Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 27 Jan 2025 05:37:46 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เปิดศึกอีคอมเมิร์ซไทย 2568 ยักษ์ใหญ่ผูกขาด-จีนบุกหนัก นักขายออนไลน์เตรียมรับมือ https://thestandard.co/thai-ecommerce-battle-2025/ Mon, 27 Jan 2025 05:37:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1034820 thai-ecommerce-battle-2025

เส้นทางการค้าออนไลน์ในปี 2568 กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้น […]

The post เปิดศึกอีคอมเมิร์ซไทย 2568 ยักษ์ใหญ่ผูกขาด-จีนบุกหนัก นักขายออนไลน์เตรียมรับมือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-ecommerce-battle-2025

เส้นทางการค้าออนไลน์ในปี 2568 กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซต่างชาติวางกลยุทธ์ครองตลาดไทยแบบเบ็ดเสร็จ จากแพลตฟอร์มที่เคยเป็นเพียง ‘สะพาน’ เชื่อมระหว่างผู้ค้ากับผู้ซื้อ กลับแปรสภาพเป็น ‘กำแพง’ ขวางกั้นการเข้าถึงข้อมูลลูกค้า ทั้งชื่อ เบอร์โทร และที่อยู่ ที่ผู้ค้าควรได้รับ

 

สถานการณ์ยิ่งน่าวิตก เมื่อการผูกขาดนี้ส่งผลให้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่สามารถขึ้นค่าธรรมเนียมได้ตามใจชอบโดยปราศจากการควบคุมจากภาครัฐ ผู้ค้าออนไลน์จำนวนมากตกอยู่ในสภาวะ ‘จำยอม’ ไม่สามารถย้ายฐานลูกค้าข้ามแพลตฟอร์มหรือพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างอิสระ

 

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กูรูผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซและธุรกิจดิจิทัลไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด วิเคราะห์ว่า การแข่งขันในตลาดจะทวีความเข้มข้นขึ้น เมื่อแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นพื้นที่ขายสินค้า แต่รุกคืบเข้าสู่บริการครบวงจร 

 

ทั้งระบบชำระเงิน ขนส่ง ฟู้ดเดลิเวอรี ประกัน และสินเชื่อ อย่างที่เห็นได้จาก Shopee ที่ขยายธุรกิจครอบคลุมทั้งฟู้ดเดลิเวอรีและบริการทางการเงิน หรือ Grab ที่เริ่มจากการขนส่ง แต่ขยายสู่บริการสินเชื่อสำหรับผู้ค้าและไรเดอร์

 

ท่ามกลางการผูกขาดนี้ ผู้ค้าออนไลน์จำเป็นต้องหันมาพัฒนา Owned Channel หรือช่องทางการขายของตนเอง เปรียบเสมือนการ ‘สร้างบ้าน’ แทนการ ‘เช่า’ คอนโดบน e-Marketplace เพื่อให้สามารถเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง โดยปัจจุบันมีผู้ให้บริการที่ช่วยเชื่อมต่อระบบชำระเงินและขนส่งโดยตรง ช่วยให้การทำธุรกรรมคล่องตัวและลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่

 

อีกหนึ่งความท้าทายที่กำลังจะมาถึงคือการบุกตลาดของ ‘สินค้าจีนคุณภาพดี’ ที่นำเข้าอย่างถูกกฎหมาย สวนทางกับกระแสสินค้าจีนคุณภาพต่ำที่เคยทะลักเข้าสู่ไทย โดยคาดว่าจะเห็นแบรนด์จีนคุณภาพสูงเข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศจีนผลักดันให้แบรนด์คุณภาพต้องขยายตลาดต่างประเทศ

 

ขณะที่โลกการค้าออนไลน์กำลังก้าวสู่ยุค ‘3C Commerce’ ที่ผสานคอนเทนต์ คอมมูนิตี้ และการค้า เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม TikTok ที่กำลังผงาดขึ้นเป็นผู้นำด้านดิจิทัลเซอร์วิส พร้อมขยายจากการขายสินค้าสู่การให้บริการที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการขายบัตรกำนัลโรงแรม ร้านอาหาร หรือบริการต่างๆ

 

‘Video Commerce’ กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งสนามแข่งขันที่ดุเดือด เมื่อแพลตฟอร์มวิดีโอต่างๆ เร่งผสานระบบการขายเข้ากับคอนเทนต์ YouTube จับมือกับ Shopee ให้ใส่ลิงก์ร้านค้าในวิดีโอได้โดยตรง ขณะที่ Facebook และ Instagram ก็เพิ่มฟีเจอร์การซื้อสินค้าผ่านวิดีโอทันที สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ผสานความบันเทิงได้ทันที

 

ตลาด ‘Vertical Commerce’ หรือการค้าเฉพาะกลุ่ม ก็กำลังมาแรง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเด็ก สัตว์เลี้ยง ผู้สูงอายุ และรถยนต์ไฟฟ้า การรวมตัวของชุมชนที่มีความสนใจเฉพาะด้านบนแพลตฟอร์มต่างๆ นำไปสู่โอกาสทางการค้าที่แม่นยำและปิดการขายได้ง่ายขึ้น

 

เทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติ จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูล วางแผนกลยุทธ์ ไปจนถึงการทำโฆษณา ขณะที่ ‘e-Commerce Automation’ จะช่วยจัดการทั้งออร์เดอร์ ข้อมูลลูกค้า ระบบบัญชี การขนส่ง และการตอบกลับลูกค้าอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

 

‘Affiliate Marketing’ จะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ เมื่อแพลตฟอร์มต่างๆ เปิดโอกาสให้ KOL และอินฟลูเอ็นเซอร์สามารถนำสินค้าไปขายต่อและรับค่าคอมมิชชัน สร้างโอกาสทางการตลาดที่ประหยัดกว่าการลงโฆษณาแบบดั้งเดิม

 

ท้ายที่สุดผู้ค้าออนไลน์ต้องเตรียมรับมือกับ ‘ภาษีอีคอมเมิร์ซ’ ที่จะมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกรมสรรพากรเริ่มเก็บข้อมูลยอดขายจากแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่มีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้ผู้ค้าต้องปรับโครงสร้างราคาและระบบการจัดการภาษีครั้งใหญ่

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญของผู้ค้าออนไลน์ไทย ระหว่างการยอมจำนนต่อการผูกขาดของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ หรือการลุกขึ้นมาสร้างอาณาจักรของตัวเองบนโลกดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีและกลยุทธ์ที่ทันสมัย

The post เปิดศึกอีคอมเมิร์ซไทย 2568 ยักษ์ใหญ่ผูกขาด-จีนบุกหนัก นักขายออนไลน์เตรียมรับมือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Oracle และทุนใหญ่ รวมถึง Microsoft กำลังเจรจาเข้าซื้อ ‘TikTok’ ทรัมป์ขอเวลาตัดสินใจ 30 วัน https://thestandard.co/oracle-microsoft-talks-to-acquire-tiktok/ Sun, 26 Jan 2025 09:00:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1034638

หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เ […]

The post Oracle และทุนใหญ่ รวมถึง Microsoft กำลังเจรจาเข้าซื้อ ‘TikTok’ ทรัมป์ขอเวลาตัดสินใจ 30 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขากำลังเจรจากับหลายคนเกี่ยวกับการเข้าซื้อ TikTok และน่าจะตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของแอปพลิเคชันยอดนิยมนี้ในอีก 30 วันข้างหน้า 

 

ขณะเดียวกัน นอกจากมีข่าวว่า อีลอน มัสก์ และ แลร์รี เอลลิสัน เจ้าของ Oracle สองมหาเศรษฐีสนใจซื้อ TikTok ก็มีกระแสข่าวว่ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ รวมถึง Microsoft กำลังหารือเข้าซื้อ TikTok ด้วยเช่นกัน 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

โดยทรัมป์กล่าวกับนักข่าวบนเครื่องบิน Air Force One ระหว่างบินไปฟลอริดาว่า “ผมได้พูดคุยกับหลายคนเกี่ยวกับ TikTok และมีคนสนใจ TikTok ไม่น้อยเลยทีเดียว”

 

ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งบอกกับสำนักข่าว Reuters วันนี้ (26 มกราคม) ว่า ตามข้อตกลงที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาของทำเนียบขาวนั้น ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย แต่ Oracle ก็เป็นผู้ควบคุมดูแลทั้งอัลกอริทึม การจัดเก็บข้อมูล และการอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงเป็นผู้ให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเว็บให้กับ TikTok อยู่แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าเขากำลังทำข้อตกลงกับ Oracle และนักลงทุนรายอื่นๆ เพื่อช่วย TikTok หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า “ไม่ ผมไม่ทำกับ Oracle เท่านั้น แต่มีหลายคนคุยกับผม ซึ่งเป็นคนสำคัญมากเกี่ยวกับการซื้อ ซึ่งผมจะตัดสินใจเรื่องนี้ภายใน 30 วันข้างหน้า และรัฐสภาให้เวลา 90 วัน ถ้าเราช่วย TikTok ได้ ผมคิดว่าจะเป็นเรื่องที่ดี” 

 

Reuters รายงานว่า หากข้อตกลงนี้เป็นไปตามที่สำนักข่าววิทยุ NPR (National Public Radio) ออกมาเปิดเผย นักลงทุนชาวอเมริกันจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TikTok แต่เงื่อนไขต่างๆ ยังไม่มีข้อสรุปและอาจปรับเปลี่ยนได้อีก

 

แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า เป้าหมายหลักคือให้ Oracle เข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบและกำกับดูแลการทำงานของ TikTok อย่างเต็มที่ ส่วน ByteDance ก็จะยังมีบทบาทอยู่บ้าง แต่จะลดอำนาจการควบคุมจากฝั่งจีนลง โดยตัวแทนจาก Oracle มีแผนจะประชุมติดตามผลกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า หลังจากที่หารือไปเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา

 

Oracle-Microsoft กำลังหารือเข้าซื้อ TikTok?

 

โดย Oracle พร้อมทุ่มเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อเข้าถือหุ้นใน TikTok แต่รายละเอียดอื่นๆ ของข้อตกลงยังคงต้องเจรจากันต่อ ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวมองว่า การได้รับไฟเขียวจากสภาคองเกรสถือเป็นด่านสำคัญที่ต้องผ่านให้ได้ด้วย 

 

อีกทั้งเงื่อนไขของข้อตกลงใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับ Oracle นั้นไม่แน่นอน และมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลง แต่ที่แน่ๆ คือทรัมป์ต้องการให้สหรัฐฯ ถือหุ้น 50% ใน TikTok

 

NPR ยังรายงานอีกว่า Oracle และกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ รวมถึง Microsoft กำลังหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้าซื้อ TikTok 

 

โดยรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นตัวกลางของข้อตกลงเข้าซื้อกิจการ และจะให้ ByteDance ถือหุ้นเสียงข้างน้อย 

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า Microsoft เกี่ยวข้องกับดีลนี้ ทว่าเมื่อปี 2020 บริษัทเคยมีเอี่ยวกับ Oracle และ Walmart ในการเข้าซื้อ TikTok มาแล้ว แต่ในรอบนี้ Walmart ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อ TikTok แต่อย่างใด หลังจากไม่เห็นด้วยกับราคา 

 

ทั้งนี้ สำหรับสถานะปัจจุบันของการแบน TikTok ทรัมป์ที่เพิ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ประกาศคำสั่งทางบริหารให้เวลา TikTok อีก 75 วัน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายบังคับขายกิจการ

 

ภาพ: Nurphoto / Getty Images

อ้างอิง: 

The post Oracle และทุนใหญ่ รวมถึง Microsoft กำลังเจรจาเข้าซื้อ ‘TikTok’ ทรัมป์ขอเวลาตัดสินใจ 30 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประธาน SHEIN ยัน ‘เสื้อผ้าราคาถูก’ ยังอยู่ได้ แม้ Trump ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน แต่ต้อง ‘เท่าเทียม’ ทุกประเทศ https://thestandard.co/shein-cheap-clothes-trump-tariffs/ Sat, 25 Jan 2025 03:54:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1034344 shein-cheap-clothes-trump-tariffs

Donald Tang ประธานบริหาร SHEIN ออกมาให้ความมั่นใจว่าแบร […]

The post ประธาน SHEIN ยัน ‘เสื้อผ้าราคาถูก’ ยังอยู่ได้ แม้ Trump ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน แต่ต้อง ‘เท่าเทียม’ ทุกประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
shein-cheap-clothes-trump-tariffs

Donald Tang ประธานบริหาร SHEIN ออกมาให้ความมั่นใจว่าแบรนด์เสื้อผ้าราคาประหยัดของบริษัทจะยังคงรักษาระดับราคาที่จับต้องได้ แม้ Donald Trump จะเสนอขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยมีเงื่อนไขว่าต้องใช้มาตรการ ‘เท่าเทียมกัน’ กับทุกประเทศ 

 

ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC ที่งาน World Economic Forum ในเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ Tang เน้นย้ำว่า “ราคาที่จับต้องได้เป็นจุดแข็งสำคัญ มันคือแพ็กเกจรวมที่ให้ความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป”

 

Trump เคยประกาศนโยบายหาเสียงว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60% แต่ล่าสุดปรับลดเหลือ 10% ซึ่ง Tang ไม่ได้ตอบตรงๆ ว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าหรือไม่ แต่ชี้ว่าบริษัทยังสามารถแข่งขันได้ตราบใดที่จีนไม่ถูกเก็บภาษีสูงกว่าประเทศอื่น เนื่องจาก SHEIN มีฐานการผลิตหลักอยู่ในจีน การขึ้นภาษีนำเข้าจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต

 

ปัจจุบัน SHEIN สามารถหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าได้ผ่าน ‘ช่องโหว่’ กฎหมายการค้าที่เรียกว่า De Minimis ที่ยกเว้นภาษีพัสดุมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 27,000 บาท) ด้วยการส่งสินค้าตรงถึงผู้บริโภค โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมการดำเนินการ

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาล Joe Biden ออกกฎใหม่เพื่อปิดช่องโหว่นี้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเป้าไปที่บริษัทอย่าง SHEIN และคู่แข่งอย่าง Temu ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุของการพุ่งสูงขึ้นของการส่งพัสดุแบบ De Minimis ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่ง Trump ก็แสดงท่าทีสนับสนุนนโยบายดังกล่าวในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยสั่งการให้คณะรัฐมนตรีประเมินความสูญเสียรายได้จากภาษีนำเข้าที่เกิดจากการใช้ข้อยกเว้น De Minimis

 

แม้ SHEIN จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทต้องยกเลิกแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ และหันไปจดทะเบียนที่ลอนดอนแทน เนื่องจากกระแสต่อต้านบริษัทที่มีต้นกำเนิดจากจีน 

 

เมื่อถูกถามถึงแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน Tang ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น แต่อธิบายถึงเหตุผลที่บริษัทต้องการเป็นบริษัทมหาชน โดยระบุว่าการเป็นบริษัทมหาชนจะช่วยสร้าง ‘ความรับผิดชอบ’ ผ่านกลไกที่เป็นสากล และความไว้วางใจจากสาธารณะเป็นสิ่ง ‘สำคัญยิ่ง’ สำหรับการเติบโตในระยะยาว

 

ภาพ: Antonello Marangi / Shutterstock 

 

อ้างอิง:

The post ประธาน SHEIN ยัน ‘เสื้อผ้าราคาถูก’ ยังอยู่ได้ แม้ Trump ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน แต่ต้อง ‘เท่าเทียม’ ทุกประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI จะลดช่องว่างการเรียนรู้ในโรงเรียนของประเทศไทยได้หรือไม่ https://thestandard.co/ai-bridging-education-gap-thailand/ Sat, 25 Jan 2025 03:28:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1034313 ai-bridging-education-gap-thailand

เนื่องในโอกาส ‘วันการศึกษาสากล’ (24 มกราคม) เราควรมาพิจ […]

The post AI จะลดช่องว่างการเรียนรู้ในโรงเรียนของประเทศไทยได้หรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ai-bridging-education-gap-thailand

เนื่องในโอกาส ‘วันการศึกษาสากล’ (24 มกราคม) เราควรมาพิจารณาถึงศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพลิกโฉมการศึกษา นับเป็นวาระอันสมควรยิ่งที่วันสำคัญดังกล่าวในปีนี้จะมุ่งประเด็นไปที่ AI เพราะว่าโลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับวิกฤตการศึกษาครั้งใหญ่ จนกระทั่งก่อนโควิด ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีเด็ก 128 ล้านคนไม่ได้ไปโรงเรียน และมีเด็กอีกหลายล้านคนมีความเสี่ยงที่จะเลิกเรียนกลางคัน ในกลุ่มเด็กๆ ที่เรียนหนังสืออยู่ หลายคนเสี่ยงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นักเรียนครึ่งหนึ่งในเอเชีย-แปซิฟิกขาดทักษะการอ่านเขียนและการคำนวณขั้นพื้นฐานเมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษา

 

เราจำเป็นต้องจัดสรรการศึกษาที่มีคุณภาพซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในอนาคต ซึ่งรวมถึงการเตรียมพร้อมให้แรงงานแห่งอนาคตมีทักษะสีเขียว ในประเทศไทยมีนักเรียนจำนวนมาก อย่างเช่น ยุพารัตน์ จากจังหวัดเชียงใหม่ และ อธิชาติ จากจังหวัดสกลนคร ที่จินตนาการถึงโรงเรียนซึ่งเปิดรับเทคโนโลยี การเขียนโค้ด และ AI วิสัยทัศน์ของเด็กๆ ตอกย้ำว่าระบบการศึกษาจำเป็นที่จะต้องก้าวทัน ‘การปฏิวัติดิจิทัล’

 

ยุพารัตน์ นักเรียนวัย 15 ปีจากจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “โรงเรียนในอนาคตของหนูควรส่งเสริม Coding และ AI ให้ได้ฝึกปฏิบัติ ได้ลงมือทำ” เธอใช้รถเข็นสำหรับผู้พิการ และขณะให้สัมภาษณ์กับองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เธอเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมี “การเรียนรู้เฉพาะบุคคลและห้องเรียนที่มีความยืดหยุ่น”

 

อธิชาติ วัย 15 ปีจากจังหวัดสกลนคร เสริมว่า “ตอนนี้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน และผมคิดว่าเราต้องใช้มันมาช่วยทำให้ชีวิตเราดีขึ้น” อธิชาติเป็นหนึ่งในสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในคณะกรรมการที่ปรึกษาเยาวชนของ UNICEF ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำแก่ UNICEF และภาคีเครือข่าย ซึ่งรวมถึงรัฐบาลไทย ในการปฏิรูปการศึกษา

 

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวไว้ว่า “การพัฒนา AI ควรให้ประโยชน์แก่ทุกคน” เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา บรรดาผู้นำโลกได้รับรอง ‘ข้อตกลงเพื่ออนาคต’ (Pact for the Future) ซึ่งหมายรวมถึงกรอบการทำงานสำหรับการกำกับดูแลเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก (Global Digital Compact หรือ GDC) โดย GDC ระบุแนวทางใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ AI และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล โดยมีสหประชาชาติให้คำมั่นเป็นผู้นำความพยายามนี้ ในประเทศไทย สหประชาชาติกำลังร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะให้ประโยชน์กับนักเรียนทุกคน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดโอกาส ความร่วมมือดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า AI จะเป็นเครื่องมือสำหรับการนับรวมทุกกลุ่มคน ไม่ใช่การกีดกันแบ่งแยก

 

AI มีศักยภาพที่จะลดช่องว่างทางการศึกษาด้วยการปรับการเรียนรู้ให้เข้ากับนักเรียนแต่ละคน ยกระดับประสิทธิภาพการสอน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม เราจะต้องหาสมดุลระหว่างศักยภาพดังกล่าวและความเสี่ยงต่างๆ 

 

รวมถึงความเสี่ยงว่าความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลจะขยายวงกว้างขึ้น แม้ว่ากว่า 97% ของโรงเรียนในประเทศไทยจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำสูงเมื่อเปรียบเทียบการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ระหว่างโรงเรียนในเมืองและโรงเรียนในชนบท นอกจากนี้ มีเพียง 16% ของครัวเรือนที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้าน อีกทั้งนักเรียนจำนวนมากยังขาดทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง และมากกว่าครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอายุ 16-19 ปี ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการทำงานนำเสนอ ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้อาจทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นอุปสรรค แทนที่จะเป็นตัวช่วยในการเรียนรู้

