กาญจนา หงษ์ทอง – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 08 Sep 2019 12:37:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 โบโกตา เมืองหลวงแห่งความเบิกบาน https://thestandard.co/colombia-bogota/ Fri, 06 Sep 2019 07:44:15 +0000 https://thestandard.co/?p=284990 โบโกตา เมืองหลวงของประเทศโคลอมเบีย

“คุณโชคดีนะ วันนี้ในเมืองมีขบวนพาเหรดใหญ่ เพราะโบโกตาฉล […]

The post โบโกตา เมืองหลวงแห่งความเบิกบาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
โบโกตา เมืองหลวงของประเทศโคลอมเบีย

“คุณโชคดีนะ วันนี้ในเมืองมีขบวนพาเหรดใหญ่ เพราะโบโกตาฉลองวันเกิดพอดี รีบเข้าไปในเมืองเลย เดี๋ยวเขาจะมีขบวนละนะ รีบไปเลย” 

 

พนักงานต้อนรับที่เรือนพักบอกเบาะแสที่ทำให้หูผึ่ง จนต้องรีบกินอาหารเช้าแล้วเรียกแท็กซี่ออกไปหาโบโกตา (Bogota) 

 

Colombia Bogotá

 

นครหลวงของโคลัมเบีย (Columbia) พ.ศ. นี้ ช่างต่างจากสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง ลืมเรื่องแหล่งยาเสพติดระดับโลก เจ้าพ่อและมาเฟีย ไปจนถึงเรื่องรถติดแบบอภิมหามาราธอนไปเถอะ เพราะถ้าคุณได้เห็นโคลอมเบียเวลานี้ อาจจะเผลอร้อง “ว้าว” ออกมาเบาๆ

 

พิกัดที่ควรใช้เป็นจุดเริ่มต้นทำความรู้จักกับโบโกตาอยู่ที่จัตุรัสโบลิวาร์ (Plaza de Bolivar) ฉันจึงเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งตรงนั้น 

 

คงเป็นโชคดีของฉันที่เดินทางไปถึงโบโกตาในวันที่เมืองหลวงแห่งนี้กำลังฉลองวันเกิด เมืองทั้งเมืองจึงมีแต่ความเบิกบาน เพราะพอเริ่มจากช่วงสายๆ ของวัน ขบวนพาเหรดก็ตั้งแถว  

 

Colombia Bogotá Colombia Bogotá

 

ผู้ร่วมขบวนพากันแต่งตัวแนวแฟนซีสีสันฉูดฉาด แต่ละกลุ่มจะมีคอนเซปต์เป็นของตัวเอง เป็นต้นว่าบางกลุ่มอาจจะเน้นไปทางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บางกลุ่มเน้นไปทางเสียดสีการเมือง บางกลุ่มเน้นไปแนวออกสเตปแดนซ์กันอย่างสุดสวิง บางกลุ่มก็เน้นไปเรื่องศิลปวัฒนธรรมของชาวโคลอมเบีย

 

ขบวนเริ่มเดินจากย่านใจกลางเมืองไปสุดทางที่จัตุรัสโบลิวาร์ จัตุรัสกลางเมืองที่แวดล้อมไว้ด้วยมหาวิหาร และอาคารสำคัญหลายแห่ง  

 

Colombia Bogotá

 

ขบวนทยอยเดินเข้าสู่จัตุรัสจนกระทั่งถึงช่วงบ่าย เมื่อเสร็จแล้วก็มีการแสดงดนตรีต่อ เรียกได้ว่ามีทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวออกมาสนุกสนานกันกลางจัตุรัสตลอดทั้งวัน ส่วนฉันรีบเดินปรี่ไปพิพิธภัณฑ์ทอง (El Museo del Oro) ก่อน เพราะเป็นวันอาทิตย์ พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าฟรี จากจัตุรัสโบลิวาร์เดินไปพิพิธภัณธ์ทองไม่ไกลมากนัก พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่สวนซานแทนเดอร์ (Santander Park) อยู่ตรงหัวมุมถนน Carrera 5 ตัดกับถนนหมายเลข 16th 

ลืมเรื่องแหล่งยาเสพติดระดับโลก เจ้าพ่อและมาเฟีย ไปจนถึงเรื่องรถติดแบบอภิมหามาราธอนไปซะเถอะ เพราะถ้าคุณได้เห็นโคลอมเบียเวลานี้ อาจจะเผลอร้อง “ว้าว” ออกมาเบาๆ

ที่จริงใครที่ชอบพิพิธภัณฑ์ พูดเลยว่าโบโกตาคือเมืองที่มีพิพิธภัณฑ์ดีๆ ให้เดินสายเที่ยวชมกันหลายแห่ง ทั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ แต่สุดยอดพิพิธภัณฑ์ที่นักเดินทางพากันมุ่งหน้าไปหาคือพิพิธภัณฑ์ทองแห่งโบโกตา

 

ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดแสดงผลงานในทุกแง่มุมเกี่ยวกับทองคำในช่วง Pre-Hispanic ซึ่งนับเป็นคอลเล็กชันที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผลงานกว่า 55,000 ชิ้น ซึ่งในจำนวนนี้ 30,000 ชิ้นเป็นทองคำ แต่ละปีจึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทองคำทุกคอลเล็กชันกันที่นี่ปีละเกือบล้านคน 

 

Colombia Bogotá

 

ต้องยอมรับว่า มีข้าวของให้ดูเยอะจริงๆ มาที่นี่จะมีหน้ากากทองคำให้ดูเยอะมาก โดยเฉพาะบนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ มีคอลเล็กชันหน้ากากทองคำและเครื่องประดับอายุมากกว่า 2 พันปี ที่ใช้ในงานต่างๆ เช่น พิธีศพ และงานเฉลิมฉลอง ไปจนถึงงานเชิงศาสนา

 

พูดจริงๆ เจอพิพิธภัณฑ์ทองในลิมาและไต้หวันมาแล้ว เห็นแล้วต้องยอมคารวะให้พิพิธภัณฑ์ทองคำแห่งโบโกตา 

 

และเชื่อเถอะว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบทองคำหรือไม่ แต่มาที่นี่แล้วอาจจะทำให้คุณกลายเป็นผู้ที่สนใจเรื่องทองคำมากขึ้น เพราะแท้จริงแล้ว ทองไม่ได้เป็นแค่ทอง  แต่มีเรื่องราวในอดีตมากมายที่บอกผ่านทองคำ

 

Colombia Bogotá

Colombia Bogotá

Colombia Bogotá

 

ออกจากพิพิธภัณฑ์ทอง แวะไปนั่งพักน่องที่ Café de la Fuente ที่อยู่ไม่ไกล มาแล้วต้องหากาแฟชิมด้วย เพราะโคลอมเบียได้ชื่อว่ามีสุดยอดกาแฟรอนักชิมกาแฟอยู่   คาเฟ่นี้เขาเสิร์ฟกาแฟโคลอมเบียสุดเข้ม ใครไม่ชอบกาแฟก็มีช็อกโกแลตรสชาติดีด้วย  

  

เสร็จแล้วเดินเลี้ยวไปตลาดข้างๆ พิพิธภัณฑ์ทอง เขามีตลาดนัดงานฝีมือที่ชื่อ La Casona Galería Artesanal เป็นงานฝีมือของชาวโคลอมเบียนขนานแท้ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า เครื่องหนัง งานปัก งานแกะสลัก งานสาน  

 

และที่เป็นสิ่งที่สาวๆ ต้องพากันเหลียวมองคือกระเป๋าผ้าสไตล์โคลอมเบียนที่มีสีสันฉูดฉาดบาดอารมณ์จนต้องหิ้วกลับบ้านสักใบสองใบ ที่นี่คือแหล่งรวมงานดีที่ต่อรองได้อย่างสนุกแน่นอน 

ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าชื่อของประเทศโบลิเวีย เป็นการตั้งชื่อเพื่อยกย่อง ไซมอน โบลิวาร์ นี่เอง

Colombia Bogotá

Colombia Bogotá

 

วันรุ่งขึ้น ฉันกลับมาหาจัตุรัสโบลิวาร์อีกรอบ เพราะเมื่อวันก่อนยังสำรวจไม่เต็มตาเท่าไร เมื่อไม่ถูกเทศกาลงานรื่นเริงบดบัง ถึงได้เห็นว่ารายรอบจัตุรัส มีทั้งมหาวิหารและโบสถ์เล็กโบสถ์น้อยกระจายอยู่ทั่ว อาคารสำคัญ อาคารที่ทำการของรัฐบาล และอาคารในยุคโคโลเนียล พิพิธภัณฑ์ ส่วนกลางจัตุรัสก็มีศิลปินเร่มาเปิดการแสดง   

 

เดิมทีสมัยที่สเปนปกครองเรียกจัตุรัสนี้ว่าจัตุรัสมายอร์ ใช้จัตุรัสนี้ทำหลายหน้าที่ เป็นทั้งสนามสู้วัวกระทิง เป็นทั้งตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า และเวทีแสดงละครสัตว์   แต่ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลงานรื่นเริง หรือการประท้วงก็ล้วนแต่เกิดขึ้นที่จัตุรัสแห่งนี้ทั้งนั้น

 

Colombia Bogotá

Colombia Bogotá

 

กลางจัตุรัสมีรูปปั้นของฮีโร่ของชาวอเมริกาใต้อย่าง ไซมอน โบลิวาร์ นักต่อสู้ผู้ปลดปล่อยอิสรภาพหลายประเทศในอเมริกาใต้จากสเปน  

 

ด้วยความคิดของเขาที่ว่า “ดินแดนอเมริกาใต้ควรเป็นของชาวอเมริกาใต้ ไม่ใช่ของสเปน” ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โบลิวาร์จึงเข้าร่วมกับผู้รักชาติจำนวนมากทำสงครามกับสเปนหลายรอบ เรียกว่าผลัดกันแพ้ชนะอยู่ 10 กว่าปี แต่ในที่สุดก็มีชัยชนะ ปิดฉากระบอบอาณานิคมในอเมริกาใต้ของสเปนลงโดยสิ้นเชิงในปี ค.ศ. 1825 ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าชื่อของประเทศโบลิเวีย เป็นการตั้งชื่อเพื่อยกย่อง ไซมอน โบลิวาร์ นี่เอง 

 

Colombia Bogotá

Colombia Bogotá

Colombia Bogotá

 

ดีที่กลับมาจัตุรัสโบลิวาร์อีกวัน เพราะเมื่อวานคลื่นคนทำให้ไม่เห็นรูปปั้นของโบลิวาร์เลยด้วยซ้ำ รู้เรื่องราวของโบลิวาร์เสร็จ ฉันก็เดินเตร็ดเตร่สำรวจบริเวณรอบๆ จัตุรัสที่ตั้งอยู่โดดเด่นริมจัตุรัสเลยก็คือมหาวิหาร เมื่อวานไม่มีโอกาสเข้าไป วันนี้เลยถือโอกาสผลักประตูเข้าไปชมความเข้มขลังของมหาวิหารแห่งโบโกตา (Cathedral of Bogota) โบสถ์ขนาดใหญ่ที่เดิมทีพวกสเปนใช้เป็นห้องสวดมนต์เท่านั้น ต่อมาถึงได้สร้างเป็นวิหารขึ้นมา แต่ความที่พื้นที่แถวนี้เกิดแผ่นดินไหวบ่อย จึงมีการบูรณะขึ้นใหม่หลายรอบ จนทุกวันนี้ด้านหน้าเราจะมองเห็นเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขามอนต์เซอร์รัต 

พูดจริงๆ เจอพิพิธภัณฑ์ทองในลิมาและในไต้หวันมาแล้ว เห็นแล้วต้องยอมคารวะให้พิพิธภัณฑ์ทองคำแห่งโบโกตา 

Colombia Bogotá Colombia Bogotá

 

นอกจากการก่อสร้างที่ทำได้อย่างคลาสสิก มีภาพวาดทางศาสนาบนกำแพงแล้ว ยังมีห้องที่เก็บร่างของผู้ก่อร่างสร้างเมืองโบโกตา และบุคคลสำคัญคนอื่นๆ ด้วย 

 

ออกจากมหาวิหารถึงได้มีเวลาไปเดินสำรวจในย่านเมืองเก่า ถึงได้รู้ว่ายังมีอาคารบ้านเรือนที่ทอดตัวอยู่บนเนินเขา ซึ่งพูดได้เลยว่าเรื่องสีสันนั้นฉูดฉาดไม่แพ้เมืองบัลพาไรโซแห่งชิลีเลย ยังมีโบสถ์เก่าแก่อีกหลายแห่ง มหาวิทยาลัย และพิพิธภัณฑ์ดีๆ ให้เลือกดูเพียบเลย 

 

Colombia Bogotá

Colombia Bogotá

 

ส่วนฉันมาจบที่พิพิธภัณฑ์โบสถ์ซานตาคลารา (Santa Clara Museum Church) ที่อยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสโบลิวาร์เท่าไร  

 

นี่คือโบสถ์แห่งเดียวในโบโกตาที่เป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย เดิมทีโบสถ์สร้างตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ด้านในวิจิตรตระการตาไปด้วยภาพบนฝาผนังที่เติมให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยิ่งเลอค่าเข้าไปอีก 

 

Colombia Bogotá Colombia Bogotá

 

เห็นโบโกตาแล้วรู้เลยว่าทุกวันนี้ถ้ามีการพูดถึงเมืองหลวงน่าอยู่ ต้องมีชื่อของโบโกตาติดอยู่ด้วยแน่นอน  

 

ลองกระเถิบตัวเข้าใกล้โบโกตา แล้วจะรู้ว่าเมืองหลวงที่น่าอยู่ที่สุดในลาตินอเมริกาอยู่ที่นี่นี่เอง 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post โบโกตา เมืองหลวงแห่งความเบิกบาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
กือราเซา มนตราสีเทอร์ควอยส์แห่งแคริบเบียน https://thestandard.co/curacao/ https://thestandard.co/curacao/#respond Fri, 15 Mar 2019 15:30:02 +0000 https://thestandard.co/?p=224173

แคริบเบียน (Caribbean) คือทะเลเจ้าเสน่ห์ที่นักท่องทะเลท […]

The post กือราเซา มนตราสีเทอร์ควอยส์แห่งแคริบเบียน appeared first on THE STANDARD.

