Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 07 May 2025 03:53:01 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ดีล M&A ทั่วโลกชะงัก ต่ำสุดรอบ 20 ปี ผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ https://thestandard.co/global-ma-deals-stagnate-trump-tax-policy/ Wed, 07 May 2025 03:52:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1071882 ดีล M&A

กิจกรรมการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ทั่วโลกและในสหร […]

The post ดีล M&A ทั่วโลกชะงัก ต่ำสุดรอบ 20 ปี ผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดีล M&A

กิจกรรมการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ทั่วโลกและในสหรัฐอเมริกา ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสองทศวรรษในเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จุดชนวนสงครามการค้าโลก เมื่อวันที่ 2 เมษายน ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนซบเซาหนักยิ่งกว่าช่วงที่เลวร้ายที่สุดของวิกฤตโควิด และวิกฤตการเงินโลกปี 2008

 

ข้อมูลจาก Dealogic ที่รวบรวมให้แก่ Reuters ชี้ว่า จำนวนสัญญา M&A ที่ประกาศทั่วโลกในเดือนเมษายน ลดลงเหลือเพียง 2,330 ดีล ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2005 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนในอดีตถึง 34%

 

สำหรับตลาด M&A ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา มีการลงนามในสัญญาเพียง 555 ดีล ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจำนวนน้อยที่สุดรายเดือนนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2009

 

เหตุการณ์ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกเองว่า ‘วันปลดแอก’ (Liberation Day) เมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเขาได้ประกาศใช้มาตรการกำแพงภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศ ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วตลาดโลกอย่างรุนแรง ส่งผลให้ซีอีโอของหลายบริษัท เช่น Chime ไปจนถึง StubHub ต้องตัดสินใจถอนแผนการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)

 

ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันยังทำให้วาณิชธนากร (Bankers) ซึ่งมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและโบนัสจากการอำนวยความสะดวกในดีลต่างๆ ต้องแนะนำให้ลูกค้าชะลอแผนการทำ M&A และ IPO ออกไปก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนและสม่ำเสมอในนโยบายของสหรัฐฯ

 

ลอเรนโซ พาโอเลตติ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจของ Truist Securities กล่าวว่า “ผมแนะนำให้ลูกค้ารอไปก่อน ซีอีโอและซีเอฟโอยังไม่เข้าใจถ่องแท้ว่ากำแพงภาษีจะส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไร ดังนั้น การถือเงินสดไว้ก่อนจึงดีกว่า”

 

ก่อนหน้านี้ วาณิชธนากรหลายรายคาดการณ์ว่าปี 2025 จะเป็นปีทองสำหรับดีล M&A ภายใต้การบริหารของทรัมป์ที่สนับสนุนภาคธุรกิจ แต่แผนกำแพงภาษีที่จุดชนวนสงครามการค้าโลกได้ทำให้สถานการณ์พลิกผัน

 

มูลค่าดีลร่วงระนาว ความผันผวนพุ่ง

 

แม้จะมีดีลขนาดใหญ่บางดีล เช่น การเข้าซื้อกิจการบริษัทประมวลผลบัตรและบริการบัญชีมูลค่า 2.425 หมื่นล้านดอลลาร์ ของ Global Payments ในเดือนเมษายน ซึ่งช่วยพยุงภาพรวมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการดิ่งลงของมูลค่ากิจกรรม M&A ทั่วโลก โดยข้อมูลจาก Dealogic แสดงให้เห็นว่า มูลค่าดีลในเดือนเมษายนร่วงลงเหลือ 2.43 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงถึง 54% เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาถึง 20%

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความซบเซา ยังมีจุดสว่างสำหรับดีล M&A ในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งมูลค่าส่วนใหญ่อยู่ในทรัพย์สินทางปัญญา เช่น อัลกอริทึมและซอฟต์แวร์ มากกว่าสินค้าที่จับต้องได้ซึ่งอาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำแพงภาษี อุตสาหกรรมเทคโนโลยีคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของมูลค่าดีลรวมเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์ ที่ลงนามในปีนี้ในสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ครองสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่ากิจกรรมดีลทั่วโลก

 

เควิน ค็อกซ์ หัวหน้าฝ่าย M&A ระดับโลกของ Citi กล่าวว่า ความไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อแต่ละอุตสาหกรรมแตกต่างกัน กลุ่มโทรคมนาคม สื่อ บริการ น้ำมันและก๊าซ และสาธารณูปโภค เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า ขณะที่บางส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิต การดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยี กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่เนื่องจากการประกาศใช้ภาษี “ใครก็ตามที่เป็นผู้ผลิต ไม่ว่าจะนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ หรือส่งออกสินค้าสำเร็จรูปไปต่างประเทศ จะได้รับผลกระทบทั้งหมด” ค็อกซ์กล่าว

 

ทีมงานของเขากำลังแนะนำให้ลูกค้าใช้เวลาในการทำความเข้าใจความเสี่ยงเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้นกับโมเดลธุรกิจของบริษัทเป้าหมายและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ โดยเมื่อวันที่ 22 เมษายน Citi ได้ให้คำปรึกษาแก่ Boeing ในการขาย Jeppesen ซึ่งเป็นบริษัทย่อยด้านซอฟต์แวร์การบิน ให้กับ Thoma Bravo ในมูลค่า 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นดีลในกลุ่มเทคโนโลยี

 

ภาพ: metamorworks / Getty Images

อ้างอิง:

The post ดีล M&A ทั่วโลกชะงัก ต่ำสุดรอบ 20 ปี ผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C รับ นักท่องเที่ยวจีนหายไปกระทบยอดขายสาขาในย่านท่องเที่ยว https://thestandard.co/bigc-chinese-tourist-impact/ Tue, 06 May 2025 13:50:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1071813 bigc-chinese-tourist-impact

อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C เผยนักท่องเที่ยวจีนหายไป กระทบ […]

The post อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C รับ นักท่องเที่ยวจีนหายไปกระทบยอดขายสาขาในย่านท่องเที่ยว appeared first on THE STANDARD.

]]>
bigc-chinese-tourist-impact

อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C เผยนักท่องเที่ยวจีนหายไป กระทบยอดขายบิ๊กซี สาขาจุดแลนด์มาร์กใจกลางเมือง พร้อมประเมินเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ฉุดกำลังซื้อในประเทศ เดินหน้าบุกหนักตลาดต่างประเทศ

 

อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้คนในประเทศ ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บรรยากาศการจับจ่ายไม่ค่อยคึกคักถ้าเทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองก็เก็บเงินไว้ซื้อของให้ลูกในช่วงก่อนเปิดเทอม

 

อีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วนจากภาษีสหรัฐฯที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงในรูปแบบไหน และยังไม่มีความชัดเจน สำหรับไทยเราเป็นประเทศขนาดกลาง แต่ทุกๆ อย่างก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก ถ้าตกลงกันเรื่องภาษีได้

 

“ประเมินว่าครึ่งปีหลังน่าจะได้รับสัญญาณบวก แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ครึ่งปีหลังจนถึงครึ่งปีหน้าก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทุกคนเตรียมพร้อมกับความยากลำบากที่จะเกิดขึ้น ทำให้มีการลดการใช้จ่าย ต้องยอมรับว่ากระทบค้าปลีกทั้งตลาด ทั้งบิ๊กซีและคู่แข่ง” อัศวิน ย้ำ

 

