Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 31 Jul 2025 14:41:54 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่แบรนด์เนมมือสองโตแรง! สหกรุ๊ปเปิดช็อป ‘RAGTAG’ สาขาแรกในไทย เจาะคนรักของหรูราคาคุ้ม https://thestandard.co/ragtag-thailand-secondhand/ Thu, 31 Jul 2025 10:56:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1102288 ragtag-thailand-secondhand

แม้เศรษฐกิจโลกและไทยยังเปราะบาง แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมม […]

The post แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่แบรนด์เนมมือสองโตแรง! สหกรุ๊ปเปิดช็อป ‘RAGTAG’ สาขาแรกในไทย เจาะคนรักของหรูราคาคุ้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ragtag-thailand-secondhand

แม้เศรษฐกิจโลกและไทยยังเปราะบาง แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสองกลับโตแรง จากแรงหนุนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาเลือกซื้อ ‘สินค้าหรูมือสอง’ ที่ราคาคุ้มกว่าแถมยังได้ภาพลักษณ์หรูหราและไม่ตกเทรนด์อีกด้วย จนทำให้มูลค่าตลาดแบรนด์เนมมือสองในประเทศไทย ปี 2024 ที่ผ่านมาสูงถึง 40,000 ล้านบาทและมีแนวโน้มเติบโตปีละ 10–12% ต่อเนื่อง

 

จากโอกาสการเติบโตดังกล่าว เครือสหกรุ๊ป นำโดย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จึงได้ร่วมทุนกับ เวิลด์กรุ๊ป จากญี่ปุ่น นำแบรนด์ RAGTAG ซึ่งเชี่ยวชาญในสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมและลักชัวรีมือสอง เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัทใหม่ เวิลด์ สห (ประเทศไทย) พร้อมเปิดสาขาแรกที่ One Bangkok

 

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะก่อนหน้านี้ เครือสหกรุ๊ป ได้เคยร่วมทุนกับกลุ่ม KOMEHYO ศูนย์รวมสินค้าแบรนด์เนมมือสอง Luxury มาแล้ว จนปัจจุบันมีสาขาในไทยถึง 5 สาขาแล้ว สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพตลาดนี้ที่ยังโตได้อีกมาก

 

ผู้บริหารสหกรุ๊ป กล่าวว่า เครือสหกรุ๊ป ได้ทำงานร่วมกับแบรนด์ RAGTAG มากว่า 8 ปี แล้ว พบว่ามีความน่าสนใจ เพราะเป็นร้านแบรนด์เนมมือสองสไตล์แฟชั่นเหมาะกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ จึงมีการเจรจาร่วมทุนกันและจัดตั้งบริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) มาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา

 

พร้อมย้ำแม้จะมี 2 แบรนด์ในมือ แต่ทั้งสองแบรนด์มีจุดยืนต่างกันอย่างชัดเจน โดย KOMEHYO โฟกัสที่สินค้าแบรนด์เนมลักชัวรี เช่น กระเป๋า นาฬิกา ส่วน RAGTAG เน้นสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม เช่น สินค้าดีไซเนอร์ระดับโลก
ทั้งสองแบรนด์จึงสามารถเดินหน้าเติบโตคู่กันได้ โดยไม่แย่งฐานลูกค้ากัน

 

ด้าน ฮายาโตะ โมเทกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหาร RAGTAG ฉายภาพว่า กระแสสินค้าแบรนด์เนมมือสองกำลังขยายตัวทั่วโลก เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) ต้องการช่วยลดของเสียจากอุตสาหกรรมแฟชั่น และมองไปถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่าย ที่สำคัญคนรุ่นใหม่มองว่าสินค้าที่ดี ไม่จำเป็นต้องใหม่เท่านั้น

 

จริงๆแล้ว จุดกำเนิดของเทรนด์นี้เกิดขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีวัฒนธรรมมุ่งให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เนื่องจากเป็นประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด ทำให้ร้านแบรนด์เนมมือสองในญี่ปุ่นได้รับการตอบรับมากขึ้น ยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวในหลายประเทศ ส่งผลให้วัยรุ่นหันมาเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสองเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากจะใช้งานได้เองแล้วยังสามารถซื้อมาใช้แล้วขายต่อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ได้อีกด้วย

 

เช่นเดียวกับประเทศไทย หลังจากบริษัทได้เข้ามาศึกษาตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2015 ได้เห็นการเติบโตของตลาดนี้อย่างชัดเจน และพบว่าวัยรุ่นไทยให้ความสนใจกับแบรนด์เนมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากสไตล์การแต่งตัวและของใช้ส่วนตัว จึงเป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนอสินค้ามือสองคุณภาพสูงให้ลูกค้าไทย

 

สำหรับจุดแข็งของแบรนด์ RAGTAG มีสินค้าแบรนด์เนมและสินค้าลักชัวรีมือสองกว่า 5,000 แบรนด์ คัดสรรมาจากดีไซเนอร์ระดับโลก ซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นจะถูกคัดสรรและตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะทางจากญี่ปุ่น ก่อนนำออกจำหน่าย 

 

รวมถึงจุดแข็งด้านความเป็นแฟชั่น ตั้งแต่การคัดเลือกสินค้า การนำเสนอในร้าน การบริการไปจนถึงการสื่อสารกับลูกค้า ทำให้แบรนด์สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดสินค้าแฟชั่นมือสองในญี่ปุ่นมานานหลายปี

 

โดยหลังทดลองเปิด POP-UP STORE ในไทยและได้เสียงตอบรับดี RAGTAG จึงเปิดช็อป RAGTAG สาขาแรกที่ One Bangkok ประเดิมด้วยไลน์สินค้าจำนวน 1,800 รายการ ราคาเริ่มตั้งแต่ 600-500,000 บาท เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าอายุตั้งแต่ 20-50 ปี ทั้งชาวไทยและต่างชาติ 

 

ส่วนสาเหตุที่เลือกพื้นที่นี้ เพราะมองว่าเป็นศูนย์รวมสินค้าระดับพรีเมียม และมีผู้บริโภคกำลังซื้อสูง ต่อจากนี้ตั้งเป้าเปิดให้ครบ 10 สาขาในไทยภายใน 5–10 ปี พร้อมปูทางสู่การขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียนต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่เรามองว่านี่คือโอกาสสำคัญในการเติบโตของบริษัท โดยเฉพาะในตลาดแบรนด์เนมมือสอง เพราะแม้คนจะระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ความต้องการสินค้าแบรนด์ยังคงอยู่ เพียงแค่ผู้บริโภคมองหาทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า ซึ่งแบรนด์เนมมือสองสามารถตอบโจทย์นี้ได้ ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายถ้าเทียบกับสินค้าใหม่

The post แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่แบรนด์เนมมือสองโตแรง! สหกรุ๊ปเปิดช็อป ‘RAGTAG’ สาขาแรกในไทย เจาะคนรักของหรูราคาคุ้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTS vs. คำสาป K-Pop การกลับมาท้าทายกาลเวลาหลังหายไป 3 ปี กับบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ในโลก K-Pop ที่เปลี่ยนไป และเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักพวกเขาอีกต่อไป https://thestandard.co/bts-military-comeback-tour/ Thu, 31 Jul 2025 10:20:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1102257 bts-military-comeback-tour

หัวข้อในเนื้อหานี้ บังทัน เด็กกันกระสุน คำสาปของกาลเวลา […]

The post BTS vs. คำสาป K-Pop การกลับมาท้าทายกาลเวลาหลังหายไป 3 ปี กับบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ในโลก K-Pop ที่เปลี่ยนไป และเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักพวกเขาอีกต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
bts-military-comeback-tour

 

‘Cause I, I, I’m in the stars tonight’ 

 

ท่อนฮุคจากเพลงฮิต Dynamite ยังคงเป็นหมัดน็อกที่ปล่อยออกมาเมื่อไรก็ยังได้ผลต่อหัวใจของแฟนเพลงทั่วโลกเสมอ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแล้วถึง 5 ปีนับจากที่บทเพลงนี้ได้ถูกปล่อยออกมาเป็นครั้งแรก

 

เช่นกันกับบทเพลงฮิตอีกหลายเพลงที่แฟนเพลงของวงบอยแบนด์เกาหลีผู้สร้างปรากฏการณ์อย่าง ‘BTS’ ที่ยังทุ้มอยู่ในใจของเหล่าผู้ภักดีต่อชายหนุ่มทั้ง 7 คนในนาม ‘ARMY’ ไม่เปลี่ยนไป

 

แต่ในความเป็นจริงแล้วช่วงเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมาสำหรับพวกเขาเป็นช่วงเวลาของความยากลำบาก เป็นบทพิสูจน์ของอะไรหลายอย่าง เมื่อเหล่าวงประกาศ ‘พักวง’ เป็นการชั่วคราวเนื่องจากสมาชิกในวงทุกคนต้องรับใช้ชาติ ทั้งๆที่มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาไต่ระดับไปถึงดวงดาวได้สำเร็จแล้ว

 

จนเมื่อ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา SUGA สมาชิกคนสุดท้าย ได้ปลดประจำการอย่างเป็นทางการ อันเป็นสัญญาณของการกลับมาและคำสัญญาที่รอคอย

 

BTS กำลังจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

 

“ทุกคนเรากลับมาแล้ว” Jimin หนึ่งในสมาชิกประกาศข่าว “เรากำลังวางแผนที่จะจัดทัวร์รอบโลกคู่ไปกับการทำอัลบั้มใหม่ เราจะกลับมาพบกับแฟนๆทั่วโลก ดังนั้นเราหวังว่าทุกคนจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้เหมือนกับที่เราตื่นเต้นนะ”

 

เพียงแต่ในวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปจากวันนั้น ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมหรือไม่สำหรับพวกเขา? ไม่ใช่แค่ในฐานะของบอยแบนด์วงหนึ่ง แต่ในฐานะเสาหลักของวงการ K-Pop 

 

BTS รวมตัวครบ เตรียมคัมแบ็กทัวร์รอบโลก

 

บังทัน เด็กกันกระสุน

 

จุดเริ่มต้นของวง BTS ต้องบิดเข็มนาฬิกากลับไปในปี 2013 เมื่อวงบอยแบนด์หน้าใหม่จากค่าย Big Hit Entertainment ในชื่อ ‘Bangtan Sonyeondan’ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อย่อสั้นๆว่า BTS ในปี 2017 ซึ่งเป็นปีที่พวกเขาเริ่มกระโจนสู่ตลาดในระดับโลก

 

เพียงแต่สำหรับแฟนๆที่ติดตามเด็กหนุ่มทั้ง 7 – Jung Kook, V, Jin, J-Hope, Jimin, RM, Suga – ผู้เปี่ยมด้วยพรสวรค์และความสามารถทั้งการร้องและการเต้น รวมถึงบทเพลงสร้างสรรค์ที่กล้าหยิบประเด็นต่างๆทางสังคมขึ้นมาถ่ายทอด พวกเขายังคงเป็น ‘บังทัน’ (แปลว่ากันกระสุน) สำหรับแฟนๆเสมอ

 

