55:25 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เปิดอินไซต์นาโนไฟแนนซ์ พบ Gen X วินัยการคลังดีสุด เผยฟินนิกซ์คอยน์ช่วยลดดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 8.3 ล้านบาท https://thestandard.co/nano-finance-gen-x-best-financial/ Tue, 08 Jul 2025 07:42:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1094252

ฟินนิกซ์ (FINNIX) แอปสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยบริษัท มันน […]

The post เปิดอินไซต์นาโนไฟแนนซ์ พบ Gen X วินัยการคลังดีสุด เผยฟินนิกซ์คอยน์ช่วยลดดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 8.3 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

ฟินนิกซ์ (FINNIX) แอปสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยบริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) ภายใต้กลุ่ม เอสซีบีเอกซ์ เผยข้อมูลอินไซต์ผู้ใช้งาน หลังเปิดให้บริการตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ 5 มิติ ดังนี้

 

ฐานลูกค้าในอีสานเติบโตสูงสุด

 

ฟินนิกซ์ให้ข้อมูลว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นประชากรในกลุ่ม Gen Y โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 67% เป็นเพศหญิง 64% เป็นผู้ที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 20,000 บาท คิดเป็น 57% และเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือมีอาชีพเสริมนอกเหนือจากงานประจำที่มีผลตอบแทนน้อย คิดเป็น 58%

 

นอกจากนี้ ฟินนิกซ์ยังชี้อีกด้วยว่า กว่า 60% ของลูกค้า เป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด โดยภาคอีสานเป็นภาคที่มีอัตราการเติบโตของฐานลูกค้าสูงที่สุดในประเทศ

 

ขอสินเชื่อมากสุดในวันที่ 1 ของเดือน

 

ฟินนิกซ์เผยว่า ลูกค้าจะมีพฤติกรรมการขอสินเชื่อมากสุดในวันที่ 1 ของทุกเดือน และช่วงเวลาพักเที่ยง (11.00-12.59 น.) ของแต่ละวัน จะเป็นช่วงที่ลูกค้านิยมขอสินเชื่อ โดยฟินนิกซ์อธิบายว่า เนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมากสุดในช่วงต้นเดือน ทำให้วันที่ 1 เป็นวันที่นิยมขอสินเชื่อ

 

ทั้งนี้ ลูกค้าราว 50% ที่เป็นลูกค้าตั้งแต่ปีแรกยังคงใช้แอปฟินนิกซ์ต่อเนื่องมา 5 ปีจนถึงปัจจุบัน

 

Gen X วินัยการเงินดีกว่า Gen อื่น

 

ส่วนพฤติกรรมการชำระเงิน ฟินนิกซ์ระบุว่า ลูกค้ากว่า 70% มีคะแนนฟินนิกซ์เครดิตอยู่ในเกณฑ์ดี โดยกลุ่ม Gen X มีวินัยในการชำระสินเชื่อดีกว่ากลุ่มอื่น

 

ส่วนจังหวัดที่มีลูกค้าซึ่งมีพฤติกรรมรักษาเครดิตดี ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และปทุมธานี ซึ่งฟินนิกซ์ให้เหตุผลว่า จังหวัดที่มีการรักษาเครดิตดี ส่วนใหญ่เป็นหัวเมืองที่มีรายได้อาชีพที่ค่อนข้างสูง จึงมีขีดความสามารถในการชำระได้มากกว่าจังหวัดอื่นๆ

 

จึงเป็นเหตุผลให้ ฟินนิกซ์ต้องการสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับจังหวัดอื่นๆ เพื่อเปิดทางให้ลูกค้าของฟินนิกซ์ได้มีโอกาสทำงานในพื้นที่ของตนเอง

 

นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่าลูกค้าใหม่มีพฤติกรรมการเงินดีกว่ากลุ่มเดิม แสดงถึงประสิทธิภาพของโมเดลอนุมัติสินเชื่อพลัง AI ที่ดีและชาญฉลาดยิ่งขึ้น

 

ฟินนิกซ์คอยน์ช่วยลดดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 8.3 ล้านบาท

 

จากข้อมูลศักยภาพทางการเงินของฟินนิกซ์ พบว่า ลูกค้ากว่า 40% ได้รับการเพิ่มวงเงิน เนื่องจากมีพฤติกรรมการเงินที่ดี และ 20% ในกลุ่มนี้ได้รับวงเงินใหม่ที่สูงกว่าวงเงินเดิมถึง 2 เท่า สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างและรักษาเครดิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

นอกจากนี้ ยังพบว่าลูกค้าแลกฟินนิกซ์คอยน์ที่ได้รับเมื่อชำระสินเชื่อตรงเวลาเป็นส่วนลดดอกเบี้ยมากที่สุด โดยแลกไปแล้วรวมเป็นมูลค่ากว่า 8.3 ล้านบาท ช่วยลดภาระลูกค้าและเสริมสร้างวินัยได้เป็นอย่างดี

 

1.6 แสนคนมีโอกาสเสริมอาชีพ เพิ่มรายได้

 

ฟินนิกซ์แสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้งานแอปว่า 157,000 คน มีโอกาสหารายได้เสริมจากการสมัครงานกับพันธมิตรต่างๆ ผ่านแอปฟินนิกซ์ โดยผู้ใช้งานอีกกว่า 62,000 คน มีโอกาสพัฒนาความรู้เรื่องเงินจากโครงการห้องเรียนออนไลน์ “เงินดีมีสุข รู้ทันหนี้ไม่มีทุกข์” ทั้งหมดนี้ ตอกย้ำว่าแอปฟินนิกซ์เป็นมากกว่าแอปเงินกู้ ทำให้คนทำมาหากินได้ ‘เงินดี มีสุข’ อย่างแท้จริง

 

 

ด้าน ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) กล่าวว่า “ตลอด 5 ปี แอปฟินนิกซ์ได้อยู่เคียงข้างคนทำมาหากินทั่วประเทศในทุกช่วงเวลาที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ภัยธรรมชาติ หรือภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย”

 

“เราได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างไม่ย่อท้อที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้นให้กับตนเองและครอบครัวของคนกลุ่มนี้ จึงขอเรียกว่า ‘นักสู้ชีวิต’”

 

“โดยทุกคนเป็นแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้แอปฟินนิกซ์มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความประทับใจนี้ เราจึงยกระดับแอปฟินนิกซ์เป็น ‘แพลตฟอร์มที่สร้างโอกาสให้นักสู้ชีวิตเงินดีมีสุข (The Platform of Opportunities for Life Fighters)’ เพื่อเชิดชู สนับสนุน และเคียงคู่นักสู้ชีวิตทุกคน”

 

ทั้งนี้ ถิรนันท์ กล่าวว่า ตลาดนาโนไฟแนนซ์มีการเติบโตเร็วกว่าประเภทอื่นๆ ในประเทศ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดนาโนไฟแนนซ์มีบัญชีสินเชื่อกว่า 3.5 ล้านบัญชี เติบโต 57% และมีสินเชื่อคงค้างกว่า 59,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% รวมถึงมีจำนวนผู้ประกอบการมากถึง 72 ราย หรือเพิ่มขึ้น 4%

 