พร้อมกล่าวต่อไปว่า ‘บิ๊กซี’ ในบางสาขาที่เน้นจับนักท่องเที่ยวโดยตรง เช่น ราชดำริ และรัชดา นั้นได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง จากเดิมแล้วในช่วงเริ่มต้นเดือนพฤษภาคม นักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาจำนวนมาก แต่ปัจจุบันหายไปค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของจีนที่กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ

 

ความท้าทายรอบด้านที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นแบบไหนยังมีการลงทุนต่อเนื่อง เพียงแต่ในปีนี้จะไปบุกหนักตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม และมองหาโอกาสขยายไปยังตลาดใหม่ๆ จากเดิมที่ได้ขยายไปฮ่องกง, กัมพูชา, สปป.ลาว และเวียดนามแล้ว

 

พร้อมปรับกลยุทธ์ทั้งในแง่ของการหาสินค้า ราคาคุ้มค่าและการบริการเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญ ‘ช้อปครบคุ้ม รับเปิดเทอมที่บิ๊กซี นำสินค้า Back to School กว่า 7,000 รายการมาลดราคาสูงสุด 50% คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากกว่า 500 ล้านบาท และยังช่วยลดค่าครองชีพของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

 

ส่วนสาขาในแหล่งท่องเที่ยว ก็จะพยายามหาลูกค้าประเทศใหม่ๆ เข้ามาทดแทนจีน ส่วนการขยายสาขายังเดินหน้าตามแผนเดิม ที่ผ่านมามีการขยายสาขาใหม่ๆ และรีโนเวตสาขาเดิมอยู่เป็นระยะๆ

The post อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C รับ นักท่องเที่ยวจีนหายไปกระทบยอดขายสาขาในย่านท่องเที่ยว appeared first on THE STANDARD.

]]>
อีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์อย่างไร? https://thestandard.co/ai-future-impact-5-years/ Tue, 06 May 2025 07:30:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1071648 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ปมความขัดแย้งกับกระทรวงยุติธรรมกรณีคดีฮั้วเลือก สว.

ท่ามกลางความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของปัญญาประดิษฐ์ (A […]

The post อีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ปมความขัดแย้งกับกระทรวงยุติธรรมกรณีคดีฮั้วเลือก สว.

ท่ามกลางความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?

 

AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตและการทำงานของเราไปในทิศทางไหน? ความกลัวเรื่องการถูกแทนที่จะเป็นจริง หรือนี่คือโอกาสครั้งสำคัญในการยกระดับศักยภาพมนุษย์?

 

THE STANDARD WEALTH มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษผู้บริหารระดับสูงของ Google Cloud หลายท่าน จากงาน Google Cloud Next 2025 เพื่อฉายภาพอนาคตอันใกล้ที่ AI กำลังจะเข้ามามีบทบาทกับเราทุกคน

 

AI ผู้เสริมศักยภาพมนุษย์ในอีก 5 ปีข้างหน้า

 

มุมมองที่ชัดเจนจากผู้บริหาร Google Cloud คือ แก่นแท้ของ AI ยุคใหม่ โดยเฉพาะ Generative AI ไม่ใช่การเข้ามาทดแทนมนุษย์ แต่เป็นการ ‘เสริมศักยภาพ (Augment) มนุษย์ได้อย่างมหาศาล ทั้งในวิธีที่เราคิด สร้างสรรค์ และแก้ปัญหา’ Erwan Menard, Director, Cloud AI กล่าว

 

Menard ย้ำว่าความสามารถหลายอย่างของ AI ที่ดูน่าทึ่งในงาน Google Cloud Next 2025 นั้น “ใช้งานได้จริงวันนี้” ไม่ว่าจะเป็นการสร้างประสบการณ์ลูกค้าเฉพาะบุคคล (Personalized Customer Experiences), การสร้างสรรค์สื่อ (ภาพ, วิดีโอ, เพลง) หรือการเข้าถึงความรู้ดังที่กล่าวไปแล้ว

 

สำหรับอนาคตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เขาคาดการณ์ว่าจะเห็นการพัฒนาใน 3 ด้านหลัก:

 

  1. ความสามารถในการให้เหตุผล (Reasoning) AI จะเก่งขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น
  2. การประมวลผลหลายรูปแบบ (Multi-modality) การโต้ตอบกับ AI จะเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น การพูดคุยผ่านเสียง (Live API) ที่จะรวดเร็วและอาจแปลภาษาได้ทันที
  3. ระบบของ Agent (Systems of Agents) AI หลายๆ ตัวจะสามารถทำงานร่วมกันและประสานงานกันเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ เช่น การระดมสมองเพื่อหาไอเดียใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

 

Will Grannis, Vice President เสริมว่า แม้กระทั่งในกระบวนการหลักของ Google เองอย่างวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ปัจจุบัน AI ได้เข้ามามีบทบาทในการประเมินโค้ดถึง 30% และกำลังขยายไปสู่การช่วยวางแผนและออกแบบ เช่น เครื่องมือ Co-scientist ซึ่ง Google กำลังนำบทเรียนเหล่านี้มาพัฒนาเป็นเครื่องมือให้ลูกค้าได้ใช้งาน อรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย มองว่า “AI ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเราไปแล้ว ไม่ต่างจากอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ” 

 

AI จะช่วยให้เราฉลาดขึ้น สามารถทำบางอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน และทำอะไรหลายอย่างได้ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น รวมทั้งการเข้าช่วยทำงานที่ซ้ำซ้อนและน่าเบื่อ และมีเวลาไปทำสิ่งที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นได้ 

 

AI กำลังพลิกโฉมการทำงาน โจทย์ของคนคือ Reskill

 

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลและการทำงาน Menard ชี้ว่า AI กำลังจะเปลี่ยนประสบการณ์จากการต้องค้นหาข้อมูลในแอปพลิเคชันหรือคลังความรู้ที่กระจัดกระจาย ไปสู่ ‘การพูดคุยกับ AI’ เพื่อดึงข้อมูล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ 

 

Menard ยกตัวอย่างเพื่อนสถาปนิกที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิค ก็สามารถใช้ AI ช่วยงานที่น่าเบื่อ เพื่อเพิ่มเวลาให้กับงานออกแบบที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ “อุปสรรคในการเริ่มต้นใช้งาน AI นั้นต่ำมาก ตราบใดที่คุณมีความอยากรู้อยากเห็น คุณก็สามารถใช้ประโยชน์ได้”

 

เมื่อถามถึงประเด็นที่หลายคนกังวลที่สุด คือ AI จะมาแทนที่งานมนุษย์หรือไม่ Menard ให้มุมมองว่า “AI จะเปลี่ยนวิธีที่เราทำงาน และผลที่ตามมาคือ AI จะสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมา และจะทำให้งานอื่นๆ บางอย่างง่ายขึ้นอย่างมาก”

 

เขาเปรียบเทียบกับการเข้ามาของรถยนต์ที่แทนที่ม้า ซึ่งไม่ได้ทำให้คนตกงานทั้งหมด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของงาน ทำให้เกิดทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็น เช่น การขับรถ, การซ่อมรถ ขณะที่ทักษะเดิมบางอย่างมีความต้องการน้อยลง

 

Menard ยอมรับว่าบางธุรกิจอาจใช้ AI ทำให้ ‘ทำอะไรได้มากขึ้นด้วยคนจำนวนน้อยลง’ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับการใช้ระบบอัตโนมัติในโรงงาน แต่หัวใจสำคัญคือ ‘การนิยามภูมิทัศน์ตลาดงาน (Job Market Landscape) ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับความต้องการทักษะใหม่ๆ’ ดังนั้นการเตรียมพร้อมเพิ่มทักษะใหม่ (Reskilling) จึงเป็นสิ่งจำเป็น

