Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 29 Jun 2025 10:07:56 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ศึกประมูล 4G-5G จบแล้ว! True คว้าคลื่น 2300 MHz และ 1500 MHz ด้วยราคา 2.6 หมื่นล้าน ส่วน AIS คว้า 2100 MHz ในราคา 14.8 หมื่นล้าน https://thestandard.co/true-ais-win-5g-spectrum-auction-2568/ Sun, 29 Jun 2025 10:07:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1090776 ภาพบรรยากาศการประมูลคลื่นความถี่ 5G ปี 2568 โดย กสทช. ที่มี True และ AIS เป็นผู้ชนะ

เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการประมูลคลื่นความถี่ (Sp […]

The post ศึกประมูล 4G-5G จบแล้ว! True คว้าคลื่น 2300 MHz และ 1500 MHz ด้วยราคา 2.6 หมื่นล้าน ส่วน AIS คว้า 2100 MHz ในราคา 14.8 หมื่นล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพบรรยากาศการประมูลคลื่นความถี่ 5G ปี 2568 โดย กสทช. ที่มี True และ AIS เป็นผู้ชนะ

เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้วสำหรับการประมูลคลื่นความถี่ (Spectrum Auction) สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล คลื่นความถี่ย่าน 850 MHz, 1500 MHz, 2100 MHz และ 2300 MHz ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (สำนักงาน กสทช.) ในวันนี้ (29 มิถุนายน 2568)

 

ผลอย่างไม่เป็นทางการที่เป็นข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประมูลจำนวน 2 รายคือ True และ AIS ปรากฏว่า ทั้งคู่เลือกประมูลคลื่นที่ไม่ซ้ำกันเลย

 

โดยทาง True นั้นได้คลื่น 2300 MHz จำนวน 70 MHz ด้วย ราคา 21,770,000,168 บาท จะนำมาให้บริการได้ทั้ง 5G และ 4G โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ที่ True มีอยู่แล้ว รวมถึงสามารถนำมาเพิ่มศักยภาพ 5G ของคลื่น 2600 MHz ให้เป็น 5G เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

ยังมีคลื่น 1500 MHz จำนวน 20 MHz ด้วยราคา 4,653,960,168 ล้านบาท ซึ่ง ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เป็นคลื่นใหม่ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาเครือข่ายสู่อนาคต มีจุดเด่นในการเสริมประสิทธิภาพเทคโนโลยี 5G และต่อยอดการใช้งาน 4G 

 

คลื่นดังกล่าวสามารถนำมาใช้งานเพื่อเพิ่มความจุของเครือข่ายและเพิ่มความครอบคลุมในช่วงดาวน์โหลด รองรับการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในพื้นที่หนาแน่นและนอกเมือง 

 

“เราสามารถนำคลื่น 1500 MHz รวมกับคลื่นอื่น หรือ เทคโนโลยี Carrier Aggregation ส่งผลให้ผู้ใช้งานได้รับอินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นแม้อยู่ในพื้นที่แออัด มีสัญญาณเสถียรและลดปัญหาเน็ตช้าในช่วงเวลาพีค” ซิกเว่ ระบุ 

 

ขณะที่บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) ในเครือ AIS ชนะการประมูลคลื่นความถี่ 2100 MHz จำนวน 3 ชุด รวม 30 MHz ในราคา 14,850 ล้านบาท

 

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า เรายินดีที่ชนะการประมูลในครั้งนี้ ที่ได้คลื่นความถี่ที่ต้องการและสามารถใช้งานได้ทันทีในปัจจุบัน ในราคาที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในระยะยาว 

 

การได้รับใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 MHz จะทำให้ AIS สามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครือข่าย 5G ของ AIS นอกจากมีความครอบคลุมที่ดีแล้ว ยังเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับลูกค้าของเรา ทั้งในด้านคุณภาพ ความเร็ว และสามารถรองรับเทคโนโลยีต่างๆ ในอนาคตได้เป็นอย่างดี

 

“การประมูลครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ AIS ในการลงทุนพัฒนาเครือข่ายและนวัตกรรม โดยมีแผนพร้อมนำคลื่นที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทันที ทั้งในเชิงการให้บริการ การขยายเครือข่าย และการต่อยอดนวัตกรรม เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเท่าเทียม”

 

อย่างไรก็ตาม กสทช. จะต้องมีการประชุมเพื่อมีมติรับรองผลการประมูลต่อไป ซึ่งคาดว่าจะประกาศภายใน 6 กรกฎาคม ก่อนที่ในช่วง 7 – 29 กรกฎาคม ผู้ชนะการประมูลชำระเงินงวดที่ 1 และ 4 สิงหาคม เริ่มต้นการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่

 

สำหรับการชำระเงินทาง กสทช.  ระบุว่า สำหรับรายเดิมจะต้องจ่ายงวด 1 ในสัดส่วน 50% และงวด 2-3 อีกงวดละ 25% แต่ถ้าเป็นรายได้จะแบ่งเป็น 10 งวด คิดเป็นงวดละ 10% พร้อมกันนี้ยังมีแผนให้ขยายโครงข่าย 50% ภายใน 2 ปี, 80% ภายใน 4 ปี และ 90% ภายใน 5 ปี ของจำนวนประชากรในแต่ละตำบล

 

ทั้งนี้คลื่นความถี่ที่นำออกมาประมูลในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 

 

  1. คลื่นความถี่ย่านต่ำ (Low Band) ได้แก่ คลื่นความถี่ ย่าน 850 MHz จำนวน 2 ชุด ชุดละ 2 x 5 MHz มีราคาขั้นต่ำต่อชุดเป็นจำนวนเงิน 7,738.23 ล้านบาท

 

  1. คลื่นความถี่ย่านกลาง (Mid Band) ได้แก่ คลื่นความถี่ย่าน 2100 MHz และ 2300 MHz เป็นคลื่นความถี่ย่านที่มีการใช้งานสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน จำนวน 3 ชุด ชุดละ 2 x 5 MHz มีราคาขั้นต่ำต่อชุดเป็นจำนวนเงิน 4,500 ล้านบาท

 

  1. คลื่นความถี่ย่านกลาง (Mid Band) ย่าน 1500 MHz ซึ่งไม่มีการใช้งานสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน จำนวน 11 ชุด ชุดละ 5 MHz มีราคาขั้นต่ำต่อชุดเป็นจำนวนเงิน 1,057.49 ล้านบาท

The post ศึกประมูล 4G-5G จบแล้ว! True คว้าคลื่น 2300 MHz และ 1500 MHz ด้วยราคา 2.6 หมื่นล้าน ส่วน AIS คว้า 2100 MHz ในราคา 14.8 หมื่นล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google กลับสู่สังเวียนแว่นตาอัจฉริยะ ทุ่ม 3.4 พันล้านบาทซื้อหุ้น Gentle Monster หวังปั้นแว่น XR เป็นไอเท็มแฟชั่น https://thestandard.co/google-invests-gentle-monster-xr-smart-glasses/ Sat, 28 Jun 2025 11:24:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1090462 แว่นตา XR จาก Gentle Monster ร่วมมือกับ Google เป็นแว่นตาแฟชั่นและเทคโนโลยีล้ำสมัย

Google ได้ลงนามข้อตกลงเพื่อลงทุนราว 1.45 แสนล้านวอน (ปร […]

The post Google กลับสู่สังเวียนแว่นตาอัจฉริยะ ทุ่ม 3.4 พันล้านบาทซื้อหุ้น Gentle Monster หวังปั้นแว่น XR เป็นไอเท็มแฟชั่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
แว่นตา XR จาก Gentle Monster ร่วมมือกับ Google เป็นแว่นตาแฟชั่นและเทคโนโลยีล้ำสมัย

Google ได้ลงนามข้อตกลงเพื่อลงทุนราว 1.45 แสนล้านวอน (ประมาณ 3.46 พันล้านบาท) ใน Gentle Monster แบรนด์แว่นตาแฟชั่นจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ที่ออกแบบแว่นตา Extended Reality (XR) รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในอนาคต 

