Wealth – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 08 Feb 2025 12:32:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Toxic Productivity ภัยร้ายคุกคามออฟฟิศ! เช็กด่วน 4 สัญญาณเตือน บริษัทคุณกำลังส่งเสริม ‘การบ้างาน’ สุดอันตรายหรือไม่? https://thestandard.co/toxic-productivity-workplace-warning-signs/ Sat, 08 Feb 2025 12:32:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1039846 4 สัญญาณเตือน Toxic Productivity ในที่ทำงาน แสดงภาพคนทำงานล่วงเวลา การตอบอีเมลวันหยุด และการกินข้าวที่โต๊ะทำงาน

ใครๆ ก็อยากให้ที่ทำงานเป็นแดนสวรรค์ สร้างสรรค์ผลงานได้อ […]

The post Toxic Productivity ภัยร้ายคุกคามออฟฟิศ! เช็กด่วน 4 สัญญาณเตือน บริษัทคุณกำลังส่งเสริม ‘การบ้างาน’ สุดอันตรายหรือไม่? appeared first on THE STANDARD.

]]>
4 สัญญาณเตือน Toxic Productivity ในที่ทำงาน แสดงภาพคนทำงานล่วงเวลา การตอบอีเมลวันหยุด และการกินข้าวที่โต๊ะทำงาน

ใครๆ ก็อยากให้ที่ทำงานเป็นแดนสวรรค์ สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่และมีความสุข แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงบางออฟฟิศกลับกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ Toxic Productivity หรือวัฒนธรรมงานเป็นพิษ ที่คอยกัดกินสุขภาพกายและใจของพนักงานอย่างเงียบเชียบ

 

Jennifer Moss นักพูดชื่อดัง และผู้เขียนหนังสือ Why Are We Here?: Creating a Work Culture Everyone Wants อธิบายว่า Toxic Productivity คือการทำงานและต้องการที่จะ Productive อยู่เสมอ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำลายสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง

 

น่าเศร้าที่บางครั้งนายจ้างและหัวหน้างานเองก็มีส่วนในการส่งเสริมให้พนักงานติดอยู่ในวังวนของการทำงานหนักเกินไปจนละเลยความต้องการส่วนตัว ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อขวัญกำลังใจและเป้าหมายของบริษัทเลย

 

Moss กล่าวกับ CNBC Make It ว่า “สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มเห็นคือ หลังจากที่คนทำงานหนักเกินไป พวกเขาจะเริ่มสูญเสีย Productivity ที่แท้จริง ทำให้ผลงานที่ได้น้อยลง” ต่อไปนี้คือ 4 สัญญาณเตือนว่าที่ทำงานของคุณอาจกำลังส่งเสริมพฤติกรรมที่นำไปสู่ Toxic Productivity และวิธีแก้ไข

 

4 สัญญาณเตือนว่าที่ทำงานของคุณกำลังส่งเสริม Toxic Productivity

  1. ‘ชื่นชม’ คนทำงานดึกดื่น: ในที่ทำงานที่เป็นพิษ การทำงานล่วงเวลาจะถูกมองว่าเป็นเรื่องน่ายกย่อง คนที่อยู่ดึกที่สุดคือฮีโร่ ทั้งๆ ที่จริงแล้วการทำงานล่วงเวลาเป็นประจำอาจเป็นสัญญาณของการจัดการเวลาที่ไม่ดีหรือภาระงานที่มากเกินไป
  2. ผู้นำตอบอีเมลในวันเสาร์-อาทิตย์: หากผู้นำในองค์กรของคุณส่งอีเมลหรือตอบแชตในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือตอนกลางคืน นั่นอาจเป็นการส่งสัญญาณว่า ‘ไม่มีเวลาพักผ่อน’ และคาดหวังให้พนักงานทำตาม ซึ่งเป็นการบ่อนทำลาย Work-Life Balance อย่างร้ายแรง
  3. กินข้าวกลางวันที่โต๊ะทำงานเป็นเรื่องปกติ: การที่พนักงานส่วนใหญ่กินมื้อกลางวันที่โต๊ะทำงานอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วมันสะท้อนว่าพวกเขาไม่มีเวลาพักหรือรู้สึกผิดที่จะลุกจากโต๊ะไปพักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจในระยะยาว
  4. โปรโมทคนบ้างานจนหมดไฟ: การให้รางวัลหรือโปรโมตคนที่ทำงานหนักเกินเบอร์จนกระทั่งหมดไฟ (Burnout) เป็นการส่งเสริม Toxic Productivity อย่างชัดเจน เพราะมันทำให้พนักงานเชื่อว่าการทำงานหนักจนเสียสุขภาพเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

 

วิธีแก้ไข Toxic Productivity เริ่มต้นที่ผู้นำ

 

เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ Moss แนะนำว่า ผู้นำองค์กรควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทีม โดยเน้นย้ำว่า “ความเป็นอยู่ที่ดีเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคนทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงในองค์กร” ผู้นำต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและดูแลตัวเองด้วยเช่นกัน

 

วิธีหนึ่งที่ผู้นำจะแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีคือการพักร้อนอย่างเปิดเผย (Loud Vacationing) Moss อธิบายว่า Loud Vacationing คือการที่ผู้นำส่งเสริมให้พนักงานใช้วันลาพักร้อนอย่างเต็มที่และตัดขาดจากเรื่องงานอย่างแท้จริง

 

จากแนวคิดของ Paycom ผู้นำสามารถพูดถึงเรื่องการพักผ่อนได้ แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวังและเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การชวนทีมออกไปเดินพัก 15 นาทีผ่าน Slack แทนที่จะคุยโอ้อวดเรื่องแผนไปเที่ยวรีสอร์ตหรูในช่วงที่บริษัทกำลังมีปัญหา เพราะสิ่งสำคัญคือการส่งเสริมการพักผ่อนในแบบที่แสดงถึงความเข้าใจและใส่ใจต่อพนักงาน

 

นอกจากนี้ การเพิ่มเวลาให้พนักงานได้กินข้าวด้วยกันที่ออฟฟิศและเชื่อมความสัมพันธ์กันก็เป็นประโยชน์เช่นกัน Moss แนะนำว่า “ลองสั่งพิซซ่าวันศุกร์ แล้วให้ทุกคนมาแฮงเอาต์กัน หรือเป็นมัฟฟินวันจันทร์ก็ได้ เราต้องสร้างกิจกรรมประจำและโอกาสที่ไม่คาดฝัน เพื่อให้พนักงานเชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้น”

 

และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือผู้นำต้องเก็บข้อมูลและถามพนักงานว่าอะไรที่เวิร์กและอะไรที่ไม่เวิร์ก เพื่อที่จะสามารถสนับสนุนความต้องการของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น

 

Moss แนะนำให้จัดการประชุมสัปดาห์ละครั้ง เพื่อถามพนักงานว่า “อะไรที่ทำให้คุณฮึกเหิม?” “อะไรทำให้คุณเครียดในสัปดาห์นี้?” และ “เราจะช่วยเหลืออะไรกันได้บ้าง เพื่อให้งานง่ายขึ้น?”