 

Grannis บอกว่า AI กำลังเข้ามาช่วยในกระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การสรุปประเด็นสำคัญจากการประชุมหรือเอกสารจำนวนมาก หรือการกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกจากการทำงานร่วมกัน 

 

นอกจากนี้ ทิศทางในอนาคตคือการสร้าง ‘ระบบของ Agent’ (Systems of Agents) ซึ่งเป็น AI ขนาดเล็กที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถทำงานร่วมกันและประสานงานกันเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ เช่น การระดมสมองหาไอเดียใหม่ (Agent Builder) หรือการจัดการการเดินทางที่ซับซ้อน ซึ่ง Grannis มองว่านี่คือ ‘คลังของ Agent ที่เชื่อมต่อกัน’ (Cloud of Connected Agents) ที่จะสร้างคุณค่ามหาศาลในระยะยาวความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ตัวเทคโนโลยี แต่คือ ‘การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management)’ การจัดการกับความกลัว ความคาดหวัง และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้ใช้งาน 

 

คำแนะนำสำหรับการเริ่มใช้ AI 

 

เมื่อถามถึงเครื่องมือ AI ที่อยากแนะนำ Menard เลือก ‘Notebook LM’ ซึ่งเปรียบเสมือน ‘AI ส่วนตัวที่คุณสามารถแชตด้วยได้เกี่ยวกับความรู้ของคุณเอง’ เขายกตัวอย่างการใช้งานส่วนตัวในการอัปโหลดเอกสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Google Cloud เข้าไป แล้วสามารถสอบถามข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วระหว่างการประชุม หรือแม้กระทั่งสั่งให้สรุปเนื้อหาเป็นไฟล์เสียงสั้นๆ ได้

 

สุดท้าย Menard ทิ้งท้ายถึงสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นที่สุดในฐานะคนทำงานด้าน AI ว่าคือ ‘การคิดค้นวิธีที่เราทำงานขึ้นมาใหม่’ (Reinvent the way we work) การที่ AI สามารถช่วยค้นหา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติผ่านการสนทนา กำลังจะเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานไปอย่างสิ้นเชิง สำหรับคนไทยและธุรกิจไทยที่ต้องการเตรียมพร้อมและก้าวให้ทันโลก AI Menard แนะนำว่า:

 

  1. เริ่มต้นจาก ‘ทำไม’ (Start with Why) “สิ่งที่สำคัญคือ ทำไมฉันถึงจะใช้มัน? มุ่งเน้นไปที่ ‘ทำไม’ และเจตนา” ควรมองว่า AI จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจ หรือปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้นได้อย่างไร แทนที่จะไล่ตามเทคโนโลยีใหม่ๆ เพียงอย่างเดียว
  2. ลงมือใช้และเรียนรู้ ‘คุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพื่อสร้างความเห็น’ เนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาเร็วมาก การได้ทดลองใช้เครื่องมือต่างๆ จะช่วยให้เข้าใจและเห็นโอกาสในการนำไปปรับใช้ได้ดีที่สุด

 

ด้าน Grannis ทิ้งท้ายถึงพรมแดนต่อไปของ AI ที่น่าตื่นเต้นคือ ‘Situated Agents’ หรือ Agent ที่ไม่ได้ถูกฝึกมาล่วงหน้าเพียงอย่างเดียว แต่สามารถ ‘เรียนรู้และพัฒนาไปพร้อมๆ กับเรา’

 

ลองนึกภาพ Agent ที่รับรู้สิ่งที่คุณเห็น ได้ยิน หรือสัมผัสผ่านอุปกรณ์สวมใส่หรือเซ็นเซอร์ต่างๆ และสามารถให้คำแนะนำด้านสุขภาพ การเดินทาง หรือด้านอื่นๆ ได้อย่างเฉพาะเจาะจงและปรับเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ของคุณ นี่คือภาพอนาคตที่ AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างแท้จริง

 

โดยสรุป ในอีก 5 ปีข้างหน้า AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่จะทำหน้าที่เป็น ‘คู่คิด’ และ ‘ผู้เสริมศักยภาพ’ ที่ทรงพลัง ช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และเข้าถึงความรู้ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กุญแจสำคัญอยู่ที่การเปิดรับ เรียนรู้ ปรับตัว และนำเทคโนโลยีนี้มาใช้อย่างมีเป้าหมายและมีความรับผิดชอบ

The post อีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งแดนมังกรที่น่าสนใจและเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นจีนแห่งปี 2025 [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/china-stock-opportunities-2025/ Tue, 06 May 2025 06:50:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1069321 CGSITH

เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งในประเทศจีนที่มีความน่าสนใจ […]

The post เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งแดนมังกรที่น่าสนใจและเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นจีนแห่งปี 2025 [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
CGSITH

เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งในประเทศจีนที่มีความน่าสนใจ และเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นจีนแห่งปี 2025 ตั้งแต่เทคโนโลยี AI รถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์กีฬาและลักชัวรีจีนที่ดังไกลระดับโลก การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแบบก้าวกระโดด ไปจนตลาดใหม่อย่างอาร์ตทอย

 

Bazooka Stimulus มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศจีน

 

ประเทศจีนกำลังเป็นประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังภาครัฐของจีนแผ่นดินใหญ่เดินหมากกระตุ้นเศรษฐกิจให้เศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้ไม่เต็มที่ ก็กลับมาฟื้นในหลายภาคส่วน และในต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ‘การประชุมสองสภา’ ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ของทางการเมืองระดับชาติที่สำคัญของจีนในการกำหนดทิศทางนโยบายชาติ โดยประเทศจีนตั้งเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 5% ในปี 2025

 

 

เป้าหมายนี้ถือว่าเป็นเป้าหมายที่ใหญ่มาก แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกต่อการเติบโตของประเทศจีนก็ยังมีอยู่มากมาย อย่างเช่นนโยบาย Bazooka Stimulus ที่เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีน ซึ่งช่วยให้ความมั่นใจของผู้บริโภคและการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

 

ในด้านเทคโนโลยีอย่าง AI ที่กำลังเป็นโอกาสสำคัญในการแข่งขันของประเทศมหาอำนาจ ที่ไม่นานมานี้ ประเทศจีนได้ท้าทายสหรัฐอเมริกาด้วยการเปิดตัว AI อย่าง Deepseek ที่ทั้งภาครัฐก็แสดงการสนับสนุนเป็นอย่างมาก เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

 

5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งจีนที่เป็นธีมการลงทุนปี 2025

 

ในปี 2025 นี้ THE STANDARD WEALTH ได้พูดคุยกับ CGS International (Thailand) ผู้ให้บริการด้านผลิตภัณฑ์ทางการเงินและผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนและเศรษฐกิจจีน พบว่าปัจจุบันเศรษฐกิจจีนกำลังมี 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งที่กำลังเป็นดาวเด่นและเป็น ‘โอกาส’ รวมถึงเป็นธีมการลงทุนในตลาดหุ้นจีน และนี่คือ 5 อุตสาหกรรมสำคัญ

 

อุตสาหกรรมที่ 1: เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์

 