]]>

แคริบเบียน (Caribbean) คือทะเลเจ้าเสน่ห์ที่นักท่องทะเลทุกคนต่างถวิลหา

 

แต่มันต้องมีอะไรที่มากกว่าน้ำทะเลใสแจ๋วสีเทอร์ควอยส์แน่ๆ ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่เทียวไปเทียวมาหาเกาะแก่งน้อยใหญ่ในทะเลแคริบเบียนไม่เว้นแต่ละปี  

 

บางทีแคริบเบียนคงมีมนตราสะกดให้นักท่องทะเลหลงใหลเกลียวคลื่นและน้ำทะเลแห่งแคริบเบียน

 

บาฮามาส เติร์กแอนด์เคคอส ยูเอสเวอร์จินไอส์แลนด์ เปอร์โตริโก จาเมดา เฮติ เคย์แมน คิวบา โดมินิกัน ฉันทยอยเดินสายสะสมหลักไมล์ในแคริบเบียนมาหมดแล้ว  

 

 

แต่แถวแคริบเบียนยังมีอีกนับสิบเกาะที่นักล่าเกาะน่าเที่ยวอย่างฉัน อยากจะพาสองเท้าไปย่ำน้ำทะเลที่นั่น หนึ่งในนั้นคือ เกาะกือราเซา (Curacao) เกาะที่อยู่ห่างจากประเทศเวเนซุเอลาอยู่แค่ลิบๆ เท่านั้น นอกจากนั้นยังเป็น 1 ใน 4 ประเทศองค์ประกอบของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์

 

กือราเซาเป็นเกาะที่มีสถานะเป็นดินแดนปกครองตนเองแห่งหนึ่งของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ โดยมีวิลเลมสตัด (Willemstad) เป็นเมืองหลวง

 

สมัยก่อนทาสชาวแอฟริกาจะถูกส่งเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาพักยังเกาะแห่งนี้ ก่อนจะถูกส่งไปยังทวีปอเมริกาและเกาะอื่นๆ ในทะเลแคริบเบียน

 

ฉันข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาเกาะกือราเซาในวันที่ทะเลแคริบเบียนเพิ่งผ่านพ้นฤดูเฮอริเคนมาหมาดๆ กลิ่นหมาดฝนยังคงเปรอะเปื้อนเกาะอยู่ แต่แสงแดดอันเผ็ดร้อนยังคงสิงสถิตอยู่กับกือราเซา สำหรับคนบูชาแสงแดด กือราเซาจึงยังหอมหวานเสมอ

 

ในคลื่นคน ฉันยืนปะปนอยู่หน้าเวิ้งอ่าวอันสวยงามของกือราเซา 80% ของแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยือนเกาะกือราเซา คือนักล่องเรือสำราญ

 

ความที่กือราเซาเป็นเกาะอันไกลโพ้นของแคริบเบียน เรียกได้ว่าค่อนไปอยู่ทางเวิ้งของแคริบเบียนตอนใต้ และอยู่ใกล้กับทวีปอเมริกาใต้เสียมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะล่องเรือไปไม่ไกลก็ถึงชายคาเวเนซุเอลาแล้ว

 

 

ใครที่อยากมาสำรวจเกาะนี้ ก็มักจะมาโดยเรือสำราญกันจะง่ายกว่าหาเที่ยวบินมาที่นี่ พอยืนอยู่หน้าเวิ้งอ่าว จึงเห็นเรือตึกจอดเรียงรายทอดสมอ หลังจากแต่ละลำคายผู้คนลำละหลายพันออกมาจากเรือสำราญ เยอะราวกับเรือออกลูกเป็นมนุษย์ได้ นั่นเป็นเหตุผลให้เกาะกือราเซาในฤดูท่องเที่ยว มีนักล่องเรือสำราญเดินกันเพ่นพ่านทั่วเกาะ  

 

ยังไม่ทันเข้าถึงเนื้อถึงตัวของเกาะกือราเซา กลิ่นอายแบบดัตช์ๆ ก็ลอยลิ่วมาแตะปลายจมูกเข้าแล้ว มองผาดๆ ก็พอจะเห็นอาคารบ้านเรือนและสถาปัตยกรรมแบบดัตช์ตั้งเรียงรายอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง

 

ที่พูดว่า 2 ฝั่ง เพราะเกาะกือราเซาแบ่งเป็นฝั่งปุนดา (Punda) และฝั่งโอโตรบันดา (Otrobanda) โดยมีสะพานเชื่อมทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน สะพานนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีเวลาเปิดปิด เพื่อให้เรือวิ่งผ่านไปมาได้ ทั้งคนและรถที่จะข้ามไปมาต้องเผื่อเวลาสำหรับรอสะพานเปิด-ปิดด้วย

 

 

พอเห็นสีสันฉูดฉาดของฝั่งปุนดาแล้ว แทบไม่ต้องสงสัย ฉันเดินข้ามสะพานจากฝั่งโอโตรบันดา พุ่งไปหาฝั่งปุนดาทันที  

 

พูดก็พูดเถอะ เกาะกือราเซาสมัยล่าอาณานิคมถูกเปลี่ยนมือไปมาระหว่างเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ก่อนจะกลับมาเป็นของเนเธอร์แลนด์อีก อาคารบ้านเรือนฝั่งนี้เลยกระเดียดไปทางโคโลเนียลดัตช์เสียมากกว่า

 

กลิ่นหมาดฝนยังคงเปรอะเปื้อนเกาะอยู่ แต่แสงแดดอันเผ็ดร้อนยังคงสิงสถิตอยู่กับกือราเซา สำหรับคนบูชาแสงแดด กือราเซาจึงยังหอมหวานเสมอ

 

ยังไม่ทันไปไหนไกล อาคารสีเหลืองสดตรงหัวมุมก็เกี่ยวสายตาทุกคู่ให้หยุดมองเสียแล้ว นี่เป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดในฝั่งปุนดา อายุอาจจะมากกว่า 300 ปี แต่อาคารแห่งนี้ไม่ได้ดูร่วงโรยไปตามวัยเลย

 

ใครชอบเมืองเก่าที่แออัดไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลดัตช์ มาเดินซอกแซกในฝั่งปุนดา น่าจะมีความสุขที่สุด ทุกวันนี้อาคารพวกนี้เป็นทั้งร้านค้าที่อวดป้ายแบรนด์ดังของโลกประดับอยู่หน้าร้าน บ้างถูกโมดิฟายเป็นคาเฟ่สุดชิค และร้านอาหารสุดหรู

 

 

ฝั่งปุนดาไม่ได้มีแค่อาคารเก่าแก่หรอก ยังมีโบสถ์ซินาก๊อกอายุ 300 กว่าปี ซึ่งเป็นศาสนาของชาวยิวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกา

 

เดินลัดเลาะไปมา ยังมีตลาดประจำเมือง เป็นตลาดใต้ร่มที่ขายทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวสาร อาหารแห้ง ไปยันของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว  

 

แต่ที่ดึงดูดแขกเหรื่อของเกาะน่าจะเป็นตลาดลอยน้ำ ที่มีเรือประมงจอดเรียงรายอยู่ นั่นแหละเป็นที่มาของตลาดลอยน้ำ เพราะเรือบางลำขายปลาสดๆ จากบนเรือเลย เรือบางลำมาจากเวเนซุเอลา เพราะเกาะกือราเซาอยู่ใกล้กับชายฝั่งเวเนซุเอลาแค่ 40 ไมล์เท่านั้น  

 

 

แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแผงผลไม้ที่อวดสีสันน่ามองเหลือเกิน ที่จริงตลาดนี้ไม่ได้มีแค่ผัก ผลไม้ แต่มีซิการ์และน้ำผึ้งดีๆ ขายด้วย อาจจะอยู่ไกลหน่อย แต่ตลาดลอยน้ำแห่งเกาะกือราเซาจะทำให้เพลินอารมณ์แน่นอน

 

ดูไปดูมาก็ไม่ใช่ตลาดลอยน้ำเสียทีเดียว เพราะเรือก็จอดแนบฝั่ง และพวกแผงผัก ผลไม้ก็มาตั้งอยู่ริมฝั่ง ส่วนในเรือมีพวกชาวประมงนอนเปลญวนกัน เหมือนมาดูวิถีชีวิตของชาวเรือมากกว่า

 

ยังไม่ทันไปไหนไกล อาคารสีเหลืองสดตรงหัวมุมก็เกี่ยวสายตาทุกคู่ให้หยุดมองเสียนี่ เป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดในฝั่งปุนดา อายุอาจจะมากกว่า 300 ปี แต่กลับไม่ดูร่วงโรยไปตามวัย

 

ผละจากตลาดลอยน้ำ พอเดินข้ามสะพานกลับไปหาฝั่งโอโตรบันดา ฝั่งนี้ก็ดูครึกครื้นไม่แพ้กัน พวกโรงแรมหรูๆ ส่วนใหญ่จะมาปักหลักอยู่ฝั่งนี้ โดยขัดสีฉวีวรรณอาคารในยุคอาณานิคมแปรสภาพให้เป็นเรือนพัก แต่ที่นักท่องเที่ยวมักแวะไปหาคือ พิพิธภัณฑ์คูรา ฮูลันดา (Kura Hulanda Museum) ที่ช่วยบอกเล่าอดีตของกือราเซาที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าทาสของชาวดัตช์ในแถบทะเลแคริบเบียนและทวีปอเมริกามาก่อน

 

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการค้าทาสนั่นเอง สมัยก่อนทาสชาวแอฟริกาจะถูกส่งเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาพักยังเกาะแห่งนี้ ก่อนจะถูกส่งไปยังทวีปอเมริกาและเกาะอื่นๆ ในทะเลแคริบเบียน   

 

 

ความจริงใครมีเวลาให้กือราเซาเหลือเฟือ จะตระเวนไปนอนปิ้งร่างย่างตัวรอบๆ เกาะก็ได้ เพราะกือราเซามีชายหาดให้เลือกนอนผึ่งแดดมากกว่า 30 หาด แถมมีแสงแดดปรนเปรอนักเดินทางเกือบตลอดทั้งปี

 

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักล่าเกาะน่าเที่ยว นักล่องเรือสำราญ หรือเป็นแคริบเบียนเลิฟเวอร์ โปรดรู้ไว้เถอะว่า กือราเซาอาจจะดูเป็นเกาะธรรมดาๆ แต่มีเสน่ห์แพรวพราวอย่างน่าประหลาด

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

The post กือราเซา มนตราสีเทอร์ควอยส์แห่งแคริบเบียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/curacao/feed/ 0
การ์ตาเคนา เมืองมรดกโลกสีจี๊ดแห่งโคลอมเบีย https://thestandard.co/exotic-experiences-with-kanjana-cartagena/ https://thestandard.co/exotic-experiences-with-kanjana-cartagena/#respond Sat, 02 Jun 2018 14:00:31 +0000 https://thestandard.co/?p=94772

พูดก็พูดเถอะ ถ้าพูดถึงโคลอมเบีย ฉันรู้จักเรื่องราวของรา […]

The post การ์ตาเคนา เมืองมรดกโลกสีจี๊ดแห่งโคลอมเบีย appeared first on THE STANDARD.

]]>

พูดก็พูดเถอะ ถ้าพูดถึงโคลอมเบีย ฉันรู้จักเรื่องราวของราชาค้าเสพติดระดับตำนานของโลกอย่าง พาโบล เอสโกบาร์ (Pablo Escobar) มากกว่าชื่อของเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวเสียอีก

 

 

ทั้งที่ความจริงแล้วโคลอมเบียมีหลายเรื่องหลากแง่มุมที่น่ารู้กว่าเรื่องของเอสโกบาร์ตั้งเยอะ อย่างเรื่องสุดยอดกาแฟในยุทธจักรที่ต้องมีกาแฟโคลอมเบียติดโผอยู่ด้วยแน่นอน ดีขนาดที่องค์การยูเนสโกยกให้เรื่อง Coffee Culture เป็นมรดกโลกด้วย และเรื่องหลายคนอาจยังไม่เคยรู้คือ โคลอมเบียเป็นประเทศที่ส่งออกกาแฟเยอะเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากบราซิลและเวียดนาม

 

หรืออย่างงานคาร์นิวัล ที่โคลอมเบียก็มีงานคาร์นิวัลที่จัดได้ยิ่งใหญ่แบบพอฟัดพอเหวี่ยงกับริโอ เดอ จาเนโร และถ้าเป็นสมัยก่อนเขาอาจจะเป็นประเทศที่ส่งออกโคเคนเจ้าใหญ่สุด… แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้นอกจากส่งออกกาแฟเป็นหลักแล้ว ยังส่งออกดอกไม้เยอะเป็นรองแค่เนเธอร์แลนด์เท่านั้นแหละ

 

 

จำได้ว่าทีแรกก็นึกอยากจะไปดูงานคาร์นิวัลของโคลอมเบียเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเดือนที่ไปไม่ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งจัดงานคาร์นิวัล เลยต้องรื้อปรับขยับแผนใหม่ หวยจึงมาออกที่เมือง การ์ตาเคนา (Cartagena) เมืองท่องเที่ยวที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ และข้อหาที่เป็นเมืองมีสายสะพายมรดกโลก  การ์ตาเคนาจึงน่าจะเป็นเมืองเนื้อหอมที่สุดแห่งหนึ่งของโคลอมเบีย

 

เหาะเหินเดินอากาศจากโบโกตามาไม่ถึง 2 ชั่วโมง มองเห็นทะเลแคริบเบียนอยู่ลิบๆ เรือบินก็ทาบสองล้อลงบนเมืองการ์ตาเคนาที่ใครๆ ก็บอกว่าคลาสสิก สุนทรี โรแมนติก รวมทุกอย่างไว้ที่นี่

 

 

นักเดินทางผู้ชำนาญการเส้นทางแถบลาตินอเมริกาเคยบอกฉันไว้ว่า ถ้าได้เจอการ์ตาเคนาจะยิ่งหลงใหลโคลอมเบียมากขึ้นอีก เรายังได้ยินว่าการ์ตาเคนาคือเมืองมรดกโลกที่กำลังเป็นเมืองดาวรุ่งมาแรงแซงเมืองไหนๆ ในลาตินอเมริกา ขนาดกุสโกแห่งเปรูที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองยอดนิยม นาทีนี้ยังต้องยอมหลีกทางให้การ์ตาเคนาเชียว

 

ทุกวันนี้มีชาวปาเลนเกราอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ 3 พันกว่าคน ในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองที่ทาสอพยพมาอยู่กันหลังจากได้รับการปลดปล่อยแห่งแรกของทวีปอเมริกาใต้ น่าสนใจตรงที่ชาวเมืองซึ่งดั้งเดิมเป็นพวกครีโอลยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมแอฟริกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น และในทุกวันหญิงชาวปาเลนเกราจะแต่งตัวด้วยอาภรณ์สีสด โพกหัว ทัดดอกไม้ เทินกะละมังผลไม้มาขายที่การ์ตาเคนา

 

เพื่อพิสูจน์ว่าการ์ตาเคนาเลอค่าอย่างที่หลายคนว่าไว้ ฉันเดินเลาะชายหาดจากย่านริมทะเลไปเมืองเก่า ปากทางเข้าเมืองเก่าเป็น Marina Park ที่มีสวนและอนุสาวรีย์ ก่อนจะเดินทะลุเข้ากำแพงที่โอบเมืองเก่าเอาไว้ทั้งเมือง ยังไม่รู้ว่าภายใต้กำแพงเมืองที่สเปนเคยสร้างไว้ได้โอบล้อมเมืองเก่าเอาไว้จะมีอะไรบ้าง แต่ที่เกี่ยวสายตาทุกคู่ให้หยุดมอง น่าจะเป็นหอคอย Torre de Reloj หอนาฬิกาเก่าแก่ทำหน้าที่เป็นโลโก้ของเมือง ถึงแม้หอนาฬิกาจะสร้างในศตวรรษที่ 19 แต่ยังดูใหม่ ดูรูปจากสมัยก่อนอาจจะถลอกปอกเปิก แต่พอจับมาทาสีเหลือง เลยใหม่เอี่ยมเลี่ยมสดเหมือนมะม่วงอกร่องเลย  

 

 

ด้านใต้มีประตูเข้าเมืองเก่าที่พอโผล่เข้ามาเท่านั้นแหละ ก็พบว่าด้านในอวดอาคารบ้านเรือนในแบบโคโลเนียลสีสันฉูดฉาดจัดจ้านเอาไว้อย่างงดงาม มุมที่เป็นเหมือนห้องรับแขกของการ์ตาเคนาอยู่ที่จัตุรัส Plaza de los Coches มุมนี้เป็นลานโล่งที่มีไว้จัดงานเทศกาลงานรื่นเริง