จากศิลปินวงเล็กๆในช่วงแรก จนเริ่มมีแฟนคลับในวงกว้าง BTS เริ่มมีชื่อเสียงในระดับโลกในปี 2018 หลังจากที่ปล่อยอัลบั้ม ‘Love Yourself: Tear’ ออกมา และได้รับการตอบรับอย่างดีจากแฟนๆทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา พวกเขากลายเป็นศิลปินเกาหลีวงแรกที่ไปถึง Billboard 200 chart ได้สำเร็จ ทั้งๆที่เพลงในอัลบั้มไม่ได้เป็นเพลงภาษาอังกฤษแต่อย่างใด

 

จุดนี้ทำให้ BTS เริ่มเป็นที่พูดถึงและจับตามองในวงการดนตรีโลกกระแสหลัก เพราะนี่อาจหมายถึงการเกิดขึ้นในระดับ ‘ปรากฏการณ์’ ที่น่าสนใจ

ดอกไม้ไฟกลางใจโลก

 

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อปี 2020 BTS ปล่อยซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขาอย่าง ‘Dynamite’ ออกมาและกลายเป็นเพลงฮิตทั่วโลกในทันที ลูกระเบิดลูกนี้ไม่เพียงทำให้ BTS กลายเป็นศิลปินเกาหลีวงแรกที่ไปถึง Billboard Hot 100 chart 

 

BTS ยังกลายเป็นศิลปินจากเอเชียวงแรกนับตั้งแต่ Kyu Sakamoto ศิลปินชาวญี่ปุ่นพาบทเพลงจากตะวันออกขึ้นไปถึงอันดับ 1 ของชาร์ตได้สำเร็จ

 

ความสำเร็จนี้ทำให้ BTS เป็นวงเกาหลีวงแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy ในปี 2021, ได้เป็นศิลปินเกาหลีวงแรกที่ได้เยี่ยมชม ‘ไวท์เฮาส์’ พร้อมถ่ายภาพร่วมกับโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯในขณะนั้นด้วยการทำท่า ‘มินิฮาร์ท’ 

 

บทเพลงทุกเพลงนับจากนั้นกลายเป็นเพลงฮิตหมด BTS ถูกมองว่าเป็นผู้จุดกระแส K Pop ในระดับโลกอย่างแท้จริง เป็นวงที่ยืนแถวหน้าของโลกอย่างสง่างาม

 

‘So watch me bring the fire and set the night alight’

 

แต่ทุกอย่างต้องถูกหยุดไว้ก่อน

 

คำสาปของกาลเวลา

 

18 เดือนคือระยะเวลาที่กฏหมายเกาหลีระบุว่าชายเกาหลีทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18-28 ปีต้องเข้ารับราชการทหารในกรม เป็นการรับใช้ชาติโดยหน้าที่ ไม่มีใครเลี่ยงได้

 

ดังนั้นแม้วงจะอยู่ในจุดสูงสุด แต่สมาชิกทุกคนของ BTS ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน แม้ว่าในเดือนธันวาคม 2020 รัฐสภาเกาหลีใต้จะมีการผ่านร่างกฎหมายในการพิจารณาการชะลอเพื่อเข้ากรมทหารสำหรับบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรมและวงการบันเทิงจนถึงอายุ 30 ปี ที่เรียกกันว่า ‘กฎหมาย BTS’ ก็ตาม

 

มิถุนายน 2022 BTS ประกาศว่าพวกเขาจะขอพักวงเป็นการชั่วคราวเพื่อให้สมาชิกในวงทยอยเข้ากรม เริ่มจาก Jin พี่ใหญ่ในช่วงเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ก่อนที่สมาชิกคนอื่นๆจะทยอยตามไป ซึ่งมีทั้งในส่วนของการเข้ากรม หรือการบริการสาธารณะ (เช่นรายของ SUGA) เป็นระยะเวลา 18 เดือน

 

สิ่งที่หลายคนจับตามองคือด้วยกฎหมายว่าด้วยการรับใช้ชาตินั้น มักจะส่งผลต่อศิลปินในวงการบันเทิง โดยเฉพาะในวงการ K-Pop ที่มักจะต้องพักงานในช่วงที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุด 

 

เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรจากคำสาปของกาลเวลา

 

เมื่อกลับมาจะยังมีคนจดจำและยังรักสนับสนุนพวกเขาเหมือนเดิมไหม?

 

BTS รวมตัวครบ เตรียมคัมแบ็กทัวร์รอบโลก

 

กองทัพผู้ซื่อสัตย์

 

“ฉันคิดถึงพวกเขาเหลือเกิน” แฟนเพลงในระดับ Die-hard ของ BTS บอกถึงความรู้สึกหลังจากที่วงกำลังจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่ง

 

สิ่งที่น่าสนใจคือ ARMY คนนี้ไม่ได้เป็นคนเกาหลี แต่เป็นหญิงสาวชาวบราซิล ที่เดินทางไกลข้ามโลกมาเพื่อร่วมงาน ‘BTS Festa’ งานปาร์ตี้ใหญ่ของคนรัก BTS ที่จะจัดขึ้นทุกปี โดยปีนี้จัดขึ้นที่เมืองโกยาง จังหวัดคยองกี ไม่ห่างจากกรุงโซล เมืองหลวงมากนัก

 

ในงานมีกิจกรรมมากมายให้ ARMY ได้เข้าร่วม หนึ่งในนั้นคือ ‘Voice zone’ ตู้โทรศัพท์เล็กๆที่ให้ทุกคนได้เข้าไปยกหูขึ้น และฟังข้อความเสียงที่เหล่าสมาชิกในวงฝากความคิดถึงผ่านคลื่นเสียงมาให้

 

รอบๆตู้โทรศัพท์นี้ดูคล้ายมีฝนตกตลอดเวลา เพราะมีน้ำตาของแฟนๆที่สะกดไว้ไม่ไหวเมื่อได้ยินข้อความที่ฝากมา

 

“มันเป็น 18 เดือนที่เหมือนตลอดไป” แฟนเพลงจากแดนไกลอีกคนบอก เธอคนนี้มาจากแอฟริกาใต้เลยทีเดียว ซึ่งแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากแค่ไหน ต้องใช้เงินมากเท่าไรแต่สำหรับ ARMY ผู้ภักดีแล้วมันเป็นสิ่งที่พวกเธอและพวกเขาทั้งหลายเต็มใจทำ

 

เพื่อบอกให้รู้ว่าต่อให้โลกจะเปลี่ยนแปลง แต่พวกเขายังไม่เคยเปลี่ยนไป

 

ความรู้สึกเหล่านี้คือกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความรักและความภักดีของเหล่า ARMY ที่ยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของวงอยู่เสมอ และไม่ใช่แค่แฟนเพลงในเกาหลี แต่เป็นแฟนๆทั่วโลกที่ยืนรอคอยอยู่ตรงนี้ตลอด 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา

 

ถ้าจะมีสักวงที่ทำลายคำสาปของกาลเวลาได้ BTS ก็น่าจะเป็นวงนั้น

 

Masterplan ความสำเร็จของ BTS

 

ความสำเร็จของ BTS ในระดับโลกไม่ได้มาจากแค่เรื่องของการรังสรรค์บทเพลงที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องของการวางกลยุทธ์การตลาดอย่างแยบยลที่ทำให้สมาชิกทั้ง 7 ไม่ได้เป็นแค่ไอดอลหรือนักร้อง

 

แต่พวกเขาคือส่วนหนึ่งของกันและกันกับเหล่า ARMY ทุกคน

 

บนเวที BTS คือวงบอยแบนด์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถในการแสดง ทั้งการร้องด้วยเสียงอันทรงพลังและมีเสน่ห์ การเต้นบนเวทีที่ผ่านการซ้อม Choreography มาอย่างเข้มข้นทำให้ไลน์การเต้นของแต่ละคนสวยงาม และเมื่อรวมกัน 7 คนก็ยิ่งเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก

 

นอกเวที BTS คือวงที่ใกล้ชิดกับแฟนๆอย่างมาก พวกเขาใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างชาญฉลาดโดยมีทั้งแพลตฟอร์มของตัวเองอย่าง Weverse ที่แฟนๆต้องยอมควักเงินหากต้องการที่จะติดตามชีวิตเรื่องราวคอนเทนต์ต่างๆที่สมาชิกแต่ละคนจะเข้ามาโต้ตอบกับแฟนๆอย่างเป็นกันเอง 

 

ในเวลาเดียวกันพวกเขายังใช้ Free media อย่าง Instagram, X, YouTube เพื่อนำเสนอเรื่องราวต่างๆ

 

สิ่งเหล่านี้ได้นำมาสู่การเป็นชุมชนออนไลน์ (Community) ที่แข็งแกร่ง กลายเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งที่พร้อมจะสนับสนุน BTS ไปตลอดทาง ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ตาม

 

BTS รวมตัวครบ เตรียมคัมแบ็กทัวร์รอบโลก

 

โลกของ K-Pop ที่เปลี่ยนไป

 

แต่ไม่ว่า BTS จะมีฐานแฟนเพลงที่เหนียวแน่นแค่ไหน สิ่งที่พวกเขาต้องเตรียมเผชิญคือความจริงที่ว่าโลกใบนี้ไม่เหมือนเก่าอีกแล้ว

 

โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม K-Pop

 

ถึงแม้ว่า Black Pink จะยังคงเป็น ‘หัวแถว’ ของวงการอีกวงในระหว่างที่ BTS หายหน้าไปแต่มีความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในเรื่องของพฤติกรรมของแฟนๆที่แตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะในหมู่ของกลุ่มคนรุ่นใหม่

 

เพราะเมื่อไม่มีวงที่เป็นเสาหลักอย่าง BTS ซึ่งถือเป็นวง ‘รุ่นที่ 3’ เด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเติบโตขึ้นมาจึงเลือกที่จะกระจายไปฟังเพลงจากศิลปินวงอื่นๆ ซึ่งเกิดขึ้นใหม่แทบทุกสัปดาห์ ในตลาดการแข่งขันที่รุนแรง

 

“คนรุ่นหนูจะตามวงในรุ่นที่ 4 มากกว่า” สาวน้อยวัย 13 ปีที่เป็นแฟนของวง IVE บอก “จะมีบางคนที่ยังชอบวงจากรุ่นที่ 3 อยู่ แต่สำหรับวัยรุ่นแล้ว BTS กลายเป็นวงของคนรุ่นก่อนมากกว่า มีศิลปินวงใหม่เดบิวต์ (เปิดตัว)​ มากมายในช่วงที่ BTS ไม่อยู่ และพวกเขาก็ได้รับความนิยมมากด้วย”

 

ฟังแบบนี้ดูเหมือนช่องว่างระหว่างกาลเวลาที่หายไปจะมีผลต่อพวกเขาอยู่บ้าง โดยเฉพาะในการตามหาแฟนเพลงกลุ่มใหม่

 

เพียงแต่สำหรับคนในวงการ K-Pop การกลับมาของ BTS คือความหวังครั้งสำคัญเลยทีเดียว

 

ความหวังทั้ง 7

 

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อวงการอุตสาหกรรม K-Pop หลังการพักวงของ BTS คือการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ

 

ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมดนตรีของเกาหลีประกอบไปด้วยหลายอย่าง ซึ่งแม้บางอย่างจะยังคงทำรายได้อย่างเข้มแข็งโดยเฉพาะการจัดงานคอนเสิร์ตที่แฟนๆยังคงให้การสนับสนุนวงที่รักอย่างเต็มที่ แต่ในด้านของยอดการจำหน่ายอัลบั้มกลับลดลงอย่างน่าตกใจเมื่อมองย้อนกลับไปถึงช่วงพีคในปี 2023

 

มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วงระดับเสาหลักอย่าง BTS และ Blackpink ไม่มีอัลบั้มใหม่ออกวางจำหน่ายพอดี ซึ่งคนในวงการดนตรีเกาหลีก็ยอมรับว่าการพักวของ BTS ทำให้คนในวงการได้รับผลกระทบตามไปด้วยโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

 

เรื่องนี้บวกกับกระแสข่าวอื้อฉาว ความขัดแย้งระหว่าง NewJeans วงเกิร์ลกรุ๊ปรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆแต่กลับมีปัญหากับต้นสังกัดถึงขั้นแตกหักมีการฟ้องร้องกันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

 

ถึงช่วงที่ผ่านมาสมาชิกในวง BTS จะมีการทำผลงานโซโลกันบ้าง แต่ไม่มีอะไรดีไปกว่าการประกาศการกลับมาของ BTS ในครั้งนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในวงการ K-Pop รอคอยมาตลอด

 

“การกลับมาของพวกเขาจะทำให้คนกลับมาสนใจกับดนตรีของเกาหลีอีกครั้ง”

 

BTS รวมตัวครบ เตรียมคัมแบ็กทัวร์รอบโลก

 

Life goes on…

 

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาสมาชิก BTS ได้ประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะกลับมา หลังจากที่สมาชิกทุกคนได้เสร็จสิ้นภารกิจรับใช้ชาติแล้ว

 

กำหนดการนัดหมายที่จะกลับมารวมตัวกันเพื่อทำผลงานอีกครั้งอยู่ในช่วงปลายเดือนนี้ โดยทุกคนจะกลับมาเริ่มต้นทำงานดนตรีกันอีกครั้ง และคาดหวังว่าอัลบั้มใหม่ที่ทุกคนรอคอยจะเสร็จสิ้นทันภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นอัลบั้มแรกนับตั้งแต่ปี 2020 

 

และแน่นอนว่าพวกเขาจะจัดเวิลด์ทัวร์เล่นคอนเสิร์ตทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกนับตั้งแต่ ‘Permission to Dance on Stage tour’ ในปี 2022 

 

สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือระหว่างทางของการกลับมาจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ จะมีปัญหาและอุปสรรคใดต้องฝ่าฟันไปด้วยกันอีกไหม โดยไม่นับเรื่องของความท้าทายอื่นๆที่รอคอยอยู่ สิ่งที่เคยทำให้พวกเขาไปสู่ความสำเร็จได้ในวันวาน อาจจะพาไปไม่ถึงในวันนี้แล้วก็เป็นไปได้

 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การกลับมาของ BTS ในเวอร์ชั่น 2.0 ก็เป็นข่าวดีที่ทุกคนรอคอย

 

ที่เหลือจะเป็นอย่างไร ก็ให้เป็นเรื่องความเป็นไปของชีวิตแล้วกัน

 

Like an arrow in the blue sky

또 하루 더 날아가지

On my pillow, on my table

Yeah, life goes on like this again

 

อ้างอิง

The post BTS vs. คำสาป K-Pop การกลับมาท้าทายกาลเวลาหลังหายไป 3 ปี กับบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ในโลก K-Pop ที่เปลี่ยนไป และเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักพวกเขาอีกต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
บริษัทเทคยักษ์ใหญ่เพิ่มงบลงทุน AI ต่อเนื่อง Microsoft คาดใช้งบเฉียด 1 ล้านล้านบาท ในไตรมาสนี้ https://thestandard.co/ai-war-bigtech/ Thu, 31 Jul 2025 09:42:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1102233 ai-war-bigtech

สมรภูมิปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้าสู่ระยะแข่งขันดุเดือดอ […]

The post บริษัทเทคยักษ์ใหญ่เพิ่มงบลงทุน AI ต่อเนื่อง Microsoft คาดใช้งบเฉียด 1 ล้านล้านบาท ในไตรมาสนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ai-war-bigtech

สมรภูมิปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้าสู่ระยะแข่งขันดุเดือดอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลกอย่าง Microsoft, Meta และ Google ต่างใช้เวทีประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสล่าสุด เพื่อตอกย้ำถึงการทุ่มทรัพยากร โดยเฉพาะเงินลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ 

 

โดยต่างฝ่ายต่างให้คำมั่นว่า จะทุ่มงบประมาณรวมกันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในทุกๆ ไตรมาส เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการแย่งชิงความเป็นผู้นำในยุค AI

 

การเคลื่อนไหวที่พร้อมเพรียงกันนี้ตอกย้ำว่า ชัยชนะในสมรภูมิ AI ไม่ได้วัดกันที่โมเดลภาษาที่ฉลาดที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าใครมีทรัพยากรในแต่ละด้านที่มากพอที่จะสร้างอาณาจักรแห่งการประมวลผลที่ทรงพลังที่สุดได้

 

Microsoft ประกาศทุ่มงบลงทุน AI ทุบสถิติอีกกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดียว

 

Amy Hood ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Microsoft กล่าวว่า บริษัทจะใช้งบลงทุนสูงกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ล้านล้านบาท ในไตรมาสปัจจุบัน (เดือนกรกฎาคม – กันยายน 2025) ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าอย่างน้อย 50% 

 

“เราจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อคว้าโอกาสอันกว้างใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า” Amy กล่าว

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ให้ความเห็นว่า การเติบโตที่แข็งแกร่งของ Azure “อาจช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับงบลงทุนที่สูงของบริษัทได้” และ “ทำให้ Microsoft มีเหตุผลอันสมควรมากขึ้นในการลงทุนในธุรกิจ AI ต่อไป”

 

ขณะที่ Satya Nadella ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Microsoft ระบุผ่านรายงานผลประกอบการของบริษัทว่า “คลาวด์และ AI คือพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมและทุกภาคส่วน เรากำลังสร้างนวัตกรรมครอบคลุมทุกระดับของเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับตัวและเติบโตได้ในยุคใหม่นี้ และในปีนี้ ธุรกิจ Azure มีรายได้ทะลุ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2.5 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 34% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตในทุกกลุ่ม”

 

ทั้งนี้ Microsoft กำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลสำหรับ Generative AI โดยในไตรมาสที่เพิ่งสิ้นสุดไป บริษัทได้ใช้งบประมาณลงทุน (Capital Expenditures หรือ Capex) ไปแล้วถึง 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์  ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเดิม แต่สถิตินี้กำลังจะถูกทำลายในไม่ช้า

 

Satya เปิดเผยระหว่างการแถลงผลประกอบการว่า Copilot ซึ่งเป็น AI Chatbot ของบริษัท มีผู้ใช้งานประจำในแต่ละเดือนมากกว่า 100 ล้านคนแล้ว และมีลูกค้ากว่า 800 ล้านคนที่ใช้งานฟีเจอร์ AI ที่ฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Microsoft 

เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Gemini ของ Google มีผู้ใช้งานประจำทุกเดือนมากกว่า 450 ล้านคน (ข้อมูล ณ สัปดาห์ก่อน) ขณะที่ ChatGPT ของ OpenAI มีผู้ใช้งานประจำทุกสัปดาห์ถึง 500 ล้านคน (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม)

 

Microsoft จ่อมีมูลค่าทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นรายที่ 2 

 

ทั้งนี้ Microsoft มีรายได้รวม 2.81 แสนล้านบาท หรือราว 9.1 ล้านล้านบาท สำหรับ 12 เดือนที่ผ่านมา จนถึง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 15% และมีกำไรสุทธิ 1.01 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 3.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% 

 

Microsoft กำลังจะก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่สองของโลกที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) แตะระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ได้สำเร็จ หลังจากที่บริษัทได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นอย่างรุนแรงในการซื้อขายนอกเวลาทำการเมื่อคืนที่ผ่านมา

ราคาหุ้นของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีพุ่งขึ้นมากถึง 9% แตะระดับกว่า 560 ดอลลาร์ ในการซื้อขายนอกเวลาทำการที่นิวยอร์ก และหากการปรับตัวขึ้นดังกล่าวสามารถยืนระยะได้ต่อเนื่องจนถึงการเปิดตลาดในคืนวันนี้ (31 กรกฎาคม ตามเวลาประเทศไทย) ก็จะส่งผลให้มูลค่าตลาดของ Microsoft ทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะตามรอย Nvidia ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นบริษัทแรกที่ไปถึงหมุดหมายดังกล่าวได้เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

 

Meta หุ้นพุ่ง 10% ผลประกอบการดีเกินคาด เร่งลงทุน AI เต็มสูบ

 

Meta Platforms Inc. รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2025) ออกมาดีกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ไว้ และที่สำคัญคือ การคาดการณ์รายได้สำหรับไตรมาส 3 ในปัจจุบันอยู่ที่ระหว่าง 4.75 – 5.05 หมื่นล้านดอลลาร์ ก็อาจดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ 

 

Susan Li ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Meta กล่าวกับนักลงทุนว่า “เราเชื่ออย่างยิ่งว่านี่คือช่วงเวลาที่เราต้องลงทุนในอนาคตของ AI อย่างจริงจัง เพราะเราคิดว่ามันจะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับเรา ควบคู่ไปกับการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของเรา” เธอย้ำว่าเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาขึ้นได้ถูกผสานเข้าไปในผลิตภัณฑ์โฆษณา และเริ่มสร้างรายได้ที่มีนัยสำคัญแล้ว

 

Mark Zuckerberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตอกย้ำประเด็นนี้ว่า “ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณ AI ที่ช่วยปลดล็อกประสิทธิภาพและผลกำไรที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งระบบโฆษณาของเรา”

 

ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจโฆษณา Meta จึงประกาศยกระดับการลงทุนด้าน AI อย่างเต็มที่ โดยบริษัทได้ปรับเพิ่มกรอบล่างของคาดการณ์งบลงทุนสำหรับปี 2025 และส่งสัญญาณเบื้องต้นว่า ค่าใช้จ่ายในปี 2026 จะเติบโตในอัตราที่เร็วยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับ AI และการแย่งชิงบุคลากรด้านเทคนิคที่มีความสามารถสูง

 

Google เพิ่มงบลงทุน AI – คลาวด์สู่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Google ในเครือ Alphabet Inc. ประกาศเพิ่มคาดการณ์งบประมาณการลงทุน สำหรับปี 2025 ขึ้นอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2.7 ล้านล้านบาท ตอกย้ำถึงความต้องการบริการคลาวด์และ AI ที่กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง จนปริมาณงานในมือ (Backlog) ให้กับบริษัทสูงเป็นประวัติการณ์

 

การประกาศดังกล่าวมีขึ้นในระหว่างการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (30 กรกฎาคม) ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ถึงสงครามการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่กำลังดุเดือดในหมู่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี

Google รายงานว่ารายได้จากธุรกิจคลาวด์ (Google Cloud) ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เติบโตขึ้นถึง 32% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แตะระดับ 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 4.4 แสนล้านบาท สะท้อนถึงความสำเร็จในการนำเสนอบริการ AI ที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยีคลาวด์ของตน

