อนุสรณ์ ติปยานนท์ – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 21 Oct 2018 09:20:29 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 33) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-33/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-33/#respond Sun, 21 Oct 2018 09:20:29 +0000 https://thestandard.co/?p=135319

บทที่สามสิบสาม ข้าพเจ้าทราบข่าวการประกาศอิสรภาพของชวาจา […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 33) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่สามสิบสาม

ข้าพเจ้าทราบข่าวการประกาศอิสรภาพของชวาจากหนังสือพิมพ์เลอมอนด์ เช้าวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ข้าพเจ้านั่งอยู่ในร้านกาแฟ คาเฟ เดอ ปารีส์ พยายามวางท่าเป็นปัญญาชนที่เหน็ดเหนื่อยกับการขบคิดปัญหาเรื่องความดี ความงาม และความจริงมาตลอดคืน แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่เลื่อมใสในนักคิดชาวกรีกนัก แต่คุโณปการของพวกเขาในการขบคิดเรื่องเหล่านี้จับใจข้าพเจ้าอยู่เสมอ กาแฟเอสเพรสโซถ้วยน้อยถูกวางลงเบื้องหน้า ในขณะที่ข้าพเจ้าจุดบุหรี่กาลัวส์ขึ้นสูบอย่างกระหาย เช้าวันนั้นมีฝนตกลงมาเล็กน้อย เป็นฤดูร้อนแรกในฝรั่งเศสภายหลังสงครามผ่านพ้นไป และเป็นฤดูร้อนแรกที่ข้าพเจ้ากลับมาเป็นตัวของตัวเองในนาม ฟรังซัวร์ ดูแปง

 

เด็กขายหนังสือพิมพ์พยายามยัดเยียดหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นให้ข้าพเจ้า แม้ว่ามันจะไม่มีราคาค่างวดสักปานใด แต่การหลุดพ้นจากการติดตามข่าวสารบ้านเมืองมานับปีทำให้ข้าพเจ้าคร้านแม้จะหยิบเศษเหรียญให้เขา ทว่าเมื่อแลเห็นคำว่าอินโดนีเซียอยู่ในกรอบข่าว ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนใจ ข้าพเจ้ารับหนังสือพิมพ์จากเขาและโยนเศษเหรียญที่มากกว่าที่เขาควรจะได้รับ เด็กชายคนนั้นวิ่งหายลับตาไปในขณะที่ข้าพเจ้าไล่อ่านข้อความพาดหัวนั้นอย่างกระหาย

 

สิบโมงเช้าของวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม ซูการ์โน่ และฮัทธา สองผู้นำชาวอินโดนีเซีย ได้อ่านประกาศความเป็นอิสรภาพจากการปกครองและยึดครองของพวกดัตช์และกองทัพญี่ปุ่นจากบ้านพักของซูการ์โน่ในจาการ์ตา หลังการประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างไม่มีเงื่อนไขของกองทัพญี่ปุ่นเมื่อสองวันก่อน ทั้งซูการ์โน่และฮัทธาได้ฉกฉวยโอกาสประกาศอิสรภาพอย่างทันควันก่อนที่กองทัพญี่ปุ่นจะตั้งตัวได้ติด อันถือได้ว่าเป็นกุศโลบายอันล้ำเลิศ

 

หลังการอ่านพาดหัวข่าวนี้ ข้าพเจ้าเอนหลังลงกับเก้าอี้ ยกถ้วยกาแฟเอสเพรสโซขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะร้องขอไวน์แดงหนึ่งแก้วจากบริกร ข้าพเจ้าหวนความทรงจำถึงศรี อรพินโทและมาเม็ต พวกเขาคงยินดีกับข่าวนี้มากกว่าข้าพเจ้าเป็นแน่ถ้าหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อาจแน่ใจนักก็ตามที

 

ข้าพเจ้าเดินทางออกจากบันดุงหลังเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่จบสิ้นลงเมื่อปีกลาย ข้าพเจ้าฉลองวันคริสต์มาสอย่างเดียวดาย จ้องมองไปที่ท้องนาเบื้องนอก ปล่อยให้แผลทั้งกายและใจได้รับการรักษา ข้าวของเครื่องใช้ถูกตระเตรียมสำหรับการเดินทางเรียบร้อยแล้ว เรือจะพร้อมออกเดินทางจากชวาในวันที่ 2 มกราคม ข้าพเจ้ามีเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น มากพอที่จะกระทำอะไรได้หลายอย่าง หรือน้อยเกินไปที่จะกระทำสิ่งสำคัญ กระนั้นข้าพเจ้าเลือกที่จะไม่กระทำอะไรเลย

 

 

ในวันสุดท้ายก่อนการเดินทางนั่นเองที่ข้าพเจ้าพบว่ายังมีบางสิ่งที่ควรค่าแก่การกระทำ ข้าพเจ้ามาถึงที่นี่ด้วยคำชักชวนของกรมพระฯ ดังนั้นข้าพเจ้าควรไปร่ำลาท่านอย่างเป็นทางการ แม้ว่าข้าพเจ้าหมดความปรารถนาที่จะกระทำงานให้ท่านแล้ว แต่อย่างน้อยการบอกกล่าวท่านถึงเหตุผลของการลาจากก็เป็นสิ่งที่จำเป็น บ่ายวันที่ 1 มกราคม ข้าพเจ้าเดินออกจากบ้านพักตรงไปยังวิลล่าของกรมพระฯ ทุกอย่างที่นั่นเงียบสงบ ไม่มีรถ ไม่มีผู้คน ไม่มีมาเม็ต ข้าพเจ้าเคาะประตูวิลล่าอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่สาวใช้ชาวชวาคนหนึ่งจะเปิดประตูขึ้น นางบอกให้ข้าพเจ้าตรงไปยังห้องบรรทม ถ้าหากกรมพระฯ มีเรี่ยวแรงพอจะสนทนากับข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็จะได้รับโอกาสในการพบท่าน

 

ข้าพเจ้ารู้มาก่อนหน้าว่ากรมพระฯ ประชวรอย่างหนักด้วยโรคไต แต่ข้าพเจ้าไม่เคยล่วงรู้ว่าอาการของกรมพระฯ จะหนักหนาถึงเพียงนี้ เมื่อบานประตูถูกเปิดออก ร่างอันผ่ายผอมของกรมพระฯ ก็ผินมาทางข้าพเจ้า “แฮร์ ไฮน์ริช เบิล นั่นเอง เข้ามาก่อนสิ” ข้าพเจ้าลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงที่บรรทม พระธิดาที่เฝ้าอาการป่วยอยู่เดินออกจากห้องนั้นไปอย่างช้าๆ กรมพระฯ ชี้นิ้วไปยังกองเอกสารที่ปลายเตียง “ฉันเตรียมงานส่วนที่เหลือให้ท่านแล้ว บันทึกของชีวิตฉัน แต่เกรงว่า แต่เกรงว่า…ฉันไม่มีโอกาสจะเขียนมันได้จบแล้วกระมัง แฮร์ ไฮน์ริช เบิล”

 

สายตาของข้าพเจ้าที่จ้องมองกองเอกสารนั้นบอกได้ว่ามันเพิ่มเติมจากคราก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จริงดังคำตรัส พระวรกายที่บอบบางเช่นนี้น่าจะไม่อาจทำการใดได้อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง “กระหม่อมคิดว่าหากทูลกระหม่อมฯ รักษาพระวรกายจนหาย โอกาสที่ความทรงจำนี้จะถูกบันทึกลุล่วงไปย่อมมีโดยแน่แท้” กรมพระฯ ทรงแย้มสรวลเล็กน้อย “ขอบคุณมากสำหรับคำปลอบใจ แฮร์ ไฮน์ริช เบิล เป็นคำปลอบใจโดยแท้ เพราะเรารู้ดีว่าเวลาของเราบนแผ่นดินนี้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว” หลังตรัสคำนั้น กรมพระฯ ก็นิ่งเงียบไป “เมื่อคืนเราฝันถึงรถขบวนไฟหนึ่ง เป็นรถไฟขบวนเดียวกันกับที่พาเราออกจากสยาม รถไฟแล่นออกจากหัวลำโพง แต่แทนที่จะหยุดจอดที่ปีนังตามความทรงจำของเรา รถไฟขบวนนั้นกลับแล่นไปรอบโลกรอบแล้วรอบเล่า เรานั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูฉากต่างๆ เบื้องนอกเปลี่ยนไป เทพีเสรีภาพที่นิวยอร์ก หอไอเฟลที่ปารีส นาฬิกาบิ๊กเบนที่ลอนดอน พีระมิดที่กีซา ทุกที่ที่เราอยากไปเยือนปรากฏต่อเบื้องหน้าของเรา ภาพในความฝันที่ว่านี้ทำให้เราตระหนักว่าเวลาของเราใกล้จบสิ้นลงแล้ว ความฝันและความหวังของเราปรากฏขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เป็นเครื่องตักเตือนเราว่าแม้ว่ามันไม่อาจเป็นไปได้ในความจริง มันก็ปรานีให้เป็นจริงได้ในความฝัน”

 

กรมพระฯ ถอนหายใจยาว “แฮร์ ไฮน์ริช เบิล โปรดนำเอกสารเหล่านั้นไป อย่าทิ้งมันไว้ที่นี่ เราไม่อยากให้ใครล่วงรู้ว่าเราคิดอย่างไรกับเหตุการณ์ในวันที่ 24 มิถุนายน ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะถ่ายทอดมัน ช่วยทำลายมันทิ้ง มีสองทางเลือกสำหรับเอกสารชุดนี้ คือประกาศมันสู่ที่สาธารณะหรือไม่ก็ทำลายมัน”

 

ข้าพเจ้ากราบลากรมพระฯ หลังคำร้องขอนั้น ทูลกระหม่อมหลับพระเนตรลงแล้วเมื่อข้าพเจ้าจากมา ข้าพเจ้าประคองเอกสารชุดนั้นไว้ในมืออย่างทะนุถนอม และในคืนสุดท้ายก่อนลาจากบันดุง ข้าพเจ้าก็เผามันทิ้งพร้อมกับเอกสารก่อนหน้า เถ้าถ่านของเอกสารเหล่านี้ลอยไปตามลม เตือนให้ข้าพเจ้านึกถึงเถ้าถ่านของบุหรง ความทรงจำที่มีค่าของข้าพเจ้าทั้งสองประการถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว คืนนั้นข้าพเจ้านอนลืมตาจนเช้าก่อนจะโดยสารรถรับจ้างไปยังท่าเรือ ขึ้นเรือ และจากลาบันดุงมา

 

กรมพระฯ สิ้นพระชนม์ในอีกสองสัปดาห์ต่อมา

 

ข้าพเจ้าวางหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลง สั่งไวน์แดงอีกหนึ่งแก้ว ชีวิตชีวาของเราชาวฝรั่งเศสได้หวนกลับมาอย่างช้าๆ รอยยิ้ม มุกตลกขบขัน แต่กระนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าตระหนักว่าสิ่งนี้ไม่จีรังปานใดนัก เราทุกคนบนโลกนี้ล้วนเป็นภาพเงาของบางสิ่ง ข้าพเจ้า ฟรังซัวร์ อูแบง เคยปรากฏบนโลกในฐานะของไฮน์ริช เบิล ในขณะที่ไฮน์ริช เบิล ที่เคยมีชีวิตอยู่จริงได้จากลาโลกนี้ไปแล้ว และหลังการจากลาโลกนี้ไปของข้าพเจ้าอาจมีใครบางคนอาศัยภาพเงาของฟรังซัวร์ อูแบง ก็เป็นได้ เราทุกคนไม่ต่างจากเงาของวายังที่ปรากฏบนฉากสีขาว เมื่อการแสดงจบสิ้นลง ภาพเงานั้นหายไป และไม่มีใครสนใจแม้กระทั่งการมีอยู่จริงของสิ่งที่ก่อให้เกิดภาพเงาเหล่านั้น มันวุ่นวายเกินไปสำหรับโลกแห่งความเป็นจริง การเข้าใจภาพเงาเหล่านั้นเจ็บปวดเกินไปสำหรับโลกแห่งความเป็นจริง

 

ข้าพเจ้าดื่มไวน์ที่ถูกนำมาใหม่ในรวดเดียว วางธนบัตรไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินหายไปในแสงแดดจ้าแห่งนครปารีสที่กำลังฟื้นตัวจากบาดแผลยาวนานของมัน

 

จบ

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 33) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-33/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 32) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-32/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-32/#respond Fri, 19 Oct 2018 13:41:08 +0000 https://thestandard.co/?p=134877

บทที่สามสิบสอง เรื่องราวของความลับนั้นเมื่อถูกเฉลยออกมา […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 32) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่สามสิบสอง

เรื่องราวของความลับนั้นเมื่อถูกเฉลยออกมาแล้วมันกลับง่ายดายจนข้าพเจ้าคาดเดาไม่ถึง ข้าพเจ้าพยายามขบคิดว่าเพราะเหตุใดกันเล่าข้าพเจ้าจึงละเลยความจริงที่แลเห็นได้ชัดแจ้งเช่นนั้นไปได้ หลังการปรากฏตัวของบุหลัน บุหรงที่เคยติดต่อกับข้าพเจ้ากลับหายไป เธอหายไปพร้อมกับการพังทะลายของ รสา ดาราห์ ในคืนนั้น และแทบจะทันควัน ข้าพเจ้าก็ได้พบกับหญิงสาวที่อ้างตนว่าเป็นพี่น้องฝาแฝดกับเธอ หญิงสาวที่เป็นคู่รักของ ศรี อรพินโท เรื่องเล่าของเธอที่ว่าด้วยชีวิตในวัยเด็กซึ่งถูกกระทำจากแม่เลี้ยงใจร้ายเป็นเทพนิยายเก่าแก่ที่ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าพเจ้าควรเฉลียวใจต่อเรื่องเล่าที่ว่านี้ แต่ก็นั่นเอง ความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจจากการพบว่าหญิงสาวที่ตนเองหมายปองได้กลายเป็นผู้ที่มีเจ้าของอื่นครอบครองแล้วทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจขบคิดในเรื่องราวอื่นได้นอกจากการผลักไสความจริงว่าเธอเป็นหญิงสาวอีกคน ไม่ใช่คนที่ข้าพเจ้าร่วมเสน่หาด้วยในคืนก่อนหน้านั้น

 

หากการเดินทางมาสู่ชวาและดินแดนที่ห่างไกลนี้คือการเปิดประตู่สู่เรื่องราวลึกลับดำมืดจำนวนมากมาย การเดินทางไปเสียจากมันคือการปิดประตูบานดังกล่าวเสียให้สนิท ข้าพเจ้าพบบุหรงเป็นครั้งแรกในยามเย็นขณะที่เธอโดยสารรถของมาเม็ต ก่อนที่จะพบเธออีกในอาการกึ่งจริงกึ่งฝัน ก็ใครไหนเล่าจะจัดการเสียให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้หากไม่ใช่ตัวมาเม็ตเอง เขาล่วงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าพเจ้าหาใช่ ไฮน์ริช เบิล ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาดังที่ประโคม หากแต่เป็นฟรังซัวส์ อูแบง ผู้ที่เป็นบุคคลที่มือนั้นเปื้อนกลิ่นคาวเลือดและต้องการจะหลีกเร้นจากความจริงข้อนี้ การส่งบุหรงมาเตือนข้าพเจ้าให้ออกเสียจากชวานั้นก็ด้วยเหตุที่ว่าเขาไม่อาจแน่ใจว่าข้าพเจ้าจะร่วมมือเข้ากับฝ่ายใด แต่ท่าทีที่ไม่มีทางเป็นมิตรได้เลยระหว่างข้าพเจ้ากับพันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ได้ชักนำให้พวกเขาเปลี่ยนใจ อาจเป็นการดีเสียกว่าที่จะได้ข้าพเจ้าเป็นพวก อีกทั้งเมื่อข้าพเจ้าอยู่ภายใต้การดูแลของมาเม็ต การจะสังหารหรือปิดปากข้าพเจ้าเสียเมื่อข้าพเจ้าแปรพักตร์ก็สามารถกระทำการได้สะดวกอยู่ ดังนั้นการจัดวาง รสา ดาราห์ ขึ้นอย่างเร่งด่วนที่อาคารด้านหน้าของร้าน บุหงา รำไพ นั้นก็เพื่อผูกข้าพเจ้าเข้ากับการเป็นสมัครพรรคพวกนั่นเอง ก็บุรุษใดเล่าที่จะใจแข็งพอที่จะปฏิเสธคำขอจากสตรีที่เขาได้ผูกใจปฏิพัทธ์ลงเสียแล้ว

 

