Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 07 Oct 2025 05:30:42 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 OpenAI เผยผู้ใช้งาน ChatGPT ทะลุ 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ เปิดตัว AgentKit ชุดเครื่องมือสร้าง AI Agent ตั้งเป้าเป็น Canva แห่งโลก AI https://thestandard.co/openai-chatgpt-800-million-agentkit/ Tue, 07 Oct 2025 05:30:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1127474 ChatGPT AgentKit

Sam Altman ซีอีโอ OpenAI เผย ChatGPT มียอดผู้ใช้งานประจ […]

The post OpenAI เผยผู้ใช้งาน ChatGPT ทะลุ 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ เปิดตัว AgentKit ชุดเครื่องมือสร้าง AI Agent ตั้งเป้าเป็น Canva แห่งโลก AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
ChatGPT AgentKit

Sam Altman ซีอีโอ OpenAI เผย ChatGPT มียอดผู้ใช้งานประจำทุกสัปดาห์ทะลุ 800 ล้านคน พร้อมทั้งเปิดตัว AgentKit เครื่องมือที่ช่วยสร้าง AI Agents ได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน

 

การประกาศดังกล่าวมีขึ้นในงาน Dev Day ซึ่งเป็นงานประชุมนักพัฒนาประจำปีของบริษัทเมื่อวานนี้ (6 ตุลาคม) โดย Sam Altman ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OpenAI เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้คนกว่า 800 คน ใช้งาน ChatGPT ในทุกสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจาก 700 คนต่อสัปดาห์ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

 

พร้อมกันนี้ OpenAI ได้ประกาศเปิดตัว AgentKit ชุดเครื่องมือครบวงจรสำหรับนักพัฒนาในการสร้างและปรับใช้ AI Agents ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอนได้โดยอัตโนมัติ ไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อคำสั่ง

 

Altman เปรียบเทียบเครื่องมือชิ้นสำคัญในชุดนี้อย่าง AgentKit ว่าเป็นเหมือน “Canva สำหรับการสร้าง Agent” ซึ่งเป็นการส่งสาส์นที่ชัดเจนว่า OpenAI ต้องการทำให้การสร้าง AI ที่ซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

 

“AgentKit คือทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อสร้าง, ปรับใช้ และเพิ่มประสิทธิภาพเวิร์กโฟลว์ของ Agent โดยมีอุปสรรคที่น้อยลงอย่างมาก” Altman กล่าว

 

4 เครื่องมือหลักใน AgentKit

  1. Agent Builder เครื่องมือสร้าง Agent ในรูปแบบภาพ (Visual) ที่ใช้งานง่าย Altman เปรียบเปรยว่าเป็นเหมือน Canva แห่งโลก AI ช่วยให้นักพัฒนาสามารถออกแบบตรรกะและขั้นตอนการทำงานของ Agent ได้อย่างรวดเร็ว
  2. ChatKit อินเทอร์เฟซการแชทสำเร็จรูปที่นักพัฒนาสามารถนำไปฝังในแอปพลิเคชันของตนเองได้ง่าย พร้อมทั้งปรับแต่งแบรนด์และกระบวนการทำงานได้เอง
  3. Evals for Agents ชุดเครื่องมือสำหรับวัดผลประสิทธิภาพของ Agent อย่างละเอียด ตั้งแต่การให้คะแนนการทำงานทีละขั้นตอน ไปจนถึงการปรับพรอมต์ให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการนำไปใช้งานจริงในระดับองค์กร
  4. Connector Registry ระบบที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อ Agent เข้ากับเครื่องมือภายในองค์กรหรือระบบภายนอก เช่น Database, CRM ได้อย่างปลอดภัยภายใต้การควบคุมของผู้ดูแลระบบ

 

Christina Huang วิศวกรของ OpenAI ได้ทำการสาธิตสดบนเวที โดยสามารถสร้างเวิร์กโฟลว์ AI ทั้งหมดและ AI Agent ถึง 2 ตัวได้สำเร็จโดยใช้เวลาไม่ถึง 8 นาที

 

ภาพ: OpenAI

อ้างอิง:

 

The post OpenAI เผยผู้ใช้งาน ChatGPT ทะลุ 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ เปิดตัว AgentKit ชุดเครื่องมือสร้าง AI Agent ตั้งเป้าเป็น Canva แห่งโลก AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
Global Witness แฉ อัลกอริทึม TikTok ชวนเด็ก 13 ปี ดูเนื้อหาลามก แม้เปิดโหมดจำกัดเนื้อหา https://thestandard.co/tiktok-algorithm-explicit-content-minor/ Tue, 07 Oct 2025 02:44:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1127385 TikTok อัลกอริทึม

Global Witness องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรในสหราชอาณาจักร รา […]

The post Global Witness แฉ อัลกอริทึม TikTok ชวนเด็ก 13 ปี ดูเนื้อหาลามก แม้เปิดโหมดจำกัดเนื้อหา appeared first on THE STANDARD.

]]>
TikTok อัลกอริทึม

Global Witness องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรในสหราชอาณาจักร รายงานว่า ได้พบรายงานว่าแพลตฟอร์ม TikTok มีการแนะนำคำค้นหาเชิงลามกให้กับผู้ใช้งานวัยรุ่นอายุเพียง 13 ปี ผ่านระบบ ‘คำค้นหาแนะนำ’ ซึ่งแม้จะเปิดใช้งานในโหมดจำกัด ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

 

โดยการเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรและอเมริกา กำลังเดินหน้าผลักดันกฎหมายควบคุมความปลอดภัยบนช่องทางออนไลน์สำหรับเด็กอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่อง การยืนยันอายุผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นประเด็นที่บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดันให้ปรับตัวอย่างหนัก

 

อีกทั้ง ผลการตรวจสอบพบว่า แม้บัญชีผู้ใช้งานใหม่ที่ระบุอายุเพียง 13 ปีจะใช้งานได้ไม่นาน TikTok ก็ยังแสดงคำแนะนำการค้นหาที่มีลักษณะเชิงทางเพศอย่างชัดเจน ซึ่งการทดสอบใน 3 จาก 7 บัญชี หลังจากตั้งค่าบัญชีเสร็จ และปัดหน้าจอเพียงไม่กี่ครั้ง ผู้ใช้งานก็จะเห็นเนื้อหาลามกปรากฏบนหน้าจอ

 

Global Witness ระบุว่า ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ TikTok ปล่อยให้เยาวชนเห็นเนื้อหาลามกเท่านั้น แต่ระบบอัลกอริทึมกลับมีบทบาทในการชี้นำให้เข้าใกล้เนื้อหาดังกล่าวอย่างจงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบแนะนำเนื้อหาในแพลตฟอร์ม

 

นับว่าแรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้น หลังสหราชอาณาจักรประกาศใช้กฎหมาย Online Safety Act ซึ่งมุ่งคุ้มครองเด็กหรือเยาวชนบนโลกออนไลน์ ซึ่งมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

 

