Wealth – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 06 May 2025 13:50:12 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C รับ นักท่องเที่ยวจีนหายไปกระทบยอดขายสาขาในย่านท่องเที่ยว https://thestandard.co/bigc-chinese-tourist-impact/ Tue, 06 May 2025 13:50:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1071813 bigc-chinese-tourist-impact

อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C เผยนักท่องเที่ยวจีนหายไป กระทบ […]

The post อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C รับ นักท่องเที่ยวจีนหายไปกระทบยอดขายสาขาในย่านท่องเที่ยว appeared first on THE STANDARD.

]]>
bigc-chinese-tourist-impact

อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C เผยนักท่องเที่ยวจีนหายไป กระทบยอดขายบิ๊กซี สาขาจุดแลนด์มาร์กใจกลางเมือง พร้อมประเมินเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ฉุดกำลังซื้อในประเทศ เดินหน้าบุกหนักตลาดต่างประเทศ

 

อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้คนในประเทศ ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บรรยากาศการจับจ่ายไม่ค่อยคึกคักถ้าเทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองก็เก็บเงินไว้ซื้อของให้ลูกในช่วงก่อนเปิดเทอม

 

อีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วนจากภาษีสหรัฐฯที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงในรูปแบบไหน และยังไม่มีความชัดเจน สำหรับไทยเราเป็นประเทศขนาดกลาง แต่ทุกๆ อย่างก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก ถ้าตกลงกันเรื่องภาษีได้

 

“ประเมินว่าครึ่งปีหลังน่าจะได้รับสัญญาณบวก แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ครึ่งปีหลังจนถึงครึ่งปีหน้าก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทุกคนเตรียมพร้อมกับความยากลำบากที่จะเกิดขึ้น ทำให้มีการลดการใช้จ่าย ต้องยอมรับว่ากระทบค้าปลีกทั้งตลาด ทั้งบิ๊กซีและคู่แข่ง” อัศวิน ย้ำ

 

พร้อมกล่าวต่อไปว่า ‘บิ๊กซี’ ในบางสาขาที่เน้นจับนักท่องเที่ยวโดยตรง เช่น ราชดำริ และรัชดา นั้นได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง จากเดิมแล้วในช่วงเริ่มต้นเดือนพฤษภาคม นักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาจำนวนมาก แต่ปัจจุบันหายไปค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของจีนที่กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ

 

ความท้าทายรอบด้านที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นแบบไหนยังมีการลงทุนต่อเนื่อง เพียงแต่ในปีนี้จะไปบุกหนักตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม และมองหาโอกาสขยายไปยังตลาดใหม่ๆ จากเดิมที่ได้ขยายไปฮ่องกง, กัมพูชา, สปป.ลาว และเวียดนามแล้ว

 

พร้อมปรับกลยุทธ์ทั้งในแง่ของการหาสินค้า ราคาคุ้มค่าและการบริการเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญ ‘ช้อปครบคุ้ม รับเปิดเทอมที่บิ๊กซี นำสินค้า Back to School กว่า 7,000 รายการมาลดราคาสูงสุด 50% คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากกว่า 500 ล้านบาท และยังช่วยลดค่าครองชีพของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

 

ส่วนสาขาในแหล่งท่องเที่ยว ก็จะพยายามหาลูกค้าประเทศใหม่ๆ เข้ามาทดแทนจีน ส่วนการขยายสาขายังเดินหน้าตามแผนเดิม ที่ผ่านมามีการขยายสาขาใหม่ๆ และรีโนเวตสาขาเดิมอยู่เป็นระยะๆ

The post อัศวิน หัวเรือใหญ่ Big C รับ นักท่องเที่ยวจีนหายไปกระทบยอดขายสาขาในย่านท่องเที่ยว appeared first on THE STANDARD.

]]>
AIS ไตรมาสแรก ‘ยังเจ๋ง’ กำไร 1 หมื่นล้าน ยืนหยัดท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน 5G แตะ 12.7 ล้านราย เน็ตบ้านพุ่ง 5.1 ล้านครัวเรือน https://thestandard.co/ais-q1-profit-2025/ Tue, 06 May 2025 13:43:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1071810 ais-q1-profit-2025

AIS ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 โดยมีรายได้รวม […]

The post AIS ไตรมาสแรก ‘ยังเจ๋ง’ กำไร 1 หมื่นล้าน ยืนหยัดท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน 5G แตะ 12.7 ล้านราย เน็ตบ้านพุ่ง 5.1 ล้านครัวเรือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ais-q1-profit-2025

AIS ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 56,311 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 10,584 ล้านบาท ท่ามกลางความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกในมิติต่างๆ บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับผลการดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากการให้ความสำคัญกับคุณภาพและการส่งมอบบริการดิจิทัลที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม

 

ในปี 2568 AIS ยังคงมุ่งปรับตัวการดำเนินธุรกิจให้สอดรับการเปลี่ยนแปลง พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแรง ทั้งโครงข่ายมือถือ 5G เน็ตบ้าน ระบบคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการมุ่งเน้นคุณภาพและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพตามวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ

 

ด้านธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีผู้ใช้บริการรวมอยู่ที่ 45.7 ล้านเลขหมาย โดยผู้ใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 12.7 ล้านเลขหมาย เติบโตขึ้น 708,500 เลขหมายจากไตรมาส 4/2567 พื้นที่ให้บริการ 5G มีความครอบคลุมมากกว่า 95% ของประชากรไทย จากการขยายโครงข่ายอัจฉริยะอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้แก่ลูกค้า

 

สำหรับธุรกิจบรอดแบนด์ มีจำนวนลูกค้าเน็ตบ้าน AIS 3BB FIbre3 เติบโตขึ้น 59,700 ราย ทำให้มีผู้ใช้บริการรวมอยู่ที่ 5.1 ล้านราย โดยยังคงมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านบรอดแบนด์ไฟเบอร์ให้ครอบคลุมการใช้งานในทุกบ้าน ทุกธุรกิจ ทั้งแพ็กเกจ Super FAST แพ็กเกจ HOME FibreLAN รวมถึงขีดความสามารถจากนวัตกรรมเน็ตบ้านที่จะยกระดับบ้านให้เป็น Smart Home ด้วยอุปกรณ์ IoT ต่างๆ

 

ส่วนธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร มีอัตราการเติบโตรายได้อยู่ที่ 12% ซึ่งปัจจุบันมีความพร้อมรองรับการขยายตัวของการลงทุนด้านดิจิทัลในไทย ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะบริการ AI และคลาวด์ รวมถึงการเตรียมเปิดบริการผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ระดับโลกอย่าง Oracle Cloud และ GSA Data Center ภายในครึ่งปีแรกนี้

The post AIS ไตรมาสแรก ‘ยังเจ๋ง’ กำไร 1 หมื่นล้าน ยืนหยัดท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน 5G แตะ 12.7 ล้านราย เน็ตบ้านพุ่ง 5.1 ล้านครัวเรือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินเฟ้อไทยพลิก ‘ติดลบ’ ครั้งแรกในรอบ 13 เดือน แทบรั้งท้ายอาเซียน สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ? https://thestandard.co/thai-inflation-negative-2025/ Tue, 06 May 2025 13:10:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1071799 thai-inflation-negative-2025

อัตราเงินเฟ้อไทยเมษายนพลิก ‘ติดลบ’ ครั้งแรกในรอบ 13 เดื […]

The post เงินเฟ้อไทยพลิก ‘ติดลบ’ ครั้งแรกในรอบ 13 เดือน แทบรั้งท้ายอาเซียน สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-inflation-negative-2025

อัตราเงินเฟ้อไทยเมษายนพลิก ‘ติดลบ’ ครั้งแรกในรอบ 13 เดือน! ต่ำกว่าเป้าแบงก์ชาติ 3 เดือนติด แต่กระทรวงพาณิชย์ยืนยัน ไทย ‘ยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด’ ธนาคารโลก (World Bank) มอง เงินเฟ้อไทยแทบรั้งท้ายอาเซียนสะท้อน อุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ

 

วันนี้ (6 พฤษภาคม) พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย (Headline CPI) เดือนเมษายน 2568 เท่ากับ 100.14 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2567 ซึ่งเท่ากับ 100.36 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงหรือ ‘ติดลบ’ 0.22% (YoY) โดยมาจากปัจจัยหลัก ดังนี้

 

  • การลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน และค่ากระแสไฟฟ้า ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก 
  • มาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ
  • การลดลงของราคาผักสด และไข่ไก่ เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนน้อยกว่าปีก่อน

 