แผนการณ์ทั้งหมดนั้นเป็นไปอย่างเเนบเนียนไร้ช่องโหว่เว้นเสียแต่จะมีบางอย่างที่นอกเหนือการควบคุม ซึ่งน่าเศร้าที่บางอย่างที่อยู่นอกเหนือการควบคุมนั้นมีอยู่จริงภายใต้นามว่า โทรุ ซากาโมโตะ

 

ปฏิบัติการตรวจค้นทั่วเมืองบันดุงของ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ในคืนนั้นทำให้ รสา ดาราห์ ต้องหายสาบสูญไปโดยพลัน ศรี อรพินโท กล่าวกับข้าพเจ้าว่าพวกเขามีความตั้งใจจะสนทนากับข้าพเจ้าหลังข้าพเจ้าตื่นขึ้น และหากเป็นไปได้แล้ว พวกเขาถึงกับจะจัดงานวิวาห์ระหว่างข้าพเจ้ากับบุหรงให้เลยทีเดียว แต่เหตุการณ์อันไม่คาดฝันภายใต้การนำของบุรุษที่พวกเขาเกลียดชังทำให้ทุกอย่างบิดเบี้ยวไปหมด ทุกสิ่งถูกเคลื่อนย้าย ทุกสิ่งถูกกลบเกลื่อน ไม่เว้นเเม้แต่ชายผู้เป็นเจ้าของร้าน บุหงา รำไพ น่าเศร้านักที่เขาต้องตกเป็นเหยื่อกระสุนของ โทรุ ซากาโมโตะ อย่างไร้คุณค่าเพียงเพื่อแลกกับเงินปิดปากจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นเอง บุหรงถูกส่งไปรออยู่ที่ที่ตั้งของกลุ่มต่อต้านฯ ในขณะที่ ศรี อรพินโท และมาเม็ต เฝ้ารอการตื่นขึ้นของข้าพเจ้า และเมื่อ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ยืนกรานที่จะเข้าไปตรวจตราอาคารหลังที่รสา ดาราห์ เคยดำรงอยู่ การปะทะกันจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เมื่อข้าพเจ้าฟังคำสารภาพของ ศรี อรพินโท ถึงตรงนี้ จิตใจของข้าพเจ้าก็หม่นเศร้าลงอย่างยิ่ง อันที่จริงเมื่อข้าพเจ้ารับรู้ว่าบุหรงและบุหลันเป็นบุคคลเดียวกันแล้ว ข้าพเจ้าควรตระหนักเสียตั้งแต่ต้นว่าบุหรงหรือบุหลันไม่มีทางเป็นคนรักของ ศรี อรพินโท ได้เลย เพราะหยดเลือดบนเตียงในคืนนั้นบ่งบอกว่าเธอเป็นสาวบริสุทธิ์ และชายคนแรกที่เธออนุญาตให้แตะต้องนั้นคือข้าพเจ้าเอง

 

เจ้าสาวที่ข้าพเจ้าคู่ควรกับการวิวาห์บัดนี้ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว

 

คำพูดต่อจากนั้นของ ศรี อรพินโท กลายเป็นอากาศธาตุสำหรับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะความจริงที่ว่า บุหรงหรือบุหลันคือลูกสาวเพียงคนเดียวของอับดุล อาฟิซ ครอบครัวที่ทรงอิทธิพลแห่งโบกอร์ เธอถูกส่งไปเรียนที่อัมสเตอร์ดัมตั้งแต่วัยรุ่น ที่นั่นเองที่เธอได้พบกับศรี อรพินโท ซึ่งถูกส่งตัวไปในฐานะข้าราชการหนุ่ม ทั้งคู่พบปะกับเหล่าคนหนุ่มสาวหลายคนที่นั่นและร่วมอุดมการณ์ที่จะปลดปล่อยชวาเสียจากการตกอยู่ภายใต้การเป็นอาณานิคม เมื่อสงครามอุบัติขึ้นในยุโรป พวกเขาพากันเดินทางกลับบ้านเกิดของตนเอง ศรี อรพินโท ลาออกจากราชการ หลบหนีหายไปในป่าทึบ บุหรงดำรงตนในฐานะผู้สืบทอดกิจการของตระกูล และเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินคนสำคัญ ในช่วงที่อยู่ในยุโรปนั้น พวกเขาผูกมิตรกับชาวต่างชาติที่รักชาติจำนวนมาก และชื่อของข้าพเจ้าถูกส่งผ่านมาถึงพวกเขาในฐานะของมือสังหารที่ผ่านสงครามมาจำนวนมาก และพร้อมจะรับงานสำคัญเสมอเมื่อค่าจ้างสูงส่งเพียงพอ

 

พวกเขาเสนอค่าจ้างที่สูงมากในการว่าจ้างข้าพเจ้าในครั้งนี้ นั่นคือการใช้ตัวของบุหรงเองเป็นมัดจำ

 

ข้าพเจ้าอำลา ศรี อรพินโท ในเย็นนั้น เมื่อข้าพเจ้าสัมผัสมือของเขา ความรู้สึกที่บอกต่อตนเองว่านี่คือการจากลาที่จะไม่มีคำว่า จนกว่าเราจะพบกันอีก ซึ่งความรู้สึกที่ว่านี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นจริงในอีกหลายปีต่อมา มาเม็ตเปิดประตูรถ ข้าพเจ้าขึ้นนั่งที่ด้านหลังของรถและรู้สึกว่าตนเองกลับสู่การเป็น ไฮน์ริช เบิล อีกครั้ง มาเม็ตเองก็ดูจะกลับสู่ความเป็นมาเม็ตผู้เป็นสารถีรถที่เงียบขรึม เราทั้งคู่ดูจะจงใจทิ้งทุกอย่างที่เคยเผชิญและผจญภัยร่วมกันไปเสียให้หมดสิ้น ภายหลังการจากไปของบุหรง

 

 

ที่พักของข้าพเจ้ายังคงเป็นเช่นเดิม ข้าพเจ้าละทิ้งมันไปไม่กี่วันนับจากการออกเดินทางในคืนนั้นเพื่อไปยังร้าน บุหงา รำไพ แต่มันเปลี่ยวร้างและหม่นหมองราวกับปราสาทที่ถูกทิ้งร้างมานับแต่ยุคกลาง ฝุ่นผง หยากไย่ ใยแมงมุม เกาะอยู่ตามมุมต่างๆ เศษเถ้าบุหรี่ในที่เขี่ยบุหรี่ เอกสารภาษามธุเรศ เสื้อผ้าและของใช้ของข้าพเจ้ากลายเป็นสิ่งแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง มีแต่วัตถุจากอดีตที่รอการทำลายและละทิ้ง มีเพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏขึ้นใหม่ในสถานที่แห่งนั้น นั่นคือ จดหมายจาก พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ

 

จดหมายฉบับนั้นประกอบด้วยซองจดหมายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ข้าพเจ้าส่องมันกับแสงไฟจากโคมไฟ ข้างในนั้นมีกระดาษจดหมายแผ่นบางแผ่นหนึ่ง หน้าซองจ่าหน้าถึงข้าพเจ้า ไม่มีแสตมป์ ดังนั้นมันจึงถูกส่งมาโดยใครสักคนที่ไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์อย่างแน่แท้

 

ข้าพเจ้าจุดบุหรี่ขึ้นสูบ เอนกายกับเก้าอี้หวายที่ระเบียงบ้าน จดหมายของกรมพระฯชักนำข้าพเจ้ามาที่นี่ ส่วนจดหมายฉบับนี้จะชักนำข้าพเจ้าไปยังที่ใดนั้นข้าพเจ้าไม่อาจรู้ได้ ข้าพเจ้าใช้มีดด้ามเล็กเปิดซองมันออก ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นปรากฏขึ้นเต็มแผ่นกระดาษที่บรรจุอยู่ภายในนั้น

 

“ถึง ฟรังซัวส์ อูแบง”

 

เมื่อท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ข้าพเจ้าคงหาชีวิตไม่แล้ว และถ้าท่านไม่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ นั่นก็หมายความว่าท่านได้หาชีวิตไม่แล้วเช่นกัน นี่เป็นจดหมายที่ต้องถูกอ่านโดยเงื่อนไขที่ว่าต้องมีใครสักคนในระหว่างเราจากโลกนี้ไป อาจเป็นผม อาจเป็นคุณ ไม่มีใครรู้ได้ ในยามที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ ผมยังมีชีวิตอยู่ แต่ในยามที่มันถูกเปิดอ่านจะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งจากโลกนี้ไป ผมแน่ใจเช่นนั้น และผมหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นผม เพราะผมอยากให้คุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้และกระทำบางอย่างเพื่อผม

 

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราทั้งคู่ต้องเป็นศัตรูกัน โดยเฉพาะในสงครามที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเราเลย มีคำกล่าวว่านายทหารญี่ปุ่นล้วนครอบครองทุกอย่างที่ได้มาในสงครามเว้นเสียแต่ความรู้สึกส่วนตัว ดังนั้นสิ่งที่ผมจะเล่าให้คุณฟังจึงหวังว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกเป่าร้องโดยวิญญาณของนายทหารญี่ปุ่น ซึ่งนั่นคงไม่ทำให้ผิดจากหลักการใดๆกระมัง

 

ผมจำเป็นต้องสังหารบุหรง ขอให้คุณเข้าใจด้วยว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ผมถูกส่งมากระทำในการศึกครั้งนี้ ฉากเบื้องหน้าของผมในการคุมกำลังเป็นเพียงกลลวง ทั้งหมดที่ผมกระทำคือการดึงเธอออกมาสู่ที่แจ้ง มาสู่ความตาย แต่นั่นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งเพราะเธอหลบซ่อนอยู่ในเงามืดแทบตลอดเวลา เธอเป็นนกที่บินอยู่ภายใต้เงาแห่งดวงจันทร์

 

อดิรัต ฮาฟิช ชื่อที่แท้จริงของเธอ ไม่ว่าเธอจะมีชื่อใดก็ตามสำหรับคุณ ชื่อที่แท้จริงของเธอคือ อดิรัต ฮาฟิช

 

นับจากเข้าครอบครองชวาของกองทัพญี่ปุ่น สิ่งเดียวที่ทำความลำบากใจให้กับพวกเราคือทุนอันไม่จำกัดของฝ่ายต่อต้าน เราอาจปราบปราม กำจัดกำลังของคู่ต่อสู้ได้ แต่ตราบใดที่พวกเขายังมีทุนในการต่อสู้ มันก็เปรียบเสมือนกับการตัดหัวสัตว์ประหลาดไฮดรา หนึ่งหัวที่พร้อมจะงอกมาใหม่อย่างมากมาย ไม่มีประโยชน์ที่จะมุ่งไปที่การจัดการคน ชาวชวามีคนที่พร้อมจะลุกขึ้นสู้กับกองทัพญี่ปุ่นได้ไม่จบสิ้นหากพวกเขายังสามารถหาปืน ได้รับอาหารอย่างพอเพียง พวกเรารู้ว่าทุนทั้งหมดมาจากตระกูลฮาฟิชเมื่อปีกลาย แต่กว่าจะรู้ว่าทั้งหมดนั้นถูกบริหารโดย อดิรัต ฮาฟิช ก็เมื่อต้นปีนี้เอง การทำลายเครือข่ายของเธอเป็นไปด้วยความยากลำบาก ครอบครัวของเธอมีธุรกิจทั้งน้ำมัน ดีบุก ยางพารา ข้าวสาร และทองคำ การไล่ล่าเครือข่ายของเธอนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก บางครั้งเธอปรากฏตนที่บอร์เนียว บางคราเธอปรากฏตัวที่มลายู บาหลี ไกลจนแม้กระทั่งโชนัน อาดิรัต ฮาฟิช คุมกองทัพทางการเงินขนาดใหญ่ที่เราไม่อาจเดาทางได้ อีกทั้งเธอยังคงความชาญฉลาด กลุ่มคนที่พร้อมจะปกป้องเธอ ทางเดียวที่จะนำเธอออกมาสู่ที่แจ้งดังที่ผมกล่าวได้คือรอให้เธอปรากฏตัว โดยเฉพาะการปรากฏตัวเมื่อเธอเองตกหลุมรักใครสักคน

 

โอกาสของพวกเรามาถึงเมื่อผมได้รับการแจ้งว่าเธอไปพบคุณนับแต่วันแรกที่คุณมาถึงที่นี่ พวกเราเริ่มสงสัยคุณและคิดว่าคุณเป็นใครจึงสำคัญต่อเธอนัก การดักรถของคุณในวันนั้นไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลังสนทนากับคุณในคืนนั้น และผมเชื่อว่าการคาดคั้นความจริงจากคุณย่อมไม่ก่อประโยชน์ใดๆ พวกเราทำได้แต่เพียงรอ รอเท่านั้นเอง

 

โชคดีที่การรอนั้นไม่นาน รสา ดาราห์ ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเราเชื่อว่าเธอต้องอยู่เบื้องหลัง และไม่ผิดจากคาด เราพบเธอและพบคุณอีกครั้งด้วย

 

นั่นเองคือทั้งหมดที่เราติดตามคุณอย่างไม่ลดละ เราเชื่อว่าเธอรักคุณ และเช่นเดียวกับนกที่แม้จะรักอิสระสักเพียงใด แต่สำหรับผู้ปกปักมันแล้วไม่ช้าก็เร็ว มันต้องบินกลับสู่อ้อมแขนของผู้ที่รักเป็นแน่

 

เราทุ่มเททุกอย่าง ตีวงเข้ามา และในคืนก่อนหน้าที่ผมจะออกข่าวการประหารชีวิตเพื่อนร่วมงานของเธอ ผมได้นั่งเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงคุณ ผมเชื่อว่าผมจะได้ตัวเธอ แต่หากไม่ ผมก็ยินดีที่จะตาย ผมเหนื่อยล้ากับสงครามเต็มที มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล สงครามจะจบลงในไม่ช้านี้แล้ว แม้จะมีการออกข่าวเพียงใดก็ตาม ทั้งคุณและผมล้วนรู้ดีว่าสงครามใกล้จะจบสิ้นลงแล้ว ญี่ปุ่นจะเป็นผู้แพ้สงคราม และชวาจะเป็นอิสรภาพในที่สุด ผมฝืนความจริงข้อนั้นไม่ได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ผมจะกระทำได้คือทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ผมต้องสังหารเธอให้สำเร็จ หรือไม่ผมก็ต้องสังหารตนเองให้จบสิ้นไป

 

หวังว่าเมื่อคุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ผมจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อดิรัต ฮาฟิช ยังมีชีวิตอยู่ และเธอยังมีชีวิตอยู่ในอ้อมแขนของคุณ ผมได้สูญเสียคนรักของผมไปในสงคราม และผมไม่ปรารถนาที่จะให้คุณต้องเผชิญสิ่งเดียวกับผม แต่โปรดให้อภัยผม ในฐานะของนายทหารญี่ปุ่น พวกเราไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองเลย

 

โทรุ ซากาโมโตะ

 

(ติดตาม ‘ตอนจบ’ ของ วายัง อมฤต ได้ต่อในวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2561)  

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 32) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-32/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 31) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-31/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-31/#respond Fri, 05 Oct 2018 09:49:11 +0000 https://thestandard.co/?p=128649

บทที่สามสิบเอ็ด กระสุนปืนจากปลายกระบอกของ พันตรี โทรุ ซ […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 31) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่สามสิบเอ็ด

กระสุนปืนจากปลายกระบอกของ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เข้าเป้าอย่างแม่นยำ แต่ไม่ใช่ที่ลำตัวของข้าพเจ้า มันพุ่งเข้าสู่ลำคอของบุหลัน เลือดจากบาดแผลนั้นของเธอพุ่งสวนออกมาเป็นทางยาวจนชุ่มโชกผืนดินเบื้องหน้าก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลง ข้าพเจ้าหลงกล พนตรี โทรุ ซากาโมโตะ เสียแล้ว เขาหาได้ตั้งใจจะสังหารข้าพเจ้า เขาหาได้ตั้งใจจะสังหาร ศรี อรพินโท เขาหาได้ตั้งใจจะดวลปืนกับข้าพเจ้า เขามีความตั้งใจเพียงประการเดียวคือการปลิดชีพของบุหลัน ซึ่งแม้ว่าข้าพเจ้าจะรู้ความจริงข้อนี้ แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

ข้าพเจ้าปราดไปที่ร่างของบุหลันแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับ ศรี อรพินโท ที่เป็นอิสระ กระสุนของข้าพเจ้าพุ่งตรงไปที่แสกหน้าของ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เขาจากโลกนี้ไปแล้วพร้อมกับรอยยิ้ม ใบหน้าของเขาที่ปรากฏอยู่บนร่างที่ไร้วิญญาณเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ภารกิจของเขาลุล่วงแล้ว เขายอมใช้กลลวงทั้งมวลเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ แม้ว่ากลลวงดังกล่าวจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตของเขาเองก็ตามที