ซึ่งปัจจุบัน ฟินนิกซ์ครองมาร์เก็ตแชร์ในตลาดนาโนไฟแนนซ์ได้เป็นอันดับ 2 ที่สัดส่วน 20% อย่างไรก็ตาม “คู่แข่งสำคัญของฟินนิกซ์ไม่ใช่ธนาคารด้วยกัน แต่เป็นการต่อสู้กับสถาบันเงินกู้นอกระบบ” ถิรนันท์กล่าว

The post เปิดอินไซต์นาโนไฟแนนซ์ พบ Gen X วินัยการคลังดีสุด เผยฟินนิกซ์คอยน์ช่วยลดดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 8.3 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ชาวเกาะ’ ท้าชนแบรนด์จีน โดดเข้าตลาดซอฟต์เสิร์ฟ เปิดแฟรนไชส์ขายไอศกรีมโคน 10 บาท เร่งเปิด 10,000 สาขาทั่วไทย https://thestandard.co/chaokoh-softserve-franchise-thailand/ Mon, 07 Jul 2025 10:11:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1093864 โมเดลแฟรนไชส์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟชาวเกาะ เปิดบูธขายในงาน THAIFEX พร้อมเครื่องไอศกรีมและรสชาติกะทิสด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยเป็นตลาดที่หอ […]

The post ‘ชาวเกาะ’ ท้าชนแบรนด์จีน โดดเข้าตลาดซอฟต์เสิร์ฟ เปิดแฟรนไชส์ขายไอศกรีมโคน 10 บาท เร่งเปิด 10,000 สาขาทั่วไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
โมเดลแฟรนไชส์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟชาวเกาะ เปิดบูธขายในงาน THAIFEX พร้อมเครื่องไอศกรีมและรสชาติกะทิสด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยเป็นตลาดที่หอมหวาน จากแนวโน้มที่มีการเติบโตเฉลี่ย 2–3% ต่อปี แม้จะมีคู่แข่งจากจีนเข้ามา แต่ Dairy Queen ยังครองแชมป์อันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่ง 70–80% พ่วงด้วย McDonald’s, KFC, Burger King, CP และ IKEA ที่ส่งซอฟต์เสิร์ฟโคนราคาถูกเข้ามาร่วมสนามการแข่งขัน

 

ไม่เว้นแม้แต่ ‘ชาวเกาะ’ ภายใต้ อำพลฟูดส์ได้กระโดดเข้ามาชิมลางในตลาดนี้ด้วยเช่นกัน THE STANDARD WEALTH มีโอกาสสัมภาษณ์ ดร.เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการกลุ่มอำพลฟูดส์ ถึงเบื้องหลังว่าทำไมถึงสนใจย่างกรายเข้ามาในตลาดนี้

 

ดร.เกรียงศักดิ์ เริ่มสนทนาว่า จากอินไซต์ที่พบว่าความเข้าใจผิดของผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่ากะทิมีไว้ทำอาหารคาวและหวานเท่านั้น ทั้งที่เบื้องหลังของไอศกรีมหลายแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ส่วนใหญ่เลือกใช้กะทิแทนนมวัว ด้วยจุดเด่นด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณสมบัติของไขมันจากมะพร้าวที่ช่วยให้ไอศกรีมอยู่ตัวได้นานโดยไม่ต้องพึ่งสารเพิ่มความคงตัว

 

ดร.เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอำพลฟูดส์ 

 

สิ่งที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นคือการเปลี่ยนมุมมอง ให้ผู้บริโภครู้ว่าไอศกรีมที่ทำจากกะทิไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังดีต่อสุขภาพและต้นทุนต่ำ จึงเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจแฟรนไชส์ชาวเกาะไอศกรีมกะทิสด

 

สูตรสำเร็จพร้อมขายใน 1 นาที แฟรนไชส์เริ่มต้น 35,000 บาท

ทั้งนี้บริษัทได้พัฒนาสูตรไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟสำเร็จรูปบรรจุในกล่อง UHT เพียงตัดกล่องเทใส่เครื่อง ก็ได้ไอศกรีมพร้อมเสิร์ฟภายใน 1 นาที โดยมีต้นทุนไม่ถึง 5 บาทต่อโคน ขายได้ในราคา 10 บาท ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกระดับ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนเป็นหลัก

 

ปัจจุบันไอศกรีมมีเพียงรสกะทิ แต่สูตรอื่นอย่าง ชาไทย ช็อกโกแลต มะม่วง ทุเรียน ตอนนี้พัฒนาสำเร็จแล้ว อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากอย.ก่อนทยอยวางขายต่อไป

 

 

สำหรับแฟรนไชส์แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ทั้งแบบตั้งเครื่องตั้งโต๊ะและเครื่องตั้งพื้น ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น ราคา 35,000 บาท และ ราคา 39,000 บาท ผู้ลงทุนสามารถคืนทุนได้ภายใน 3 เดือน เพียงขายไอศกรีมได้วันละ 100 เสิร์ฟ ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ โดยแบรนด์ชาวเกาะจะสนับสนุนเครื่อง อุปกรณ์ วัตถุดิบ และมีการอบรมก่อนเปิดให้บริการ

 

ตลาดเป้าหมายหลักคือโรงเรียน ซึ่งมีอยู่กว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ ล่าสุดได้เริ่มทดลองที่โรงเรียนในจังหวัดพะเยา พบว่าได้รับผลตอบรับดีเกินคาด และนอกจากโรงเรียนแล้วยังมีแผนขยายแฟรนไชส์เข้าสู่ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ มินิมาร์ท รวมถึงตู้คีออสด้วยเช่นกัน

 

ไม่ใช่แค่หารายได้แต่เป็นการรีเฟรชแบรนด์ไปด้วยกัน

ยอมรับว่าครั้งแรกของการทำธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากที่นำโมเดลแฟรนไชส์ไปเปิดตัวในงาน THAIFEX 2568 ที่ผ่านมา กระแสตอบรับดีเกินคาด แต่อีกด้านทำให้เห็นว่าต้องปรับจูนเรื่องระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

 

ขณะเดียวกันเริ่มมีผู้ประกอบการจากจีนและกัมพูชาเริ่มติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์แล้ว ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสเนื่องจากชาวจีนชื่นชอบมะพร้าวและสินค้าไทยอยู่แล้ว ประกอบกับร้านอาหารไทยที่มีมากกว่า 10,000 แห่งในจีนก็จะเป็นช่องทางที่จะขยายธุรกิจแฟรนไชส์ไอศกรีมชาวเกาะไปได้

 

อย่างไรก็ตามการเปิดตัวแฟรนไชส์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เพิ่มรายได้ให้กับบริษัท แต่ยังช่วยรีเฟรชแบรนด์ชาวเกาะให้ดูสดใหม่ เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น จากภาพจำเดิมที่หลายคนมองว่าเป็นแบรนด์เก่าแก่อยู่มานาน

 

ส่วนแผนงานในอนาคตยังเตรียมเปิดร้านคาเฟ่ขายไอศกรีมและน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของมะพร้าว เช่น น้ำมะพร้าวรสบ๊วย เลมอน น้ำผึ้ง ที่พัฒนาจากทีม R&D โดยจะเน้นเปิดในย่านออฟฟิศใจกลางเมืองที่มีทราฟฟิกหนาแน่น คาดว่าจะช่วยทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เข้าถึงได้มากขึ้น

