Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 15 Apr 2025 08:11:35 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘อีเมล’ มัดตัว Zuckerberg? FTC ฟ้อง Meta ข้อหา ‘ผูกขาด’ ฮุบ Instagram-WhatsApp สกัดดาวรุ่ง https://thestandard.co/zuckerberg-email-ftc-meta/ Tue, 15 Apr 2025 08:11:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1064751

มหากาพย์ทางกฎหมายที่อาจบั่นทอนอาณาจักรโซเชียลมีเดียมูลค […]

The post ‘อีเมล’ มัดตัว Zuckerberg? FTC ฟ้อง Meta ข้อหา ‘ผูกขาด’ ฮุบ Instagram-WhatsApp สกัดดาวรุ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>

มหากาพย์ทางกฎหมายที่อาจบั่นทอนอาณาจักรโซเชียลมีเดียมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ เปิดฉากแล้วที่ศาลกรุงวอชิงตันเมื่อวันจันทร์ที่ 14 เมษายน โดย FTC (คณะกรรมการการค้าสหรัฐ) กล่าวหา Meta ว่าการซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp เป็นการสร้าง ‘อำนาจผูกขาด’ ที่ผิดกฎหมาย 

 

คดีนี้ไม่เพียงเป็นบททดสอบอนาคตของ Meta แต่ยังสะท้อนท่าทีของรัฐบาล Trump ต่อบิ๊กเทคและนโยบายต่อต้านการผูกขาดด้วย

 

Mark Zuckerberg ปรากฏตัวในศาลด้วยชุดสูทเนกไทแทนลุคเสื้อลำลองและสร้อยทองที่เขามักสวมในช่วงหลัง ทนาย FTC ได้นำเสนออีเมลภายในของ Zuckerberg เป็นหลักฐานที่แสดงเจตนาในการ ‘ซื้อหรือกำจัด’ คู่แข่ง และชี้ให้เห็นว่า Meta ขัดขวางการแข่งขันโดยซื้อกิจการ Instagram ในปี 2012 ด้วยเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ และ WhatsApp ในปี 2014 ด้วยเงินมหาศาลถึง 19,000 ล้านดอลลาร์ 

 

โดยในอีเมลปี 2011 เขาเขียนกังวลว่าหาก Instagram เติบโตต่อไปหรือถูก Google ซื้อ พวกเขาจะสามารถลอกเลียนแบบบริการของ Facebook ได้อย่างง่ายดาย

 

อีเมลปี 2012 ยิ่งแสดงความกังวลชัดเจนเมื่อ Zuckerberg ระบุว่า Instagram เป็นภัยคุกคามอย่างมาก และ Facebook จะล้าหลังในการพัฒนาบนมือถือ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องพิจารณาทุ่มเงินมหาศาลซื้อ Instagram ส่วน WhatsApp เขาวิเคราะห์ว่าแอปข้อความนี้มีศักยภาพพลิกตลาดในสหรัฐฯ ที่ SMS ยังเป็นแพลตฟอร์มหลัก

 

ในศาล Zuckerberg ชี้แจงว่า ช่วงนั้นบริษัทกำลังเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้นและพิจารณาใช้เงินทุนซื้อเครื่องมือต่างๆ แทนที่จะสร้างทุกอย่างเอง จึงวิเคราะห์ทางเลือกระหว่างสร้างเอง หรือซื้อกิจการ

 

FTC อ้างว่า Meta มีอำนาจผูกขาดโดยการตรวจสอบพบว่าผู้ใช้ใช้เวลากับแอปของ Meta ถึง 85% เมื่อเทียบกับแอปโซเชียลมีเดียทั้งหมด 

 

พวกเขากล่าวหาว่าการกระทำของ Meta ส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ทั้งการเพิ่มโฆษณาใน Facebook และ Instagram อย่างมหาศาล และความล้มเหลวด้านความเป็นส่วนตัวตลอดเวลาที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ ทนายยังอ้างอีเมลลับปี 2018 ที่ Zuckerberg เขียนว่า Meta พยายามสกัดการเติบโตของ Instagram เพื่อป้องกันการล่มสลายของเครือข่าย Facebook โดยในอีเมลปี 2012 เขาเคยเรียก Instagram ว่าเป็น ‘กรมธรรม์ประกันภัย’ ของบริษัท เปรียบเสมือนการซื้อไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง แม้ว่า Meta จะปฏิเสธว่าไม่ได้หมายความว่าจะกดดันหรือลดความสำคัญของ Instagram

 

ฝั่ง Meta โต้แย้งว่าบริษัทไม่ได้มีการผูกขาดตลาดแต่อย่างใด ทนายของ Meta เรียกคดีนี้ว่า ‘ผิดทิศทาง’ และพยายามบิดเบือนหลักการกฎหมายต่อต้านการผูกขาด พร้อมชี้แจงว่าตัวเลขส่วนแบ่งตลาดที่แท้จริงของ Meta อยู่ที่น้อยกว่า 30% หากนับรวมเวลาที่ผู้ใช้ใช้กับแพลตฟอร์มอื่นอย่าง TikTok และ YouTube 

 

ดังนั้น ที่ FTC อ้างว่า TikTok ไม่ได้อยู่ในตลาดเดียวกับ Instagram เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง โดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อ TikTok หยุดให้บริการชั่วคราวในมกราคม ผู้ใช้ Facebook และ Instagram พุ่งสูงขึ้นทันที

 

Meta ยังอ้างว่าได้ปรับปรุงคุณภาพของ Instagram และ WhatsApp ทำให้จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นมหาศาลตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการ แถมยังให้บริการฟรี

 

ความสัมพันธ์ระหว่าง Zuckerberg และ Trump มีความเย็นชาหลัง Trump ถูกแบนจากแพลตฟอร์มของ Meta หลังเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐเมื่อมกราคม 2021 แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น โดย Meta บริจาค 1 ล้านดอลลาร์ให้กับงานพิธีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ Trump 

 

และเพิ่มอดีตที่ปรึกษาของ Trump รวมถึงพันธมิตรใกล้ชิดเข้าคณะกรรมการบริษัท Meta ยังยกเลิกการใช้ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระและจ่ายเงิน 25 ล้านดอลลาร์ให้ Trump เพื่อยุติคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับการระงับบัญชีของเขา

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า FTC มีอุปสรรคในคดีนี้ เพราะผู้พิพากษาเคยยกฟ้องคำร้องครั้งแรกก่อนจะยอมรับคดีที่ยื่นใหม่ในปี 2022 Rebecca Haw Allensworth ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายจาก Vanderbilt Law School วิเคราะห์ว่าคำพูดของ Zuckerberg ที่ว่า ‘ซื้อดีกว่าแข่ง’ เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุดว่า Meta ตั้งใจซื้อ Instagram เพื่อกำจัดคู่แข่งที่กำลังเติบโตแทนที่จะแข่งขันอย่างเป็นธรรม

 

Laura Phillips-Sawyer จาก University of Georgia มองว่า FTC มีความท้าทายในการพิสูจน์คดีนี้มากกว่าคดี Google เพราะตลาดโซเชียลมีเดียมีผู้เล่นและการแข่งขันมากกว่าตลาดค้นหาออนไลน์ที่ Google ครองส่วนแบ่งถึง 90% หากศาลตัดสินให้ Meta ผิด บริษัทอาจถูกบังคับให้ขาย WhatsApp และ Instagram ออกไป

 

ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร คดีนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่ายุคทองของยักษ์เทคที่กลืนกินคู่แข่งได้ไร้ขีดจำกัด กำลังถูกท้าทายอย่างหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

 

ภาพ: imbriaco_photo/Shutterstock

อ้างอิง:

The post ‘อีเมล’ มัดตัว Zuckerberg? FTC ฟ้อง Meta ข้อหา ‘ผูกขาด’ ฮุบ Instagram-WhatsApp สกัดดาวรุ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกาหลีใต้จัดหนัก 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ อุ้มอุตสาหกรรมชิป หนีคมดาบภาษี Trump https://thestandard.co/south-korea-semiconductor-industry-support-trump-tariffs/ Tue, 15 Apr 2025 05:29:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1064648 โรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ในเกาหลีใต้ หลังรัฐบาลประกาศแพ็กเกจสนับสนุนมูลค่า 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อรับมือภาษีทรัมป์

ในวันนี้ (15 เม.ย.) เกาหลีใต้ประกาศแพ็กเกจสนับสนุนมูลค่ […]

The post เกาหลีใต้จัดหนัก 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ อุ้มอุตสาหกรรมชิป หนีคมดาบภาษี Trump appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ในเกาหลีใต้ หลังรัฐบาลประกาศแพ็กเกจสนับสนุนมูลค่า 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อรับมือภาษีทรัมป์

ในวันนี้ (15 เม.ย.) เกาหลีใต้ประกาศแพ็กเกจสนับสนุนมูลค่ามหาศาลถึง 33 ล้านล้านวอน (ประมาณ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์) สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่คุกคามบริษัทในประเทศ 

 

ตามข้อมูลจากกระทรวงการคลัง งบประมาณครั้งนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 25% เมื่อเทียบกับวงเงิน 26 ล้านล้านวอนที่เคยสนับสนุนในปีที่แล้ว

 

การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump รายงานว่าจะประกาศอัตราภาษีสำหรับเซมิคอนดักเตอร์นำเข้าในเร็วๆ นี้ หลังจากได้ยกเว้นสินค้าเหล่านี้จาก ‘ภาษีตอบโต้’ ที่สูงมากเมื่อวันศุกร์ (11 เม.ย.) ที่ผ่านมา 

 

Trump ได้ประกาศผ่านสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันจันทร์ (14 เม.ย.) ว่า เขาจะสอบสวน ‘ห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด’ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ 

 

ในขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังออกประกาศว่าจะเริ่มการสอบสวน “เพื่อพิจารณาผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติจากการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง”

 

เกาหลีใต้เป็นที่ตั้งของผู้ผลิตชิปชั้นนำของโลก รวมถึง Samsung Electronics และ SK Hynix โดยเซมิคอนดักเตอร์เป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ ในปี 2024 การส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้มีมูลค่า 1.419 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็นกว่า 20% ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศที่ 6.836 แสนล้านดอลลาร์ 

 

โดยสหรัฐฯ เป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลีใต้ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 10.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็น 1.278 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024 สร้างสถิติสูงสุดประจำปีใหม่เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน

 

แพ็กเกจสนับสนุนของรัฐบาลเกาหลีใต้ประกอบด้วยหลายมาตรการสำคัญ รัฐบาลจะอุดหนุนการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าใต้ดินไปยังคลัสเตอร์เซมิคอนดักเตอร์ และเพิ่มสัดส่วนการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในนิคมอุตสาหกรรมขั้นสูงจาก 30% เป็น 50% 

 

นอกจากนี้ ยังจะจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์มูลค่ารวม 20 ล้านล้านวอนระหว่างปี 2025 ถึง 2027 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 17 ล้านล้านวอนมาตรการอื่นๆ ยังรวมถึงการเปิดตัวโปรแกรมฝึกอบรมและวิจัยสำหรับนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกในประเทศ รวมทั้งโปรแกรมวิจัยร่วมระดับโลกสำหรับบุคลากรที่มีความสามารถจากต่างประเทศ

 

สื่อท้องถิ่น Yonhap รายงานว่า Han Duck-soo รักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้เปิดเผยว่า Trump ได้มีคำสั่งชัดเจนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มเจรจาเรื่องภาษีกับเกาหลีใต้โดยเร่งด่วน 

 

ส่วนรัฐมนตรีการคลัง Choi Sang-mok กล่าวในการประชุมหลังการประกาศมาตรการว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะเจรจาอย่างจริงจังกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการสอบสวนตามมาตรา 232 เกี่ยวกับการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และชีวเภสัชภัณฑ์ เพื่อลดผลกระทบด้านลบต่อบริษัทเกาหลีใต้ให้น้อยที่สุด

 

การตัดสินใจอัดฉีดเงินเพิ่มเติมเข้าสู่ภาคชิปนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ รับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นในขณะที่แข่งขันในระดับโลก นอกจากนี้ ยังเป็นการตอบสนองต่อการเรียกร้องให้รัฐบาลขยายการสนับสนุนในช่วงเวลาที่นโยบายมีความไม่แน่นอนภายใต้รัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจุบันและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งจีน

 

ภาพ: Pinglabel / Shutterstock

อ้างอิง:

The post เกาหลีใต้จัดหนัก 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ อุ้มอุตสาหกรรมชิป หนีคมดาบภาษี Trump appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ก้าวข้ามการฝึกทักษะ สู่การเสริมสร้างศักยภาพผู้นำ | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-15042025/ Tue, 15 Apr 2025 00:00:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1064271 morning-wealth-15042025

เมื่อความเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุด ผู้นำก็ต้องพร้อมเผชิญมาก […]