 

ถึงเวลาแล้วที่องค์กรต่างๆ จะหันมาใส่ใจกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอย่างจริงจัง เพราะท้ายที่สุดแล้วพนักงานที่มีสุขภาพกายและใจที่ดีย่อมสร้างผลงานที่ดีและนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้

 

อ้างอิง:

The post Toxic Productivity ภัยร้ายคุกคามออฟฟิศ! เช็กด่วน 4 สัญญาณเตือน บริษัทคุณกำลังส่งเสริม ‘การบ้างาน’ สุดอันตรายหรือไม่? appeared first on THE STANDARD.

]]>
AIS ทะยานฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ ปี 2567 รายได้รวม 2.1 แสนล้าน โตทุกธุรกิจหลัก ดันกำไรสุทธิ 3.5 หมื่นล้าน https://thestandard.co/ais-financial-results-2024/ Sat, 08 Feb 2025 11:36:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1039828 มนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน AIS แถลงผลประกอบการปี 2567

AIS ประกาศผลประกอบการปี 2567 เติบโตแข็งแกร่งในทุกกลุ่มธ […]

The post AIS ทะยานฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ ปี 2567 รายได้รวม 2.1 แสนล้าน โตทุกธุรกิจหลัก ดันกำไรสุทธิ 3.5 หมื่นล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
มนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน AIS แถลงผลประกอบการปี 2567

AIS ประกาศผลประกอบการปี 2567 เติบโตแข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ตบ้าน, และบริการลูกค้าองค์กร กวาดรายได้รวม 213,570 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 35,075 ล้านบาท

 

ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ AIS ยังคงรักษาการเติบโตและเดินหน้าลงทุนโครงข่ายดิจิทัลต่อเนื่องในปี 2568 ด้วยงบประมาณ 26,000-27,000 ล้านบาท

 

สำหรับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งสร้างรายได้หลักให้ AIS ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการ 45.8 ล้านเลขหมาย เติบโต 1.1 ล้านเลขหมายจากปีก่อนหน้า และมีผู้ใช้ 5G เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเป็น 12 ล้านเลขหมาย การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการนำเสนอบริการดิจิทัลที่หลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม และการขยายโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร

 

ธุรกิจบรอดแบนด์ (AIS 3BB fibre3) มีผู้ใช้บริการ 5 ล้านราย เติบโต 243,000 รายจากปีที่ผ่านมา การเติบโตนี้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การรับรู้รายได้จาก 3BB ที่เข้ามาเสริมธุรกิจ และความสำเร็จในการนำเสนอนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตบ้านใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภค

 

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรสร้างการเติบโตโดดเด่นถึง 22% จากปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันดิจิทัลที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริการคลาวด์และโครงข่ายข้อมูลที่ AIS ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกพัฒนาบริการ Hyperscale Cloud และ GSA Data Center เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล

 

มนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน AIS กล่าวว่า “ปี 2567 เป็นปีที่ธุรกิจเผชิญความท้าทาย แต่ AIS มุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดควบคู่กับการบริหารธุรกิจอย่างรอบคอบ ทำให้รักษาการเติบโตได้ตามเป้าหมาย และเตรียมลงทุนยกระดับโครงข่ายดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง”

The post AIS ทะยานฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ ปี 2567 รายได้รวม 2.1 แสนล้าน โตทุกธุรกิจหลัก ดันกำไรสุทธิ 3.5 หมื่นล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Address Siam-Ratchathewi สุนทรียะชีวิตเหนือระดับ https://thestandard.co/the-address-siam-ratchathewi-2/ Sat, 08 Feb 2025 11:14:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1039733

The Address Siam-Ratchathewi สุนทรียะชีวิตเหนือระดับ ยก […]

The post The Address Siam-Ratchathewi สุนทรียะชีวิตเหนือระดับ appeared first on THE STANDARD.

]]>

The Address Siam-Ratchathewi สุนทรียะชีวิตเหนือระดับ ยกระดับการอยู่อาศัยทุกห้วงอารมณ์ในการพักผ่อน ค้นหาคำตอบที่ใช่ของชีวิตที่ใฝ่ฝันไปกับคอนโดหรูระดับเพรสทีจ สะท้อนเอกลักษณ์ตัวตนไปกับ The Address คอนโดหรูใจกลางมหานคร

 

เพียง 150 เมตร จาก BTS ราชเทวี และ 0 เมตร จาก MRT ราชเทวี ให้ชีวิตเหนือระดับด้วยการเป็นคอนโดมิเนียมที่สูงที่สุดในย่านราชเทวี บนความสูง 50 ชั้น ที่สุดของการรังสรรค์อย่างประณีต สรรค์สร้างส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ พร้อมสัมผัสวิวมหานครได้ทั้งจากห้องพักส่วนตัว และ The Sky Facility บนชั้น Rooftop ที่รับวิวได้ถึง 360 องศา ชูเอกลักษณ์ความพิถีพิถันในการตกแต่งพื้นที่ส่วนกลาง เลือกสรรวัสดุอย่างดีที่สุดด้วย Brand ระดับ World Class

 

เป็นเจ้าของคอนโด The Address Siam-Ratchathewi

 

ONE PRICE ราคาเดียว ลดสูงสุดกว่า 5 แสนบาท

 

  • 1 BED 31 Sq.m. with 3 Meter Ceiling Height 7.59 ล้านบาท*
  • 2 BED High Floor with Sunset View 14.4 ล้านบาท*

 

วันนี้ ถึง 16 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น

 

ดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ https://apth.ly/qusw

 

[PR NEWS]

The post The Address Siam-Ratchathewi สุนทรียะชีวิตเหนือระดับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ปูพื้นฐาน ‘หุ้นจีน’ กับเหตุผลที่ไม่ควรพลาดก่อนขาขึ้นรอบใหม่มา? | NEW GEN INVESTOR EP.40 https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-40/ Sat, 08 Feb 2025 11:00:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1039057 new-gen-investor-ep-40

หุ้นจีนในอดีตเคยเป็นสวรรค์ของนักลงทุน ก่อนจะเข้าสู่ช่วง […]

The post ชมคลิป: ปูพื้นฐาน ‘หุ้นจีน’ กับเหตุผลที่ไม่ควรพลาดก่อนขาขึ้นรอบใหม่มา? | NEW GEN INVESTOR EP.40 appeared first on THE STANDARD.

