Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 21 Nov 2024 06:46:16 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ชมคลิป: ถกวิสัยทัศน์ ‘เงินเฟ้อ’ ผู้ร้ายทำลายความมั่งคั่งหรือสิ่งจำเป็น | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-21112024-4/ Thu, 21 Nov 2024 08:05:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1011135

ส่อง 2 แนวคิดที่ต่างกันในหัวข้อ ‘เป็นไปได้หรือที่คนจะรว […]

The post ชมคลิป: ถกวิสัยทัศน์ ‘เงินเฟ้อ’ ผู้ร้ายทำลายความมั่งคั่งหรือสิ่งจำเป็น | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

ส่อง 2 แนวคิดที่ต่างกันในหัวข้อ ‘เป็นไปได้หรือที่คนจะรวยในระบบเงินเฟ้อ’ บนเวที ‘Thailand Blockchain Week 2024’ ระหว่าง พิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้ง Right Shift และกรรมการผู้จัดการ CDC ChalokeDotCom กับ ซีเค เจิง (CK Cheong) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แพลตฟอร์มรวมฟรีแลนซ์ Fastwork ติดตามได้ในไฮไลต์นี้

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ถกวิสัยทัศน์ ‘เงินเฟ้อ’ ผู้ร้ายทำลายความมั่งคั่งหรือสิ่งจำเป็น | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ชาวจีนเมินช้อปออนไลน์ อีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนเร่งขยายไปอาเซียน | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-21112024-3/ Thu, 21 Nov 2024 06:08:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1011107

ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว ทำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญช […]

The post ชมคลิป: ชาวจีนเมินช้อปออนไลน์ อีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนเร่งขยายไปอาเซียน | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว ทำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนบุกโฟกัสตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายแคมเปญ Singles’ Day กระหน่ำลดราคาดึงลูกค้า

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ชาวจีนเมินช้อปออนไลน์ อีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนเร่งขยายไปอาเซียน | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: Wealth Planning และ Asset Allocation สำหรับ ธุรกิจครอบครัว | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-21112024-2/ Thu, 21 Nov 2024 05:21:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1011065 Wealth Planning and Asset Allocation สำหรับ ธุรกิจครอบครัว

การทำ Wealth Planning และ Asset Allocation เครื่องมือบร […]

The post ชมคลิป: Wealth Planning และ Asset Allocation สำหรับ ธุรกิจครอบครัว | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
Wealth Planning and Asset Allocation สำหรับ ธุรกิจครอบครัว

การทำ Wealth Planning และ Asset Allocation เครื่องมือบริหารจัดการทรัพย์สินสำหรับธุรกิจครอบครัว พูดคุยกับ ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดอ่านหนังสือชี้ชวน และศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: Wealth Planning และ Asset Allocation สำหรับ ธุรกิจครอบครัว | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
Telehouse จับมือ mu Space ผู้นำเทคโนโลยีอวกาศไทย ยกระดับโซลูชันดาวเทียมไทยกับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย https://thestandard.co/telehouse-x-mu-space/ Thu, 21 Nov 2024 04:13:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1011023 Telehouse

Telehouse ประเทศไทย ผู้ให้บริการ Data Center ระดับโลก แ […]

The post Telehouse จับมือ mu Space ผู้นำเทคโนโลยีอวกาศไทย ยกระดับโซลูชันดาวเทียมไทยกับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Telehouse

Telehouse ประเทศไทย ผู้ให้บริการ Data Center ระดับโลก และ mu Space ผู้นำด้านนวัตกรรมวิศวกรรมดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศ ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร เสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการให้บริการ

 

mu Space ผู้ผลิตชิ้นส่วนการบินและอวกาศ และผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการดาวเทียม มีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจดาวเทียมและโทรคมนาคมทั่วประเทศไทย โดยให้บริการแบบครบวงจร เน้นให้บริการดาวเทียมประสิทธิภาพสูงและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้

 

ในฝั่งของ Telehouse ประเทศไทย ผู้ให้บริการ Colocation Data Center และโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย มีระบบนิเวศการเชื่อมต่อที่หลากหลายและครอบคลุม ช่วยให้บริษัทต่างๆ ในประเทศไทยสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีความหน่วงต่ำ ให้ประสิทธิภาพการดำเนินงานดีขึ้น ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางกรุงเทพฯ ทำให้การเข้าถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของประเทศไทยทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการยกระดับบริการดาวเทียมและโทรคมนาคมให้ดีขึ้น

 

ความร่วมมือในครั้งนี้เกิดจากวิสัยทัศน์ร่วมกันในการใช้ความเชี่ยวชาญของทั้งสองบริษัท เพื่อให้บริการได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจะเน้นไปที่การยกระดับบริการดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit: LEO) เพื่อปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมความเสถียรผ่านบริการเชื่อมต่อระหว่าง Data Center (Data Center Interconnect: DCI) ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง Data Center ราบรื่นขึ้น พร้อมกันกับการมีเทคโนโลยีที่จะช่วยลดความหน่วงและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน

 

นอกจากนี้ mu Space ยังร่วมมือกับ Lightstorm ผู้ให้บริการเชื่อมต่อระบบคลาวด์สำหรับธุรกิจในภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง ที่เน้นการเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูลและการขยายเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดและเปิดโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ

 

ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำเสนอเส้นทางการส่งข้อมูลที่มีความหน่วงต่ำและมีเส้นทางสำรองสำหรับ DCI ในประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจถึงความต่อเนื่องของบริการและประสิทธิภาพสำหรับผู้ใช้งานปลายทาง

 

The post Telehouse จับมือ mu Space ผู้นำเทคโนโลยีอวกาศไทย ยกระดับโซลูชันดาวเทียมไทยกับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไม Trade War รอบนี้ไทยตกเป็นเป้าทั้งขึ้นทั้งล่อง สินค้าไหนเสี่ยงโดนเช็กบิลจาก Trump 2.0 https://thestandard.co/trade-war-thailand-trump-2-risks/ Thu, 21 Nov 2024 04:07:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1011017 Trade War ไทย

หอการค้าไทยเตือนไทยเตรียมรับมือผลกระทบจาก Trump 2.0 ทั้ […]

The post ทำไม Trade War รอบนี้ไทยตกเป็นเป้าทั้งขึ้นทั้งล่อง สินค้าไหนเสี่ยงโดนเช็กบิลจาก Trump 2.0 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Trade War ไทย

หอการค้าไทยเตือนไทยเตรียมรับมือผลกระทบจาก Trump 2.0 ทั้งทางตรงและทางอ้อม ชี้สะเทือนส่งออกไทย 1.6 แสนล้านบาท ฉุด GDP 0.8% ย้ำจับตาขึ้นภาษีสินค้าจีน 60% ไทยเตรียมตกเป็นเป้าสินค้าจีนทะลักระลอกใหม่ ด้าน ‘ทักษิณ’ เรียกร้องรัฐบาลออกมาตรการช่วยธุรกิจไทยลงทุนในสหรัฐอเมริกา หากไทยเกินดุลการค้ามากเกินไปอาจตกเป็นเป้าให้สหรัฐฯ พร้อมระบุว่า ไทยร่วมขบวน BRICS ช่วยหนุนตลาดเกิดใหม่ รักษาสมดุลการทูต

 

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ พร้อมนโยบาย ‘America First’ ที่ชาวอเมริกันต้องมาก่อนนั้น ทรัมป์จะเน้นการลงทุนภายในสหรัฐฯ มากกว่าการลงทุนในต่างประเทศ

 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ที่สำคัญคือนโยบายการค้าของทรัมป์ในการเตรียมปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% การขึ้นภาษีสินค้าทั่วโลก 10% และการขึ้นภาษีคู่ค้าแต่ละประเทศจนกว่าจะถึงจุดสมดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ จะส่งผลต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

โดยที่ผ่านมาไทยมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เกินดุลอันดับที่ 9 และจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าไทยมีการเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ ด้านการส่งออกสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2014 แม้จะลดลงบ้างในปี 2018 แต่จากนั้นก็สูงขึ้นมาต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงสุดและมีความเสี่ยงที่สุดหากทรัมป์ปรับขึ้นภาษี ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 10,477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า 9,502 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยางและผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 4,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ดังกราฟิก)

 

Screenshot

 

หากในปี 2025 ทรัมป์ดำเนินตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ผลกระทบทางตรงที่จะเกิดกับไทย ได้แก่

 

  • ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงบางส่วนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากนโยบายการค้าแบบปกป้องจากการเก็บภาษีนำเข้า
  • การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะหากปรับขึ้นภาษีนำเข้าอีก 10% มูลค่าการค้าของไทยจะลดลง 3,106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
  • การเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% สำหรับทุกประเทศอาจลดแรงจูงใจในการลงทุนในต่างประเทศเพื่อส่งกลับไปยังสหรัฐฯ
  • นโยบายการค้าแบบปกป้องจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย

 

ขณะที่ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่

 

  • การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% อาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับจีน
  • เมื่อจีนไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ ชิ้นส่วนของไทยที่ส่งออกไปยังจีน เช่น ชิปเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในสินค้าต่างๆ จะลดลง มูลค่าการค้ากับจีนจะหายไป 49,105 ล้านบาท
  • เมื่อจีนได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี 60% มูลค่าการส่งออกจะหายไปถึง 350,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ่งที่น่ากังวลคือสินค้ากลุ่มที่จีนส่งออกไม่ได้จะทะลักเข้ามาในไทยแทน

 