The post ชมคลิป: ก้าวข้ามการฝึกทักษะ สู่การเสริมสร้างศักยภาพผู้นำ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
morning-wealth-15042025

เมื่อความเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุด ผู้นำก็ต้องพร้อมเผชิญมากกว่าทักษะพื้นฐาน ต้องเสริมศักยภาพที่ลึกซึ้งและใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับการพัฒนาผู้นำในปัจจุบัน

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ก้าวข้ามการฝึกทักษะ สู่การเสริมสร้างศักยภาพผู้นำ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple ‘หนีจีน’ ซบอินเดีย ผลิต iPhone ทะลุ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ยอดพุ่ง 60% ‘แบ่งเค้ก’ ผลิตทั่วโลก 20% แล้ว https://thestandard.co/apple-shifts-iphone-production-to-india/ Mon, 14 Apr 2025 09:26:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1064475 Apple

ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี Apple ทำการประกอบ iPhone ในอินเดียมู […]

The post Apple ‘หนีจีน’ ซบอินเดีย ผลิต iPhone ทะลุ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ยอดพุ่ง 60% ‘แบ่งเค้ก’ ผลิตทั่วโลก 20% แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple

ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี Apple ทำการประกอบ iPhone ในอินเดียมูลค่าสูงถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือนที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นเกือบ 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน

 

ข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุกับ Bloomberg ว่า บริษัทจากเมือง Cupertino รัฐแคลิฟอร์เนีย ผลิต iPhone ถึง 20% หรือ 1 ใน 5 ของการผลิตทั้งหมดในประเทศแถบเอเชียใต้ ตัวเลขมูลค่า 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์นี้เป็นการประเมินมูลค่า ณ หน้าโรงงาน ไม่ใช่ราคาขายปลีกที่บวกกำไรแล้ว

 

การเร่งขยายการผลิตนี้แสดงให้เห็นว่า Apple และซัพพลายเออร์กำลังเร่งย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอินเดีย กระบวนการนี้เริ่มต้นเมื่อมาตรการล็อกดาวน์โควิดที่เข้มงวดในจีนส่งผลกระทบต่อการผลิตในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดของ Apple ปัจจุบัน iPhone ส่วนใหญ่ที่ผลิตในอินเดียถูกประกอบที่โรงงานของ Foxconn Technology Group ในภาคใต้ของอินเดีย

 

จากยอดการผลิตในอินเดียทั้งหมด Apple ส่งออก iPhone มูลค่า 1.5 ล้านล้านรูปี (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) จากภูมิภาคนี้ในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025 ตามที่รัฐมนตรีเทคโนโลยีของอินเดียกล่าวเมื่อวันที่ 8 เมษายน

 

แหล่งข่าวระบุว่า การขนส่ง iPhone จากอินเดียไปยังสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นหลังจาก Donald Trump ประกาศแผน ‘ภาษีตอบโต้’ ในเดือนกุมภาพันธ์ การผลิตและการส่งออกเฉลี่ยของ Apple ในอินเดียพุ่งสูงขึ้นตลอดปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม

 

Bloomberg News รายงานก่อนหน้านี้ว่า Apple จะให้ความสำคัญกับ iPhone จากห่วงโซ่อุปทานในอินเดียสำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ มากขึ้น

 

ล่าสุดรัฐบาล Trump ได้ยกเว้นภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 เมษายน) ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับบริษัทอย่าง Apple และ Nvidia Corp. แม้ว่าการผ่อนปรนนี้ดูเหมือนจะไม่ครอบคลุมถึงภาษี 20% ที่ Trump เรียกเก็บจากจีนเพื่อกดดันปักกิ่งให้ปราบปรามยาเฟนทานิล

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยซัพพลายเออร์เกือบ 200 รายและการพึ่งพาจีนอย่างมาก การย้ายไปยังประเทศอื่นอาจใช้เวลาหลายปี แม้ว่า Trump มีความทะเยอทะยานที่จะให้มีการผลิต iPhone ในสหรัฐฯ แต่ Apple ไม่น่าจะย้ายฐานการผลิตไปที่นั่นในเร็วๆ นี้ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงการขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกและแรงงานที่จำเป็นในการผลิต

 

Tim Cook ซีอีโอของ Apple มักชื่นชมทักษะระดับสูงของจีนในการผลิตอุปกรณ์ดาวเด่นของบริษัท ในปี 2022 Bloomberg Intelligence ประมาณการว่าจะใช้เวลา 8 ปีเพื่อย้ายเพียง 10% ของกำลังการผลิตของ Apple ออกจากจีน

 

Apple มีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในอินเดียเกือบ 8% โดยยอดขายของบริษัทส่วนใหญ่มาจาก iPhone โดยมีมูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2024

 

ภาพ: Suman Maji77 / Shutterstock

อ้างอิง:

The post Apple ‘หนีจีน’ ซบอินเดีย ผลิต iPhone ทะลุ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ยอดพุ่ง 60% ‘แบ่งเค้ก’ ผลิตทั่วโลก 20% แล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Sleep Tourism’ เทรนด์ฮิตคนยุค ‘อดนอน’ เมื่อผู้คนพร้อมจ่ายเพื่อคืนพลัง ตั้งแต่สปาบำบัดถึง AI ช่วยฝัน https://thestandard.co/sleep-tourism-travel-trend/ Mon, 14 Apr 2025 02:52:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1064327 sleep-tourism-travel-trend

หากเปิดโซเชียลมีเดียยามเช้า คุณอาจเห็นคนแชร์ข้อมูลการนอ […]

The post ‘Sleep Tourism’ เทรนด์ฮิตคนยุค ‘อดนอน’ เมื่อผู้คนพร้อมจ่ายเพื่อคืนพลัง ตั้งแต่สปาบำบัดถึง AI ช่วยฝัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
sleep-tourism-travel-trend

หากเปิดโซเชียลมีเดียยามเช้า คุณอาจเห็นคนแชร์ข้อมูลการนอนจากอุปกรณ์ติดตามการนอนไม่ต่างจากรูปโยคะหรือสมูทตี้มื้อเช้า ท่ามกลางวิกฤตการนอนหลับที่ในสหราชอาณาจักรมีผู้ใหญ่ถึง 74% รายงานว่านอนไม่ดี

 

ด้วยเหตุนี้การนอนหลับ 8 ชั่วโมงจึงกลายเป็นความหรูหราที่หลายคนปรารถนา ส่งผลให้เกิด ‘Sleep Tourism’ หรือการท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