อย่างไรก็ตาม พูนพงษ์กล่าวว่า ราคาสินค้าอาหารบางชนิดปรับตัวสูงขึ้น อาทิ เนื้อสุกร อาหารสำเร็จรูป และเครื่องประกอบอาหาร สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก

 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น 0.98% (YoY) เร่งตัวขึ้นจากเดือนมีนาคม 2568 ที่สูงขึ้น 0.86% (YoY)

 

เปิดตัวเลขเงินเฟ้อย้อนหลัง: พบติดลบครั้งแรกรอบ 13 เดือน

 

  • มกราคม 2567: -1.11%
  • กุมภาพันธ์ 2567: -0.77%
  • มีนาคม 2567: -0.47%
  • เมษายน 2567: 0.19%
  • พฤษภาคม 2567: 1.54%
  • มิถุนายน 2567: 0.62%
  • กรกฎาคม 2567: 0.83%
  • สิงหาคม 2567: 0.35%
  • กันยายน 2567: 0.61%
  • ตุลาคม 2567: 0.83%
  • พฤศจิกายน 2567: 0.95%
  • ธันวาคม 2567: 1.23%
  • มกราคม 2568: 1.32%
  • กุมภาพันธ์ 2568: 1.08%
  • มีนาคม 2568: 0.84%
  • เมษายน 2568: -0.22%

 

ส่องเงินเฟ้อไทย ‘ติดลบ’ ครั้งแรกในรอบ 13 เดือน

 


 

เงินเฟ้อทั่วไปไทย vs. ต่างประเทศ World Bank มองอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ 

 

ข้อมูลล่าสุดเดือนมีนาคม 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป

ของไทยสูงขึ้น 0.84% (YoY) ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 24 จาก 134 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 8 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (ได้แก่ บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว) 

 

  • 🇧🇳บรูไน -0.5%
  • 🇹🇭ไทย 0.84%
  • 🇸🇬สิงคโปร์ 0.9%
  • 🇮🇩อินโดนีเซีย 1.03%
  • 🇲🇾มาเลเซีย 1.4%
  • 🇵🇭ฟิลิปปินส์ 1.8%
  • 🇻🇳เวียดนาม 3.13%
  • 🇱🇦สปป.ลาว 11.2%

 

ในรายงานภาวะเศรษฐกิจรายเดือนของไทย (Thailand Monthly Economic Monitor) ของธนาคารโลก (World Bank) ฉบับล่าสุด เมื่อวันที่ 22 เมษายนระบุว่า อัตราเงินเฟ้อไทยเมื่อเดือนมีนาคม ยังคงเป็นระดับต่ำในกลุ่มอาเซียน โดยการลดลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยได้รับแรงหนุนจากต้นทุนเชื้อเพลิง ค่าสาธารณูปโภค และค่ารักษาพยาบาลที่ลดลง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ลดลง 0.9% ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ 

 

เงินเฟ้อไทยแทบ ‘รั้งท้าย’ อาเซียน

 


 

เปิดแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เผยจ่อปรับค่ากลางเงินเฟ้อทั้งปีลง

 

พูนพงษ์กล่าวถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคม 2568 คาดว่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับเดือนเมษายน 2568 และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2

 

โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่

  • ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และจะส่งผลให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับตัวลดลงทิศทางเดียวกัน
  • ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดราคาค่ากระแสไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2568 ลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย
  • ฐานราคาผักสดในปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับสูง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขณะที่ในปี 2568 สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น
  • การจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

 

สำหรับปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ได้แก่

  • ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศปัจจุบันเท่ากับ 31.94 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดและเครื่องประกอบอาหารมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น มะพร้าว มะขามเปียก กาแฟ เกลือป่น น้ำมันพืช และเนื้อสุกร 

 

พูนพงษ์ยังกล่าวว่า เตรียมปรับค่ากลางของประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปของไทยปีนี้ลง โดยขอดูสถานการณ์เดือนหน้าก่อน หรือเมื่อข้อมูลมีความชัดเจนมากขึ้น

 

ยืนยัน ‘ไทย’ ไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด

 

พูนพงษ์กล่าวว่า ไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด โดยหากพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือนปัจจุบันยังคงอยู่ที่ 0.98% หมายความว่า ถ้าตัดกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีสัดส่วนถึง 12% ในตะกร้าเงินเฟ้อเดือนนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวกอยู่ สะท้อนว่า ไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด

 

เปิดนิยามภาวะเงินฝืด

 

โดยตามนิยามของธนาคารกลางยุโรป (ECB) การจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดได้ต้องเข้าเงื่อนไข 4 ข้อ ได้แก่ 

  1. อัตราเงินเฟ้อติดลบเป็นเวลานานพอสมควร (Prolonged Period) 
  2. อัตราเงินเฟ้อติดลบกระจายในหลายๆ หมวดสินค้าและบริการ
  3. การคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวต่ำกว่าเป้าหมายระยะปานกลางอย่างมีนัย 
  4. อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบ และอัตราว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น

 

ส่องคาดการณ์เงินเฟ้อไทยปี 2568

 

ปัจจุบัน สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปของไทยปี 2568 อยู่ที่ 0.3-1.3% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 0.8% เช่นเดียวกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง

 

ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการภาครัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ

 

อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทรงตัวและเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ นโยบายกีดกันทางการค้าและการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่การผลิตโลกอาจส่งผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

 

โดยคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 ของธปท.อยู่ที่ 0.5% ใน Reference Scenario ซึ่งเป็นฉากทัศน์ที่การเจรจาทางการค้ามีความยืดเยื้อและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับอัตราปัจจุบัน และ 0.2% ใน Alternative Scenario ซึ่งเป็นฉากทัศน์ที่สงครามการค้ารุนแรงมากและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ในอัตราที่สูง

 

เปิดคาดการณ์เงินเฟ้อไทยปี 2568

 


 

รู้จักตะกร้า CPI ไทยมีสินค้ามีอะไรบ้าง? 

 

ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ Consumer Price Index (CPI) เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ใช้วัดระดับราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่นๆ เพื่อดูว่าอัตราเงินเฟ้อ (Inflation) เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร

 

โดยดัชนีราคาผู้บริโภคคำนวณจากราคาของสินค้าและบริการใน ตะกร้าสินค้า (Basket of Goods) ซึ่งเป็นสินค้าที่ผ่านการสำรวจของกระทรวงพาณิชย์ว่าสินค้าชนิดใดที่ประชาชนมีการบริโภคเป็นสัดส่วนใหญ่

 

ตามข้อมูลที่กระทรวงพาณิชย์เปิดเผย แบ่งออกเป็น 7 หมวดหมู่ ได้แก่ 

  1. อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ คิดเป็นสัดส่วน 39.00%
  2. เคหสถาน คิดเป็นสัดส่วน 24.69%
  3. พาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร คิดเป็นสัดส่วน 22.57%
  4. การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล คิดเป็นสัดส่วน 6.38%
  5. การบันเทิง การอ่าน การศึกษา ฯลฯ คิดเป็นสัดส่วน 4.02%
  6. เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า คิดเป็นสัดส่วน 2.10%
  7. ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็นสัดส่วน 1.24%

 

ทั้งนี้ สินค้าในตะกร้ามีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชน โดยรายการสินค้าที่ถูกปรับเปลี่ยนในการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคครั้งล่าสุด ตัวอย่างเช่น 

 

โดยเมื่อต้นปี 2568 มีรายการเพิ่มใหม่ ได้แก่ ส้มโอ ปลาแซลมอน น้ำปลาร้า (ปรุงสำเร็จ) และชุดสุกี้พร้อมทาน รถพลังงานไฟฟ้า (EV) ชุดตรวจโควิด (ATK) ถุงยางอนามัย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า (คลีนซิ่ง) ค่าสมาชิกฟิตเนส ค่าสมาชิกดูหนังฟังเพลงออนไลน์ ค่าคนดูแลผู้สูงอายุ และค่ารักษาพยาบาลสัตว์ (โปรแกรมวัคซีนรักษาสัตว์รวม)

 

โดยเมื่อต้นปี 2568 มีรายการตัดออก ได้แก่ เป็ดพะโล้ เส้นหมี่ แหนม และลูกอม แบตเตอรี่สำรอง มุ้ง ค่าอะไหล่รถยนต์ กระเป๋าถือ ค่าแรงช่างไฟฟ้า ค่าแรงช่างประปา ค่าโดยสารรถสามล้อเครื่อง และค่าสมาชิกเคเบิลทีวี

 

รู้จักตะกร้า CPI ไทยมีสินค้าอะไรบ้าง?

