Wealth – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 04 Sep 2025 05:39:46 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Starbucks เปิดตัว โปรตีนโฟมเย็น และ ลาเต้โปรตีน เจาะตลาดสายสุขภาพ ประเดิมขายในสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีขายในไทย https://thestandard.co/starbucks-protein-drinks-us-only/ Thu, 04 Sep 2025 05:39:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1115397

หากย้อนไปเมื่อปี 2018 Starbucks ได้เคยเปิดตัวโฟมเย็นไปแ […]

The post Starbucks เปิดตัว โปรตีนโฟมเย็น และ ลาเต้โปรตีน เจาะตลาดสายสุขภาพ ประเดิมขายในสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีขายในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

หากย้อนไปเมื่อปี 2018 Starbucks ได้เคยเปิดตัวโฟมเย็นไปแล้ว ซึ่งผลตอบรับดีมาก สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อเครื่องดื่มทุก 7 แก้ว จะมีอย่างน้อย 1 แก้วที่ลูกค้าเลือกเพิ่มท็อปปิ้งด้วยโฟมเย็น ทำให้ปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในท็อปปิ้งที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

จากกระแสดังกล่าว ล่าสุด Starbucks ได้เปิดตัว โปรตีนโฟมเย็น และ ลาเต้โปรตีน ท็อปปิ้งใหม่รับกระแสผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เบื้องต้นจะเปิดขายในวันที่ 29 กันยายนนี้ ในอเมริกา แต่ยังไม่มีขายในไทย

 

สิ่งที่น่าสนใจของเมนูใหม่ ถูกพัฒนามาจากนวัตกรรมของเมนูยอดฮิตให้เข้ากับเทรนด์สุขภาพยุคใหม่ โดยลูกค้าที่เลือกเพิ่มโปรตีนโฟมเย็นในเครื่องดื่มไซส์ Grande จะได้รับโปรตีนราว 19–26 กรัม ขณะที่ลาเต้โปรตีนในขนาดเดียวกันให้ปริมาณโปรตีนสูงถึง 27–36 กรัม โดยจุดขายของลาเต้โปรตีนอยู่ที่การใช้นมเสริมโปรตีน ซึ่งบาริสต้าจะทำสดใหม่ทุกวันจากการผสมนม 2% กับผงโปรตีนแบบไม่ปรุงแต่งรสชาติ ทั้งนี้ ในอนาคตลูกค้าจะสามารถเลือกใช้นมเสริมโปรตีนคู่กับเมนูอื่นๆ ได้เช่นกัน

 

ด้านรสชาติ โปรตีนโฟมเย็นจะมีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่รสดั้งเดิม (Plain) วานิลลา มัทฉะ ช็อกโกแลต บราวน์ชูการ์ ซอลต์คาราเมล รวมถึงรสกล้วย และยังมีรสชาติพิเศษตามฤดูกาล เช่น รสฟักทอง ที่สอดคล้องกับเมนูในฤดูใบไม้ร่วง

 

เทรสซี ลีเบอร์แมน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายแบรนด์ระดับโลกของ Starbucks กล่าวว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ได้เกิดขึ้นหลังจาก Starbucks เพิ่งจะสร้างสถิติยอดขายรายสัปดาห์สูงสุดในตลาดสหรัฐฯ โดยแรงหนุนสำคัญมาจากการโปรโมตเมนูยอดนิยมอย่าง ‘พัมพ์กิ้น สไปซ์ ลาเต้’ ทำให้ผู้คนเริ่มกลับมาใช้บริการในร้านมากขึ้น และจากนี้บริษัทจะมุ่งปรับเมนูให้ทันสมัย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ ทันกระแส และสามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้าได้

 

เรียกได้ว่าการเปิดตัวครั้งนี้ นับเป็นกลยุทธ์การขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับ การดูแลสุขภาพด้วยโปรตีน ซึ่งกำลังเป็นกระแสในวงกว้าง ตั้งแต่กลุ่มคนรักการออกกำลังกาย ไปจนถึงผู้ใช้ยาลดน้ำหนัก ที่มองหาอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและทำให้อิ่มนานขึ้น

 

สอดคล้องจากข้อมูลของบริษัทวิจัย Datassential ชี้ว่า ในไตรมาส 2 ปี 2025 หนึ่งในสามของผู้บริโภคชาวอเมริกัน จะนิยมสั่งอาหารและเครื่องดื่มที่มีโปรตีนสูง เพิ่มขึ้นจาก 24% ถ้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับเมื่อสามปีก่อน ซึ่งตอกย้ำว่าโปรตีนกำลังกลายเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงของผู้บริโภคในสหรัฐฯ

 

ทั้งหมดสะท้อนถึงสัญญาณการฟื้นตัวของบริษัท ภายใต้การนำของ ไบรอัน นิคโคล ซีอีโอ Starbucks ที่ประกาศชัดว่า จะพา Starbucks กลับคืนสู่ความเป็นตัวตนของแบรนด์ ผ่านการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและการนำเสนอเมนูใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

 

ภาพ: KPPWC/Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post Starbucks เปิดตัว โปรตีนโฟมเย็น และ ลาเต้โปรตีน เจาะตลาดสายสุขภาพ ประเดิมขายในสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีขายในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นธีม AI ใกล้ภาวะฟองสบู่ หรือยังมีโอกาสที่รออยู่? https://thestandard.co/opinion-ai-stock-bubble-opportunity/ Thu, 04 Sep 2025 05:28:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1115393

กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีความเกี่ยวข้องหรือคาดว่าจะได้ประ […]

The post หุ้นธีม AI ใกล้ภาวะฟองสบู่ หรือยังมีโอกาสที่รออยู่? appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีความเกี่ยวข้องหรือคาดว่าจะได้ประโยชน์จากกระแส AI ฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวม หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดวันที่ 8 เม.ย. 2025 ที่ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงจากความกังวลต่อประเด็นนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หรือ Tariffs จนมาถึงวันที่ 26 ส.ค. 2025 กลุ่ม S&P500 Information Technology ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากกระแส AI ตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น NVIDIA, AMD, AVGO จนถึงกลางและปลายน้ำ เช่น Microsoft, Apple, Palantir ดัชนีนี้ปรับตัวขึ้นมากถึง +51% เมื่อเปรียบเทียบดัชนีหุ้นโลก MSCI ACWI ที่ปรับตัวขึ้นราว +28% ในช่วงเวลาเดียวกัน 

 

โดยระดับดัชนีของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้กำลังอยู่ในระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึงแม้ว่ามุมมองของนักวิเคราะห์ในตลาดหลายคนจะเริ่มกลับมาเป็นบวกต่อกลุ่มหุ้น AI มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี แต่นักลงทุนบางส่วนได้แสดงความกังวลต่อการปรับตัวขึ้นที่ร้อนแรงนี้ว่ากำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่หรือไม่ และฟองสบู่ลูกนี้กำลังใกล้แตกมากน้อยเพียงใด นักลงทุนชื่อดังอย่างคุณ Howard Marks ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานร่วมของ Oaktree Capital Management เตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังกับความคลั่งไคล้และการมองโลกในแง่ดีที่มากเกินไปในกลุ่มหุ้น AI ที่อาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในท้ายที่สุด

 

คำเตือนข้างต้นอาจทำให้นักลงทุนพิจารณาเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นสัญญาณอันตรายว่า ตลาดหุ้นจะฟองสบู่แตกและปรับตัวลงแรงในระยะเวลาอันใกล้เสมอไป 

 

ในอดีตที่ผ่านมา มีบางครั้งที่ตลาดหุ้นอาจปรับตัวขึ้นต่อได้อีกสักพักหลังจากนั้น ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนพลาดโอกาสสำคัญในการลงทุนได้เช่นกัน ตัวอย่างที่เด่นชัดในอดีต คือ คำเตือนภาวะฟองสบู่ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีของคุณ Alan Greenspan ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน Fed ในขณะนั้น เกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. 1996 แต่ตลาดหุ้นฟองสบู่แตกในเดือน มี.ค. 2000 หรือยาวนานมากกว่า 3 ปีหลัง มีคำเตือนดังกล่าว ซึ่งในช่วงเวลานั้นดัชนี S&P 500 และกลุ่ม S&P 500 Information Technology ให้ผลตอบแทนสูงถึง +87% และ 345% ตามลำดับ ดังนั้น เราควรให้น้ำหนักการประเมินโอกาสและความเสี่ยงต่อการลงทุนกลุ่มหุ้น AI จากปัจจัยพื้นฐานด้านการเติบโตและระดับมูลค่ามากกว่า

 

การประเมินผ่านการเติบโต เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการงวด Q2/25 ซึ่งรายงานไปแล้วประมาณ 90% ของจำนวนบริษัททั้งหมดในดัชนี S&P 500 ณ วันที่ 29 ส.ค. 2025 พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรม Information Technology มีสัดส่วนบริษัทที่รายงานกำไรดีกว่าคาด มากที่สุดราว 90% ของจำนวนบริษัททั้งหมด เมื่อเทียบกับภาพรวมของดัชนี S&P 500 ที่มีสัดส่วนราว 81% นอกจากนี้ อ้างอิงจาก Bloomberg Consensus ณ วันที่ 26 ส.ค. 2025 คาดการณ์แนวโน้มกำไรต่อหุ้นของกลุ่ม Information Technology จะเติบโตสูงกว่าดัชนี S&P 500  ทั้งในงวด Q3/25  (+35% YoY vs +12% YoY) และ Q4/25 (+50% YoY vs +10% YoY)  

 

หากพิจารณาลงลึกไปในกลุ่ม Big Tech จะพบว่าอัตราการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นและดีกว่าตลาดคาดนั้น มาจากรายได้ธุรกิจ Cloud Computing  ที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI โดยตรง เช่น Microsoft Azure เติบโต +39% YoY, Google Cloud เติบโต +32% YoY และ AWS เติบโต +18% YoY ส่วนธุรกิจหลักอื่นๆ ของกลุ่ม Big Tech สามารถขยายตัวได้ดีเช่นกันจากการนำ AI มาประยุกต์เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายหรืออัตรากำไรของบริษัททางอ้อม สะท้อนถึงเทคโนโลยี AI ที่เริ่มส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผลประกอบการทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ การที่ Microsoft, Meta, Alphabet และ Amazon ต่างปรับเพิ่มแผนการลงทุนใน AI Infrastructure เพื่อรองรับความต้องการการประมวล AI ดังกล่าว ช่วยตอกย้ำประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจของ AI นั้นมีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราวเท่านั้น 

 

การประเมินระดับมูลค่าผ่าน 12M Forward P/E Ratio ในกลุ่ม S&P 500 Information Technology พบว่ามีระดับ P/E ที่ 29.3 เท่า ณ วันที่ 26 ส.ค. 2025 ซึ่งถือว่าอยู่ในโซนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบช่วง 5 ปีหลังสุด อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วง Dot Com Bubble เมื่อเดือน มี.ค. 2000 ดัชนี S&P 500 Information Technology มีค่า P/E สูงราว 55 เท่า ซึ่งสูงกว่าระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ระดับมูลค่าในปัจจุบันของกลุ่ม IT เริ่มอยู่ในโซนที่ตึงตัวมากขึ้น แต่ยังห่างไกลจากช่วงพีคของฟองสบู่ Dotcom ปี 2000 อยู่มากพอสมควร

 

ในเชิงกลยุทธ์ เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนกลุ่มหุ้น AI ในระยะกลาง 3-6 เดือนข้างหน้า ราคาที่ปรับตัวขึ้นมาเร็วและแรง ส่งผลให้ระดับมูลค่าเริ่มตึงตัวมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงที่ราคาหุ้นมีโอกาสผันผวนหากมีปัจจัยลบเข้ามาในอนาคต แต่ในทางกลับกัน ระดับ Valuation ณ ตอนนี้ ถือว่าค่อนข้างห่างไกลจากภาวะฟองสบู่ช่วงปี 2000 นอกจากนี้ ความต้องการ AI ที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้เราเริ่มเห็นประโยชน์ในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อเพิ่มรายได้หรืออัตรากำไรเด่นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะภายในกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกันเอง โดยคาดว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ จะทยอยนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในวงกว้างมากขึ้นระยะถัดไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรของกลุ่มหุ้น AI มีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวมต่อไปเช่นกัน 

 

ภาพ: Robert Way/Getty Images

The post หุ้นธีม AI ใกล้ภาวะฟองสบู่ หรือยังมีโอกาสที่รออยู่? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทองคำยังปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นท่ามกลางมรสุม https://thestandard.co/gold-prices-rise-amid-turmoil/ Thu, 04 Sep 2025 04:52:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1115372 ทองคำ

เดือนสิงหาคม 2025 เปิดฉากขึ้นพร้อมกับความไม่แน่นอนครั้ง […]

The post ทองคำยังปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นท่ามกลางมรสุม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทองคำ

เดือนสิงหาคม 2025 เปิดฉากขึ้นพร้อมกับความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ในตลาดโลก โดยเริ่มจากการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (Non-Farm Payrolls) ในเดือนกรกฎาคม ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ 106,000 ตำแหน่ง อีกทั้งยังมีการปรับตัวเลขในเดือนมิถุนายนและพฤษภาคม ลดลงไปรวมแล้วมากถึง 258,000 ตำแหน่ง ซึ่งทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นถึง 73 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (+2.22%) จาก 3,290 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,363 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันดังกล่าว และยังทำระดับสูงสุดรายสัปดาห์ที่ 3,409 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางกระแสที่ Donald Trump กดดันให้ Jerome Powell ลาออกจากประธาน Fed 