 

ทหารญี่ปุ่นที่เหลือเปิดศึกยิงกับมิตรสหายร่วมรบของเรา ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นอีกโลกที่ไม่ข้องเกี่ยวกับข้าพเจ้าและ ศรี อรพินโท เราทั้งคู่ประคองร่างของบุหลันคนละด้าน เลือดสีแดงสดยังคงทะลักออกมาจากลำคอของเธอ นัยน์ตาเบิกกว้างจนแลเห็นสีดำขลับในนัยน์ตาของเธออย่างชัดเจน ขนตาของเธอเปียกชุ่มด้วยน้ำซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจแน่ใจว่ามันคือหยาดเหงื่อหรือน้ำตาของเธอกันแน่ ศรี อรพินโท ตะโกนเรียกชื่อของเธอซ้ำไปซ้ำมารอบแล้วรอบเล่า เขาซุกใบหน้าอันอ่อนล้าและอิดโรยลงกับทรวงอกอันเต่งตูมของเธอ เลือดของบุหลันไหลลงชโลมเส้นผมของ ศรี อรพินโท อย่างช้าๆ ส่วนข้าพเจ้านั้นเกาะกุมแขนเรียวงามของเธอ ลูบคลำชีพจรตรงข้อมือของเธอไปมา ไม่มีสัญญาณแห่งการมีชีวิตอยู่ที่นั่นแล้ว ไม่มีสัญญาณแห่งการมีชีวิตของบุหลันอีกต่อไป บุหลันได้จากโลกนี้ไปในพริบตาด้วยอำนาจแห่งกระสุนปืนนัดนั้น

 

 

ข้าพเจ้ากุมแขนของบุหลันจนเสียงปืนยุติลง ก่อนจะพยุงร่างของ ศรี อรพินโท ขึ้นพร้อมกับอุ้มร่างไร้วิญญาณของบุหลันไว้ในอ้อมแขน ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตหมดแล้วในขณะที่มิตรสหายร่วมรบของเรายังหลงเหลืออยู่อีกสองคน ข้าพเจ้าอุ้มร่างของบุหลันไปที่รถจี๊ป วางร่างของเธอไว้บนที่นั่งเคียงข้างคนขับ ข้าพเจ้าฉีกแขนเสื้อ ม้วนเศษผ้านั้นจนเป็นก้อนกลมก่อนจะใช้มันปิดบาดแผลที่ปลิดชีพของเธอ ศรี อรพินโท และชายสองคนที่หลงเหลืออยู่แบกร่างมิตรสหายที่เหลือขึ้นมายังด้านหลังของรถ ข้าพเจ้าออกรถหลังจากนั้น ขับตรงไปยังถนนเบื้องหน้า ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆ ขอเพียงให้ไปจากที่แห่งนี้ ขอเพียงให้ไปจากแดนประหารแห่งนี้เป็นพอ

 

รถของเราแล่นออกไปนอกเมือง ไกลออกไป ข้าพเจ้ารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนเองกำลังบังคับรถให้แล่นไปยัง ตังกูบัน ปาราฮู ภูเขาไฟนอกเมือง ข้างทางเต็มไปด้วยแสงแดดสดใส ต้นชากำลังอวดยอดสีเขียวของมัน ทุ่งข้าวกำลังอวดรวงข้าวสีเหลืองอร่าม โลกนี้ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแค่ความตายของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแค่ความตายของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง

 

กลิ่นกำมะถันบ่งบอกว่าข้าพเจ้าได้มาถึงจุดหมายแล้ว อาจเป็นความไม่รู้สึกตัว อาจเป็นสัญชาตญาณ หรืออาจเป็นชะตาลิขิต เราอาจเรียกสิ่งนั้นว่ากระไรก็ดูไม่แตกต่างกันนัก เพราะในที่สุดเมื่อรถจอดสนิทลง เราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่เหมือนล่วงรู้ว่าจะทำเช่นไรกับร่างของผู้ที่จากไป ศรี อรพินโท สั่งให้มิตรสหายร่วมรบของเราทยอยนำร่างของผู้จากไปโยนลงในปล่องภูเขาไฟทีละร่าง ทีละร่าง จนครบ หลงเหลือร่างไร้วิญญาณไว้เพียงผู้เดียว ร่างของบุหลันที่นั่งอยู่เคียงข้างข้าพเจ้ามาตลอดทาง

 

ข้าพเจ้าลงจากรถ เดินเข้าไปในป่าที่ขึ้นรกอยู่รอบภูเขาไฟ เก็บเศษไม้ที่พบเจอทีละเที่ยวแล้วกองมันไว้ตรงปากปล่องภูเขาไฟ ศรี อรพินโท ดูจะเข้าใจเจตนาของข้าพเจ้า เขาออกคำสั่งให้ชายสองคนที่เหลือกระทำเช่นเดียวกัน ไม่นานนักเราก็ได้กองฟืนขนาดใหญ่ที่ขัดไขว้ไปมาไม่ต่างจากเตียงนอนขนาดใหญ่ เราจะทำเตียงนอนชิ้นสุดท้ายให้เธอ ให้เธอผู้ไม่มีโอกาสลืมตาตื่นอีกแล้วในชีวิตนี้

 

ศรี อรพินโท รับหน้าที่จุดเปลวไฟให้เธอ เขาหาก้อนหินที่มีรูตรงกลาง และลงมือสีไม้จนได้สะเก็ดไฟและต่อเชื้อมันจนกองไฟลุกโชติช่วง ข้าพเจ้าวางร่างของบุหลันลงบนเตียงไม้ที่กำลังมอดไหม้ ท้องฟ้าเปรียบดังผ้าม่านคลุมร่างของเธอ ส่วนควันไฟนั้นไม่ต่างจากผนังของห้องส่วนตน ร่างของบุหลันหายไปในเปลวไฟทีละส่วน ทีละส่วน ความร้อนแรงของเปลวไฟทำให้ผิวหนังของข้าพเจ้าแผดระอุ แต่ดูเหมือนทุกคนจะตกอยู่ในภวังค์ ไม่มีใครถอยห่างจากกองไฟนั้น ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นภาพสุดท้ายของเธอที่เราจะได้เห็น และไม่มีใครอยากละสายตาจากภาพนั้นเลย

 

ราวครึ่งชั่วโมง ร่างของบุหลันก็เปลี่ยนสภาพไปจนหมดสิ้น พวกเรายังคงเติมไฟลงไปในกองฟืนอย่างไม่หยุดยั้ง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงและต่ำลง ไม่มีใครได้อาหารตกถึงท้องเกือบหนึ่งวันเต็ม แต่ไม่มีใครคิดถึงความหิวโหยเช่นกัน ข้าพเจ้าและบุคคลที่เหลือนั่งขัดสมาธิกับพื้น ศรี อรพินโท หลับตาของเขาราวกับว่าเขากำลังสื่อสารกับบางสิ่งที่ดวงตาของมนุษย์เราไม่อาจมองเห็นได้

 

และเมื่อท้องฟ้ามืดมิดลง ร่างของบุหลันก็หลงเหลือเพียงเถ้าถ่าน ดวงดาวผุดขึ้นในท้องฟ้าเป็นทิวแถว เป็นคืนที่ฟ้าโปร่ง ไร้ลม ไร้ความผันผวนทางอากาศใดๆ ข้าพเจ้ากอบเศษเถ้าของบุหลันขึ้น บุคคลอื่นก็ทำดังนั้นเช่นกัน ทุกคนเดินตรงไปยังปากปล่องภูเขาไฟก่อนจะโปรยเศษเถ้าของเธอลงไปเบื้องล่าง บางส่วนของมันปลิวไป บางส่วนของมันตกลง บางส่วนของมันย้อนคืนเข้ามาในลมหายใจของข้าพเจ้า บุหลันได้ดับสลายเป็นเสี่ยงๆ บุหลันได้กลายเป็นผงธุลีที่เดินทางไปทั่วจักรวาล

 

ข้าพเจ้าออกรถอีกครั้งหนึ่ง ศรี อรพินโท พูดกับข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก เขาบอกข้าพเจ้าให้กลับไปยังที่พักเดิมของเราในป่ายางนอกเมือง “ผมมีบางสิ่งจะบอกคุณ ผมมีความลับของบุหลันจะบอกคุณ” ข้าพเจ้ารับฟังคำกล่าวของเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เป็นความลับของบุหลันที่ข้องเกี่ยวกับบุหรงใช่หรือไม่” “ใช่” เขาตอบก่อนจะละสายตาจากข้าพเจ้าไปยังความมืดเบื้องหน้าแล้วเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เลือดในกายของข้าพเจ้าเยือกเย็นลงทันใด

 

“ความลับที่ผมจะบอกคุณคือความจริงที่ว่า บุหลันและบุหรงนั้นคือบุคคลคนเดียวกัน”

 

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561)

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 31) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-31/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 30) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-30/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-30/#respond Fri, 21 Sep 2018 11:43:11 +0000 https://thestandard.co/?p=122919

บทที่สามสิบ   18.20 ข้าพเจ้ากระโจนลงจากรถเป็นคนแรก […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 30) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่สามสิบ

 

18.20

ข้าพเจ้ากระโจนลงจากรถเป็นคนแรก ภาพการสูญสิ้นอิสรภาพของ ศรี อรพินโท ให้ความสะเทือนใจกับข้าพเจ้าอย่างมาก บุรุษผู้กล้าแห่งปัตตาเวีย บุรุษที่ยอมแลกทุกอย่างกับอิสรภาพของประเทศบ้านเกิด บัดนี้เขาได้มาถึงจุดที่ตัดสินชีวิตของเขาแล้ว หากพวกเราหันหลังกลับ เราจะสูญเสียเขาไป แต่จะรักษาชีวิตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไว้ได้ แต่เรายังยืนหยัดที่จะต่อกรกับพันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เราอาจสูญเสียทั้งหมด และกลายเป็นเพียงเบี้ยที่ถูกลืมจากกระดานหมากรุก เราจะตัดสินใจเลือกแบบใด ทุกสิ่งตอนนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้าพเจ้าแล้ว

 

18.25

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ยิ้มให้ข้าพเจ้า เป็นยิ้มที่เลือดเย็นที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา เขาใช้เท้ากดศีรษะของศรี อรพินโท ไปจนติดพื้น เลือดในปากของ ศรี อรพินโท ไหลรินลงสู่พื้นซีเมนต์อันร้อนระอุ ข้าพเจ้าลดปืนในมือลงเป็นสัญญาณว่าข้าพเจ้ายังไม่มีเจตนาเปิดศึกกับเขา อย่างน้อยก็ในนาทีนี้

 

18.28

“ในที่สุด เราก็ได้มาถึงวันที่ผมรอคอย ฟรังซัวส์ อูแบง นักแม่นปืนแห่งสงครามกลางเมืองที่สเปน ในฐานะนักรบรับจ้าง คุณปลอมเปลี่ยนตัวเองได้แนบเนียนเสมอมา ถ้าไม่ถึงคราวิกฤต เราคงไม่รู้ว่าคุณมีโฉมหน้าอย่างไร ผมเองแม้จะเคยได้ยินชื่อของคุณมาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่าคุณคือใคร เรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณมีมากมายเกินไป จริงเท็จเกินไป ในครั้งแรกที่ผมพบคุณนั้นผมมีเพียงแต่ลางสังหรณ์ว่ากลิ่นไอแห่งความตายที่ปรากฏอยู่รอบตัวคุณนั้นทำให้คุณไม่อาจเป็นศาสตราจารย์ด้านภาษาอย่างที่คุณกล่าวอ้างได้เลย กลิ่นไอแบบนั้นมีปรากฏเฉพาะในหมู่พวกเราทั้งนั้นซึ่งคุณเองก็รู้ดี ดูไปรอบๆ บริเวณนี้ ฟรังซัวส์ มีทหารทั้งหมดสิบสองนาย ไม่รวมผม ตัวเลขแห่งความตาย ดังนั้นผมจะยืมมือคุณลดจำนวนพวกเรา ผมจะโยนปืนกระบอกนี้ให้คุณ มีกระสุนสามนัด ถ้าคุณใช้มันยิงพวกเราได้ก่อนที่ผมจะนับถึงสาม ผมจะไม่ตอบโต้อะไรคุณเลย”

 

18.30

ปืนพกสีดำกระบอกหนึ่งลอยเข้ามาหาข้าพเจ้าอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่มันจะถึงตัวของข้าพเจ้า เสียงกระสุนนัดหนึ่งก็ดังขึ้น ข้าพเจ้าไม่มีเวลาคิดนอกจากเบี่ยงตัวหลบ ใช้ปืนพกในมือลั่นไกออกไป แล้วคว้าปืนกระบอกที่อยู่กลางอากาศ ทหารญี่ปุ่นด้านหลังพันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ที่ยิงใส่ข้าพเจ้าล้มลง ข้าพเจ้าใช้ปืนที่ได้รับมาใหม่ ลั่นกระสุนอีกสามครั้ง มันเข้าเป้าทุกนัด ในชั่วพริบตานั้น ข้าพเจ้าสังหารทหารญี่ปุ่นไปแล้วถึงสี่นาย มาเม็ต ขยับตัวมาชิดข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าได้พบตนเองเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของทุกคนในที่นี้แล้ว

 

 

18.32

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ปรบมือของเขาจนเป็นเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ “ยอดเยี่ยมมาก ผมไม่น่าทำพลาดที่ไปพนันกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างนั้นเลย ผมบอกพวกเขาว่าถ้าเขาโจมตีคุณได้โดยที่คุณไม่ระวังตัว ผมจะยอมรับว่าผมแพ้ แต่เขาประมาทคุณมากเกินไป ซึ่งทำให้เขาต้องแลกมันด้วยชีวิต หนึ่งชีวิตสำหรับการเดิมพันที่ผิดพลาด สามชีวิตสำหรับกระสุนสามนัด ตอนนี้ ผมเหลือคนเท่าไรนะ เก้า ส่วนคุณสิยังเหลือแปด จำนวนเท่าเดิม ถ้าจะเล่นพนันกันคุณคิดว่าเราควรจะเริ่มต้นด้วยอะไรดี ชีวิตของนกปีกหักที่นอนไร้ความหมายบนพื้นดีไหม”

 

18.40

“ผมมีข้อเสนอสำหรับคุณ” พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เอ่ย “หลังจากประจักษ์ในฝีมือของคุณด้วยตาของผมเองเมื่อครู่ ผมคิดว่าไม่มีอะไรเหมาะสมที่จะตัดสินเรื่องราวสำหรับเราเท่ากับการสู้กันแบบสมเกียรติ เลือกปืนที่คุณมั่นใจ เหลือกระสุนในรังเพลิงคนละนัด ถอยห่างจากกันสิบก้าว แล้วให้ใครสักคนส่งสัญญาณ คนที่รอดจากความเร็วของกระสุนอีกฝ่าย คือผู้ชนะในการตัดสินครานี้ หากคุณชนะ คุณนำตัว ศรี อรพินโทไป หากคุณแพ้ ผมจะได้พวกคุณทั้งหมดเป็นเชลย แน่นอน อาจฟังดูเสียเปรียบไปบ้างสำหรับคุณ แต่ลองคิดดูว่าหากปราศจากผมเสียแล้ว กองทัพญี่ปุ่นที่นี่ก็แทบไม่มีความน่ากลัวอีกต่อไป”

 

ข้าพเจ้าหันมองไปรอบ มาเม็ต บุหลัน และบุคคลที่เหลือค้อมศีรษะ พวกเขาไม่แสดงอาการยอมรับหรือปฏิเสธ แต่นั่นก็ชัดเจนว่าพวกเขายินยอมทำตามทุกการตัดสินใจของผม ข้าพเจ้าถ่ายกระสุนที่เหลือออกจากรังเพลิงจนเหลือเพียงนัดเดียว ก่อนจะหันมาส่งสัญญาณต่อพันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เขาปลดกระสุนในรังเพลิงออกเป็นจำนวนห้านัดเช่นกัน เราทั้งคู่นับจำนวนก้าวจากจุดที่เผชิญหน้ากันไปสิบก้าว บุหลันในชุดเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นก้าวเข้ามายืนตรงกลาง กั้นระหว่างเราทั้งสองคน เป็นสัญญาณว่าเธอจะเป็นคนกำหนดเวลาในการเผชิญหน้าครั้งนี้ เธอหลับตา ยกนิ้วขึ้นท้องฟ้า ทีละนิ้ว หนึ่งนิ้ว สองนิ้วและนิ้วทั้งสาม

 

เสียงกระสุนดังขึ้นในเวลาต่อมา เป็นเสียงกระสุนที่สร้างหายนะต่อชีวิตผมไปตลอดกาล

 

ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2561

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 30) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-30/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 29) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-29/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-29/#respond Fri, 31 Aug 2018 10:22:49 +0000 https://thestandard.co/?p=117808

บทที่ยี่สิบเก้า   16.59 น. สถานที่แขวนคอบุคคลทั้งส […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 29) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่ยี่สิบเก้า

 

16.59 น.

