Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 10 Sep 2025 09:57:51 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ชมคลิป: ‘บำรุงราษฎร์’ ใช้ AI + Cloud ปั้น รพ. อัจฉริยะ ยกระดับสู่การรักษาแบบป้องกัน | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/bumrungrad-ai-and-cloud-aws/ Wed, 10 Sep 2025 10:05:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1117885

ซีรีส์ CLOUDSCAPE เอพิโสดนี้ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน พาไปเย […]

The post ชมคลิป: ‘บำรุงราษฎร์’ ใช้ AI + Cloud ปั้น รพ. อัจฉริยะ ยกระดับสู่การรักษาแบบป้องกัน | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

ซีรีส์ CLOUDSCAPE เอพิโสดนี้ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน พาไปเยือนโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่กำลังยกระดับตัวเองอย่างต่อเนื่องไปสู่โรงพยาบาลอัจฉริยะ พร้อมพูดคุยกับแขกรับเชิญสุดเอ็กซ์คลูซีฟ อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่มาแบ่งปันแนวทางของการนำเทคโนโลยี AI และ Cloud มายกระดับการรักษา และช่วยให้อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ไทยก้าวไปสู่ระดับโลก

 

ซีรีส์ CLOUDSCAPE สนับสนุนโดย Amazon Web Services ภายหลังการเปิดตัว AWS Region เอเชียแปซิฟิก (Thailand) ด้วยแผนลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ภายใต้นโยบาย Thailand 4.0

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://go.aws/thailand

 

[ADVERTORIAL]

The post ชมคลิป: ‘บำรุงราษฎร์’ ใช้ AI + Cloud ปั้น รพ. อัจฉริยะ ยกระดับสู่การรักษาแบบป้องกัน | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้เผยบริษัทสหรัฐฯ แห่ย้ายหนีจีนทุบสถิติ มุ่งหน้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://thestandard.co/amcham-shanghai-us-firms-exit-china/ Wed, 10 Sep 2025 06:45:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1117776 หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้

หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ (AmCham Shanghai) เปิดเผยผล […]

The post หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้เผยบริษัทสหรัฐฯ แห่ย้ายหนีจีนทุบสถิติ มุ่งหน้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้

หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ (AmCham Shanghai) เปิดเผยผลสำรวจสมาชิกประจำปี พบว่าสมาชิกเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 47% ของบริษัทอเมริกัน ได้โยกย้ายหรือปรับแผนการลงทุนที่เคยมุ่งเป้าไปยังประเทศจีน ไปยังภูมิภาคอื่นในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

 

ผลสำรวจดังกล่าวตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลงของภาคธุรกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ, การแข่งขันในประเทศที่ดุเดือดขึ้น และแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา โดยมีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) กลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนที่ย้ายฐานออกมา

 

การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม ถึง 20 มิถุนายน 2025 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนปะทุขึ้นอีกครั้ง และแม้ว่าทั้งสองประเทศจะตกลงขยายเวลา ‘พักรบทางภาษี’ ออกไปอีก 90 วัน (จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน) แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว

 

เอริก เจิ้ง ประธานหอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า “สำหรับบริษัทแล้ว เวลา 90 วันมันสั้นเกินไปมาก” เขาชี้ว่าการวางแผนห่วงโซ่อุปทานต้องมองในระยะที่ยาวกว่านั้นมาก “อย่างน้อยที่สุดคือตอนนี้เราไม่ต้องเผชิญกับภาษีที่สูงขึ้นไปอีก แต่ปัญหาไม่ได้หายไปไหน มันยังคงอยู่ตรงนี้”

 

ความกังวลนี้สะท้อนชัดเจนในผลสำรวจ โดยผู้ตอบแบบสอบถามถึง 65% ระบุว่ากำแพงภาษีในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต

 

นอกเหนือจากความตึงเครียดทางการค้าแล้ว ธุรกิจอเมริกันในจีนยังต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้านที่บั่นทอนความเชื่อมั่น ทั้งเรื่องของความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มธุรกิจในจีนระยะ 5 ปีข้างหน้า ลดลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4

 

และมีเพียง 28% ของบริษัทที่ระบุว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานในจีนปี 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ขณะที่ 33% ระบุว่าผลการดำเนินงานในจีนย่ำแย่กว่า นอกจากนี้ บริษัทสหรัฐฯ ยอมรับว่าคู่แข่งสัญชาติจีนมีความล้ำหน้ากว่าใน 6 จาก 8 หมวดหมู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความเร็วในการนำสินค้าออกสู่ตลาด (Speed to Market) และการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาปรับใช้

 

ประเด็นเรื่อง AI ถือเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน โดยผลสำรวจพบว่า 41% ของบริษัทสหรัฐฯ มองว่าบริษัทจีนมีความก้าวหน้าในการนำ AI มาใช้มากกว่า ซึ่งตัวเลขนี้พุ่งสูงถึง 62% ในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภค

 

“เรามองว่า AI เป็นอีกหนึ่งสมรภูมิที่เราสามารถแข่งขันได้ในจีน แต่เราก็ต้องหาทางออก” เอริก เจิ้ง กล่าว “ในด้านหนึ่ง เราต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเพราะมีกฎควบคุมการส่งออกบางอย่างที่เราในฐานะบริษัทอเมริกันต้องปฏิบัติตาม แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จำเป็นต้องแสวงหาโอกาสที่เป็นไปได้ในประเทศนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรชาวจีนด้วย”

 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ผลสำรวจกลับพบหนึ่งในมุมที่น่าสนใจคือ การที่บริษัทอเมริกันมีมุมมองที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่อ สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบในท้องถิ่น 

 

โดย 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบมีความโปร่งใส ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเพียง 35% ในปี 2024 ขณะที่สัดส่วนของธุรกิจที่ระบุว่าการขาดความโปร่งใสเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานลดลง 12% มาเหลือเพียง 16%

 

ครึ่งปีแรก FDI ไทยโต 132% 

 

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ พบว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) เพิ่มขึ้น 132% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่า 7.37 แสนล้านบาท โดย 5 ประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น 

 

ขณะที่สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วงครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้น 138% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.05 ล้านล้านบาท จำนวนทั้งสิ้น 1,880 โครงการ 

 

ทั้งนี้ จากการจัดอันดับของ Kearney ใน The 2025 Kearney FDI Confidence Index ไทยเป็นประเทศที่ได้รับความเชื่อมั่นมากที่สุดในอาเซียน 

 

 

ขณะที่ประเทศที่มีอันดับถัดจากไทยจากการจัดอันดับล่าสุดนี้ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ตามลำดับ 

 

ภาพ: Wang Gang/VCG via Getty Images

อ้างอิง:

The post หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้เผยบริษัทสหรัฐฯ แห่ย้ายหนีจีนทุบสถิติ มุ่งหน้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปงาน Apple Event เปิดตัว iPhone Air บางสุดเท่าที่เคยมีมา และอื่นๆ ทั้ง iPhone Series 17, Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3 https://thestandard.co/apple-event-2025-iphone-17-air/ Wed, 10 Sep 2025 00:57:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1117295 Apple เปิดตัว iPhone 17 Series และ iPhone Air รุ่นบางที่สุด พร้อม Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3

หัวข้อในเนื้อหานี้   ไฮไลต์สำคัญที่สุด: iPhone 17 […]

The post สรุปงาน Apple Event เปิดตัว iPhone Air บางสุดเท่าที่เคยมีมา และอื่นๆ ทั้ง iPhone Series 17, Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple เปิดตัว iPhone 17 Series และ iPhone Air รุ่นบางที่สุด พร้อม Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3

 

Apple สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด นำทัพโดย iPhone 17 Series ที่ได้รับการอัปเกรดครั้งสำคัญ มีรุ่น Air ที่บางเบา รวมถึง Apple Watch และ AirPods Pro 3 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ในงาน Apple Event ที่เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 9 กันยายน 2025 (ตรงกับวันที่ 10 กันยายน 2025 เวลา 00.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) 

 

รายงานจากทั้ง Bloomberg และ The Wall Street Journal ต่างให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้กำลังมองหาวิธีที่จะทำให้ลูกค้าติดใจสมาร์ทโฟนของตัวเอง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำเงินรายใหญ่ที่สุด หลังจากมีสัญญาณว่าความต้องการลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

 

Apple กำลังเผชิญกับตลาดสมาร์ทโฟนที่อิ่มตัว รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในประเทศต่างๆ เช่น จีน ดังนั้นจึงหวังว่าจะสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้าด้วย iPhone รุ่นใหม่ในรอบหลายปี รวมถึงเข้ามาทดแทนตัวฟีเจอร์ AI ที่ยังไม่ค่อยได้ผลในการจูงใจลูกค้าเท่าไหร่นัก แม้จะมีการพยายามเปิดตัวฟีเจอร์มากมาย

 

“iPhone Air คือสิ่งที่พลิกโฉมวงการ” ทิม คุก ซีอีโอ Apple กล่าวระหว่างงาน Apple Event 

 

ไฮไลต์สำคัญที่สุด: iPhone 17 Series

 

Apple ได้ทำการปรับทัพไลน์อัป iPhone ครั้งใหญ่ โดยเปิดตัว 4 รุ่นใหม่ ดังนี้

 

  • iPhone 17 และ iPhone 17 Air: การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์คือการนำจอภาพ ProMotion 120Hz มาสู่รุ่นมาตรฐานเป็นครั้งแรก และได้เปิดตัว iPhone Air รุ่นใหม่ที่บางเฉียบ 5.6 มม. เป็นพิเศษมาแทนที่รุ่น Plus ขับเคลื่อนด้วยชิป A19 และระบบกล้องคู่ 48MP Dual Fusion

 

iPhone Air

iPhone Air

 

iPhone 17

iPhone 17

 

  • iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max: มาพร้อมพลังชิป A19 Pro พร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber รองรับ Apple Intelligence เต็มรูปแบบ, RAM 12GB และระบบกล้องหลัง 3 ตัวความละเอียด 48MP ทั้งหมดเป็นครั้งแรก พร้อม Zoom Optical ถึง 8 เท่า รองรับการถ่ายวิดีโอ 8K