 

รอบๆ อาคารสีสันสดใสทั้งยังเป็นที่ซ่อนตลาด Portal de los Dulces เอาไว้ ตลาดนี้ซุกตัวอยู่ท่ามกลางสีสันของอาคารที่อยู่รอบตัว มีขนมหวาน ลูกกวาด ผลไม้ ขนม และข้าวของในแบบโคลอมเบียนสไตล์ที่น่าหิ้วกลับบ้านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพวกขนมนมเนยเขาทำขายกันมาเป็นร้อยปีแล้ว ถ้าอยู่แถวนี้จะได้เห็นแม่ค้าชาวปาเลนเกรา (Palenquera) ห่มห่อด้วยอาภรณ์สีฉูดฉาดกำลังเทินกะละมังผลไม้หลายชนิดไว้บนหัว แค่นี้ก็คุ้มแล้ว ที่นี่จึงเป็นอีกมุมหนึ่งของการ์ตาเคนาที่น่าช้อปอย่าบอกใคร  

 

 

หญิงชาวปาเลนเกราพวกนี้เธอมาจากเมืองปาเลนเก (Palenque) ที่อยู่ห่างจากเมืองการ์ตาเคนาราวๆ 40 กว่ากิโลเมตร ทุกวันนี้มีชาวปาเลนเกราอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ 3 พันกว่าคน ในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองที่ทาสอพยพมาอยู่กันหลังจากได้รับการปลดปล่อยแห่งแรกของทวีปอเมริกาใต้ น่าสนใจตรงที่ชาวเมือง ซึ่งดั้งเดิมเป็นพวกครีโอลยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมแอฟริกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น และในทุกวันหญิงชาวปาเลนเกราจะแต่งตัวด้วยอาภรณ์สีสด โพกหัว ทัดดอกไม้ เทินกะละมังผลไม้มาขายที่การ์ตาเคนา ที่จริงนักท่องเที่ยวสามารถพบเจอพวกเธอได้ตามจัตุรัสต่างๆ แต่ที่จัตุรัส Plaza de los Coches นี่รู้สึกจะหาดูง่ายที่สุด หากอยากถ่ายรูปกับพวกเธอ รบกวนอุดหนุนผลไม้ของพวกเธอที่แม้ราคาจะแพงไปนิด แต่ถือว่าเป็นค่าถ่ายรูป จากนั้นพวกเธอจะโพสท่าใส่กล้องไม่ยั้งทีเดียวเชียว

 

 

และที่จัตุรัสนี้อีกเช่นกัน ที่หากใครอยากจะนั่งรถม้าท่องเมืองเก่าการ์ตาเคนา มุมนี้มีวินม้ารอทุกคนอยู่ แต่ถ้าเดินทอดน่องท่องเมืองเก่า ก็จะรู้สึกเพลิดเพลินจนลืมเหนื่อย

 

และเหมือนกับเมืองโบโกตา (Bogota) เมืองหลวงของโคลอมเบียที่พอเข้ามาในเมืองเก่าของการ์ตาเคนาแล้ว เดินละจากหอนาฬิกาก็ไปตั้งหลักที่จัตุรัส Plaza Bolivar จะเหมาะสุด เพราะนี่คือจัตุรัสประจำเมืองที่กลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของไซมอน โบลิวาร์ (Simón Bolívar) ผู้ทำสงครามประกาศอิสรภาพประเทศต่างๆ ในอเมริกาใต้ รวมทั้งโคลอมเบียให้พ้นจากการเป็นอาณานิคมของสเปน  

 

 

รายรอบอาคารจัตุรัสยังมีอาคารของทางการ ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์ทอง เพราะในอดีตโคลอมเบียได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทองคำที่ถูกใจพวกสเปนมาก นอกจากนี้ยังมีมหาวิหารแห่งเมืองการ์ตาเคนา (Cartagena Cathedral) ที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างงดงาม

 

เดินละจากจัตุรัสโบลิวาร์ไปไม่ไกล ยังมีจัตุรัส Plaza de Santo Domingo จัตุรัสเล็กๆ ที่นอกจากจะมีโบสถ์สวยๆ และเก่าแก่ที่สุดในเมืองอย่างโบสถ์ Santo Domingo Church แล้ว ยังมีรูปปั้นของหญิงร่างอ้วน (La Gordita) ที่เป็นฝีมือของศิลปินชื่อดังชาวโคลอมเบียอย่าง Fernando José Torres Sanz

 

 

ร่างอวบอ้วนนี้นอนอยู่หน้าโบสถ์อย่างสบายอารมณ์ แทบจะเรียกว่าคนที่มาการ์ตาเคนาทุกคนเป็นต้องเดินหารูปปั้นนี้เพื่อจับหล่อนบันทึกเข้าเมโมรีการ์ดกันทั้งนั้น

 

การ์ตาเคนาอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางลำดับต้นๆ เมื่อนึกถึงละตินอเมริกา แต่พอได้ลองพาตัวเองมาสัมผัสโคลอมเบียก็อาจตกที่นั่งเดียวกับนักเดินทางจากทั่วมุมโลก คือเผลอรักประเทศนี้โดยไม่รู้ตัว

The post การ์ตาเคนา เมืองมรดกโลกสีจี๊ดแห่งโคลอมเบีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/exotic-experiences-with-kanjana-cartagena/feed/ 0
ย่าติง แดนหิมะโพลน https://thestandard.co/yading-nature-reserve/ https://thestandard.co/yading-nature-reserve/#respond Sat, 13 Jan 2018 05:20:56 +0000 https://thestandard.co/?p=61944

นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 1931 ที่นิตยสาร National Geogra […]

The post ย่าติง แดนหิมะโพลน appeared first on THE STANDARD.

]]>

นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 1931 ที่นิตยสาร National Geographic ยอมเทพื้นที่มากกว่า 60 หน้าให้กับ ดร.โจเซฟ ร็อก ได้เขียนเรื่องราวทุกแง่มุมและเผยภาพถ่ายสวยบริสุทธิ์ของเขตอนุรักษ์ธรรมชาติย่าติง (Yading Nature Reserve) โลกก็ได้รู้จักกับชื่อของย่าติงอย่างเป็นทางการ

 

 

เสน่ห์อันเร้นลับของย่าติงที่ชาวทิเบตซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาหิมะนานหลายร้อยปีถูกคลี่ออกให้ชาวโลกได้เห็นความงดงามอันผุดผ่องอย่างหมดเปลือก นับแต่นั้นมา ย่าติงก็หัวกระไดไม่แห้ง อย่าว่าแต่นักเดินทางจากทั่วมุมโลกเลย แม้แต่ลูกหลานชาวมังกรยังแห่แหนมาที่นี่กันชนิดหัวกระไดย่าติงไม่เคยแห้ง

 

นักสำรวจและนักพฤกษศาตร์ชาวอเมริกันที่เข้ามาสำรวจแถวอนุรักษ์ธรรมชาติย่าติงตั้งแต่ปี 1928 ก็ถือว่าเป็นชาวตะวันตกคนแรกที่เข้ามาป้วนเปี้ยนสำรวจแถวมณฑลยูนนานและเสฉวนอย่างจริงจัง แต่สำหรับชาวทิเบตในแคว้นคัม (Kham) แห่งมณฑลเสฉวนแล้ว พวกเขาต่างรู้กันดีมานานแล้วว่าย่าติงนั้นงดงามแค่ไหน

 

 

เมื่อสาวงามถูกแหวกผ้าคลุมออก คำถามมากมายจึงเกิดขึ้นกับย่าติงว่าจะสามารถรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องไว้ได้นานแค่ไหน

 

หรือที่นี่จะเป็นแชงกรีลา (Shangri-La) สวรรค์บนดิน ตามที่เจมส์ ฮิลตัน นักเขียนชาวอังกฤษได้ร่ายตัวอักษรลงบนหนังสือเรื่อง Lost Horizon เมื่อปี 1933 เขาได้เอื้อนเอ่ยถึงดินแดนลี้ลับที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาจนโลกภายนอกไม่เคยล่วงรู้ถึงความงดงามของสถานที่แห่งนี้

 

แต่นับจากวันนั้นถึงวันนี้ เกือบ 90 ปีแล้วที่นักเดินทางรู้จักและเข้าถึงเนื้อถึงตัวย่าติง แต่ย่าติงก็ยังคงปรนเปรอธรรมชาติอันงดงามให้นักเดินทางได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

 

 

ในเวลาเดียวกัน ยิ่งผู้คนรู้จักย่าติงมากขึ้น ย่าติงก็ถูกตั้งคำถามว่า หรือที่นี่จะเป็นแชงกรีลา (Shangri-La) สวรรค์บนดินตามที่เจมส์ ฮิลตัน นักเขียนชาวอังกฤษได้ร่ายตัวอักษรลงบนหนังสือเรื่อง Lost Horizon เมื่อปี 1933 ตอนนั้นเขาได้เอื้อนเอ่ยถึงดินแดนลี้ลับที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาจนโลกภายนอกไม่เคยล่วงรู้ถึงความงดงามของสถานที่แห่งนี้

 

 

จะใช่หรือไม่ใช่ก็ช่าง แต่เมืองหน้าด่านของการทำความรู้จักกับย่าติงที่เดิมทีเคยชื่อยื่อหวา (Riwa) ก็ถูกทางการจีนเปลี่ยนเป็นแชงกรีลาทาวน์ (Shangri-La Town) ไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว

ที่จริงประตูด่านแรกของย่าติงน่าจะเป็นเมืองเต้าเฉิง (Daocheng) เสียมากกว่า   เพราะไม่ว่าใครจะมาจากเฉินตู ซีอาน หรือฉงชิ่ง และมาด้วยวิธีไหน ทั้งรถบัสไปยันเหาะเหินเดินอากาศ ก็ต้องมาแลนดิ้งที่เมืองเต้าเฉิงก่อน เมืองนี้น่ากลัวมาก

 

แต่เมื่อเห็นความงดงามของทะเลสาบไข่มุก น้ำสีเขียวๆ ยอดเขาสูงกว่า 6,000 เมตร และริ้วธงมนตรา แค่นี้ความเหนื่อยล้าก็ยอมสลายตัว

 

ไม่ได้มีโจรขโมยชุกชุมอะไร แต่ระดับความสูงของเต้าเฉิงที่มากกว่า 3,700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เมืองนี้ไม่น่าคบหาน่านอนสักเท่าไร ยิ่งตอนบินมาถึง เมื่อสองเท้าของฉันทาบลงบนสนามบินเต้าเฉิงที่สูงกว่า 4,400 เมตร หายใจแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว อย่างเดียวที่ทำได้คือทำอะไรให้ช้าที่สุด และหายใจเข้าออกให้ลึกสุดหยั่ง

 

 

จีนประกาศเสียงดังมากว่านี่คือสนามบินที่สูงที่สุดในโลก ไม่มีใครกล้าเถียงลูกหลานท่านประธานเหมา เพราะสนามบินเอล อัลโตแห่งโบลิเวียที่เคยสูงที่สุดในโลก 4,000 เมตร เป็นแค่อดีตเจ้าของสถิติไปแล้ว

 

นักเดินทางส่วนใหญ่เมื่อมาถึงย่าติงจึงรีบเผ่นหนีความสูงของเต้าเฉิงไปนอนพักกันที่ยื่อหวาที่สูงน้อยกว่า จะให้ดีอย่ารีบมารีบไปรีบเที่ยว เผื่อเวลาไว้บ้างจะดีมาก เพราะหลายคนมาแล้วป่วยหลังจากถูกอาการ Attitude Sickness โจมตี กลายเป็นหมดสนุกไป จะให้ดีเผื่อเวลาไว้สัก 4 วัน 3 คืนกำลังดี วันแรกมาถึงนอนเอกเขนกปรับตัวให้คุ้นชินกับความสูงเสียก่อน ทำอะไรช้าๆ ใช้ชีวิตเนิบนาบ พอวันรุ่งขึ้นค่อยมุ่งหน้าเข้าสู่เขตอนุรักษ์ย่าติง

 

 

ด้านในของย่าติงค่อนข้างกว้างมาก และมีเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติหลายเส้นทาง ต้องวางแผนให้ดี แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ต้องฝ่าด่านนักท่องเที่ยวชาวจีนไปขึ้นรถของย่าติงให้ได้ก่อน

 

จากจุดซื้อตั๋วต้องเดินไต่ความสูงขึ้นไปจุดจอดรถ ที่นี่ห้ามรถส่วนตัวขึ้น นักท่องเที่ยวทุกคนต้องขึ้นรถของทางศูนย์ไปอีก 1 ชั่วโมง เพื่อไปถึงมุมที่เป็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว แต่อย่าหวังว่าเจ้าหน้าที่จะให้ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษได้ เพราะทุกคนสปีกไชนีสกันหมด

 

แล้วทะเลสาบน้ำนมก็สมนาคุณคนเดินช้าด้วยวิวทิวทัศน์ที่เห็นแล้วพูดได้คำเดียวว่า โลกทั้งใบเกือบหยุดหมุน  

 

จากจุดนี้ ถ้าวันแรกเอาแบบซอฟต์ๆ ก่อน ก็เดินขึ้นวัด Chong Gu ที่สูงกว่า 3,900 เมตร ระยะทางอาจจะไม่ค่อยไกลมากแค่ร้อยสองร้อยเมตร แต่พูดเลยว่าตอนเดินขึ้นนี่หัวใจจะเต้นโครมครามจนข้างๆ อาจได้ยินเสียงได้

 

 

อารามอายุเกือบ 800 ปีแห่งนี้ตั้งอยู่ตั้งตีนเขา มีพระจำวัดอยู่ไม่กี่รูป สมัยก่อนนักเดินสะพายเป้สามารถพักที่วัดนี้ได้  แต่เดี๋ยวนี้ไม่อนุญาตให้ทำอย่างนั้น ด้านในของอารามแห่งนี้มีความงดงามปรากฏอยู่รอบตัว ทั้งผนัง เพดาน ประตู หน้าต่าง เป็นภาพวาดในเชิงศาสนาและความเชื่อของชาวทิเบต และบังเอิญเข้าวัดไปในจังหวะดี จึงได้เห็นพระทิเบตกำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องสวดมนต์ เพียงเท่านี้ก็สัมผัสได้ถึงความเข้มขลังของวัด Chong Gu

 

 

ด้านหน้าของวัดจะมีกองหินและริ้วธงมนตราที่ชาวทิเบตนำมาวางไว้เพื่อบูชาเทพเจ้าของพวกเขา มองไปรอบวัดก็จะรู้เลยว่าวัดนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางทิวเขาที่งดงามมาก และแค่ไม่ถึง 200 เมตรจากตีนเขาไปจนถึงวัดก็หอบไม่เป็นทรงแล้ว เพราะสองเท้ากำลังย่างลงบนระดับความสูงราว 3,900 เมตร แน่นอนว่าจุดหมายข้างหน้าคือทะเลสาบไข่มุกที่สูงกว่า 4,000 เมตร  

 

 

ตัวเลขระยะทางอาจไม่เท่าไร แต่การเดินไต่อยู่บนความสูงระดับนี้ แค่ 3 ก้าวก็ต้องหยุดหายใจแล้ว สำหรับคนที่คุ้นชินกับสภาพความสูงแล้ว เขามักทำเวลากันไว้ที่ราวๆ 1 ชั่วโมง แต่สำหรับคนหัวใจเต้นโครมครามง่ายดายอย่างฉัน ขนาดว่าอยู่มาหลายวันจนน่าจะคุ้น ยังใช้เวลาไปชั่วโมงเศษ