มาร์ก สตีเฟนส์ ทนายความด้านสื่อชื่อดัง แสดงความเห็นว่า ผลการตรวจสอบดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมาย ตามบทบัญญัติใน Online Safety Act ซึ่งกำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องควบคุมเนื้อหาที่เผยแพร่ และใช้ระบบยืนยันอายุเพื่อป้องกันเด็กจากสื่อลามกหรือเนื้อหาที่เป็นอันตราย

 

โฆษกของ TikTok ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่าบริษัทได้ตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว พร้อมลบเนื้อหาที่ละเมิดนโยบายออกจากระบบ และปรับปรุงระบบคำแนะนำการค้นหาให้รัดกุมมากขึ้น และยืนยันว่า TikTok มีฟีเจอร์และการตั้งค่ามากกว่า 50 รายการ เพื่อสนับสนุนความปลอดภัยของผู้ใช้งานวัยรุ่น และบริษัทสามารถลบวิดีโอที่ละเมิดนโยบายได้มากถึง 9 ใน 10 คลิปก่อนที่ผู้ใช้งานจะได้เห็นด้วยซ้ำ

 

สอดคล้องกับรายงานความโปร่งใสของ TikTok ประจำไตรมาสแรกปี 2025 พบว่า ราว 30% ของเนื้อหาที่ถูกลบออกจากแพลตฟอร์มทั่วโลกมีลักษณะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่อ่อนไหวและไม่เหมาะสม

 

นอกจากนี้ TikTok ยังใช้เทคโนโลยีตรวจจับอายุ เพื่อลบบัญชีผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 13 ปีออกจากระบบเฉลี่ย 6 ล้านบัญชีต่อเดือน พร้อมฝึกอบรมทีมผู้ตรวจสอบเนื้อหาให้สามารถระบุพฤติกรรมหรือสัญญาณที่บ่งชี้ว่าผู้ใช้อาจยังไม่ถึงเกณฑ์อายุที่กำหนด และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายังเปิดตัวฟีเจอร์ guided meditation เพื่อดูแลผู้ใช้วัยรุ่น โดยการช่วยลดการใช้งานหน้าจอ และระบบปิดการแจ้งเตือนในช่วงเวลาดึก เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้งานพักผ่อนอย่างเพียงพอ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ TikTok เท่านั้นที่ถูกจับตามองเรื่องความปลอดภัยของเยาวชนบนโลกออนไลน์ แต่รวมถึง YouTube ที่เพิ่งเปิดระบบ AI ตรวจจับอายุของผู้ใช้และปรับมาตรการความปลอดภัยอัตโนมัติตามช่วงวัย ขณะที่ Instagram ได้ตั้งค่าให้บัญชีของผู้ใช้งานวัยรุ่นเป็นบัญชีส่วนตัวโดยอัตโนมัติตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

 

สถานการณ์ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก ให้แสดงความรับผิดชอบต่อผู้ใช้งานที่เป็นเยาวชน และสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยกับเสรีภาพบนโลกออนไลน์ ที่สังคมกำลังให้ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน

 

ภาพ: Camilo Concha / shutterstock

อ้างอิง:

The post Global Witness แฉ อัลกอริทึม TikTok ชวนเด็ก 13 ปี ดูเนื้อหาลามก แม้เปิดโหมดจำกัดเนื้อหา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ซีอีโอ Goldman Sachs เตือน ‘หุ้น’ เสี่ยงปรับฐานครั้งใหญ่ ในอีก 1-2 ปี https://thestandard.co/goldman-sachs-ceo-warns-stock-correction/ Sun, 05 Oct 2025 04:58:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1126681 David Solomon ซีอีโอ Goldman Sachs เตือนตลาดหุ้นทั่วโลกเสี่ยงปรับฐานครั้งใหญ่จากกระแส AI

David Solomon ซีอีโอของ Goldman Sachs เตือนตลาดหุ้นเสี่ […]

The post ซีอีโอ Goldman Sachs เตือน ‘หุ้น’ เสี่ยงปรับฐานครั้งใหญ่ ในอีก 1-2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
David Solomon ซีอีโอ Goldman Sachs เตือนตลาดหุ้นทั่วโลกเสี่ยงปรับฐานครั้งใหญ่จากกระแส AI

David Solomon ซีอีโอของ Goldman Sachs เตือนตลาดหุ้นเสี่ยงปรับฐานครั้งใหญ่ใหญ่ใน 1-2 ปีข้างหน้า สัญญาณซ้ำรอย ‘ฟองสบู่ดอทคอม’

 

David Solomon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Goldman Sachs หนึ่งในสถาบันการเงินผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกซึ่งทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์จากกระแสความคลั่งไคล้ในปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการปรับตัวลดลงครั้งสำคัญในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

 

Solomon กล่าวในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับวิกฤต ‘ฟองสบู่ดอทคอม’ (Dot-com Bubble) ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นคำเตือนที่ตอกย้ำความกังวลของนักลงทุนระดับโลกหลายราย

 

Solomon อธิบายว่า ตลาดมักจะเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร โดยเฉพาะเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก “เมื่อใดก็ตามที่เรามีการเร่งตัวขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างการก่อตัวของเงินทุนจำนวนมาก โดยทั่วไปคุณจะเห็นว่าตลาดวิ่งนำหน้าศักยภาพไปก่อน มันจะมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้”

 

เขาชี้ว่าปรากฏการณ์นี้คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับยุคอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู ซึ่งแม้จะสร้างบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้นักลงทุนจำนวนมากต้องสูญเสียเงินมหาศาลไปกับบริษัทที่ไม่สามารถอยู่รอดได้

 

“ผมจะไม่แปลกใจถ้าในอีก 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า เราจะได้เห็นการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น ผมคิดว่าจะมีเงินทุนจำนวนมากที่ถูกนำไปใช้แล้วปรากฏว่าไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ผู้คนจะรู้สึกไม่ดี” โซโลมอนกล่าว

 

แม้จะหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า ‘ฟองสบู่’ โดยตรง แต่โซโลมอนได้อธิบายถึงจิตวิทยาของตลาดกระทิงในปัจจุบันว่า “ผมรู้ว่าผู้คนกำลังยอมรับความเสี่ยงมากขึ้นเพราะพวกเขากำลังตื่นเต้น และเมื่อนักลงทุนตื่นเต้น พวกเขามักจะคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่อาจเกิดขึ้น และลดความสำคัญของสิ่งที่คุณควรจะสงสัยว่าอาจผิดพลาดได้”

 

“มันจะมีการปรับฐาน จะมีการตรวจสอบ ณ จุดใดจุดหนึ่ง จะมีการปรับตัวลดลง อย่างแน่นอน” Solomon กล่าว

 

คำเตือนของโซโลมอนสอดคล้องกับมุมมองของผู้นำธุรกิจคนอื่นๆ โดยในงานเดียวกัน Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ได้ระบุว่า AI กำลังอยู่ในภาวะ “ฟองสบู่อุตสาหกรรม” ขณะที่นักลงทุนระดับตำนานอย่าง Leon Cooperman ก็ได้เตือนว่าตลาดกำลังอยู่ใน “ช่วงท้ายของตลาดกระทิงที่ซึ่งฟองสบู่สามารถก่อตัวขึ้นได้”