 

iPhone 17 Pro

ชิป A19 Pro

iPhone 17 Pro

iPhone 17 Pro

 

 

กลุ่มผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สวมใส่ (Wearables)

 

  • Apple Watch Series 11: ชูโรงด้วยฟีเจอร์ด้านสุขภาพกับ การตรวจจับความดันโลหิตสูง (High Blood Pressure Detection) เป็นครั้งแรก พร้อมฟีเจอร์ Sleep Score, รองรับ 5G และจอภาพที่ทนรอยขีดข่วนดีขึ้น 2 เท่า

 

 

  • Apple Watch Ultra 3: ที่สุดของสมาร์ทวอทช์สายลุย มาพร้อมจอภาพที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา, แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 42 ชั่วโมง และรองรับ การเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม (Satellite Connectivity)

 

 

  • AirPods Pro 3: ดีไซน์ใหม่หมดจดพร้อมชิป H3 ที่ช่วยให้ระบบตัดเสียงรบกวนดีขึ้น 2 เท่า และเพิ่ม เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เข้ามาเป็นครั้งแรก รวมถึงมีฟีเจอร์การแปลภาษาสดบน AirPods ซึ่งมีให้ใช้งานในภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน โปรตุเกส และสเปน และจะมีเพิ่มอีก 4 ภาษาภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งได้แก่ อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี และจีน (ตัวย่อ)

 

AirPods Pro 3

 

 

นอกจากนี้ Apple ยังได้ประกาศเตรียมปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์เวอร์ชันเต็ม ทั้ง iOS 26 และ watchOS 26 ให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้อัปเดตในสัปดาห์หน้า

 

ราคา iPhone 17 Series

 

  • iPhone 17 เริ่มต้นที่ 29,900 บาท
  • iPhone Air เริ่มต้นที่ 39,900 บาท
  • iPhone 17 Pro เริ่มต้นที่ 43,900 บาท
  • iPhone 17 Pro Max เริ่มต้นที่ 48,900 บาท

 

**iPhone 17 ทุกรุ่นความจุเริ่มต้น 256 GB**



สามารถสั่งซื้อล่วงหน้า 12 ก.ย. เริ่มตั้งแต่เวลา 19:00 น. ประเทศไทย และเริ่มวางจำหน่าย 19 ก.ย.

 

ราคา Apple Watch (ยังไม่ระบุวันวางจำหน่ายในไทย)

 

  • Apple Watch Series 11 เริ่มต้นที่ 14,900 บาท
  • Apple Watch SE 3 เริ่มต้นที่ 8,500 บาท
  • Apple Watch Ultra 3 เริ่มต้นที่ 29,900 บาท 

 

ราคา AirPods Pro 3 (ยังไม่ระบุวันวางจำหน่ายในไทย)

 

  •  8,490 บาท

 

อ้างอิง:

The post สรุปงาน Apple Event เปิดตัว iPhone Air บางสุดเท่าที่เคยมีมา และอื่นๆ ทั้ง iPhone Series 17, Apple Watch Series 11 และ AirPods Pro 3 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดอินไซต์คนไทย แม้เศรษฐกิจไม่ดี! แต่ยอมซื้อทีวีใหม่ทุก 5 ปี อัปเกรดจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิม https://thestandard.co/thai-consumers-tv-upgrade-5-years/ Tue, 09 Sep 2025 11:58:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1117499 คนไทย ซื้อทีวีใหม่

ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี! คนไทยยังนิยมเปลี่ยน TV ทุก […]

The post เปิดอินไซต์คนไทย แม้เศรษฐกิจไม่ดี! แต่ยอมซื้อทีวีใหม่ทุก 5 ปี อัปเกรดจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิม appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนไทย ซื้อทีวีใหม่

ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี! คนไทยยังนิยมเปลี่ยน TV ทุกๆ 5 ปี อินไซต์นี้ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้แค่ต้องการเปลี่ยน TV จากเครื่องเก่าไปเครื่องใหม่เท่านั้น แต่ต้องการประสบการณ์การรับชมที่ดีขึ้นกว่าเดิม

 

“ในทุกครั้งที่เปลี่ยนจะอัปเกรดจอขนาดใหญ่ขึ้น กลายเป็นโอกาสให้แบรนด์ TV สามารถนำเสนอสินค้ารุ่นใหม่ ที่มีจุดเด่นเรื่องขนาดจอที่ใหญ่ ความละเอียดสูงขึ้น เช่น 4K หรือ 8K หรือเทคโนโลยีใหม่เข้ากระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ” มิสคลาร่า ชาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

 

พร้อมฉายภาพต่อไปว่า แม้จะอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ตลาดทีวีกลุ่มพรีเมียมยังเติบโตต่อไปได้ เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อและต้องการได้รับประสบการณ์ใหม่ สะท้อนจากความสำเร็จของ Hisense ในปีที่ผ่านมา สามารถครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ในกลุ่มตลาดทีวีขนาดใหญ่ 100 นิ้ว ด้วยสัดส่วนถึง 47% และมียอดส่งออกทีวีรวมทุกขนาดคิดเป็นอันดับ 2 ของโลก

 

เช่นเดียวกับ ผลประกอบการ Hisense ในครึ่งปีแรก ก็มีการเติบโตเฉลี่ยถึง 20% ส่วนปัจจัยที่ทำให้เติบโต มาจากกลุ่มสินค้าหลัก ทั้ง เครื่องซักผ้าเติบโต 61% ตู้เย็นเติบโต 27% ทีวีเติบโต 22% และเครื่องปรับอากาศเติบโต 9% ทุกกลุ่มสินค้าโตจากกลยุทธ์การพัฒนากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียม ด้วยนวัตกรรมและฟังก์ชันเหนือกว่าคู่แข่งและตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม

 

รวมถึงการเข้าไปสนับสนุนช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งพันธมิตรค้าปลีกและดีลเลอร์ทั่วประเทศเพื่อสร้างยอดขายร่วมกัน ตลอดจนการเพิ่มศูนย์บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศและมีการขยายการรับประกันสินค้าจาก 3 ปี เป็น 5 ปี และจาก 12 ปี เป็น 25 ปี ในกลุ่มอุปกรณ์มอเตอร์ และ คอมเพรสเซอร์ในผลิตภัณฑ์บางรุ่น

อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังของปี 2568 บริษัทได้เดินหน้าใช้กลยุทธ์ขยายตลาดพรีเมียมในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ Hisense UX Series – RGB-MiniLED TV รุ่นเรือธง ที่ชูจุดขายด้วยหน้าจอเทคโนโลยี ภาพ คุณภาพเสียง ดีไซน์ ขนาด 116 นิ้ว โดยราคาสั่งจองอยู่ที่ 799,999 บาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี

The post เปิดอินไซต์คนไทย แม้เศรษฐกิจไม่ดี! แต่ยอมซื้อทีวีใหม่ทุก 5 ปี อัปเกรดจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดความงามโตแรงกว่าอาหาร! ที่มาของดีล LINE MAN Wongnai ซื้อ JERA Cloud เสริมทัพธุรกิจ พร้อมลุ้น IPO ในปีนี้ https://thestandard.co/line-man-wongnai-deals-jera-cloud/ Mon, 08 Sep 2025 10:28:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1116911 LINE MAN Wongnai

“ที่ผ่านมา LINE MAN Wongnai จะเน้นทำธุรกิจร่วมกับกลุ่มร […]

The post ตลาดความงามโตแรงกว่าอาหาร! ที่มาของดีล LINE MAN Wongnai ซื้อ JERA Cloud เสริมทัพธุรกิจ พร้อมลุ้น IPO ในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
LINE MAN Wongnai

“ที่ผ่านมา LINE MAN Wongnai จะเน้นทำธุรกิจร่วมกับกลุ่มร้านอาหารเป็นหลัก โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2566 หลังจากเข้าซื้อกิจการ FoodStory เพื่อรวมระบบจัดการร้านอาหาร (POS) ให้แข็งแกร่ง พร้อมขยายธุรกิจ Merchant Solutions ให้ครอบคลุมตลาดร้านอาหารในไทย โดยรวมแล้วถือว่าประสบความสำเร็จมาก ทั้งในแง่ของการเติบโตและสามารถเพิ่มอัตราการทำกำไรให้ดีขึ้น” ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าว

 

ปัจจุบัน มูลค่าธุรกิจร้านอาหารราว 7 แสนล้านบาท มีร้านค้าอยู่ในระบบ LINE MAN Wongnai มากกว่า 7 แสนร้านค้า และไรเดอร์กว่า 1.5 แสนคน มีผู้ใช้งานประมาณ 10 ล้านคนต่อเดือน

 

แต่การทำธุรกิจจะไม่หยุดการเติบโตอยู่แค่นั้น ท่ามกลางบริบทสังคมและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยธุรกิจต้องมองหาน่านน้ำใหม่ๆ เพื่อขยายอาณาจักรของตัวเอง เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จึงตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ JERA Cloud บริษัทสตาร์ตอัปที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับความงามและสุขภาพ ซึ่งมูลค่าการซื้อขายยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ LINE MAN Wongnai ถือหุ้น 100%

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

หัวเรือใหญ่ LINE MAN Wongnai กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่สนใจเข้าซื้อธุรกิจของ JERA Cloud เป็นเพราะตลาดความงามและสุขภาพมีช่องว่างอยู่มาก และมีโอกาสการเติบโตสูง สะท้อนจากมูลค่าของธุรกิจความงามปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 12% ซึ่งเป็นตลาดที่โตเร็วมากถ้าเทียบกับธุรกิจอื่นๆ หรือแม้แต่ธุรกิจร้านอาหารก็โตน้อยกว่า  โดยขยายตัวเพียงแค่ตัวเลขหลักเดียวเท่านั้น และในอนาคตคาดว่าตลาดความงามจะยิ่งเติบโตขึ้นไปอีก

 

