Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 25 Nov 2025 14:12:28 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 25 ปี นิตยาไก่ย่าง! ปั้นรายได้แตะพันล้านด้วย Data ทายาทรุ่น 2 เผยเคล็ดลับ ‘สาขา Standalone’ ทำเงินสูงสุด https://thestandard.co/25-years-nittaya-kaiyang/ Tue, 25 Nov 2025 14:12:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1147559 25 ปี นิตยาไก่ย่าง

ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารไทย-อีสานที่มีมูลค่าตลาดมหาศาลยังค […]

The post 25 ปี นิตยาไก่ย่าง! ปั้นรายได้แตะพันล้านด้วย Data ทายาทรุ่น 2 เผยเคล็ดลับ ‘สาขา Standalone’ ทำเงินสูงสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
25 ปี นิตยาไก่ย่าง

ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารไทย-อีสานที่มีมูลค่าตลาดมหาศาลยังคงเป็นสมรภูมิที่มีการแข่งขันสูง ท่ามกลางผู้เล่นที่เข้ามาและออกไป มีหนึ่งแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจมานานถึง 25 ปีนั้นคือ ‘นิตยาไก่ย่าง’

 

แม้เศรษฐกิจจะผันผวนแต่ นิตยาไก่ย่างระบุว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 628 ล้านบาทในปี 2564 สู่ระดับ 986 ล้านบาทในปี 2567 คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 56.9% ภายในระยะเวลา 4 ปี และตั้งเป้าหมายรายได้แตะ 1,000 ล้านบาทภายในปี 2568 ภายใต้การบริหารงานของทายาทรุ่นที่ 2 ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการจากธุรกิจครอบครัวสู่ความเป็นมืออาชีพด้วยการใช้ข้อมูล (Data-Driven) เป็นแกนหลัก

 

ภเดช กันตจินดา กรรมการบริหาร ร้านนิตยาไก่ย่าง ระบุว่า ความท้าทายของการเข้ามารับช่วงต่อคือการเปลี่ยนการตัดสินใจที่เคยใช้สัญชาตญาณมาเป็นการใช้ข้อมูลจริงจากระบบ POS และ CRM โดยปัจจุบันฐานสมาชิกของนิตยาไก่ย่างอยู่ที่ประมาณ 200,000 ราย และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 250,000 รายภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อวางกลยุทธ์ธุรกิจ

 

จากการวิเคราะห์ข้อมูลการขายพบอินไซต์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายในแต่ละทำเล โดยค่าเฉลี่ยยอดใช้จ่ายต่อบิลของภาพรวมอยู่ที่ 800-900 บาท แต่หากเจาะลึกรายรูปแบบสาขาจะพบว่าสาขาประเภท ‘Standalone’ มียอดใช้จ่ายต่อบิลสูงที่สุดเฉลี่ย 1,000-1,100 บาท เนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวใหญ่ รองลงมาคือสาขาในห้างสรรพสินค้า และสาขาในสถานีบริการน้ำมันตามลำดับ

 

ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนไปยังสาขาที่มียอดขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สาขาประชานุกูล, สาขาพระนั่งเกล้า และสาขาประชาชื่น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสาขา Standalone ที่มีพื้นที่ขายขนาดใหญ่ ทำให้เห็นว่าโมเดลร้านขนาดใหญ่ที่รองรับกลุ่มครอบครัวยังคงเป็นจุดแข็งสำคัญของแบรนด์ในการสร้างรายได้

 

ปัจจุบันนิตยาไก่ย่างมีสาขาให้บริการทั้งสิ้น 31 สาขา ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยความสำเร็จของสาขาเหล่านี้มาจากการวางกลยุทธ์การเลือกทำเล (Location Strategy) ที่ชัดเจนและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า โดยการเลือกทำเลที่มีที่จอดรถกว้างขวางและเส้นทางเข้า-ออกชัดเจน เพื่อรองรับลูกค้าที่ส่วนใหญ่มาเป็นกลุ่มและใช้เวลารับประทานอาหารนาน

 

อีกทั้งการเน้นตั้งอยู่บนถนนเส้น ‘ขาออกเมือง’ เป็นหลัก เนื่องจากผู้คนในฝั่งขาออกมักไม่เร่งรีบเท่ากับฝั่งขาเข้าเมือง จึงมีโอกาสแวะทานอาหารได้ตลอดทั้งวันและใช้เวลาที่มีคุณภาพได้มากกว่า

 

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเลือกเปิดสาขาใน ‘แหล่งชุมชน’ ที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น แทนการเปิดในย่านออฟฟิศ เพราะย่านออฟฟิศมักขายดีเฉพาะช่วงพักเที่ยงและเป็นมื้อเร่งด่วนที่ทานคนเดียว แต่ในย่านชุมชน ลูกค้ามีเวลายืดหยุ่นกว่าและมักมาเป็นครอบครัว

 

จุดนี้เองทำให้มูลค่าต่อโต๊ะสูงกว่าและมีการหมุนเวียนโต๊ะ (Table Turnover) เฉลี่ยสูงถึง 4 รอบต่อวัน ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางออนไลน์และเดลิเวอรีให้ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมสั่งอาหารไปทานที่บ้าน

 

สำหรับทิศทางการขยายธุรกิจในปี 2569 ภเดชเปิดเผยว่า วางแผนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 1-2 สาขา โดยใช้งบลงทุนเฉลี่ยต่อสาขาอยู่ที่ 10 ล้านบาท ทำเลเป้าหมายที่อาจเป็นไปได้คือโซนภาคตะวันออก เช่น จังหวัดชลบุรีและระยอง หลังจากเพิ่งไปเปิดสาขาต่างจังหวัดสาขาแรก ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีการตอบรับที่ดี

 

อย่างไรก็ตาม แผนการนี้ยังต้องพิจารณาตามความชัดเจนของสภาวะเศรษฐกิจ หากเป็นช่วงเศรษฐกิจปกติ บริษัทจะมีศักยภาพในการเปิดสาขาใหม่ได้ถึง 3-4 สาขาต่อปี แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงปรับกลยุทธ์เน้นการคัดเลือกทำเลอย่างระมัดระวังที่สุด

 

“ในเรื่องการลงทุน ต้องยอมรับว่าด้วยสภาพเศรษฐกิจในช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เราอาจจะไม่ได้ขยายสาขาเยอะเหมือนช่วงที่ผ่านมา ความท้าทายปัจจุบันคือการ Maintain ยอดขายของสาขาเดิมให้ได้” ภเดชกล่าว

 

นอกจากการเปิดสาขาใหม่ นิตยาไก่จึงให้ความสำคัญกับการรีโนเวทสาขาเดิมควบคู่กัน โดยใช้งบประมาณเทียบเท่ากับการเปิดสาขาใหม่ เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้วในหลายสาขา เช่น รังสิต และซอยสายลม

 

ในส่วนของแผนการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ นิตยาไก่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้และเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยยอมรับว่าที่ผ่านมายังไม่มีความพร้อม แต่ปัจจุบันเริ่มมีการศึกษาข้อมูลจริงจังว่าจะเริ่มต้นที่ประเทศใด เนื่องจากมีความต้องการจากฐานลูกค้าชาวต่างชาติที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคผู้ก่อตั้ง

 

นอกจากธุรกิจร้านอาหาร (Dine-in) แล้ว นิตยาไก่ย่างยังได้เริ่มรุกตลาด ‘Catering’ หรือธุรกิจจัดเลี้ยงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างช่องทางรายได้ใหม่ (New Revenue Stream) นอกเหนือจากการพึ่งพายอดขายหน้าร้านและเดลิเวอรี โดยบริการนี้ครอบคลุมตั้งแต่งานทำบุญ งานศพ ไปจนถึงงานเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งแม้สัดส่วนรายได้จะยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับพอร์ตโฟลิโอรวม แต่มีอัตราการเติบโตที่ชัดเจนและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือน

 

ด้านการพัฒนาโปรดักต์ แบรนด์ได้จัดตั้งแผนก R&D เพื่อพัฒนาเมนูใหม่ทุก 4-5 เดือน โดยใช้กลยุทธ์แก้ ‘Pain Point’ ของลูกค้า ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือเมนูสะโพกไก่ย่างเกลือ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มครอบครัวที่มีเด็กและผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดทานไก่ติดกระดูก จนปัจจุบันกลายเป็นเมนูขายดีอันดับ 2 ของร้าน รองจากไก่ย่างสูตรต้นตำรับ

 

รวีรัตน์ ลักษณวิสิษฐ์ ผู้ก่อตั้ง ย้ำจุดยืนทางธุรกิจว่า นิตยาไก่ย่างยังคงมุ่งเน้นความเป็น ‘Winning Zone’ หรืออาหารรสชาติมหาชนที่ทานได้ทุกวัน (Comfort Food) โดยไม่ได้เน้นความจัดจ้านจนเกินไปเหมือนร้านอาหารอีสานสมัยใหม่ แต่เน้นความกลมกล่อมและคุณภาพวัตถุดิบ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แบรนด์สามารถรักษาฐานลูกค้าและสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนตลอด 25 ปี

The post 25 ปี นิตยาไก่ย่าง! ปั้นรายได้แตะพันล้านด้วย Data ทายาทรุ่น 2 เผยเคล็ดลับ ‘สาขา Standalone’ ทำเงินสูงสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
BJC เผย ยอดขายค้าปลีก Q3 หดตัวจากท่องเที่ยวชะลอตัว-ฐานปีก่อนสูง แต่ยังเดินหน้าเปิดบิ๊กซี มินิ เพิ่มอีก 20 สาขา https://thestandard.co/bjc-reveals-q3-retail-sales/ Tue, 25 Nov 2025 05:19:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1147223 BJC เผย ยอดขายค้าปลีก Q3 หดตัวจากท่องเที่ยวชะลอตัว-ฐานปีก่อนสูง แต่ยังเดินหน้าเปิดบิ๊กซี มินิ เพิ่มอีก 20 สาขา

BJC เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ทำรายได้รวม 40,123 ล […]

The post BJC เผย ยอดขายค้าปลีก Q3 หดตัวจากท่องเที่ยวชะลอตัว-ฐานปีก่อนสูง แต่ยังเดินหน้าเปิดบิ๊กซี มินิ เพิ่มอีก 20 สาขา appeared first on THE STANDARD.

