Wealth – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 17 Oct 2025 08:58:10 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 บอร์ดใหม่ ‘บีโอไอ’ ประเดิมอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ ‘ยานยนต์ไฟฟ้า – การแพทย์’ มูลค่า 7,000 ล้านบาท https://thestandard.co/boi-approve-hitachi-bdms-7bn/ Fri, 17 Oct 2025 08:58:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1131947 boi-approve-hitachi-bdms-7bn

บอร์ด ‘บีโอไอ’ ชุดใหม่อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ […]

The post บอร์ดใหม่ ‘บีโอไอ’ ประเดิมอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ ‘ยานยนต์ไฟฟ้า – การแพทย์’ มูลค่า 7,000 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
boi-approve-hitachi-bdms-7bn

บอร์ด ‘บีโอไอ’ ชุดใหม่อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการผลิต PCU Inverter สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าของ ‘ฮิตาชิ แอสเตโม เอเชีย’ มูลค่าลงทุน 3,500 ล้านบาท และโครงการ ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง (เคมีบำบัดและรังสีวิทยา) ของ ‘กรุงเทพดุสิตเวชการ’ มูลค่าลงทุน 3,496 ล้านบาท 

 

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ชุดใหม่ ซึ่งมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน เพื่อสนับสนุนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล 

 

ล่าสุด ที่ประชุมบีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และการแพทย์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ได้แก่

 

  1. บริษัท ฮิตาชิ แอสเตโม เอเชีย จำกัด โครงการผลิต PCU Inverter สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ จังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุน 3,500 ล้านบาท

 

  1. บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) โครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง (เคมีบำบัดและรังสีวิทยา) ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มูลค่าลงทุน 3,496 ล้านบาท โครงการนี้เป็นศูนย์โปรตอนแห่งที่ 2 ของไทยที่เน้นการรักษาด้วยอนุภาคโปรตอน

 

โดยบีโอไอจะตั้งทีมพิเศษเพื่อติดตามและเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับอนุมัติในช่วงปี 2566-2567 แต่ยังติดปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนจำนวนกว่า 70 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล (ดาต้าเซ็นเตอร์) อิเล็กทรอนิกส์ กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า และกิจการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 

 

พร้อมทั้งได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค 3 ด้าน ได้แก่ ด้านไฟฟ้า ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน และด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญร่วมกันของนักลงทุนในทุกอุตสาหกรรม โดยมีเลขาธิการบีโอไอ เป็นประธาน เพื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปลดล็อกอุปสรรคเหล่านี้โดยเร็ว  

 

นอกจากนี้ บีโอไอจะดำเนินการจัดทำระบบ Thailand FastPass เพื่อเป็นกลไกที่จะใช้ต่อเนื่องระยะยาวในการเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญ โดยจะวิเคราะห์เส้นทางการประกอบธุรกิจของอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกำหนดขั้นตอนการอนุมัติ/อนุญาตที่มีผลต่อการเริ่มต้นธุรกิจ จากนั้นจะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) เพื่อเป็นช่องทางพิเศษในการช่วยเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญให้ได้รับอนุญาตตามกรอบเวลาที่กำหนดใน SLA และสามารถเดินหน้าลงทุนจริงอย่างรวดเร็วที่สุด

 

ทั้งนี้ บอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโครงการเข้าสู่ระบบ ‘Thailand FastPass’ ซึ่งต้องเป็นโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์และชิ้นส่วน เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ดิจิทัลและ AI เป็นต้น อีกทั้งเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระดับสูง เช่น การจ้างงานบุคลากรไทย การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในประเทศ และการยกระดับเทคโนโลยี

 

“มาตรการเร่งรัดการลงทุนจะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการสร้างกลไก Thailand FastPass ซึ่งจะเป็นอาวุธใหม่ในการดึงดูดการลงทุนของประเทศไทย และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความสำคัญต่อประเทศ โดยจะช่วยแก้ปัญหา ลดขั้นตอนและระยะเวลา และเพิ่มความชัดเจนในกระบวนการอนุมัติและอนุญาตต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่อย่างรวดเร็วและเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านเม็ดเงินลงทุน การจ้างงาน และการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล” นฤตม์ กล่าว

 

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอเห็นชอบการเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตส่วนประกอบหลักของเซลล์แบตเตอรี่สำหรับแบตเตอรี่ความจุสูง (High Density Battery) ได้แก่ ขั้วแคโทด (Cathode) ขั้วแอโนด (Anode) อิเล็กโตรไลต์ (Electrolyte) และตัวแยกขั้วไฟฟ้า (Separator) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน 

 

โดยมีเป้าหมายดึงดูดผู้ประกอบการชั้นนำของโลกที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ และซัพพลายเชนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เข้ามาลงทุนตั้งฐานผลิตในไทย เพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าให้ครบวงจรและแข่งขันได้ในระดับโลก โดยการลงทุนในกิจการดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี 

The post บอร์ดใหม่ ‘บีโอไอ’ ประเดิมอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ ‘ยานยนต์ไฟฟ้า – การแพทย์’ มูลค่า 7,000 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดผลสำรวจ SCB EIC Real Estate Survey 2568 สัญญาณตลาดที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นเต็มตัว แต่ ‘บ้านมือสอง-เช่าซื้อ’ ขึ้นแท่นทางเลือกใหม่ https://thestandard.co/scbeic-housing-market-slow-recovery/ Fri, 17 Oct 2025 08:21:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1131922 scbeic-housing-market-slow-recovery

เจาะ 4 ประเด็นสำคัญ จากผลสำรวจ SCB EIC Real estate surv […]

The post เปิดผลสำรวจ SCB EIC Real Estate Survey 2568 สัญญาณตลาดที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นเต็มตัว แต่ ‘บ้านมือสอง-เช่าซื้อ’ ขึ้นแท่นทางเลือกใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
scbeic-housing-market-slow-recovery

เจาะ 4 ประเด็นสำคัญ จากผลสำรวจ SCB EIC Real estate survey 2568 และนัยต่อตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568-2569 

 

ผลสำรวจ SCB EIC Real estate survey 2568 สะท้อนสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในระยะต่อไปที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า จากผลกระทบของปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งส่งผลให้ปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคา และทำเลที่มีความสะดวก ยังคงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสูง รวมถึงทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง และตลาดการเช่าที่อยู่อาศัย ยังเป็นทางเลือกที่มีแนวโน้มได้รับความสนใจสูงอย่างต่อเนื่อง โดยสรุปออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญดังนี้

 

  1. กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568-2569 ในภาพรวมยังคงอ่อนแอ และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในช่วง 5 ปีข้างหน้า จากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน และราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่างค่อนข้างมาก และเริ่มส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-บนมากขึ้น รวมถึงเหตุผลด้านการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว 

 

โดยผลสำรวจ พบว่า สัดส่วนผู้ที่ไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายในช่วง 5 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 47% ของผู้ตอบแบบสอบถามโดยรวม ซึ่งยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจากผลสำรวจในช่วง 2 ปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 50%

 

สำหรับผู้ที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ยังคงมีสัดส่วนอยู่ในระดับต่ำที่ 27% ของผู้ตอบแบบสอบถามโดยรวม เนื่องจากส่วนหนึ่งตัดสินใจชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป เพื่อรอให้แรงกดดันทางเศรษฐกิจคลี่คลาย หรือมีความพร้อมทางการเงินมากขึ้น นอกจากนั้น แรงกดดันทางเศรษฐกิจยังส่งผลให้ผู้มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มลดงบประมาณในการซื้อลงอีกด้วย โดยสัดส่วนผู้ที่ระบุว่าจะลดงบประมาณการซื้อที่อยู่อาศัยลงจากที่ตั้งไว้เดิมอยู่ที่ 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย

 

กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงอ่อนแอดังกล่าว ส่งผลให้ SCB EIC คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ในตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 และ 2569 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องที่ระดับราว -10% ถึง -15%YOY ในปี 2568 และ -1% ถึง -5%YOY ในปี 2569 ตามลำดับ และอาจยังไม่สามารถกลับมาสู่ระดับ Pre-COVID ได้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

 

  1. ที่อยู่อาศัยมือสองยังคงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความสนใจสูง จากปัจจัยด้านราคาที่ต่ำกว่ามือหนึ่งเป็นสำคัญ โดยผลสำรวจ พบว่า สัดส่วนผู้สนใจซื้อที่อยู่อาศัยมือสองในปี 2568 อยู่ที่ราว 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 63% โดยราคาที่อยู่อาศัยมือสองยังมีแนวโน้มทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยมือหนึ่งยังคงเร่งตัวขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความแตกต่างของระดับราคามือหนึ่งและมือสองยังมีสูง ส่งผลให้ผู้ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสามารถเข้าถึง และเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมือสองง่ายกว่ามือหนึ่ง 

 

โดยเฉพาะในกลุ่มทาวน์เฮาส์ และคอนโด ที่ผลสำรวจ พบว่า มีสัดส่วนผู้สนใจซื้อทาวน์เฮาส์ และคอนโดมือสองสูงกว่าที่อยู่อาศัยมือสองประเภทอื่น โดยคิดเป็นสัดส่วน 83% และ 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อทาวน์เฮาส์ และคอนโดในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตามลำดับ 

 

รวมถึงยังเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจปีก่อนหน้า เนื่องจากส่วนใหญ่ยังสามารถหาซื้อในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในทำเลที่มีความสะดวกในการเดินทางได้ ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างส่วนใหญ่ยังสามารถเข้าถึงได้มากกว่าราคามือหนึ่งในพื้นที่เดียวกัน อย่างไรก็ตาม SCB EIC คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในปี 2568-2569 จะมีแนวโน้มหดตัวตามสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในภาพรวม แต่เป็นอัตราการหดตัวที่ต่ำกว่ากลุ่มที่อยู่อาศัยมือหนึ่ง

 

  1. ความต้องการเช่ายังคงอยู่ในระดับสูง และการเช่าซื้อมีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มที่งบประมาณไม่พอที่จะซื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ทำให้ยังไม่สามารถเปลี่ยนจากการเช่ามาเป็นการซื้อได้ โดยผลสำรวจ พบว่า 44% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่เช่าที่อยู่อาศัยหรือมีความต้องการเช่าอยู่อาศัย ให้เหตุผลในการเช่าว่า งบประมาณไม่พอสำหรับการซื้อ รวมถึงยังมีกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยหลังที่สอง เพื่อความสะดวกในการเดินทาง แต่ยังไม่ต้องการซื้อขาด เนื่องจากไม่ต้องการภาระหนี้ระยะยาวเพิ่มเติม วางแผนจะเช่าอยู่เพียงในระยะกลาง หรือต้องการจ่ายค่าเช่ารายเดือนต่ำกว่าค่างวดผ่อนชำระ เป็นต้น

 

ขณะที่การนำเสนอรูปแบบการเช่าซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโด ที่มีความต้องการเช่าและความต้องการซื้อสูง จากความสามารถในการตอบโจทย์ด้านทำเล มีแนวโน้มดึงดูดกลุ่มผู้ที่มีความต้องการเช่า โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำได้ดี 

 

โดยผลสำรวจ พบว่า ราว 2 ใน 3 ของผู้ที่เช่าอาศัยอยู่หรือมีความต้องการเช่าอาศัย สนใจที่จะเปลี่ยนจากการเช่าคอนโด มาซื้อคอนโดในรูปแบบการเช่าซื้อแทนในช่วง 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังสามารถจ่ายค่าเช่าในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่เดิม แต่เพิ่มโอกาสการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในอนาคต อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เช่าที่อยู่อาศัย หรือมีความต้องการเช่า เนื่องจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ยังคาดหวังว่าจะสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในระยะข้างหน้า แต่คาดว่าต้องใช้เวลาอีกนาน อย่างต่ำมากกว่า 5 ปี กว่าสถานการณ์ทางการเงินจะเริ่มคลี่คลายมากพอจนสามารถซื้อ

ที่อยู่อาศัยได้

 

  1. ปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคายังคงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด ขณะที่ปัจจัยด้านทำเลยังคงมีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ยังคงส่งผลต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ทำให้ 39% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า ยังให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคา หรือราคาที่เข้าถึงได้มากที่สุด ซึ่งครอบคลุมถึงที่อยู่อาศัยที่ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่ามีมูลค่าสูงกว่าที่จ่าย หรือสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย

 

เช่นเดียวกับปัจจัยด้านทำเลที่ยังคงได้รับความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความสะดวกต่อการเดินทาง ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และด้านการอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจัยด้านทำเลมีแนวโน้มส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นในระยะต่อไป สะท้อนจากสัดส่วนผู้ที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านทำเลเป็นอันดับแรกยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า จากการสำรวจในช่วง 2 ปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 26% 

 

ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ที่สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจในประเทศยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า 

 

SCB EIC มองว่ายังเป็นจังหวะที่ดีในการตัดสินใจซื้อ สำหรับกลุ่มที่มีความสามารถในการผ่อนชำระเพียงพอ โดยต้องพิจารณาปัจจัยอื่นอย่างรอบคอบด้วย เช่น ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ขณะที่กลุ่มที่ยังไม่มีแผนจะซื้อ เนื่องจากข้อจำกัดทางการเงิน ควรพิจารณาทางเลือกในการเช่า หรือเช่าซื้อไปก่อน เพื่อรักษาสภาพคล่อง 

 

กลุ่มที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 3 ปี ที่มีความพร้อมทางการเงินหรือมีความสามารถในการผ่อนชำระ ยังเป็นจังหวะที่ดีในการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีแนวโน้มแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ท่ามกลางสถานการณ์กำลังซื้อในตลาดที่มีอยู่จำกัด ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในช่วงขาลง และโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยสถาบันการเงินของรัฐที่มีการออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจพิจารณาที่อยู่อาศัยมือสองในด้านความคุ้มค่าของราคาหรือทำเล ควบคู่กับมือหนึ่งด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระในระยะต่อไป งบประมาณการปรับปรุงซ่อมแซมเพิ่มเติมในกรณีซื้อที่อยู่อาศัยมือสอง รวมถึงระดับของผลตอบแทนจากการลงทุนและโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าวในระยะต่อไป ในกรณีที่ซื้อเพื่อการลงทุน เป็นต้น

 

กลุ่มที่ยังไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 3 ปี จากข้อจำกัดทางการเงิน ควรพิจารณาทางเลือกในการเช่าที่มักมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการซื้อและการเช่าซื้อไปก่อน เพื่อเลี่ยงภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและรักษาสภาพคล่อง หรือพิจารณาการเช่าซื้อเป็นทางเลือกเพิ่มเติม หากมีความสามารถทางการเงินมากขึ้นและมีความต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผู้เช่าซื้อต้องพิจารณารายละเอียดและเงื่อนไขการเป็นเจ้าของอย่างระมัดระวัง

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับออนไลน์ได้ที่: https://www.scbeic.com/th/detail/product/REsurvey2025-171025?utm_source=Influencer&utm_medium=Link&utm_campaign=INFOCUS_RESURVEY_OCT_2025

The post เปิดผลสำรวจ SCB EIC Real Estate Survey 2568 สัญญาณตลาดที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นเต็มตัว แต่ ‘บ้านมือสอง-เช่าซื้อ’ ขึ้นแท่นทางเลือกใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจต้องรู้! MI GROUP ถอด 10 บทเรียนจาก ‘เจนนี่’ ชี้ Live Commerce เปลี่ยนเกมการตลาด https://thestandard.co/jenny-lessons-live-commerce-marketing/ Fri, 17 Oct 2025 07:51:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1131903 ธุรกิจต้องรู้ MI GROUP ถอด 10 บทเรียนจาก ‘เจนนี่’ ชี้ Live Commerce เปลี่ยนเกมการตลาด

หนึ่งในกรณีศึกษาที่กำลังเป็นกระแส คือการไลฟ์สดขายสินค้า […]

The post ธุรกิจต้องรู้! MI GROUP ถอด 10 บทเรียนจาก ‘เจนนี่’ ชี้ Live Commerce เปลี่ยนเกมการตลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจต้องรู้ MI GROUP ถอด 10 บทเรียนจาก ‘เจนนี่’ ชี้ Live Commerce เปลี่ยนเกมการตลาด

หนึ่งในกรณีศึกษาที่กำลังเป็นกระแส คือการไลฟ์สดขายสินค้าของ ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ที่พลิกสถานการณ์ดราม่าให้กลายเป็นยอดขายระดับร้อยล้านบาท สะท้อนปรากฏการณ์ Human Commerce ซึ่งตอกย้ำว่า แม้เทคโนโลยีและอัลกอริทึมจะมีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัล แต่ มนุษย์ ยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนแท้จริงของแบรนด์

 

MI GROUP ในฐานะ Trusted Advisor ด้านสื่อ ข้อมูล และพฤติกรรมผู้บริโภค มองว่า โมเดล Live Commerce ไม่ใช่เรื่องใหม่ในต่างประเทศ แต่สำหรับตลาดไทย ปรากฏการณ์นี้เป็นสัญญาณการยกระดับจากการตลาดเชิงคอนเทนต์ (Content Marketing) สู่การตลาดเชิงความสัมพันธ์ ที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อไม่ใช่เพราะถูกชักจูง แต่เพราะเชื่อใจผู้ขาย

 

อีกทั้ง ปรากฏการณ์ เจนนี่ ยังสะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญของ Live Commerce ไทย จากการขายของไปสู่การสร้างความเชื่อใจ ด้วยอารมณ์ ความจริงใจ และการสื่อสารแบบมนุษย์อย่างแท้จริง

 

เปิด 10 บทเรียนธุรกิจจากกรณีศึกษา ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ โดย MI GROUP

 

1. Performance Pitch เมื่อ Creator กลายเป็นนักขายมืออาชีพ

 

Live Commerce ไม่ใช่แค่พื้นที่ คอนเทนต์ แต่คือ สนาม Performance ที่วัดผลได้จริงในเวลาจำกัด เจนนี่ใช้พลังการพูดแบบ elevator pitch สื่อสารตรงจุด สร้างแรง FOMO และปิดการขายได้ทันที กลายเป็นต้นแบบใหม่ของ Creator Economy ที่เน้นยอดขายจริงมากกว่าค่ารีวิว นักการตลาดควรมอง Live Commerce เป็น Performance Media ที่วัดผลได้ทั้งยอดขายต่อเวลาและ conversion ต่อ engagement

 

2. Human Code เมื่อมนุษย์คืออัลกอริทึมใหม่ของแบรนด์

 

ความจริงใจ กลายเป็นสูตรคำนวณใหม่ของการตลาด แทนที่ระบบอัตโนมัติหรือ AI ผู้บริโภคไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยราคา แต่ด้วยความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับคนขาย แบรนด์ต้องสื่อสารให้ตรงใจและจริงใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค

 

3. Trust Capital เมื่อความเชื่อใจกลายเป็นทุนทางธุรกิจ

 

เจนนี่เปลี่ยนความจริงใจให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางจิตใจ ที่ผู้บริโภคพร้อมลงทุนกลับ ความเชื่อใจเกิดจากการแสดงออกซ้ำๆ ที่ตรงกับคำพูด นักการตลาดควรวาง Trust Framework คู่กับกลยุทธ์สื่อ เพื่อสร้างแบรนด์ที่คนเชื่อและแชร์

 

4. Collective Influence พลังเครือข่ายที่ขยายผลเกินตัว

 

การที่เพื่อนดาราร่วมไลฟ์ไม่เพียงเพิ่มสีสัน แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือผ่านพลังเครือข่ายและมุมมองที่หลากหลาย แบรนด์ต้องสร้าง Influence Ecosystem แทนการพึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์รายเดียว เพื่อสร้างแรงส่งที่ยั่งยืน

 

5. The 3S Play เจนนี่บริหารจังหวะ ความจริงใจ และความต่อเนื่องได้พร้อมกัน ความเร็วทำให้ดัง ความจริงใจทำให้คนอยู่ ความต่อเนื่องทำให้แบรนด์ยั่งยืน นักการตลาดต้องออกแบบกลยุทธ์ให้กระแสและความสัมพันธ์เติบโตไปพร้อมกัน

 

6. Heartware Over Hardware เพราะ AI ยังเรียนรู้หัวใจมนุษย์ไม่หมดแม้เทคโนโลยีจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่สามารถแทนอารมณ์ร่วมของมนุษย์ได้ นักการตลาดต้องใช้ AI เพื่อเข้าใจมนุษย์ ไม่ใช่แทนมนุษย์

 

7. Gen Connect เมื่อคนรุ่นใหม่ต้องการความจริง ไม่ใช่ภาพสวยกลุ่มผู้ติดตามหลักคือวัย 18–34 ปี โดยเฉพาะผู้หญิงกว่า 70% สะท้อนว่าเจนนี่เข้าถึงใจคนรุ่น Z และมิลเลนเนียล ที่ให้คุณค่ากับ ความจริง ความกล้า และตัวตน มากกว่าภาพลักษณ์ นักการตลาดต้องเปลี่ยนจาก Brand Messaging เป็น Human Dialogue สื่อสารอย่างเท่ากันและจริงใจ

 

8. Impact Over Image อิทธิพลแท้คือการเปลี่ยนพฤติกรรม เจนนี่ไม่ได้ดังเพราะชื่อเสียง แต่เพราะคนซื้อจริงในเวลาจริง นักการตลาดต้องปรับ KPI จาก views เป็น actions วัดผลจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริง

 

9. Momentum Builds Meaning จังหวะที่ถูกคือพลัง ความเร็วอาจสร้างกระแส แต่การรู้จังหวะทำให้แบรนด์อยู่ในใจ การรู้เมื่อควรเร่งหรือเบรกคือศิลปะของแบรนด์ยุคใหม่ จึงต้องวางแผน Momentum อย่างมีชั้นเชิง เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือระยะยาว

 

10. Emotion x Intelligence เมื่ออารมณ์และข้อมูลกลายเป็นสมการเดียวกัน ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่จากการผสมความรู้สึก กับ ข้อมูลเชิงลึก อย่างมีกลยุทธ์ นักการตลาดต้องเข้าใจทั้ง data analytics และ cultural pulse เพื่อให้ข้อมูลตอบโจทย์อารมณ์ของผู้คน

 

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดสะท้อนทิศทางใหม่ของการตลาดไทย จากยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล สู่การกลับมาให้คุณค่ากับมนุษย์อย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตาม MI GROUP ยังชี้ว่า การตลาดแบบ Emotion-Driven ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่คือหัวใจของการสื่อสารทุกยุค เทคโนโลยีอาจเปลี่ยนผ่านจาก Analog สู่ AI แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ การใช้ใจเข้าใจผู้คน ใช้ความจริงใจสร้างความเชื่อใจ และใช้หัวใจสร้างยอดขายที่มีความหมาย

 

“ความสำเร็จของแบรนด์ในอนาคต จะไม่เกิดจากการเข้าใจเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจมนุษย์ให้ลึกกว่าเดิม” MI GROUP ย้ำ

 

ภาพ: Facebook รัชนก สุวรรณเกตุ

The post ธุรกิจต้องรู้! MI GROUP ถอด 10 บทเรียนจาก ‘เจนนี่’ ชี้ Live Commerce เปลี่ยนเกมการตลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบสหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง https://thestandard.co/why-scam-gangs-thrive/ Fri, 17 Oct 2025 04:38:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1131738 รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง

ข่าวร้อนแรงเมื่อช่วงต้นปี 2568 การหายตัวไปของดาราจีนนำม […]

The post รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบสหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง

ข่าวร้อนแรงเมื่อช่วงต้นปี 2568 การหายตัวไปของดาราจีนนำมาสู่การทลาย ‘อาณาจักรแก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ในเมียนมา กระทั่งรัฐบาลไทยประกาศปราบปรามอย่างจริงจัง แต่ผ่านไปไม่กี่เดือน วันนี้การก่อสร้างโครงการกลับผุดขึ้นมาตามเมืองต่างๆ มากขึ้น และเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

จากข้อมูลจาก AFP รายงานว่า ภาพถ่ายดาวเทียมและโดรน แสดงให้เห็นโครงการก่อสร้างพื้นที่แห่งใหม่ ที่มีการควบคุมเข้มรอบเมืองเมียวดี ชายแดนไทย-เมียนมา หลังเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เหล่าแก๊งคอลเซนเตอร์หลายแห่งกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง

 

Starlink ของ SpaceX อีลอน มัสก์ ยังคงให้บริการอาณาจักรแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