 

หลังจากนั้น แม้ว่าราคาทองคำจะซึมตัวลงบ้างในช่วงกลางเดือนสิงหาคม จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซีย-ยูเครน ได้บรรเทาลงจากการเดินหน้าเจรจาของ Donald Trump กับทั้งฝั่ง Vladimir Putin ปธน.รัสเซีย และ Volodymyr Zelenskyy ปธน.ยูเครน 

 

อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สนับสนุนให้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย นั้นกลายมาเป็นปัจจัยหลักที่ตลาดให้ความสำคัญ เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐนั้นอ่อนแอลง ขณะที่ Fed ไม่ได้แสดงความกังวลต่อความเสี่ยงในอัตราเงินเฟ้อมากนัก และยังถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนจากการกล่าวของ Jerome Powell ในการประชุม Jackson Hole ว่าความเสี่ยงด้านการจ้างงานกำลังเพิ่มขึ้น และภาษีศุลกากรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับราคาเพียงครั้งเดียว ‘ความสมดุลของความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจำเป็นต้องปรับนโยบาย’ การกล่าวสุนทรพจน์ในเชิงผ่อนคลาย (Dovish) จึงทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และหนุนโมเมนตัมทองคำให้กลับมามีแนวโน้มที่สดใสอีกครั้ง

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าสนใจคือ การประชุม Fed ในเดือนกรกฎาคม มีผู้ว่าการ Fed สนับสนุนให้ปรับลดดอกเบี้ย คือ Christopher Waller และ Michelle Bowman โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเรียกว่า ‘Dovish Dissent’ และตามสถิติตั้งแต่ปี 1987 เกิดเหตุการณ์ Dovish Dissent จากผู้ว่าการ Fed เพียงแค่ 14 ครั้ง ซึ่งจะตามมาด้วยการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ลงถึง 0.50% ในสามเดือนข้างหน้า

 

ในเดือนกันยายน สิ่งที่ตลาดรอจับตามากที่สุด จึงเป็นการประชุม Fed ในวันที่ 17-18 โดย CME FedWatch Tool บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 88% ที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% นอกจากนี้ จะมีการเปิดเผย Dot Plot ที่ระบุคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งนักลงทุนต่างรอจับตาขนาดการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ว่าจะอยู่ที่ 0.50% เท่ากับ Dot Plot ในครั้งก่อน หรือจะเพิ่มขนาดการปรับลดดอกเบี้ยเป็น 0.75% ซึ่งจะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ Fed ทั้งหมดว่าจะทำการโหวตที่ระดับเท่าใด

 

ความเป็นไปได้ที่ Fed จะมีท่าทีผ่อนคลายลงนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเข้าแทรกแซงของ Donald Trump ไม่ว่าจะเป็นการกดดันให้ Jerome Powell ลาออก และการสั่งปลด Lisa Cook หนึ่งในผู้ว่าการ Fed ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ 111 ปี นับตั้งแต่ Fed ได้ก่อตั้งขึ้น รวมไปถึงการลาออกของ Adriana Kugler ผู้ว่าการ Fed และแต่งตั้งคนสนิทอย่าง Stephen Miran เข้ามาแทนตำแหน่งชั่วคราว ความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อนโยบายการเงิน นอกจากจะเพิ่มโอกาสในการลดดอกเบี้ย Fed แล้วยังไปบั่นทอนความเป็นอิสระของ Fed ปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลบวกต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยด้วยเช่นกัน

 

ทั้งนี้ คณะผู้ว่าการ Fed ทั้งหมด 7 ท่าน จะถูกจับตามากขึ้น หาก Donald Trump สามารถแต่งตั้งคนใกล้ชิดที่สนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Dovish) มาแทนที่ผู้ว่าการ Fed ทั้งสองท่าน (Lisa Cook และ Adriana Kugler) ได้สำเร็จ เนื่องจาก Christopher Waller และ Michelle Bowman นั้นมีจุดยืนที่ Dovish อย่างชัดเจน 

 

ดังนั้น เสียงส่วนใหญ่จะกลายเป็นสาย Dovish ทันที (4 ต่อ 3) และสถานการณ์ดังกล่าว จะเป็นแรงหนุนต่อราคาทองคำให้ลุ้นปรับตัวขึ้นทำ All Time High ได้ต่อ สู่เป้าหมายถัดไปของ YLG ในปีนี้ที่ระดับ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ภาพ: spawns/Getty Images 

The post ทองคำยังปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นท่ามกลางมรสุม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดพอร์ต Michael Burry นักลงทุนชื่อดังในหนังเรื่อง The Big Short https://thestandard.co/michael-burrys-portfolio/ Thu, 04 Sep 2025 03:57:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1115339 Michael Burry

หนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและมักจะถูกพูดถึงมากที่สุด […]

The post เปิดพอร์ต Michael Burry นักลงทุนชื่อดังในหนังเรื่อง The Big Short appeared first on THE STANDARD.

]]>
Michael Burry

หนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและมักจะถูกพูดถึงมากที่สุดคนหนึ่งในวงการการลงทุนคงหนีไม่พ้น Michael Burry นักลงทุนสายชอร์ต (Short) ที่บริหารเฮดจ์ฟันด์ Scion Asset Management และเคยทำเงินได้อย่างมากมายจากการคาดการณ์วิกฤต Subprime ในช่วงปี 2008 – 2009 ได้อย่างถูกต้อง จนถูกนำไปทำภาพยนตร์เรื่อง THE BIG SHORT

 

ไม่เพียงเท่านั้น Burry มักจะออกมาแสดงความเห็นต่อเหตุการณ์การลงทุนผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเองอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งก็สร้างความตื่นกลัวให้ตลาดแต่กลับไม่มีเหตุการณ์เหมือนกับที่เขาว่า และ Burry ก็ต้องเสียเงินจากการทำนายผิด ก็มีเช่นกัน 

 

แต่ถึงอย่างนั้นเอง Burry ก็นับได้ว่าเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า อยู่เช่นกันเพราะเขาจะมุ่งเน้นซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ถูกกว่ามูลค่า แล้วไปขายตอนที่ทุกคนกลับมาตระหนักในมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ

 

ในบทความนี้ทางทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปสำรวจพอร์ตการลงทุนของ Michael Burry (Scion Asset Management) ช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 นี้ว่าเป็นเช่นไร

 

จากรายงาน 13F Filing ของ Scion Asset Management ของ Burry พบว่า กว่า 90.27% ของพอร์ตการลงทุนมูลค่า 578 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 19,000 ล้านบาท เป็น Call Option ทั้งหมด มีเพียงแค่ 10% ที่เป็นการถือหุ้นสามัญ 

