Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 15 Dec 2025 03:27:36 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 แอนิเมชันดิสนีย์คืนฟอร์ม ‘Zootopia 2’ กวาดรายได้พันล้านดอลลาร์ https://thestandard.co/disney-zootopia-2-billion/ Mon, 15 Dec 2025 03:27:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1154602 แอนิเมชันดิสนีย์คืนฟอร์ม ‘Zootopia 2’ กวาดรายได้พันล้านดอลลาร์

บริษัท วอลต์ ดิสนีย์ (The Walt Disney Co.) ประสบความสำเ […]

The post แอนิเมชันดิสนีย์คืนฟอร์ม ‘Zootopia 2’ กวาดรายได้พันล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอนิเมชันดิสนีย์คืนฟอร์ม ‘Zootopia 2’ กวาดรายได้พันล้านดอลลาร์

บริษัท วอลต์ ดิสนีย์ (The Walt Disney Co.) ประสบความสำเร็จอีกครั้งในตลาดภาพยนตร์โลก หลังจาก ‘Zootopia 2’ เตรียมทำรายได้รวมทั่วโลกทะลุระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องที่สองของปี 2025 ที่สามารถแตะหลักดังกล่าวได้ ต่อจากภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันรีเมก อย่าง Lilo & Stitch

 

โดยบริษัท ประเมินว่า รายได้รวมของ Zootopia 2 จะถึงระดับ 1 พันล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการภายในวันศุกร์ที่ 19 ธ.ค. นี้ หลังจากช่วงก่อนเข้าสู่ช่วงสุดสัปดาห์ ภาพยนตร์ทำรายได้ไปแล้ว 232.7 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ และแคนาดา และจากตลาดต่างประเทศอีก อีก 753.4 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมทั่วโลกเข้าใกล้หลักพันล้านดอลลาร์อย่างรวดเร็ว จาเร็ด บุช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของ Walt Disney Animation Studios ระบุในแถลงการณ์ว่า ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสำคัญกับบริษัทมาก เพราะสะท้อนให้เห็นว่าผู้ชมทั่วโลกยังคงเลือกออกมาสัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์ร่วมกันในโรง ซึ่งสะท้อนได้ว่าคนทุกเพศทุกวัยจากทั่วโลกยังคงต้องการประสบการณ์บนจอใหญ่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

 

ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2025 ภาพยนตร์ เพียงเรื่องเดียวที่ทำรายได้สูงกว่า Zootopia 2 คือ Ne Zha 2 จากประเทศจีน ซึ่งกวาดรายได้ไปแล้วราว 2.2 พันล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เข้าฉายในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตามข้อมูลจาก Comscore

 

ชอว์น ร็อบบินส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ของ Fandango และผู้ก่อตั้ง Box Office Theory กล่าวว่า ในบริบทของตลาดภาพยนตร์โลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่ภาพยนตร์สามารถทำรายได้ถึงระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ได้ กลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก และถือเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นเป็นพิเศษ

 

อีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หนุนความสำเร็จของ Zootopia 2 คือ ตลาดจีน โดยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ของ Fandango ชี้ว่า รายได้เกือบ 450 ล้านดอลลาร์จากยอดรวมทั่วโลกมาจากประเทศจีนเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก และเกิดขึ้นหลังจากจีนได้ลดจำนวนภาพยนตร์จากสหรัฐฯ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าฉาย และยังมีความเป็นไปได้ในการจำกัดภาพยนตร์อเมริกันเพิ่มเติม ท่ามกลางความตึงเครียดด้านภาษีการค้าระหว่างประเทศ

 

เรียกได้ว่า Zootopia 2 เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันต่างประเทศที่เปิดตัวแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน และสามารถทำลายสถิติภาพยนตร์แอนิเมชันต่างประเทศที่ทำรายได้สูงสุดในจีนได้ภายในเวลาเพียง 5 วันหลังเข้าฉาย

นอกจากความสำเร็จเฉพาะตัวของภาพยนตร์แล้ว ปรากฏการณ์ Zootopia 2 ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดโรงภาพยนตร์ในสหรัฐฯ โดยในปี 2025 ภาพยนตร์เรต PG ซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัว ทำผลงานเหนือกว่าภาพยนตร์เรต PG-13 คือภาพยนตร์ที่มีคำหยาบคายไม่เกินห้าคำ และไม่มีฉากโป๊หรือเปลือย และภาพยนตร์เรต R (Restricted) คือภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ เช่น ความรุนแรง การใช้ภาษาหยาบคาย ภาพเปลือย หรือเนื้อหาทางเพศอย่างชัดเจน

 

จากข้อมูลล่าสุดระบุว่า ตลาดโรงภาพยนตร์ในสหรัฐฯ มีรายได้รวมในสหรัฐฯ และแคนาดาแบ่งตามเรตติ้ง แบ่งเป็นภาพยนตร์เรต PG อยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์ ตามด้วยเรต PG-13 อยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์ และเรต R อยู่ที่ 2.4 พันล้านดอลลาร์ แนวโน้มดังกล่าวเริ่มชัดเจนตั้งแต่ปี 2024 ซึ่งเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ที่ภาพยนตร์เรต PG มียอดขายตั๋วในประเทศสูงกว่าทุกเรต หลังจากที่เรต PG-13 ครองตลาดมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ

 

พอล เดอร์การาเบเดียน หัวหน้าฝ่ายแนวโน้มตลาดของ Comscore ระบุว่า เด็กและครอบครัวมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจเลือกชมภาพยนตร์เรต PG ซึ่งอิทธิพลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นจากยอดขายตั๋วที่ทำสถิติสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

พร้อมทิ้งท้ายว่า แม้ตั๋วภาพยนตร์เรต PG จะตั้งราคาต่ำกว่าภาพยนตร์เรตอื่นเพื่อตอบโจทย์กับกลุ่มครอบครัว แต่กลับสามารถสร้างรายได้รวมในระดับมหาศาลได้ ซึ่งยิ่งตอกย้ำความโดดเด่นของความสำเร็จด้านบ็อกซ์ออฟฟิศของภาพยนตร์กลุ่มนี้เพิ่มขึ้น

 

ภาพ:Alex PakhoMovie/shutterstock

อ้างอิง:

The post แอนิเมชันดิสนีย์คืนฟอร์ม ‘Zootopia 2’ กวาดรายได้พันล้านดอลลาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เคทีซีตั้งรับปี 2569 ตั้งเป้า ‘โตเลขหลักเดียว’ ครั้งแรกในรอบหลายปี หลังมองเศรษฐกิจท้าทายสูง เร่งวางโครงสร้างระบบ-คุม NPL 2% รับมือ ‘เศรษฐกิจ- การเมือง’ ไม่นิ่ง https://thestandard.co/ktc-economic-challenges-2026/ Mon, 15 Dec 2025 00:54:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1154588 เคทีซีตั้งรับปี 2569 ตั้งเป้า ‘โตเลขหลักเดียว’ ครั้งแรกในรอบหลายปี หลังมองเศรษฐกิจท้าทายสูง เร่งวางโครงสร้างระบบ-คุม NPL 2% รับมือ ‘เศรษฐกิจ- การเมือง’ ไม่นิ่ง

‘เคทีซี’ ประเมินเศรษฐกิจยังฟื้นช้า หนี้ครัวเรือนกดดันกำ […]

The post เคทีซีตั้งรับปี 2569 ตั้งเป้า ‘โตเลขหลักเดียว’ ครั้งแรกในรอบหลายปี หลังมองเศรษฐกิจท้าทายสูง เร่งวางโครงสร้างระบบ-คุม NPL 2% รับมือ ‘เศรษฐกิจ- การเมือง’ ไม่นิ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เคทีซีตั้งรับปี 2569 ตั้งเป้า ‘โตเลขหลักเดียว’ ครั้งแรกในรอบหลายปี หลังมองเศรษฐกิจท้าทายสูง เร่งวางโครงสร้างระบบ-คุม NPL 2% รับมือ ‘เศรษฐกิจ- การเมือง’ ไม่นิ่ง

‘เคทีซี’ ประเมินเศรษฐกิจยังฟื้นช้า หนี้ครัวเรือนกดดันกำลังซื้อ ตั้งเป้าเติบโต ‘ตัวเลขหลักเดียว’ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี พร้อมเดินหน้า Core System ใหม่ ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ คุมความเสี่ยงหนี้และต้นทุน เพื่อรักษาความสามารถทำกำไรระยะยาว

 

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกดดันการใช้จ่ายในระยะถัดไป บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี (KTC) เลือกปรับยุทธศาสตร์ปี 2569 สู่การเติบโตอย่างระมัดระวังเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยให้น้ำหนักกับการรักษาคุณภาพพอร์ต เสถียรภาพกำไร และการวางโครงสร้างธุรกิจระยะยาวมากกว่าการเร่งขยายตัวเชิงรุก

 

พิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

 

รับเศรษฐกิจ ‘ไม่ดีจริง’ ตั้งเป้าโตตามความเป็นจริง

 

พิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานแถลงแผนธุรกิจว่า ปี 2569 เป็นปีที่ท้าทายอย่างมาก จากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือน ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อและความสามารถในการอนุมัติสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทยังอยู่ในระดับที่ดีจากการควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

 

สำหรับปี 2569 เคทีซีตั้งเป้าเติบโตในระดับเลขหลักเดียว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปี โดยผู้บริหารยอมรับว่าเป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจที่ ‘ไม่ดีจริง’ และการใช้จ่ายที่ยังถูกกดดัน

 

“เราเลือกตั้งเป้าให้ต่ำลง ใกล้เคียงความจริง ไม่ดุเดือดเหมือนที่ผ่านมา แต่ภายในยังทำงานเข้มข้น และพร้อมโตทันทีถ้าเศรษฐกิจเอื้อ” พิทยากล่าว

 

รจนา อุษยาพร ผู้บริหารสูงสุด สายงานการเงิน ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

 

ยัน ‘กำไร’ โตแน่นอน เดินหน้าคุมต้นทุน-เสริมสภาพคล่อง

 

รจนา อุษยาพร ผู้บริหารสูงสุด สายงานการเงิน กล่าวว่า ปี 2569 เคทีซีตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโต 5% สินเชื่อบุคคลเติบโต 2% และพอร์ตลูกหนี้รวมเติบโต 1-2% โดยยังคุม NPL ไม่เกิน 2% ต่อเนื่อง

 

ด้านสภาพคล่อง บริษัทเตรียมกู้เงินระยะยาว 12,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด และบริหารโครงสร้างเงินกู้ระยะสั้น-ยาวอย่างเหมาะสม พร้อมคาดว่าต้นทุนทางการเงินจะลดลง 15-20 basis points (0.15-0.20%) จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง ขณะที่ Cost to Income Ratio ตั้งเป้าไม่เกิน 38% แม้มีการลงทุนด้านไอที

 

“เคทีซี เชื่อมั่นว่ากำไรปี 2569 จะสูงกว่าปี 2568 จากโครงสร้างต้นทุนที่ดีขึ้นและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ” รจนากล่าว

 

Core System ใหม่-AI หัวใจลดต้นทุนและความเสี่ยง

 

หนึ่งในหมุดหมายสำคัญของปี 2569 คือการเริ่มใช้งาน Core System ใหม่โครงสร้างพื้นฐาน Cloud Native หลังจากที่เลื่อนแผนมาเพื่อความมั่นใจด้านเสถียรภาพและความปลอดภัยของข้อมูล โดยระบบใหม่นี้จะช่วยลดต้นทุนระยะยาว เพิ่มความเร็วและความยืดหยุ่นในการรองรับธุรกรรม รวมถึงลดงานซ้ำซ้อนในองค์กร

 

ควบคู่กับการนำ AI มาใช้ทั้งในกระบวนการทำงานภายใน การตรวจจับทุจริต และการตลาด เพื่อเพิ่ม Productivity โดยไม่เพิ่มต้นทุนบุคลากร

 

“การลงทุนด้านไอทีและ AI ไม่ได้มุ่งลดจำนวนพนักงาน แต่เป็นการปรับบทบาทและ Reskill ให้สอดคล้องกับงานใหม่ โดยมีการปิดบริการที่ความต้องการลดลง เช่น KTC World Travel Service และโยกย้ายพนักงานไปยังส่วนงานที่จำเป็น เช่น Call Center ทีม Fraud และงานสนับสนุนอื่น” พิทยา กล่าวย้ำระหว่างการแถลงแผนธุรกิจ

 

ประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

 

บัตรเครดิตยังโตสูงกว่าอุตสาหกรรม เน้นลูกค้ามีวินัย

 

สำหรับธุรกิจบัตรเครดิต ประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต กล่าวว่า ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรปี 2568 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 4% แม้ต่ำกว่าเป้าเดิม แต่ยังสูงกว่าอุตสาหกรรมที่แทบไม่เติบโต ปัจจุบัน เคทีซีมีลูกค้า 2.3 ล้านราย และ Active rate สูงถึง 95% และมีบัตรในระบบ 2.9 ล้านใบ

 

สำหรับปี 2569 เคทีซีคาดยอดใช้จ่ายผ่านบัตรปี 2026 จะเติบโตที่ 5% โดยจะเน้น 4 กลยุทธ์หลัก ดังนี้:

  • รุกธุรกิจประกันภัย: หลังได้รับใบอนุญาตนายหน้า จะใช้ Data เสนอประกันให้ตรงกลุ่ม เพราะหมวดประกันคือยอดใช้จ่ายอันดับ 1 ของบัตรเครดิต โดยมี Contribution 10% ของรายได้จากธุรกิจบัตรเครดิต ทั้งนี้ ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายหมวดประกันโต 12-13%
  • ผนึก Krungthai Bank: ร่วมมือกับธนาคารแม่เจาะกลุ่มลูกค้า Wealth, Payroll และกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z/First Jobber)
  • AI Marketing: ใช้ AI ทำการตลาดแบบ Hyper-personalization ผ่านแอป KTC Mobile ซึ่งลูกค้ากว่า 90% ใช้งานอยู่ ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเพิ่ม Yield ต่อบัตร มากกว่าการเร่งขยายจำนวนลูกค้าในภาวะเศรษฐกิจชะลอ

 

พิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อบุคคล ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

 

สินเชื่อบุคคลเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

 

ด้านสินเชื่อบุคคล พิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อบุคคล กล่าวว่า แม้ตลาดโดยรวมตึงตัว เคทีซียังเลือกขยายสินเชื่อในกลุ่มความเสี่ยงต่ำ โดย แผนงานสำหรับ ‘KTC PROUD’ และ ‘KTC พี่เบิ้ม’ หัวใจสำคัญคือการ Transformation สู่ App-based lending ให้ลูกค้าสมัครสินเชื่อบน KTC Mobile และ รับเงินได้ภายใน 30 นาที

 

สำหรับผลิตภัณฑ์ KTC พี่เบิ้ม (รถแลกเงิน) จะเน้นการขยายฐานสู่กลุ่มลูกค้าความเสี่ยงต่ำของธนาคารกรุงไทย เช่น ข้าราชการและพนักงานประจำ ซึ่งมีวินัยทางการเงินที่ดี ช่วยบริหารจัดการ NPL ของพอร์ตได้มีประสิทธิภาพ
ด้านโปรโมชั่น KTC PROUD จะเน้นฟังก์ชัน รูด-โอน-กด-ผ่อน และโปรโมชั่นผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือน สำหรับสินค้าจำเป็น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยย้ำว่า จะไม่แข่งขันขยายเวลาผ่อนนานเกินไป เช่น 36 เดือน หากไม่คุ้มทุน

 

วิไลวรรณ นพรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

 

ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานไอที: Core System สู่ Cloud Native

 

วิไลวรรณ นพรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า การเปลี่ยน Core System ที่ใช้งานมานานกว่า 10 ปี สู่ระบบ Cloud Native คือแผนงานหลักด้านไอทีที่จะเริ่มใช้จริงในปี 2569 โดยมีเป้าหมาย ดังนี้:

  • เพิ่มประสิทธิภาพและความเร็ว (Speed): ทั้งสำหรับลูกค้าและคนทำงานภายใน
  • ขยายระบบอัตโนมัติ (Scalability): รองรับปริมาณธุรกรรมที่สูงมากในเทศกาลต่างๆ (เช่น Double Day) โดยระบบจะขยายตัวอัตโนมัติ
  • ลดต้นทุนระยะยาว: ด้วยการเปลี่ยนไปใช้โมเดลแบบ Pay per use

 

นอกจากนี้ เคทีซีจะสร้าง Customer Data Platform (CDP) เพื่อรวมศูนย์ข้อมูลจากทุกธุรกิจ (บัตร, สินเชื่อ, ประกัน) และนำ AI มาใช้ 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพภายใน, การตรวจจับทุจริต (Fraud Detection) และการตลาด

 

ยึดนโยบาย ‘ยืดหยุ่น’ รับมาตรการรัฐ คุมหนี้เชิงรุก

 

พิทยา กล่าวว่า กลยุทธ์สำคัญของเคทีซีคือ ‘ความยืดหยุ่น’ ในการรับมือมาตรการภาครัฐและเหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่น ภัยพิบัติ โดยเน้นการประเมินผลกระทบอย่างรวดเร็วและติดตามพฤติกรรมลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการอย่างใกล้ชิด

 

ด้านคุณภาพหนี้ ยืนยันยังไม่เห็นสัญญาณผิดปกติในพอร์ต โดย NPL ยังคุมได้ในระดับราว 1.4-1.5% และตั้งเป้าไม่เกิน 2% แม้มีบางกลุ่มที่เริ่มตึงตัว บริษัทใช้แนวทางเสนอปรับโครงสร้างหนี้หรือเปลี่ยนเป็น Term Loan ก่อนลูกค้าจะกลายเป็นหนี้เสีย เพื่อรักษาวินัยทางการเงินและประวัติเครดิตของลูกค้า

 