 

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

The post เงินเฟ้อไทยพลิก ‘ติดลบ’ ครั้งแรกในรอบ 13 เดือน แทบรั้งท้ายอาเซียน สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมรสเท่าเทียมสู่ ‘Rainbow Economy’ คาด Bangkok Pride 2025 ฟื้นนักท่องเที่ยวกลับมา 3 แสนคน กระตุ้นเศรษฐกิจ 4.5 พันล้านบาท https://thestandard.co/bangkok-pride-2025-tourism/ Tue, 06 May 2025 12:59:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1071795 bangkok-pride-2025-tourism

รัฐ-เอกชน ดัน Bangkok Pride Festival ดึงดูดนักท่องเที่ย […]

The post สมรสเท่าเทียมสู่ ‘Rainbow Economy’ คาด Bangkok Pride 2025 ฟื้นนักท่องเที่ยวกลับมา 3 แสนคน กระตุ้นเศรษฐกิจ 4.5 พันล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
bangkok-pride-2025-tourism

รัฐ-เอกชน ดัน Bangkok Pride Festival ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าไทย ปักหมุด Global Festival at Global Destination ‘ส.อ.ท.’ ดันขึ้นแท่นอุตสาหกรรมใหม่ คาดปีนี้กระตุ้นเศรษฐกิจ 4.5 พันล้านบาท ดึงนักท่องเที่ยว 3 แสนคน เอกชนชี้ สมรสเท่าเทียมสร้าง ‘Rainbow Economy’ เผยหากกฎหมายรับรองเพศสภาพผ่าน เพิ่มการจ้างงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกว่า 76,000 ตำแหน่ง

 

พิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล ประธานสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และซอฟต์พาวเวอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. มองเห็นศักยภาพของความคิดสร้างสรรค์ในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยสามารถยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้อุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) ที่ร่วมสมัยและตอบโจทย์ตลาดต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (Next-Gen Industries)

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

“ปีนี้เป็นปีที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลแล้ว กลุ่ม LGBTQIA+ ถือเป็นกำลังสำคัญที่สะท้อนถึงพลัง ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับองค์กรและระดับอุตสาหกรรม ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมใหม่ สะท้อนให้เห็นมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ”

 

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท นฤมิตไพรด์ จำกัด ในฐานะผู้จัดงาน Bangkok Pride Festival กล่าวว่า หากดูจากความสำเร็จของการจัดงาน Bangkok Pride Festival ในปีที่ผ่านมา นอกจากแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง ความหลากหลาย ความรักที่ไม่มีข้อจำกัด ยังสร้างคอมมูนิตี้ LGBTQIA+ สู่เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมซีรีส์วาย อุตสาหกรรมภาพยนตร์ การท่องเที่ยว ดังนั้นปีนี้รูปแบบของการจัดงานต่อยอดภายใต้ธีม Born This Way: การต่อสู้ที่เดินต่อไปจากสมรสเท่าเทียม สู่การรับรองอัตลักษณ์

 

วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท นฤมิตไพรด์ จำกัด

 

วาดดาวระบุอีกว่า ปีนี้คาดหวังว่าจะมีคนเข้ามาร่วมขบวนพาเหรดกับทั้งคนไทยและชาวต่างชาติมากกว่า 300,000 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ที่มีคนเข้าร่วมขบวนพาเหรด 100,000 คน และปี 2024 เพิ่มเป็นกว่า 250,000 คน และที่สำคัญจะเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย ที่คาดว่าภายใน 2 ปี จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ถึง 4 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 67 ล้านบาทต่อปี

 

อีกทั้งหากกฎหมายรับรองเพศสภาพผ่าน จะสามารถเพิ่มการจ้างงานใหม่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกว่า 76,000 ตำแหน่ง

 

“ปีนี้คาดว่างานนี้จะกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 4.5 พันล้านบาท เราอยากให้ Bangkok Pride Festival 2025 เป็นมากกว่าเทศกาลแห่งชาติ เป็น Pride Destination ด้วยขบวนไพรด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก และไทยจะเป็นอันดับ 1 ในเอเชียที่คนอยากมาร่วมขบวนไพรด์พาเหรดมากที่สุด”

 

วาดดาวระบุอีกว่า หลังไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ปัจจุบันมีคู่รักจดทะเบียนสมรสมากถึง 15,231 คู่รัก ซึ่ง 11,478 คู่เป็นคู่หญิง-หญิง นี่จึงสะท้อนถึงการเปิดกว้างทั้งกฎหมายของไทย และในขณะเดียวกันก็เกิด ‘Rainbow Economy’ สร้างเศรษฐกิจใหม่ เป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอีกด้วย

 

ด้านฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นอกจากปีนี้จะจัดที่กรุงเทพฯ จะต่อยอดการท่องเที่ยวไปยังเมืองรองทั่วประเทศ เช่น พัทยา, ชลบุรี, เชียงใหม่ และภูเก็ต

 

ทั้งนี้ ปี 2568 ททท. ตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศสำหรับตลาดระยะไกล (Long-haul) ไว้ที่ 10.6 ล้านคน แบ่งเป็นสัดส่วนตลาดนักท่องเที่ยวชาวยุโรป 7 ล้านคน, ชาวอเมริกัน 1.4 ล้านคน, ตะวันออกกลาง 1 ล้านคน และแอฟริกา 1.6 แสนคน

 

สรัลธร อัศเวศน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารธุรกิจ ศูนย์การค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า กลุ่มสยามพิวรรธน์มีนโยบายส่งเสริมความหลากหลายและเห็นคุณค่าของความแตกต่าง ปีนี้จึงพร้อมสนับสนุนจัดงานในระดับ Global Festival at Global Destination ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสู่ Pride Parade ขบวนสีรุ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศตลอดเส้นทางถนนพระรามที่ 1 ในวันที่ 1 มิถุนายน 2025 ซึ่งงานจะเริ่มตั้งแต่ 30 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2025

 

สำหรับไทย ถือเป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2025 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงเป็นชัยชนะความหลากหลาย แต่ยังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อนาคตคาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านคนต่อปี และสร้างรายได้เข้าประเทศมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์

The post สมรสเท่าเทียมสู่ ‘Rainbow Economy’ คาด Bangkok Pride 2025 ฟื้นนักท่องเที่ยวกลับมา 3 แสนคน กระตุ้นเศรษฐกิจ 4.5 พันล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิชัยยังไม่เคาะ เก็บ VAT ธุรกิจรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท ชี้ต้อง ‘ทบทวน’ ทั้งหมด https://thestandard.co/pichai-vat-review-small-business-threshold/ Tue, 06 May 2025 11:57:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1071760 พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง ให้สัมภาษณ์เรื่องแนวคิดการปรับปรุงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT จาก ธุรกิจรายย่อย

วันนี้ (6 พฤษภาคม) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรั […]

The post พิชัยยังไม่เคาะ เก็บ VAT ธุรกิจรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท ชี้ต้อง ‘ทบทวน’ ทั้งหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง ให้สัมภาษณ์เรื่องแนวคิดการปรับปรุงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT จาก ธุรกิจรายย่อย

วันนี้ (6 พฤษภาคม) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง แนวคิดการปรับปรุงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยจะให้ธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีแต่เกิน 1.5 ล้านต่อปีเสีย VAT 1% ว่า ต้องมีการ ‘ทบทวน’ ทั้งหมดทุกเรื่อง

 

สำหรับผลกระทบต่อธุรกิจรายย่อยในภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน พิชัย โบกมือ ไม่ตอบคำถาม 

 

ส่วนกรอบเวลาว่าจะมีการทบทวนเสร็จเมื่อไร พิชัยกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่เคาะ ยังต้องดูทั้งหมดก่อน

The post พิชัยยังไม่เคาะ เก็บ VAT ธุรกิจรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท ชี้ต้อง ‘ทบทวน’ ทั้งหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตาสัปดาห์นี้ Fed จ่อคง? BOE จ่อลด? แล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะไปทางไหนต่อ? https://thestandard.co/fed-boe-thai-interest-rate/ Tue, 06 May 2025 10:45:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1071737 fed-boe-thai-interest-rate

สัปดาห์นี้เป็นอีกสัปดาห์ที่ธนาคารกลางขนาดใหญ่ของโลกอย่า […]

The post จับตาสัปดาห์นี้ Fed จ่อคง? BOE จ่อลด? แล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะไปทางไหนต่อ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
fed-boe-thai-interest-rate

สัปดาห์นี้เป็นอีกสัปดาห์ที่ธนาคารกลางขนาดใหญ่ของโลกอย่าง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และอังกฤษ (BOE) จัดการประชุมเพื่อตัดสินอัตราดอกเบี้ยนโยบายในสัปดาห์เดียวกัน โดยนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า Fed จ่อคงอัตราดอกเบี้ย BOE จ่อลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ 