 

การลงทุนครั้งนี้ตอกย้ำ ‘ความมุ่งมั่น’ ของ Google ในการนำเสนอแว่นตา XR ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 ให้เป็น ‘ไอเท็มแฟชั่น’ มากกว่าอุปกรณ์เทคโนโลยี ในขณะที่บริษัทหวนคืนสู่ตลาดแว่นตาอัจฉริยะหลังจากห่างหายไปนานนับทศวรรษ

 

แหล่งข่าวระบุว่า ทั้งสองฝ่ายกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจา โดยข้อตกลงนี้จะทำให้ Google ถือหุ้น 4% ในบริษัทแว่นตาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่แฟชั่นนิสต้า โดยเมื่อเดือนที่แล้ว Google ได้เปิดตัวต้นแบบของแว่นตา XR ในงานประชุมนักพัฒนา Google I/O 

 

แว่นตาดังกล่าวได้รับการออกแบบร่วมกันโดย Gentle Monster และ Warby Parker จากสหรัฐฯ โดยมี Samsung เป็นผู้นำในการพัฒนาฮาร์ดแวร์ และขับเคลื่อนด้วย Android XR ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ปรับแต่งมาเพื่อแว่นตาอัจฉริยะโดยเฉพาะ

 

การเป็นพันธมิตรกับ Gentle Monster สะท้อนถึงบทเรียนที่ Google ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวในอดีต ในปี 2013 Google เคยเปิดตัวแว่นตา Augmented Reality (AR) ที่ชื่อ Google Glass แต่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากปัญหาหลายประการ 

 

เช่น อายุแบตเตอรี่ที่สั้น ปัญหาความร้อนสูงเกินไป และราคาที่สูงมาก ที่สำคัญที่สุดคือ แว่นตารุ่นนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่อง ‘รูปลักษณ์น่าอึดอัด’ ที่มาพร้อมจอแสดงผลแบบไม่สมมาตรที่ติดตั้งอยู่ด้านเดียว กรอบแว่นที่ดูใหญ่เทอะทะ และกล้องที่โดดเด่นสะดุดตา จนก่อให้เกิดความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว Google จึงตัดสินใจยุติโครงการแว่นตาอัจฉริยะนี้ไปในปี 2015 เพียงสองปีหลังจากการเปิดตัว

 

ในงานประชุมนักพัฒนา I/O เมื่อเดือนพฤษภาคม ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Google กล่าวว่า แว่นตาอัจฉริยะควรทำหน้าที่เป็น ‘แฟชั่นไอเท็ม’ ที่ช่วยให้ผู้ใช้ลืมไปว่ากำลังสวมใส่มันอยู่ และแว่นตา XR ของ Google จะมีความสามารถในการนำทางแบบเรียลไทม์ การแปลภาษาแบบสดๆ และการโต้ตอบกับผู้ช่วย AI ซึ่งช่วยเสริมประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน 

 

Gentle Monster ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 โดย คิม ฮันกุก ได้พัฒนาเป็นแบรนด์หรูที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลอย่างมากทั้งในเอเชียและสหรัฐฯ กรอบแว่นตาและรูปทรงที่แปลกใหม่ของแบรนด์นี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ Gen Z รวมถึงคนดังระดับโลก เช่น เคนดริก ลามาร์ นักร้องชาวอเมริกัน และนางแบบสาว จีจี้ ฮาดิด

 

ในปี 2024 II Combined Co. ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานของ Gentle Monster ทำรายได้ได้ 7.89 แสนล้านวอน โดยมียอดขายทั่วโลกคิดเป็น 38% ของรายได้ทั้งหมด และมีกำไรจากการดำเนินงานเกิน 2 แสนล้านวอน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อนหน้า 

 

Google กำลังลงทุนใน Gentle Monster ด้วยมูลค่าบริษัท 3.6 ล้านล้านวอน ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงขึ้นประมาณสามเท่าจากปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่ Gentle Monster ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน ‘ยูนิคอร์น’ หรือบริษัทที่มีมูลค่ากิจการ 1 ล้านล้านวอนขึ้นไป

 

ในขณะเดียวกัน Meta ก็เป็นผู้นำในการแข่งขันด้านแว่นตา XR โดยเป็นพันธมิตรกับแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง และได้เปิดตัว Ray-Ban Meta ไปในปี 2021 ซึ่งมาพร้อมกล้องในตัวและระบบเสียงแบบ Open-ear นอกจากนี้ Meta ยังกำลังพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ๆ ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย โดยร่วมมือกับ Oakley แบรนด์แว่นตากีฬา และ Prada แบรนด์แฟชั่นหรูหรา 

 

รวมถึง Apple ที่กำลังเข้าสู่ตลาดนี้ด้วยการพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะที่มาพร้อมชิปหน่วยความจำของตนเอง และ Snap Inc. แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ก็ได้เปิดเผยแผนการเปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะชื่อ Specs ในปี 2026 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่ดุเดือดใน ‘ตลาดอุปกรณ์สวมใส่’ แห่งนี้

 

ภาพ: yllyso / Shutterstock

อ้างอิง:

The post Google กลับสู่สังเวียนแว่นตาอัจฉริยะ ทุ่ม 3.4 พันล้านบาทซื้อหุ้น Gentle Monster หวังปั้นแว่น XR เป็นไอเท็มแฟชั่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
Social Media กำลังจะตาย? We Are Social เผยอินไซต์จากเวทีโลก เมื่อ ‘เกม’ คือสมรภูมิใหม่แย่งชิงความสนใจ Gen Z https://thestandard.co/is-social-media-dying-gen-z/ Sat, 28 Jun 2025 05:40:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1090298

คำถามที่ว่า ‘Social Media จะอยู่หรือไป?’ กลายเป็นหัวข้อ […]

The post Social Media กำลังจะตาย? We Are Social เผยอินไซต์จากเวทีโลก เมื่อ ‘เกม’ คือสมรภูมิใหม่แย่งชิงความสนใจ Gen Z appeared first on THE STANDARD.

]]>

คำถามที่ว่า ‘Social Media จะอยู่หรือไป?’ กลายเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบมาขยี้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาพร้อมมุมมองที่เฉียบคมกว่าเดิม เมื่อ We Are Social ครีเอทีฟเอเจนซี นำอินไซต์สดใหม่ที่ส่งตรงจากเวทีครีเอทีฟระดับโลกอย่าง SXSW 2025 มาตีแผ่ให้นักการตลาดได้ทบทวนกลยุทธ์กันทั้งวงการ

 

เทรนด์ล่าสุดจากเวทีโลกได้ให้นิยามใหม่ที่น่าเปลี่ยนแปลงว่า โซเชียลมีเดียในวันนี้ ‘ไม่ใช่สื่อโซเชียล’ อีกต่อไป จากเดิมที่เป็นพื้นที่สำหรับเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนความสนใจ มันได้กลายพันธุ์เป็นสมรภูมิของ ‘attention economy’ ที่ทุกคนสร้างคอนเทนต์เพื่อแย่งชิงความสนใจ โดยมียอดวิวและไลก์เป็นเหมือน ‘currency’ หรือสกุลเงินรูปแบบใหม่

 

ข้อมูลนี้ถูกตอกย้ำด้วยตัวเลขอินไซต์ เมื่อคอนเทนต์ของแบรนด์บนแพลตฟอร์มเกมอย่าง Roblox สามารถดึงความสนใจจากผู้ใช้งานได้นานถึง ‘11 นาที’ โดยเฉลี่ย ในขณะที่บนโซเชียลมีเดียทั่วไป ค่าเฉลี่ยความสนใจที่ Gen Z มอบให้แบรนด์กลับสั้นกุดเพียง ‘1.3 วินาที’ เท่านั้น ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เมินเฉยไม่ได้อีกต่อไป

 

ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยอย่างยิ่ง เมื่อรายงาน Digital 2025 April Statshot พบว่าคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป เล่นวิดีโอเกมสูงเป็น ‘อันดับ 3 ของโลก’ ที่ 93.2% เกมจึงไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือโลกเสมือนที่ Gen Z เลือกใช้ชีวิตและมอบความสนใจให้อย่างแท้จริง

 

แล้วโซเชียลมีเดียจะไปต่ออย่างไร? ปัฐวีร์ อภิวัชรเจริญสิน รองผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ We Are Social ประเทศไทย ให้คำตอบที่ชัดเจนว่า “ประวัติศาสตร์ของ Social Media เริ่มต้นที่ยุค MSN ก่อนที่ Facebook จะเข้ามาปฏิวัติวงการ Social Network จนมาเป็น Social Media แบบที่เรารู้จักในทุกวันนี้”

 

“จากคำถามที่ว่า Social Media จะอยู่หรือไป เราตอบได้เลยว่ายังคงอยู่ แต่จะอยู่ในฐานะ traditional social media เนื่องจาก attention ของ Gen Z เริ่มเปลี่ยนไปอยู่บนแพลตฟอร์มเกม หรือ virtual world มากขึ้น attention บน social media แบบเดิมน้อยลง engagement ก็ต่ำลง”

 

ดังนั้นแบรนด์ควรหันมาโฟกัสกับแพลตฟอร์มใหม่ๆ ฝ่ากระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วบนโลกดิจิทัล เพื่อสร้าง engagement กับกลุ่มเป้าหมายอย่างยั่งยืน สร้าง ‘Brand love’ ไม่ใช่เพียงการดึง attention เพียงชั่วคราว ซึ่งสิ่งที่แบรนด์ได้รับกลับคืนจะถูกพูดถึงในแบบที่ลึกกว่าเดิมอย่างแน่นอน

 

กลยุทธ์ของแบรนด์ที่มองการณ์ไกลจึงต้องเปลี่ยนจากการพยายาม ‘Disrupt’ มาสู่การสร้าง ‘Value’ หรือคุณค่าเข้าไปในสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายสนใจอยู่แล้ว เหมือนที่ Warner Music ใช้ Metaverse เชื่อมโยงศิลปินรุ่นใหม่, Marshall เข้าไปสนับสนุนคอมมูนิตี้ศิลปินบนโลกเสมือน หรือ realme ที่เจาะตลาดกลุ่ม Subculture ของเกมเมอร์โดยตรง

 

ดังนั้นโจทย์ของนักการตลาดในวันนี้อาจไม่ใช่การเลือกว่าจะ ‘อยู่หรือไป’ จากโซเชียลมีเดีย แต่คือการปรับมุมมองและยอมรับว่าสมรภูมิแห่งความสนใจได้ย้ายที่แล้ว การไล่ตาม ‘Attention’ ที่ฉาบฉวยบนแพลตฟอร์มเดิมอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนเท่ากับการเข้าไปสร้าง ‘Brand Love’ ในโลกที่ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่จริงๆ ซึ่งนั่นคือหนทางที่จะทำให้แบรนด์ถูกพูดถึงในแบบที่เข้าถึงและมีความหมายกว่าเดิม

 

ภาพ: Paper Trident / Shutterstock

The post Social Media กำลังจะตาย? We Are Social เผยอินไซต์จากเวทีโลก เมื่อ ‘เกม’ คือสมรภูมิใหม่แย่งชิงความสนใจ Gen Z appeared first on THE STANDARD.

]]>
เบื้องหลัง AI จีน หลัง DeepSeek ไปยังไงต่อ? https://thestandard.co/china-ai-deepseek-strategy-2025/ Fri, 27 Jun 2025 10:41:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1090092 ภาพอินโฟกราฟิกแสดงพัฒนาการของ DeepSeek และระบบนิเวศ AI ในจีนช่วงปี 2024–2025

ในช่วงปี 2024-2025 จีนสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการเทคโนโล […]

The post เบื้องหลัง AI จีน หลัง DeepSeek ไปยังไงต่อ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพอินโฟกราฟิกแสดงพัฒนาการของ DeepSeek และระบบนิเวศ AI ในจีนช่วงปี 2024–2025

ในช่วงปี 2024-2025 จีนสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการเทคโนโลยีโลก ด้วยความสำเร็จในการพัฒนา Generative AI อย่าง DeepSeek, Qwen3 ของ Alibaba และ MiniMax M1 ซึ่งถูกนำมาเปรียบเทียบกับโมเดลจากตะวันตกในด้านความสามารถ แม้จะเผชิญข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ

 

บทความจาก Kaiser Kuo นักเขียนของ World Economic Forum และอดีตผู้บริหาร Baidu ชี้ว่า ความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก หากพิจารณาจากภาพรวมของประเทศที่มีนโยบายระยะยาว การสนับสนุนจากรัฐ การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัย และทัศนคติของสังคมที่เปิดรับเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว

 

จีนเริ่มเดินหน้ากลยุทธ์ด้าน AI อย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2017 ด้วยแผนพัฒนา AI แห่งชาติที่รัฐบาลกลางประกาศอย่างเป็นทางการ ยุทธศาสตร์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดการระดมทุน การเปิดพื้นที่ทดลองเชิงนโยบาย และความร่วมมือแบบสามเส้าระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเทคโนโลยี สถิติที่น่าสนใจคือในปี 2022 จีนมีการยื่นจดสิทธิบัตรด้าน AI มากกว่าสหรัฐฯ ถึง 4 เท่า พร้อมกับการเกิดขึ้นของสตาร์ทอัพใหม่ เช่น MiniMax, Zhipu AI และ Moonshot AI

 

แม้เผชิญมาตรการควบคุมการส่งออกจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะการจำกัดชิป A100 และ H100 ของ NVIDIA รวมถึงรุ่นลดสเปกอย่าง H800 และ A800 ในปี 2023 จีนยังสามารถเดินหน้าต่อได้อย่างน่าจับตา ตัวอย่างเช่น DeepSeek พัฒนาโมเดล R1 โดยใช้เพียง 2,000 ชิป H800 ด้วยงบประมาณเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าคู่แข่งฝั่งตะวันตกอย่างมีนัยสำคัญ

 

นอกจากนี้ หลายบริษัทมีการสำรองชิปล่วงหน้า บางส่วนอาศัยซัพพลายเออร์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีนยังเดินหน้าพัฒนาชิปของตนเอง เช่น HUAWEI Ascend พร้อมทั้งผลิตชิปในประเทศด้วยเทคโนโลยี DUV (Deep Ultraviolet) แม้จะยังห่างไกลจากความสามารถของเทคโนโลยี EUV ของบริษัท ASML จากเนเธอร์แลนด์

 

ในเชิงเทคนิค บางบริษัทเน้นการออกแบบโมเดลที่ใช้พลังงานและทรัพยากรประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเลือกใช้โมเดลแบบ Mixture-of-Experts หรือแนวทาง Memory-Efficient ที่ลดต้นทุนและเพิ่มความเร็ว

 

จุดแข็งสำคัญของจีนไม่ได้จำกัดอยู่ที่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่รวมถึงความสามารถในการกระจายและใช้งานเทคโนโลยี (Technology Diffusion) อย่างรวดเร็วในภาคอุตสาหกรรม รัฐ และสาธารณชน ตัวอย่างเช่น AI ถูกใช้งานจริงในระบบบริการลูกค้า การแปลภาษา การศึกษา ไปจนถึงแชตบอตในโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน ระบบกำกับดูแลในจีนยังมีการเปิดเผยข้อมูลโมเดล AI ต่อสาธารณะ เช่น ฐานข้อมูลของหน่วยงาน CAC ที่ระบุว่าโมเดลใดได้รับการอนุมัติแล้ว

 

ปัจจัยด้านวัฒนธรรมยังถูกยกมาเป็นแรงผลักดันเชิงสังคม โดย Kuo ระบุว่าสังคมจีนยังคงมีทัศนคติเชิงบวกต่อเทคโนโลยี ซึ่งต่างจากฝั่งตะวันตกที่เริ่มตั้งคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับจริยธรรม AI สิทธิส่วนบุคคล และผลกระทบต่อแรงงาน อย่างไรก็ตาม ก็ควรพิจารณาว่าความเชื่อนี้อาจเกิดจากการสื่อสารของรัฐที่เน้นเฉพาะคุณประโยชน์มากกว่าด้านลบ