ส่วนกรณี AMC บริษัทจะเข้าร่วมมาตรการโอนหนี้เสียตามแนวทางธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไม่มีแผนตั้งบริษัทร่วมทุน AMC เนื่องจากการติดตามหนี้ภายในยังมีประสิทธิภาพ และคาดว่าปริมาณหนี้ที่โอนจะไม่สูง

 

ไม่หั่นเป้า แม้ ‘การเมือง-เศรษฐกิจ’ ยังเสี่ยง

 

ต่อคำถามเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง พิทยายอมรับว่า หากเกิดสุญญากาศทางนโยบาย อาจกดดันการใช้จ่ายและการเติบโต แต่เคทีซีเลือก ‘ยืนหยัดในเป้า’ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเชื่อว่ายังมีบางเซ็กเมนต์ของลูกค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง

 

โดยสรุป แผนปี 2569 ของเคทีซีสะท้อนการเปลี่ยนโหมดจากการเติบโตเชิงรุกสู่การรักษาเสถียรภาพ โดยใช้เทคโนโลยี วินัยทางการเงิน และการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก แม้อาจไม่สร้างการเติบโตหวือหวาในระยะสั้น แต่ช่วยปกป้องฐานกำไรและคุณภาพพอร์ตในช่วงเศรษฐกิจผันผวน และวางรากฐานสำหรับการเติบโตเมื่อวัฏจักรเศรษฐกิจกลับมาเอื้ออำนวยอีกครั้ง

The post เคทีซีตั้งรับปี 2569 ตั้งเป้า ‘โตเลขหลักเดียว’ ครั้งแรกในรอบหลายปี หลังมองเศรษฐกิจท้าทายสูง เร่งวางโครงสร้างระบบ-คุม NPL 2% รับมือ ‘เศรษฐกิจ- การเมือง’ ไม่นิ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย https://thestandard.co/thai-baht-strongest-4years-31-55-kresearch/ Sun, 14 Dec 2025 03:50:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1154452 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย

เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่งในสัปดาห์ที่ 8  […]

The post ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย

เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่งในสัปดาห์ที่ 8 – 12 ธ.ค. 2568 แตะ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ KResearch คาดสัปดาห์คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาท สัปดาห์หน้าอยู่ที่ 31.40 – 32.00 บาทต่อดอลลาร์

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 31.55 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง (นับตั้งแต่ 22 มิถุนายน 2564) ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อเนื่องในปี 2569

 

การเคลื่อนไหวดังกล่าว สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขาย หลังท่าทีจากประธาน Fed สะท้อนความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปี 2569 ต่อเนื่องจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาที่กรอบ 3.50-3.75% ในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 9-10 ธันวาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน

 

สัปดาห์ระหว่างวันที่ 15-19 ธันวาคม 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.40-32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (17 ธันวาคม) ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ Fed ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ปัจจัยการเมืองในประเทศ รวมถึงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา

 

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนตุลาคม ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย. ดัชนี PMI และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นสำหรับเดือนธ.ค. รวมถึงตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

 

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOE (18 ธันวาคม), ECB (18 ธันวาคม), และ BOJ (18-19 ธันวาคม) ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและอัตราการว่างงาน

The post ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง สอดคล้องกับทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี https://thestandard.co/goodnotes-bangkok-top10-ipad-app-thai-user/ Sun, 14 Dec 2025 03:21:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1154431 ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี

รู้หรือไม่? ‘กรุงเทพฯ’ ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่มีผู้ใ […]

The post ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี

รู้หรือไม่? ‘กรุงเทพฯ’ ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่มีผู้ใช้งาน Goodnotes สูงที่สุดในโลก จากฐานผู้ใช้งานรวมกว่า 25 ล้านคนต่อเดือน

 

นี่คือสิ่งที่เราได้รู้หลังจากได้เข้าร่วมพูดคุยเป็นกลุ่มเล็กๆ กับ Steven Chan ผู้ก่อตั้งและ Chief Executive Officer รวมถึง Minh Tran ผู้เป็น Chief Operating Officer ของ Goodnotes แอปจดโน้ตดิจิทัลที่ก่อตั้งในปี 2011 หรือเกือบ 15 ปีก่อน

 

“ตามความเข้าใจของเราคือสำหรับนักเรียนไทยที่เข้ามหาวิทยาลัยที่ซื้อ iPad มักจะโหลด GoodNotes มาใช้ด้วย ดังนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่ในไทยจึงอยู่ในช่วงอายุ 18-35 ปี ซึ่งมีทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยและวัยทำงาน” ผู้บริหาร Goodnotes กล่าวพร้อมกับเสริมว่า “ผู้ใช้ชาวไทยยังชื่นชอบความสวยงามของการจดบันทึก โดยมีการใช้งานบ่อยกว่าผู้ใช้ในประเทศอื่น”

 

ความนิยมนี้เองทำให้ GoodNotes เป็นแอปที่ได้รับการดาวน์โหลดมากที่สุดบน iPad (มากกว่า YouTube และ Netflix) รวมถึงได้รับรางวัล iPad App of the Year จาก Apple ในปี 2022

 

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดตัว Goodnotes Essential และ Goodnotes Pro มาพร้อม Goodnotes AI ซึ่งถือเป็นรายแรกที่เชื่อมการเขียนลายมือดิจิทัลเข้ากับ Generative AI โดย Goodnotes ย้ำว่า AI ของตัวเองต่างจาก AI ทั่วไปตรงที่ Goodnotes AI ทำงานร่วมกับการป้อนข้อมูลทุกรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนด้วยลายมือ การพิมพ์ การสเก็ตช์ หรือเสียง

 

การเปิดตัวนี้มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ‘ไวท์บอร์ด’ ที่เข้ามาช่วยในด้านการจดโน้ต การสร้างแผนผัง หรือการระดมความคิดร่วมกัน
ฟีเจอร์เอกสารพิมพ์ สำหรับการสร้าง แก้ไข และจัดระเบียบเนื้อหาที่พิมพ์พร้อมกับรูปภาพ GIF และตาราง รวมถึงเครื่องมือวาดแผนภาพที่ช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นภาพความคิดของตัวเองมากขึ้น ซึ่งช่วยให้สร้างแผนภาพได้ง่ายขึ้นมาก เช่น ผังงาน (flowcharts) และแผนผังความคิด (mind maps)

 

ตลอดจนมีฟีเจอร์ Text Document ใหม่ซึ่งมีการยกตัวอย่างว่า สามารถให้ AI ช่วยร่างเอกสารเช่น การขอให้ AI ร่างแผนการเดินทาง 3 วัน โดยผู้ใช้สามารถเลือกยอมรับหรือปฏิเสธข้อความที่ AI สร้างขึ้น นอกจากนี้ AI สามารถให้ความสำคัญกับส่วนใดส่วนหนึ่งของเอกสาร เช่น ปรับแผนให้เน้นการเดินป่ามากขึ้น และยังสามารถสร้างสิ่งที่ไม่ใช่ข้อความได้ เช่น ตารางเพื่อสรุปแผนรายวัน เป็นต้น

 

Goodnotes ยังได้เพิ่มคุณสมบัติการถอดเสียงแบบเรียลไทม์ และการสรุปแบบเรียลไทม์เข้าไปในฟีเจอร์การบันทึกเสียง ด้วยวิธีนี้ผู้ใช้จึงสามารถสลับระหว่างการบันทึกเสียง การถอดเสียง การสรุป และข้อความได้อย่างราบรื่น โดย Goodnotes ย้ำว่า ตัวแอปมีการแปลเป็นภาษาไทย และรองรับฟีเจอร์ AI ในภาษาไทยด้วย รวมถึงโมเดล Machine Learning สำหรับการจดจำลายมือและการสร้างลายมือ

 

เวอร์ชั่นใหม่ของ Goodnotes จะมีราคาให้เลือกหลากหลายมากขึ้น โดยมีทั้งแบบฟรี, Essential ราคา 329 บาทต่อปี, Pro ราคา 999 บาทต่อปี รวมถึงการจ่ายครั้งเดียว 999 บาท ซึ่งแต่ละแพคเกจจะสามารถใช้ฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป โดยหากต้องใช้ฟีเจอร์ AI จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 279 บาทต่อเดือน

 

“สำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย เรามอง GoodNotes เป็น แพลตฟอร์มการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบเต็มรูปแบบ และกำลังสร้างชุมชนท้องถิ่นกับครีเอเตอร์และผู้ใช้ รวมถึงเพิ่มการรับรู้แบรนด์โดยการร่วมมือกับพันธมิตรตั้งแต่มหาวิทยาลัยไปจนถึงบริษัทชั้นนำ”

 

เป้าหมายในอนาคตของ GoodNotes คือ การให้ความสำคัญกับ Professional Use ผ่านการพิจารณาพัฒนาฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพโดยเฉพาะ รวมถึงการใช้งานในกลุ่มขององค์กร

 

“เราเห็นโอกาสมากมายที่จะเป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันของผู้คนในหลากหลายวงการไม่ว่าจะเป็น สถาปนิก, วิศวกร, การบิน (สายการบินหลายแห่ง), บริษัทกฎหมาย, สถาบันการเงิน และบริษัทขนส่ง โดยใครก็ตามที่ต้องการใช้กระดาษก็สามารถใช้ GoodNotes ได้” ผู้บริหาร Goodnotes กล่าวพร้อมกับเสริมว่า “ภารกิจของเราคือการเป็น แบรนด์จดบันทึกที่โดดเด่นที่สุดในโลก สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน, ผู้เชี่ยวชาญ หรือบริษัท”

