Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 20 Aug 2025 10:55:46 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทุนใหญ่เวียดนามทุ่ม 6.5 หมื่นล้าน ผุด ‘Entertainment Complex’ เทียบชั้นมาเก๊า-ลาสเวกัส คาดใช้เวลาก่อสร้าง 9 ปี https://thestandard.co/vietnam-entertainment-complex-project/ Wed, 20 Aug 2025 10:55:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1109417 vietnam-entertainment-complex-project

เวียดนามอนุมัติเมกะโปรเจกต์ Entertainment Complex โดย S […]

The post ทุนใหญ่เวียดนามทุ่ม 6.5 หมื่นล้าน ผุด ‘Entertainment Complex’ เทียบชั้นมาเก๊า-ลาสเวกัส คาดใช้เวลาก่อสร้าง 9 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
vietnam-entertainment-complex-project

เวียดนามอนุมัติเมกะโปรเจกต์ Entertainment Complex โดย Sun Group มูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ที่เวินโด่น (Van Don) ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สร้างศูนย์รวมความบันเทิงคาสิโน-รีสอร์ท ครบวงจรแห่งใหม่ ที่คนเวียดนามสามารถเข้าใช้บริการได้ หวังเทียบชั้นลาสเวกัส-มาเก๊า

 

สื่อเวียดนามรายงานว่า คณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว๋างนิญ ได้อนุมัติโครงการนำร่องอย่างเป็นทางการสำหรับโครงการรีสอร์ทและคาสิโนแบบครบวงจรระดับไฮเอนด์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษเวินโด่น (Van Don) ซึ่งอนุญาตให้พลเมืองเวียดนามสามารถเข้าร่วมได้ภายใต้เงื่อนไขที่เคร่งครัด

 

โดยจังหวัดได้อนุมัติการลงทุนให้กับบริษัทหุ้นร่วม Van Don Sun Joint Stock Company ในฐานะผู้พัฒนาโครงการคาสิโน และการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ ซึ่งจะเป็นคาสิโนแห่งแรกที่ได้รับใบอนุญาตในเขตเศรษฐกิจพิเศษเวินโด่น ที่เปิดรับทั้งในและต่างประเทศ สามารถเข้ามาเล่นได้

 

ทั้งนี้ โครงการนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 244.45 เฮกตาร์ หรือราว 1,527 ไร่ มุ่งสร้างศูนย์กลางความบันเทิงและรีสอร์ทสุดหรูที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านคาสิโน ควบคู่ไปกับบริการด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพระดับโลก

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

โครงการนี้ จะประกอบไปด้วยคาสิโน โรงแรมหรู รีสอร์ท คอนโดเทล ทาวน์เฮาส์เชิงพาณิชย์ ศูนย์การค้า บริการสุขภาพ และสถานที่บันเทิง

 

หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของโครงการนี้คือการเปิดคาสิโนระดับไฮเอนด์ให้ชาวเวียดนามได้เข้ามาใช้บริการ โดยต้องมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์คุณสมบัติที่เข้มงวดตามกฎหมาย

 

สำหรับ โครงการท่องเที่ยวและคาสิโนแบบบูรณาการเวินโด่น จะมีเงินลงทุนรวมมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 6.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยเงินทุนจากนักลงทุน เงินกู้ และแหล่งเงินทุนอื่นๆ ระยะเวลาดำเนินงานของโครงการไม่เกิน 70 ปีนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการลงทุน

 

ส่วนการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 9 ปี นับจากวันที่ได้รับการจัดสรรที่ดินและอนุมัติสัญญาเช่า

 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้เสนอให้พลเมืองเวียดนาม ต้องซื้อตั๋วเข้าร่วมการเล่นเกมคาสิโน ราคา 2.5 ล้านดองเวียดนาม ประมาณ 3,095 บาท ต่อ 24 ชั่วโมง หรือ 50 ล้านดองเวียดนาม ราวๆ 61,000 บาท สำหรับบัตรรายเดือน

 

ที่มาของภาพ: Sun Group

 

อ้างอิง: 

The post ทุนใหญ่เวียดนามทุ่ม 6.5 หมื่นล้าน ผุด ‘Entertainment Complex’ เทียบชั้นมาเก๊า-ลาสเวกัส คาดใช้เวลาก่อสร้าง 9 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
แกร็บฟู้ด เผยศึกบุฟเฟต์หม้อไฟดันออเดอร์สุกี้โต 65% พร้อมพา ‘สุกี้ช้างเผือก’ เสิร์ฟให้ชาวกรุงเทพฯ ภายใต้ซับแบรนด์ ‘Only at Grab’ https://thestandard.co/grabfood-suki-changphuak-bangkok/ Wed, 20 Aug 2025 07:15:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1109288 สุกี้ช้างเผือก

แกร็บฟู้ด แอปสั่งอาหารอันดับ 1 ในประเทศไทย1 เผยยอดสั่งเ […]

The post แกร็บฟู้ด เผยศึกบุฟเฟต์หม้อไฟดันออเดอร์สุกี้โต 65% พร้อมพา ‘สุกี้ช้างเผือก’ เสิร์ฟให้ชาวกรุงเทพฯ ภายใต้ซับแบรนด์ ‘Only at Grab’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุกี้ช้างเผือก

แกร็บฟู้ด แอปสั่งอาหารอันดับ 1 ในประเทศไทย1 เผยยอดสั่งเมนู ‘สุกี้’ เติบโตกว่า 65% ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (มิถุนายน-กรกฎาคม 2568) ด้วยอานิสงส์จากการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดบุฟเฟต์หม้อไฟ เผยสุกี้เป็นหนึ่งในอาหารจานเดียวที่ขายดีบนแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีด้วยยอดสั่งกว่า 270,000 จานต่อปี เดินหน้าคว้าร้านดังระดับตำนานจากเชียงใหม่อย่าง ‘สุกี้ช้างเผือก’ มาเสิร์ฟความอร่อยแบบเอ็กซ์คลูซีฟให้ชาวกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้สั่งในรูปแบบเดลิเวอรีภายใต้ซับแบรนด์ ‘Only at Grab’ ประเดิมสาขาแรกบนถนนบรรทัดทอง หวังร่วมปลุกชีพสตรีทฟู้ดสวรรค์นักกิน