สถานที่แขวนคอบุคคลทั้งสิบสองคนในขบวนการของเรานั้นคือสถานที่เดียวกันกับที่ข้าพเจ้าเคยเห็นนักโทษของกองทัพญี่ปุ่นถูกจับมัดกับต้นไผ่เมื่อข้าพเจ้าแรกมายังบันดุง ในครั้งนั้นนักโทษถูกทรมานจนตายด้วยการปล่อยให้ต้นไผ่เติบโตขึ้นจนแทงทะลุร่างของผู้ถูกพิพากษา แต่สำหรับบุคคลทั้งสิบสองคน พวกเขาได้รับความกรุณามากกว่า เสาสิบสองต้นถูกตั้งขึ้นเป็นแนวยาว ข้าพเจ้าเคยเห็นวิธีการตั้งเสาที่ว่านี้มาจากชนชาวชวาที่ใช้ปลายเสาอวดแสดงนกกรงหัวจุกในงานประกวดประชันเสียงนกครั้งหนึ่ง ในงานนั้นมีเสานับร้อยต้นในลานโล่ง กรงนกอันวิจิตรพิสดารถูกแขวนไว้บนปลายเสา เสียงนกร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ ข้าพเจ้าเฝ้าชมการแข่งขันครั้งนั้นด้วยความเพลิดเพลิน แต่ในครานี้เสาสูงแบบเดียวกัน แต่ขนาดต้นเสาที่ใหญ่กว่าทำให้ขนบนกายของข้าพเจ้าลุกชัน

 

17.03 น.

เหงื่อในมือของข้าพเจ้าทำให้กระบอกปืนพกในมือลื่นขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ข้าพเจ้าใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อเหล่านั้น อากาศภายนอกร้อนอบอ้าว มันเหมาะกับการสังหารผู้คน ความร้อนจะทำให้จุลินทรีย์ทำการย่อยสลายร่างกายที่เน่าเปื่อยได้รวดเร็วขึ้น กองทัพญี่ปุ่นคงคิดเช่นนั้น พวกเขาจงใจแน่นอนที่จะปล่อยให้ร่างของผู้ตายถูกแขวนทิ้งไว้บนยอดเสาจนกว่าจะเหลือเพียงโครงกระดูก การใช้ความตายข่มขู่ความเป็นของผู้มีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าไม่เคยห่างหายไปจากดินแดนแห่งนี้ วูบหนึ่งข้าพเจ้านึกถึง ปีเตอร์ เอเวอร์เดล และความตายของเขาเมื่อสามร้อยปีก่อนสร้างความหวาดกลัวแก่ชนพื้นถิ่นหรือ ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ แต่กระนั้นเองผู้สังหารมักมีมายาคติต่อความตายของเหยื่ออย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

 

17.30 น.

ข้าพเจ้าพลิกดูนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งที่แปด นอกจากข้าพเจ้ากับมาเม็ตผู้ที่นำข้าพเจ้ามาซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่แล้ว บุคคลอื่นยังไม่ปรากฏตัว ศรี อรพินโท, บุหลัน และสมาชิกที่เหลืออยู่อีกสามคนของเรายังไม่ปรากฏตัว ข้าพเจ้าเหลือบมองมาเม็ต เขาดูจะมีสมาธิแน่วแน่กว่าข้าพเจ้า สายตาของเขาที่จ้องมองไปยังเสาทั้งสิบสองต้นนั้นเป็นไปอย่างเขม็งเกลียว มีพลทหารญี่ปุ่นหกคนยืนอยู่ระหว่างเสาทั้งสิบสองต้น รถที่นำตัวนักโทษประหารยังเดินทางมาไม่ถึง หากทหารญี่ปุ่นมีจำนวนเท่านี้ หรือผนวกรวมอีกหนึ่งเท่าสำหรับผู้ที่ควบคุมตัวนักโทษมา จำนวนคนของเราน่าจะรับมือได้ไม่ยาก แต่ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ดีเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งนั้นมีผู้นำที่มีชื่อว่า โทรุ ซากาโมโตะ

 

17.40 น.

เวลาเดินหน้าไป ข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายในจิตใจ เวลาประหารถูกกำหนดไว้ที่ 18.00 น. นั่นหมายความว่าทุกนาทีนับจากนี้จะเต็มไปด้วยปฏิบัติการอันรวดเร็ว รถนำนักโทษประหารจอดลง นักโทษประหารถูกนำออกมา คอของเขาถูกสอดภายใต้เงื่อน เชือกอีกด้านดึงตัวเขาขึ้นไป นับหนึ่งถึงสิบ ชีวิตของพวกเขาก็จบสิ้นลง

 

17.46 น.

ข้าพเจ้าพลิกข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง ยังไม่มีการปรากฏตัวของยานพาหนะใดๆ พลทหารหกคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าเสาเหล่านั้นเริ่มแสดงอาการกระวนกระวายของพวกเขาออกมา จริงดังคำกล่าวโบราณ ผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่าล้วนตกอยู่ภายใต้ความกดดันไม่แตกต่างกัน อีกสิบนาทีกว่าเท่านั้น ทุกอย่างจะต้องจบสิ้นลง และสำหรับชนชาวญี่ปุ่นที่รักษาเวลายิ่งชีพ สิ่งเหล่านี้คือแรงกดดันอันมหาศาล

 

17.50 น.

รถบัสของทหารญี่ปุ่นคันหนึ่งแล่นเข้ามาที่ลานประหารด้วยความเร็ว ข้าพเจ้ากับมาเม็ตมองตากัน ไม่มีกำลังเสริม ทั้งศรี อรพินโท และคนอื่นยังมาไม่ถึง เหลือข้าพเจ้ากับเขาเพียงสองคนเท่านั้นที่จะปฏิบัติการครั้งนี้ให้ลุล่วงไป ข้าพเจ้ามีปืนพกหนึ่งกระบอกและกระสุนสำรองอีกหนึ่งชุด มาเม็ตก็มีอาวุธแบบเดียวกับข้าพเจ้า ลำพังเราสองคน การสังหารศัตรูจำนวนหกคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทหารที่มาสมทบเพิ่มเติมเล่า เราจะกระทำอย่างไรดี

 

 

17.52 น.

เราไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากกว่านั้น เมื่อรถบัสคันดังกล่าวจอดลง ภาพการลำเลียงนักโทษประหารลงมาถูกแทนที่ด้วยภาพการต่อสู้ นายทหารญี่ปุ่นคนแรกที่ลงจากรถลั่นกระสุนใส่พลทหารหนึ่งนาย เสียงกระสุนทำให้ปืนในมือข้าพเจ้าลั่นออกไปโดยฉับพลัน พลทหารอีกคนล้มลง ทุกอย่างสับสนอลหม่านอยู่ราวสองนาทีก่อนที่จะสงบลงพร้อมกับความตายของพลทหารญี่ปุ่น ข้าพเจ้ากับมาเม็ตค่อยๆ ออกจากที่ซ่อน มือกำอาวุธคู่กายไว้มั่น นายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งเหลียวมองมาทางเรา ข้าพเจ้าขึ้นไกอีกครั้ง แต่เมื่อหมวกของเขาถูกปลดลง ข้าพเจ้าก็เห็นใบหน้าอันชัดเจนของเขา บุหลันนั่นเอง

 

17.55 น.

เหล่านายทหารที่ตามลงมา นอกจากบุหลันแล้วมีสมาชิกของเราที่โดนจับไปอีกห้าคน บุคคลทั้งหกยืนประจันหน้ากับข้าพเจ้าและมาเม็ต ข้าพเจ้าเอ่ยถามถึงบุคคลที่เหลือ ทั้งศรี อรพินโท สมาชิกอีกสามคน และนักโทษประหารอีกเจ็ดคน บุหลันส่ายหน้ากับข้าพเจ้า นอกจากศรี อรพินโท แล้ว เธอกล่าวว่าไม่มีใครรอดชีวิตอีกเลย

 

17.56 น.

ถ้าศรี อรพินโท ยังมีชีวิตอยู่ เขาอยู่ที่ใดเล่า นั่นคือคำถามของข้าพเจ้า แทนคำตอบ บุหลันบอกให้ข้าพเจ้ากับมาเม็ตขึ้นรถบัสคันนั้นไป เปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกคุณด้วยบนรถนั่น พวกเราทั้งหมดจะไปที่กองบัญชาการทหารญี่ปุ่นที่ซาวอย ศรี อรพินโท อยู่ที่นั่น

 

18.02 น.

รถบัสของเราแล่นออกจากสมรภูมิชั่วคราว บุหลันเริ่มต้นเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนแผนที่จะมาพบกับข้าพเจ้าที่นี่และบุกไปยังที่คุมขังของเหล่านักโทษประหารแทน เมื่อรถบัสคันนี้แล่นออกจากที่คุมขัง เสียงปืนจากศรี อรพินโท และผู้กล้าก็ดังขึ้น นักโทษประหารหลายคนลุกขึ้นต่อสู้กับผู้คุมบนรถและทำให้พวกเขาเสียชีวิต ในขณะที่บุหลันขึ้นมาควบคุมรถคันนี้แทน ศรี อรพินโท และพวกอีกสามคนตรึงกำลังอยู่ด้านล่างกันการสมทบจากทหารญี่ปุ่น นักโทษบนรถช่วยกันปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการ รถบัสชะลอรับผู้คนที่เหลือ แต่กำลังหนุนของทหารญี่ปุ่นทำให้บุหลันไม่อาจเฝ้ารอได้นาน ศรี อรพินโท และพวกตัดสินใจล่อทหารจำนวนหนึ่งไปอีกทาง ไม่ว่าอย่างไร พบกันที่ซาวอย พวกนั้นไม่มีทางจับตายผม เขาตะโกน บุหลันขับรถบัสคันนี้มายังจุดนัดหมาย และเหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นดังที่ข้าพเจ้าได้เล่ามาแล้ว

 

18.15 น.

ข้าพเจ้าสำรวจสภาพของรถบัส เบาะที่นั่งจำนวนมากถูกกระสุนปืน มีกลิ่นเขม่าปืนปรากฏออกมาเมื่อข้าพเจ้าสำรวจมันอย่างใกล้ชิด รอยเลือดปรากฏเป็นทางยาว นั่นคือเลือดจากเพื่อนของเราอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยอ่อนอย่างบอกไม่ถูก สงคราม ความตาย การพลัดพราก ศัตรู มิตร กระสุนปืน คราบเลือด สิ่งที่เคยอุบัติขึ้นในสงครามกลางเมืองที่สเปนเดินทางย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ความสงบสันติในโลกนี้มีจริงไหม ข้าพเจ้านึกถึงทุ่งลาเวนเดอร์อันสะพรั่งไปด้วยดอกไม้กลิ่นหอมจรุงใจแทนที่จะเป็นกลิ่นคาวเลือดอันคละคลุ้ง ข้าพเจ้านึกถึงการนอนหลับอันยาวนานแทนการข่มตาให้หลับลงในแต่ละวัน ข้าพเจ้าคิดถึงชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นและอาหารมื้อค่ำแบบพร้อมหน้า นี่ข้าพเจ้าร้องขอมากเกินไปสำหรับชีวิตนี้หรือ มนุษย์ทุกคนมีอุดมการณ์ มีความใฝ่ฝัน ก็เจ้าอุดมการณ์หรือความใฝ่ฝันนี่มิใช่หรือที่ผลักไสให้ข้าพเจ้าเข้าสู่สงคราม ก็เจ้าอุดมการณ์หรือความใฝ่ฝันนี่มิใช่หรือที่ขับไล่กรมพระฯ ออกจากบ้านเกิดของท่าน เราควรหรือไม่ควรมีมันหรือเชื่อถือในมันกันแน่ ข้าพเจ้าพิงหลังเข้ากับเบาะ บรรจุกระสุนปืนใหม่จนเต็มกระบอก หลับตา และไม่ช้านานเสียงตะโกนของบุหลันให้เราเตรียมตัวก็ดังขึ้น ข้าพเจ้ารี่ไปที่หน้ารถบัส ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือกองทหารญี่ปุ่นหนึ่งกองที่ตั้งแถวรอรับเราที่หน้าโรงแรมซาวอย พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคน ปืนในมือของเขาจ่ออยู่ที่ศีรษะของศรี อรพินโท ซึ่งถูกผูกตาเยี่ยงนกที่ไม่มีหนทางบินไปไหนได้เลย

 

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 15 กันยายน 2561)  

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 29) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-29/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 28) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-28/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-28/#respond Fri, 17 Aug 2018 10:28:32 +0000 https://thestandard.co/?p=114324

บทที่ยี่สิบแปด   การสูญเสีย อามีร์ ฮาริฟุดดิน ทำให […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 28) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่ยี่สิบแปด

 

การสูญเสีย อามีร์ ฮาริฟุดดิน ทำให้แผนการณ์ของพวกเราถูกเปลี่ยนแปลงแทบจะหมดสิ้น วัน เวลา สถานที่ที่ถูกกำหนดไว้เดิมถูกยกเลิก อาวุธที่ข้าพเจ้าได้รับมาจากฝรั่งเศสถูกโยกย้ายสถานที่เก็บซ่อน แม้กระทั่งตัวของข้าพเจ้าเองก็ต้องโยกย้ายสถานที่พักเช่นกัน หลังมาเม็ตแจ้งข่าวกับข้าพเจ้าในเช้าวันนั้น เขาให้เวลาข้าพเจ้าเก็บสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวเพียงสามสิบนาที ข้าพเจ้าจัดการเก็บต้นฉบับบันทึกของกรมพระฯ เป็นสิ่งแรกก่อนจะเก็บสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ซึ่งรวมถึงยาสูบส่วนตนด้วย รถของมาเม็ตพาเราทั้งคู่มายังกระท่อมร้างแห่งหนึ่งนอกเมือง นาข้าวเขียวขจีอวดต้นข้าวที่กำลังออกรวง ในกระท่อมหลังนั้นข้าพเจ้าพบศรี อรพินโท บุหลัน และผู้ร่วมงานฝ่ายเราอีกสามคน

 

“เราไม่ควรไว้ใจพวกหัวก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกหัวก้าวหน้าที่รับเงินจากเจ้าอาณานิคม เป็นความผิดของผมเอง ฟรังซัวร์ อ้อ ไม่ใช่สิ ไฮน์ริช เป็นความผิดที่ไม่ควรอภัยให้เลยของผมเอง”

 

ศรี อรพินโท ดับบุหรี่ในมือลงที่ชามกระเบื้องกลางโต๊ะใหญ่ในห้อง ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น ศรี อรพินโท สูบบุหรี่มาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกนับแต่ข้าพเจ้าได้คบหากับเขามา ในชามกระเบื้องนั้นข้าพเจ้าเห็นก้นบุหรี่กองสูงเป็นวงเกือบหนึ่งฟายมือ อันแสดงให้เห็นถึงความกระวนกระวายในจิตใจของเขาอย่างเห็นได้ชัด ไม่นับอาการเดินวนเวียนไปมารอบแล้วรอบเล่าอยู่ภายในห้องที่ลงดาลหน้าต่างแน่นหนาห้องนั้น

 

บุหลันในชุดแต่งกายพื้นเมืองเสียต่างหากที่เป็นผู้ธำรงความสงบเยือกเย็นไว้ได้ เธอวางมือไว้บนตักจ้องมองโคมไฟที่ถูกจุดอยู่กลางโต๊ะ สายตาของเธอสงบนิ่ง ตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้ามาอยู่ในห้องนี้ เธอหาได้กล่าวถ้อยคำใดเลย ข้าพเจ้าตัดสินใจทำลายความเงียบของบุหลันและความกระวนกระวายของ ศรี อรพินโท ด้วยการดึงจดหมายฉบับหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อ “นี่คือจดหมายฉบับล่าสุดที่ผมได้รับจากเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในฝรั่งเศส การต่อต้านกำลังขยายตัว ทั้งที่ปารีส มาร์เซย์ สตราสบูร์ก และที่อื่นๆ เยอรมันเองกำลังทำศึกหลายด้าน ทั้งในยุโรปและแอฟริกา พวกเขาแจ้งว่าอาวุธชุดใหม่ที่เราขอให้จัดส่งทุกสามเดือนไม่มีทางเป็นไปได้เสียแล้ว เราจำเป็นต้องใช้อาวุธที่ได้รับมาในครั้งแรกเป็นต้นทุน และหลังจากนั้นเราต้องใช้ความสามารถทั้งหมดเท่าที่เรามีหาผลกำไรจากมัน”