]]>
BJC เผย ยอดขายค้าปลีก Q3 หดตัวจากท่องเที่ยวชะลอตัว-ฐานปีก่อนสูง แต่ยังเดินหน้าเปิดบิ๊กซี มินิ เพิ่มอีก 20 สาขา

BJC เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ทำรายได้รวม 40,123 ล้านบาท รวมรายได้สะสมในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 123,529 ล้านบาท แม้ตัวเลขดังกล่าวจะปรับลดลง 4.0% และ 2.5% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่หลายกลุ่มธุรกิจยังสามารถรักษาการเติบโตด้านกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจบรรจุภัณฑ์ อุปโภคบริโภค และเวชภัณฑ์ สะท้อนความแข็งแกร่งของการบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์ และการพัฒนาพอร์ตสินค้าให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนในระยะยาว

 

ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) กล่าวว่า บริษัทได้เปิดพื้นที่ให้นักวิเคราะห์เยี่ยมชมศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ ซึ่งถือเป็นศูนย์ฯ ขนาดใหญ่ที่สุดของธุรกิจค้าปลีกในเครือ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 89,332 ตารางเมตร ออกแบบด้วยแนวคิด Built-to-Suit รองรับการบริหารจัดการสินค้าขาเข้า–ขาออกอย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมเผยผลประกอบการรายกลุ่ม โดยธุรกิจสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ยังคงสร้างการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 23.2% และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี 18.1% เพิ่มขึ้น 120 และ 229 bps ตามลำดับจากปีก่อน ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากราคาวัตถุดิบสำคัญโซดาแอช เศษแก้ว และก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง รวมถึงประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว

 

ในส่วนของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ยังคงเติบโต โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 19.5% และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีอยู่ที่ 7.0% จากการออกสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น และการยกระดับประสิทธิภาพการผลิต

 

สำหรับธุรกิจสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค มีผลการดำเนินงานโดดเด่นเกินคาด โดยอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 35.4% และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีอยู่ที่ 16.0% เพิ่มขึ้นกว่า 400 bps จากการปรับพอร์ตสินค้าและบริการให้เหมาะสม รวมถึงการยุติการดำเนินงานของบริษัท ไทยสแกนดิคสตีล ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพโดยรวมของกลุ่มธุรกิจ

 

ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ทำยอดขายในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 27,297 ล้านบาท ลดลง 4.4% จากปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ฐานยอดขายปีก่อนที่สูงจากมาตรการ Digital Wallet และการปิดปรับปรุงสาขาขนาดใหญ่หลายแห่ง

 

ด้านบิ๊กซี ยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายร้านค้าตามแผนระยะยาว ในไตรมาสดังกล่าวได้เปิดสาขาใหม่ ได้แก่ บิ๊กซี มินิ 20 สาขา บิ๊กซี ฮ่องกง 4 สาขา และร้านเอเชียบุ๊คส์ 1 สาขา

 

ส่งผลให้เครือข่ายร้านค้าในปัจจุบันประกอบด้วย ไฮเปอร์มาร์เก็ตเก็ต 155 สาขา, ซูเปอร์มาร์เก็ต 53 สาขา, บิ๊กซี ฮ่องกง 23 สาขา, บิ๊กซี มินิ 1,492 สาขา, บิ๊กซี ดีโป้ 11 สาขา, บิ๊กซี ฟู้ดเซอร์วิส 11 สาขา, ตลาด Open-Air 9 สาขา, ร้านขายยาเพรียว 144 สาขา, ร้านกาแฟวาวี 21 สาขา, ร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์ 74 สาขา และเครือข่ายร้านโดนใจ ที่มีจำนวนสูงถึง 19,844 สาขา

The post BJC เผย ยอดขายค้าปลีก Q3 หดตัวจากท่องเที่ยวชะลอตัว-ฐานปีก่อนสูง แต่ยังเดินหน้าเปิดบิ๊กซี มินิ เพิ่มอีก 20 สาขา appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT https://thestandard.co/qwen-ai-app-alibaba-challenges/ Tue, 25 Nov 2025 01:25:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1147060 ‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT

Alibaba เปิดตัว Qwen AI อย่างร้อนแรง! ยอดดาวน์โหลดทะลุ […]

The post ‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT

Alibaba เปิดตัว Qwen AI อย่างร้อนแรง! ยอดดาวน์โหลดทะลุ 10 ล้านครั้งใน 1 สัปดาห์ ตอกย้ำกลยุทธ์ ‘AI-first company’ พร้อมผสาน Qwen เข้าสู่ Taobao-Alipay หวังขับเคลื่อนธุรกิจผู้บริโภคและส่งผลต่อ Valuation ในอนาคต

 

หุ้นของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีนพุ่งขึ้นมากกว่า 5% ในวันจันทร์ที่ฮ่องกง หลัง Alibaba เปิดเผยตัวเลขดังกล่าวในบล็อกโพสต์บน WeChat การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้เกิดขึ้นหลังจากบริษัทตัดสินใจรีแบรนด์และอัปเดตแอปเดิมบน iOS และ Android ให้รวมอยู่ภายใต้ชื่อ ‘Qwen’

 

การเปิดตัวของ Qwen เน้นย้ำให้เห็นถึงกระแสความนิยมของแอป AI ที่สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจาก ChatGPT ของ OpenAI ซึ่งเคยทำสถิติเป็นบริการที่เข้าถึงผู้ใช้ 100 ล้านคนได้เร็วที่สุดเมื่อสามปีก่อน หากไม่นับ Threads ของ Meta ซึ่งได้อานิสงส์จากเครือข่ายโซเชียลขนาดใหญ่ของบริษัทแม่ ตอนนี้ Qwen ถือเป็นหนึ่งในแอปที่เติบโตเร็วที่สุด โดยเฉพาะในจีนที่ไม่สามารถใช้ ChatGPT ได้

 

การเคลื่อนไหวของ Alibaba เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่บริษัท AI หลักๆ ของตะวันตกอย่าง ChatGPT และ Gemini ยังไม่เปิดให้บริการแก่ผู้บริโภคชาวจีน ด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่กว่า 200 แบบที่กำลังแข่งขันกันเพื่อดึงดูดความสนใจในจีน Alibaba จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างด้วยการผสานรวม Qwen เข้ากับระบบนิเวศที่กว้างขึ้น ซึ่งมีแพลตฟอร์มอย่าง Alipay และ Taobao และนำเสนอแอปนี้ให้ใช้งานฟรีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย

 

Kenny Ng นักกลยุทธ์จาก China Everbright Securities International กล่าวว่า “การที่ Alibaba จะสามารถใช้แอป Qwen เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจผู้บริโภคได้หรือไม่นั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการประเมินมูลค่าในอนาคตของบริษัท” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “ตลาดมองว่าก้าวนี้เป็นส่วนสำคัญในการเปรียบเทียบมูลค่าของ Alibaba กับ OpenAI ด้วย”

 

ตัวเลขผู้ใช้งานระยะแรกของ Qwen สอดคล้องกับประกาศของ Ant Group บริษัทฟินเทคในเครือ Alibaba เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่งเปิดตัวผู้ช่วย AI แบบมัลติโหมดแห่งใหม่ชื่อ LingGuang โดยมียอดดาวน์โหลดมากกว่าล้านครั้งภายใน 4 วันหลังเปิดตัว

 

Alibaba วางแผนจะค่อย ๆ เพิ่มความสามารถด้าน AI แบบ ‘agentic’ เพื่อสนับสนุนการช้อปปิ้งออนไลน์ ครอบคลุมแพลตฟอร์มหลักอย่าง Taobao ในช่วงเดือนต่อไปข้างหน้า โดยมุ่งสู่การทำให้ Qwen เป็น AI agent ที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้การนำของซีอีโอ Eddie Wu บริษัทได้ประกาศปรับกลยุทธ์สู่การเป็น ‘AI-first company’ ซึ่งนักลงทุนจะจับตาอย่างใกล้ชิดในการประกาศผลประกอบการไตรมาสวันอังคารนี้

 

บริษัทระบุในแถลงการณ์ว่า “Alibaba มีแผนบูรณาการบริการด้านไลฟ์สไตล์และผลิตภาพให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมถึงแผนที่ดิจิทัล บริการส่งอาหาร การจองท่องเที่ยว เครื่องมือสำนักงาน อีคอมเมิร์ซ การศึกษา และคำแนะนำด้านสุขภาพ เข้าไว้ในแอป Qwen โดยตรง”

 

ภาพ: VCG/VCG via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ‘Qwen’ แอป AI ตัวท็อปของ Alibaba เปิดตัวแรง พร้อมท้าชน ChatGPT appeared first on THE STANDARD.

]]>
Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่นสมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/webull-thai-stocks-trading/ Tue, 25 Nov 2025 01:00:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1146871 Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL]

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ วีบู […]

The post Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่นสมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL]

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “Webull Thailand” บริษัทย่อยของ Webull Corporation (NASDAQ : BULL) ได้ประกาศเปิดให้เทรดหุ้นไทยบนแพลตฟอร์มอย่างเป็นทางการ

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 1

 

ไม่ใช่เพียงข่าวเปิดตัวบริการใหม่เท่านั้น แต่คือ “เหตุการณ์สำคัญ” ของตลาดทุนไทย เมื่อ Webull Thailand บริษัทย่อยของโบรกเกอร์สัญชาติอเมริกันที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 24 ล้านบัญชี ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และเดินหน้าผสานเทคโนโลยีระดับโลกเข้ากับตลาดทุนไทยแบบเต็มรูปแบบ

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 2

 

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวต้อนรับ

 

งานเปิดตัว Webull ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ เต็มไปด้วยสื่อมวลชน นักวิเคราะห์ นักลงทุนรายย่อย โดยมีกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงาน

 

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการว่า “วันนี้ต้องขอต้อนรับ Webull เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการครับ รู้สึกยินดีมากที่จะได้กล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่ของเราอีกหนึ่งราย โดยเป็นสมาชิกหมายเลข 9 ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นคนรุ่นใหม่และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยให้ตลาดทุนไทยคึกคักและทันสมัยขึ้น”

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 3

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

วิสัยทัศน์จาก Webull Thailand “พาคนไทยกลับบ้าน”

 

หนึ่งในจุดที่โดดเด่นที่สุดของงาน คือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของ ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand ที่สะท้อนความตั้งใจจริงของบริษัทต่อการยกระดับตลาดไทย

 

“เราอยากพาคนไทยกลับบ้าน กลับมามองตลาดหุ้นไทยที่มีเสน่ห์อยู่เสมอ” ชลเดช กล่าว และอธิบายว่าแม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาอาจเผชิญความท้าทาย แต่สำหรับนักลงทุนที่มองในเชิงมูลค่า นี่คือจังหวะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะหุ้นไทยหลายตัว เทรดต่ำกว่า Value หุ้นใหญ่หลายกลุ่ม โดยเฉพาะธนาคาร มี Dividend 5-8% ซึ่งหาได้ยากในต่างประเทศ นอกจากนี้ ตลาดไทยยังเต็มไปด้วยบริษัทที่ “เห็นได้จริง จับต้องได้” อยู่รอบตัวผู้บริโภคไทย

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 4

ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand

 

“ถ้ามองหุ้นไทยตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจมากครับ และ Webull เองก็มีความพร้อม เพราะเรามีใบอนุญาตในไทย รวมถึงใบอนุญาตในอีก 13 ประเทศทั่วโลก เราจึงสามารถพาคนไทยไปลงทุนในต่างประเทศได้ และในทางกลับกันก็สามารถพานักลงทุนรายย่อยทั่วโลกให้หันมามองตลาดไทยได้เช่นกัน นี่คือพันธกิจสำคัญของเราที่อยากพาหุ้นไทยไปสู่สายตานักลงทุนทั่วโลก” ชลเดช กล่าว