จีนตระหนักดีว่าการแข่งขันทางเศรษฐกิจในอนาคตขึ้นอยู่กับศักยภาพทางเทคโนโลยี การลงทุนใน AI และเซมิคอนดักเตอร์กลายเป็นวาระแห่งชาติ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ได้รับเลือกให้เป็นพาร์ตเนอร์ AI สำหรับ iPhone ในจีน ซึ่งเป็นการร่วมมือที่สำคัญและช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดของ Alibaba มากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งยังวางแผนลงทุนกว่า 5.244 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์และ AI รวมถึงเปิดตัวโมเดล AI Qwen 2.5 ซึ่งอ้างว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า DeepSeek-V3

 

 

สำหรับ Tencent ได้ปรับโครงสร้างพอร์ตโฟลิโอ AI ของตนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น ล่าสุดได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลคลาวด์ Tencent Cloud แห่งแรกในตะวันออกกลางที่ซาอุดีอาระเบีย โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายคลาวด์ระดับโลกและขยายบริการ AI และ SaaS

 

ขณะที่ SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของจีน กำลังขยายกำลังการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาชิปนำเข้าจากตะวันตก โดยกำลังร่วมมือกับ Huawei ในการผลิตชิป AI Ascend 910C ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทันสมัยที่สุดของจีน และได้รับเงินอุดหนุนและเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีชิปในประเทศ

 

นอกจากนี้ ความสำเร็จของ DeepSeek AI เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าจีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้เพิ่มงบประมาณวิจัยและพัฒนาในสาขานี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนในการแย่งชิงความเป็นผู้นำด้าน AI ภายในทศวรรษหน้า

 

อุตสาหกรรมที่ 2: รถยนต์ไฟฟ้าจีนและสมาร์ทคาร์ 

 

จีนได้สร้างสรรค์นวัตกรรมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจนสามารถขึ้นแท่นผู้นำของโลก โดยมี BYD เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ด้วยยอดขายที่ขึ้นมาใกล้เคียง Tesla ในปี 2024 และมีแนวโน้มที่อาจจะทำยอดขายได้สูงกว่า Tesla ในอนาคตอันใกล้ ด้วยจุดเด่นของ BYD ที่สามารถลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) และปรับปรุงประสิทธิภาพแบตเตอรี่ให้สูงขึ้น ทำให้สามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่แข่งขันได้

 

 

นอกจาก BYD แล้ว Li Auto เลือกใช้กลยุทธ์ที่แตกต่าง โดยเน้นผลิตรถยนต์ SUV ไฮบริดที่เหมาะสมกับตลาดเอเชีย ซึ่งยังมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ EV ไม่สมบูรณ์ ทั้งสองบริษัทมีจุดเด่นในการผสาน AI เข้ากับระบบขับขี่อัจฉริยะ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนให้สามารถแข่งขันกับค่ายรถจากยุโรปและสหรัฐฯ ได้อย่างเต็มที่

 

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ BYD มีปัจจัยหลักที่สนับสนุน ได้แก่ การขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งในจีนและตลาดโลก ความสำเร็จในการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า ไปยังประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาลจีน ที่ผลักดันการใช้พลังงานสะอาดผ่านมาตรการจูงใจ เช่น เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ BYD ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้

 

อุตสาหกรรมที่ 3: สินค้าแบรนด์กีฬาและลักชัวรีจีน

 

ภาพลักษณ์ของสินค้าจีนกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนรุ่นใหม่ที่เริ่มให้ความสำคัญกับแบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้น กระแส “Guochao” หรือ “ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมจีน” ได้ผลักดันให้แบรนด์จีนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ANTA และ Li-Ning เป็นตัวอย่างความสำเร็จที่สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์จีนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งนวัตกรรมและคุณภาพสูง จนสามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Nike และ Adidas ได้อย่างสูสี ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการมุ่งเน้นการออกแบบสินค้าที่ตอบโจทย์ตลาดท้องถิ่น การดึงพรีเซนเตอร์ชื่อดังระดับโลก เช่น ไครี่ เออร์วิ่ง นักบาสเกตบอล NBA ที่เป็นพรีเซนเตอร์ของ ANTA

 

นอกจากนี้ แบรนด์เหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมกีฬา ทั้งในแง่ของการสร้างงาน การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดจนการเพิ่มรายได้ภายในประเทศ และลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างชาติ

 

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จของ ANTA และ Li-Ning คือการมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง และการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคท้องถิ่นได้อย่างตรงจุด

 

 

Bosideng แบรนด์เสื้อกันหนาวของจีนก็กำลังขยายตลาดสู่ยุโรป โดยใช้กลยุทธ์การออกแบบที่ทันสมัยและวัสดุคุณภาพสูงเพื่อสร้างความแตกต่าง การให้ความสำคัญกับงานออกแบบและนวัตกรรมทำให้แบรนด์จีนได้รับการยอมรับในระดับสากลมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ส่วน Laopu Gold แบรนด์เครื่องประดับลักชัวรีจากจีน สร้างความสำเร็จในตลาดด้วยกลยุทธ์ เช่น การออกแบบเครื่องประดับทองคำแบบดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์ การทำมือด้วยงานฝีมือคุณภาพสูง และการกำหนดราคาที่เน้นคุณค่าของงานศิลป์ ช่วยให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่ง และขยายช่องทางการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มความน่าเชื่อถือ

 

อุตสาหกรรมที่ 4: การท่องเที่ยวและบริการ

 

การท่องเที่ยวของจีนกำลังฟื้นฟูอย่างน่าประทับใจด้วยมาตรการวีซ่า คาดว่าในปี 2025 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางต่างประเทศถึง 95 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 52% โดย Trip.com เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจีน โดยบริษัทได้ใช้กลยุทธ์ G2 ประกอบด้วย การขยายตัวในระดับโลก (Globalization) และการให้บริการที่เป็นเลิศ (Great Services)

 

 

Trip.com ได้พัฒนาตนเองเป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวครบวงจร โดยใช้เทคโนโลยี AI และข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและนำเสนอแพ็กเกจการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแม่นยำ

 

การเติบโตของ Trip.com สะท้อนถึงการลงทุนและการเติบโตในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และสร้างงานในจีน การเติบโตนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

 

อุตสาหกรรมที่ 5: อาร์ตทอยและวัฒนธรรมใหม่

 

อุตสาหกรรมอาร์ตทอยกำลังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้จีนมหาศาล โดย Pop Mart เป็นตัวอย่างของบริษัทที่สามารถพัฒนาตลาดนี้ให้เติบโตทั้งในจีนและต่างประเทศ ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) อย่าง Labubu และ Molly กลายเป็นของสะสมยอดนิยม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของจีน

 

 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอาร์ตทอยเติบโตคือกลุ่ม Gen Z ที่นิยมสะสมอาร์ตทอยมากขึ้น โดยมองว่าเป็นงานศิลปะรูปแบบใหม่

 

Pop Mart ใช้กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพหลายอย่าง เช่น กลยุทธ์การตลาดแบบสร้างความขาดแคลนเพื่อกระตุ้นการซื้อ การเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องทำให้ผู้บริโภครู้สึกตื่นเต้นและอยากสะสม รวมถึงการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลก

 

ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ Pop Mart สามารถขยายตลาดไปต่างประเทศได้ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

โอกาสของประเทศจีนในความท้าทาย

 

แม้ว่าประเทศจีนจะเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์และความตึงเครียดจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แต่ก็ยังมีโอกาสสำคัญในการฟื้นตัวและเติบโตต่อไป

 

วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในปี 2024 อาจต้องใช้เวลาฟื้นตัว แต่ในครึ่งหลังของปี 2025 ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น และเริ่มมีเสถียรภาพอย่างมากในปี 2026