“ตรงนี้ต้องจับตาผลกระทบจากการทะลักของสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดสินค้าไทยระลอกใหม่จากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 60% เพราะจีนจำเป็นต้องหาตลาดส่งออกใหม่ โดยไทยอาจเป็นหนึ่งในเป้าหมาย ซึ่งนโยบาย Decoupling จะทำให้จีนต้องกระจายความเสี่ยงโดยขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทย”

 

สินค้าจีนที่มีโอกาสทะลักเข้ามาตีตลาดสินค้าไทยระลอกใหม่

 

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้จีนต้องเร่งระบายสินค้า ดังนั้นสินค้าจีนที่มีโอกาสทะลักเข้ามาตีตลาดสินค้าไทย ได้แก่ เครื่องจักรกล, เฟอร์นิเจอร์และสินค้าเบ็ดเตล็ด, อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, โลหะและผลิตภัณฑ์จากโลหะ และสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

 

อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นโอกาสตลาดส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ เป็นการทดแทนตลาดสินค้าจีน ทั้งเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์, ยางและผลิตภัณฑ์ยาง, ของเล่น, เกม, อุปกรณ์กีฬา, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, รองเท้า, เครื่องเรือนและของตกแต่งบ้าน และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์

 

โดยสรุปหากดูจากผลกระทบแล้วจะเห็นว่าผลกระทบทางตรงจากการส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ จะลดลง 108,714 ล้านบาท และผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานจีนและสหรัฐฯ จะลดลง 49,105 ล้านบาท

 

“แต่หากดูภาพรวมนโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์จะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการส่งออกของไทยรวมกันแล้วอาจทำให้ไทยสูญเสียมูลค่าส่งออก 160,472 ล้านบาท การส่งออกหายไป 1.52% ฉุดให้ภาพรวม GDP ไทยลดลง 0.87% คาดว่าการส่งออกของไทยในปี 2024 จะอยู่ที่ 3.21%

 

“ทั้งนี้ หาก GDP โลกปี 2025 ขยายตัว 2.7-3.2% ไทยจะส่งออกอยู่ที่ 2.8% มูลค่า 302,477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดสำคัญยังคงเป็นยุโรป อินเดีย และสหรัฐฯ สินค้าเด่น ได้แก่ เครื่องจักรกล ผลไม้สดและแช่แข็ง และยางและผลิตภัณฑ์ยาง แต่หากทรัมป์ขึ้นภาษี 10% ขึ้นภาษีจีน 60% ส่งออกไทยจะเหลือ 2.24% และหากขึ้นภาษีกับประเทศที่เกินดุล 15% ขึ้นภาษีจีน 60% ส่งออกไทยจะเหลือเพียง 0.72% ไทยต้องเตรียมรับมือและวางยุทธศาสตร์รอบด้านให้ดี” ธนวรรธน์กล่าว

 

BOI ชี้ โอกาสของไทยในการดึงการลงทุนด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงจากสหรัฐฯ และจีน

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI มองว่าแม้ทรัมป์ต้องการให้เกิดการลงทุนในประเทศภายใต้ America First และ Make America Great Again แต่อย่าลืมว่าสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาซัพพลายเชนจากอาเซียนและประเทศพันธมิตร

 

“วันนี้จึงเป็นโอกาสของไทยในการดึงการลงทุนทั้งจากสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, แบตเตอรี่ในระดับเซลล์, ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), Data Center และ Cloud Service”

 

ทั้งนี้ ต้องติดตามมาตรการของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดเป็นรายอุตสาหกรรม ซึ่งไทยต้องพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ให้เร็ว

 

 

 

‘ทักษิณ’ เรียกร้องรัฐบาลออกมาตรการจูงใจช่วยธุรกิจไทยลงทุนในสหรัฐฯ ชี้ ไทยเกินดุลการค้ามากเกินไปอาจตกเป็นเป้า

 

รายงานข่าวระบุว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ซึ่งถือเป็นการให้สัมภาษณ์สื่อใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่กลับมาไทยในเดือนสิงหาคม 2023 โดยกล่าวว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลวอชิงตันกับปักกิ่งที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น จะเป็นแรงหนุนให้กับเศรษฐกิจไทยที่วางตัวเป็นกลางมาตลอด

 

ทักษิณระบุอีกว่า กังวลว่าหากไทยเกินดุลการค้ามากเกินไปอาจตกเป็นเป้าให้สหรัฐฯ ตอบโต้ได้ เพราะทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะขึ้นภาษีเพื่อรักษาดุลการค้าสหรัฐฯ

 

“ผลกระทบจากการที่ทรัมป์กลับคืนสู่อำนาจจะขยายมาถึงไทยด้วย จึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นให้บริษัทไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้”

 

ทักษิณกล่าวถึงการที่ไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ BRICS อีกว่า จะมีส่วนรักษาสมดุลของการทูตไทย โดยหวังว่าไทยจะได้รับการลงทุนผ่านการทูตสมดุลแบบที่เคยทำมาก่อนนี้

 