 

ใช้กลยุทธ์ ‘ป่าล้อมเมือง’ สู้ศึกซอฟต์เสิร์ฟแบรนด์จีน

แม้วันนี้ตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟจะมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะแบรนด์จีนที่กระจายตัวในห้างสรรพสินค้าอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับแบรนด์ชาวเกาะ จะเลือกกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เน้นเจาะต่างจังหวัดก่อนและจะขยายสู่พื้นที่เมืองตามลำดับ โดยตั้งเป้าจะขยายร้านแฟรนไชส์ไอศกรีมกะทิสดชาวเกาะให้ได้ 10,000 แห่งภายใน 3 ปี

 

“เราอาจจะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดซอฟต์เสิร์ฟ แต่ต้องบอกว่า อำพลฟูดส์ มีความพร้อมทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ อีกทั้งยังมีศูนย์กระจายสินค้าครอบคลุมทั่วประเทศถึง 94 แห่ง ตลอดจนตัวแทนขายอีก 1,000 คนที่จะมาช่วยสนับสนุนระบบแฟรนไชส์ ซึ่งมั่นใจว่าการสร้างระบบบริการหลังการขายที่ดี จะเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของความยั่งยืนให้ธุรกิจใหม่” ดร.เกรียงศักดิ์ ย้ำ

 

อำพลฟูดส์ ไม่ได้มีแค่กะทิ

พร้อมกันนี้ ดร.เกรียงศักดิ์ ยังอัปเดตถึงภาพรวมธุรกิจ ปัจจุบันสินค้าแบรนด์ภายใต้กลุ่มอำพลฟูดส์ที่วางตลาดในไทยมีหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ กะทิชาวเกาะยูเอชที น้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทย น้ำข้าวกล้องวีฟิต เครื่องปรุงลดโซเดียมยี่ห้อกู๊ดไลฟ์ เครื่องปรุงสูตรตำรับจีน ตรามังกรสมบูรณ์ เป็นต้น และยังมีการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวไปที่ประเทศจีนด้วยเช่นกัน

 

นอกจากนี้ ยังเน้นสร้างพันธมิตรกับกลุ่มธุรกิจ SMEs โดยได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดหลักสูตรอบรม Food Work ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ SMEs เข้ามาเป็นพันธมิตรกับอำพลฟูดส์ และบริษัทจะช่วยสนับสนุนด้านของโครงสร้างในการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้า ถือเป็นการสร้างการเติบโตร่วมกัน

The post ‘ชาวเกาะ’ ท้าชนแบรนด์จีน โดดเข้าตลาดซอฟต์เสิร์ฟ เปิดแฟรนไชส์ขายไอศกรีมโคน 10 บาท เร่งเปิด 10,000 สาขาทั่วไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิมุตครบรอบ 4 ปี ตั้งเป้าโต 40% ในปี 2568 ชูธงโรงพยาบาลมิติใหม่ ลุยเปิดศูนย์สุขภาพปอด รับมือ PM2.5 และ โรคซับซ้อน https://thestandard.co/vimut-4th-anniversary-growth/ Mon, 07 Jul 2025 08:32:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1093786 ภาพผู้บริหารโรงพยาบาลวิมุตเปิดศูนย์สุขภาพปอดในโอกาสครบรอบ 4 ปี

โรงพยาบาลวิมุต ประกาศแผนธุรกิจเชิงรุกในโอกาสครบรอบ 4 ปี […]

The post วิมุตครบรอบ 4 ปี ตั้งเป้าโต 40% ในปี 2568 ชูธงโรงพยาบาลมิติใหม่ ลุยเปิดศูนย์สุขภาพปอด รับมือ PM2.5 และ โรคซับซ้อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพผู้บริหารโรงพยาบาลวิมุตเปิดศูนย์สุขภาพปอดในโอกาสครบรอบ 4 ปี

โรงพยาบาลวิมุต ประกาศแผนธุรกิจเชิงรุกในโอกาสครบรอบ 4 ปี เดินหน้าสู่การเป็น ‘โรงพยาบาลเอกชนมิติใหม่’ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยชูการเปิด ‘ศูนย์สุขภาพปอดวิมุต’ เป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อตอบรับเมกะเทรนด์สุขภาพและปัญหามลพิษที่รุนแรง

 

ที่ต้องจับตามองคือการตั้งเป้าหมายเติบโต 40% ในปี 2568 อันเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากปี 2567 ซึ่งโรงพยาบาลมีรายได้รวม 1,203 ล้านบาท เติบโตขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า

 

การเติบโตนี้ยังสอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมสุขภาพไทยที่ Report Linker คาดว่าจะเติบโต 5.3% ต่อปี สู่มูลค่ากว่า 880,500 ล้านบาทในปี 2573 จากปัจจัยหนุนด้านสังคมผู้สูงอายุและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

 

การเปิดศูนย์สุขภาพปอดโดยเฉพาะ ถือเป็นการตอบสนองต่อ ‘วิกฤตมลพิษทางอากาศ’ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยกรุงเทพฯ เคยติดอันดับเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก ขณะที่ไทยตรวจพบระดับฝุ่นอันตรายใน 58 จังหวัด ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจ

 

ศูนย์แห่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับโรคระบบทางเดินหายใจที่ซับซ้อนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบระยะยาวจากโควิด, ไข้หวัดใหญ่ หรือปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เป็น ‘ภัยเงียบ’ ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและเพิ่มความเสี่ยงโรคร้ายแรง โดยมีเทคโนโลยี EBUS เป็นเครื่องมือวินิจฉัยที่แม่นยำ

 

การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศ (Centers of Excellence) เพื่อดูแลกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยข้อมูลระบุว่าโรคกลุ่มนี้สร้าง ‘ผลกระทบทางเศรษฐกิจ’ สูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 9.7% ของ GDP ประเทศ

 

นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า “เราได้นำแนวโน้มสุขภาพโลกและในเมืองไทยมาพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อตอบโจทย์โรคเฉพาะทางที่ซับซ้อน โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คร่าชีวิตคนไทยกว่า 400,000 รายต่อปี”

 

ทิศทางในอนาคตของวิมุตจึงมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมการรักษาที่ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพสำคัญของประเทศ โดยวางตำแหน่งของโรงพยาบาลให้เป็นผู้ให้บริการสุขภาพคุณภาพสูง ในอัตราค่าบริการที่สมเหตุสมผล เพื่อสร้างความไว้วางใจในระยะยาว

The post วิมุตครบรอบ 4 ปี ตั้งเป้าโต 40% ในปี 2568 ชูธงโรงพยาบาลมิติใหม่ ลุยเปิดศูนย์สุขภาพปอด รับมือ PM2.5 และ โรคซับซ้อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
NSL Foods ทุ่ม 800 ล้าน สร้างโรงงานใหม่รับกำลังผลิตโต 3 เท่า https://thestandard.co/nsl-foods-confident-7-11-reliance/ Mon, 07 Jul 2025 07:47:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1093744

จุดเปลี่ยนสำคัญของ NSL Foods เริ่มจากการส่ง ‘แซนด์วิชอบ […]

The post NSL Foods ทุ่ม 800 ล้าน สร้างโรงงานใหม่รับกำลังผลิตโต 3 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>