 

ในเชิงระบบ จีนประสบความสำเร็จในการสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Tsinghua และ Peking University ไม่เพียงผลิตบุคลากรแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท AI เช่น Zhipu AI และ Baichuan ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐ หรือทำงานร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมดิจิทัลในระดับเมือง

 

นโยบาย New Infrastructure ยังเป็นอีกปัจจัยหนุนสำคัญ โดยรัฐลงทุนในศูนย์ข้อมูล ชิป และระบบคลาวด์ แม้โครงการบางส่วนจะไม่สร้างผลตอบแทนในระยะสั้น แต่ก็ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลมองว่าจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์

 

อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าเหล่านี้ยังควรตั้งคำถามในหลายประเด็น เช่น การควบคุมเนื้อหาที่เข้มงวดจะส่งผลต่อการเปิดพื้นที่ให้วิจัยด้านจริยธรรมหรือไม่? ความสามารถของจีนในการผลิตโมเดลคุณภาพสูงนั้น แท้จริงแล้วสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้หรือยังจำกัดอยู่ภายในประเทศ? และการพึ่งพาการอุ้มชูจากรัฐมากเกินไปอาจกลายเป็นข้อจำกัดในระยะยาวหรือไม่?

 

Jeffrey Ding นักวิจัยจาก University of Oxford ให้ความเห็นว่า แม้จีนจะก้าวหน้าในระดับเทคนิค แต่ยังขาดการฝังรากลึกของเทคโนโลยีเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและสถาบัน (Institutional Embedding) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ตะวันตกให้ความสำคัญมากกว่า เช่น การสร้างมาตรฐานเปิด การกำกับดูแลโดยอิสระ และการส่งต่อเทคโนโลยีไปยังผู้ประกอบการหลากหลายระดับ

 

ข้อสังเกตอีกประการคือ ความสำเร็จของจีนอาจเกิดขึ้นภายใต้บริบทเฉพาะของตนเอง ทั้งในด้านระบบการปกครอง วัฒนธรรมองค์กร และโครงสร้างเศรษฐกิจแบบ top-down ซึ่งอาจไม่สามารถนำไปใช้ได้ในประเทศที่มีโครงสร้างสังคมและการเมืองแบบเสรีนิยม

 

แม้จีนจะก้าวไกลอย่างรวดเร็ว แต่การแข่งขันในโลก AI ยังเป็น ‘เกมยาว’ ที่ต้องดูไม่ใช่แค่ความเร็วตอนเริ่มต้น แต่รวมถึงความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับตัว และความไว้วางใจจากตลาดโลก

 

อ้างอิง: 

The post เบื้องหลัง AI จีน หลัง DeepSeek ไปยังไงต่อ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนไทยแห่เรียน ‘GenAI’ พุ่ง 232% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่ 2 ‘รอยร้าว’ กำลังฉุดประเทศ Coursera ชี้เป้า ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ทางเพศและการศึกษา https://thestandard.co/thailand-genai-skills-gap-2025/ Fri, 27 Jun 2025 09:19:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1090038 thailand-genai-skills-gap-2025

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงทางทักษะครั้งใ […]

The post คนไทยแห่เรียน ‘GenAI’ พุ่ง 232% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่ 2 ‘รอยร้าว’ กำลังฉุดประเทศ Coursera ชี้เป้า ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ทางเพศและการศึกษา appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-genai-skills-gap-2025

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงทางทักษะครั้งใหญ่ เมื่อรายงาน Global Skills Report 2025 จาก Coursera แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ระดับโลก เผยว่าจำนวนผู้เรียนหลักสูตรเกี่ยวกับ Generative AI (GenAI) ในไทยพุ่งสูงขึ้นถึง 232% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ

 

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการจากภาคธุรกิจที่องค์กรกว่า 89% เริ่มนำ AI มาใช้ในการทำงานแล้ว ทำให้ทักษะดิจิทัลกลายเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนสำหรับแรงงานไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

 

ข้อมูลจากผู้เรียนกว่า 1.1 ล้านคนในไทยบน Coursera บ่งชี้ว่า ผู้คนกำลังเร่งปรับตัวอย่างจริงจัง ยอดลงทะเบียนเรียนใบรับรองวิชาชีพเติบโตขึ้น 43% โดยเฉพาะทักษะด้าน AI และ Machine Learning ที่พุ่งสูงถึง 210% 

 

แต่ที่น่าสนใจคือทักษะเชิงมนุษย์ (Soft Skills) อย่าง ‘Curiosity’ และ ‘Creative Thinking’ ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน บ่งบอกว่าในยุคของ AI ทักษะความเป็นมนุษย์กลับยิ่งทวีความสำคัญ

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวนี้ รายงานได้ชี้ให้เห็นถึง ‘รอยร้าว’ สำคัญที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในอนาคต ประเด็นแรกคือ ‘ช่องว่างทางเพศ’ ในกลุ่มผู้เรียน GenAI ที่มีสัดส่วนผู้หญิงเพียง 26% เท่านั้น ทั้งที่ผู้ใช้งาน Coursera ในไทยกว่าครึ่งเป็นผู้หญิง ซึ่งหมายความว่าประเทศกำลังพลาดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพจากประชากรหญิงไปอย่างน่าเสียดาย

 

รอยร้าวที่สองคือ ‘ช่องว่างระหว่างการศึกษากับตลาดแรงงาน’ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แม้จะมีคนไทยกว่า 1.1 ล้านคนเข้ามาเรียนรู้ทักษะใหม่บน Coursera ด้วยอายุเฉลี่ย 33 ปี สะท้อนถึงความกระตือรือร้นในการปรับตัวของคนวัยทำงาน 

 

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ข้อมูลที่น่ากังวลเผยว่าบัณฑิตจบใหม่ในไทยกว่า 65% ยังไม่สามารถหางานทำได้ ตัวเลขที่สวนทางกันอย่างสุดขั้วนี้คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า ระบบการศึกษายังไม่สามารถผลิตบุคลากรได้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่

 

การอุดรอยร้าวทั้งสองนี้จึงกลายเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการนำหน่วยกิตย่อย (micro-credentials) เข้ามาเสริมในหลักสูตรการศึกษา การส่งเสริมให้ผู้หญิงมีบทบาทในแวดวงเทคโนโลยีมากขึ้น และการเปิดให้คนไทยเข้าถึงการเรียนรู้ออนไลน์ได้อย่างทั่วถึง

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ทักษะ AI คือสัญญาณที่ดีและเป็นโอกาสมหาศาล แต่การจะคว้าโอกาสนี้ไว้และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปฏิรูประบบการศึกษาและสร้างความเท่าเทียม เพื่อให้แน่ใจว่าคนไทยทุกคนจะสามารถก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันบนคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้

ภาพ: Collagery / Shutterstock

The post คนไทยแห่เรียน ‘GenAI’ พุ่ง 232% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่ 2 ‘รอยร้าว’ กำลังฉุดประเทศ Coursera ชี้เป้า ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ทางเพศและการศึกษา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟน-รถยนต์! Xiaomi บุก ‘แว่นตา AI’ ชน Meta-HUAWEI หวังครองอนาคตของผู้ช่วยส่วนตัว https://thestandard.co/xiaomi-joins-ai-glasses-race/ Thu, 26 Jun 2025 14:15:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1089750

Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยักษ์ใหญ่จาก […]

The post ไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟน-รถยนต์! Xiaomi บุก ‘แว่นตา AI’ ชน Meta-HUAWEI หวังครองอนาคตของผู้ช่วยส่วนตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>

Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยักษ์ใหญ่จากจีน เปิดตัว ‘แว่นตา AI’ อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์เป็นครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการประกาศรุกเข้าสู่ ‘ตลาดแว่นตาอัจฉริยะ’ ภายในประเทศที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วแต่มีการแข่งขันสูง โดยบริษัทที่ตั้งอยู่ในปักกิ่งนี้วางตำแหน่งแว่นตาใหม่ของตนเองให้เป็น ‘อุปกรณ์อัจฉริยะส่วนบุคคลแห่งยุคหน้า’

 

เหลย จุน ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอของ Xiaomi เปิดเผยว่า แว่นตา AI นี้สามารถรองรับ ‘การบันทึกวิดีโอบุคคลที่หนึ่ง’ และตอบสนองต่อคำสั่งเสียงได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้ทั่วไปในแว่นตาอัจฉริยะสมัยใหม่อย่างของ Meta และ Ray-Ban แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ แว่นตาที่มาพร้อมกล้องนี้สามารถมองเห็นและจดจำวัตถุรอบตัวผู้ใช้งาน และตอบคำถามโดยใช้ Generative AI ได้

 

ตัวอย่างจากวิดีโอที่ Xiaomi เผยแพร่เพื่อทีเซอร์แว่นตาอัจฉริยะนี้ แสดงให้เห็นผู้สวมใส่สามารถถามแว่นตาเพื่อระบุชนิดของพืช ประมาณการแคลอรีของอาหาร หรือแม้กระทั่งอธิบายว่าตัวคาปิบารากินอะไรเป็นอาหาร นอกจากการสั่งงานด้วยเสียง ผู้ใช้ยังสามารถถ่ายภาพแบบแฮนด์ฟรี ‘การจดจำวัตถุ’ และแปลภาษาได้ทันทีผ่าน Super Xiao Ai ผู้ช่วยเสียงของแว่นตา

 

แว่นตา AI รุ่นนี้ยังมีน้ำหนักเพียง 40 กรัม มาพร้อมกรอบแว่นตาที่ถอดเปลี่ยนได้ 3 สไตล์ และรองรับการปรับแต่งรูปหน้าแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้ เลนส์ของแว่นสามารถเปลี่ยนโหมดสีได้ด้วยการแตะ และมีกล้องหน้า 12MP สำหรับบันทึกวิดีโอคุณภาพสูง หรือใช้สำหรับการประชุมทางวิดีโอและการสตรีมสดผ่านแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม

ผู้ใช้ยังสามารถชำระเงินแบบไร้สัมผัสได้ง่ายๆ โดยการสแกน QR Code และยืนยันธุรกรรมด้วยคำสั่งเสียง ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการซื้อสินค้าในชีวิตประจำวัน

 

แว่นตา AI ของ Xiaomi เปิดตัวในราคาเริ่มต้นที่ 1,999 หยวน สำหรับรุ่นมาตรฐาน และสูงสุด 2,999 หยวน สำหรับรุ่นเลนส์สี โดยปัจจุบันมีวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น และ Xiaomi ยังไม่มีแผนการวางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศในขณะนี้

 

การที่ Xiaomi รุกเข้าสู่ ‘ตลาดแว่นตาอัจฉริยะ’ สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือด โดย Counterpoint บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด ระบุว่าแว่นตาอัจฉริยะของ Meta ยังคงเป็นที่นิยมมากที่สุด ครองส่วนแบ่งตลาดโลกกว่า 60% เมื่อปีที่แล้ว

 

และคาดการณ์ว่าปี 2025 จะเป็น ‘สงครามของแว่นตาอัจฉริยะนับร้อยรุ่น’ คู่แข่งรายอื่นๆ ของจีน เช่น Huawei ได้เปิดตัวแว่นตา AI ที่อัปเดตเมื่อเดือนเมษายน และ Baidu ก็ประกาศเปิดตัวแว่นตา AI ของตัวเองเช่นกัน

 

เหอ หวังเฉิง นักวิเคราะห์จาก WellsennXR เชื่อว่าจุดแข็งหลักของ Xiaomi ในตลาดแว่นตาอัจฉริยะคือ ‘ระบบนิเวศ’ ขนาดใหญ่ของบริษัท ซึ่งครอบคลุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมและรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภท

 

นอกจากนี้ Counterpoint ยังคาดการณ์ว่าตลาดแว่นตาอัจฉริยะทั่วโลกจะเติบโตถึง 60% ในปีนี้ หลังจากที่เติบโตถึง 210% เมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2024 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตมหาศาลในอนาคต

 

ภาพ: AS project / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟน-รถยนต์! Xiaomi บุก ‘แว่นตา AI’ ชน Meta-HUAWEI หวังครองอนาคตของผู้ช่วยส่วนตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุคนี้ ‘บอกปากต่อปาก’ มาในรูปแบบวิดีโอ พบคนไทย 85% เชื่อครีเอเตอร์ YouTube ส่วนผู้บริโภคอาเซียน 2 ใน 5 ค้นหาข้อมูลจากวิดีโอ และ 86% เลือก YouTube เป็นแหล่งความรู้หลัก https://thestandard.co/youtube-consumer-insights-report-thailand-asean-2025/ Thu, 26 Jun 2025 04:04:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1089300 YouTube

ระบบนิเวศของ YouTube กำลังพุ่งขึ้นด้วยจำนวนผู้ชมมากกว่า […]

The post ยุคนี้ ‘บอกปากต่อปาก’ มาในรูปแบบวิดีโอ พบคนไทย 85% เชื่อครีเอเตอร์ YouTube ส่วนผู้บริโภคอาเซียน 2 ใน 5 ค้นหาข้อมูลจากวิดีโอ และ 86% เลือก YouTube เป็นแหล่งความรู้หลัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
YouTube

ระบบนิเวศของ YouTube กำลังพุ่งขึ้นด้วยจำนวนผู้ชมมากกว่า 3.5 พันล้านคนทั่วโลกในแต่ละเดือน โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้าถึงผู้ชมได้ถึง 290 ล้านคนในปี 2024 หรือคิดเป็น 85% ของประชากรออนไลน์ในภูมิภาค ประกอบกับจำนวนช่องที่มีผู้ติดตามเกิน 1 ล้านคนมากถึง 7,600 ช่อง และคอนเทนต์ที่อัปโหลดจากเวียดนามและอินโดนีเซียในปี 2024 ยังเพิ่มขึ้นถึง 85% เมื่อเทียบกับปี 2023

 

หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนี้คือ ‘ความน่าเชื่อถือ’ ที่ผู้ชมมีต่อครีเอเตอร์ ผลสำรวจจาก Kantar พบว่าผู้ชมชาวไทย 85% และชาวอินโดนีเซีย 67% มองว่าคอนเทนต์จากครีเอเตอร์ YouTube มีความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งความไว้วางใจนี้ได้ส่งผ่านมายังแบรนด์โดยตรง โดย 60% ของ Gen Z ในอินโดนีเซียเชื่อถือแบรนด์ที่ครีเอเตอร์แนะนำ มากกว่าบนแพลตฟอร์มอื่นซึ่งอยู่ที่ 46%

 

ความเชื่อมั่นนี้ยังสะท้อนผ่านพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ข้อมูลจาก Ipsos แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคในไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ให้ความไว้วางใจ YouTube ในทุกขั้นตอนของเส้นทางการซื้อสินค้ามากกว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น 

นอกจากนี้ ผู้ชมถึง 98% ยังมีแนวโน้มที่จะเชื่อคำแนะนำของครีเอเตอร์บน YouTube มากกว่าบนแพลตฟอร์มอื่นๆ

 

พลังของครีเอเตอร์ในการกระตุ้นการพิจารณาสินค้านั้นมีนัยสำคัญ เมื่อ 2 ใน 5 ของผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากวิดีโอออนไลน์ และ 86% ในจำนวนนั้นเลือกใช้ YouTube สิ่งนี้ผลักดันให้ ‘วิดีโอคอมเมิร์ซ’ เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนมีสัดส่วนคิดเป็น 20% ของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในภูมิภาค

 