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง โดยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหลังโรคโควิดระบาดนั้นยังคงตามหลังเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม ดังนั้นต้องรักษาบรรยากาศทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและกระตุ้นการเติบโต เพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ปัจจุบัน

 

ทักษิณย้ำว่า เป็นเรื่องยากที่ไทยจะกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใต้บรรยากาศการเมืองไร้เสถียรภาพเช่นนี้ เพราะความเชื่อมั่นในการลงทุนของบริษัทลดลง

 

อ้างอิง:

The post ทำไม Trade War รอบนี้ไทยตกเป็นเป้าทั้งขึ้นทั้งล่อง สินค้าไหนเสี่ยงโดนเช็กบิลจาก Trump 2.0 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สตาร์ทอัพไทยรุกตลาดซิลเวอร์เทค เปิดตัว ‘CloudNurse’ แพลตฟอร์มบริหารสถานดูแลผู้สูงอายุรายแรก https://thestandard.co/thai-startup-launches-cloudnurse/ Thu, 21 Nov 2024 03:50:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1011010 CloudNurse

ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยสำ […]

The post สตาร์ทอัพไทยรุกตลาดซิลเวอร์เทค เปิดตัว ‘CloudNurse’ แพลตฟอร์มบริหารสถานดูแลผู้สูงอายุรายแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
CloudNurse

ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ประชากรไทยที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไปมีจำนวนสูงถึง 13.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ในจำนวนนี้มีผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษเกือบ 1 ล้านคน ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการสถานดูแลผู้สูงอายุพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ข้อมูลจาก McKnight’s Senior Living ปี 2566 ชี้ว่า ตลาดสถานดูแลผู้สูงอายุในไทยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 7.8% ต่อปี แซงหน้าประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมาก่อนอย่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 6.8% และ 6.4% ตามลำดับ ทั้งนี้ เนื่องจากทั้งสองประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมานานกว่า 20 ปี ทำให้มีฐานสถานดูแลผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่แล้ว 

 

ในขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานดูแลผู้สูงอายุกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ แต่ส่วนใหญ่ยังใช้ระบบบริหารจัดการแบบดั้งเดิม การบันทึกและจัดเก็บข้อมูลมีความซับซ้อน ใช้เวลานานในการเข้าถึง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการ

 

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของตลาดนี้ในไทย 

 

นอกจากจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ก็ยังมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวที่เล็กลง จาก 3.51 คนต่อครอบครัวในปี 2546 เหลือเพียง 2.59 คนในปี 2566 รวมถึงวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ต้องทำงานในเมืองและมีเวลาจำกัด ทำให้ความต้องการบริการดูแลผู้สูงอายุแบบมืออาชีพเพิ่มสูงขึ้น

 

“เราให้ความสำคัญกับการดูแลผู้สูงอายุเป็นอันดับหนึ่ง CloudNurse จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดภาระงานด้านเอกสารและการบริหารจัดการ เพื่อให้ผู้ดูแลมีเวลากับการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเต็มที่” ธนศักดิ์ ฮุ่นตระกูล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว

 

แพลตฟอร์มดังกล่าวมาพร้อมฟีเจอร์ตั้งแต่ระบบบันทึกข้อมูลผู้สูงอายุ ระบบจัดการยา ระบบรายงานเหตุ ไปจนถึงการใช้ AI ในการสรุปรายงานให้ญาติของผู้สูงอายุโดยอัตโนมัติ โดยคิดค่าบริการแบบ Payments-as-a-Service (PaaS) อยู่ที่ 350 บาทต่อผู้สูงอายุที่ใช้งาน 1 ท่าน ซึ่งช่วยให้สถานดูแลผู้สูงอายุไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้น

 

ปัจจุบัน CloudNurse อยู่ระหว่างการเจรจากับสถานดูแลผู้สูงอายุ 20 แห่ง และตั้งเป้าขยายเป็น 100 แห่งภายในปี 2568 ผ่านการจัดสัมมนาและการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ยังมองโอกาสขยายบริการไปยังกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลที่บ้านและคลินิกฟื้นฟูสมรรถภาพ

 

แม้จะมีคู่แข่งที่เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับโรงพยาบาล แต่ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและการออกแบบที่เน้นความง่ายในการใช้งาน ทำให้ CloudNurse มั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดสถานดูแลผู้สูงอายุได้อย่างตรงจุด

 

ขณะที่สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่มีผู้สูงวัยมากกว่า 1 ใน 5 ของประชากร คำถามสำคัญคือ ไม่ใช่แค่เราจะดูแลผู้สูงอายุอย่างไร แต่เป็นเรื่องของการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ทั้งระบบสาธารณสุข เทคโนโลยี และโครงสร้างทางสังคม เพื่อให้การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของไทยเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่การมีอายุที่ยืนยาวขึ้น แต่เป็นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงวัย

The post สตาร์ทอัพไทยรุกตลาดซิลเวอร์เทค เปิดตัว ‘CloudNurse’ แพลตฟอร์มบริหารสถานดูแลผู้สูงอายุรายแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ​​เปิดเบื้องลึก ปตท.จ่อถอนลงทุนร่วมโรงงานผลิตรถ EV กับกลุ่มฟ็อกซ์คอนน์ | Morning Wealth 21 พ.ย. 2567 https://thestandard.co/morning-wealth-21112024/ Thu, 21 Nov 2024 03:19:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1010989 รถ EV

​​เปิดเบื้องลึก ปตท. จ่อถอนลงทุนโรงงานร่วมทุนผลิตรถ EV […]

The post ชมคลิป: ​​เปิดเบื้องลึก ปตท.จ่อถอนลงทุนร่วมโรงงานผลิตรถ EV กับกลุ่มฟ็อกซ์คอนน์ | Morning Wealth 21 พ.ย. 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รถ EV

​​เปิดเบื้องลึก ปตท. จ่อถอนลงทุนโรงงานร่วมทุนผลิตรถ EV กับกลุ่มฟ็อกซ์คอนน์ มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท หลังโดนวิกฤต Oversupply รถ EV จีนลามหนัก รายละเอียดเป็นอย่างไร

 

การทำ Wealth Planning และ Asset Allocation เครื่องมือบริหารจัดการทรัพย์สินสำหรับธุรกิจครอบครัว พูดคุยกับ ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 . ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

 

The post ชมคลิป: ​​เปิดเบื้องลึก ปตท.จ่อถอนลงทุนร่วมโรงงานผลิตรถ EV กับกลุ่มฟ็อกซ์คอนน์ | Morning Wealth 21 พ.ย. 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว? ทำอีคอมเมิร์ซเร่งขยายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ Temu เจออุปสรรคเข้าอินโดนีเซียไม่ได้ รัฐบาลอ้างต้องคุมสินค้าราคาถูก https://thestandard.co/ecommerce-growth-in-southeast-asia/ Wed, 20 Nov 2024 09:36:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1010801

ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว ทำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญช […]

The post ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว? ทำอีคอมเมิร์ซเร่งขยายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ Temu เจออุปสรรคเข้าอินโดนีเซียไม่ได้ รัฐบาลอ้างต้องคุมสินค้าราคาถูก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว ทำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนบุกโฟกัสตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายแคมเปญ Singles’ Day กระหน่ำลดราคาดึงลูกค้า แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายของ Temu ที่พยายามเจาะอินโดนีเซียหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ รัฐบาลชี้ ต้องคุมการนำเข้าสินค้าราคาถูกและปกป้องผู้ประกอบการรายเล็ก

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นิยมสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซเป็นอย่างมาก เพราะด้วยจำนวนประชากรที่มีอายุน้อยและมีการเข้าถึงโลกโซเชียลเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในโลก 

 

สอดคล้องกับรายงานจาก Google, Temasek และ Bain & Company ระบุว่า ในปีที่ผ่านมาตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่าการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม (GMV) รวมสูงถึง 1.39 แสนล้านดอลลาร์ จึงทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นสนามแข่งขัน สำคัญของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ ทั้ง Shopee, TikTok Shop, Lazada และ Temu 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

แม้ว่าจะไม่มีแพลตฟอร์มจากค่ายไหนเปิดเผยตัวเลข GMV (มูลค่ารวมของสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์ม) หรือในช่วงเทศกาลลดราคาโดยตรง แต่ก็เห็นการขยายตัวอย่างชัดเจน 

 

สำหรับในปีนี้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนอย่าง Alibaba และ JD.com มีการขยายแคมเปญ Singles’ Day ซึ่งเป็นเทศกาลลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ ไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

จริงๆ แล้ว Double 11 เป็นเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจัดขึ้นทุกวันที่ 11 พฤศจิกายนของทุกปี มีจุดเริ่มต้นมาจาก Taobao ของ Alibaba ที่เริ่มต้นจัดงานนี้ในประเทศจีนเมื่อ 15 ปีก่อน ในช่วงแรกเริ่มก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันความนิยมในจีนเริ่มลดลง ไม่นิยมสั่งซื้อสินค้าในช่วงแคมเปญเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้องเผชิญกับเศรษฐกิจชะลอตัว ต้องระมัดระวังการใช้จ่าย รวมถึงรัฐบาลมีการควบคุมสงครามราคาอีกด้วย 

 

หากสังเกตจะเห็นว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขการขายมา 2 ปีแล้ว และปีนี้ Tmall แพลตฟอร์มในเครือ Alibaba ก็ไม่ได้จัดงานอีเวนต์เหมือนหลายปีที่ก่อนที่เคยมีการแสดงจากนักร้องชื่อดัง เช่น Taylor Swift และ Scarlett Johansson

 