 

จิรกิตติ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเดลิเวอรี แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า สงครามการแข่งขันในตลาดบุฟเฟต์หม้อไฟมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท ไม่เพียงแต่สร้างสีสันและความคึกคักให้กับธุรกิจร้านอาหาร แต่ยังส่งผลถึงพฤติกรรมการสั่งอาหารผ่านบริการฟู้ดเดลิเวอรีด้วย โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (มิถุนายน-กรกฎาคม 2568) พบว่ามีจำนวนการค้นหาเมนูสุกี้บนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว และมียอดสั่งเมนูสุกี้เติบโตขึ้นกว่า 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ (กว่า 80%) เลือกสั่งสุกี้จานเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็น สุกี้แห้งหรือสุกี้น้ำ

 

“สุกี้สไตล์ไทยถือเป็นหนึ่งในเมนูอาหารจานเดียวที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นเมนูที่กินง่าย มีรสชาติเข้มข้น และมีวัตถุดิบที่หลากหลาย ทั้งเนื้อสัตว์ วุ้นเส้น และผัก ทำให้ถูกใจคนกินอาหารจานเดียวที่ต้องการได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ โดยในปีที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการ GrabFood สั่งเมนูสุกี้มากกว่า 270,000  ออเดอร์ ซึ่งเมนูยอดฮิตคือ สุกี้แห้งหมู ตามมาด้วย สุกี้แห้งเนื้อ และสุกี้แห้งทะเล โดย 3 แบรนด์สุกี้จานเดี่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ สุกี้ช้างเผือก สุกี้ดาวเรียง และ เอลวิสสุกี้&ซีฟู้ด”

 

เสิร์ฟ ‘สุกี้ช้างเผือก’ ที่กรุงเทพฯ ภายใต้ซับแบรนด์ ‘Only at Grab’

 

ล่าสุด แกร็บได้ร่วมมือกับ ‘สุกี้ช้างเผือก’ ร้านดังระดับตำนานจากจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งโดดเด่นด้วยเมนูสุกี้ผัดแห้ง ผักกรอบ และกลิ่นหอมกระทะที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้บริการในรูปแบบเดลิเวอรีแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ภายใต้ซับแบรนด์ ‘Only at Grab’ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของชาวกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยประเดิมเปิดสาขาแรกบนถนนบรรทัดทองตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ 6 สาขาในเชียงใหม่ 

 

ณัฐสุวรรณ อิ่มใจบุญ เจ้าของร้านสุกี้ช้างเผือก กล่าวว่า การตัดสินใจขยายสาขามายังกรุงเทพฯ เกิดขึ้นหลังจากได้รับเสียงเรียกร้องอย่างล้นหลามจากลูกค้า โดยเลือกถนนบรรทัดทองซึ่งเป็นทำเลทองและแหล่งรวมสตรีทฟู้ด ทั้งนี้ Grab ถือเป็นพันธมิตรหลักที่สำคัญมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 และช่วยให้ร้านสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้กว้างขึ้น ปัจจุบันยอดขายจากช่องทางเดลิเวอรีคิดเป็น 30% ของยอดขายทั้งหมด และหากสาขาแรกได้รับการตอบรับที่ดี ก็มีแผนจะพิจารณาขยายสาขาเพิ่มในกรุงเทพฯ ภายในปีนี้

 

The post แกร็บฟู้ด เผยศึกบุฟเฟต์หม้อไฟดันออเดอร์สุกี้โต 65% พร้อมพา ‘สุกี้ช้างเผือก’ เสิร์ฟให้ชาวกรุงเทพฯ ภายใต้ซับแบรนด์ ‘Only at Grab’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดสูตรความสำเร็จ ‘YOLK’ ทาร์ตไข่ที่ทำรายได้ 100 ล้านใน 8 เดือน มีอะไรที่มากกว่าการเป็นกระแส? https://thestandard.co/yolk-100m-baht-in-8-months/ Wed, 20 Aug 2025 02:20:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1109133

จากเส้นทางนักแสดงซีรีส์ชื่อดัง สู่เจ้าของแบรนด์ YOLK ร้ […]

The post ถอดสูตรความสำเร็จ ‘YOLK’ ทาร์ตไข่ที่ทำรายได้ 100 ล้านใน 8 เดือน มีอะไรที่มากกว่าการเป็นกระแส? appeared first on THE STANDARD.

]]>

จากเส้นทางนักแสดงซีรีส์ชื่อดัง สู่เจ้าของแบรนด์ YOLK ร้านทาร์ตไข่ที่สร้างปรากฏการณ์ให้คนต่อคิวซื้อยาวเหยียดตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว เพียงเวลาไม่ถึง 8 เดือน สามารถทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท และขยายสาขาไปแล้วกว่า 6 แห่ง

 

เบื้องหลังความสำเร็จนี้มาจากการหยิบเอาสูตรทาร์ตไข่ต้นตำรับจากฮ่องกง มาปรับรสชาติให้เข้ากับปากของคนไทย อีกทั้งยังมีการออกเมนูใหม่ทุกๆ 2 เดือน จนกลายเป็นกระแสฮิตทั่วโซเชียล

 

“ในช่วงที่เปิดร้านแรกๆ กระแสทาร์ตไข่มาแรงมาก แม้ตอนนี้จะเริ่มเบาลง แต่จากอินไซต์ที่เรามี พบว่า มีกลุ่มผู้บริโภคที่ชอบกินขนมอบทาร์ตไข่มากพอที่จะทำให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืนได้ รวมถึงการรักษาจุดแข็งที่ทำให้ YOLK แตกต่างจากแบรนด์อื่นคือการควบคุมคุณภาพ ใช้ระบบครัวกลางและอบขนมสดใหม่ทุก 22 นาที” อิน – สาริน รณเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ร่ำรวยที่สุด จำกัด กล่าว

 

อิน-สาริน กล่าวต่อไปว่า แม้จะถูกมองว่าเป็นร้านของดารา แต่ YOLK พิสูจน์ตัวเองได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน โดยสาขาที่ขายดีที่สุดคือเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนยอดขายของสาขาอื่นก็ตามมาติดๆ