 

สำหรับฝั่งประเทศไทย แม้ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะเพิ่งมีมติ 5:2 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ไป แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ก็พาคาดว่า ดอกเบี้ยไทยจะมีแนวโน้มลดลงอีก ไปอยู่ที่ 1.25-1.5% ณ สิ้นปีนี้

 

ตลาดแรงงานสหรัฐฯ แกร่ง หนุน Fed ไม่ลดดอกเบี้ย 

 

ด้าน ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX ระบุว่า ตลาดแรงงานสหรัฐแข็งแกร่งทำให้ Fed จะยังไม่ลดดอกเบี้ย 

 

“ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งกว่า ที่คาดการณ์ไว้ โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่คาดไว้ที่138,000 ตำแหน่ง แม้จะชะลอลงจากเดือนมีนาคมที่เพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานยังคงที่ที่ 4.2% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจ้างงานจากภาคเอกชน ADP ลดลงอย่างต่อเนื่อง (เมษายนอยู่ที่ 62,000 ตำแหน่ง และเฉลี่ย 3 เดือนอยู่ที่ 98,000 ตำแหน่ง) ทั้งนี้การว่างงานที่ทรงตัว การจ้างงานที่อยู่ในระดับสูง (แม้มีแนวโน้มชะลอลง) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อแม้ยังตาแต่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในอนาคต บ่งชี้สถานการณ์ Mild Stagflation ทำเรายังคงประมาณการว่า Fed จะไม่ลดดอกเบี้ย ในการประชุมวันที่ 6-7 พฤษภาคม”

 

กสิกรไทยคาด คาดเฟดคงดอกเบี้ย เหตุรอดูผลกระทบนโยบายภาษีที่ยังไม่แน่นอน

 

ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในการประชุม FOMC วันที่ 6-7 พฤษภาคม ซึ่งเป็นรอบที่ 3 จากทั้งหมด 8 รอบในปีนี้ คาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ระดับ 4.25-4.50% เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

 

  1. รอดูผลกระทบจากมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้า โดยมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงหลังจากมีการชะลอการปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ออกไป 90 วัน ขณะที่การปรับขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้าจีนถึง 145% มีโอกาสปรับลดลงได้บ้างหลังสหรัฐฯ และจีนมีท่าทีพร้อมเจรจา

 

  1. แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงและมีโอกาสเร่งสูงขึ้นจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น แม้เงินเฟ้อเดือนมี.ค. 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับลงมาอยู่ที่ 2.4% และ 2.8% ตามลำดับ ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานวัดจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่เฟดให้ความสำคัญ ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.3% และ 2.6% ตามลำดับ 

 

  1. ตลาดแรงงานชะลอลง แต่ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราการว่างงานเดือนมี.ค. 2568 ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยจาก 4.1% ในเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.2% ขณะที่ยอดผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ 20-26 เม.ย. 2568 เพิ่มสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสองเดือนที่ 241,000 ราย แต่ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่ยังไม่น่ากังวล อย่างไรก็ดี คาดว่าตัวเลขตลาดแรงงานในระยะข้างหน้าคงจะเห็นผลกระทบที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอลง

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคาดว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญจากผลกระทบที่ชัดเจนขึ้นของการปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal tariffs) หลังการชะลอการปรับขึ้นภาษีฯ สิ้นสุดลง

 

UOB คาดดอกเบี้ย Fed ปลายปีเหลือ 3.75%

 

UOB Group Research คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 4.25 – 4.5%ในการประชุมวันที่ 6-7 พฤษภาคมนี้ (ผลการตัดสินใจจะประกาศใน 8 พฤษภาคม เวลา 01.00 น. ตามประเทศไทย) สอดคล้องกับความเห็นส่วนใหญ่ทั่วโลก

 

หลังจากรายงานการประชุม (FOMC Minutes) ประจำเดือนมีนาคม และคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ Fed หลายคนก่อนช่วง Silent Period ยืนยันว่า Fed จะยึดแนวทางการรอและดู (Wait-and-See Approach) เพื่อรับมือกับความเสี่ยงเงินเฟ้อ ซึ่งอาจเกิดจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ 

 

แต่ในอนาคต UOB คงการคาดการณ์ว่า Fed ลดอัตราดอกเบี้ยไว้ 0.25% อีก 3 ครั้ง (ครั้งละไตรมาส) ซึ่งจะทำให้ Fed Funds Target Rate (FFTR) ไปอยู่ที่ 3.75% ภายในสิ้นปีนี้

 

BOE จ่อลดดอกเบี้ยวันพฤหัสบดีนี้

 

ตามผลสำรวจของ Bloomberg (ณ วันที่ 5 พฤษภาคม) นักเศรษฐศาสตร์ 34 คนที่ทำการสำรวจ คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งจะประชุมอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคมนี้ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยธนาคารอย่างเป็นทางการลง 0.25% ไปสู่ระดับ 4.25% ในการประชุมครั้งนี้ สอดคล้องกับมุมมองของ Lee Sue Ann นักเศรษฐศาสตร์ของ UOB 

 

นอกจากนี้ ในกรณีฐาน Lee Sue Ann มองว่า BOE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยทุกไตรมาส โดยจะลดอัตราดอกเบี้ยต่ออีก 3 ครั้งในปีนี้

 

จับตาทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย ‘ไทย’ ช่วงที่เหลือของปี

 

หลังจากการประชุม กนง. วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ มีมติไม่เป็น เอกฉันท์ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ระดับ 1.75% สำนักเศรษฐกิจต่างๆ ก็ปรับมุมมองดังนี้

 

กสิกรไทยคาด กนง. ลดอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง

 

ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดกนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจุดจับตาคงอยู่ที่การประชุมรอบเดือนสิงหาคม หลังจากการชะลอการปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งกนง. คงต้องประเมินความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย จากอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ จะประกาศเรียกเก็บกับสินค้าไทยรวมถึงประเทศคู่ค้าและคู่แข่งอื่นๆ ภายใต้การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน โดยกนง. คงพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy Space) ที่มีจำกัด 

 

กรุงไทยคาด กนง. อาจลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.50% จับตา ‘บาทแข็ง’ อันดับ 3 ในภูมิภาค

 

ขณะที่ กฤษฏิ์ ศรีปราชญ์ นักวิเคราะห์ Krungthai COMPASS คาด กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.50% จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบรุนแรงจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ โดยมองว่าช่วงเวลาของการตัดสินนโยบายครั้งต่อไป กนง. จะพิจารณาจากพัฒนาการของการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หลังพ้นกรอบระยะเวลายกเว้นการเก็บภาษี 90 วัน และพัฒนาการของเศรษฐกิจไทย เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดจาก Policy Space ที่มีจำกัด 

 

“ในระยะข้างหน้าต้องติดตามช่วงเวลาและขนาดของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของ กนง. ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท หลังแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยมีทิศทางต่ำลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่ความไม่แน่นอนจากผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าที่อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเงินบาทในช่วงนับตั้งแต่การเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2024 มีทิศทางแข็งค่าสูงกว่าประเทศในภูมิภาค โดยเป็นรองเพียงญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์เท่านั้น”

 

ดอกเบี้ยสหรัฐฯ (Fed)

 

SCB EIC มองดอกเบี้ยไทยไปอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปีนี้

 

SCB EIC มองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี เพื่อรองรับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงตามความไม่แน่นอนที่ปรับสูงขึ้นมา เหตุมอง กนง. สื่อสารชัดว่านโยบายการเงินจำเป็นต้อง ‘ผ่อนคลาย’

 

“ในการสื่อสารครั้งนี้ กนง. มองว่านโยบายการเงินจำเป็นต้องอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและครัวเรือนต่อสถานการณ์การค้าโลกที่มีความตึงเครียดและผันผวน โดยไม่ได้ให้คำนิยามว่าเป็น Easing cycle แต่อย่างใด เนื่องจาก Shock ที่เข้ามากระทบกับเศรษฐกิจไม่ได้มีลักษณะที่เป็น Shock ครั้งเดียวและรุนแรงดังเช่นในวิกฤติการเงินโลก (Global Financial Crisis) แต่พร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งแตกต่างจากการสื่อสารในครั้งก่อนๆ ที่พยายามเน้นย้ำว่านโยบายการเงินยังควรมีสถานะเป็นกลาง (Neutral) ต่อเศรษฐกิจ กล่าวคือไม่ได้เร่งหรือฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ” SCB EIC ระบุ

The post จับตาสัปดาห์นี้ Fed จ่อคง? BOE จ่อลด? แล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะไปทางไหนต่อ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
นายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุมบอร์ด กพช. เคาะค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย https://thestandard.co/thai-electricity-price-2025/ Tue, 06 May 2025 09:44:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1071704 thai-electricity-price-2025

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง […]

The post นายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุมบอร์ด กพช. เคาะค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-electricity-price-2025

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. โดยมี แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2568 เป็น 3.99 บาทต่อหน่วย

 

“รัฐบาลจะคงอัตราค่าไฟฟ้า 3.99 บาทต่อหน่วย จนถึงสิ้นปี ส่วนจะลดลงกว่านี้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” พิชัยกล่าว

 

เมื่อถามถึงกรณีที่ไม่ร่วมเดินทางไปร่วมการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 58 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 28 เพื่อใช้โอกาสนี้ในการหารือนอกรอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เรื่องมาตรการขึ้นภาษีสหรัฐฯ พิชัยกล่าวว่า คนละหน่วยงานกัน เราต้องใช้โอกาสนี้ในการหารือกับกระทรวงการคลัง

The post นายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุมบอร์ด กพช. เคาะค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย appeared first on THE STANDARD.