 

 

แต่เมื่อเห็นความงดงามของทะเลสาบไข่มุก น้ำสีเขียวๆ ยอดเขาสูงกว่า 6,000 เมตร และริ้วธงมนตรา แค่นี้ความเหนื่อยล้าก็ยอมสลายตัว นอกจากทะเลสาบไข่มุกแล้ว  อีกเส้นทางหนึ่งที่นักเดินเขามาย่าติงแล้วมักเดินเท้าไปหาคือทะเลสาบน้ำนมที่สูงเกือบ 4,500 เมตร และจุดที่เริ่มต้นออกเดินเท้าไปหาทะเลสาบน้ำนมคือทุ่งหญ้าลั่วหลง

 

 

แค่ทุ่งหญ้าลั่วหลงยังรั้งทุกคนเอาไว้นานสองนาน เพราะที่นี่สวยงามเกินคำบรรยาย ยิ่งในวันดินฟ้าอากาศเป็นใจด้วยแล้วล่ะก็ ที่นี่จะทำให้นักท่องเที่ยวขลุกอยู่มุมนี้กันครึ่งค่อนวัน ก่อนจะเดินไต่เขาขึ้นไปหาทะเลสาบน้ำนมที่หากใครเดินไม่ไหวจะนั่งม้าขึ้นไปก็ได้

ส่วนฉันน่ะเหรอ ค่อยๆ เดินค่อยๆ ไต่ หายใจลึกสุดหยั่ง และตระหนักอยู่เสมอว่า ในโลกของนักเดินเขา เราไม่ได้ต่อสู้กับตัวเลขระยะทางสูงๆ หรือเนินอันสูงชันของภูเขา แต่เรารบรากับระดับความสูงที่ไม่ปกติต่างหาก แล้วทะเลสาบน้ำนมก็สมนาคุณคนเดินช้าด้วยวิวทิวทัศน์ที่เห็นแล้วพูดได้คำเดียวว่า โลกทั้งใบเกือบหยุดหมุน  

 

The post ย่าติง แดนหิมะโพลน appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/yading-nature-reserve/feed/ 0
Welcome to MexiCool https://thestandard.co/welcome-to-mexicool/ https://thestandard.co/welcome-to-mexicool/#respond Fri, 17 Nov 2017 13:13:51 +0000 https://thestandard.co/?p=47086

     พูดก็พูดเถอะ เม็กซิโก เป็นหนึ่งในปร […]

The post Welcome to MexiCool appeared first on THE STANDARD.

]]>

     พูดก็พูดเถอะ เม็กซิโก เป็นหนึ่งในประเทศที่นักเดินทางรู้กันว่าต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ตัวเอง แต่กับ กังกุน (Cancun) หรือที่พวกเธอเรียกกันว่า ‘แคนคูน’ ดูเหมือนเป็นอันรู้กันว่าอาจไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เพราะเมืองตากอากาศชั้นนำของโลกอย่างกังกุน ใครๆ ก็บอกว่าเป็นคนละโหมดกับเมืองอื่นของเม็กซิโก ปลอดภัย น่าเที่ยว และที่อยู่ในแพ็กเกจเดียวกันคือต้นทุนค่าทำความรู้จักแพงลิบลิ่วจนน่าใจหาย

 

 

     สำหรับนักเดินทางผู้โหยหิวแสงแดด พวกเขาตั้งใจเลือกเรือนพักสุดหรูแถวริมทะเล แล้วนอนผึ่งร่างให้แดดลูบไล้ผิวกายไปทั้งวัน ลำพังตัวเมืองกังกุนนั้นแทบไม่มีอะไรให้เที่ยวชมสักเท่าไร เรื่องนี้ฉันแทบไม่แปลกใจ เพราะตั้งใจให้ช่วงเวลาในกังกุนได้พักผ่อนหย่อนอารมณ์อย่างแท้จริงอยู่แล้ว ก็รู้กันอยู่แล้วว่ามากังกุนต้องมาแช่น้ำทะเลแคริบเบียน ถ้าจะไปมองหาสถาปัตยกรรม หรือวิถีชีวิตผู้คนแบบดั้งเดิม ไปเมืองอื่นจะดีกว่าไหม

สำหรับฉันที่พาชีวิตมาที่นี่เพื่อเอกเขนกบนผืนทราย มีแดดบ่ายลูบไล้ มีสายลมคลอเคลียไม่ห่าง ค่อยๆ ละเลียดจิบแคริบเบียนอย่างไม่ตะกละตะกลาม แค่นี้ก็สุขใจในกังกุนแล้ว

 

     พูดอย่างไม่เกรงใจภูเก็ต ต้องบอกว่ากังกุนดูฮอตกว่าภูเก็ตหลายช่วงตัว เพราะที่นี่คือแหล่งพักผ่อนของคนมีสตางค์ ทั้งผังเมืองและบรรยากาศจึงถูกออกแบบให้ดูมีสกุล ทางเดินเลียบทะเลถูกปูด้วยอิฐเอาไว้อย่างเนี้ยบ หลายคนออกมาจ๊อกกิ้งยืดเส้นยืดสาย ชาวต่างชาติบางคนจึงนิยมมาปักหลักกันที่นี่ ไม่ใช่แค่พักผ่อน แต่ถึงขั้นอพยพมาใช้ชีวิตกันเลย

 

 

     เมื่อมีอากาศดีๆ เอาไว้ให้ตุนเข้าปอด แดดดีเกือบตลอดทั้งปี มีชายหาดผืนยาวเอาไว้ให้นอนเกลือกกลิ้งปิ้งทราย ก็ไม่น่าแปลกที่กังกุนจะเป็นที่ทางของคนชอบทะเลที่สัญจรมาจากทั่วโลก ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

 

 

     และเป็นอันรู้กันในหมู่ผู้นิยมบริโภคความบันเทิงเริงใจว่าที่กังกุนเขาปาร์ตี้กันได้ตลอด 24 ชั่วโมง เกาะบางเกาะ เมืองบางเมืองอาจจะปาร์ตี้กันตั้งแต่ดึกๆ ไปจนถึงสายๆ ของอีกวัน แต่ที่กังกุนไม่มีช่วงเวลาให้นักปาร์ตี้ได้พักผ่อน

     สำหรับฉันที่พาชีวิตมาที่นี่เพื่อเอกเขนกบนผืนทราย มีแดดบ่ายลูบไล้ มีสายลมคลอเคลียไม่ห่าง ค่อยๆ ละเลียดจิบแคริบเบียนอย่างไม่ตะกละตะกลาม แค่นี้ก็สุขใจในกังกุนแล้ว

น่าสนใจตรงที่ชนเผ่ามายามีความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรม คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์อย่างลึกซึ้งอย่างที่เด็กสถาปัตย์และเด็กวิศวะยุคนี้ไม่อาจเข้าใจได้

 

     และเมื่อพาตัวเองดั้นด้นมาถึงเมืองกังกุน จะไม่แวะไปทำความเคารพ ชิเชน อิตซา (Chichen Itza) สิ่งปลูกสร้างที่ชาวเม็กซิกันภูมิอกภูมิใจก็ดูจะผิดมารยาทไปสักนิด เป็นอันรู้กันในหมู่นักท่องอารยธรรมและนักประวัติศาสตร์ว่าใน 1 ปีจะมีอยู่ 2 วันที่ผู้คนแห่แหนไปหาชิเชน อิตซา มากกว่าปกติ คือ 21 มีนาคมและ 23 กันยายน เพราะเป็นวันที่เกิดปรากฏการณ์ Equinox ตอนบ่ายๆ

     แสงอาทิตย์จะตกกระทบกับสันของพีระมิดจนเกิดเป็นเงาที่บันไดเป็นรูปตัวงู

     ซึ่งชาวมายันเชื่อกันว่าเทพเจ้างูของพวกเขาค่อยๆ เลื้อยลงมาจากยอดพีระมิดเพื่อเยี่ยมเยือนโลกมนุษย์ โดยบังเอิญที่ฉันมีโอกาสไปป้วนเปี้ยนในช่วงเวลาทองนี้พอดี ครั้นจะไม่ยินดียินร้ายนั่งนิ่งไม่ไปหาชิเชน อิตซา ก็ดูด้านชาเกินไป

 

 

     ชิเชน อิตซา อยู่ห่างจากกังกุนราวๆ 200 กิโลเมตร ประมาณว่าต้องนั่งรถไปเช้าเย็นกลับกาญจนบุรี แต่เรื่องการเดินทางค่อนข้างสบาย เพราะมีรถโดยสารวิ่งไป-กลับทุกวัน เรื่องราวมากมายและอดีตหลายหน้าของชาวมายาคงเกิดขึ้นที่นี่ ทั้งเรื่องราวของการบูชายัญเทพเจ้าผู้กระหายโลหิตด้วยวิธีแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการโยนสาวบริสุทธิ์ลงไปจากวิหารไปจนถึงควักหัวใจออกมา ทั้งหมดนี้ยิ่งอ่านข้อมูลแล้วยิ่งชวนให้อยากเห็นชิเชน อิตซา เหลือเกิน

     พีระมิดที่ก่อร่างสร้างฐานอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูง 9 ชั้นนั้น แต่ละด้านมีบันไดขึ้นไปถึงยอดด้านละ 91 ขั้น รวม 4 ด้าน มีบันได 364 ขั้น แต่พอนับชั้นบนสุดด้วย จะรวมเป็น 365 ขั้น ซึ่งเท่ากับจำนวนวันในหนึ่งปี ฟังแล้วอยากกราบชาวมายาขึ้นมาทันที ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ถ้าองค์การยูเนสโกจะมอบสายสะพายมรดกโลกให้ แถมคนทั้งโลกยังโหวตให้ชิเชน อิตซา เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

     นี่คือหนึ่งในแหล่งโบราณคดีที่สะท้อนอารยธรรมอันรุ่งเรืองเมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมาของชาวมายาได้เป็นอย่างดี น่าสนใจตรงที่ชนเผ่ามายามีความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรม คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์อย่างลึกซึ้งอย่างที่เด็กสถาปัตย์และเด็กวิศวะยุคนี้ไม่อาจเข้าใจได้

 

 

     เอล คาสติลโล (El Castillo) หรือพีระมิดของเทพคูคุลคานที่เป็นพีระมิดสูงที่สุดในชิเชน อิตซา ก็ชวนให้อ้าปากค้าง เพราะพีระมิดที่ก่อร่างสร้างฐานอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูง 9 ชั้นนั้น แต่ละด้านมีบันไดขึ้นไปถึงยอดด้านละ 91 ขั้น รวม 4 ด้าน มีบันได 364 ขั้น แต่พอนับชั้นบนสุดด้วยจะรวมเป็น 365 ขั้น ซึ่งเท่ากับจำนวนวันในหนึ่งปี ฟังแล้วอยากกราบชาวมายาขึ้นมาทันที ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ถ้าองค์การยูเนสโกจะมอบสายสะพายมรดกโลกให้ แถมคนทั้งโลกยังโหวตให้ชิเชน อิตซา เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่จากการโหวตเมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 อีกด้วย

 

 

     ฉันใช้เวลาช่วงก่อน 4 โมงเย็นเดินสำรวจรอบๆ บริเวณชิเชน อิตซา ที่มีทั้งลานโล่งที่สมัยก่อนที่เคยเป็นตลาด มุมที่มีทั้งเสาหินโบราณจำนวนมาก และวิหารเก่าแก่อีกหลายแห่ง แต่มุมที่นักเดินทางไปยืนสอดส่องกันมากน่าจะเป็นมุมที่เป็นรูปปั้นคนนั่งที่เรียกกันว่า ชักมูล (Chac Mool) อาจจะเป็นเพราะทุกวันนี้ยังเป็นปริศนาว่ารูปปั้นนี้หมายถึงอะไร ผู้คนเลยพากันยืนมองกันด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ ยิ่งรู้เรื่องราวของชาวมายา ยิ่งชวนให้พิศวงงงงวยกับความสามารถอย่างน่าเหลือเชื่อของพวกเขา

     แน่นอนว่าเรื่องปฏิทินของชาวมายาและวันสิ้นโลกเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็พูดถึง แต่ความช่ำชองในเรื่องดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์จนทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานานนี่ก็น่าทึ่งไม่ใช่น้อย

 

 

     ดูเหมือนว่ายิ่งใกล้ 16 นาฬิกามากเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งนั่งกันอย่างกระสับกระส่าย ทุกสายตาพุ่งไปจับจ้องบันไดทางด้านทิศเหนือกันเกือบไม่กะพริบตา พลันที่เข็มยาวทาบลงบนเลข 12 เข็มสั้นแตะที่เลข 4 เสียงฮือฮาของผู้คนก็เปล่งออกมา เมื่อแสงค่อยๆ หย่อนตัวทาบลงตกกระทบกับสันของพีระมิดจนกลายเป็นเงาทอดตัวลงมาคล้ายรูปงูเลื้อยลงมาบรรจบกับตรงตีนบันไดเป็นหัวงูพอดิบพอดี

 

 

     สำหรับชาวมายาแล้ว ราวกับเทพคูคุลคานซึ่งเป็นเทพของงูกำลังเดินทางลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อพบปะพวกเขา นี่คือความมหัศจรรย์สมราคา สิ่งน่าทึ่งแบบนี้เกิดขึ้นเพื่อให้มนุษย์ยำเกรงต่อโลกใบนี้ และเคารพผู้คนในอดีตที่ทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดเสมอ

     เมื่อดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และสถาปัตยกรรมมาบรรจบกัน ณ สถานที่แห่งนี้ จากกังกุนถึงชิเชน อิตซา มีแต่โมเมนต์ cool cool ให้นึกถึง ไม่มีไหนเหมาะจะพูดถึงเม็กซิโกเท่า Mexicool อีกแล้ว เพราะมัน cool จริงๆ นี่ไง

The post Welcome to MexiCool appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/welcome-to-mexicool/feed/ 0
Mantastic Maldives https://thestandard.co/maldives/ https://thestandard.co/maldives/#respond Thu, 02 Nov 2017 23:00:57 +0000 https://thestandard.co/?p=40096

         ใครว่า มัลดีฟส์ (Mald […]

The post Mantastic Maldives appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

 

     ใครว่า มัลดีฟส์ (Maldives) มาเที่ยวเดียวก็เบื่อแล้ว แสดงว่ายังไม่รู้จักมัลดีฟส์อย่างลึกซึ้งดีพอ

     เพราะมัลดีฟส์ไม่ได้มีแค่วิลล่ากลางน้ำ น้ำทะเลสีเทอร์ควอยส์ และแสงแดดอันเผ็ดร้อนเสียเมื่อไร ทว่ามัลดีฟส์ยังมีโลกใต้ทะเลที่รอการไปสำรวจจากนักเดินทางจากทั่วมุมโลก

 

 

     ก็คงเหมือนฉันที่แม้จะเป็นมัลดีฟส์เที่ยวที่สิบ แต่มัลดีฟส์ก็เป็นมัลดีฟส์อยู่วันยังค่ำ ยังคงโปรยเสน่ห์จัดจ้านใส่ผู้บูชาแสงแดดและโลกใต้น้ำเสมอ