ปัจจุบัน Goodnotes มีพนักงานกว่า 300 คน ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยมีทีมที่ทำงานด้าน AI ประมาณ 50 คน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลกเช่นกัน โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร

The post ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไปรษณีย์ไทย ผนึก ไปรษณีย์ลาว ปูพรม 5 ยุทธศาสตร์ ดันค้าชายแดน-อีคอมเมิร์ซ สู่ฮับโลจิสติกส์อาเซียน https://thestandard.co/thailand-laos-post-5-strategies-asean-hub/ Sun, 14 Dec 2025 03:18:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1154428 ไปรษณีย์ไทย ผนึก ไปรษณีย์ลาว ปูพรม 5 ยุทธศาสตร์ ดันค้าชายแดน-อีคอมเมิร์ซ สู่ฮับโลจิสติกส์อาเซียน

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เดินหน้าเร่งเครื่องศักยภาพเศรษ […]

The post ไปรษณีย์ไทย ผนึก ไปรษณีย์ลาว ปูพรม 5 ยุทธศาสตร์ ดันค้าชายแดน-อีคอมเมิร์ซ สู่ฮับโลจิสติกส์อาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไปรษณีย์ไทย ผนึก ไปรษณีย์ลาว ปูพรม 5 ยุทธศาสตร์ ดันค้าชายแดน-อีคอมเมิร์ซ สู่ฮับโลจิสติกส์อาเซียน

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เดินหน้าเร่งเครื่องศักยภาพเศรษฐกิจอีคอมเมิร์ซและการค้าระหว่างประเทศ โดยมุ่งขยายบทบาทผู้นำโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน ล่าสุดได้ร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ลาว จำกัด จัดการประชุมความร่วมมือด้านไปรษณีย์ ครั้งที่ 29 เพื่อวางกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจสองชาติผ่านโซลูชันทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ โดยเน้นการขับเคลื่อนระบบขนส่งข้ามพรมแดนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

 

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการเติบโตของการค้าชายแดนระหว่างไทยและ สปป.ลาว ว่ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ในช่วงเดือนกันยายนปี 2568 ที่ระบุว่ามูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศพุ่งสูงกว่า 23,952 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

ปัจจัยบวกดังกล่าวสอดรับกับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในลาว ที่พบว่ามีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และการใช้บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายขนส่งและระบบการชำระเงิน กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจดิจิทัลในกลุ่มประเทศ CLMV

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจไทย–ลาว–จีน ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูงตามแนวเส้นทางรถไฟจีน–ลาว ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความคล่องตัวของระบบโลจิสติกส์ทางบกได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยและไปรษณีย์ลาวได้กำหนด 5 ยุทธศาสตร์หลักร่วมกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ โดยมุ่งเน้นการยกระดับความปลอดภัยและมาตรฐานสากลของการขนส่ง

 

การดำเนินงานจะครอบคลุมระบบส่งต่อถุงเมล์แบบปิด–เปิด ทั้งทางอากาศ ภาคพื้น และบริการ EMS ข้ามสะพานมิตรภาพไทย–ลาว พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านศุลกากรและเพิ่มความโปร่งใสในการตรวจปล่อยสินค้า นอกจากนี้ ยังเร่งพัฒนาบริการอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนด้วยการขยายบริการ ‘ePacket’ และ COD ในเส้นทางไทย–ลาว–จีน เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยส่งสินค้าได้สะดวกรวดเร็ว

 

ในด้านนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัล ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันเสริมศักยภาพบริการ e-Wallet และช่องทางชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมต่ออายุความร่วมมือแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Western Union สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่ปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้บริการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการของทั้งสององค์กรให้ทัดเทียมกัน

 

ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ แต่ยังรวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ มาใช้เพื่อยกระดับความเชื่อมั่น และมีการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมให้เป็นธรรม เพื่อช่วยลดต้นทุนการขนส่งให้แก่ผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการก้าวสู่การเป็น ‘Trusted ASEAN Brand’

 

ไปรษณีย์ไทยยังได้วางเป้าหมายระยะยาวในการพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ให้ครบวงจร โดยการเชื่อมต่อระบบขนส่งภาคพื้น ทางอากาศ และทางรางเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้าระดับภูมิภาค และเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายเครือข่ายบริการให้ครอบคลุมด่านชายแดนสำคัญ อาทิ หนองคาย และเชียงของ เพื่อรองรับปริมาณการค้าที่เพิ่มขึ้น

 

การผนึกกำลังครั้งนี้จะเป็นแรงหนุนสำคัญในการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดจีนตอนในและยุโรปตะวันออก ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล และตอกย้ำบทบาทของไปรษณีย์ไทยในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการขนส่งของภูมิภาค CLMV อย่างแท้จริงในอนาคต

The post ไปรษณีย์ไทย ผนึก ไปรษณีย์ลาว ปูพรม 5 ยุทธศาสตร์ ดันค้าชายแดน-อีคอมเมิร์ซ สู่ฮับโลจิสติกส์อาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Tealive’ เบอร์ 1 มาเลเซีย จับมือ RD บุกไทยเต็มสูบ ประเดิม 3 สาขาแรกท้าชนเจ้าตลาด พบคนไทยยืนหนึ่ง ดื่มชานมไข่มุกสูงสุดในอาเซียน 6 แก้ว/เดือน https://thestandard.co/tealive-thailand-launch-bubbletea/ Sat, 13 Dec 2025 11:15:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1154358 Tealive เบอร์ 1 มาเลเซีย จับมือ RD บุกไทยเต็มสูบ ประเดิม 3 สาขาแรกท้าชนเจ้าตลาด พบคนไทยยืนหนึ่ง ดื่ม ชานมไข่มุก สูงสุดในอาเซียน 6 แก้ว/เดือน

ตลาดชานมไข่มุกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเติบโ […]

The post ‘Tealive’ เบอร์ 1 มาเลเซีย จับมือ RD บุกไทยเต็มสูบ ประเดิม 3 สาขาแรกท้าชนเจ้าตลาด พบคนไทยยืนหนึ่ง ดื่มชานมไข่มุกสูงสุดในอาเซียน 6 แก้ว/เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tealive เบอร์ 1 มาเลเซีย จับมือ RD บุกไทยเต็มสูบ ประเดิม 3 สาขาแรกท้าชนเจ้าตลาด พบคนไทยยืนหนึ่ง ดื่ม ชานมไข่มุก สูงสุดในอาเซียน 6 แก้ว/เดือน

ตลาดชานมไข่มุกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากงานสัมมนา Cartons of Multisensory Innovation ประจำปี 2024ระบุว่ามูลค่าตลาดรวมในอาเซียนพุ่งสูงถึง 3,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 128,100 ล้านบาท อินโดนีเซียครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 46% ขณะที่ประเทศไทยตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 26,250 ล้านบาท สะท้อนถึงกำลังซื้อที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนี้

 

สิ่งที่น่าสนใจในเชิงสถิติคือพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่ครองตำแหน่ง ‘นักดื่มชานมไข่มุกตัวยง’ อันดับ 1 ของอาเซียน ด้วยอัตราการบริโภคเฉลี่ยสูงถึง 6 แก้วต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่อยู่ที่ 3 แก้วต่อเดือนถึงเท่าตัว ทิ้งห่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และเวียดนาม ทำให้ไทยกลายเป็นสมรภูมิการค้าที่สำคัญ

 

ท่ามกลางโอกาสนี้ ‘Tealive’ แบรนด์ชาจากประเทศมาเลเซีย ภายใต้การบริหารของ Loob Holding Sdn. Bhd. จึงเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ RD เพื่อรุกตลาดเครื่องดื่มชาในไทยอย่างเต็มรูปแบบ

 

แอนดรูว์ เจมส์ นอร์ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมากสำหรับธุรกิจเครื่องดื่มชา ด้วยพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่ดื่มชานมไข่มุกมากที่สุดในอาเซียน ประกอบกับขนาดตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค จึงเป็นโอกาสทองที่เราไม่อาจมองข้าม การนำ Tealive เข้ามาในประเทศไทยครั้งนี้ เราตั้งใจที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ของการดื่มชาคุณภาพในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้”

 

สำหรับ Tealive ปัจจุบันมีเครือข่ายมากกว่า 1,000 สาขาทั่วโลก โดยกลยุทธ์หลักในการรุกตลาดคือการนำเสนอจุดแข็งด้าน ‘คุณภาพระดับพรีเมียม’ ในราคาที่จับต้องได้ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการดื่มชาได้ทุกวัน โดยมีการบริหารจัดการวัตถุดิบนำเข้าจากไต้หวันและการเก็บรักษาแบบควบคุมอุณหภูมิเพื่อคงมาตรฐานรสชาติ

 