สะท้อนให้เห็นว่าตลาดในจีนเริ่มอิ่มตัวแล้ว แพลตฟอร์มของจีนจึงเปลี่ยนโฟกัส ขยายไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้ประโยชน์จากการมีห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ เพื่อลดราคาสู้กับคู่แข่งในตลาดอื่นๆ แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม ตลาด การกำกับดูแล และนโยบายการคุ้มครองตลาดในแต่ละประเทศ

 

เหมือนกับที่ Temu และ SHEIN กำลังเผชิญกับการตรวจสอบในประเทศเวียดนาม ซึ่งรัฐบาลได้เตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับการซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่ไม่ได้จดทะเบียน และ Temu ยังพยายามจะเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะรัฐบาลอ้างว่าจำเป็นต้องควบคุมการนำเข้าสินค้าราคาถูก เพื่อปกป้องผู้ประกอบการรายเล็กในประเทศ 

 

เมื่อมาดูความคึกคักของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย หากสังเกตจะเห็นว่าถนนในกรุงเทพฯ ย่านที่มีคนพลุกพล่านจะเห็น TikTok Shop แสดงแคมเปญ Double 11 บนจอ LED ขนาดใหญ่ ชวนให้ไปช้อปปิ้ง และมีการยิงโฆษณาบนแอปพลิเคชันเรียกรถอย่าง Grab ไม่เว้นแม้แต่ Lazada ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alibaba Group ก็สร้างกระแสโปรโมชันอย่างหนักหน่วง รวมถึงแพลตฟอร์ม X ก็เต็มไปด้วยโฆษณาที่เสนอส่วนลดอย่างต่อเนื่อง 

 

ณัฐพงศ์ คู่เมือง ชาวกรุงเทพฯ วัย 28 ปี กล่าวว่า ตัวเขาซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมูลค่า 3,600 บาทบนแพลตฟอร์ม Shopee และใช้โปรโมชันส่วนลดไป ทำให้ประหยัดได้ประมาณ 20% โดยส่วนลดในช่วง Double 11 จะคุ้มกว่าแคมเปญอื่นๆ

 

รวมถึงตลาดมาเลเซียมีผู้คนมากกว่า 5 ล้านคนเข้าร่วมรับชมงาน 11.11 Mega LIVE Showdown ที่จัดขึ้นโดย TikTok Shop เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา งานนี้สร้างคำสั่งซื้อผ่านไลฟ์สตรีมประมาณ 80,000 รายการ ขณะเดียวกัน Shopee Live ในมาเลเซียก็ทำยอดขายสินค้ากว่า 2.5 ล้านชิ้นในช่วง 2 ชั่วโมงแรกของวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าจากยอดขายในช่วงปกติ

 

ด้าน Lazada อธิบายถึงเทศกาล Singles’ Day ของปีนี้ว่า เป็นโอกาสทางธุรกิจของแพลตฟอร์ม และเน้นนำแบรนด์สินค้าที่มียอดเติบโตมาเพิ่มโปรโมชัน ให้ส่วนลด เมื่อมียอดใช้จ่ายถึงเกณฑ์ที่กำหนดและจัดส่งฟรีเพื่อดึงดูดนักช้อป โดยปีนี้ Lazada ยังรายงานด้วยว่าบรรลุเป้าหมายการทำกำไรเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม โดยวัดจากกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย 

 

พร้อมกันนี้เมื่อตลาดอีคอมเมิร์ซขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็สร้างอานิสงส์ให้บริษัทขนส่งสินค้าด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 1-11 พฤศจิกายน J&T Express ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแง่ของปริมาณการจัดส่งนั้นได้จัดการพัสดุมากกว่า 15 ล้านชิ้นต่อวัน เพิ่มขึ้นถึง 73% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น J&T Express จึงขยายพื้นที่คัดแยกพัสดุเพิ่มขึ้นประมาณ 19,000 ตารางเมตร และติดตั้งระบบอัตโนมัติเพิ่มอีกกว่า 13 ระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ควบคู่กับการเพิ่มยานพาหนะขนส่งกว่า 900 คัน และจ้างพนักงานมากกว่า 3,800 คน เพื่อเสริมความสามารถในการคัดแยก การจัดส่ง และการบริการลูกค้าให้ได้อย่างครอบคลุม

 

“สุดท้ายตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมาฟื้นตัวแล้ว และเข้าสู่ช่วงการเติบโตที่มั่นคงแล้วหลังผ่านพ้นช่วงวิกฤตโควิดมา” Li Jianggan ผู้ก่อตั้ง Momentum Works กล่าว

 

ภาพ: yanishevska / shutterstock

อ้างอิง:

The post ชาวจีนไม่นิยมช้อปออนไลน์แล้ว? ทำอีคอมเมิร์ซเร่งขยายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ Temu เจออุปสรรคเข้าอินโดนีเซียไม่ได้ รัฐบาลอ้างต้องคุมสินค้าราคาถูก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดรหัสพฤติกรรมคนทำศัลยกรรม! เผย 65% กลับมาแปลงโฉมซ้ำ จมูกและตาครองแชมป์ยอดฮิต Gen Z ผงาดผู้นำเทรนด์ https://thestandard.co/plastic-surgery-trends-gen-z-nose-eyes/ Wed, 20 Nov 2024 08:04:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1010727

ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคชี้ว่า 65% ของผู้ที่เคยทำศัลยกรร […]

The post ถอดรหัสพฤติกรรมคนทำศัลยกรรม! เผย 65% กลับมาแปลงโฉมซ้ำ จมูกและตาครองแชมป์ยอดฮิต Gen Z ผงาดผู้นำเทรนด์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคชี้ว่า 65% ของผู้ที่เคยทำศัลยกรรมมีแนวโน้มกลับมาทำซ้ำมากกว่า 1 ประเภท โดยการทำจมูกและตาครองอันดับ 1 ของความนิยม ขณะที่กลุ่ม Gen Z กลายเป็นผู้นำเทรนด์รายใหม่ที่น่าจับตา ด้วยสัดส่วนผู้ที่เคยทำศัลยกรรมสูงถึง 35% และยังเป็นกลุ่มที่แสดงความสนใจสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ Gen อื่นๆ

 

ตลาดคลินิกความงามและศัลยกรรมไทยคึกคัก มูลค่าพุ่งแตะ 7.1-7.2 หมื่นล้านบาท สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปิดใจกับการทำศัลยกรรมมากขึ้น พร้อมแชร์ประสบการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ขณะที่กลุ่มผู้ชายและ LGBTQIA+ กลายเป็นตลาดใหม่ที่มาแรง

 

ศูนย์วิจัย SCB EIC เผยโฉมหน้าตลาดคลินิกความงามไทยที่แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ธุรกิจบริการหัตถการเสริมความงามและธุรกิจศัลยกรรมความงาม โดยพบว่าธุรกิจหัตถการกำลังขยายฐานลูกค้าเข้าสู่กลุ่มผู้ชายและ Gen Z มากขึ้น ส่วนใหญ่นิยมใช้บริการด้านการรักษาและบำรุงผิวเป็นหลัก ควบคู่กับหัตถการประเภทอื่น ขณะที่ธุรกิจศัลยกรรมความงามได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากกลุ่ม Gen Z และ LGBTQIA+

 

ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคชี้ว่า 65% ของผู้ที่เคยทำศัลยกรรมมีแนวโน้มกลับมาทำซ้ำมากกว่า 1 ประเภท โดยการทำจมูกและตาครองอันดับ 1 ของความนิยม ขณะที่กลุ่ม Gen Z กลายเป็นผู้นำเทรนด์รายใหม่ที่น่าจับตา ด้วยสัดส่วนผู้ที่เคยทำศัลยกรรมสูงถึง 35% และยังเป็นกลุ่มที่แสดงความสนใจสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ Gen อื่นๆ

 

สะท้อนให้เห็นชัดจากกรณีของ THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มคลินิกความงามขนาดใหญ่ของไทย พร้อมอัตราการเติบโตระดับ 2 หลัก โดยในปี 2566 มีสัดส่วนรายได้จากแผนกผิวหนังและความงาม 80.7% ตามมาด้วยแผนกศัลยกรรมตกแต่ง 10.3% แผนกชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ 6.3% รวมทั้งแผนกลดน้ำหนักและดูแลรูปร่าง 2.7%

 

นพ.อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ THE KLINIQUE ระบุว่า ปัจจุบัน THE KLINIQUE มีผู้ใช้บริการกว่า 3 แสนราย โดย 70% เป็นกลุ่มพรีเมียมที่มีความถี่ในการใช้บริการสูงและพร้อมจ่าย 12,000-15,000 บาทต่อครั้ง แบ่งเป็นลูกค้าไทย 85% และต่างชาติ 15% โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศ CLMV และจีน ขณะที่ 6 อันดับศัลยกรรมยอดนิยม ได้แก่ จมูก 46%, ตา 43%, ใบหน้า 26%, ดูดไขมัน 24%, หน้าอก 13% และร่างกาย 9%

 

ด้านทิศทางธุรกิจ THE KLINIQUE ทุ่มงบ 500 ล้านบาทขยาย 20 สาขาใหม่ทั่วประเทศ เฉลี่ยลงทุน 25-30 ล้านบาทต่อสาขา พร้อมรุกตลาดคนรุ่นใหม่ด้วยแพ็กเกจราคา 3,000-6,000 บาท ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้า Gen Z เป็น 10-20% จากปัจจุบันที่ส่วนใหญ่เป็น Gen X และ Y รวมถึงขยายฐานลูกค้าต่างชาติเป็น 20-25% เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มใช้บริการต่อเนื่อง

 