โดยติดตั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจานดาวเทียมสตาร์ลิงก์ (Starlink) ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ซึ่งก่อตั้งโดยอีลอน มัสก์ เชื่อมโยงระบบเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติหลายสิบจาน บนหลังคาอาคารขนาดใหญ่ ในเขตพื้นที่ ‘KK Park’ หนึ่งในคอมเพล็กซ์ใหญ่ที่สุดของจังหวัดเมียวดี

 

โดย ‘KK Park’ เป็นเขตอุตสาหกรรมไซซีกัง อยู่ฝั่งตรงข้าม ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก อยู่ในเขตอิทธิพลของ พันตรี เต่งวิน รองผู้บังคับกองพันกองกำลัง (กะเหรี่ยง BGF) เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐบาลเมียนมา

 

รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง 2

 

พื้นที่แห่งนี้ เป็นจุดผ่านแดนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเมียนมา โดยมีศูนย์การค้าแบรนด์เนมหรู โรงแรม กาสิโนคอมเพล็กซ์ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งมีหมอประจำโรงพยาบาลเป็นคนจีน เป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลอกลวงคนจากประเทศต่างๆ ให้มาทำงานเป็นสแกมเมอร์ออนไลน์

 

ข้อมูลจากทะเบียนอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาคเอเชีย (APNIC) ชี้ว่าเดิม ‘สตาร์ลิงก์’ ไม่อยู่ในรายชื่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของเมียนมา

 

“แต่ปัจจุบันกลายเป็นผู้ให้บริการอันดับหนึ่ง ตั้งแต่เดือน ก.ค. 68 แม้ที่ผ่านมาจีน ไทยและเมียนมาจะร่วมกันปราบปราม และสามารถช่วยเหลือเหยื่อกว่า 7,000 คน แต่พบว่ามีแรงงานกว่า 100,000 คน ยังไม่สามารถช่วยเหลือออกมาได้”

 

การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ AFP จาก Planet Labs PBC ระบุว่า มีอาคารหลายสิบหลังกำลังก่อสร้างหรือกำลังถูกปรับเปลี่ยนในบริเวณที่ใหญ่ที่สุดใน KK Park ตั้งแต่เดือนมีนาคมมีการขยายอาณาจักร ก่อสร้างถนนและวงเวียนใหม่

 

ภาพจากโดรนของ AFP ยังบันทึกภาพการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินอยู่ โดยมีเครนและคนงานกำลังทำงานอย่างหนัก ซึ่งน่าจะเป็นอาคารสำนักงานใหญ่ และมีเรือข้ามฟากข้ามแม่น้ำเมยอย่างน้อย 5 แห่ง ที่ดูเหมือนจะให้บริการจากฝั่งไทย

 

จากการวิเคราะห์ของ AFP พบว่า มีการก่อสร้างศูนย์ต้องสงสัยอีก 27 แห่งในกลุ่มเมียวดี รวมถึงศูนย์ที่กระทรวงการคลัง ของสหรัฐฯ เรียกว่า ‘ชเวก๊กโก’ ชื่อดัง ที่อยู่ทางตอนเหนือของเมียวดี

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เดือนที่แล้ว สหรัฐฯ ได้คว่ำบาตรบุคคล 9 คนที่เกี่ยวข้องกับ ชเวก๊กโก (Shwekokko) และ เชอ จื้อเจียง มาเฟียอาชญากรชาวจีน ผู้ก่อตั้งศูนย์การค้า Yatai New City ในย่านนั้น

 

รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง 3

ภาพ: AFP

 

วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ร่อนจดหมายถึงอีลอน มัสก์ เรียกร้องทบทวนบทบาทสตาร์ลิงก์เมียนมา

 

สมาชิกวุฒิสภา แม็กกี้ ฮัสซัน สมาชิกพรรคเดโมแครต คนสำคัญในคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้มัสก์ระงับการให้บริการสตาร์ลิงก์แก่โรงงานฉ้อโกงเหล่านี้

 

“แม้ว่าคนส่วนใหญ่เห็นการส่งข้อความ โทรศัพท์ และอีเมลหลอกลวงที่เพิ่มมากขึ้น แต่พวกเขาอาจอาจไม่ทราบว่าอาชญากรข้ามชาติที่อยู่ห่างออกไปอีกซีกโลกอาจกำลังก่ออาชญากรรมเหล่านี้โดยใช้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากสตาร์ลิงก์”

 

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุว่า วุฒิสมาชิกรายนี้เขียนจดหมายถึงมัสก์ในเดือนกรกฎาคม เพื่อเรียกร้องคำตอบสำหรับคำถาม 11 ข้อเกี่ยวกับบทบาทของสตาร์ลิงก์
เอริน เวสต์ อดีตอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการที่รณรงค์ต่อต้านศูนย์เหล่านี้ กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่าขยะแขยงที่บริษัทอเมริกันปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น”

 

ในขณะที่เธอยังเป็นอัยการคดีอาชญากรรมไซเบอร์ เธอได้เตือนสตาร์ลิงก์ในเดือนกรกฎาคม 2567 ว่าแก๊งอาชญากรรม ที่มีทุนอยู่เบื้องหลังกำลังใช้บริการของสตาร์ลิงก์อยู่ ทว่า แต่ไม่ได้รับคำตอบจาก สตาร์ลิงก์ แต่อย่างใด

 

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ชาวอเมริกันเองก็ตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของนักต้มตุ๋นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปีที่แล้ว สูญเสียเงินประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 66%

 

รายงานของสหประชาชาติ (UN) ในปี 2566 ระบุว่า อาจมีผู้คนมากถึง 120,000 คนที่ถูกบังคับให้อยู่ในเมียนมา และน่าจะมีอีก 100,000 คน ที่ถูกควบคุมตัวในสภาพที่คล้ายคลึงกันในกัมพูชา

 

รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง 4

 

รัฐบาลไทยควรเอาจริงแบบสหรัฐฯ-อังกฤษ-เกาหลีใต้ ก่อนสูญเศรษฐกิจปีละล้านล้านบาท

 

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า เงินที่หมุนเวียนเฉพาะอยู่ในกัมพูชา ที่เชื่อมโยงเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฟอกเงิน สูงมากถึงปีละ 1 ล้านล้านบาท มีคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกว่าแสนคน ใน 70 ประเทศ

 

อย่างกรณีเฉินจื้อเป็นเพียง 1 ใน 10 ที่เข้าไปอยู่ในวงจรแห่งนี้ซึ่งสหรัฐฯ จับตามองมาก และได้มีการดำเนินคดีไปแล้วใน 2 ข้อหา เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเป็น 10 ปีแล้ว เพียงแต่สหรัฐฯ เริ่มเข้ามามีบทบาท ซึ่งชาวอเมริกันเองก็ถูกล่อลวงไปลงทุนในกัมพูชาจำนวนมาก

 

“กฎหมายบ้านเรามีเยอะมาก ทั้งการฟอกเงิน สินทรัพย์ดิจิทัล การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่ปัญหาคือแอ็กชั่นที่ทำ ทำแบบไม่มีประสิทธิภาพ เราสูญเสียเงินไปในระดับแสนล้าน ให้กัมพูชามีรายได้จากธุรกิจสีเทากว่า 60%”

 

สิ่งที่ไทยต้องทำคือ รัฐบาลต้องบริหารจัดการข้อมูลส่วนตัวให้ไม่รั่วไหล และไทยต้องเร่งตรวจสอบแหล่งเงิน เครือข่ายในไทย ที่สำคัญคือการจัดการการท่องเที่ยวที่มาไทย

 

“วันนี้ไทยถูกล้อมด้วยอาชญากรรมไซเบอร์กัมพูชา-เมียนมา เป็นทางผ่านค้ามนุษย์ ซื้อขายตลาดมืดคริปโต ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หลอกลวงทำธุรกิจท่องเที่ยวสีเทา ซึ่งถึงเวลาที่รัฐบาลไทยควรต้องเอาจริงเอาจังกับปัญหา เช่นเดียวกับสหรัฐฯ อังกฤษ เกาหลีใต้ ก่อนสายเกินแก้”

 

ภาพ: jacus / Getty images

 

อ้างอิง:

The post รังสแกมเมอร์ เขมร-เมียนมา ล้อม ‘ไทย’ ทำไมยิ่งไล่ล่า ยิ่งเฟื่องฟู? ถึงเวลาลงดาบแบบสหรัฐฯ เกาหลีใต้ แล้วหรือยัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 ปัจจัยตัดสิน ดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่าในอนาคต https://thestandard.co/opinion-7-factors-dollar-value/ Fri, 17 Oct 2025 03:20:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1131703 7 ปัจจัยตัดสิน ดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่าในอนาคต

ทิศทางของเงินดอลลาร์อ่อนสลับแข็งและผันผวนไปมาในช่วงนี้ท […]

The post 7 ปัจจัยตัดสิน ดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่าในอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
7 ปัจจัยตัดสิน ดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่าในอนาคต

ทิศทางของเงินดอลลาร์อ่อนสลับแข็งและผันผวนไปมาในช่วงนี้ทำให้ทั้งนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้กำหนดนโยบาย ต่างตั้งคำถามไปพร้อมกันว่า ต่อจากนี้ดอลลาร์ควรมีทิศทางอย่างไรกันแน่

 

ผมมองว่า ‘เรื่องราว’ ของดอลลาร์มีมากกว่าปกติ ทั้งเหมือนและต่างกับช่วงเวลาทั่วไปในหลายมิติ ผมจึงรวบรวมเรื่องราวที่ตลาดกำลังให้ความสนใจ นำมาจัดกลุ่ม วิเคราะห์ให้นักลงทุนทุกท่านได้เข้าใจผลกระทบต่อทิศทางของดอลลาร์ เพื่อตัดสินใจไปพร้อมกันว่า อะไรกันแน่คือเหตุผลที่ดอลลาร์ควรแข็งหรืออ่อนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

 

1. เศรษฐกิจโลก: ปกติโลกเติบโตดี ดอลลาร์จะแย่ แต่ครั้งนี้ไม่แน่

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนในอดีต มักชี้ว่ามูลค่าของดอลลาร์มีความสัมพันธ์เชิงลบกับทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจนอกสหรัฐฯ

 

เช่นในปี 2002-2003 และ 2019 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หนุนให้ตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯ สร้างผลตอบแทนดี นักลงทุนจึงโยกเงินออกจากดอลลาร์ไปหาตลาดอื่น ส่งผลให้ดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่า ในทางกลับกัน ช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา หุ้นมักเข้าสู่ตลาดหมี หนุนให้นักลงทุนกลับมาถือดอลลาร์

 

ในครั้งนี้ ผมมองว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ฟื้นตัวขึ้นจนกดดันดอลลาร์ เนื่องจากมีนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้ไม่โดดเด่น

 

2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ: แข็งแกร่งแต่กำลังมีความเสี่ยงจาก Shutdown

 

ความสัมพันธ์นี้เป็นส่วนกลับของเศรษฐกิจโลก เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีกว่าโลก สินทรัพย์ในสหรัฐฯ มักทำผลตอบแทนดีกว่า หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า

 

ข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2025 ถือว่าดีกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี หลังจากมีปัญหา Government Shutdown ภาพความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจก็เริ่มแย่ลง หมายความว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ใช่แรงกดดันตอนนี้ แต่ก็ไม่ใช่แรงหนุน ถ้าการเมืองยังไม่ปกติ

 

3. นโยบายการเงิน: การลดดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยกดดันดอลลาร์ในระยะยาว

 

ความคาดหวังของนโยบายการเงิน มักส่งผลต่อทิศทางดอลลาร์ระยะสั้น ขณะที่ความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ กับทั่วโลกส่งผลต่อมูลค่าพื้นฐานระยะยาว

 

หมายความว่า ในระยะสั้นนโยบายการเงินอาจเป็นแรงหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า เนื่องจากตลาดคาดไปก่อนแล้วว่า Fed จะปรับดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 50 bps ในไตรมาสที่สี่

 

อย่างไรก็ดี ถ้ามองในระยะยาว Fed ต้องลดดอกเบี้ยไปสู่จุดสมดุลใหม่ราว 3.00-3.50% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกต่ำกว่าสหรัฐฯ นโยบายการเงินจึงยังคงเป็นประเด็นกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงได้อยู่ในอนาคต

 