ในด้านผลิตภัณฑ์ แบรนด์ได้นำเสนอเมนูซิกเนเจอร์ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วเอเชียอย่าง ‘แบงแบง ชานม ไข่มุกอุ่นบราวน์ชูการ์’ รวมถึงการนำเสนอชาต้าหงเผาจากจีน เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในตลาด เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย

 

ปัจจุบัน Tealive Thailand ได้เริ่มเดินหน้าเปิดให้บริการแล้วใน 3 สาขาแรก บนทำเลศักยภาพ ได้แก่ เมเจอร์ รัชโยธิน, โลตัส รัตนาธิเบศร์ และโลตัส สุขุมวิท 50 โดยทางบริษัทมีแผนที่จะเร่งขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศในอนาคต เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจเครื่องดื่มชาของไทยที่มีการแข่งขันสูง

The post ‘Tealive’ เบอร์ 1 มาเลเซีย จับมือ RD บุกไทยเต็มสูบ ประเดิม 3 สาขาแรกท้าชนเจ้าตลาด พบคนไทยยืนหนึ่ง ดื่มชานมไข่มุกสูงสุดในอาเซียน 6 แก้ว/เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนรู้ทันแผนแย่งมาร์เก็ตแชร์ Huawei ปัดซื้อชิป H200 ของสหรัฐฯ หันพึ่งชิปในประเทศ https://thestandard.co/china-rejects-h200-chip-huawei/ Sat, 13 Dec 2025 09:09:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1154320 จีนรู้ทันแผนแย่งมาร์เก็ตแชร์ Huawei ปัดซื้อชิป H200 ของสหรัฐฯ หันพึ่งชิปในประเทศ

David Sacks ประธานสภาที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโล […]

The post จีนรู้ทันแผนแย่งมาร์เก็ตแชร์ Huawei ปัดซื้อชิป H200 ของสหรัฐฯ หันพึ่งชิปในประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนรู้ทันแผนแย่งมาร์เก็ตแชร์ Huawei ปัดซื้อชิป H200 ของสหรัฐฯ หันพึ่งชิปในประเทศ

David Sacks ประธานสภาที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของทำเนียบขาวสหรัฐฯ เผยว่า จีนรู้ทันกลยุทธ์ขายชิปของสหรัฐฯ โดยปัดซื้อชิป H200 และหันไปพึ่งเซมิคอนดักเตอร์ที่พัฒนาในประเทศแทน

 

ก่อนหน้านี้ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม ว่าอนุญาตให้มีการส่งออกชิป H200 ของ Nvidia ไปยังจีน เพื่อแข่งขันกับ Huawei Technologies บริษัทเทคโนโลยีอันดับหนึ่งในจีน โดยมี Sacks เป็นผู้ผลักดันแผนดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม Sacks กล่าวในวันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม โดยส่งสัญญาณถึงความไม่แน่ใจว่าแผนดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่

 

Sacks กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Tech ว่า “พวกเขาปฏิเสธชิปของเรา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการมัน และผมคิดว่าเหตุผลเป็นเพราะพวกเขาต้องการความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์”

 

คำกล่าวของ Sacks ทำให้เกิดคำถามว่า Nvidia จะสามารถกอบกู้รายได้ในจีนได้หรือไม่ ซึ่งปัจจุบัน Nvidia ตัดจีนออกจากคาดการณ์รายได้ทั้งหมดแล้ว ขณะที่ Jensen Huang คาดการณ์ว่า ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในจีนปีนี้มีมูลค่าสูงถึง 50,000 ล้านดอลลาร์

 

นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ประมาณการว่า H200 มีโอกาสทำรายได้ราว 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หากจีนเปิดทางให้มีการใช้ชิปของบริษัทสหรัฐฯ ทำตลาดในประเทศได้

 

ทางด้านโฆษกของ Nvidia ได้แถลงว่า บริษัทจะยังคงทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการขอใบอนุญาตส่งออกชิป H200 ให้กับลูกค้าที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว

 

“แม้เรายังไม่มีผลลัพธ์มาแจ้งให้ทราบ แต่เป็นที่ชัดเจนว่า การควบคุมการส่งออกที่กว้างเกินไปตลอดสามปีที่ผ่านมา ได้ช่วยส่งเสริมบริษัทต่างชาติที่เป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ และสร้างความเสียหายแก่ผู้เสียภาษีสหรัฐฯ หลายพันล้านดอลลาร์”

 

Liu Pengyu โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐ ระบุว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของจีนและสหรัฐ “เราหวังว่าสหรัฐจะทำงานร่วมกับจีน เพื่อดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการรักษาเสถียรภาพและความราบรื่นของห่วงโซ่อุปทานโลก”

 

Bloomberg รายงานว่า จีนกำลังพิจารณามาตรการส่งเสริมธุรกิจมูลค่าสูงถึง 70,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตชิปในประเทศ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีน ในการลดการพึ่งพาผู้ผลิตชิปต่างชาติอย่าง Nvidia และบ่งชี้ว่ารัฐบาลจีนจะยังคงสนับสนุนบริษัทอย่าง Huawei และ Cambricon Technologies ต่อไป แม้ว่าสหรัฐฯ จะอนุญาตให้ส่งออก H200 ไปจีนได้แล้วก็ตาม

 

ชิป H200 ซึ่งเปิดตัวในปี 2023 และเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าเมื่อปีก่อน ถือเป็นส่วนหนึ่งในชิปตระกูล Hopper ของ Nvidia และมีประสิทธิภาพเป็นรองเพียงตระกูล Blackwell และตามหลังตระกูล Rubin ที่กำลังจะเปิดตัวอยู่สองรุ่น

 

โดยระยะเวลาที่ห่างกัน 18 เดือนนี้ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ รัฐบาลภายใต้การนำของ Trump อนุญาตให้มีการส่งออกไปจีน

 

Sacks กล่าวต่อว่า เหตุผลหลักที่จีนยังคงลังเลต่อการซื้อชิป H200 เป็นเพราะจีนต้องการสนับสนุน Huawei พร้อมกันนั้น Sacks ยังปกป้องการตัดสินใจส่งชิป H200 ไปจีน โดยให้เหตุผลว่าชิป H200 เป็นเทคโนโลยีที่ล้าหลังและไม่ล้ำสมัยอีกแล้ว

 

การตัดสินใจเกี่ยวกับชิป H200 นั้นมีแรงจูงใจมาจากการประเมินว่า Huawei ซึ่งเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของ Nvidia ในจีนนั้น ได้ใช้แพลตฟอร์ม Cloud Matrix 384 รวมถึงระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากัน มาเชื่อมต่อโปรเซสเซอร์หลายร้อยตัวเข้าด้วยกันเพื่อชดเชยประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าในชิปแต่ละตัว

 

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคนมองว่า H200 เป็นการประนีประนอมจากความพยายามก่อนหน้านี้ของ Nvidia ในการส่งออกชิป Blackwell เวอร์ชันหนึ่งไปยังประเทศจีน

 

สัปดาห์ก่อน ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังพิจารณาการตัดสินใจ Huang ได้บอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงวอชิงตันว่า เขาไม่รู้ว่าจีนจะยอมรับชิป H200 หรือไม่ แม้ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนจะตอบรับการอนุมัติการส่งออก H200 ในเชิงบวก

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังไม่ได้อนุญาตให้นำเข้าผลิตภัณฑ์ H200 ของ Nvidia และยังไม่ได้ปฏิเสธอย่างเป็นทางการเช่นกัน โดยก่อนหน้านี้ จีนได้ปฏิเสธการนำเข้าชิป H20 ซึ่งเป็นชิปที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ามากแล้วครั้งหนึ่งเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา

The post จีนรู้ทันแผนแย่งมาร์เก็ตแชร์ Huawei ปัดซื้อชิป H200 ของสหรัฐฯ หันพึ่งชิปในประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
SpaceX เตรียมขายหุ้น IPO ปีหน้า คาดมูลค่าสูงถึง 26 ล้านล้านบาท นักวิเคราะห์ชวนจับตาภารกิจอวกาศที่ยังต้องพิสูจน์ https://thestandard.co/spacex-ipo-trillion-analysts-watch/ Sat, 13 Dec 2025 08:21:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1154291 SpaceX เตรียมขายหุ้น IPO ปีหน้า คาดมูลค่าสูงถึง 26 ล้านล้านบาท นักวิเคราะห์ชวนจับตาภารกิจอวกาศที่ยังต้องพิสูจน์

SpaceX บริษัทผลิตจรวดและดาวเทียมของ Elon Musk ได้แจ้งพน […]

The post SpaceX เตรียมขายหุ้น IPO ปีหน้า คาดมูลค่าสูงถึง 26 ล้านล้านบาท นักวิเคราะห์ชวนจับตาภารกิจอวกาศที่ยังต้องพิสูจน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
SpaceX เตรียมขายหุ้น IPO ปีหน้า คาดมูลค่าสูงถึง 26 ล้านล้านบาท นักวิเคราะห์ชวนจับตาภารกิจอวกาศที่ยังต้องพิสูจน์

