Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 28 May 2025 06:27:01 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 The 1 Insight จับมือ Wisesight เปิดโผ 4 ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ‘Modern Life Milestones’ บอกลาการสะสมทรัพย์สิน หันมาจ่ายเพื่อความสุขทันที https://thestandard.co/modern-life-milestones-gen-z-lifestyle/ Wed, 28 May 2025 06:27:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1079394 ภาพประกอบอินโฟกราฟิก 4 ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่จาก The 1 Insight และ Wisesight ที่สะท้อนพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อความสุขทันที

The 1 Insight ผนึกกำลัง Wisesight Research ปล่อยบทวิเคร […]

The post The 1 Insight จับมือ Wisesight เปิดโผ 4 ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ‘Modern Life Milestones’ บอกลาการสะสมทรัพย์สิน หันมาจ่ายเพื่อความสุขทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพประกอบอินโฟกราฟิก 4 ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่จาก The 1 Insight และ Wisesight ที่สะท้อนพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อความสุขทันที

The 1 Insight ผนึกกำลัง Wisesight Research ปล่อยบทวิเคราะห์ ‘The Great Lifestyle Shift’ เจาะลึก 4 รูปแบบไลฟ์สไตล์ใหม่ในชื่อ ‘Modern Life Milestones’ ที่กำลังพลิกโฉมวิธีคิดและการใช้จ่ายของคนไทย จากยุคเก็บหอมรอมริบเพื่ออนาคต สู่ยุค ‘จ่ายเพื่อความสุขแบบทันควัน’ หรือ Instant Gratification

 

การวิเคราะห์ครั้งนี้ผสมผสานข้อมูลเชิงลึกจากพฤติกรรมการใช้จ่ายจริงของ The 1 Insight เข้ากับการวิจัยความคิดเห็นบนโลกโซเชียลโดย Wisesight Research เพื่อฉายภาพการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงพฤติกรรมและทัศนคติได้อย่างรอบด้าน

 

ผลวิจัยเผยแนวโน้มใหม่ 4 ด้านที่น่าจับตามอง ได้แก่

 

1. Pet is the New Family: หมาแมวขึ้นแท่นลูกคนที่สอง

 

ในยุคที่ผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถามกับ ‘สูตรสำเร็จ’ ของชีวิตแบบเดิมและเลือกมีลูกน้อยลง สัตว์เลี้ยงกลายเป็นศูนย์กลางความรักแบบใหม่ โดย 52% ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ‘ลูกขน’ เป็นอันดับแรก โดยเฉพาะการใช้จ่ายกับคลินิกสัตว์เลี้ยงและอาหารคุณภาพดี ขณะที่ 30% ยอมรับว่าการเห็นสัตว์เลี้ยงอิ่มท้องคือความสุขชีวิต

 

ตลาดสินค้าสัตว์เลี้ยงพุ่งทะยาน 15% โดย Gen Y จ่ายหนักสุด ตามด้วย Gen X ที่น่าทึ่งคือสินค้า Pet Technology โตบ้าระห่ำกว่า 20 เท่า! โดยเฉพาะ ‘ห้องน้ำแมวอัตโนมัติ’ ยอดขายพุ่งกว่า 20 เท่า ตามมาด้วยเครื่องเป่าขนและน้ำพุสัตว์เลี้ยง

 

ทั้งหมดนี้พิสูจน์ชัดเจนว่าสัตว์เลี้ยงกำลังกลายเป็นจุดโฟกัสใหม่ของการดูแลและใช้จ่ายในครัวเรือน เปิดโอกาสทองให้ธุรกิจที่เข้าใจบทบาทของสัตว์เลี้ยงในฐานะ ‘สมาชิกครอบครัว’ อย่างแท้จริง

 

2. Health is the New Wealth: สุขภาพดีคือสมบัติล้ำค่า

 

แนวคิดเรื่อง ‘การดูแลสุขภาพ’ ของผู้บริโภคปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เคยมองเป็นเรื่องของอนาคตหรือวัยเกษียณ กลายมาเป็นการลงทุนที่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ในทุกช่วงอายุ

 

Wisesight Research พบว่า 44% มีความสนใจอาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน ขณะที่การออกกำลังกายมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายในกลุ่มฟิตเนสเติบโต 3 เท่าในปีที่ผ่านมา ตามการวิเคราะห์ของ The 1 Insight

 

สินค้าด้านสุขภาพในบ้านก็เติบโตเด่นชัด ลู่วิ่งไฟฟ้าขายดีขึ้น 20% เซ็ตดัมบ์เบลและม้านั่งออกกำลังกายได้รับความนิยมสูงขึ้นต่อเนื่อง

 

ที่น่าสนใจคือ 52% ของผู้บริโภคมองว่าประกันสุขภาพคือสิ่งแรกที่ต้องลงทุน เพื่อเป็นแผนสำรองลดความเสี่ยงปัญหาการเงิน ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต The 1 Insure พุ่ง 2.5 เท่าในปีที่ผ่านมา สมาร์ทวอทช์ก็ขายดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน Gen Z ที่ใส่ใจติดตามสุขภาพทุกวัน

 

คลินิกเพื่อสุขภาพและความงามโตถล่มทลาย 70% ในปีที่ผ่านมาทุกช่วงวัย กลุ่มทรีตเมนต์บำรุงผิวหน้าที่ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์มีอัตราเติบโตในทุกช่วงวัย แม้แต่ Gen Z ที่ยังหนุ่มสาวแต่เลือกใช้จ่ายเพื่อภาพลักษณ์และ ‘ความมั่นใจ’ ที่ให้ผลลัพธ์ทันที

 

3. Travel is the New Milestone: เที่ยวคือการสะสมความทรงจำ

 

สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่โดยเฉพาะ Gen Y แนวคิดเรื่องความสำเร็จได้เปลี่ยนจากการมีทรัพย์สินถาวร สู่การสะสม ‘ประสบการณ์’ ที่มีความหมายมากกว่า

 

Wisesight Research พบว่าคนปัจจุบันมองการท่องเที่ยวเป็นมากกว่าการเดินทาง โดย 44% มองว่าเป็นการเติมเต็มความสุขในชีวิต เพราะเป็นโอกาสที่ดีในการใช้เวลากับคนที่รักหรือคนสำคัญ และยังเป็นการให้เวลากับตัวเอง 

 

30% มองว่าเป็นการเยียวยาจิตใจและสร้างสมดุลชีวิต ช่วยบรรเทาความเครียดจากชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะความกดดันจากการทำงานหนัก และ 21% มองว่าเป็นความฝันหรือเป้าหมายในชีวิต โดยเฉพาะการได้ไปเยือนจุดหมายที่ตั้งใจ หรือมีไลฟ์สไตล์การเดินทางในแบบที่ต้องการ

 

พฤติกรรมการใช้จ่ายสะท้อนแนวโน้มนี้อย่างชัดเจน The 1 Insight พบว่ายอดใช้จ่ายคนไทยในห้างยุโรปพุ่งขึ้นกว่า 3.5 เท่า พร้อมกับสินค้าหมวดเสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับการเดินทางที่เติบโตกว่า 30% ในปีที่ผ่านมา

 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย้ำชัดถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดของผู้บริโภค ที่ไม่ได้มองการเดินทางเป็นแค่การพักผ่อนเท่านั้น แต่คือ ‘Milestone แห่งชีวิต’ ที่สามารถเติมเต็มได้ทุกปี ไม่จำเป็นต้องรอถึงวัยหรือสถานะที่ ‘พร้อม’ อีกต่อไป

 

4. Joy is the New Priority: ความสุขเล็กๆ ไม่ต้องรอ

 

ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความสุขในชีวิตประจำวันจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคไม่อยากรออีกต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับ ‘คุณภาพของวันธรรมดา’ มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

Wisesight Research พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับความสุขในชีวิตประจำวัน โดยมีลำดับความสำคัญแตกต่างกันไป ได้แก่ การได้อยู่กับคนสำคัญและครอบครัว (34%) การได้ทานอาหารอร่อย (22%) การมีชีวิตเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ (20%) สุขภาพแข็งแรง (13%) และการได้ทำงานอดิเรก (11%)