เครื่องมือสำคัญที่เข้ามาเร่งปฏิกิริยาคือ ‘YouTube Shopping’ ที่เปิดตัวในไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยร่วมมือกับ Shopee ทำให้การซื้อขายสินค้าเกิดขึ้นได้อย่างไร้รอยต่อ ครีเอเตอร์สามารถโปรโมตสินค้าในวิดีโอ ผู้ชมเห็นแล้วสามารถคลิกซื้อได้ทันที เป็นการย่นระยะเวลาการตัดสินใจของผู้บริโภค

 

ความสำเร็จนี้สะท้อนผ่านรายได้ของครีเอเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในเวียดนาม จำนวนช่องที่สร้างรายได้ระดับ 9 หลัก (สกุลเงินดอง) เพิ่มขึ้นถึง 35% ในปี 2024 ขณะที่กรณีศึกษาอย่างช่อง Mai Trinh Hồ มีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่า และ Jagat Review ที่รายได้กว่า 50% มาจากการเข้าร่วม Affiliate Program

 

สมรภูมิล่าสุดที่ YouTube กำลังขยายอิทธิพลเข้าไปคือ ‘จอโทรทัศน์’ ในห้องนั่งเล่น เมื่อพฤติกรรมการดูทีวีของผู้คนในยุคนี้คือการดู YouTube ผ่านทีวีที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (CTV) โดยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้ชมกลุ่มนี้แล้วกว่า 79 ล้านคน และมียอดการรับชมทั่วโลกรวมกันมากกว่า 1 พันล้านชั่วโมงต่อวัน

 

YouTube จึงได้พัฒนาประสบการณ์โฆษณาบนจอทีวีให้ฉลาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงพักโฆษณาที่น้อยลงแต่ยาวขึ้น หรือโฆษณาแบบโต้ตอบได้ เช่น การแสดงโฆษณาเมื่อวิดีโอหยุดเล่นชั่วคราว (Pause Ad) หรือการเปิดให้ซื้อสินค้าได้ทันทีผ่านคิวอาร์โค้ดบนหน้าจอ ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นและน่าสนใจยิ่งขึ้น

 

ผลลัพธ์ที่ได้สะท้อนผ่านกรณีของ McDonald’s ในฟิลิปปินส์พบว่าแคมเปญบน CTV ช่วยเพิ่มยอดขายเฉลี่ยต่อวันได้ถึง 46% ขณะที่ผลการศึกษาของ Nielsen พบว่า YouTube สร้างผลตอบแทนจากค่าโฆษณาสูงกว่าโซเชียลมีเดียอื่นถึง 2.3 เท่า

 

ภาพรวมทั้งหมดนี้จึงบ่งชี้ว่า มาตรวัดความสำเร็จของแบรนด์ในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงเพียงมิติเดียวอีกต่อไป แต่เกิดจากการผสมผสานปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ‘ความไว้วางใจ’ ที่มาจากครีเอเตอร์, เครื่องมือ ‘คอมเมิร์ซ’ ที่ช่วยให้การซื้อขายง่ายขึ้น และการขยายตัวสู่ ‘จอทีวี’ ซึ่งเป็นแนวทางที่แบรนด์ต้องปรับตัวให้ทันเพื่อสร้างการเติบโตในยุคดิจิทัล

The post ยุคนี้ ‘บอกปากต่อปาก’ มาในรูปแบบวิดีโอ พบคนไทย 85% เชื่อครีเอเตอร์ YouTube ส่วนผู้บริโภคอาเซียน 2 ใน 5 ค้นหาข้อมูลจากวิดีโอ และ 86% เลือก YouTube เป็นแหล่งความรู้หลัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘พาเวล ดูรอฟ’ ผู้ก่อตั้ง Telegram ลั่นเป็นพ่อของลูกกว่า 100 คน จ่อแบ่งมรดก 4.6 แสนล้านเท่ากันทุกคน แต่ต้องรออายุ 30 ถึงได้เงินนี้ https://thestandard.co/pavel-durov-father-of-100-children/ Wed, 25 Jun 2025 04:09:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1088820

พาเวล ดูรอฟ ผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชันส่งข้อความ Telegram แล […]

The post ‘พาเวล ดูรอฟ’ ผู้ก่อตั้ง Telegram ลั่นเป็นพ่อของลูกกว่า 100 คน จ่อแบ่งมรดก 4.6 แสนล้านเท่ากันทุกคน แต่ต้องรออายุ 30 ถึงได้เงินนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

พาเวล ดูรอฟ ผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชันส่งข้อความ Telegram และเป็นมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี ได้เปิดเผยว่า เขาได้เป็นบิดาของบุตรมากกว่า 100 คน ซึ่งทั้งหมดจะได้รับสิทธิ์ในการแบ่งปัน ‘มรดก’ ที่คาดการณ์ว่ามีมูลค่า 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4.6 แสนล้านบาท) อย่างเท่าเทียมกัน แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ พวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงมรดกนี้ได้จนกว่าจะครบ 30 ปี

 

ดูรอฟกล่าวกับนิตยสาร Le Point ของฝรั่งเศสว่า “พวกเขาคือลูกของผมทุกคน และจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ผมไม่ต้องการให้พวกเขาฉีกทึ้งกันเองหลังจากผมเสียชีวิตไปแล้ว” เขาเสริมว่าตนเองเป็น ‘พ่ออย่างเป็นทางการ’ ของบุตร 6 คน ที่เกิดจากคู่ชีวิต 3 คน แต่คลินิกที่เขาเริ่มบริจาคอสุจิเมื่อ 15 ปีก่อนเพื่อช่วยเหลือเพื่อน ได้แจ้งเขาว่ามีทารกมากกว่า 100 คน ที่ถือกำเนิดขึ้นด้วยวิธีนี้ใน 12 ประเทศทั่วโลก

 

ดูรอฟชี้แจงถึงเบื้องหลังเงื่อนไขมรดกนี้ว่า “ผมต้องการให้พวกเขาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับบัญชีธนาคาร” เขาได้เขียนพินัยกรรมในช่วงเวลานี้ เนื่องจากงานของเขามี “ความเสี่ยง การปกป้อง ‘เสรีภาพ’ ทำให้คุณมีศัตรูมากมาย รวมถึงในรัฐที่มีอำนาจ”

 

นอกจากประเด็นครอบครัวและมรดกแล้ว ดูรอฟ ผู้ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยด้านเทคโนโลยีชาวรัสเซีย ยังได้กล่าวถึง ‘ข้อหาอาญา’ ร้ายแรงที่เขากำลังเผชิญในฝรั่งเศส ซึ่งเขาถูกจับกุมเมื่อปีที่แล้วด้วยข้อกล่าวหาว่าล้มเหลวในการควบคุมดูแลแอปพลิเคชันอย่างเหมาะสมเพื่อลดกิจกรรมทางอาชญากรรม ซึ่งรวมถึงการค้ายาเสพติด, เนื้อหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และการฉ้อโกง

 

ดูรอฟปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมด โดยบอกว่ามัน “ไร้สาระอย่างสิ้นเชิง” พร้อมชี้ว่า “เพียงเพราะอาชญากรใช้บริการส่งข้อความของเราในบรรดาบริการอื่นๆ มากมาย ไม่ได้หมายความว่าผู้ดำเนินการบริการนั้นเป็นอาชญากร” เขากล่าว

 

Telegram ซึ่งมีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าระบบการควบคุมเนื้อหาที่ผิดกฎหมายและสุดโต่งนั้นอ่อนแอกว่าบริษัทโซเชียลมีเดียและแอปส่งข้อความอื่นๆ อย่างมาก โดยนักวิจารณ์อ้างว่า Telegram อนุญาตให้มีกลุ่มสมาชิกได้มากถึง 200,000 คน ซึ่งทำให้การแพร่กระจายข้อมูลที่บิดเบือน, เนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด, ลัทธิ Neo-Nazi, การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย ทำได้ง่ายขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ดูรอฟได้ปกป้อง Telegram ในการต่อสู้กับการล่วงละเมิดเด็ก โดยกล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2018 Telegram ได้ต่อสู้กับการล่วงละเมิดเด็กในหลายวิธี: การบล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือเนื้อหา, ทีมดูแลเนื้อหาโดยเฉพาะ, สายด่วนขององค์กร NGO, และรายงานความโปร่งใสรายวันเกี่ยวกับเนื้อหาที่ถูกแบน”