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 5

 

ชลเดช ยังกล่าวถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการนำเสนอให้ได้ทดลองเทรดหุ้นไทยบนแพลตฟอร์ม “นักลงทุนหุ้นไทยที่เราให้ความสำคัญมีสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่เทรดหุ้นไทยอยู่แล้ว ส่วนอีกกลุ่มคือคนที่อาจยังไม่เคยลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ เราอยากชวนกลับมามองตลาดไทย เพราะหุ้นไทยมีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ที่มีปันผลสูง 7-8% ซึ่งในต่างประเทศแทบหาไม่ได้”

 

“หุ้นไทยเป็นหุ้นที่อยู่รอบตัวเรา มองเห็นธุรกิจได้จริง ถ้าราคาไม่ขึ้นก็ยังเป็นโอกาสซื้อของดีในราคาถูก และถ้านโยบายภาครัฐมีบัญชีลดหย่อนภาษีสำหรับซื้อหุ้นรายตัว เราก็อยากให้ทุกคนเริ่มซ้อมวิเคราะห์หุ้นไทยผ่านแพลตฟอร์มดี ๆ ครับ”

 

เหตุผลสำคัญของการเลือกเปิดตัว ‘เทรดตลาดหุ้นไทย’ ตอนนี้

 

ชลเดช ได้ให้เหตุผลสำคัญในการเปิดบริการเทรดหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ไว้บน 3 ปัจจัยแบบชัดเจนว่า

 

1. สเกลผู้ใช้พร้อมแล้ว

Webull เปิดให้บริการเทรดหุ้นสหรัฐฯ ในไทยมากว่า 1 ปี และในปัจจุบันมี ผู้ใช้ลงทะเบียนกว่า 1,000,000 ราย เปิดบัญชีสำเร็จผ่าน KYC แล้วกว่า 300,000-400,000 ราย สเกลนี้ถือเป็นฐานที่แข็งแรงสำหรับการเปิดให้เทรดหุ้นไทยเพิ่ม

 

2. หุ้นไทยกำลัง undervalued

ชลเดช มองว่าตลาดไทยอยู่ใน “จุดคุ้มค่าที่นักลงทุนควรกลับมามองใหม่”

 

3. โอกาสจากนโยบายภาครัฐในปีหน้า

โดยเฉพาะความเป็นไปได้ของบัญชี TISA (Thailand Individual Savings Account) ที่อาจเปิดให้ลดหย่อนภาษีจากการซื้อหุ้นรายตัว ส่งผลให้ความสนใจในตลาดไทยอาจกลับมาคึกคักกว่าเดิม

 

“หุ้นใหญ่หลายตัวซื้อขายต่ำกว่า Value และมีอัตราปันผลระดับ 5–7% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นระดับที่ต่างประเทศหาได้ยาก อีกทั้งนโยบายภาครัฐปีหน้ามีโอกาสเห็นบัญชี TISA ที่ให้นักลงทุนซื้อหุ้นรายตัวแล้วลดหย่อนภาษีได้ ทำให้ไตรมาส 4 ปี 2025 ถือเป็นจังหวะเหมาะสมที่สุดในการเปิดตลาดหุ้นไทยครับ”

 

Webull บริษัทหลักทรัพย์จาก Nasdaq ที่เติบโตบนเครือข่าย 14 ประเทศทั่วโลก

 

แม้หลายคนในตลาดไทยเพิ่งเริ่มคุ้นชื่อ Webull แต่ในระดับโลก บริษัทนี้มี Footprint ที่ใหญ่และแข็งแรงอย่างมาก “วันนี้ Webull เปิดบริการครอบคลุมตั้งแต่อเมริกา แคนาดา เม็กซิโก บราซิล ไปจนถึงสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ แอฟริกาใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งเชื่อว่าเราเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายแรกที่มีเครือข่ายครบขนาดนี้ครับ” ชลเดช กล่าว

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 6

 

Webull ใช้แพลตฟอร์มเดียวทั่วโลก พัฒนาโดยวิศวกร 500-600 คน รองรับผู้ใช้ใน 14 ประเทศ สำหรับไทย จุดเด่นคือมีข้อมูลและเครื่องมือครบครันที่สุด ทั้งกราฟ เทคนิคอล อินดิเคเตอร์ สัญญาณซื้อขาย ราคาเฉลี่ยต้นทุน และข้อมูลพื้นฐาน เทียบเท่ามาตรฐานการเทรดหุ้นต่างประเทศ

 

Webull แพลตฟอร์มอันดับ 1* ของประเทศไทย

 

ความพร้อมของแพลตฟอร์มและการลงทุนลงมืออย่างจริงจังของโบรกเกอร์สัญชาติอเมริกานี้ สะท้อนมายังคะแนนเรตติงจากผู้ใช้งาน และอาจเรียกได้ว่า Webull เป็นแพลตฟอร์มอันดับ 1* ของประเทศไทย ไปเสียแล้ว

 

“Webull เป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยได้รับคะแนน Rating & Review จากผู้ใช้งานจริงบน iOS และ Android ที่ให้เรตติงเฉลี่ย 4.7-4.8 ดาว ซึ่งถือว่าสูงมาก ผู้ใช้ในไทยกว่า 1 ล้านรายที่ลงทะเบียน และกว่า 300,000 รายที่เปิดบัญชีแล้ว สามารถลงทุนทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศได้ในบัญชีเดียว ฝากเงินเป็นเงินบาทแล้วซื้อหุ้นไทยได้ทันที หรือจะแลกเป็นดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้นต่างประเทศก็ทำได้อย่างราบรื่นครับ”

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 7

 

นอกจากนี้ ชลเดช ยังได้ชูจุดเด่น Webull และอนาคตของตลาดต่อไปที่จะเชื่อมต่อเพื่อพาคนไทยไปพบกับโอกาสให้ได้ทราบกัน “จุดเด่นของ Webull คือการเทรดข้ามประเทศได้ 24 ชั่วโมง นักลงทุนไทยสามารถดูหุ้นแม่ในต่างประเทศแบบเรียลไทม์ และปีหน้าตลาดอเมริกาหลายแห่งก็เตรียมเปิดเทรด 24 ชั่วโมงเต็มรูปแบบ ตามสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย”

 

“นักลงทุนไทยที่ลงทุนต่างประเทศกว่า 60% ลงทุนในอเมริกา อีกประมาณ 20% ลงทุนในฮ่องกงและจีน ดังนั้นตลาดถัดไปหลังจากไทยและอเมริกาที่เราจะผลักดันคือฮ่องกง ซึ่งเรามีทีมประจำอยู่แล้ว ทำให้เชื่อมต่อตลาดได้ไม่ยากครับ” ชลเดช กล่าว

 

ฉลองการเปิดเทรดหุ้นไทยด้วยสิทธิพิเศษ 2 ต่อ

 

เนื่องในโอกาสเปิดตัวฟังก์ชันการเทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ในฐานะบริษัทสมาชิกหมายเลข 9 เพื่อให้บริการธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จึงได้ต่อยอดมอบสิทธิพิเศษที่คุ้ม 2 ต่อ** ให้แก่นักลงทุน

 

ต่อที่ 1: ซื้อหุ้นไทย 1 รายการ รับ DR หุ้นสหรัฐฯ ฟรี 10 หน่วย

 

ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นไทยอย่างน้อย 1 รายการ (มูลค่าเท่าใดก็ได้) ภายในระยะเวลาที่กำหนด จะได้รับ DR (Depositary Receipt) หุ้นสหรัฐฯ สัปดาห์ละ 10 หน่วย จากบริษัทชั้นนำรวม 7 รายการ อาทิ Apple, Tesla, Alphabet, Nvidia รวมสูงสุด 70 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 200 บาทเมื่อจบแคมเปญ (ช่วงเวลา 18 พ.ย. – 30 ธ.ค. 2568 เวลา 17.00 น.)

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.webull.co.th/activity/THstock-trading

 

ต่อที่ 2: ส่วนลดค่าคอมมิชชัน 30% ทั้งหุ้นไทยและหุ้นสหรัฐฯ

  • หุ้นไทย: จาก 0.04% เป็น 0.028%
  • หุ้นสหรัฐฯ: จาก 0.10% เป็น 0.07%
  • สิทธิประโยชน์นี้มีผลตั้งแต่ 1 พ.ย. 2568 – 31 ม.ค. 2569 สำหรับผู้ลงทุนที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.webull.co.th/en/activity/commission-discount

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 8

 

Webull พร้อมลงทุนเต็มที่เพื่อยกระดับนักลงทุนไทยทุกคน

 

ไม่เพียงแต่การเป็นโบรกเกอร์ที่อัดแน่นด้วยหลักทรัพย์คุณภาพที่มีให้เลือกสรร และแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง แต่ Webull Thailand ก็พร้อมติดอาวุธทางความรู้ของนักลงทุนอีกด้วย

 

“ปีหน้า Webull จะจัดสัมมนาให้ความรู้ต่อเนื่องทุกเดือน สลับหัวข้อตามเทรนด์การลงทุน ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และ DR ส่วนกรณีที่พอร์ตนักลงทุนติดดอย เราจะไม่ให้คำแนะนำโดยตรง แต่จะร่วมวิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยพื้นฐานกับนักวิเคราะห์ เพื่อช่วยจัดพอร์ตใหม่ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลครับ”

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 9

 

นอกจากนี้ ชลเดช ได้แสดงความหนักแน่นและจริงจังในการยกระดับนักลงทุนไทยผ่านเครื่องมือแพลตฟอร์มที่ครบครัน “เราลงทุนมหาศาลกับข้อมูลและระบบหลังบ้าน แม้สิ่งที่ผู้ใช้เห็นว่าฟรี เช่น ข้อมูลเรียลไทม์ ข้อมูลพื้นฐาน และกราฟเทคนิคัล จะมีต้นทุนสูงมาก แต่นี่คือหัวใจที่จะทำให้นักลงทุนไทยแข่งขันกับนักลงทุนทั่วโลกได้ เราจึงเน้นสองเรื่องคือ ข้อมูลต้องครบถ้วนทันนักลงทุนต่างชาติ และเครื่องมือต้องดี เหมือนมีอาวุธให้นักลงทุนรายย่อยสู้ในตลาดโลก”

 

ในท้ายที่สุด ชลเดช ได้ให้คำมั่นปิดท้ายกับนักลงทุนในการเป็นผู้ที่จะช่วยผลักดันให้นักลงทุนได้คว้าโอกาสใหม่อย่างไร้รอยต่อ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุดกลับไป

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 10

 

“วันนี้การลงทุนเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อทั่วโลก ทุกคนสามารถเทรดได้ทุกอย่าง เรามีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ไทย ให้มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย เครื่องมือครบ และข้อมูลที่ดีที่สุด และเรายินดีร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันตลาดทุนไทย พร้อมมอบคุณค่าสูงสุดให้กับนักลงทุนครับ” ชลเดช กล่าวปิดท้าย