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะเตือนถึงความเสี่ยงในระยะสั้นถึงกลาง แต่ Solomon ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกอย่างยิ่งต่อศักยภาพของเทคโนโลยี AI ในระยะยาว

 

“สิ่งที่น่าตื่นเต้นสุดๆ คือเทคโนโลยีกำลังขยายตัว บริษัทใหม่ๆ กำลังก่อตั้งขึ้น และศักยภาพของเทคโนโลยีนี้เมื่อนำไปใช้ในระดับองค์กรจะมีพลังอย่างยิ่งยวด ดังนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นครับ” Solomon กล่าว

 

อ้างอิง:

The post ซีอีโอ Goldman Sachs เตือน ‘หุ้น’ เสี่ยงปรับฐานครั้งใหญ่ ในอีก 1-2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
Jeff Bezos ชี้อุตสาหกรรม AI กำลังเกิด ‘ฟองสบู่’ แต่เชื่อเทคโนโลยีจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้สังคม https://thestandard.co/jeff-bezos-ai-bubble-society-benefit/ Sat, 04 Oct 2025 05:03:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1126331 Jeff Bezos AI ฟองสบู่

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่ […]

The post Jeff Bezos ชี้อุตสาหกรรม AI กำลังเกิด ‘ฟองสบู่’ แต่เชื่อเทคโนโลยีจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้สังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Jeff Bezos AI ฟองสบู่

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี ให้ความเห็นเกี่ยวกับกระแส AI โดยระบุว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมปัจจุบันคือภาวะฟองสบู่ แต่เขาย้ำว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเสมอไป เพราะเทคโนโลยี AI นั้นเป็นของจริงและท้ายที่สุดจะสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับสังคม

 

Bezos ได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวบนเวทีงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 ตุลาคม) ซึ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองที่ทั้งยอมรับถึงความร้อนแรงเกินจริงของตลาด และในขณะเดียวกันก็แสดงความเชื่อมั่นอย่างสูงต่อศักยภาพของเทคโนโลยีในระยะยาว

 

เบโซสอธิบายลักษณะของภาวะฟองสบู่ที่กำลังเกิดขึ้นในวงการ AI ว่ามีลักษณะสำคัญหลายประการ ได้แก่

 

  1. มูลค่าที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน จากราคาหุ้นหรือมูลค่าของบริษัทต่างๆ ไม่เชื่อมโยงกับปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ
  2. ความตื่นเต้นอย่างกว้างขวาง ซึ่ง “ผู้คนจะตื่นเต้นกันมาก เหมือนที่พวกเขากำลังตื่นเต้นกับปัญญาประดิษฐ์ในวันนี้”
  3. เงินทุนที่ไหลเข้าทุกไอเดีย ในช่วงฟองสบู่ทุกการทดลองหรือทุกไอเดียจะได้รับการสนับสนุนทางการเงิน 

 

“ทั้งไอเดียที่ดีและไอเดียที่ไม่ดี และนักลงทุนจะมีความยากลำบากในการแยกแยะระหว่างสองสิ่งนี้ ซึ่งก็น่าจะกำลังเกิดขึ้นในวันนี้เช่นกัน” Bezos กล่าว พร้อมยกตัวอย่าง “พฤติกรรมที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง” เช่น การที่บริษัทที่มีพนักงานเพียง 6 คน สามารถระดมทุนได้หลายพันล้านดอลลาร์

 

แสงสว่างในภาวะฟองสบู่

 

อย่างไรก็ตาม Bezos กลับมองว่าฟองสบู่ในเชิงอุตสาหกรรมเช่นนี้อาจส่งผลดีในระยะยาว เขาได้เปรียบเทียบกับ ฟองสบู่ของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพและยาในทศวรรษ 1990 ซึ่งแม้จะมีบริษัทจำนวนมากล้มละลายไป แต่ช่วงเวลาดังกล่าวก็ได้เร่งให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและยาที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ในที่สุด

 

“ฟองสบู่ที่เป็นเชิงอุตสาหกรรมนั้นไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น มันอาจจะดีด้วยซ้ำ เพราะเมื่อฝุ่นจางลงและคุณเห็นว่าใครคือผู้ชนะ สังคมจะได้รับประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้น นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน นี่คือของจริง ประโยชน์ต่อสังคมจาก AI จะมหาศาลมาก” Bezos กล่าว

 

ขณะที่ผู้นำในโลกเทคโนโลยีและธุรกิจคนอื่นๆ ต่างให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ อาทิ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI เคยมีรายงานว่าเขากล่าวในเดือนสิงหาคมว่าตลาด AI กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่ ขณะที่ David Solomon CEO ของ Goldman Sachs กล่าวในงานเดียวกันเมื่อวันศุกร์ว่า “เมื่อนักลงทุนตื่นเต้น พวกเขามักจะคิดถึงแต่สิ่งดีๆ และลดความสำคัญของสิ่งที่ควรจะสงสัย มันจะมีการปรับฐานอย่างแน่นอน”

 

ด้าน Karim Moussalem จาก Selwood Asset Management เปรียบเปรยว่า “การลงทุนในธีม AI เริ่มคล้ายกับหนึ่งในความคลั่งไคล้ในการเก็งกำไรครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของตลาด”

 

อ้างอิง:

The post Jeff Bezos ชี้อุตสาหกรรม AI กำลังเกิด ‘ฟองสบู่’ แต่เชื่อเทคโนโลยีจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้สังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI กำลังครองตลาดหุ้นทั่วโลก ดันหุ้นโลกบวก 6 วันรวด ขณะที่ Alibaba กลับมาร้อนแรง มูลค่าฟื้น 8 ล้านล้านบาท https://thestandard.co/ai-global-stock-market-alibaba/ Fri, 03 Oct 2025 09:46:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1126049 AI หนุนตลาดหุ้นโลก หุ้นบวกต่อเนื่อง Alibaba ฟื้นตัวมูลค่า 8 ล้านล้านบาท

ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ล่าสุด […]

The post AI กำลังครองตลาดหุ้นทั่วโลก ดันหุ้นโลกบวก 6 วันรวด ขณะที่ Alibaba กลับมาร้อนแรง มูลค่าฟื้น 8 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI หนุนตลาดหุ้นโลก หุ้นบวกต่อเนื่อง Alibaba ฟื้นตัวมูลค่า 8 ล้านล้านบาท

ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ล่าสุด ดัชนี MSCI All Country World Index ปรับตัวขึ้น 6 วันรวด ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหุ้นโลกพุ่งขึ้นมาแล้ว 18% โดยปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยให้ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องคือ กระแสความเชื่อมั่นในกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง

 

ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสวนทางกับความเสี่ยงทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับภาวะ Government Shutdown สะท้อนว่าในขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักกับโอกาสการเติบโตของเทคโนโลยี AI มากกว่าความวุ่นวายทางการเมืองในระยะสั้น