 

ครูมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ธนวรรธน์ สุวรรณปาล ครูผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์จากกรุงเทพฯ อธิบายว่า คุณภาพผลงานของนักเรียนมักจะบ่งบอกว่านักเรียนคนนั้นมีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้านหรือไม่ และนักเรียนหลายคนขาดทักษะพื้นฐานในการใช้ AI หรือเครื่องมือค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ธนวรรธน์กล่าวว่า “นักเรียนส่วนใหญ่ที่ใช้ ChatGPT ในการทำการบ้าน จะไม่เข้าใจคำตอบที่ได้มา” หลายคนไม่สามารถใช้เครื่องมือค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะคัดลอกผลลัพธ์แรกที่พบ ธนวรรธน์เสริมว่า “ถ้านักเรียนไม่สามารถเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับ Google ได้ แล้วจะเขียนพรอมต์ที่ชัดเจนหรือตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบจาก ChatGPT ได้อย่างไร”

 

ครูหลายท่านเน้นย้ำถึงความสำคัญของการก้าวให้ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

นูรฮายาตี ดือราดอะ ครูโรงเรียนบ้านธารมะลิ จังหวัดยะลา กล่าวว่า “การเป็นครูต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องมีการเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะดิจิทัล” อย่างไรก็ตาม เธอเผยให้เห็นถึงความท้าทายที่ครูในพื้นที่ห่างไกลต้องเผชิญ “ด้วยความที่โรงเรียนของเราล้อมรอบด้วยภูเขา เราจะมีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต”

 

UNESCO สนับสนุนครูด้วยกรอบสมรรถนะทางปัญญาประดิษฐ์ (AI Competency Framework) ซึ่งมอบแนวทางที่เน้นชุดความคิดที่ให้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง จริยธรรม AI ความรู้ขั้นพื้นฐาน และการแก้ไขปัญหาด้วย AI นอกจากนี้ โครงการ One Teacher Thailand ของ UNICEF ช่วยครูมากกว่า 5 แสนคนในการยกระดับความรู้เชิงเทคนิคของครู

 

รัฐบาลไทยดำเนินขั้นตอนต่างๆ ที่น่าชื่นชมในด้านนี้ เช่น โครงการ Coding for All และแผนยุทธศาสตร์ AI ระดับชาติ เพื่อส่งเสริมความพยายามเหล่านี้ สหประชาชาติสนับสนุนให้มีการลงทุนด้านการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, การฝึกอบรมครู, โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่เสริมสร้างการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะมีความสำคัญในการยกระดับการเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรด้าน AI เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยตอกย้ำความสำคัญของ ‘ระเบียบวิธีการประเมินความพร้อม’ (Readiness Assessment Methodology) ของ UNESCO ซึ่งเป็นเครื่องมือวินิจฉัยว่าประเทศต่างๆ มีความพร้อมมากน้อยเพียงใดในด้านโครงสร้างพื้นฐาน, การกำกับดูแล, การลงทุน, นโยบายด้านสังคม และสถาบันสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับ AI

 

ประเทศไทยกำลังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับนานาชาติ ‘UNESCO Global Forum on the Ethics of AI’ ในเดือนมิถุนายน 2025 โดยงานนี้จะช่วยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันระหว่างผู้กำหนดนโยบาย นักการศึกษา และภาคเอกชน เพื่อให้แน่ใจว่า AI จะได้รับการพัฒนาและนำไปประยุกต์ใช้อย่างมีจริยธรรม นอกจากนี้ สหประชาชาติยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศไทยในระดับนโยบาย หากเราให้ความสำคัญกับการนับรวมทุกกลุ่มคน ความเสมอภาค และความเป็นธรรม เราจะสามารถสร้างระบบการศึกษาที่สนับสนุนให้เด็กทุกคนเติบโตได้อย่างสมบูรณ์

 

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการสร้างความเสมอภาค การนับรวมทุกกลุ่มคน และการเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่สามารถหาหนทางของตนในโลกที่ซับซ้อนและขับเคลื่อนด้วย AI เราต้องให้ค่ากับวิสัยทัศน์ของนักเรียนอย่างยุพรัตน์และอธิชาติ และเราต้องทำให้แน่ใจว่าเด็กและผู้เรียนทุกคนจะพร้อมก้าวสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล

ภาพ: UNICEF

The post AI จะลดช่องว่างการเรียนรู้ในโรงเรียนของประเทศไทยได้หรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
OpenAI เปิดตัว ‘Operator’ ระบบ AI Agent ตัวใหม่ เปรียบได้กับผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานด้วยตัวเองได้ https://thestandard.co/openai-operator-ai-agent/ Fri, 24 Jan 2025 08:05:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1034013 OpenAI AI Agent

OpenAI ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉม ChatGPT […]

The post OpenAI เปิดตัว ‘Operator’ ระบบ AI Agent ตัวใหม่ เปรียบได้กับผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานด้วยตัวเองได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
OpenAI AI Agent

OpenAI ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉม ChatGPT ให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีกขั้น โดยเมื่อเช้ามืดวันศุกร์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศไทย บริษัทฯ ได้เผยโฉม ‘Operator’ ระบบ AI Agent ตัวล่าสุดของ OpenAI ที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเองบนเบราว์เซอร์ ทั้งการแพลนทริปท่องเที่ยว กรอกเอกสาร จองร้านอาหาร และสั่งซื้อข้าวของเครื่องใช้

 

Operator จะเปิดเข้าถึงสำหรับผู้ใช้งาน ChatGPT Pro หรือผู้ที่จ่ายค่าบริการ 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนก่อน และแค่ผู้ใช้งานในสหรัฐฯ เท่านั้น ณ ปัจจุบัน ซึ่งยังถือเป็นเวอร์ชันทดลองอยู่ และ OpenAI ก็ระบุว่าพวกเขามีแผนจะขยายการเข้าถึงให้กับผู้ใช้งานระดับอื่นด้วยทั้ง ChatGPT Plus, ChatGPT Team และ ChatGPT Enterprise รวมถึงผู้ใช้งานในประเทศอื่นด้วยในอนาคต

 

OpenAI ระบุว่า Operator คือเอเจนต์ที่สามารถเข้าถึงในเว็บเพื่อทำงานต่างๆ ให้ผู้ใช้งานได้ พร้อมทั้งเสริมว่า มันได้รับการฝึกให้สามารถโต้ตอบกับปุ่ม เมนู และช่องกรอกข้อความที่ผู้คนใช้งานอยู่เป็นประจำบนเว็บไซต์ได้

 