 

ขณะเดียวกัน ในฐานะที่เป็นแบรนด์น้องใหม่ ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ยอมรับว่าในปีนี้การทำธุรกิจค่อนข้างยาก และเป็นปีที่ต้องทำการบ้านหนัก เมื่อผู้บริโภคใช้จ่ายต่อครั้งน้อยลง แน่นอนว่าถ้าสินค้าจะขายแพงขึ้นก็ต้องมีลูกเล่นมากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจขนมหวาน ต้องควบคุมรสชาติและกำหนดราคาให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย

 

นอกจากรสชาติที่เป็นหัวใจสำคัญแล้ว กลยุทธ์ต่อไปของ YOLK คือการยกระดับแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก ด้วยการเปิดตัวโปรเจกต์ใหญ่แห่งปี ‘Proudly, Made in Thailand’ ผ่านการคอลแลบกับ 4 แบรนด์ชื่อดังในประเทศ เริ่มตั้งแต่ โอ้กะจู๋, แก้ว Boutique, Songwat Coffee Roaster และ JIANCHA โดยทั้งหมดได้ร่วมกันพัฒนาทาร์ตไข่ออกมา 4 รสชาติ ซึ่งสะท้อนตัวตนแต่ละแบรนด์ ภายใต้แนวคิดเดียวกันคือแบรนด์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

 

เบื้องต้นโปรเจ็กต์นี้จะทยอยปล่อยเมนูพิเศษตลอด 4 สัปดาห์ วางจำหน่ายที่ร้าน YOLK ที่มีอยู่ 6 สาขาในกรุงเทพฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม จนถึง 31 ตุลาคม 2568 ถือเป็นการสร้างความหลากหลายและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ คาดว่าจะมียอดขายทะลุ 2 แสนชิ้นในช่วงแคมเปญนี้ จากปัจจุบันที่ขายได้กว่า 1 แสนชิ้น

 

นอกจากเรื่องยอดขายแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่คาดหวังคือ อยากให้คนไทยหันมาสนใจแบรนด์ไทยมากขึ้น และต้องการผลักดันธุรกิจไทยให้ไปไกลกว่าแค่ในประเทศ นอกจากนี้ยังอยากให้ YOLK กลายเป็นของฝากจากกรุงเทพฯ ที่ผู้คนต้องซื้อกลับต่างจังหวัดทุกครั้งที่เดินทาง

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน YOLK มีทั้งหมด 6 สาขา ส่วนใหญ่อยู่ในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และตั้งเป้าภายในปีนี้จะขยายครบ 10 สาขา พร้อมดันยอดขายสู่ระดับ 200 ล้านบาทให้ได้ ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนต่อยอดสู่การสร้าง อาณาจักรอาหาร ที่ครอบคลุมทั้งคาวและหวาน โดยปีหน้าจะเปิดตัวธุรกิจใหม่ในรูปแบบ ร้านอาหารคาวไดรฟ์อิน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนากันอยู่

 

นอกจากนี้ยังมีแผนเปิด แบรนด์ใหม่ปีละหนึ่งแบรนด์ โดยเน้นการพัฒนาขึ้นเองทั้งหมด แม้จะพิจารณาทางเลือก M&A บ้าง แต่ อิน – สาริน ยอมรับตรงๆ ว่าต้องใช้เงินลงทุนสูง ต่างจากการสร้างแบรนด์ด้วยตัวเองที่มีเสน่ห์และมีความสนุกมากกว่า เพราะได้สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับตลาด และเป็นแรงผลักดันในการทำธุรกิจต่อไป

The post ถอดสูตรความสำเร็จ ‘YOLK’ ทาร์ตไข่ที่ทำรายได้ 100 ล้านใน 8 เดือน มีอะไรที่มากกว่าการเป็นกระแส? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ซีอีโอ Starbucks ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานในอเมริกา สวนทางยอดขายที่ลดลงหลายไตรมาส https://thestandard.co/starbucks-ceo-raises-us-worker-pay/ Wed, 20 Aug 2025 01:38:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1109125

Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ของโลก ประกาศปรับขึ้นเงินเด […]

The post ซีอีโอ Starbucks ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานในอเมริกา สวนทางยอดขายที่ลดลงหลายไตรมาส appeared first on THE STANDARD.

]]>

Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ของโลก ประกาศปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่พนักงานประจำทุกคนในอเมริกาเหนือในอัตรา 2% ภายในปีนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการรายบุคคล

 

การปรับขึ้นดังกล่าวครอบคลุมพนักงานสำนักงานใหญ่ ฝ่ายการผลิตและกระจายสินค้า ตลอดจนผู้จัดการร้านที่ได้รับเงินเดือนประจำ แต่ไม่รวมถึงบาริสต้าที่รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง

 

โดย Starbucks ระบุว่ามาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพลิกฟื้นธุรกิจ ภายใต้การนำของ Brian Niccol ซีอีโอคนใหม่ ที่มุ่งยกระดับการบริการในร้านให้รวดเร็วขึ้น พร้อมปรับโฉมบรรยากาศเพื่อดึงดูดลูกค้า หลังยอดขายสาขาเดิมลดลงต่อเนื่องนาน 6 ไตรมาสติดกัน

 

นอกจากนี้ การขึ้นเงินเดือนยังสะท้อนถึงความพยายามสร้างมาตรฐานใหม่ในการบริหารบุคลากร ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนโยบายการปรับค่าตอบแทนตามผลงานของทุกทีม โดยก่อนหน้านี้ ในปีงบประมาณที่ผ่านมา พนักงานสำนักงานใหญ่เพิ่งได้รับโบนัสเพียง 60% หลังบริษัททำผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

 