Sleep Tourism คือการท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายหลักเพื่อการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ซึ่งไม่ใช่แค่ผ้าปูที่นอนเกรดพรีเมียมหรือเมนูหมอนให้เลือก แต่เป็นประสบการณ์ที่ออกแบบเพื่อปรับปรุงคุณภาพการนอนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนแบบมีโปรแกรมเรียนรู้วิธีนอนที่ดี การเข้าพักที่มีการดูแลทางการแพทย์ หรือสปาที่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

 

รายงานปี 2024 โดย HTF Market Intelligence พบว่าธุรกิจนี้ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 6.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอีก 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างปี 2024-2028

 

Charlie Morley ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและความฝันอธิบายว่า “ผู้คนให้ความสำคัญกับอาหารและการออกกำลังกายมานาน แต่ประเด็นสำคัญต่อไปคือการนอนหลับ” โดยโรงแรมต่างๆ ได้ตระหนักว่าผู้คนกำลังใช้การเดินทางเหล่านี้ ซึ่งห่างไกลจากงานหรือลูกๆ เป็นโอกาสในการให้ความสำคัญกับการนอนหลับที่ดีอย่างแท้จริง

 

ในวงการนี้มีวิธีการหลากหลาย เช่นสปาเพื่อสุขภาพ SHA Wellness Clinic ในอันดาลูเซีย สเปน ที่ Dr.Vicente Mera ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การนอนหลับประจำคลินิกได้สร้างแพ็กเกจ ‘Sleep Well’ สำหรับผู้เข้าพักที่มีปัญหานอนไม่หลับ นอนหลับๆ ตื่นๆ หรือตื่นนอนแล้วไม่สดชื่น โดยประเมินปัญหาอย่างละเอียดและสร้างแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

 

ขณะที่หลายแห่งใช้วิธีการแบบองค์รวม เช่น Soneva ในมัลดีฟส์เสนอโปรแกรม Soneva Soul Sleep 7-14 วัน ที่ครอบคลุมการปรับสมดุลระบบประสาทผ่านการฝึกสติและสมาธิ การเคลื่อนไหวร่างกายทุกวันผ่านโยคะและชั้นเรียนออกกำลังกาย และกิจวัตรก่อนนอนที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เช่น การอาบน้ำด้วยสมุนไพร

 

นอกจากนี้ ผู้เข้าพักยังได้รับการแนะนำให้รับแสงแดดในตอนเช้าเพื่อปรับนาฬิกาชีวิตในร่างกาย และลองเดินเท้าเปล่าเพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและสัมผัสกับธรรมชาติโดยตรง

 

ในทำนองเดียวกัน โรงแรมหลายแห่งกำลังอาศัยภูมิปัญญาโบราณเพื่อเสริมสร้างการนอนหลับ ที่ Lefay Resort & Spa ในทะเลสาบการ์ดา อิตาลี โปรแกรมการนอนหลับห้าคืนมีการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนโบราณที่มุ่งเน้นการกระตุ้นจุดฝังเข็มเฉพาะ ในขณะที่ Santani Wellness Kandy ในศรีลังกาเสนอการรักษาการนอนหลับตามแบบอายุรเวทเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมห้าคืน

 

แม้จะมีความสัมพันธ์ระหว่างการพึ่งพาเทคโนโลยีกับผลกระทบต่อความสามารถในการนอนหลับของเรา แต่การพัฒนาในด้านนี้ก็กำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมที่น่าสนใจในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือล่าสุดของ Charlie Morley กับ Kimpton Fitzroy ได้ออกแบบแพ็กเกจ ‘Room To Dream’

 

ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าพักควบคุมความฝันของตัวเองได้ด้วยเทคโนโลยี AI โดยใช้อุปกรณ์ VR และชาสมุนไพรพิเศษ หลังตื่นนอน ผู้เข้าพักสามารถเล่าความฝันของตนให้ระบบ AI วาดเป็นภาพศิลปะได้ Morley มองว่าในอนาคตอันใกล้จะมีเตียงอัจฉริยะที่วัดคุณภาพการนอนได้ ทำให้โรงแรมสามารถพิสูจน์คำกล่าวอ้างเรื่องการนอนหลับที่ดีด้วยข้อมูลจริง

 

ในยุคที่การนอนหลับกลายเป็นสินค้าหายากและมีค่า การท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นอุตสาหกรรมที่จะเติบโตต่อไปพร้อมกับความต้องการของผู้คนที่แสวงหาการพักผ่อนอย่างแท้จริงในโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

 

ภาพ: goffkein.pro / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ‘Sleep Tourism’ เทรนด์ฮิตคนยุค ‘อดนอน’ เมื่อผู้คนพร้อมจ่ายเพื่อคืนพลัง ตั้งแต่สปาบำบัดถึง AI ช่วยฝัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ปัญญาประดิษฐ์กับสิทธิของศิลปินในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-14042025/ Mon, 14 Apr 2025 00:00:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1064060 morning-wealth-14042025

เมื่อขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์และทรัพย์สินทางปัญญาถูกท […]

The post ชมคลิป: ปัญญาประดิษฐ์กับสิทธิของศิลปินในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
morning-wealth-14042025

เมื่อขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์และทรัพย์สินทางปัญญาถูกท้าทายโดย AI ที่สามารถสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ศิลปินต้องเผชิญกับปัญหาที่สำคัญเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์และความมั่นคงของงาน สิ่งที่ต้องทำคือพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการคุ้มครองสิทธิ์

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ปัญญาประดิษฐ์กับสิทธิของศิลปินในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาษีสหรัฐฯ เขย่าฐานผลิต Samsung ในเวียดนามสั่นคลอน มองเป็นหนทางสู่วิกฤตหรือยังพอมีโอกาส? https://thestandard.co/what-samsung-vietnam-stand-lose-trumps-tariff-war/ Sun, 13 Apr 2025 12:08:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1064238 Samsung

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เจย์ วาย. ลี ประธานบริษัทซัมซุง […]

The post ภาษีสหรัฐฯ เขย่าฐานผลิต Samsung ในเวียดนามสั่นคลอน มองเป็นหนทางสู่วิกฤตหรือยังพอมีโอกาส? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Samsung

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เจย์ วาย. ลี ประธานบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ เดินทางมาพบ ฟาม มินห์ จิ๋ง กับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม พร้อมแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะสนับสนุนการลงทุนในเวียดนามต่อไป ถึงขั้นบอกว่าความสำเร็จของเวียดนามก็เหมือนกับความสำเร็จของซัมซุง