     แต่ดูเหมือนเที่ยวนี้จะไม่ปกตินัก เพราะฉันมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องสะสางให้บรรลุ เป็นภารกิจที่มาหลายครั้งแล้วแต่ยังค้างคาใจ

 

 

     เรื่องมันมีอยู่ว่า ปีก่อนผู้ช่ำชองเรื่องการเที่ยวมัลดีฟส์บอกฉันว่า ทุกปีราวๆ ปลายเดือนมิถุนายนไปจนถึงต้นเดือนตุลาคมจะมีฝูงแมนตาเรย์นับร้อยตัวพากันว่ายน้ำมากินแพลงตอนในย่านบา อะทอล (Baa Atoll) ฉันจึงอยู่ในท่าพร้อมไปมัลดีฟส์ตั้งแต่ต้นปี

 

 

     บุญพาวาสนาส่ง ต้นเดือนกรกฎาคมฉันจึงมีโอกาสแวะเวียนไปแถวบา อะทอล มุมที่มีแมนตาเรย์อยู่เยอะมาก จากสนามบินนานาชาติของมัลดีฟส์ ฉันเหาะเหินเดินอากาศต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง เพื่อมุ่งหน้าไปยังบา อะทอล จุดหมายของเราอยู่ที่เกาะดาราวานดู (Dharavandhoo) เกาะเล็กๆ ที่มีสนามบินและมีชุมชนชาวเกาะสร้างบ้านอยู่นับร้อยคน

 

 

     พอมาถึงปุ๊บ ‘มาริโอ’ นักดำน้ำจาก Liquid Salt Divers ไม่พูดพร่ำทำเพลง พาซักซ้อมการใช้อุปกรณ์การดำน้ำให้คุ้นชินกันเสียก่อน เวลาเจอฝูงแมนตาเรย์จะได้ไม่ตกอกตกใจ

     เอกเขนกอยู่ที่เกาะดาราวานดูจนหายเหนื่อย วันรุ่งขึ้นเราจึงนั่งเรือไปยังฮานิฟารู เบย์ (Hanifaru bay) ที่อยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ต มาริโอบอกให้เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อมาถึงจุดนัดพบกับแมนตาเรย์ ทุกคนอยู่ในท่าพร้อมกระโจนลงน้ำ ยังไม่ทันไรฉันก็แทบสำลักน้ำ เมื่อพบว่ารายรอบตัวเราคือฝูงแมนตาเรย์ที่แหวกว่ายอยู่

สิ้นเสียงเขา จำได้ว่าสับฟินอย่างไม่คิดชีวิต เสมือนลงแข่งว่ายน้ำในซีเกมส์อย่างไรอย่างนั้น ประเดี๋ยวเดียวก็ได้สบตากับนางเอกแห่งท้องทะเล นางเหมือนซุป’ตาร์ที่ใครๆ ก็อยากเจอ ถูกล้อมหน้าล้อมหลังไว้ด้วยมนุษย์

 

     พูดถึงแมนตาเรย์ มันคือกระเบนพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่พอมันสยายปีกจะทำให้รู้เลยว่าตัวใหญ่มาก ยิ่งเวลาแมนตาเรย์สยายปีกเข้ามาใกล้ๆ จะเห็นท่วงท่าและลีลาการว่ายน้ำที่สง่างาม พวกมันดูเหมือนคุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอย่างดี และไม่มีท่าทีกลัวผู้คน บางตัวยังว่ายตีลังกากลับตัวโชว์นักดำน้ำอีกต่างหาก

     ขนมขบเคี้ยวที่แมนตาเรย์ชอบมากคือแพลงตอนที่ลอยพลิ้วอยู่ในกระแสน้ำนี่เอง และช่วง 3-4 เดือนนี้ แถวบา อะทอล จะมีแมนตาเรย์นับร้อยตัวมาว่ายน้ำกินแพลงตอนอย่างเอร็ดอร่อย

 

 

     ความจริงไม่ใช่แค่แมนตาเรย์ที่ฉันรู้จัก แต่ยังมีสติงเรย์ และอีเกิลเรย์ ที่ฉันเคยว่ายน้ำเล่นด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วสัตว์น้ำในตระกูลกระเบนนั้นมีมากกว่า 400 ชนิดเชียว

     พวกมันมีหางยาวแหลมเรียกว่าเงี่ยงที่โคนหาง ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญไว้ป้องกันตัว เมื่อมีศัตรูเข้าโจมตี มันก็จะตวัดหางให้เงี่ยงที่มีลักษณะคล้ายกับมีดปลายแหลมเสียบแทงศัตรูที่เข้ามาจู่โจมให้บาดเจ็บอย่างแสนสาหัส

 

 

     วันนั้นเราเจอแมนตาเรย์ไม่ถึงร้อยหรอก แต่แค่ฝูงย่อมๆ ก็ทำให้ฉันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เราแหวกว่ายกันอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลับสู่รีสอร์ตบนเกาะดาราวานดู

 

 

     วันรุ่งขึ้นเราพักผ่อนหย่อนอารมณ์กันเบาๆ ด้วยการเดินเที่ยวชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาะ เพราะบนเกาะก็มีชุมชนย่อมๆ มีทั้งมัสยิด โรงเรียนสอนศาสนา โรงเรียน และสถานีอนามัย

 

 

     บ้านช่องห้องหับของชาวเกาะ เขาเอาปะการังมาทำรั้วอยู่กันง่ายๆ บ้านหลังไม่โตอะไรมากนัก มีปลูกพืชผักสวนครัวบ้าง เพราะเขาปลูกอะไรไม่ได้มากนักหรอก แต่ก็ยังพยายามปลูกกัน

     กลางเกาะมีสนามฟุตบอลให้เด็กๆ ได้มาเตะกัน ริมทะเลมีร้านสะดวกซื้อที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาดสาย และหน้าบ้านของทุกบ้านจะมีเก้าอี้ถักเอาไว้นั่งรับลมตั้งเรียงกัน 3-4 ตัว บางทีก็ทำเป็นชิงช้านั่งแกว่งกันสบายอารมณ์

 

 

     เช้าๆ พ่อบ้านของทุกบ้านจะออกมายืนตกปลาอยู่ในทะเลหน้าบ้าน ได้ปลาปุ๊บก็เอาไปทำครัว แต่ถ้าเห็นออกเรือก็หมายถึงหาปลาไปขายที่เมืองหลวงอย่างมาเล (Male)

     สายๆ เราออกเรือไปแซนด์แบงก์ที่ดิกู เด ฟาร์รู (Dhigu de Farru) เนินทรายขาวละเอียดอย่างกับแป้ง น้ำใสยิ่งกว่ากระจก แถมสีน้ำนี่สีเทอร์ควอยส์หวานฉ่ำ แช่น้ำและดำน้ำที่นี่กันพอหอมปากหอมคอ เดินเล่นรอบๆ เกาะที่แค่ไม่ถึง 5 นาทีก็เดินทั่วเกาะแล้ว

 

 

     ก่อนจะบ่ายหน้ากลับรีสอร์ต นั่งชิลล์ที่ชิงช้าบนชายหาด นึกถึงฝูงแมนตาเรย์ที่เพิ่งพบเจออย่างมีความสุข เป็นอีกวันหนึ่งที่โรแมนติกวายร้ายเลย แบบนี้คงจะเรียกว่า Fantastic ไม่ได้แล้ว เจอแมนตาเรย์เป็นฝูงแบบนี้ต้องเรียกว่า Mantastic ถึงจะถูก

 

 

     บรรลุภารกิจแรกไปแล้ว ยังเหลืออีกอย่างที่ค้างคาใจมาตั้งแต่ 2 ปีก่อน มัลดีฟส์เที่ยวนั้นฉันนั่งเรือออกไปราว 2 ชั่วโมงกว่า ด้วยหวังว่าจะได้สบตากับฉลามวาฬ (Whale Shark) แต่หลังจากล่องเรือตระเวนหาฉลามวาฬอยู่นานสองนานก็ยอมแพ้ให้กับโชคชะตา ได้แต่คิดว่าเราคงไม่มีวาสนาต่อกัน

     แต่ฉันเป็นพวกไม่อ่อนข้อให้อุปสรรคและโชคชะตาอยู่แล้ว มามัลดีฟส์เที่ยวนี้เลยขอออกไปตามหาฉลามวาฬอีกรอบเพื่อวัดดวงแล้วกัน

 

 

     ดูเหมือนรูปการจะส่อเค้าไปทางเดิม ล่องเรือมา 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ ยังไม่เห็นเงาของฉลามวาฬเลยสักตัว

     แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ฉันยอมจำนนให้กับโชคชะตา ไม่เจอก็ไม่เจอ คราวหน้ายังมี ไม่เจอวันนี้ก็เจอวันหน้า คิดได้แบบนั้นจึงเบนหัวเรือกลับเรือนพัก

 

 

     แต่ก่อนจะกลับเลยหย่อนตัวลงไปดำน้ำดูปะการังให้หายเซ็งเสียหน่อย ดำผุดดำว่ายได้อยู่ 5 นาทีก็ได้ยินเสียงคนเรือตะโกนลั่นว่า “เจอแล้ว! เจอฉลามวาฬแล้ว!”

     สิ้นเสียงเขา จำได้ว่าสับฟินอย่างไม่คิดชีวิต เสมือนลงแข่งว่ายน้ำในซีเกมส์อย่างไรอย่างนั้น ประเดี๋ยวเดียวก็ได้สบตากับนางเอกแห่งท้องทะเล นางเหมือนซุป’ตาร์ที่ใครๆ ก็อยากเจอ ถูกล้อมหน้าล้อมหลังไว้ด้วยมนุษย์

 

 

     วันนั้นเราว่ายน้ำด้วยกันอยู่ครึ่งชั่วโมง ช่างเป็นครึ่งชั่วโมงที่แสนมหัศจรรย์ของชีวิตเหลือเกิน

     จะเรียกทริปนี้ว่าอะไรดีล่ะ Mantasic Maldives หรือ Very Whale ดี…

 

 

The post Mantastic Maldives appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/maldives/feed/ 0
Lovely… Lausanne โลซานน์ในหัวใจ https://thestandard.co/exotic-experiences-lausanne/ https://thestandard.co/exotic-experiences-lausanne/#respond Fri, 13 Oct 2017 23:00:22 +0000 https://thestandard.co/?p=33732

     สวิตเซอร์แลนด์อาจจะมีเมืองสวยๆ ที่น […]

The post Lovely… Lausanne โลซานน์ในหัวใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>

     สวิตเซอร์แลนด์อาจจะมีเมืองสวยๆ ที่น่าเที่ยวมากมาย แต่สำหรับนักเดินทางชาวไทยแล้ว คงไม่มีเมืองไหนที่มีความหมายเท่าเมืองโลซานน์ (Lausanne) อีกแล้ว  

     เพราะนี่คือเมืองที่ใครได้ไปเยือนแล้ว ก็เหมือนได้เดินทางตามรอยพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและราชสกุลมหิดล จึงถือว่าเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในหัวใจชาวไทย

 

 

     ด้วยเหตุที่โลซานน์เป็นเมืองที่พระบรมราชชนก ในรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดมาก ตั้งแต่ครั้งที่เสด็จไปดูงานและศึกษาด้านสาธารณสุข จนในที่สุดเมืองนี้ก็เป็นที่ประทับของกษัตริย์ 2 พระองค์ในช่วงปี พ.ศ. 2476-2488 ซึ่งมีพระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ดูแลพระธิดาและพระโอรส

     เรียกได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนม์ชีพและศึกษาที่เมืองนี้ รวมถึงพระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ก็ทรงประทับอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน  

     ลำพังแค่บรรยากาศของเมืองโลซานน์ก็งดงามและโรแมนติกอยู่แล้ว แต่ยิ่งเป็นเมืองที่มีความหมายต่อคนไทยด้วยแล้ว ยิ่งทำให้โลซานน์น่าทำความรู้จักมากขึ้น

 

 

     เมืองโลซานน์นั้นตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของทะเลสาบเจนีวา หากเดินทางจากเจนีวาโดยรถไฟใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงเท่านั้น รายรอบทะเลสาบมีชุมชนตั้งอยู่ หากนั่งรถไฟลัดเลาะมาก็จะเห็นทัศนียภาพที่งดงามของธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวสวิสตามริมชายน้ำ

     นอกจากจะห้อมล้อมไว้ด้วยธรรมชาติและอากาศดีๆ แล้ว เมืองนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ในสมัยที่ชาวโรมันมาตั้งหลักแหล่งอยู่ละแวกนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้คนในสมัยก่อน จะทำการปักหลักและย้ายที่อยู่ไปอยู่บนเนินเขารายรอบทะเลสาบ

 

 

     ถ้าไปถึงโลซานน์แล้ว มีหลายมุมของเมืองนี้ที่ควรมุ่งหน้าไปเยือน แต่มุมแรกที่ควรไปเยือนคือย่านอุชชี (Ouchy) ที่ทอดตัวอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา ที่นี่มีท่าเรือโลซานน์-อุชชี ซึ่งสามารสัญจรทางน้ำไปหาเมืองเจนีวาและมองเทรอซ์ได้

 

 

     ย่านอุชชีมีทางเดินเลียบทะเลสาบประมาณ 1 กิโลเมตรที่มองเห็นวิวทิวทัศน์อย่างสบายตา หากไปถึงมุมนี้ในวันที่ดินฟ้าอากาศเป็นใจ ก็จะเห็นเทือกเขาแอลป์เผยโฉมให้เห็น  

 

 

     ละแวกนี้ถือเป็นมุมสุนทรีย์และรื่นรมย์ ริมฝั่งทะเลสาบมีพ่อแม่หอบลูกจูงหลานมาเดินเล่นกัน เอาขนมปังมาให้นก บ้างก็มาจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน และยังมีคาเฟ่และร้านอาหารตั้งเรียงรายเต็มไปหมด บรรยากาศสบายๆ จึงหาได้จากแถวนี้     

     ใกล้กับท่าเรือเป็นชาโต ดิ อุชชี เดิมทีที่นี่เป็นปราสาทสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ทุกวันนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นโรงแรมหรู ใครอยากพักตามที่พักเก่าแก่แต่หรูหราริมทะเลสาบจะลองพักที่นี่ก็ได้ ที่จริงแล้วชาโต ดิ อุชชียังมีความสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่นี่เคยถูกใช้เป็นสถานที่ในการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างตุรกีและกรีซช่วงปี 1923 อีกด้วย

 

 

     ยังมีถนนอีก 2 สายที่เมื่อไปถึงโลซานน์แล้วควรจะแวะไป นั่นคือถนนอาวองต์ โพสเต (Avant Poste) ถนนที่มีอพาร์ตเมนต์อยู่ใกล้กับสวนสาธารณะ อันเป็นสถานที่ที่พระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ 9 เสด็จประทับตั้งแต่ปี 2493 หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงราชาภิเษกกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพราะพระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ 9 มีพระประสงค์ให้ทั้ง 2 พระองค์มีความเป็นส่วนตัว จึงทรงย้ายมาประทับที่นี่

     ยังมีถนนอีกสายหนึ่งอย่างถนนทิสโซต์ (Tissot) ซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์ที่พระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 9 ทรงเคยใช้เป็นที่ประทับ ไม่ไกลจากอพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีทั้งตลาดและสถานีรถไฟ ด้านหลังเป็นสวนที่กษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์ของคนไทยทรงโปรดที่จะมาวิ่งเล่นอยู่เป็นประจำ

 

 