4. ความต้องการสินทรัพย์สหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติ: ฉุดดอลลาร์อ่อน

 

ความต้องการสินทรัพย์สหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติ จะอ้างอิงสองปัจจัยหลักคือ คาดการณ์ผลตอบแทนของตลาดหุ้น และระดับบอนด์ยิลด์

 

นักลงทุนต่างชาติจะลงทุนในสหรัฐฯ มากที่สุดเมื่อหุ้นเป็นขาขึ้น พร้อมกับยีลด์สูง ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นเช่นในช่วงปี 2024 หนุนค่าเงินดอลลาร์ได้

 

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในช่วงที่ Valuation แพง ส่วนบอนด์ยิลด์ก็มีแนวโน้มลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ภาพความต้องการสินทรัพย์สหรัฐฯ ต่อจากนี้จึงเป็นแรงกดดันมากกว่าแรงหนุนสำหรับดอลลาร์

 

5. การเมืองสหรัฐฯ: ความไม่แน่นอนทำให้ความสัมพันธ์ขาดช่วง

 

ในอดีต ดอลลาร์มักแข็งค่าเมื่อนโยบายเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน แต่ในช่วงปี 2025 ทิศทางดอลลาร์กลับไม่ตอบสนองต่อความผันผวนของนโยบายการค้า หรือความไม่แน่นอนทางการเมืองเหมือนในอดีต

 

อาจเป็นเพราะผลกระทบของนโยบายการเมืองมีความซับซ้อน ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านนโยบายกับตลาดการเงินไม่ชัดเจน เช่นนโยบายการค้าอาจหนุนดอลลาร์แข็ง แต่มุมมองของ Trump กลับสนับสนุนดอลลาร์อ่อน ทำให้ตลาดเลือกที่จะจับตาประเด็นอื่นเป็นหลักมากกว่า

 

6. Momentum ของดอลลาร์: ขาลงที่นานเกินไปหนุนดอลลาร์ฟื้นตัว

 

แนวโน้มการแข็งและอ่อนค่าของดอลลาร์จะมีทั้งรูปแบบ Momentum ระยะกลาง (3-6 เดือน) และ Reversal ในระยะสั้น (1 เดือน)

 

ต้นไตรมาสที่สี่ ดอลลาร์เข้าสู่โหมด Reversal สาเหตุเกิดจากดอลลาร์ที่อ่อนค่ามานาน พบกับความไม่แน่นอนของการเมืองยุโรปและญี่ปุ่น ประเทศเจ้าของสองสกุลเงินใหญ่อย่างยูโร (EUR) และเยน (JPY)

 

อย่างไรก็ดี การกลับตัวจากเหตุผลทางเทคนิค มักเป็นประเด็นที่ตลาดสนใจเพียงในระยะสั้น ส่วนระยะยาวต้องติดตามว่านโยบายเศรษฐกิจหรือการเงินนอกสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน

 

7. โครงสร้างของดอลลาร์: ส่วนใหญ่มีผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าจริง แต่ทั้งหมดมักใช้เวลานาน

 

สิ่งที่เราได้ยินบ่อยครั้งในช่วงนี้ คือประเด็นโครงสร้างและสถานะที่เปลี่ยนไปของดอลลาร์ เช่น De-Dollarization การลดขาดดุลด้วยกำแพงภาษี หนี้สหรัฐฯ ที่สูงเกินไป จนถึงความเป็นอิสระของ Fed ที่อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าในระยะยาว

 

แต่เหตุผลทางโครงสร้างเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวที่ส่งผลเพียงเล็กน้อยในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ก็มักมีความเร่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ตลาด ต้องรอความต่อเนื่องในอนาคตอีกมาก

 

โดยสรุป 7 ปัจจัยข้างต้นกำลังบอกเราว่า การแข็งค่าของดอลลาร์ช่วงนี้อาจยังไม่ใช่ ‘จุดเปลี่ยนทิศ’ แต่ในขณะเดียวกัน ดอลลาร์ก็อาจไม่อ่อนค่าตลอดไปเช่นกัน

 

ในมุมมองของผม นโยบายการเงินจะกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อ อย่างน้อยไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2026 แต่เมื่อไหร่ที่สหรัฐฯ หลุดพ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ หรือฉกฉวยโอกาสเติบโตจากเทคโนโลยีได้มากกว่าทั่วโลก เมื่อนั้น ดอลลาร์ก็มีโอกาสจะกลับไปแข็งค่าอีกครั้งครับ

 

ภาพ: Hiroshi Watanabe / Getty Images

The post 7 ปัจจัยตัดสิน ดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่าในอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 วิธีลงทุนทอง ฉบับคนงบน้อย https://thestandard.co/low-budget-gold-investing/ Fri, 17 Oct 2025 02:52:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1131684 3 วิธีลงทุนทอง ฉบับคนงบน้อย ลงทุนทอง

ปี 2025 เป็นปีที่ราคาทองคำพุ่งกระฉูดแบบหยุดไม่อยู่ ทำให […]

The post 3 วิธีลงทุนทอง ฉบับคนงบน้อย appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 วิธีลงทุนทอง ฉบับคนงบน้อย ลงทุนทอง

ปี 2025 เป็นปีที่ราคาทองคำพุ่งกระฉูดแบบหยุดไม่อยู่ ทำให้หลายคนที่สนใจอยากซื้อทองแท่งช่วงนี้คิดหนัก เพราะหากจะซื้อทองแท่งสักบาทต้องใช้เงินเริ่มต้นถึง 6 หมื่นบาท กลายเป็นว่าการเริ่มต้น ลงทุนทอง ดูทำได้ยากสำหรับคนที่งบน้อยไปแล้ว

 

แต่ทว่าการลงทุนทองคำไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เสมอไป ปัจจุบันมีตัวเลือกที่เหมาะกับคนงบน้อยที่ช่วยให้เราสามารถทยอยสะสมทองคำได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

 

การออมทอง (Gold Saving)

 

เป็นการทยอยซื้อทองคำทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อทองคำแท่งทั้งบาทในครั้งเดียว หลักการจะคล้ายกับการออมเงินในบัญชีธนาคาร แต่สิ่งที่สะสมเพิ่มขึ้นคือ น้ำหนักทองคำ ไม่ใช่จำนวนเงินบาท

 

ปัจจุบันมีร้านทองหลายเจ้าที่ให้บริการออมทอง โดยทองคำที่เราทยอยออมไว้จะถูกบันทึกในบัญชีดิจิทัลผ่านระบบของผู้ให้บริการ (ร้านทองหรือโบรกเกอร์) เมื่อสะสมน้ำหนักทองคำครบตามที่กำหนด ก็สามารถเลือกที่จะเบิกเป็นทองคำแท่งจริงออกมาเก็บ หรือจะขายทองคำสะสมนั้นเพื่อรับเป็นเงินสดก็ได้

 

ใช้เงินเริ่มต้นเท่าไหร่: ส่วนใหญ่มักเริ่มต้นเพียง หลักร้อยบาท (เช่น 150 บาท, 500 บาท) หรือ หลักพันบาท (เช่น 1,000 บาท) ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ

 

โดยที่เราสามารถเลือกออมทองได้ทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน และสามารถกำหนดจำนวนเงินได้เองตามกำลังทรัพย์ ทำให้ง่ายต่อการสร้างวินัยทางการเงินโดยไม่เป็นภาระหนัก

 

ข้อดีของการออมทอง

 

1. ใช้เงินเริ่มต้นน้อย ได้ทองคำแท่งจริง: คนงบน้อยสามารถเป็นเจ้าของทองคำแท่งได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินหลายหมื่นบาทเพื่อซื้อทอง 1 บาทในครั้งเดียว และเมื่อสะสมครบตามน้ำหนักขั้นต่ำ สามารถเลือกเบิกทองคำแท่งออกมาได้จริง

 

2. สร้างวินัยการออมและการลงทุน (DCA): การทยอยซื้อทองคำอย่างสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินเท่ากัน จะช่วยให้เราได้ราคาทองคำเฉลี่ยที่เหมาะสม โดยไม่ต้องกังวลว่าซื้อในจังหวะที่ราคาทองกำลังพุ่งสูงสุด

 

3. ปลอดภัย ไม่ต้องเก็บทองเอง: ทองคำที่เราออมจะอยู่ในระบบของผู้ให้บริการ ซึ่งมีความปลอดภัยสูง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการโจรกรรมหรือความยุ่งยากในการเก็บรักษาทองคำจริงไว้ที่บ้าน

 

ข้อควรระวัง

 

1. ความผันผวนของราคา: แม้จะเรียกว่า ‘ออม’ แต่การออมทองก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวน หากราคาทองคำลดลง มูลค่าทองคำที่สะสมไว้ก็อาจจะลดลงตามไปด้วย จึงควรมองเป็นการลงทุนระยะยาว

 

2. ไม่มีดอกเบี้ย: การออมทองคือการซื้อสินทรัพย์ ไม่ใช่การฝากเงิน จึงไม่มีการได้รับดอกเบี้ยเหมือนบัญชีเงินฝาก

 

3. เงื่อนไขการรับทอง: เราจะไม่สามารถรับทองคำจริงออกมาได้ทันทีที่ต้องการ แต่ต้องรอให้สะสมน้ำหนักทองคำครบตามเงื่อนไขขั้นต่ำที่ผู้ให้บริการกำหนดก่อน

 

4. ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ: ควรเลือกออมทองกับร้านทองหรือโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีระบบที่มั่นคง และได้รับการกำกับดูแลที่ชัดเจน

 

เหมาะกับใคร?

 

  • คนงบน้อย/มนุษย์เงินเดือน: ผู้ที่มีเงินเหลือเก็บเป็นจำนวนไม่มากในแต่ละเดือน แต่ต้องการสร้างความมั่งคั่งด้วยการสะสมทองคำ

 

  • ต้องการลงทุนระยะยาว: ผู้ที่มีเป้าหมายเก็บทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองในยามฉุกเฉิน หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อในระยะ 3-5 ปีขึ้นไป

 

  • ผู้ที่ต้องการสร้างวินัย: ผู้ที่ต้องการระบบที่ช่วยบังคับให้มีการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ เดือน

 

โดยสรุปแล้ว การออมทองคือเครื่องมือที่เปิดประตูให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนในทองคำได้จริง ด้วยความเสี่ยงที่จัดการได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการเก็งกำไรอื่น ๆ

 

กองทุนรวมทองคำ (Gold Fund)

 

คือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่รวบรวมเงินจากนักลงทุนรายย่อย แล้วนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ หรือลงทุนใน ETF ทองคำในต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับราคาทองคำโลก

 

นักลงทุนจะได้รับ ‘หน่วยลงทุน’ แทนการถือครองทองคำจริง ๆ ทำให้การลงทุนทองคำกลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนการซื้อขายกองทุนทั่วไป

 

ใช้เงินเริ่มต้นเท่าไหร่: สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ เพียงแค่ หลักร้อยบาท (เช่น 500 บาท) หรือตามเงื่อนไขขั้นต่ำของแต่ละกองทุน

 

โดยทั่วไปเราสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนเหล่านี้ได้ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทำให้การทำรายการเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว

 

ข้อดีของกองทุนรวมทองคำ

 

1. ความสะดวกและสภาพคล่องสูง: การซื้อขายทำได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคารหรือบลจ. เหมือนการซื้อขายกองทุนทั่วไป สามารถซื้อหรือขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการของกองทุน โดยไม่ต้องเดินทางไปร้านทอง

 

2. ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดเก็บ: เนื่องจากเป็นการถือครองหน่วยลงทุน เราจึงไม่มีภาระในการเก็บรักษาทองคำจริง ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญหาย ถูกโจรกรรม หรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา เช่น ค่าประกันภัยหรือค่าห้องนิรภัย

 

3. มีผู้เชี่ยวชาญดูแล: มีผู้จัดการกองทุนคอยติดตามภาวะตลาดและบริหารจัดการการลงทุนให้

 

ข้อควรระวัง

 

1. ความเสี่ยงด้านค่าเงิน: เนื่องจากกองทุนทองคำส่วนใหญ่ลงทุนในทองคำที่อ้างอิงราคาตลาดโลก (ดอลลาร์สหรัฐฯ) ผลตอบแทนของเราจึงได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์ ด้วย หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น อาจทำให้ผลตอบแทนลดลง

 

2. ค่าธรรมเนียม: กองทุนรวมมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งจะถูกหักออกจากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนในระยะยาว

 

เหมาะกับใคร?