โฆษก Starbucks ระบุว่า การปรับขึ้นเงินเดือนครั้งนี้ถือเป็น ‘การลงทุนก้อนใหญ่’ และบริษัทจำเป็นต้องบริหารต้นทุนส่วนอื่นอย่างรอบคอบต่อไป ขณะเดียวกัน ซีอีโอ Niccol ยังเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กร ทั้งการเข้มงวดกฎระเบียบการแต่งกายบาริสต้า และก่อนหน้านี้มีการปลดพนักงานในสำนักงานใหญ่ไปกว่า 1,100 ตำแหน่ง และโยกย้ายบางส่วนไปประจำที่เมืองซีแอตเทิล

 

ด้านนักวิเคราะห์ให้ข้อมูลกับ Bloomberg ว่า ในไตรมาสล่าสุด ยอดขายของ Starbucks เริ่มกลับมาเติบโตเล็กน้อย หลังเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของบริษัท ส่วนราคาหุ้น Starbucks เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2025 ปรับตัวขึ้น 2.1%

 

ภาพ: Robert Way / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ซีอีโอ Starbucks ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานในอเมริกา สวนทางยอดขายที่ลดลงหลายไตรมาส appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดิสนีย์ แต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก https://thestandard.co/disney-tony-zameczkowski-asia-pacific/ Tue, 19 Aug 2025 06:52:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1108834 โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก

บริษัท Walt Disney ประกาศแต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี ขึ้ […]

The post ดิสนีย์ แต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก

บริษัท Walt Disney ประกาศแต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี ขึ้นดำรงตำแหน่ง รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ฝ่าย Direct-to-Consumer (DTC) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยโทนีจะรายงานตรงต่อ ลุค คัง ประธานดิสนีย์ เอเชียแปซิฟิก และ โจ เออร์ลีย์ ประธานฝ่าย Direct-to-Consumer, Disney Entertainment

 

หากย้อนดูประวัติการทำงาน โทนี มีประสบการณ์ในวงการสื่อและบันเทิงมากกว่า 25 ปี เขาเคยมีบทบาทสำคัญในการขยายธุรกิจ Netflix ในเอเชียแปซิฟิก ในฐานะรองประธานและหัวหน้าฝ่ายพาร์ตเนอร์ชิป นอกจากนี้ยังเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจ YouTube Music ในเอเชียแปซิฟิกและเคยดูแลการพัฒนาความร่วมมือด้านกีฬาและบันเทิงในภูมิภาค ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) เรียกได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์เชิงลึกในวงการสื่อระดับโลก

 

ในบทบาทใหม่ที่ดิสนีย์ โทนีจะรับผิดชอบการขับเคลื่อนธุรกิจสตรีมมิง Disney+ ในเอเชียแปซิฟิก มุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง เพื่อผลักดันคอนเทนต์ให้เติบโตและสร้างฐานผู้ชมที่มั่นคง

 

ลุค คัง ประธาน ดิสนีย์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า เรายินดีที่โทนีเข้ามานำทัพธุรกิจ Direct-to-Consumer ในเอเชียแปซิฟิก ด้วยประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของเขา เรามั่นใจว่า Disney+ จะสามารถเติบโตและขึ้นเป็นแพลตฟอร์มผู้นำในภูมิภาคนี้ได้ ด้าน โทนี ซาเมคซคาวสกี กล่าวเสริมว่า รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับดิสนีย์ เพื่อผลักดันการเติบโตของ Disney+ ในเอเชียแปซิฟิก ตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาส และดิสนีย์ถือเป็นบริษัทชั้นนำที่มีทั้งความสร้างสรรค์และมีคอนเทนต์ที่หลากหลาย

 

สำหรับปี 2025 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของดิสนีย์ในภูมิภาคนี้ หลังเปิดตัว ESPN บน Disney+ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยผลงานจากเกาหลี ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย อาทิ Gannibal ซีซัน 2 ทำสถิติผู้ชมสูงสุดในญี่ปุ่น และ Nine Puzzles ซีรีส์เกาหลีที่มียอดชมสูงสุดทั่วโลก

 

นอกจากนี้ ช่วงปลายปี ดิสนีย์เตรียมเปิดตัวคอนเทนต์ใหม่จากเอเชียแปซิฟิกอีกหลายเรื่อง เช่น Tempest, The Murky Stream, The Manipulated, Made in Korea, Cat’s Eye, Wandance และ Disney Twisted Wonderland: The Animation รวมถึงคอนเทนต์ระดับโลกอย่าง FX’s Alien: Earth, Eyes of Wakanda, Only Murders in the Building ซีซัน 5, All’s Fair และ Wonder Man จาก Marvel Television

 

ภาพ: kavi designs / Shutterstock 

อ้างอิง:

The post ดิสนีย์ แต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sam Altman ซีอีโอ OpenAI เตือนสหรัฐฯ กำลังประเมินภัยคุกคาม AI จากจีนต่ำเกินไป https://thestandard.co/altman-warns-us-about-china-ai/ Tue, 19 Aug 2025 02:48:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1108716

แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI เตือนว่าสหรัฐฯ อาจกำลังปร […]

The post Sam Altman ซีอีโอ OpenAI เตือนสหรัฐฯ กำลังประเมินภัยคุกคาม AI จากจีนต่ำเกินไป appeared first on THE STANDARD.

]]>

แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI เตือนว่าสหรัฐฯ อาจกำลังประเมินความก้าวหน้าของจีนในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่ำเกินไป พร้อมระบุว่ามาตรการควบคุมการส่งออกชิปเพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบที่เชื่อถือได้

 

Altman กล่าวว่าการแข่งขัน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้นซับซ้อนกว่าการวัดว่าใคร ‘นำ’ หรือ ‘ตาม’ เพราะมีหลายมิติ ทั้งความสามารถด้านการประมวลผล การวิจัย และการสร้างผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนอาจสร้างโครงสร้างพื้นฐานบางอย่างได้รวดเร็วกว่าสหรัฐฯ เขาไม่เชื่อว่าการจำกัดการส่งออก GPU จะได้ผลจริง เพราะจีนสามารถสร้างโรงงานผลิตชิปเองหรือหาทางเลี่ยงข้อจำกัดได้ ซึ่งเขากล่าวว่า “มันไม่มีทางแก้ง่ายๆ”

 