]]>
สภาทองคำโลกรายงานความต้องการทองคำในไทยช่วง 1Q68 พุ่ง 17% แตะ 9.1 ตัน เติบโตสูงสุดในอาเซียน https://thestandard.co/thai-gold-demand-q1-2025/ Tue, 06 May 2025 08:51:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1071676 thai-gold-demand-q1-2025

สภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) เปิดเผย รายงานแนว […]

The post สภาทองคำโลกรายงานความต้องการทองคำในไทยช่วง 1Q68 พุ่ง 17% แตะ 9.1 ตัน เติบโตสูงสุดในอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-gold-demand-q1-2025

สภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) เปิดเผย รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาสที่ 1/2568 โดยระบุว่า ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำเพื่อการลงทุนของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อยู่ที่จำนวน 7.4 ตัน และนับเป็นไตรมาสที่ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดของไทยนับตั้งแต่ปี 2562 ทำให้ความต้องการทองคำภาคผู้บริโภคโดยรวมของไทย ที่ประกอบด้วยปริมาณการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำ กับความต้องการทองคำเครื่องประดับในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ รวมเป็นจำนวน 9.1 ตัน เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเป็นปริมาณความต้องการทองคำภาคผู้บริโภครายไตรมาสที่มีการเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน

 

ด้านความต้องการทองคำโดยรวมทั่วโลกจากทุกภาคส่วน (ซึ่งรวมถึงการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ หรือ Over-the-counter: OTC) รายไตรมาสนั้นอยู่ที่ 1,206 ตัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาวะที่ราคาทองคำสูงเป็นประวัติการณ์‎และทะลุระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

 

การฟื้นตัวของกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำแท่งสำหรับนักลงทุน ได้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งผลให้ระดับความต้องการลงทุนทองคำโดยรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าอยู่ที่ระดับ 552 ตัน คิดเป็น 170% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าและเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 กระแสเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทั่วโลกนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาส 1 ปีนี้ และมีปริมาณความต้องการ 226 ตัน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทิศทางราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีนำเข้าที่ผลักดันให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

 

ดีมานด์ทองคำทั่วโลกขยับขึ้น 3% 

 

ด้านความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำเพื่อการลงทุนทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังคงอยู่ในระดับสูงที่จำนวน 325 ตันสำหรับไตรมาส 1 ปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนค้าปลีกรายย่อยในประเทศจีนที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและนับเป็นไตรมาสที่สูงที่สุดในประวัติการณ์เป็นอันดับสอง 

 

ทั้งนี้ นักลงทุนจากฝั่งตะวันออกได้ขับเคลื่อนความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกส่วนใหญ่และช่วยชดเชยกับฝั่งตะวันตกที่ดูอ่อนแอ โดยความต้องการในสหรัฐอเมริกาได้ลดลง 22% ขณะที่ฝั่งยุโรปฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยที่จำนวน 12 ตัน แต่ฐานตัวเลขของไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้านั้นอยู่ในระดับที่ต่ำมาก

 

ธนาคารกลางยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำสุทธิติดต่อกันเข้าสู่ปีที่ 16 และได้เพิ่มปริมาณทุนสำรองทั่วโลก 244 ตันในไตรมาสที่ 1 ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนในระดับโลกที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป แม้ว่าความต้องการของธนาคารกลางจะลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่นับว่ายังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและมีปริมาณสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยรายไตรมาสของสามปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการซื้อทองคำในระดับที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง

 

ราคาทองพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 20 ครั้งใน 1Q68 

 

ด้านความต้องการทองคำเครื่องประดับนั้นเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ โดยได้รับผลกระทบเชิงลบจากราคาทองคำที่พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 20 ครั้งในไตรมาสที่ 1 ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความต้องการทองคำเครื่องประดับปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.7 ตัน เนื่องจากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นสูง ซึ่งนับเป็นการลดลงในระดับปานกลางที่ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

 

ขณะที่ปริมาณความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลกได้ลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิดในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ตลาดทองคำเครื่องประดับนั้นยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหากพิจารณาในแง่ของมูลค่าแม้ว่าจะได้รับแรงกดดันอย่างรุนแรงจากราคาทองคำที่สูงก็ตาม โดยในไตรมาสแรกพบว่าผู้บริโภคได้ซื้อทองคำเครื่องประดับทั่วโลกเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นจำนวน 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกือบทุกตลาดมีมูลค่าความต้องการทองคำเครื่องประดับสูงขึ้นยกเว้นในประเทศจีน

 

อุปทานทองคำโลกไตรมาส 1 ปีนี้ทรงตัว

 

ด้านอุปทานทองคำโดยรวมของไตรมาส 1 ปีนี้ทรงตัวในระดับเดียวกันกับปีก่อนหน้าที่จำนวน 1,206 ตัน โดยปริมาณการผลิตจากเหมืองแร่ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาสที่ 1 แต่ปริมาณอุปทานโดยรวมนั้นถูกลดทอนลงจากการรีไซเคิลทองคำที่ปรับลดลงเล็กน้อย ขณะที่ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยียังคงทรงตัวที่จำนวน 80 ตัน เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2567

 

ขณะที่ เซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “โดยรวมแล้วการลงทุนจากผู้บริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียนในรายงานฉบับนี้ยังคงมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 

 

“สำหรับประเทศไทยการคาดการณ์ทิศทางราคาทองคำในเชิงบวกได้เป็นแรงผลักดันการลงทุนในทองคำ ทำให้ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำของไทยเพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่าหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำจะลดลงก็ตาม 

 

“เนื่องจากราคาทองคำที่สูงขึ้นได้กระตุ้นให้เกิดแรงขายทำกำไร ด้านความต้องการทองคำเครื่องประดับในไตรมาสแรกของไทยนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตามตลาดทองคำของไทยยังคงมีความแข็งแกร่งและชะลอตัวลงในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบางประเทศในอาเซียนที่อยู่ในการศึกษาของเราครั้งนี้”

 

กลับมากังวลเศรษฐกิจถดถอย หนุนดีมานด์ทองพุ่ง

 

ส่วน หลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสของสภาทองคำโลก กล่าวว่า ต้นปีนี้ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่มีความท้าทายสำหรับตลาดโลก เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้า การประกาศนโยบายของสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ 

 

ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องและความกังวลเรื่องสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสำหรับนักลงทุน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความต้องการลงทุนในทองคำสำหรับไตรมาส 1/2568 พุ่งสู่ระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559

 

“ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนได้กลับมาลงทุนในกองทุน ETF ทองคำอีกครั้ง โดยได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว และในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียวกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าจากทางเอเชียก็ได้พุ่งสูงเกินยอดรวมของทั้งไตรมาสที่ 1/2568 ไปแล้ว 

 

“อย่างไรก็ตาม ยังคงมีโอกาสที่การลงทุนใน ETF จะเติบโตได้อีก เนื่องจากปริมาณการถือครองทองคำในกองทุน ETF ทั่วโลกนั้นยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดในปี 2563 อยู่ 10%

 

“สำหรับอนาคตข้างหน้า สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมก็ยังคงคาดการณ์ได้ยาก ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น สภาวะความผันผวนที่ยังคงอยู่ต่อไปนี้อาจทำให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากทั้งภาคสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และภาครัฐ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้”

 

ราคาทองคำไทยวันเดียวพุ่ง 700 บาท 

 

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาทองคำในประเทศวันนี้ (6 พฤษภาคม) วันนี้ปรับตัว 18 ครั้ง บวกรวม 700 บาท โดยราคารับซื้อทองคำแท่ง 96.5% อยู่ที่ 52,250 บาทต่อบาททองคำ  

The post สภาทองคำโลกรายงานความต้องการทองคำในไทยช่วง 1Q68 พุ่ง 17% แตะ 9.1 ตัน เติบโตสูงสุดในอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์อย่างไร? https://thestandard.co/ai-future-impact-5-years/ Tue, 06 May 2025 07:30:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1071648 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ปมความขัดแย้งกับกระทรวงยุติธรรมกรณีคดีฮั้วเลือก สว.