จุดเปลี่ยนสำคัญของ NSL Foods เริ่มจากการส่ง ‘แซนด์วิชอบร้อน’ เข้าไปวางขายในร้าน 7‑Eleven จนสร้างรายได้เติบโตมาถึงปัจจุบันนี้

 

แต่ สมชาย อัศวปิยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อไปว่า ในครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงชะลอตัว เงินเฟ้อทำให้ค่าครองชีพของผู้บริโภคสูงขึ้น แน่นอนว่าหลาย ๆ ธุรกิจอาจได้รับผลกระทบ

 

แต่สวนทางกับธุรกิจอาหารที่ยังเป็นปัจจัยสี่ในชีวิตประจำวันของผู้คน อาจยังไม่กระทบมากนัก และที่สำคัญจุดแข็งของ NSL Foods เป็นสินค้าที่ทานง่ายและราคาเริ่มตั้งแต่ 29-35 บาท อาจไม่แพงมากในสายตาผู้บริโภค

 

จากแนวโน้มตลาดที่ยังพอมีโอกาสเติบโต จากนี้บริษัทจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ตามเทรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยจะสามารถสร้างโอกาสในการขายเพิ่มขึ้นด้วย

 

นอกจากนี้ยังได้ลงทุน 800 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ชลบุรี ปัจจุบันเริ่มตอกเสาเข็มไปแล้ว คาดว่าเฟสแรกจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2569 และจะเพิ่มกำลังผลิตแซนด์วิชอบร้อนเพิ่มขึ้น 3 เท่า

 

โรงงานแห่งใหม่จะถูกใช้เป็นฐานผลิตสินค้าส่งออกด้วย ไม่ว่าจะในกลุ่มขนมหวาน, อาหารแช่แข็ง (Frozen) และอาหารพร้อมทานข้าวแท่ง โดยรวมแล้วโรงงานแห่งนี้จะมีกำลังผลิตรวมทั้งหมด 1.4 ล้านชิ้นต่อวัน สามารถรองรับการเติบโตไปได้อีก 5-6 ปี

 

สำหรับทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ NSL Foods เน้น 3 กลยุทธ์หลัก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 1. Engagement ร่วมมือพันธมิตรเสริมศักยภาพสินค้า ที่ผ่านมา NSL ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคู่ค้าและลูกค้า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะพันธมิตรหลักอย่าง 7-Eleven ที่ร่วมมือกันพัฒนาสินค้านวัตกรรม ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

2. Expansion รุกขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ บริษัทเดินหน้าขยายโอกาสทางธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งบริษัทย่อยหรือเข้าซื้อกิจการเพื่อเสริมแกร่ง เช่น NSL INTERTRADE (2023) Co., Ltd. ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศที่เกิดจากการเข้าซื้อโรงงาน PNF ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรแปรรูปกว่า 20 ปี ปัจจุบันส่งออกน้ำมะพร้าว กะทิ และน้ำผลไม้ไปยังกว่า 15 ประเทศทั่วโลก มีลูกค้ารายใหญ่กว่า 100 ราย

 

ตามด้วยธุรกิจ Food Services (HoReCa) ผ่านโรงงาน NSL สาขา 5 ที่ผลิตและแปรรูปสินค้าเนื้อสัตว์ให้กับโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง ซึ่งเติบโตตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจเนยแข็ง ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในเครือและจำหน่ายทั่วไป และ Bake A Wish ที่เข้าถือหุ้น 60% ปัจจุบันมี 60 สาขา ในปีนี้ยังไม่มีแผนขยายสาขา แต่จะเน้นปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัยขึ้น

 

3. Exponential Growth เร่งเติบโตด้วยนวัตกรรม มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม พร้อมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้แข่งขันได้ในระดับสากล

 

สุดท้ายแล้วบริษัทได้วางเป้าหมายภายในสิ้นปี 2568 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจาก 0.5% เป็น 5% หรือประมาณ 300–350 ล้านบาท

The post NSL Foods ทุ่ม 800 ล้าน สร้างโรงงานใหม่รับกำลังผลิตโต 3 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ขยายธุรกิจสู่สิงคโปร์ ต่อยอด ‘ความนิยมสินค้าไทย’ เจาะตลาดพรีเมียม ปี 2569 เล็งขยายสินค้าครบ 100 รายการ https://thestandard.co/central-food-retail-expands-to-singapore/ Mon, 07 Jul 2025 07:38:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1093736

เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ผู้บริหารเชนร้านค้าปลีกท็อปส์ ประกา […]

The post เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ขยายธุรกิจสู่สิงคโปร์ ต่อยอด ‘ความนิยมสินค้าไทย’ เจาะตลาดพรีเมียม ปี 2569 เล็งขยายสินค้าครบ 100 รายการ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ผู้บริหารเชนร้านค้าปลีกท็อปส์ ประกาศขยายธุรกิจสู่ตลาดสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ผ่านการต่อยอดความร่วมมือกับ NTUC FairPrice Co-operative Limited (FPG) กลุ่มค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ เพื่อผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดระดับพรีเมียมอย่างเต็มตัว

 

การตัดสินใจบุกตลาดสิงคโปร์ครั้งนี้มาจากมุมมองที่ว่า สิงคโปร์เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง แม้จะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่ก็เป็นประตูสำคัญในการสร้างการรับรู้ให้แบรนด์ไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็น ‘เป้าหมายเชิงกลยุทธ์’ ของบริษัท

 

ความเชื่อมั่นดังกล่าวมีปัจจัยสนับสนุน 2 เรื่องหลัก คือ ‘ความนิยมในสินค้าไทย’ ของผู้บริโภคชาวสิงคโปร์ที่มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี และภูมิทัศน์ของตลาดค้าปลีกสิงคโปร์ที่เป็นตลาดพรีเมียม ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์สินค้าภายใต้การบริหารของเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล

 

กลยุทธ์หลักในการดำเนินงานคือการใช้คอนเซปต์ I LOVE THAILAND เพื่อนำเสนอสินค้าไทยกว่า 50 รายการ ครอบคลุมทั้งผลไม้ ขนมขบเคี้ยว และเครื่องปรุงรสต่างๆ ผ่านเครือข่ายร้านค้าของแฟร์ไพรซ์ กรุ๊ป ที่มีอยู่กว่า 87 สาขาทั่วประเทศ โดยมียอดขายสินค้าเติบโตในอัตรา 20% ต่อเนื่องทุกเดือนนับตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม 2568

 

นอกจากนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะเทรนด์ ‘ไฮเปอร์เนสติ้ง’ (Hyper-Nesting) ที่ผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นโอกาสของสินค้าจากประเทศไทย

 

สเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฟู้ด เซ็นทรัล รีเทล กล่าวถึงภาพใหญ่ของความร่วมมือนี้ว่า “การต่อยอดความร่วมมือครั้งนี้ ไม่เพียงส่งเสริมการเติบโตของแบรนด์ไทยในตลาดต่างประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสสินค้าคุณภาพจากต่างประเทศเช่นกัน”

 