 

Anat Ashkenazi ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Alphabet เปิดเผยว่า อุปสงค์สำหรับบริการคลาวด์ของ Google นั้นสูงมาก จนขณะนี้บริษัทมี Backlog สะสมสูงถึง 1.06 แสนล้านดอลลาร์ “มันเป็นสภาพแวดล้อมที่อุปทานค่อนข้างตึงตัว” เธอกล่าว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้บริษัทต้องเร่งขยายการลงทุนอย่างมหาศาล

 

โดยงบลงทุนส่วนใหญ่ในไตรมาสที่ผ่านมาถูกจัดสรรไปที่โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยประมาณ 2 ใน 3 เป็นการลงทุนในเซิร์ฟเวอร์ และอีก 1 ใน 3 เป็นการลงทุนในการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์เครือข่าย

 

ภาพ: Sergey Nivens / Shutterstock 

 

อ้างอิง:

The post บริษัทเทคยักษ์ใหญ่เพิ่มงบลงทุน AI ต่อเนื่อง Microsoft คาดใช้งบเฉียด 1 ล้านล้านบาท ในไตรมาสนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนเปิดเกมรุก! นายกฯ หลี่ เฉียง เสนอตั้งองค์กร AI โลก สร้างกติการ่วมกัน ท่ามกลางศึกชิงความเป็นใหญ่กับสหรัฐฯ https://thestandard.co/china-proposes-global-ai-organization/ Thu, 31 Jul 2025 08:59:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1102177 นายกฯ จีน หลี่ เฉียง กล่าวเปิดประชุม WAIC เสนอจัดตั้งองค์กร AI ระดับโลก

หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้เสนอให้มีการจัดตั้งองค์กร […]

The post จีนเปิดเกมรุก! นายกฯ หลี่ เฉียง เสนอตั้งองค์กร AI โลก สร้างกติการ่วมกัน ท่ามกลางศึกชิงความเป็นใหญ่กับสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นายกฯ จีน หลี่ เฉียง กล่าวเปิดประชุม WAIC เสนอจัดตั้งองค์กร AI ระดับโลก

หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้เสนอให้มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับโลก พร้อมเรียกร้องให้นานาชาติร่วมมือกันในการพัฒนากำกับดูแลเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นการเปิดเกมรุกครั้งสำคัญของจีนบนเวทีโลก

 

คำประกาศนี้มีขึ้นในพิธีเปิดการประชุม World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ประจำปีที่นครเซี่ยงไฮ้เมื่อวันเสาร์ (26 ก.ค.) ที่ผ่านมา โดยหลี่ เฉียง ได้กล่าวว่า AI คือเครื่องยนต์ใหม่สำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่การกำกับดูแลในปัจจุบันยังคงกระจัดกระจายจึงจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสร้างกรอบ ‘กติกาที่เป็นที่ยอมรับ’ ในระดับโลก

 

การประชุม WAIC ในปีนี้จัดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่ง AI ได้กลายเป็น ‘สมรภูมิสำคัญ’ โดยก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เพิ่งประกาศแผนปฏิบัติการ AI ของสหรัฐฯ เช่นกัน

 

จอร์จ เฉิน จาก The Asia Group วิเคราะห์ว่า “ตอนนี้สองขั้วอำนาจกำลังก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน” เขามองว่า “จีนต้องการยึดมั่นใน ‘แนวทางพหุภาคี’ ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องการสร้างกลุ่มพันธมิตรของตนเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อสกัดการผงาดขึ้นมาของจีนในด้าน AI”

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ในสุนทรพจน์ หลี่ เฉียง ไม่ได้เอ่ยชื่อสหรัฐฯ โดยตรง แต่ได้เตือนว่า AI อาจกลายเป็น ‘เกมที่ผูกขาดโดยไม่กี่ประเทศ’ และชี้ให้เห็นถึงความท้าทายต่างๆ เช่น การขาดแคลนชิป AI และข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนบุคลากรที่มีความสามารถ

 

เขาย้ำว่า จีนต้องการแบ่งปันประสบการณ์การพัฒนาและผลิตภัณฑ์ของตนกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในซีกโลกใต้ (Global South) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน AI plus ของจีนที่ต้องการผนวกเทคโนโลยีนี้เข้ากับทุกภาคอุตสาหกรรม

 

การประชุม WAIC ในปีนี้มีบริษัทเข้าร่วมมากกว่า 800 แห่ง จัดแสดงนวัตกรรมมากกว่า 3,000 รายการ โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทจีน เช่น Huawei และ Alibaba แต่ก็มีบริษัทตะวันตกเข้าร่วมด้วยเช่นกัน อาทิ Tesla, Alphabet และ Amazon 

 

ที่น่าสังเกตคือ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla ซึ่งเคยปรากฏตัวในพิธีเปิดเป็นประจำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งด้วยตนเองและผ่านวิดีโอ กลับไม่ได้ขึ้นกล่าวใดๆ ในปีนี้

 

ภาพ: Dilok Klaisataporn / Shutterstock

อ้างอิง:

The post จีนเปิดเกมรุก! นายกฯ หลี่ เฉียง เสนอตั้งองค์กร AI โลก สร้างกติการ่วมกัน ท่ามกลางศึกชิงความเป็นใหญ่กับสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิกฤตอาณาจักร LVMH กลายเป็น ‘บททดสอบ’ 5 ทายาทตระกูลอาร์โนลต์ ท่ามกลางปริศนาใครคือผู้สืบทอดตัวจริง https://thestandard.co/lvmh-leadership-crisis-2025/ Thu, 31 Jul 2025 07:03:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1102120 หุ้น LVMH ร่วงหนักในปี 2025 สะท้อนปัญหายอดขายและความไม่แน่นอนในการสืบทอด

ไม่ว่าบรรยากาศภายในห้องโถงที่ตั้งอยู่ใต้ปีระมิดแก้วของพ […]

The post วิกฤตอาณาจักร LVMH กลายเป็น ‘บททดสอบ’ 5 ทายาทตระกูลอาร์โนลต์ ท่ามกลางปริศนาใครคือผู้สืบทอดตัวจริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น LVMH ร่วงหนักในปี 2025 สะท้อนปัญหายอดขายและความไม่แน่นอนในการสืบทอด

ไม่ว่าบรรยากาศภายในห้องโถงที่ตั้งอยู่ใต้ปีระมิดแก้วของพิพิธภัณฑ์ Louvre จะตระการตาสักแค่ไหนก็ตาม ดูเหมือนแบร์นาร์ด อาร์โนลต์จะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไรนัก

 

แม้กระทั่งเสียงการบรรเลงเปียโนที่ระรื่นหูสำหรับใครหลายคน ก็กลายเป็นเสียงที่เสียดแทงใจของ “ต้องขออภัยด้วยที่เรายังเล่นเพลงเดิมกับเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันจะดี” ทำเอานักเปียโนมือฉมังถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก ขณะที่อาร์โนลต์บอกย้ำกับผู้บริหารว่าอย่าให้เห็นอะไรแบบนี้อีกในปีหน้า

 

ความไม่สบอารมณ์นี้ไม่ได้เกิดจากเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เป็นเพราะเจ้าสัวแห่งวงการลักชัวรี ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ‘LVMH’ กำลังเผชิญกับปัญหาในระดับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อกิจการของเขา

 

สถานะของเขาจากที่เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกก็กลายเป็นเรื่องของวันวานไปแล้ว แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่เขาต้องตอบคำถามจากเหล่านักลงทุนในระหว่างการประชุมสามัญประจำปีของ LVMH ถึงปัญหาสารพันในอาณาจักรลักชัวรีของเขา

 

เมื่อความเชื่อมั่นที่เคยมีเริ่มหายไป อาร์โนลต์จะหาทางพาทุกคนฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างไร? และอะไรคือต้นตอของความตกต่ำที่ไม่มีใครคาดคิด?

 

ตกสวรรค์

“ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมาที่เราติดตาม LVMH เราไม่เคยเห็นสัญญาณอันตรายเลยแม้แต่ครั้งเดียว” 

 

ปิแอร์-โอลิวิเยร์ เอสซีก หัวหน้าของบริษัทวิจัยข้อมูล AIR Capital แสดงความเห็นถึงอาณาจักรลักชัวรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ไม่สิต้องบอกว่าเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกถึงจะถูกมากกว่า

 

นั่นเพราะในเวลานี้หุ้นของ LVMH ที่เคยไต่ทะยานสูงสุดในเดือนเมษายน 2023 เวลานี้มูลค่านั้นเหลือเพียงแค่ครึ่งเท่านั้น หรือโดยประมาณแล้วมูลค่าหายไปกว่า 2.21 แสนล้านยูโร (8.38 ล้านล้านบาท) เลยทีเดียว 

 

เวลานี้หุ้นของ LVMH อย่าว่าแต่จะติดท็อป 3 ของยุโรปที่เคยเป็นของแบเบอร์เลย พวกเขายังเสียสถานะของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดของฝรั่งเศสไปให้กับ Hermès คู่แข่งหมายเลขหนึ่งของพวกเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

และเช่นกันกับอาร์โนลต์ที่ได้สูญเสียสถานะของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้ว หลังจากที่ในเดือนมีนาคม 2024 เขาเคยแซงหน้าทั้งอีลอน มัสก์ และเจฟฟ์ เบโซสได้ด้วยทรัพย์สินรวมมูลค่า 2.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (7.5 ล้านล้านบาท) แต่ภายในเวลาปีเดียวทรัพย์ของเขาลดลงมาเหลือเพียงแค่ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ (4.87 ล้านล้านบาท) ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะยังคงเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปอยู่ก็ตาม

 

คำถามคืออะไรเป็นสาเหตุของความตกต่ำในครั้งนี้?