ท่ามกลางความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของปัญญาประดิษฐ์ (A […]

The post อีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ปมความขัดแย้งกับกระทรวงยุติธรรมกรณีคดีฮั้วเลือก สว.

ท่ามกลางความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?

 

AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตและการทำงานของเราไปในทิศทางไหน? ความกลัวเรื่องการถูกแทนที่จะเป็นจริง หรือนี่คือโอกาสครั้งสำคัญในการยกระดับศักยภาพมนุษย์?

 

THE STANDARD WEALTH มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษผู้บริหารระดับสูงของ Google Cloud หลายท่าน จากงาน Google Cloud Next 2025 เพื่อฉายภาพอนาคตอันใกล้ที่ AI กำลังจะเข้ามามีบทบาทกับเราทุกคน

 

AI ผู้เสริมศักยภาพมนุษย์ในอีก 5 ปีข้างหน้า

 

มุมมองที่ชัดเจนจากผู้บริหาร Google Cloud คือ แก่นแท้ของ AI ยุคใหม่ โดยเฉพาะ Generative AI ไม่ใช่การเข้ามาทดแทนมนุษย์ แต่เป็นการ ‘เสริมศักยภาพ (Augment) มนุษย์ได้อย่างมหาศาล ทั้งในวิธีที่เราคิด สร้างสรรค์ และแก้ปัญหา’ Erwan Menard, Director, Cloud AI กล่าว

 

Menard ย้ำว่าความสามารถหลายอย่างของ AI ที่ดูน่าทึ่งในงาน Google Cloud Next 2025 นั้น “ใช้งานได้จริงวันนี้” ไม่ว่าจะเป็นการสร้างประสบการณ์ลูกค้าเฉพาะบุคคล (Personalized Customer Experiences), การสร้างสรรค์สื่อ (ภาพ, วิดีโอ, เพลง) หรือการเข้าถึงความรู้ดังที่กล่าวไปแล้ว

 

สำหรับอนาคตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เขาคาดการณ์ว่าจะเห็นการพัฒนาใน 3 ด้านหลัก:

 

  1. ความสามารถในการให้เหตุผล (Reasoning) AI จะเก่งขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น
  2. การประมวลผลหลายรูปแบบ (Multi-modality) การโต้ตอบกับ AI จะเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น การพูดคุยผ่านเสียง (Live API) ที่จะรวดเร็วและอาจแปลภาษาได้ทันที
  3. ระบบของ Agent (Systems of Agents) AI หลายๆ ตัวจะสามารถทำงานร่วมกันและประสานงานกันเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ เช่น การระดมสมองเพื่อหาไอเดียใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

 

Will Grannis, Vice President เสริมว่า แม้กระทั่งในกระบวนการหลักของ Google เองอย่างวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ปัจจุบัน AI ได้เข้ามามีบทบาทในการประเมินโค้ดถึง 30% และกำลังขยายไปสู่การช่วยวางแผนและออกแบบ เช่น เครื่องมือ Co-scientist ซึ่ง Google กำลังนำบทเรียนเหล่านี้มาพัฒนาเป็นเครื่องมือให้ลูกค้าได้ใช้งาน อรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย มองว่า “AI ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเราไปแล้ว ไม่ต่างจากอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ” 

 

AI จะช่วยให้เราฉลาดขึ้น สามารถทำบางอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน และทำอะไรหลายอย่างได้ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น รวมทั้งการเข้าช่วยทำงานที่ซ้ำซ้อนและน่าเบื่อ และมีเวลาไปทำสิ่งที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นได้ 

 

AI กำลังพลิกโฉมการทำงาน โจทย์ของคนคือ Reskill

 

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลและการทำงาน Menard ชี้ว่า AI กำลังจะเปลี่ยนประสบการณ์จากการต้องค้นหาข้อมูลในแอปพลิเคชันหรือคลังความรู้ที่กระจัดกระจาย ไปสู่ ‘การพูดคุยกับ AI’ เพื่อดึงข้อมูล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ 

 

Menard ยกตัวอย่างเพื่อนสถาปนิกที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิค ก็สามารถใช้ AI ช่วยงานที่น่าเบื่อ เพื่อเพิ่มเวลาให้กับงานออกแบบที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ “อุปสรรคในการเริ่มต้นใช้งาน AI นั้นต่ำมาก ตราบใดที่คุณมีความอยากรู้อยากเห็น คุณก็สามารถใช้ประโยชน์ได้”

 

เมื่อถามถึงประเด็นที่หลายคนกังวลที่สุด คือ AI จะมาแทนที่งานมนุษย์หรือไม่ Menard ให้มุมมองว่า “AI จะเปลี่ยนวิธีที่เราทำงาน และผลที่ตามมาคือ AI จะสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมา และจะทำให้งานอื่นๆ บางอย่างง่ายขึ้นอย่างมาก”

 

เขาเปรียบเทียบกับการเข้ามาของรถยนต์ที่แทนที่ม้า ซึ่งไม่ได้ทำให้คนตกงานทั้งหมด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของงาน ทำให้เกิดทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็น เช่น การขับรถ, การซ่อมรถ ขณะที่ทักษะเดิมบางอย่างมีความต้องการน้อยลง

 

Menard ยอมรับว่าบางธุรกิจอาจใช้ AI ทำให้ ‘ทำอะไรได้มากขึ้นด้วยคนจำนวนน้อยลง’ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับการใช้ระบบอัตโนมัติในโรงงาน แต่หัวใจสำคัญคือ ‘การนิยามภูมิทัศน์ตลาดงาน (Job Market Landscape) ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับความต้องการทักษะใหม่ๆ’ ดังนั้นการเตรียมพร้อมเพิ่มทักษะใหม่ (Reskilling) จึงเป็นสิ่งจำเป็น

 

Grannis บอกว่า AI กำลังเข้ามาช่วยในกระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การสรุปประเด็นสำคัญจากการประชุมหรือเอกสารจำนวนมาก หรือการกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกจากการทำงานร่วมกัน 

 

นอกจากนี้ ทิศทางในอนาคตคือการสร้าง ‘ระบบของ Agent’ (Systems of Agents) ซึ่งเป็น AI ขนาดเล็กที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถทำงานร่วมกันและประสานงานกันเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ เช่น การระดมสมองหาไอเดียใหม่ (Agent Builder) หรือการจัดการการเดินทางที่ซับซ้อน ซึ่ง Grannis มองว่านี่คือ ‘คลังของ Agent ที่เชื่อมต่อกัน’ (Cloud of Connected Agents) ที่จะสร้างคุณค่ามหาศาลในระยะยาวความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ตัวเทคโนโลยี แต่คือ ‘การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management)’ การจัดการกับความกลัว ความคาดหวัง และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้ใช้งาน 

 

คำแนะนำสำหรับการเริ่มใช้ AI 

 

เมื่อถามถึงเครื่องมือ AI ที่อยากแนะนำ Menard เลือก ‘Notebook LM’ ซึ่งเปรียบเสมือน ‘AI ส่วนตัวที่คุณสามารถแชตด้วยได้เกี่ยวกับความรู้ของคุณเอง’ เขายกตัวอย่างการใช้งานส่วนตัวในการอัปโหลดเอกสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Google Cloud เข้าไป แล้วสามารถสอบถามข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วระหว่างการประชุม หรือแม้กระทั่งสั่งให้สรุปเนื้อหาเป็นไฟล์เสียงสั้นๆ ได้

 

สุดท้าย Menard ทิ้งท้ายถึงสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นที่สุดในฐานะคนทำงานด้าน AI ว่าคือ ‘การคิดค้นวิธีที่เราทำงานขึ้นมาใหม่’ (Reinvent the way we work) การที่ AI สามารถช่วยค้นหา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติผ่านการสนทนา กำลังจะเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานไปอย่างสิ้นเชิง สำหรับคนไทยและธุรกิจไทยที่ต้องการเตรียมพร้อมและก้าวให้ทันโลก AI Menard แนะนำว่า:

 

