Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 19 Dec 2025 08:20:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือ ‘คู่คิด’! Microsoft เผยเทรนด์ AI ปี 2569 เปลี่ยนโลกสู่ยุค ‘Agentic AI’ ทำงานช่วยมนุษย์ได้จริง https://thestandard.co/microsoft-agentic-ai-partner-2026/ Fri, 19 Dec 2025 08:20:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1156404 ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือ ‘คู่คิด’ Microsoft เผยเทรนด์ AI ปี 2569 เปลี่ยนโลกสู่ยุค ‘Agentic AI’ ทำงานช่วยมนุษย์ได้จริง

ไมโครซอฟท์ได้ออกมาเปิดเผยถึงเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที […]

The post ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือ ‘คู่คิด’! Microsoft เผยเทรนด์ AI ปี 2569 เปลี่ยนโลกสู่ยุค ‘Agentic AI’ ทำงานช่วยมนุษย์ได้จริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือ ‘คู่คิด’ Microsoft เผยเทรนด์ AI ปี 2569 เปลี่ยนโลกสู่ยุค ‘Agentic AI’ ทำงานช่วยมนุษย์ได้จริง

ไมโครซอฟท์ได้ออกมาเปิดเผยถึงเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในปี 2569 ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่เทคโนโลยีจะก้าวข้ามจากการเป็นเพียงเครื่องมือทุ่นแรง ไปสู่การเป็น ‘คู่คิด’ หรือพันธมิตรที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงเทคโนโลยี แต่จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งภาคธุรกิจ ชีวิตประจำวัน และการแก้ไขปัญหาสำคัญระดับโลก

 

แนวโน้มหลักที่กำลังจะเกิดขึ้นคือการที่ AI มุ่งเน้นไปที่การสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง (Real-world Impact) โดยจะเข้าไปยกระดับศักยภาพการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การแพทย์, การพัฒนาซอฟต์แวร์, ควอนตัมคอมพิวติ้ง ไปจนถึงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ความก้าวหน้านี้จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดเดิมๆ และนำไปสู่การค้นพบใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วและแม่นยำยิ่งกว่าเดิม

 

หนึ่งในบทบาทที่น่าจับตามองที่สุดคือการใช้ AI เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไมโครซอฟท์ได้พัฒนานวัตกรรมอย่าง ‘Aurora’ ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่มีความสามารถในการพยากรณ์สภาพอากาศและเหตุการณ์ทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ช่วยให้มนุษย์สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที

 

เทคโนโลยีดังกล่าวยังรวมถึงการพัฒนาระบบตรวจจับน้ำท่วมด้วยภาพเรดาร์จากดาวเทียมที่สามารถทะลุทะลวงผ่านเมฆและทำงานได้แม้ในเวลากลางคืน ทำให้นักวิจัยสามารถระบุพื้นที่เสี่ยงและประเมินผลกระทบได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกร ปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน และลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน

 

นอกจากนี้ AI ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโครงการอย่าง ‘MatterGen’ และ ‘MatterSim’ ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI อัจฉริยะที่ช่วยเร่งกระบวนการค้นพบวัสดุใหม่ๆ สำหรับการดักจับคาร์บอนและการพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานสะอาด เพื่อช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรโลกอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

ในมิติของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญผ่าน 7 เทรนด์หลัก เริ่มต้นจากการที่ ‘AI Agent’ จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานดิจิทัลที่ช่วยจัดการงานซ้ำซ้อนและข้อมูลมหาศาล เพื่อเปิดทางให้มนุษย์ได้ใช้เวลากับงานเชิงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ โดยจะมาพร้อมกับมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่เข้มงวดเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง

 

ด้านวงการแพทย์ AI จะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงผู้ช่วยวินิจฉัย ไปสู่การเป็นเครื่องมือคัดกรองโรคและวางแผนการรักษาที่แม่นยำ ตัวอย่างเช่น โมเดล ‘BioEmu-1’ ที่ช่วยพัฒนายา หรือ ‘RAD-DINO’ ที่วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ได้อย่างละเอียด ซึ่งจะช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์และแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนหมอทั่วโลก รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ

 

สำหรับวงการวิจัย AI จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ โดยสามารถร่วมสร้างสมมติฐานและควบคุมการทดลองในสาขาฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา ไปจนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ชาญฉลาดขึ้นด้วยระบบ ‘Superfactories’ ที่กระจายตัวทั่วโลก เพื่อบริหารจัดการพลังประมวลผลให้คุ้มค่าและยั่งยืน

 

ในส่วนของการพัฒนาซอฟต์แวร์ AI จะก้าวข้ามการเข้าใจเพียงบรรทัดโค้ด ไปสู่การเข้าใจบริบทและความสัมพันธ์ของระบบทั้งหมด หรือที่เรียกว่า ‘Repository Intelligence’ ซึ่งจะช่วยให้คำแนะนำและแก้ไขปัญหาได้ ควบคู่ไปกับความก้าวหน้าของควอนตัมคอมพิวติ้งที่ผสานเข้ากับ AI จนเกิดเป็น ‘Hybrid Computing’

 

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และตลาดใหม่ กล่าวเสริมว่า “ในปี 2569 เราจะเห็น AI เข้ามามีบทบาทจริงในการปลดล็อกข้อจำกัดและสร้างโอกาสใหม่ๆ อย่างมหาศาล สะท้อนให้เห็นว่า AI จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความรับผิดชอบและสร้างผลกระทบเชิงบวกที่เป็นประโยชน์กับทุกคนได้อย่างแท้จริง”

 

ข้อมูลจากการใช้งาน ‘Copilot’ ในปี 2025 ยังชี้ให้เห็นว่าผู้คนเริ่มมอง AI เป็นมากกว่าเครื่องมือ แต่เป็น ‘เพื่อนคู่คิดดิจิทัล’ ที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องตั้งแต่สุขภาพไปจนถึงความสัมพันธ์ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นและการปรับตัวของมนุษย์ในการใช้ชีวิตร่วมกับปัญญาประดิษฐ์อย่างกลมกลืน ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีของการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งเทคโนโลยี

 

ภาพ: AntonKhrupinArt / Shutterstock

The post ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือ ‘คู่คิด’! Microsoft เผยเทรนด์ AI ปี 2569 เปลี่ยนโลกสู่ยุค ‘Agentic AI’ ทำงานช่วยมนุษย์ได้จริง appeared first on THE STANDARD.

]]>
โค่นแชมป์ไก่ทอด! LINE MAN เผย ‘ส้มตำปูปลาร้า’ ยืนหนึ่งเมนูยอดฮิตปี 2025 กวาด 8 ล้านจาน ย้ำชัดคนไทยขาดแซ่บไม่ได้ https://thestandard.co/line-man-somtum-top-menu-2025/ Fri, 19 Dec 2025 05:12:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1156323 โค่นแชมป์ไก่ทอด LINE MAN เผย ‘ส้มตำปูปลาร้า’ ยืนหนึ่งเมนูยอดฮิตปี 2025 กวาด 8 ล้านจาน ย้ำชัดคนไทยขาดแซ่บไม่ได้

จากการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของ LINE MAN แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิ […]

The post โค่นแชมป์ไก่ทอด! LINE MAN เผย ‘ส้มตำปูปลาร้า’ ยืนหนึ่งเมนูยอดฮิตปี 2025 กวาด 8 ล้านจาน ย้ำชัดคนไทยขาดแซ่บไม่ได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โค่นแชมป์ไก่ทอด LINE MAN เผย ‘ส้มตำปูปลาร้า’ ยืนหนึ่งเมนูยอดฮิตปี 2025 กวาด 8 ล้านจาน ย้ำชัดคนไทยขาดแซ่บไม่ได้

จากการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของ LINE MAN แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีชั้นนำ ซึ่งได้วิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคจากฐานผู้ใช้งานกว่า 10 ล้านคนและร้านอาหารกว่า 7 แสนร้านทั่วประเทศ ทำให้เห็นภาพรวมเทรนด์การกินของคนไทยในปี 2025 ที่มีความน่าสนใจและเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคม โดยพบว่ารสนิยมหลักของคนไทยยังคงยึดติดกับรสชาติที่จัดจ้าน แต่ก็พร้อมเปิดรับความแปลกใหม่ที่เข้ามาผสมผสาน

 

ความโดดเด่นที่สุดในปีนี้คือเมนูยอดนิยมตลอดกาลอย่าง ‘ส้มตำปูปลาร้า’ ที่สามารถครองแชมป์ยอดสั่งสูงสุดด้วยจำนวนกว่า 8 ล้านจานทั่วประเทศ เอาชนะคู่แข่งสำคัญอย่างไก่ทอดไปได้อย่างเด็ดขาด สิ่งนี้ยืนยันได้ว่ารสชาติความแซ่บยังคงเป็น ‘DNA’ ที่ฝังลึกอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ความต้องการอาหารรสจัดจ้านก็ยังคงเป็นปัจจัยหลักในการเลือกบริโภค

 

สอดคล้องกับข้อมูลการค้นหาบนแพลตฟอร์มที่พบว่าคำค้นหาในหมวดหมู่ส้มตำ ยำ และหม่าล่า มียอดรวมพุ่งสูงถึง 16 ล้านครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการลิ้มรสความเผ็ดร้อนที่ยังคงครองใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เมนูอาหารจานเดียวอื่นๆ เช่น ข้าวผัด, ข้าวมันไก่ และกะเพราหมูกรอบ ก็ยังคงติดอันดับเมนูยอดนิยมที่คนไทยสั่งกินเป็นประจำในชีวิตประจำวันเพื่อความอิ่มท้อง