 

และโฆษกของ Telegram เสริมว่า แอปนี้ “ไม่เอื้อต่อการแพร่กระจายเนื้อหาที่เป็นอันตราย เพราะไม่ได้ใช้อัลกอริทึมที่ส่งเสริมเนื้อหาที่สร้างความรู้สึกฉูดฉาดเหมือนแพลตฟอร์มอื่นๆ”

 

ดูรอฟ ผู้เกิดในรัสเซีย ปัจจุบันอาศัยอยู่ในดูไบ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Telegram เขาถือสองสัญชาติคือ ฝรั่งเศสและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เขาเคยกล่าวในปี 2014 ว่าถูกไล่ออกจาก VKontakte เครือข่ายสังคมออนไลน์ของรัสเซีย หลังจากปฏิเสธคำขอจากเครมลินให้เซ็นเซอร์โพสต์ต่างๆ เขาได้ก่อตั้ง Telegram ขึ้นในปี 2013 และแอปนี้ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากในรัสเซีย

 

ภาพ: AOP.Press/Corbis via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ‘พาเวล ดูรอฟ’ ผู้ก่อตั้ง Telegram ลั่นเป็นพ่อของลูกกว่า 100 คน จ่อแบ่งมรดก 4.6 แสนล้านเท่ากันทุกคน แต่ต้องรออายุ 30 ถึงได้เงินนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Meta จัดหนัก บุกตลาดนักกีฬา เปิดตัวแว่นอัจฉริยะ Oakley แบต 2 เท่า – ถ่ายวิดีโอ 3K – กันน้ำ พิสูจน์ความสำเร็จฮาร์ดแวร์ AI https://thestandard.co/meta-oakley-smart-glasses/ Tue, 24 Jun 2025 03:37:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1088296

Meta Platforms Inc. กำลังจุดพลุเปิดตัว ‘แว่นตาอัจฉริยะ’ […]

The post Meta จัดหนัก บุกตลาดนักกีฬา เปิดตัวแว่นอัจฉริยะ Oakley แบต 2 เท่า – ถ่ายวิดีโอ 3K – กันน้ำ พิสูจน์ความสำเร็จฮาร์ดแวร์ AI appeared first on THE STANDARD.

]]>

Meta Platforms Inc. กำลังจุดพลุเปิดตัว ‘แว่นตาอัจฉริยะ’ รุ่นใหม่ ที่สร้างสรรค์ร่วมกับ Oakley แบรนด์ดังระดับโลก โดยมุ่งเป้าเจาะตลาดนักกีฬาอย่างเต็มตัว พร้อมคุณสมบัติเด่นคือ ‘การบันทึกวิดีโอ’ ที่ได้รับการอัปเกรดแบบก้าวกระโดด

 

การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงเป็นการขยายฐานผลิตภัณฑ์นอกเหนือจาก Ray-Ban แต่ยังเป็นข้อพิสูจน์ถึง ‘ความสำเร็จที่เกินคาด’ ของ Meta ในสังเวียนฮาร์ดแวร์ AI ที่เคยเจอขวากหนาม

 

แว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่นี้ใช้ดีไซน์ HSTN อันเป็นเอกลักษณ์ของ Oakley มีราคาเริ่มต้นที่ 399 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13,000 บาท) และสูงสุด 499 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16,000 บาท) สำหรับรุ่นลิมิเต็ดเอดิชันที่มาพร้อมลูกเล่นสีทอง

 

คุณสมบัติหลักยังคงคล้ายคลึงกับรุ่น Ray-Ban เดิม ทั้งการโทรออก รับสาย เล่นเพลง ถ่ายภาพและวิดีโอ รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Meta AI) เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบตัวผู้สวมใส่ แต่รุ่นใหม่นี้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วย ‘แบตเตอรี่’ ที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้นถึงสองเท่า การบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 3K และคุณสมบัติกันน้ำ

 

เส้นทางสู่ความสำเร็จของ Meta ในตลาดแว่นตานั้นไม่ได้ง่ายอย่างใจนึก แว่นตา Ray-Ban Stories รุ่นแรกของบริษัทเคยพลาดท่าและประสบความล้มเหลวในปี 2021

 

แต่ Meta ก็ไม่ยอมแพ้ ได้กลับมาพร้อมกับรุ่นถัดมาในปี 2023 ซึ่งกลายเป็น ‘ความสำเร็จที่เกินคาด’ อย่างมหาศาล และเป็นอาวุธลับที่ทำให้ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียรายนี้ มีรากฐานฮาร์ดแวร์ที่มั่นคงในการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ อเล็กซ์ ฮิเมล รองประธานของ Meta ที่ดูแลผลิตภัณฑ์กลุ่มอุปกรณ์สวมใส่ ยอมรับว่า “ความนิยมทำให้เราประหลาดใจเล็กน้อย”

 

ฮิเมล เผยว่าเดิมทีแว่น Ray-Ban จะเป็นแว่นตาอัจฉริยะไร้จอแสดงผลคู่สุดท้าย แต่จากความสำเร็จที่เกินคาดนี้ ทำให้ Meta มี ‘แผนงานระยะยาว’ สำหรับหมวดผลิตภัณฑ์ไร้จอแสดงผล โดยมีแผนจะเปิดตัวแว่น Oakley ที่ใช้ดีไซน์ Sphera ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อนักปั่นจักรยานโดยเฉพาะในช่วงปลายปีนี้ และจะมาพร้อมกล้องที่จัดวางอยู่ตรงกลาง

 

นอกจากนี้ Meta ยังมองไปไกลกว่านั้น โดยวางแผนจะเปิดตัวแว่นตาระดับไฮเอนด์ที่มีหน้าจอแสดงผลสำหรับแจ้งเตือนและช่องมองภาพจากกล้องในปลายปีนี้ และตั้งเป้าจะบุกตลาดแว่น Augmented Reality (AR) ที่แท้จริง ซึ่งจะผสานแอปพลิเคชันดิจิทัลเข้ากับโลกจริงในปี 2027

 

ฮิเมลกล่าวว่า Meta ได้ขายแว่นตาไปแล้วหลายล้านคู่ และมียอดซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ให้เหตุผลว่าความนิยมที่พุ่งสูงขึ้นมาจากการปรับปรุง ‘สิ่งเล็กๆ น้อยๆ’ จำนวนมาก ทั้งคุณภาพเสียงและไมโครโฟนที่คมชัดเกินคาด จนเริ่มเหนือกว่าหูฟังแบบสแตนด์อโลน

 

รวมถึงคุณภาพของกล้องและ AI อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า อายุแบตเตอรี่ที่จำกัดยังคงเป็น ‘ข้อร้องเรียนอันดับหนึ่ง’ สำหรับรุ่น Ray-Ban แต่แว่น Oakley รุ่นใหม่นี้ ได้รับการพัฒนาให้ ‘แบตเตอรี่’ ใช้งานได้ยาวนานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และเคสชาร์จยังสามารถเก็บพลังงานได้อีก 48 ชั่วโมง โดยแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นนี้มาจากการปรับปรุงสารเคมีในแบตเตอรี่ใหม่และการปรับแต่งซอฟต์แวร์

 

Oakley และ Ray-Ban ทั้งคู่เป็นแบรนด์ในเครือของ EssilorLuxottica SA ซึ่ง Oakley ถือเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 รองจาก Ray-Ban ฮิเมลกล่าวว่า Meta จะเดินหน้าเปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆ ภายใต้เครือ EssilorLuxottica ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“เราจะต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพราะในโลกของแฟชั่น สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก” เขากล่าว และหวังจะขยายไปสู่แบรนด์อื่นๆ ที่ Meta สนใจแว่น Oakley รุ่นแรกนี้ จะเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในวันที่ 11 กรกฎาคม ก่อนจะวางจำหน่ายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