     หลายคนไปตามหาโรงเรียนที่ชื่อ ‘เอกอล นูเวล เดอ ลา ซูอิส โรมองต์’ (Ecole Nouvelle de la Suisse Romande) และมหาวิทยาลัยโลซานน์ (University of Lausanne) เพราะเมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 9 เสด็จมาประทับที่เมืองโลซานน์ก็ได้ทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนแห่งนี้ จากนั้นก็ทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโลซานน์ จะว่าไปมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถาบันศึกษาของหลายพระองค์ ทั้งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์และรัชกาลที่ 8

โรงแรมโบริวาจ (Beau Rivage) ที่พระบรมราชชนกในรัชกาลที่ 9 ทรงเลือกเป็นที่พักหลังอภิเษกสมรสกับหม่อมสังวาลย์ ยังเป็นโรงแรมริมทะเลสาบที่หรูหราที่สุดในเมืองโลซานน์ ครั้นมีพระโอรสและพระธิดาก็มักจะมาเดินเล่นและพักผ่อนอยู่ริมทะเลสาบเสมอๆ โดยรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดการเล่นเรือใบในทะเลสาบแห่งนี้เป็นอย่างมาก

 

     สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เมื่อไปถึง ชาวไทยต้องตามหาโรงแรมแห่งนี้ นั่นคือ โรงแรมโบริวาจ (Beau Rivage) ที่พระบรมราชชนก ในรัชกาลที่ 9 ทรงเลือกเป็นที่พักหลังอภิเษกสมรสกับหม่อมสังวาลย์ เพราะเป็นโรงแรมริมทะเลสาบที่หรูหราที่สุดในเมืองโลซานน์ ครั้นมีพระโอรสและพระธิดาก็มักจะมาเดินเล่นและพักผ่อนอยู่ริมทะเลสาบเสมอๆ โดยรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดการเล่นเรือใบในทะเลสาบแห่งนี้เป็นอย่างมาก

     แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 100 ปีแล้ว แต่วันนี้โรงแรมโบริวาจยังคงดูคลาสสิกและยังคงเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งของเมืองโลซานน์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มักเสด็จฯ มาประทับที่โบริวาจทุกครั้งเมื่อเสด็จฯ เยือนโลซานน์

 

 

     และหากใครมีเวลามากพอ แนะให้ไปเดินเล่นในเมืองเก่าของโลซานน์ ที่ร่ำลือกันถึงเรื่องความสวยและคลาสสิก มีทั้งคาเฟ่และร้านรวง แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือมหาวิหารแห่งเมืองโลซานน์อันยิ่งใหญ่ ที่ด้านข้างเป็นวิวทิวทัศน์ของเมืองเก่าที่งดงามเหลือเกิน   

     มหาวิหารแห่งนี้สร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 แต่กว่าจะแล้วเสร็จใช้เวลาประมาณ 45 ปี ซึ่งก็ยังไม่ได้สวยสมบูรณ์อย่างที่เห็นตอนนี้ แต่ค่อยๆ เพิ่มเติมเสริมแต่งไปเรื่อยๆ และในช่วงที่มีการปฏิรูปศาสนาราวๆ ปี 1536 มหาวิหารแห่งนี้ถูกรื้อปรับปรุงอีกหลายจุด และบูรณะขึ้นใหม่อีกหลายครั้งหลายครา  

 

 

     หากคุณเคยผ่านโลซานน์ขณะไปสวิตเซอร์แลนด์อยู่แล้ว การเดินทางไปเมืองโลซานน์แสนสวยครั้งหน้าอาจเปลี่ยนไป ก็เพราะความรู้สึกตื้นตันอะไรสักอย่างที่บีบในอก บ่งบอกว่าคุณกำลังคิดถึงใครบางคนสุดหัวใจ…

 

Photo: กาญจนา หงษ์ทอง

The post Lovely… Lausanne โลซานน์ในหัวใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/exotic-experiences-lausanne/feed/ 0
เกาะอีสเตอร์ รูปปั้นโมอาย แดนฉงน ชวนสนเท่ห์ https://thestandard.co/exotic-experiences-easter-island/ https://thestandard.co/exotic-experiences-easter-island/#respond Wed, 23 Aug 2017 10:13:22 +0000 https://thestandard.co/?p=21935

       ไม่รู้ระยะทางจากบางกอกไปหาเก […]

The post เกาะอีสเตอร์ รูปปั้นโมอาย แดนฉงน ชวนสนเท่ห์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

     ไม่รู้ระยะทางจากบางกอกไปหาเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) คือเท่าไร รู้แต่ว่าน้ำหนักของความอยากทำความรู้จักกับเกาะอันน่าพิศวงแห่งนี้มันขยับขยายพองตัวมากขึ้นทุกวัน

 

 

     เอาเข้าจริงๆ แล้ว นอกจากรูปปั้นหินโมอาย (Moai) แล้ว ฉันแทบไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำเกี่ยวกับเกาะอีสเตอร์ มีแค่ความกระหายใครรู้ที่แบกมันข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วย

     ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ เราควรเรียนรู้ทุกๆ อย่างในโรงเรียนแห่งการเดินทาง และ 3,600 กิโลเมตรจากชายฝั่งประเทศชิลี คือระยะการบินในพิกัดที่ใกล้ที่สุดในการมาหาเกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้ เรียกว่าบินกันยาวเท่ากับบินไป-กลับกรุงเทพฯ-ฮ่องกง จังหวะที่เรือบินกำลังจะร่อนลง ฉันพอได้เห็นรูปพรรณสันฐานของเกาะอีสเตอร์ หรือที่ชาวเกาะเขาเรียกกันว่า เกาะราปานุย (Rapa Nui) แต่ความที่ชิลีใช้ภาษาสเปน เกาะนี้จึงเรียกกันอีกชื่อว่า อิสลา เดอ ปาสกัว (Isla de Pascua)

     เกาะนี้อาจจะไม่ใหญ่มากนัก แต่สภาพภูมิประเทศของเกาะอีสเตอร์เป็นเกาะที่มีภูเขาไฟที่ดับแล้วอยู่ 3 ลูก มองจากองศาเดียวกับวิหคจึงจะเห็นปากปล่องภูเขาไฟที่กว้างมาก

     พูดก็พูดเถอะ มู้ดของการมาเกาะอีสเตอร์เหมือนไปเกาะโบรา โบรา แห่งเฟรนช์โพลินีเซียมากกว่าอยู่อเมริกาใต้ ทั้งผู้คน ทั้งดินฟ้าอากาศ ชวนให้คิดอย่างนั้น ระหว่างที่กรุงซันติอาโกถูกห่มไว้ด้วยลมหนาว แต่ที่นี่มีลมร้อนโกรกเบาๆ แบบอยู่เกาะ หน้าตาของผู้คนก็ไม่ได้ไปทางสเปน แต่ไปทางชาวโพลินีเซียนมากกว่า

 

 

     เรือนพักบนเกาะอีสเตอร์ส่วนใหญ่ เจ้าของเป็นคนท้องถิ่น และราคาที่พักค่อนข้างแพงมาก เรียกว่าจ่ายกันคืนละ 3-4 พันนี่ยังเป็นห้องหน้าตาธรรมดามาก ต้นทุนค่าทำความรู้จักเกาะอีสเตอร์ ถ้านับรวมตั้งแต่ค่าเรือบินมาจนถึงค่าที่พักและค่าใช้จ่ายบนเกาะจึงแพงสะเทือนใจนักเดินทางชั้นประหยัดกันพอสมควร

     พูดถึงเรื่องที่พัก โรงแรมเชนดังๆ ใหญ่ๆ ไม่มีมาเปิดตลาดที่นี่ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนต่างถิ่นจะเข้าไปซื้อที่ดินจากชาวเกาะ แม้กระทั่งคนชิลีเองที่ไม่ใช่คนพื้นเมืองที่เติบโตมาจากบนเกาะ ก็ไม่มีสิทธิ์ซื้อที่ดินบนเกาะเช่นกัน

พวกเธอมายืนตรงนี้ได้อย่างไรกัน ใครกันที่สร้างรูปปั้นหินเหล่านี้ คนเหล่านี้อยู่บนเกาะนี้ได้อย่างไรกัน ที่สำคัญคืออยู่กันมานานเท่าไรแล้ว

 

     ความจริงจะให้สนุก มาที่นี่แล้วใช้เวลาสัก 4 วันเต็มๆ ค่อยๆ เดินสายเที่ยวไปทีละโซนดูท่าจะดี เพราะเกาะอีสเตอร์นั้นใหญ่พอตัว บ้างปั่นจักรยาน บ้างเช่ารถขับไปให้ทั่วเกาะ บ้างซื้อทัวร์ไปจอยกับชาวบ้าน ส่วนฉันเลือกเช่าแท็กซี่ให้พาวนไปทั่วเกาะ แท็กซี่แบบนี้เขาจะวิ่งคอยหาลูกค้าอยู่แถวฮังกา รัว (Hanga Roa) มุมที่เป็นย่านศูนย์กลางของเกาะ

     จากนั้นรถพาวิ่งลงทางใต้ของเกาะ จุดหมายแรกของเราอยู่ที่ภูเขาไฟราโน คาอู (Rano Kau) มุมนี้มีปากปล่องภูเขาไฟให้เดินเทร็กกันพอหอมปากหอมคอ ที่จริงแถวนี้เป็นหมู่บ้านหินโบราณที่ว่ากันว่ามีชุมชนเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 เลยมีร่องรอยการใช้ชีวิตของผู้คนในอดีต ทั้งมุมที่เป็นบ้านพักอาศัย มุมที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของชาวเกาะ นอกจากจะเห็นบ้านก้อนหินกว่า 50 หลังแล้วยังมีพวกภาพสลักบนหินให้ดูด้วย

 

 

     ฉันย่างสองเท้าจรดลงไปบนทางเดินรอบๆ ปากปล่องภูเขาไฟราโน คาอู นี่คือปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว เกิดจากการทับถมของลาวาเมื่อแสนกว่าปีก่อน ปากปล่องมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างมากกว่า 1 กิโลเมตร ทุกก้าวจึงย่ำไปด้วยระดับการดีดของหัวใจที่ไม่ปกติเท่าที่ควรนัก

     จะอ้อยอิ่งก็ไม่ได้ เพราะเส้นทางการตามรอยโมอายรออยู่ โชเฟอร์พาวิ่งเลาะทะเลกินลมชมอากาศไปเรื่อย แต่นั่นทำให้เห็นรูปปั้นโมอายตั้งเรียงรายอยู่ริมทะเลเป็นระยะ

     อาจจะเจอกะปริบกะปรอยในหลายจุด แต่ที่อากาฮังกา (Akahanga) ถือว่าเป็นจุดหลักๆ ที่เจอโมอาย กลุ่มหินขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะมุมนี้เป็นที่ฝังศพของกษัตริย์และคนระดับสำคัญของเกาะ

     น่าแปลกตรงที่มุมนี้ฉันได้เห็นโมอายนอนล้มระเกะระกะเป็นจุดๆ เพราะแถบนี้เกิดสึนามิบ่อยครั้งจนพัดให้รูปปั้นโมอายที่อยู่ริมทะเลล้มกระจัดกระจายไปทั่ว

     มุมนี้นี่ถือว่าเป็นแค่ออร์เดิร์ฟ แต่ย่านทงการิกิ (Tongariki) ถือเป็นฮอตสปอตสำหรับแขกเหรื่อของเกาะอีสเตอร์ นี่คือมุมที่มีรูปปั้นโมอายยืนหันหลังให้ทะเลเรียงรายกัน 15 ตัว

ความสงสัยที่เคยแออัดอยู่ในหัวค่อยๆ คลี่คลายตัวลง แม้ว่าบางเรื่องราวของโมอายยังดูเร้นลับ แต่ปล่อยให้น่าค้นหาแบบนี้ ยิ่งเป็นเสน่ห์ให้ผู้คนหลั่งไหลมาหาโมอาย

 

     ดูเหมือนฝนกำลังจะมา แต่คณะโมอายยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ค่อยๆ เดินมาหย่อนก้นลงบนสนามหญ้าสีเขียว สบตากับโมอายทั้ง 15 พวกเธอมายืนตรงนี้ได้อย่างไรกันนะ แล้วใครกันที่สร้างรูปปั้นหินเหล่านี้ คนเหล่านี้อยู่บนเกาะนี้ได้อย่างไรกัน ที่สำคัญคืออยู่กันมานานเท่าไรแล้ว แต่ที่อยากรู้มากที่สุดคือ ทั่วทั้งเกาะอีสเตอร์จะมีมากสักแค่ไหน

     สืบสาวราวเรื่องได้ความว่า รูปปั้นโมอายเกือบพันตัวที่เหลืออยู่บนเกาะถูกสร้างและลงมือแกะสลักโดยชาวโพลินีเซียนที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้เมื่อพันกว่าปีก่อน ส่วนเรื่องเหตุผลในการสร้างโมอายนั้นอาจจะมีหลายอย่าง บ้างก็ว่าสร้างเพื่อเป็นตัวแทนถึงคนในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว หรืออาจจะเป็นผู้นำของเกาะ

     นั่นอาจจะเป็นเพราะพวกชาวเกาะพากันเชื่อว่ารูปปั้นโมอายจะช่วยปกปักรักษาจิตวิญญาณของหัวหน้าเผ่าและหัวหน้าครอบครัวเอาไว้ ซึ่งท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะทำให้สิ่งดีๆ อยู่กับเกาะตลอดไป ทั้งเรื่องข้าวปลาหารและดินฟ้าอากาศ

 

 

     แค่รู้เรื่องของโมอาย จะอะไรก็ช่างเถอะ แต่เมื่อเพ่งดูให้ดีก็จะพบว่ารูปปั้นที่ยืนเรียงรายกันอยู่นั้น หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนกันซะด้วยสิ จริงอยู่ที่รูปปั้นพวกนี้ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ ในรายละเอียดนั้นไม่เหมือนกัน บางตัวสมบูรณ์ บางตัวเว้าแหว่ง ขณะที่บางตัวมีหมวกที่วางอยู่บนหัวของโมอาย

     ว่ากันว่าเดิมทีโมอายพวกนี้ไม่ได้ยืนเด่นตระหง่านอยู่อย่างนี้ แต่ล้มระเนระนาดในช่วงสงครามระหว่างชนเผ่า แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาเจอคลื่นยักษ์สึนามิถล่มอย่างหนักเมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมาอีก แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง บริษัทญี่ปุ่นได้ทำโครงการฟื้นคืนชีพโมอายภายใต้การดูแลของพวกนักโบราณคดี ใช้เวลาเกือบ 4 ปี โมอาย 15 ตัวก็ฟื้นคืนชีพมาตั้งอยู่ริมอ่าวทงการิกิได้เหมือนเช่นทุกวันนี้

     ฉันขยับตัวเข้าใกล้ โมอายเกือบทั้งหมดถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียวกัน และรูปปั้นโมอายที่เห็นอยู่ทั่วเกาะนั้น เกือบทั้งหมดทำมาจากเหมืองหินที่ปากปล่องภูเขาไฟราโน ราราคู (Rano Raraku) ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติราปานุย รู้เท่านี้ ฉันก็รีบถอนสมอจากทงการิกิ แล้วพุ่งไปหาอุทยานแห่งชาติราปานุยอย่างเร็วพลัน

 

 