 

  • นักลงทุนที่ต้องการความสะดวก: สามารถลงทุนทองคำอย่างง่ายดายผ่านช่องทางออนไลน์ และต้องการสภาพคล่องสูงในการซื้อขาย

 

  • ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: ผู้ที่ต้องการให้ทองคำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุน (โดยทั่วไปแนะนำไม่เกิน 5-10% ของพอร์ต เพื่อช่วยลดความผันผวนโดยรวม

 

  • ผู้ที่ไม่มีสถานที่จัดเก็บทอง: ผู้ที่ไม่ต้องการความเสี่ยงในการเก็บรักษาทองคำจริงไว้ที่บ้าน และไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายในการฝากทองกับคลังนิรภัย

 

ทองรูปพรรณ

 

ทองรูปพรรณคือทองคำที่ผ่านการแปรรูปจากทองคำแท่งให้กลายเป็นเครื่องประดับที่มีลวดลายต่าง ๆ เช่น สร้อยคอ แหวน สร้อยข้อมือ หรือต่างหู ทองรูปพรรณที่ซื้อขายในประเทศไทยส่วนใหญ่มีความบริสุทธิ์ 96.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับทองคำแท่ง

 

ใช้เงินเริ่มต้นเท่าไหร่: การซื้อทองรูปพรรณสามารถเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่ต่ำกว่าการซื้อทองคำแท่ง โดยขึ้นอยู่กับน้ำหนักของชิ้นงาน เช่น ทองครึ่งสลึง ราคาประมาณ 8,000-9,000 บาท หรือ ทอง 1 สลึง ราคาประมาณ 17,000-18,000 บาท (ราคาทองรูปพรรณปรับเปลี่ยนตามทองแท่ง)

 

ข้อดีของทองรูปพรรณ

 

1. ใช้เป็นเครื่องประดับได้: สามารถใช้ทองรูปพรรณสวมใส่เป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงาม เสริมบุคลิกภาพ หรือเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมได้

 

2. มูลค่าคงทน: ถึงแม้จะมีการหักค่ากำเหน็จเมื่อซื้อ แต่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงทน และยังสามารถใช้เป็นสินทรัพย์สำรองยามฉุกเฉินได้

 

ข้อควรระวัง

 

1. ต้องเสีย ‘ค่ากำเหน็จ’: เมื่อซื้อทองรูปพรรณ เราจะต้องจ่าย ค่ากำเหน็จ หรือค่าฝีมือช่าง ซึ่งเป็นค่าแรงในการขึ้นรูปและทำลวดลาย ซึ่งค่ากำเหน็จนี้จะไม่ถูกนำมาคิดรวมเมื่อเราขายคืนทองคำ ทำให้เราต้องแบกรับต้นทุนส่วนนี้ไปทันที

 

2. ราคารับซื้อคืนจะถูกหักมากกว่า: เมื่อนำทองรูปพรรณไปขายคืนที่ร้านทอง ร้านจะหักราคาประมาณ 5% จากราคารับซื้อคืนทองคำแท่งตามที่สมาคมค้าทองคำประกาศ เนื่องจากต้องนำไปหลอมใหม่

 

3. สึกหรอและเสียหาย: หากนำมาสวมใส่เป็นประจำ ทองรูปพรรณอาจเกิดรอยขีดข่วน สึกหรอหรือลวดลายบุบได้ง่าย ซึ่งจะทำให้น้ำหนักทองลดลงและถูกตีราคาขายคืนได้ต่ำลง

 

เหมาะกับใคร?

 

  • ผู้ที่เน้นการใช้งานและการสวมใส่: คนที่ต้องการเครื่องประดับที่ทำจากทองคำแท้ และมองว่าการลงทุนเป็นผลพลอยได้รอง

 

  • ต้องการซื้อเป็นของขวัญ: เหมาะสำหรับใช้เป็นของขวัญในโอกาสสำคัญ เช่น งานแต่งงาน หรือการให้เป็นมรดก

 

  • ต้องการเริ่มต้นสะสมทองแบบจับต้องได้: คนที่ต้องการความเป็นเจ้าของในทองคำแบบที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้จริง โดยไม่กังวลเรื่องต้นทุนค่ากำเหน็จในการซื้อ

 

หากวัตถุประสงค์หลักของเรา คือ การลงทุนเพื่อหวังผลกำไรสูงสุด การซื้อทองรูปพรรณถือว่ามีต้นทุนสูงเกินไป แต่หากเราอยากมีเครื่องประดับและต้องการสะสมมูลค่าไปในตัว การเลือกทองรูปพรรณก็เป็นอีกทางเลือกที่ใช้เงินเริ่มต้นน้อยกว่า

 

สิ่งที่ต้องระวัง ในช่วงราคาทองคำ All Time High

 

1. ความเสี่ยง ‘ติดดอย’

 

ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมมีโอกาสปรับฐานหรือย่อตัวลงแรงได้เช่นกัน หากทุ่มเงินทั้งหมดเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาสูงสุดเพราะความโลภ เราอาจต้องรอเป็นเวลานานกว่าราคาจะกลับมาถึงจุดเดิมได้

 

2. ทองคำไม่จ่ายปันผล

 

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดกระแสเงินสด (ไม่มีดอกเบี้ยหรือเงินปันผล) ผลตอบแทนทั้งหมดมาจากการขายที่ราคาสูงกว่าทุนเท่านั้น การถือทองคำจึงมี ต้นทุนค่าเสียโอกาส ในการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนต่อเนื่อง

 

3. ระวังการใช้ Leverage

 

หากลงทุนใน Gold Futures หรือตราสารอนุพันธ์เพื่อเก็งกำไร ควรระวังการใช้เงินกู้ยืมหรือ Leverage ที่สูงเกินไป เพราะความผันผวนของราคาที่สูง ณ จุดนี้ สามารถทำให้ขาดทุนอย่างหนักหรือถูกเรียกให้เติมหลักประกัน (Margin Call) ได้อย่างรวดเร็ว

 

4. เงินบาทแข็งค่ากดราคาไทย

 

ราคาทองคำโลกอ้างอิงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศถูกกดดันและปรับลดลงตาม แม้ว่าราคาทองคำโลกจะยังคงนิ่งอยู่ก็ตาม

 

5. อย่าลงทุนเกินตัว

 

ทองคำคือสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ควรเก็บทองคำในสัดส่วนที่เหมาะสมของพอร์ตโดยรวมเท่านั้น (ไม่ควรเกิน 5-10%) และไม่ควรนำเงินทั้งหมดที่จำเป็นต่อการใช้จ่ายมาลงกับทองคำในช่วงที่ราคาสูงสุด

 

แม้ทองคำจะเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่สร้างความมั่งคั่งได้ แต่นักลงทุนก็ควรลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในยามที่ราคาทองคำพุ่งสูงทำสถิติใหม่ ต้องไม่ลืมว่าบทบาทหลักของทองคำนั้นคือ ทำหน้าที่เป็น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ หรือ ‘เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ’ มากกว่าสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนสูงรวดเร็ว ดังนั้นให้มองเป็นการลงทุนระยะยาว

 

โปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนในทองคำควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตโดยรวม โดยจัดสัดส่วนให้เหมาะสม และใช้เพียง ‘เงินเย็น’ ที่ไม่กระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น เพื่อให้เราสามารถถือครองสินทรัพย์นี้ได้อย่างสบายใจแม้ในยามที่ตลาดมีความผันผวนสูง

 

ภาพ: Mininyx Doodle / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post 3 วิธีลงทุนทอง ฉบับคนงบน้อย appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับกลยุทธ์ใหม่ เน้นซื้อกิจการเร่งโต พร้อมมองนโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มีผลกระทบจำกัด https://thestandard.co/the-new-era-of-ram-hospital/ Fri, 17 Oct 2025 02:42:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1131680 กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับ กลยุทธ์ใหม่ เน้น ซื้อกิจการเร่งโต พร้อม มอง นโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มี ผลกระทบจำกัด

‘กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง’ จัดงานแถลงข่าวพลิกโฉมสู่ศักยภา […]

The post กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับกลยุทธ์ใหม่ เน้นซื้อกิจการเร่งโต พร้อมมองนโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มีผลกระทบจำกัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับ กลยุทธ์ใหม่ เน้น ซื้อกิจการเร่งโต พร้อม มอง นโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มี ผลกระทบจำกัด

‘กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง’ จัดงานแถลงข่าวพลิกโฉมสู่ศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน The New Era of RAM Hospital โดยหันมาเน้นกลยุทธ์การทำ M&A เพื่อสร้างการเติบโต ตั้งเป้ารายได้ในปี 2568 ไว้ที่ประมาณ 14,495 ล้านบาท เติบโตขึ้น 40% พร้อมมองนโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มีผลกระทบจำกัด เพราะเป็นเรื่องที่บริษัทฯ ทำมาอยู่แล้ว

 

ดร. ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. โรงพยาบาลรามคำแหง หรือ RAM กลยุทธ์การขยายธุรกิจของกลุ่ม RAM มีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นการสร้างโรงพยาบาลใหม่ (Greenfield) มาเป็นการลงทุนในรูปแบบ Brownfield และการเข้าควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) มากขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และแผนในอนาคต

 

ขณะที่ในอดีต การทำ Greenfield มีความจำเป็น เนื่องจากจำนวนโรงพยาบาลเอกชนในแต่ละพื้นที่ยังมีน้อย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป คู่แข่งและการตั้งโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน มีโรงพยาบาลแบบสแตนด์อะโลนหรือโรงพยาบาลบางเครือที่ไม่ต้องการทำงานเพียงลำพัง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ RAM เข้าไปลงทุนในรูปแบบ M&A

 

ดังนั้น การหันมาเน้นกลยุทธ์ Brownfield หรือ M&A มากขึ้น เนื่องจากการสร้างโรงพยาบาลใหม่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเติบโต เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ และบ่มเพาะบุคลากร ในทางกลับกัน การลงทุนในรูปแบบ Brownfield และการลงทุนในบริษัทลูกที่เข้าช่วยบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่ จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถ break even ได้เร็วกว่า

 

กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับ กลยุทธ์ใหม่ เน้น ซื้อกิจการเร่งโต พร้อม มอง นโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มี ผลกระทบจำกัด 1

ดร. ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. โรงพยาบาลรามคำแหง หรือ RAM

 

ไม่มีแผนสร้างโรงพยาบาลใหม่ใน 3 ปี จากนี้

 

สำหรับแผนการทำ Greenfield สร้างโรงพยาบาลใหม่ นั้น ดร. ฤกขจีระบุว่า ในช่วง 3 ปีจากนี้ ยังไม่มีแผนที่จะทำ Greenfield เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่เคยวางแผนไว้ อย่างไรก็ตาม หากมีจังหวะที่เหมาะสม เช่น พื้นที่ที่ขาดโรงพยาบาล มีที่ดินราคาถูกมาก และสามารถโยกย้ายบุคลากรทางการแพทย์ไปได้ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ

 

โดยให้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการแสวงหาโอกาสมากกว่าการถูกบีบบังคับด้วยงบประมาณ ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมทางการเงินและการบริหารจัดการกระแสเงินสด ทั้งนี้ ทุกการลงทุนจะมีแผนรองรับที่ชัดเจนว่ามุ่งหวังอะไรในอนาคต

 

ในด้านความแข็งแกร่งทางการเงิน กลุ่ม RAM มีการบริหารจัดการที่ดี โดยมี อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ บริษัทฯ ไม่ได้สำรองกระแสเงินสดจำนวนมหาศาลเพื่อรอนำไปลงทุน แต่จะเน้นการจัดโครงสร้างสัดส่วนการใช้เงินสดและการกู้ยืมอย่างเหมาะสม

 

“บริษัทฯ ไม่เคยตั้งงบประมาณตายตัวสำหรับการลงทุนทำ M&A เนื่องจากมองว่า การลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะต้องเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมและราคาที่ถูกต้อง”

 

กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงให้ความสำคัญกับการแสวงหาโอกาสมากกว่าการถูกบีบบังคับด้วยงบประมาณ ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมทางการเงินและการบริหารจัดการกระแสเงินสด ทั้งนี้ ทุกการลงทุนจะมีแผนรองรับที่ชัดเจนว่ามุ่งหวังอะไรในอนาคต

 