 

ในฝั่งของเครื่องดื่มเกิดความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามอง เมื่อ ‘มัตจะ’ กลายเป็นเครื่องดื่มที่มาแรงที่สุดแห่งปีด้วยยอดสั่งที่เติบโตทะลุ 6.5 ล้านแก้ว คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึง 300% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ทำให้มัตจะถูกยกสถานะให้เป็นเครื่องดื่มแบบ ‘Affordable Luxury’ หรือความหรูหราที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล

 

กระแสความนิยมของมัตจะยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาพรวมของตลาดเครื่องดื่ม ทำให้เมนู ‘ชาเขียวนมเย็น’ ก้าวขึ้นมาครองแชมป์ยอดสั่งสูงสุดแซงหน้ากาแฟดำ สาเหตุสำคัญมาจากราคาของชาเขียวนมที่ย่อมเยากว่ามัตจะเกรดพรีเมียม แต่ยังให้สีสันและรสชาติที่ใกล้เคียงกัน จึงกลายเป็นตัวเลือกทดแทนที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในวงกว้างที่ต้องการความสดชื่นในราคาประหยัด

 

ขณะเดียวกัน ตลาดชาไทยก็มีการยกระดับไปสู่ความเป็นพรีเมียมและ Specialty มากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เทียบเท่ากับกาแฟ Specialty การเน้นคัดสรรแหล่งปลูกและการนำเสนอกลิ่นรสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจชาไทยคุณภาพสูงมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่สำหรับร้านเครื่องดื่มที่ต้องการสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

 

นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ยังมีเมนูม้ามืดที่เติบโตอย่างน่าสนใจ ได้แก่ ชิโอะปังหรือขนมปังเกลือ ที่มีร้านเปิดใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 2,000 ร้าน ด้วยจุดเด่นของรสชาติที่เข้าใจง่ายและความหอมเนย รวมถึงไก่จ๊อที่กลายเป็นเมนูยอดนิยมจากความสะดวกในการรับประทาน จะกินเล่นหรือกินกับข้าวก็เข้ากันได้ดี ตอบโจทย์วิถีชีวิตที่เร่งรีบของคนเมืองที่ต้องการความรวดเร็ว

 

เมื่อมองในมุมของเศรษฐกิจและปากท้อง เมนูข้าวแกงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็น ‘Fast Food’ แบบไทยที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วยยอดสั่งรวมทั้งปีทะลุ 65 ล้านจาน เติบโตขึ้น 8% จากปีก่อน ปัจจุบันร้านข้าวแกงมีสัดส่วนมากกว่า 10% ของร้านอาหารทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการรายย่อยได้ปรับตัวเข้าสู่ระบบเดลิเวอรีมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด

 

ความสำเร็จของร้านข้าวแกงมาจากปัจจัยเรื่องความสะดวกรวดเร็วและราคาที่เข้าถึงง่าย ทำให้คนไทยสามารถบริโภคได้ทุกมื้อโดยไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายมากนัก โดยเมนูที่ขายดีที่สุดคือหมูทอดและหมูก้อนทอด ตามมาด้วยแกงพื้นฐานอย่างไข่พะโล้และแกงเขียวหวาน ซึ่งเป็นเมนูที่คุ้นเคยและให้ความรู้สึกเหมือนรับประทานอาหารรสมือแม่ที่บ้าน

 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ทางธุรกิจที่น่าสนใจคือการเติบโตของไอศกรีมซันเดย์ ซึ่งได้รับความนิยมสูงจากการทำราคาที่เข้าถึงง่ายของร้านแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ กลยุทธ์ด้านราคานี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการดึงดูดลูกค้าในยุคที่ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย แต่ยังคงต้องการความสุขเล็กๆ น้อยๆ จากของหวานในชีวิตประจำวันเพื่อเติมเต็มความสดชื่น

 

ภาพรวมของเทรนด์อาหารในปี 2025 จึงเป็นการผสมผสานระหว่างความต้องการพื้นฐานด้านรสชาติที่จัดจ้าน และการแสวงหาความแปลกใหม่ในราคาที่จับต้องได้ ผู้ประกอบการร้านอาหารจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ หรือการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อให้สามารถนำเสนอเมนูที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค

The post โค่นแชมป์ไก่ทอด! LINE MAN เผย ‘ส้มตำปูปลาร้า’ ยืนหนึ่งเมนูยอดฮิตปี 2025 กวาด 8 ล้านจาน ย้ำชัดคนไทยขาดแซ่บไม่ได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อคนเอียนเนื้อหาที่สร้างโดย AI ทำไมปี 2026 อาจเป็นปีแห่ง Anti-AI Marketing https://thestandard.co/anti-ai-marketing-2026/ Wed, 17 Dec 2025 10:57:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1155776 เมื่อคนเอียนเนื้อหาที่สร้างโดย AI ทำไมปี 2026 อาจเป็นปีแห่ง Anti-AI Marketing

อัลลิสัน มอร์โรว์ (Allison Morrow) นักเขียนอาวุโสของ CN […]

The post เมื่อคนเอียนเนื้อหาที่สร้างโดย AI ทำไมปี 2026 อาจเป็นปีแห่ง Anti-AI Marketing appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อคนเอียนเนื้อหาที่สร้างโดย AI ทำไมปี 2026 อาจเป็นปีแห่ง Anti-AI Marketing

อัลลิสัน มอร์โรว์ (Allison Morrow) นักเขียนอาวุโสของ CNN Business ได้ตั้งข้อสังเกตในบทความล่าสุดของเธอว่า ปี 2026 อาจกลายเป็นปีแห่ง Anti-AI Marketing หลังจากที่ผู้คนต้องเผชิญกับเนื้อหาคุณภาพต่ำที่สร้างขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์มาสักระยะหนึ่งแล้ว

 

ในปัจจุบัน มันยากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะหลีกหนีจากสิ่งที่เรียกว่า ‘Slop’ หรือเนื้อหาที่ AI ผลิตออกมาซึ่งได้แทรกซึมเข้ามาอยู่ในสไลด์งานของเพื่อนร่วมงาน, หน้าฟีดโซเชียลมีเดีย, สำนักข่าว หรือแม้กระทั่งในประกาศขายอสังหาริมทรัพย์

 

ความแพร่หลายนี้ทำให้บรรณาธิการของ Merriam-Webster เลือกคำว่า Slop ให้เป็นคำแห่งปี 2025 โดยระบุความหมายไว้ว่า “Slop ไหลซึมเข้าไปในทุกสิ่ง เช่นเดียวกับเมือก โคลนตม และสิ่งปฏิกูล คำนี้ให้ความรู้สึกถึงเสียงเปียกแฉะของสิ่งที่คุณไม่อยากจะสัมผัส” ด้วยเหตุนี้ มอร์โรว์จึงทำนายว่าเทรนด์ใหญ่ที่จะมาถึงคือการตลาดที่เน้นความเป็น ‘มนุษย์ 100%’

 

มอร์โรว์อธิบายว่า แม้คำว่า AI Slop มักจะทำให้เรานึกถึงภาพแปลกๆ ที่ดูไม่มีพิษภัยอย่าละครแมวตาโต แต่ในความเป็นจริง ภาพเหล่านี้กำลังมีความซับซ้อนมากขึ้น จนเริ่มทำลายความเชื่อใจของผู้คน แม้แต่ในกลุ่มคนที่โตมากับอินเทอร์เน็ตและมั่นใจว่าตนเองดูออกว่าอันไหนของจริงหรือของปลอม

 

การเลื่อนดู TikTok ในตอนนี้จึงเหมือนกับการทำบททดสอบว่าคุณจะแยกแยะของจริงได้หรือไม่ คุณอาจจะเผลอกดหัวใจให้วิดีโอสัตว์น่ารักๆ ไปโดยไม่รู้ตัวว่านั่นคือของปลอม และเมื่อมารู้ทีหลัง มันคือความรู้สึกแย่ๆ ที่โดนหลอก ซึ่งความรู้สึกนี้เองที่เริ่มทำให้เกิดกระแสต่อต้านขึ้นมา

 

ความเคลื่อนไหวนี้เห็นได้ชัดจาก iHeartMedia ยักษ์ใหญ่ด้านวิทยุและพอดแคสต์จากซานอันโตนิโอ ที่เพิ่งเปิดตัวสโลแกน ‘การันตีความเป็นมนุษย์’ โดยสัญญาว่าจะไม่ใช้นักจัดรายการหรือเปิดเพลงที่สร้างโดย AI ซึ่งผลวิจัยภายในของบริษัทพบว่า 90% ของผู้ฟัง แม้แต่คนที่ใช้เครื่องมือ AI เอง ก็ยังต้องการสื่อที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์

 

บ็อบ พิตต์แมน (Bob Pittman) ซีอีโอของ iHeartMedia กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “สิ่งสำคัญสำหรับเราในฐานะนักการตลาดคือต้องจำไว้ว่า เรากำลังอยู่ในจุดที่ละเอียดอ่อนมากท่ามกลางช่วงเวลาที่ผันผวน ทั้งในอเมริกาและทั่วโลก ผู้บริโภคไม่ได้มองหาแค่ความสะดวกสบาย แต่พวกเขากำลังค้นหาความหมาย”

 