และถ้าจะให้ LINE MAN ไปสร้างระบบใหม่ด้วยตัวเอง คาดว่าจะต้องใช้เวลานานมาก และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดดีลนี้ เป็นเพราะ JERA Cloud นั้นมีจุดแข็งเรื่องระบบจัดการคลินิกความงามและทันตกรรม รวมถึงมีทีมงานที่แข็งแกร่ง จนปัจจุบันสามารถขึ้นเป็นผู้นำในตลาดโซลูชันระบบ Cloud และ POS ในธุรกิจความงามและสุขภาพ และมีลูกค้าทั้งรายเล็กรายใหญ่กว่า 1,700 สาขา ซึ่งการที่ JERA Cloud มีฐานลูกค้าจำนวนมาก ก็จะช่วยให้ LINE MAN สามารถเข้าถึงผู้ประกอบการใหม่ๆ ได้กว้างขึ้นเช่นกัน

 

ด้าน ผศ. ดร บัณฑิต ฐานะโสภณ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ละมุนภัณฑ์ ไอที จำกัด ผู้พัฒนา JERA Cloud กล่าวเสริมว่า JERA Cloud อยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท ละมุนภัณฑ์ ไอที จำกัด ซึ่งเป็นสตาร์ตอัพไทยที่เน้นออกแบบและจัดจำหน่ายโปรแกรมคลินิกและวางระบบ IT ให้กับธุรกิจการแพทย์ ความงามและสุขภาพ 

 

โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบ Cloud และ POS (Point of Sale) เป็นหลัก เช่น ฟีเจอร์การทำนัดหมายระหว่างลูกค้าและคลินิก ตามด้วยการทำ CRM การตลาดต่างๆ และระบบจัดการหลังบ้าน เรียกได้ว่าดำเนินธุรกิจมานานกว่า 8 ปีแล้ว

 

ทั้งนี้ การทำธุรกิจของ JERA Cloud ในช่วงเริ่มแรกท้าทายมาก เพราะขายไม่ได้เลย จนกระทั่งในปี 2018-2019 เริ่มมีลูกค้าคลินิกเข้ามา แม้จะแผ่วลงช่วงวิกฤตช่วงโควิดนานกว่า 2 ปี แต่ก็กลับมาสร้างการเติบโตได้ จนปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 1,700 สาขา และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ผู้ร่วมก่อตั้ง JERA Cloud ยอมรับว่า ที่ผ่านมา มีหลายบริษัทติดต่อเข้ามาขอซื้อหุ้น JERA Cloud แต่ไม่มีบริษัทไหนที่เป็นคำตอบที่ใช่ของบริษัท กระทั่งวันหนึ่ง LINE MAN Wongnai ได้เข้ามาพูดคุยและมองเห็นแล้วว่าทั้งสองบริษัทมองไปในทิศทางเดียวกัน จึงเลือกขายหุ้นให้ LINE MAN Wongnai ซึ่งเป็นธุรกิจมีความเชี่ยวชาญกับระบบ POS มานานอยู่แล้ว จึงเกิดเป็นที่มาของดีลในครั้งนี้

 

ส่วนแนวโน้มการเติบโตในอนาคตมองว่าสดใสแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันกระแสการดูแลความงามและสุขภาพยังคงเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง จากเดิมที่นักการตลาดจะมองว่าคนที่ขับเคลื่อนตลาดเป็นกลุ่มวัยทำงานเป็นหลัก แต่จากข้อมูลล่าสุดเริ่มเห็น กลุ่ม Gen Z เข้ามาใช้บริการในคลินิกความงามมากกว่าคนรุ่นอื่น สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ใส่ใจในการดูแลภาพลักษณ์และการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น

 

และอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ กลุ่มผู้ชายหันมาใช้บริการคลินิกความงามมากขึ้น โดยมีอัตราส่วนอยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 4 เมื่อเทียบกับผู้หญิง คือ ผู้หญิงเดินเข้ามา 4 คน หนึ่งในนั้นจะต้องมีผู้ชาย 1 คน แสดงให้เห็นว่าตลาดนี้กำลังขยายฐานผู้บริโภคกว้างขึ้นเรื่อยๆ

 

“แม้ปีนี้อัตราการเติบโตของตลาดความงามอาจชะลอลงเหลือราว 12% แต่จำนวนคลินิกที่ปิดตัวลงน้อยมาก ถ้าเทียบกับจำนวนคลินิกที่เปิดใหม่ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดความงามยังแข็งแกร่งมากแม้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม” ผศ. ดร. บัณฑิต ย้ำ

 

นอกจากความเคลื่อนไหวข้างต้นแล้ว ผู้บริหาร LINE MAN Wongnai ยังเผยถึงแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ จะมีการลงทุนทำการตลาดเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ JERA Cloud โตได้เร็วขึ้น และมีแผนจะเพิ่มโปรดักต์ใหม่ๆ เข้าตอบโจทย์ลูกค้าให้หลากหลายกว่าเดิม เช่น Payment Solution และ On-demand service ซึ่งอาจจะให้เปิดให้คลินิกสามารถเข้าไปโพสต์ขายเวาเชอร์ผ่านทางไลน์แมนได้

 

พร้อมอัปเดตความคืบหน้าของแผนที่จะเสนอขายหุ้น IPO เพื่อระดมทุนมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท โดยพยายามจะยื่นไฟลิ่งให้ได้ในปี 2568 นี้ ซึ่งถ้าได้เงินจากการระดมทุนมาแล้วก็ต้องมาพิจารณาอีกครั้งว่าจะขยายการเติบโตให้กับธุรกิจในด้านไหนบ้าง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมี IPO หรือไม่นั้น บริษัทก็ยังเปิดโอกาสในการเข้าไปลงทุน M&A ในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีช่องว่างให้เข้าไปสร้างการเติบโตในระยะยาวได้

The post ตลาดความงามโตแรงกว่าอาหาร! ที่มาของดีล LINE MAN Wongnai ซื้อ JERA Cloud เสริมทัพธุรกิจ พร้อมลุ้น IPO ในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
X Square Robot สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ของจีน ระดมทุน 3.2 พันล้านบาท มี Alibaba Cloud นำลงทุน https://thestandard.co/x-square-robot-alibaba-cloud-100m/ Mon, 08 Sep 2025 10:08:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1116897

X Square Robot สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ของจีน ได้ปร […]

The post X Square Robot สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ของจีน ระดมทุน 3.2 พันล้านบาท มี Alibaba Cloud นำลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

X Square Robot สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ของจีน ได้ประกาศในวันนี้ (8 กันยายน) ว่าบริษัทได้ระดมทุนประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ โดยมี Alibaba Cloud เป็นผู้นำการลงทุน

 

นี่เป็นการระดมทุนรอบที่ 8 ของสตาร์ทอัพที่ตั้งอยู่ในเมืองเซินเจิ้น นับตั้งแต่บริษัทเปิดตัวมาไม่ถึง 2 ปี เมื่อเดือนธันวาคม 2023

 

หยาง เชียน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) เปิดเผยผ่าน CNBC ว่าดีลล่าสุดนี้ทำให้เงินลงทุนทั้งหมดใน X Square Robot มีมูลค่ารวมประมาณ 2 พันล้านหยวน หรือ 9 พันล้านบาท

 

HongShan (เดิมคือ Sequoia Capital China) ก็ได้เข้าร่วมในรอบการระดมทุนล่าสุดนี้ด้วย พร้อมกับ Meituan, Legend Star, Legend Capital และ INCE Capital

 

“ตอนนี้เราต้องการหุ่นยนต์ที่สามารถปฏิบัติการและทำงานที่ซับซ้อนให้สำเร็จได้โดยอัตโนมัติ” หยางกล่าว

 

X Square Robot ยังได้เปิดตัวสิ่งที่เรียกว่า “โมเดลพื้นฐานโอเพนซอร์สสำหรับ Embodied AI” ที่มีชื่อว่า Wall-OSS และคาดว่า “พ่อบ้านหุ่นยนต์” จะกลายเป็นความจริงภายในห้าปี

 

หยางยอมรับว่า AI สำหรับหุ่นยนต์ยังคงตามหลังความก้าวหน้าของ Generative AI เทคโนโลยีสำหรับหุ่นยนต์จะยังไม่สามารถบรรลุขีดความสามารถระดับ ChatGPT 3.5 ได้เป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน

 

พร้อมกันนี้ X Square Robot ยังได้เปิดตัวหุ่นยนต์ Quanta X2 ซึ่งสามารถติดตั้งหัวม็อบเพื่อทำความสะอาดได้ 360 องศา และมาพร้อมกับมือที่สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงแรงกดที่ละเอียดอ่อนได้ ซึ่งเป็นก้าวหนึ่งสู่การทำงานที่เหมือนมนุษย์มากขึ้น

 

ปัจจุบัน บริษัทยังไม่มีผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดมวลชน โดยราคาจำหน่ายจะขึ้นอยู่กับกรณีการใช้งาน (Use Case) แต่บริษัทวิจัยประเมินว่าราคาอาจสูงถึง 80,000 ดอลลาร์ ซึ่งยังห่างไกลจากระดับที่ผู้บริโภคทั่วไปจะเข้าถึงได้ (คู่แข่งอย่าง Unitree มีราคาขายที่ 16,000 ดอลลาร์ แต่ยังไม่ชัดเจนด้านความสามารถ)

 

หยางคาดการณ์ว่า ราคาจะต้องลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ จึงจะสามารถเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ซึ่งเธอเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ผ่านการลดต้นทุนฮาร์ดแวร์ โดยขณะนี้บริษัทได้เริ่มสร้างรายได้แล้วจากการขายให้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ เช่น โรงเรียน, โรงแรม และบ้านพักคนชรา และกำลังเจรจากับลูกค้าในญี่ปุ่นและสิงคโปร์ พร้อมทั้งมีแผนจะเริ่มเตรียมตัวเพื่อเสนอขายหุ้น IPO ในปีหน้า

 

ภาพ: เว็บไซต์ X Square Robot
อ้างอิง:

The post X Square Robot สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ของจีน ระดมทุน 3.2 พันล้านบาท มี Alibaba Cloud นำลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้นำด้าน AI ระดับโลกเดินเกมอย่างไร? ในวันที่ ‘มนุษย์และ AI ต้องผนึกกำลังกัน’ บทสรุปจากงาน KBTG Techtopia: At World’s Beginning [Advertorial] https://thestandard.co/kbtg-techtopia-at-worlds-beginning/ Mon, 08 Sep 2025 08:38:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1116244