 

อย่างไรก็ตาม จีนได้เดินหน้าขยายตลาดส่งออกไปยังแอฟริกา ลาตินอเมริกา และอาเซียน เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และต่อสู้กับกำแพงภาษี 20% จากสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนของจีนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังผลักดันให้เกิดการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

 

คว้าโอกาสกับผู้เชี่ยวชาญหุ้นจีน CGS International (Thailand)

 

CGS International Securities (Thailand) Co., Ltd. เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่โดดเด่นด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A+ (จัดอันดับโดย บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด) พร้อมด้วยรางวัลเกียรติยศต่างๆ เช่น

 

  • FinanceAsia Awards 2024 – รางวัล Broker ในประเทศยอดเยี่ยม
  • Institutional Investor Awards – อันดับ 1 ในด้านวิจัย และอันดับ 1 ในการเทรดและการดำเนินการ
  • รางวัล โครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน” เฟส 2 ประจำปี 2567 โดยสำนักงาน ก.ล.ต.  – รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน
  • SET Awards 2024 – รางวัลบริษัทหลักทรัพย์ดีเด่น ประเภทนักลงทุนสถาบัน กลุ่มความเป็นเลิศทางธุรกิจ
  • ACES Awards – บริษัทที่มีผลประกอบการยอดเยี่ยมในเอเชีย

 

คว้าโอกาสกับผู้เชี่ยวชาญหุ้นจีน CGS International (Thailand)

 

  • รางวัล 18th Alpha Southeast Asia Awards – Best Perpetual Bond 2024 รางวัลที่ปรึกษา การเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

 

CGS International โดดเด่นด้านการวิจัยและการลงทุน ด้วยทีมวิจัยที่เคยได้รับรางวัลระดับแนวหน้า อาทิ รางวัล Best Research Team และ Best Research in ESG มีทีมนักวิเคราะห์มืออาชีพของ CGS International วิเคราะห์หุ้นได้ครอบคลุมถึง 83 ตัว

 

นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายที่แข็งแรง ครอบคลุมกว่า 15 ประเทศทั่วโลก มีสาขามากถึง 37 แห่ง และสาขาย่อยด้านหลักทรัพย์กว่า 495 แห่ง มีแพลตฟอร์มออนไลน์ ใช้งานง่าย เข้าถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนได้ครบวงจร ทั้งหุ้น กองทุนรวม ตราสารอนุพันธ์ หรือตราสารหนี้

 

กองทุนส่วนบุคคล High Conviction China Focus เลือกหุ้นจีนคุณภาพสูง

 

กองทุนส่วนบุคคล High Conviction China Focus ของบริษัทหลักทรัพย์ CGS International (Thailand) เป็นกองทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นจีนที่มีศักยภาพเติบโตสูง กองทุนนี้มีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้น่าสนใจ ดังนี้

 

 

1. เน้นลงทุนในหุ้นศักยภาพสูง: 

คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยเน้นลงทุนแบบกระจุกตัวในหุ้นเกรด A ที่ผ่านการวิเคราะห์อย่างละเอียด

 

2. ผลตอบแทนที่โดดเด่น:

ในปี 2024 กองทุน High Conviction China Focus สร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 63% และผลตอบแทนในปี 2025 ตั้งแต่ต้นปี ก็ทำได้สูงถึง 47% (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568) เนื่องจากการคัดเลือกหุ้นที่แข็งแกร่ง เช่น Pop Mart, Trip.com, BYD และ LAOPUGOLD ซึ่งเป็นหุ้นหลักในพอร์ตการลงทุน

 

3. ทีมผู้จัดการกองทุนผู้เชี่ยวชาญ:

ทีมผู้จัดการกองทุนมีความเชี่ยวชาญในตลาดหุ้นจีน และมีประสบการณ์ในการบริหารกองทุนมานานกว่า 15 ปี

 

4. ความน่าเชื่อถือ: 

CGSI เป็นบริษัทหลักทรัพย์ในเครือ China Galaxy Securities บริษัทหลักทรัพย์ใหญ่อันดับ 3 ในประเทศจีน มีความน่าเชื่อถือสูง และมีเครือข่ายที่กว้างขวาง ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึก และมีโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า

 

5. เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนในระยะยาว:

กองทุน High Conviction China Focus เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชื่อมั่นในการลงทุนแบบกระจุกตัว และมองหาผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว

 

ด้วยศักยภาพของอุตสาหกรรมดาวเด่นทั้ง 5 นี้ ผนวกกับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้จีนเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2025 สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการเติบโตในระยะยาว การศึกษาและทำความเข้าใจในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุนในตลาดจีน

 

อ้างอิง:

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

The post เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งแดนมังกรที่น่าสนใจและเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นจีนแห่งปี 2025 [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
TikTok ‘รอด’ ชั่วคราว? ทรัมป์ส่งสัญญาณ ‘ขยายเส้นตาย’ ขายกิจการ อ้าง ‘ถูกใจ’ แอปดังช่วยหาเสียง https://thestandard.co/trump-signals-tiktok-deadline-extension/ Mon, 05 May 2025 11:03:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1071244 ประธานาธิบดี ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ NBC News ส่งสัญญาณขยายเส้นตายให้ TikTok ชี้ชื่นชอบแอปดังที่ช่วยดึงคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชัดเจนว […]

The post TikTok ‘รอด’ ชั่วคราว? ทรัมป์ส่งสัญญาณ ‘ขยายเส้นตาย’ ขายกิจการ อ้าง ‘ถูกใจ’ แอปดังช่วยหาเสียง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประธานาธิบดี ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ NBC News ส่งสัญญาณขยายเส้นตายให้ TikTok ชี้ชื่นชอบแอปดังที่ช่วยดึงคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชัดเจนว่า เขาพร้อมจะขยาย 

 

‘เส้นตาย’ วันที่ 19 มิถุนายน ออกไปอีก หาก ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ในจีน ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ‘ขายกิจการ’ ของแอปวิดีโอสั้นยอดนิยมที่มีผู้ใช้งานชาวอเมริกันถึง 170 ล้านคน ได้ทันเวลา

 

“ผมอยากเห็นการเจรจานี้สำเร็จ” ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับรายการ Meet the Press with Kristen Welker ของ NBC News ซึ่งถูกบันทึกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่คฤหาสน์ Mar-a-Lago ของเขาในฟลอริดา และออกอากาศทั่วสหรัฐฯ ในวันอาทิตย์ 

 

ทรัมป์เปิดเผยว่าเขารู้สึกดีต่อแอปดังกล่าว เนื่องจากมันช่วยดึงดูดคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 พร้อมเสริมว่า ‘TikTok เป็นแอปที่น่าสนใจ และจะได้รับการคุ้มครอง’



นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์ผ่อนผันเส้นตายบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านโดยสภาคองเกรส ซึ่งเดิมกำหนดให้ TikTok ต้องยุติการดำเนินงานหรือขายกิจการภายในเดือนมกราคม โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ขยายเวลาออกไปแล้วถึง 2 ครั้ง นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม และเลือกที่จะไม่บังคับใช้เส้นตายเดิมทันที

 

ก่อนหน้านี้มีความพยายามผลักดันข้อตกลงที่จะแยกธุรกิจ TikTok ในสหรัฐฯ ออกมาเป็นบริษัทใหม่ที่มีฐานในสหรัฐฯ และมีนักลงทุนชาวอเมริกันเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการหลัก แต่ข้อตกลงดังกล่าวต้องหยุดชะงักไป หลังจากจีนส่งสัญญาณว่าจะไม่อนุมัติ สืบเนื่องมาจากการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอย่างหนักของทรัมป์