  1. เริ่มต้นจาก ‘ทำไม’ (Start with Why) “สิ่งที่สำคัญคือ ทำไมฉันถึงจะใช้มัน? มุ่งเน้นไปที่ ‘ทำไม’ และเจตนา” ควรมองว่า AI จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจ หรือปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้นได้อย่างไร แทนที่จะไล่ตามเทคโนโลยีใหม่ๆ เพียงอย่างเดียว
  2. ลงมือใช้และเรียนรู้ ‘คุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพื่อสร้างความเห็น’ เนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาเร็วมาก การได้ทดลองใช้เครื่องมือต่างๆ จะช่วยให้เข้าใจและเห็นโอกาสในการนำไปปรับใช้ได้ดีที่สุด

 

ด้าน Grannis ทิ้งท้ายถึงพรมแดนต่อไปของ AI ที่น่าตื่นเต้นคือ ‘Situated Agents’ หรือ Agent ที่ไม่ได้ถูกฝึกมาล่วงหน้าเพียงอย่างเดียว แต่สามารถ ‘เรียนรู้และพัฒนาไปพร้อมๆ กับเรา’

 

ลองนึกภาพ Agent ที่รับรู้สิ่งที่คุณเห็น ได้ยิน หรือสัมผัสผ่านอุปกรณ์สวมใส่หรือเซ็นเซอร์ต่างๆ และสามารถให้คำแนะนำด้านสุขภาพ การเดินทาง หรือด้านอื่นๆ ได้อย่างเฉพาะเจาะจงและปรับเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ของคุณ นี่คือภาพอนาคตที่ AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างแท้จริง

 

โดยสรุป ในอีก 5 ปีข้างหน้า AI จะไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่จะทำหน้าที่เป็น ‘คู่คิด’ และ ‘ผู้เสริมศักยภาพ’ ที่ทรงพลัง ช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และเข้าถึงความรู้ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กุญแจสำคัญอยู่ที่การเปิดรับ เรียนรู้ ปรับตัว และนำเทคโนโลยีนี้มาใช้อย่างมีเป้าหมายและมีความรับผิดชอบ

The post อีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเปลี่ยนชีวิตมนุษย์อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งแดนมังกรที่น่าสนใจและเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นจีนแห่งปี 2025 [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/china-stock-opportunities-2025/ Tue, 06 May 2025 06:50:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1069321 CGSITH

เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งในประเทศจีนที่มีความน่าสนใจ […]

The post เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งแดนมังกรที่น่าสนใจและเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นจีนแห่งปี 2025 [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
CGSITH

เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งในประเทศจีนที่มีความน่าสนใจ และเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นจีนแห่งปี 2025 ตั้งแต่เทคโนโลยี AI รถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์กีฬาและลักชัวรีจีนที่ดังไกลระดับโลก การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแบบก้าวกระโดด ไปจนตลาดใหม่อย่างอาร์ตทอย

 

Bazooka Stimulus มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศจีน

 

ประเทศจีนกำลังเป็นประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังภาครัฐของจีนแผ่นดินใหญ่เดินหมากกระตุ้นเศรษฐกิจให้เศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้ไม่เต็มที่ ก็กลับมาฟื้นในหลายภาคส่วน และในต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ‘การประชุมสองสภา’ ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ของทางการเมืองระดับชาติที่สำคัญของจีนในการกำหนดทิศทางนโยบายชาติ โดยประเทศจีนตั้งเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 5% ในปี 2025

 

 

เป้าหมายนี้ถือว่าเป็นเป้าหมายที่ใหญ่มาก แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกต่อการเติบโตของประเทศจีนก็ยังมีอยู่มากมาย อย่างเช่นนโยบาย Bazooka Stimulus ที่เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีน ซึ่งช่วยให้ความมั่นใจของผู้บริโภคและการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

 

ในด้านเทคโนโลยีอย่าง AI ที่กำลังเป็นโอกาสสำคัญในการแข่งขันของประเทศมหาอำนาจ ที่ไม่นานมานี้ ประเทศจีนได้ท้าทายสหรัฐอเมริกาด้วยการเปิดตัว AI อย่าง Deepseek ที่ทั้งภาครัฐก็แสดงการสนับสนุนเป็นอย่างมาก เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

 

5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งจีนที่เป็นธีมการลงทุนปี 2025

 

ในปี 2025 นี้ THE STANDARD WEALTH ได้พูดคุยกับ CGS International (Thailand) ผู้ให้บริการด้านผลิตภัณฑ์ทางการเงินและผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนและเศรษฐกิจจีน พบว่าปัจจุบันเศรษฐกิจจีนกำลังมี 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งที่กำลังเป็นดาวเด่นและเป็น ‘โอกาส’ รวมถึงเป็นธีมการลงทุนในตลาดหุ้นจีน และนี่คือ 5 อุตสาหกรรมสำคัญ

 

อุตสาหกรรมที่ 1: เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์

 

จีนตระหนักดีว่าการแข่งขันทางเศรษฐกิจในอนาคตขึ้นอยู่กับศักยภาพทางเทคโนโลยี การลงทุนใน AI และเซมิคอนดักเตอร์กลายเป็นวาระแห่งชาติ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ได้รับเลือกให้เป็นพาร์ตเนอร์ AI สำหรับ iPhone ในจีน ซึ่งเป็นการร่วมมือที่สำคัญและช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดของ Alibaba มากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งยังวางแผนลงทุนกว่า 5.244 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์และ AI รวมถึงเปิดตัวโมเดล AI Qwen 2.5 ซึ่งอ้างว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า DeepSeek-V3

 

 

สำหรับ Tencent ได้ปรับโครงสร้างพอร์ตโฟลิโอ AI ของตนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น ล่าสุดได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลคลาวด์ Tencent Cloud แห่งแรกในตะวันออกกลางที่ซาอุดีอาระเบีย โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายคลาวด์ระดับโลกและขยายบริการ AI และ SaaS

 

ขณะที่ SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของจีน กำลังขยายกำลังการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาชิปนำเข้าจากตะวันตก โดยกำลังร่วมมือกับ Huawei ในการผลิตชิป AI Ascend 910C ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทันสมัยที่สุดของจีน และได้รับเงินอุดหนุนและเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีชิปในประเทศ

 

นอกจากนี้ ความสำเร็จของ DeepSeek AI เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าจีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้เพิ่มงบประมาณวิจัยและพัฒนาในสาขานี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนในการแย่งชิงความเป็นผู้นำด้าน AI ภายในทศวรรษหน้า

 

อุตสาหกรรมที่ 2: รถยนต์ไฟฟ้าจีนและสมาร์ทคาร์ 

 

จีนได้สร้างสรรค์นวัตกรรมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจนสามารถขึ้นแท่นผู้นำของโลก โดยมี BYD เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ด้วยยอดขายที่ขึ้นมาใกล้เคียง Tesla ในปี 2024 และมีแนวโน้มที่อาจจะทำยอดขายได้สูงกว่า Tesla ในอนาคตอันใกล้ ด้วยจุดเด่นของ BYD ที่สามารถลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) และปรับปรุงประสิทธิภาพแบตเตอรี่ให้สูงขึ้น ทำให้สามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่แข่งขันได้

 

 

นอกจาก BYD แล้ว Li Auto เลือกใช้กลยุทธ์ที่แตกต่าง โดยเน้นผลิตรถยนต์ SUV ไฮบริดที่เหมาะสมกับตลาดเอเชีย ซึ่งยังมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ EV ไม่สมบูรณ์ ทั้งสองบริษัทมีจุดเด่นในการผสาน AI เข้ากับระบบขับขี่อัจฉริยะ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนให้สามารถแข่งขันกับค่ายรถจากยุโรปและสหรัฐฯ ได้อย่างเต็มที่

 

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ BYD มีปัจจัยหลักที่สนับสนุน ได้แก่ การขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งในจีนและตลาดโลก ความสำเร็จในการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า ไปยังประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาลจีน ที่ผลักดันการใช้พลังงานสะอาดผ่านมาตรการจูงใจ เช่น เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ BYD ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้

 

อุตสาหกรรมที่ 3: สินค้าแบรนด์กีฬาและลักชัวรีจีน

 

ภาพลักษณ์ของสินค้าจีนกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนรุ่นใหม่ที่เริ่มให้ความสำคัญกับแบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้น กระแส “Guochao” หรือ “ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมจีน” ได้ผลักดันให้แบรนด์จีนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ANTA และ Li-Ning เป็นตัวอย่างความสำเร็จที่สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์จีนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งนวัตกรรมและคุณภาพสูง จนสามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Nike และ Adidas ได้อย่างสูสี ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการมุ่งเน้นการออกแบบสินค้าที่ตอบโจทย์ตลาดท้องถิ่น การดึงพรีเซนเตอร์ชื่อดังระดับโลก เช่น ไครี่ เออร์วิ่ง นักบาสเกตบอล NBA ที่เป็นพรีเซนเตอร์ของ ANTA