 

แนวโน้มนี้สะท้อนผ่านพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างชัดเจน อาทิ กลุ่ม Fine Dining ซึ่งมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนเพิ่มขึ้นกว่า 60% โดย Gen Y และ Gen X คือกลุ่มหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้ เพราะมื้ออาหารไม่ใช่แค่เรื่องของการอิ่มท้องอีกต่อไป แต่กลายเป็น ‘พื้นที่แห่งความสุข’ ที่เติมเต็มพลังใจ และสร้างช่วงเวลาคุณภาพในวันธรรมดาได้อย่างจับต้องได้

 

สินค้าที่ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งการพักผ่อนในบ้านก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในทุกเจเนอเรชัน Gen Z นิยมซื้อเครื่องเล่นเกมและทีวี Gen Y นิยมอุปกรณ์ออกกำลังกายในบ้าน Gen X ให้ความสำคัญกับเครื่องนอนคุณภาพดี Baby Boomers นิยมอุปกรณ์สปาใช้ในบ้าน

 

อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมข้ามเจเนอเรชันคือ ‘เครื่องนอนและอุปกรณ์เพื่อการพักผ่อน’ โดยเฉพาะ Topper ที่มียอดขายเติบโตถึง 3 เท่า และสินค้ากลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะยอมจ่ายในราคาต่อชิ้นที่สูงขึ้นถึง 1.5 เท่า

 

การใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขในชีวิตประจำวันได้กลายเป็นเมกะเทรนด์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน แบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์ความสบายใจ ความสบายกาย และคุณภาพของวันธรรมดาได้ จะเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทในตลาดต่อจากนี้ไป

 

การวิจัยครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพฤติกรรมผู้บริโภคไทย ที่หันมาให้ความสำคัญกับ ‘คุณค่าในชีวิต’ และ ‘ความสุขที่เกิดขึ้นทันที’ มากกว่าการสะสมทรัพย์สินเพื่ออนาคต แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนให้แบรนด์ต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์ให้ทันกับไลฟ์สไตล์ใหม่ เพราะแบรนด์ไหนที่เข้าใจและตอบโจทย์ ‘Modern Life Milestones’ ได้ดีที่สุด จะคว้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ไปครองเต็มๆ ในตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้

 

ภาพ: Jo Panuwat D / Shutterstock

The post The 1 Insight จับมือ Wisesight เปิดโผ 4 ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ‘Modern Life Milestones’ บอกลาการสะสมทรัพย์สิน หันมาจ่ายเพื่อความสุขทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทียบฟอร์มโมเดล AI ชื่อดัง ตัวไหนเป็นที่นิยมในแต่ละด้าน https://thestandard.co/ai-model-comparison/ Tue, 27 May 2025 10:52:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1079135 โมเดล AI

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ AI (Artificial Intelligence) ถือได้ว่ […]

The post เทียบฟอร์มโมเดล AI ชื่อดัง ตัวไหนเป็นที่นิยมในแต่ละด้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
โมเดล AI

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ AI (Artificial Intelligence) ถือได้ว่าเป็นเทรนด์สำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบหรือวิถีชีวิตของมนุษย์ไปอย่างมาก ทั้งในแง่การทำงาน การใช้ชีวิต ความบันเทิง และอีกหลายๆ มิติ จึงทำให้โมเดล AI ที่ถูกพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามหลัง ChatGPT ของ OpenAI อย่างเช่น Claude, Deepseek เป็นต้น

 

แม้ AI ส่วนมากที่พัฒนาขึ้นมาในยุคนี้จะเป็นลักษณะ​ Generative AI หรือ AI ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และทำงานได้หลากหลายด้าน แต่โมเดล AI แต่ละตัวก็มักจะถูกพัฒนาโดยมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป บ้างถนัดงานคิด (Reasoning) บ้างถนัดงานสร้างสรรค์ (Creativity) หรือบางโมเดลก็ถนัดงานข้อความ (Text) เป็นต้น

 

ในบทความนี้ทางทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปเทียบฟอร์มของโมเดล AI ชื่อดังต่างๆ ในตลาด ว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งด้านใด และอย่างไรกันบ้าง ให้ผู้อ่านเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม

 

โมเดล AI

The post เทียบฟอร์มโมเดล AI ชื่อดัง ตัวไหนเป็นที่นิยมในแต่ละด้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
วัตสันขยายสาขาใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี พลิกเกมสุขภาพ-ความงาม รับเทรนด์คนไทยใส่ใจดูแลตัวเอง หลังวิจัยพบ 80% หันมาซื้อวิตามินเพื่อสุขภาพ https://thestandard.co/watsons-expansion-thailand/ Tue, 27 May 2025 08:44:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1079078 watsons-expansion-thailand

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การดูแ […]

The post วัตสันขยายสาขาใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี พลิกเกมสุขภาพ-ความงาม รับเทรนด์คนไทยใส่ใจดูแลตัวเอง หลังวิจัยพบ 80% หันมาซื้อวิตามินเพื่อสุขภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
watsons-expansion-thailand

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การดูแลสุขภาพไม่ใช่เพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่กลายเป็นไลฟ์สไตล์หลักของคนรุ่นใหม่ที่มองการลงทุนในสุขภาพเป็นรากฐานของความสุขที่ยั่งยืน ‘วัตสัน’ ได้เปิดเผยผลสำรวจที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคกว่า 4,000 คนทั่วประเทศ เผยให้เห็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดสุขภาพและความงามในปัจจุบัน

 

โซเชียลมีเดียยังคงเป็นแพลตฟอร์มทรงอิทธิพลที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจซื้อ โดย Facebook ครองแชมป์ 52% ขณะที่ TikTok พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 45% เติบโตแบบก้าวกระโดดเท่าตัวภายในปีเดียว ยืนยันว่า ‘ไวรัล’ ไม่ใช่แค่คำ แต่คือกำลังซื้อที่จับต้องได้จริง

 

ตามด้วย Instagram และ YouTube ที่ยังรักษาพื้นที่ไว้ได้ดี ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ‘รีวิวจากผู้ใช้จริง’ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มความงาม สกินแคร์ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ

 

แม้ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับคุณภาพ แต่ความคุ้มค่ายังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ โดย 3 ใน 4 หรือมากถึง 75% ระบุว่าให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากที่สุด ขณะที่ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ความงามและสกินแคร์ยอมรับว่าโปรโมชันมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญ

 

แบรนด์ไทยกำลังมาแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เกือบ 80% มองว่าแบรนด์ไทยมีภาพลักษณ์ดีและเป็นที่นิยมมากขึ้น ถือเป็นโอกาสทองของแบรนด์ไทยในการต่อยอดผ่าน Brand Storytelling และการสร้าง Trust-Based Marketing เพื่อรักษาแรงสนับสนุนจากฐานลูกค้าที่กำลังเติบโตอย่างยั่งยืน

 

ท่ามกลางเทรนด์ที่ดูแลสุขภาพที่กำลังเติบโตสำหรับ ‘วัตสัน’ สาขามากกว่า 750 แห่งใน 77 จังหวัด ยังคงเดินหน้าต่อไปในปี 2568 ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี ด้วยการเปิดสาขาใหม่ถึง 55 แห่งในปี 2568 มากกว่าปีที่ผ่านมา 5 สาขา จากเดิมที่ขยายเฉลี่ยปีละ 50 สาขา ซึ่งถือเป็นการขยายตัวที่ก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด

 

ที่น่าสนใจคือ การขยายครั้งนี้แบ่งสัดส่วนระหว่างกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างละครึ่ง แต่ที่ต่างจังหวัดกลับมีโอกาสมากกว่า เพราะในกรุงเทพฯ มีร้านค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว โดยสาขาส่วนใหญ่ประมาณ 80% ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งถือเป็นการวางตำแหน่งที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง

 