     นี่คือจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถเจอกับโมอายได้มากที่สุด เพราะตามข้อมูลของอุทยานระบุไว้ชัดเจนว่า โมอายเกือบครึ่งหนึ่งที่พบบนเกาะอีสเตอร์อยู่ที่นี่ รูปปั้นหินโมอายเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวโพลินีเซียนที่เริ่มสร้างโมอายกันตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 และเริ่มจากแกะหินบะซอลต์เป็นรูปสลักคนนั่งคุกเข่า จะว่าไป โมอายคือประติมากรรมที่ไม่ธรรมดา ทั้งเรื่องของวัตถุดิบ การสร้าง การแกะสลัก ไปจนถึงการเคลื่อนย้ายเมื่อแกะสลักเสร็จ

     การแกะสลักในแต่ละยุคสมัยมีพัฒนาการและเปลี่ยนแปลงตลอด เช่น ในช่วงต้นศตวรรษที่ 12 เริ่มแกะรูปสลักโมอายจากหินภูเขาไฟราโน ราราคู แต่เริ่มเป็นลักษณะโมอายครึ่งตัว ส่วนใหญ่จะเหมือนผู้ชาย หน้าตาละม้ายคล้ายกันหมด แต่ส่วนของดวงตาจะใช้วัสดุอื่นฝั่งลงไปในหิน ปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย ปากแบะ มีคางเป็นเหลี่ยม ติ่งหูค่อนข้างยาว มีแขนแนบชิดลำตัว และโมอายทั้งหมดจะตั้งอยู่บนฐานหินที่เรียกว่า อาฮู (Ahu)

     ในแต่ละจุดที่แวะมา ฉันค่อนข้างชอบที่นี่มากที่สุด เพราะเราแทบไม่รู้เลยว่า การเดินไปตามมุมต่างๆ ของอุทยานจะเจอโมอายซ่อนตัวอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ที่ชอบมากกว่าคือ ที่นี่มีทั้งโมอายที่แกะสลักเสร็จแล้ว และถ้าเดินไต่เขาขึ้นไปในบริเวณถ้ำก็จะพบกับโมอายบางตัวที่อยู่ระหว่างการแกะสลัก แต่ยังไม่เสร็จ

 

 

     ที่ชายหาดอนาเคนา (Anakena) ยังมีโมอายมวยผมสีแดงตั้งเรียงติดชายหาด และนี่เป็นหนึ่งในสองหาดทรายบนเกาะอีสเตอร์ที่มีหาดทรายขาวเนียนให้นอนผึ่งแดด

     ความสงสัยที่เคยแออัดอยู่ในหัวค่อยๆ คลี่คลายตัวลง แม้ว่าบางเรื่องราวของโมอายยังดูเร้นลับ แต่ปล่อยให้น่าค้นหาแบบนี้ ยิ่งเป็นเสน่ห์ให้ผู้คนหลั่งไหลมาหาโมอาย

     ฉันนอนเลื้อยอยู่บนหาดทาไฮ (Tahai) รอดูดวงตะวันค่อยๆ แนบลงกลางมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว พลางคิดไปว่า ไม่ใช่ทุกครั้งของการเดินทางที่จบลงแบบหายสงสัย บางทีทริปนั้นจบลงไปแล้ว แต่เรื่องบางเรื่องยังค้างคาใจจนถึงทุกวันนี้ เรื่องของโมอายก็เป็นแบบนั้นแหละ

 

The post เกาะอีสเตอร์ รูปปั้นโมอาย แดนฉงน ชวนสนเท่ห์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/exotic-experiences-easter-island/feed/ 0
เรื่องเล่าจากชิลี: เมื่อการเดินเขาคือความงดงามของชีวิต https://thestandard.co/exotic-experiences-chile/ https://thestandard.co/exotic-experiences-chile/#respond Fri, 11 Aug 2017 10:57:08 +0000 https://thestandard.co/?p=19917

     เหมือนเรียนไม่จบหลักสูตรยังไงไม่รู้ […]

The post เรื่องเล่าจากชิลี: เมื่อการเดินเขาคือความงดงามของชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>

     เหมือนเรียนไม่จบหลักสูตรยังไงไม่รู้ มันค้างๆ คาๆ คล้ายทำอะไรไม่สุด

     เมื่อ 5-6 ปีก่อนฉันมาเทรกกิ้งที่พาทาโกเนีย (Patagonia) ฝั่งอาร์เจนตินาที่เอล ชาลเท็น (El Chalten) แต่ด้วยข้อจำกัดของชีวิตมนุษย์เงินเดือนตอนนั้น เลยมีจำนวนวันในการทัศนศึกษาโลกอันจำกัดจำเขี่ย แต่พอปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการชีวิตนักเดินทางเอาไว้ มาอาร์เจนตินาเที่ยวนี้เลยวางแผนหอบผ้าผ่อนไปเทรกกิ้งที่พาทาโกเนียฝั่งชิลี จะได้เรียบร้อยโรงเรียนพาทาโกเนียซะที

 

 

     ตัวยังแกว่งอยู่ที่เมืองเอล คาลาฟาเต (El Calafate)ในฝั่งอาร์เจนตินา ตระเตรียมจับจองตั๋วรถและวางแผนการเดินทางทุกอย่างเพื่อข้ามพรมแดนไปหาพาทาโกเนียฝั่งชิลี

 

 

     มาพูดถึงที่ราบสูงพาทาโกเนียกันก่อน นี่คือดินแดนที่มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอยู่ใต้สุดของแผนที่โลก มีทั้งผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ทะเลสาบ และธารน้ำแข็งซ่อนตัวอยู่ในอุทยานแห่งชาติราว 5 แห่ง พาทาโกเนียกินพื้นที่มหาศาลครอบคลุมทั้งฝั่งชิลีและอาร์เจนตินา สนิทชิดเชื้อกับเทือกเขาแอนดีสเป็นอย่างดี และคบหาทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติก

     อุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปเน (Torres del Paine National Park) ในฝั่งชิลี คือจุดที่ถูกฉันปักหมุดเอาไว้ การข้ามพรมแดนจากอาร์เจนตินาไปยังชิลีมันไม่ยากนักหรอก เพราะมีนักเดินทางผู้รักการผจญภัยทำแบบนี้อยู่ตลอด 365 วัน

 

 

     ในรุ่งเช้าที่เอล คาลาฟาเต คงยังสะลึมสะลือ ฉันแบกทั้งกระเป๋า ทั้งความงัวเงีย ไปยืนตากหนาวรอรถบัสที่วิ่งข้ามประเทศ ผู้โดยสารทั้งคันคือนักท่องโลกที่มาจากทั่วทุกมุมโลก แต่ประเด็นคือคนเต็มคัน ทำให้รู้เลยว่าพาทาโกเนียทั้งสองฝั่งนั้นหอมหวานไม่แพ้กัน บางคนสำรวจฝั่งชิลีก่อนแล้วข้ามมาอาร์เจนตินา และอีกไม่น้อยที่เลือกสำรวจฝั่งอาร์เจนตินาก่อนแล้วค่อยอพยพตัวเองไปฝั่งชิลี ฉันกับคนในรถบัสนี้อยู่ในพวกหลัง

     จังหวะที่ข้ามพรมแดนฝั่งอาร์เจนตินานั่นไม่เท่าไร แต่ฝั่งชิลีนี่สิเข้มมาก ให้ทุกคนขนกระเป๋าลงไปสแกนตรวจหาสิ่งไม่พึงประสงค์ทุกอย่าง และเน้นไปที่พวกอาหารสด ถ้ามีให้รีบเคลียร์ออกให้หมด เพราะชิลีซีเรียสเรื่องการนำอาหารเข้าประเทศมาก

 

 

     ราวๆ 10 โมงเช้าโดยประมาณ เราก็ข้ามพรมแดนมาโลดแล่นในพาทาโกเนียฝั่งชิลี รถวิ่งมาไม่เท่าไร โชเฟอร์ก็แตะเบรกเพื่อชะลอความเร็วและจอดแน่นิ่งในที่สุด

     ข้างหน้ารถติดพอสมควร ชะเง้อดูแล้วไม่มีตำรวจ สน. พาทาโกเนีย มาดักจับสิ่งไม่ชอบมาพากลหรือตรวจจับความเร็ว ไม่มีสัญญาณไฟหรือสี่แยก ไม่มีรถเสีย แต่ต้นเหตุที่ทำให้รถเคลื่อนช้าเป็นเพราะมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างเคลื่อนเกะกะอยู่บนท้องถนน

 

 

     โชเฟอร์ตะเบ็งเสียงบอกว่าข้างหน้ามีฝูงกัวนาโคกำลังข้ามถนนอยู่ (ตัวอะไรนะ?!) ขอให้ผู้โดยสารใจเย็นหน่อย เขาว่าฝั่งชิลีนี่จะมีกัวนาโคเยอะมาก ฟังเขาพูดเลยชะเง้อคอมอง ถึงได้รู้ว่ากัวนาโคที่ว่านี้หน้าตาละม้ายคล้ายไปทางอัลปากาและพวกลามะนั่นเอง

     นอกจากจะเจอกัวนาโคหากินตามเทือกเขาสูงในชิลีแล้ว ใครไปแถวเปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์ โคลัมเบีย และอาร์เจนตินา ก็มีโอกาสเจอกัวนาโคได้เหมือนกัน ตามสถิติแล้วในแถบลาตินอเมริกามีกัวนาโคราวๆ 5 แสนตัว เขาว่าจากนี้ไป ถ้าวนเวียนอยู่ในอุทยานจะเจออีกเรื่อยๆ สิ้นคำเขาดูเหมือนความตื่นเต้นค่อยๆ คลายตัวลง พร้อมๆ กับรถที่ค่อยๆ ขยับเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

เมื่อมาถึงที่พักบริเวณทะเลสาบเพเว ฉันก็พบว่าแทบไม่อยากขยับตัวไปไหนอีกแล้ว เพราะวิวที่กองอยู่ตรงหน้าเหมือนหญิงสาวเซ็กซี่ที่ยวนตาจนไม่อยากจากเธอไปไหน

 

     ที่ปากทางเข้าอุทยานตอร์เรส เดล ไปเน อยู่ที่ทะเลสาบอมาร์กา (Laguna Amarga) มีนักเดินเขานอนแผ่หลาอยู่กลางสนามหญ้า บ้างกำลังเดินตากแดดลงมาจากเขา บ้างกำลังตีตั๋วเข้าอุทยาน ดูเหมือนกิจกรรมทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงตรงนี้

     ก่อนจะมุ่งหน้าไปหาเรือนพักที่จับจองไว้แถวทะเลสาบเพเว (Laguna Pehoe) เลยแวะเที่ยวตามเบี้ยใบ้รายทางไปก่อน มีทั้งน้ำตกซัลโต แกรนด์ (Salto Grande) และเส้นทางเทรกกิ้งแบบเบาๆ เป็นการเรียกน้ำย่อย

     และเมื่อมาถึงที่พักบริเวณทะเลสาบเพเว ฉันก็พบว่าแทบไม่อยากขยับตัวไปไหนอีกแล้ว เพราะวิวที่กองอยู่ตรงหน้าเหมือนหญิงสาวเซ็กซี่ที่ยวนตาจนไม่อยากจากเธอไปไหน

 

 

     วิวของภูเขาคูแอร์นอส เดล ไปเน (Cuernos del Paine Mountain) อันทรงพลังทอดตัวอยู่ข้างหน้า เมื่ออยากมองภูเขาลูกนี้ให้เต็มตาจึงเดินไต่เขาเทรกกิ้งขึ้นไปบนจุดชมวิวสูงสุดตามคำแนะนำของสตาฟฟ์ที่เรือนพัก เป็นเส้นทางที่เดินขึ้นแล้วไม่อยากนึกถึงตอนเดินลง เพราะทั้งชันและลื่นมาก แต่ชีวิตของนักเดินเขา ลองได้เดินหน้าแล้วยากที่จะถอยหลัง เดินลุยป่าฝ่าเนินไปจนถึงจุดสูงสุดถึงได้พบว่าของสมนาคุณที่ได้รับนั้นเลอค่าเหลือเกิน

 

 

     เพราะภูเขาคือที่สิงสถิตของความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเสมอ แต่เมื่อถูกแสงหวานๆลงห่ม ภูเขาอันแข็งแกร่งกลับกลายเป็นอ่อนโยน ภูเขาที่เคยทึมทะมึนสง่าผ่าเผย คล้ายยิ้มได้

     ถือว่าเป็นการซ้อมเทรกก็แล้วกัน เพราะฉันมาที่นี่ มีความตั้งใจจะมาเทรกกิ้งในพาทาโกเนียฝั่งนี้บ้าง แต่ครั้นจะให้ไปล่มหัวจมท้ายในเส้นทาง W-Trek อันโด่งดัง ก็ต้องใช้เวลาเทรก 4 วัน เรื่องระยะวันไม่เป็นปัญหาสำหรับฟรีแลนซ์ แต่ที่เป็นปัญหาคือการเทรกกิ้งที่นี่ไม่มีพอร์เตอร์และโรงเตี๊ยมข้างทางเหมือนเนปาล นักเดินเขาต้องแบกสัมภาระทุกอย่างเองหมดทั้งเต็นท์ ถุงนอน และอุปกรณ์กันหนาว เลยเลือกเฉพาะบางช่วงของเส้นทางนี้เท่านั้น

 

 

     แน่นอนว่าสำหรับคนมีเวลาไม่มากนัก แต่อยากเทรก โจทย์จะแคบเข้า ทุกคนจะใช้เวลาเดินแค่ 2 วัน 1 คืน ไปนอนในแคมป์ตรงเบสแคมป์ใกล้ๆ มิราดอร์ ตอร์เรส (Mirador Torres) ซึ่งเป็นไฮไลต์ของอุทยานตอร์เรส เดล ไปเน แต่บางวันที่ฟิตกว่านั้นอีกก็สามารถเดินจากตีนเขาขึ้นถึงมิราดอร์ ตอร์เรส ไป-กลับในวันเดียวได้เลย ซึ่งมีคนไม่ใช่น้อยที่เลือกทำแบบนั้น เพราะไม่อยากไปเบียดกันนอนเต็นท์ที่เบสแคมป์

     คนฟิตอย่างฉันเลือกอย่างหลังนี่แหละ นั่นหมายถึงว่าวันนี้ต้องเดินขึ้น-ลงเขาร่วม 20 กิโลฯ และระยะทางไปกลับราว 8 ชั่วโมงกว่า หรืออาจจะเลยเถิดไป 9 ชั่วโมง เพราะทางขาขึ้นจะค่อนข้างชันมาก

     ถ้าไม่ใช่สตรีสายเทรกกิ้งผู้ผ่านการเทรกบนหิมาลัยและคิลิมันจาโรมาคงถอดใจไปแล้ว แต่คนที่ผ่านสังเวียนอันแสนสาหัสเหล่านี้มาแล้ว การเดินในระยะแบบนี้ถือว่าอยู่ในระดับเบาบาง

เพราะภูเขาคือที่สิงสถิตของความยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเสมอ แต่เมื่อถูกแสงหวานๆลงห่ม ภูเขาอันแข็งแกร่งกลับกลายเป็นอ่อนโยน ภูเขาที่เคยทึมทะมึนสง่าผ่าเผย คล้ายยิ้มได้

 