ไม่ใช่แค่สื่อเสียงเท่านั้น The Tyee เว็บไซต์ข่าวอิสระในแคนาดาก็ประกาศนโยบายไม่ใช้ AI ในงานข่าว สวนทางกับสื่อใหญ่อย่าง Washington Post ที่รีบนำ AI มาใช้จนเกิดข้อผิดพลาดและถูกวิจารณ์

 

ส่วนในฮอลลีวูด วินซ์ กิลลิแกน ผู้สร้างซีรีส์ Breaking Bad ก็ได้ใส่ข้อความในเครดิตซีรีส์ Pluribus ของ Apple TV ว่า “รายการนี้สร้างโดยมนุษย์” เพื่อสื่อสารจุดยืนกับผู้ชม ในขณะเดียวกัน ‘ทิลลี นอร์วูด’ (Tilly Norwood) นักแสดงดิจิทัลที่สร้างด้วย AI ก็ถูกต่อต้านจากหลายฝ่าย แม้ว่าผู้สร้างจะบอกว่านี่เป็นเพียงการทดลอง ไม่ได้จะมาแทนที่นักแสดงมนุษย์ก็ตาม

 

ในขณะที่แพลตฟอร์ม Pinterest ที่เคยเป็นแหล่งรวมแรงบันดาลใจ กลับสร้างความไม่พอใจให้ผู้ใช้ประจำ เพราะเริ่มใส่ฟีเจอร์ AI เข้ามามากเกินไป และในนิวยอร์ก ป้ายโฆษณาอุปกรณ์ AI แบบสวมใส่ที่ชื่อ ‘Friend’ ก็ตกเป็นเป้าของการถูกเขียนข้อความทับด้วยความไม่พอใจ เช่น AI ไม่ใช่เพื่อนของคุณ และ หันไปคุยกับเพื่อนบ้านบ้างเถอะ

 

ความเบื่อหน่ายนี้รุนแรงถึงขั้นที่มีศิลปินสร้างส่วนขยายเบราว์เซอร์ชื่อ ‘Slop Evader’ เพื่อกรองผลการค้นหาเว็บให้เหลือเฉพาะข้อมูลที่เกิดขึ้นก่อนเดือนพฤศจิกายน 2022 หรือช่วงก่อนที่ ChatGPT จะเปิดตัว เพื่อหลีกหนีจากเนื้อหาที่สร้างโดย AI

 

มอร์โรว์ทิ้งท้ายว่า แม้ภาคธุรกิจและวอลล์สตรีทจะยังคงเชิดชูว่า AI คืออนาคตที่จะมาเพิ่มผลผลิต (Productivity) และความคิดสร้างสรรค์ แต่ยิ่งพวกเขาพยายามยัดเยียดสิ่งนี้มากเท่าไร คนทั่วไปกลับยิ่งมองว่ามันเป็น ‘กับดัก’ มากขึ้นเท่านั้น เพราะประสบการณ์ที่เราเจอมามีทั้งเรื่องสนุกและเรื่องแย่ๆ ปนเปกันไป

 

จริงอยู่ที่การสั่ง Sora ให้สร้างวิดีโอหมาของเราบินกับซานตาคลอสเหนือท้องฟ้าปารีส หรือให้แชตบอตช่วยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว แต่มันก็เป็นเครื่องมือที่ขยายผลข้อมูลเท็จได้อย่างรวดเร็ว (เช่นกรณีบอท Grok ของ xAI ในเหตุกราดยิงที่ชายหาด Bondi Beach ) และอาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิต

 

ในท้ายที่สุด ผู้บริโภคและคนทำงานสร้างสรรค์อาจจะเริ่มยอมแพ้กับความวุ่นวายทางดิจิทัลเหล่านี้ หรืออย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ยังคงชอบและให้คุณค่ากับสิ่งที่ยังสร้างขึ้นด้วยมือของมนุษย์มากกว่า

 

ภาพ: MR.DEEN / Shutterstock

อ้างอิง:

The post เมื่อคนเอียนเนื้อหาที่สร้างโดย AI ทำไมปี 2026 อาจเป็นปีแห่ง Anti-AI Marketing appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCBX ยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรม AI แห่งอนาคต รับมือยุค Post-Quantum พร้อมปูทางสู่โลกการเงินแห่งอนาคต https://thestandard.co/scbx-ai-patents-post-quantum/ Wed, 17 Dec 2025 08:59:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1155736 SCBX ยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรม AI แห่งอนาคต รับมือยุค Post-Quantum พร้อมปูทางสู่โลกการเงินแห่งอนาคต

SCBX ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการยื่นจดสิทธิบัตร 3 น […]

The post SCBX ยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรม AI แห่งอนาคต รับมือยุค Post-Quantum พร้อมปูทางสู่โลกการเงินแห่งอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCBX ยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรม AI แห่งอนาคต รับมือยุค Post-Quantum พร้อมปูทางสู่โลกการเงินแห่งอนาคต

SCBX ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรมหลักที่พัฒนาโดย SCBX R&D and Innovation Lab ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างมีความรับผิดชอบ ปลอดภัย และโปร่งใส พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมทางเทคโนโลยีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุค ‘Post-Quantum’ ที่กำลังจะมาถึง

 

สิทธิบัตรทั้ง 3 ฉบับครอบคลุมมิติสำคัญในการดำเนินธุรกิจการเงิน ได้แก่ การคุ้มครองผู้บริโภคผ่านเทคโนโลยีการแปลงเสียงเพื่อตรวจสอบคุณภาพบริการ การยกระดับศักยภาพบุคลากรผ่านระบบจำลองสถานการณ์เสมือนจริง และการวางกรอบการประเมินเครดิตรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

 

กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร Chief Innovation Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การยื่นจดสิทธิบัตรเหล่านี้สะท้อนความมุ่งมั่นของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ในการสร้างรากฐานทรัพย์สินทางปัญญาที่แข็งแกร่งและพร้อมรับอนาคต อันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า หน่วยงานกำกับดูแล และระบบนิเวศทางการเงิน เรามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่เพียงแต่สร้างสรรค์ แต่ยังมีความรับผิดชอบและปลอดภัย

 

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่อุตสาหกรรมการเงินกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ขับเคลื่อนด้วย AI และตระหนักถึงภัยจากควอนตัมมากขึ้น ความท้าทายเหล่านี้ทำให้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ต้องคิดล่วงหน้าและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่ายในระยะยาว เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของเราจะมีความยืดหยุ่นและรองรับความเปลี่ยนแปลงได้” กวีวุฒิกล่าวเสริม

 

ดร.ทุตานนท์ สินธุประสิทธิ์ Head of R&D บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ที่ SCBX R&D เรามองว่าการจดสิทธิบัตรเป็นมากกว่าการคุ้มครอง แต่เป็นหลักฐานของการลงทุนระยะยาวในการสร้างเครื่องยนต์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยอย่างแท้จริงสำหรับกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในเวทีระดับสากล”

 

ดร.ทุตานนท์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “ตั้งแต่ระบบ AI ที่ตรวจสอบการโต้ตอบกับลูกค้าไปจนถึงการประเมินเครดิตที่ป้องกันภัยจากควอนตัม สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสถาบันการเงินไทยสามารถสร้างเทคโนโลยีระดับโลกที่ทนทานต่อการทดสอบของกาลเวลา และพร้อมแข่งขันในเวทีสากล รวมถึงยกระดับตำแหน่งของประเทศไทยด้านเทคโนโลยีทางการเงินในภูมิภาคอีกด้วย”

 

วีรินท์ ฉันทโรจน์ Head of Innovation บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การจดสิทธิบัตรครั้งนี้สะท้อนถึงนวัตกรรมที่แท้จริงภายในกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทีมวิศวกร หน่วยงานธุรกิจ และทีมหน้างาน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนปฏิบัติงานจริง โดยเปลี่ยนปัญหาหน้างานให้กลายเป็นโอกาสในการพัฒนาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพ

 

“โซลูชัน AI ตั้งแต่การกำกับดูแลการบริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม ไปจนถึงการประเมินความเสี่ยงและให้สินเชื่ออย่างปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ และยังช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ในการขยายผล AI ให้นำไปใช้ให้เกิดได้ทั่วทั้งกลุ่ม ความร่วมมือที่แข็งแกร่งทำให้เราสามารถวางรากฐานสำหรับวงจรนวัตกรรมที่เร็วและแปลงไอเดียล้ำสมัยให้กลายเป็นเทคโนโลยีที่กำหนดอนาคต” วีรินท์กล่าวปิดท้าย

 

สำหรับนวัตกรรมแรกที่มีการยื่นจดสิทธิบัตรคือ Voice-to-Understanding ซึ่งเป็นระบบแปลงบทสนทนาระหว่างลูกค้าและพนักงานให้เป็นข้อความ โดยใช้เทคโนโลยีการรู้จำเสียงอัตโนมัติ (ASR) ที่ได้รับการปรับแต่งโมเดลให้รองรับภาษาไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้การจับใจความมีความแม่นยำสูงสุดในบริบทของการสนทนาทางธุรกิจ

 

ระบบดังกล่าวทำงานร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย LLM เพื่อช่วยตรวจจับพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายการละเมิดกฎระเบียบ หรือการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ซึ่งเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้งานจริงแล้วที่บริษัท AutoX และ CardX เพื่อช่วยตรวจสอบคุณภาพการให้บริการแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถติดตามมาตรฐานการขายของพนักงานได้รวดเร็วและสม่ำเสมอ

 