การรีโนเวตร้านเดิมประมาณ 50 สาขาก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ โดยจะจัดเซกเมนต์ใหม่ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เช่น กลุ่มที่ชื่นชอบบิวตี้ หรือกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพและความงามเบื้องต้น ซึ่งโลเคชัน A ถูกขยายเต็มที่แล้ว ขณะที่โลเคชัน B จะมีพื้นที่ร้านที่เล็กลงแต่เปิดมากขึ้น เพื่อสร้าง ‘อีโคโนมิคออฟสเกล’ ด้วยพื้นที่เฉลี่ย 130 ตารางเมตรขึ้นไป

 

นวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้กำลังซื้อทั่วไปอาจชะลอตัวลง แต่วัตสันกลับเติบโตได้ด้วยการมิกซ์สินค้า ซึ่งกลุ่มความงามอาจลดลง แต่เรื่องสุขภาพกลับเติบโตขึ้น ทำให้ภาพรวมยังคงมีการเติบโต โดยยอดใช้จ่ายต่อบิลเติบโต 3-5% ต่อปี

 

ยอดขายสอดคล้องไปกับผลสำรวจในช่วงปลายปีที่แล้วซึ่งตอบว่า 80% ของกลุ่มตัวอย่างหันมาซื้อวิตามินเพื่อสุขภาพเป็นหลัก โดยมากกว่าครึ่งพร้อมลงทุนในสินค้าเพื่อสุขภาพ 1,000-3,000 บาท/เดือน แม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยมากกว่าครึ่งนิยมทานวิตามินควบคู่ 1-2 ชนิด

 

วัตสัน ยังเดินหน้ารุก Own Brand ที่จะเพิ่มอีก 150 SKU จากปัจจุบันที่มีประมาณ 800 กว่ารายการ จากสินค้าทั้งหมดกว่า 5,000 SKU ขณะที่ช่องทางออนไลน์มีสินค้ารวมกว่า 15,000 รายการที่จะสามารถตอบรับพฤติกรรมที่ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าในช่องทางนี้ได้

 

ด้วยฐานสมาชิกวัตสัน คลับที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งกว่า 88% เป็นผู้หญิง คิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของประชากรหญิงทั่วประเทศ วัตสันจึงมีความเข้าใจเชิงลึกถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ซึ่งการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคได้กลายเป็นพลังสำคัญในการพัฒนา Loyalty Program และการพัฒนา Store Segmentation ที่เลือกคัดสรรสินค้าให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่

 

แม้ว่าความท้าทายจะมาจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ แต่ด้วยการมองโอกาสจากสังคมสูงวัยที่ใน 10 ปีข้างหน้าสัดส่วนจะเพิ่มจาก 20% เป็น 30% วัตสันจึงมองปัจจัยนี้เป็นโอกาสในการเติบโตต่อไปของธุรกิจ

The post วัตสันขยายสาขาใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี พลิกเกมสุขภาพ-ความงาม รับเทรนด์คนไทยใส่ใจดูแลตัวเอง หลังวิจัยพบ 80% หันมาซื้อวิตามินเพื่อสุขภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Maison RORU ร้านอาหารญี่ปุ่นแนว Hand Roll ครั้งแรกจาก ‘ปลา iberry’ ที่อยากเห็นคนนั่งเต็มร้านทุกวัน https://thestandard.co/maison-roru-iberry-japanese-hand-roll/ Tue, 27 May 2025 06:50:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1079035 บรรยากาศร้าน Maison RORU ชั้น B1 Velaa หลังสวน

วันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมาถือเป็นวันแรกที่ร้าน ‘Maison R […]

The post Maison RORU ร้านอาหารญี่ปุ่นแนว Hand Roll ครั้งแรกจาก ‘ปลา iberry’ ที่อยากเห็นคนนั่งเต็มร้านทุกวัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
บรรยากาศร้าน Maison RORU ชั้น B1 Velaa หลังสวน

วันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมาถือเป็นวันแรกที่ร้าน ‘Maison RORU’ (เมซง-โรรุ) ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรกที่ ปลา-อัจฉรา บุรารักษ์ แห่งเครือ iberry เปิดที่ Velaa หลังสวน ชั้น B1 โดยเป็นร้านที่ร่วมมือกับเซฟ Masato (มาซาโตะ) ผู้เป็นเจ้าของร้านโอมากาเสะชื่อดังในไทยอย่าง ‘Sushi Masat’

 

อัจฉราเล่าให้ THE STANDARD WEALTH ฟังว่า เป็นลูกค้าของเซฟ Masato มานานแล้ว หลังจากนั้นจึงรู้จักกัน และพูดคุยกันมาเรื่อยๆ จนในที่สุดตัดสินใจที่จะเปิดร้านอาหารร่วมกัน

 

“แต่เดิมไม่เคยคิดที่จะทำร้านอาหารญี่ปุ่น เพราะเป็นตลาดที่แข่งกันสูง และมีผู้เล่นในตลาดเยอะอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ชอบร้านของเซฟ Masato ที่บางครั้งต้องปิดร้านเพราะไปทำธุระและหากินไม่ได้ เลยชวนเปิดร้านที่หากินได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องจองยากเหมือนร้านโอมากาเสะ”

 

Maison RORU วางตัวเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแนว Hand Roll ที่อัจฉราเล่าว่ายังมีไม่มากนักในไทย โดยในร้านจะมีทั้ง A La Carte, แบบ Set และแบบ Omakase ราคาเริ่มต้น 690 ไปจนถึง 2,000 กว่าบาท รวมถึงมีบาร์สาเกด้วย 

 

“เรานำประสบการณ์ในการเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นของเซฟ Masato มารวมกับวิธีบริหารจัดการร้านแบบ iberry ทำให้เกิดเป็น Maison RORU ที่ลูกค้าสามารถเดินเข้ามากินอาหารจากเซฟ Masato ได้บ่อยขึ้น อีกทั้งยังกินได้สนุกและเท่จากบรรยากาศของบาร์สาเก”

 

Maison RORU ถือเป็นร้านที่หาช่องทางที่แทรกเข้าไปในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นที่องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯ เผยตัวเลขล่าสุดปี 2567 พบร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยทะลุ 5,916 ร้าน เพิ่มขึ้น 2.9% จากปีก่อน 

 

แต่การแข่งขันที่รุนแรงส่งผลให้อัตราการเติบโตชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มร้านซูชิที่เคยครองแชมป์มายาวนาน ต้องพ่ายให้กับร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปที่ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 1,439 ร้าน

 

อีกหนึ่งสัญญาณที่น่าจับตาคือการเติบโตของร้านระดับพรีเมียมที่มีราคาเฉลี่ยต่อหัวมากกว่า 1,000 บาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงถึง 13.9% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยพร้อมจ่ายแพงขึ้น เพื่อประสบการณ์การรับประทานอาหารญี่ปุ่นที่ดีกว่า

 

ตัวร้านวางให้อยู่ในกลุ่มพรีเมียมแมส ซึ่งจะมีให้เปิดทั้งจองออนไลน์ประมาณ 70-75% ของที่นั่ง โดยแบ่งออกเป็น 6 รอบและ Walk-in ในส่วนที่เหลือ โดยจะมีช่วงพัก 15:30-17:00 น.

 

ปีนี้ Maison RORU ยังวางแผนที่จะเปิดอีกหลายสาขาในย่าน CBD ที่มีออฟฟิศและคนอยู่อาศัยที่มีไลฟ์สไตล์การกินที่เหมาะกับร้าน โดยคาดว่าจะไปเปิดในดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค, ย่านราชประสงค์ และชิดลม เป็นต้น

 

“ความท้าทายของ Maison RORU คือเป็นร้าน Hand Roll ที่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา มีคู่แข่งที่เห็นได้ในทุกราคา” อัจฉราระบุ “แต่เราอยากให้ลูกค้าที่เดินเข้าร้านได้ประสบการณ์ที่แตกต่างกับบรรยากาศของร้าน เมนูที่แตกต่าง และอยากเห็นคนเต็มร้านในทุกๆ วัน”

 

อย่างไรก็ตาม ปีนี้นอกจาก Maison RORU อัจฉราวางแผนที่จะเปิดร้านใหม่อีก 2 แบรนด์ ได้แก่ อาหารไทยที่จะเป็นคนละลายเซ็นกับ ‘กับข้าวกับปลา’ โดยจะมีอาหารจานเดียวด้วย คาดว่าจะเปิดในเดือนกรกฎาคมนี้ และมีร้านอาหารตะวันตกอีก 1 ร้าน ซึ่งจะเป็นร้านรูปแบบไหนนั้น โปรดอดใจรอจนกว่าวันที่ร้านจะเปิดตัว!