 

“ผลกำไร” บุหลันทวนถ้อยคำของข้าพเจ้า

 

“ใช่ ความหมายของมันก็คือ เราต้องลงมือด้วยอาวุธที่มีอยู่ วางแผนอย่างรัดกุมที่สุด สูญเสียผู้คนและอาวุธอันเป็นต้นทุนของเราให้น้อยที่สุด และยึดอาวุธของศัตรูกลับมาเป็นกำไรของเราให้มากที่สุด”

 

“กำไร” ศรี อรพินโท ตะโกนถ้อยคำนั้นออกมา “อย่าว่าแต่กำไรเลย ไฮน์ริช เบิล แม้แต่ต้นทุนที่เรามีอยู่ตอนนี้ก็ร่อยหรอมากเต็มทีแล้ว” ศรี อรพินโท ตรงไปที่ผู้ร่วมงานของเราคนหนึ่ง เขากระชากเศษกระดาษชิ้นหนึ่งออกจากฝ่ามือของชายคนนั้น กำมันเป็นก้อนกลมแล้วโยนลงบนโต๊ะ “คุณมีข่าวสารจากฝรั่งเศสมาให้ผม ผมเองก็มีข่าวสารจากบันดุงมาให้คุณเช่นกัน”

 

ข้าพเจ้าคลี่กระดาษยับยู่ยี่แผ่นนั้นออกอ่าน มันเป็นหนึ่งในข่าวจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ข่าวที่รายงานชัยชนะของกองทัพญี่ปุ่นว่าได้รุกคืบเข้าไปในอินเดียแล้วผ่านทางทางรถไฟที่เริ่มต้นทางจากกาญจนบุรีในประเทศสยาม การรุกคืบครั้งนี้ประสบชัยชนะในทุกพื้นที่อย่างดียิ่ง โปรดรออีกไม่นานสหพันธ์ไพบูลย์แห่งเอเชียจะก่อกำเนิดขึ้นเป็นแน่แท้ ข้าพเจ้าพับกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะสอดมันไว้ใต้ชามกระเบื้องที่กลายเป็นที่เขี่ยบุหรี่จำเป็นไปแล้ว “การโฆษณาชวนเชื่อ ศรี อรพินโท” ข้าพเจ้าเอ่ย “เยอรมันทำเช่นนั้นในช่วงต้นสงคราม พวกเขาจ้างผู้คนนั่งรถวนรอบเมืองในปารีสพร้อมเครื่องขยายเสียง โปแลนด์เป็นของกองทัพเราแล้ว เวียนนาด้วย ฮังการีด้วย สิ่งเหล่านี้ถูกจัดทำอยู่เสมอในช่วงสงคราม จะแปลกใจทำไมหากกองทัพญี่ปุ่นจะกระทำเช่นนั้นบ้าง”

 

“ไม่ใช่ด้านนั้น ไฮน์ริช เบิล คุณต้องพลิกดูอีกด้านของมัน” ข้าพเจ้าดึงกระดาษแผ่นนั้นกลับมาแทบจะทันที ชามกระเบื้องพลิกคว่ำ เถ้าบุหรี่ลอยฟุ้งขึ้น “จับผู้ร่วมขบวนการต่อต้านได้อีกสิบสองคน กำหนดแขวนคอในเย็นพรุ่งนี้ที่ชานเมืองบันดุง”

 

 

ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมอง ศรี อรพินโท เขากำลังจุดบุหรี่อีกตัวขึ้นสูบ สีหน้าของเขาเคร่งเครียด ดวงตาของเขาอิดโรยราวกับคนไม่ได้พักผ่อนมานานหลายวัน ส่วนบุหลันนั้นข้าพเจ้าเห็นเธอเปลี่ยนสถานที่จับจ้องจากโคมไฟมายังฝ่ามือของตนเองแทน

 

“สิบสองคน หนึ่งในสิบของกองร้อยที่พวกเราจัดตั้งขึ้นมา ถ้าเราจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้คนที่เหลืออยู่ย่อมเพียงพอต่อการบุกกองทัพญี่ปุ่น เราเพียงแค่จัดสรรเวลา กำหนดตัวผู้คน และ…”

 

“ไม่ใช่หนึ่งในสิบ แฮร์ ไฮน์ริช เบิล นั่นคือผู้คนชุดสุดท้ายที่เราหลงเหลืออยู่ข้างนอกนั่น” ศรี อรพินโท สูบบุหรี่ตัวนั้นเพียงสองครั้งก่อนจะปล่อยมันลงกับพื้นแล้วเหยียบมันอย่างแรง “ในระยะเวลาไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา กองทัพญี่ปุ่นจับกุมพวกเราได้เกือบหมดแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้ข้อมูลมากจากที่ใด ผมอยากเชื่อใจอามีร์ แต่ให้ตายห่าเถิด สิบสองคนนั่นคือกลุ่มคนสุดท้ายที่เรามี พวกเขาปลอมตัวเป็นสามล้อ พ่อค้าแผงอาหาร กรรมกร คนขับรถส่วนตัว การปลอมตัวเป็นไปอย่างเรียบร้อยมาตลอด มืออาชีพก็ว่าได้ แต่ในที่สุดพวกเขาก็พลาดท่า ไม่มีใครเป็นหูเป็นตาให้เราอีก แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับอามีร์ผมไม่อาจรู้ได้ แต่บัดซบเป็นที่สุดที่เราต้องมาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้”

 

“กลุ่มคนสุดท้ายที่เรามี…” ข้าพเจ้าเอ่ยคำนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก “คุณหมายความว่า..”

 

“ใช่ พวกเราทั้งหมดในห้องนี้รวมทั้งมาเม็ตด้วยคือพวกต่อต้านญี่ปุ่นที่เหลืออยู่”

 

ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนเนื้อตัวได้ถูกทำให้เย็นเฉียบโดยฉับพลัน สายตาข้าพเจ้ามองไปรอบๆ ห้อง ทุกคนในห้องนอกจาก ศรี อรพินโท ที่กำลังจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ล้วนก้มหน้านิ่ง ไม่เว้นแม้บุหลัน

 

“ถ้าเช่นนั้น เรายิ่งต้องมีแผนการณ์ใหม่โดยด่วน”

 

“ไม่มี” ศรี อรพินโท ตอบข้าพเจ้า “เราหลงเหลือเพียงแผนการณ์เดียวคือเย็นพรุ่งนี้เราจะบุกเข้าชิงตัวเพื่อนทั้งสิบสองคนของเราด้วยจำนวนคนที่เรามีอยู่ ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นปฏิบัติการที่เราอาจไม่มีโอกาสรอดชีวิตมาได้ ความหวังที่จะเอาชนะกองทัพญี่ปุ่นของเราแทบจะสูญ แต่หากเราไม่ทำเช่นนั้น เราก็เป็นผู้แพ้นับแต่วินาทีนี้แล้ว การต่อสู้ของขบวนการเราจะไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป แม้ว่าพวกเราทั้งหมดนี้จะต้องจากโลกไป แต่คนจะจดจำเราได้ว่าเราไม่เคยทิ้งเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ทุกคนในที่นี้ตกลงใจที่ะย่อมเสี่ยงชีวิตแล้ว หลงเหลือแต่คุณ แฮร์ ไฮน์ริช เบิล คุณที่เป็นคนต่างขาติ ต่างถิ่นเพียงผู้เดียวในขบวนการของเรา ดังนั้นเราจะให้โอกาสคุณในการเลือก หากคุณตัดสินใจจะร่วมรบกับเรา ผมได้จัดเตรียมที่พักที่จะให้คุณได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มไว้ไม่ไกลจากนี้ แต่ถ้าหากคุณปฏิเสธ ผมมีตั๋วเรือโดยสารออกจากชวาในคืนนี้ มาเม็ตจะขับรถไปส่งคุณที่สุราบายา คุณและเขาจะปลอมตัวเป็นพ่อค้ายาสูบชาวอิตาเลียน และถ้าคุณเลือกทางนั้นผมและบุหลันก็จะขอกล่าวคำอำลาคุณในที่นี่ จนกว่าเราจะได้พบกันอีก แต่จะเป็นเมื่อใดนั้น ผมไม่อาจล่วงรู้ได้”

 

ครานี้เป็นข้าพเจ้าเองที่จุดบุหรี่ขึ้นสูบ ข้าพเจ้ารู้ดีว่า ศรี อรพินโท ไม่ได้ให้เวลาเนิ่นนานนักสำหรับคำตอบที่จะออกมาจากปากของข้าพเจ้า อาจเป็นห้าหรือสิบนาทีหรือเพียงช่วงเวลามอดไหม้ของบุหรี่หนึ่งมวน ไฟแดงวาบจากปลายบุหรี่ของข้าพเจ้าราวกับสัญญาณไฟจราจรที่หยุดทุกสิ่ง หากข้าพเจ้าตัดสินใจจากที่นี่ไป ข้าพเจ้ายังมีโอกาสช่วยเพื่อนชาวฝรั่งเศสในสมรภูมิรบที่ปารีส หากข้าพเจ้าจากที่นี่ไป บันทึกของกรมพระฯ จะถูกข้าพเจ้าแปลมันจนสำเร็จ หากข้าพเจ้าจากที่นี่ไป ข้าพเจ้าจะได้พบกับมารดาและน้องสาวอีกครั้ง โลกข้างนอกยังมีอะไรอีกมากให้ข้าพเจ้าได้ค้นหา โลกข้างนอกยังมีอะไรอีกหลายสิ่งที่ต้องพึ่งพาข้าพเจ้า โลกข้างนอกที่พ้นไปจากสงครามวิปลาสที่ข้าพเจ้าเคยผ่านมาแล้วที่สเปนยังคงหอมหวานและเฝ้ารอข้าพเจ้าอยู่

 

ข้าพเจ้าดับบุหรี่ในชามกระเบื้องและจัดแจงมันให้อยู่ในสภาพปกติ ข้าพเจ้ากวาดเศษขี้เถ้าทั้งหมดใส่ชามและจุดบุหรี่ขึ้นอีกหนึ่งตัว

 

“ตกลง ศรี อรพินโท พรุ่งนี้ผมจะออกรบเพื่อไปรับพวกของเราพร้อมกับคุณ”

 

ข้าพเจ้าไม่อาจข่มตาหลับได้ตลอดคืน แม้ว่าจะล่วงรู้ดีว่าพละกำลังเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเหตุการณ์พรุ่งนี้มากเพียงใด ไม่ใช่ว่าที่พักของข้าพเจ้าไม่เหมาะสม ศรี อรพินโท ได้จัดห้องนอนในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกับกระท่อมของเรา อากาศของคืนนั้นเย็นสบาย เตียงนอนของข้าพเจ้าอ่อนนุ่ม แต่ข้าพเจ้าไม่อาจข่มตาให้หลับได้ นับจากคืนที่ข้าพเจ้ามาถึงที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไม่อาจหลับตาลงได้ ข้าพเจ้าขบคิดถึงเรื่องราวจำนวนมากที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนเอง ความหลงใหลในภาษา ความบ้าคลั่งในสงครามกลางเมืองที่สเปน ความป่วยไข้ของกรมพระฯ และความอ่อนหวานจากรสสัมผัสอันยากจะลืมเลือนที่ข้าพเจ้ามีต่อบุหรง บัดนี้เธออยู่ที่แห่งหนใดกัน บัดนี้เธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ข้าพเจ้าสารภาพอย่างไม่อายว่าข้าพเจ้าตกหลุมรักบุหรง ข้าพเจ้าตกหลุมรักหญิงสาวผู้ลึกลับผู้นั้น หญิงสาวที่หลงเหลือเพียงน้องสาวฝาแฝดที่ดูเธอจะไม่แยแสข้าพเจ้าเอาเลย

 

เวลาเช้ามาถึงในที่สุด ข้าพเจ้าเปิดบานหน้าต่างขึ้น มีแสงแดดอ่อนแตะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง สายลมเย็นพัดผ่านมา มีเสียงนกแว่วต้อนรับอรุณมาแต่ไกล เป็นเสียงนกที่ข้าพเจ้าเคยสดับมันมาแล้วหลายครั้งนัก เสียงจาก เกมาเตียน บุหรง เสียงจากนกแห่งความตาย

   

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2561)  

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 28) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-28/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 27) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-27/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-27/#respond Fri, 03 Aug 2018 11:25:11 +0000 https://thestandard.co/?p=111660

บทที่ยี่สิบเจ็ด วันที่ อามีร์ ฮาริฟุดดิน เดินออกจากบ้าน […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 27) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่ยี่สิบเจ็ด

วันที่ อามีร์ ฮาริฟุดดิน เดินออกจากบ้านพัก เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากิจกรรมที่เขาทำมาตลอดจะนำเขาไปสู่ผู้นำกลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นในที่สุด ต้องยกประโยชน์ให้กับความเร่งรีบของพวกดัตช์ที่ยอมเทเงินกว่า 25000 กิลเดอร์ให้เขาดำเนินการจัดต้ังขบวนการใต้ดินในฐานะผู้นำกลุ่มคนที่ฝักใฝ่ในลัทธิมาร์กซิสต์ อามีร์ถูกมองว่าเป็นคนหัวรุนแรง เขาถูกตราหน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นปีศาจร้ายของพวกนายทุนในชวา (ซึ่งบัดนี้ได้สวามิภักดิ์ต่อกองทัพญี่ปุ่นไปหมดสิ้นแล้ว) มีเสียงเล่าลือว่าอามีร์รับเงินจาก พี เจ เอ ไอเดนเบิร์ก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของดัตช์ และเขาใช้จ่ายเงินเหล่านั้นอย่างเพลิดเพลินทั้งต่อเติมบ้าน สั่งซื้อเหล้าชั้นดีจากยุโรป จนถึงการหมกตัวเมามายอยู่ตามบ่อนการพนันและที่อโคจรต่างๆ ข้าพเจ้าเองเชื่อในคำเล่าลือเหล่านั้น อามีร์ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายจริง แต่ไม่ใช่เพื่อตนเองและไม่ใช่เพื่อการต่อต้านญี่ปุ่น เขาใช้เงินทั้งหมดไปในสิ่งที่สูงส่งกว่านั้น เขาใช้เงินทั้งหมดไปเพื่อการปลดปล่อยอินโดนีเซียออกจากการเป็นอาณานิคม

 

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าคิดถึงอามีร์ ข้าพเจ้าจะคิดถึงการเปลี่ยนแปลง อามีร์ผู้มีชาติกำเนิดเป็นมุสลิม หากแต่เขากลับเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคริสเตียนหลังจากการศึกษาในฮอลแลนด์ แต่อามีร์กลับไม่ใช่ผู้เชื่อมั่นในพระเจ้า เขากลับเชื่อมั่นในบางสิ่งที่เขาคิดว่ายิ่งใหญ่กว่าอันได้แก่อุดมการณ์ อามีร์เปลี่ยนตนเองจากคริสเตียนไปเป็นมาร์กซิสต์ เป็นผู้เชื่อมั่นในความเท่าเทียม ในพลังของมวลชน เขากลับประเทศบ้านเกิด ก่อตั้งกลุ่มผู้สนใจในความคิดดังกล่าว ขบวนการฝ่ายซ้ายของอามีร์ถูกทำให้มีความน่าสะพรึงกลัว ทั้งๆ ที่ผู้คนที่หวาดกลัวเขา และขบวนการของเขาไม่เคยอ่านแถลงการณ์จากกลุ่มของเขาเลย พวกดัตช์คิดเอาเองว่าการใช้อามีร์ทำสงครามกับกองทัพญี่ปุ่นจะทำให้คนชวาเปลี่ยนใจมาสนับสนุนตนเอง ดูสิ พวกหัวรุนแรงกำลังต่อต้านญี่ปุ่น พวกนั้นกำลังรบรากันเอง ดังนั้นชาวชวาที่รักสันติควรสนับสนุนเรา มีแต่คนดัตช์เท่านั้นที่รักและห่วงใยพวกท่านอย่างจริงจัง หากกลุ่มก่อการใต้ดินของอามีร์เป็นฝ่ายมีชัยต่อกองทัพญี่ปุ่น กองกำลังของดัตช์ที่รอเวลาก็จะเคลื่อนเข้าจัดการกับอามีร์ หรือหากทหารญี่ปุ่นเป็นฝ่ายมีชัย พวกดัตช์ก็จะสามารถกำจัดพวกหัวรุนแรงไปได้โดยไม่ต้องออกแรงใดๆ เงิน 25,000 กิลเดอร์อาจเป็นเงินที่มากสำหรับหลายสิ่ง แต่สำหรับการเล่นเกมที่ชนะในทุกสถานการณ์สำหรับเจ้าอาณานิคม เงินจำนวนนี้มีมูลค่าน้อยอย่างยิ่ง พวกเขาคำนวณทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่มีปัญหา ไม่มีข้อผิดพลาด ทว่าพวกเขากลับคาดการณ์บางอย่างพลาดไป พวกเขาลืมนึกถึงข้าพเจ้า ลืมนึกถึงศรี อรพินโท และลืมนึกถึงบุหลันด้วย