ภารกิจพามนุษย์ค้นหาศักยภาพ โอกาสและความเป็นไปได้วันที่ […]

The post ผู้นำด้าน AI ระดับโลกเดินเกมอย่างไร? ในวันที่ ‘มนุษย์และ AI ต้องผนึกกำลังกัน’ บทสรุปจากงาน KBTG Techtopia: At World’s Beginning [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ภารกิจพามนุษย์ค้นหาศักยภาพ โอกาสและความเป็นไปได้วันที่ AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในวันที่โลกใบเดิมจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป มนุษย์และเทคโนโลยีจะร่วมมือกันอย่างไรเพื่อไปต่อ ของ บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ในงาน ‘KBTG Techtopia’ ภายใต้แนวคิด ‘At World’s Beginning’ งานประชุมด้านเทคโนโลยีระดับนานาชาติ ที่จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ได้ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย

 

 

ผู้บริหารจากองค์กรชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จากทั่วโลกกว่า 80 คน ร่วมกันสำรวจและค้นหาแนวทางในการเชื่อมโยง 7 เสาหลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ AI ในทุกมิติ ตั้งแต่ เทคโนโลยีและ AI เพื่อมนุษยชาติ, ภูมิรัฐศาสตร์ของเทคโนโลยีเกิดใหม่, เทคโนโลยีที่ยั่งยืนและการฟื้นตัวจากสภาพภูมิอากาศ, การดูแลสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ, อนาคตของกำลังคนและการเรียนรู้, ความมั่นคงทางไซเบอร์, รวมถึงเทคโนโลยีเกิดใหม่และเทคโนโลยีบุกเบิก ผ่าน 40 เซคชั่น ใน 3 เวที พร้อมบูธแสดงผลงานการวิจัยของ KBTG เวิร์กช็อปให้ลงมือทำจริง และ Community Circle โซนใหม่ของงานในปีนี้

 

คีย์เวิร์ดสำคัญของธีมงานในปีนี้ที่ทุกคนมุ่งไปทางเดียวกันคือ ‘มนุษย์และ AI ต้องผนึกกำลังกัน’ กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่ม บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) บอกว่า AI เพียงอย่างเดียวจะไม่เปลี่ยนโลก แต่เป็นมนุษย์ที่ใช้ AI ต่างหากที่จะเปลี่ยนโลก การรวมกันของมนุษย์กับ AI สามารถคือ ‘แสงแห่งความหวังสำหรับมนุษยชาติ’

 

 

AI เปลี่ยนมนุษย์-มนุษย์เปลี่ยนโลก

 

กระทิงชวนมองย้อนกลับไปในปี 2024 จนถึงวันนี้ AI ก้าวไปไกลมาก แต่หลายคนเริ่มมีคำถามว่า AI กำลังเข้าสู่ AI Winter หรือยุคของการแช่แข็ง AI อีกครั้งหรือไม่ และมนุษย์กำลังตกหล่มหุบเหวแห่งความผิดหวัง (Trough of Disillusionment) หรือเปล่า?

 

“ผมเชื่อว่า นี่คือจังหวะทองที่ทุกองค์กรต้องเร่งเครื่องไปให้ถึง Plateau of Productivity หรือที่ราบสูงแห่งผลิตภาพให้ได้”

 

แต่การปลดล็อกศักยภาพ AI ซับซ้อนกว่านั้น ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างตั้งแต่การเลือก use case ที่เหมาะสม ข้อมูลต้องมีคุณภาพ โมเดล AI ที่ใช้ถูกต้อง กระบวนการการทำงานต้องสอดคล้องกัน รวมถึงเรื่องการกำกับดูแล การมีบุคลากรที่มีความสามารถ และความเป็นผู้นำที่พร้อมจะผลักดันการเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการบริหารการเปลี่ยนแปลงแบบองค์รวม 

 

กระทิงแนะ แทนที่จะเอา AI มาเสริมในงานเดิม (+AI) ให้เอา AI มาเป็นแกนหลักในการทำงาน (AI+) วางระบบข้อมูลให้พร้อมแล้วมันจะค่อยๆ แทนที่วิธีการทำงานเดิมทั้งระบบ

 

“เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของ AI การตัดสินใจของพวกเราในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของเทคโนโลยีและมวลมนุษยชาติ”

 

6 ทางแยก AI ที่มีมนุษย์เป็นผู้กำหนด

 

  • การมาถึงของ AI Agent: จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกหรือมาในคราบของปีศาจ? ด้วยศักยภาพมหาศาลของ AI Agents ที่สามารถคิด วางแผน และทำงานที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเอง ส่งผลให้บทบาทของมนุษย์เปลี่ยนจากผู้ปฏิบัติเป็นผู้มอบหมาย คาดการณ์ว่าภายในปี 2028 การตัดสินใจในงานประจำวันหรืองานที่มีแบบแผนเดิมๆ จะเกิดขึ้นโดย AI Agents มากกว่า 15% 

 

ประเด็นคือ หาก AI Agent เป็นเครื่องมือที่สะท้อนตัวตนของผู้สร้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากผู้ใช้ตั้งเป้าหมายไม่รัดกุม มันจะทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นโดยไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้น 

 

มนุษย์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะออกแบบและควบคุมศักยภาพของมันอย่างไร?”

 

  • จะสร้าง AI หรือจะควบคุมด้วย: กระทิงบอกว่า นี่คือทางแยกสำคัญ เพราะการปล่อยให้ AI พัฒนาอย่างไร้ทิศทางไม่ต่างอะไรกับปล่อยเรือออกสู่มหาสมุทรโดยไม่มีหางเสือและกัปตัน ความท้าทายคือการหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมกับการป้องกันความเสี่ยง

 

“การแข่งขันเพื่อสร้าง AI ที่เก่งที่สุดต้องไม่สำคัญไปกว่าการสร้าง AI ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับมนุษยชาติ”

  

  • AGI วิ่งไล่ความฝันหรือมุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า: หรือเราสามารถฝันใหญ่และลงมือทำพร้อมกันได้? กระทิงมองว่า เราสามารถสร้างสมดุลได้ด้วยการผลักดันให้เกิด AGI กับการใช้ประโยชน์จริงในปัจจุบันควบคู่กัน

 

“หากมัวแต่ไล่ล่า AGI เราอาจพลาดโอกาสในการสร้างคุณค่าที่อยู่ตรงหน้า แต่ถ้าสนใจแต่การใช้งานจริงโดยไม่ลงกับการวิจัยพื้นฐาน คงไม่มีวันไปถึงจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่กว่า”

 

  • แข่งขันหรือร่วมมือ: “ไม่มีบริษัทหรือประเทศใดสามารถแก้ปัญหาความท้าทายของ AI ได้เพียงลำพัง” กระทิงย้ำว่า นี่ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ AI ยกระดับมวลมนุษยชาติ เพราะหากทุกประเทศแข่งขันกันอาจเข้าสู่ภาวะสงครามเย็นทางเทคโนโลยี

 

“หากไม่มีมาตรฐานสากล อาจนำไปสู่มาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่เท่าเทียม แทนที่จะสร้างกำแพงเพื่อแข่งขันในเกมที่อาจไม่มีผู้ชนะ เราควรสร้างสะพานความร่วมมือเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยกัน”

  

  • AI ผู้ผลาญทรัพยากรหรือโอเอซิสแห่งปัญญา: ความย้อนแย้งคือเทคโนโลยีที่อาจเป็นหวังในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอาจกลายเป็นผู้ผลาญทรัพยากรเสียเอง

 

ต้นทุนความฉลาดของ AI ต้องแลกด้วยทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานมหาศาล รวมไปถึงการแข่งขันเพื่อสร้างฮาร์ดแวร์ก็ก่อให้เกิดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ กระทิงบอกว่า ปัญหานี้อาจแก้ได้ด้วยตัวมันเอง เขายกตัวอย่างการใช้ AI ออกแบบสถาปัตยกรรมชิปที่ประหยัดพลังงาน หรือบริหารจัดการโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อลดการสูญเสีย รวมถึงการขับเคลื่อนการเกษตรแม่นยำเพื่อลดการใช้น้ำและปุ๋ย ไปจนถึงสร้างแบบจำลองสภาพภูมิอากาศที่แม่นยำขึ้นเพื่อวางแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลก “นี่คือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ คุณต้องให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความยั่งยืน เพราะ AI ที่ยั่งยืนคือทางเดียวที่จะทำให้เราขยายขนาดเทคโนโลยีนี้เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ”

  

  • AI สร้างความเท่าเทียมหรือถ่างช่องว่างให้กว้างขึ้น: จะมีประโยชน์อะไรหาก AI ทำให้ช่องว่างทางปัญญาและความเท่าเทียมกว้างขึ้น ถ้าไม่มีการวางแผนเชิงนโยบายที่ดีพอ มีแนวโน้มที่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดการแทนที่แรงงานในวงกว้าง โดยเฉพาะงานในระดับกลาง

 

ทางออกขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบายและระบบ ว่าจะเลือกสร้างสังคมรวยกระจุกจนกระจาย หรือออกแบบโครงสร้างที่ช่วยกระจายผลประโยชน์ในวงกว้าง  “คุณต้องไม่ลืมว่า AI ไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่มนุษย์ที่ใช้ AI ต่างหากคือผู้เปลี่ยน” 

 

 

AI ไม่ใช่คู่แข่ง คนที่ใช้ AI เป็นต่างหากคือคู่แข่งของคุณ

 

Dr. Andrew Ng, Managing General Partner ของ AI Fund ขยายภาพให้เห็นถึงเส้นทางการเปลี่ยนผ่านจาก Gen AI สู่ Agentic AI เขาอธิบายว่ายังมีหลายคนเข้าใจว่า AGI พัฒนาแบบก้าวกระโดดแต่จริงๆ แล้ว AI มันพัฒนาต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป “มันคือวิวัฒนาการไม่ใช่การปฏิวัติแบบพลิกฝ่ามือ” 

 