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ โจ ไบเดน เริ่มจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน แต่โดนัลด์ ทรัมป์​ ก้าวไกลกว่า ด้วยการสั่งห้ามส่งออกชิปขั้นสูงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการผ่อนปรนเปิดทางขายชิปที่ปลอดภัยต่อจีนภายใต้ข้อตกลงใหม่ที่บังคับให้ Nvidia และ AMD มอบรายได้จากชิปในจีน 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ

 

มาตรการนี้สร้างความสับสนเพราะในขณะที่บริษัทอเมริกันยังพึ่งพา Nvidia และ AMD อย่างหนัก บริษัทจีนก็เร่งพัฒนาและใช้ชิปจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei ทำให้เกิดคำถามว่าการตัดการส่งออกจะบรรลุผลจริงหรือไม่

 

ความก้าวหน้าของจีนยังมีอิทธิพลต่อท่าทีของ OpenAI เอง ซึ่ง แซม ยอมรับว่าหนึ่งในเหตุผลที่บริษัทเพิ่งเปิดตัวโมเดล open-weight เป็นเพราะการแข่งขันจากจีน โดยเฉพาะโมเดลโอเพนซอร์สอย่าง DeepSeek

 

OpenAI เพิ่งเปิดตัวโมเดลภาษา open-weight 2 ตัว (gpt-oss-120b และ gpt-oss-20b) ซึ่งนักพัฒนาสามารถดาวน์โหลดมารันบนเครื่องและปรับแต่งได้ ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ GPT-2 ในปี 2019 ที่บริษัทเลือกใช้แนวทางนี้ แม้ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการฝึกสอนหรือซอร์สโค้ดเต็มเหมือนโอเพนซอร์สแท้

 

ด้วยการเปิดตัวครั้งนี้ OpenAI ได้เข้าร่วมกระแสดังกล่าว และในขณะนี้ OpenAI ยังคงเป็นบริษัทต้นแบบด้านรากฐานรายใหญ่เพียงรายเดียวในสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นแนวทางที่เปิดกว้างมากขึ้น แม้ว่า Meta จะเปิดรับแนวคิดเปิดกว้างด้วยโมเดล Llama แต่ Mark Zuckerberg ซีอีโอได้เสนอแนะในการประชุมผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของบริษัทว่า บริษัทอาจยุติกลยุทธ์ดังกล่าวในอนาคต

 

ในขณะเดียวกัน OpenAI กำลังก้าวไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยคาดการณ์ว่า การเข้าถึงที่กว้างขวางขึ้นจะช่วยขยายระบบนิเวศนักพัฒนาและเสริมสร้างสถานะของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากจีน ก่อนหน้านี้ Altman เคยยอมรับว่า OpenAI “อยู่ผิดด้านของประวัติศาสตร์” ด้วยการล็อกโมเดลของตนไว้

 

ท้ายที่สุด การตัดสินใจของ OpenAI แสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการรักษาการมีส่วนร่วมของนักพัฒนาและดึงพวกเขาให้อยู่ในระบบนิเวศของตน การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในขณะที่ Meta กำลังทบทวนท่าทีต่อโอเพนซอร์สอีกครั้ง และในขณะที่ห้องปฏิบัติการวิจัยของจีนกำลังปล่อยโมเดลจำนวนมากที่ถูกออกแบบมาให้ยืดหยุ่นและแพร่หลาย

 

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight ครั้งแรกกลับได้รับเสียงวิจารณ์หลากหลาย บางนักพัฒนามองว่าโมเดลยังน่าผิดหวัง เพราะความสามารถหลายอย่างที่ทำให้ข้อเสนอเชิงพาณิชย์ของ OpenAI ทรงพลัง ถูกตัดออกไป

 

Altman ไม่ได้ปฏิเสธประเด็นนี้ โดยยอมรับว่าทีมตั้งใจออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานหลักเพียงหนึ่งเดียว คือ “เอเจนต์เขียนโค้ดที่รันในเครื่องได้” เขากล่าวว่าถ้าในอนาคตความต้องการของโลกเปลี่ยนไป โมเดลเหล่านี้ก็สามารถถูกปรับไปใช้กับสิ่งอื่นได้เช่นกัน

 

อ้างอิง:

The post Sam Altman ซีอีโอ OpenAI เตือนสหรัฐฯ กำลังประเมินภัยคุกคาม AI จากจีนต่ำเกินไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพรวมอสังหาฯ ครึ่งปีแรก พบรายใหญ่ยังแกร่ง แต่พร้อมใจปรับพอร์ต ‘ทิ้งตลาดแมส-โฟกัสบ้านหรู’ ที่มีกำลังซื้อสูง https://thestandard.co/thai-property-market-h1-2025-review/ Mon, 18 Aug 2025 13:02:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1108595 อสังหาริมทรัพย์

ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สะท […]

The post ภาพรวมอสังหาฯ ครึ่งปีแรก พบรายใหญ่ยังแกร่ง แต่พร้อมใจปรับพอร์ต ‘ทิ้งตลาดแมส-โฟกัสบ้านหรู’ ที่มีกำลังซื้อสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
อสังหาริมทรัพย์

ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการรายใหญ่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญแรงกดดันรอบด้าน โดยบริษัทชั้นนำยังคงสามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรได้อย่างน่าพอใจ

 

ขณะที่มุมมองต่อครึ่งปีหลังส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง แต่ก็พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีกลยุทธ์สำคัญร่วมกันคือการปรับพอร์ตโฟลิโอไปมุ่งเน้นตลาดระดับกลางถึงบนที่มีกำลังซื้อแข็งแกร่ง

 

เอพี ไทยแลนด์ (AP) รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกที่แข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 20,940 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,870 ล้านบาท สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงมั่นคง โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.73 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อพร้อมใช้อีกกว่า 18,619 ล้านบาท

 

รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ ว่าที่ประธานฝ่ายบริหาร กล่าวว่า (President-designate) ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย กุญแจสำคัญคือการบริหารเสถียรภาพทางการเงินซึ่งเปรียบเสมือน ‘ออกซิเจน’ ของธุรกิจ สำหรับแผนในครึ่งปีหลัง เอพีเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 34 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 53,350 ล้านบาท โดยมีไฮไลต์คือการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ ‘XAVIER’ ในกลุ่มทาวน์โฮม และแบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ BEON