สำหรับแผนในอนาคต บริษัทตั้งเป้าจะขยายไลน์สินค้าไทยในสิงคโปร์ให้ครบ 100 รายการภายในปี 2569 พร้อมกันนี้มีแผนจะนำเข้าสินค้าจากแฟร์ไพรซ์มาจำหน่ายในประเทศไทยช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งผ่านการ ‘แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน’

The post เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ขยายธุรกิจสู่สิงคโปร์ ต่อยอด ‘ความนิยมสินค้าไทย’ เจาะตลาดพรีเมียม ปี 2569 เล็งขยายสินค้าครบ 100 รายการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เชสเตอร์รุกตลาดแคทเทอริ่ง เปิดตัว Chester’s Catering เริ่มต้นกล่องละ 69 บาท เน้นเจาะลูกค้าองค์กร https://thestandard.co/chesters-launches-new-catering-service/ Mon, 07 Jul 2025 07:34:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1093733 Chester's Catering

เชสเตอร์ เดินหน้าขยายธุรกิจรุกตลาดแคทเทอริ่ง เปิดตัวบริ […]

The post เชสเตอร์รุกตลาดแคทเทอริ่ง เปิดตัว Chester’s Catering เริ่มต้นกล่องละ 69 บาท เน้นเจาะลูกค้าองค์กร appeared first on THE STANDARD.

]]>
Chester's Catering

เชสเตอร์ เดินหน้าขยายธุรกิจรุกตลาดแคทเทอริ่ง เปิดตัวบริการ Chester’s Catering เจาะลูกค้าองค์กรและหน่วยงานที่ต้องการชุดอาหารสำหรับงานจัดเลี้ยง ประชุม ชูจุดแข็ง อร่อยเหมือนทานที่ร้าน

 

ลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดบริการ Chester’s Catering ตั้งใจมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าหน่วยงาน องค์กร และผู้บริโภคทั่วไป ที่มีความต้องการอาหารกล่องสำหรับใช้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ

 

ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการบริการที่รวดเร็ว คุณภาพดี และคุ้มค่าในคราวเดียวกัน

 

สำหรับไฮไลต์ของ Chester’s Catering มีเมนูหลากหลาย ทั้งชุดข้าว อาหารคาว ของว่าง (Snack Box) และเครื่องดื่ม พร้อมทางเลือกแบบ Mix & Match เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งเมนูตามความต้องการ สามารถสั่งขั้นต่ำได้เพียง 20 – 200 กล่อง ราคาเริ่มต้น 69 บาทต่อกล่อง สามารถตอบโจทย์ทั้งงานเล็กและงานใหญ่

The post เชสเตอร์รุกตลาดแคทเทอริ่ง เปิดตัว Chester’s Catering เริ่มต้นกล่องละ 69 บาท เน้นเจาะลูกค้าองค์กร appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะเบื้องหลัง ‘Mobile Lab’ ห้องแล็บเคลื่อนที่จาก OR ที่ตรวจคุณภาพน้ำมัน PTT Station ให้มั่นใจได้ในทุกลิตร [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/ptt-mobile-lab/ Mon, 07 Jul 2025 07:15:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1092975 Mobile Lab

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า กว่าน้ำมันจาก PTT Station จะถึงมื […]

The post เจาะเบื้องหลัง ‘Mobile Lab’ ห้องแล็บเคลื่อนที่จาก OR ที่ตรวจคุณภาพน้ำมัน PTT Station ให้มั่นใจได้ในทุกลิตร [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Mobile Lab

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า กว่าน้ำมันจาก PTT Station จะถึงมือผู้บริโภค ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้น และกลไกสำคัญของกระบวนการนี้ก็คือ ‘Mobile Lab’ หรือห้องแล็บเคลื่อนที่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำมันโดยเฉพาะ

 

Mobile Lab คือ รถตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชิงรุกที่บรรทุกห้องแล็บขนาดย่อมไว้ภายใน มีทีมผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือวิเคราะห์ระดับสากล โดยมีภารกิจหลักในการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำมันจากสถานีบริการ PTT Station กว่า 2,300 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้ง 6 เขตบริการ เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันทุกหยดที่ถึงมือผู้บริโภคยังคงคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

 

Mobile Lab รถตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน

Mobile Lab รถตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน

 

จุดมุ่งหมายของ Mobile Lab ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจสอบคุณภาพเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่คือการเสริมสร้าง ‘ความเชื่อมั่น’ ให้กับผู้บริโภค ว่าในทุกลิตรที่เติมจากหัวจ่าย PTT Station ล้วนผ่านการควบคุมมาตรฐานระดับสากล ทั้งในเชิงกระบวนการ บุคลากร และเทคโนโลยีตรวจสอบที่เชื่อถือได้

 

ครอบคลุมทั่วประเทศ ตรวจครบทุกหัวจ่าย

 

หนึ่งในจุดแข็งของ Mobile Lab คือความ ‘ครอบคลุม’ ที่ไม่ได้แค่ตรวจเฉพาะบางจุดหรือบางสถานี แต่ตรวจแบบเจาะลึกถึง ‘ทุกหัวจ่าย’ ในทุกสถานีบริการ PTT Station ทั่วประเทศ โดยมีการวางแผนเข้าตรวจสอบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งต่อสถานี พร้อมสุ่มตรวจแบบไม่แจ้งล่วงหน้า

 

กระบวนการเริ่มต้นด้วยการจอดรถ Mobile Lab ในจุดที่ไม่รบกวนลูกค้า นำตัวอย่างน้ำมันจากแต่ละหัวจ่ายทุกชนิดในสถานีบริการ แล้วนำตัวอย่างเข้าสู่การวิเคราะห์ทันทีบนรถแล็บเคลื่อนที่

 

กระบวนการนำตัวอย่างน้ำมันจากหัวจ่ายสู่การตรวจสอบ

กระบวนการนำตัวอย่างน้ำมันจากหัวจ่ายสู่การตรวจสอบ

 

ทีมงานเฉพาะทาง เครื่องมือระดับสากล

 

ความแม่นยำในการวิเคราะห์ เกิดจากการผสานระหว่างเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

 

เจ้าหน้าที่ Mobile Lab ทุกคนได้รับการทดสอบสมรรถนะอย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากภายในองค์กร ผ่านการทดสอบภายในแบบ Blind Sample Test ทุก 3 เดือน ซึ่งเป็นการสุ่มทดสอบคุณภาพน้ำมัน เพื่อประเมินความแม่นยำ และเปรียบเทียบผลการทดสอบ โดย ASTM International ซึ่งเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานด้านการทดสอบวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยส่งตัวอย่างมาให้วิเคราะห์โดยไม่แจ้งชนิดเป็นตัวอย่างที่ไม่แจ้งผลทดสอบ ให้ทดสอบและส่งผลไปประเมินความสามารถเพื่อประกันความถูกต้องของการตรวจสอบ

 

ทั้งหมดนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ Mobile Lab มีความพร้อมและความแม่นยำสูงในการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันในทุกสถานการณ์

 

กระบวนการนำตัวอย่างน้ำมันจากหัวจ่ายสู่การตรวจสอบ

 

สำหรับอุปกรณ์ตรวจสอบที่ติดตั้งอยู่บนรถ Mobile Lab ครอบคลุม 4 เครื่องมือหลัก ตั้งแต่