 

อีกทั้ง Samsung ยังให้คำมั่นว่าจะลงทุนระยะยาว ซึ่งในอนาคตจะทำให้เวียดนามกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดของบริษัท

 

หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1989 Samsung เริ่มลงทุนในเวียดนามครั้งแรก พร้อมทุ่มงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานผลิตทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน สมาร์ทโฟนและหน้าจออุปกรณ์ โดยการส่งออกของ Samsung ในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 54,000 ล้านดอลลาร์หรือคิดเป็นประมาณ 15% ของการส่งออกทั้งหมดของเวียดนาม

 

ส่วนโทรศัพท์มือถือที่ Samsung ส่งออกจากเวียดนามไปขายทั่วโลกอยู่ที่ 220 ล้านเครื่องต่อปี และหนึ่งในตลาดสำคัญคือคือสหรัฐที่มีการส่งออกไปจำนวนมาก จนกลายเป็นผู้เล่นอันดับสองในตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐฯ 

 

แต่การที่ Samsung ต้องพึ่งพาเวียดนามมากเกินไปอาจกลายเป็นข้อเสีย และถึงแม้สหรัฐฯ ชะลอการขึ้นภาษีไว้ที่ระดับ 10% เป็นเวลา 90 วัน แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงและถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีที่อาจจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมนี้ได้ 

 

ต้องรอดูว่ารัฐบาลเวียดนามจะสามารถเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอลดอัตราภาษีนำเข้าที่อาจสูงถึง 46% ได้หรือไม่ โดยปัจจุบันเวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำลังมุ่งจัดการกับประเทศที่มีความไม่สมดุลทางการค้า

 

อีกทั้งรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าว่าจะขอสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าให้เหลืออยู่ในช่วงประมาณ 22-28% หรืออาจต่ำกว่านั้น ซึ่งหากเจรจาไม่สำเร็จอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจในเวียดนามที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และกำแพงภาษีดังกล่าวจะทำให้ซัมซุงและซัพพลายเออร์ในเวียดนามต้องประสบปัญหาหนักมากขึ้น

 

สวนทางกับคู่แข่งอย่าง Apple ที่มีฐานผลิตหลักๆ อยู่ในจีน เมื่อไม่นานมานี้สหรัฐฯ ยกเว้นเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่นำเข้าส่วนใหญ่จากจีน ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tarrif) ในอัตราสูงถึง 125% ซึ่งช่วยบรรเทาภาระทางภาษีให้กับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ

 

นักวิเคราะป์ประเมินว่าความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้น อาจทำให้ Samsung และบริษัทอื่นๆ ต้องมองหาประเทศใหม่ๆ ที่มีโอกาสจะเข้าไปลงทุนขยายฐานการผลิต เช่น อินเดียหรือเกาหลีใต้ เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษี แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะต้องใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง แต่ก็เป็นทางเลือกที่บริษัทต้องพิจารณาอย่างจริงจัง

 

ภาพ: MeSamong / Shutterstock

อ้างอิง:

 

The post ภาษีสหรัฐฯ เขย่าฐานผลิต Samsung ในเวียดนามสั่นคลอน มองเป็นหนทางสู่วิกฤตหรือยังพอมีโอกาส? appeared first on THE STANDARD.

]]>
กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผย ญี่ปุ่นยังติดอันดับประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เดินหน้ารุกตลาด ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นเติบโต 15% https://thestandard.co/japan-top-destination-for-thai-travelers/ Sun, 13 Apr 2025 08:10:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1064172 นักท่องเที่ยวไทย

บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยข้อมูลการใช้จ่า […]

The post กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผย ญี่ปุ่นยังติดอันดับประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เดินหน้ารุกตลาด ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นเติบโต 15% appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักท่องเที่ยวไทย

บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรชี้ ญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย โดยบัตรเครดิตยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกในการชำระเงินที่เป็นที่นิยม ด้วยความสะดวกสบายในการใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ โดยในปี 2567 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ที่ญี่ปุ่น เติบโต 12% ชี้หมวดห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, โรงแรม, เครื่องสำอาง และสินค้าปลอดภาษี ติดอันดับหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรยอดนิยม เตรียมสานต่อแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” จับมือพันธมิตรแบรนด์และร้านค้าชั้นนำกว่า 600 รายทั้งในไทยและญี่ปุ่น จัดดีลช้อป เที่ยว สุดคุ้ม เพิ่มสิทธิพิเศษครบจบทุกประสบการณ์เรื่องญี่ปุ่น หวังกระตุ้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรรับฤดูท่องเที่ยว ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นในปี 2568 กว่า 2,530 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบกับปีก่อน 

 

สมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ในฐานะตัวแทนบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ อันประกอบไปด้วย บัตรเครดิต กรุงศรี, บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตโลตัส กล่าวว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย โดยจากข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในต่างประเทศในปี 2567 พบว่า ญี่ปุ่น ยังครองอันดับหนึ่งในฐานะประเทศที่สมาชิกบัตรฯ เดินทางไปและมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุด 

 

 

 

โดยในปีที่ผ่านมา มีสมาชิกบัตรฯ เดินทางและใช้จ่ายที่ญี่ปุ่นกว่า 120,000 บัญชีบัตร เติบโต 18% และมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นรวมกว่า 2,200 ล้านบาท เติบโต 12% เทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีทางเลือกในการใช้จ่ายที่หลากหลายขึ้น แต่บัตรเครดิตยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกในการใช้จ่ายในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม เนื่องจากความสะดวกสบายและสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายทั้งส่วนลด คะแนนสะสมและสิทธิพิเศษ ตอบโจทย์นักเดินทางที่ต้องการความคุ้มค่า โดยเฉพาะในการใช้จ่ายที่มียอดสูง โดยจากข้อมูลชี้ให้เห็นว่าการรูดชำระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 บาทต่อครั้ง ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ญี่ปุ่นเฉลี่ยต่อคน 29,000 บาทต่อปี ส่วนหมวดใช้จ่ายยอดนิยมเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ 1. ห้างสรรพสินค้า, 2. สินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย, 3. โรงแรมที่พัก, 4. เครื่องสำอางสินค้าเบ็ดเตล็ด และ 5. สินค้าปลอดภาษี

 

 

 

จากศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายดังกล่าว ในปีนี้ บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ จึงมุ่งสานต่อแคมเปญ ‘เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี’ เพื่อรุกตลาดคนรักการท่องเที่ยวญี่ปุ่น รับเทศกาลท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว โดยจะต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำกว่า 600 ร้านค้าทั้งในไทยและญี่ปุ่น เพื่อขยายสิทธิประโยชน์ให้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเพิ่มยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกบัตร เช่น ฟีเจอร์ ‘U Japan’ ในแอปพลิเคชัน UCHOOSE ที่รวบรวมดีลสุดคุ้มเกี่ยวกับการเที่ยวญี่ปุ่น รวมทั้งฟังก์ชันอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้จ่าย และส่งเสริมภาพลักษณ์ของบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในฐานะบัตรเครดิตหลักที่ลูกค้านิยมใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น 

 

“บริษัทตั้งเป้าในปี 2568 จะมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่น 2,530 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบกับปีก่อน” สมหวังกล่าวสรุป

 

ทั้งนี้ แคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” มอบสิทธิพิเศษหลากหลายที่ญี่ปุ่น สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568 โดยระยะเวลาและเงื่อนไขของแต่ละโปรโมชันขึ้นอยู่กับร้านค้าและประเภทของบัตรที่ร่วมรายการ กรุณาตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจาก www.krungsricard.com ทั้งนี้ ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี  

 

The post กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผย ญี่ปุ่นยังติดอันดับประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เดินหน้ารุกตลาด ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่นเติบโต 15% appeared first on THE STANDARD.

]]>
Lazada เผย ผู้ขายไทย 7 ใน 10 ราย ต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติมในการใช้ AI ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด https://thestandard.co/lazada-thai-sellers-need-more-ai-support/ Sun, 13 Apr 2025 08:01:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1064167 Lazada

Lazada เผยรายงานเกี่ยวกับผู้ขายออนไลน์ในหัวข้อ “โอกาสจา […]

The post Lazada เผย ผู้ขายไทย 7 ใน 10 ราย ต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติมในการใช้ AI ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Lazada

Lazada เผยรายงานเกี่ยวกับผู้ขายออนไลน์ในหัวข้อ “โอกาสจาก AI: เปิดมุมมองและเทรนด์การใช้งาน AI ของผู้ขายออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบผู้ขายออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉลี่ย นำ AI มาใช้เพียง 37% ของกระบวนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด โดยประเทศไทยมีการใช้ AI ในธุรกิจสูงเป็นอันดับสามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 39% ของผู้ขายออนไลน์ทั้งหมด ในขณะที่ประเทศที่มีการนำ AI มาใช้ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซสูงสุดโดยเฉลี่ย ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม 

 

Lazada ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับผู้ขายออนไลน์ในหัวข้อ “โอกาสจาก AI: เปิดมุมมองและเทรนด์การใช้งาน AI ของผู้ขายออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Bridging the AI Gap: Online Seller Perceptions and Adoption Trends in SEA)” ซึ่งจัดทำร่วมกับกันตาร์ (Kantar) เพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้ขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจำนวน 1,214 ราย ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม เพื่อศึกษาแนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยี AI รวมถึงความท้าทายและโอกาสต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นความพร้อมของผู้ขายในการนำ AI มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ 

 

โดยรายงานเผยว่า 1 ใน 4 ของผู้ขายทั่วภูมิภาคมีความเชี่ยวชาญในการใช้งาน AI ในธุรกิจ ในขณะที่ 3 ใน 4 ของผู้ขายยังต้องการการสนับสนุนในการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

 

ช่องว่างระหว่างความรู้ การรับรู้ และการใช้งานเทคโนโลยี AI ของผู้ขายออนไลน์

 

รายงานพบว่า ผู้ขายออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี AI เป็นอย่างมาก โดยในประเทศไทย ผู้ขาย 46% ระบุว่ารู้จักเทคโนโลยี AI และเชื่อว่าได้นำ AI มาใช้ใน 54% ของกระบวนการดำเนินธุรกิจ แม้จะมีการใช้งานจริงเพียง 39% ของกระบวนการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างการรับรู้และการนำ AI ไปใช้จริง โดยประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีช่องว่างระหว่างการรับรู้และการนำ AI ไปใช้จริงสูงที่สุดในภูมิภาค อยู่ที่ราว 15% ชี้ให้เห็นโอกาสในการนำ AI มาใช้ในการดำเนินธุรกิจสำหรับผู้ขายที่ยังมีอีกมาก

 

การประเมินความคุ้มค่าระหว่างประสิทธิภาพของ AI และต้นทุน ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ขายไทย แม้ว่า 99% จะตระหนักถึงศักยภาพของ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ แต่กว่า 80% ยังคงไม่มั่นใจในประโยชน์ของ AI นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ขายในไทยเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญเรื่องค่าใช้จ่ายมากที่สุดในภูมิภาค โดย 84% กังวลกับค่าใช้จ่ายในการพัฒนาทักษะของทีมงาน แม้ผู้ขายทุกรายจะเห็นว่าการใช้ AI ช่วยประหยัดต้นทุนของธุรกิจได้ในระยะยาว

 

ผลการศึกษายังเผยให้เห็นถึงช่องว่างของการนำ AI มาประยุกต์ใช้จริง โดยชี้ให้เห็นว่าแม้ผู้ขายจะตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI แต่กลับประสบปัญหาในการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ขายไทย 100% เล็งเห็นศักยภาพของ AI ในการยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน อย่างไรก็ตาม ผู้ขายกว่า 88% ยอมรับว่าพนักงานยังคงเลือกใช้เครื่องมือที่คุ้นเคยมากกว่าการเปลี่ยนไปใช้โซลูชัน AI ใหม่ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านจากระบบการทำงานแบบที่คุ้นเคย สู่การปรับมาใช้โซลูชัน AI ในการดำเนินธุรกิจ

 

ระดับความพร้อมในการใช้ AI ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

 

ในระดับภูมิภาค อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นผู้นำในการประยุกต์ใช้ AI ในธุรกิจ ด้วยอัตราการใช้งาน 42% ของกระบวนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด ตามด้วยสิงคโปร์และไทยที่มีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 39% รายงานยังได้วิเคราะห์การนำ AI มาใช้ใน 5 ส่วนหลักในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การจัดการการดำเนินงานและโลจิสติกส์ การบริหารจัดการสินค้า การตลาดและการโฆษณา การบริการลูกค้า และการบริหารจัดการบุคลากร โดยได้แบ่งผู้ขายออกเป็น 3 ประเภท คือ มือโปรด้าน AI (AI Adepts) มือใหม่ด้าน AI (AI Aspirants) และมือดั้งเดิม ไม่แตะ AI (AI Agnostics) โดยพิจารณาจากคะแนนเฉลี่ยในแต่ละด้านของการดำเนินธุรกิจที่สะท้อนถึงระดับความพร้อมในการใช้งาน AI