แอนดรูว์ เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจาก Gen AI สู่ Agentic AI ว่าเหมือนทฤษฎีตัวต่อเลโก้ ตอนนี้เริ่มมีชิ้นส่วนสีต่างๆ ที่สามารถประกอบเป็นรูปร่างที่หลากหลาย สร้างสรรค์สิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้น เป็นการเติบโตแบบทวีคูณ เช่น RAG ที่ช่วยให้ AI  ดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายนอกที่ทันสมัยและน่าเชื่อถือมาใช้ในการตอบคำถามที่แม่นยำและอ้างอิงได้ หรือ Agentic AI Workflows การสร้าง AI ที่สามารถวางแผนและดำเนินการเป็นลำดับขั้นได้ด้วยตัวเอง หรือ Evals เครื่องมือตรวจสอบความถูกต้องของ AI

 

“ทักษะสำคัญคือ คุณต้องมีกรอบความคิดที่จะนำตัวต่อเหล่านี้มาประกอบร่างกัน”  แอนดรูว์ ย้ำว่า “AI คือเครื่องมือเสริมพลังมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่มาแทนที่” เพราะ AI จะเข้ามาเพิ่ม Productivity ช่วยให้คนทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในทุกสายงาน แน่นอนว่าในบางตำแหน่งงาน AI จะสร้างผลกระทบแน่นอน แต่สิ่งที่เราสู้ไม่ใช่ AI คนที่ใช้ AI เป็น ต่างหากคือคู่แข่งของคุณ ทางรอดคือการเรียนรู้การใช้ AI และผสานมันเป็นส่วนหนึ่งของทักษะการทำงาน”

 

หลายคนคิดว่าเรียนรู้ AI วันนี้ปีหน้าก็ตกยุค เขาบอกว่า สิ่งที่เรียนวันนี้ 80–90% ยังใช้ได้อีกหลายปี แม้จะมีส่วนที่ล้าสมัยแต่แก่นความรู้พื้นฐานยังมีประโยชน์อยู่ ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบขึ้น

 

แอนดรูว์แนะนำให้ฝึก prompt ฝึกตั้งคำถามและออกคำสั่ง ลงเรียนคอร์สออนไลน์ ทดลองใช้เครื่องมือต่างๆ ที่สำคัญคือ เรียนรู้ที่จะเขียนโค้ดด้วย AI “มันคือการเรียนรู้ที่จะอธิบายความต้องการของเราให้ AI เข้าใจและแปลงเป็นโค้ดหรือระบบอัตโนมัติให้ได้”

 

สำหรับองค์กร ไม่จำเป็นต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญแต่ให้สร้างทีมขนาดเล็กที่แข็งแกร่ง ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาภายใน กำหนดทิศทางและกลยุทธ์ และวางมาตรฐานการใช้งาน และฝึกอบรมพนักงานทั่วทั้งองค์กร

 

“เป้าหมายคือให้พนักงานทุกคนสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพของตัวเอง” แอนดรูว์ บอกว่าต้องเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับทดลองใช้ AI สร้าง Sandbox สำหรับการทดลองใหม่ๆ เลือก Use Case ที่มีมูลค่าสูงและสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร ขณะเดียวกัน ผู้บริหารระดับสูงต้องกำหนดโครงการยุทธศาสตร์ 2-3 โครงการที่มีความสำคัญสูงสุดต่อธุรกิจ และทุ่มเททรัพยากรอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันให้สำเร็จ การทำเช่นนี้จะช่วยให้เกิดผลกระทบในวงกว้างและสอดคล้องกับเป้าหมายหลักขององค์กร

 

“ในอนาคตทุกคนจะเข้าถึง AI ได้และสามารถมีกองทัพ AI ที่ชาญฉลาดเป็นของตัวเอง” 

 

 

ตั้งรับท่าไหนในวันที่ AI Agent จะเข้ามาแทนที่

 

Kevin Wei Wang, Senior Partner จาก McKinsey & Company สะท้อนภาพอนาคตเมื่อ AI เป็นตัวแปรสำคัญเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี แล้วองค์กรของเราพร้อมแค่ไหน? ในเซสชัน ‘Future of AI and its Implications for Business, Economy, and Humanity’

  

เควินมองว่ายุคของ AI Agent ใกล้เข้ามาทุกที ซึ่งทาง McKinsey คาดการณ์ว่าเมื่อ AI Agent ทำงานแทนมนุษย์ Productivity จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่เมื่อไรที่ AI Agent กับมนุษย์ทำงานร่วมกันมันอาจปลดล็อก Productivity เพิ่มขึ้น 15-20 เท่า เลยทีเดียว

 

ผลสำรวจล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชี้ว่า 5 สายงานที่มีแนวโน้มจะมีการลดจำนวนพนักงานมากที่สุดคือ Service operations (58%), Manufacturing (49%), Supply chain (48%), Software engineering (46%), และ Human resources (44%)

 

เควินมองว่า นี่อาจเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำงานที่สร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้นแทนที่จะเสียเวลาไปกับการทำงานซ้ำซาก เขายกตัวอย่าง McKinsey นำ AI Agent ที่ชื่อ Lilli ซึ่งมีองค์ความรู้กว่า 100 ปีของบริษัทมาใช้ ภายในระยะเวลา 18 เดือน มีที่ปรึกษาถึง 93% นำไปใช้งาน

 

“มันช่วยให้พวกเขาไม่ต้องเสียเวลาไปกับค้นคว้าแล้วเอาเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ความเข้าอกเข้าใจในตัวลูกค้าได้มากขึ้น” 

 

คำถามคือ ทำไมบางองค์กรถึงไม่ประสบความสำเร็จในการนำ AI ไปปรับใช้ ปัจจุบันมี 88% ขององค์กรที่เริ่มใช้ AI แต่มีเพียง 25% ที่นำ AI ไปปรับใช้ได้สำเร็จ และแค่ 10% ที่ปรับใช้ได้ในวงกว้าง แต่มีไม่ถึง 5% ที่สามารถดึงศักยภาพสูงสุดของ Use Case ออกมาได้

 

กับดักที่ทำให้องค์กรติดหล่มไม่ว่าจะเป็น การทำโครงการที่กระจัดกระจาย ขาดกลยุทธ์จากผู้นำ จึงไม่เกิดผลกระทบภาพรวม แต่ละทีมทำงานแยกส่วน ไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ พนักงานขาดทักษะและไม่เข้าใจการทำงานร่วมกับ AI บางองค์กรไม่มีเทคโนโลยีรองรับการขยายผล โครงการก็ไปต่อไม่ได้ หรือแม้แต่ความกังวลด้านจริยธรรม ความเสี่ยงต่างๆ ทำให้องค์กรไม่กล้าพึ่ง AI เต็มที่

 

เพื่อให้อยู่รอดและเติบโตไปกับเทคโนโลยี AGI เควินมองว่าจากนี้ไปมนุษยชาติต้องช่วยกันกำหนดทิศทาง 3 ด้านสำคัญ คือ (Alignment) ปรับเป้าหมายให้สอดคล้องกับคุณค่าของมนุษย์, (Control) รักษากลไกการกำกับดูแลโดยมนุษย์ และ (Governance) การสร้างธรรมาภิบาลและกฎเกณฑ์ที่รับผิดชอบ

 

 

AI จะทรงพลังเมื่อถูกนำทางด้วยสติปัญญาและความปรารถนาดีของมนุษย์

 

ประเด็นที่ยังคงถกเถียงกันในทุกเวทีคือเรื่องของ ‘จริยธรรม AI’ เพราะเป็นคำถามที่ท้าทายว่าเราจะสร้างสมดุลระหว่างการปลดล็อกศักยภาพของ AI กับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างไร

 

วัตสัน ถิรภัทรพงศ์, Country Leader จาก Amazon Web Services (AWS) Thailand เล่าให้ฟังถึงโครงการ Tech for Digital Future และเครื่องมืออย่าง PartyRock ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้เยาวชนในต่างจังหวัดได้ลงมือสร้างแอปพลิเคชันง่ายๆ ด้วยตนเอง

 

“ในขณะที่เราตื่นเต้นที่ได้ทำให้ AI เข้าถึงกลุ่มคนที่อาจจะยังไม่มีโอกาสได้มีโอกาสเข้าถึง แต่อีกมุมเราก็กังวลอย่างกรณีนี้เราให้นักเรียน ม.ปลาย สร้าง ‘แอปพลิเคชันพี่เลี้ยง’ เพื่อเป็นที่ปรึกษาปัญหาการถูกบูลลี่ในโรงเรียน แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ใช้งานจะได้รับคำตอบที่ควรจะได้รับหรือไม่”

 

ด้าน อโณทัย เวทยากร, Managing Director และ Technology Leader จาก IBM Thailand เล่าเคสการผสานพลังของ Quantum Computing กับ AI จนก้าวไปถึง Quantum AI เหมือนเปิดประตูสู่การค้นพบครั้งใหม่ที่คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมทำไม่ได้ แต่เขากลับพบว่า ภาพจากห้องทดลองของ OpenAI ที่ AI เริ่มแสดงพฤติกรรมคล้ายสัญชาตญาณการเอาตัวรอดโดยพยายามจำลองตัวเองเพื่อย้ายไปยังเซิร์ฟเวอร์อื่นเมื่อรู้ว่ากำลังจะถูกปิดระบบ “มันเป็นเส้นบางๆ ระหว่างเครื่องจักรกับสิ่งมีชีวิต เราเห็นสัญญาณเตือนให้ต้องกลับมาคิดถึงแนวทางการกำกับดูแลอย่างจริงจัง”

 

ดร.โกเมษ จันทวิมล, Principal AI Evangelist จาก KBTG บอกว่าสิ่งที่เขากังวลคือ ไม่ใช่แค่ผู้ใช้จะใช้ AI เป็นหรือไม่ แต่ยังรวมไปถึงผู้สร้าง ว่าจะสร้าง AI ได้อย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบหรือไม่

 

“เราอยู่ในยุคที่ ‘AI is Everything Everywhere All at Once’ ที่ AI ฉลาดขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทุกคนเข้าถึงความฉลาดได้ เหมือนความรู้ที่ตกอยู่บนพื้น ใครๆ ก็หยิบไปใช้ได้ มันการทดลองครั้งใหญ่ที่เรายังไม่รู้ผลลัพธ์ว่าผู้คนจะนำความสามารถนี้ไปใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดี” 