 

หุ้นแพง แต่ยังห่างไกลฟองสบู่แตก

 

กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่เชื่อมโยงกับ AI ของสหรัฐฯ แข็งแกร่งมาก หลังจากที่กำไรของหลายบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมองว่า แม้หุ้นสหรัฐฯ จะมี P/E กว่า 20 เท่า แต่ท้ายที่สุดจะค่อยๆ ลดลงจากกำไรที่เติบโตได้ทัน

 

ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีจีน อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘หุ้นแถวสอง’ ซึ่งนักลงทุนมองว่ามีโอกาสจะเติบโตตามหุ้นสหรัฐฯ ส่วนหุ้นทั่วโลกที่ยังเป็นขาขึ้นได้ปัจจัยหนุนสำคัญจากเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง และความไม่เชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ จึงเห็นแรงขายพันธบัตรสหรัฐฯ ทำให้เงินทุนไหลเข้ามายังตลาดหุ้น ทองคำ และคริปโต

 

“จุดที่น่าสนใจคือ กำไรของหุ้นเทคโนโลยีจะตอบรับกับความคาดหวังไปได้ต่อเนื่องแค่ไหน และเม็ดเงินการลงทุน (CAPEX) การลงทุนใน AI ที่สูงผิดปกติในช่วงนี้ หากเริ่มลดลงอาจจะเห็นตลาดหุ้นพักฐานได้ แต่เชื่อว่าอาจจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ อย่างเร็วน่าจะเป็นปีหน้า”​ กรรณ์กล่าว

 

กรรณ์กล่าวต่อว่า แนวโน้มหุ้นฝั่งเอเชียในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020s น่าจะกลับมาโดดเด่นกว่าหุ้นสหรัฐฯ ได้ แม้เราจะเห็นหุ้นสหรัฐฯ เติบโตได้ต่อในช่วงปี 2026 – 2028 แต่การปรับตัวขึ้นอาจไม่รุนแรงเท่ากับ 4-5 ปีที่ผ่านมา

 

โดยสรุปแล้วแม้ราคาหุ้นโลกในเวลานี้จะแพง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณอันตรายจากภาวะฟองสบู่มากนัก ต่างไปจากวิกฤตดอทคอมในอดีต เพราะกำไรของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง

 

AI พาหุ้นเทคจีนทะยาน! Alibaba พุ่งกว่า 120%

 

ฟากตลาดหุ้นจีนกำลังอยู่ในภาวะกระทิงครั้งใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดในรอบหลายปี แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปในครั้งนี้คือพลังขับเคลื่อนที่ไม่ได้มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นหลักอีกต่อไป แต่มาจากกระแสความคลั่งไคล้ใน AI ซึ่งเป็นเทรนด์เดียวกับที่กำลังขับเคลื่อนตลาดหุ้นทั่วโลก

 

เอริก หว่อง ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Stillpoint Investments กล่าวว่า “ความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลจะทำและไม่ทำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่จะนำเงินไปลงทุนในส่วนของเศรษฐกิจที่พวกเขาคิดว่ามีการเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษ” และส่วนนั้นก็คือ AI

 

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการพุ่งขึ้นอย่างมหาศาลของราคาหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI ในจีนนับตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะ Alibaba ผู้พัฒนาระบบ AI โอเพนซอร์สที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ราคาหุ้น พุ่งขึ้นกว่า 120% ในปีนี้ เพิ่มมูลค่าตลาดไปแล้วกว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 8 ล้านล้านบาท

 

Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ผู้ผลิตชิปที่ล้ำสมัยที่สุดของจีน ราคาหุ้น ทะยานขึ้นถึงประมาณ 180% ขณะที่ Baidu, Tencent และ Xiaomi ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นราว 60% ในปีนี้

 

เมื่อเปรียบเทียบกับ Nvidia ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ AI Boom ทั่วโลก และเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นประมาณ 40% ในปีนี้

 

ที่น่าสนใจคือ ดัชนีหุ้นจีนในปัจจุบันถูกครอบงำโดยบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น โดย 3 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Tencent, Alibaba และ Xiaomi มีน้ำหนักรวมกันคิดเป็นประมาณ 30% ของดัชนี

 

วินนี วู หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นจีนของ BofA Global Research ได้ขนานนามจีนว่าเป็น “ผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งของโลกในด้าน AI” โดยชี้ถึงจุดแข็งทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐ, ข้อมูลมหาศาล, แหล่งพลังงานที่เพียงพอ, ความสามารถในการผลิตชั้นนำ และภาคเอกชนที่มีการแข่งขันสูง

 

AI ดูดเม็ดเงินทุบสถิติเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์

 

ข้อมูลล่าสุดจาก PitchBook เผยว่า สตาร์ทอัพในกลุ่ม AI ได้กลายเป็น ‘หลุมดำ’ ที่ดูดเม็ดเงินลงทุนไปแล้วถึง 1.927 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6 ล้านล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

 

ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ปี 2025 กำลังจะกลายเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ที่เม็ดเงินลงทุน VC กว่าครึ่งหนึ่งของโลก ราว 53.2% ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรม AI เพียงกลุ่มเดียว แต่ในทางกลับกัน สตาร์ทอัพนอกสายตา โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ AI กลับกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการระดมทุน

 

ไคล์ แซนฟอร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ PitchBook สรุปภาพตลาดในปัจจุบันไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน ตลาดก็ถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คุณอยู่ในวงการ AI หรือไม่ก็ไม่ใช่ คุณเป็นบริษัทใหญ่ หรือไม่ก็ไม่ใช่”

 

เงินทุนส่วนใหญ่ไม่ได้กระจายไปยังสตาร์ทอัพ AI หน้าใหม่ทั้งหมด แต่กลับไปกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทที่เป็นที่ยอมรับและเป็นผู้นำในตลาดอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่นในไตรมาสล่าสุด สตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Anthropic และ xAI ของ อีลอน มัสก์ ต่างก็สามารถระดมทุนได้ในระดับหลายพันล้านดอลลาร์

 

โดยกลุ่ม AI กำลังเฟื่องฟู สตาร์ทอัพในกลุ่มอื่นๆ กลับต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้าย ทั้งจำนวนบริษัททั่วโลกที่สามารถระดมทุน VC ได้สำเร็จในปี 2025 กำลังจะแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปี

 

ขณะที่จำนวนบริษัท VC ที่สามารถระดมทุนจัดตั้งกองทุนใหม่ก็ลดลงเช่นกัน ข้อมูลจาก PitchBook ชี้ว่า ปีนี้มีกองทุนใหม่เพียง 823 กองทุนที่ระดมทุนได้ราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงอย่างฮวบฮาบเมื่อเทียบกับปี 2022 ที่มีถึง 4,430 กองทุน ระดมทุนได้กว่า 4.12 แสนล้านดอลลาร์

 