 

บรรยากาศร้าน Maison RORU ชั้น B1 Velaa หลังสวน บรรยากาศร้าน Maison RORU ชั้น B1 Velaa หลังสวน

The post Maison RORU ร้านอาหารญี่ปุ่นแนว Hand Roll ครั้งแรกจาก ‘ปลา iberry’ ที่อยากเห็นคนนั่งเต็มร้านทุกวัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจ 5 แบรนด์ EV ที่มียอดจองสูงสุดในงาน Motor Show 2025 https://thestandard.co/top-ev-brands-motor-show/ Tue, 27 May 2025 06:48:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1079033

รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่มักจะเรียกกันว่า EV (Electric Vehicl […]

The post สำรวจ 5 แบรนด์ EV ที่มียอดจองสูงสุดในงาน Motor Show 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>

รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่มักจะเรียกกันว่า EV (Electric Vehicle) กำลังเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน ในงาน Motor Show 2025 ของประเทศไทยที่เพิ่งผ่านมานี้ ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ถึง 53,438 คัน จากรถยนต์ทั้งหมด 77,379 คัน คิดเป็นสัดส่วน 65.4%

 

ซึ่งแบรนด์รถ EV ที่มียอดจองสูงสุดในงาน 5 แบรนด์แรก ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทจีน ประกอบด้วย BYD, GAC, CHANGAN, MG และ GWM ตามลำดับ

 

ในบทความนี้ทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปสำรวจ 5 บริษัท EV ที่มียอดจองสูงสุดในงาน Motor Show 2025 กัน

 


 

5 แบรนด์ EV ยอดจองสูงสุดใน Motor Show ปีนี้

 

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

The post สำรวจ 5 แบรนด์ EV ที่มียอดจองสูงสุดในงาน Motor Show 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ป่วนทั้งตลาด! เวียดนามแอบสวมสิทธิ์กดราคาส่งออกทุเรียนไทย อีกไม่นานเสี่ยงถูกเพื่อนบ้าน ‘ล้มแชมป์’ ปัญหาอยู่ที่ใคร? https://thestandard.co/durian-thai-vietnam-export-china/ Tue, 27 May 2025 03:12:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1078897 ทุเรียนหมอนทองไทยในโรงคัดบรรจุ เตรียมส่งออกตลาดจีน

ถึงแม้ตลาดทุเรียนจะหอมหวานมาก พืชเศรษฐกิจ และถือว่าเป็น […]

The post ป่วนทั้งตลาด! เวียดนามแอบสวมสิทธิ์กดราคาส่งออกทุเรียนไทย อีกไม่นานเสี่ยงถูกเพื่อนบ้าน ‘ล้มแชมป์’ ปัญหาอยู่ที่ใคร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทุเรียนหมอนทองไทยในโรงคัดบรรจุ เตรียมส่งออกตลาดจีน

ถึงแม้ตลาดทุเรียนจะหอมหวานมาก พืชเศรษฐกิจ และถือว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ไทย แต่วันนี้ผู้ประกอบการหลายรายต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านทั้งสภาพอากาศปั่นป่วน ผลผลิตออกน้อย ต้นทุนแพงขึ้น 

 

ซ้ำยังเจอปัญหาการเข้ามาสวมสิทธิ์ทุเรียนส่งออกไปตลาดใหญ่อย่างจีน ซึ่งกดราคาตลาดอย่างหนัก นอกจากเวียดนาม ก็ยังมีคู่แข่งอย่างเพื่อนบ้าน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เริ่มเข้ามาตีตลาดจีนเบียดแซงไทย

 

แหล่งข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมทุเรียน กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปัจจุบันพบว่ามีทุเรียนจากประเทศเวียดนามเข้ามาสวมสิทธิมากขึ้นจนถึงขั้นทำตลาดพัง แม้ที่ผ่านมายังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่ามีการลักลอบนำทุเรียนสดเข้ามาสวมสิทธิส่งออกอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งภาครัฐต้องเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน เกิดอะไรขึ้นกับภาคเกษตรของไทย?

 

ทุเรียนไทยสู้ศึกรอบด้าน ต้นทุนแพงขึ้น-โดนสวมสิทธิ์

 

ธวัชชัย จุงสุพงษ์ เจ้าของ Toby’s Farm สวนทุเรียนพรีเมียมจาก จังหวัดจันทบุรี แสดงความเห็นว่า ตลาดทุเรียนไทยเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ยิ่งปีนี้สภาพอากาศฝนตกหนัก ทำให้ทุเรียนสุกช้าส่งผลให้ราคาทุเรียนปีนี้ปรับตัวขึ้นแตะกิโลกรัมละ 200 กว่าบาท แถมยังต้องเจอมาตรฐานการส่งออกที่เข้มงวดหลังจากมีข่าวล้งของจีนที่ใช้สารชุบสีเมื่อปีที่แล้ว 

 

ธวัชชัย จุงสุพงษ์ เจ้าของ Toby’s Farm 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน ทุเรียนเวียดนามที่ส่งออกไปจีนมีราคาต่ำกว่าทุเรียนไทย เพราะประเทศเวียดนามต้นทุนการผลิตราว 19 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ทุเรียนไทยมีต้นทุนประมาณ 40 บาท ต่อกิโลกรัม เพราะไทยมีต้นทุนไฟฟ้าแพง และเกษตรกรบางแห่งต้องลงทุนบริหารจัดการน้ำเอง 

 

ยิ่งปัจจุบันไทยเราขายทุเรียนกิโลกรัมละ 200 กว่าบาท ส่งออกไปประมาณกิโลกรัมละ 240-250 บาท แต่เวียดนามขายกิโลกรัมละ 110-120 บาท และอีกหนึ่งปัจจัยที่เวียดนามได้เปรียบไทยคือการมีรถไฟฟ้าความเร็วสูง สามารถขนทุเรียนไปจีนได้ใน 3 ชั่วโมง จากปัจจัยดังกล่าวอาจเป็นต้นเหตุให้เจ้าของสวนทุเรียนไทยบางราย นำทุเรียนเวียดนามเข้ามาสวมสิทธิส่งออกไปจีนกันมากขึ้น

 

ทุเรียนไทยได้เปรียบเรื่อง ‘รสชาติ-การทูตจีน’

 

วิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (NTFG) หนึ่งในผู้นำการส่งออกผลไม้สดเกรดพรีเมียม ฉายภาพว่า แม้เวียดนามจะเริ่มรุกตลาดทุเรียนมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการไทยยังมองว่าความได้เปรียบของไทยยังมีมาก ทั้งเรื่องของรสชาติ ภูมิประเทศ และความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน และปัจจุบันเวียดนามยังเผชิญปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว

 

 

ส่วนในแง่ของความกังวลเรื่องทุเรียนเวียดนามเข้ามาสวมสิทธิ์ทุเรียนไทย ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ยอมรับว่าอาจมีช่องว่างในระบบที่เอื้อให้เกิดพฤติกรรมลักษณะดังกล่าว ซึ่งต้องอาศัยภาครัฐในการตรวจสอบและดำเนินการ 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เห็นภาพทุนจีนเข้ามาซื้อที่ปลูกทุเรียนในไทยหรือไม่? วิชัยย้ำว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของธุรกิจที่น่าลงทุน แต่บางกรณีอาจเกี่ยวข้องกับการใช้ ‘นอมินี’ เข้ามาดำเนินธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งควรได้รับการกำกับดูแลจากภาครัฐ

 

ฝนถล่ม-จีนคุมเข้ม หวั่นฉุดตัวเลขส่งออก

 

ขณะเดียวกันในปีนี้ผู้ประกอบการปลูกทุเรียนในภาคตะวันออกของไทยดำเนินมามากกว่าครึ่งทางแล้ว แต่กลับต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออก เริ่มจากสองปัจจัยหลักที่ฉุดตลาดปีนี้ ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงปัญหาเทรดวอร์ ซึ่งแม้จะส่งผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็ส่งแรงกดดันต่อบรรยากาศการค้าโดยรวม 