]]>
new-gen-investor-ep-40

หุ้นจีนในอดีตเคยเป็นสวรรค์ของนักลงทุน

ก่อนจะเข้าสู่ช่วงขาลงในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จนคนที่ถือหุ้นจีนติดลบไปตามๆ กัน

 

แต่มาตอนนี้หลายคนน่าจะเคยได้ยินผ่านหูอยู่บ้างว่า หุ้นจีนถูกมากแล้ว!

จริงๆ แล้วเป็นแบบนั้นหรือไม่? แล้วถ้าเราอยากจะเริ่มลงทุนหุ้นจีน มีอะไรที่เราควรจะรู้ก่อนบ้าง

 

New Gen Investor เอพิโสดนี้ เฟิร์น – ศิรัถยา อิศรภักดี ชวน เอิร์ธ – รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส Investment Strategist ฝ่าย Wealth Product & Strategy บล.อินโนเวสเอกซ์ มาปูพื้นฐานการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ไล่ตั้งแต่หุ้นจีนมีตลาดอะไรบ้าง อะไรคือดัชนีสำคัญ แนวโน้มเศรษฐกิจจีนเป็นยังไง รวมทั้งหุ้นจีนที่น่าสนใจ

The post ชมคลิป: ปูพื้นฐาน ‘หุ้นจีน’ กับเหตุผลที่ไม่ควรพลาดก่อนขาขึ้นรอบใหม่มา? | NEW GEN INVESTOR EP.40 appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิกฤตเด็กไทยเกิดน้อยสุดในรอบ 75 ปี! แต่ pigeon ยังขายดี เพราะแม่ใน Gen Y มีกำลังซื้อ https://thestandard.co/pigeon-growth-despite-low-birth-rate/ Sat, 08 Feb 2025 08:23:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1039760 เมธิน เลอสุมิตรกุล ซีอีโอมุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล เผยกลยุทธ์ pigeon

วิกฤตเด็กเกิดต่ำสุดครั้งแรกในรอบ 75 ปี ไม่สะเทือน บมจ.ม […]

The post วิกฤตเด็กไทยเกิดน้อยสุดในรอบ 75 ปี! แต่ pigeon ยังขายดี เพราะแม่ใน Gen Y มีกำลังซื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมธิน เลอสุมิตรกุล ซีอีโอมุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล เผยกลยุทธ์ pigeon

วิกฤตเด็กเกิดต่ำสุดครั้งแรกในรอบ 75 ปี ไม่สะเทือน บมจ.มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กแบรนด์ pigeon เผย ขวดนมขายดีและเป็นที่นิยมของแม่ใน Gen Y กำลังซื้อสูง แต่ยังหวั่นตลาดต่างจังหวัดแข่งขันสูงจากแบรนด์โลคัลหั่นราคาขายหวังช่วงชิงลูกค้า

 

เมธิน เลอสุมิตรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขของเด็กเกิดใหม่น้อยลงทุกๆ ปี ต้องบอกว่าไม่ได้กระทบบริษัท ที่ผ่านมาเราเติบโตสวนทางกัน เนื่องจากครอบครัวตัดสินใจมีลูกน้อยลง สิ่งที่ตามมาคือความพร้อมและมีกำลังซื้อในการดูแลคุณภาพของลูก จึงทำให้กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก โดยเฉพาะเซ็กเมนต์พรีเมียมได้รับความนิยมมากขึ้น

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

เช่นเดียวกับมุ่งพัฒนา ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กมากว่า 40 ปี โดยมีแบรนด์ pigeon เป็นสินค้าที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น ในช่วงเริ่มแรกบริษัทเป็นแค่ตัวแทนนำเข้าสินค้าเข้ามาจำหน่ายในไทยเท่านั้น แต่เมื่อเริ่มประสบความสำเร็จในการทำตลาด จากนั้นจึงจับมือกับบริษัท pigeon ในญี่ปุ่น ลงทุนสร้างโรงงานในไทย เพื่อพัฒนาและผลิตสินค้าจำหน่ายในไทย โดยยึดจุดแข็งของโรงงานให้มีทีม R&D ทำหน้าที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมามาจากอินไซต์ความต้องการของแม่ยุคใหม่ จากนั้นก็จะทดลองจำหน่ายในไทย หากได้รับการตอบรับดีถึงจะขยายไปในแถบเอเชีย

 

ถึงวันนี้สิ่งที่น่าสนใจของเทรนด์แม่ยุคใหม่ในแต่ละเจเนอเรชันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ Gen Y พื้นฐานของคน Gen นี้จะเปรียบเสมือนเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลพ่อแม่ ต้องเก่งทุกอย่าง ซึ่งถ้ามีลูกก็ต้องการเครื่องมือมาช่วยเลี้ยงลูกได้สะดวกขึ้น

 

อีกหนึ่งเทรนด์คือปัจจุบันสังคมมีความหลากหลายของคน ทั้ง LGBTQIA+ ที่เท่าเทียมแล้ว ทุกคนสามารถทำหน้าที่แม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่หญิงพิการก็สามารถมีลูกได้หากมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุน โดยเทรนด์ทั้งหมดเป็นที่มาทำให้สินค้าของ pigeon ต้องมีนวัตกรรมเข้ามาช่วยเลี้ยงลูกได้ง่ายขึ้น

 

สำหรับแบรนด์ pigeon มีสินค้ากว่า 700-800 รายการ หลากหลายราคา ส่วนใหญ่เน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและบน ที่ผ่านมาสร้างรายได้เติบโตถึง 15% และสามารถสร้างยอดขายขวดนมได้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซีย อันดับ 2 และจีนในอันดับ 1

 

ทั้งนี้ ยอดขายส่วนใหญ่มาจากช่องทางโมเดิร์นเทรดและช่องทางออนไลน์ ที่ผ่านมาได้ขยายช่องทางขายครอบคลุม ซึ่งออนไลน์นั้นเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยของพฤติกรรมแม่หลังคลอดที่ไม่มีเวลาไปซื้อของให้ลูก ก็จะเลือกซื้อผ่านมาร์เก็ตเพลสต่างๆ ซึ่งเห็นได้ชัดในช่วงโรคโควิดที่ยอดขายเติบโตแรงถึง 27%

 