นอกจากนี้ Operator ยังมีศักยภาพในการถามคำถามเพิ่มเติม เพื่อปรับแต่งการทำงานให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การขอข้อมูลล็อกอินสำหรับเว็บไซต์อื่น ซึ่งผู้ใช้งานมีอำนาจในการควบคุมหน้าจอได้ตลอดเวลา

 

“Operator คือหนึ่งในเอเจนต์ตัวแรกของเรา ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานให้คุณได้อย่างอิสระ เพียงแค่คุณสั่งงานและมันก็จะทำให้” OpenAI เขียนในโพสต์บนบล็อกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

สำหรับประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล อาทิ ข้อมูลสำหรับล็อกอิน OpenAI ระบุว่า ผู้ใช้งานมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ให้ข้อมูลบางส่วนของตนเองถูกนำไปใช้ฝึกโมเดลของ OpenAI ได้ โดยสามารถเลือกปิดการตั้งค่าที่เขียนว่า ‘ปรับปรุงโมเดลสำหรับทุกคน’ ใน ChatGPT หมายความว่าข้อมูลใน Operator จะไม่ถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล อีกทั้งบริษัทยังระบุเพิ่มเติมด้วยว่า ผู้ใช้สามารถลบข้อมูลการท่องเว็บทั้งหมดได้ด้วย ‘คลิกเดียว’ ในเมนูการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

 

อย่างไรก็ตาม Operator ณ ระดับการพัฒนาในปัจจุบันยังไม่สามารถทำงานที่ซับซ้อนหรือเฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย OpenAI เขียนระบุไว้ในเอกสารถึงงานที่ยังไม่เหมาะกับ Operator เช่น การทำสไลด์ที่มีรายละเอียดเยอะหรือการจัดตารางปฏิทินที่ซับซ้อน 

 

นอกจากนี้ OpenAI ยังย้ำถึงความจำเป็นในการมีมนุษย์เพื่อกำกับดูแลในงานบางอย่าง เช่น การทำธุรกรรมทางการเงินที่ผู้ใช้จะต้องเข้ามากรอกข้อมูลการเงินต่างๆ ด้วยตัวเองเพื่อตรวจเช็กความถูกต้อง และ OpenAI ยืนยันว่า Operator จะไม่มีการบันทึกภาพหน้าจอข้อมูลใดๆ

 

“สำหรับเว็บไซต์ที่มีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น อีเมล ระบบของ Operator จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้ใช้งานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดที่โมเดลอาจทำให้เกิดขึ้นได้” OpenAI ระบุไว้ในเอกสาร

 

การออกมาของ Operator ถือเป็นการเพิ่มคู่แข่งในตลาดโดยตรงกับ Anthropic อีกหนึ่งสตาร์ทอัพ AI ผู้สร้าง Claude ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม Anthropic ได้เผยฟีเจอร์ลักษณะเดียวกันออกมาชื่อว่า ‘Computer use’ ที่เป็นระบบ AI ที่สามารถทำงานบนคอมพิวเตอร์ได้ด้วยตัวเอง โดย Jared Kaplan หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ Anthropic กล่าวว่า ฟีเจอร์ดังกล่าวสามารถใช้งานบนคอมพิวเตอร์ได้เหมือนกับมนุษย์

 

อ้างอิง:

The post OpenAI เปิดตัว ‘Operator’ ระบบ AI Agent ตัวใหม่ เปรียบได้กับผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานด้วยตัวเองได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้บริโภคเปย์ฉ่ำ ยอดใช้จ่ายแอปทั่วโลกพุ่งแตะ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024 นำโดยแอป AI ที่โตแรง 200% https://thestandard.co/ai-apps-saw-over-1-billion-in-consumer-spending-in-2024/ Fri, 24 Jan 2025 06:54:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1033980 แอป AI

ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคในแอปพลิเคชันทั่วโลกพุ่งแตะ 1. […]

The post ผู้บริโภคเปย์ฉ่ำ ยอดใช้จ่ายแอปทั่วโลกพุ่งแตะ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024 นำโดยแอป AI ที่โตแรง 200% appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอป AI

ยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคในแอปพลิเคชันทั่วโลกพุ่งแตะ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยการเพิ่มขึ้นนี้ก็มีปัจจัยกระตุ้นมาจากเทคโนโลยี Generative AI

 

รายงานประจำปี State of Mobile จากผู้ให้บริการข้อมูลแอปพลิเคชัน Sensor Tower พบว่า แอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคในแอปพลิเคชัน AI เช่น ChatGPT, Gemini หรือ Doubao ของ ByteDance และอื่นๆ เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยยอดรวมการใช้จ่ายในหมวดแอปพลิเคชัน AI สูงถึงเกือบ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024

 

หากการเติบโตยังคงเป็นไปในอัตรานี้ แอปพลิเคชันในหมวด AI อาจขึ้นมาอยู่ใน 10 อันดับแรกของการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในปีเดียวกันตามรายงานที่บริษัท Sensor Tower ระบุ

 

การเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ๆ เช่น GPT-4o ของ OpenAI ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้เวลาเกือบ 7.7 พันล้านชั่วโมงไปกับการใช้งานแอปพลิเคชัน AI ในปี 2024 ขณะที่แอปพลิเคชันที่มีคำว่า ‘AI’ อยู่ในชื่อก็ถูกดาวน์โหลดไปมากถึง 1.7 หมื่นล้านครั้งในปีนั้น

 

ChatGPT เพียงแอปเดียวมีผู้ใช้งานที่เข้าใช้งานจริงถึง 50 ล้านคนต่อเดือน สูงกว่าทั้ง Temu, Disney+ หรือ YouTube Music

 

ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าความต้องการในแอปพลิเคชัน AI และแอปพลิเคชันที่มีคุณสมบัติ AI ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น

 

สำหรับหมวดหมู่อื่นๆ ของแอปพลิเคชันที่มีการเคลื่อนไหวในปี 2024 ได้แก่ แอปสตรีมมิ่ง คริปโตเคอร์เรนซี อีคอมเมิร์ซ และฟินเทค

 

อย่างไรก็ตาม แอปพลิเคชันในหมวดสตรีมมิ่งมียอดเอ็นเกจเมนต์ลดลงเล็กน้อย แม้ว่าจะมีการเติบโตเชิงรายได้จากแอปพลิเคชันและยอดดาวน์โหลด

 

ในขณะเดียวกันแอปพลิเคชันหมวดคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Binance (อันดับ 6) และ Tonkeeper (อันดับ 9) ก้าวขึ้นมาติด 10 อันดับแอปพลิเคชันด้านการเงินที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในปี 2024

 

สำหรับด้านอีคอมเมิร์ซ Temu และ SHEIN ติดอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับในหมวดหมู่ค้าปลีก (Retail) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการขยายตลาดในยุโรป ลาตินอเมริกา และเอเชีย

 

นอกจากนี้แอปพลิเคชันด้านการเงินยังคงเติบโตในอัตราแบบตัวเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีก่อนในแง่ของระยะเวลาการใช้งานในปี 2024 และมียอดดาวน์โหลดเกือบ 7.5 พันล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2023