 

*แอปฯ Webull ได้รับคะแนน Rating & Review สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ในหมวดแอปฯ โบรกเกอร์ ทั้งบน App Store และ Play Store ในไทย (ณ วันที่ 26 ก.ย. 2568)

 

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

 

***คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่น สมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] 11

The post Webull เปิดเทรด ‘หุ้นไทย’ ขึ้นแท่นสมาชิกหมายเลข 9 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศพร้อมยกระดับนักลงทุนไทย [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความหวังสีเชอร์รีบนยอดดอย เมื่อแสนสิริสร้างโมเดลวิสาหกิจเพื่อสังคม เปลี่ยนกาแฟให้เป็นลมหายใจของป่าและคน [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/chiangmai-coffee-sustainable-development/ Sun, 23 Nov 2025 23:37:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1146565 chiangmai-coffee-sustainable-development

ท่ามกลางความสลับซับซ้อนของทิวเขาทางภาคเหนือ ภายใต้ร่มเง […]

The post ความหวังสีเชอร์รีบนยอดดอย เมื่อแสนสิริสร้างโมเดลวิสาหกิจเพื่อสังคม เปลี่ยนกาแฟให้เป็นลมหายใจของป่าและคน [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
chiangmai-coffee-sustainable-development

ท่ามกลางความสลับซับซ้อนของทิวเขาทางภาคเหนือ ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นดั่งปอดของเอเชีย อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ แต่เริ่มจากเมล็ดผลไม้สีแดงเล็กๆ ที่เรียกว่ากาแฟ

 

เรามักได้ยินเรื่องราวของปัญหาฝุ่นควัน ไฟป่า และน้ำท่วมหลากที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี รวมถึงภาพการอพยพของคนหนุ่มสาวที่จำใจต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อลงมาแสวงหาโอกาสในเมืองหลวง ทิ้งให้คนเฒ่าคนแก่เฝ้ารอความหวังที่เลือนรางลงทุกที

 

แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ หากเรามองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของทรัพยากรที่มีอยู่ การจับมือกันระหว่างภาคเอกชนและภาคประชาสังคมจึงเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนสมการนี้ใหม่ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างความยั่งยืนที่จับต้องได้

 

ความตั้งใจนี้ถูกสานต่อโดยพันธมิตร 4 ฝ่าย ได้แก่ แสนสิริ ผู้สนับสนุนงบประมาณและวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ, ไร่แสนชัย เจ้าของพื้นที่ที่มีความเข้าใจในบริบทชุมชน, บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟและการตลาด และ ที่ปรึกษาของสมาคมกาแฟพิเศษ ผู้ดูแลมาตรฐานองค์ความรู้

 

กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา

 

ทั้งหมดได้ร่วมกันพัฒนา ‘ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร’ บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อวางรากฐานความยั่งยืนที่เริ่มจากคน ส่งต่อไปยังป่า และสะท้อนกลับมาเป็นรายได้ที่มั่นคง เพื่อให้คำว่ากลับบ้านมีความหมายที่งดงามและยั่งยืนที่สุด

 

สมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า แสนสิริให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมมาตลอด 40 ปี โดยเฉพาะการดูแล 4 เสาหลัก คือ ลูกค้า, พนักงาน, คู่ค้า และสังคม

 

“เราชอบที่จะเป็นองค์กรที่ริเริ่มและเป็นต้นแบบในการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง อย่างสมัยก่อนเราทำฟุตบอล Academy ก็มีเจตนาสร้างโอกาสเด็กและผู้ปกครองได้เรียนรู้การใช้ชีวิต หรือเรื่องการศึกษาที่เราพยายามดึงเด็กหลุดระบบกลับเข้ามา”

 

“สำหรับเรื่องกาแฟ เรามองเห็นปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมในเชียงใหม่ ทั้ง PM 2.5 และน้ำท่วม ซึ่งใหญ่เกินกว่าที่เราคนเดียวจะแก้ได้ เราจึงมองหาต้นตอและพบว่า กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกร่วมกับป่าได้ ช่วยรักษาหน้าดิน และลดการเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย”

 

กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา

 

แนวคิดนี้ถูกพัฒนาจนตกผลึกเป็นรูปแบบของ ‘วิสาหกิจเพื่อสังคม’ (Social Enterprise) ซึ่งแตกต่างจากการทำ CSR ทั่วไปที่มักจบลงเมื่อหมดงบประมาณรายปี แต่โมเดลนี้คือการสร้างธุรกิจจริงที่ต้องเลี้ยงตัวเองได้ และนำกำไรกลับคืนสู่ชุมชน

 

แสนสิริได้วางโรดแมปการดำเนินงานไว้ 5 ปี (2569–2573) โดยปีแรกจะเป็นการวางรากฐานและเตรียมพื้นที่ ปีถัดไปจะเริ่มลงแปลงปลูกและสร้างแหล่งเรียนรู้ เพื่อให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ที่เปิดกว้าง

 

“เป้าหมายของเราคือภายใน 5 ปี โมเดลนี้ต้องเป็นต้นแบบที่ยั่งยืน เกษตรกรต้องสามารถเข้าถึงองค์ความรู้เรื่องกาแฟพิเศษ หรือ Specialty Coffee ได้อย่างเปิดกว้าง เราอยากเห็นวันที่เขาสามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเอง สามารถบริหารจัดการพื้นที่และผลผลิตได้”

 

กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา

 

“เราบอกชาวบ้านเสมอว่า ผมเช่าที่ให้นะ ปลูกกาแฟให้นะ แต่เมื่อครบ 5 ปี ผมจะยกให้คุณบริหารจัดการต่อทั้งหมด ให้กลายเป็นวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็ง โดยที่เราอาจจะถอยออกมาดูอยู่ห่างๆ หรือไปเริ่มพัฒนาในพื้นที่อื่นต่อไป”

 

พลิกวิกฤตส่วนต่าง 6 หมื่นตัน ให้เป็นโอกาสของเกษตรกรไทย

 

หากเจาะลึกข้อมูลในอุตสาหกรรมกาแฟไทยจะพบตัวเลขที่น่าตกใจแต่ก็น่าสนใจในเวลาเดียวกัน คนไทยบริโภคกาแฟมากถึง 90,000 ตันต่อปี แต่เราสามารถผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศได้เพียง 30,000 ตันเท่านั้น นั่นหมายความว่าเราต้องนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศสูงถึง 60,000 ตันต่อปีเพื่อรองรับความต้องการ

 

ที่สำคัญ ในจำนวนผลผลิตที่ทำได้ มีเพียง 6,000 – 7,000 ตันเท่านั้นที่เป็นกาแฟเกรดพิเศษ (Specialty Coffee) สวนทางกับตลาด Specialty Coffee ที่เติบโตแรงสวนกระแสและคาดว่าจะโตขึ้นอีก 173% ในปี 2025

 

กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา

 

ตัวเลขส่วนต่างนี้สะท้อนให้เห็นโอกาสมหาศาลที่รออยู่ หากเราสามารถยกระดับมาตรฐานการผลิตให้ทัดเทียมสากลได้ ‘ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร’ จึงเข้ามารับบทบาทสำคัญในการรวบรวมองค์ความรู้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ไว้ในที่เดียว เพื่อเปลี่ยนยอดการนำเข้าที่สูงลิ่ว ให้กลายเป็นรายได้ที่ไหลกลับสู่กระเป๋าของเกษตรกรไทย

 

ชนัญดา ทวีสิน ซีอีโอและหนึ่งในผู้ก่อตั้ง บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ สะท้อนมุมมองว่า วันนี้เธอไม่ได้มาในฐานะเจ้าของร้านกาแฟ แต่มาในฐานะคนที่เห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของคนบนดอยมาตลอดระยะเวลาหลายปี

 

“เราเห็นสภาพชีวิตของครอบครัวเกษตรกรที่ลูกหลานต้องย้ายถิ่นฐาน เพราะการทำเกษตรแบบเดิมไม่สามารถเลี้ยงปากท้องได้ แต่ทุกวิกฤตมีโอกาส ต้นกาแฟโดยเฉพาะกาแฟพิเศษ คือทางรอดที่จะเปลี่ยนทั้งชีวิตเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม”

 

“ต้นกาแฟช่วยชะลอน้ำป่าและรักษาความชื้น ถ้าเกษตรกรหันมาปลูกกาแฟแทนข้าวโพดสัก 20% ของพื้นที่ เราจะได้ผืนป่ากลับคืนมามหาศาล และที่สำคัญคือกาแฟพิเศษสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับกาแฟธรรมดา โดยใช้พื้นที่เท่าเดิม”

 

กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา

 

ความแตกต่างของรายได้คือหัวใจสำคัญของการสร้างแรงจูงใจ ข้อมูลตลาดชี้ให้เห็นว่า กาแฟทั่วไปราคาขายจะอยู่ที่ประมาณ 180 – 290 บาทต่อกิโลกรัม แต่หากพัฒนาคุณภาพจนเป็นกาแฟเกรดพิเศษ (Specialty Grade) ราคาจะกระโดดขึ้นไปเริ่มต้นที่ 500 บาท และสามารถไต่ระดับไปได้สูงถึง 3,000 บาทต่อกิโลกรัม

 

เมื่อกาแฟมีราคาดี มีตลาดที่มั่นคง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจจะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนหนุ่มสาวที่เคยต้องจากบ้านไปเป็นแรงงานในเมือง สามารถคืนถิ่นกลับมาสานต่ออาชีพเกษตรกรรมด้วยความภาคภูมิใจ อยู่กับครอบครัว และอยู่กับป่าที่เขารัก

 

“กาแฟแก้วเดียวอาจเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่กาแฟแก้วนั้นคือกาแฟแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน อาจช่วยให้เด็กบนดอยได้ไปโรงเรียน อาจหยุดควันไฟในฤดูแล้ง ทุกครั้งที่เราจิบกาแฟ เราสามารถเลือกจิบกาแฟที่มาจากความยั่งยืนและรอยยิ้มของเกษตรกร”

 

ยกระดับทั้งกระดาน สู่มาตรฐาน Specialty Coffee ระดับโลก

 

คำว่า Specialty Coffee ไม่ใช่เพียงแค่คำโฆษณาทางการตลาด แต่คือมาตรฐานที่วัดกันด้วยคุณภาพ ตั้งแต่สายพันธุ์ การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงกระบวนการแปรรูป (Processing) ที่พิถีพิถัน ซึ่งต้องใช้เวลาดูแล 3-5 ปี ทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยวเพื่อพัฒนารสชาติ

 

โลกของกาแฟยุคใหม่ ผู้บริโภคมีความรู้และความต้องการที่ซับซ้อนขึ้น พวกเขาไม่ได้ดื่มเพียงเพื่อแก้กระหาย แต่ต้องการเสพสุนทรียะ เรื่องราว และแหล่งที่มาที่ตรวจสอบได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือมูลค่าเพิ่มที่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึง

 

อัครินทร์ ศิวพรพิทักษ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ ขยายความว่า ตลาดกาแฟไทยโตขึ้นเรื่อยๆ และผู้บริโภคมองหาสิ่งที่ดีขึ้นเสมอ กาแฟพิเศษจึงกลายเป็น New Normal ที่คนทำกาแฟต้องปรับตัว

 

กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา

 

“สิ่งที่กาแฟไทยยังสู้ต่างชาติยากคือเรื่องสายพันธุ์และการจัดการ สมัยก่อนเราปลูกปนกันไปหมด เวลาขายก็ขายเหมาเข่ง แต่ถ้าเราอยากทำราคาให้สูงขึ้น เราต้องทำเป็น Single Origin ที่ระบุอัตลักษณ์ของกาแฟตัวนั้นได้ชัดเจน”

 

“ศูนย์การเรียนรู้นี้จะเป็นท่อเชื่อมที่นำเสียงของผู้บริโภคไปบอกชาวไร่ว่าตลาดต้องการอะไร และนำความตั้งใจของชาวไร่มาบอกผู้บริโภค เราต้องการยกระดับทั้งกระดาน ไม่ใช่แค่ร้านเรา แต่เพื่อให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองและขายผลผลิตได้ในราคาที่ยุติธรรม”

 

โมเดลนี้จะช่วยลบภาพจำเดิมๆ ที่ว่าเกษตรกรต้องรอความช่วยเหลือ หรือถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง แต่เปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นผู้ประกอบการที่มีความรู้ สามารถพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพระดับสากล และกำหนดอนาคตของตนเองได้

 

“เราอยากเห็นศูนย์นี้กระจายโมเดลไปทั่วประเทศ เป็นแหล่งรวบรวม Know-How ให้ใครก็ได้เข้ามาศึกษา เพื่อขยายตลาดกาแฟไทยให้มีคุณภาพทัดเทียมตลาดโลก เพราะกาแฟที่ดีไม่ได้มีแค่รสชาติ แต่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย”

 

“ความท้าทายที่สุดคือการเชื่อมโยงทุกฝ่ายให้โตไปพร้อมกัน บีนส์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ อาจเป็นตัวกลางที่ช่วยยกกราฟคุณภาพขึ้น แต่ความยั่งยืนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อเกษตรกรมีความรู้และยืนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นคือเป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้”

 

กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา กาแฟสร้างความยั่งยืน กัลยาณิวัฒนา

 

ศูนย์การเรียนรู้กาแฟพิเศษครบวงจร ที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จึงเปรียบเสมือนห้องทดลองขนาดใหญ่ที่มีชีวิต เป็นพื้นที่แห่งโอกาสที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การอนุรักษ์ป่าและการสร้างเศรษฐกิจชุมชนสามารถเดินไปพร้อมกันได้

 

ภาพอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า เราอาจได้เห็นกาแฟไทยจากยอดดอยแห่งนี้ไปวางขายอยู่ในคาเฟ่ชั้นนำทั่วโลก พร้อมเรื่องราวที่เล่าขานว่า รสชาติที่หอมกรุ่นนี้แลกมาด้วยการฟื้นคืนของผืนป่า และรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขของคนที่ได้กลับมาอยู่บ้านอย่างพร้อมหน้า

 

นี่คือพลังของเมล็ดกาแฟเล็กๆ ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ ให้กับสังคมไทยอย่างยั่งยืน

The post ความหวังสีเชอร์รีบนยอดดอย เมื่อแสนสิริสร้างโมเดลวิสาหกิจเพื่อสังคม เปลี่ยนกาแฟให้เป็นลมหายใจของป่าและคน [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก https://thestandard.co/apple-watch-series-11/ Sun, 23 Nov 2025 11:41:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1146500 รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 1

ปีนี้ครบรอบ 10 ปีเต็มพอดีที่โลกใบนี้ได้ทำความรู้จักกับ […]

The post รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 1

ปีนี้ครบรอบ 10 ปีเต็มพอดีที่โลกใบนี้ได้ทำความรู้จักกับ Apple Watch นาฬิกาอัจฉริยะที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น และแน่นอนเป็นอุปกรณ์สุดสมาร์ทที่ขายดีที่สุดในโลกด้วยตั้งแต่ปี 2015

 

เพียงแต่ Apple ไม่ได้มีการทำอะไรเป็นพิเศษให้ Apple Watch แต่อย่างใด โดยในงานเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายนได้มีการแนะนำตัวผลิตภัณฑ์ในไลน์นี้ใหม่ 3 รุ่น อันได้แก่ Apple Watch Series 11, Apple Watch SE3 และ Apple Watch Ultra 3 ซึ่งเป็นตัวท็อปของรุ่น แต่ก็อาจจะนับเป็นความพิเศษเล็กๆได้เพราะเป็นการอัพเกรดพร้อมกันครบ 3 รุ่นเป็นครั้งแรกนับจากปี 2022

 

ความพิเศษเล็กๆน้อยๆนี้จึงอาจเป็นคีย์ของ Apple Watch Series 11 รุ่นใหม่ด้วย เพราะแม้การเปลี่ยนแปลงนั้นจะดูเล็กน้อยจนคิดถึงคำว่า ‘มินิมอล’ (Minimal) แต่ก็เป็นความน้อยแต่มาก

 

มี 2 อย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน

 

1. ตัวเรือนสีใหม่ และการเคลือบหน้าปัด

สำหรับผู้เขียนที่หลงรักในความ ‘ดำเงา’ ของ Apple มาตั้งแต่ iPhone 7 การได้เห็นสีใหม่ของ Apple Watch Series 11 อย่างสี ‘Space Gray Aluminum’ (สำหรับรุ่นอะลูมิเนียมมาตรฐาน) ถือว่าถูกใจอย่างมาก เพราะดูมีความเงาวับสวย หรู และสุขุม แต่ไม่ได้ดำเข้มจนเกินไปยังรู้สึกถึงสีเทาเข้ม เหมือนจับสี Jet Black มาผสมกับสี Silver เข้าด้วยกัน

 

แต่การเปลี่ยนแปลงที่ตัวเรือนไม่ได้มีแค่เรื่องสี แต่ยังมีการเคลือบหน้าปัดใหม่ให้ทนทานขึ้นด้วยการเคลือบเซรามิก (Ceramic Coating) บนกระจก Ion-X ซึ่งแข็งแกร่งกว่ารุ่นที่แล้ว (Series 10) ถึง 2 เท่า

 

การเคลือบเซรามิก (ฟังแล้วเหมือนรถยนต์) นี้มีผลไม่ใช่แค่ทางใจ เพราะในทางปฏิบัติจริงแล้ว เท่าที่ใช้งานตามประสาผู้ชายไม่ค่อยระมัดระวัง เฉี่ยวนั่นเฉี่ยวนี่ ชนนั่นชนนี่บ้างก็ยังไม่พบร่องรอยขีดข่วนอะไรบนหน้าปัดให้จิตตกเล่น

 

ในวงเล็บว่าใจไม่แข็งพอจะทดสอบกันถึงขั้นเอามีดกรีดหรือทำตกลงบนพื้นคอนกรีตขนาดนั้น ส่วนเรื่องทนน้ำทนฝุ่นนั้นถือว่าตามมาตรฐานอยู่แล้ว

 

2. แบตเตอรี่อยู่ครบวัน แถมชาร์จไว

 

ความจริงในรุ่นหลังๆแบตเตอรี่ไม่ใช่ปัญหาของ Apple Watch เหมือนในรุ่นแรกๆอีกแล้วด้วยความสามารถของชิปประมวลผล ระบบปฏิบัติการ และการออกแบบแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพดีขึ้น

 

แต่! นี่เป็นครั้งแรกที่ Apple Watch สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ครบวัน – ในความหมายถึง 24 ชั่วโมงเท่ากับระยะเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ – ซึ่งมากกว่าใน Series 10 ที่แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นาน 18 ชั่วโมงถึง 33 เปอร์เซ็นต์

 

และถ้าเปิดโหมดประหยัดพลังงานจะใช้ได้นานขึ้นไปอีกถึง 38 ชั่วโมง

 

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ใส่ออกไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันในตอนเช้า และกลับมาชาร์จตอนกลางคืนอยู่แล้ว ความอึดที่เพิ่มมากขึ้นอาจไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญอะไรนัก แต่อย่างน้อย ‘เหลือย่อมดีกว่าขาด’ โดยในการใช้งานจริงสำหรับคนที่ตื่นเช้าราว 6 โมงและเข้านอนในเวลา 4-5 ทุ่ม แบตเตอรี่นั้นเหลือเฟือแบบสบายๆ

 

อย่างไรก็ดีแบตเตอรี่ที่อยู่ครบวันนั้นจะตอบโจทย์กับฟีเจอร์ใหม่อย่าง Sleep Score หนึ่งในคุณสมบัติสุขภาพใหม่ที่จะตรวจจับคุณภาพในการนอนหลับของเราได้ ทำให้เราเข้าใจตัวเองได้มากขึ้นไม่ใช่แค่ในยามตื่นแต่รวมถึงในยามนอนหลับด้วยว่าคุณภาพในการหลับของเราดีหรือไม่ เรียกว่าเราสามารถนอนหลับไปกับ Apple Watch ได้เลย

 

โดยที่สามารถใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที ในการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในวันต่อไปได้สบายๆ หรือถ้าเวลาน้อยกว่านั้น การชาร์จแค่ 15 นาทีก็เพียงพอสำหรับการใช้งานได้อีก 8 ชั่วโมง

 

อันนี้ลองแล้วไวจริง และช่วยได้มากในเวลาที่ลืมชาร์จตอนกลางคืน

 

ส่วนอื่นๆที่มีการทำให้ดีขึ้น ยังมีเรื่องของการเชื่อมต่อโดย Apple Watch Series 11 รองรับการเชื่อมต่อแบบ 5G (สำหรับรุ่นเซลลูลาร์ ซึ่งจะมีเฉพาะที่ AIS 5G eSim) ไปจนถึงการเป็นผู้ช่วยที่ดีนอกเหนือจากเรื่องสุขภาพที่ดีอยู่เดิม (เพิ่มเติมการตรวจวัดความดัน Hypertension Notification) ก็จะเพิ่มเติมฟีเจอร์ Apple Wallet, ฟีเจอร์การแปลภาษาสด ด้วย Apple Intelligence ด้วยขุมพลังของชิป S-10

 

ดังนั้นแม้จะไม่ได้ดูมีการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาหรืออัดคุณสมบัติต่างๆแบบมีนัยสำคัญ แต่สำหรับ Apple Watch Series 11 ในสนนราคาเริ่มต้น 14,900 บาทถือว่าเป็นสมาร์ทวอทช์ที่คุ้มในแบบของมัน

 