 

ภาพ : Lexie Moreland/WWD via Getty Images

 

มังกรยังเปลี่ยนใจ

ย้อนกลับไปในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้ LVMH ยิ่งใหญ่ได้คือการตัดสินใจบุกตลาดตะวันออก โดยเฉพาะประเทศจีนที่กลายเป็นตลาดสำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง

 

คนจีนที่ร่ำรวยขึ้นมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตแบบทะยานฟ้าหลงรักและหลงใหลในเรื่องราวและคุณภาพของสินค้าจากฝรั่งเศส และต้องการมีไว้ในครอบครองเพื่อเป็นเครื่องสะท้อนของสถานะและรสนิยม ซึ่งนั่นทำให้ยอดขายของสินค้าในเครือ LVMH พุ่งขึ้นสูงเหมือนมังกรทะยานฟ้า

 

แม้กระทั่งในช่วงวิกฤตการณ์ระดับโลกอย่างเหตุการณ์ก่อการร้าย ‘911’ ที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของโลกอย่างสิ้นเชิง และ ‘วิกฤตซับไพรม์’ หรือ ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ ที่ล้มสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งก็ไม่อาจสะเทือนอาณาจักรของตระกูลอาร์โนลต์ได้ เพราะพวกเขามีตลาดที่เข้มแข็งในประเทศจีน

 

แต่คำว่าตลอดไปไม่มีอยู่จริง มังกรเองก็เปลี่ยนใจและเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน

 

วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศจีนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง พฤติกรรมของผู้บริโภคในจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาลดละเลิกการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย หันมาประหยัดอดออมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่านิยมเปลี่ยนแปลงหันมาใช้แบรนด์ภายในประเทศ ทำให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มลักชัวรีภายในประเทศจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง

 

ยอดขายในร้านค้าทางยุโรปเองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกันเมื่อไม่มีนักช็อปมือหนักจากตะวันออกมาออกันเต็มหน้าร้านเหมือนเดิม 

 

เพื่อนแท้ที่ชื่อทรัมป์

ผีซ้ำด้ามพลอย ตลาดสำคัญอีกแห่งทางตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาก็เจอตอเข้าอย่างจังด้วยกับเรื่องมาตรการภาษีการค้าในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ หรือที่เรียกกันว่า ‘ภาษีทรัมป์’ ก็กำลังทำพิษด้วยเช่นกัน 

 

เรื่องนี้ทำให้แบร์นาร์ด อาร์โนลต์ ต้องอาศัยความคุ้นเคยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯที่มีมาตั้งแต่ในยุค 1980 ในช่วงที่ยังทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา พยายามเจรจาเพื่อไม่ให้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรป 

 

โดยเขาและลูกชาย อเล็กซองด์ ได้รับเชิญไปยังทำเนียบขาวเมื่อเดือนพฤษภาคม เพราะ Tiffany & Co บริษัทในเครือ LVMH เป็นผู้ออกแบบถ้วยรางวัลสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกที่จะจัดขึ้นในอเมริกาในปี 2026 ซึ่งทรัมป์ได้เรียกทั้งคู่ว่า ‘เป็นเพื่อนที่ดีเยี่ยมทั้งสอง’ และยังเคย FaceTime หารือกันด้วย

 

ภาพ : Budrul Chukrut/SOPA Images/LightRocket via Getty Images

 

แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาทรัมป์กลับคำ และขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ซึ่งขนาดแค่ขู่ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างมหาศาล ถ้าเกิดขึ้นจริงย่อมกระทบต่อ LVMH อย่างรุนแรงแน่นอน

 

อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่ต้นตอของปัญหาที่ทำให้เครือลักชัวรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ

 

เพราะปัญหาที่แท้จริงอาจไม่ได้เกิดจากแค่เพียงปัจจัยภายนอก แต่เป็นปัจจัยภายในที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดแข็งที่สุด

 

บ้านเล็กบ้านน้อย พลอยทำวุ่น

LVMH ในสายตาของชาวโลกคือเครือธุรกิจหรูที่ครบวงจรที่สุด มีแบรนด์ระดับชั้นนำของโลกรวมกันอยู่มากถึง 75 แบรนด์ด้วยกัน เรียกว่าไล่เรียงชื่อกันไปก็ย่อมมีสักแบรนด์ที่เป็นแบรนด์โปรดที่อยู่ในความใฝ่ฝันของใครต่อใครแน่นอน

 

Louis Vuitton, Dior, Moët Hennessy, Tiffany & Co เป็นตัวอย่าง แต่นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ร้านเครื่องสำอางอย่าง Sephora ไปจนถึงภัตตาคารแนวบิสโทร L’Ami Louis ที่ขายอาหารจานเด็ดอย่างไก่อบในราคาที่สูงกว่าตัวละ 100 ดอลลาร์ (3,300 บาท) 

 

กลยุทธ์การกว้านซื้อกิจการของแบรนด์ต่างๆเหล่านี้ แต่ให้อิสระในการบริหารจัดการเองของแต่ละบ้าน (Maison) จากไอเดียของแบร์นาร์ด อาร์โนลต์ เป็นกลยุทธ์ที่เคยได้ผลมาตลอด เพียงแต่เมื่อถึงช่วงที่ยากลำบาก การมีแบรนด์อยู่เป็นจำนวนมากกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมา

 

เพราะการมีมากเกินไปทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง ต่อให้อาร์โนลต์จะพยายามใส่ใจกับทุกแบรนด์ทุกช็อปในการเดินสำรวจตลาดทุกเช้าแค่ไหนก็ตาม เปรียบง่ายๆก็เหมือนมีพื้นที่ผืนใหญ่ แต่มีการสร้างบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็ใส่ใจได้ไม่หมดและไม่ดีพอ

 

“ตราบใดที่ LVMH ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องนักลงทุนไม่เคยสนใจเรื่องของโครงสร้างของกลุ่ม แต่ในเวลาที่สถานการณ์เริ่มไม่ดีขึ้นมานักลงทุนจะสามารถจี้จุดที่เป็นปัญหาได้อย่างรวดเร็ว” อาเรียน ฮายาเตะ ผู้จัดการกองทุน Edmond de Rothschild Asset Management ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถือหุ้นบางส่วนของ LVMH กล่าว

 

คำแนะนำง่ายๆคือ LVMH ควรจะมีการตรวจหลังบ้านของตัวเองอย่างละเอียดและชี้แจงนักลงทุน รวมถึงควรจะมีการปล่อยแบรนด์บางแบรนด์ออกไปบ้าง

 

จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ LVMH ได้ขายแบรนด์ที่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าอย่าง Off-White และ Stella McCartney ซึ่งเป็นสองแบรนด์แฟชั่นสตรีทในระดับลักชัวรีออกไปเป็นที่เรียบร้อย และยังมีข่าวว่าพิจารณาจะแยก Moët Hennessy ซึ่งมีปัญหาภายในรวมถึง Sephora ออกไปด้วย

 

ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Hermès เดินในทางสายตรงข้ามด้วยการโฟกัสกับแบรนด์เดียว ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ซึ่งตามข้อมูลจาก Bloomberg ราคาหุ้นของพวกเขาดีกว่า LVMH อย่างมาก (50 เท่าต่อ 20 เท่าในการประเมินมูลค่าหุ้น) 

 

ภาพ: Budrul Chukrut/SOPA Images/LightRocket via Getty Images)

 

บททดสอบที่หนักหน่วง

ความสำเร็จของแบร์นาร์ด อาร์โนลต์ ในฐานะเจ้าพ่อวงการลักชัวรี ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันได้ว่าความเก่งกาจนั้นจะถูกส่งต่อลงมาถึงทายาทที่แต่งตัวเตรียมที่จะขึ้นมารับช่วงต่อไปในอนาคต

 

อย่างน้อยในเวลานี้มีถึง 2 คนจากทั้งหมด 5 คนในบรรดาลูกๆของบ้านอาร์โนลต์ที่กำลังตกอยู่ใต้ความกดดันอย่างหนัก

 

คนแรกคือ เดลฟีน อาร์โนลต์ ธิดาที่เป็นลูกคนโตของครอบครัวในวัย 50 ปี ซึ่งได้รับมอบหมายโดยตรงจากตัวของแบร์นาร์ดให้มาคุมบ้าน Dior ตั้งแต่เมื่อปี 2023 

 

Dior นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับเขาเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอาณาจักรหรูหรา LVMH ซึ่งการเข้ามารับหน้าที่ดูแลนั้นเป็นการฝึกอีกขั้นของเดลฟีน หลังจากที่บริหารงานของ Louis Vuitton มาเป็นเวลาร่วมทศวรรษ

 

ในช่วงแรกนั้น Dior ภายใต้การนำของเธอยังทำได้ดี ตัวเลขการเติบโตสูงถึง ‘สองหลัก’ และมีผลิตภัณฑ์สุดฮิตอย่างกระเป๋า Dior Book ที่ราคาสูงถึง 2,750 ยูโร (104,000 บาท) ที่ศิลปินและนักแสดงคนดังอย่าง Rihanna และ Jennifer Lawrence ใส่

 

แต่หลังจากนั้นผลประกอบการของแบรนด์ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุผลที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นสาเหตุคือราคาของสินค้าที่ “สูงแบบไม่มีเหตุผล”

 

ไม่เพียงเท่านั้น Dior ยังประสบปัญหาในเรื่องข่าวการพบว่ามีการจ้างแรงงานผิดกฎหมายในการผลิต ซึ่งแม้จะมีความพยายามในการยุติเรื่องที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนพฤษภาคม แต่ก็ช้าเกินไปแล้วเพราะชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียหายป่นปี้ไปแล้ว

 

 

ลูกอีกคนที่ต้องเจอกับสถานการณ์ลำบากคือ อเล็กซองด์ บุตรชายคนที่ 3 ในวัย 33 ปีที่ถูกมอบหมายให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในบ้าน Moët Hennessy ร่วมกับ ฌอง-ฌักส์ ชัวนี อดีตซีเอฟโอของกลุ่ม LVMH ที่ได้รับมอบตำแหน่งซีอีโอ

 

ช่วงที่ผ่านมา Moët Hennessy มีปัญหาเรื่องยอดขายต่ำ สู้คู่แข่งในตลาดอย่างเครื่องดื่มเตกีลา หรือเบอร์เบินไม่ได้ ไหนจะมีเรื่องกำแพงภาษีระหว่างจีนกับยุโรปที่ทำให้ยอดขายของเหล้าคอนยักในจีนเติบโตสวนทางกับยอดขายของแบรนด์ที่ลดลงอย่างหนัก

 

ปริศนาผู้สืบทอด

แน่นอนว่าการพยายามแก้ปัญหาให้กับทั้ง Dior รวมถึง Moët Hennessy เป็นเรื่องหลักที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเครือ LVMH ทั้งหมด แต่สิ่งที่ยังเป็นคำถามใหญ่ในความรู้สึกของนักลงทุนคือคนที่จะมาสืบทอดทุกอย่างต่อจากแบร์นาร์ด อาร์โนลต์

 

จริงอยู่ที่ตัวของแบร์นาร์ดในวัย 76 ปียังแข็งแรง และเพิ่งจะมีการขอมติในระหว่างการประชุมประจำปีในการยืดอายุงานจาก 80 เป็น 85 ปี แต่ไม่มีใครที่อยู่ค้ำฟ้า สักวันเขาต้องส่งต่อให้กับลูกๆอยู่ดี ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน

 

ระหว่างเดลฟีน, อองตวน, อเล็กซองด์, เฟรเดริก และฌอง สักคนต้องขึ้นมาแทนที่

 

มองในแง่ดีในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยแบบนี้ ก็เป็นบททดสอบฝีมือและหัวใจของเหล่าทายาทตระกูลอาร์โนลต์ว่าพวกเขาจะประคับประคององค์กรไหวหรือไม่ โดยเชื่อว่าจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงฝีมือในการบริหารและการแก้ปัญหาของแต่ละคน ที่ไม่ได้มีเพียงแค่การสั่งงาน หรือการดูตัวเลข แต่ยังรวมถึงเรื่องของการบริหารจัดการคน และการตัดสินใจที่สำคัญ

 

ตัวของแบร์นาร์ดเองก็ไม่ได้จะทิ้งขว้างแบรนด์ เพราะ LVMH ไม่ได้เป็นแค่ธุรกิจ แต่เป็นเหมือน ‘ลูก’ อีกคนที่ต้องดูแลอย่างดีที่สุดจนถึงวันสุดท้าย อย่างไรก็ดีในระหว่างที่ลูกๆทั้ง 5 กำลังลงทะเบียนเรียนในวิชา ‘ทายาท LVMH ชั้นสูง’ ในเวลานี้ เขาวางตัว สเตฟาน เบียงคี อดีตที่ปรึกษาจาก Arthur Andersen ซึ่งเข้ามาอยู่ในเครือตั้งแต่ปี 2018 โดยทำงานในบ้าน Tag Heuer ร่วมกับเฟรเดริก มาเป็นมือรองจากเขาก่อน