ด้วยกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าเชิงรุก ส่งผลให้ THE KLINIQUE เติบโตเหนือตลาดรวมถึง 3 เท่า หรือประมาณ 30% คาดปี 2567 จะมีรายได้แตะ 2.9-3 พันล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน พร้อมผนึกกำลัง Warner Music Thailand ปล่อยแคมเปญ ‘หมอไหน’ ครั้งแรกของวงการที่ใช้ Music Marketing เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

 

ล่าสุด THE KLINIQUE รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 749.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมกำไรสุทธิ 74.04 ล้านบาท เติบโต 4.4% อานิสงส์จากการขยาย 19 สาขาใหม่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น สะท้อนภาพการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดความงามมูลค่า 7.2 หมื่นล้านบาท

 

ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ศูนย์กลางการแพทย์ความงามของโลกรองจากสหรัฐฯ, เกาหลีใต้, จีน และบราซิล ยิ่งทำให้สงครามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดทวีความเข้มข้น ท่ามกลางการรุกคืบของผู้ประกอบการรายใหม่ที่พร้อมลงสนามด้วยกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ

 

The post ถอดรหัสพฤติกรรมคนทำศัลยกรรม! เผย 65% กลับมาแปลงโฉมซ้ำ จมูกและตาครองแชมป์ยอดฮิต Gen Z ผงาดผู้นำเทรนด์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Facebook ไม่ใช้ Impressions แล้ว เปลี่ยนมาใช้ Views เป็นตัวชี้วัดหลักเหมือน Instagram https://thestandard.co/facebook-views-metric-instagram/ Wed, 20 Nov 2024 08:01:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1010726

Meta ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน Facebook โดยหันมา […]

The post Facebook ไม่ใช้ Impressions แล้ว เปลี่ยนมาใช้ Views เป็นตัวชี้วัดหลักเหมือน Instagram appeared first on THE STANDARD.

]]>

Meta ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน Facebook โดยหันมายึด ‘ยอดวิว’ (Views) เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักของคอนเทนต์ เช่นเดียวกับที่ Instagram ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของ Facebook ที่ต้องการลดความซับซ้อนของระบบวัดผล และสอดรับกับพฤติกรรมของผู้ใช้ที่หันมาบริโภคคอนเทนต์วิดีโอมากขึ้น

 

เดิมที Facebook ใช้ตัวชี้วัดที่หลากหลายและแตกต่างกันไปตามประเภทของคอนเทนต์ เช่น จำนวนการเล่น การแสดงผล และการเข้าถึง ซึ่งสร้างความสับสนและยากต่อการวิเคราะห์ แต่หลังจากนี้ยอดวิวจะเป็นตัวชี้วัดหลักสำหรับทั้งโพสต์, รูปภาพ, ข้อความ, วิดีโอ และ Stories โดยนับจำนวนครั้งที่คอนเทนต์ปรากฏบนหน้าจอของผู้ใช้ รวมถึงการดูซ้ำ

 

ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้คนหนึ่งเลื่อนดูรูปภาพเดียวกัน 3 ครั้งใน 1 วัน ระบบจะนับเป็น 3 ยอดวิวแทนที่จะเป็น 1 การแสดงผล (Impressions) เช่นเดียวกับ Stories ที่ยอดวิวจะนับรวมการดูซ้ำ ซึ่งอาจทำให้ยอดวิวสูงกว่าจำนวนการแสดงผลแบบเดิม

 

ส่วนวิดีโอจะเปลี่ยนชื่อตัวชี้วัด ‘เวลาในการรับชม’ (Watch Time) และ ‘เวลาในการรับชมเฉลี่ย’ (Average Watch Time) เป็น ‘นาทีที่รับชม’ (Minutes Viewed) และ ‘นาทีที่รับชมเฉลี่ย’ (Average Minutes Viewed) เพื่อให้สอดคล้องกับ Instagram และเข้าใจง่ายขึ้น

 

Meta เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคอนเทนต์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ต้องการวัดผลและปรับปรุงกลยุทธ์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

อย่างไรก็ตาม Meta เตือนว่าวิธีการวัดผลแบบใหม่อาจทำให้ข้อมูลแตกต่างไปจากเดิม ดังนั้นผู้ใช้ควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการตีความข้อมูล ตัวอย่างเช่น ยอดวิวที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ได้หมายความว่าคอนเทนต์นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เป็นเพราะวิธีการนับที่เปลี่ยนไป

 

การเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มทยอยนำมาใช้ใน Meta Business Suite และ Professional Dashboard ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งถือเป็นโอกาสดีสำหรับแบรนด์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในการปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ เพื่อสร้างเอ็นเกจเมนต์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มของ Meta ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

อ้างอิง:

The post Facebook ไม่ใช้ Impressions แล้ว เปลี่ยนมาใช้ Views เป็นตัวชี้วัดหลักเหมือน Instagram appeared first on THE STANDARD.

]]>