  • เครื่องกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก เพื่อตรวจสอบการปนเปื้อนของน้ำมัน น้ำมันเบนซินต้องมีจุดเดือดสุดท้ายไม่เกิน 210 องศาเซลเซียส หากสูงกว่านี้อาจมีสารปนเปื้อนและน้ำมันดีเซลต้องไม่เกิน 357 องศาเซลเซียส หากสูงกว่านี้ก็อาจมีการปนเปื้อนเช่นกัน
  • เครื่องวิเคราะห์จุดวาบไฟ เพื่อตรวจสอบว่าน้ำมันดีเซลว่ามีการปนเปื้อนหรือไม่ ซึ่งน้ำมันดีเซลต้องมีจุดวาบไฟไม่ต่ำกว่า 52 องศาเซลเซียส หากต่ำกว่านี้อาจมีน้ำมันเบาผสมอยู่ ซึ่งทำให้เครื่องยนต์สะดุดได้
  • เครื่องวิเคราะห์ค่า Ethanol และ ปริมาณ Fatty Acid Methyl Ester (FAME) ว่าเป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่ คลื่นแสงส่องไปในน้ำมันโดยจะมีการดูดกลืนพลังงานในแต่ละช่วง แล้ววิเคราะห์หาคุณสมบัติของน้ำมัน ทั้งเบนซิน และ ดีเซล

อย่างน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ จะตรวจดูปริมาณเอทานอลที่ผสมอยู่
– E20 ต้องมีเอทานอลอยู่ที่ประมาณ 19-20%
– E85 ต้องมีประมาณ 75-78%
– แก๊สโซฮอล์ 91 หรือ 95 ต้องมีเอทานอลประมาณ 9-10%
และน้ำมันดีเซลจะตรวจวัดค่าของ Fatty Acid Methyl Ester (FAME) ซึ่งเป็นส่วนผสมของไบโอดีเซล เช่น น้ำมันดีเซล B5 จะมี FAME ที่ 5-7% 

  • เครื่องตรวจปริมาณซัลเฟอร์ ค่ากำมะถันตามมาตรฐาน EURO 5 เพื่อควบคุมมลพิษ อยู่ที่ไม่เกิน 10 ppm

 

เครื่องมือทุกชิ้นได้รับการปรับจูน (Calibration) และทวนสอบ (Verification) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผลตรวจแม่นยำในทุกเวลา

 

กระบวนการนำตัวอย่างน้ำมันจากหัวจ่ายสู่การตรวจสอบ

กระบวนการนำตัวอย่างน้ำมันจากหัวจ่ายสู่การตรวจสอบ

 

ผลตรวจ Real-Time พร้อมระบบรับรองที่โปร่งใส

 

หลังจากการวิเคราะห์เสร็จสิ้น ผลตรวจทั้งหมดจะถูกบันทึกเข้าสู่ระบบ Mobile Lab Smart App แบบเรียลไทม์ทันที โดยจะรายงานไปยังสถานีบริการและผู้เกี่ยวข้องพร้อมกัน เพื่อความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้

 

หากผลการทดสอบผ่านเกณฑ์:

  • ผู้จัดการสถานีจะได้รับหนังสือรับรองพร้อมลายมือชื่อผู้ทดสอบ
  • ตู้จ่ายน้ำมันทุกหัวจะติดสติกเกอร์ยืนยันการตรวจสอบ

 

เจ้าหน้าที่ติดสติกเกอร์ยืนยันการตรวจสอบ

เจ้าหน้าที่ติดสติกเกอร์ยืนยันการตรวจสอบ

 

แต่หากน้ำมันไม่ผ่านมาตรฐาน:

  • ทีม Mobile Lab จะแจ้งสถานีให้ ‘หยุดจำหน่าย’ น้ำมันชนิดนั้นทันที
  • รายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไข
  • เข้าตรวจซ้ำภายหลัง เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันที่จำหน่ายกลับมามีคุณภาพตามเกณฑ์อีกครั้ง

 

ตรวจต่อเนื่องทุกเดือน มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ

 

ความสม่ำเสมอของคุณภาพไม่ได้มาจากการสุ่มตรวจเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากระบบควบคุมคุณภาพภายในของ Mobile Lab ที่เข้มข้นและต่อเนื่อง

  • ทุกเดือนจะมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันในแต่ละพื้นที่
  • ต้องทำรายงานประจำเดือน และผลตรวจในทุกเขตต้องใกล้เคียงกัน เพื่อคงมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
  • เครื่องมือจะมีการบำรุงรักษา ปรับจูน และสอบเทียบอย่างละเอียด หากพบความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยก็จะดำเนินการทันที

 

มั่นใจน้ำมันดีจริง เพราะตรวจสอบได้จริง

 

OR team

 

ในวันที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพและความโปร่งใสในทุกสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน Mobile Lab จาก OR จึงทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญที่ตรวจสอบได้จริง วิเคราะห์ได้จริง และรายงานผลได้แบบเรียลไทม์ เพื่อยืนยันว่า ทุกลิตรที่เติมจาก PTT Station ผ่านการควบคุมคุณภาพอย่างรอบด้าน มั่นใจ เชื่อใจ ไว้ใจ Mobile Lab

The post เจาะเบื้องหลัง ‘Mobile Lab’ ห้องแล็บเคลื่อนที่จาก OR ที่ตรวจคุณภาพน้ำมัน PTT Station ให้มั่นใจได้ในทุกลิตร [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลุ่มเซ็นทรัล แต่งตั้ง ‘ฌอน ฮิลล์’ เจเนเรชันที่ 4 แห่งตระกูลจิราธิวัฒน์ นั่งแท่นซีอีโอห้างหรู ‘ดี แบนคอร์ฟ’ ในเนเธอร์แลนด์ https://thestandard.co/central-sean-hill-ceo-de-bijenkorf/ Mon, 07 Jul 2025 07:05:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1093723

กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศแต่งตั้ง ‘ฌอน ฮิลล์’ (Sean Hill) เข […]

The post กลุ่มเซ็นทรัล แต่งตั้ง ‘ฌอน ฮิลล์’ เจเนเรชันที่ 4 แห่งตระกูลจิราธิวัฒน์ นั่งแท่นซีอีโอห้างหรู ‘ดี แบนคอร์ฟ’ ในเนเธอร์แลนด์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศแต่งตั้ง ‘ฌอน ฮิลล์’ (Sean Hill) เข้าดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ ห้างสรรพสินค้า ดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้ง 7 สาขา อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

 

โดยมีภารกิจหลักในการขับเคลื่อนห้างหรูระดับตำนาน ที่เปรียบดังสัญลักษณ์ของกรุงอัมสเตอร์ดัมให้ก้าวสู่ยุคใหม่ พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างเหนือระดับในโลกค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ฌอนเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 15 ปี ในธุรกิจห้างสรรพสินค้าและค้าปลีกระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดยุโรป ด้วยความเชี่ยวชาญเชิงลึกด้านกลยุทธ์ การบริหารจัดการ การบริหารการเงิน และการพัฒนาแบรนด์ค้าปลีกในเมืองใหญ่ทั่วยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล

 

ก่อนเข้ารับตำแหน่งปัจจุบันฌอนเคยดำรงตำแหน่งสำคัญไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการฝ่ายขยายธุรกิจค้าปลีกของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต (Rinascente) ประเทศอิตาลี, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ KaDeWe Group ในประเทศเยอรมนี