 

  • มือโปรด้าน AI (AI Adepts): ผู้ขายที่ประยุกต์ใช้ AI ในอย่างน้อย 80% ของกระบวนการดำเนินธุรกิจ และถือเป็นกลุ่มผู้นำของการใช้งาน AI โดยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้ขายเพียง 1 ใน 4 (24%) ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้
  • มือใหม่ด้าน AI (AI Aspirants): ผู้ขายที่นำ AI มาใช้ในการดำเนินธุรกิจบางส่วน แต่ยังคงพบกับความท้าทายในการใช้งานในส่วนที่สำคัญ โดย 50% ของผู้ขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จัดอยู่ในกลุ่มนี้
  • มือดั้งเดิม ไม่แตะ AI (AI Agnostics): ผู้ขายที่ยังไม่มีการนำ AI มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดย 26% ของผู้ขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้

 

เมื่อพิจารณาภาพรวมของภูมิภาค ผู้ขายส่วนใหญ่ (76%) จัดอยู่ในกลุ่มมือใหม่ด้าน AI (AI Aspirants) และมือดั้งเดิม ไม่แตะ (AI Agnostics) ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการโซลูชันด้าน AI ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI (42%) และการสนับสนุนผู้ขายอย่างครบวงจรยิ่งขึ้น (41%)

 

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีผู้ขายที่อยู่ในสัดส่วนของกลุ่มมือโปรด้าน AI (AI Adepts) มากที่สุดในภูมิภาค โดยมีผู้ขาย 30% ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เป็นผลจากความเชื่อมั่นและการยอมรับในเทคโนโลยีของผู้ประกอบการ และโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการใช้งาน AI ซึ่งช่วยให้กระตุ้นการใช้ AI อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการนำ AI มาใช้สูงสุดในการจัดการดำเนินธุรกิจและงานด้านโลจิสติกส์ ด้วยอัตราการใช้งานสูงถึง 42% โดยเฉพาะในกระบวนการที่ซับซ้อน เช่น การคืนสินค้าและการคืนเงิน รวมถึงการติดตามสินค้า ซึ่งได้มีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้แล้ว ในขณะที่การนำ AI มาใช้ในด้านการตลาดและการบริหารจัดการด้านสินค้ายังคงมีอัตราการใช้งานที่ต่ำกว่า (38%) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ฟังก์ชันที่ช่วยวิเคราะห์การรีวิวจากลูกค้า และการใช้ AI เข้ามาช่วยสร้างสรรค์งานโฆษณา ถือเป็นด้านที่ผู้ขายต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม

 

เจมส์ ตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Lazada Group กล่าวว่า “รายงานของเราเผยให้เห็นถึงช่องว่างที่น่าสนใจในอีโคซิสเต็มของอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าผู้ขายส่วนใหญ่จะเข้าใจถึงศักยภาพของ AI ในการพลิกโฉมธุรกิจ แต่หลายคนก็ยังเพิ่งเริ่มต้นทำความเข้าใจเทคโนโลยีนี้ ก่อนที่จะเริ่มใช้งานจริง ในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Lazada มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้ผู้ขายสามารถต่อยอดความรู้ด้าน AI ไปสู่การใช้งานจริง ผ่านการพัฒนาโซลูชัน AI ที่ตอบโจทย์ความท้าทายของผู้ขายในแต่ละตลาดที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อทำให้เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยไม่จำกัดอยู่เพียงผู้ขายรายใหญ่หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเท่านั้น ด้วยเป้าหมายในการขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน”

 

การใช้ประโยชน์จากโซลูชัน AI ของ Lazada เพื่อพลิกโฉมการดำเนินธุรกิจ 

 

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ขายสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ Lazada ยังได้เปิดตัว “คู่มือการเตรียมพร้อมด้าน AI สำหรับผู้ขายออนไลน์ (Online Sellers Artificial Intelligence Readiness Playbook)” ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อแนะแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับระดับความพร้อมด้าน AI ของผู้ขายแต่ละราย โดยการศึกษาได้เผยให้เห็นว่า ผู้ขายได้เริ่มนำโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI บนแพลตฟอร์มของ Lazada มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Lazada ในการลงทุนในนวัตกรรม AI ที่ทันสมัยและพัฒนาเครื่องมือขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการดำเนินงานของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ขาย

 

อีกทั้งที่ผ่านมาผู้ขายกว่า 67% แสดงความพึงพอใจเป็นอย่างมากกับฟีเจอร์ AI บนแพลตฟอร์ม Lazada ล่าสุด Lazada จึงได้เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ Generative AI (GenAI) ใหม่ที่ออกแบบมา เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ขายและพัฒนารายการสินค้า ซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดขาย เช่น

 

  1. ฟีเจอร์การสร้างรายการสินค้าด้วย AI (AI Smart Product Optimisation): เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี GenAI นี้จะช่วยแนะนำผู้ขายในการปรับปรุงรายการสินค้าให้น่าดึงดูดยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ คำอธิบาย ตลอดจนรูปภาพ โดยผู้ขายสามารถสร้างสรรค์ภาพของผลิตภัณฑ์ระดับมืออาชีพได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งประกอบด้วย ฟีเจอร์การลองสินค้าเสมือนจริง (Virtual Try-Ons) การปรับแต่งพื้นหลัง (Background Modifications) และการปรับเปลี่ยนโมเดลอัตโนมัติ (Model Adjustments)

 

  1. ฟีเจอร์แปลภาษา (AI-Powered Translations): ฟีเจอร์แปลภาษาจะช่วยแปลเนื้อหาผลิตภัณฑ์เป็นภาษาต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ขายสามารถขยายการเข้าถึงไปยังตลาดที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ

 

  1. ผู้ช่วยการขาย Lazzie Seller: ผู้ช่วยแชตบอต AI จาก Alibaba Seller Centre (ASC) จะช่วยตอบคำถามที่พบบ่อยได้ในทันที พร้อมแนะนำฟีเจอร์หลักที่เหมาะสม การประเมินความเสี่ยงของร้านค้า และให้คำแนะนำทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตของผู้ขาย