 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากมาตรการตรวจสอบสารตกค้างของจีนที่เข้มข้นขึ้น และสภาพอากาศที่มีฝนตกต่อเนื่อง ซึ่งกระทบต่อคุณภาพผลผลิตทุเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ทั้งนี้ แม้ภาครัฐคาดการณ์ว่าการส่งออกทุเรียนไทยปีนี้จะอยู่ที่ราว 1 ล้านตัน แต่จากสถานการณ์ล่าสุดเราประเมินว่าตัวเลขจริงอาจไม่ถึงครึ่งแม้ทุเรียนยังคงเป็นผลไม้ยอดนิยมของผู้บริโภคชาวจีน แต่ยังเจอปัญหาคุณภาพผลผลิต รวมถึงความเข้มงวดในการตรวจสอบสารตกค้างในผลไม้ที่ส่งออกไปจีน

 

“จริงๆ แล้วมาตรการของจีนในการตรวจสอบสารเคมีในทุเรียนที่นำเข้าเข้มงวดมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แม้จะสร้างแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไทย แต่ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือกันในการบริหารจัดการ ปรับปรุงกระบวนการผลิต และเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรฐานดังกล่าว ซึ่งขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และไม่มีสัญญาณว่าเป็นการกีดกันทางการค้า แต่อยู่ในกรอบของความปลอดภัยด้านอาหาร”

 

ทุเรียนไทยยังมีช่องว่างมหาศาลในตลาดต่างประเทศ

 

สำหรับบริษัท NTF ตั้งเป้าการส่งออกปีนี้อยู่ที่ 1,800-2,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนซึ่งทำยอดได้ราว 900 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเพิ่มกำลังการผลิต การขยายฐาน OEM และการเสริมสภาพคล่องทั้งต้นทางและปลายทาง ทั้งนี้ ทุเรียนยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้บริษัท และมองว่าอนาคตมะพร้าว มังคุด และลำไย จะเข้ามาช่วยเสริมรายได้ เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องการสูงในตลาดจีนไม่ต่างจากทุเรียน

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยลบหลายด้าน แต่ผู้ประกอบการยังคงมองในแง่บวกว่าทุเรียนไทยยังเป็นที่ต้องการในตลาดจีนและตลาดต่างประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มชุมชนชาวจีนในหลายประเทศ ซึ่งยังมีช่องว่างของอุปสงค์อีกมาก ตลาดทุเรียนจึงยังมีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า หากสามารถรักษาคุณภาพสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

ทุเรียนหมอนทองไทยในโรงคัดบรรจุ เตรียมส่งออกตลาดจีน

 

จากล้งเหมาสวน สู่นอมินี ลามถึงปัญหาสวมสิทธิ์ส่งออก

 

ด้าน แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์ SME ไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปัญหาที่น่าหนักใจมากที่สุดนั่นคือ ‘มหกรรมศูนย์เหรียญ’ โดยขณะนี้ต้องยอมรับความจริงที่ว่า ไทยถูกครอบงำกลืนกิน 3 ธุรกิจ SME คือ โรงงานศูนย์เหรียญ ท่องเที่ยวศูนย์เหรียญ (ที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร ภัตตาคาร และทัวร์) โลจิสติกส์ศูนย์เหรียญ ซึ่งไร้การจ้างงานคนไทย

 

“โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตร ที่ยึดต้นน้ำยันปลายน้ำ สูญเสียความมั่นคงทางอาหาร กลไกราคา กลไกตลาดผูกขาดในอนาคต ที่เห็นชัดที่สุดคือทุเรียน จากล้ง เหมาสวน สู่นอมินีซื้อสวนควบคุมความมั่นคงทางอาหารไทย”

 

โดยมีกระแสข่าวว่า มีการลักลอบนำทุเรียนจากเวียดนาม มาผสมกับทุเรียนไทย เพื่อเตรียมส่งออกไปยังประเทศจีน ลักษณะคล้ายขบวนการจีนหลอกจีน สวมสิทธิ์ทุเรียนไทยด้วยการรีแพ็กใหม่ 

 

เพราะตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 จีนได้ตรวจพบสารปนเปื้อนแคดเมียมและสารย้อมสี Basic Yellow 2 หรือ BY2 ของทุเรียนเวียดนาม ส่งผลให้ จีนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบทุเรียนไทยเช่นเดียวกัน

 

โอกาสทองเกษตรกรไทย! ดันส่งออกทุเรียนทะลุเป้า 

 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พยายามแก้ไขปัญหาด้วยการเข้มงวดเรื่องมาตรฐาน ขณะที่ นภินทร์ ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมการส่งออกทุเรียนและผลไม้ไทยปีนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ไทยส่งออกทุเรียนสดและทุเรียนแช่แข็งไปจีนประมาณ 950,000 ตัน และในปี 2568 คาดว่าจะมีผลผลิตทุเรียนเพิ่มขึ้นจาก 1,200,000 ตัน เป็น 1,500,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 300,000 ตัน 

 

 

“จีนยังเป็นตลาดที่มีดีมานด์มหาศาล พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีนนิยมรับประทานทุเรียนไทยมากกว่าประเทศอื่น และมีแนวโน้มซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 30% ซึ่งถือว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่ดี”

 

มากไปกว่านั้น ในปัจจุบันรัฐบาลจีนมีความเชื่อมั่นว่าสินค้าจากประเทศไทยไม่มีสารตกค้าง ทำให้กระบวนการตรวจสอบได้รับการลดหย่อนในหลายส่วน ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าสู่จีนง่ายและสะดวกขึ้น ใช้เวลาเพียง 3-4 วัน แม้ปัจจุบันมีทุเรียนส่งออกวันละ 800 กว่าตู้ แต่ก็สามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างรวดเร็ว

 

เรียกได้ว่าเป็นโอกาสของเกษตรกรไทยที่ควรหันมาปลูกผลไม้ที่ส่งออกได้ นอกจากทุเรียนแล้ว ยังมี มังคุด มะพร้าว และส้มโอ ซึ่งเป็นกลุ่มผลไม้ที่ต่างประเทศต้องการและที่สำคัญราคาไม่ได้ขึ้นอยู่กับตลาดโลกเหมือนพืชไร่อื่นๆ

 

ราชาแห่งผลไม้ไทยเสี่ยงถูกเพื่อนบ้าน ‘ล้มแชมป์’

 

แหล่งข่าววงการอุตสาหกรรมเกษตร บอกกับ THE STANDARD WEALTH อีกว่า จุดที่น่าห่วงคือ แม้ไทยเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ไปยังแดนมังกร ซึ่งครองตำแหน่งผู้ส่งออกอันดับ1 มาหลายปี แต่การแข่งขันที่รุนแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้ไทยเสียแชมป์ให้เพื่อนบ้าน

 

“ตั้งแต่จีนเปิดโอกาสค้าขายทุเรียนให้เพื่อนบ้านมากขึ้น จะเห็นว่า เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กลายมาเป็นคู่แข่ง แย่งส่วนแบ่งการตลาดไป”

ขณะที่ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุ สัดส่วนส่งออกทุเรียนไปจีนครองอันดับ 1 ถึง 97.4% ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนสดของไทย รองลงมาคือ ฮ่องกง 1.3% เกาหลีใต้ 0.3% มาเลเซีย 0.2% และ สหรัฐอเมริกา 0.2% 

 

“การส่งออกผลไม้สดของไทยพึ่งพาจีนเป็นตลาดหลัก แต่ไทยกำลังเผชิญการแข่งขันจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีน โดยจีนเริ่มอนุญาตการนำเข้าทุเรียนสดจากเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย”

 

 

นอกจากนี้จะเห็นว่า ปี 2567 จีนนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเกือบ 618,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 2,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอัตราส่วนกว่า 44% ของการนำเข้าทุเรียนทั้งหมดของจีน

 