 

หลายปีหลังสงครามเสร็จสิ้นลง ข่าวคราวการตายของอามีร์ด้วยน้ำมือของคนชาติเดียวกันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าผิดความคาดหมาย อามีร์เป็นบุคคลที่กุมความลับจำนวนมาก ทั้งของพวกดัตช์ ของพวกหัวหน้ากลุ่มต่อต้านที่แปรพักตร์ แม้ว่าเขาจะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินโดนีเซียอันเป็นบำเหน็จแห่งความพยายามทั้งมวลของเขา แต่ก็เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง อามีร์ ฮาริฟุดดิน เปลี่ยนแปลงตนเองอีกครั้งในที่สุด เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายจากคนเป็นไปสู่คนตาย

 

 

ข้าพเจ้ายังจดจำเช้าวันนั้นได้ มาเม็ตจอดรถและแทบจะไม่มีบทสนทนาใดระหว่างเรา อากาศในเดือนธันวาคมที่บันดุงเย็นสบาย แต่เสื้อผ้าป่านสีขาวของมาเม็ตชุ่มโชก “สิบนาที คุณมีนัดสำคัญในอีกสิบนาทีนับจากนี้ ขึ้นรถเถิด”

 

แทนบทสนทนา ข้าพเจ้ากระโดดขึ้นไปบนรถ เราทั้งคู่ออกเดินทางในทันที เพียงเวลาไม่กี่เดือนนับจากการมาถึงที่นี่ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับมาเม็ตเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เราทั้งคู่แทบไม่รู้ตัว จากความเฉยชาไปสู่ความคุ้นเคย จากพนักงานขับรถมาสู่เพื่อนร่วมอุดมการณ์ ข้าพเจ้าคิดที่จะถามเขาถึงอาการเจ็บป่วยของกรมพระฯ แต่สีหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ข้าพเจ้ารู้แน่แก่ใจว่ายังไม่ถึงเวลา รถของเราจอดลงในอีกสิบนาทีต่อมาที่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่านี่เป็นอาคารที่ข้าพเจ้าได้พบกับศรี อรพินโท เป็นครั้งแรกนั่นเอง

 

มาเม็ตเปิดประตูให้ข้าพเจ้า ที่โต๊ะกลางห้องนั้นมีชายสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งนั้นคือศรี อรพินโท ที่ข้าพเจ้ารู้จักดี ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเป็นชายหนุ่มวัยเดียวกับข้าพเจ้า เขาเป็นชายชาวตะวันออก ใส่แว่นตาทรงกลมเยี่ยงพวกนักคิดทั่วไป เขาเหลียวมามองข้าพเจ้าในฐานะผู้มาใหม่ แววตาของเขาบ่งบอกความเคลือบแคลงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทว่ารอยยิ้มของศรี อรพินโท ที่มีต่อข้าพเจ้าดูจะทำให้ความกังวลของเขาคลายลงไป

 

“อามีร์ ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จักกับไฮน์ริช เบิล เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของเรา และถ้าผมจะพูดให้มากกว่านั้นคือเขาเป็นยิ่งกว่าเพื่อนร่วมงานด้วยซ้ำไป เขาคือมิตรแท้ของเรา”

 

ข้าพเจ้าคาดเดาจากชื่อของชายผู้นั้น (อามีร์) ว่าเขาน่าจะเป็นชาวมุสลิม ข้าพเจ้าพยายามจะสัมผัสมือเขาตามแบบการทักทายที่ควรจะเป็น แต่ชายผู้นั้นกลับยื่นมือซ้ายออกมาให้ข้าพเจ้าจับ “ผมเป็นคริสเตียน อามีร์ ฮาริฟุดดิน ยินดีที่ได้พบกับคุณ ขอให้พระเจ้าทรงอวยพร”

 

มือของอามีร์ชุ่มไปด้วยเหงื่อ นี่เป็นบุคคลที่สองในวันนี้ที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพวกเขาอยู่ในความตึงเครียด มาเม็ต แล้วก็อามีร์ ไม่ต้องให้ศรี อรพินโท กล่าวอะไรออกมา ข้าพเจ้าก็แน่ใจว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกำลังจะเกิดขึ้น

 

“ไฮน์ริช เบิล คือผู้ประสานงานในการจัดหาอาวุธสำหรับการต่อต้าน ‘พวกนั้น’ ให้กับเรา” ศรี อรพินโท จงใจใช้คำว่า ‘พวกนั้น’ ซึ่งหมายรวมถึงพวกดัตช์และญี่ปุ่นอันเป็นศัตรูของเราทั้งสิ้น

 

อามีร์พยักหน้าของเขาเบาๆ สายตาของเขาส่งสัญญาณของคำถามอย่างชัดแจ้ง “ผมเชื่อใจในคุณ ศรี อรพินโท และเชื่อใจในทุกคนที่คุณรับรอง แต่ชื่อไฮน์ริช เบิล นั้นเป็นภาษาเยอรมัน ผมคงต้องบอกว่าผมอดแปลกประหลาดใจไม่ได้ที่พวกฟาสซิสต์ตัวเอ้คนหนึ่งมาร่วมวางแผนที่จะกำจัดเพื่อนร่วมชาติของเขาร่วมกับเรา”

 

ศรี อรพินโท หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงใจ เขาหัวเราะจนตัวโยน “ไม่เสียทีจริงที่คุณไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานนับปี และไม่เสียทีจริงๆ ที่พวกดัตช์หมดรูปข้างนอกนั้นไว้ใจในคุณ ไฮน์ริช เบิล เป็นชื่อของชาวเยอรมันจริงๆ แต่ไฮน์ริช เบิล ผู้นี้ไม่ใช่ชาวเยอรมัน และถ้าจะว่ากันตามจริง เขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของชนชาตินั้นด้วยซ้ำไป” ศรี อรพินโท หันมามองข้าพเจ้า “คุณจะเป็นคนเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้หรือจะให้ผมรับหน้าที่แทน” ข้าพเจ้ายิ้มให้ศรี อรพินโท “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมอยากให้คุณทำหน้าที่นี้แทน การพูดถึงตนเองต่อหน้าบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยนัก แม้ว่าจะพยายามสักเพียงไรก็ตามที”

 

เรื่องราวของชายชาวฝรั่งเศสนาม ฟรังซัวส์ อูแบง ถูกเล่าขานผ่านถ้อยคำของศรี อรพินโท ข้าพเจ้าหวนระลึกถึงสงครามกลางเมืองในสเปนเป็นระยะเมื่อได้ยินชีวประวัติของตนเอง ศรี อรพินโท ใช้เวลาราวสามสิบนาทีสำหรับเรื่องราวครึ่งหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้า อามีร์นิ่งเงียบ เขาแทบไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา จนกระทั่งเรื่องของข้าพเจ้าถูกเล่าจบลง เขาหันมามองข้าพเจ้าก่อนจะพูดออกมาว่า “คุณสังกัดกลุ่มฝ่ายซ้ายในฝรั่งเศส?” ข้าพเจ้าพยักหน้า “แต่กลับคิดจะต่อสู้กับเผด็จการฟรังโกในสเปน?” ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตอบอะไร อามีร์หัวเราะออกมา “เราคิดแบบเดียวกัน เราคิดแบบเดียวกัน” เขาพูด “ในโลกนี้ไม่มีอะไรชั่วร้ายเท่าเผด็จการ โดยเฉพาะพวกเผด็จการทหาร พักเรื่องอุดมการณ์ของชนชั้นไว้ก่อน เรามีหน้าที่ต้องโค่นจักรวรรดินิยม ฟาสซิสต์ และพวกบ้าเครื่องแบบ ผมจะชี้แจงแผนทั้งหมดให้คุณฟัง ซึ่งอาจทำให้ศรี อรพินโท อาจเบื่อหน่ายบ้างที่ต้องฟังมันเป็นคำรบสอง แต่เพื่อการทบทวน ผมคงหลีกเลี่ยงเช่นนั้นไม่ได้ ผมจะระบุจำนวนอาวุธที่เราต้องการพร้อมด้วยรายละเอียดทั้งหมด ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เราจะรับผิดชอบ ไม่สิ ที่ถูกผมควรกล่าวว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหล่านี้ได้รับการอุปถัมภ์จากพวกดัตช์ต่างหาก”

 

อามีร์เล่าแผนการบุกค่ายทหารญี่ปุ่นในบันดุง ข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกทุกครั้งที่ได้ยินการกล่าวถึงชื่อของพันตรี โทรุ ซากาโมโต้ คนหนึ่งร้อยคน อาวุธครบมือ ยี่สิบคนแรกมีปืนกล ที่เหลืออีกแปดสิบคนใช้ปืนพกเพื่อทะลวงเข้าไป แผนการทั้งหมดจะลงมือในต้นเดือนมกราคม ช่วงเวลาที่ทหารญี่ปุ่นยังอ่อนเพลียกับงานฉลองการเริ่มต้นปี ข้าพเจ้ามีเวลาหนึ่งเดือนที่จะต้องส่งคำสั่งซื้อและขออาวุธไปยังหน่วยต่อต้านนาซีที่ฝรั่งเศส อาวุธจะมาจากทางใดนั้น ข้าพเจ้าจะแจ้งแก่อามีร์และศรี อรพินโท ในภายหลัง เพื่อความปลอดภัย เราจำต้องแบ่งการลำเลียงอาวุธเป็นหลายทาง อาวุธจะขึ้นฝั่งทั้งที่สุราบายาและบันเทน นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกพวกเขา เราทั้งหมดแยกย้ายกันในเวลาบ่าย ข้าพเจ้าเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่ศรี อรพินโท กอดอามีร์ด้วยความอบอุ่น ข้าพเจ้าสัมผัสมือของอามีร์อีกครั้ง ในครานี้มันแห้งผาก อาการกังวลของเขาจบลงแล้ว “พบกันในเดือนมกราคม” ข้าพเจ้าบอกกับเขา ข้าพเจ้ามีเวลาอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้สำหรับการจัดการเรื่องอาวุธและจัดการงานเขียนของกรมพระฯ เป็นหนึ่งเดือนที่สำคัญยิ่ง อามีร์ ฮาริฟุดดิน ขึ้นรถอีกคันจากไป ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบกับเขาอีก แต่สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ก่อนการลงมือเพียงสามวัน อามีร์และพวกของเขาอีกห้าสิบสามคนถูกจับ เขาติดอยู่ในคุกจนสงครามยุติลง  

   

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2561)  

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 27) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-27/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 26) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-26/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-26/#respond Fri, 20 Jul 2018 11:56:56 +0000 https://thestandard.co/?p=109054

บทที่ยี่สิบหก ข้าพเจ้ากลับมาถึงที่พักได้เป็นเวลาหนึ่งสั […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 26) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่ยี่สิบหก

ข้าพเจ้ากลับมาถึงที่พักได้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่แทนที่จะมีทหารญี่ปุ่นปรากฏตน แทนการถูกกลุ้มรุมด้วยกองทัพญี่ปุ่น ข้าพเจ้ากลับพบแต่ความสงบ นอกเหนือจากการที่ข้าพเจ้าต้องทำอะไรด้วยตนเอง เพราะขาดมาเม็ตที่หายตัวไปพร้อมกับศรี อรพินโทแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้รับการติดต่อจากโลกภายนอกใดเลย ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้า นั่งทบทวนภาษามธุเรศ ข้าพเจ้าอ่านเรื่องราวของ แม็กซ์ ฮาเวลลาร์ และการต่อสู้เพื่อชาวไร่กาแฟของเขาจนจบ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายไปฝรั่งเศสฉบับหนึ่ง และหวังว่าข้าพเจ้าจะได้รับจดหมายตอบกลับมาในไม่ช้า มีจดหมายมาถึงข้าพเจ้าในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่ใช่จดหมายจากฝรั่งเศส กลับเป็นจดหมายจากกรมพระฯ แทน

 

ข้าพเจ้าเปิดจดหมายของกรมพระฯ ขึ้นอ่าน พร้อมกับลางสังหรณ์ว่า ข้อความภายในนั้นไม่น่าจะเป็นข่าวดี และมันก็เป็นเช่นนั้นโดยแท้จริง

 

เรียน มิสเตอร์ ไฮน์ริช เบิล

 

ต้องขออภัยที่ข้าพเจ้ามีจดหมายมาถึงท่านก่อนเวลานัดหมายของเรา แต่เนื่องจากสภาวการณ์แห่งสงครามที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มงวด ทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจนิ่งนอนใจได้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเร่งเขียนบันทึกให้กับท่าน และคาดหมายเวลาว่ามันน่าจะจบสิ้นลงภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ข้าพเจ้ากลับคาดการณ์ผิด สิ่งที่จบสิ้นลงกลับเป็นชีวิตของข้าพเจ้าเอง

 

เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าตื่นมาพบตนเองในโรงพยาบาลที่บันดุงแทนเตียงนอนในบ้าน แสงสว่างของบันดุงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าคุ้นเคย แต่แสงสว่างที่ลอดผ่านกลิ่นยาทั้งหลายออกมานั้น ข้าพเจ้าไม่คุ้นชินเอาเสียเลย ข้าพเจ้าชันตัวขึ้นจากเตียง ธิดาทั้งหมดของข้าพเจ้านั่งอยู่รายล้อมด้วยความห่วงใย ท่านพ่อฟุบหลับไปเมื่อคืน พวกเขาบอกกับข้าพเจ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกตัวเลยว่าหลับไปในคราใด และไม่เห็นด้วยซ้ำว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หลวงสักเพียงใดที่ข้าพเจ้าจักต้องมายังโรงพยาบาลแห่งนี้ ข้าพเจ้าสั่งให้เขาจัดเตรียมรถเพื่อออกจากโรงพยาบาล แต่เมื่อข้าพเจ้าจะลุกจากเตียง ข้าพเจ้าจึงพบว่าแขนของตนเองถูกพันธนาการด้วยน้ำเกลือเสียแล้ว

 

ท่านพ่อไม่ได้เพียงแต่ฟุบหลับไป หากแต่ยังมีเลือดไหลนองออกจากโอษฐ์อีกด้วย ธิดาคนหนึ่งของข้าพเจ้ากล่าว ข้าพเจ้ายกมือลูบริมฝีปากของตนเอง มันแห้งผากราวกับผืนดินที่ไม่โดนน้ำมานานนับปี แต่กระนั้นมันก็หาได้มีคราบเลือดหรือสิ่งใดอีก ข้าพเจ้ายิ้มเล็กน้อยให้กับธิดาของข้าพเจ้า ความกังวลมักนำพาความวุ่นวายมาเสมอ ข้าพเจ้าเอ่ยต่อ แต่ดูเหมือนคำปลอบใจดังกล่าวจะใช้การไม่ได้ ธิดาของข้าพเจ้าถอนหายใจอย่างหนัก ท่านพ่อคงต้องอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง นายแพทย์ที่ตรวจอาการท่านพ่อเมื่อวันก่อนมีความกังวล และแม้จะเป็นความกังวลที่อาจนำพาสิ่งต่างๆ มาให้เรา พวกเราก็พร้อมจะยอมรับมัน

 

เมื่อวันก่อน ข้าพเจ้าอุทานกับตนเอง นี่พ่อหลับไปถึงหนึ่งวันเต็มกระนั้นหรือ ธิดาคนหนึ่งของข้าพเจ้าพยักหน้าเบาๆ นายแพทย์บอกว่า ผู้ป่วยที่มีอาการจากความบกพร่องของตับจะอ่อนเพลียกว่าปกติ ข้าพเจ้าเอามือคลำไปที่ท้อง ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่ชอบการดื่ม โดยเฉพาะในสิ่งของมึนเมา การถูกวินิจฉัยว่าตนเองมีความบกพร่องทางตับนั้นเป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายของข้าพเจ้าอย่างยิ่ง ระหว่างนั้นเอง ประตูห้องพักก็เปิดออก นายแพทย์ชาวดัตช์ที่ยังอนุญาตให้ทำงานอยู่ได้แม้ในยามสงคราม เดินเข้ามาพร้อมกับนางพยาบาลชาวชวา เขาโค้งศีรษะคำนับข้าพเจ้า ก่อนจะเปิดไฟฉายขนาดเล็กแล้วใช้มันส่องไปรอบๆ ดวงตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าพเจ้ารู้สึกเคืองนัยน์ตา แต่จำฝืนทนอยู่ ในที่สุดนายแพทย์ผู้นั้นก็ถอนแสงไฟออกจากดวงตาของข้าพเจ้า หยิบแฟ้มจากมือของนางพยาบาล และจดข้อความลงไปบนแผ่นกระดาษ ไม่ดีเลย ไม่ดีเลย เขารำพึงกับตนเอง