 

อ้างอิง:

 

 

The post ผู้บริโภคเปย์ฉ่ำ ยอดใช้จ่ายแอปทั่วโลกพุ่งแตะ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024 นำโดยแอป AI ที่โตแรง 200% appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปประเด็นข้อมูลลูกค้าและพนักงาน OPPO Thailand กว่า 22 ล้านรายการ ถูกแฮ็กมาขายในราคา 6.8 แสนบาท PDPC ชี้ ให้แจงใน 72 ชั่วโมง https://thestandard.co/oppo-data-leak-22-million/ Fri, 24 Jan 2025 06:23:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1033959 oppo-data-leak-22-million

กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่ OPPO Thailand ต้องรับมือ […]

The post สรุปประเด็นข้อมูลลูกค้าและพนักงาน OPPO Thailand กว่า 22 ล้านรายการ ถูกแฮ็กมาขายในราคา 6.8 แสนบาท PDPC ชี้ ให้แจงใน 72 ชั่วโมง appeared first on THE STANDARD.

]]>
oppo-data-leak-22-million

กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่ OPPO Thailand ต้องรับมือ เมื่อมีรายงานว่า ถูกแฮกเกอร์เจาะเข้าฐานข้อมูลและนำมาประกาศขายในราคาเกือบ 7 แสนบาท ซึ่งภายในมีทั้งข้อมูลลูกค้าและข้อมูลของพนักงานกว่า 22 ล้านรายการ

 

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากเว็บไซต์ Cyber Press ซึ่งรายงานตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2024 ระบุว่า ข้อมูลภายในที่ละเอียดอ่อนกว่า 165 GB ถูกประกาศขายในราคาเพียง 2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.8 แสนบาทเท่านั้น

 

ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบไปด้วย ฐานข้อมูลที่สำคัญ เช่น OPPO HR, Microservices, บันทึก IMEI ของโทรศัพท์, การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, รายละเอียดพันธมิตรตัวแทนจำหน่าย, บันทึกทางการเงิน, ข้อมูลคลังสินค้า และข้อมูลแพลตฟอร์ม iOPPO 

 

Cyber Press ชี้ว่า หากคำกล่าวอ้างถูกต้อง การละเมิดดังกล่าวอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งลูกค้าและ OPPO Thailand

 

บ่ายวานนี้ (23 มกราคม) ศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) ระบุผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียว่า “อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง”

 

ถัดมาในช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 24 มกราคม บริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป จำกัด ในฐานะตัวแทนจำหน่ายสมาร์ทโฟน OPPO ในประเทศไทย ชี้แจงกรณีแฮกเกอร์ละเมิดข้อมูล โดยมีใจความว่า รับทราบเรื่องดังกล่าวและรายงานเหตุการณ์นี้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที ตั้งแต่วันที่13 ธันวาคม 2567 

 

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยื่นแจ้งการละเมิดข้อมูลต่อศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) แล้วเรียบร้อย และพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อเร่งรัดการสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

 

หากพบว่ามีพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้น บริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป จำกัด จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด และจะทำงานร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) อย่างใกล้ชิด เพื่อจัดการปัญหาดังกล่าว และเพื่อการคุ้มครองข้อมูล

 

ในช่วงท้ายของจดหมายชี้แจงย้ำว่า “กรณีดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกันกับกรณีแอปพลิเคชันที่เป็นประเด็นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง”

 

ช่วงเวลา 10.00 น. ของวันนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC ออกจดหมายระบุว่า วันที่ 23 มกราคม 2568 เวลา 15.30 น. PDPC โดยศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) ตรวจพบการอ้างขายข้อมูล OPPO Thailand ขนาด 165 GB บน Dark Web 

 

จากการตรวจสอบรายละเอียดเบื้องต้นพบว่า ข้อมูลที่อ้างว่าถูกเปิดเผย ได้แก่ รายละเอียดส่วนตัวของลูกค้า ข้อมูลพนักงานจากระบบ HR และข้อมูลเชิงลึกด้านการดำเนินงานจากแพลตฟอร์มภายในของ OPPO Thailand โดยตั้งราคาการซื้อขาย 2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 6.8 แสนบาท 

 

PDPC แจ้งให้ OPPO เร่งตรวจสอบประเมินความเสี่ยง เพื่อป้องกัน แก้ไข ระงับยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แล้วรายงานผลภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ความชัดเจนว่ามีการละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่ และเพื่อป้องกัน ระงับยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยเร็ว

 

หากพบว่ามีผู้ใดกระทำผิดหรือทำให้เกิดความเสียหายเพราะฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA จะตรวจสอบและรวบรวมข้อเท็จจริงแล้วรายงานต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาทางปกครองต่อไป

 

เรื่องร้อนที่สั่นสะเทือนวงการไอทีไทยครั้งนี้ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลการสอบสวนจาก PDPC ที่จะต้องเร่งสรุปภายใน 72 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้กฎหมาย PDPA ของไทยจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด

 

อ้างอิง:

The post สรุปประเด็นข้อมูลลูกค้าและพนักงาน OPPO Thailand กว่า 22 ล้านรายการ ถูกแฮ็กมาขายในราคา 6.8 แสนบาท PDPC ชี้ ให้แจงใน 72 ชั่วโมง appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิกฤตสื่อดั้งเดิม CNN ปลดพนักงานหลายร้อยชีวิต เดินหน้าพัฒนาคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ https://thestandard.co/cnn-hundreds-laid-off/ Thu, 23 Jan 2025 12:54:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1033684

CNBC รายงานว่า Warner Bros. Discovery เตรียมปรับโครงสร้ […]

The post วิกฤตสื่อดั้งเดิม CNN ปลดพนักงานหลายร้อยชีวิต เดินหน้าพัฒนาคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

CNBC รายงานว่า Warner Bros. Discovery เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ให้กับ CNN โดยจะมีการเลย์ออฟพนักงานหลายร้อยตำแหน่งในวันพฤหัสบดีนี้ (23 มกราคม) เพื่อปรับโฉมองค์กรให้สอดรับกับกระแสผู้ชมดิจิทัลทั่วโลก จากจำนวนพนักงานทั้งหมด 3,500 คน

 

แหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยตัวตนระบุว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอข่าวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลแบบเสียค่าสมาชิก

 

Mark Thompson ซีอีโอ CNN เผยในการทาวน์ฮอลล์เมื่อต้นเดือนว่า บริษัทได้รับเงินลงทุนกว่า 70 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.38 พันล้านบาท) จาก Warner Bros. Discovery เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

 

เงินลงทุนก้อนนี้จะถูกนำไปใช้จ้างพนักงานในสายงานที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “เราต้องปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป” Thompson กล่าว พร้อมย้ำว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจดิจิทัลของ CNN

 

แหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยตัวตนเผยว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ส่งผลให้รายการข่าวบางรายการที่ผลิตในนิวยอร์กและวอชิงตัน ดี.ซี. ต้องย้ายฐานการผลิตไปยังแอตแลนตา เพื่อลดต้นทุนการผลิตและรวมทีมงานเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตาม การเลย์ออฟครั้งนี้จะไม่กระทบกับผู้ประกาศข่าวชื่อดังที่มีสัญญากับสถานี

 

ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา CNN เริ่มเก็บค่าบริการผู้ใช้งานเว็บไซต์ที่เข้าชมบ่อยเดือนละ 3.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 136 บาท) สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของวงการสื่อที่ผู้ชมหันมาบริโภคข่าวผ่านสตรีมมิ่งและโซเชียลมีเดียมากขึ้น ขณะที่ผู้ชมทีวีแบบเดิมลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

CNBC ยังรายงานด้วยว่า NBC News ก็เตรียมปลดพนักงานในสัปดาห์นี้เช่นกัน แต่จำนวนน้อยกว่า 50 คน สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตสื่อดั้งเดิมที่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในยุคดิจิทัล

 

อ้างอิง:

The post วิกฤตสื่อดั้งเดิม CNN ปลดพนักงานหลายร้อยชีวิต เดินหน้าพัฒนาคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พลิกโฉมตลาดแรงงาน! 92 ล้านตำแหน่งโดน AI กลืน แต่ 170 ล้านตำแหน่งใหม่กำลังมา คุณพร้อมหรือยัง? https://thestandard.co/ai-impact-92-million-jobs-2025/ Thu, 23 Jan 2025 09:57:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1033586

ตลาดแรงงานกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตามร […]

The post พลิกโฉมตลาดแรงงาน! 92 ล้านตำแหน่งโดน AI กลืน แต่ 170 ล้านตำแหน่งใหม่กำลังมา คุณพร้อมหรือยัง? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลาดแรงงานกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตามรายงานของ World Economic Forum เผยแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตลาดแรงงานโลกภายในปี 2025 โดยคาดการณ์ว่าจะมีการสร้างตำแหน่งงานใหม่ทั่วโลกถึง 170 ล้านตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม จะมีตำแหน่งงานเดิม 92 ล้านตำแหน่งที่จะหายไปเนื่องจากการนำระบบอัตโนมัติมาใช้และความผันผวนทางเศรษฐกิจ

 

เมื่อคำนวณตัวเลขสุทธิแล้ว จะเห็นว่าตลาดแรงงานจะมีการเติบโตสุทธิที่ 78 ล้านตำแหน่ง หรือคิดเป็น 7% ของการจ้างงานทั้งหมด ข้อมูลนี้ได้มาจากการสำรวจบริษัทชั้นนำ 1,000 แห่ง ซึ่งมีพนักงานรวมกว่า 14 ล้านคน ครอบคลุม 22 อุตสาหกรรมจาก 55 ประเทศทั่วโลก

 

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะตัวแทนหนึ่งเดียวของไทยที่ร่วมศึกษากับ World Economic Forum ชี้ชัดถึง ‘ตัวเร่ง’ 5 ประการที่จะปฏิวัติโลกการทำงาน นำโดยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ ตามด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นความต้องการบุคลากรด้านพลังงานสะอาด ความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร และการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

 

น่าสนใจว่าการจัดอันดับปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดแรงงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และระดับโลกมีความสอดคล้องกัน โดยประเทศไทยให้คะแนนการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสูงถึง 67.6 คะแนน ตามด้วยการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อมที่ 64.9 คะแนน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ 62.3 คะแนน ชี้ให้เห็นว่าไทยกำลังเผชิญความท้าทายในระดับที่ใกล้เคียงกับนานาชาติ

 

ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เผยว่า ภายในปี 2573 2 ใน 5 ของทักษะที่มีอยู่จะถูกเปลี่ยนแปลง ข้อมูลจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า 10 ทักษะแห่งอนาคตของไทยและระดับโลกมีความแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ โดยประเทศไทยให้ความสำคัญกับ AI และ Big Data เป็นอันดับ 1 ตามด้วยทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์

 

ขณะที่ระดับโลกเน้นที่ AI และ Big Data เช่นกัน แต่ให้ความสำคัญกับเครือข่ายและความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นอันดับ 2 และความฉลาดในการใช้เทคโนโลยีเป็นอันดับ 3

 

การศึกษายังเผยให้เห็นภาพชัดเจนของอาชีพที่มาแรงในอนาคต โดย 5 อันดับอาชีพดาวรุ่ง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data, วิศวกรด้าน FinTech, ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI, นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ 

 

ในทางกลับกัน 5 อาชีพที่มีแนวโน้มหายไปประกอบด้วย พนักงานไปรษณีย์, พนักงานคีย์ข้อมูล, พนักงานธนาคาร, พนักงานแคชเชียร์และพนักงานจำหน่ายตั๋ว, สุดท้ายคือผู้ช่วยด้านงานธุรการและเลขานุการบริหาร

 

ที่น่าจับตามองคือผลการศึกษาพบว่า 50% ของธุรกิจมีแผนที่จะนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น และ 40% ของบริษัทวางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานลง สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง

 

เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ จุฬาฯ วางกลยุทธ์ 5 ประการสำหรับประเทศไทย เริ่มจากการ ‘ยกเครื่อง’ การพัฒนาทักษะแบบองค์รวมที่ไม่จำกัดเพียงทักษะใดทักษะหนึ่ง การสร้างองค์กรที่พร้อมรับอนาคตด้วยระบบพัฒนาทักษะที่ทันสมัย การทดแทนงานซ้ำซากด้วยระบบอัตโนมัติอย่างชาญฉลาด การส่งเสริมบทบาทการทำงานแบบยืดหยุ่นที่พร้อมปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และการผสานเทคโนโลยีใหม่เข้ากับการทำงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

 

ที่น่าสนใจคือความแตกต่างระหว่างทักษะที่ไทยและระดับโลกให้ความสำคัญ โดยไทยเน้นการคิดเชิงวิเคราะห์เป็นอันดับ 2 และการคิดสร้างสรรค์เป็นอันดับ 3 รวมถึงให้ความสำคัญกับความเป็นผู้นำและอิทธิพลทางสังคม ในอันดับที่ 5 ขณะที่ระดับโลกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 7 สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงยึดติดกับโครงสร้างการทำงานแบบดั้งเดิมที่เน้นลำดับชั้นการบังคับบัญชา

 

ในทางกลับกัน ระดับโลกให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและความคล่องตัว รวมถึงความอยากรู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิตมากกว่า สะท้อนถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีและรูปแบบการทำงาน นอกจากนี้ ทักษะด้านความเข้าใจตนเองและการตระหนักรู้ ที่ไทยจัดให้อยู่ในอันดับ 8 กลับไม่ติดอันดับ 10 ทักษะแรกของระดับโลก แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างไทยและนานาชาติ