RAM ถือหุ้นใหญ่ใน THG ดันรายได้ปี 68 แตะ 14,495 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ จากการที่บริษัทฯ เข้าลงทุนซื้อหุ้นใน บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 50% จึงเริ่มรวมงบการเงินของ THG นำเข้ารวมกับบริษัทฯ ตั้งแต่ ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ทำให้เป้าหมายรายได้ปี 2568 ที่เคยวางไว้ที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 14,495 ล้านบาท เป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันที่ 3 ในประเทศไทย แม้ว่าช่วง High Season ของธุรกิจโรงพยาบาลล่าช้าราว 1-2 เดือน

 

อีกทั้ง ทำให้ปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงมีเครือข่ายโรงพยาบาลรวม 46 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนเตียงรวม 7,800 เตียง นับเป็นผู้นำกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของประเทศไทย

 

กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับ กลยุทธ์ใหม่ เน้น ซื้อกิจการเร่งโต พร้อม มอง นโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มี ผลกระทบจำกัด 2

 

ดร. ฤกขจี ยืนยันว่า การเติบโตของกลุ่มมาจาก Organic Growth ที่เป็นไปตามเป้าหมายปกติ แต่ส่วนที่เพิ่มขึ้นมานั้นมาจากการรวมงบการเงินของกิจการที่เข้าลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้ ด้วยการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้

 

“สำหรับนโยบายในการถือหุ้นใน THG ของ RAM นั้น ระดับปัจจุบันมีความเหมาะสมแล้ว และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีความสุข ทำให้กลุ่ม RAM ไม่มีเป้าหมายที่จะเข้าถือหุ้นเพิ่มในขณะนี้” ดร. ฤกขจีกล่าว

 

อีกทั้งบริษัทฯ เน้นการลงทุนในบริษัทย่อย โดยมีการลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มในโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ซึ่งหลังจากซื้อหุ้นเรียบร้อยแล้วจะเข้าเป็นบริษัทลูกของโรงพยาบาลรามคำแหง

 

นอกจากนี้ ยังมีการขยายการลงทุนในรูปแบบ Greenfield สร้างโรงพยาบาลใหม่ โดยมีโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้วคือ โรงพยาบาลน่านราม ซึ่งมีการก่อสร้างไปแล้ว และมีมูลค่าทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 800 ล้านบาท ส่วนอีกโครงการที่อยู่ในแผนคือ มหาสารคามราม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและเขียนแบบ

 

ดร. ฤกขจี ชี้แจงว่า มูลค่าการลงทุนของแต่ละโรงพยาบาลจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับจำนวนเตียงและทำเลที่ตั้ง (Location) และได้กล่าวเสริมว่า การขยายโรงพยาบาลในต่างจังหวัดอาจมีสเกลที่เล็กลงเมื่อเทียบกับการลงทุนในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่

 

ดร. ฤกขจี ประเมินว่า การแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลยังคงดุเดือด แต่จุดเด่นของกลุ่ม RAM คือ การกระจายความเสี่ยง ผ่านการดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ตั้งแต่คนไข้ที่จ่ายเงินเอง, คนไข้ประกันภัย ไปจนถึงคนไข้ประกันสังคม สัดส่วนรายได้หลัก ยังคงมาจาก ผู้ป่วยที่ชำระด้วยเงินสด เป็นหลัก ขณะที่ผู้ป่วยประกันสังคมส่วนใหญ่จะอยู่ในเครือวิภาราม

 

มองนโยบาย อนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มีผลกระทบจำกัด

 

นพ. พิชญ สมบูรณสิน ประธานกรรมการบริหารบริษัท บมจ. โรงพยาบาลรามคำแหง หรือ RAM กล่าวว่า ในส่วนของนโยบายกระทรวงพาณิชย์ เช่น ‘สุขกายสบายกระเป๋า’ การควบคุมราคายาและการอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ ทางกลุ่ม RAM ชี้แจงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากบริษัทฯ ได้ดำเนินการเรื่องความโปร่งใสของราคาและอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกมานานแล้วตามแนวทางของกรมการค้าภายใน

 

ผลกระทบต่อโรงพยาบาลจึงมีจำกัด เนื่องจากยาที่ผู้ป่วยสามารถไปซื้อภายนอกได้ส่วนใหญ่เป็นแค่กลุ่มยาสามัญ ส่วนยาควบคุมพิเศษหรือยาที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษยังต้องได้รับภายในโรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัยและควบคุมคุณภาพ นอกจากนี้ กลุ่มคนไข้ที่มีสิทธิ์เบิกจ่าย เช่น ประกันสังคมหรือประกันสุขภาพส่วนบุคคลยังคงต้องรับยาภายในโรงพยาบาลตามเงื่อนไขการเบิก

 

ส่วนผลกระทบการปรับเงื่อนไข Co-payment ในแผนประกันใหม่ ยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจนนัก เนื่องจากคนไข้ส่วนหนึ่งยังใช้แผนเดิมอยู่ ทั้งนี้ โรงพยาบาลรามคำแหงพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายการรักษาให้ไม่เกินวงเงินประกันของผู้ป่วย และให้การวินิจฉัยที่ตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับบริษัทประกัน

 

กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับ กลยุทธ์ใหม่ เน้น ซื้อกิจการเร่งโต พร้อม มอง นโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มี ผลกระทบจำกัด 3

นพ. พิชญ สมบูรณสิน ประธานกรรมการบริหารบริษัท บมจ. โรงพยาบาลรามคำแหง หรือ RAM

 

ปัจจุบัน เครือข่ายของ RAM ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ

 

1. กรุงเทพฯ มีทั้งฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก จากการเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลธนบุรี

 

2. ภาคเหนือ มีกลุ่มโรงพยาบาลเชียงใหม่

 

3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีโครงการที่มหาสารคาม และเครือข่ายโรงพยาบาลวิภารามในอุดรธานี ซึ่งดูแลผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย

 

4. ภาคใต้ มีเครือโรงพยาบาลธนบุรีที่มีโรงพยาบาลในหลายจังหวัด เช่น ตรัง

 

5. ภาคตะวันออก มีเครือโรงพยาบาลวิภาราม ที่ร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรม เช่น อมตะนคร เพื่อตอบรับทั้งผู้ป่วยเงินสดและผู้ประกันตนในนิคมฯ

 

ด้านทีโบ สปิทาคิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนผู้ป่วยของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงกว่า 95% เป็นคนไทย ทั้งนี้ ภายใต้การ Rebranding เพื่อขยายฐานผู้รับบริการกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้ป่วยต่างชาติที่มองหาการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยเฉพาะการดูแลเชิงป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ (Preventive & Wellness) ก่อนป่วยมากขึ้น

 

กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับ กลยุทธ์ใหม่ เน้น ซื้อกิจการเร่งโต พร้อม มอง นโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มี ผลกระทบจำกัด 4

ทีโบ สปิทาคิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด บมจ.โรงพยาบาลรามคำแหง หรือ RAM

 

รวมถึงรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมสูงอายุ เราจึงมุ่งเน้นปรับเพิ่มการให้บริการที่เปลี่ยนผ่านจาก Sick Care สู่ Health Care ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการแพทย์ (Digital Health & Innovation) อาทิ AI, Telemedicine, Big Data และอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพ มาเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัย การรักษา

 

นพ. พิชญ ยังระบุต่อว่า กลุ่มผู้ป่วยคนรุ่นใหม่ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่มีสัดส่วนผู้ป่วยอยู่ที่ 20% และอาจสูงถึง 30% เป้าหมายของโรงพยาบาลคือการสร้างความผูกพัน กับผู้ป่วยกลุ่มนี้เพื่อให้พวกเขาอยู่กับเครือข่ายโรงพยาบาลในระยะยาว

 

สาเหตุที่คนรุ่นใหม่หันมาใช้บริการมากขึ้น เนื่องจากกลุ่ม RAM ได้พัฒนาการบริการทางการแพทย์ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เช่น

 

  • แพ็กเกจตรวจสุขภาพที่น่าสนใจและเข้าถึงได้
  • การรักษาโรคที่พบบ่อยในคนรุ่นใหม่ เช่น ภูมิแพ้ ไซนัส
  • การรักษาปัญหาทางระบบประสาท เช่น ไมเกรน
  • บริการแผนกสูตินรีเวช เนื่องจากคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มมีบุตรน้อยลง แต่ยังคงมีโรคทางสตรี เช่น ปวดประจำเดือน ช็อกโกแลตซีสต์ หรือเนื้องอก

The post กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ปรับกลยุทธ์ใหม่ เน้นซื้อกิจการเร่งโต พร้อมมองนโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยซื้อยาภายนอกได้ มีผลกระทบจำกัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประเด็นที่โลกคริปโตต้องจับตาต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ ยึด Bitcoin 5 แสนล้านบาท จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ https://thestandard.co/doj-seize-bitcoin-chenzhi-15billion/ Thu, 16 Oct 2025 10:26:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1131551 doj-seize-bitcoin-chenzhi-15billion

จากกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ​ (Department of Justice […]

The post ประเด็นที่โลกคริปโตต้องจับตาต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ ยึด Bitcoin 5 แสนล้านบาท จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
doj-seize-bitcoin-chenzhi-15billion

จากกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ​ (Department of Justice) ตั้งข้อหา เฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือที่รู้จักในชื่อ วินเซนต์ (Vincent) วัย 37 ปี สัญชาติอังกฤษและกัมพูชา ผู้ก่อตั้งและประธานของ Prince Holding Group (Prince Group) หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของกัมพูชา ในข้อหาสมคบคิดกันฉ้อโกงผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และสมคบคิดกันฟอกเงิน จากการบงการเครือข่าย ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ในการหลอกลวงการลงทุนคริปโตในรูปแบบ ‘Pig Butchering’ สร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์จากเหยื่อในสหรัฐฯ และทั่วโลก

 

พร้อมกันนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องเพื่อริบทรัพย์สินทางแพ่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการยึด Bitcoin จำนวนประมาณ 127,271 BTC ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5 แสนล้านบาท

 

Bitcoin ที่มีมูลค่ามหาศาลราว 5 แสนล้านบาท นำไปสู่ข้อสงสัยอีกหลายแง่มุม ทั้งความเชื่อมั่นต่อ Bitcoin และคริปโต ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในอาชญากรรม รวมทั้งความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการจัดการของสหรัฐฯ ต่อ Bitcoin ที่ยึดมา ว่าจะถูกนำไปคืนให้กับผู้เสียหาย เก็บไว้เป็นทุนสำรอง หรือท้ายที่สุดจะถูกขายออกมา ซึ่งหากเป็นกรณีหลังนี้ ก็อาจสร้างผลกระทบระยะสั้นต่อราคา Bitcoin ได้เช่นกัน 

 

Bitcoin กับการเป็น ‘เครื่องมืออาชญากรรม’

 

หนึ่งในข้อสังเกตที่น่าสนใจ จากหนึ่งในข้อเสนอเพื่อขอรับทุนวิจัย SSHRC Insight Grant ใช้ชื่อหัวข้อไว้ว่า Crypto is King: The rise of cryptocurrency in global financial crime 

 

งานวิจัยนี้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คริปโตอย่าง Bitcoin ได้ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่างมหาศาล ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเคลื่อนย้ายเงินจำนวนมากได้โดยไม่เป็นที่น่าสงสัย การทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วของมูลค่าคริปโตส่วนหนึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการคริปโตที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ผู้ก่อเหตุโจมตีด้วยแรนซัมแวร์

 

คริปโตไม่เพียงแต่เอื้อให้เกิดอันตรายและการแสวงหาผลประโยชน์ทางอาญาในระดับโลกเท่านั้น แต่ยังได้กลายเป็นเครื่องมือทางเลือกสำหรับอาชญากรในการหลีกเลี่ยงภาระภาษีที่อาจเกิดขึ้นเมื่อพวกเขานำกำไรไปผ่านธุรกิจที่มีหน้าร้านจริง 

 

ด้าน Chainalysis บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนชั้นนำของโลก ได้เผยแพร่ 2025 Crypto Crime Report ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คริปโตได้กลายเป็นกระแสหลักมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าในอดีตกิจกรรมที่ผิดกฎหมายบนบล็อกเชน (On-chain) จะเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์เป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันคริปโตยังถูกใช้เพื่อเป็นเงินทุนและอำนวยความสะดวกให้กับภัยคุกคามทุกประเภท ตั้งแต่ความมั่นคงของชาติไปจนถึงการคุ้มครองผู้บริโภค 