นวัตกรรมที่สองคือ Voice-to-Voice AI Trainer ระบบฝึกอบรมพนักงานรูปแบบใหม่ที่ใช้ AI เข้ามาจำลองสถานการณ์การสนทนา เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance) ของพนักงานส่วนหน้า โดยระบบมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนคำถามและประเมินความถูกต้องของข้อมูลแบบไดนามิกตามสถานการณ์จริง

 

เทคโนโลยีนี้ช่วยยกระดับโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับ Relationship Manager ตัวแทน และทีมขายของบริษัทในเครือ ให้มีความพร้อมในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ลูกค้า ซึ่งถือเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยปิดช่องว่างด้านทักษะบุคลากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าในวงกว้างได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

นวัตกรรมสุดท้ายคือ Distributed Credit Scoring ซึ่งเป็นกรอบการประเมินเครดิตที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) และ Zero-Knowledge Proof (ZKP) เพื่อรองรับการทำธุรกรรมและการประเมินความเสี่ยงร่วมกันระหว่างสถาบันการเงินและธุรกิจ Non-bank เช่น กลุ่มโทรคมนาคมหรือค้าปลีก

 

จุดเด่นของนวัตกรรมนี้คือความสามารถในการคำนวณคะแนนเครดิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องมีการส่งข้อมูลดิบของลูกค้าระหว่างองค์กร ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล พร้อมทั้งเสริมเกราะป้องกันภัยคุกคามจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต นับเป็นการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลที่มีความปลอดภัยขั้นสูง

 

กลุ่ม SCBX วางแผนที่จะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอสิทธิบัตรอย่างต่อเนื่อง โดยในระยะต่อไปจะมุ่งเน้นการขยายขนาดการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ครอบคลุมทุกระดับขององค์กร และเร่งนำนวัตกรรมที่คิดค้นได้ไปประยุกต์ใช้จริงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนกลุ่มเอสซีบีเอกซ์สู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงินในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน

The post SCBX ยื่นจดสิทธิบัตร 3 นวัตกรรม AI แห่งอนาคต รับมือยุค Post-Quantum พร้อมปูทางสู่โลกการเงินแห่งอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิกัดมูพุ่งกระฉูด! Grab เผย พระพิฆเนศ ห้วยขวาง ยอดเรียกรถโต 678% ส่วนส้มตำ ยังครองแชมป์ ยอดสั่ง 16 ล้านจาน https://thestandard.co/grab-ganesha-huai-khwang-somtam-16m/ Wed, 17 Dec 2025 08:31:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1155719 พิกัดมูพุ่งกระฉูด Grab เผย พระพิฆเนศ ห้วยขวาง ยอดเรียกรถโต 678% ส่วนส้มตำ ยังครองแชมป์ ยอดสั่ง 16 ล้านจาน

แกร็บ ประเทศไทย เผยอินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคแห่งปี 2025 ที […]

The post พิกัดมูพุ่งกระฉูด! Grab เผย พระพิฆเนศ ห้วยขวาง ยอดเรียกรถโต 678% ส่วนส้มตำ ยังครองแชมป์ ยอดสั่ง 16 ล้านจาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิกัดมูพุ่งกระฉูด Grab เผย พระพิฆเนศ ห้วยขวาง ยอดเรียกรถโต 678% ส่วนส้มตำ ยังครองแชมป์ ยอดสั่ง 16 ล้านจาน

แกร็บ ประเทศไทย เผยอินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคแห่งปี 2025 ที่สะท้อนจากพฤติกรรมการเดินทาง การท่องเที่ยว และการบริโภคอาหารผ่านแอปพลิเคชันตลอดปีที่ผ่านมา โดยพบว่าทั้งบริการเรียกรถและฟู้ดเดลิเวอรียังคงขยายตัว แม้ภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวจะเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนหลายด้าน

 

เริ่มจากฝั่งบริการเรียกรถผ่านแอป จุดหมายปลายทางยอดนิยมยังคงกระจุกตัวอยู่ในสนามบิน ตามด้วยสถานีขนส่ง และห้างสรรพสินค้า โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ขึ้นแท่นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ไอคอนสยาม และสยามพารากอน

 

รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างพระบรมมหาราชวัง ถนนข้าวสาร และเยาวราช ยังคงได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง และอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่มาแรงที่สุดแห่งปี ได้แก่ เทวาลัยพระพิฆเนศ บริเวณสี่แยกห้วยขวาง ซึ่งมียอดเรียกรถเติบโตสูงถึง 678% จากกระแสความนิยมของสายมูทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไหว้ขอพรด้านความสำเร็จและเสริมสิริมงคล

 

อย่างไรก็ตาม แม้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมจะชะลอตัว แต่บริการเรียกรถผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลยังคงเป็นตัวเลือกหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดย 5 สัญชาติที่ใช้บริการมากที่สุด ได้แก่ จีน, สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์, อังกฤษ และมาเลเซีย โดยเฉพาะช่วงเทศกาลโกลเด้นวีค หรือวันชาติจีน ระหว่างวันที่ 1-7 ตุลาคม 2568

 

พบว่ายอดใช้บริการของนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นเกือบ 50% จากช่วงปกติ และในช่วงเวลาเดียวกัน นักท่องเที่ยวจากประเทศจอร์เจียถูกจัดให้เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุด ด้วยยอดใช้บริการเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า

 

เมื่อมาดูในมิติของเมืองท่องเที่ยว นอกเหนือจากจังหวัดหลักอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ที่ยังคงครองอันดับต้นๆ ของการใช้บริการแล้ว จังหวัดเมืองรองยังได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง และมาตรการเที่ยวดีมีคืน โดย 5 จังหวัดเมืองรองที่มียอดเรียกรถสูงสุด ได้แก่ อุดรธานี, อุบลราชธานี, เชียงราย, พิษณุโลก และนครสวรรค์

 

ขณะที่จังหวัดนครนายก ถูกยกให้เป็นจังหวัดดาวรุ่งแห่งปี ด้วยยอดเรียกรถที่เติบโตมากกว่า 9 เท่า จากจุดเด่นด้านระยะทางที่เดินทางสะดวก ไปเช้าเย็นกลับได้ และมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติสำคัญ เช่น เขื่อนขุนด่านปราการชล, น้ำตกนางรอง, อุทยานวังตะไคร้ และทุ่งบัวแดง

 

แกร็บ ประเทศไทย ระบุว่า ปัจจัยด้านเทศกาลและอีเวนต์ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการกระตุ้นการเดินทาง โดยเทศกาลลอยกระทง โดยเฉพาะประเพณียี่เป็งในจังหวัดเชียงใหม่ มียอดเรียกรถเติบโตถึง 44% รองลงมาคือเทศกาลสงกรานต์

 

ขณะเดียวกัน คอนเสิร์ตและอีเวนต์ขนาดใหญ่ยังช่วยดันดีมานด์การเดินทางอย่างมีนัยสำคัญ จากคอนเสิร์ต BLACKPINK WORLD TOUR ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2568 ส่งผลให้ยอดเรียกรถไปยังสนามราชมังคลากีฬาสถานเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าจากช่วงปกติ

 

ด้านฝั่งบริการฟู้ดเดลิเวอรี อาหารไทยและกระแสไวรัลยังขับเคลื่อนการบริโภคอย่างชัดเจน โดยส้มตำยังคงครองตำแหน่งเมนูขายดีที่สุดของปี ด้วยยอดสั่งรวมกว่า 16 ล้านจาน โดยเฉพาะส้มตำปูปลาร้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด รองลงมาคือข้าวมันไก่ ด้วยยอดขายกว่า 15 ล้านจาน และตามด้วยลาบหมูมียอดขายกว่า 1 ล้านจาน

 

ต่อด้วยกลุ่มเครื่องดื่ม ชาเย็น ทั้งชาไทยและชานมไข่มุก ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ใหม่ แซงหน้าอเมริกาโนเย็น ด้วยยอดสั่งรวมกว่า 11 ล้านแก้ว จากกระแสไวรัลชาไทยของลิซ่าที่คอลแลบกับ Erawhon ภายใต้เมนู ‘Thai up the World by Lisa’ ขณะที่ชาเขียวรั้งอันดับสองด้วยยอดขายกว่า 9 ล้านแก้ว จากกระแสมัทฉะฟีเวอร์ที่ขยายตัวจากเครื่องดื่มสู่เบเกอรี ส่วนอเมริกาโนเย็นตกมาอยู่อันดับสาม ด้วยยอดสั่งกว่า 8 ล้านแก้ว

 

สำหรับเมนูดาวรุ่งแห่งปี คือ ชิโอะปัง หรือขนมปังเกลือ สร้างปรากฏการณ์ด้วยยอดขายที่เติบโตมากกว่า 36 เท่า ไม่เว้นแม้แต่ชาองุ่นเคียวโฮปั่นท็อปด้วยครีมชีส เป็นเครื่องดื่มที่เติบโตแรง ด้วยยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่า ส่วน แฮนด์โรล ก็กลายเป็นเมนูฮิตในกลุ่มฟู้ดดี้ ด้วยประสบการณ์โอมากาเสะในราคาที่เข้าถึงง่าย ส่งผลให้ยอดสั่งเติบโตมากกว่า 300%

 

นอกจากนี้ โครงการของภาครัฐอย่าง คนละครึ่งพลัส ช่วยกระตุ้นยอดขายร้านอาหารทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี โดยผู้บริโภคนิยมใช้ในมื้อกลางวัน ด้วยมูลค่าเฉลี่ย 80-120 บาทต่อออเดอร์ และกรุงเทพฯ ครองแชมป์การใช้งานสูงสุด ขณะที่ร้านอาหารที่ขายดีที่สุดผ่านแกร็บ ได้แก่ สยามกะเพราคาเฟ่ – บรรทัดทอง ซึ่งมียอดขายเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าปกติถึง 14 เท่า