 

แสนสิริ (SIRI) มีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 1,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 49% ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิรวม 2,028 ล้านบาท จากรายได้รวม 15,678 ล้านบาท บริษัทยังได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.05 บาทต่อหุ้น

 

วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน ระบุว่า ความสำเร็จมาจากการบริหารพอร์ตสินค้าพร้อมขายอย่างมีประสิทธิภาพ และการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่ภูเก็ตได้ตามกำหนด และมองว่าการที่ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ถือเป็นสัญญาณบวกที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ โดยในช่วงครึ่งปีหลัง แสนสิริเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพสูง เช่น จตุโชติและภูเก็ต

 

เอสซี แอสเสท (SC) โชว์ผลงานไตรมาส 2 ด้วยรายได้รวม 5,220 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 95% ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 7,891 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2 มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่แข็งแกร่งถึง 19,600 ล้านบาท

 

อรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร เผยว่าการเติบโตมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกลุ่มโครงการบ้านระดับพรีเมียมราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งบริษัทครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 สำหรับครึ่งปีหลังมีแผนจะเปิดโครงการใหม่อีก 8 โครงการ มูลค่า 16,400 ล้านบาท พร้อมกับเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 2 แห่ง เพื่อเสริมพอร์ตรายได้ประจำ

 

พฤกษา เรียลเอสเตท รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 2568 ด้วยยอดขาย 5,400 ล้านบาท และมีรายได้ 5,172 ล้านบาท โดยได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม

 

ธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า กลยุทธ์ของบริษัทคือการมุ่งยกระดับพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดระดับกลางถึงบนที่มีกำลังซื้อ สำหรับแผนในช่วงครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดโครงการใหม่รวม 12 โครงการ โดยเป็นโครงการแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ มูลค่า 1,130 ล้านบาท ทิศทางคือการมุ่งเปิดโครงการที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

 

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) มีรายได้ครึ่งปีแรกรวม 3,402.1 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 27.2 ล้านบาท ซึ่งชะลอตัวลงจากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับกลยุทธ์ด้านราคาและยังไม่มีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ยอดโอนโครงการแนวราบยังคงเติบโตได้ 25.2% จากปีก่อนหน้า

 

ธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีแรงหนุนจากการเตรียมโอน

คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ 4 โครงการ ซึ่งมีมูลค่า Backlog รวมกว่า 8,600 ล้านบาท บริษัทยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าต่างประเทศไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น รัสเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)

 

อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) แสดงให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในไตรมาส 2 โดยสามารถสร้างกำไรสุทธิได้ 257 ล้านบาท เติบโตขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลงานดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการปรับพอร์ตไปเน้นกลุ่มบ้านหรู ซึ่งทำให้ยอดขายเติบโตถึง 77% จากไตรมาสก่อนหน้า และความสำเร็จของ 3 โครงการคอนโดพร้อมอยู่ที่มียอดขายรวมแล้วกว่า 9,483 ล้านบาท

 

ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ย้ำถึงความเชื่อมั่นในการก้าวผ่านสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงิน ซึ่งบริษัทได้ชำระคืนหุ้นกู้ไปแล้วกว่า 17,928 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายการลงทุนไปยังจังหวัดภูเก็ตด้วยเมกะโปรเจกต์ และเตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ

 

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) มีผลประกอบการครึ่งปีแรกด้วยรายได้รวม 2,640 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 301 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 37% จากปีก่อนหน้า บริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง และมียอด Backlog รอรับรู้รายได้อีก 7,453 ล้านบาท

 

อธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เผยว่าท่ามกลางกำลังซื้อที่ชะลอตัว บริษัทได้มุ่งเน้นการนำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เช่น โครงการ ‘LivNex เช่าออมบ้าน’ ซึ่งสร้างยอดขายได้ถึง 1,628 ล้านบาท 

 

นอกจากนี้ ความร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่น Hankyu Hanshin Properties ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่า 9 ปี รวม 68 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 84,300 ล้านบาท ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของบริษัท เพราะช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำและเงื่อนไขยืดหยุ่น เสริมสภาพคล่องและความสามารถในการแข่งขัน

 

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ผู้บริหารส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าตลาดยังคงมีความท้าทายสูง ปัจจัยกดดันหลักยังคงมาจากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตแบบชะงักงัน, ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง, และมาตรการสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

 

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณบวกปรากฏขึ้นบ้าง โดยเฉพาะการที่ กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งถูกมองว่าจะช่วยลดภาระของผู้กู้และกระตุ้นตลาดให้กลับมาคึกคักได้

 

จากสถานการณ์ดังกล่าว กลยุทธ์ของผู้ประกอบการในช่วงที่เหลือของปีจึงมุ่งเน้นไปในทิศทางเดียวกัน คือการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสภาพคล่องและกระแสเงินสดเป็นอันดับแรก 

 

ขณะเดียวกันจะมีการปรับพอร์ตสินค้าโดยหันไปให้ความสำคัญกับตลาดระดับกลางถึงบนมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อสูง ควบคู่ไปกับการเร่งโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่สร้างเสร็จแล้วเพื่อรับรู้รายได้ และการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลที่มีศักยภาพและมั่นใจว่ามีดีมานด์รองรับ

The post ภาพรวมอสังหาฯ ครึ่งปีแรก พบรายใหญ่ยังแกร่ง แต่พร้อมใจปรับพอร์ต ‘ทิ้งตลาดแมส-โฟกัสบ้านหรู’ ที่มีกำลังซื้อสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไปรษณีย์ไทยกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 362% จ่อเปิด Super App และ ระบบ D/ID เสริมแกร่งขนส่ง ก.ย. นี้ https://thestandard.co/thailand-post-first-half-2025-profits/ Mon, 18 Aug 2025 12:21:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1108576 ไปรษณีย์ไทย

ไปรษณีย์ไทย จ่อเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล ในวัน […]