 

ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นนำไปสู่การหยิบยกประเด็นเรื่องการสร้าง ‘Trustworthy AI’ โดยมีหลักการ 3 ประการ คือ

 

  • ความปลอดภัย (Safe): ทั้งผู้สร้างและผู้ใช้ AI ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก 
  • ความน่าเชื่อถือ (Trusted): หัวใจคือ ความโปร่งใสและความสามารถในการอธิบายได้ 
  • ความรับผิดชอบ (Responsible): ผู้สร้างและผู้ใช้ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น

 

อโณทัยเสนอ Governance Framework ที่ตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ คือ  Explainable: AI ต้องอธิบายการตัดสินใจของตัวเองได้, Firm Framework: ใช้กรอบธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่งอย่าง EU AI Act,  Justice & Bias-free: ปราศจากอคติและมีความยุติธรรม และ Transparency & Privacy: โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเคารพความเป็นส่วนตัว

 

ในขณะที่วัตสัน ชวนมองมิติความท้าทายเชิงเทคนิคอย่าง Hallucination พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขคือ Invisible Watermark ฝังลายน้ำที่มองไม่เห็นลงในภาพหรือวิดีโอ เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าถูกสร้างโดย AI หรือไม่ และ Automated Reasoning พัฒนาให้ AI สามารถอธิบายที่มาที่ไปของคำตอบได้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งข้อมูล

 

ดร.โกเมษ เน้นย้ำว่าธรรมาภิบาลไม่ใช่แค่การจัดหาเครื่องมือ แต่ต้องเริ่มต้นจาก Human-First ที่ KBTG จึงแปลงกรอบการทำงานเป็นหลักการที่จับต้องได้ เช่น การประกาศว่าจะไม่นำ AI มาใช้เพื่อทดแทนมนุษย์โดยตรง และสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้เกิดการทดลองในขอบเขตที่ปลอดภัย โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ทดลองต้องนำความรู้กลับมาแบ่งปันให้คนอื่นในองค์กรด้วย

 

แล้ว AI จะสามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาสังคมในวงกว้างได้อย่างไร? วัตสัน เชื่อว่าหัวใจสำคัญคือ Data เขายกตัวอย่างการใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมในโครงการ Open Data ร่วมกับ NASA เพื่อติดตามการเติบโตของป่าไม้ หรือโครงการที่ฟิลิปปินส์ ที่ใช้ AI พยากรณ์พื้นที่ที่ระบบสื่อสารจะล่มจากพายุไต้ฝุ่น ทำให้สามารถเตรียมการล่วงหน้าและลดความเสียหายได้

 

ด้านอโณทัย ย้ำหลักการสำคัญคือการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงตั้งเป้าช่วยเหลือกลุ่ม Underserved อย่างน้อย 2 ล้านคนภายใน 3 ปี ผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในอาเซียน เพื่อวิจัย GPU-less AI ที่ใช้พลังงานต่ำ รวมถึงโครงการ ASEAN-specific Geospatial Model นำโมเดลภูมิสารสนเทศ (Geospatial) ที่พัฒนาร่วมกับ NASA มาต่อยอดโดยใส่องค์ความรู้เฉพาะทางของท้องถิ่น (Domain Knowledge) เข้าไป เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปัญหาระดับภูมิภาคอย่าง PM 2.5 และการจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ดร.โกเมษบอกว่า การทำเพื่อสังคมสามารถมองในระดับปัจเจกบุคคลผ่านการพัฒนา Human Capital ด้วยการเอาคนเรียนเป็นศูนย์กลาง องค์กรขนาดใหญ่ต้องแบ่งปันความรู้ด้าน AI สู่สังคมภายนอก โดยปรับเนื้อหาและเครื่องมือให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละกลุ่ม ควบคู่ไปกับการสร้างชุมชนที่แข็งแกร่ง เพื่อเชื่อมโยงให้นักพัฒนาชาวไทยได้เข้าถึงเทคโนโลยีระดับโลก และนำมาใช้แก้ปัญหาให้กับธุรกิจขนาดเล็กในประเทศ

 

 

‘Cyborg Intelligence’ แก่นแท้ของปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี

 

“ที่ MIT เราไม่ได้สนใจแค่ AI แต่เรายังสนใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี เพราะสิ่งนี้คือตัวกำหนดว่าเราจะได้ Super Intelligence หรือ Super Stupidity” 

 

ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร Assistant Professor of Media Arts and Sciences ของ MIT Media Lab และ Co-director แห่งโปรแกรมวิจัย Advancing Humans with AI (AHA) พาผู้ฟังทุกคนไปรู้จักแนวคิด ‘Cyborg Intelligence’ ที่มองมนุษย์และ AI เป็นระบบสติปัญญาที่หลอมรวมกัน

 

ดร.พัทน์ บอกว่าหัวใจหลักของแนวคิด Cyborg Intelligence คือ การสร้าง (Invent), สำรวจ (Investigate), และจุดประกาย (Inspire) ซึ่งงานวิจัยของเขาและทีม MIT Media Lab ก็พัฒนาบนแนวทางนี้เช่นกัน 

 

เขายกตัวอย่าง Invent การสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ผนวกมนุษย์และ AI ให้กลายเป็นเครื่องมือที่ทลายเส้นแบ่งระหว่างความคิดของมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ อย่าง Future You โปรเจกต์ที่พัฒนาร่วมกับ KBTG และคว้ารางวัลระดับโลกอย่าง World Changing Ideas 2025 ที่ใช้ Generative AI สร้างตัวตนของเราในเวอร์ชันอนาคตมาพูดคุยกับตัวเราในปัจจุบัน ผลการวิจัยเชิงจิตวิทยาพบว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับตัวเองในอนาคตช่วยเพิ่ม Future Self-Continuity หรือความรู้สึกเชื่อมโยงกับอนาคต ทำให้ผู้คนเริ่มคิดถึงการวางแผนระยะยาวมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

หรือ Large Human Model (LHM) การสร้างโมเดลที่เข้าใจและทำนายมิติของมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมถึง ‘Talk to the Hand’ อีกหนึ่งความร่วมมือกับ KBTG เพื่อปฏิวัติ User Interface (UI) ให้ AI เป็นเหมือนผู้ช่วยที่ปรากฏตัวบนหน้าจอหรือ เมาส์อีกอัน ที่สามารถชี้ วง และให้คอมเมนต์บนงานของผู้ใช้ได้โดยตรง 

 

“ตอนนี้เรากำลังถอดรหัสวงจรประสาท AI (Neural Circuit Tracing) เป็นการเจาะลึกเข้าไปในกล่องดำของ AI เพื่อค้นหาสิ่งที่เรียกว่า ‘Empathy Circuit’ หรือวงจรที่ทำให้ AI สามารถแสดงพฤติกรรมที่เห็นอกเห็นใจได้” 

 

แกนของการจุดประกาย (Inspire) ดร.พัทน์ ยกตัวอย่างโปรเจกต์ ‘AI x นาฏศิลป์ไทย’ ที่ทำร่วมกับ พิเชษฐ กลั่นชื่น ศิลปินแห่งชาติของไทย โดยการใช้ AI ถอดรหัสท่ารำแม่บทใหญ่ออกมาเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน แล้วนำมาประกอบสร้างใหม่ (Reconstruct) เพื่อสร้างสรรค์ท่ารำที่ไม่เคยมีมาก่อนแต่ยังคงรากเหง้าของวัฒนธรรมดั้งเดิมครบถ้วน 

 

ส่วนการสำรวจ (Investigate) เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ใหม่ในยุค Cyborg การสำรวจผลกระทบ เช่น ศึกษาสุขภาพจิตของคนที่มีแฟนเป็น AI คำถามที่นำไปสู่ความร่วมมือกับ OpenAI ในการทำการทดลองขนาดใหญ่ (Large-scale randomized control trial) เพื่อศึกษาผลกระทบของ AI ต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้คน 

 

ข้อมูลจากการวิจัยเหล่านี้ทำให้เขาและนักวิจัยจาก Google, DeepMind, Microsoft, Stanford, Harvard ร่วมกันสร้างมาตรฐานการวัดผล AI ใหม่ ที่ไม่ได้วัดแค่ความแม่นยำแต่จะวัดว่า “AI ช่วยให้มนุษย์เติบโตและเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นได้หรือไม่” ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของวงการ AI ทั้งหมด

 

“สิ่งที่น่ายินดีคือ งานวิจัยเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริง โดยถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการให้คำแนะนำด้านนโยบายทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการร่างกฎหมายในรัฐแคลิฟอร์เนียที่กำหนดให้แพลตฟอร์ม AI ต้องมีกลไกป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตายของผู้ใช้งาน” 

 

ดร.พัทน์ บอกว่าเป้าหมายสูงสุดไม่ใช่แค่การสร้าง AI ที่ฉลาดขึ้น แต่คือการสร้างมาตรฐานใหม่ที่วัดผลว่า AI ช่วยให้มนุษย์เติบโตและเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นได้อย่างไร

 

 

Community Circle ล้อมวงสนทนากับ 10 คอมมูนิตี้สายเทค 

 

โซนใหม่ของงานในปีนี้ที่ไม่ต้องกวักมือเรียกคนสายเทคก็พร้อมใจกันนั่งล้อมวงพร้อมแชร์ไอเดีย อัปเดตเทรนด์ ต่อยอดองค์ความรู้ และอัปสกิลใหม่ๆ ไปด้วยกันใน 9 เซสชัน

  

หลายประเด็นน่าสนใจและน่าเอาไปคิดต่อ อย่างเซสชันของ ทอย DataRockie ที่ชวนคิดว่าเราเอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลงต้องปรับตัวหรือเปลี่ยนมุมคิดอย่างไร?  ในวันที่ AI จะเก่งขึ้นทุกวัน เพราะมันกำลังถูกฝึกให้เหนือกว่าคนที่เก่งที่สุดในโลก เราอาจต้องเปลี่ยนจากคำถามที่ว่า จะหางานทำยังไง เป็นเราจะสร้างคุณค่าให้ตัวเองยังไง

 

“ทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ เช่น ถ้า 95% ไม่อ่านหนังสือ ให้เราเป็น 5% ที่อ่านหนังสือ และมองโลกให้เป็นเหมือนสนามเด็กเล่น อย่าตีกรอบตัวเองแค่ในประเทศไทย ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ AI แต่คือคนที่มีอำนาจในการใช้ AI”

 

และถ้าคุณคิดจะเป็นทีมเดียวกับ AI จับมือทำงานร่วมกัน คุณกับ AI ควรจะยืนอยู่ตรงไหนในโลกการทำงานยุคนี้? เซสชันที่ ภัทรภูมิ เติงจันต๊ะ เจ้าของเพจ Prompt Alchemist และ โชค วิศวโยธิน เจ้าของกลุ่ม AI เพื่อธุรกิจและสังคม และ CEO The Magic Wand AI แชร์ประสบการณ์และยกเคสเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพว่าจับมือทำงานกับ AI จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าขนาดไหน อาทิ การใช้ AI Image, AI Video, AI Editing ในการสร้างภาพ สร้างงานโฆษณา ภายในเวลาไม่กี่วินาที

 

สรุปง่ายๆ อะไรที่ AI ทำได้ให้มันทำ หน้าที่ของเราคือทำสิ่งที่ AI แทนที่ไม่ได้ เช่น ดีไซน์ท่าเต้น ออกแบบเสื้อผ้า มันคือการสร้างแบรนด์ดิ้ง สร้างตัวตน สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง แล้วให้ AI เป็นเครื่องมือขยายศักยภาพของคุณ เปรียบเทียบ AI คือรถ แต่คนที่จะกำหนดจุดหมายปลายทางและทำหน้าที่ขับคือเรา

 

 

ส่องนวัตกรรม AI สุดเจ๋ง โซน Showcase Exhibition

 

โซน Showcase Exhibition ที่โชว์โปรเจกต์สุดเจ๋งจากองค์กรชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น AWS, Google Cloud, Huawei, IBM และโซลูชันสุดล้ำมากมายจากทั้งในเครือ KBTG และพาร์ตเนอร์องค์กรชั้นนำต่างๆ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ โปรดักส์ที่ทีม KBTG Labs ที่พัฒนาร่วมกับ MIT Media Lab อย่าง Talk to the Hand ระบบ AI สำหรับช่วยเหลือผู้ใช้บนหน้าจอ มีลักษณะเป็นตัวชี้เมาส์อีกอันที่ทำงานคู่กับเมาส์ของผู้ใช้ โดยระบบจะช่วยให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะทั้งในระหว่างที่ผู้ใช้ทำงานอยู่บนหน้าจอหรือเป็นการตอบคำถามผ่านการแชท หรือ KooKid (คู่คิด) AI Thought Partners หรือผู้ร่วมคิดผู้ให้คำปรึกษา คำแนะนำผ่าน AI คาแรกเตอร์ช้างคะน้า และ คชา ที่ถูกเทรนให้มีบุคลิกต่างกัน เพื่อตอบคำถามด้านการเงินการลงทุนในมุมมองที่แตกต่างกัน บนข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อประกอบการตัดสินในของผู้ใช้งาน

  

ถ้าสปีดการเดินทางของ AI มีแนวโน้วว่าจะเร็วและเจ๋งกว่านี้ รอดูเลยว่าปีหน้า KBTG Techtopia จะกลับมาภายใต้คอนเซปต์อะไร

The post ผู้นำด้าน AI ระดับโลกเดินเกมอย่างไร? ในวันที่ ‘มนุษย์และ AI ต้องผนึกกำลังกัน’ บทสรุปจากงาน KBTG Techtopia: At World’s Beginning [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาสิโนมาเก๊าโกยรายได้เดือน ส.ค. พุ่ง 12% นักท่องเที่ยวพรีเมียมพุ่งหนุนตลาดคึกคัก https://thestandard.co/macau-casino-revenue-august/ Sun, 07 Sep 2025 05:07:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1116434 นักท่องเที่ยวเดินทางเข้า คาสิโน มาเก๊า ช่วงฤดูร้อน ส่งผลให้รายได้คาสิโนพุ่ง 12%

Macau Gaming Inspection and Coordination Bureau (DICJ) […]

The post คาสิโนมาเก๊าโกยรายได้เดือน ส.ค. พุ่ง 12% นักท่องเที่ยวพรีเมียมพุ่งหนุนตลาดคึกคัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักท่องเที่ยวเดินทางเข้า คาสิโน มาเก๊า ช่วงฤดูร้อน ส่งผลให้รายได้คาสิโนพุ่ง 12%

Macau Gaming Inspection and Coordination Bureau (DICJ) รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม รายได้จากการเล่นคาสิโนของมาเก๊าเพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านปาตากา (ราว 2.8 พันล้านดอลลาร์) สะท้อนถึงการฟื้นตัวกลับมาได้ถึง 91% ของระดับก่อนโควิดในปี 2019 และตัวเลขนี้ยังสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เล็กน้อย

 

ขณะเดียวกัน การเติบโตดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่มาเก๊าเพิ่งผ่านฤดูร้อน ที่มีนักท่องเที่ยวคึกคักที่สุดนับตั้งแต่โควิด โดยได้แรงหนุนจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของเมือง ทำให้ผู้ประกอบการรีสอร์ตคาสิโนจัดกิจกรรม ทั้งคอนเสิร์ต การแสดงละครเวที และการแข่งขันกีฬาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่ช่วยดึงดูด คือ งานประกาศรางวัลระดับโลกของ Tencent Music Entertainment Group ที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีศิลปินชื่อดังจากเกาหลีใต้และจีนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง โดย จอร์จ ชอย นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า เหตุการณ์นี้มีส่วนช่วยหนุนการเดินทางของนักท่องเที่ยวเข้าสู่มาเก๊าอย่างเห็นได้ชัด

 

ทั้งนี้คาดว่าภาคการท่องเที่ยวมาเก๊าจะมีความคึกคักไปต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเกือบ 3.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 98% ส่วนสถิติของเดือนสิงหาคม ทางการจะเปิดเผยในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะยังสะท้อนความแข็งแกร่งของตลาดท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

 

ด้านผู้ประกอบการคาสิโน ยังเดินหน้าลงทุนเพิ่ม ไม่เพียงแค่ขยายกิจกรรมบันเทิง แต่ยังเพิ่มจำนวนห้องพักโรงแรมหรู เพื่อเจาะกลุ่มนักพนันพรีเมียม ขณะที่ผลสำรวจของซิตี้กรุ๊ปเมื่อต้นเดือนสิงหาคมพบว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหนึ่งผู้เล่นเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน แม้จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มแมสที่เดิมพันน้อยกว่าอาจเพิ่มสัดส่วนในตลาด แต่ความต้องการของนักพนันระดับพรีเมียมยังคงแข็งแกร่ง

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้า มาเก๊ายังมีฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญรออยู่ โดยเฉพาะวันหยุดยาวในวันชาติของจีน ที่จะเกิดขึ้นในต้นเดือนตุลาคม ประเมินว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนสำคัญต่อรายได้ ส่วนแนวโน้มระยะกลางและระยะยาวยังขึ้นอยู่กับ นโยบายการเดินทางของจีน มาตรการควบคุมชายแดน รวมถึงบรรยากาศความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดัน

 

ภาพ: Anthony Kwan/Getty Images

อ้างอิง:

The post คาสิโนมาเก๊าโกยรายได้เดือน ส.ค. พุ่ง 12% นักท่องเที่ยวพรีเมียมพุ่งหนุนตลาดคึกคัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์เปิดทำเนียบขาวต้อนรับผู้นำบิ๊กเทคฯ ประกาศหนุน Apple – Google – Microsoft ทุ่มลงทุน AI ดันดาต้าเซ็นเตอร์-สร้างงานใหม่ ตอกย้ำสหรัฐฯ ผู้นำโลกเทคโนโลยี https://thestandard.co/trump-tech-ai-investment/ Sun, 07 Sep 2025 05:03:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1116405 โดนัลด์ ทรัมป์ ประชุมกับซีอีโอ Apple, Google, Microsoft ที่ทำเนียบขาวเพื่อสนับสนุนการลงทุน AI

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดทำเนียบขาว ต้ […]

The post ทรัมป์เปิดทำเนียบขาวต้อนรับผู้นำบิ๊กเทคฯ ประกาศหนุน Apple – Google – Microsoft ทุ่มลงทุน AI ดันดาต้าเซ็นเตอร์-สร้างงานใหม่ ตอกย้ำสหรัฐฯ ผู้นำโลกเทคโนโลยี appeared first on THE STANDARD.

]]>
โดนัลด์ ทรัมป์ ประชุมกับซีอีโอ Apple, Google, Microsoft ที่ทำเนียบขาวเพื่อสนับสนุนการลงทุน AI

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดทำเนียบขาว ต้อนรับบรรดาซีอีโอบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ ทั้ง Apple, Google และ Microsoft เพื่อเน้นย้ำความสำเร็จของภาคเทคโนโลยี พร้อมยืนยันรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน ทั้งการอำนวยความสะดวกด้านพลังงาน ใบอนุญาต และการสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่บริษัทเทคฯ เตรียมทุ่มลงทุนรวมหลายแสนล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานและศูนย์ข้อมูล ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานจำนวนมหาศาล และตอกย้ำความเป็นผู้นำโลกด้าน AI ของสหรัฐฯ

 

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จัดการประชุมกับผู้นำอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยมี มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ Meta, บิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ก่อตั้ง Microsoft, ทิม คุก (Tim Cook) ซีอีโอของ Apple, สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ซีอีโอของ Microsoft, แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI และเซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) ผู้ก่อตั้ง Google เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ทำเนียบขาว และพูดคุยเพื่อเสริมบทบาทความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและ AI ของสหรัฐอเมริกา 

 

ซึ่งประธานาธิบดีได้กล่าวชื่นชมถึงความอัจฉริยะและความสำเร็จของบริษัทเหล่านี้ พร้อมย้ำว่านี่คือ ‘ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ’ สำหรับสหรัฐฯ และโลก ในการก้าวเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI)

 

การลงทุนมหาศาลของบริษัทยักษ์ใหญ่

 