 

รวมถึงกรรมการผู้จัดการ กลุ่มเซ็นทรัล ยุโรป โดยมีบทบาทหลักในการกำหนดทิศทางและดูแลห้างสรรพสินค้าระดับ ไฮเอนด์ของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรปทั้ง 7 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมการลงทุนการขยายเครือข่ายสาขา และการบริหารอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในทำเลศักยภาพสูง

 

ฌอน ยังเป็นทายาทเจเนอเรชันที่ 4 แห่ง ตระกูลจิราธิวัฒน์ โดยเป็น หลานชายคนโตของสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ของไทยและขยายอาณาจักรธุรกิจครอบครัวสู่ระดับโลก

 

ฌอน ฮิลล์กล่าวถึงการเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสสานต่อความสำเร็จของห้างสรรพสินค้า ดี แบนคอร์ฟ ซึ่งมีรากฐานที่มั่นคงควบคู่กับเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่น ผมมองเห็นศักยภาพอันแข็งแกร่งของ ดี แบนคอร์ฟ ที่จะเป็นจิกซอว์สำคัญในการสร้างการเติบโตในตลาดยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล”

 

ทั้งนี้ ห้างสรรพสินค้า ดี แบนคอร์ฟ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นห้างที่มีอายุยาวนานกว่า 155 ปี ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 7 สาขาทั่วประเทศเนเธอร์แลนด์ นับเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซลฟริดเจส (Selfridges Group) ซึ่ง กลุ่มเซ็นทรัลได้เข้าร่วมลงทุนตั้งแต่ปี 2565

 

อย่างไรก็ตามธุรกิจในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล ที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันมีใน 7 ประเทศ โดยการลงทุนใน 6 ประเทศ เป็นการลงทุนส่วนตัวโดยตรงของกลุ่มเซ็นทรัล ไม่เกี่ยวข้องกับ บมจ. เซ็นทรัลรีเทล (CRC) และ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) แต่อย่างใด คือ

 

  • สหราชอาณาจักร: ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจส (Selfridges)
  • ประเทศเนเธอร์แลนด์: ห้างสรรพสินค้าดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf)
  • ประเทศไอร์แลนด์: ห้างสรรพสินค้าบราวน์ โทมัส (Brown Thomas) และ อาร์นอตส์ (Arnotts)
  • ประเทศเยอรมนี: ห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) กรุงเบอร์ลิน, โอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) เมืองมิวนิก และอัลสแตร์เฮ้าส์ (Alsterhaus) เมืองฮัมบูร์ก
  • ประเทศเดนมาร์ก: ห้างสรรพสินค้าอิลลุม (Illum)
  • และประเทศ สวิตเซอร์แลนด์: ห้างสรรพสินค้าโกลบุส (Globus) และ โกลบุสฟู้ดฮอลล์ (Globus Food Hall)

 

ส่วนการลงทุนในประเทศอิตาลี แบ่งเป็น

 

  • บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC) เป็นเจ้าของ (100%) ในส่วนของ บริษัทที่บริหารห้าง สรรพสินค้ารีนาเซนเตทั้ง 9 สาขา
  • กลุ่มเซ็นทรัล เป็นเจ้าของ (100%) เฉพาะในส่วนบริษัทที่ถือครองและบริหารอาคารและที่ดิน 2 สาขา คือ สาขาโรม ทริโทเน่ (Rome Tritone) และสาขาตูริน (Turin)

The post กลุ่มเซ็นทรัล แต่งตั้ง ‘ฌอน ฮิลล์’ เจเนเรชันที่ 4 แห่งตระกูลจิราธิวัฒน์ นั่งแท่นซีอีโอห้างหรู ‘ดี แบนคอร์ฟ’ ในเนเธอร์แลนด์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Samsung ‘ติดหล่ม’ โรงงานชิปในเท็กซัส ทุ่ม 1.2 ล้านล้านบาทสร้างจนเกือบเสร็จ แต่เจอปัญหาใหญ่ ‘ไร้เงาลูกค้า’ https://thestandard.co/samsung-delaying-completion-of-us-chip-plant-due-to-lack-of-customers/ Sat, 05 Jul 2025 09:17:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1093262 Samsung

Samsung Electronics กำลังเผชิญกับ ‘มรสุมรุมเร้า’ เมื่อโ […]

The post Samsung ‘ติดหล่ม’ โรงงานชิปในเท็กซัส ทุ่ม 1.2 ล้านล้านบาทสร้างจนเกือบเสร็จ แต่เจอปัญหาใหญ่ ‘ไร้เงาลูกค้า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Samsung

Samsung Electronics กำลังเผชิญกับ ‘มรสุมรุมเร้า’ เมื่อโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเม็ดเงินลงทุนกว่า 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท) และได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเลื่อนกำหนดการแล้วเสร็จออกไปอย่างไม่มีกำหนด

 

ลึกลงไปสาเหตุกลับไม่ใช่ปัญหาการก่อสร้าง แต่เป็นเพราะยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากเกาหลีใต้รายนี้กำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อหาลูกค้ามารองรับกำลังการผลิต

 

แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้เปิดเผยกับ Nikkei Asia ว่า “กระบวนการ (สร้างโรงงานให้เสร็จสมบูรณ์) ล่าช้าเพราะยังไม่มีลูกค้า ตอนนี้ Samsung ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะทำอะไรได้ แม้จะนำเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งในตอนนี้ก็ตาม” ปัญหานี้ตอกย้ำถึงภาวะที่น่าอึดอัดใจ เมื่อโรงงานที่ควรจะเป็นหัวหอกสำคัญกลับต้องหยุดชะงักเพราะ ‘ไร้เงาลูกค้า’ ที่จะมาใช้บริการ

 

ผู้บริหารในห่วงโซ่อุปทานชิปรายหนึ่งกล่าวว่า Samsung ซึ่งมีโรงงานอีกแห่งในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส อยู่แล้วนั้น ไม่ได้เร่งรีบที่จะติดตั้งเครื่องจักรผลิตชิปในโรงงานแห่งใหม่ “ความต้องการชิปในท้องถิ่นไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ และเทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่ Samsung วางแผนไว้เมื่อหลายปีก่อนก็ไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันอีกต่อไป”

 

เขาเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม การยกเครื่องโรงงานใหม่ทั้งหมดจะเป็นโครงการที่ใหญ่และมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นบริษัทจึงใช้แนวทาง ‘รอดูท่าที’ ไปก่อนในตอนนี้”

 

เดิมที Samsung วางแผนที่จะนำเสนอชิปเซ็ตขนาด 4 นาโนเมตร แต่ภายหลังได้เปลี่ยนแผนเพื่อรวมชิปขั้นสูงขนาด 2 นาโนเมตรเข้าไปด้วยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป

 

แม้ว่าเอกสาราก Samsung C&T บริษัทในเครือที่รับผิดชอบการก่อสร้าง จะระบุว่าการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วถึง 91.8% ณ เดือนมีนาคม และกำหนดการเดิมจะเสร็จสิ้นในเดือนเมษายน 2024 ก่อนจะเลื่อนเป็นสิ้นเดือนตุลาคมปีนี้ แต่การติดตั้งเครื่องจักรสำคัญกลับยังไม่เกิดขึ้น