ไทยควรรักษาคุณภาพ ปราบทุเรียนสวมสิทธิ์ ขณะเดียวกันควรรักษาส่วนแบ่งในตลาดจีนไว้ให้ได้ ควบคู่ไปกับการเร่งเจาะตลาดส่งออกใหม่ เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร เพื่อลดความเสี่ยง และการแข่งขันที่นับวันยิ่งรุนแรง

The post ป่วนทั้งตลาด! เวียดนามแอบสวมสิทธิ์กดราคาส่งออกทุเรียนไทย อีกไม่นานเสี่ยงถูกเพื่อนบ้าน ‘ล้มแชมป์’ ปัญหาอยู่ที่ใคร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลาซาด้า ทุ่ม 100 ล้านดอลลาร์ เปิดตัว Affiliate โฉมใหม่ เพิ่มค่าคอมมิชชัน ดันอินฟลูทำรายได้ https://thestandard.co/lazada-affiliate-2025-investment-commission/ Mon, 26 May 2025 06:17:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1078572 อินฟลูเอ็นเซอร์ร่วมโปรแกรม Lazada Affiliate โฉมใหม่ พร้อมรับค่าคอมมิชชันและสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น

ลาซาด้า ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใ […]

The post ลาซาด้า ทุ่ม 100 ล้านดอลลาร์ เปิดตัว Affiliate โฉมใหม่ เพิ่มค่าคอมมิชชัน ดันอินฟลูทำรายได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินฟลูเอ็นเซอร์ร่วมโปรแกรม Lazada Affiliate โฉมใหม่ พร้อมรับค่าคอมมิชชันและสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น

ลาซาด้า ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อยกระดับโปรแกรม Lazada Affiliate มุ่งไปที่การเพิ่มค่าคอมมิชชัน ค่าตอบแทน และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้าเสริมศักยภาพพาร์ตเนอร์ในเครือข่าย

 

Jared Chan หัวหน้าฝ่าย Affiliate ลาซาด้า กรุ๊ป กล่าวว่า ลาซาด้าเดินหน้าสนับสนุนอินฟลูเอ็นเซอร์และครีเอเตอร์ให้สามารถเข้าถึงโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ และต่อยอดอิทธิพลของตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ เราเชื่อมั่นว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างเครือข่ายนักสร้างรายได้ ซึ่งไม่เพียงส่งเสริมการเติบโตของครีเอเตอร์ในทุกกลุ่ม แต่ยังช่วยเชื่อมโยงแบรนด์กับผู้บริโภคด้วยเช่นกัน

 

สิ่งที่น่าสนใจของโปรแกรม Lazada Affiliate เวอร์ชันใหม่ มาพร้อมโครงสร้างค่าตอบแทนและฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมศักยภาพให้กับพาร์ตเนอร์นักสร้างรายได้ในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์และครีเอเตอร์ที่มีชื่อเสียง ไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์หน้าใหม่ หรือนักช้อปทั่วไป เพื่อต่อยอดการสร้างรายได้จากคอนเทนต์และเพิ่มการเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เรียกได้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดโมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์อย่างแท้จริง โดยแบรนด์และผู้ขายจะชำระเงินเมื่อเกิดการซื้อสินค้าจริงเท่านั้น ช่วยให้การร่วมงานกับเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์สามารถวัดผล ต่อยอด และสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

The post ลาซาด้า ทุ่ม 100 ล้านดอลลาร์ เปิดตัว Affiliate โฉมใหม่ เพิ่มค่าคอมมิชชัน ดันอินฟลูทำรายได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครือซีพีปลุกขุมทรัพย์ข้อมูลลูกค้า 36 ล้านราย เปิดศึก Amaze ท้าชนยักษ์อีคอมเมิร์ซต่างชาติ ด้วยค่าคอมมิชชันถูกกว่าครึ่งหนึ่ง https://thestandard.co/amaze-super-app-cp-ecommerce-launch/ Mon, 26 May 2025 05:19:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1078529 Amaze Super App โดยซีพี เปิดตัวพร้อมฐานลูกค้า 36 ล้านราย ค่าคอมมิชชันต่ำกว่าตลาด

ข้อมูลคือขุมทรัพย์ในโลกยุคใหม่ และเครือซีพีกำลังขุดขุมท […]

The post เครือซีพีปลุกขุมทรัพย์ข้อมูลลูกค้า 36 ล้านราย เปิดศึก Amaze ท้าชนยักษ์อีคอมเมิร์ซต่างชาติ ด้วยค่าคอมมิชชันถูกกว่าครึ่งหนึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Amaze Super App โดยซีพี เปิดตัวพร้อมฐานลูกค้า 36 ล้านราย ค่าคอมมิชชันต่ำกว่าตลาด

ข้อมูลคือขุมทรัพย์ในโลกยุคใหม่ และเครือซีพีกำลังขุดขุมทรัพย์นี้ขึ้นมาใช้อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว Amaze Super App แพลตฟอร์ม ‘รอยัลตี้อีคอมเมิร์ซ’ ที่วางตัวเป็นคู่แข่งรายใหม่ในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย พร้อมจุดขายที่แตกต่างอย่างชัดเจน

 

เบื้องหลังการเปิดตัว Amaze มาจากข้อมูลที่เครือซีพีค้นพบเมื่อนำฐานลูกค้าจากทุกหน่วยธุรกิจมาวิเคราะห์ จากแอ็กเคานต์ทั้งหมดกว่า 100 ล้าน เมื่อจับคู่และตัดที่ซ้ำซ้อนออกแล้ว เหลือลูกค้าจริงๆ อยู่ที่ 36 ล้านคน ตัวเลขนี้ทำให้เครือซีพีเห็นโอกาสในการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลที่มีอยู่

 

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ อธิบายภาพใหญ่ว่า Amaze เกิดขึ้นเพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อระบบนิเวศของเครือซีพีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ALL Point, My Lotus’s, True Money หรือ Makro PRO Point ที่ก่อนหน้านี้ต่างคนต่างอยู่แบบ ‘ไซโล’ แยกส่วนกัน

 

“ยุคนี้เป็นยุคที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล Amaze จะทำให้เราสามารถเห็น Single View of Customer ได้ในที่สุด” ศุภชัยกล่าว พร้อมกับแสดงความคิดเห็นว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยส่วนใหญ่ถูกครองโดยผู้เล่นต่างชาติ

 

สิ่งที่ทำให้ Amaze แตกต่างจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของต่างชาติคือการมีหน้าร้านจริงๆ ที่ให้บริการหลังการขายได้ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่คู่แข่งไม่มี

 

แต่การทำให้ฝันนี้เป็นจริงต้องอาศัยมากกว่าแค่การรวมพอยต์ ธรินทร์ ธนียวัน ผู้อำนวยการบริหารกลุ่มด้านอีคอมเมิร์ซ เผยรายละเอียดว่า Amaze ใช้เวลาศึกษาและพัฒนาถึง 1 ปีเต็ม โดยใช้ทีมคนไทยทั้งหมด ทำให้ต้นทุนไม่สูงและมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน

 

“เราไม่ได้มองแค่ว่าในเครือมีแต้มเท่าไหร่ แต่มองว่ามันตอบโจทย์ลูกค้าหรือเปล่า” ธรินทร์อธิบายหลักคิด “เราเห็นว่าคนไทยมีพอยต์ค้างในระบบถึง 600 ล้านพอยต์ ครึ่งหนึ่งมาจากบัตรเครดิต อีกครึ่งมาจากเครือซีพี พอยต์เหล่านี้คือเงินที่ลืมไปแล้ว เราทำหน้าที่เป็นฟาซิลิเตเตอร์รวบรวมมาให้ใช้ในชีวิตประจำวัน”

 

นอกจากการเชื่อมโยงพอยต์จากภายในเครือแล้ว Amaze ยังเปิดรับพอยต์จากบัตรเครดิตชั้นนำ 6-7 ราย ทำให้ลูกค้าสามารถเทิร์นเครดิตพอยต์มาใช้ได้ทันที พร้อมกับเปิดพื้นที่ให้ร้านค้าภายนอกเข้ามาขายสินค้าในแพลตฟอร์มด้วย

 