การอัพเกรดแบบมินิมอลครั้งนี้อาจจะไม่สะกิดใจคนที่ใช้รุ่นก่อนหน้า แต่สำหรับคนที่ใช้รุ่นเก่ากว่านั้นอย่างต่ำ 2-3 รุ่น นี่แหละคือการอัพเกรดใหญ่ที่คุ้มค่าแน่นอน

 

รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 2
รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 3
รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 4
รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 5
รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 6
รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 7
รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก 8

The post รีวิว Apple Watch Series 11: อัพเกรดแบบมินิมอล เปลี่ยนน้อยแต่แน่น แบตอึดใช้ ‘ครบ 24 ชั่วโมง’ ครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
รักกลางมรสุมเศรษฐกิจ? ‘ราชา Chagee’ จูงมือทายาท ‘Trina Solar’ สละโสดสวนกระแสหุ้นร่วง ฉายภาพพลังกลุ่มทุนรุ่นใหม่ในจีน https://thestandard.co/chagee-trina-marriage-stock-crash/ Sun, 23 Nov 2025 09:39:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1146476 รักกลางมรสุมเศรษฐกิจ? ‘ราชา Chagee’ จูงมือทายาท ‘Trina Solar’ สละโสดสวนกระแสหุ้นร่วง ฉายภาพพลังกลุ่มทุนรุ่นใหม่ ใน จีน

งานวิวาห์ระหว่างผู้ประกอบการเครือร้านน้ำชาและทายาทสาวเจ […]

The post รักกลางมรสุมเศรษฐกิจ? ‘ราชา Chagee’ จูงมือทายาท ‘Trina Solar’ สละโสดสวนกระแสหุ้นร่วง ฉายภาพพลังกลุ่มทุนรุ่นใหม่ในจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
รักกลางมรสุมเศรษฐกิจ? ‘ราชา Chagee’ จูงมือทายาท ‘Trina Solar’ สละโสดสวนกระแสหุ้นร่วง ฉายภาพพลังกลุ่มทุนรุ่นใหม่ ใน จีน

งานวิวาห์ระหว่างผู้ประกอบการเครือร้านน้ำชาและทายาทสาวเจ้าของอาณาจักรแผงโซลาร์เซลล์ กำลังจะเปิดโอกาสให้คนภายนอกได้เห็นภาพชีวิตของกลุ่มมหาเศรษฐีรุ่นใหม่ของจีนที่หาดูได้ยาก โดย จาง จุนเจี๋ย ผู้ก่อตั้ง Chagee Holdings Ltd. ซึ่งจดทะเบียนในตลาดนิวยอร์ก เตรียมเข้าพิธีสมรสกับ เกา ไห่ชุน

 

เธอคือบุตรสาวของ เกา จี้ฟาน ผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานหมุนเวียน Trina Solar Co. ซึ่งข่าวการแต่งงานครั้งนี้ได้สร้างกระแสฮือฮาในโซเชียลมีเดียของจีนอย่างมาก หลังจากสื่อท้องถิ่นรายงานถึงบัตรเชิญที่มีภาพวาดของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว

 

จาง และ เกา หรือที่รู้จักกันในชื่อ แคทเธอรีน ต่างมีอายุอยู่ในช่วง 30 ปีต้นๆ และได้พบรักกันในงานอีเวนต์สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โฆษกของ Trina Solar เปิดเผยว่าทั้งคู่ได้จดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว และพิธีฉลองมงคลสมรสจะจัดขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม

 

การแต่งงานของทั้งคู่จะเป็นการรวมสองตระกูลเข้าด้วยกัน ในช่วงเวลาที่ธุรกิจของพวกเขากำลังเผชิญกับกระแสลมต้านที่แตกต่างกันในระบบเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยโฆษกยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการทำธุรกรรมหรือความร่วมมือทางธุรกิจใดๆ ที่วางแผนไว้ระหว่างสองบริษัท

 

จาง ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีพันล้านหลังจากบริษัทของเขาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นลูกใหม่ชาวจีนที่สร้างความมั่งคั่งในขณะที่เครือร้านชากำลังได้รับความนิยม

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากราคาหุ้นของ Chagee ร่วงลงอย่างรุนแรง มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ จาง ได้ลดลงเหลือ 853 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.76 หมื่นล้านบาท) ซึ่งลดลงราว 60% จากช่วง IPO

 

ขณะที่ความมั่งคั่งของ เกา จี้ฟาน อยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.47 หมื่นล้านบาท) ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 1.02 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท) ในเดือนธันวาคม 2021

 

เส้นทางของ ‘ราชาแห่งชา’ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ จาง ก่อตั้ง Chagee ในปี 2017 ที่มณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ชื่อของบริษัทมีที่มาจากโศกนาฏกรรมจีนคลาสสิกเรื่อง Farewell My Concubine ซึ่งเล่าเรื่องราวของกษัตริย์นักรบและคำอำลาคนรัก โดยโลโก้ของแบรนด์เป็นรูปตัวละครหญิงสาวในการแสดงงิ้วปักกิ่ง

 

Chagee สร้างความแตกต่างจากแบรนด์ชานมไข่มุกทั่วไปด้วยการเน้นชาใส่นมระดับพรีเมียมที่ใช้ส่วนผสมแบบจีนดั้งเดิม มีเครือข่ายร้านค้ากว่า 7,000 แห่ง อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการตัดสินใจ ‘ยึดมั่น’ ในกลยุทธ์สินค้าราคาแพง แม้ยอดขายและกำไรจะลดลงท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น

 

ด้านเจ้าสาว เกา ไห่ชุน ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของจีนที่พร้อมรับมรดกความมั่งคั่งพันล้านจากพ่อแม่ เธอเกิดในปี 1993 จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบราวน์ในสหรัฐฯ และเคยทำงานสั้นๆ ที่บริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Co. ก่อนจะเข้าร่วมงานกับหน่วยงานการลงทุนของ Trina Solar ในปี 2017

 

ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งประธานร่วมของ Trina Solar และประธานหน่วยธุรกิจโซลูชันของบริษัท โดยยักษ์ใหญ่ด้านแผงโซลาร์เซลล์ที่มีฐานอยู่ในฉางโจวแห่งนี้ ก่อตั้งโดยบิดาของเธอในปี 1997 และมีมูลค่าตลาดประมาณ 4.3 หมื่นล้านหยวน หรือ 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.04 แสนล้านบาท)

 

หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.39 บาท ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568

 

ภาพ: Sarunyu L / Shutterstock

อ้างอิง:

The post รักกลางมรสุมเศรษฐกิจ? ‘ราชา Chagee’ จูงมือทายาท ‘Trina Solar’ สละโสดสวนกระแสหุ้นร่วง ฉายภาพพลังกลุ่มทุนรุ่นใหม่ในจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
มีเงินเหลือ 1,000 บาท/เดือน นำไปต่อยอดอย่างไรดี? https://thestandard.co/invest-1000-baht-monthly-grow/ Sun, 23 Nov 2025 05:48:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1146380 มีเงินเหลือ 1,000 บาท / เดือน นำไปต่อยอดอย่างไรดี?

โบราณท่านว่า ‘อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา’ แม้ว่าเรา […]

The post มีเงินเหลือ 1,000 บาท/เดือน นำไปต่อยอดอย่างไรดี? appeared first on THE STANDARD.

]]>
มีเงินเหลือ 1,000 บาท / เดือน นำไปต่อยอดอย่างไรดี?

โบราณท่านว่า ‘อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา’ แม้ว่าเราอาจจะเหลือเงินติดกระเป๋าเพียงแค่ 1,000 บาท แต่อย่าเพิ่งมองข้ามมูลค่าของมันไป เพราะหัวใจสำคัญของความมั่งคั่งไม่ได้อยู่ที่ว่า ‘หาได้เท่าไหร่’ แต่อยู่ที่ว่าเรา ‘เก็บได้เท่าไหร่และสม่ำเสมอแค่ไหน’

 

เงินหนึ่งพันบาทที่ดูเหมือนน้อยนิด หากเราทยอยเก็บเล็กผสมน้อยอย่างมีวินัย นานวันเข้ามันจะรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ และถ้าเรารู้จักวิธีนำไปวางให้ถูกที่ มันจะสามารถออกดอกออกผลได้น่าชื่นใจ และนี่คือไกด์ไลน์สำหรับคนมีเงินเก็บเดือนละพัน ที่อยากปั้นให้เป็นเงินหมื่นเงินแสน

 

เช็คความพร้อมก่อนเริ่ม

 

ก่อนจะนำเงินไปต่อยอด ขอให้เช็ค 2 ข้อนี้ก่อน เพื่อความปลอดภัยทางการเงินของเรา

 

  • หนี้สินดอกเบี้ยสูง: หากมีหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้นอกระบบ ให้นำเงิน 1,000 บาทนี้ไป ‘โปะหนี้’ ก่อน เพราะกำไรจากการลงทุนส่วนใหญ่ ชนะดอกเบี้ยหนี้เหล่านี้ได้ยาก
  • เงินสำรองฉุกเฉิน: เราควรมีเงินสดสำรองไว้ยามเจ็บป่วยหรือตกงาน (ประมาณ 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย) หากยังไม่มี ให้เริ่มเก็บ 1,000 บาทนี้เข้าบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงก่อน

 

ทางเลือกที่ 1 สายปลอดภัย เน้นชัวร์ (ความเสี่ยงต่ำ)

 

หากเป้าหมายคือการรักษาเงินต้น แต่ได้ผลตอบแทนดีกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป เงินฝากประจำปลอดภาษี ก็เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ นอกจากได้สร้างวินัยเหล็กให้ตัวเอง ยังได้ดอกเบี้ยเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยไม่ต้องแบ่งให้รัฐบาล (ปกติเงินฝากทั่วไปจะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% เมื่อดอกเบี้ยรวมเกิน 20,000 บาท)

 

ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์จะเสนอบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี เป็นระยะเวลา 24 หรือ 36 เดือน โดยต้องฝากเงินจำนวนเท่าๆ กันทุกเดือน ห้ามถอนก่อนกำหนด ซึ่งอัตราดอกเบี้ยส่วนใหญ่จะอยู่ราว 2%++ ซึ่งจะมากกว่าบัญชีเงินฝากทั่วไป

 

  • จุดเด่น: ปลอดภาษีคือจุดขายหลัก ทำให้ได้ดอกเบี้ยเต็มเม็ดเต็มหน่วยและสูงกว่าออมทรัพย์ทั่วไป บังคับให้เรามีวินัยในการออมโดยอัตโนมัติ และ ความเสี่ยงต่ำ (Low Risk) รับประกันเงินต้น
  • ข้อระวัง: ขาดสภาพคล่อง ถอนออกมาใช้ก่อนกำหนดไม่ได้ (ถ้าถอนมักจะได้แค่ดอกเบี้ยออมทรัพย์ธรรมดา)
  • เหมาะสำหรับ: มือใหม่หัดออมที่ต้องการความมั่นคงสูงสุด ไม่ชอบความเสี่ยง
  • เคล็ดลับ: เมื่อครบ 24 หรือ 36 เดือน ให้นำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยก้อนนั้น เปิดบัญชีฝากประจำปลอดภาษีรอบใหม่ทันที ทำวนไปเรื่อยๆ (ระหว่างทางให้พักเงินในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง อย่าเอาออกมาใช้กินเที่ยวหมด) และสำคัญห้ามถอนก่อนกำหนด