SpaceX บริษัทผลิตจรวดและดาวเทียมของ Elon Musk ได้แจ้งพนักงานเมื่อวันศุกร์ (12 ธันวาคม) ว่า บริษัทจะรับซื้อหุ้นคืนจากคนวงใน (Insider Shares) ซึ่งข้อตกลงนี้จะส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าประเมินสูงถึงประมาณ 8 แสนล้านดอลลาร์ หรือ ราว 26 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า บริษัทกำลังเตรียมตัวสำหรับการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า

 

เบรต จอห์นเซน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของ SpaceX ระบุในจดหมายถึงพนักงานว่า บริษัทมีแผนจะรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเป็นมูลค่ารวม 2.56 พันล้านดอลลาร์ ในราคาหุ้นละ 421 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินภายในครั้งก่อนเกือบสองเท่า โดย The New York Times ได้รับมา ระบุว่า ในจดหมายฉบับดังกล่าวที่ได้รับมานั้น จอห์นเซนยังได้กล่าวเป็นนัยถึงความเป็นไปได้ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย

“ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เกิดขึ้นเมื่อใด และที่ระดับมูลค่าเท่าไหร่นั้น ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงมาก แต่แนวคิดก็คือ หากเราดำเนินการได้อย่างยอดเยี่ยมและสภาพตลาดเอื้ออำนวย การทำ IPO ก็น่าจะช่วยระดมเงินทุนได้มหาศาล” จอห์นเซนระบุ

ข้อเสนอในการรับซื้อหุ้นจากพนักงานครั้งนี้ จะทำให้ SpaceX กลายเป็นบริษัทเอกชน (Private Company) ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้าบริษัท AI อย่าง OpenAI ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์ และหาก SpaceX ตัดสินใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จริง ก็คาดว่าจะเป็นหนึ่งในการทำ IPO ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และจะเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลให้กับบรรดาผู้ถือหุ้น
ขณะที่ Bloomberg ได้ระบุว่า บริษัทตั้งเป้าระดมทุนเงินจำนวนมหาศาล สำหรับการพัฒนายานสตาร์ชิป (Starship) และการตั้งฐานดาต้าเซ็นเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ในอวกาศ และดวงจันทร์

ภารกิจดาวอังคาร บททดสอบนักลงทุน

 

แม้การ IPO ของ SpaceX จะถูกจับตาอย่างมากโดยนักลงทุน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนได้ออกมาเตือนว่า SpaceX เป็นบริษัทที่เน้นการวิจัยและพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งนักลงทุนบางส่วนอาจยอมรับไม่ได้ หากบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การขยายกิจการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ให้มากขึ้น

 

โดยราคาหุ้นของ Tesla เคยร่วงมาแล้ว เมื่อครั้งหนึ่ง Musk บอกว่า Tesla ไม่ใช่บริษัทยานยนต์ แต่เป็นแพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์

 

ทางฝั่งของ Caleb Henry นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยด้านอวกาศ Quilty Analytics กล่าวว่า SpaceX ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการที่มีความเสี่ยงสูงมาโดยตลอด และบางโครงการต้องใช้เวลาในการทดลองที่ยาวนาน ซึ่งนักลงทุนต้องยอมรับให้ได้

 

ขณะที่ด้าน Justus Parmar ซีอีโอของ Fortuna Investments บริษัทร่วมทุนที่ลงทุนใน SpaceX คาดว่า การ IPO จะเกิดขึ้นหลังจาก SpaceX สามารถนำยานสตาร์ชิปไปยังดาวอังคารได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงชิ้นใหญ่ออกไปจากกิจการ โดยกล่าวว่า “จะเกิดผลเสียต่อราคาหุ้นอย่างมาก หาก SpaceX ส่งยานอวกาศไปดาวอังคารไม่สำเร็จ แต่ถ้ายังเป็นบริษัทเอกชน ก็จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น”

 

อย่างไรก็ตาม Abhi Tripathi อดีตผู้อำนวยการหน่วยแคปซูลบรรทุกนักบินอวกาศ ‘ดรากอน’ ของสเปซเอ็กซ์ มองว่า นักลงทุนจะยอมรับความล้มเหลวของยานอวกาศได้ เมื่อเทียบกับรายได้มหาศาลที่ Starlink สร้างให้กับบริษัท

 

เดิมพันอนาคตกับโจทย์รายได้ที่ยังต้องพิสูจน์

 

นอกเหนือจากความเสี่ยงของโครงการสำรวจอวกาศแล้ว นักวิเคราะห์บางรายยังกังขาต่อการประเมินมูลค่ากิจการของ SpaceX ว่าสูงเกินจริง ซึ่งปัจจุบัน SpaceX คาดการณ์รายได้ประจำปีไว้ที่ 15,000 ล้านดอลลาร์ แม้ขนาดตลาดของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมความเร็วสูงจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม

 

ทั้งนี้ ในทางทฤษฎี SpaceX สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของโลก โดยนำพลังงานจากดวงอาทิตย์มารองรับการตั้งฐานดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ต้องมีการระบายความร้อนที่ดีขึ้น และต้นทุนการปล่อยจรวดที่ต่ำลงอย่างมาก ขณะที่ขยะอวกาศ (Space Debris) ยังเป็นความท้าทายสำคัญที่จะทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น

 

แม้จะมีความเสี่ยงมากมาย แต่ Shay Boloor หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของ Futurum Equities Research เชื่อว่า นักลงทุนจะอดทนกับความผันผวนของ SpaceX ได้เช่นเดียวกับที่อดทนกับ Tesla

 

อ้างอิง:

The post SpaceX เตรียมขายหุ้น IPO ปีหน้า คาดมูลค่าสูงถึง 26 ล้านล้านบาท นักวิเคราะห์ชวนจับตาภารกิจอวกาศที่ยังต้องพิสูจน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อ ‘คน’ สำคัญกว่าเทคโนโลยี และ ‘ความเท่าเทียม’ ต้องพิสูจน์ด้วยผลงาน ถอดรหัสวิสัยทัศน์ ‘กานติมา เลอเลิศยุติธรรม’ ผู้พา AIS คว้ารางวัลระดับโลก Stevie Awards 2025 [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/kantima-ais-stevie-awards-first-thai-woman/ Fri, 12 Dec 2025 09:02:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1153964 kantima-ais-stevie-awards-first-thai-woman

ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัลดิสรัปชันที่ทุกอย่างหมุนเร็วด้วยเท […]

The post เมื่อ ‘คน’ สำคัญกว่าเทคโนโลยี และ ‘ความเท่าเทียม’ ต้องพิสูจน์ด้วยผลงาน ถอดรหัสวิสัยทัศน์ ‘กานติมา เลอเลิศยุติธรรม’ ผู้พา AIS คว้ารางวัลระดับโลก Stevie Awards 2025 [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
kantima-ais-stevie-awards-first-thai-woman

ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัลดิสรัปชันที่ทุกอย่างหมุนเร็วด้วยเทคโนโลยี หลายองค์กรมักหลงลืมรากฐานที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ ‘มนุษย์’ แต่สำหรับองค์กรโทรคมนาคมเบอร์หนึ่งของไทยอย่าง AIS กลับเลือกเดินในเส้นทางที่ต่างออกไป ด้วยการวางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของคน เหนือกว่าอัลกอริทึมใดๆ

 

ล่าสุดเวทีระดับโลกอย่าง The Stevie Awards for Women in Business 2025 ได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ และหนึ่งในนั้นคือ ‘กานติมา เลอเลิศยุติธรรม’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ที่สามารถคว้ารางวัล Female Thought Leader of the Year – Business Services มาครองได้สำเร็จ

 

นี่คือก้าวย่างสำคัญ เพราะกานติมาคือผู้บริหารหญิงไทยคนแรกในวงการโทรคมนาคมที่ก้าวไปยืนในจุดนั้น สะท้อนให้เห็นว่ามาตรฐานการบริหารคนขององค์กรไทย มีความแข็งแกร่งและทัดเทียมกับมาตรฐานสากล ซึ่งความสำเร็จนี้เกิดจากการวางแผนและลงมือทำอย่างเข้มข้น

 

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม ผู้บริหาร AIS

 

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของรางวัลนี้ ต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ Stevie Awards for Women in Business ซึ่งถือเป็นเวทีออสการ์แห่งโลกธุรกิจ ที่ให้เกียรติและยกย่องความสำเร็จของผู้บริหารหญิงและองค์กรชั้นนำจากทั่วโลก โดยการจัดงานในปี 2025 นี้นับเป็นครั้งที่ 22 แล้ว ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

ความขลังของเวทีนี้อยู่ที่กระบวนการตัดสินที่เข้มข้น โดยผู้ได้รับรางวัลจะต้องผ่านการคัดเลือกจากคะแนนเฉลี่ยของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกว่า 190 คน ที่ร่วมพิจารณาผลงานอย่างรอบคอบตลอดกระบวนการ เพื่อเฟ้นหาผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในแวดวงธุรกิจได้อย่างแท้จริง

 