แซนฟอร์ดอธิบายว่า ปัจจัยสำคัญมาจากผลพวงของตลาด IPO และการควบรวมกิจการ (M&A) ที่ยังคงซบเซา ทำให้นักลงทุนในกองทุน VC (Limited Partners) และบริษัท VC เอง “พิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้นว่าจะนำเงินไปลงทุนที่ไหน และพวกเขากำลังมุ่งเน้นไปที่ AI” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเดิมพันที่ปลอดภัยและมีศักยภาพการเติบโตสูงสุดในขณะนี้

 

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างล้นหลามต่อศักยภาพของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายครั้งใหญ่ให้กับระบบนิเวศสตาร์ทอัพในภาพรวม ที่อาจขาดความหลากหลายและนวัตกรรมใหม่ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เท่าที่ควร

 

ภาพ: Connect Images/KaPe Schmidt / Getty Images

อ้างอิง:

The post AI กำลังครองตลาดหุ้นทั่วโลก ดันหุ้นโลกบวก 6 วันรวด ขณะที่ Alibaba กลับมาร้อนแรง มูลค่าฟื้น 8 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
อีลอน มัสก์จุดชนวนดราม่า! เรียกร้องให้เลิกสมัคร Netflix ซัดปมซีรีส์ตัวละครข้ามเพศ แต่ไม่สะเทือนราคาหุ้น https://thestandard.co/elonmusk-cancelnetflix-transgender-woke/ Fri, 03 Oct 2025 02:46:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1125909 ElonMusk-CancelNetflix-Transgender-Woke

อีลอน มัสก์ เจ้าของแพลตฟอร์ม X ได้ออกโรงเรียกร้องให้ผู้ […]

The post อีลอน มัสก์จุดชนวนดราม่า! เรียกร้องให้เลิกสมัคร Netflix ซัดปมซีรีส์ตัวละครข้ามเพศ แต่ไม่สะเทือนราคาหุ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ElonMusk-CancelNetflix-Transgender-Woke

อีลอน มัสก์ เจ้าของแพลตฟอร์ม X ได้ออกโรงเรียกร้องให้ผู้ติดตามของตนเองยกเลิกการเป็นสมาชิกของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Netflix โดยโพสต์สั้นๆ ว่า ‘ยกเลิก Netflix เพื่อสุขภาพของลูกคุณ’ โดยโพสต์นี้เป็นการตอบกลับต่อภาพหนึ่งที่กล่าวหาว่า Netflix กำลังผลักดันวาระทางความคิดแบบตื่นรู้เกี่ยวกับคนข้ามเพศ

 

จุดชนวนของดราม่าครั้งนี้เกิดจากกระแสต่อต้านของกลุ่มอนุรักษ์นิยมต่อซีรีส์แอนิเมชันเรื่อง Dead End: Paranormal Park ของ Netflix ซึ่งมีตัวละครข้ามเพศอยู่ในเรื่อง แม้ซีรีส์นี้จะถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่ปี 2023 หลังออกอากาศเพียง 2 ซีซัน

 

แต่อีลอน มัสก์ ยังได้โพสต์ข้อความเชิงต่อต้านคนข้ามเพศหลายครั้ง รวมถึงตอบกลับโพสต์ที่กล่าวหาว่า ฮามิช สตีล ผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้ เคยแสดงความเห็นที่ถูกตีความว่าเป็นการเยาะเย้ย เหตุการณ์ฆาตกรรมของ ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวสายอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นโพสต์ที่ถูกเผยแพร่โดยบัญชี X ฝ่ายอนุรักษ์นิยมขนาดใหญ่

 

ฮามิช สตีล ผู้สร้างซีรีส์ Dead End: Paranormal Park ได้ออกมาตอบโต้คำเรียกร้องของอีลอน มัสก์ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียคู่แข่งอย่าง Bluesky ด้วยข้อความสั้นๆ ว่า ‘วันนี้คงจะเป็นวันที่แปลกๆ แน่นอน’ และยังได้แชร์โพสต์จากนักเขียนบทโทรทัศน์ แจ็ค เบิร์นฮาร์ด ที่ชื่นชมว่า Dead End เป็นซีรีส์ที่ยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยตัวละครที่อบอุ่นและน่ารัก ขณะที่ Netflix ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว

 

ส่วนนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กลับมองว่ากระแสต่อต้านที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ภัยคุกคามที่รุนแรงต่อ Netflix อย่างที่อีลอน มัสก์คาดหวังไว้ สะท้อนจากไตรมาสที่ 4 ปี 2024 Netflix รายงานตัวเลขผู้สมัครสมาชิกอยู่ที่ 301.63 ล้านราย ซึ่งเป็นตัวเลขสุดท้ายก่อนที่บริษัทจะไม่เปิดเผยอีก เพราะจะหันมาเน้นเรื่องรายได้มากกว่าจำนวนสมาชิก

 

อีกทั้ง Netflix ยังมีมูลค่าตลาดประมาณ 4.9 แสนล้านดอลลาร์ และในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นได้พุ่งขึ้นกว่า 60% แม้สัปดาห์นี้จะปรับลดลงเล็กน้อยที่ประมาณ 4%

 

อลิเซีย รีส นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า อีลอน มัสก์ออกมาพูดช้าเกินไป ทำให้ในช่วงไตรมาสที่ 3 Netflix ไม่ได้รับผลกระทบทั้งในเรื่องของจำนวนสมาชิกและราคาหุ้น และหลังจากนี้หากได้รับผลกระทบ รายได้ก็จะถูกชดเชยด้วยฝั่งโฆษณาที่เพิ่มขึ้น

 

ด้าน ทิม ซีมัวร์ นักวิเคราะห์จาก Seymour Asset Management แสดงความเห็นว่า ถึงแม้กระแสข่าวในวันเดียวอาจทำให้ราคาหุ้นผันผวนบ้าง แต่ในระยะยาว หุ้นของ Netflix จะมีมูลค่าสูงเกินกว่าจะได้รับผลกระทบจากดราม่าบนโลกออนไลน์ เพราะที่ผ่านมา เคยเห็นหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาที่ล้มเหลว หรือบริษัทที่ถูกมองว่าผูกโยงกับการเมืองบางฝ่าย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุผลที่จะขายหุ้น Netflix ในตอนนี้

 

อย่างไรก็ตาม กระแสเรียกร้องให้แบน Netflix ครั้งนี้ มีลักษณะคล้ายกับกรณีของบริษัท Anheuser-Busch InBev ในปี 2023 ที่ถูกบอยคอตต์ หลังโฆษณา Bud Light ที่มี ดีแลน มัลเวนีย์ อินฟลูเอนเซอร์ข้ามเพศเข้าร่วมโปรโมต และกระแสดังกล่าวจะอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

 

ภาพ: Emre Akkoyun / shutterstock

 

อ้างอิง:

The post อีลอน มัสก์จุดชนวนดราม่า! เรียกร้องให้เลิกสมัคร Netflix ซัดปมซีรีส์ตัวละครข้ามเพศ แต่ไม่สะเทือนราคาหุ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
AIS ลงทุน AI เสริมทัพคอลเซ็นเตอร์-ฝ่ายขาย ยกระดับการบริการ-ลดเวลาลูกค้ารอสายนาน https://thestandard.co/ais-ai-customer-service-sales/ Wed, 01 Oct 2025 12:04:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1125310 สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ซีอีโอ AIS เปิดเผยแผนลงทุน AI เสริมคอลเซ็นเตอร์และฝ่ายขาย

ถึงโอกาสครบรอบ 35 ปี AIS มีความเคลื่อนไหวในตลาดอย่างต่อ […]

The post AIS ลงทุน AI เสริมทัพคอลเซ็นเตอร์-ฝ่ายขาย ยกระดับการบริการ-ลดเวลาลูกค้ารอสายนาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ซีอีโอ AIS เปิดเผยแผนลงทุน AI เสริมคอลเซ็นเตอร์และฝ่ายขาย

ถึงโอกาสครบรอบ 35 ปี AIS มีความเคลื่อนไหวในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อปลายปี 2566 ได้เข้าซื้อกิจการ 3BB เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านและในปี 2568 ได้ประมูลคลื่นความถี่ 5G โดย AIS เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักที่เข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่ 5G และได้คลื่นความถี่มาครอบครองจำนวนมาก ซึ่งจะสามารถรองรับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ

 

สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมา AIS มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้วมาจากการปรับตัวให้ทันต่อวิกฤตและความท้าทายทุกรูปแบบ

 

ที่ผ่านมา AIS มีเป้าหมายอยากจะเป็น Digital Service Provider เพื่อให้คนได้ใช้ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่เมื่อบริบทของโลกเปลี่ยนเร็ว ธุรกิจต้องเปลี่ยนตาม ซึ่งต่อจากนี้องค์กรจะต้องเป็น Digital Service Provider ที่ฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม

 

สำหรับโรดแมปของ AIS ยังมุ่งขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ดิจิทัล ภายใต้การยกระดับธุรกิจ 3 เสาหลัก ได้แก่ Retail Tech ที่ยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ครบวงจร ต่อไปจะปรับเปลี่ยนให้ร้านค้าเป็นมากกว่าสถานขายมือถือและการโทร แต่จะครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์มากขึ้น เช่น ต่อไปอาจจะมีแว่นตา AI เข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่ หรือในอนาคตจะพูดคุยกับพาร์ทเนอร์เพื่อเปิดร้านกาแฟในร้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นได้หมด แต่จะไม่ได้เปิดเป็นร้านคอนวีเนียนซ์สโตร์

 

ตามด้วย Entertainment Platform อย่าง AIS PLAY และ Digital Finance ขับเคลื่อนอนาคตการเงินดิจิทัลของประเทศโดยจับมือ OR และ KTB เพื่อเตรียมร่วมขับเคลื่อนธุรกิจ Virtual Bank เปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ในบรรดา 3 ธุรกิจหลัก มองว่า Entertainment สามารถเติบโตได้แต่สเกลอาจจะไม่ใหญ่มากนัก ถ้าเทียบกับ Digital Finance ที่ตลาดมีโอกาสมหาศาล

 

พร้อมโฟกัส 3 ด้านหลัก ได้แก่ ธุรกิจ ลูกค้า และสังคมไทย ด้วยพลัง AI โดยปัจจุบันได้ลงทุนนำ AI มาใช้ในแผนกคอลเซ็นเตอร์ และพนักงานขาย มองว่า AI จะช่วยให้พนักงานทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถลดต้นทุนได้

 

ขณะเดียวกันยังยืนยันว่า การที่องค์กรนำ AI มาใช้ หลายคนอาจกังวลว่า บริษัทจะมีนโยบายลดจำนวนพนักงานหรือไม่ ต้องบอกเลยว่าไม่ เพราะบริษัทมองว่า AI จะมาช่วยงานให้ดีขึ้น และยิ่งพนักงานคนไทยใช้งาน AI เป็นก็จะยิ่งได้เปรียบคนที่ไม่รู้ และถ้า AIS พัฒนาเรื่อง AI สำเร็จ ต่อไปลูกค้าที่โทรเข้ามาใช้บริการคอลเซ็นเตอร์จะใช้เวลารอสายน้อยลงกว่าเดิม” สมชัย ย้ำ

 

อีกทั้งการขยายธุรกิจมีความท้าทายมากขึ้น บริษัทฯ จึงได้ปรับโครงสร้างการบริหาร โดยแต่งตั้งผู้ช่วย 3 คนเข้ามาดูแลและขับเคลื่อนการเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจ โดยได้แก่

 

  1. ปรัธนา ลีลพนัง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านปฏิบัติการ ผู้วางรากฐานธุรกิจหลัก ทั้งบริการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต ให้พร้อมรองรับทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของคนไทย

 

  1. ธีร์ สีอัมพรโรจน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการเงิน ผู้วางยุทธศาสตร์องค์กรสู่ Next S-Curve ผลักดันธุรกิจใหม่ให้เดินหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน

 

และ 3. กานติมา เลอเลิศยุติธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจองค์กร ผู้นำที่จะมาอยู่เบื้องหลังในการพัฒนาคนเพื่อขับเคลื่อนองค์กร

 

สมชัย กล่าวปิดท้ายว่า บริษัทฯ ยึดหลักความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ และทุกผลิตภัณฑ์และแคมเปญที่เปิดตัวจะต้องช่วยขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร และบริษัทฯ จะเน้นทำในสิ่งที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งหากเป็นด้านที่ยังไม่ถนัด จะเลือกทำงานร่วมกับพันธมิตร พร้อมเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสัดส่วนรายได้หลักของ AIS ยังอยู่ที่กลุ่มบริการหลักมือถือ กว่า 80% และในอีก 3 ปีข้างหน้า AIS วางสัดส่วนรายได้ที่ไม่ได้มาจากบริการหลักมือถือ 20% และตั้งใจขยายธุรกิจให้สามารถสร้างการเติบโตในตัวเลขดับเบิลดิจิทให้ได้

The post AIS ลงทุน AI เสริมทัพคอลเซ็นเตอร์-ฝ่ายขาย ยกระดับการบริการ-ลดเวลาลูกค้ารอสายนาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว’ ถอดบทเรียนระบบนิเวศดิจิทัลไอร์แลนด์ โอกาสยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน https://thestandard.co/ireland-digital-ecosystem-thailand/ Wed, 01 Oct 2025 08:00:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1125102 ASEAN Digital Hub

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การแข […]

The post ‘คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว’ ถอดบทเรียนระบบนิเวศดิจิทัลไอร์แลนด์ โอกาสยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ASEAN Digital Hub

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่การผลิตสินค้าราคาถูกอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างนวัตกรรม การใช้ประโยชน์จากข้อมูล และการเชื่อมโยงเครือข่ายระดับโลก การสร้างระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) จึงกลายเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่

 