แว่นตารุ่นนี้จะวางจำหน่ายในสหรัฐฯ, แคนาดา, สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน, ออสเตรีย, เบลเยียม, ออสเตรเลีย, เยอรมนี, สวีเดน, นอร์เวย์, ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดอุปกรณ์สวมใส่

 

บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Apple และ Snap ก็กำลังพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะเช่นกัน โดย Apple มีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์แว่นตาชิ้นแรกปลายปี 2026 ขณะที่ Amazon ก็จำหน่ายแว่นตาของตนเอง แต่รุ่นปัจจุบันยังไม่มีกล้อง

 

อ้างอิง:

The post Meta จัดหนัก บุกตลาดนักกีฬา เปิดตัวแว่นอัจฉริยะ Oakley แบต 2 เท่า – ถ่ายวิดีโอ 3K – กันน้ำ พิสูจน์ความสำเร็จฮาร์ดแวร์ AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิทย์จีนพัฒนา ‘สารเคลือบผลไม้’ ชนิดกินได้-ล้างออกง่าย ช่วยยืดอายุได้ 2.5 เท่า ด้วย ‘ต้นทุนต่ำ’ หวังลดขยะอาหารทั่วโลก https://thestandard.co/edible-fruit-coating-shelf-life/ Tue, 24 Jun 2025 02:39:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1088276

นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนประสบความสำเร็จในการพัฒนา ‘สา […]

The post นักวิทย์จีนพัฒนา ‘สารเคลือบผลไม้’ ชนิดกินได้-ล้างออกง่าย ช่วยยืดอายุได้ 2.5 เท่า ด้วย ‘ต้นทุนต่ำ’ หวังลดขยะอาหารทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนประสบความสำเร็จในการพัฒนา ‘สารเคลือบผลไม้’ ชนิดใหม่ที่สามารถรับประทานได้และล้างออกได้ง่าย โดยสารเคลือบนี้สามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้ได้ยาวนานขึ้นถึง 2.5 เท่า ด้วยการลดการสูญเสียความชื้นและการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ การค้นพบนี้นำเสนอทางออกต่อปัญหาการสูญเสียอาหารทั่วโลก

 

สารเคลือบที่มี ‘ต้นทุนต่ำ’ เพียง 9 เซ็นต์ (ประมาณ 3 บาท) ต่อผลไม้ 1 กิโลกรัมนี้ ได้รับการทดสอบกับผลไม้ทั้งลูกและผลไม้หั่นกว่า 17 ชนิด รวมถึงสตรอว์เบอร์รี, มะเขือเทศ, กีวี และมะม่วง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถชะลอการเน่าเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพเกือบหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น

 

ตามรายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications กลยุทธ์ใหม่นี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับวิธีการถนอมอาหารที่มีอยู่ แต่มีข้อดีเพิ่มเติมคือช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดความเสี่ยงด้านความเป็นพิษ

 

ทีมวิจัยนำโดยนักวิทยาศาสตร์จาก Shaanxi Normal University ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมว่า “เพื่อรับมือกับความท้าทายสำคัญในการถนอมผลไม้ที่เน่าเสียง่าย เรานำเสนอการเคลือบผิวด้วยโปรตีนคล้ายอะมิลอยด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งพัฒนาขึ้นจากการจำลองระดับโมเลกุลด้วยคอมพิวเตอร์”

 

พวกเขายืนยันว่า “ด้วยคุณสมบัติที่รับประทานได้ ล้างออกง่าย และต้นทุนต่ำ สารเคลือบนี้จึงแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ได้ทั่วไปสำหรับผลไม้หลังการเก็บเกี่ยวและผลไม้ตัดแต่ง”

 

โดยเฉลี่ยแล้วประมาณหนึ่งในสามของอาหารที่ผลิตทั่วโลกต้องถูกทิ้งไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่เน่าเสียง่ายอย่างผักและผลไม้ แม้ผลไม้ทุกชนิดจะมีเกราะป้องกันตามธรรมชาติบนพื้นผิว แต่การเก็บเกี่ยวทำให้พวกมันเน่าเสียง่ายเนื่องจากการคายน้ำ การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ การออกซิเดชัน และการเน่าเสียตามธรรมชาติ

 

ซึ่งจำกัดอายุการเก็บรักษาลง วิธีการยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้ที่เคยมีการสำรวจมา ได้แก่ การดัดแปลงพันธุกรรม การเคลือบด้วยแว็กซ์ การเก็บรักษาแบบเย็น และการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์

 

นักวิจัยเลือกใช้โปรตีนคล้ายอะมิลอยด์ที่เปลี่ยนสถานะได้ ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตกาวกันน้ำและสารเคลือบผ้ากันคราบ โปรตีนคล้ายอะมิลอยด์นี้สามารถละลายน้ำได้และสามารถฉีดพ่นลงบนผิวผลไม้ได้ นักวิจัยนำโปรตีนนี้มารวมกับโมเลกุลของสารต้านจุลชีพเพื่อสร้างสารเคลือบดังกล่าว

 

“ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของสารเคลือบโปรตีนคล้ายอะมิลอยด์ มาจากความสามารถในการกระจายตัว การสร้างฟิล์ม การยึดเกาะที่แข็งแกร่ง และความสม่ำเสมอของสารเคลือบบนผิวผลไม้ ซึ่งส่งผลให้สารเคลือบมีความคงตัวดีขึ้นและยืดอายุการเก็บรักษาได้ยาวนานขึ้น” ทีมงานระบุในรายงาน

 

ทีมวิจัยกล่าวว่า “สารเคลือบของเราช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 90% เมื่อเทียบกับวิธีแช่เย็นมาตรฐาน ในขณะที่ยืดอายุการเก็บรักษาได้ 2.5 เท่า” สารเคลือบนี้สามารถชะลอการเน่าเสียของผลไม้พร้อมทั้งรักษาคุณค่าทางโภชนาการได้ 60-98% ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการถนอมอาหารด้วยสารเคมีโดยไม่มีความเสี่ยงต่อความเป็นพิษ

 

ตัวอย่างเช่น สตรอว์เบอร์รีที่ไม่มีการเคลือบแสดงสัญญาณการเน่าเสียที่ชัดเจนหลังจาก 4 วัน และมีเชื้อราเติบโตอย่างรุนแรงภายในวันที่ 10 แต่สตรอว์เบอร์รีที่เคลือบกลับไม่มีสัญญาณการเน่าเสียเลยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ สารเคลือบยังสามารถเพิ่มอายุการเก็บรักษาของมะเขือเทศเชอร์รีจาก 6 วันเป็น 16 วัน, ส้มจี๊ดจาก 15 วันเป็น 30 วัน, และกล้วยกับมะม่วงจาก 2 วันเป็น 8 วัน

 

ทีมนักวิจัยจาก Tianjin University, Xinjiang Normal University, Changan University และ Second Affiliated Hospital of Xian Jiaotong University ก็มีส่วนร่วมในการศึกษานี้ด้วย เพื่อทดสอบ ‘ความปลอดภัย’ ทางชีวภาพของสารเคลือบนี้ พวกเขาให้อาหารหนูที่เคลือบด้วยสารนี้ และพบว่าหนูไม่มี “การเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพที่ชัดเจน”

 

และผลการตรวจเลือด ไต และตับก็เป็นปกติ ทีมงานยืนยันว่า “คุณสมบัติที่เข้ากันได้ทางชีวภาพ กินได้ และล้างออกง่ายของสารเคลือบนี้เป็นทางเลือกที่ใช้งานได้จริงและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับการถนอมอาหาร”

 

ภาพ: Fotokon / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post นักวิทย์จีนพัฒนา ‘สารเคลือบผลไม้’ ชนิดกินได้-ล้างออกง่าย ช่วยยืดอายุได้ 2.5 เท่า ด้วย ‘ต้นทุนต่ำ’ หวังลดขยะอาหารทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>