 

เบียงคีกล่าวในการประชุมว่าการหาทายาทของ LVMH เป็นแผนระยะกลาง แต่การที่ไม่มีการวางตัวแบบนี้ก็ยังทำให้เครื่องหมายคำถามของนักลงทุนไม่หายไป

 

โดยแม้ว่าจะมีคนมองว่าการบริหารงานในแบบ ‘ครอบครัว’ ของแบร์นาร์ด อาร์โนลต์จะเป็นวิธีแบบเก่าที่อาจจะไม่ได้ผลแล้วสำหรับสมัยนี้

 

แต่ในเมื่อนี่คืออาณาจักรที่เขาสร้างขึ้นมา นี่คือบ้านที่เขาต่อขึ้นมา

 

พ่อบ้านคนนี้คงไม่ยอมให้ใครมายุ่มย่ามจนเกินไป และเขาไม่ยอมให้บ้านหลังนี้ถล่มง่ายๆแน่นอน

 

ภาพ: Andrea Savorani Neri/NurPhoto via Getty Images

อ้างอิง:

The post วิกฤตอาณาจักร LVMH กลายเป็น ‘บททดสอบ’ 5 ทายาทตระกูลอาร์โนลต์ ท่ามกลางปริศนาใครคือผู้สืบทอดตัวจริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดรหัส 4 เจนฯ คนไทยยุคใหม่! เมื่อ Boomer เป็นนักทดลอง, Gen X พร้อมกระโจน, Gen Y อยู่กับปัจจุบัน และ Gen Z ขอเปลี่ยนโลก https://thestandard.co/thailand-consumer-generations-daring-palette/ Thu, 31 Jul 2025 05:38:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1102090 พฤติกรรมคนไทย 4 เจเนอเรชันจาก Baby Boomer ถึง Gen Z สะท้อนเฉดความกล้า

ในยุคที่โลกหมุนเร็วและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ‘ความกล […]

The post ถอดรหัส 4 เจนฯ คนไทยยุคใหม่! เมื่อ Boomer เป็นนักทดลอง, Gen X พร้อมกระโจน, Gen Y อยู่กับปัจจุบัน และ Gen Z ขอเปลี่ยนโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
พฤติกรรมคนไทย 4 เจเนอเรชันจาก Baby Boomer ถึง Gen Z สะท้อนเฉดความกล้า

ในยุคที่โลกหมุนเร็วและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ‘ความกล้า’ ได้กลายเป็นเชื้อเพลิงสำคัญที่ขับเคลื่อนการใช้ชีวิตของผู้คนในทุกมิติ Human Lab (ฮิวแมน แล็บ) หน่วยงานใหม่ภายใต้ สปา-ฮาคูโฮโด จึงได้ทำการศึกษาเชิงจิตวิทยา (psychographics) เพื่อสำรวจความกล้าในเฉดสีต่างๆ และสร้างเป็น ‘Daring Palette’ ที่สะท้อนตัวตน ความเชื่อ และพฤติกรรมของผู้บริโภค 4 เจเนอเรชันในสังคมไทย

 

THE TIMELESS EXPERIMENTERS (Baby Boomer อายุ 60+ ปี)

 

คนกลุ่มนี้คือผู้สูงวัยยุคใหม่ที่ไม่ยอมให้ตัวเลขมาจำกัดชีวิต พวกเขาพร้อมที่จะทดลองและเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มความฝันที่เคยหล่นหายไป ข้อมูลจาก YouGov ยืนยันอินไซต์นี้ โดย 75% ของคนกลุ่มนี้ยังคงกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ และ 50% มองว่าวัยหลัง 60 คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ พวกเขายังรู้สึกว่าตัวเองดูอ่อนกว่าวัยจริงถึง 64%

 

สำหรับนักการตลาด การเข้าถึงคนกลุ่มนี้ต้องใช้กลยุทธ์ ‘Greypathy marketing’ คือการตอบโจทย์ข้อจำกัดทางกายภาพที่มาพร้อมกับวัย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสื่อสารกับจิตใจที่ยังคงเด็กลงและรักการผจญภัย 

 

ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์, อาหารสุขภาพ, คลาสออกกำลังกายเฉพาะบุคคล ไปจนถึงที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับวัยเกษียณ ล้วนเป็นโอกาสที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อนำเสนอในรูปแบบ ‘พรีเมียม’ ที่คนกลุ่มนี้พร้อมจ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

 

THE DARING LEAPERS (Gen X อายุ 43-59 ปี)

 

เจเนอเรชันนี้คือกลุ่ม ‘เดอะแบก’ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างการดูแลพ่อแม่และลูกๆ แต่ในวันนี้ พวกเขาพร้อมที่จะ ‘กระโจน’ ออกจากกรอบเดิมเพื่อค้นหาความสุขและอิสระของตัวเอง พวกเขาให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานถึง 61.4% และ 60% ใช้วันหยุดเพื่อหนีจากความเครียด ขณะที่ 50.7% ไม่ชอบการวางแผนระยะยาวอีกต่อไป

 

กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือ ‘Sandwich marketing’ ที่เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเขาในฐานะผู้ดูแลคนหลายรุ่น เช่น บริการที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในบ้าน หรือแหล่งข้อมูลเพื่อการเลี้ยงดูบุตร 

 

นอกจากนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในรูปแบบ Subscription หรือคลินิกวางแผนการมีบุตรสำหรับผู้ที่พร้อมสร้างครอบครัวโดยไม่มีอายุเป็นเกณฑ์ ก็เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับคนกลุ่มนี้เช่นกัน

 

THE ARCHITECT OF NOW (Gen Y อายุ 28-42 ปี)

 

คนเจน Y คือผู้ที่ออกแบบชีวิตด้วยตัวเอง โดยให้ความสำคัญกับความสุขใน ‘ปัจจุบัน’ มากที่สุด พวกเขาชอบสินค้าที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ของตนเอง (66.9%) และมักตัดสินใจเรื่องต่างๆ อย่างฉับพลันโดยเชื่อสัญชาตญาณ (54.4%) 

 

ที่น่าสนใจคือ 37.9% มองว่าการมีหนี้สินในช่วงวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งสะท้อนถึงการให้คุณค่ากับประสบการณ์ในปัจจุบันมากกว่าความมั่นคงในอนาคต

 

การตลาดที่ได้ผลกับคนกลุ่มนี้คือ ‘Indulgence marketing’ ที่เน้นการปรนเปรอและมอบความสุขแบบทันทีทันใด รวมถึงการใช้กลยุทธ์ที่สร้างกระแส ‘FOMO’ (Fear Of Missing Out) เพื่อทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้ตกเทรนด์ 

 

แบรนด์ที่เข้าใจและยอมรับรูปแบบครอบครัวใหม่ๆ เช่น การมีสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก หรือการเปิดกว้างต่อบทบาททางเพศที่หลากหลาย จะสามารถเข้าไปนั่งในใจของคนเจนนี้ได้ไม่ยาก

 

THE CHANGE MAKERS (Gen Z อายุ 18-27 ปี)

 

คนรุ่นใหม่ไฟแรงกลุ่มนี้ไม่ได้มาเพื่อเดินตาม แต่มาเพื่อ ‘เปลี่ยนแปลง’ โลกให้ดีขึ้น พวกเขามีความตระหนักรู้ต่อปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมสูง โดย 81% แสดงความกังวลต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศ และ 71.6% ปฏิเสธที่จะทำงานกับองค์กรที่ขัดแย้งกับค่านิยมของตัวเอง ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสในการลงทุนที่คุ้มค่าอยู่เสมอ (70%)

 

การเข้าหา Gen Z ต้องใช้กลยุทธ์ ‘Tribal marketing’ หรือการสร้างคอมมูนิตี้ที่มีความเชื่อและภาษาเดียวกัน แบรนด์ต้องแสดงความจริงใจและมีจุดยืนที่สอดคล้องกับคุณค่าที่คนรุ่นนี้ยึดถือ 

 

พวกเขาไม่เชื่อในเส้นทางความสำเร็จแบบเดิมๆ และมองหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่ให้อิสระในการกำหนดชีวิตตัวเอง เช่น แพลตฟอร์มสำหรับฟรีแลนซ์ ซึ่งเป็นโอกาสให้แบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกของพวกเขาได้

 

‘Daring Palette’ ได้เปิดมุมมองที่ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคแต่ละเจเนอเรชัน ความท้าทายของนักการตลาดในวันนี้ คือการทำความเข้าใจ ‘เฉดความกล้า’ ที่แตกต่างกัน และออกแบบกลยุทธ์ที่สามารถเชื่อมโยงกับ Insight ที่แท้จริงของแต่ละกลุ่ม เพื่อให้แบรนด์ยังคงเป็น ‘ตัวเลือกที่ใช่’ และเติบโตเคียงข้างไปกับผู้คนในทุกช่วงวัยได้อย่างยั่งยืน

 

ภาพ: CandyRetriever / Shutterstock

The post ถอดรหัส 4 เจนฯ คนไทยยุคใหม่! เมื่อ Boomer เป็นนักทดลอง, Gen X พร้อมกระโจน, Gen Y อยู่กับปัจจุบัน และ Gen Z ขอเปลี่ยนโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
MAGURO เปิดตัว ‘KIWAMIYA’ ตำนานแฮมเบิร์ก ‘ย่างเอง’ คิวยาว จากฟุกุโอกะ พร้อมแลนด์ดิ้ง 4 กันยานี้ ที่ Central Park [Advertorial] https://thestandard.co/maguro-kiwamiya/ Thu, 31 Jul 2025 03:55:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1098993 MAGURO KIWAMIYA

ในที่สุดตำนานร้านแฮมเบิร์กเนื้อวากิวแห่งเมืองฟุกุโอกะ ท […]

The post MAGURO เปิดตัว ‘KIWAMIYA’ ตำนานแฮมเบิร์ก ‘ย่างเอง’ คิวยาว จากฟุกุโอกะ พร้อมแลนด์ดิ้ง 4 กันยานี้ ที่ Central Park [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
MAGURO KIWAMIYA

ในที่สุดตำนานร้านแฮมเบิร์กเนื้อวากิวแห่งเมืองฟุกุโอกะ ที่คนไทยยอมบินไปรอคิวเป็นชั่วโมงก็พร้อมแลนด์ดิ้งที่ ‘Central Park’ แล้ว กับ ‘KIWAMIYA’ ร้านแฮมเบิร์กแบบ Rare Served ที่ยกประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบ ต้นตำรับ‘ ด้วยแนวคิดแปลกใหม่ให้ลูกค้า ‘ย่าง ปรุง และควบคุมความสุกได้ตามใจ’ พร้อมเมนูซิกเนเจอร์มาให้ทุกคนได้ชิมเหมือนบินไปญี่ปุ่น  

 

 

ทำไม ‘KIWAMIYA’ จึงเป็นร้านแฮมเบิร์กที่แตกต่าง?