 

หลังจากนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้รับรู้ว่า อาการป่วยของข้าพเจ้าหนักหนาเพียงใด ตับของข้าพเจ้าเสื่อมสภาพในอัตราที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน หกเดือน หนึ่งปี หรือสองปีเป็นอย่างมาก นั่นคือความจริงที่ข้าพเจ้าคาดคั้นได้จากแพทย์ ไม่ได้เกิดจากสุราหรือสิ่งใดหรอก นายแพทย์ผู้นั้นกล่าวกับข้าพเจ้า ท่านน่าจะได้รับเชื้อไวรัสที่ฝังตัวมานานนับปี อาจเป็นตั้งแต่สมัยเด็ก ยามสงคราม หรือเมื่อใดก็ตามที เราไม่อาจบอกได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อร่างกายของท่านอ่อนแอลง เชื้อไวรัสนั้นก็พร้อมจะทำการร่วมกับสิ่งบั่นทอนต่างๆ และไม่ช้าก็เร็ว เมื่อการกระทำของมันสัมฤทธิ์ผล ทุกอย่างก็จักดำเนินไปราวกับระเบิดเวลา ในหลายกรณีระเบิดเวลานั้นเกิดขึ้นเนิ่นนานพอให้เราแกะสลักมันได้ แต่ในกรณีของท่าน ระเบิดเวลาได้แจ้งเตือนท่านในชั่วพริบตาเท่านั้นเอง

 

การกลับมาจากโรงพยาบาลครั้งนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ข้าพเจ้าเริ่มต้นจัดแจงพินัยกรรม แบ่งแยกทรัพย์สินที่ยังหลงเหลืออยู่ให้กับบุตรและธิดาทั้งหลาย รวมทั้งคำสั่งเสียทั้งหลายที่จำเป็น กระบวนการของความเศร้าโศกดำเนินไปเช่นนั้นอยู่หลายวัน และวันนี้เป็นวันแรกที่ข้าพเจ้าได้มีเวลาว่างพอจะเขียนจดหมายเล่าถึงสิ่งสำคัญแก่ท่านได้ ข้าพเจ้าพยายามจะเขียนบันทึกชีวิตตนเองต่อ แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า หากข้าพเจ้าไม่เล่าถึงหัวใจสำคัญของบันทึกชุดนี้แล้ว ท่านก็ยากจะสรรหาถ้อยคำที่เหมาะสมมาแปลความมันได้

 

มิตรภาพ อำนาจ และความไม่จีรังของชีวิต นั่นคือสามสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการบอกออกมาในประวัติของตนเอง

 

 

ท่านคงทราบดีแล้วว่า เช้าวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1932 มีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับตัวข้าพเจ้าและประเทศสยาม ข้าพเจ้าเล่าถึงเรื่องราวดังกล่าว แต่หาได้กล่าวถึงเลยว่า ตัวข้าพเจ้านั้นรู้สึกกับเหตุการณ์ที่ว่าอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าทราบข่าวคราวความพยายามของกลุ่มผู้คนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยในฐานะของผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดแห่งกองทัพ ข่าวคราวเช่นนั้นย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะรอดหูรอดตาข้าพเจ้าไปได้ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้ว บุคคลทั้งหลายที่ถูกพาดพิงถึงล้วนเป็นบุคคลที่ข้าพเจ้าไว้ใจและวางใจ ด้วยเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงเชื่อมั่นว่า พวกเขาจะล่วงรู้ว่าพวกเรากระทำการอย่างหนักหน่วงและจริงจังเพียงใด เพื่อนำพาสยามประเทศไปสู่ความทันสมัย เป็นวิธีการที่ละมุนละม่อมและทั่วถึงยังอาณาประชาราษฎร์ ข้าพเจ้าอาจกล่าวได้ว่า ในวันที่หกเมษายนที่ข่าวลือถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองแพร่สะพัด ข้าพเจ้าเข้านอนด้วยความสงบสุข และในวันที่ยี่สิบสี่มิถุนายน ข้าพเจ้าก็เข้านอนในคืนก่อนหน้าด้วยความสงบสุขเช่นกัน แต่น่าเสียดาย ข้าพเจ้าพบว่า ข้าพเจ้ากระทำผิด เช้าวันนั้นข้าพเจ้าได้พบแล้วว่า ไม่มีมีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร ไม่มีศิษย์ ไม่มีครู มีแต่ความหลงใหลในอำนาจเท่านั้นที่นำพาทุกอย่างไปสู่หายนะภัย

 

ข้าพเจ้าถูกจับกุมตัวในชุดนอน ถูกนำตัวไปยังที่กักกัน เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าพเจ้าทนไม่ได้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าสุดจะทนคือ บรรดานายทหารที่จับกุมตัวข้าพเจ้าล้วนเป็นทหารที่ร่วมโต๊ะอาหารกับข้าพเจ้าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาดูกระหยิ่มยิ้มย่องที่โค่นข้าพเจ้าลงเสียได้ พวกเขาดูลำพองใจที่พาข้าพเจ้าลงสู่จุดต่ำสุดได้ แต่พวกเขาคิดผิด หากจะมีใครสักคนที่เบื่อคำว่า ‘อำนาจ’ เป็นยิ่งแล้ว ข้าพเจ้าคงเป็นบุคคลต้นๆ อย่างแน่นอน ข้าพเจ้ายินดีเสียสละทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรือนนอน ยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ข้าพเจ้าจะไม่มีวันยอมสูญเสียความเคารพในตนเอง เมื่อพวกเขาอยากให้ข้าพเจ้าไปพ้นจากแผ่นดินนั้น ข้าพเจ้าก็จะไม่ร้องขอสิ่งใด ข้าพเจ้าอาจตกต่ำ ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ข้าพเจ้าจะไม่มีวันร้องขอความเห็นใจจากใครเลย

 

ข้าพเจ้าวางจดหมายแผ่นแรกลงบนโต๊ะทำงาน จิตใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าเดินออกไปที่ระเบียงหน้าบ้าน จุดบุหรี่ขึ้นสูบ ใจหนึ่งข้าพเจ้าอยากตรงไปหากรมพระฯ ที่ตำหนักเสียแต่ตอนนั้น ทว่า การรู้ตัวดีว่าตนเองอาจเป็นเป้าติดตามของพวกทหารญี่ปุ่น ทำให้ข้าพเจ้ายับยั้งชั่งใจเสียได้ ข้าพเจ้าสูบบุหรี่จนหมดตัว และดำริที่จะอ่านจดหมายฉบับนั้นต่อ แต่แล้วรถยนต์ของมาเม็ตก็แล่นตรงเข้ามาจอดลงที่หน้าบ้านของข้าพเจ้า

 

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2561)  

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 26) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-26/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 25) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-25/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-25/#respond Fri, 22 Jun 2018 07:42:49 +0000 https://thestandard.co/?p=100027

บทที่ยี่สิบห้า   พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ไม่ได้หลับต […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 25) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่ยี่สิบห้า

 

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ไม่ได้หลับตลอดคืน เขาได้แต่ครุ่นคิดถึงหิมะ หิมะที่ขาวที่สุด หิมะที่เหน็บหนาวที่สุดเท่าที่เขาจะคิดถึงได้

 

เมื่อคิดถึงหิมะ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ คิดถึงหิมะในสามเหตุการณ์ เขาสับเปลี่ยนความทรงจำที่มีต่อหิมะเหล่านั้นเสมอ บ้างทำตามช่วงเวลา บ้างทำตามความรุนแรง และบ้างทำตามความสะเทือนใจ ความคิดคำนึงของเขาทำหน้าที่คล้ายกลักฟิล์มภาพยนตร์ที่เล่นภาพย้อนไปมา ตัดสลับไปมา จากหน้ามาหลังและหลังมาหน้าตามใจนึก หลายครั้งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเห็นเขายืนอยู่อย่างสงบริมหน้าต่าง จ้องมองไปที่ทิวทัศน์เบื้องนอก คนเหล่านั้นคิดว่าพันตรี โทรุ ซากาโมโตะ กำลังคิดถึงกลยุทธ์ทางการทหาร แต่ผิดถนัด สิ่งที่เขาครุ่นคิดถึงมีเพียงแต่หิมะ หิมะเท่านั้นเอง

 

หิมะฝังตัวในความทรงจำครั้งแรกของเขาที่ฮอกไกโด ในเมืองชิโตเสะที่เขาถือกำเนิดมา เย็นวันนั้นเขาเดินเท้ากลับจากโรงเรียน ท้องหิว คิดถึงอาหารที่แม่และพี่สาวจะเตรียมไว้ให้เขาที่บ้าน พ่อของเขาที่เป็นชาวนาตายจากเขาไปตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 4 ขวบ ดังนั้นเขาจึงหลงเหลือเพียงแม่และพี่สาว เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านและเป็นผู้ชายที่ตั้งปณิธานจะปกป้องหญิงสาวทั้งสองคนในบ้าน แต่ในเย็นวันนั้นเองที่เขาพบว่าปณิธานของเขาได้ล้มเหลวลงแล้วอย่างสิ้นเชิง

 

พี่สาวของเขานั่งขดตัวอยู่ในรถลาก หิมะตกลงมาอย่างหนัก พี่สาวของเขาในเสื้อนวมเก่าคร่ำคร่านั่งกอดอก ร้องไห้สะอึกสะอื้น รถลากทิ้งรอยล้อเป็นทางยาวในหิมะ ร่องรอยของล้อบ่งบอกว่ารถลากเพิ่งเดินทางมาถึง รถลากมาเพื่อรับพี่สาวของเขาหรือมาเพื่อพรากพี่สาวไปจากเขา

 

ชายลากรถหันหัวรถออกจากบ้าน เขาวิ่งตามรถคันนั้นไป พยายามจะดึงพี่สาวผู้มีวัยต่างจากเขาเพียงสามปีลงจากรถ แต่ชายลากรถไม่สนใจ เขาตั้งใจวิ่งไปข้างหน้า พี่สาวของเขาก็หาได้พยายามจะลงจากรถไม่ เขาออกแรงวิ่งและเชื่อว่าเขาจะวิ่งทันรถลากคันนั้นแน่ ถ้าหากแม่จะไม่รั้งตัวเขากลับมา

 

เขาล้มอยู่ท่ามกลางหิมะหนา ร่างของเขาเปียกโชก แม่กดตัวเขากับพื้น รถลากวิ่งห่างออกไป ไกลออกไป เขาตะโกนจนสุดเสียง ก่อนที่แม่จะใช้ฝ่ามือป้องเสียงร้องของเขา เนิ่นนานที่เขาร่ำไห้ ก่อนที่แม่จะพาเขากลับเข้าไปในบ้าน ข้าวต้ม ปลาแห้ง ไข่ไก่ เต้าเจี้ยว และผัก พร้อมทั้งความจริงว่าอาหารที่อุดมสมบูรณ์แตกต่างจากเกลือและโชยุในมื้อก่อนมาจากค่าตัวพี่สาวของเขา เธอเดินทางไกลไปในเมืองหลวง ห่างไกลออกไปเพื่อบรรเทาความหิวโหยของคนที่ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง

 

เขาไม่ได้พบพี่สาวอีกเลยนับจากนั้น

 

 

โทรุ ซากาโมโตะ ในวัยหนุ่มเข้าโรงเรียนนายร้อยที่โตเกียวในปี 1927 ที่นั่นเขาได้พบกับ นายพล มาซากิ อินซาบุโระ ที่นั่นเขาได้เรียนรู้จิตวิญญาณแห่งนักรบที่เรียกขานกันว่า ‘บูชิโด’ ที่นั่นเขาได้พบกับรุ่นพี่นาม นิชิดะ มิตซูกิ และจาก นิชิดะ มิตซูกิ ทำให้เขาได้พบกับ คิตะ อิกกิ และจาก คิตะ อิกกิ ทำให้เขาได้พบกับอุดมการณ์ที่จะฟื้นฟูประเทศชาติจากเหล่าผู้ล้อมรอบองค์จักรพรรดิที่กำลังแสวงหาประโยชน์ส่วนตน หนังสือชื่อ ‘แผนการสร้างชาติโดยสังเขป’ ของ คิตะ อิกกิ เป็นหนังสือที่เขาหยิบอ่านบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ 4 ปีต่อมา กองทัพกว่างตงบุกเข้ายึดแมนจูเรีย กองทหารบกเข้มแข็งขึ้น มั่งคั่งขึ้น แต่ก็เฉพาะในกลุ่ม โครงสร้างทั้งหมดของสังคมกำลังอ่อนแอและสมควรต้องคืนอำนาจทั้งหมดให้กับองค์พระจักรพรรดิ โทรุ ซากาโมโตะ บอกตนเองเช่นนั้น และเขากับเพื่อนคือกลุ่มคนที่จะต้องกระทำมัน

 

พวกเขาเฝ้ารอเป็นเวลา 4 ปี และเมื่อถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 1936 โทรุ ซากาโมโตะ และเพื่อนทหารก็เคลื่อนพลเข้ายึดสถานที่สำคัญ เช้าตรู่ของวันนั้น ตัวเมืองโตเกียวเงียบสงบ หิมะตกหนักมาตลอดคืน เมืองทั้งเมืองขาวโพลน

 

กองทหาร 1,400 นายมุ่งหน้าออกจากกรมกองของตนไปตามถนนอย่างเงียบๆ พวกเขามุ่งหน้าไปสังหารบุคคลตามรายชื่อ ทั้งรัฐมนตรีคลัง ทั้งประธานองคมนตรี ทั้งผู้อำนวยการสถาบันทหาร มีบางคนในรายชื่อเล็ดลอดหลบหนีไปได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เหล่าทหารหนุ่มได้ยึดครองโตเกียวไว้แล้ว

 

แต่ไม่ใช่ในพระราชวัง

 

เช้าวันนั้น สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะทรงตื่นบรรทมจากการปลุกของราชเลขาธิการที่เตรียมถวายรายงานในสิ่งที่เกิดขึ้น ราชเลขาธิการไม่เคยเห็นองค์พระจักรพรรดิทรงพิโรธถึงเพียงนี้มาก่อน “พวกเขาฆ่าคนของฉัน แล้วตอนนี้จะนำเอาความลำบากมามอบให้ฉัน ต่อให้พวกเขาตั้งใจดีเพียงใด ฉันก็ยากที่จะให้อภัยพวกเขา” พระองค์ทรงมีบัญชาให้จัดการกับพวกทหารหนุ่มโดยทันที การปฏิเสธว่าด้วยการกระทำทั้งปวงของเหล่าทหารหนุ่มจากองค์พระจักรพรรดิ ทำให้ทหารหนุ่มหลายนายเสียกำลังใจ และเมื่อถือว่ากระทำการไม่สำเร็จ เหล่าผู้นำทหารหนุ่มหลายคนก็สังหารตนเอง ส่วนผู้นำที่เหลือถูกสั่งประหารชีวิตในเวลาต่อมา

 

หลังถูกปล่อยออกจากเรือนจำโยโยกิในอีกหลายเดือนต่อมา โทรุ ซากาโมโตะ รับคำสั่งให้เดินทางไปแมนจูเรีย ดินแดนที่เขาชิงชัง หลังจากนั้นไม่นานนักเขาขอย้ายตัวเองไปยังหมู่เกาะซัคคาลิน สถานที่ที่เขาคิดว่าใกล้ดินแดนบ้านเกิดเขามากขึ้น เขาประจำการอยู่ในสนามเพลาะที่หนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายแทบตลอดปี ตลอดวัน แต่ โทรุ ซากาโมโตะ ไม่สนใจความเจ็บปวด ความผิดหวังในชีวิตของเขาเกิดขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ ดังนั้นหากเขาจะต้องตายท่ามกลางหิมะ เขาก็ยินดี เขาประจำการอยู่ที่ซัคคาลินหลายปี สังหารผู้คนมากมายไปในดินแดนหิมะเหล่านั้น เขากลายเป็นผู้ที่ไม่ตายในความหนาวเหน็บ และเมื่อคำสั่งให้เขาเดินทางมาในดินแดนแถบเส้นศูนย์สูตร เขาก็พบแล้วว่าความตายในความหนาวเหน็บจะไม่มีกับเขาอีกต่อไป ในดินแดนอันอบอุ่นเช่นนี้เขาจะต้องเป็นอมตะ เขาคิดเช่นนั้นจนเมื่อวานนี้ เฮลิคอปเตอร์ทหารพาเขาผ่านเทือกเขาจายา วิชัย ในปาปัวร์ ภาพของหิมะที่ปกคลุมเหนือเทือกเขานั้นทำให้ความทรงจำจำนวนมากหลั่งไหลออกมา เขาเพิ่งพบว่าแม้แต่ในดินแดนเช่นอินโดนีเซียก็มีหิมะอยู่แม้จะเพียงที่เดียวก็ตาม ดังนั้นความเป็นอมตะอาจไม่มีขึ้นสำหรับเขา การรบนับจากนี้เขาอาจเป็นผู้พ่ายแพ้และจากโลกนี้ไปก็เป็นได้ แต่ช่างเถิด ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป บัดนี้ได้เวลาทำความสะอาดเมืองบันดุงแล้ว ได้เวลาปัดกวาดเมืองบันดุงแล้วจากพวกต่อต้าน

 

ได้เวลาขจัดภาพเงาของ วายัง อมฤต แล้ว

 

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2561)  

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 25) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-25/feed/ 0
วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 24) https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-24/ https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-24/#respond Fri, 08 Jun 2018 11:18:02 +0000 https://thestandard.co/?p=96251

บทที่ยี่สิบสี่   วันที่ 1 ข้าพเจ้าตัดสินออกจากถ้ำแ […]

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 24) appeared first on THE STANDARD.