ขณะเดียวกันการทำตลาดก็มีความท้าทาย ปัจจุบันภาพรวมตลาดสินค้าขวดนมและจุกนมเด็กมีมูลค่า 1.5 พันล้านบาท pigeon ถือส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% แต่หนีไม่พ้นการแข่งขันที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น เห็นได้จากการที่มีผู้เล่นรายใหม่ๆ ทั้งจากเกาหลีและยุโรปกระโดดเข้ามาและนำสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาดึงลูกค้า

 

“ส่วน pigeon เป็นแบรนด์ญี่ปุ่น เราไม่กังวลแบรนด์คู่แข่งที่มาจากต่างชาติ แต่คู่แข่งโลคัลในไทยน่ากลัวมากกว่า เพราะแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาสูงไม่ทิ้งห่างจากเรามาก ขณะที่โลคัลแบรนด์จะมีราคาเข้าถึงง่าย ซึ่งจะได้เปรียบในตลาดต่างจังหวัดมากกว่า” เมธินย้ำ

 

นอกจากสินค้าแม่และเด็กแล้ว ธุรกิจของบริษัทแบ่งเป็น 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมการเติบโตของผู้บริโภคตั้งแต่เกิดจนสูงวัย ได้แก่

 

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก ถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก มีสัดส่วนรายได้การขายกว่า 60% จากรายได้รวมของบริษัท
  2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลและครัวเรือน ภายใต้แบรนด์ V care เช่น สำลีทารกและผู้ใหญ่ ผ้าเช็ดทำความสะอาดแบบเปียก ยาสีฟันสมุนไพร ฯลฯ ตามด้วยแบรนด์ FOGGY ผลิตภัณฑ์กระบอกฉีดน้ำ
  3. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องดื่มสมุนไพร แบรนด์เบา และลูกอม Himalaya ซึ่งพัฒนาขึ้นมาตอบรับเทรนด์การดูแลสุขภาพที่กำลังมาแรง
  4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุ V care ผลิตภัณฑ์สบู่เหลวและแชมพูแบบไม่ต้องล้างออก และ MUMU ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่

 

กลยุทธ์ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างยั่งยืน และจะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์แม่และเด็กได้ด้วยเช่นกัน

The post วิกฤตเด็กไทยเกิดน้อยสุดในรอบ 75 ปี! แต่ pigeon ยังขายดี เพราะแม่ใน Gen Y มีกำลังซื้อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
L’Oréal ทิ้งแดนมังกร! ประกาศลั่น ‘อเมริกาคือขุมทรัพย์’ แห่ซบตลาดใหม่ หลังยอดขายจีนทรุด https://thestandard.co/loreal-shifts-focus-china-us-market/ Sat, 08 Feb 2025 08:13:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1039741 ซีอีโอ L'Oréal ประกาศแผนย้ายฐานธุรกิจจากจีนสู่อเมริกา

โลกธุรกิจความงามต้องจับตา เมื่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการอย่าง […]

The post L’Oréal ทิ้งแดนมังกร! ประกาศลั่น ‘อเมริกาคือขุมทรัพย์’ แห่ซบตลาดใหม่ หลังยอดขายจีนทรุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ซีอีโอ L'Oréal ประกาศแผนย้ายฐานธุรกิจจากจีนสู่อเมริกา

โลกธุรกิจความงามต้องจับตา เมื่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการอย่าง L’Oréal ประกาศแผนครั้งสำคัญ หันเหทิศทางมุ่งหน้าสู่สหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว หวังปักธงรบในตลาดใหม่ที่มองว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งโอกาส หลังเผชิญกับความท้าทายในจีนที่เคยเป็นตลาดหลักมาอย่างยาวนาน

 

Nicolas Hieronimus ซีอีโอของ L’Oréal กล่าวอย่างชัดเจนว่า พวกเขามองอเมริกาเป็นดินแดนแห่งโอกาส พร้อมยอมรับว่าสถานการณ์ในจีนยังคงเป็นปริศนาขนาดใหญ่ ท่ามกลางยอดขายในเอเชียเหนือที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

สัญญาณอันน่าตกใจนี้ปรากฏชัดจากผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เมื่อยอดขายในภูมิภาคเอเชียเหนือของ L’Oréal ดิ่งลงถึง 3.6% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

 

ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า ตลอดปี 2024 ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ของ L’Oréal หดตัวลงประมาณ 4% ขณะที่ร้านค้าตามแหล่งท่องเที่ยวในเอเชียก็ร่วงลงถึง 10% ส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายจากจีนลดลงเหลือเพียง 17% ของยอดขายรวมทั้งหมด ซึ่งนับว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

Hieronimus ระบุถึงการเตรียมรับมือกับตลาดจีนที่ทรงตัว รวมถึงร้านค้าตามแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงยากลำบาก

 

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขในจีนจะดูน่ากังวล แต่ L’Oréal ยังคงมองเห็นโอกาสอันสดใสในอเมริกา Hieronimus ให้เหตุผลว่า พวกเขามั่นใจในศักยภาพของตลาดอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชากรเชื้อสายละตินและหลากหลายเชื้อชาติที่กำลังเติบโต ซึ่งจะนำมาซึ่งความต้องการด้านความงามใหม่ๆ ที่หลากหลาย

 

นอกจากนี้ เขายังมองว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่แข็งแกร่ง จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้แผนกผลิตภัณฑ์หรูของ L’Oréal เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ถึงแม้ว่ายอดขายในอเมริกาจะเติบโตเพียง 1.4% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งชะลอตัวลงจาก 5.2% ในไตรมาสก่อนหน้า และถือเป็นการเติบโตที่น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ Hieronimus ยังคงแสดงความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อโอกาสในตลาดอเมริกา

 

Hieronimus ย้ำว่า “วันนี้เราค่อนข้างมองบวกกับอเมริกา มั่นใจในตลาดเกิดใหม่ทรงตัวในยุโรปซึ่งเป็นฐานที่มั่น และยังคงมีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ในจีน”

 

สำหรับภาพรวมผลประกอบการของ L’Oréal ยอดขายตลอดทั้งปีเพิ่มขึ้น 5.1% สู่ระดับ 4.348 หมื่นล้านยูโร (ประมาณ 1.52 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หุ้นของ L’Oréal ปิดตลาดลดลง 3.5% ในวันศุกร์ (7 กุมภาพันธ์) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในจีน และส่งผลให้ราคาหุ้นโดยรวมลดลงมากกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ Hieronimus ยังกล่าวถึงความไม่แน่นอนในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าใหม่ของอเมริกา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป

 

อ้างอิง:

The post L’Oréal ทิ้งแดนมังกร! ประกาศลั่น ‘อเมริกาคือขุมทรัพย์’ แห่ซบตลาดใหม่ หลังยอดขายจีนทรุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
HSBC คาด ไทย-เวียดนาม อาจเป็นเป้าหมายต่อไปที่สหรัฐฯ จะใช้ ‘กำแพงภาษี’ โจมตีสินค้านำเข้า https://thestandard.co/us-tariffs-thailand-vietnam-hsbc-warning/ Sat, 08 Feb 2025 07:51:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1039737 เฟรเดอริก นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ HSBC แถลงผลกระทบกำแพงภาษีสหรัฐต่อไทย

HSBC ประเมินว่านโยบายการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ประเด […]

The post HSBC คาด ไทย-เวียดนาม อาจเป็นเป้าหมายต่อไปที่สหรัฐฯ จะใช้ ‘กำแพงภาษี’ โจมตีสินค้านำเข้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
เฟรเดอริก นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ HSBC แถลงผลกระทบกำแพงภาษีสหรัฐต่อไทย

HSBC ประเมินว่านโยบายการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ประเดิมใช้กับจีนเป็นประเทศแรกอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น โดยอีกหลายประเทศในยุโรป เวียดนาม รวมถึงไทย ก็มีความเสี่ยงที่ในอนาคตจะโดนการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

 

เฟรเดอริก นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคาร HSBC เปิดเผยในงานแถลงข่าวให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียและไทยปี 2025 ว่าการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมาพร้อมกับนโยบายเศรษฐกิจใหม่หลายๆ นโยบายยังมีความไม่แน่นอนอยู่ในหลายประเด็น

 

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นชัดเจนคือภาคการตลาดของโลกที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว จากนโยบายการตั้งกำแพงภาษีศุลกากร (Tariff) กับสินค้านำเข้าของประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจมีความเสี่ยงทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นในอนาคต แต่ในอีกมุมหนึ่งจะเป็นผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ

 

เฟรเดอริก นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ HSBC แถลงผลกระทบกำแพงภาษีสหรัฐต่อไทย

เฟรเดอริก นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคาร HSBC

 

คาด ไทย-เวียดนาม เป้าหมายต่อไป โดนตั้งกำแพงภาษี

 

สหรัฐฯ เริ่มประกาศใช้ Tariff กับสินค้านำเข้าจากจีนเป็นประเทศแรก อีกทั้งคาดว่าภายในปีนี้สหรัฐฯ จะประกาศใช้ Tariff ในประเทศคู่ค้าอื่นๆ เพิ่มเติม โดยมีกลุ่มประเทศเป้าหมายที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น ยุโรป เม็กซิโก รวมถึงไทย แต่เชื่อว่าจีนจะสามารถหาแนวทางรับมือกับการประกาศใช้ Tariff ได้

 

อีกทั้งประเมินว่ากำแพงภาษีอาจมีผลกระทบต่อจีนไม่มากอย่างที่คาดการณ์ไว้ เพราะจีนมีสัดส่วนการส่งออกไปทั่วโลกต่อจีดีพีของจีนอยู่ที่ประมาณ 12.5% ขณะที่มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ต่อจีดีพีของจีนอยู่ที่ประมาณ 2.5% เท่านั้น

 

โดยคาดว่าหากนโยบายด้านกำแพงภาษีเกิดขึ้นจริงอาจมีผลทำให้จีดีพีของจีนลดลงราว 0.2-0.3% และในมุมบวกประเมินว่าอาจทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยโตขึ้นราว 0.1-0.2% จากการที่สหรัฐฯ หันมานำเข้าสินค้าจากไทยแทนจีน

 

อย่างไรก็ดี ยังยากที่จะคาดเดาจากสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอน

 

ดังนั้นไทยกับเวียดนามจึงต้องระมัดระวังประเด็น Tariff ของสหรัฐฯ ซึ่งแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ในการรับมือโดยใช้ความร่วมมือการทำเขตการค้าเสรี (FTA) กับกลุ่มประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง

 

 

ข้อมูลของประเทศต่างๆ รวมถึงไทยที่มีความเสี่ยงในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง

 

อย่างไรก็ดี คาดว่าจะมีประเทศคู่ค้ารายอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงสูงมากที่ถูกกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เช่น เวียดนาม ที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงมาก โดยมีสัดส่วนประมาณ 11% ของจีดีพีของเวียดนาม ขณะที่ไทยพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สัดส่วนประมาณ 5% ของจีดีพีของไทย ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการความเสี่ยงในภาคการส่งออกมากกว่า

 

นอกจากนี้ทรัมป์ยังมีนโยบายในการผลักดันแรงงานต่างด้าวออกจากสหรัฐฯ ให้กลับประเทศต้นทาง ซึ่งอาจมีผลกระทบทำให้แรงงานลดลงและก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ

 

ทั้งนี้ จากประเด็นแรงงานในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลง อาจจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะไม่เร่งลดดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่มีผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางแข็งค่าขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อเศรษฐกิจของทั้งจีน ไทย และประเทศอื่นๆ

 

แนะไทยเตรียมรับแรงกระแทก Tariff สหรัฐฯ

 

เฟรเดอริกแนะนำให้อาเซียนกับไทยเตรียมรับมือความเสี่ยงจากประเด็น Tariff ของสหรัฐฯ โดยเน้นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและใช้จุดแข็งที่มี เพราะมีโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากประเทศจีน ด้วยเหตุผลดังนี้

 

ไทยมีข้อได้เปรียบในด้านค่าแรง หากพิจารณาจากปี 2562 ค่าแรงของไทยคิดเป็นอัตราประมาณ 110% เมื่อเทียบกับจีน ในขณะที่ในปี 2566 ค่าแรงของไทยปรับลดลงอยู่ที่ 70% เมื่อเทียบกับจีน เห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนจากจีนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปี 2558 ซึ่งคิดเป็นน้อยกว่า 10% ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทย แต่ในปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% โดยมีอุตสาหกรรมเด่นๆ คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงยังมีโอกาสในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การบริการ บริการด้านการแพทย์ และการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทยอยู่แล้ว

 

เฟรเดอริก นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ HSBC แถลงผลกระทบกำแพงภาษีสหรัฐต่อไทย

คาดการณ์จีดีพีประเทศในกลุ่มอาเซียนปี 2024-2026 ที่จัดทำโดย HSBC

 