ประเทศไทยตระหนักถึงความท้าทายนี้ และประกาศนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวนำ ขณะเดียวกัน ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จที่สุดในการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมที่ยากจน ไปสู่การเป็น Digital Powerhouse ของยุโรป และสามารถดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมาตั้งฐานได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งศตวรรษ

 

การประชุม Thailand–Ireland Forum: Advancing Technology and Digital Partnership ที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ จึงเป็นเวทีที่ทรงคุณค่า เพราะเปิดโอกาสให้ผู้แทนจากทั้งสองประเทศ รวมถึงนักการทูต ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ได้ถ่ายทอดมุมมองร่วมกันถึงโอกาสและความท้าทายในการพัฒนาดิจิทัล ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า “Think Big, Start Small, Move Fast” หรือ “คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว” ไม่ใช่เพียงสโลแกน แต่คือยุทธศาสตร์การพัฒนาที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

 

ไอร์แลนด์ จากเกษตรกรรมสู่ศูนย์กลางดิจิทัล

 

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 ไอร์แลนด์ยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ล้าหลัง มี GDP ต่อหัวเพียง 4,200 ดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการว่างงานสูง การอพยพแรงงานไปต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ แต่หลังจากนั้นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียง 5 ล้านคนนี้กลับสร้าง “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ” จนถูกขนานนามว่า Celtic Tiger

 

แพทริก บอร์น (Patrick Bourne) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย อธิบายในงานประชุมว่า ความสำเร็จของไอร์แลนด์เกิดจากการเลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างออกไปจากประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป โดยเปิดประเทศรับการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อย่างจริงจัง ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านภาษาอังกฤษ และกำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำที่สุดในสหภาพยุโรป (12.5%) เพื่อดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาย้ำว่า “ไอร์แลนด์ไม่ได้ชนะเพราะโชคช่วย แต่เพราะการออกแบบเชิงยุทธศาสตร์และความต่อเนื่องทางนโยบาย”

 

 

ฟิลิป ดันน์ (Philip Dunn) จาก IDA Ireland เสริมว่า การเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปทำให้ไอร์แลนด์กลายเป็น “ประตูสู่ตลาดยุโรป” บริษัทต่างชาติจึงเลือกตั้งสำนักงานใหญ่ที่ดับลินเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 400 ล้านคนใน EU ได้สะดวก

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลไอร์แลนด์ยังลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การวิจัยและพัฒนา และระบบโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการลงทุนเหล่านี้

 

ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Google และ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) เลือกดับลินเป็นสำนักงานใหญ่ในยุโรป ซึ่งกลายเป็นจุดดึงดูดให้บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ตามมาเป็นคลื่นต่อเนื่อง สร้างกระแส “Cluster Effect” ที่ยกระดับระบบนิเวศดิจิทัลทั้งประเทศ

 

ลงทุนในคน หัวใจของระบบนิเวศดิจิทัล

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ไอร์แลนด์แตกต่างจากประเทศอื่นที่มีนโยบายดึงดูด FDI คล้ายกันคือ การลงทุนในคน ไอร์แลนด์ตัดสินใจลงทุนระยะยาวในระบบการศึกษา โดยเฉพาะการทำให้มหาวิทยาลัย กลายเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงได้ฟรีสำหรับคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ปัจจุบัน 63% ของประชากรอายุ 25–34 ปี จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา และในจำนวนนั้นเป็นบัณฑิตสาย STEM มากที่สุดในสหภาพยุโรป

 

ดร. ฮิวจ์ โอ คอนเนลล์ (Hugh O’Connell) กรรมการผู้จัดการ ICDL Thailand องค์กรยกระดับมาตรฐานความสามารถด้านดิจิทัลในภาคแรงงาน การศึกษา และสังคม ชี้ว่า “ความสำเร็จของไอร์แลนด์ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่เป็นเพราะบริษัทยักษ์ใหญ่มั่นใจว่าพวกเขาจะหาคนเก่งได้” 

 

เขาเน้นว่า Digital Literacy หรือทักษะความรู้และความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล คือรากฐานสำคัญ ก่อนที่ก้าวจะไปสู่ AI, Big Data หรือ Blockchain โดยมองว่า หากคนไม่มีทักษะพื้นฐาน เช่น Excel, การจัดการข้อมูล หรือการสื่อสารดิจิทัล การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงก็ไม่เกิดประสิทธิผล

 

 

พอล สเกลส์ (Paul Scales) รองประธานหอการค้าไอร์แลนด์–ไทย เสริมมุมมองว่า ไอร์แลนด์ประสบความสำเร็จเพราะการสร้างความร่วมมือสามฝ่ายระหว่างรัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชนอย่างใกล้ชิด หรือที่เรียกว่า Triple Helix Model

 

โดยสิ่งนี้ทำให้การผลิตบัณฑิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และยังเปิดโอกาสให้เกิดการวิจัยร่วมที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จริง

 

จาก Thailand 4.0 สู่ ASEAN Digital Hub

 

ประเทศไทยมีความได้เปรียบหลายด้านในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นตลาดภายในประเทศที่ใหญ่ มีประชากรเกือบ 70 ล้านคน อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียสูงติดอันดับโลก และทำเลที่ตั้งใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนในภูมิภาคได้

 

อภิชยา ศรีคชา ผู้อำนวยการสำนักอุตสาหกรรมบริการและการแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) กล่าวว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ EEC เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการสร้าง Digital Hub ของไทย เพราะรวมการลงทุนด้าน 5G, Data Center, รถยนต์ไฟฟ้า และหุ่นยนต์ไว้ในพื้นที่เดียวกัน 

 

เธอมองว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ คือ “สร้างกลไกเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษากับอุตสาหกรรม เพื่อปิดช่องว่างด้านทักษะและผลิตบุคลากรตรงตามที่ตลาดต้องการจริงๆ”

 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ไทยเผชิญคือ ช่องว่างทักษะบุคลากร แม้คนรุ่นใหม่จะเป็น ‘Digital Native’ แต่การใช้งานส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ที่โซเชียลมีเดีย ขณะที่ทักษะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนโปรแกรม หรือการใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ยังขาดแคลนอย่างมาก

 

คริส จอห์นสตัน (Chris Johnston) ผู้บริหารจาก Kingspan Asia ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านวัสดุก่อสร้างประหยัดพลังงาน ชี้ว่าแรงงานไทยมีฝีมือด้านปฏิบัติการสูง แต่ยังขาดความรู้ดิจิทัลเชิงออกแบบ เช่น Building Information Modeling (BIM) ซึ่งเป็นมาตรฐานในยุโรป หากไทยต้องการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างให้ยั่งยืน ก็จำเป็นต้องเร่งเติมเต็มช่องว่างนี้

 

 

ด้าน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สะท้อนวิสัยทัศน์การผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีของภูมิภาค” โดยมีเป้าหมายหลักคือ การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเกิดและเติบโตของสตาร์ตอัป ตลอดจนการผลักดันผู้ประกอบการนวัตกรรม และการเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านกลไก ‘4G’ ซึ่งประกอบด้วย 