The post ไปรษณีย์ไทยกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 362% จ่อเปิด Super App และ ระบบ D/ID เสริมแกร่งขนส่ง ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไปรษณีย์ไทย

ไปรษณีย์ไทย จ่อเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล ในวันที่ 1 ก.ย. และ  Super App ในช่วงปลายปี พร้อมเผยผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 362.34% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 11,544 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันจากปีที่ผ่านมา 8.88%

 

รัฐพล ภักดีภูมิ ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า การดำเนินงานของไปรษณีย์ไทยในยุคดิจิทัล ได้ขับเคลื่อนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการยกระดับคุณภาพบริการ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย

 

นอกจากนี้ ยังได้วางแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและการเข้าถึงบริการดิจิทัล พร้อมผลักดันโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนให้สามารถใช้แพลตฟอร์มไปรษณีย์ไทยเป็นช่องทางสร้างรายได้ และเข้าถึงตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สำหรับทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ ได้วางกลยุทธ์ ‘1-4-2’ เพื่อเป็นขนส่งอันดับ 1 พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย 4 พลังสำคัญ ได้แก่ พลังความเร็ว พลังเพื่อธุรกิจ พลังเชื่อมโลก พลังความล้ำ ควบคู่กับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ด้วยการเปิดตัว Super App ที่รวบรวมบริการไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตามพัสดุ สร้างใบจ่าหน้า เรียกรับพัสดุ ชำระค่าบริการได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะได้เห็นในช่วงปลายปี

 

รวมถึงการเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล ที่สามารถแปลงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ส่งและผู้รับเป็นรหัส 6 หลัก ซึ่ง 2 บริการนี้พร้อมจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ และยังมีการต่อยอดแนวคิดการขนส่ง Parcel Defined Logistics ให้มีความเฉพาะตัวมากขึ้น ในรูปแบบ Specialized Logistics เช่น Healthcare Logistics for Pet หรือการขนส่งสินค้าเพื่อกลุ่มสัตว์เลี้ยง การขนส่งสินค้ามูลค่าสูง และการขนส่งนมแม่ เป็นต้น

 

ส่วนในด้านบริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยได้พัฒนา e-Payment ให้รองรับการชำระ COD และเชื่อมต่อกับพันธมิตรหลากหลาย ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กรมการขนส่งทางบก ทิพยประกันภัย WeChat Pay และ Alipay เพื่อขยายช่องทางชำระเงินอย่างครอบคลุมทุกความต้องการ

 

ด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวต่อไปว่า ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 ไปรษณีย์ไทยยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากรายได้รวม 11,544 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท โดยรายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึง 8.88% ส่วนกำไรสุทธิเติบโตขึ้น 362.34%

 

ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้สูงสุด คือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ คิดเป็น 46.83% ของรายได้ทั้งหมด โดยมีรายได้รวม 5,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.56% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปริมาณชิ้นงานเพิ่มขึ้น 6%

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทย มีเครือข่ายครอบคลุมเข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศรวมกว่า 50,000 แห่ง และหลังจากได้ยกระดับองค์กรสู่การเป็น Tech Post ด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ในปีที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยมีคะแนน Top of Mind ของแบรนด์ 99.54% และมีคะแนนความไว้วางใจในแบรนด์ 96.11%

The post ไปรษณีย์ไทยกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 362% จ่อเปิด Super App และ ระบบ D/ID เสริมแกร่งขนส่ง ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘บ้านปู’ รุกธุรกิจก๊าซ ไฟฟ้า CCUS สหรัฐฯ ลุยเทคโอเวอร์ Bedrock รัฐเท็กซัส พร้อมลงทุนแร่นิกเกิลอินโดนีเซีย https://thestandard.co/banpu-energy-strategy/ Mon, 18 Aug 2025 10:38:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1108541 banpu-energy-strategy

‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’  ซีอีโอ ‘บ้านปู’ เผยธุรกิจครึ […]

The post ‘บ้านปู’ รุกธุรกิจก๊าซ ไฟฟ้า CCUS สหรัฐฯ ลุยเทคโอเวอร์ Bedrock รัฐเท็กซัส พร้อมลงทุนแร่นิกเกิลอินโดนีเซีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
banpu-energy-strategy

‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’  ซีอีโอ ‘บ้านปู’ เผยธุรกิจครึ่งแรก ปี 68 รุกลงทุนพลังงานแห่งอนาคต ตามกลยุทธ์ Energy Symphonics ชี้นโยบายสหรัฐฯ โอกาสขยายลงทุน รับดีมานด์ AI และ Data Center พร้อมเข้าซื้อ Bedrock Production รัฐเท็กซัส คาดเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 4 ปีนี้ 

 

สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า แม้ปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ชะลอตัวลง ส่งผลให้บ้านปูได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งสะท้อนต่อผลการดำเนินงานในครึ่งแรกปี 2568 ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

โดยมีรายได้จากการขายรวม 2,521 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 19,144 ล้านบาท) 

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 42.76 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,428 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการรับรู้ผลขาดทุนจากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ ไม่กระทบต่อกระแสเงินสด และความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ซึ่งคาดว่า EBITDA ปีนี้ 2568 จะอยู่ในระดับ 1,200- 1,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยแต่ละปี

 

สำหรับนโยบายสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีผลต่อการลงทุนหรือไม่นั้น สินนท์ มองว่า สหรัฐฯมีแหล่งก๊าซธรรมชาติมหาศาล มีการใช้ Data Center และ AI  ซึ่งใช้พลังงานสูง จึงเป็นโอกาส โดยบ้านปูซึ่งมีธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่แข็งแกร่ง โดยจะมีการลงทุนโครงการ East Texas สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ประมาณ 70,000 ตันต่อปี คาดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นปี 2570 

 

นอกจากนี้ ยังได้เข้าซื้อกิจการ Bedrock Production, LLC เจ้าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจกลางน้ำในแหล่งบาร์เน็ตต์ รัฐเท็กซัส ซึ่งหลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นเดือนตุลาคม 2568 กำลังผลิตรวมของ BKV จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 108 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันและปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ 1P จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

 