 

โดยสินทรัพย์ที่ Burry นำเข้าพอร์ตและถือครองไว้เป็นอันดับ 1 ก็คือ United Health Group (UNH) Call Option ซึ่งเป็นบริษัทประกันชั้นนำของสหรัฐฯ ที่ราคาร่วงกว่า 50% นับจากต้นปี ตัวเดียวกับที่ Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett เก็บเข้าพอร์ตเช่นกัน 

 

พอร์ตการลงทุนของ Burry จะค่อนข้างกระจุกตัว และแสดงถึงความมั่นใจในการลงทุนพอสมควรเพราะด้วยขนาดพอร์ต 19,000 ล้านบาท แต่สินทรัพย์กว่า 73.3% อยู่ใน Call Option เพียง 5 ตัวเท่านั้น ได้แก่ United Health Group (UNH) – Call option, Regeneron Pharmaceuticals (REGN) – Call option, Lululemon Athletica (LULU) – Call option,  Meta Platforms (META) – Call option, Estee Lauder (EL) – Call option

 

 

อ้างอิง:

The post เปิดพอร์ต Michael Burry นักลงทุนชื่อดังในหนังเรื่อง The Big Short appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘MUI-Robotics’ ทีมไทยจากมหิดล เข้ารอบ 60 ทีมสุดท้ายในเวที Lee Kuan Yew Competition ครั้งที่ 12 ย้ำศักยภาพนวัตกรรม AI บนเวทีโลก https://thestandard.co/mui-robotics-top-60-lky/ Thu, 04 Sep 2025 03:24:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1115332 MUI-Robotics

Singapore Management University (SMU) ประกาศรายชื่อผู้เ […]

The post ‘MUI-Robotics’ ทีมไทยจากมหิดล เข้ารอบ 60 ทีมสุดท้ายในเวที Lee Kuan Yew Competition ครั้งที่ 12 ย้ำศักยภาพนวัตกรรม AI บนเวทีโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
MUI-Robotics

Singapore Management University (SMU) ประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบสุดท้าย 60 ทีม จากผู้สมัครกว่า 1,500 ทีมทั่วโลก ในการแข่งขัน Lee Kuan Yew Global Business Plan Competition (LKYGBPC) ครั้งที่ 12 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2568 ณ วิทยาเขตใจกลางเมืองสิงคโปร์ โดยทีมไทย ‘MUI-Robotics’ เป็นหนึ่งในทีมที่เข้ารอบ 

 

ปีนี้ถือเป็นหมุดหมายพิเศษ เพราะตรงกับวาระ สิงคโปร์ฉลองครบรอบ 60 ปี ทำให้การแข่งขันสตาร์ตอัประดับมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียครั้งนี้ ได้รับการจับตามองอย่างมาก โดยมีผู้เข้าร่วมจากกว่า 1,200 มหาวิทยาลัย 91 ประเทศ เพิ่มขึ้นกว่า 57% จากครั้งก่อน และจากเอเชียเพียงภูมิภาคเดียวก็เพิ่มขึ้นกว่า 70%

 

ทีมไทยในรอบชิงชนะเลิศ

 

หนึ่งในทีมที่ผ่านเข้ารอบคือ MUI-Robotics จากมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งพัฒนา Sensory AI Technology ที่เลียนแบบประสาทการดมกลิ่นของมนุษย์ เพื่อนำไปใช้ในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เทคโนโลยีนี้สะท้อนการผสานความรู้ด้าน AI และประสาทสัมผัสเข้ากับการแก้ปัญหาจริงในอุตสาหกรรม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของสตาร์ตอัปไทยที่สามารถก้าวขึ้นสู่เวทีนวัตกรรมระดับโลก

 

ผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งหมดจะชิงเงินรางวัลรวมกว่า 2.5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยสตาร์ตอัปต้องแข่งขันใน 12 หัวข้อใหญ่ที่เชื่อมโยงกับเมกะเทรนด์โลก เช่น เทคโนโลยีด้านภูมิอากาศ พลังงานสะอาด วัสดุที่ยั่งยืน การคมนาคมในเมือง และสาธารณสุข

 

พลังสนับสนุนจากองค์กรไทย

 

การแข่งขันปีนี้ยังต้อนรับ Indorama Ventures บริษัทสัญชาติไทย ในฐานะพันธมิตรใหม่ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการก่อตั้งรางวัล Future of Sustainable Materials Award ที่ใช้ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการผลิตครบวงจรในการผลักดันนวัตกรรมวัสดุแห่งอนาคต สะท้อนถึงบทบาทของภาคธุรกิจไทยที่ไม่เพียงร่วมสนับสนุนเวที แต่ยังขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในระดับโลก

 

“เครือข่ายระดับโลกของ LKYGBPC ช่วยให้เราสามารถทำงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัท deep tech ระยะเริ่มต้นจากทั่วโลก เพื่อเร่งสร้างนวัตกรรมและสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับทศวรรษข้างหน้า” Yash Lohia ประธานบริหารด้าน Petchem และประธานสภา ESG ของ Indorama Ventures

 

จุดแข็งของเวที

ปีนี้ยังมีการนำ AI ผ่าน DueAI™ Challenge มาใช้เพื่อประเมินสตาร์ตอัปอย่างเป็นกลางและแม่นยำมากขึ้น พร้อมด้วยกิจกรรมเครือข่ายอย่าง Talent Exchange ที่เชื่อมโยงนักศึกษากับสตาร์ตอัป deep tech ระดับโลก และ Blaze Mixer Night สำหรับเยาวชนสิงคโปร์

 

การที่มีทั้ง MUI-Robotics จากไทย และ Indorama Ventures เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของการแข่งขันปีนี้ ไม่เพียงยืนยันว่าศักยภาพนวัตกรรมและธุรกิจไทยสามารถก้าวสู่เวทีโลกได้ แต่ยังชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีจุดยืนที่แข็งแกร่งในระบบนิเวศเทคโนโลยีและความยั่งยืนระดับสากล

 

ภาพ: tupungato/Getty Images

The post ‘MUI-Robotics’ ทีมไทยจากมหิดล เข้ารอบ 60 ทีมสุดท้ายในเวที Lee Kuan Yew Competition ครั้งที่ 12 ย้ำศักยภาพนวัตกรรม AI บนเวทีโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ถอดรหัส KBTG ทำไมต้องใช้มนุษย์นำ AI พร้อมสูตรปั้นธุรกิจสู่ระดับโลกผ่าน Cloud | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/kbtg-ai-cloud/ Thu, 04 Sep 2025 02:44:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1115325 KBTG

ซีรีส์ CLOUDSCAPE เอพิโสดนี้ ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน พาบุก […]