 

นอกจากนี้ แบรนด์เหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมกีฬา ทั้งในแง่ของการสร้างงาน การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดจนการเพิ่มรายได้ภายในประเทศ และลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างชาติ

 

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จของ ANTA และ Li-Ning คือการมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง และการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคท้องถิ่นได้อย่างตรงจุด

 

 

Bosideng แบรนด์เสื้อกันหนาวของจีนก็กำลังขยายตลาดสู่ยุโรป โดยใช้กลยุทธ์การออกแบบที่ทันสมัยและวัสดุคุณภาพสูงเพื่อสร้างความแตกต่าง การให้ความสำคัญกับงานออกแบบและนวัตกรรมทำให้แบรนด์จีนได้รับการยอมรับในระดับสากลมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ส่วน Laopu Gold แบรนด์เครื่องประดับลักชัวรีจากจีน สร้างความสำเร็จในตลาดด้วยกลยุทธ์ เช่น การออกแบบเครื่องประดับทองคำแบบดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์ การทำมือด้วยงานฝีมือคุณภาพสูง และการกำหนดราคาที่เน้นคุณค่าของงานศิลป์ ช่วยให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่ง และขยายช่องทางการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มความน่าเชื่อถือ

 

อุตสาหกรรมที่ 4: การท่องเที่ยวและบริการ

 

การท่องเที่ยวของจีนกำลังฟื้นฟูอย่างน่าประทับใจด้วยมาตรการวีซ่า คาดว่าในปี 2025 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางต่างประเทศถึง 95 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 52% โดย Trip.com เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจีน โดยบริษัทได้ใช้กลยุทธ์ G2 ประกอบด้วย การขยายตัวในระดับโลก (Globalization) และการให้บริการที่เป็นเลิศ (Great Services)

 

 

Trip.com ได้พัฒนาตนเองเป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวครบวงจร โดยใช้เทคโนโลยี AI และข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและนำเสนอแพ็กเกจการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแม่นยำ

 

การเติบโตของ Trip.com สะท้อนถึงการลงทุนและการเติบโตในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และสร้างงานในจีน การเติบโตนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

 

อุตสาหกรรมที่ 5: อาร์ตทอยและวัฒนธรรมใหม่

 

อุตสาหกรรมอาร์ตทอยกำลังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้จีนมหาศาล โดย Pop Mart เป็นตัวอย่างของบริษัทที่สามารถพัฒนาตลาดนี้ให้เติบโตทั้งในจีนและต่างประเทศ ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) อย่าง Labubu และ Molly กลายเป็นของสะสมยอดนิยม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของจีน

 

 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอาร์ตทอยเติบโตคือกลุ่ม Gen Z ที่นิยมสะสมอาร์ตทอยมากขึ้น โดยมองว่าเป็นงานศิลปะรูปแบบใหม่

 

Pop Mart ใช้กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพหลายอย่าง เช่น กลยุทธ์การตลาดแบบสร้างความขาดแคลนเพื่อกระตุ้นการซื้อ การเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องทำให้ผู้บริโภครู้สึกตื่นเต้นและอยากสะสม รวมถึงการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลก

 

ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ Pop Mart สามารถขยายตลาดไปต่างประเทศได้ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

โอกาสของประเทศจีนในความท้าทาย

 

แม้ว่าประเทศจีนจะเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์และความตึงเครียดจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แต่ก็ยังมีโอกาสสำคัญในการฟื้นตัวและเติบโตต่อไป

 

วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในปี 2024 อาจต้องใช้เวลาฟื้นตัว แต่ในครึ่งหลังของปี 2025 ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น และเริ่มมีเสถียรภาพอย่างมากในปี 2026

 

อย่างไรก็ตาม จีนได้เดินหน้าขยายตลาดส่งออกไปยังแอฟริกา ลาตินอเมริกา และอาเซียน เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และต่อสู้กับกำแพงภาษี 20% จากสหรัฐฯ รวมถึงการลงทุนของจีนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังผลักดันให้เกิดการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

 

คว้าโอกาสกับผู้เชี่ยวชาญหุ้นจีน CGS International (Thailand)

 

CGS International Securities (Thailand) Co., Ltd. เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่โดดเด่นด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A+ (จัดอันดับโดย บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด) พร้อมด้วยรางวัลเกียรติยศต่างๆ เช่น

 

  • FinanceAsia Awards 2024 – รางวัล Broker ในประเทศยอดเยี่ยม
  • Institutional Investor Awards – อันดับ 1 ในด้านวิจัย และอันดับ 1 ในการเทรดและการดำเนินการ
  • รางวัล โครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน” เฟส 2 ประจำปี 2567 โดยสำนักงาน ก.ล.ต.  – รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน
  • SET Awards 2024 – รางวัลบริษัทหลักทรัพย์ดีเด่น ประเภทนักลงทุนสถาบัน กลุ่มความเป็นเลิศทางธุรกิจ
  • ACES Awards – บริษัทที่มีผลประกอบการยอดเยี่ยมในเอเชีย

 

คว้าโอกาสกับผู้เชี่ยวชาญหุ้นจีน CGS International (Thailand)

 

  • รางวัล 18th Alpha Southeast Asia Awards – Best Perpetual Bond 2024 รางวัลที่ปรึกษา การเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

 

CGS International โดดเด่นด้านการวิจัยและการลงทุน ด้วยทีมวิจัยที่เคยได้รับรางวัลระดับแนวหน้า อาทิ รางวัล Best Research Team และ Best Research in ESG มีทีมนักวิเคราะห์มืออาชีพของ CGS International วิเคราะห์หุ้นได้ครอบคลุมถึง 83 ตัว

 

นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายที่แข็งแรง ครอบคลุมกว่า 15 ประเทศทั่วโลก มีสาขามากถึง 37 แห่ง และสาขาย่อยด้านหลักทรัพย์กว่า 495 แห่ง มีแพลตฟอร์มออนไลน์ ใช้งานง่าย เข้าถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนได้ครบวงจร ทั้งหุ้น กองทุนรวม ตราสารอนุพันธ์ หรือตราสารหนี้

 

กองทุนส่วนบุคคล High Conviction China Focus เลือกหุ้นจีนคุณภาพสูง

 

กองทุนส่วนบุคคล High Conviction China Focus ของบริษัทหลักทรัพย์ CGS International (Thailand) เป็นกองทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นจีนที่มีศักยภาพเติบโตสูง กองทุนนี้มีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้น่าสนใจ ดังนี้

 

 

1. เน้นลงทุนในหุ้นศักยภาพสูง: 

คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยเน้นลงทุนแบบกระจุกตัวในหุ้นเกรด A ที่ผ่านการวิเคราะห์อย่างละเอียด

 

2. ผลตอบแทนที่โดดเด่น:

ในปี 2024 กองทุน High Conviction China Focus สร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 63% และผลตอบแทนในปี 2025 ตั้งแต่ต้นปี ก็ทำได้สูงถึง 47% (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568) เนื่องจากการคัดเลือกหุ้นที่แข็งแกร่ง เช่น Pop Mart, Trip.com, BYD และ LAOPUGOLD ซึ่งเป็นหุ้นหลักในพอร์ตการลงทุน

 

3. ทีมผู้จัดการกองทุนผู้เชี่ยวชาญ:

ทีมผู้จัดการกองทุนมีความเชี่ยวชาญในตลาดหุ้นจีน และมีประสบการณ์ในการบริหารกองทุนมานานกว่า 15 ปี

 

4. ความน่าเชื่อถือ: 

CGSI เป็นบริษัทหลักทรัพย์ในเครือ China Galaxy Securities บริษัทหลักทรัพย์ใหญ่อันดับ 3 ในประเทศจีน มีความน่าเชื่อถือสูง และมีเครือข่ายที่กว้างขวาง ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึก และมีโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า

 

5. เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนในระยะยาว:

กองทุน High Conviction China Focus เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชื่อมั่นในการลงทุนแบบกระจุกตัว และมองหาผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว

 

ด้วยศักยภาพของอุตสาหกรรมดาวเด่นทั้ง 5 นี้ ผนวกกับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้จีนเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2025 สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการเติบโตในระยะยาว การศึกษาและทำความเข้าใจในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุนในตลาดจีน

 

อ้างอิง:

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

The post เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งแดนมังกรที่น่าสนใจและเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นจีนแห่งปี 2025 [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>