อีกทั้งเพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดในการลงทุน ไทยควรเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในภาคอุตสาหกรรมที่เกื้อหนุนด้านการส่งออก เช่น ยานยนต์ โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า เคมี เกษตร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรพื้นฐาน แปรรูป และสินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป

 

โดยการเพิ่มความหลากหลายในด้านการส่งออกเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

 

นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทน่าจะเป็นอานิสงส์ต่อภาคการส่งออกของไทยอีกด้วย

 

ทั้งนี้ หากไทยสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ไทยมีโอกาสที่จะเข้าถึงตลาดได้อีกมากถึง 27 ประเทศ และยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจในการมาลงทุนในประเทศไทย ดังนั้นไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ในการผลักดันอุตสาหกรรมที่ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ จากการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิต นอกจากนั้นประเทศในสหภาพยุโรปยังมีความต้องการสินค้าและบริการด้านต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง สินค้าอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งถือเป็นโอกาสของไทยเช่นกัน

 

คาดจีดีพีไทยปี 67 โต 3.3% รับแรงหนุนท่องเที่ยวฟื้น-แรงหนุนแจกเงินหมื่น

 

เฟรเดอริกกล่าวต่อว่า คาดการณ์ว่าจีดีพีของไทยในปี 2568 จะขยายตัวประมาณ 3.3% ดีขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัวในระดับ 2.7% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งแม้จะยังฟื้นตัวไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด แต่ก็ใกล้เคียงมากแล้ว โดยเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะยังกลับมา และความกังวลด้านความปลอดภัยจากเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้อาจไม่ส่งผลกระทบมากนัก

 

นอกจากนี้ประเมินว่าอานิสงส์จากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตหรือการแจกเงิน 10,000 บาท น่าจะส่งผลบวกต่อการบริโภคไปอีกราว 6 เดือน รวมถึงอานิสงส์จากการลงทุนจากภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่น่าจะเกิดจะขึ้นในปีนี้ ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังไม่เร่งปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในเร็วๆ นี้ จึงยังมีมุมมองว่าจีดีพีของไทยจะยังเติบโตไปได้

 

อย่างไรก็ดี ในปี 2569 ประเมินว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีอาจจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะลดลงมาเหลือขยายตัวที่ราว 2.7% เนื่องจากแรงหนุนของนโยบายกระตุ้นการบริโภคที่น่าจะแผ่วตัวลง

 

ขณะที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจากปัญหาสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับสูงมาก มีสัดส่วนประมาณมากกว่า 90% ต่อจีดีพี เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้นคาดว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบทำให้การบริโภคภายในประเทศชะลอตัวในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย

 

ข้อมูลสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยที่รวบรวมโดย HSBC

 

มองไทยมีความเสี่ยงเข้าสังคมสูงวัย ทำขาดแรงงาน

 

ด้านมุมมองต่อ พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) ของไทยที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบล่าสุด

 

สำหรับโอกาสความสำเร็จของประเทศไทยจากการมี พ.ร.บ. Financial Hub ยังมีคำถามว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน แต่การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางด้านการเงินได้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเรื่องกฎเกณฑ์ที่เอื้ออำนวย ไทยควรต้องคำนึงถึงทรัพยากรบุคคลที่เพียงพอ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย จึงมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน

 

โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูง ไทยจึงต้องมองหาวิธีการดึงดูดแรงงานจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน และปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนต่อการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน ตั้งแต่เรื่องของการศึกษา ความยากง่ายของการมาทำงานที่ประเทศไทย เครือข่ายด้านการคมนาคมทั้งภายในและระหว่างประเทศ สิทธิประโยชน์ด้านวีซ่า ความสะดวกในการหาที่พักอาศัย อัตราภาษีสำหรับแรงงานชาวต่างชาติ และอื่นๆ

 

นอกจากนี้สิ่งที่ไทยควรให้ความสำคัญคือการหาตลาดเฉพาะทางในการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เช่น ตลาดตราสาร การบริหารจัดการกองทุน การค้า และบริการคำแนะนำด้านกฎหมาย

 

ภาพ: Chip Somodevilla / Shutterstock

The post HSBC คาด ไทย-เวียดนาม อาจเป็นเป้าหมายต่อไปที่สหรัฐฯ จะใช้ ‘กำแพงภาษี’ โจมตีสินค้านำเข้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทียบฟอร์ม AI ของปี 2025 https://thestandard.co/2025-ai-comparison/ Sat, 08 Feb 2025 02:30:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1039503 2025-ai-comparison

AI (Artificial Intelligence) กระแสทางเทคโนโลยีที่ถูกพูด […]

The post เทียบฟอร์ม AI ของปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
2025-ai-comparison

AI (Artificial Intelligence) กระแสทางเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2022 มาจนถึงปี 2025 โดยมี OpenAI (ChatGPT) เป็นผู้จุดชนวนกระแสดังกล่าว แต่สำหรับต้นปี 2025 DeepSeek เทคโนโลยี Generative AI จากฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ กลับกลายเป็นผู้เรียกเสียงฮือฮาให้กับชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง 

 

ในวันแรกของการเปิดตัว DeepSeek เป็นที่พูดถึงในความสามารถที่เทียบเท่า Generative AI ตัวอื่นๆ ของฝั่งสหรัฐฯ แต่กลับใช้ต้นทุนในการพัฒนาที่ต่ำกว่ามาก หรือเพียง 7-10% เท่านั้น 

 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังเปิดให้ใช้งานแบบ Open Source ต่างกับโมเดล AI หลายเจ้าในขณะนี้

 

อย่างไรก็ตาม กระแสของ DeepSeek เริ่มตีกลับ หลังจากค่อยๆ มีข้อมูลหลุดออกมาว่า แท้จริงแล้วความฉลาดของ DeepSeek ได้มาจากการเทรนโดยใช้ AI เจ้าอื่น 

 

ในบทความนี้ ทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพามาเทียบฟอร์ม AI โมเดลดังของปี 2025 ว่าใครมีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร 

 

เทียบฟอร์ม AI 2025

 

ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา

The post เทียบฟอร์ม AI ของปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ปรากฏการณ์ ‘คนโสด’ ระบาดทั่วโลก ทำอัตราเกิดดิ่งเหว คนใช้ชีวิตลำพังพุ่งสูงขึ้น | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-08022025/ Sat, 08 Feb 2025 02:05:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1039266

‘ปรากฏการณ์คนโสด’ กำลังระบาดหนักและขยายวงกว้างไปทุกมุมโ […]