The post ชมคลิป: ถอดรหัส KBTG ทำไมต้องใช้มนุษย์นำ AI พร้อมสูตรปั้นธุรกิจสู่ระดับโลกผ่าน Cloud | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
KBTG

ซีรีส์ CLOUDSCAPE เอพิโสดนี้ ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน พาบุกถิ่น KBTG เพื่อล้วงอินไซต์จากแขกรับเชิญสุดเอ็กซ์คลูซีฟ คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ที่มาร่วมแบ่งปันแนวทางของการนำเทคโนโลยีอย่าง AI และ Cloud มาช่วยยกระดับธุรกิจให้ก้าวไปอีกขั้น และสามารถแข่งขันกับระดับโลกได้ ซึ่งเคล็ดลับไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการเสริมศักยภาพพัฒนา ‘คน’ ในองค์กร ให้นำหน้าเทคโนโลยี 

 

ซีรีส์ CLOUDSCAPE สนับสนุนโดย Amazon Web Services ภายหลังการเปิดตัว AWS Region เอเชียแปซิฟิก (Thailand) ด้วยแผนลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://go.aws/thailand

The post ชมคลิป: ถอดรหัส KBTG ทำไมต้องใช้มนุษย์นำ AI พร้อมสูตรปั้นธุรกิจสู่ระดับโลกผ่าน Cloud | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple เดินเกม AI Search ปรับโฉม Siri ท้าชน OpenAI-Google ด้านหุ้นพุ่งแรง 4% https://thestandard.co/apple-plans-ai-search-engine-for-siri-to-rival-openai/ Thu, 04 Sep 2025 02:32:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1115322 Apple AI Search

Apple ซุ่มพัฒนา ‘World Knowledge Answers’ ระบบค้นหาด้วย […]

The post Apple เดินเกม AI Search ปรับโฉม Siri ท้าชน OpenAI-Google ด้านหุ้นพุ่งแรง 4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple AI Search

Apple ซุ่มพัฒนา ‘World Knowledge Answers’ ระบบค้นหาด้วย AI เตรียมฝังลง Siri และอาจขยายไป Safari-Spotlight เพิ่มขีดความสามารถสู้กับ ChatGPT และ Perplexity ขณะเดียวกันยังคงสัญญาใช้ Google เป็นดีฟอลต์ คาดเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 มีนาคมปีหน้า

 

Apple Inc. กำลังวางแผนเปิดตัวระบบค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในปีหน้า เพื่อยกระดับการทำงานของ Siri และเพิ่มการแข่งขันกับ OpenAI และ Perplexity AI ระบบใหม่นี้ถูกเรียกภายในว่า World Knowledge Answers โดยจะถูกรวมเข้ากับ Siri และในอนาคตอาจขยายไปยังเบราว์เซอร์ Safari และ Spotlight ซึ่งเป็นฟังก์ชันค้นหาบนหน้าจอหลักของ iPhone

 

บริการใหม่นี้ถูกมองว่าเป็น ‘เครื่องจักรตอบคำถาม’ ที่ใช้โมเดลภาษา (LLMs) คล้ายกับ ChatGPT, Google AI Overviews และแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ในตลาด จุดมุ่งหมายคือทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้โดยตรงจากระบบปฏิบัติการของ Apple โดยไม่ต้องพึ่ง Google หรือแอปภายนอก

 

ที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีเบื้องหลังบางส่วนอาจได้มาจาก Google ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของ Apple ทั้งสองบริษัทเพิ่งทำข้อตกลงให้ Apple ทดลองใช้งานโมเดล AI ของ Google เพื่อช่วยเสริมพลังให้ Siri ระบบใหม่นี้จะไม่เพียงให้ผลการค้นหาแบบข้อความ แต่ยังรวมถึงภาพ วิดีโอ และข้อมูลสถานที่ใกล้เคียง อีกทั้งยังมีฟีเจอร์สรุปข้อมูลด้วย AI ที่กระชับและแม่นยำกว่าการทำงานของ Siri รุ่นปัจจุบัน

 

ข่าวดังกล่าวส่งผลบวกต่อราคาหุ้น Apple โดยพุ่งขึ้นเกือบ 4% อยู่ที่ 238.47 ดอลลาร์ หลัง Bloomberg รายงานแผนนี้ นับเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 1 เดือน

 

ที่ผ่านมา Siri แม้จะเป็นผู้ช่วยเสียงที่สร้างกระแสเมื่อเปิดตัวในปี 2011 แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าล้าหลังเมื่อเทียบกับผู้ช่วย AI สมัยใหม่ ปัจจุบัน Siri ทำได้ดีเพียงคำถามพื้นฐาน แต่ยังขาดความสามารถด้านการค้นหาความรู้ทั่วไปและการตอบคำถามซับซ้อน จนต้องอาศัยผลลัพธ์จาก Google หรือ ChatGPT เป็นหลัก

 

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในสัปดาห์เดียวกับที่ศาลสหรัฐอนุญาตให้ Apple ยังคงทำสัญญาใช้ Google เป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบนอุปกรณ์ของตนต่อไป โดยมีการปรับเล็กน้อย สัญญาดังกล่าวสร้างรายได้ราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปีให้ Apple ทำให้นักลงทุนโล่งใจ อย่างไรก็ตาม Apple ก็ยังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีค้นหาด้วย AI ของตนเอง

 

ภายใต้การยกเครื่องครั้งใหญ่ Siri จะถูกพัฒนาให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและคอนเทนต์บนหน้าจอ เพื่อให้ตอบสนองต่อคำสั่งผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงควบคุมอุปกรณ์ด้วยเสียงได้ละเอียดกว่าเดิม โครงการปรับปรุงนี้มีชื่อภายในว่า Linwood และ LLM Siri ซึ่งจะเป็นรากฐานของระบบค้นหาใหม่ Craig Federighi หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ของ Apple กล่าวกับพนักงานว่า “การปรับโฉม Siri ครั้งนี้ทำให้เราได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และพร้อมจะส่งมอบการอัปเกรดครั้งใหญ่เกินกว่าที่วางแผนไว้”

 

Apple มีแผนใช้ระบบค้นหาใหม่นี้ไม่เพียงสำหรับการค้นหาทั่วโลก แต่ยังสำหรับการค้นหาภายในอุปกรณ์ เช่น ภาพถ่าย ไฟล์ หรือข้อมูลเฉพาะ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการพูดถึงความเป็นไปได้ในการสร้างแอปค้นหาที่ทำงานเหมือนแชตบอทโดยเฉพาะ ล่าสุด Bloomberg รายงานว่า Apple กำลังจ้างบุคลากรเพิ่มในทีม Answers, Knowledge and Information (AKI) เพื่อสนับสนุนงานด้านนี้