 

ด้านกลยุทธ์การตลาด แกร็บ ประเทศไทย มองว่า การคอลแลบระหว่างแบรนด์ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสีสันให้ตลาด เพื่อรับมือกับเทรนด์การรับประทานอาหารที่ร้านมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผ่านการซื้อดีลส่วนลดและการจองร้านอาหารบนแพลตฟอร์ม โดยประเภทร้านยอดนิยม ได้แก่ บุฟเฟต์ ร้านปิ้งย่าง และร้านอาหารญี่ปุ่น

The post พิกัดมูพุ่งกระฉูด! Grab เผย พระพิฆเนศ ห้วยขวาง ยอดเรียกรถโต 678% ส่วนส้มตำ ยังครองแชมป์ ยอดสั่ง 16 ล้านจาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครองตลาด 42% ก็ไม่รอด! iRobot ยื่นล้มละลาย ปิดตำนานหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Roomba เตรียมเปลี่ยนมือสู่บริษัทจีน https://thestandard.co/irobot-roomba-bankruptcy-china/ Tue, 16 Dec 2025 13:50:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1155503 ครองตลาด 42% ก็ไม่รอด iRobot ยื่นล้มละลาย ปิดตำนานหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Roomba เตรียมเปลี่ยนมือสู่บริษัทจีน

iRobot บริษัทผู้ผลิตและเจ้าของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นชื่อดังแบร […]

The post ครองตลาด 42% ก็ไม่รอด! iRobot ยื่นล้มละลาย ปิดตำนานหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Roomba เตรียมเปลี่ยนมือสู่บริษัทจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครองตลาด 42% ก็ไม่รอด iRobot ยื่นล้มละลาย ปิดตำนานหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Roomba เตรียมเปลี่ยนมือสู่บริษัทจีน

iRobot บริษัทผู้ผลิตและเจ้าของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นชื่อดังแบรนด์ ‘Roomba’ ได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายตามมาตรา 11 (Chapter 11) ต่อศาลในรัฐเดลาแวร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันอาทิตย์ (14 ธ.ค.) ที่ผ่านมา โดยบริษัทเตรียมเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทเอกชนหลังจากกระบวนการเข้าซื้อกิจการโดย Picea Robotics เสร็จสิ้น ซึ่ง Picea เป็นบริษัทสัญชาติจีนและเป็นโรงงานคู่สัญญาหลักที่รับจ้างผลิตสินค้าให้กับ iRobot มาโดยตลอด

 

สถานการณ์ของบริษัทเข้าขั้นวิกฤตจากการแข่งขันที่รุนแรงและปัญหากำแพงภาษี แม้ในปี 2024 บริษัทจะมีรายได้รวมประมาณ 682 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 21,469 ล้านบาท) แต่ผลกำไรกลับลดลงอย่างมากจากการถูกแย่งชิงฐานลูกค้าโดยแบรนด์คู่แข่งจากจีนอย่าง Ecovacs Robotics ที่ทำราคาได้ต่ำกว่า

 

แม้ปัจจุบัน iRobot จะยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 42% ในสหรัฐฯ และ 65% ในญี่ปุ่น แต่การรักษาสถานะผู้นำตลาดทำให้บริษัทจำเป็นต้องลดราคาสินค้าลงเพื่อสู้กับคู่แข่ง และต้องลงทุนมหาศาลเพื่อยกระดับเทคโนโลยี ตามข้อมูลที่ระบุในเอกสารยื่นล้มละลาย ส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ มาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ยังซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง โดยเฉพาะการเก็บภาษี 46% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตหลักของ iRobot การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นถึง 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 724 ล้านบาท) ในปี 2025 และทำให้การวางแผนธุรกิจในอนาคตเป็นไปอย่างยากลำบาก

 

ก่อนหน้านี้ iRobot เคยมีความหวังที่จะฟื้นตัวผ่านการถูกเข้าซื้อกิจการโดย Amazon.com ด้วยมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 53,516 ล้านบาท) แต่ดีลดังกล่าวต้องล่มไปในปีที่แล้ว โดย Amazon ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะ ‘อุปสรรคทางกฎระเบียบที่มากเกินความจำเป็น’ หลังจากสหภาพยุโรปคัดค้านดีลนี้

 

ความล้มเหลวของดีล Amazon ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาระหนี้สินของ iRobot สาเหตุมาจากในช่วงที่รอการพิจารณาดีลซึ่งกินเวลานาน บริษัทจำเป็นต้องกู้เงินก้อนใหญ่ในปี 2023 มาเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ แต่เมื่อดีลล่มลงและไม่ได้รับเงินทุนจาก Amazon ตามที่คาดไว้ เงินกู้ก้อนนั้นจึงกลายเป็นหนี้สินคงค้างมูลค่ากว่า 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5,981 ล้านบาท) ที่บริษัทแบกรับไม่ไหว

 

เมื่อแผนการขายกิจการล้มเหลวและ iRobot เริ่มขาดสภาพคล่องในการชำระเงินค่าจ้างผลิตให้กับ Picea ทางบริษัทจีนรายนี้จึงแก้ปัญหาด้วยการเข้าซื้อหนี้ของ iRobot ต่อจากกลุ่มกองทุน Carlyle Group ทำให้ผู้ผลิตรายนี้กลายมาเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของ iRobot แทน

 

ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ Picea จะเข้ามาถือหุ้นทั้งหมดของบริษัท 100% โดยแลกกับการยกเลิกหนี้เงินกู้ 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้ค่าจ้างผลิตอีก 74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,329 ล้านบาท) ที่ iRobot ติดค้างอยู่ ส่วนเจ้าหนี้รายอื่นและซัพพลายเออร์จะได้รับชำระเงินเต็มจำนวนตามปกติ

 

ครั้งหนึ่งมูลค่าของ iRobot ที่เคยพุ่งสูงถึง 3.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.12 แสนล้านบาท) ในช่วงปี 2021 แต่ปัจจุบันประเมินว่าเหลือมูลค่าเพียงราว 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,407 ล้านบาท) เท่านั้น

 

แกรี่ โคเฮน ซีอีโอของ iRobot กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ธุรกรรมนี้จะช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเงินของเรา และจะช่วยให้เราดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง” โดยบริษัทยืนยันว่าระหว่างกระบวนการนี้ การใช้งานแอปพลิเคชัน, การบริการลูกค้า และการสนับสนุนสินค้าจะยังคงดำเนินไปตามปกติ

 

บริษัทคาดว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการล้มละลายภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2026 และจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นการปิดฉากยุคของผู้บุกเบิกวงการหุ่นยนต์ที่ก่อตั้งในปี 1990 โดยศิษย์เก่าจาก MIT และสร้างชื่อเสียงโด่งดังจากการเปิดตัว Roomba ในปี 2002 โดยหลังจากนี้ iRobot จะมุ่งเน้นการลดหนี้และฟื้นฟูธุรกิจภายใต้เจ้าของใหม่สัญชาติจีนต่อไป

 

หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 31.48 บาท ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2568

 

ภาพ : Karlis Dambrans / Shutterstock

อ้างอิง:

The post ครองตลาด 42% ก็ไม่รอด! iRobot ยื่นล้มละลาย ปิดตำนานหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Roomba เตรียมเปลี่ยนมือสู่บริษัทจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมดยุคเดาใจ! Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ https://thestandard.co/era-guessing-is-over-tinder/ Tue, 16 Dec 2025 13:03:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1155500 หมดยุคเดาใจ Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ

ภาพรวมของความสัมพันธ์ในปี 2569 หรือ 2026 กำลังจะเปลี่ยน […]

The post หมดยุคเดาใจ! Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมดยุคเดาใจ Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ

ภาพรวมของความสัมพันธ์ในปี 2569 หรือ 2026 กำลังจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคที่ความชัดเจนกลายเป็นหัวใจสำคัญ หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความสับสนและกระแสไวรัลอย่าง ‘Boyfriends Are Embarrassing’ ที่เคยมองว่าการมีความสัมพันธ์เป็นเรื่องน่าขัดเขิน ในปีที่จะถึงนี้ คนโสดรุ่นใหม่กำลังก้าวเข้ามานิยามความรักในรูปแบบที่จริงจังและจริงใจมากขึ้น โดยเน้นการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาและการแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริง เพื่อลดความซับซ้อนและสร้างความสัมพันธ์ที่จับต้องได้

 

ข้อมูลจาก Tinder แอปพลิเคชันหาคู่ระดับโลก ชี้ให้เห็นว่าปีหน้าจะเป็นปีของความสัมพันธ์ที่ไร้ความคลุมเครือ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความฉลาดทางอารมณ์ที่สูงขึ้น หากปีที่ผ่านมาคือการตั้งเป้าหมาย ปี 2569 จะเป็นปีที่ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ คนโสดจะเริ่มปรับจังหวะชีวิตให้ช้าลง เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของตัวเองและคู่เดทอย่างลึกซึ้ง โดยไม่เสียเวลากับการเดาใจหรือเล่นเกมความรู้สึกที่บั่นทอนจิตใจอีกต่อไป

 