 

สายเนื้อตัวจริงย่อมรู้ดีว่าเมนูเนื้อที่อร่อย ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของเนื้อ ความสุกที่พอเหมาะ และการปรุงรส

 

คาซูยูกิ มัตสึโอะ ซึ่งดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการผู้จัดการของบริษัท Wahaha Co., Ltd. ก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน เมื่อตั้งใจเปิดร้านแฮมเบิร์ก ‘KIWAMIYA’ ที่เมืองฟุกุโอกะสาขาแรกที่ห้าง Fukuoka Parco ย่าน Tenjin ในปี 2010 จึงให้ความสำคัญกับ ‘คุณภาพของวัตถุดิบ เป็นอันดับหนึ่ง ต้องเป็นเนื้อที่คัดสรรมาจากวัวญี่ปุ่นคุณภาพสูงเท่านั้น 

 

 

นอกจากคุณภาพวัตถุดิบที่ดี ‘KIWAMIYA’ ยังมาพร้อมแนวคิดแปลกใหม่ เสิร์ฟแฮมเบิร์กเนื้อวากิวแบบ ‘Rare Served’ พร้อมกระทะเทปปัน (Teppan) ให้ลูกค้าย่างต่อและปรุงความอร่อยด้วยตัวเอง สร้างประสบการณ์ “ความสนุกในการย่างเอง” ที่ไม่เหมือนใครให้กับลูกค้า

 

ประสบการณ์ความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของ KIWAMIYA สร้างความนิยมไปทั่วญี่ปุ่นจนปัจจุบัน KIWAMIYA มีจำนวน 11 สาขาในฟุกุโอกะ, โตเกียว และจังหวัดอื่น  ในรูปแบบ Hamburg Steak

 

 

The Vibe

 

KIWAMIYA สาขาแรกในประเทศไทย ปักหมุดที่ Central Park ภายใต้บรรยากาศที่ออกแบบให้สื่อถึงวัฒนธรรมการกินแบบญี่ปุ่นต้นตำรับ ยกประสบการณ์การย่างเนื้อวากิวด้วยตัวเองมาได้ครบถ้วน โดยได้ MAGURO Group ในฐานะแบรนด์ผู้นำร้านอาหารที่เข้าใจวัฒนธรรมการกินของคนไทยและเชี่ยวชาญด้านธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม มาเป็นผู้ถ่ายทอดและหลอมรวมแนวคิดของสองวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบ ต้นตำรับและ เข้าถึงได้อย่างแท้จริง   

 

อาจถือได้ว่าเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ MAGURO Group อีกครั้งหลังจากที่ได้สิทธิ์นำเข้า TONKATSU AOKI ร้านทงคัตสึชื่อดังจากญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงเรื่องรสชาติระดับตำนานและคิวรอยาวนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยได้รับสิทธิ์เป็นผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการเพียงเจ้าเดียวในประเทศไทยและเป็นเจ้าแรกในต่างประเทศ 

 

KIWAMIYA เป็นแบรนด์จากญี่ปุ่นลำดับที่ 2 ที่ MAGURO Group ได้รับสิทธิ์นำเข้าแบรนด์ดังระดับตำนานจากญี่ปุ่น จากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างสองแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจนในด้านคุณภาพและประสบการณ์การกิน เพื่อให้คนไทยที่หลงใหลอาหารญี่ปุ่นได้ลิ้มลองรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ต้องการส่งมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับลูกค้า 

 

 

The Taste

 

จุดเด่นของ KIWAMIYA คือการใช้เนื้อวากิว 100% ผ่านการคัดสรรและผสมสูตรเฉพาะจนได้รสชาติที่เข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่นุ่มฉ่ำ รวมถึงกรรมวิธีการบดเพื่อให้ได้เนื้อที่มีเท็กเช่อร์เฉพาะตัว เสิร์ฟเหมือนกับที่ญี่ปุ่น โดยเชฟจะย่างแฮมเบิร์กเฉพาะด้านนอกและเสิร์ฟบนเตาเทปปันเพื่อให้ลูกค้าสามารถย่างต่อ ปรุงรส และกำหนดระดับความสุกได้ด้วยตนเอง รับประทานคู่กับซอสสูตรลับของ KIWAMIYA ที่มีให้เลือกหลากหลาย ช่วยดึงรสชาติของเนื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

 

ถ้าพูดถึงเมนูซิกเนอเจอร์จะเป็นเมนูไหนไปไม่ได้นอกจาก ‘Hamburg Steak – Rare Served’ ที่เสิร์ฟแฮมเบิร์กเนื้อวากิวคุณภาพแบบ ‘Rare Served’ บนเตาเทปปัน ให้เราย่างเนื้อและปรุงความอร่อยด้วยตัวเอง ความนุ่มฉ่ำของเนื้อด้านในและกลิ่นไหม้เบาๆ ของเนื้อด้านนอก เมื่อจิ้มกับซอสสูตรเฉพาะของทางร้านยิ่งเพิ่มความหอมละมุนและกลมกล่อมให้กับแฮมเบิร์กได้อย่างลงตัว สามารถเลือกปริมาณความอิ่มได้ 4 ขนาด ได้แก่ S (120 g), M (160 g), L (200 g) และ XL (320 g)

 

 

หรือจะเลือกเพลิดเพลินกับการย่างเนื้อวากิวหั่นแบบสเต็กบนเตาเทปปันกับเมนู ‘Wagyu Steak’ ทางร้านจะใช้เนื้อวากิวส่วน Striploin มีลายมันละเอียด นุ่ม แต่ไม่เลี่ยน เสิร์ฟพร้อมซอสหลากหลายแบบเข้มข้น เลือกอิ่มได้ 2 ขนาด ได้แก่ S (120 g), M (180 g) 

 

ส่วนใครที่เคยมีประสบการณ์ชิมเมนูข้าวผัดสูตรต้นตำรับญี่ปุ่นและยังคงคิดถึงความกลมกล่อมของเมนู ‘ข้าวผัดกระเทียมห่อไข่’ (GBKTTTTKG) กับ ‘ข้าวผัดทรัฟเฟิลท็อปปิ้งไข่ดอง’ (KKKTTKG) เอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ สำหรับนักชิมชาวไทยเพราะ MAGURO Group จะนำเมนูชิกเกนเจอร์ในตำนานที่ในบางสาขาของญี่ปุ่นเลิกขายไปแล้ว กลับมาเสิร์ฟอีกครั้งที่ประเทศไทยเท่านั้น

 

 

‘KIWAMIYA’ แฮมเบิร์กในตำนานจากฟุกุโอกะพร้อมให้คุณ ‘ปรุงความอร่อยด้วยตัวเองอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 กันยายน 2568 ที่ Central Park ผู้ที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นและประสบการณ์การกินที่ไม่เหมือนใครไม่ควรพลาด!

The post MAGURO เปิดตัว ‘KIWAMIYA’ ตำนานแฮมเบิร์ก ‘ย่างเอง’ คิวยาว จากฟุกุโอกะ พร้อมแลนด์ดิ้ง 4 กันยานี้ ที่ Central Park [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจนเซน หวง ฟันธง! AI จะสร้าง ‘เศรษฐีเงินล้าน’ ใน 5 ปีข้างหน้า ได้มากกว่าที่อินเทอร์เน็ตเคยทำใน 2 ทศวรรษ https://thestandard.co/nvidia-ceo-on-ai-and-wealth/ Thu, 31 Jul 2025 00:59:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1101926 เจนเซน หวง

เจนเซน หวง ซีอีโอผู้ก่อตั้ง Nvidia ทำนายว่า ปัญญาประดิษ […]

The post เจนเซน หวง ฟันธง! AI จะสร้าง ‘เศรษฐีเงินล้าน’ ใน 5 ปีข้างหน้า ได้มากกว่าที่อินเทอร์เน็ตเคยทำใน 2 ทศวรรษ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจนเซน หวง

เจนเซน หวง ซีอีโอผู้ก่อตั้ง Nvidia ทำนายว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะกลายเป็นคลื่นปฏิวัติลูกใหม่ที่สร้างเศรษฐีเงินล้านในอีก 5 ปีข้างหน้า ได้มากกว่าที่อินเทอร์เน็ตเคยทำได้ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา 

 

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นในรายการพอดแคสต์ All-In ซึ่งตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของเขาว่า AI คือเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมหน้าเศรษฐกิจโลกอย่างสิ้นเชิง

หัวใจสำคัญในวิสัยทัศน์ของหวงคือแนวคิดที่ว่า AI เป็น ‘เครื่องมือ’ ที่สร้างความเท่าเทียมทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล (the greatest technology equalizer of all time) 

 

เขามองว่า AI ได้ทลายกำแพงที่เคยขวางกั้นผู้คนออกจากโลกแห่งการสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเขียนโปรแกรม ซึ่งในอนาคตทุกคนจะสามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาโค้ดที่ซับซ้อนอย่าง C++ หรือ Python อีกต่อไป

 

หวงอธิบายว่า AI จะช่วยเติมเต็มช่องว่างทางทักษะ ทำให้ทุกคนสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่คนอื่นต้องการซื้อได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ เขาย้ำว่าตอนนี้ทุกคนสามารถสื่อสารกับ AI ด้วยภาษามนุษย์ปกติได้แล้ว ทำให้คนสายสร้างสรรค์ก็มีทักษะทางเทคนิค และคนสายเทคนิคก็สามารถเข้าถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์ได้เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์ดังกล่าวยังมาพร้อมกับคำเตือนเกี่ยวกับอนาคตของตลาดแรงงาน โดยหวงได้กล่าวประโยคที่โด่งดังไปทั่วโลกว่า “คุณจะไม่ตกงานเพราะ AI แต่คุณจะตกงานเพราะคนที่ใช้ AI เป็น” 

 

นี่เป็นการชี้ชัดว่า AI จะไม่เข้ามา ‘แทนที่’ มนุษย์โดยตรง แต่จะเข้ามาเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง และใครก็ตามที่ไม่เรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือนี้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน

 

เขายังได้คาดการณ์ถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมในอนาคตว่า แต่ละประเทศจะมีโรงงานสองประเภทคู่ขนานกันไป คือโรงงานแบบดั้งเดิมที่ผลิตสินค้า และ ‘โรงงานดิจิทัล’ ที่พัฒนา AI ซึ่งเป็นสมองกลที่ขับเคลื่อนทุกอย่าง 

 

โดยยกตัวอย่าง Tesla ที่มีโรงงานหนึ่งสำหรับผลิตรถยนต์ และอีกโรงงานหนึ่งสำหรับพัฒนา AI ที่ควบคุมรถยนต์เหล่านั้น ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจยุคใหม่

 

แน่นอนว่าวิสัยทัศน์ของ เจนเซน หวง มีน้ำหนักอย่างยิ่งในฐานะ ‘ผู้นำ’ ของบริษัทที่กุมส่วนแบ่งตลาดชิป AI ไว้ในมือถึง 70-95% เทคโนโลยีของ Nvidia คือขุมพลังที่อยู่เบื้องหลัง AI ชื่อดังแทบทุกตัว ตั้งแต่ ChatGPT ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ของ Amazon และ Meta 

 