 

ทางเลือกที่ 2 สายเสี่ยงโชค แต่ขอเงินต้นไม่หาย ได้ดอกเบี้ยนิดหน่อย

 

สำหรับคนชอบวัดดวง รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง สลากออมทรัพย์ดิจิทัล ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ได้ออมด้วย ได้ลุ้นรวยด้วย

 

มีหลายธนาคารของรัฐที่เปิดขายสลากออมทรัพย์ (เช่น ออมสิน, ธ.ก.ส., ธอส.) โดยมีจับรางวัลใหญ่ทุกเดือน และเมื่อครบกำหนด เงินต้นที่ซื้อสลากก็ยังอยู่ครบและได้ดอกเบี้ยอีกนิดหน่อยด้วย

 

  • จุดเด่น: มีโอกาสถูกรางวัลใหญ่ (ถ้าดวงดี) เงินต้นไม่หาย เป็นการเปลี่ยนเงินที่ซื้อลอตเตอรี่มาเป็นเงินออมที่น่าสนใจ
  • ข้อระวัง: หากไม่ถูกรางวัลเลย ผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) มักจะน้อยกว่าเงินฝากประจำ และโอกาสถูกรางวัลใหญ่อาจจะยากหากเงินต้นเราน้อย
  • เหมาะสำหรับ: สายเสี่ยงดวง ชอบลุ้นโชค แต่อยากรักษาเงินต้นไว้
  • เคล็ดลับ: ซื้อสะสมไปทุกเดือน พอสลากชุดแรกครบกำหนด (เช่น ครบ 1 ปี) ก็ถอนทั้งต้นและดอกเบี้ย มาซื้อทบในรอบใหม่ วนไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายปี กองเงินสลากของเราจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และโอกาสถูกรางวัลก็จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนหน่วยที่ถือ

 

ทางเลือกที่ 3 สายสร้างความมั่งคั่งระยะยาว

 

ส่วนใครเป็นสายอยากซิ่ง อยากเห็นเงินเติบโตไวขึ้น ก็พิจารณาขยับมาที่กองทุนรวมได้ โดยนำเงินไปให้ผู้จัดการกองทุนที่เขาเชี่ยวชาญการลงทุนมากกว่าช่วยบริหารจัดการแทนเราโดยนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์

 

  • จุดเด่น: ใช้เงินเริ่มต้นน้อย มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก มีให้เลือกลงทุนหลากหลาย
  • ข้อระวัง: คือการลงทุนมีความเสี่ยง มูลค่าเงินลงทุนอาจผันผวนตามสภาวะตลาด มีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ เงินต้นอาจสูญไประหว่างทาง
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีเงินสำรองแล้ว และต้องการให้เงินงอกเงยชนะเงินเฟ้อในอีก 5-10 ปีข้างหน้า คาดหวังผลตอบแทนสูงขึ้น และรับความผันผวนได้
  • เคล็ดลับ: ทำ DCA (Dollar Cost Averaging) หรือการลงทุนถัวเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน และถ้าเป็นมือใหม่ไม่อยากคิดเยอะ การเลือกกองทุนที่มีนโยบาย Passive ก็เป็นตัวเลือกที่ดี

 

คำแนะนำสำหรับมือใหม่ลงทุน:

 

1. เทคนิค DCA หรือการลงทุนถัวเฉลี่ยทุกเดือนด้วยจำนวนเงินเท่ากัน โดยไม่สนว่าตลาดจะขึ้นหรือลง วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะผิด และสร้างวินัยได้ดีเยี่ยม

 

2. เกาะตลาด (Passive / Index Fund) แทนที่จะไปลุ้นว่าผู้จัดการกองทุนจะเก่งไหม จะเลือกหุ้นถูกตัวไหม ให้เราเลือกลงทุนในกองทุนที่ล้อไปกับดัชนีตลาด เช่น SET50 (หุ้นใหญ่ไทย 50 ตัวแรก) หรือ S&P500 (หุ้นแกร่งสหรัฐฯ 500 ตัว)

  • ในระยะยาว 10 ปีขึ้นไป ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 8-10% ต่อปี
  • ค่าธรรมเนียมมักจะถูกมาก

 

3. พลังของดอกเบี้ยทบต้น หากเราลงทุนเดือนละ 1,000 บาท ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี

  • 10 ปี: เงินต้น 120,000 บาท -> เติบโตเป็น 182,946 บาท
  • 20 ปี: เงินต้น 240,000 บาท -> เติบโตเป็น 589,020 บาท
  • 30 ปี: เงินต้น 360,000 บาท -> เติบโตเป็น 1,490,359 บาท (นี่คือพลังของเวลาที่ทำให้เงินทำงานแทนเรา)

 

ทางเลือกที่ 4 สายออมทอง รักษามูลค่าระยะยาว

 

‘ทองคำ’ สินทรัพย์อมตะที่หลายคนเชื่อมั่นว่ามูลค่าจะชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว แม้ว่าทองแท่ง 1 บาทจะราคาสูงมาก แต่ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันจากร้านทองชั้นนำที่ให้เรา ‘ออมทอง’ ทีละเล็กทีละน้อยได้ (เริ่มที่ 500-1,000 บาท) สะสมน้ำหนักทองไปเรื่อยๆ จนครบแล้วค่อยไปแลกเป็นทองจริง หรือขายเอาเงินสดก็ได้

 

  • จุดเด่น: รักษาอำนาจการซื้อในระยะยาวได้ดี ราคาทองมีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะยาว (10-20 ปีขึ้นไป)
  • ข้อระวัง: ราคาทองผันผวนขึ้นลงรายวัน ไม่มีเงินปันผลจ่ายออกมา (กำไรจะเกิดจากส่วนต่างราคาขายเท่านั้น)
  • เหมาะสำหรับ: คนชอบสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (เมื่อไปแลกมา) และถือลงทุนได้ยาวนาน เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงในยามเศรษฐกิจโลกผันผวนได้ดี
  • เคล็ดลับ: วงการนี้มิจฉาชีพเยอะมาก (ประเภทออมทองกินดอกเบี้ยสูงๆ ใน Facebook/Line นั่นคือแชร์ลูกโซ่) ของจริงต้องเป็นร้านทองชั้นนำที่มีตัวตนจริงเท่านั้น

 

ถ้าเก็บเงิน 1,000 บาททุกเดือน ครบ 5 ปี

 

เงินต้นรวมที่เราเก็บได้ = 60,000 บาท

 

  • เก็บใส่ไห: มีเงิน 60,000 บาท (เท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยลงเพราะของแพงขึ้น)
  • ฝากกินดอกเบี้ย 2%: มีเงินเพิ่มเป็น 63,000 บาท กำไร 3,000 พอเป็นค่าขนม
  • ลงทุนกองทุน/ทอง: มีเงินพุ่งไปถึง 71,500 บาท กำไร 11,500 บาท (ถ้าผลตอบแทนเฉลี่ย ~6-7% ต่อปี)

 

ข้อควรระวัง: กองทุนรวมและทองคำมีความเสี่ยงสูงกว่าเงินฝากหรือสลากอย่างชัดเจน เงินต้นอาจลดลงได้ตามภาวะตลาด ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ

 

กุญแจสำคัญของการเงินไม่ใช่การมีเงินก้อนโตหล่นทับ แต่คือ ‘ความสม่ำเสมอ’ การเติมเงินต้น 1,000 บาทเข้าไปเรื่อยๆ โดยไม่ขาดวินัย เมื่อเวลาผ่านไป ‘พลังของดอกเบี้ยทบต้น’ จะเริ่มทำงาน มันจะเปลี่ยนเงินเท่าหยิบมือของเรา ให้กลายเป็นกองเงินกองทองได้ในสักวันหนึ่ง ขอเพียงแค่เริ่มวันนี้ และทำมันต่อไปเรื่อยๆ อนาคตทางการเงินที่สดใสรอคุณอยู่แน่นอน

 

ภาพ: Anton Vierietin/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post มีเงินเหลือ 1,000 บาท/เดือน นำไปต่อยอดอย่างไรดี? appeared first on THE STANDARD.

]]>
LINE ประเทศไทย อินไซต์ชี้ ‘รองเท้า’ ขึ้นแท่นสินค้าหรูอันดับ 1 ที่คนไทยช้อปสูงสุด แซงหน้า ‘กระเป๋า’ พบคนรุ่นใหม่หันซื้อมาขึ้น https://thestandard.co/thai-luxury-market-shoes-vs-bags-top-rank/ Sat, 22 Nov 2025 07:02:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1146164 LINE ประเทศไทย อินไซต์ชี้ ‘รองเท้า’ ขึ้นแท่นสินค้าหรูอันดับ 1 ที่คนไทยช้อปสูงสุด แซงหน้า ‘กระเป๋า’ พบคนรุ่นใหม่หันซื้อมาขึ้น

LINE ประเทศไทย ได้จัดงาน FLAIR BKK ’25 เพื่ออัปเดตเทรนด […]

The post LINE ประเทศไทย อินไซต์ชี้ ‘รองเท้า’ ขึ้นแท่นสินค้าหรูอันดับ 1 ที่คนไทยช้อปสูงสุด แซงหน้า ‘กระเป๋า’ พบคนรุ่นใหม่หันซื้อมาขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
LINE ประเทศไทย อินไซต์ชี้ ‘รองเท้า’ ขึ้นแท่นสินค้าหรูอันดับ 1 ที่คนไทยช้อปสูงสุด แซงหน้า ‘กระเป๋า’ พบคนรุ่นใหม่หันซื้อมาขึ้น

LINE ประเทศไทย ได้จัดงาน FLAIR BKK ’25 เพื่ออัปเดตเทรนด์อุตสาหกรรมลักชัวรี โดยชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากการครอบครองสิ่งของไปสู่การแสวงหาประสบการณ์ที่มีความหมาย พร้อมทั้งถอดรหัสอินไซต์สำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็น ‘Luxury Destination’ อันดับหนึ่งของเอเชีย

 

ภาพรวมตลาดลักชัวรีโลกและเอเชียแปซิฟิกยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ ข้อมูลจาก Global Wealth and Lifestyle Report 2025 ของ SCB ระบุว่า GDP ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้จำนวนผู้มีความมั่งคั่งสูง (HNWIs) เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปี

 

โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากจีนและอินเดีย ที่น่าสนใจคือ ผู้บริโภคกลุ่มนี้กำลังนิยามความหรูหราใหม่ โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากกว่าเพียงแค่การครอบครองวัตถุ

 