เทรนด์แรกที่เด่นชัดที่สุดคือ ‘Clear-Coding’ หรือความชัดเจนในทุกมิติ คนโสดรุ่นใหม่จะไม่ทนนั่งเดาความรู้สึกหรือทำตัวลึกลับซับซ้อน แต่จะให้คุณค่ากับความซื่อสัตย์ทางอารมณ์เป็นอันดับแรก โดยสถิติระบุว่าผู้ใช้งานกว่า 64% ยกให้เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด และอีก 60% ต้องการการสื่อสารที่แสดงเจตนาชัดเจนตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะมองหาความสัมพันธ์ระยะยาวหรือเพียงแค่เพื่อนคุย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน

 

นอกจากความชัดเจนแล้ว เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ช่วยส่วนตัว โดยคนโสดถึง 76% ยอมรับว่าใช้ AI ช่วยออกแบบเส้นทางการออกเดท ตั้งแต่การขอไอเดียสถานที่เดท 39% การคัดเลือกรูปโปรไฟล์ที่ดีที่สุด 28% ไปจนถึงการช่วยเขียนประวัติส่วนตัว 28% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการนำเสนอตัวตนที่ดีที่สุด

 

ในด้านทัศนคติ เทรนด์ ‘Hot-Take Dating’ สะท้อนให้เห็นว่าคนโสดรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการมีจุดยืนที่ชัดเจน โดย 37% ระบุว่าการมีค่านิยมร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็น และ 41% เลือกที่จะไม่ออกเดทกับคนที่มีมุมมองทางการเมืองแตกต่างกัน เพราะเชื่อว่าหลักการพื้นฐานที่ตรงกันคือรากฐานของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน และช่วยลดความขัดแย้งในอนาคต

 

ประเด็นทางสังคมกลายเป็นตัวกรองสำคัญในการคัดเลือกคู่เดท ข้อมูลเชิงลึกพบว่าปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ไปต่อไม่ได้ หรือ ‘Dealbreakers’ ได้แก่ การเหยียดเชื้อชาติ 37% มุมมองเรื่องครอบครัวที่ไม่ตรงกัน 36% และทัศนคติต่อสิทธิของกลุ่มเพศหลากหลาย 32% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้มองหาแค่ความเข้ากันได้ทางไลฟ์สไตล์ แต่ยังมองลึกถึงระบบคุณค่าและความเชื่อที่อยู่ภายในใจ

 

อีกหนึ่งพฤติกรรมที่คนโสดให้ความสำคัญอย่างมากคือมารยาททางสังคม โดย 54% ระบุชัดเจนว่าพฤติกรรมที่รับไม่ได้ที่สุดคือการพูดจาหยาบคายหรือการเหวี่ยงใส่พนักงานบริการ ซึ่งสะท้อนถึงพื้นฐานนิสัยและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความใจดีและการให้เกียรติคนรอบข้างจึงยังคงเป็นเสน่ห์ที่ครองใจคนโสดเป็นอันดับหนึ่งในยุคนี้

 

อิทธิพลของกลุ่มเพื่อน หรือ ‘Friendfluence’ ได้กลายมาเป็นด่านหน้าสำคัญในการตัดสินใจเรื่องความรัก โดยคนโสดกว่า 42% ยอมรับว่าเพื่อนมีอิทธิพลต่อการเลือกคู่เดท และหากใครไม่ผ่านด่านเพื่อน ก็แทบจะหมดสิทธิ์ไปต่อ ในปีหน้า ‘กรุ๊ปแชท’ ของเพื่อนสนิทจะทำหน้าที่เสมือนแม่สื่อแม่ชักในการสแกนและให้ความเห็นเกี่ยวกับว่าที่คนรู้ใจ

 

ความนิยมในการออกเดทเป็นกลุ่มสะท้อนผ่านฟีเจอร์ Double Date ซึ่งสถิติชี้ว่าผู้ใช้งานเกือบ 85% เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี และผู้ใช้ฟีเจอร์นี้มีโอกาสได้รับการกด Like และ Match มากกว่าโปรไฟล์เดี่ยวถึง 3 เท่า นอกจากนี้ยังมีการส่งข้อความพูดคุยกันมากขึ้นเฉลี่ย 25% เมื่อเทียบกับการแชทแบบตัวต่อตัว เพราะความรู้สึกอุ่นใจและสนุกสนานที่มีเพื่อนร่วมทางไปด้วย

 

ในแง่ของความรู้สึก เทรนด์ ‘Emotional Vibe Coding’ กำลังมาแรง โดยคนโสดในปีหน้าจะให้ความสำคัญกับบทสนทนาที่จริงใจถึง 56% และต้องการความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น 45% โดยเฉพาะหลังจากถูกปฏิเสธ คำว่า ‘มีความหวัง’ กลายเป็นนิยามหลักของการเดทในปี 2569 สะท้อนให้เห็นว่าแม้โลกภายนอกจะวุ่นวาย แต่ในพื้นที่ความรัก พวกเขายังคงมองหาพลังงานบวกและโอกาสใหม่ๆ เสมอ

 

คนรุ่นใหม่ยังมีแนวคิดการเดทแบบ ‘Dating for the plot’ หรือการใช้การเดทเพื่อเขียนเรื่องราวชีวิตให้กับตัวเอง โดย 28% บอกว่าชอบความรู้สึกของการได้แอบชอบหรือมีความรัก แม้ว่าสุดท้ายความสัมพันธ์นั้นจะไม่ได้ไปต่อก็ตาม การมองโลกในแง่ดีและการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ กลายเป็นวิธีที่พวกเขาใช้สร้างสีสันและความหมายให้กับชีวิตโสด

 

สำหรับบริบทในประเทศไทย ข้อมูลสะท้อนถึงพฤติกรรมที่มีเอกลักษณ์ โดย 10 อันดับเทรนด์การออกเดทที่มาแรงที่สุดคือ การหาเพื่อนคุย ตามมาด้วยความชอบสกินชิพ และความนิยมในรูปลักษณ์แบบ ‘หุ่นหมี’ รวมถึงบุคลิกขี้อ้อนแบบ ‘หมาเด็ก’ ที่ติดอันดับต้นๆ นอกจากนี้ กลุ่มคนรักสัตว์อย่างทาสแมวและคนรักหมาก็ยังเป็นกลุ่มใหญ่ที่มองหาคู่เดทที่มีความสนใจเดียวกันอย่างเหนียวแน่น

 

เรื่องอาหารการกินยังคงเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย โดย ‘กาแฟ’ ครองแชมป์เครื่องดื่มยอดนิยม ตามมาด้วยเบียร์และเหล้าสำหรับสายปาร์ตี้ ส่วนเมนูอาหารที่คนโสดไทยโปรดปรานที่สุด 3 อันดับแรกหนีไม่พ้น ชาบู มหมูกระทะ และซูชิ ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมการกินที่เน้นการใช้เวลาร่วมกันหน้าเตา เป็นกิจกรรมที่ช่วยละลายพฤติกรรมและสร้างบทสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

เมื่อพูดถึงสถานที่ยอดนิยมสำหรับการปักหมุดนัดพบ ‘กรุงเทพมหานคร’ ยังคงครองอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย รองลงมาคือเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอย่างพัทยา และหัวเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ ขอนแก่น และปทุมธานี ส่วนเมืองต่างประเทศในฝันที่คนโสดไทยนิยมปักหมุดไปหาคู่เดทมากที่สุดคือสิงคโปร์, นิวยอร์ก และซิดนีย์ แสดงถึงความเปิดกว้างในการมองหาความรักข้ามพรมแดน

 

ดนตรีเป็นอีกหนึ่งสื่อกลางที่บ่งบอกตัวตนได้ดีที่สุด เพลงประจำตัวบน Spotify ที่คนโสดไทยนิยมใช้สะท้อนความหลากหลาย ตั้งแต่เพลง‘Manchild’ ของ Sabrina Carpenter ไปจนถึงเพลง ‘Luther’ ของ Kendrick Lamar และเพลง K-Pop จังหวะสนุกอย่าง ‘Golden’ เพลงเหล่านี้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารรสนิยมและดึงดูดคนที่ ‘ไวบ์’ ตรงกัน

 

เมลิสซ่า ฮ็อบลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Tinder กล่าวสรุปทิศทางนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “คนเรามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากมายพอแล้ว ดังนั้นการออกเดทไม่ควรเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกกดดัน ปัจจุบัน คนโสดกำลังมองหาความสัมพันธ์สบายๆ ซื่อสัตย์ต่อกัน และสนุกสนาน” ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้งานที่ต้องการให้การเดทเป็นเรื่องของการเพิ่มสีสันให้ชีวิต ไม่ใช่การเพิ่มความเครียด

 

ภาพ : Gumpanat / Shutterstock

The post หมดยุคเดาใจ! Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุคทองนักไลฟ์! ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย https://thestandard.co/thai-video-commerce-growth-850k-sellers/ Tue, 16 Dec 2025 12:17:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1155482 ยุคทองนักไลฟ์ ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย

รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ ‘ […]

The post ยุคทองนักไลฟ์! ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุคทองนักไลฟ์ ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย

รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ ‘e-Conomy SEA Report’ ฉบับครบรอบ 10 ปี โดยความร่วมมือระหว่าง Google, Temasek และ Bain & Company ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญภายใต้หัวข้อ From Digital Decade to AI Reality ที่ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการของภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจดิจิทัลไว้ท่ามกลางความท้าทาย

 

แม้สภาพเศรษฐกิจมหภาคจะเผชิญกับแรงกดดันจากการบริโภคภายในประเทศที่ซบเซาและภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของไทยยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้มูลค่าสินค้ารวมของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยยังคงเติบโตได้ดีและรักษาอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ได้ รองจากประเทศอินโดนีเซียที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุด

 

รายงานฉบับนี้คาดการณ์ว่า ‘Gross Merchandise Value’ หรือ GMV ของไทยจะพุ่งสูงถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 คิดเป็นอัตราการเติบโต 16% จากระดับ 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดที่ไม่เพียงแต่ฟื้นตัว แต่ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในหลายภาคส่วนธุรกิจ

 

แรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคที่ระดับ 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยคาดว่ามูลค่าจะแตะระดับ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นจนกลายเป็นความปกติใหม่

 

สิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือการก้าวขึ้นมาของ ‘Video Commerce’ ที่กำลังเฟื่องฟูอย่างมากในไทย โดยพบว่ามีผู้ขายสินค้าผ่านวิดีโอมากถึง 850,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นถึง 175% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดที่มีจำนวนผู้ขายสินค้าผ่านวิดีโอที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้

 

ปัจจุบันไทยครองตำแหน่งตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค ด้วยปริมาณธุรกรรมที่สูงถึง 1.3 พันล้านครั้ง โดยสินค้ากลุ่มแฟชั่นและเครื่องประดับเป็นหมวดหมู่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คิดเป็นสัดส่วน 21% ของมูลค่าสินค้ารวมในกลุ่มนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคอนเทนต์วิดีโอมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ

 

ราฟาเอล ซิสโลว์สกี Country Manager, Google ประเทศไทย กล่าวว่า “การผสานรวมระหว่างการขายสินค้าและการทำคอนเทนต์เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน โดยปัจจุบัน ภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยมีการเติบโตที่เร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค”

 

เขายังเสริมอีกว่า “แรงขับเคลื่อนหลักมาจากไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งภาคส่วนอื่นๆ ก็กำลังได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตนี้ด้วย เราเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภาคธุรกิจหลักๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับความท้าทายจากหลายด้าน”

 

ในภาคการท่องเที่ยวออนไลน์ คาดว่าจะมีการเติบโต 6% และมูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 แม้การฟื้นตัวอาจจะไม่รวดเร็วเท่าอดีต แต่ไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดการท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง

 

การขยายโครงการยกเว้นวีซ่าให้ครอบคลุม 93 ประเทศ และการอนุญาตให้พำนักได้สูงสุด 60 วัน เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น อินเดียและตะวันออกกลาง ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตนี้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์ระดับโลก

 

ด้านบริการทางการเงินดิจิทัล (DFS) ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม ‘Digital Wealth’ หรือความมั่งคั่งทางดิจิทัล ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 29% และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการแตะ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยเริ่มหันมาบริหารจัดการเงินลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น

 

ขณะที่บริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล คาดว่าจะมียอดสินเชื่อคงค้างสูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 คิดเป็นอัตราการเติบโต 21% ส่วนการชำระเงินดิจิทัลคาดว่าจะมีมูลค่าธุรกรรมรวมสูงถึง 1.63 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเติบโตขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าตามพฤติกรรมสังคมไร้เงินสด

 

ภูมิทัศน์ทางการเงินของไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอีกขั้น ด้วยการคาดการณ์ว่าจะมี ‘Virtual Banks’ หรือธนาคารดิจิทัล 3 แห่งได้รับอนุมัติใบอนุญาตให้เริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 โดยมุ่งเน้นการให้บริการกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินและธุรกิจ SME ขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

 

สำหรับสื่อออนไลน์ ซึ่งรวมถึงวิดีโอออนดีมานด์ เพลง เกม และโฆษณา ยังคงรักษาการเติบโตอยู่ที่ 8% โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายเครือข่ายสื่อค้าปลีกและการเจาะตลาดเชิงลึกของวิดีโอคอมเมิร์ซที่สร้างเม็ดเงินโฆษณา

 

ที่น่าสนใจคือกุญแจสำคัญอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีอิทธิพลในด้านต่างๆ ยังคงเป็นตลาดหลักสำหรับการบริโภคสื่อบันเทิง โดยเฉพาะกระแสเพลง T-Pop ที่กำลังได้รับความนิยมและเริ่มสร้างเทรนด์ระดับโลก ซึ่งส่งผลดีต่อระบบนิเวศของสื่อออนไลน์ในภาพรวม

 

ด้านการขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์เติบโตขึ้น 15% และคาดว่าจะมีมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี 2566 หลังจากผ่านช่วงการแข่งขันที่ดุเดือด แพลตฟอร์มต่างๆ ได้ปรับตัวมุ่งเน้นไปที่การสร้างผลกำไรและความยั่งยืนทางธุรกิจ

 

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนโลก ประเทศไทยกำลังดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรระดับประเทศอย่างแข็งขัน ผ่านโครงการริเริ่มของรัฐบาลที่ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี เพื่อยกระดับทักษะของแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน ‘Generative AI’ ของคนไทย

 

ตัวเลขสถิติชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของผู้ใช้งานชาวไทย โดย 76% ของผู้ใช้มีการโต้ตอบกับเครื่องมือ AI ทุกวัน และ 56% สนทนากับแชทบ็อต AI ซึ่งส่งผลให้รายได้ของแอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์ AI เติบโตขึ้นถึง 79% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

วิลลี่ ชาง Partner, Bain & Company กล่าวว่า “เศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและความสามารถในการฟื้นตัวที่โดดเด่น โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้การลงทุนจะชะลอตัวในบางช่วงและภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา”

 

“เราเชื่อมั่นว่า AI จะเป็นแรงผลักดันการเติบโตระลอกต่อไป ตราบใดที่ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม รับมือกับความท้าทาย และเปลี่ยนนวัตกรรม AI ให้กลายเป็นการสร้างมูลค่าระยะยาวได้” ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในทศวรรษหน้า

 

ภาพ : jittawit21 / Shutterstock

The post ยุคทองนักไลฟ์! ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี https://thestandard.co/goodnotes-bangkok-top10-ipad-app-thai-user/ Sun, 14 Dec 2025 03:21:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1154431 ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี

รู้หรือไม่? ‘กรุงเทพฯ’ ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่มีผู้ใ […]

The post ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี

รู้หรือไม่? ‘กรุงเทพฯ’ ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่มีผู้ใช้งาน Goodnotes สูงที่สุดในโลก จากฐานผู้ใช้งานรวมกว่า 25 ล้านคนต่อเดือน

 

นี่คือสิ่งที่เราได้รู้หลังจากได้เข้าร่วมพูดคุยเป็นกลุ่มเล็กๆ กับ Steven Chan ผู้ก่อตั้งและ Chief Executive Officer รวมถึง Minh Tran ผู้เป็น Chief Operating Officer ของ Goodnotes แอปจดโน้ตดิจิทัลที่ก่อตั้งในปี 2011 หรือเกือบ 15 ปีก่อน

 

“ตามความเข้าใจของเราคือสำหรับนักเรียนไทยที่เข้ามหาวิทยาลัยที่ซื้อ iPad มักจะโหลด GoodNotes มาใช้ด้วย ดังนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่ในไทยจึงอยู่ในช่วงอายุ 18-35 ปี ซึ่งมีทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยและวัยทำงาน” ผู้บริหาร Goodnotes กล่าวพร้อมกับเสริมว่า “ผู้ใช้ชาวไทยยังชื่นชอบความสวยงามของการจดบันทึก โดยมีการใช้งานบ่อยกว่าผู้ใช้ในประเทศอื่น”

 

ความนิยมนี้เองทำให้ GoodNotes เป็นแอปที่ได้รับการดาวน์โหลดมากที่สุดบน iPad (มากกว่า YouTube และ Netflix) รวมถึงได้รับรางวัล iPad App of the Year จาก Apple ในปี 2022

 

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดตัว Goodnotes Essential และ Goodnotes Pro มาพร้อม Goodnotes AI ซึ่งถือเป็นรายแรกที่เชื่อมการเขียนลายมือดิจิทัลเข้ากับ Generative AI โดย Goodnotes ย้ำว่า AI ของตัวเองต่างจาก AI ทั่วไปตรงที่ Goodnotes AI ทำงานร่วมกับการป้อนข้อมูลทุกรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนด้วยลายมือ การพิมพ์ การสเก็ตช์ หรือเสียง

 

การเปิดตัวนี้มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ‘ไวท์บอร์ด’ ที่เข้ามาช่วยในด้านการจดโน้ต การสร้างแผนผัง หรือการระดมความคิดร่วมกัน
ฟีเจอร์เอกสารพิมพ์ สำหรับการสร้าง แก้ไข และจัดระเบียบเนื้อหาที่พิมพ์พร้อมกับรูปภาพ GIF และตาราง รวมถึงเครื่องมือวาดแผนภาพที่ช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นภาพความคิดของตัวเองมากขึ้น ซึ่งช่วยให้สร้างแผนภาพได้ง่ายขึ้นมาก เช่น ผังงาน (flowcharts) และแผนผังความคิด (mind maps)

 

ตลอดจนมีฟีเจอร์ Text Document ใหม่ซึ่งมีการยกตัวอย่างว่า สามารถให้ AI ช่วยร่างเอกสารเช่น การขอให้ AI ร่างแผนการเดินทาง 3 วัน โดยผู้ใช้สามารถเลือกยอมรับหรือปฏิเสธข้อความที่ AI สร้างขึ้น นอกจากนี้ AI สามารถให้ความสำคัญกับส่วนใดส่วนหนึ่งของเอกสาร เช่น ปรับแผนให้เน้นการเดินป่ามากขึ้น และยังสามารถสร้างสิ่งที่ไม่ใช่ข้อความได้ เช่น ตารางเพื่อสรุปแผนรายวัน เป็นต้น