“รู้สึกดีใจที่ได้รับรางวัลนี้ เพราะมันไม่ใช่รางวัลสำหรับส่วนตัว แต่เป็นรางวัลสำหรับงานที่องค์กรได้ทำ การผ่านด่านกรรมการทำให้รู้สึกภูมิใจว่า ประเทศไทยไม่ได้น้อยหน้าประเทศอื่นๆ ในวันที่ไปรับรางวัล เราเห็นหลายชาติได้รับรางวัล และรู้สึกดีใจที่ชื่อประเทศไทยปรากฏอยู่ในประกาศ”

 

จาก 50:50 สู่ ‘รู้จักล้ม’ สมการปั้นคนให้เหนือกว่า AI

 

เมื่อเทคโนโลยีถูกพัฒนาให้ฉลาดขึ้นทุกวัน คนทำงานย่อมเกิดคำถามถึงความมั่นคงในอาชีพ ทว่าภายใต้วิสัยทัศน์ของกานติมากลับมองเห็นต่างออกไป โดยมองว่าเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือที่เข้ามาช่วยทุ่นแรง แต่ ‘คน’ คือศิลปะที่มีชีวิต มีประสบการณ์ และมีความสามารถในการพลิกแพลงที่เครื่องจักรเลียนแบบไม่ได้

 

สิ่งสำคัญคือการที่คนทำงานต้องไม่หยุดนิ่งและพร้อมที่จะอัปเกรดตัวเองอยู่เสมอ ‘กลยุทธ์ 50:50’ จึงถูกนำมาใช้เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนคน โดยองค์กรรับหน้าที่สนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยี 50% ส่วนอีก 50% พนักงานต้องลุกขึ้นมารับผิดชอบอนาคตของตัวเอง องค์กรยุคใหม่ไม่เชื่อในระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้คนอ่อนแอ แต่เชื่อในการสร้างพื้นที่ให้คนเก่งได้ฉายแสง

 

ภารกิจนี้ถูกขับเคลื่อนผ่าน AIS Academy ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการพัฒนาคนทั้งในและนอกองค์กร โดยมุ่งเน้นการสร้าง Digital Talent ผ่านการยกระดับทักษะ (Upskill–Reskill) ด้วยหลักสูตรชั้นนำระดับโลกบนแพลตฟอร์มดิจิทัล เปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่มีข้อจำกัด

 

“เราเชื่อว่า คนคือทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงที่สุด หากคนล้าสมัยองค์กรจะแย่ เนื่องจากขาดประสบการณ์ เทคโนโลยีมีสิ่งใหม่มาแทนได้ แต่คนมีความเป็นศิลปะ มีทั้งประสบการณ์และความสามารถในการเดินต่อไป เราไม่เชื่อเรื่องชะตากรรม แต่เราเชื่อเรื่องที่คนจะลุกขึ้นมากำหนดชะตาของตัวเอง”

 

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม ผู้บริหาร AIS

 

นอกจากความรู้แล้ว Mindset เรื่องการรับมือกับความผิดพลาดก็เป็นเรื่องใหญ่ วัฒนธรรมที่ AIS ปลูกฝังคือ ‘รู้จักล้ม’ ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ทรงพลังว่า พนักงานสามารถล้มได้หากกำลังทดลองสิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม แต่ต้องไม่ล้มซ้ำในเรื่องเดิม และเมื่อล้มแล้วต้องรีบลุกเพื่อเรียนรู้จากแผลนั้น

 

จากนั้นจึงผันตัวเองมาเป็น Change Agent เพื่อแบ่งปันบทเรียนไม่ให้เพื่อนร่วมงานต้องผิดซ้ำรอยเดิม วิธีคิดเช่นนี้ทำให้องค์กรเกิดความยืดหยุ่น กล้าที่จะเสี่ยง และพร้อมปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

 

‘FIT FUN FAIR’ นิยามความหลากหลายที่ไร้ขีดจำกัด

 

“ส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยชอบการแบ่งแยกเพศ และไม่ชอบพูดว่าผู้หญิงต้องได้รับอะไรพิเศษ เพราะมีความเชื่อเสมอว่า หากอยากจะเท่าเทียมกับผู้อื่น ก็ต้องทำเหมือนกัน ไม่ว่าจะเพศไหน”

 

วิธีคิดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คำว่า ‘ความเท่าเทียม’ ในมุมมองของ AIS ไม่ใช่การกำหนดโควต้าตัวเลขว่าต้องมีผู้หญิงกี่คน หรือผู้ชายกี่คน เพื่อให้ดูสวยหรู แต่คือการเปิดกว้างทางโอกาสที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่ชื่อว่า FIT FUN FAIR โดยมีคำว่า FAIR เป็นหัวใจหลักในการยอมรับความแตกต่างในทุกมิติ

 

การบริหารความหลากหลาย คือการมองเห็นความสวยงามของความแตกต่าง หากทุกคนในองค์กรคิดเหมือนกันหมด นวัตกรรมใหม่ๆ คงไม่เกิด AIS จึงผลักดันนโยบายที่จับต้องได้จริง เช่น การสนับสนุนสมรสเท่าเทียม การมอบสวัสดิการแต่งงานสำหรับทุกเพศ หรือแม้แต่สิทธิการลากิจเพื่อการผ่าตัดเปลี่ยนเพศสภาพ

 

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม ผู้บริหาร AIS

 

ยิ่งไปกว่านั้น การให้โอกาสยังขยายไปถึงกลุ่มผู้เปราะบาง ด้วยการจ้างงานผู้พิการเข้ามาเป็นพนักงานในส่วนงาน AIS Contact Center โดยมีการนำเทคโนโลยีและเครื่องมืออัจฉริยะเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้พนักงานกลุ่มนี้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับพนักงานทั่วไป

 

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ข้อจำกัดทางร่างกายไม่ใช่อุปสรรคของการทำงาน หากองค์กรมีความเข้าใจและพร้อมสนับสนุน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่เนื้องาน แต่คือการมอบรายได้ที่มั่นคงและการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับพวกเขา ให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างภาคภูมิ

 

“ความหลากหลายของ AIS คือการที่ทุกคนได้รับการปฏิบัติและโอกาสที่เท่ากัน สิ่งเดียวที่ตัดสินคือตัวพนักงานเองว่าจะพิสูจน์ความสามารถได้อย่างไร เราไม่ใช้วิธีการกำหนดโควต้าสำหรับผู้หญิงเพื่อสร้างความเท่าเทียม เพราะเชื่อว่าผู้หญิงจะภูมิใจที่ได้ตำแหน่งจากความสามารถ ไม่ใช่จากโควต้าที่เหลืออยู่”

 

เติบโตเคียงคู่สังคม จาก ‘ภารกิจคิดเผื่อ’ สู่ความยั่งยืน

 

รางวัลระดับโลกที่ได้รับ ไม่ใช่แค่เครื่องการันตีความสำเร็จทางธุรกิจ แต่เป็นเครื่องยืนยันถึงพันธกิจ ‘การตอบแทนคุณแผ่นดิน’ ที่องค์กรยึดถือ การเติบโตของบริษัทต้องเดินหน้าไปพร้อมกับความแข็งแรงของสังคม เพราะหากสังคมอยู่ไม่ได้ ธุรกิจก็ไม่อาจไปรอด แนวคิด ‘ภารกิจคิดเผื่อ’ จึงถูกนำมาใช้เพื่อลดช่องว่างทางสังคม

 

โครงการที่เห็นภาพชัดเจนคือการต่อยอดองค์ความรู้จากภายในสู่ภายนอก ผ่านโครงการ Academy for Thais เวทีที่คัดสรรองค์ความรู้ระดับโลกมาแบ่งปันให้กับคนไทย ควบคู่ไปกับการสร้างห้องสมุดดิจิทัล AIS ReadDi เพื่อเปิดทางให้ผู้ขาดโอกาสสามารถเข้าถึงหนังสือและสื่อการเรียนรู้ได้อย่างทั่วถึง เป็นการปิดช่องว่างทางการศึกษาอย่างยั่งยืน

 

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม ผู้บริหาร AIS

 

นอกจากนี้ ยังมีการผนึกกำลังกับภาครัฐอย่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อขับเคลื่อนสังคมภายใต้แนวคิด ‘เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง’ โดยมองว่ากลุ่มเปราะบางไม่ใช่ภาระของสังคม แต่เป็นพลังที่สามารถพัฒนาได้หากได้รับโอกาสที่เหมาะสม

 

รูปธรรมที่เกิดขึ้นคือโครงการ อุ่นใจอาสาพัฒนาอาชีพ ที่พนักงาน AIS ลงพื้นที่ถ่ายทอดทักษะดิจิทัลเพื่อสร้างอาชีพ หรือโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON ที่เปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่มาระดมสมองพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและผู้พิการ นำไปสู่โอกาสการทำงานและรายได้ที่มั่นคง

 

สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่า การได้รับรางวัล Female Thought Leader of the Year ในครั้งนี้ ไม่ได้มาจากความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการสั่งสมความมุ่งมั่นที่จะยกระดับ ‘คน’ และสร้าง ‘ความเท่าเทียม’ ให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย

 