The post ชมคลิป: ปรากฏการณ์ ‘คนโสด’ ระบาดทั่วโลก ทำอัตราเกิดดิ่งเหว คนใช้ชีวิตลำพังพุ่งสูงขึ้น | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘ปรากฏการณ์คนโสด’ กำลังระบาดหนักและขยายวงกว้างไปทุกมุมโลก จนนำไปสู่อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างน่าใจหาย และถูกจับตาโดยผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ปรากฏการณ์ ‘คนโสด’ ระบาดทั่วโลก ทำอัตราเกิดดิ่งเหว คนใช้ชีวิตลำพังพุ่งสูงขึ้น | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงเรียนไทย ‘ดับ’ แต่นานาชาติ ‘บูมพันล้าน!’ เปิด ‘ดีลลับ’ ตระกูลดัง ไขรหัสฮิต พ่อแม่ยอมจ่ายหลักล้าน https://thestandard.co/thai-vs-international-schools-trend/ Fri, 07 Feb 2025 13:09:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1039563 โรงเรียนนานาชาติ

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงหลายด้านที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ธุร […]

The post โรงเรียนไทย ‘ดับ’ แต่นานาชาติ ‘บูมพันล้าน!’ เปิด ‘ดีลลับ’ ตระกูลดัง ไขรหัสฮิต พ่อแม่ยอมจ่ายหลักล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงเรียนนานาชาติ

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงหลายด้านที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวและหันมาจับตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด นั่นคือ ‘โรงเรียนนานาชาติ’ ซึ่งกำลังเฟื่องฟูสวนทางกับโรงเรียนไทยทั่วไป

 

ในปี 2567 โรงเรียนนานาชาติขยายตัวถึง 5% สะท้อนความต้องการของผู้ปกครองที่ต้องการมอบการศึกษาคุณภาพสูงระดับสากลแก่บุตรหลาน ทั้งชาวไทยที่มองหาการศึกษาด้านภาษาและระบบที่แตกต่าง รวมถึงชาวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาเรียนในไทย ทำให้โรงเรียนนานาชาติกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา

 

บทความนี้จะพาไปเจาะลึกปรากฏการณ์โรงเรียนนานาชาติบูม สำรวจเหตุผลที่ธุรกิจนี้เติบโต กลุ่มเป้าหมายที่ยอมจ่ายค่าเทอมสูง และส่องอาณาจักรโรงเรียนนานาชาติของตระกูลดัง พร้อมไขข้อสงสัยว่าทำไมธุรกิจนี้ถึงกลายเป็นดาวรุ่งและมีแนวโน้มเติบโตต่อไปในอนาคต

 

สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด ฉายภาพกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในช่วงระยะหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งเด็กเกิดน้อยทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงที่อยู่อาศัยต่างๆ หากพิจารณาจากการซื้อ-ขายหรือการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งและมือสองเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อนหน้านี้เคยพัฒนาแต่โครงการที่อยู่อาศัยมาโดยตลอดก็ต้องหาโอกาสไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยหนึ่งในนั้นคือการลงทุนสร้างโรงเรียนนานาชาติเพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว 

 

หากสังเกตจะเห็นว่าปี 2567 การขยายตัวของโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้น 5% ที่ผ่านมากลุ่มทุนใหญ่ๆ ประกาศลงทุนพัฒนาโรงเรียนนานาชาติของรายใหญ่ๆ หลายโครงการ ทั้งในรูปแบบการไปซื้อกิจการหรือเข้าร่วมทุน และการลงทุนดังกล่าวจะเลือกเปิดในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด

 

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติบูม พ่อ-แม่ยอมจ่ายแม้ค่าเทอมแพง

 

โดยกลุ่มเป้าหมายของโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย แม้วันนี้ครอบครัวคนไทยจะมีลูกกันลดน้อยลง แต่คนที่มีลูกแล้วก็อยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีโดยเฉพาะในเรื่องของภาษาต่างประเทศ การเรียนในอีกระบบที่แตกต่างจากการเรียนการสอนแบบพื้นฐานในประเทศไทย 

 

รวมถึงชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน ที่ผ่านมาโรงเรียนนานาชาติในจีนติดปัญหาหลายอย่าง ทั้งในแง่ของหลักสูตรและค่าใช้จ่ายที่ไม่ตอบโจทย์ จึงนิยมส่งลูกมาเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยแทน 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

นอกจากจีนแล้วยังมีประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่นิยมส่งบุตรหลานมาเรียนในประเทศไทยมากขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่าตลาดโรงเรียนนานาชาติมีโอกาสการเติบโต เนื่องจากกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง ต้องการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาให้กับลูกหลาน เพราะทุกวันนี้บริบทเปลี่ยนไป พ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ ได้เรียนกับเจ้าของภาษาจริงๆ

 

แม้ต้องจ่ายค่าเทอมตั้งแต่ระดับแสนบาทขึ้นไปจนถึงหลักล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับไปเรียนที่ต่างประเทศค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่าเป็นเท่าตัว ดังนั้นโรงเรียนนานาชาติจึงเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ และยิ่งในวันนี้โรงเรียนนานาชาติไทยก็มีมาตรฐานเดียวกันกับทั่วโลกแล้ว

 

ส่องตระกูลใหญ่เจ้าของโรงเรียนนานาชาติ

 

สุรเชษฐยังให้ข้อมูลอีกว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีตระกูลไหนบ้างที่มีโรงเรียนนานาชาติเป็นของตัวเอง เริ่มจาก

 

  1. กลุ่มธนาคารกรุงเทพของตระกูลโสภณพนิช นอกจากธนาคารกรุงเทพแล้วยังลงทุนในโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีเพื่อรองรับรายได้จากการศึกษา และซื้อโรงเรียนนานาชาติบางแห่งเข้ามาเสริมพอร์ตธุรกิจ

 

  1. กลุ่มสยามกลการ โดยครอบครัวพรประภา ช่วงปลายปีที่ผ่านมามีการประกาศแผนการลงทุนเปิดโรงเรียนนานาชาติ ด้วยการดึงโรงเรียนนานาชาติไฮเกตจากสหราชอาณาจักรมาเปิดในประเทศไทย โดยจะเปิดในจังหวัดชลบุรี ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนสิงหาคม 2569 

 

  1. กลุ่มซีพีของตระกูลเจียรวนนท์ โดยหนึ่งในธุรกิจในประเทศไทยที่เปิดมามากกว่า 20 ปีคือ โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน แต่เป็นเพียงการลงทุนส่วนตัวของ ‘วรรณี เจียรวนนท์ รอสส์’ ที่เป็นผู้ก่อตั้ง

 