“Tariff อาจเป็นโอกาสลงทุนสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทมีการลงทุนในสหรัฐฯ อยู่แล้ว และกฎหมาย One Big Beautiful Bill ก็ส่งผลบวกต่อการลงทุน CCUS เครดิตคาร์บอน ที่สำคัญธุรกิจไฟฟ้าจะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้า ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจ AI และ Data Center ในสหรัฐฯ” สินนท์ กล่าว

 

ดังนั้น ธุรกิจในสหรัฐฯ ยังเติบโตได้อีก ทั้งก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า และ CCUS ซึ่งการเข้าซื้อ Bedrock Production จะทำให้บริษัทเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และรับรู้รายได้เต็มปีในปีหน้า

 

อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังของปีนี้ ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยง Geopolitics ซึ่งการมีกระแสเงินสดนั้นสำคัญมาก แต่หากดูพอร์ต บ้านปูก็มีการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงเหมาะสม ทั้ง 4 ธุรกิจหลัก ก๊าซฯ ถ่านหิน ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด

 

สินนท์ กล่าวอีกว่า ด้วยกลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ ในครึ่งปีแรก 2568 นอกจากบริษัทได้ขยายแหล่งก๊าซบาร์เน็ตต์และรุกโครงการ CCUS ในสหรัฐฯ ดังข้างต้น ยังเพิ่มการลงทุนในธุรกิจกักเก็บพลังงานในออสเตรเลีย และเริ่มก้าวแรกกับการลงทุนในธุรกิจนิกเกิลในอินโดนีเซีย 

 

บริษัทยังคงเน้นลดต้นทุนทั้งองค์กร ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน ความคืบหน้าทั้งหมดนี้ตอกย้ำบทบาทของบ้านปูในฐานะผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างความสมดุลด้านพลังงานและขับเคลื่อนความยั่งยืน 

 

อีกทั้ง บริษัทมุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโอมีประสิทธิภาพ หมุนเวียนเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ศักยภาพสูง ควบคู่กับการปรับโครงสร้างใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง รวมถึงการบริหารโครงสร้างเงินทุน 

 

สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว ความคืบหน้าที่โดดเด่นเห็นได้จาก 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและ CCUS ธุรกิจ Renewables+ และธุรกิจเหมืองยุคใหม่ ที่มองว่า เป็นภารกิจสำคัญที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ 

 

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่ามั่นคงทั้งเรื่องผลผลิต ต้นทุนลดลงค่อนข้างมากและสามารถลดลงต่อเนื่องได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้คือราคาถ่านหิน แต่เชื่อว่า ครึ่งปีหลังยังสามารถเติบโตได้และคงเป้าถ่านหินทั้งปีทำได้ 42.8 ล้านตัน

 

ขณะที่ ราคาก๊าซสามารถล็อกราคาปีนี้ 70% ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามต่อไปคือโรงไฟฟ้าในเท็กซัส โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ที่คาดว่าจะสามารถขยายการเติบโตได้เพิ่มอีก  

 

ภาพ: Art Wager / Getty images

The post ‘บ้านปู’ รุกธุรกิจก๊าซ ไฟฟ้า CCUS สหรัฐฯ ลุยเทคโอเวอร์ Bedrock รัฐเท็กซัส พร้อมลงทุนแร่นิกเกิลอินโดนีเซีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
บีโอไอ-ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลุกเศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ดึงบริษัทชั้นนำเข้าตลาดทุน พร้อมเร่งสนับสนุนธุรกิจเดิมสู่ความยั่งยืน https://thestandard.co/boi-set-new-economy-advanced-technology/ Mon, 18 Aug 2025 03:47:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1108324

บีโอไอและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศความร […]

The post บีโอไอ-ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลุกเศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ดึงบริษัทชั้นนำเข้าตลาดทุน พร้อมเร่งสนับสนุนธุรกิจเดิมสู่ความยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>

บีโอไอและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่ ‘เศรษฐกิจใหม่’ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายหลัก 2 เรื่องคือ การดึงบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากต่างประเทศที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการสนับสนุนบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้วให้ลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าธุรกิจและเติบโตอย่างยั่งยืน 

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ความร่วมมือนี้เป็นการใช้เครื่องมือของทั้งสองหน่วยงานในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการและเศรษฐกิจไทยในสถานการณ์ที่โลกมีความไม่แน่นอนสูง 

 

สำหรับการดึงบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศเข้าตลาดทุน ทั้งสองหน่วยงานจะเริ่มต้นนำร่องใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ, ยานยนต์ไฟฟ้า และดิจิทัล 

 

โดยเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนจากต่างชาติในไทยจำนวนมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่ประสบความสำเร็จและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว เช่น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 

 

นฤตม์ กล่าวว่า บีโอไอและตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการเชิญชวนให้บริษัทชั้นนำเหล่านี้มาดำเนินธุรกิจในไทยแบบครบวงจร ตั้งแต่ฐานการผลิต การวิจัยและพัฒนา สำนักงานภูมิภาค ไปจนถึงการขยายธุรกิจผ่านตลาดทุน เพื่อเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

 

ในส่วนของการสนับสนุนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่แล้วให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนผ่านโครงการ JUMP+ เพื่อช่วยจัดทำแผนการเติบโตและเพิ่มความน่าสนใจในสายตานักลงทุน 

 

ขณะเดียวกัน บีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความยั่งยืนภายใต้มาตรการ ‘ยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry)’ โดยทั้งสองหน่วยงานจะจัดทำช่องทางพิเศษ (Fast-Track) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บริษัทที่สนใจเข้าร่วมมาตรการนี้ 

 

ด้านอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ธุรกิจใหม่เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น แต่ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ  การที่บีโอไอให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ JUMP+ ของ ตลท. จะช่วยกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนพัฒนาการดำเนินงานและขับเคลื่อนความยั่งยืนในด้านธุรกิจ, ธรรมาภิบาล และการจัดการก๊าซเรือนกระจก

The post บีโอไอ-ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลุกเศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ดึงบริษัทชั้นนำเข้าตลาดทุน พร้อมเร่งสนับสนุนธุรกิจเดิมสู่ความยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>