 

ทาง Samsung Electronics ยืนยันกับ Nikkei Asia ว่าบริษัทยังคงวางแผนที่จะเปิดโรงงานแห่งนี้ในปี 2026 และกล่าวว่าโครงการกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาการหาลูกค้าหรือกรอบเวลาที่ชัดเจนในการติดตั้งเครื่องจักร

 

ความล่าช้านี้เกิดขึ้นในขณะที่ Samsung กำลังดิ้นรนเพื่อลดช่องว่างกับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ซึ่งครองตลาดรับจ้างผลิตชิปด้วยส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกถึง 67.6% ในไตรมาสแรก ขณะที่ Samsung มีส่วนแบ่งเพียง 7.7% ตามข้อมูลของ TrendForce

 

‘เงาของคู่แข่ง’ อย่าง TSMC ยิ่งทำให้สถานการณ์ของ Samsung ดูท้าทายมากขึ้น แม้โรงงานแห่งแรกของ TSMC ในรัฐแอริโซนาจะเผชิญกับความล่าช้าในการก่อสร้างและปัญหาการขาดแคลนแรงงานเช่นกัน แต่ในที่สุดโรงงานดังกล่าวก็สามารถเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ได้เมื่อปลายปีที่แล้ว

 

และยังสามารถคว้าลูกค้ารายใหญ่ในวงการชิป AI ได้ทั้ง Nvidia, AMD, Amazon และ Google ยิ่งไปกว่านั้น TSMC ยังได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์เมื่อต้นปีนี้เพื่อสร้างโรงงานผลิตและบรรจุชิปขั้นสูงในแอริโซนาอีกด้วย

 

Joanne Chiao นักวิเคราะห์จาก TrendForce กล่าวกับ Nikkei Asia ว่าธุรกิจรับจ้างผลิตชิปของ Samsung ประสบปัญหาสำคัญเรื่องคุณภาพ โดยมีสัดส่วนการผลิตชิปที่ได้มาตรฐาน (yield) ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของอุตสาหกรรมนี้

 

“โรงงานของ Samsung เผชิญกับอัตราผลผลิตที่ไม่แน่นอนและการสูญเสียคำสั่งซื้อ แม้ว่าอัตราผลผลิตจะดีขึ้นแล้ว แต่ข้อจำกัดของสหรัฐฯ ในการผลิตชิประดับไฮเอนด์สำหรับจีนก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อบริษัท ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม”

 

อ้างอิง:

 

The post Samsung ‘ติดหล่ม’ โรงงานชิปในเท็กซัส ทุ่ม 1.2 ล้านล้านบาทสร้างจนเกือบเสร็จ แต่เจอปัญหาใหญ่ ‘ไร้เงาลูกค้า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Uniqlo หายใจคล่องขึ้น กำแพงภาษีสหรัฐฯ-เวียดนาม ‘ลดฮวบ’ เหลือ 20% รอดพ้นวิกฤตผลกำไร Nintendo, Apple และ Samsung โล่งอกด้วย https://thestandard.co/why-uniqlo-is-relieved-by-new-us-vietnam-tariff/ Sat, 05 Jul 2025 09:01:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1093254 Uniqlo

การลดกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามที่ประกาศออกมาล่ […]

The post Uniqlo หายใจคล่องขึ้น กำแพงภาษีสหรัฐฯ-เวียดนาม ‘ลดฮวบ’ เหลือ 20% รอดพ้นวิกฤตผลกำไร Nintendo, Apple และ Samsung โล่งอกด้วย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Uniqlo

การลดกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามที่ประกาศออกมาล่าสุด ได้สร้างความโล่งใจให้กับบรรดาแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก โดยเฉพาะ Uniqlo ซึ่งพึ่งพาเวียดนามเป็นฐานการผลิตสำคัญ หลังจากที่เคยหวั่นวิตกว่าอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงถึง 46% แต่สุดท้ายกลับจบลงที่ 20% ช่วยให้บริษัทรอดพ้นจากผลกระทบที่อาจฉุดผลกำไรลงอย่างหนัก

 

ก่อนหน้านี้ Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo ซึ่งมีโรงงานคู่สัญญาในเวียดนามถึง 60 แห่งจากทั้งหมด 380 แห่งทั่วโลก ได้ย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเวียดนามและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหนีต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น แต่หากต้องเผชิญกับกำแพงภาษีอัตราเดิม กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงนี้ก็อาจกลายเป็น ‘การเดิมพันที่ผิดพลาด’ ได้ 

 

โดยบริษัทเคยประเมินว่า หากอัตราภาษีเดิมมีผลบังคับใช้ อาจฉุดผลกำไรทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณให้ลดลงได้ถึง 2-3% อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Fast Retailing ยังคงสงวนท่าที โดยระบุเพียงว่าบริษัทกำลัง “รวบรวมข้อมูล” เกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว

 

ทางด้านยักษ์ใหญ่แห่งวงการเกมอย่าง Nintendo ซึ่งใช้เวียดนามเป็นศูนย์กลางการส่งออกเครื่องเล่นเกม Switch 2 ไปยังสหรัฐฯ ก็กำลังอยู่ในกระบวนการ “ยืนยันข้อมูลและประเมินผลกระทบ” จากผลการเจรจาการค้าครั้งนี้เช่นกัน 

 

การตัดสินใจของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงมาจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรก ที่ผลักดันให้บริษัททั่วโลกต้องกระจายเครือข่ายการผลิตออกจากจีนซึ่งเคยเป็น ‘โรงงานของโลก’ โดยประเทศในกลุ่มอาเซียนรวมถึงเวียดนามได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างมาก

 

ขณะที่ Apple ซึ่งผลิต iPad และ AirPods บางส่วนในเวียดนาม และมีแผนจะให้เวียดนามเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกือบทั้งหมดที่จะขายในสหรัฐฯ ตามที่ซีอีโอ Tim Cook เคยกล่าวไว้

 

นักวิเคราะห์จาก UBS Global Wealth Management กลับมองว่า การนำเข้าสินค้าจากเวียดนามมายังสหรัฐฯ ยังคงมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของ Apple ดังนั้นภาษีในอัตรา 20% จึง ‘แทบไม่มีผลกระทบ’ ต่อผลกำไรของบริษัท

 

ส่วน Samsung Electronics ซึ่งมีโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนหลักอยู่ในเวียดนาม ผู้บริหารได้กล่าวว่ากลุ่มบริษัทจะยังคงมองหาสถานการณ์ต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป แม้ว่าข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เวียดนามจะสรุปแล้ว 

 

แต่คาดว่า Samsung จะยังคงกระจายฐานการผลิตต่อไปเพื่อสร้าง ‘ห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง’ และพร้อมรับมือกับความผันผวนของสถานการณ์โลกอยู่เสมอ

 

อ้างอิง:

The post Uniqlo หายใจคล่องขึ้น กำแพงภาษีสหรัฐฯ-เวียดนาม ‘ลดฮวบ’ เหลือ 20% รอดพ้นวิกฤตผลกำไร Nintendo, Apple และ Samsung โล่งอกด้วย appeared first on THE STANDARD.

]]>