  1. กลุ่มธุรกิจบีทีเอสของตระกูลกาญจนพาสน์ โดย คีรี กาญจนพาสน์ ใช้ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือร่วมทุนกับทาง บริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง เปิดให้บริการโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ เมื่อปี 2563

 

  1. กลุ่มสหพัฒน์ของตระกูลโชควัฒนา เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจการศึกษา โดยขอเข้ามาถือหุ้นโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ เมื่อปี 2563 ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ดร.สาคร สุขศรีวงศ์

 

  1. กลุ่มปาลเดชพงศ์ ผู้ก่อตั้งเด่นหล้ากรุ๊ป โรงเรียนเด่นหล้าเปิดมานานเกิน 10 ปีแล้ว และได้ลงทุน 600 ล้านบาท เปิดโรงเรียนนานาชาติ DLTS เพื่อต่อยอดจากธุรกิจโรงเรียนของตนเองและรองรับความต้องการโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มมากขึ้น

 

  1. บริษัท มัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด จำกัด และ บริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของสองพี่น้องตระกูลธรรมวัฒนะ ร่วมกันลงทุน 1.2 พันล้านบาท เปิดโรงเรียนไทยอินเตอร์เนชั่นแนลสกูล นำทัพการบริหารโดย มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ ที่มีประสบการณ์การบริหารโรงเรียนสาธิตเกษตรนานาชาติมานานกว่า 17 ปี

 

  1. บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยกลุ่มอัสสกุล นอกจากจะมีธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตแล้วยังมีการลงทุนโรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟ่นส์ที่เขาใหญ่และกรุงเทพฯ

 

  1. บริษัท อาร์ทูดีวัน จำกัด ที่มี เพ็ญศิริ ทองสิมา เป็นผู้บริหาร เปิดโรงเรียนนานาชาติเบซิส บนถนนพระราม 2 โดยร่วมมือกับ บริษัท บีไอเอสบี จำกัด จากสหรัฐอเมริกา ด้วยเงินลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท  

 

  1. บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ของตระกูลเตชะอุบล มีการออกข่าวว่าจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสบนถนนพระราม 3 ด้วยเงินลงทุนทั้งโครงการประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท โดยมีส่วนหนึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติพระราม 3 ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการเปิดโรงเรียน Oxford International College Brighton ที่อังกฤษ ร่วมกับ Nord Anglia Education 

 

สุรเชษฐย้ำว่า ในปีนี้อาจมีนักลงทุนหรือบางตระกูลที่มีแผนจะพัฒนาโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจรอการเจรจาเพื่อความร่วมมือบางอย่างอยู่จึงยังไม่ประกาศออกมา 

 

ยิ่งเก่งภาษายิ่งได้เปรียบบนเวทีโลก

 

เช่นเดียวกับ วอลเตอร์ ลี ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสามภาษาจื้อ-เล่อ พัฒนา และประธานกลุ่มบริษัทจื้อ-เล่อ แสดงความเห็นกับ THE STANDARD ว่า ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ปกครองหลายๆ คนอยากให้บุตรหลานเข้าถึงการเรียนรู้ด้านภาษามากขึ้น ยิ่งถ้าได้ 2-3 ภาษาขึ้นไปจะมีโอกาสในเส้นทางการทำงานมากกว่า ทำให้โรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนสอนภาษาเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของผู้ปกครอง

 

 

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาที่มีคุณภาพในไทยมักจะมีค่าใช้จ่ายสูงทำให้เข้าถึงได้แค่กลุ่มที่มีกำลังซื้อเท่านั้น จากปัจจัยดังกล่าวทำให้กลุ่มบริษัทจื้อ-เล่อ เปิดโรงเรียนสามภาษาจื้อ-เล่อ ศิริเพ็ญ พัฒนา บนถนนรามคำแหง เป็นโรงเรียนแห่งแรกของโรงเรียนสามภาษาจื้อ-เล่อ พัฒนา โดยในปีการศึกษา 2568 เปิดรับเด็กอายุ 2-11 ขวบ เน้นสอนหลักสูตรสามภาษา ไทย อังกฤษ และจีน ในราคาที่เข้าถึงได้ 

 

“เชื่อว่าทักษะของการเรียนหลายภาษาจะช่วยให้นักเรียนสามารถออกไปแข่งขันบนเวทีโลกได้ ท่ามกลางโลกการทำงานที่มีการแข่งขันสูง”

 

โรงเรียนไทยเริ่มลดลงเรื่อยๆ

 

ทั้งหมดสอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ระบุว่า ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยยังคงเติบโตสวนทางกับภาพรวมจำนวนนักเรียนและโรงเรียนในไทยที่มีการหดตัวตามแนวโน้มของสถิติการเกิดที่ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ปกครองที่มีศักยภาพให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการศึกษามากขึ้น ทำให้ความนิยมโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นเช่นกัน 

 

สะท้อนจากตัวเลขจำนวนนักเรียนของโรงเรียนนานาชาติเติบโตเฉลี่ย 6.9% ต่อปี ทั้งนี้ ในปี 2567 ตลาดโรงเรียนนานาชาติมีมูลค่ามากกว่า 8 หมื่นล้านบาท เติบโต 13% จากปีก่อนหน้า จากจำนวนนักเรียนและโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเล่าเรียนที่มีการปรับตัวสูงขึ้น 

 

 

นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปสู่นอกกรุงเทพฯ มากขึ้น เนื่องจากพื้นที่ที่จำกัดในเมืองหลวงและการแข่งขันของจำนวนโรงเรียนในกรุงเทพฯ ที่เริ่มหนาแน่น โดยตลาดใหม่ที่น่าสนใจคือในหัวเมืองหลัก เช่น ระยอง เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งเป็นตลาดที่เริ่มมีศักยภาพ และมีจำนวนครัวเรือนรายได้เกิน 1 แสนบาทต่อเดือนขึ้นไปมากขึ้น 

 

เรียกได้ว่าการเติบโตของโรงเรียนนานาชาติสวนทางกับโรงเรียนในไทย โดยปี 2567 ลดลงถึง 0.5% หรืออยู่ที่ 33,098 โรงเรียน เนื่องจากจำนวนนักเรียนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในระหว่างปีการศึกษา 2555-2567 มีโรงเรียนบางแห่งต้องปิดตัวลงทั้งโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทย

 

The post โรงเรียนไทย ‘ดับ’ แต่นานาชาติ ‘บูมพันล้าน!’ เปิด ‘ดีลลับ’ ตระกูลดัง ไขรหัสฮิต พ่อแม่ยอมจ่ายหลักล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>