 

เมื่อคริปโตได้รับการยอมรับมากขึ้น กิจกรรมที่ผิดกฎหมายบนบล็อกเชนก็มีความหลากหลายมากขึ้นเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ผู้กระทำผิดบางรายดำเนินงานนอกบล็อกเชน (Off-chain) เป็นหลัก แต่ย้ายเงินทุนมาบนบล็อกเชนเพื่อฟอกเงิน

 

ในปี 2024 ที่ผ่านมาอาจเป็นปีที่มีมูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยคาดการณ์ว่ายอดรวมอาจทะลุ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท

 

total crptocurrency

 

รายงานฉบับนี้ยังฉายภาพภูมิทัศน์ของอาชญากรรมคริปโตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่ากังวล โดยมีความหลากหลายและเป็นมืออาชีพมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คริปโตได้ก้าวเข้าสู่กระแสหลัก และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับอาชญากรรมทุกรูปแบบ ไม่ใช่แค่เพียงอาชญากรรมทางไซเบอร์อีกต่อไป

 

แม้ตัวเลขเบื้องต้นที่ Chainalysis สามารถระบุได้สำหรับปี 2024 จะอยู่ที่ 4.09 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งดูเหมือนจะลดลงจากปีก่อนหน้า แต่บริษัทชี้ว่านี่เป็นเพียง ‘การประเมินขั้นต่ำสุด’ (Lower-bound estimate) เท่านั้น

 

โดยอ้างอิงจากแนวโน้มในอดีต ซึ่งตัวเลขการประเมินมักจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเวลาผ่านไปและมีการระบุ Wallet ของมิจฉาชีพได้มากขึ้น เช่น ตัวเลขปี 2023 ถูกปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 4.61 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเวลาเพียงหนึ่งปี 

 

3 เทรนด์อาชญากรรมคริปโตที่ต้องจับตาในปี 2024 – 2025 

 

รายงานได้สรุป 3 แนวโน้มสำคัญของอาชญากรรมคริปโตในปีที่ผ่านมา

  1. Stablecoins กลายเป็น ‘สกุลเงินหลัก’ ของมิจฉาชีพ แตกต่างจากในอดีตที่ Bitcoin (BTC) เป็นสกุลเงินหลักของอาชญากรไซเบอร์ ปัจจุบัน Stablecoins ได้เข้ามาครองสัดส่วนส่วนใหญ่ของปริมาณธุรกรรมที่ผิดกฎหมายทั้งหมดแล้วถึง 63% แม้ว่า Stablecoins จะมีข้อดีในแง่ที่ผู้ออกสามารถอายัดเงินได้ แต่ความต้องการเข้าถึงเงินดอลลาร์สหรัฐและความมีเสถียรภาพของมัน ทำให้กลุ่มอาชญากร โดยเฉพาะหน่วยงานที่ถูกคว่ำบาตร หันมาใช้ Stablecoins เป็นหลัก

 

crime by asset

 

  1. การโจรกรรมและการหลอกลวงยังคงแพร่หลาย โดยการโจรกรรม (Stolen Funds) มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้น 21% เป็น 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยแฮ็กเกอร์ชาวเกาหลีเหนือยังคงเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุด สร้างความเสียหายถึง 1.34 พันล้านดอลลาร์ หรือ 61% ของยอดรวมทั้งหมด

 

ขณะที่การหลอกลวง (Scams) กลโกงที่สร้างความเสียหายสูงสุดคือการหลอกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง และ ‘Pig Butchering’ ที่น่ากังวลคือ มีการนำ AI มาใช้ในการหลอกลวงมากขึ้น เช่น การสร้างอีเมลแบล็กเมลทางเพศ ที่มีความเฉพาะบุคคลสูง หรือการใช้ AI เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการรู้จักลูกค้า (KYC)

 

  1. อาชญากรรมที่ ‘เป็นมืออาชีพ’ และหลากหลายขึ้น ซึ่งอาชญากรรมคริปโตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกไซเบอร์อีกต่อไป แต่ได้ขยายไปสู่อาชญากรรมแบบดั้งเดิม เช่น การค้ายาเสพติด, การพนัน, การค้ามนุษย์และสัตว์ป่า และอื่นๆ นอกจากนี้ ยังเกิดระบบนิเวศที่สนับสนุนการก่ออาชญากรรมอย่างเป็นระบบ โดยมีผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและการฟอกเงินอย่างมืออาชีพ (Laundering-as-a-service)

 

รายงานได้ชี้เป้าไปที่ ‘Huione Guarantee’ ตลาดออนไลน์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางอำนวยความสะดวกให้กับอาชญากรหลายประเภท ตั้งแต่การขายเทคโนโลยีสำหรับกลโกง Pig Butchering, การฟอกเงิน, ไปจนถึงการให้บริการแก่หน่วยงานที่ถูกคว่ำบาตร โดยมีการประมวลผลธุรกรรมไปแล้วกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของอาชญากรรมคริปโตที่กำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบและเป็นมืออาชีพมากขึ้น

 

ความเชื่อมั่นต่อ Bitcoin ยังไม่เสื่อมคลาย

 

สัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Cryptomind Advisory และผู้ร่วมก่อตั้ง Cryptomind Group เปิดเผยว่า จากกรณีล่าสุดที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศฟ้องริบ Bitcoin มูลค่ามากถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 5 แสนล้านบาท 

 

สัญชัยเปิดเผยว่า ในมุมความเชื่อมั่น (ต่อ Bitcoin) ยังไม่น่าส่งผลกระทบ แต่สิ่งที่ต้องตามต่อคือแนวทางการจัดการกับ Bitcoin ที่ยึดมานี้ หากพิจารณาจากจุดยืนต่อ Bitcoin ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชื่อว่า Bitcoin ดังกล่าวอาจถูกเก็บไว้เป็นทุนสำรองของสหรัฐฯ แต่หากท้ายที่สุดสหรัฐฯ ตัดสินใจขาย Bitcoin ดังกล่าวออกมา ก็จะเป็นปัจจัยกดดันราคา Bitcoin ในระยะสั้น 

 

สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปหลังจากนี้คือ การขยายผลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกี่ยวพันของบางผู้ให้บริการ Wallet หรือแม้แต่ศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตที่ถูกใช้เป็นช่องทางในการทำธุรกรรม ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นหรือไม่ 

 

สหรัฐฯ ยึด Bitcoin จาก Prince Group ได้อย่างไร?

 

ณัฐ เหลืองนฤมิตชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุน เปิดเผยผ่านบัญชีเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า “หลายๆ คนอาจจะแปลกใจว่า สหรัฐอเมริกาไปยึด Bitcoin มาได้ยังไง Bitcoin มันเป็นอิสรภาพทางการเงินไม่ใช่เหรอ ใครไปยึดมาก็ไม่น่าได้มั้ย คราวนี้ ผมจะมาตอบคำถามเรื่องนี้ให้ครับ”

 

ณัฐอธิบายต่อว่า จากการสรุปบัญชี Bitcoin ที่ต้องการยึดของสหรัฐฯ ได้ตัวเลขรวมที่ 127,000 BTC โดยประมาณ ซึ่งตัวเลขนี้เป็นตัวเลขเดียวกันกับยอดการขโมยเงินของ Bitcoin mining pool ที่มีชื่อว่า Lubian ซึ่งถูกขโมยในปี 2020 

 

สิ่งที่หลายคนสงสัยคือ ทำไมบัญชีนี้ถึงถูกแฮกได้ จนกระทั่งในปี 2023 มีคนค้นพบช่องโหว่ CVE-2023-39910 (https://milksad.info/) ของกระเป๋าสตางค์ที่ชื่อว่า Libbitcoin Explorer แต่ตัวตนของคนขโมย Bitcoin กลับไม่เคยเป็นที่รู้กัน ทางการสหรัฐฯ ก็ไม่เคยออกมายอมรับหรือปฏิเสธว่าเกี่ยวข้องกลับเรื่องนี้ ทว่าเรื่องนี้กลับมาอยู่ในความสนใจกันอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กลับระบุบัญชีเหล่านี้ในเอกสารฟ้องร้อง และอ้างว่ามีสิทธิ์ในการควบคุมบัญชีดังกล่าว

 

ทั้งนี้ ทางการสหรัฐฯ ยังจับ Chen Zhi ไม่ได้ แต่กลับได้มาซึ่ง Bitcoin ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับ Prince Group ที่ก่อเหตุหลอกลวงคนจำนวนมาก ถึงแม้ว่าทรัพย์สินเหล่านี้อาจจะพิสูจน์ไม่ได้โดยตรงว่า เป็นเงินที่ได้มาจากการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย 

 

หากศาลตัดสินให้สหรัฐฯ ยึด Bitcoin ดังกล่าวได้ รัฐบาลสหรัฐจะมีทุนสำรองเป็น Bitcoin เพิ่มขึ้นจาก 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ 

 

ณัฐกล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องติดตามต่อหลังจากนี้คือ แนวทางที่สหรัฐฯ จะดำเนินการกับ Bitcoin ที่ยึดมาได้นี้ และการพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งว่าจะมีการชดเชยให้กับผู้ที่เสียหายหรือไม่ เพราะความเสียหายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะคนอเมริกัน 

 

ส่วนกรณีที่ Bitcoin หรือคริปโตถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกลไกการทำงานของคริปโต ซึ่งแตกต่างจากธุรกรรมการเงินทั่วไป แม้ Bitcoin หรือคริปโต จะมีความโปร่งใสทางธุรกรรม แต่ก็มีการปิดซ่อนความเป็นเจ้าของ 

 

“หากเรามองภาพรวมก็จะเห็นเส้นทางเดินบัญชี แม้จะไม่มีการเปิดเผยเจ้าของบัญชี คนที่ไม่ระวังก็จะถูกใช้เส้นทางการเดินบัญชีไปปะติดปะต่อได้ ต่างจากโลกการเงินดั้งเดิมที่เส้นทางเดินบัญชีถูกปิด แต่คนที่เป็นเจ้าของบัญชีจะถูกเปิดเผยระดับหนึ่ง ซึ่งสถาบันการเงินเป็นคนที่มองเห็น”

 

บัญชีคริปโตมีความเป็น ‘Global Account’ หากมีการทำธุรกรรมข้ามประเทศ หากเป็นเงิน fiat จะมีการตรวจสอบที่เข้มข้นทำให้มีร่องรอยเหลือมากกว่า แต่การโอนคริปโตมีร่องรอยน้อยกว่ามาก และบางครั้งสามารถโอนความเป็นเจ้าของบัญชีโดยไม่ต้องโอนเงิน ผ่านการให้ Private Key สำหรับกระเป๋าสตางค์ที่เก็บรักษาคริปโตนั้นๆ 

 

ภาพ: Surasak Suwanmake / Getty Images 

 

อ้างอิง:

The post ประเด็นที่โลกคริปโตต้องจับตาต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ ยึด Bitcoin 5 แสนล้านบาท จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Wash’ พร้อมเทรด mai เสนอขาย IPO ที่ 7.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 24 และ 27-28 ต.ค.นี้ ตั้งเป้าขยายร้านสะดวกซักครบวงจรเพิ่ม 160 สาขา https://thestandard.co/wash-ipo-targets-160-branches/ Thu, 16 Oct 2025 10:02:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1131539 ‘Wash’ พร้อมเทรด mai เสนอขาย IPO ที่ 7.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 24 และ 27-28 ต.ค.นี้ ตั้งเป้าขยายร้านสะดวกซักครบวงจรเพิ่ม 160 สาขา

บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ ‘WASH’ เจ้าของบริก […]

The post ‘Wash’ พร้อมเทรด mai เสนอขาย IPO ที่ 7.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 24 และ 27-28 ต.ค.นี้ ตั้งเป้าขยายร้านสะดวกซักครบวงจรเพิ่ม 160 สาขา appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Wash’ พร้อมเทรด mai เสนอขาย IPO ที่ 7.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 24 และ 27-28 ต.ค.นี้ ตั้งเป้าขยายร้านสะดวกซักครบวงจรเพิ่ม 160 สาขา

บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ ‘WASH’ เจ้าของบริการร้านสะดวกซักครบวงจร แบรนด์ ‘WashXpress’ เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 105,882,352 หุ้น ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด

 

เสนอขายที่ราคา 7.50 บาทต่อหุ้น มูลค่าระดมทุน 794,117,640 บาท นักลงทุนสามารถจองซื้อได้ระหว่าง วันที่ 24 และ 27 – 28 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้คาดว่าหุ้น WASH จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

 

หลังการระดมทุน บริษัทมีแผนนำเงินไปลงทุนขยายธุรกิจเชิงรุก ผ่าน 3 แกนหลัก ดังนี้

 

1. ตั้งเป้าหมาย เปิดสาขาใหม่ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของจำนวน 80 สาขาในปี 2568 และมีแผนขยายสาขาอีกไม่น้อยกว่า 160 สาขาในปี 2569 – 2570

 

2. พัฒนาและขยายบริการครบวงจร (Full Service) ตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าที่หลากหลาย ขยายบริการที่มีอยู่แล้ว เช่น บริการซักอบพับ บริการรับรีด และบริการรับจ้างซักอบรีด ในปริมาณมากสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) ให้ครอบคลุมสาขามากขึ้น รวมถึงมีแผนพัฒนาบริการใหม่ ๆ เช่น บริการรับ-ส่งผ้าถึงมือลูกค้า (Delivery Service)

 

3.พัฒนาแอปพลิเคชัน WashXpress สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า พร้อมนำข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานมาวิเคราะห์เพื่อต่อยอดทางธุรกิจ ด้วย Subscription Model

 

ปัจจุบัน บริษัทดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่ม ได้แก่
1. ธุรกิจให้บริการร้านสะดวกซักแบบครบวงจรภายใต้แบรนด์ ‘WashXpress’
2. ธุรกิจให้สิทธิบุคคลอื่นในการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์
3. ธุรกิจจำหน่ายเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า สินค้าอื่น ๆ และบริการที่เกี่ยวข้อง

 

โชว์จุดแข็ง ‘ความเป็นเจ้าของ’ ช่วยคุมต้นทุน เพิ่มกำไร

 

กวิน กลองกระโทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง จุดแข็งที่แตกต่างของ ‘WashXpress’ ที่ช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้ ท่ามกลางตลาดร้านสะดวกซักในประเทศไทยที่แข่งขันสูง (RedOcean) คือ โมเดลธุรกิจ ความเป็นเจ้าของ หรือ Owner-Operator โดยบริษัทเน้นลงทุนและบริหารจัดการสาขาด้วยตนเอง ทำให้สามารถสร้างระบบการบริการที่มีมาตรฐานผ่านแอปพลิเคชัน ควบคุมต้นทุนการดูแลอุปกรณ์ ตลอดจนความสะอาดหน้าร้านให้มีคุณภาพเท่าเทียม กันในทุกสาขา สร้างรายได้ที่ต่อเนื่อง (Recurring Income)

 

สะท้อนจากสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ที่มาจากธุรกิจร้านสะดวกซักที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 92.10% – 96.60% ของรายได้รวม ทั้งนี้ปัจจุบัน ‘WashXpress’ มีทั้งหมด 548 สาขา โดยแบ่งเป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ 469 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 79 สาขา

 

การที่บริษัทเป็นเจ้าของสาขาเอง ช่วยสร้างข้อได้เปรียบในการลดต้นทุน และควบคุมมาตรฐานการบริการ ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ แก้ pain point ของธุรกิจร้านสะดวกซักส่วนใหญ่ที่เน้นซื้อแฟรนไชส์ แต่ไม่ได้มีระบบควบคุม มาตรฐานการให้บริหาร

 

แผนการขยายสาขาในช่วง 2 ปีข้างหน้า คาดว่าจะทำให้บริษัทมีต้นทุนลดลง และกำไรเพิ่มขึ้น จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น ตามหลัก Economy of scale เน้นขยายสาขาไปตามหัวเมืองในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะภาคใต้ และภาคเหนือ โดยพิจารณาทำเลจากความหนาแน่นของชุมชน อย่างไรก็ตามตลาดกรุงเทพ และปริมณฑล ยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก เช่น พื้นที่สำนักงาน ปั๊มน้ำมันต่างๆ

 

ตลาดร้านสะดวกซักไม่อิ่มตัว โตตามเมกะเทรนด์

 

ภาพรวมอุตสาหกรรมร้านสะดวกซักในประเทศไทยยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก ตามเมกะเทรนด์การขยายตัวของสังคมเมือง ในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะหัวเมือง และเขตเศรษฐกิจ ส่งผลให้คนหันมาอยู่คอนโดมิเนียม หรืออพาร์ตเมนต์ที่มีพื้นที่จำกัด
และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เน้นความรวดเร็วและสะดวกสบาย

 

โดยมูลค่าตลาดได้ขยายตัวจากประมาณ 3,000 ล้านบาทในปี 2563 มาอยู่ที่ 10,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจนมีมูลค่าสูงถึง 13,500 ล้านบาทในปี 2567

 

ปัจจุบัน ธุรกิจร้านซักผ้าในไทยประกอบด้วย 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ร้านเครื่องซักผ้า หยอดเหรียญ, ร้านซักรีดทั่วไป และร้านสะดวกซัก (Laundromat) ซึ่งร้านสะดวกซัก มีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถตอบสนองความ ต้องการ ของผู้บริโภคในด้านความสะดวก รวดเร็ว และมีคุณภาพสูงกว่าการซักผ้าที่บ้าน โดยการเติบ

 

ผลดำเนินงาน 3 ปี โตแกร่ง

  • 2565 รายได้ 464.47 ล้านบาท กำไรสุทธิ 59.31 ล้านบาท
  • 2566 รายได้ 657.06 ล้านบาท กำไรสุทธิ 67.28 ล้านบาท
  • 2567 รายได้ 823.58 ล้านบาท กำไรสุทธิ 83.47 ล้านบาท

 

อัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ย ที่ 33.16% ต่อปี
อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 18.63% ต่อปี

 

ทั้งนี้ สาเหตุที่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ น้อยกว่าการเติบโตของรายได้ เป็นผลมาจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน ซื้อเครื่องจักร และจ้างพนักงาน เพื่อรองรับการขยายสาขาในอีก 2 ปีข้างหน้า

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกระแสเงินสดสุทธิ จากกิจกรรมดำเนินงาน เป็นบวกและเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง จาก 247.53 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 341.60 ล้านบาท ในปี 2566 และ 430.95 ล้านบาทในปี 2567

The post ‘Wash’ พร้อมเทรด mai เสนอขาย IPO ที่ 7.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 24 และ 27-28 ต.ค.นี้ ตั้งเป้าขยายร้านสะดวกซักครบวงจรเพิ่ม 160 สาขา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย https://thestandard.co/half-half-plus-store-registration/ Thu, 16 Oct 2025 09:14:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1131484 ร้านค้าลงทะเบียน คนละครึ่ง พลัส วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย

ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก กว่า 79,736 รา […]

The post ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ร้านค้าลงทะเบียน คนละครึ่ง พลัส วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย

ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก กว่า 79,736 ราย และอยู่ระหว่างขั้นตอนรับสมัครอีก 107,457 ราย

 

วันนี้ (16 ตุลาคม) กระทรวงการคลังเผย ความคืบหน้า โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ หลังเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 เป็นวันแรก โดยระบุว่า จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2568 เวลา 9.00 น. มีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ดังนี้

 

ร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการสำเร็จแล้ว 79,736 ราย แบ่งเป็น

 

  • ร้านค้าเดิม 62,276 ราย
  • ร้านค้าใหม่ 7,460 ราย

 

ร้านค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการสมัคร 107,457 ราย แบ่งเป็น

 

  • รอให้ร้านค้าเข้ามากดยอมรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการ 102,150 ราย
  • รอดำเนินการตรวจสอบ 5,307 ราย

 

ทั้งนี้ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ระหว่างการประชาสัมพันธ์โครงการคนละครึ่งว่า จากฐานข้อมูลร้านค้าเดิม พบว่า มีร้านค้าที่ลงทะเบียนอยู่ราว 9 แสนรายในระหว่างโครงการ คนละครึ่ง เฟส 5 แต่ด้วยตัวโครงการห่างหายไปนาน จึงทำให้ปัจจุบันเหลือผู้ประกอบการที่ยังแอ็กทีฟอยู่เพียงเกือบ 1 แสนรายเท่านั้น ซึ่งโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ครั้งนี้ ดร.เอกนิติ ตั้งเป้าให้มียอดลงทะเบียนร้านค้าให้สูงกว่ายอดเดิมที่ 9 แสนราย

 

สำหรับร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568

 

วิธีลงทะเบียนสำหรับร้านค้ารายเดิม

 

โดยร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 จะต้องอัปเดตแอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ ก่อน หากผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติในแอปพลิเคชันจะปรากฏปุ่ม ‘คนละครึ่ง พลัส’ ให้กดยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการได้

 

ทั้งนี้ ร้านค้าถุงเงินที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 (ปี 2565) และพบปุ่ม ‘คนละครึ่ง พลัส’ คือ ร้านค้าที่ภาครัฐมีฐานข้อมูลตรวจสอบได้ชัดเจนแล้วว่า ร้านค้านี้มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการได้ กรณีไม่พบปุ่ม ‘คนละครึ่ง พลัส’ จำเป็นต้องสมัครเข้าร่วมโครงการใหม่

 

วิธีลงทะเบียนสำหรับร้านค้ารายใหม่

 

ส่วนร้านค้ารายใหม่ สามารถลงทะเบียนผ่านสาขาของธนาคารกรุงไทยฯ หรือจุดตั้งบูธของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับธนาคารกรุงไทยฯ

 

ทั้งนี้ กรณีร้านค้าที่ต้องได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอ ปลัดเทศบาล เป็นต้น หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อลงนามยืนยันการประกอบกิจการจริงในแบบฟอร์มการสมัครก่อนนำไปยื่นที่สาขาของธนาคารกรุงไทยฯ หรือจุดตั้งบูธของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อดำเนินการเปิดแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และสมัครเป็นร้านค้าคนละครึ่ง พลัสต่อไป

 

ทั้งนี้ การยืนยันการประกอบกิจการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร ถือเป็นกระบวนการตามปกติที่ดำเนินการในโครงการคนละครึ่งในระยะก่อนหน้านี้

 

เนื่องจากโครงการปัจจุบันได้เว้นช่วงจากโครงการคนละครึ่งระยะก่อนหน้ามาพอสมควร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้มีขั้นตอนยืนยันการประกอบกิจการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกครั้งหนึ่ง

 

อย่างไรก็ดี สำหรับร้านค้าบางรายที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 และเป็นผู้ที่กระทรวงการคลังมีฐานข้อมูลสามารถตรวจสอบได้ว่ายังคงประกอบกิจการอยู่ เช่น ผู้ประกอบการขนส่งที่มีใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ ร้านธงฟ้าร้าน OTOP เป็นต้น

 

กระทรวงการคลังได้ใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเพื่อการอำนวยความสะดวกโดยลดขั้นตอนไม่ต้องให้ร้านค้ากลุ่มนี้ขอรับการยืนยันการประกอบกิจการจากเจ้าหน้าที่ของรัฐอีก แต่สามารถกดปุ่มโครงการในแอปพลิเคชันถุงเงินเพื่อเข้าร่วมโครงการได้ทันที

 

วิธีลงทะเบียนประชาชนทั่วไป

 

ในส่วนของการลงทะเบียนสำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ประชาชนสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยการติดตั้งแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ และยืนยันตัวตน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’

 

ทั้งนี้ โครงการฯ จะเปิดให้เริ่มลงทะเบียนสำหรับประชาชนวันแรกในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เวลา 06.00 – 22.00 น. จนกว่าจะครบจำนวน 20 ล้านคน หรือจนกว่าจะครบวงเงินสิทธิในวงเงินไม่เกิน 44,000 ล้านบาท หรือถึงปิดลงทะเบียนวันสุดท้ายในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 แล้วแต่เกณฑ์ใดจะถึงก่อน ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์รายละเอียดการลงทะเบียนของประชาชนให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง

 

อนึ่ง ผู้ประกอบการร้านค้าและประชาชนสามารถตรวจสอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการฯ และรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ คนละครึ่ง พลัส

The post ร้านค้าลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ วันแรก สำเร็จกว่า 79,736 ราย appeared first on THE STANDARD.

]]>