 

ระบบค้นหาใหม่และ Siri รุ่นอัปเดตถูกกำหนดให้รวมอยู่ในซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่ชื่อภายในว่า Luck E ซึ่งสอดคล้องกับ iOS 26.4 ที่คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงมีนาคม ขณะที่ iOS 26 รุ่นแรกจะเปิดตัวเดือนนี้พร้อมการวางขาย iPhone 17 ซึ่ง Apple จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า

 

ภาพ: MerveKarahan/ Getty Images 

อ้างอิง:

 

The post Apple เดินเกม AI Search ปรับโฉม Siri ท้าชน OpenAI-Google ด้านหุ้นพุ่งแรง 4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ในยุคที่ทุกอย่างเป็น AI ทำไม AIS ถึงทุ่มเดิมพันกับ ‘คน’ 300 ชีวิต? เบื้องหลังกลยุทธ์ AIS Pro ที่มุ่งสร้างความแตกต่างที่คู่แข่งลอกเลียนแบบไม่ได้ [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/ais-pro-summit-2025/ Thu, 04 Sep 2025 02:00:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1115024 AIS Pro SUMMIT 2025

ในสนามแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคมที่ผู้เล่นทุกคนมีผลิตภัณ […]

The post ในยุคที่ทุกอย่างเป็น AI ทำไม AIS ถึงทุ่มเดิมพันกับ ‘คน’ 300 ชีวิต? เบื้องหลังกลยุทธ์ AIS Pro ที่มุ่งสร้างความแตกต่างที่คู่แข่งลอกเลียนแบบไม่ได้ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
AIS Pro SUMMIT 2025

ในสนามแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคมที่ผู้เล่นทุกคนมีผลิตภัณฑ์และระดับราคาใกล้เคียงกัน การสร้างความแตกต่างที่ยั่งยืนได้กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุด 

 

ในงาน ‘AIS Pro SUMMIT 2025: MISSION NO.1 IN THAILAND’ ที่ผ่านมา AIS ได้ให้คำตอบสำหรับเรื่องนี้ผ่านการเคลื่อนทัพครั้งสำคัญในธุรกิจค้าปลีก ด้วยการเปิดตัวโครงการ ‘AIS Pro’ กลยุทธ์ที่มุ่งเป้าเปลี่ยน AIS Shop ทั่วประเทศให้เป็น ‘Digital Lifestyle Destination’

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ AIS เลือกลงทุนกับสิ่งพื้นฐานที่สุดแต่สำคัญที่สุด นั่นคือคน โดยเชื่อว่าคุณภาพของบริการและความเชี่ยวชาญของบุคลากรจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และเป็นส่วนสำคัญในความมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ ‘COGNITIVE TECH-CO’


จุดเริ่มต้นจาก ‘ศักยภาพ’ ที่ซ่อนอยู่

ประพัฒน์ เสียงจันทร์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจค้าปลีก AIS เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า เมื่อ 2-3 ปีก่อน AIS ต้องการมองเห็นภาพธุรกิจค้าปลีกให้ชัดเจนขึ้น เพื่อหาจุดแข็งของ AIS และกำหนดทิศทางต่อไป จึงได้พบว่า AIS มีความแข็งแกร่งมากในการขายสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริม



จากการวิเคราะห์พบว่า AIS มีพนักงานกลุ่มหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญสูง โดยเฉพาะทีมที่ดูแลผลิตภัณฑ์ Apple ซึ่งหลายคนทำงานกับ AIS มานานกว่าสิบปี พนักงานกลุ่มนี้มีความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน และได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า



“AIS จึงอยากดึงศักยภาพของพนักงานกลุ่มนี้ออกมาให้เต็มที่” ประพัฒน์ ระบุ

 

 

ศักยภาพของบุคลากรกลุ่มนี้นำไปสู่การพัฒนากรอบการทำงาน 5 BEST Experience ที่ครอบคลุมทั้ง Best Product ผลิตภัณฑ์ล้ำหน้าพร้อมเทคโนโลยีและดีไซน์ระดับพรีเมียม, Best Package แพ็กเกจสุดคุ้มที่มอบความคุ้มค่าและสิทธิประโยชน์หลากหลาย, Best Privilege เอกสิทธิ์เฉพาะที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ, Best Process กระบวนการที่รวดเร็วและไร้รอยต่อ และ Best People ทีมงานคุณภาพที่พร้อมให้คำแนะนำ ดูแล และบริการอย่างมืออาชีพ

 

โดยองค์ประกอบสุดท้ายนี้เองที่เป็นหัวใจสำคัญ ที่นำไปสู่การยกระดับพนักงานบริการเป็น ‘AIS Pro’ ทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เชิงลึกด้านสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ดิจิทัล


สร้างผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่แค่ผู้ขาย

หัวใจของงานที่เกิดขึ้นคือการเปลี่ยนมุมมองของพนักงาน จากการเป็น ‘ผู้ขาย’ สู่การเป็น ‘ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ’ การพูดคุยบนเวทีจึงถูกออกแบบมาให้เน้นการพัฒนา Soft Skills เป็นหลัก เพื่อต่อยอดความรู้เดิมทางเทคนิคที่พนักงานมีอยู่แล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น


“ข้อมูลทางเทคนิคสามารถค้นหาได้จากอินเทอร์เน็ตในสิบวินาที แต่สิ่งที่ค้นหาไม่ได้คือความเข้าอกเข้าใจ สิ่งที่ระบบอัตโนมัติทำไม่ได้คือการรับฟังปัญหาที่ลูกค้าอาจจะยังไม่ได้พูดออกมา แล้วสร้างสรรค์ทางแก้ไขให้ตรงหน้า อัลกอริทึมของความเป็นมนุษย์นี่แหละคือความได้เปรียบที่แท้จริงของเรา”



ทักษะสำคัญที่ AIS Pro ได้รับการพัฒนาคือความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยต้องมีความพร้อมในการหาคำตอบและทางออกให้ลูกค้าได้เสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจในการบริการ

 

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารให้มีความมั่นใจ ชัดเจน และแม่นยำ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและ AI เป็นเครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูลและให้คำแนะนำลูกค้าได้อย่างรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชัน myAIS



“สิ่งที่เราเน้นคือการขายแบบ Storytelling ไม่ได้มองแค่ยอดขาย แต่เน้นการบริการที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าสินค้าจะเข้ามาช่วยในชีวิตประจำวันได้อย่างไร และสามารถต่อยอดในธุรกิจของลูกค้าได้ด้วย” หนึ่งในตัวแทนพนักงาน AIS Pro ผู้เข้าร่วมงานกล่าว 

 

 

“ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกค้ามีข้อสงสัยเรื่องการใช้งาน Apple Watch เราจะไม่ได้ให้แค่ข้อมูล แต่จะแนะนำวิธีใช้ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า หรือในกรณีที่ลูกค้าทำอุปกรณ์หาย เราสามารถใช้บริการ Find My ช่วยติดตามและให้คำแนะนำในขั้นตอนต่อไปได้ทันที”

 

บทพิสูจน์แรกในสนาม Apple

การเริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์ Apple มีเหตุผลที่ชัดเจน เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีความคาดหวังในมาตรฐานบริการระดับสูง เมื่อทีมงานสามารถตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนนี้ได้ ก็พร้อมที่จะนำประสบการณ์และมาตรฐานเดียวกันไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น 

 

“เราเริ่มด้วยสโลแกน Ask me anything about Apple เพราะเป็นกลุ่มแรกที่พร้อมที่สุด แต่ในอนาคตจะมี AIS Pro สำหรับ Android, Smart Watch และอุปกรณ์อื่นๆ ตามมา” ประพัฒน์กล่าวถึงแผนการขยายโครงการ 

 

การวางแผนขยายโครงการเกิดขึ้นจากการสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดย “ เราเห็นว่าอุปกรณ์ Wearable กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน นี่คือตลาดที่กำลังมา และเราต้องมี Expert ที่พร้อมให้คำแนะนำ เพื่อให้ลูกค้านึกถึง AIS เป็นที่แรกเมื่อต้องการซื้ออุปกรณ์เหล่านี้” ประพัฒน์อธิบาย 

 

ขณะที่แผนระยะยาวคือการสร้าง Community ของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น

 

 

การพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง

นอกเหนือจากการสร้างคนแล้ว AIS ยังมุ่งมั่นพัฒนาในส่วนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการให้บริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ขณะเดียวกันการพัฒนาพนักงานก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยทีม AIS Pro ทุกคนจะได้รับการอบรมและ Certify อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีความรู้ที่ทันสมัยและพร้อมรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา



“เส้นทางสู่การเป็น AIS Pro ต้องผ่านการคัดเลือก ฝึกอบรม และได้รับการรับรองอย่างต่อเนื่อง เราไม่ได้แค่ศึกษาข้อมูลสินค้า แต่เรียนรู้วิธีการส่งต่อประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นในสินค้าของเรา” ตัวแทนพนักงาน AIS Pro อีกคนหนึ่งกล่าวเสริม

 

โครงการ AIS Pro แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ AIS ที่เชื่อว่าในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สิ่งที่สร้างความแตกต่างอย่างยั่งยืนคือคนที่มีคุณภาพ บนเสื้อของพนักงาน AIS Pro ปรากฏคำว่า Trained, Certified และ Confident ซึ่งสื่อถึงการฝึกอบรม การรับรองมาตรฐาน และความมั่นใจในการให้บริการ



“ปรัชญาของ AIS ชัดเจน นั่นคือการสร้างคนเป็นสิ่งที่เราต้องทำตลอด เพราะท้ายที่สุดแล้ว งานของเรามีอยู่เพื่อคนสองกลุ่ม คือพนักงานและลูกค้า การทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้ได้รับประสบการณ์ที่ดี คือภารกิจที่สำคัญที่สุดของเรา” ประพัฒน์กล่าว

 

 

ปัจจุบัน จากพนักงานกว่า 1,400 คนใน AIS Shop ทั่วประเทศ มี AIS Pro ที่ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานสากลแล้วกว่า 300 คน กระจายอยู่ใน 150 สาขา และมีแผนขยายต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมทุกสาขาในอนาคต 

 

โดยเวที ‘AIS Pro SUMMIT 2025: MISSION NO.1 IN THAILAND’ ที่จัดขึ้นล่าสุดนี้ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ Apple ที่ดีที่สุดอย่างเท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ 

 

ซึ่งทั้งหมดนี้คือการประกาศความพร้อมของ AIS ในการยกระดับมาตรฐานการบริการ เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้าน Digital Lifestyle ของประเทศไทยอย่างแท้จริง

The post ในยุคที่ทุกอย่างเป็น AI ทำไม AIS ถึงทุ่มเดิมพันกับ ‘คน’ 300 ชีวิต? เบื้องหลังกลยุทธ์ AIS Pro ที่มุ่งสร้างความแตกต่างที่คู่แข่งลอกเลียนแบบไม่ได้ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาคเอกชนเตือน เศรษฐกิจไทยจ่อสุญญากาศนาน หากความไม่แน่นอนยืดเยื้อ จ่อดัน ‘กลุ่มเปราะบาง’ เพิ่มขึ้น https://thestandard.co/economy-risks-prolonged-vacuum/ Wed, 03 Sep 2025 11:37:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1115196

กกร.เตือน เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มขยายตัวเ […]

The post ภาคเอกชนเตือน เศรษฐกิจไทยจ่อสุญญากาศนาน หากความไม่แน่นอนยืดเยื้อ จ่อดัน ‘กลุ่มเปราะบาง’ เพิ่มขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

กกร.เตือน เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% โดยได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้ ‘กลุ่มเปราะบาง’ เพิ่มขึ้น เตือนการทอดเวลาแห่งความไม่แน่นอนออกไป ‘ไม่เป็นผลดี’ โดยหากยุบสภาตอนนี้ จะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน กว่าได้รัฐบาลใหม่ แต่ถ้ารออีก 4 เดือนแล้วค่อยยุบสภา ภาวะสุญญากาศทางเศรษฐกิจจะทอดยาว 9-10 เดือน

 

วันนี้ (3 กันยายน) ผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนกันยายน 2568 ประเมินว่า GDP ไทยปีนี้จะขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% (ไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการเดือนก่อนหน้า) พร้อมเตือนด้วยว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% จากปัจจัยกดดันต่างๆ รวมถึง ‘ความไม่แน่นอนทางการเมือง’

 

นอกจากนี้ ผยง ยังเตือนอีกว่า ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่การชะงักงันทางเศรษฐกิจอาจจะทำให้ ‘กลุ่มเปราะบาง’ เพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบไปด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย

 

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ไม่ว่าจะยุบสภา หรือการมีรัฐบาล 4 เดือนก่อนยุบสภา ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งหมด แต่ “การมีรัฐบาลแค่ 4 เดือน ไม่ใช่คำตอบทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างแท้จริงต้องมองระยะยาวกว่านี้”

 

เอกชน ‘ชอบ’ ความชัดเจนโดยเร็ว มองทอดเวลายุบสภา ‘ไม่เป็นผลดี’

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท) แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ในมุมของภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม อยากเห็นความชัดเจนโดยเร็วที่สุด

 