กานติมา กล่าวทิ้งท้ายถึงเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อตอบแทนสังคมไว้ว่า “ส่วนตัวเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างแบรนด์ที่ดีกว่าการให้แล้วจบไป เพราะเราจะเติบโตไม่ได้หากสังคมไม่เข้มแข็ง แม้หลายสิ่งทำไปแล้วอาจไม่เห็นผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ แต่ตอบแทนในแง่ของสังคมที่แข็งแรงขึ้น”

The post เมื่อ ‘คน’ สำคัญกว่าเทคโนโลยี และ ‘ความเท่าเทียม’ ต้องพิสูจน์ด้วยผลงาน ถอดรหัสวิสัยทัศน์ ‘กานติมา เลอเลิศยุติธรรม’ ผู้พา AIS คว้ารางวัลระดับโลก Stevie Awards 2025 [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า https://thestandard.co/khonla-khrueng-plus-sme-rider-growth/ Fri, 12 Dec 2025 08:37:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1154012 คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า

“ในช่วงครึ่งปีแรก 2025 ถือเป็นช่วงต่ำสุดของธุรกิจร้านอา […]

The post คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า

“ในช่วงครึ่งปีแรก 2025 ถือเป็นช่วงต่ำสุดของธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะไตรมาส 2 ยอดขายต่อร้านหดตัวหนัก -14% จากนั้นเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 โต 1% และไตรมาส 4 โต 5% จากแรงหนุนของโครงการคนละครึ่งพลัสที่ทำให้บรรยากาศการจับจ่ายคึกคักมากขึ้น” ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าว

 

โดยเฉพาะการกระจายสู่ร้านอาหารรายเล็ก ที่นับรายได้น้อยกว่า 10,000 บาทต่อเดือน เติบโตได้จริง มียอดขายเติบโตเกือบ 6 เท่า เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงก่อนโครงการ ส่วนร้านขนาดกลาง ที่มีรายได้มากกว่า 10,000 บาทต่อเดือน เติบโต 2 เท่า แสดงให้เห็นได้ว่าการอัดฉีดของรัฐทำให้เม็ดเงินไหลสู่ร้านรายย่อยอย่างชัดเจน หรือแม้แต่ฝั่งไรเดอร์เองก็ได้อานิสงส์จากโครงการ โดยมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15–25% ตามปริมาณออเดอร์ต่อวันที่สูงขึ้น

 

เช่นเดียวกับ LINE MAN เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มเดลิเวอรีของโครงการคนละครึ่งพลัส โดย 65% ของร้านที่เข้าโครงการเลือกขายบนแพลตฟอร์มและทำยอดขายคนละครึ่งพลัส คิดเป็น 63% มากที่สุดในตลาด โดยภายใน 3 สัปดาห์แรกของโครงการ มียอดออเดอร์คนละครึ่งรวมกว่า 8 ล้านออเดอร์

 

ขณะที่ยอดขายร้านค้าทั่วประเทศ เติบโตเฉลี่ย 4.2 เท่า และเติบโตสูงสุดมากกว่า 10 เท่า สูงกว่าโครงการคนละครึ่งในรอบที่ผ่านมา ที่สำคัญร้านค้าได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 22% และมีความถี่ในการสั่งบ่อยขึ้น 30% และมูลค่าต่อบิลโต 15%

 

เมื่อเจาะลึกลงมาถึงเมนูที่มียอดสั่งสูงสุดผ่านแคมเปญคนละครึ่งพลัสบน LINE MAN 5 อันดับแรก ได้แก่ ชาไทย, ตำปูปลาร้า, ชาเขียวนม, โกโก้ และ ตำป่า รวมถึงเมนูมัทฉะ เครื่องดื่มที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรง มียอดสั่งพุ่งกว่า 6.5 ล้านแก้ว เติบโตทะลุ 300% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มที่เติบโตเร็วที่สุดบนแพลตฟอร์ม

 

อีกทั้งยังทำให้เกิดเมนูจัดหนัก ที่มียอดบิลสูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แซลมอน, ทุเรียนหมอนทองแกะเนื้อ, กุ้งเผา, ปูไข่นึ่ง และหมูหัน มูลค่าบิลสูงสุดแตะ 1,700 บาท ซึ่งแสดงว่าผู้บริโภคมองโปรโมชันจากรัฐเป็นโอกาสลองของแพง และทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าโครงการคนละครึ่งพลัสช่วยขยายฐานผู้ใช้และกระตุ้นกำลังซื้ออย่างชัดเจน

 

รวมถึงตลาดต่างจังหวัดในช่วงไตรมาส 4 ภาพรวมตลาดร้านอาหารฟื้นตัวแรงกว่ากรุงเทพฯ โดยยอดขายต่อร้านต่างจังหวัดโตเฉลี่ย 7% สวนทางกับกรุงเทพฯ ที่โตเพียง 2% โดยเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงใหม่ โต 9%, พัทยา โต 12% และภูเก็ต โต 7% ถือเป็นการเริ่มฟื้นตามการกลับมาของนักท่องเที่ยว

 

อีกทั้งผลพวงจากคนละครึ่งพลัส ดันยอดขายร้านต่างจังหวัดโตสูง จังหวัดที่ทำผลงานโดดเด่น มียอดขายร้านเติบโตสูงที่สุด เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงก่อนโครงการ ได้แก่ จันทบุรี โต 9.4 เท่า, หนองบัวลำภู โต 9.3 เท่า, อุตรดิตถ์ โต 8 9 เท่า, อุดรธานี โต 8 เท่า และเชียงราย โต 7 เท่า

 

แม้ตลาดภาพรวมจะเริ่มฟื้นช่วงสิ้นปี แต่กรุงเทพฯ ยังเป็นพื้นที่ที่ฟื้นตัวช้าที่สุด โดยโซนฮอตสปอต หลายย่านยังมียอดขายติดลบ ได้แก่ ย่านธุรกิจสุขุมวิท-สีลม-สาทร ที่มียอดขายต่อร้าน -19% ในไตรมาส 2 และแม้ดีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน แต่ยังติดลบเล็กน้อยที่ 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน

 

ไม่เว้นแม้แต่ ย่านบรรทัดทอง ชะลอตัวหนักที่สุด ติดลบถึง 35% ในไตรมาส 2 และยังติดลบ 21% ในช่วงปลายปี ส่วนร้านในห้าง เริ่มเห็นสัญญาณบวก ยอดขายช่วงไตรมาส 2 ลดลง 21% แต่ดีดตัวขึ้นมาบวก 1% ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวในกรุงเทพฯ ที่พลิกกลับมาบวกได้ในช่วงปลายปี

 

ถึงกระนั้นธุรกิจร้านอาหารยังเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง แม้ในครึ่งปีหลังจะมีร้านอาหารเปิดใหม่เพิ่มขึ้น 3% แต่อัตราร้านที่ปิดตัวลงยังอยู่ที่ 50% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดร้านอาหารยังมีการแข่งขันกันอย่างหนักและยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว มีผลต่อพฤติกรรมคนไทยที่จะเลือกกินคุ้มค่ามากขึ้น โดยจะเลือกซื้อเมนูราคาจับต้องได้ ทำให้กลุ่มเมนูยอดบิลต่ำกว่า 500 บาทได้รับผลกระทบน้อยกว่า ยอดขายต่อร้านลดลงเพียง 12% ในไตรมาส 2 ก่อนจะกลับมาโต 5% ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน แต่ในทางตรงกันข้าม เมน ที่ยอดบิลสูงกว่า 500 บาทถูกกดดันหนักและโตน้อยกว่าเมนูราคาถูก แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อระดับกลางยังรัดเข็มขัดต่อเนื่อง

 

ด้านตลาดฟู้ดเดลิเวอรีโดยรวมยังอยู่ในทิศทางเติบโตต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เข้าถึงบริการได้ง่ายมากขึ้น โดยประเมินว่าตลาดน่าจะขยายตัวราว 15% ต่อปี ขณะที่ LINE MAN ตั้งเป้าเติบโตเร็วกว่าตลาด โดยหวังสร้างการเติบโตอยู่ที่ 20% ต่อปี

 

ในมุมแนวโน้มปี 2569 ผู้บริหาร LINE MAN Wongnai มองว่า หากรัฐบาลเดินหน้าโครงการคนละครึ่งต่อ จะมีส่วนช่วยเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นยอดสั่งอาหารออนไลน์ได้พอสมควร อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าเกณฑ์ร้านอาหารที่เข้าร่วมจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ รวมถึงวงเงินงบประมาณรวมของโครงการ ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อการวางแผนต้นทุนของแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะการลดค่า GP ที่ธุรกิจต้องประเมินผลกระทบและเงินลงทุนเพิ่มเติม

 

แต่หากโครงการได้รับการอนุมัติทันช่วงไตรมาส 1 ปี 2569 คาดว่าจะช่วยสร้างบรรยากาศจับจ่ายให้คึกคักขึ้น แม้ปัจจัยด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกแหล่งรายได้สำคัญของภาคบริการจะยังไม่เห็นสัญญาณบวกมากนัก โดยภาพรวมยังคงซบเซา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการจึงขอเสนอให้รัฐบาลเร่งผลักดันเรื่องความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กลับมาโตในระยะยาว

The post คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>