ระหว่างบทสนทนาบนโต๊ะอาหารที่ถูกจัดขึ้นในทำเนียบขาว บริษัทเทคฯ ชั้นนำ ได้กล่าวถึงแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ดังนี้ 

 

  • Apple ประกาศแผนลงทุน 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในประเทศ
  • Google จะลงทุน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า
  • Microsoft ลงทุนเฉลี่ยปีละ 7.5-8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสหรัฐฯ

 

นอกจากนี้ ยังมีบริษัท AI เกิดใหม่ที่จะลงทุนเพิ่มเติม อีกหลายแสนล้านดอลลาร์

 

ภาพรวมทั้งหมด คาดว่าจะผลักดันเม็ดเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ สูงถึง อย่างน้อย 6 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2028

 

การลงทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และโครงสร้างพื้นฐาน AI ซึ่งถูกมองว่าเป็น ‘วังแห่งอัจฉริยะ’ (the palaces of genius) ของยุคใหม่ และถือเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจมีมูลค่ามากกว่าโครงการอะพอลโลถึง 10 เท่า

 

ผลักดันเศรษฐกิจและการจ้างงาน

 

ทรัมป์ระบุว่าโครงการดังกล่าวไม่เพียงแต่จะทำให้สหรัฐฯ ครองความเป็นผู้นำด้าน AI แต่ยังสร้างงานมหาศาลในภาคการก่อสร้าง วิศวกรรม และแรงงานฝีมือ โดยคาดว่าจะเป็นการจ้างงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

 

ขณะเดียวกัน ซีอีโอได้กล่าวชื่นชมรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนบทบาทจาก ‘ผู้คุมกฎ’ มาเป็น ‘ผู้สนับสนุน’ ผ่านการอำนวยความสะดวกเรื่องการขอใบอนุญาต การจัดหาพลังงาน และการลดอุปสรรคทางธุรกิจ โดยยังมีการผลักดัน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็น ‘สมอง’ ของ AI ทั้งหมด ผ่านมาตรการจูงใจและพิจารณาเก็บ ภาษีนำเข้า จากบริษัทต่างชาติที่ไม่ยอมสร้างโรงงานในประเทศ

 

ส่องวิสัยทัศน์ผู้นำโลกด้าน AI

 

ผู้นำเทคโนโลยีและทรัมป์ ต่างเห็นพ้องว่าสหรัฐฯ มีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำโลกในด้าน AI ด้วยบุคลากรที่เก่งที่สุดและเทคโนโลยีที่คู่แข่งไม่สามารถเลียนแบบได้ พร้อมกันนี้ยังได้หยิบยกประเด็นการใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาสังคมและสุขภาพ ตั้งแต่การรักษาโรคโปลิโอ, HIV ไปจนถึงโรคโลหิตจางเม็ดเลือดแดงรูปเคียว รวมถึงการขยายบริการทางการแพทย์สู่แอฟริกา และการพัฒนาโอกาสการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน

 

การประชุมครั้งนี้ตอกย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ มุ่งมั่นที่จะผลักดันอุตสาหกรรม AI ให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ชาติ โดยอาศัยการลงทุนระดับใหญ่เป็นประวัติการณ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ และการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อเสริมสร้างความเป็นผู้นำโลกด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระยะยาว

 

อ้างอิง:

The post ทรัมป์เปิดทำเนียบขาวต้อนรับผู้นำบิ๊กเทคฯ ประกาศหนุน Apple – Google – Microsoft ทุ่มลงทุน AI ดันดาต้าเซ็นเตอร์-สร้างงานใหม่ ตอกย้ำสหรัฐฯ ผู้นำโลกเทคโนโลยี appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก ‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’ จากอดีตลูกหม้อ ปตท. สู่ว่าที่ รมว. พลังงาน ครม. อนุทิน 1 https://thestandard.co/auttapol-rerkpiboon-energy-minister-profile/ Sun, 07 Sep 2025 02:42:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1116394 อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. ว่าที่ รมว.พลังงาน ครม. อนุทิน 1

หลังจากปรากฏภาพอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นั่งรับประทานกาแฟและท […]

The post รู้จัก ‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’ จากอดีตลูกหม้อ ปตท. สู่ว่าที่ รมว. พลังงาน ครม. อนุทิน 1 appeared first on THE STANDARD.

]]>
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. ว่าที่ รมว.พลังงาน ครม. อนุทิน 1

หลังจากปรากฏภาพอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นั่งรับประทานกาแฟและทานเค้กส้มร่วมกับอนุทินภายในร้านกาแฟใต้ตึกที่ทำการพรรคภูมิใจไทยล่าสุด เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ได้ถูกทาบทามให้รับตำแหน่ง รมว. พลังงานในคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุทิน 1 ตามโควตาคนนอก

 

 

อรรถพล ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงพลังงานมายาวนาน โดยเฉพาะในฐานะ อดีตซีอีโอ และผู้บริหารระดับสูงของกลุ่ม ปตท. (PTT) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานขนาดใหญ่ของประเทศ

 

THE STANDARD WEALTH พาไปทำความรู้จักโปรไฟล์ เส้นทางอาชีพ และวิสัยทัศน์ของเขา ก่อนก้าวเข้าสู่สนามการเมือง

 

ย้อนไปเมื่อปี 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติแต่งตั้งอรรถพล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. เข้ารับตำแหน่ง CEO ปตท. คนที่ 10 ต่อจากชาญศิลป์ ตรีนุชกร ที่หมดวาระเกษียณ กระทั่งครบวาระและส่งไม้ต่อ ‘ดร. คงกระพัน อินทรแจ้ง’ CEO ปตท. คนปัจจุบัน 

 

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ชื่อเล่น ‘โด่ง’ 

 

เกิดวันที่ 19 กรกฎาคม 2508 อายุ 60 ปี ถือเป็นลูกหม้อที่ทำงานในองค์กรอย่าง ปตท. มายาวนานกว่า 35 ปี 

 

เคยกำกับดูแลในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในเครือ ปตท. หลายตำแหน่ง ทั้งธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและการค้าปลีก รวมไปถึงบริษัทย่อยในเครือ ปตท. ทั้ง บมจ. ไออาร์พีซี บมจ. ไทยออยล์ บมจ. พีทีที โกลบอลเคมิคอล และ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ช่วงวิกฤต ก้าวสำคัญสู่ปีที่ 41 ของ ปตท. ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จากสถานการณ์ โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อธุรกิจต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจพลังงาน การเข้ารับตำแหน่งในครั้งนั้นจึงถือเป็นภารกิจพิสูจน์ฝีมือ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ไม่น้อย

 

  •  เปิดประวัติการศึกษา

 

    • วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    • เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
    • Diploma of Petroleum Management, College of Petroleum Studies, Oxford, England (ได้รับทุนการศึกษาจาก British Council)

 

  • ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา

 

    • ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย
    • รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน
    • รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารความยั่งยืนและวิศวกรรมโครงการ
    • ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดขายปลีก
    • ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดพาณิชย์และต่างประเทศ
    • ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม
    • ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
    • กรรมการ ประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
    • คณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย
    • อุปนายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย
    • นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย
    • ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมนักศึกษาเก่า สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์
    • ประธานกรรมการ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินอล จำกัด
    • อนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารและการกำกับกิจการพลังงานและทรัพยากรปิโตรเลียมในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)
    • คณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing)
    • กรรมการมูลนิธิพลังที่ยั่งยืน
    • นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ (สนจ.) ประจำปี 2566-2568
    • คณะกรรมการสานพลังประชารัฐด้านการส่งเสริมธุรกิจการค้า ธุรกิจบริการและการลงทุนในต่างประเทศ
    • ประธานกรรมการบริษัท PTT Cambodia Limited
    • ประธานกรรมการบริษัท Subic Bay Energy Company Limited (Philippines)
    • ประธานกรรมการบริษัท PTT Lao Company Limited

 

ผลงานขณะนั่งซีอีโอ ปตท. 4 ปี 

 

‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’ สร้างผลงาน ขณะนั่งซีอีโอ ปตท. 4 ปี สร้างกำไรกว่าแสนล้าน วิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond ‘ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต’ ผ่านกลยุทธ์ PTT by PTT 

 

PTT by PTT ซึ่งมาจาก P : partnership and platform ,T : technology for all และT : transparency and sustainability เพื่อต่อยอด พัฒนา และขยายเข้าสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง ตามทิศทางโลก 6 ด้าน ประกอบด้วย

 

  • New Energy ธุรกิจด้านพลังงานใหม่
  • Life Sciences ธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับมนุษย์
  • Mobility & Lifestyle ธุรกิจที่เกี่ยวกับความคล่องตัวและไลฟ์สไตล์ เริ่มจากสถานีน้ำมัน จะต้องไม่ใช่สถานที่ที่เติมน้ำมันอีกต่อไปเพียงอย่างเดียว
  • High Value Business การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมให้สามารถสร้างมูลค่าสูง
  • Logistics โลจิสติกส์ สร้างธุรกิจใหม่ของปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ให้ความสำคัญกับธุรกิจแพลตฟอร์ม e-Commerce มากยิ่งขึ้น จากธุรกิจแบบ Business-to-Business (B2B) ต่อยอดธุรกิจ Business-to-Customer (B2C)
  • AI & Robotics การพัฒนาธุรกิจด้านระบบปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ รวมถึงระบบอัตโนมัติ

 

ผลงานในการสร้างการเติบโตให้กับ ปตท. ทางด้านรายได้ อรรถพลก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยทำให้ ปตท. เพิ่มกำไรสุทธิจากปี 2563 อยู่ที่ 37,766 ล้าน เป็น 108,363 ล้านบาท ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 70,597 ล้านบาท หรือมากกว่า 100% จากในปี 2563

 

นอกจากนี้อรรถพล ยังได้เริ่มพัฒนา ‘ธุรกิจใหม่’ ที่ไกลกว่าพลังงาน ตามวิสัยทัศน์ Powering life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต เช่น ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

The post รู้จัก ‘อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์’ จากอดีตลูกหม้อ ปตท. สู่ว่าที่ รมว. พลังงาน ครม. อนุทิน 1 appeared first on THE STANDARD.

]]>