 

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การแข่งกับเครื่องจักรหรือ AI แต่อยู่ที่การผสานจุดแข็งของมนุษย์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน สร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและทักษะมนุษย์ เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ทั้งก้าวหน้าและยั่งยืน

 

ภาพ: Collagery / Shutterstock

The post พลิกโฉมตลาดแรงงาน! 92 ล้านตำแหน่งโดน AI กลืน แต่ 170 ล้านตำแหน่งใหม่กำลังมา คุณพร้อมหรือยัง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินไซต์จาก World Economic Forum กับ 6 กลยุทธ์ที่นำธุรกิจเติบโตในยุค AI https://thestandard.co/wef-6-strategies-ai-era/ Thu, 23 Jan 2025 08:42:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1033530

“AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือสำหรับวิศวกร แต่มันจะเป็นสิ่งที่ […]

The post อินไซต์จาก World Economic Forum กับ 6 กลยุทธ์ที่นำธุรกิจเติบโตในยุค AI appeared first on THE STANDARD.

]]>

“AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือสำหรับวิศวกร แต่มันจะเป็นสิ่งที่สร้างนิยามใหม่ให้กับธุรกิจ และเราจำเป็นต้องปรับตัว มิเช่นนั้นก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” สัตยา นาเดลลา ซีอีโอของ Microsoft

 

ท่ามกลางแรงกระเพื่อมของการเปลี่ยนแปลงที่เทคโนโลยี AI กำลังสร้างให้กับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม สิ่งหนึ่งที่ World Economic Forum (WEF) มองว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้สำเร็จคือ ‘การยอมรับความเปลี่ยนแปลง’ ที่แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยโอกาสมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกเปลี่ยนเร็วและเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเทคโนโลยีใหม่ เกมภูมิรัฐศาสตร์แบบใหม่ พฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่เหมือนเดิม รวมถึงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่การเกิดขึ้นกับเหตุการณ์อันใดอันหนึ่ง แต่เป็นการเดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งผลักดันธุรกิจทุกด้านให้ต้องพร้อมปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่จุดตั้งต้นของซัพพลายเชน การพัฒนาสินค้าและบริการที่ทันความต้องการของลูกค้า ไปจนถึงแรงงานที่พร้อมสำหรับอนาคต

 

องค์กรที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต ตามมุมมองของ WEF คือองค์กรประเภทที่ถูกเรียกว่า ‘Perpetually Adaptive Enterprise’ ซึ่งเป็นองค์กรที่คิดกลยุทธ์ระยะยาว ไม่ใช่เพียงแค่รอดพ้นจากความไม่แน่นอนในระยะสั้น

 

นี่คือ 6 กลยุทธ์ที่ WEF แนะนำ เพื่อให้องค์กรนำไปเป็นแนวทางสำหรับการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

 


 

1. หากลยุทธ์ AI ที่มี ‘มนุษย์’ เป็นศูนย์กลาง

 

จากการศึกษาของ Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทผู้ให้บริการและคำปรึกษาในรายงาน AI for Business พบว่า 94% ของธุรกิจทั่วโลกนำ GenAI หรือโซลูชัน AI มาใช้ แต่มีเพียง 12% ของกรณีการใช้งานที่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ โดยส่วนใหญ่เน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

 

ผลสำรวจย้ำว่าองค์กรจะต้องให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก AI

 

2. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อน Net Zero

 

รายงานล่าสุดจากกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) แสดงภาพที่ค่อนข้างน่ากังวล เพราะเพียงแค่ 17% ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ดำเนินไปตามแผน ขณะที่ความแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น

 

องค์กรที่ควรปรับใช้เครื่องมือดิจิทัลด้านความยั่งยืนเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น อุปกรณ์ Internet of Things (IoT) สำหรับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ความโปร่งใสในซัพพลายเชน และการติดตามการปล่อยมลพิษด้วย AI หรือการใช้บล็อกเชนติดตาม Carbon Credit

 

เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ และสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้น

 

3. เตรียมซัพพลายเชนธุรกิจให้พร้อมด้วยเทคโนโลยี

 

ซัพพลายเชนของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจะมีศักยภาพในการตอบสนองได้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากกว่า

 

การวิเคราะห์ข้อมูลชุดใหญ่ (Big Data Analytics) ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร ด้วยความช่วยเหลือจาก AI และ Machine Learning จะสามารถให้อินไซต์เชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานได้ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรคาดการณ์ความเสี่ยงและตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและมีหลักการ

 

4. ปลดงานซ้ำซ้อนออกจากพนักงานด้วยการปรับใช้ AI

 

WEF มองว่าในอีก 10 ปี มูลค่าของระบบอัตโนมัติในตลาดโลกจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.34 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 5.3 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2033

 

ธุรกิจที่นำ AI, Machine Learning และระบบโรโบติกส์อัตโนมัติ (RPA) มาใช้ในการทำงานของตน จะสามารถลดงานซ้ำซ้อน ปรับกระบวนการให้เหมาะสม และลดการพึ่งพาของมนุษย์ในการกำกับทุกขั้นตอน

 

5. ‘ทักษะดิจิทัล’ การเตรียมความพร้อมของแรงงานอนาคต

 

งานวิจัยของ WEF ชี้ว่า ผู้นำองค์กรเกือบครึ่งเชื่อในผลกระทบของ AI ที่มีแนวโน้มจะมากกว่าหรือเทียบเท่ากับการมาของอินเทอร์เน็ต

 

ผู้นำองค์กรหลายคนเชื่อว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า พนักงานส่วนใหญ่ของพวกเขาจะใช้ Generative AI ในการทำงานแต่ละวัน

 

เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้นำธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสำหรับการพัฒนาทักษะใหม่ และการยกระดับทักษะของพนักงาน

 

6. พลิกโฉมธุรกิจด้วยเทคโนโลยีในยุคแห่ง ‘ปัญญา(ประดิษฐ์)’

 

เทคโนโลยีดิจิทัลในยุคแห่งปัญญา (Intelligent Age) ให้โอกาสมหาศาลกับธุรกิจในการพัฒนาแนวทางการทำงาน โดยธุรกิจควรพิจารณาละทิ้งแนวคิดเดิม และหาประโยชน์จากจุดแข็งในองค์กรตนเอง

 

เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้าง ทดลอง และปรับปรุงนวัตกรรมได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น WEF พบว่าองค์กรที่นำเทคโนโลยีมาใช้สามารถทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่ง และเติบโตเร็วได้กว่า 2.8 เท่าเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ

 

การหาทางปรับใช้กลยุทธ์ทั้ง 6 นี้จะหนุนให้องค์กรปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน ในขณะที่เติบโตได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

อ้างอิง:

The post อินไซต์จาก World Economic Forum กับ 6 กลยุทธ์ที่นำธุรกิจเติบโตในยุค AI appeared first on THE STANDARD.

]]>