 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากแหล่งข่าวใกล้ชิดนักลงทุนฝั่งสหรัฐฯ ของ ByteDance เมื่อเดือนที่แล้วว่า การเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปก่อนถึงเส้นตาย 19 มิถุนายน แต่ทำเนียบขาวและรัฐบาลปักกิ่งจำเป็นต้องแก้ไข ‘ข้อพิพาทภาษี’ กันให้ได้เสียก่อน 

 

ขณะที่วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตบางส่วนโต้แย้งว่า ทรัมป์ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะขยายเส้นตายออกไป และชี้ว่าข้อตกลงที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอาจไม่เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

 

ทรัมป์กล่าวกับ NBC News ว่า จีนกระตือรือร้นที่จะบรรลุข้อตกลง โดยอ้างถึงผลกระทบจากกำแพงภาษี 145% ที่มีต่อเศรษฐกิจจีน เขายืนยันว่าจะไม่ลดภาษีลงเพื่อดึงจีนเข้าสู่โต๊ะเจรจา แต่ก็อาจพิจารณาลดภาษีลงในภายหลัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่กว้างขึ้น 

 

“ในอนาคต ผมจะลดภาษีลง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น เราจะไม่สามารถทำธุรกิจร่วมกับจีนได้เลย และพวกเขาก็ต้องการทำธุรกิจกับเรามาก” เขากล่าว

 

กฎหมายเดิมกำหนดให้ TikTok ต้องหยุดดำเนินการภายในวันที่ 19 มกราคม เว้นแต่ ByteDance จะขายสินทรัพย์ในสหรัฐฯ เสร็จสิ้น แต่หลังจาก ทรัมป์เริ่มดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ในวันที่ 20 มกราคม เขาก็เลือกที่จะไม่บังคับใช้ และได้ขยายเส้นตายครั้งแรกไปเป็นต้นเดือนเมษายน 

 

ก่อนจะขยายอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้วเป็นวันที่ 19 มิถุนายน การส่งสัญญาณครั้งล่าสุดนี้จึงเป็นการเปิดทางสำหรับการขยายเวลาครั้งที่ 3 หากจำเป็นเพื่อให้การเจรจาซื้อขายกิจการสามารถดำเนินต่อไปได้

 

อ้างอิง:

The post TikTok ‘รอด’ ชั่วคราว? ทรัมป์ส่งสัญญาณ ‘ขยายเส้นตาย’ ขายกิจการ อ้าง ‘ถูกใจ’ แอปดังช่วยหาเสียง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ปรับวิธีคิดอย่างไรในช่วง ‘ตลาดเป็นขาลง’? | NEW GEN INVESTOR EP.53 https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-53/ Sat, 03 May 2025 05:10:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1070825

ตลาดเป็นขาลง ไม่ใช่จุดจบ แต่คือบททดสอบของ ‘วิธีคิด’! ใน […]

The post ชมคลิป: เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ปรับวิธีคิดอย่างไรในช่วง ‘ตลาดเป็นขาลง’? | NEW GEN INVESTOR EP.53 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลาดเป็นขาลง ไม่ใช่จุดจบ แต่คือบททดสอบของ ‘วิธีคิด’! ในวันที่ตัวเลขแดงทั้งกระดาน นักลงทุนหลายคนหวั่นไหว แต่บางคนกลับมองเห็น ‘โอกาส’ ท่ามกลางความกลัว ความแตกต่างอยู่ที่ Mindset

 

New Gen Investor เอพิโสดนี้ เฟิร์น – ศิรัถยา อิศรภักดี ชวนหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอย่าง เอม – มทินา วัชรวราทร, Head Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด มาแชร์ประสบการณ์และความรู้ในการลงทุน เพื่อช่วยให้ทุกคนลงทุนแล้วรวยขึ้นได้จริง

 

Webull Money Festival ​

 

งานฉลองครบรอบ 9 ปี Webull Group พร้อมกับการก้าวสู่เวทีโลกในฐานะบริษัทที่จดทะเบียนใน Nasdaq!🎊 วันที่ 9 พฤษภาคมนี้ มาร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษที่ชั้น 1 เซ็นทรัลเวิลด์ กับงานที่รวม “การเงิน + ความบันเทิง” เข้าไว้ด้วยกัน กับ Webull!

 

📅 วัน: 9 พฤษภาคม ​

⏰ เวลา: 11:00 น. – 20:00 น. ​

📍 สถานที่: ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์​

🔥ลงทะเบียนเลย: Webull Money Festival

The post ชมคลิป: เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ปรับวิธีคิดอย่างไรในช่วง ‘ตลาดเป็นขาลง’? | NEW GEN INVESTOR EP.53 appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘หัวเว่ย’ รุกธุรกิจเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน เผยดีมานด์โซลาร์, ESG และ Data Center ในไทยสูง จากกลุ่มลูกค้าบิ๊กคอร์ป, โรงงาน และห้างสรรพสินค้า https://thestandard.co/huawei-solar-esg-data-center/ Sat, 03 May 2025 03:31:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1070804

หัวเว่ย รุกธุรกิจเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน เปิดตัว LUNA20 […]

The post ‘หัวเว่ย’ รุกธุรกิจเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน เผยดีมานด์โซลาร์, ESG และ Data Center ในไทยสูง จากกลุ่มลูกค้าบิ๊กคอร์ป, โรงงาน และห้างสรรพสินค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

หัวเว่ย รุกธุรกิจเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน เปิดตัว LUNA2000-215 Series ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) แบบระบายความร้อนแบบไฮบริดป้อนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม (C&I) เผยดีมานด์โซลาร์เซลล์, ESG และ Data Center ในไทยสูง จากกลุ่มลูกค้าโรงงาน ห้างสรรพสินค้า องค์กร บริษัทชั้นนำ 

 

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จัดงาน Asia Pacific C&I Future Energy Summit 2025 โดยภายในงานมีการเสวนาร่วมกับ ผู้ประกอบการภาคเอกชนในอุตสาหกรรมพลังงาน โดยสรุปเทรนด์พลังงานในประเทศไทยขณะนี้ว่า ภาคเอกชนมีความต้องการพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ เพิ่มมากขึ้นจากปัจจัยเทรนด์โลก ที่มุ่งสู่พลังงานสะอาด 

 

หัวเว่ยฯ ในประเทศไทย จึงเน้นย้ำบทบาทของการเป็นผู้นำขับเคลื่อนนวัตกรรมและความยั่งยืนในภูมิภาคด้วยการพัฒนาและบริการโซลูชันด้านพลังงานหมุนเวียน ที่มีเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานเข้ามาบริการลูกค้า โดยเฉพาะ ระบบ C&I Smart Hybrid Cooling ESS ซึ่งเป็นโซลูชันจากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โซลูชันการชาร์จของผู้บริโภคในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งหัวเว่ยเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาด ทั้งในแง่ของยอดขายและผู้พัฒนาโซลูชันที่ครบวงจร

 

ทั้งนี้ ภาคเอกชนยังเห็นตรงกันว่าพลังงานสะอาดในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตดี เห็นได้จากนักลงทุนในกลุ่ม Data Center ที่เตรียมลงทุนในไทย ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าค่อนข้างมากและต้องการพลังงานสีเขียว จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่จำเป็นต้องใช้โซลูชันนี้ ขณะเดียวกัน หัวเว่ยก็มีส่วนช่วยผลักดันให้ไทยเป็น Digital Hub ของภูมิภาค