     เราเริ่มต้นกันตรงตีนเขาที่มีบ้านพัก ร้านอาหาร และทุกสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้นักเดินเขา ไม่ต้องกลัวหลง เพราะระหว่างทางจะสวนทางกับนักเดินเขา มีทั้งพวกที่เดินขึ้นและเดินลง ทางช่วงแรกจะชันมาก ชันจนนักเดินเขาหลายคนตกอยู่ในอาการพักกะปริบกะปรอย รวมทั้งฉันด้วย 2 ชั่วโมงแรกของการเดินจึงค่อนข้างหนักหน่วงและร้อนมาก เพราะต้องเดินตากแดด

     แต่เมื่อถึงแคมป์แรกที่ชื่อริฟูจิโอ ชิเลียโน (Refugio Chileano) หลังจากนี้เป็นทางเดินในร่มเสียเยอะ แถมเป็นการเดินผ่านใบไม้เปลี่ยนสี ยิ่งทำให้การเดินสนุกและคลายความเหนื่อยไปได้เยอะ

 

 

     ชั่วโมงเศษๆ ถัดมาถึงได้มาอยู่ตรงเบสแคมป์ ที่นี่เขาตั้งเต็นท์นอนกันเพื่อรอขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในรุ่งเช้า แต่ฉันยังมีภารกิจเดินไต่เขาต่อไปอีก ต้องใช้คำว่าไต่ เพราะจากเบสแคมป์ขึ้นไปหายอดทรี ทาวเวอร์ (Three Tower) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปเน เป็นเส้นทางสุดโหด ต้องค่อยๆ ก้าวและไต่ไปบนหินที่ก้าวไม่ดีอาจจะมีพลาดได้ แต่จนแล้วจนรอด ฉันก็พาตัวเองมาสบตากับยอดเขาแกรนิต 3 ยอดได้สำเร็จ

 

 

     ความสุขของนักเดินเขาอยู่ตรงไหน??? ฉันเจอคำถามนี้จากคนรอบตัวบ่อยมาก บางคนบอกเหนื่อยก็เหนื่อย เดินก็ไกล ไม่รู้จะเดินไปทำไม

     นักเดินเขาคนอื่นไม่รู้คิดอย่างไร ส่วนฉันคงเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่และสนทนากับตัวเอง ตัดขาดจากโลกไซเบอร์ที่ถาโถมเข้าหาชีวิตอย่างรุนแรงเหลือเกิน ทุกก้าวคือสติ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติที่โอบเราไว้อย่างหลวมๆ ความสวยงามที่อยู่รอบตัวเป็นแค่ของสมนาคุณที่ธรรมชาติบรรณาการให้

     แค่นี้คงเพียงพอแล้วกระมังที่ฉันจะกล้าพูดว่า การเดินเขาคือความงดงามของชีวิต

The post เรื่องเล่าจากชิลี: เมื่อการเดินเขาคือความงดงามของชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/exotic-experiences-chile/feed/ 0
‘กัวเตมาลา’ เมืองดิบๆ รวยเสน่ห์ที่เกือบไม่ได้ไป https://thestandard.co/opinion-exotic-experiences-with-kanjana-guatemela/ https://thestandard.co/opinion-exotic-experiences-with-kanjana-guatemela/#respond Wed, 26 Jul 2017 05:52:09 +0000 https://thestandard.co/?p=16488

     “โน” หลังจากเดดแอร์อยู่นาน เจ้าหน้า […]

The post ‘กัวเตมาลา’ เมืองดิบๆ รวยเสน่ห์ที่เกือบไม่ได้ไป appeared first on THE STANDARD.

]]>

     “โน” หลังจากเดดแอร์อยู่นาน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตัดสินใจส่ายหัวและยื่นพาสปอร์ตสีเลือดหมูคืนให้เจ้าของ แล้วเอ่ยคำนี้ออกมา นี่คือปัญหาที่ไม่เคยเจอเลยตลอดชีวิตการเดินทาง และกำลังเกิดอยู่ในขณะนี้คือ ‘เข้าประเทศปลายทางไม่ได้’ ใครจะคิดว่าเที่ยวนี้ฉันจะวิ่งชนปัญหานี้เข้าอย่างจัง  

     สิ้นคำคุณเจ้าหน้าที่ รถ Tica Bus ที่วิ่งข้ามประเทศจากเอล ซัลวาดอร์ (El Salvador) มุ่งหน้าไปหากัวเตมาลา (Guatemela) ตัดสินใจทิ้งผู้โดยสารชาวไทยลงตรงชายแดน เด็กรถหอบกระเป๋าลงมากองด้วยความหวังดี

 

     หมดกัน ทุกอย่างดูมืดมน สายตาละห้อยของฉันมองป้าย Tica Bus อย่างอาวรณ์ และมันค่อยๆ กลืนหายไปกับฝุ่นและจมไปบนถนนสายนั้น

     “เดี๋ยวเราจะส่งคุณกลับเอล ซัลวาดอร์นะ คุณไปทำวีซ่าที่สถานทูตกัวเตมาลาในกรุงซาน ซัลวาดอร์ให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยมาใหม่…” ล่ามเฉพาะกิจสปีกอิงลิชกระท่อนกระแท่นบอกคนสิ้นหวัง

     นาทีนั้นอยากพูดภาษาสเปนแบบคล่องปรื๋อได้ จะได้อธิบายให้คุณเจ้าหน้าที่เข้าใจอย่างกระจ่าง ว่าวีซ่าอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุ สามารถใช้เดินทางเข้าประเทศในแถบอเมริกากลางได้รวมทั้งกัวเตมาลาด้วย แกคงมัวแต่ขลุกอยู่ตรงชายแดน เลยไม่รู้กฎข้อนี้ เจ้าหน้าที่จัดการส่งขึ้นรถบัสกลับกรุงซาน ซัลวาดอร์ เมืองหลวงของประเทศเอล ซัลวาดอร์ที่ฉันเพิ่งจากมาอยู่หลัดๆ

 

 

     ในโพล้เพล้ที่บัสควบไปข้างหน้า ไม่มีอะไรดีไปกว่างัดหาเรื่องดีๆ ขึ้นมาปลอบใจตัวเอง เอาเถอะ ยังดีกว่าพาสปอร์ตหาย แถมโชคดีที่ระยะทางจากชายแดนไปกรุงซาน ซัลวาดอร์แค่ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ถ้านานกว่านี้ เห็นทีคงยอมแพ้ แถมโชคดียิ่งกว่าที่วันพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ที่สถานทูตเปิดทำการพอดี นี่ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ นั่นหมายถึงว่าฉันต้องแขวนตัวเองอยู่ในซาน ซัลวาดอร์อีก 2 วัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเห็นทีคงต้องรื้อปรับขยับแผนกันชุดใหญ่  

 

 

     แต่ก็น่าแปลก เป็นค่ำคืนที่กำจัดทุกข์และความกังวลออกไปอย่างไวน่าใจหาย คงเป็นเพราะตัวเลขอายุทำให้คนเราเข้าใจโลกได้ง่ายดายขึ้น แผน 2 แผน 3 ถูกร่างขึ้นลางๆ ก่อนทุกอย่างจะค่อยๆ จมดิ่งไปในความมืด   

เมืองเก่าของกัวเตมาลาซิตี้ บางมุมอาจจะน่ากลัวไปบ้าง แต่ไม่มีการรองพื้น ประดิดประดอยติดขนตาปลอม เมืองแบบนี้สินะ เสน่ห์ดิบๆ ที่ฉันหลงใหล

     หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจขอวีซ่ากัวเตมาลา ฉันก็นั่ง Tica Bus ข้ามประเทศจากเอล ซัลวาดอร์ไปหากัวเตมาลาอีกรอบ  

     จัตุรัสประจำเมืองกัวเตมาลาซิตี้ (Guatemala City) อ้าแขนรับขวัญคนบ้านไกล ละแวกนี้เป็นย่านเมืองเก่า รอบด้านจึงเป็นอาคารเก่าแก่อายุมากกันทั้งนั้น แม้แต่เรือนพักที่ฉันเอนหลัง ก็เก่าขนาดเดินบนห้องแล้วดังเอี๊ยดอ๊าดตลอดเวลา

 

 

     หน้าที่ของจัตุรัสนั้นมากมายเหลือเกิน ด้านหนึ่งคือสักขีพยานที่แสนโอ่อ่าอย่างพระราชวังแห่งชาติ (National Palace) ส่วนอีกด้านคือมหาวิหารแห่งกัวเตมาลา (Metropolitan Cathedral) อันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเมือง เดินอ้อมไปด้านหลังมหาวิหาร เป็นตลาดใหญ่ประจำเมือง เมืองเก่าของกัวเตมาลาซิตี้ บางมุมอาจจะน่ากลัวไปบ้าง แต่ไม่มีการรองพื้น ประดิดประดอยติดขนตาปลอม เมืองแบบนี้สินะ เสน่ห์ดิบๆ ที่ฉันหลงใหลเสมอ

 

 

     นอกจากกัวเตมาลาซิตี้แล้ว ยังมีแอนติกา (Antigua) อีกเมืองหนึ่งที่ใครๆ ก็เพ้อกันว่าเมืองนี้แหละที่ทำให้หัวใจของนักเดินทางสั่นไหวมานับไม่ถ้วน

     แอนติกาเป็นดินแดนที่ไม่ได้ถูกประดับไว้ด้วยแบรนด์เนม ทว่าถูกห่มไว้ด้วยบรรยากาศแบบดิบๆ เดิมๆ ไม่ว่าจะซอกแซกไปมุมไหน ก็พบว่าแอนติกาคือเมืองที่โรยไว้ด้วยสีสัน  

 

 

     เนื่องด้วยเป็นเมืองอาณานิคมของสเปนมาก่อน แอนติกาเลยมีมรดกตกทอดเป็นอาคารบ้านเรือนสไตล์โคโลเนียลกระจายไปทั่วเมือง แอนติกาเลอค่าน่าขลุกอยู่ด้วย ไม่ว่าถนนสายไหนจึงไม่เคยอัตคัดนักท่องโลก ถนนปูด้วยหินเป็นร่องเป็นหลุมคือตัวตนของแอนติกา บางคนบอกว่าแค่พาสองเท้าเดินย่ำไปบนถนนปูด้วยหินก้อนใหญ่ๆ ในแอนติกาก็สัมผัสได้ถึงความคลาสสิกของเมืองนี้แล้ว

 

 

     ฉันพาตัวเองไปป้วนเปี้ยนแถวพลาซา มายอร์ (Plaza Mayor) นี่คือจัตุรัสกลางเมืองที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเมือง สำหรับคนที่มองหาศูนย์รวมจิตใจของเมือง มุมหนึ่งของจัตุรัสคือมหาวิหารประจำเมือง (Antigua Cathedral) ที่มีมุมสงบเอาไว้ให้คริสต์ศาสนิกชนทุกคนได้เข้ามาพึ่งพิงในสถานที่ที่อวลไว้ด้วยศรัทธา

     วิหารสีขาวแห่งนี้สร้างตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 16 เหตุที่ดูใหม่แบบนี้ เพราะผลพวงจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ร้ายแรงที่สุดก็เป็นช่วงปี 1773 ซึ่งปีนั้นแอนติกาทั้งเมืองพังพินาศไม่มีชิ้นดี โบสถ์แห่งนี้ก็ต้องบูรณะกันใหม่อีกรอบ

     กลางจัตุรัสเป็นสวนและน้ำพุที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ใครไม่รีบร้อนไปไหน ลองมองหาเก้าอี้ริมทางแล้วนั่งเพลิดเพลินไปกับทิวไม้และผู้คนที่เคลื่อนผ่านไปมา จะได้รู้ว่าชาวแอนติกาในศตวรรษที่ 21 นั้นยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ

     หญิงชาวแอนติกามักมานั่งจับกลุ่มกัน ในมือพวกหล่อนมีเก้าอี้พลาสติกหนีบไปด้วยเสมอ สะดวกนั่งตรงไหนก็วางลงแล้วนั่งล้อมวงคุยหรือนั่งขายของกันตรงนั้นเลย บางวงไม่มีเก้าอี้ก็หย่อนตัวลงนั่งสนทนากันริมทางเลย แต่หากเจอนักท่องเที่ยวปุ๊บ พวกหล่อนพร้อมจะทิ้งวงสนทนาแล้วพุ่งมาหากลุ่มเป้าหมายทันที

แอนติกาเป็นดินแดนที่ไม่ได้ถูกประดับไว้ด้วยแบรนด์เนม ทว่าถูกห่มไว้ด้วยบรรยากาศแบบดิบๆ เดิมๆ ไม่ว่าจะซอกแซกไปมุมไหน ก็พบว่าแอนติกาคือเมืองที่โรยไว้ด้วยสีสัน

     นักช้อปท่านไหนที่อยากสำรวจตลาดของแอนติกา รอบๆ จัตุรัสเป็นแหล่งช้อปชั้นดีที่มีไว้ให้คุณได้เดินสอดส่องและจับจ่ายกัน หรือใครอยากจะหารถม้าแล้วให้พาเที่ยวไปให้ทั่วแอนติกา มุมนี้ก็มีรถม้าจอดรออยู่ ความจริงชาวเมืองเองก็ยังคงใช้รถม้าอยู่เช่นกัน เดินไปมุมไหนเลยมีเสียงก่อกแก่กอยู่ทุกที่

     ประตูโค้งซันตา คาตาลีนา (Santa Catalina Arch) ที่เป็นเหมือนโลโก้ของแอนติกา คือมุมที่นักเดินทางทุกคนพากันเดินหา เดิมทีประตูนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิหารซันตา คาตาลีนา แต่ที่เหลือแค่ซุ้มประตูเพราะถูกแผ่นดินไหวเขย่าเมืองพินาศจนเหลือซุ้มประตูเท่าที่เห็น

 

 

     เดินไปสุดถนนสายนี้ ก็จะเจอโบสถ์งามอีกแห่งหนึ่งของแอนติกาอย่าง ลา เมอร์เซด (La Merced) สีเหลืองอร่ามของโบสถ์แห่งนี้สะกดทุกคนให้ยืนนิ่ง บางคนอาจจะสนุกกับการเดินสายเที่ยวโบสถ์ที่กระจายอยู่ทั่วเมือง แต่ฉันเดินถามเจ้าถิ่นเพื่อหาพิกัดที่จะพาไปเมอร์คาโด (Mercado) ตลาดนัดประจำเมืองที่ใหญ่ขนาดมีทั้งโซนขายข้าวของเครื่องใช้และโซนของที่ระลึก รับรองว่ามาถึงที่นี่ได้หิ้วอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านแน่นอน นี่ไม่ใช่ตลาดที่มีไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาจับจ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นมุมที่ชาวเมืองหอบลูกจูงหลานมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างภายในบ้านด้วยเหมือนกัน  

 

 

     เดินเอ้อระเหยไปให้ทั่วแอนติกา แล้วฉันจึงพบว่านี่คือเมืองหลวงเก่าของกัวเตมาลาที่น่าเพลิดเพลินเจริญอารมณ์ดีแท้  

     หากคุณคือนักเดินทางที่ตามล่าเมืองน่าเที่ยวระดับเอลิสต์ของโลก ปักหมุดเมืองแอนติกาไว้บนแผนที่โลก เพราะนี่คือเมืองที่ผู้รักการเดินทางทุกคนควรพาสองเท้าไปเดินย่ำบนถนนปูด้วยหินอันแสนคลาสสิก แล้วจะรู้ว่าโลกช่างน่าอภิรมย์เหลือเกิน

 

The post ‘กัวเตมาลา’ เมืองดิบๆ รวยเสน่ห์ที่เกือบไม่ได้ไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/opinion-exotic-experiences-with-kanjana-guatemela/feed/ 0