“เราเห็น Pain Point ของร้านค้าที่ต้องเสียค่าคอมมิชชันสูงให้แพลตฟอร์มต่างชาติ” ธรินทร์เผยข้อมูลสำคัญ “Amaze เป็นแพลตฟอร์มคนไทยเพื่อคนไทย เราเก็บค่าคอมมิชชันถูกกว่าตลาดครึ่งหนึ่ง”

 

จุดเด่นอีกอย่างของ Amaze คือมีสินค้าให้เลือกกว่า 100,000 รายการ โดยแค่จากโลตัสก็มี 30,000 SKU จากเซเว่นอีก 10,000 SKU ที่สำคัญคือสามารถสั่งของจากทั้งสองร้านนี้และได้รับภายใน 1-3 ชั่วโมง ภายในสิ้นปีจะขยายไปถึง 1,800 ร้าน

 

“เราไม่ให้ใครมาขายก็ได้ ต้องเป็นแบรนด์ เป็นดิสทริบิวเตอร์ที่การันตีคุณภาพ” ธรินทร์ย้ำถึงความแตกต่าง “SMEs ก็เข้ามาคุยได้ แต่ต้องผ่านการคัดกรองคุณภาพ”

 

จากการเปิดตัวมา 2 เดือน พฤติกรรมที่น่าสนใจคือ ลูกค้าบางคนเอาพอยต์มา ‘พักก่อน’ จะใช้อะไรค่อยคิด สำหรับตะกร้าเล็ก 100-200 บาท ลูกค้ามักเบิร์นพอยต์หมดตะกร้า ส่วนสินค้าราคาสูงจะใช้พอยต์ประมาณ 10-25% ของมูลค่า

 

“การที่ลูกค้าเริ่มใช้พอยต์มากขึ้นทำให้เห็นว่าการซื้อสินค้าด้วยพอยต์กลายเป็นพฤติกรรมใหม่” ธรินทร์วิเคราะห์ “เราเป็นช่องทางเสริม ไม่ได้มาแทนที่แอปเดิมของแต่ละธุรกิจ แต่มาเป็นโอกาสครอสเซลล์ นี่คือพลังของข้อมูล”

 

เป้าหมายระยะสั้นคือการเข้าถึงฐานลูกค้า 36 ล้านคนให้ได้ โดยยังไม่ได้ตั้งเป้ายอดขาย แต่ต้องการให้ลูกค้าเข้าใจประโยชน์ที่ได้รับ และในอนาคตมีแผนขยายอีโคซิสเต็มให้กว้างขึ้น อาจรวมถึงรอยัลตี้แพลตฟอร์มของแบรนด์อื่นๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน

 

หน่วยธุรกิจต่างๆ ในเครือก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ ทั้งทรูที่มีลูกค้า 40 ล้านบัญชีที่พร้อมใช้ประโยชน์จากระบบ CRM ใหม่นี้, CP AXTRA ที่เห็นว่าจะทำให้ลูกค้าใช้พอยต์ได้ง่ายขึ้น, CP ALL ที่มองว่าจะยกระดับจาก Daily life Shopping เป็น Lifestyle Shopping และ CPF ที่พร้อมนำสินค้าอาหารมาร่วมขาย

 

“เราเป็นรอยัลตี้อีคอมเมิร์ซเจ้าแรกที่รวมออนดีมานด์ส่งภายใน 1-3 ชั่วโมง กับมาร์เก็ตเพลส” ธรินทร์สรุป

The post เครือซีพีปลุกขุมทรัพย์ข้อมูลลูกค้า 36 ล้านราย เปิดศึก Amaze ท้าชนยักษ์อีคอมเมิร์ซต่างชาติ ด้วยค่าคอมมิชชันถูกกว่าครึ่งหนึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิจัยจีนพัฒนาคอนแทคเลนส์ มองเห็น ‘แสงอินฟราเรด’ ได้แม้ในความมืด อนาคตช่วยคนตาบอดสี-งานกู้ภัย https://thestandard.co/infrared-contact-lens/ Sun, 25 May 2025 11:20:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1078307 infrared-contact-lens

ความฝันในการ ‘มองเห็นในความมืด’ กำลังเป็นจริงขึ้นอีกขั้ […]

The post นักวิจัยจีนพัฒนาคอนแทคเลนส์ มองเห็น ‘แสงอินฟราเรด’ ได้แม้ในความมืด อนาคตช่วยคนตาบอดสี-งานกู้ภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
infrared-contact-lens

ความฝันในการ ‘มองเห็นในความมืด’ กำลังเป็นจริงขึ้นอีกขั้น เมื่อทีมนักวิจัยในประเทศจีนได้พัฒนา ‘คอนแทคเลนส์’ ที่สามารถทำให้มนุษย์มองเห็นแสงอินฟราเรดซึ่งปกติแล้วเป็นแสงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้ แม้ในที่มืดสนิท หรือแม้แต่หลับตา

 

นับเป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นและก้าวข้ามข้อจำกัดของอุปกรณ์มองเห็นกลางคืนแบบเดิมๆ ที่มีขนาดใหญ่และต้องใช้พลังงานเพิ่มเติม

 

คอนแทคเลนส์ดังกล่าวมี ‘นาโนอนุภาค’ ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งทำหน้าที่ดูดซับและแปลงรังสีอินฟราเรด (โดยเฉพาะช่วงความยาวคลื่นใกล้อินฟราเรด 800 ถึง 1600 นาโนเมตร) ให้กลายเป็นแสงสีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดง ที่ตามนุษย์สามารถมองเห็นได้ 

 

หลักการนี้คล้ายกับอุปกรณ์มองเห็นกลางคืนทั่วไป แต่คอนแทคเลนส์นี้มีน้ำหนักเบากว่ามากและที่สำคัญคือไม่ต้องใช้พลังงานจากภายนอก อาทิ แบตเตอรี่ ทำให้ใช้งานได้สะดวกและแนบเนียนกว่าอุปกรณ์แบบกะทัดรัด

 

ความสามารถในปัจจุบันของคอนแทคเลนส์นี้คือ สามารถตรวจจับ แหล่งกำเนิดแสง LED อินฟราเรดความเข้มสูงได้ เช่น แสงที่ปล่อยออกมาจากรีโมตคอนโทรลทีวี แต่ยังไม่สามารถให้ ‘การมองเห็นกลางคืน’ ที่ละเอียดซับซ้อน หรือการนำทางในถนนที่มืดสนิทได้ เนื่องจากยังไม่สามารถตรวจจับแสงอินฟราเรดระดับต่ำจากแหล่งกำเนิดแสงรอบข้างได้ 

 

อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบพบว่าเมื่อผู้สวมใส่หลับตา แว่นตาจะตรวจจับแสงอินฟราเรดได้มีประสิทธิภาพเกือบสี่เท่า เพราะเปลือกตาช่วยตัดแสงที่มองเห็นได้ออกไป ลดการรบกวน

 

การทดสอบในมนุษย์และหนูแสดงให้เห็นว่า ผู้สวมใส่สามารถมองเห็นแสงอินฟราเรดที่กะพริบได้อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งแสงกะพริบเหล่านี้สามารถนำมาใช้ ‘เข้ารหัสและส่งข้อมูล’ ได้ เช่น การแปลงความถี่ จำนวน และสีของแสงกะพริบที่แตกต่างกันเพื่อสื่อสารตัวอักษร

 

แม้คอนแทคเลนส์แบบสวมใส่จะแสดงถึงแนวทางที่ ‘ปลอดภัยและใช้งานได้จริงมากกว่า’ สำหรับการประยุกต์ใช้กับมนุษย์ เมื่อเทียบกับการทดลองก่อนหน้านี้ที่ฉีดนาโนอนุภาคเข้าไปในดวงตาของหนูโดยตรง 

 

แต่ Peter Rentzepis จาก Texas A&M University ตั้งข้อสังเกตว่า ยังคงมีความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ‘ความร้อน’ จากกระบวนการแปลงแสง และ ‘การรั่วไหลของนาโนอนุภาค’ เข้าไปในเนื้อเยื่อตา

 