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงต้องรอความชัดเจนในการขายไฟให้รัฐจากการกักเก็บพลังงาน เนื่องจากปัจจุบันการเก็บพลังงานรูปแบบ Energy Storage เป็นเพียงการเก็บไว้ใช้เองเท่านั้น แต่กฎหมายยังไม่สามารถขายไฟให้รัฐได้ หากปลดล็อกตรงส่วนนี้ได้เชื่อว่าความต้องการใช้พลังงานสะอาดหรือการติดแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นอีกมาก

 

ซุน เสี่ยวเฟิง ประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Global Smart PV ของ Huawei Digital Power กล่าวว่าไทยคือโอกาสและเป็นความท้าทายในตลาดพลังงานของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หัวเว่ยจึงมุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมภูมิภาคนี้

 

แจ็ค ตง ประธานฝ่ายขายและบริการระบบ PV ภาคพาณิชย์และอุตสาหกรรมระดับโลก Huawei Digital Power บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) ระบุเสริมว่า เทรนด์การพัฒนาขององค์กรที่มุ่งสู่ความยั่งยืน (Environment, Social, และ Governance หรือ ESG) ของโลก ทำให้ทุกองค์กรพยายามลดการใช้พลังงานที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ พยายามดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม และมุ่งหน้าไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและเป็นศูนย์ (Net Zero) เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ต้องการจะเป็น Digital Hub

 

ดังนั้น ภาครัฐจึงมีนโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาด ตามแผนพัฒนาไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP และแต่ละองค์กรจำเป็นต้องลงทุนกับ ESG ซึ่งเทคโนโลยีนี้ของหัวเว่ยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงงานผลิตจิวเวลรี หรือลูกค้าองค์กร อย่าง บริษัท โซลาร์ ดี คอร์ปอเรชั่น จำกัด, หน่วยธุรกิจบริหารจัดการพลังงานและนวัตกรรม PEA ENCOM, บริษัท Mott Macdonald, บริษัท ไนซ์ เอ็นไวร์พาวเวอร์ เมเนจเม้นท์ จำกัด รวมถึงTÜV Rheinland Group ล้วนเป็นกลุ่มตัวอย่างที่นำโซลูชันเข้าไปใช้ในองค์กร และในอนาคตจะไม่ใช่แค่องค์กรขนาดใหญ่ แต่ระดับครัวเรือนจะหันมาใช้โซลูชันเหล่านี้มากขึ้นอีกด้วย

 

“การเปิดตัว LUNA2000-215 Series ซึ่งเป็นระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) แบบระบายความร้อนแบบไฮบริดสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม (C&I) ระบบกักเก็บพลังงานนี้คือผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพโดยรวมสูงถึง 91.3% การบำรุงรักษาอัจฉริยะ ยืดหยุ่นสูงใช้งานได้กับทุกโซลูชัน จากพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงานที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้” แจ็ค ตง กล่าว

The post ‘หัวเว่ย’ รุกธุรกิจเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน เผยดีมานด์โซลาร์, ESG และ Data Center ในไทยสูง จากกลุ่มลูกค้าบิ๊กคอร์ป, โรงงาน และห้างสรรพสินค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ถือหุ้นเทใจถึง 99.4% ‘TIDLOR’ ปิดดีลแลกหุ้นสู่ ‘Tidlor Holdings’ สำเร็จ สัญญาณบวกสู่การเติบโตครั้งใหม่ https://thestandard.co/tidlor-holdings-stock-swap/ Fri, 02 May 2025 11:53:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1070716 tidlor

นับเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำของ บริษัท เงินติด […]

The post ผู้ถือหุ้นเทใจถึง 99.4% ‘TIDLOR’ ปิดดีลแลกหุ้นสู่ ‘Tidlor Holdings’ สำเร็จ สัญญาณบวกสู่การเติบโตครั้งใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
tidlor

นับเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำของ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR กับการประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการปรับโครงสร้างองค์กรสู่ ‘Tidlor Holdings’ ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป นี่คือสัญญาณชัดเจนถึงการเตรียมพร้อมเติบโตสู่อนาคตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม  

 

กระบวนการแลกหุ้นจาก TIDLOR สู่ Tidlor Holdings ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากผู้ถือหุ้น ด้วยอัตราการตอบรับที่สูงถึงร้อยละ 99.4 ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความไว้วางใจที่มีต่อวิสัยทัศน์และศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้ ความสำเร็จดังกล่าวไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ แต่ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า  

 

สำหรับขั้นตอนต่อไป ก่อนที่หุ้นของ Tidlor Holdings จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 

 

ผู้ถือหุ้นที่ตอบรับคำเสนอซื้อและแลกหุ้นเรียบร้อยแล้ว จะพบหุ้นของ Tidlor Holdings ในพอร์ตการลงทุนภายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2568 และหุ้น Tidlor Holdings จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนหุ้นเดิมที่จะถูกเพิกถอนในวันเดียวกันภายในกลางเดือนพฤษภาคม 2568 พร้อมให้นักลงทุนทุกรายซื้อ-ขายภายใต้ชื่อย่อ ‘TIDLOR’ ได้ตามปกติ และร่วมเดินทางสร้างการเติบโตครั้งใหม่ไปพร้อมกัน

 

การปรับโครงสร้างสู่ Tidlor Holdings ครั้งนี้ คือการวางรากฐานอันแข็งแกร่งเพื่อปลดล็อกศักยภาพการเติบโตอย่างเต็มที่ ทั้งโอกาสในธุรกิจหลัก ‘เงินติดล้อ’ และ ‘ประกันติดโล่’ พร้อมต่อยอดสู่โอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนธุรกิจนายหน้าประกันผ่านแพลตฟอร์ม InsurTech ที่ทันสมัย 

 

ทั้ง ‘อารีเกเตอร์’ (Areegator) แพลตฟอร์มสำหรับนายหน้าประกันอิสระ  และ ‘เฮ้ กู๊ดดี้’ (heygoody.com) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มนายหน้าประกันดิจิทัล 

 

การพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่จะยกระดับอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้บ้านหลังใหม่ที่ชื่อ Tidlor Holdings ร่วมกับผู้ถือหุ้นทุกราย

ข้อมูลเพิ่มเติมติดตามได้ที่: www.tidlorinvestor.com/tidlorholdings

 


 

tidlor

The post ผู้ถือหุ้นเทใจถึง 99.4% ‘TIDLOR’ ปิดดีลแลกหุ้นสู่ ‘Tidlor Holdings’ สำเร็จ สัญญาณบวกสู่การเติบโตครั้งใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ทิม คุก’ ชี้ กำแพงภาษีสหรัฐฯ สร้างบทเรียนครั้งใหญ่ พร้อมย้ายการผลิต iPhone ที่ขายในสหรัฐฯ ไปอินเดีย https://thestandard.co/tim-cook-us-tariff-iphone/ Fri, 02 May 2025 10:59:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1070692 tim-cook-us-tariff-iphone

ทิม คุก ซีอีโอ Apple ประกาศว่าในไตรมาสเดือนมิถุนายนนี้เ […]

The post ‘ทิม คุก’ ชี้ กำแพงภาษีสหรัฐฯ สร้างบทเรียนครั้งใหญ่ พร้อมย้ายการผลิต iPhone ที่ขายในสหรัฐฯ ไปอินเดีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
tim-cook-us-tariff-iphone