ความสำเร็จดังกล่าวได้ส่งให้ Nvidia กลายเป็นบริษัทแรกในประวัติศาสตร์ที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 130.56 ล้านล้านบาท) ไปเมื่อไม่นานมานี้

 

หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.64 บาท ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 

 

ภาพ : Chesnot/Getty Images

อ้างอิง:

The post เจนเซน หวง ฟันธง! AI จะสร้าง ‘เศรษฐีเงินล้าน’ ใน 5 ปีข้างหน้า ได้มากกว่าที่อินเทอร์เน็ตเคยทำใน 2 ทศวรรษ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เสียงสะท้อนคนไทยครึ่งปี 2568 LINE TODAY POLL เผยคนรัดเข็มขัด-ชะลอซื้อทอง กังวลฝุ่น PM2.5 มากที่สุด https://thestandard.co/line-poll-on-thai-consumer-behavior/ Thu, 31 Jul 2025 00:50:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1101923 LINE TODAY POLL

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สังคมไทยต้องเผชิญกับสารพัดเหตุ […]

The post เสียงสะท้อนคนไทยครึ่งปี 2568 LINE TODAY POLL เผยคนรัดเข็มขัด-ชะลอซื้อทอง กังวลฝุ่น PM2.5 มากที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
LINE TODAY POLL

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สังคมไทยต้องเผชิญกับสารพัดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ตั้งแต่ราคาทองคำที่พุ่งทะยานไม่หยุด สวนทางกับค่าครองชีพที่กดดันรายได้ ไปจนถึงภัยพิบัติต่างๆ ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ กระแส T-POP ก็ยังคงสร้างความคึกคักอย่างต่อเนื่อง 

 

LINE TODAY ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นจาก ‘LINE TODAY POLL’ ซึ่งสะท้อนเสียงของคนไทยกว่า 30,000 คน ถึงภาพรวมของครึ่งปีที่ผ่านมา

สถานการณ์ราคาทองคำที่พุ่งสูงทะลุ 50,000 บาทต่อบาททองคำ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะชะลอการลงทุน ผลสำรวจพบว่า 32.92% เลือกยังไม่ซื้อตอนนี้ แต่จะซื้อเมื่อราคาถูกลง

 

ตามมาด้วย 25.84% ที่ซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไรและ 25.25% เลือกไม่ซื้อ เพราะราคาสูงเกินไปตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความระมัดระวังในการใช้จ่ายของผู้บริโภคในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงเปราะบาง

 

ปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเงินในครัวเรือน จากแรงกดดันทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ทำให้คนไทยต้องปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วน

 

โดย 33.62% เลือก ช้อปปิ้งน้อยลง ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็นเป็นอันดับแรก, ตามมาด้วย 15.5% ที่มองหาวิธีสร้างรายได้เพิ่มและ 15.23% เลือก ‘เปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนเลือกซื้อ’

 

ท่ามกลางภัยพิบัติและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี สิ่งที่คนไทยกังวลและอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขมากที่สุดคือปัญหา ‘ฝุ่น PM2.5’ ด้วยคะแนนโหวตสูงถึง 30.42% แม้จะมีความพยายามผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด แต่ปัญหานี้ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ขณะที่ปัญหาน้ำท่วมตามมาเป็นอันดับสองที่ 27.89% และ ‘ข้อพิพาทชายแดน’ เป็นอันดับสามที่ 24.74%

 

ในแวดวงความบันเทิง กระแส T-POP ยังคงร้อนแรงและสร้างปรากฏการณ์อย่างต่อเนื่อง LINE TODAY POLL ได้ถามถึงเพลงฮิตที่โดนใจที่สุดประจำครึ่งปี 2568 ผลปรากฏว่าแฟนเพลงชาวไทยเทใจโหวตให้เพลง ‘Bow Wow’ จากวง BUS เป็นอันดับหนึ่งด้วยคะแนน 30.68% 

 

ตามมาด้วยอันดับสองคือเพลง ‘จนนิรันดร์ (Forever)’ ของ NuNew ที่ 18.67% และอันดับสามคือเพลง ‘กอดอุ่น’ จาก BUTTERBEAR ที่ 14.26%

 

ผลสำรวจทั้งหมดนี้สะท้อนภาพรวมของสังคมไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย ขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต พร้อมกับหาความสุขและแรงบันดาลใจจากผลงานของศิลปินไทย

 

ภาพ : ฐานิส สุดโต / THE STANDARD

The post เสียงสะท้อนคนไทยครึ่งปี 2568 LINE TODAY POLL เผยคนรัดเข็มขัด-ชะลอซื้อทอง กังวลฝุ่น PM2.5 มากที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
OpenAI ปล่อยฟีเจอร์ Study Mode ใน ChatGPT พลิกบทบาทจาก ‘ผู้บอกคำตอบ’ สู่ ‘ผู้แนะนำการเรียนรู้อัจฉริยะ’ https://thestandard.co/ai-learning-chatgpt-study-mode/ Wed, 30 Jul 2025 08:18:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1101760 ai-learning-chatgpt-study-mode

การใช้ AI ในแวดวงการศึกษาเป็นหนึ่งในประเด็นถกเถียงที่สำ […]

The post OpenAI ปล่อยฟีเจอร์ Study Mode ใน ChatGPT พลิกบทบาทจาก ‘ผู้บอกคำตอบ’ สู่ ‘ผู้แนะนำการเรียนรู้อัจฉริยะ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ai-learning-chatgpt-study-mode

การใช้ AI ในแวดวงการศึกษาเป็นหนึ่งในประเด็นถกเถียงที่สำคัญมาตลอดตั้งแต่ Gen AI แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก โดยเฉพาะกับความกังวลที่ว่า AI กำลังบั่นทอนความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์หรือไม่

 

ล่าสุด OpenAI ประกาศเปิดตัว Study Mode ใน ChatGPT เพื่อตอบโจทย์และสลายความกังวลเกี่ยวกับการใช้ AI ในแวดวงการศึกษา โดยฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อพลิกบทบาทของ AI จากเดิมที่เป็นเพียง ‘ผู้บอกคำตอบ’ ให้กลายเป็น ‘ผู้แนะแนวการเรียนรู้อัจฉริยะส่วนตัว’ ที่จะคอยตั้งคำถามนำ ช่วยแก้ปัญหาทีละขั้นตอน และส่งเสริมการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งอย่างแท้จริง

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการตอบคำถามสำคัญที่ว่า จะทำอย่างไรให้ AI เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับหาทางลัดหรือทุจริต ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงสำคัญนับตั้งแต่ Generative AI ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักเรียนนักศึกษาทั่วโลก

 

 

 

จาก ‘ผู้บอกคำตอบ’ สู่ ‘ผู้สอนอัจฉริยะ’ ที่สอนให้คิด

 

ChatGPT ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือการเรียนรู้ที่ถูกใช้งานมากที่สุดในโลกไปแล้ว แต่ก็มาพร้อมกับคำถามถึงการใช้งานที่เหมาะสม OpenAI จึงได้พัฒนาร่วมกับครู นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านครุศาสตร์ เพื่อสร้าง Study Mode ที่มีพฤติกรรมสนับสนุนการเรียนรู้ที่แท้จริง

 

หัวใจของ Study Mode คือ แทนที่จะให้คำตอบสุดท้ายทันที AI จะใช้ การตั้งคำถามชี้นำแบบโสกราตีส (Socratic Questioning) เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์, ให้คำใบ้เมื่อติดขัด และปรับแนวทางการสอนให้เหมาะสมกับระดับความเข้าใจของผู้ใช้งานแต่ละคน

 

ร็อบบี้ ทอร์นีย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายโปรแกรม AI ของ Common Sense Media กล่าวว่า “แทนที่จะทำงานแทนนักเรียน Study Mode กลับกระตุ้นให้นักเรียนคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับการเรียนรู้ของตนเอง ฟีเจอร์เช่นนี้เป็นก้าวเชิงบวกสู่การใช้ AI เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ”

 

เจาะลึกฟีเจอร์หลักของ Study Mode

  • Prompt เชิงโต้ตอบ (Interactive Prompts) ใช้คำถามชี้นำ, คำใบ้ และการกระตุ้นให้ไตร่ตรองตนเอง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก
  • การตอบสนองแบบมีโครงสร้าง (Scaffolded Responses) ย่อยข้อมูลที่ซับซ้อนให้เป็นส่วนๆ ที่เข้าใจง่าย ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงของเนื้อหา และลดความรู้สึกท่วมท้น
  • การสนับสนุนเฉพาะบุคคล (Personalized Support) ปรับบทเรียนให้เหมาะสมกับระดับทักษะของผู้ใช้แต่ละคนผ่านการประเมินและจดจำการสนทนาก่อนหน้า
  • การตรวจสอบความรู้ (Knowledge Checks) มีแบบทดสอบและคำถามปลายเปิดเพื่อวัดความเข้าใจและช่วยให้จดจำความรู้ได้ดียิ่งขึ้น

 

จากการทดสอบในช่วงแรกกับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย ฟีเจอร์นี้ได้รับการตอบรับในเชิงบวกอย่างมาก โนอาห์ แคมป์เบลล์ นักศึกษาคนหนึ่งเปรียบเปรยว่า “มันเหมือน Office Hours ที่มีชีวิต ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และรอบรู้ทุกอย่าง” ขณะที่ แม็กกี้ หวัง นักศึกษาอีกคนเล่าว่า Study Mode ช่วยให้เธอเข้าใจแนวคิดทางเทคนิคที่ซับซ้อนซึ่งเธอเคยพยายามเรียนรู้มาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ได้ในที่สุดหลังจากใช้เวลาเรียนกับ AI นาน 3 ชั่วโมง

 

OpenAI ยอมรับว่านี่เป็นเพียงก้าวแรก ปัจจุบัน Study Mode ขับเคลื่อนด้วยชุดคำสั่งที่กำหนดขึ้นเอง และอาจยังมีพฤติกรรมที่ไม่สม่ำเสมออยู่บ้าง แต่เป้าหมายในระยะยาวคือการเรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใช้งานจริง และนำไปฝึกฝนโมเดลหลักให้มีพฤติกรรมการสอนเช่นนี้โดยตรง

 

นอกจากนี้ บริษัทยังกำลังสำรวจการพัฒนาฟังก์ชันเพิ่มเติม เช่น การแสดงภาพ (Visualizations) สำหรับแนวคิดที่ซับซ้อน, การตั้งเป้าหมายและติดตามความคืบหน้าในการเรียนรู้ และการปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำอย่าง Stanford University’s Accelerator for Learning เพื่อศึกษาผลกระทบของ AI ต่อการเรียนรู้ในเชิงลึกต่อไป

 

การเปิดตัว Study Mode ครั้งนี้ จึงเป็นความเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของ OpenAI ในการวางตำแหน่ง ChatGPT ให้เป็นพันธมิตรที่ทรงพลังในระบบนิเวศการศึกษา และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและความรับผิดชอบต่อสังคมการเรียนรู้ทั่วโลก

 

อ้างอิง:

The post OpenAI ปล่อยฟีเจอร์ Study Mode ใน ChatGPT พลิกบทบาทจาก ‘ผู้บอกคำตอบ’ สู่ ‘ผู้แนะนำการเรียนรู้อัจฉริยะ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>