The post Lazada เผย ผู้ขายไทย 7 ใน 10 ราย ต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติมในการใช้ AI ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gen Z ‘แบกเป้’ ลุยเดี่ยว! Baby Boomers ‘ลากกระเป๋า’ ทัวร์หรู! สงกรานต์นี้ 2 เจน 2 สไตล์ เที่ยวคนละขั้ว https://thestandard.co/genz-backpack-boomers-luxury/ Sun, 13 Apr 2025 06:05:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1064085 genz-backpack-boomers-luxury

นาทีสุดท้ายหรือวางแผนล่วงหน้า? โฮสเทลย่อมเยาหรือรีสอร์ต […]

The post Gen Z ‘แบกเป้’ ลุยเดี่ยว! Baby Boomers ‘ลากกระเป๋า’ ทัวร์หรู! สงกรานต์นี้ 2 เจน 2 สไตล์ เที่ยวคนละขั้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
genz-backpack-boomers-luxury

นาทีสุดท้ายหรือวางแผนล่วงหน้า? โฮสเทลย่อมเยาหรือรีสอร์ตหรู? สองเจเนอเรชันสองขั้วกับการท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย ฐานข้อมูลล่าสุดจาก AirAsia MOVE เปิดพฤติกรรมการเดินทางในช่วงสงกรานต์ของคนสองรุ่นที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

 

โดยค้นพบว่า ‘กลุ่ม Gen Z’ นักเดินทางวัยใสที่เกิดในช่วงปี 1997-2012 มาพร้อมสไตล์การท่องเที่ยวแบบ ‘มินิมอล’ น้อยแต่มาก ประหยัดแต่คุ้ม เน้นความคล่องตัวและอิสระเหนือสิ่งอื่นใด 

 

ข้อมูลชี้ชัดว่า 80% ของนักท่องเที่ยว Gen Z ใช้สมาร์ตโฟนเป็นผู้ช่วยคู่ใจในการจองทริป และที่น่าทึ่งไปกว่านั้น 24% ของพวกเขาจองที่พักแบบนาทีสุดท้าย หรือที่เรียกว่า ‘Last-Minute Booking’ เพราะชีวิตต้องลุ้น ต้องเซอร์ไพรส์!

 

ไม่เพียงเท่านั้น 1 ใน 5 ของคนกลุ่มนี้ชื่นชอบการเดินทางเพียงลำพัง หรือ Solo Travel มากกว่าการใช้บริการทัวร์ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะนิสัยที่รักความเป็นส่วนตัวและต้องการสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวในแบบฉบับของตัวเอง 

 

พวกเขามองหาประสบการณ์ที่ ‘แตกต่าง’ ไม่ซ้ำใคร ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวธรรมชาติ การตามล่าคาเฟ่ลับ หรือการเข้าร่วมเวิร์กช็อปท้องถิ่น

 

น่าสนใจไม่น้อยเมื่อพบว่า 30% ของนักท่องเที่ยว Gen Z และ Millennials นิยมจองโรงแรมราคาประหยัดและโฮสเทล ตอกย้ำให้เห็นถึงค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าความหรูหรา 

 

AirAsia MOVE ยังพบว่า เชียงใหม่ครองแชมป์จุดหมายปลายทางยอดฮิตในประเทศของกลุ่ม Gen Z โดยมีสัดส่วนถึง 30% เมื่อเทียบกับทุกจังหวัดในประเทศไทย ในขณะที่เส้นทางต่างประเทศ 8% เลือกไปโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น และ 5% มุ่งหน้าสู่ดานัง ประเทศเวียดนาม

 

ในขณะเดียวกัน ‘กลุ่ม Baby Boomers’ ผู้ที่เกิดในช่วงปี 1946-1964 กลับมีสไตล์การท่องเที่ยวที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเน้น ‘ความพรีเมียม’ ทั้งที่พักและบริการ เลือกความหรูหราและความสะดวกสบายเป็นอันดับแรก 

 

โดย 40% ของนักเดินทางกลุ่มนี้จองแพ็กเกจทัวร์ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน และอีก 40% เลือกพักในโรงแรมระดับ 4-5 ดาวและรีสอร์ตหรู

 

กลุ่ม Baby Boomers ให้ความสำคัญกับการวางแผนอย่างละเอียด โดย 55% นิยมแพ็กเกจทัวร์หรือการเดินทางที่วางแผนไว้ล่วงหน้า และที่น่าสนใจคือ 74% ของพวกเขาให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและประสบการณ์เชิงลึก ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงศิลปะ ประวัติศาสตร์ และการรับประทานอาหารระดับ Fine Dining 

 

จุดหมายปลายทางยอดฮิตของกลุ่มนี้ คือ ประเทศญี่ปุ่น (14%) โดยเฉพาะเมืองเกียวโต ประเทศเวียดนาม (12%) โดยเฉพาะเมืองฮอยอัน และประเทศไทย (49%) โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เน้นที่พักหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา

 

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดอีกประการคือ Gen Z มีแนวโน้มจองที่พักใกล้แหล่งท่องเที่ยวมากกว่า Baby Boomers ถึง 45% ขณะที่ Baby Boomers ให้ความสำคัญกับบรรยากาศเงียบสงบและบริการครบวงจร โดยมีอัตราการใช้บริการ Concierge หรือ Private Tour สูงกว่า Gen Z ถึง 95%

 

พฤติกรรมการจองที่พักก็เป็นอีกหนึ่งข้อแตกต่างที่น่าจับตา มากกว่า 50% ของ Baby Boomers จองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ขณะที่ 24% ของ Gen Z เลือกจองแบบนาทีสุดท้าย บ่งบอกถึงความไม่ยึดติดกับแผนและพร้อมปรับเปลี่ยนตลอดเวลา

 

ทั้งหมดนี้ไม่เพียงลบล้างมายาคติที่ว่าทุกคนเดินทางเหมือนกัน แต่ยังเปิดมิติใหม่ให้กับวงการท่องเที่ยวที่ต้องปรับตัวให้ทันกับความต้องการที่หลากหลาย แตกต่าง และเฉพาะตัวมากขึ้น สงกรานต์ปีนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นสาย ‘แบ็กแพ็ก’ แบบ Gen Z หรือสาย ‘ลักชัวรี’ แบบ Baby Boomers ทุกการเดินทางล้วนมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเอง

The post Gen Z ‘แบกเป้’ ลุยเดี่ยว! Baby Boomers ‘ลากกระเป๋า’ ทัวร์หรู! สงกรานต์นี้ 2 เจน 2 สไตล์ เที่ยวคนละขั้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>