 

Goodnotes ยังได้เพิ่มคุณสมบัติการถอดเสียงแบบเรียลไทม์ และการสรุปแบบเรียลไทม์เข้าไปในฟีเจอร์การบันทึกเสียง ด้วยวิธีนี้ผู้ใช้จึงสามารถสลับระหว่างการบันทึกเสียง การถอดเสียง การสรุป และข้อความได้อย่างราบรื่น โดย Goodnotes ย้ำว่า ตัวแอปมีการแปลเป็นภาษาไทย และรองรับฟีเจอร์ AI ในภาษาไทยด้วย รวมถึงโมเดล Machine Learning สำหรับการจดจำลายมือและการสร้างลายมือ

 

เวอร์ชั่นใหม่ของ Goodnotes จะมีราคาให้เลือกหลากหลายมากขึ้น โดยมีทั้งแบบฟรี, Essential ราคา 329 บาทต่อปี, Pro ราคา 999 บาทต่อปี รวมถึงการจ่ายครั้งเดียว 999 บาท ซึ่งแต่ละแพคเกจจะสามารถใช้ฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป โดยหากต้องใช้ฟีเจอร์ AI จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 279 บาทต่อเดือน

 

“สำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย เรามอง GoodNotes เป็น แพลตฟอร์มการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบเต็มรูปแบบ และกำลังสร้างชุมชนท้องถิ่นกับครีเอเตอร์และผู้ใช้ รวมถึงเพิ่มการรับรู้แบรนด์โดยการร่วมมือกับพันธมิตรตั้งแต่มหาวิทยาลัยไปจนถึงบริษัทชั้นนำ”

 

เป้าหมายในอนาคตของ GoodNotes คือ การให้ความสำคัญกับ Professional Use ผ่านการพิจารณาพัฒนาฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพโดยเฉพาะ รวมถึงการใช้งานในกลุ่มขององค์กร

 

“เราเห็นโอกาสมากมายที่จะเป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันของผู้คนในหลากหลายวงการไม่ว่าจะเป็น สถาปนิก, วิศวกร, การบิน (สายการบินหลายแห่ง), บริษัทกฎหมาย, สถาบันการเงิน และบริษัทขนส่ง โดยใครก็ตามที่ต้องการใช้กระดาษก็สามารถใช้ GoodNotes ได้” ผู้บริหาร Goodnotes กล่าวพร้อมกับเสริมว่า “ภารกิจของเราคือการเป็น แบรนด์จดบันทึกที่โดดเด่นที่สุดในโลก สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน, ผู้เชี่ยวชาญ หรือบริษัท”

ปัจจุบัน Goodnotes มีพนักงานกว่า 300 คน ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยมีทีมที่ทำงานด้าน AI ประมาณ 50 คน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลกเช่นกัน โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร

The post ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดไทยโต 35%! Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน https://thestandard.co/garmin-thailand-growth-chonburi-factory/ Sat, 13 Dec 2025 09:51:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1154343 ตลาดไทยโต 35% Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน

กระแสการดูแลสุขภาพที่ตื่นตัวไปทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยบวก […]

The post ตลาดไทยโต 35%! Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดไทยโต 35% Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน

กระแสการดูแลสุขภาพที่ตื่นตัวไปทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสวมใส่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสมาร์ทวอทช์ที่ผู้บริโภคต่างมองหาอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เน้นความยั่งยืนด้านสุขภาพ หรือเทรนด์ ‘Longevity’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การมีอายุยืนยาว แต่ครอบคลุมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ

 

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ Garmin ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดรับรู้รายได้ครึ่งปีแรกทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยมูลค่ารวมกว่า 3.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.09 แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

สำหรับตลาดประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นอย่างมาก โดย Garmin ประเทศไทยสามารถสร้างรายได้เติบโตสูงกว่า 35% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สะท้อนความแข็งแกร่งของแบรนด์ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ข้อมูลจาก Garmin Connect ยังระบุด้วยว่าพฤติกรรมของผู้ใช้งานชาวไทยมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยกิจกรรมการฝึกความแข็งแรง (Strength Training) มีอัตราการเติบโตสูงถึง 40% ตามมาด้วยกิจกรรมคาดิโอในร่มอย่างพิลาทิสและ HIIT ที่เติบโตกว่า 15% บ่งชี้ว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่หลากหลายและจริงจังมากขึ้น

 

เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดโลกและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Garmin จึงได้ตัดสินใจเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญด้วยการขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเป็นประเทศแรกของอาเซียน นอกเหนือจากโรงงานผลิตของ Garmin ที่มีอยู่หลายแห่งทั่วโลก ได้แก่ จีน, ไต้หวัน, เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์ และ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

 

ข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่าได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนให้กับ บริษัท การ์มิน ชลบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2569 เพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศและจำหน่ายในประเทศ

 

การเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ในครั้งนี้ มาจากศักยภาพความพร้อมในหลายด้าน ทั้งทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่ง รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยและซัพพลายเชนที่ครบวงจร เอื้อต่อการบริหารจัดการต้นทุนและการกระจายสินค้า

 

โดยโรงงานแห่งนี้จะใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงเพื่อผลิตสินค้าครอบคลุมหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาอัจฉริยะ (GPS Smart Watch) อุปกรณ์นำทาง (GPS Navigator) สำหรับยานยนต์และการเดินเรือ รวมถึงเซนเซอร์วัดค่าทางสุขภาพต่างๆ

 

มิสซี่ ยาง ผู้จัดการประจำ Garmin ประเทศไทย กล่าวถึงทิศทางกลยุทธ์ว่า การตั้งโรงงานในไทยเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์การขยายธุรกิจแนวดิ่ง หรือ ‘Vertical Integration’ ซึ่งหมายถึงการที่ Garmin เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งกระบวนการ ตั้งแต่พัฒนาด้านวิศวกรรม การผลิต การตลาด ตลอดจนการให้บริการ ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพทั้งสายการผลิต และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวให้เท่าทันการเติบโตของอุตสาหกรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้

 

ในแง่ของสายการผลิตช่วงแรก Garmin วางแผนที่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์ (Auto OEM) เป็นลำดับแรก เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดนี้ในภูมิภาคเอเชีย ก่อนจะขยายไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์
ขณะเดียวกันการมีฐานผลิตในประเทศยังจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคชาวไทยในเรื่องของ ‘Lead Time’ หรือระยะเวลาการส่งมอบสินค้าที่จะรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการสต็อกสินค้าที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับแบรนด์ในระยะยาว

 

ด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ในไทยนั้น Garmin ประเทศไทย ระบุว่า แบรนด์มีจุดแข็งในการเจาะตลาดแบบ ‘Specialty’ หรือตลาดเฉพาะทางที่มีความต้องการสูง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักวิ่ง นักปั่นจักรยาน หรือผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีช่วงราคาที่กว้างตั้งแต่ระดับเริ่มต้น 5,000 บาท ไปจนถึงระดับพรีเมียม 40,000 บาท ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ประกอบกับจุดเด่นเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ

 

เทคโนโลยีสุขภาพยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาสินค้า โดยล่าสุด Garmin ได้ยกระดับฟีเจอร์การติดตามการนอนหลับไปอีกขั้นด้วย ‘Sleep Alignment’ ที่วิเคราะห์รูปแบบการนอนของผู้ใช้เทียบกับจังหวะชีวภาพตามธรรมชาติ (Circadian Rhythm) เพื่อให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Daily Suggested Workouts และ Lifestyle Logging ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมประจำวันกับสุขภาพโดยรวม เสมือนมีโค้ชส่วนตัวคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

 

นอกจากมิติด้านสุขภาพ Garmin ยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย หรือ ‘Innovation That Protects’ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสื่อสารผ่านดาวเทียม inReach และฟังก์ชัน SOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถขอความช่วยเหลือได้แม้ในพื้นที่ไร้สัญญาณโทรศัพท์

 

ปัจจุบันฟีเจอร์นี้เปิดให้บริการแล้วในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และไต้หวัน สำหรับประเทศไทยทาง Garmin ระบุว่ากำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันกฎระเบียบให้รองรับเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานชาวไทยในอนาคต

 

ในส่วนของภาพรวมรายได้ระดับโลก สัดส่วนรายได้ของ Garmin มาจากกลุ่มฟิตเนส 30% กิจกรรมกลางแจ้ง 27% การเดินเรือ 19% ยานยนต์ 15% และการบิน 14% ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดี และความแข็งแกร่งในทุกเซกเมนต์สินค้า

 

โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ Outdoor อย่างซีรีส์ Instinct และ Forerunner ที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในไทยและตลาดโลก รวมถึงกลุ่ม Wellness อย่าง Venu 3 และ Venu 4 ที่ถือเป็นสินค้าฮีโร่ที่สร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับแผนงานในอนาคต Garmin ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในช่องทางออนไลน์ (Official Online Store) ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง พร้อมเตรียมเปิดตัวบริการใหม่อย่าง Garmin Connect Plus ที่จะมาพร้อมฟีเจอร์และข้อมูลเชิงลึกแบบ Adaptive Information เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น โดยยืนยันว่าฟีเจอร์พื้นฐานเดิมจะยังคงให้บริการฟรี แต่จะมีทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลวิเคราะห์ขั้นสูงในรูปแบบสมาชิก

The post ตลาดไทยโต 35%! Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>