]]>

บทที่ยี่สิบสี่

 

วันที่ 1

ข้าพเจ้าตัดสินออกจากถ้ำและเดินไปรอบๆ บริเวณแต่เช้าตรู่ โดยปล่อยให้ศรี อรพินโท และบุหลันได้อยู่กันตามลำพัง แม้ว่าข้าพเจ้าจะเป็นคนไร้คู่ แต่ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของหนุ่มสาวได้ดี บุคคลทั้งสองผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามาก โดยเฉพาะในช่วงหลายวันมานี้ พวกเขาคงมีหลายสิ่งที่ต้องปลอบประโลมกัน มาเม็ตนั้นกลับเข้าไปสืบข่าวคราวในเมือง ดังนั้นถ้าหากข้าพเจ้าออกจากถ้ำ ข้าพเจ้าย่อมได้รับอิสรภาพที่จะได้อยู่ตามลำพัง

 

ความปรารถนาที่จะได้อยู่ตามลำพังนั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาสูงสุดในยามนี้ ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงระยะเวลาไม่นานนักที่ข้าพเจ้าเดินทางมาถึง ชวา ปัตตาเวีย อาณานิคมดัตช์ แล้วแต่จะเรียก เรื่องราวจำนวนมากกลับเกิดขึ้นที่นี่ ข้าพเจ้าขบคิดถึงเรื่องราวต่างๆ บันทึกเรื่องทีละเรื่องลงในความทรงจำ ทั้งเรื่องราวที่เป็นคำถามที่อาจหาคำตอบได้ และเรื่องราวที่เป็นคำถามที่อาจหาคำตอบไม่ได้ บางเรื่องเป็นเรื่องราวของบุคคลที่อยู่ใกล้ตัว บางเรื่องเป็นเรื่องราวของบุคคลที่อยู่ไกลตัว บางเรื่องเป็นเรื่องของบุคคลที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะพบหน้าทุกคืนวัน บางเรื่องเป็นเรื่องของบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่ต้องการพานพบอีกเลยในชีวิตนี้

 

ข้าพเจ้ามาที่นี่ด้วยเรื่องของกิจการงานที่ข้าพเจ้ารับปากต่อกรมพระฯ อดีตบุคคลสำคัญแห่งสยามผู้พลัดพรากจากบ้านเกิด ผู้ละทิ้งแล้วซึ่งอำนาจ ผู้มีชีวิตอันเงียบสงบและเรียบง่ายเกินกว่าใครจะคาดเดาได้ถึง กิจการงานของกรมพระฯ เป็นไปในด้านอักษรศาสตร์ การแปลประวัติของใครคนหนึ่งเป็นภาษาเยอรมันไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับข้าพเจ้า แต่นับจากการสนทนาในวงน้ำชาบ่ายนั้น ข้าพเจ้าหาได้มีโอกาสพบกับกรมพระฯ อีกเลย โชคชะตาได้พัดพาข้าพเจ้าห่างไกลจากกรมพระฯ ขึ้นทุกที ไม่นับถึงต้นฉบับของกรมพระฯ ที่ข้าพเจ้าทอดทิ้งไว้ที่บ้านพักดังทารกอนาถา สิ่งนี้เป็นหนึ่งในความทุกข์ใจของข้าพเจ้าอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามีลางสังหรณ์ว่างานชิ้นนี้เป็นงานที่มีความสำคัญ ไม่ใช่เพราะมันบันทึกเรื่องราวอีกแง่มุมของสยามที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใฝ่ใจในทางประวัติศาสตร์ของดินแดนแถบนี้ แต่ในแง่ที่ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจว่ามันน่าจะเป็นงานนิพนธ์ชิ้นสุดท้ายของกรมพระฯ ในวงสนทนาครั้งสุดท้ายนั้น ข้าพเจ้าสังเกตพบว่ากรมพระฯ ทรงอยู่ในสภาวะที่ร่างกายทรุดโทรมลงจนเห็นได้ชัด แม้ว่าท่านจะไม่ได้เอ่ยมันออกมา ข้าพเจ้าก็เชื่อแก่ใจว่าท่านก็รู้องค์เองดีเป็นอย่างยิ่ง

 

แต่ฉะนั้นอะไรเล่าที่พรากข้าพเจ้าออกจากภารกิจที่ว่านั้น พรากข้าพเจ้าเสียจากกิจการงานที่มุ่งหมายไว้ ก็ด้วยการพบปะกับศรี อรพินโท บุรุษหนุ่มที่เพิ่งมีอาการทุเลาจากความบาดเจ็บในถ้ำแห่งนั้น เขาเป็นใครหรือ จากถ้อยคำของบุหลัน เขาเป็นเพื่อนในวัยเยาว์ของเธอ แต่นั่นเป็นความจริงหรือ เขาเป็นบุคคลดังกล่าวจริงกระนั้นหรือ ศรี อรพินโท กล่าวกับข้าพเจ้าในการพบกันครั้งแรกว่าเขาอาศัยอยู่ในโลกสองโลก โลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเราทุกคนอาศัยและมีชีวิตอยู่และโลกแห่งวายัง อมฤต โลกแห่งแสงเงาที่ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นไม่ต่างจากภาพเงาดำเคลื่อนไหวบนฉากสีขาว เงาสีดำนั้นมีอยู่จริงแน่แท้ แต่ก็ย่อมต้องประกอบด้วยแสงสว่างและวัตถุต้นกำเนิด แต่หากแม้กระทั่งวัตถุต้นกำเนิดก็ยังอาจไม่ใช่ของจริงเสียแล้ว สิ่งอื่นๆ ที่ติดตามมาจะเป็นเช่นไร

 

และอะไรกันเล่าคือวายัง อมฤต และอะไรกันเล่าคือโลกของวายัง อมฤต ข้าพเจ้าทราบเพียงว่ามันคือโลกแห่งนามธรรม เป็นนามธรรมแห่งอุดมการณ์ แต่มันคือโลกจริงๆ หรือมันคือสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นเป็นโลก หากมันเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ซ้อนทับกับโลกในความเป็นจริงของเรา มันดำรงอยู่ได้เช่นไรจากรุ่นสู่รุ่น จากปีเตอร์ เอเวเดล มาสู่ศรี อรพินโท และต่อเนื่องไปอีก พวกเขาอาศัยแก่นสารเยี่ยงไรที่หล่อเลี้ยงโลกที่ว่านี้ให้ดำรงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อการดำรงอยู่ของมันคือการตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้รุกรานที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นกองทัพญี่ปุ่น

 

 

เมื่อข้าพเจ้านึกถึงกองทัพญี่ปุ่น ข้าพเจ้าย่อมไม่อาจละเว้นไม่ระลึกถึงพันตรี โทรุ ซากาโมโต้ เสียได้ นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับเขา ข้าพเจ้ารู้ดีว่าไม่มีวันที่มิตรภาพระหว่างเราจะงอกเงยขึ้นมาได้ สายตาของเขา ท่าทีของเขาที่มีต่อข้าพเจ้าแสดงท่าทีแห่งศัตรูอย่างชัดเจน ไม่นับว่าความโหดร้ายที่เขากระทำต่อชายผู้น่าสงสารแห่งบุหงา รำไพ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อาจให้อภัยเขาได้

 

บุหงา รำไพ คือสถานที่แห่งใดกันแน่ ไฉนชายผู้น่าสงสารนั้นจึงมีท่าทีที่ผิดแผกแตกต่างออกไปเมื่อข้าพเจ้ากลับออกจากรสา ดาราห์ ทำไมเขาจึงปฏิเสธว่าไม่เคยพบข้าพเจ้ามาก่อนเลย ทำไมเขาจึงกระทำกับข้าพเจ้าราวกับภูติผีเมื่อข้าพเจ้ากลับออกจากรสา ดาราห์

 

แล้วอะไรคือรสา ดาราห์ ข้าพเจ้าผู้ผ่านเข้าไปในสถานที่นั้นแล้วก็ยังไม่อาจพรรณาความมันได้ครบถ้วน มันคือสถานเริงรมย์ โรงหญิงคนชั่ว หรือดินแดนแห่งนาฏกรรมบันเทิงอันปกปิด นอกจากการร่วมเพศกับบุหรงอันเป็นสิ่งที่ติดตราติดตรึงข้าพเจ้าจนบัดนี้แล้ว ข้าพเจ้าไม่อาจบรรยายสิ่งอื่นได้อีกเลย มีแต่ความมืดในสถานที่แห่งนั้น ข้าพเจ้าได้ชมการฟ้อนรำ แต่ก็ในความมืด ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของความหฤหรรษ์จากพื้นที่อื่น แต่กลับไม่พบเห็นใครเลย รสา ดาลาห์ ดูจะกลืนกินทุกสิ่งเข้าไปในความมืดของมันจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่บุหรง

 

บุหรง ใช่ บุหรง หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นที่รสา ดาราห์ แล้ว หญิงสาวผู้มีใบหน้าอันงาม มีท่อนแขนอันกลมกลึง และมีใบหูยาวระหงได้หายสาบสูญไปจากชีวิตข้าพเจ้า แน่ล่ะ ข้าพเจ้าติดอยู่ในร่างแหแห่งการหลบหนีครั้งนี้ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากบุหรงต้องการพบข้าพเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะกีดกันและขวางกั้นเธอได้ เธอมาปรากฏตัวต่อข้าพเจ้าในยามค่ำคืน และเป็นเธอโดยแท้ที่ปรากฏตัวต่อกรมพระฯ ในป่าทึบบนยอดเขาปีนังนั่น เธอไม่ต่างจากนกที่สามารถโผบินไปได้ทุกที่ที่ใจปรารถนา ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น แต่เหตุอันใดเล่าที่เธอไม่อุบัติขึ้นให้ข้าพเจ้าได้พบพาน ทั้งที่น้องสาวฝาแฝดของเธอ บุหลัน อยู่ที่นี่แล้ว

 

บุหลัน ใช่ บุหลัน หญิงสาวคนรักของศรี อรพินโท ภาพสะท้อนอันสมจริงของบุหรง หากแต่ในลักษณาการที่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน เยือกเย็น และลึกลับของบุหรง และเช่นกันที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อน พลุ่งพล่าน และเปิดเผยของบุหลัน เเละความเปิดเผยของเธอนั้นมิใช่หรือที่ทำให้ข้าพเจ้ายอมสารภาพความจริงว่าข้าพเจ้าหาใช่ไฮน์ริช เบิล ชายชาวเยอรมันที่ทุกคนเข้าใจ แต่คือฟรังซัวส์ อูแบง ชายฝรั่งเศสนับแต่ชาติกำเนิด

 

ข้าพเจ้าทบทวนเรื่องราวเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาในความคิดคำนึง ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าบุคคลทั้งหลายที่ปรากฏต่อข้าพเจ้าโดยฉับพลันเหล่านี้จะสูญหายไปเมื่อใด ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าโลกของวายัง อมฤต ที่บุหลันบอกกับข้าพเจ้าว่าได้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในถ้ำแห่งนั้นจะปรากฏต่อข้าพเจ้าด้วยหรือไม่ ทุกสิ่งดูสับสน เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ไร้ปมจะแก้ไข ข้าพเจ้าขบคิดอย่างดื่มด่ำ เดินดุ่มลึกเข้าไปในป่าทุกที และในช่วงเวลานั้นเอง เสียงร้องของเกมาเตียน บุหรง -นกแห่งความตายก็ดังขึ้น

 

วันที่ 3

หลังการปรากฏตัวของเกมาเตียน บุหรง เมื่อสองวันก่อน ข้าพเจ้าได้ทุ่มเทติดตามหามันไปในทุกที่ ทุกเวลา ข้าพเจ้าเดินลึกเข้าไปในป่า ในมุมของป่าที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีใครกล้าฝ่าเข้าไปได้ ข้าพเจ้าเปลี่ยนที่นอนจากในถ้ำมานอกถ้ำแทน หนุนก้อนหินขนาดเหมาะมือต่างหมอน มีเพียงผ้าห่มและโคมไฟดวงน้อยเป็นเพื่อน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนกร้อง ข้าพเจ้าจะสะดุ้งตัวตื่น ข้าพเจ้าเชื่อว่าการได้พบกับเกมาเตียน บุหรง จะไขปริศนาทั้งมวลนี้ได้ แต่แม้จะผ่านเข้าสู่วันที่สามแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังห่างไกลจากความสมหวังมากนัก

 

วันที่ 7

เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แห่งความผิดหวัง ข้าพเจ้าไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่าความสิ้นหวังสามารถทำร้ายและทำลายคนได้ถึงเพียงนี้ ในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานับแต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของเกมาเตียน บุหรง เจ้านกแห่งความตายนั่นหาได้ปรากฏตัวอีกเลย ราวกับมันได้บินผ่านมาที่นี่เพียงเพื่อจะหยอกล้อข้าพเจ้าให้จมอยู่กับปริศนาต่อไปไม่สิ้นสุด ทว่าการหยอกล้อของมันได้ทำให้ข้าพเจ้าย่อยยับอัปรา ข้าพเจ้าแทบไม่แตะต้องอาหารใดเลยนับจากนั้น มีแต่เพียงน้ำเท่านั้นที่ข้าพเจ้าใช้ประทังชีวิต เสื้อผ้าของข้าพเจ้าขาดวิ่นด้วยฤทธิ์หนามจากเถาวัลย์ป่าที่ข้าพเจ้าบุกฝ่าไป หนวดเครา เส้นผมของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นผง เมื่อข้าพเจ้าล้างหน้าตาในลำธาร ข้าพเจ้าพบว่าเบ้าตาของตนลึกจนดวงตาแลดูเป็นดังโคมไฟที่แขวนอยู่ลอยๆ ในเบ้าตา สภาพของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ผู้ที่จะมีชีวิตได้ต่อไปอีกนานนัก จนแม้ศรี อรพินโท ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักก็แลดูสมบูรณ์กว่าข้าพเจ้ามากมายนัก ข้าพเจ้าหมดสิ้นเสียแล้วซึ่งพลังชีวิต แม้สงครามกลางเมืองในสเปนที่ข้าพเจ้าพานพบประสบมาก็ยังหาได้ทำความเสียหายกับชีวิตข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจเพียงว่าหากวันใดที่ข้าพเจ้าไม่อาจพยุงตนให้ลุกออกจากพื้นดินที่ตนเองอาศัยนอนอยู่ไปตามหานกตัวนั้นได้ ข้าพเจ้าก็จะกลั้นใจจบชีวิตเสียให้จบสิ้นไป ข้าพเจ้าเชื่อว่าความตายในยามแสวงหาจะทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้ามีเสรี และอย่างน้อยมันอาจค้นหาเจ้านกตัวนั้นได้พบในโลกหน้า

 

ทว่าแรงปรารถนาของข้าพเจ้าหาได้สัมฤทธิ์ผลลง เย็นวันนั้นเอง มาเม็ตปรากฏตัวขึ้น และศรี อรพินโท เป็นผู้ตบบ่าอันอุดมไปด้วยโครงกระดูกของข้าพเจ้า “ฟรังซัวส์ อูแบง เวลาแห่งการสู้รบของเรามาถึงแล้ว ไปสู่ศึกสุดท้ายของเรากันเถิด”

 

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561)

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

The post วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 24) appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/anusorn-wayang-amrita-24/feed/ 0