ศ.เทียน ซูเอะ หัวหน้าคณะวิจัยจาก University of Science and Technology of China กล่าวว่า “งานวิจัยของเราเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ที่ไม่รุกล้ำร่างกาย ซึ่งจะมอบวิสัยทัศน์ที่เหนือกว่าให้กับผู้คน” ในอนาคต

 

ทีมวิจัยหวังที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถช่วยผู้ที่มีปัญหา ‘ตาบอดสี’ รวมถึงการเพิ่มพลังในการตรวจจับแหล่งกำเนิดแสงอินฟราเรดที่อ่อนแอลง เพื่อให้สามารถใช้งานการมองเห็นในเวลากลางคืนที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นได้ การค้นพบนี้มีศักยภาพในการประยุกต์ใช้ได้ทันทีหลายด้าน เช่น การรักษาความปลอดภัย การช่วยเหลือ การเข้ารหัส และการป้องกันการปลอมแปลง

 

ภาพ: Sergey Kolesnikov / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post นักวิจัยจีนพัฒนาคอนแทคเลนส์ มองเห็น ‘แสงอินฟราเรด’ ได้แม้ในความมืด อนาคตช่วยคนตาบอดสี-งานกู้ภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่ายรถญี่ปุ่นพลิกสถานการณ์ในจีน Toyota และ Nissan ออกดอกออกผลด้วยรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น https://thestandard.co/toyota-nissan-ev-china/ Sun, 25 May 2025 09:07:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1078271 toyota-nissan-ev-china

หลังจากที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นต้องประสบปัญหาอย่างหนักในตลา […]

The post ค่ายรถญี่ปุ่นพลิกสถานการณ์ในจีน Toyota และ Nissan ออกดอกออกผลด้วยรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
toyota-nissan-ev-china

หลังจากที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นต้องประสบปัญหาอย่างหนักในตลาดจีนที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันดุเดือดและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พวกเขากำลังพยายาม ‘พลิกสถานการณ์’ ด้วยกลยุทธ์ใหม่นั่นคือ พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น โดยเฉพาะ ซึ่งดูเหมือนว่าความพยายามนี้กำลังเริ่มออกดอกออกผลให้กับ Toyota และ Nissan ในขณะที่ Honda ยังคงเผชิญความท้าทาย

 

Toyota bZ3X รถยนต์ SUV ไฟฟ้าของ Toyota ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม และติดอันดับหนึ่งในรถยนต์ SUV พลังงานใหม่จากต่างชาติที่ขายดีที่สุดในเดือนเมษายนตามข้อมูลของบริษัทวิจัยแห่งหนึ่ง โดยมีการส่งมอบรถไปแล้วประมาณ 10,000 คันภายในสิ้นเดือนเมษายน 

 

ผลงานที่แข็งแกร่งนี้ช่วยให้ยอดขายรถยนต์โดยรวมของ Toyota ในจีนเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนที่ผ่านมา (รวม 142,800 คัน) ทำให้ Toyota เป็นเพียง ‘หนึ่งเดียว’ ในบรรดา ‘บิ๊กทรี’ ของญี่ปุ่น (Toyota, Nissan และ Honda) ที่มียอดขายเติบโต โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota ในจีนพุ่งขึ้น 84% เป็น 9,400 คัน

 

ความสำเร็จของ bZ3X มาจากการพัฒนาร่วมกับ GAC Group ซึ่งมีประสบการณ์ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าผ่านแบรนด์ AION ของตนเอง รุ่นนี้มาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่พัฒนาร่วมกับ Momenta สตาร์ทอัพด้านระบบขับขี่อัตโนมัติของจีน และแบตเตอรี่ที่ชาร์จจาก 30% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 24 นาที 

 

แต่สิ่งที่เพิ่มความน่าดึงดูดใจอย่างมากคือ ‘ราคาที่น่าดึงดูดใจ’ โดยรุ่นเริ่มต้นมีราคาเพียง 109,800 หยวน (ประมาณ 15,200 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถูกกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าของ Toyota รุ่นก่อนหน้าในจีนอย่าง bZ4X และ bZ3 

 

ด้าน Nissan ก็มีสัญญาณที่ดีเช่นกัน N7 รถยนต์ซีดานของ Nissan ที่เปิดตัวปลายเดือนเมษายน มียอดคำสั่งซื้อถึง 10,000 คันภายในวันที่ 15 พฤษภาคม แม้ว่ายอดขายโดยรวมของ Nissan ในจีนเมื่อเดือนที่แล้วจะลดลง 16% เมื่อเทียบเป็นรายปี 

 

แต่ก็เป็นยอดขายที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคมซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มการฟื้นตัวที่อาจต่อเนื่องไปถึงเดือนพฤษภาคม N7 ถูกออกแบบมาเพื่อรสนิยมผู้บริโภคชาวจีนโดยเฉพาะ มีฟีเจอร์เด่น เช่น ตู้เย็น และเบาะนั่งพร้อมระบบควบคุมท่าทางด้วย AI และฟังก์ชันนวด ราคาเริ่มต้นที่ 119,900 หยวน

 

อิซาโอะ เซกิงุจิ กรรมการผู้จัดการของ Dongfeng Nissan Passenger Vehicle เปิดเผยกับ Nikkei ว่า “เราเปลี่ยนวิธีการผลิตรถใหม่หมด จากเดิมที่เคยเอารถรุ่นสากลที่ออกแบบในญี่ปุ่นมาดัดแปลงให้เข้ากับตลาดจีน ตอนนี้เราให้ทีมในจีนออกแบบและพัฒนาเองตั้งแต่ต้น”

 

การออกแบบ การพัฒนา และการคัดเลือกชิ้นส่วนของ N7 ทั้งหมดถูกจัดการโดยบริษัทร่วมทุนในจีนแทนที่จะเป็นสำนักงานใหญ่ของ Nissan ในญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ของค่ายรถญี่ปุ่นให้ ‘ตอบโจทย์ตลาดจีน’ โดยเฉพาะ

ตลาดรถยนต์จีนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าท้องถิ่นอย่าง BYD ได้พัฒนาศักยภาพทางเทคนิคอย่างรวดเร็วและจุดชนวน ‘สงครามราคา’ ทำให้ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าช้าต้องดิ้นรนอย่างหนัก 

 

ยอดขายรวมของ Toyota, Honda และ Nissan ในจีนเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 3.3 ล้านคัน ซึ่งลดลงประมาณ 30% จากปี 2021 และส่วนแบ่งตลาดรวมของญี่ปุ่นลดลงจาก 20.6% เหลือเพียง 11.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน Honda ยังคง ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายในจีนลดลงราว 40% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนเมษายน และต่ำกว่า Nissan ด้วยซ้ำ 

 

แม้ Honda จะเริ่มนำรถยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อจีนโดยเฉพาะออกสู่ตลาดในปีนี้แล้ว แต่รุ่น S7 ของ Dongfeng Honda ที่ออกวางจำหน่ายกลางเดือนเมษายน กลับถูกผู้บริโภคมองว่าแพงเมื่อเทียบกับ bZ3X ของ Toyota ที่เปิดตัวใกล้เคียงกัน

 

แม้ Toyota และ Nissan จะเริ่มทำได้ดีขึ้น แต่พวกเขาก็ยัง ‘ห่างไกล’ จากคู่แข่งจีนอย่างมาก แม้ bZ3X จะติดอันดับรถยนต์ไฟฟ้าจากต่างชาติที่ขายดีที่สุดในเดือนเมษายน แต่เมื่อรวมกับรถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตในประเทศ จะรั้งอันดับที่ 20 โดยรวมเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการแข่งขันด้านราคายังคงรุนแรง และการพลิกสถานการณ์อย่างเต็มตัวจะไม่ใช่เรื่องไม่ง่ายอย่างแน่นอน 

 

ทั้ง 3 ค่ายยังมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเปิดตัวในอนาคต เช่น Toyota bZ7 ที่จะมาพร้อมระบบห้องโดยสารที่ออกแบบโดย Huawei Technologies

 

อ้างอิง:

The post ค่ายรถญี่ปุ่นพลิกสถานการณ์ในจีน Toyota และ Nissan ออกดอกออกผลด้วยรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>