ทิม คุก ซีอีโอ Apple ประกาศว่าในไตรมาสเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป iPhone ส่วนใหญ่ที่ขายในสหรัฐฯ จะมีแหล่งผลิตหลักจากอินเดีย ขณะที่ผลิตภัณฑ์ iPad, Mac, Apple Watch, และ AirPods ทั้งหมดจะผลิตในเวียดนามมากขึ้น ส่วนฐานผลิตในจีนยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตหลัก เพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก

 

ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นถือเป็นการกระจายความเสี่ยงเพื่อรับมือกับกำแพงภาษีสหรัฐฯที่ได้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 145% และแม้ว่า Apple จะมีการผลิตจากอินเดียมากขึ้น แต่จีนยังคงเป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์และวัสดุส่วนใหญ่สำหรับการขายในตลาดนอกสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ Apple ต้องรับมือกับต้นทุนจากภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นถึง 900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ซีอีโอ Apple กล่าวในงานประชุมกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทได้รับผลกระทบของภาษีนำเข้าแบบจำกัด เนื่องจากสามารถปรับห่วงโซ่อุปทานให้สอดรับกับธุรกิจได้

 

ด้านผลประกอบการ Apple ในไตรมาสเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยยอดขาย iPhone ยังเป็นรายได้หลักของ Apple เพิ่มขึ้น 1.9% หรืออยู่ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์

 

ตลาดหลักๆที่ทำรายได้คือตลาดอเมริกาและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่มีการเติบโตถึง 16.5% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในทุกภูมิภาค ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอื่นๆ มีการเติบโตอยู่ที่ 8.4% แต่ตลาดจีนยังน่าเป็นห่วงเพราะยอดขายกลับลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากไม่สามารถสู้การแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่นได้

 

ทั้งนี้ Apple คาดการณ์ว่า ในไตรมาสเดือนเมษายน-มิถุนายนนี้ แม้ว่าจะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงกำแพงภาษีสหรัฐฯ แต่บริษัทยังคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในระดับตัวเลขหลักเดียวได้แน่นอน

 

นอกจากนี้ Apple ยังได้ประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า บริษัทจะลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในสหรัฐฯในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะรวมถึงการลงทุนเพิ่มในส่วนของโรงงาน Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ที่รัฐแอริโซนา

 

“สุดท้ายแล้วการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังอินเดียและเวียดนาม ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงของ Apple เพราะเรามีบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่ทำให้เรารับรู้ได้ว่า การมีทุกอย่างอยู่ในที่เดียวกันมันมีความเสี่ยงเกินไป” ทิม คุก ซีอีโอ Apple ย้ำ

 

ภาพ: Hadrian / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ‘ทิม คุก’ ชี้ กำแพงภาษีสหรัฐฯ สร้างบทเรียนครั้งใหญ่ พร้อมย้ายการผลิต iPhone ที่ขายในสหรัฐฯ ไปอินเดีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิษเศรษฐกิจเล่นงาน McDonald’s เผยยอดขายไตรมาสแรกร่วงหนัก แม้จัดเมนูชุดสุดคุ้มก็ไม่ช่วย! https://thestandard.co/mcdonalds-sales-drop-2025/ Fri, 02 May 2025 10:28:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1070659 mcdonalds-sales-drop-2025

McDonald’s รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี ยอดขายสาขาเด […]

The post พิษเศรษฐกิจเล่นงาน McDonald’s เผยยอดขายไตรมาสแรกร่วงหนัก แม้จัดเมนูชุดสุดคุ้มก็ไม่ช่วย! appeared first on THE STANDARD.

]]>
mcdonalds-sales-drop-2025

McDonald’s รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี ยอดขายสาขาเดิมในตลาดสหรัฐฯ ลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ และนับเป็นการปรับตัวลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ช่วงที่โควิดระบาด

 

ขณะที่ภาพรวมยอดขายของร้านสาขาเดิมทั่วโลกลดลง 1% จากปีก่อน แม้ที่ผ่านมา McDonald’s จะพยายามเปิดตัวเมนูราคาสุดคุ้มควบคู่กับการจัดโปรโมชั่นต่างๆเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ก็ยังไม่ช่วยมากนัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มผู้บริโภคที่เริ่มระมัดระวังในการจับจ่าย เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รวมถึงราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบของสงครามการค้า

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

แน่นอนว่ามีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอ่อนตัวลงในช่วงเวลาเดียวกัน ราคาหุ้นของ McDonald’s ร่วงลง 2% ในวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่หากนับตั้งแต่ต้นปี 2025 จนถึงวันพุธที่ผ่านมา ราคาหุ้นยังคงเพิ่มขึ้นรวมกว่า 10% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 5.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

คริส เคมป์ซินสกี้ ซีอีโอ McDonald’s กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนในชีวิต ทั้งด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และสถานการณ์โลก เรายอมรับว่า ผู้บริโภคกลุ่มรายได้ปานกลางก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันด้านการเงินแล้วเช่นกัน พร้อมย้ำว่า ท่ามกลางภาวะตลาดที่ยากลำบากเช่นนี้ แต่บริษัทเรายังมั่นใจในศักยภาพของแบรนด์และคาดว่าจะยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้

 

เอียน บอร์เดน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวต่อไปว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในหลายประเทศ ยังคงเปราะบาง เริ่มสร้างผลกระทบให้ธุรกิจร้านอาหาร อย่างไรก็ดี บางภูมิภาค เช่น ตะวันออกกลางและญี่ปุ่น กลับมียอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 3.5% แม้ในปีที่แล้วเคยได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรแบรนด์อเมริกันอัน ซึ่งสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาสก็ตาม

 

ทั้งนี้แม้ยอดขายจะลดลง แต่ McDonald’s ยังดำเนินงานตามแผนเดิม โดยคาดว่างบลงทุนในปีนี้ จะอยู่ระหว่าง 3,000-3,200 ล้านดอลลาร์ และประเมินว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานจะไม่ต่ำกว่า 40%

 

สำหรับแนวโน้มการเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากการเปิดตัวชุดอาหารธีม Minecraft เปิดขายในรูปแบบจำกัดเวลา รวมถึงการเปิดตัวเมนูใหม่อย่าง McCrispy Strips หรือไก่ทอดแบบแท่ง และการนำ Snack Wraps กลับมาจำหน่าย ซึ่งยังไม่ได้เริ่มแคมเปญโฆษณาอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี และทำให้ยอดขายในช่วงเดือนเมษายนเริ่มปรับตัวดีขึ้น

 

นอกจากนี้ยังเตรียมทดลองเครื่องดื่มสูตรใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากร้านในเครือชื่อ CosMc’s โดยจะเริ่มให้บริการในสาขาบางแห่งในสหรัฐฯ รวมไปถึงการเดินหน้าจุดโปรโมชัน เมนูเริ่มต้นที่ 5 ดอลลาร์ หรือ 165 บาท เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่าย แต่ก็ถือว่าท้าทาย เพราะที่ผ่านมาได้โปรโมชัน ซื้อ 1 แถมอีกชิ้นในราคา 1 ดอลลาร์ แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คาดหวังไว้

 

ภาพ: SrideeStudio / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post พิษเศรษฐกิจเล่นงาน McDonald’s เผยยอดขายไตรมาสแรกร่วงหนัก แม้จัดเมนูชุดสุดคุ้มก็ไม่ช่วย! appeared first on THE STANDARD.

]]>