“ระหว่างการยุบสภาเลยแล้วเริ่มต้นใหม่เลย เทียบกับการรออีก 4 เดือนแล้วยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ การทอดเวลาแห่งความไม่แน่นอนให้ยาวเกินไป ‘อาจไม่เป็นผลดี’ เนื่องจากภาคเอกชนส่วนใหญ่ชอบความชัดเจน โดยเร็ว” เกรียงไกรกล่าว

 

เอกชนเตือน ‘เกมยุบสภาช้า’ เศรษฐกิจไทยจ่อสุญญากาศนาน

 

ดร.พจน์ และเกรียงไกร ยังกล่าวว่า หากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบสภา การเลือกตั้งจะเกิดขึ้น ภายในกรอบเวลาประมาณ 45-60 วัน โดยตามสถิติการเลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่า หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ต้องใช้เวลา 3-4 เดือนกว่า จัดตั้งรัฐบาล และกระบวนการรับรองการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะแล้วเสร็จ หมายความว่า โดยระหว่างนี้เศรษฐกิจก็จะชะงักไป

 

“เพราะฉะนั้น หากยุบสภาตอนนี้ เราจะเสียเวลาไปประมาณ 5-6 เดือน (ครึ่งปี) แต่ถ้ากรณี บวกไปอีก 4 เดือนแล้วค่อยยุบสภา จะเสียเวลาไปอย่างน้อย 9-10 เดือน” เกรียงไกรกล่าว

 

ดังนั้น ไม่ว่าจะ 5-6 เดือน หรือ 9-10 เดือน นักลงทุนก็ยังคงอยู่ในภาวะ Wait and See ขณะที่การขับเคลื่อนนโยบายในภาคราชการก็ชะลอไป ไม่ถึงกับเกียร์ว่าง แต่ไม่ได้อยู่ในอัตราเร่ง

 

ภาคเอกชน ‘เปิดสเปก’ นายกรัฐมนตรีคนต่อไป

 

ดร.พจน์ กล่าวว่า ในฐานะภาคเอกชน โดยเฉพาะหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต้องการรัฐบาลที่มีความชอบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เป็นที่ยอมรับจากไทยและนานาชาติ มีความสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาได้ และเป็นรัฐบาลที่มีฝีมือช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้

 

เนื่องจากปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอุปสรรคมากมาย ทั้งภายนอกและภายใน ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งชายแดน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

 

ขณะที่เกรียงไกร กล่าวถึงว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปว่า อยากได้คนที่มีความรู้ คนเก่ง คนดี และคนกล้าตัดสินใจ โดยสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง

The post ภาคเอกชนเตือน เศรษฐกิจไทยจ่อสุญญากาศนาน หากความไม่แน่นอนยืดเยื้อ จ่อดัน ‘กลุ่มเปราะบาง’ เพิ่มขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘พิชัย’ ย้ำ FDI ไม่สะดุด แม้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เชื่อยังทำประโยชน์ต่อประเทศได้แม้ยุบสภา https://thestandard.co/thai-fdi-stable-amid-political-vacuum/ Wed, 03 Sep 2025 10:56:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1115169 พิชัย รมว.คลัง ย้ำ FDI ไทยยังไม่สะดุด แม้เกิดสุญญากาศทางการเมือง

พิชัย รมว.คลัง ระบุว่า สุญญากาศทางการเมืองยังไม่สั่นคลอ […]

The post ‘พิชัย’ ย้ำ FDI ไม่สะดุด แม้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เชื่อยังทำประโยชน์ต่อประเทศได้แม้ยุบสภา appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิชัย รมว.คลัง ย้ำ FDI ไทยยังไม่สะดุด แม้เกิดสุญญากาศทางการเมือง

พิชัย รมว.คลัง ระบุว่า สุญญากาศทางการเมืองยังไม่สั่นคลอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เอกชนยังเข้าใจ FDI ไม่ชะงัก มองยังทำประโยชน์ต่อประเทศได้แม้มีการยุบสภา ชี้นโยบายต่างๆ ยังรอสถานการณ์คลี่คลาย

 

วันนี้ (3 กันยายน) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้น มีโอกาสทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลงไปได้ แต่เชื่อว่าการเมืองไทยมีลักษณะเฉพาะตัว และมีความผันผวนบ่อยอยู่แล้ว ซึ่งภาคเอกชนต่างมีความคุ้นเคยและเข้าใจเป็นอย่างดี จึงน่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อย 

 

ส่วนข้อกังวลว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะชะงักลงไปหรือไม่ พิชัยระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีฟีดแบ็กเชิงลบจากภาคเอกชน รวมถึงยังไม่มีสัญญาณว่านักลงทุนจะย้ายฐานการผลิตออกจากไทย จึงเชื่อแนวโน้มยังเป็นเหมือนเดิมต่อไป หากสถานการณ์ยังดำเนินไปตามปกติ  

 

สำหรับการเจรจามาตรการภาษีกับทางสหรัฐฯ พิชัยกล่าวว่ายังคงดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากข้อตกลงกับสหรัฐฯ ยังไม่มีผลผูกพัน เป็นเพียงการเจรจาเพื่อหากรอบข้อตกลงให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น

 

ส่วนการประเมินของการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการขยายตัวเพียง 1% พิชัยกล่าวว่า เนื่องจากเป็นการประเมินก่อนที่สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีชัดเจน และยังไม่รู้ว่านโยบายภาษีจะจบลงอย่างไร พร้อมชี้ว่าสำนักอื่นๆ ต่างปรับแนวโน้มการเติบโตขึ้นสู่ระดับ 2% แล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ พิชัยเชื่อว่าสามารถดันการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็น 2.5% ได้หากสถานการณ์ไม่ผันผวนมาก

 

อย่างไรก็ตาม หากมีการยุบสภาเกิดขึ้น พิชัยตอบว่ายังคงสามารถใช้อำนาจรักษาการ เพื่อทำประโยชน์ต่อประเทศต่อไปได้ 

 

ด้านเผ่าภูมิ โรจนสกุล  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าสำหรับนโยบายใดก็ตามที่อยู่ในขั้นตอนพิจารณาร่างกฎหมาย เช่น หวยเกษียณ หรือ สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) จำเป็นต้องรอความชัดเจนของสถานการณ์ก่อนว่าจะสามารถดำเนินการต่อได้หรือไม่

 

ตลอดจนกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ ซึ่งพิชัยเผยว่า ขณะนี้ได้ร่างไว้เสร็จหมดแล้ว และกำลังเตรียมเสนอครม. พิจารณา หากไม่ทันครม. ชุดปัจจุบัน พิชัยเชื่อว่า ครม. ชุดต่อไปที่เข้ามาบริหารงานจะเห็นประโยชน์และสานต่อให้

The post ‘พิชัย’ ย้ำ FDI ไม่สะดุด แม้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เชื่อยังทำประโยชน์ต่อประเทศได้แม้ยุบสภา appeared first on THE STANDARD.

]]>