สำหรับประเทศไทย ศุภวดี จึงเจริญสุขยิ่ง ที่ปรึกษาธุรกิจสินค้าลักชัวรี LINE ประเทศไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมลักชัวรีในไทยยังคงเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ทั้งในแง่มูลค่าการใช้จ่ายและการมีส่วนร่วมบนโลกดิจิทัล ผลสำรวจร่วมกับ IPSOS พบว่า 53% ของผู้บริโภคมีแนวโน้มจะใช้จ่ายกับสินค้าลักชัวรีมากขึ้น และกว่า 59% มีแนวโน้มจะซื้อผ่านช่องทางออนไลน์

 

อินไซต์พฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่น่าจับตาในปีที่ผ่านมาคือ ‘รองเท้า’ ได้กลายเป็นสินค้าลักชัวรียอดนิยมอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วนสูงถึง 77% รองลงมาคือเสื้อผ้า (73%) นาฬิกา (70%) และกระเป๋า (69%)

 

นอกจากนี้ แรงจูงใจในการซื้อเพื่อให้รางวัลตนเองยังเป็นปัจจัยหลัก โดยกลุ่มผู้ชายจะเน้นที่คุณภาพของสินค้า ขณะที่กลุ่มผู้หญิงจะให้ความสำคัญกับการแสดงสไตล์ส่วนตัวและการสวมใส่ในโอกาสพิเศษ

 

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการก้าวเข้ามาของกลุ่ม ‘Gen Z’ ในฐานะผู้ติดตามกลุ่มใหม่ ข้อมูลระบุว่ายอดผู้ติดตาม LINE OA ของแบรนด์ลักชัวรีในปีนี้เติบโตขึ้น 33% โดยกลุ่ม Gen Z อายุ 20-29 ปี เพิ่มขึ้นถึง 47% กลุ่มนี้มีพฤติการเลือกซื้อที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความต้องการแสดงความเป็นตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม Millennial และ Gen X ที่ยังคงให้คุณค่ากับคุณภาพและงานฝีมือ

 

พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่กว่า 99% เริ่มต้นจากการหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่ง 66% ของการค้นหาข้อมูลเกิดขึ้นใน LINE Ecosystem การติดตาม LINE OA จึงมีบทบาทสำคัญ โดย 40% ติดตามเพื่อรับข้อมูลสินค้าโดยละเอียด

 

และอีก 40% เพื่อรับข้อเสนอเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่สนใจข้อมูลบริการหลังการขายและการรับประกัน สะท้อนความต้องการข้อมูลเชิงลึกและการดูแลแบบเฉพาะบุคคล ซึ่ง 94% มองว่าการพูดคุยกับ Sales Advisor ผ่าน LINE OA ช่วยสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ

 

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสู่โลกออนไลน์ส่งผลให้แบรนด์ลักชัวรีปรับตัวเข้าสู่ยุค ‘Luxury Marketing’ บน LINE อย่างเต็มตัว ยอดบัญชี LINE OA ของกลุ่มแบรนด์ลักชัวรีเพิ่มขึ้น 46% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 26% ในปีนี้

 

ในขณะที่งบโฆษณาบนแพลตฟอร์มคาดว่าจะเติบโต 18% นอกจากนี้ แบรนด์ยังหันมาใช้ฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม เช่น ริชเมนูที่มียอดการคลิกเพิ่มขึ้น 223% และการส่งข้อความผ่าน API ที่เติบโตถึง 164%

 

ในมุมมองของ THE STANDARD POP ประเทศไทยมีความโดดเด่นในฐานะ Talent และ Cultural Hub ของเอเชีย จากอิทธิพลของคนดังในสื่อและซีรีส์ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคต่างชาติ ส่งผลให้ไทยเป็นตลาดแฟชั่นลักชัวรีที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยมูลค่ากว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์

 

และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% จนถึงปี 2028 ซึ่งถึงเวลานั้น กลุ่ม Millennials และ Gen Z จะกลายเป็นผู้บริโภคหลักที่มีสัดส่วนถึง 80% ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวสู่ยุค ‘Digital-First Luxury’ เพื่อรองรับความต้องการของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

 

ภาพ: PeopleImages / Shutterstock

The post LINE ประเทศไทย อินไซต์ชี้ ‘รองเท้า’ ขึ้นแท่นสินค้าหรูอันดับ 1 ที่คนไทยช้อปสูงสุด แซงหน้า ‘กระเป๋า’ พบคนรุ่นใหม่หันซื้อมาขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
Netflix-Comcast-Paramount เปิดฉากยื่นข้อเสนอซื้อ Warner Bros. Discovery หวังคว้าอาณาจักร Harry Potter และ HBO เข้าพอร์ต https://thestandard.co/wbd-acquisition-netflix-comcast-harry-potter/ Sat, 22 Nov 2025 06:58:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1146161 Netflix-Comcast-Paramount เปิดฉากยื่นข้อเสนอซื้อ Warner Bros. Discovery หวังคว้าอาณาจักร Harry Potter และ HBO เข้าพอร์ต

ยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อบันเทิงอย่าง Paramount Skydance, […]

The post Netflix-Comcast-Paramount เปิดฉากยื่นข้อเสนอซื้อ Warner Bros. Discovery หวังคว้าอาณาจักร Harry Potter และ HBO เข้าพอร์ต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Netflix-Comcast-Paramount เปิดฉากยื่นข้อเสนอซื้อ Warner Bros. Discovery หวังคว้าอาณาจักร Harry Potter และ HBO เข้าพอร์ต

ยักษ์ใหญ่แห่งวงการสื่อบันเทิงอย่าง Paramount Skydance, Comcast และ Netflix ได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการเบื้องต้นสำหรับ Warner Bros. Discovery เจ้าของสตูดิโอภาพยนตร์ระดับตำนานและสถานีโทรทัศน์ HBO อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถือเป็นการเปิดฉากกระบวนการขายสตูดิโอเก่าแก่อายุนับศตวรรษที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมสื่อ

 

ข้อเสนอที่ยื่นเข้ามานี้ยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และคาดว่าจะมีการยื่นข้อเสนอในรอบต่อๆ ไปตามมา โดยทางบริษัทได้แจ้งให้ผู้เสนอราคาทราบว่าได้รับข้อเสนอแล้วและจะติดต่อกลับในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ Warner Bros. Discovery ตั้งเป้าที่จะสรุปกระบวนการขายให้เสร็จสิ้นภายในช่วงกลางถึงปลายเดือนธันวาคมของปีนี้ เพื่อกำหนดทิศทางอนาคตของบริษัท

 

ความแตกต่างสำคัญในการประมูลครั้งนี้อยู่ที่ขอบเขตของสินทรัพย์ที่แต่ละบริษัทต้องการ โดยแหล่งข่าวระบุว่า Paramount เป็นเพียงรายเดียวที่ต้องการซื้อกิจการทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมทั้งสตูดิโอภาพยนตร์ ธุรกิจสตรีมมิง และพอร์ตโฟลิโอเครือข่ายเคเบิลทีวีขนาดใหญ่ เช่น CNN, TNT และ Food Network ในขณะที่ผู้เข้าประมูลรายอื่นมีความต้องการที่แตกต่างออกไป

 

โดยทาง Comcast บริษัทแม่ของ NBCUniversal และ Netflix ยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อเฉพาะส่วนของสตูดิโอภาพยนตร์ สถานีโทรทัศน์ HBO และบริการสตรีมมิง HBO Max เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจเคเบิลทีวีกำลังกลายเป็นส่วนเกินที่ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสตรีมมิงไม่ต้องการแบกรับภาระไว้

 

Paramount Skydance ได้ยื่นข้อเสนอเป็นครั้งที่สี่แล้ว หลังจากที่ข้อเสนอก่อนหน้านี้จำนวน 3 ครั้งถูกปฏิเสธไป โดยคาดว่าจะยื่นข้อเสนอที่เน้นเงินสดเป็นหลักในระดับราคาใกล้เคียงกับข้อเสนอเดิมที่ประมาณ 23.50 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือราว 761 บาท ซึ่งดีลนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Larry Ellison ผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle มหาเศรษฐีระดับโลก

 

สำหรับข้อเสนอของ Comcast นั้นระบุเงื่อนไขให้ Warner Bros. Discovery สามารถแยกธุรกิจเครือข่ายเคเบิลของตนเอง เช่น CNN และ TNT Sports ออกไปได้ก่อนที่การซื้อกิจการจะเสร็จสิ้น โดย Mike Cavanagh ประธานและว่าที่ซีอีโอร่วมของ Comcast ได้ส่งสัญญาณว่าการซื้อสินทรัพย์สตูดิโอจะช่วยส่งเสริมธุรกิจของ NBCUniversal และบริษัทเชื่อว่าดีลนี้มีความเป็นไปได้ทางกฎหมาย

 

Netflix เองก็มีเป้าหมายเพื่อเข้าถึงคลังภาพยนตร์ขนาดใหญ่ของ Warner Bros. และแฟรนไชส์บันเทิงยอดนิยมอย่าง Harry Potter และ Lord of the Rings โดยแหล่งข่าวระบุว่าข้อเสนอของ Netflix จะเป็นไปอย่างมีวินัยทางการเงิน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับคลังคอนเทนต์ของตนเองโดยไม่ก่อหนี้เกินตัว

 

ในขณะที่กระบวนการขายดำเนินไป Warner Bros. Discovery ก็ยังคงเดินหน้าแผนกลยุทธ์เดิมที่จะแยกสินทรัพย์ของบริษัทออกเป็นสองส่วน ได้แก่ บริษัทที่ดูแลธุรกิจสตูดิโอและสตรีมมิง และอีกบริษัทสำหรับเครือข่ายเคเบิลทีวี อย่างไรก็ตาม ความสนใจในการเข้าซื้อกิจการจากภายนอกได้ทำให้ David Zaslav ซีอีโอของบริษัทตัดสินใจเปิดรับกระบวนการขายอย่างเป็นทางการ

 

การเข้าซื้อกิจการใดๆ จะต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกรณีของ Comcast ที่หากได้ครอบครอง Warner Bros. จะทำให้มีสตูดิโอภาพยนตร์ระดับตำนานถึงสองแห่งอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน และจะมีส่วนแบ่งตลาดภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือเกิน 43% ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการผูกขาดตลาด

 

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลด้านการเมือง เนื่องจาก Comcast มักตกเป็นเป้าโจมตีจากประธานาธิบดี Donald Trump อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทปิดตลาดเพิ่มขึ้น 1% ในวันศุกร์ (21 พ.ย.) มาอยู่ที่ 23.19 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือประมาณ 751 บาท โดยราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% นับตั้งแต่มีการประกาศขายกิจการ ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนต่อ ‘ดีลประวัติศาสตร์’ ครั้งนี้

 

หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.39 บาท ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568

 

ภาพ: Lewis Tse / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post Netflix-Comcast-Paramount เปิดฉากยื่นข้อเสนอซื้อ Warner Bros. Discovery หวังคว้าอาณาจักร Harry Potter และ HBO เข้าพอร์ต appeared first on THE STANDARD.

]]>