 

  1. Groom (ส่งเสริม): บ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ
  2. Grant (สนับสนุน): สนับสนุนเงินทุนและทรัพยากรที่จำเป็นต่อการเติบโต
  3. Growth (เติบโต): สร้างโอกาสในการเติบโตแบบก้าวกระโดด
  4. Global (สู่สากล): ผลักดันให้ธุรกิจไทยขยายไปสู่ตลาดโลก

 

ดร.กริชผกา เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่สตาร์ตอัปไทยต้องมีคือ ‘Global Mindset’ หรือ ‘วิธีคิดเชิงสากล’

 

เธออธิบายว่าทุกปัญหาที่สตาร์ตอัปไทยพยายามแก้ไข ไม่ได้มีเพียงผู้บริโภคในประเทศที่เผชิญ แต่ผู้ประกอบการจากทั่วโลกก็กำลังคิดหาทางออกให้กับโจทย์เดียวกัน ดังนั้น หากผู้ประกอบการไทยยังคงจำกัดวิสัยทัศน์เพียงตลาดในประเทศหรืออาเซียน พวกเขาอาจพลาดโอกาสและเสียเปรียบในสนามแข่งขันที่กว้างใหญ่กว่ามาก Global Mindset จึงหมายถึงการคิดตั้งแต่ต้นว่าธุรกิจที่สร้างขึ้นจะสามารถยืนอยู่ตรงไหนในตลาดโลก จะปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานสากลอย่างไร และจะออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในหลากหลายวัฒนธรรมได้อย่างไร

 

 

ขณะที่การมี Global Mindset ไม่ได้หมายถึงเพียงการขยายตลาดไปต่างประเทศ แต่ยังรวมถึงการสร้างทีมงานที่มีความหลากหลาย การเปิดกว้างต่อเครือข่ายและพันธมิตรระดับนานาชาติ การมองเห็นโอกาสจากการทำงานร่วมกันแม้จะเป็นคู่แข่งในบางด้าน และการดึงทรัพยากรจากภายนอกมาช่วยเสริมศักยภาพ

 

โดยการได้เผชิญหน้ากับการแข่งขันระดับนานาชาติ จะทำให้สตาร์ตอัปไทยเรียนรู้ในการปรับวิธีคิด กลยุทธ์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล

 

คำตอบจากไอร์แลนด์ ‘คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว’

 

หนึ่งในแนวคิดที่ถูกย้ำหลายครั้งบนเวทีคือ “Think Big, Start Small, Move Fast” หรือ “คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว” ซึ่ง ดร.โอ คอนเนลล์ อธิบายว่า เป็นสูตรสำเร็จของไอร์แลนด์ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

 

เขากล่าวว่า “เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งประเทศได้ในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเราเริ่มจากโครงการเล็ก ๆ ที่เห็นผลจริง เราสามารถขยายผลได้เร็วและยั่งยืน”

 

 

แพท โอ ริออร์แดน (Pat O’Riordan) ผู้อำนวยการ ASEAN Enterprise Ireland เน้นว่า การ “คิดใหญ่” ต้องหมายถึงการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าประเทศต้องการเป็นอะไร สำหรับไอร์แลนด์นั้น เป้าหมายคือการเป็น Digital Gateway ของยุโรป แต่สำหรับไทย เป้าหมายอาจเป็นการเป็น ASEAN Digital Hub ที่ดึงดูดทั้งการลงทุน การวิจัย และการพัฒนาสตาร์ตอัป

 

โดยการ “เริ่มเล็ก” อาจหมายถึงการสร้าง Sandbox ในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น Fintech (เทคโนโลยีทางการเงิน) หรือ Healthtech (เทคโนโลยีสุขภาพ) เพื่อทดลองนวัตกรรมและกฎระเบียบที่ยืดหยุ่น ก่อนจะขยายไปสู่ทั้งประเทศ

 

ขณะที่การ “เดินเร็ว” คือการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบให้ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ ไม่ปล่อยให้ระบบราชการเป็นตัวฉุดรั้ง

 

 

นอกจากนี้ Scales ยังตั้งข้อสังเกตว่า ไทยควรพิจารณาขยายสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยยกตัวอย่างสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ไทย–สหรัฐฯ ซึ่งให้สิทธิพิเศษนักลงทุนอเมริกันเหนือประเทศอื่น ซึ่งเขาตั้งคำถามว่า “หากไทยต้องการเป็น hub ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจริง ๆ ทำไมไม่สร้างกรอบสิทธิประโยชน์แบบเดียวกันให้กับพันธมิตรยุทธศาสตร์ประเทศอื่น ๆ ด้วย”

 

สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ?

 

เมื่อถอดบทเรียนจากไอร์แลนด์และฟังเสียงจากผู้เชี่ยวชาญ คำถามที่ประเทศไทยต้องเผชิญไม่ใช่ “เราจะทำได้หรือไม่” แต่คือ “เราจะทำอย่างไร”

 

ความเห็นโดยรวมจากผู้เชี่ยวชาญภายในงาน มองว่าสิ่งที่ประเทศไทยต้องทำ หลักๆ ได้แก่

 

  • ผลักดันการศึกษาเทคโนโลยีดิจิทัลให้เข้าถึงประชาชนทุกคน
  • สร้างความร่วมมือเชิงลึกระหว่างรัฐบาล มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน ให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างบุคลากรที่ระบบการศึกษาผลิตออกมา กับบุคลากรที่ตลาดต้องการ
  • เปิดรับแรงงานชาวต่างชาติที่เชี่ยวชาญทักษะด้านดิจิทัล ด้วยระบบวีซ่าและแรงงานที่ยืดหยุ่น เพื่อเติมเต็มทักษะที่ไทยยังขาด
  • ผลักดันสตาร์ตอัปไทยให้มี Global Mindset ตั้งแต่วันแรก ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และแข่งขันในเวทีโลกได้
  • ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบให้ทันสมัย โปร่งใส และมั่นคง สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนระยะยาว
  • สร้างยุทธศาสตร์ คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว ด้วยการลงมือทำจริงและต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้คือบทเรียนจากไอร์แลนด์ ซึ่งยืนยันได้ว่า “ขนาดของประเทศไม่ใช่ตัวกำหนดศักยภาพ” หากแต่เป็น “วิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ การลงทุนในคน และความต่อเนื่องทางนโยบายที่สำคัญที่สุด” 

 

สำหรับไทย เรามีศักยภาพทั้งในด้านตลาด ทำเล และแรงงานรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่ต้องการคือการเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันเป็นระบบนิเวศที่แข็งแรง

 

การจะเป็น ASEAN Digital Hub นั้นไม่ใช่แค่ความฝัน หากแต่เป็นโจทย์ที่ไทยต้องลงมือทำอย่างจริงจัง และต้องทำทันทีหากต้องการยืนอยู่แถวหน้าในเวทีดิจิทัลของภูมิภาค

 

The post ‘คิดใหญ่ เริ่มเล็ก เดินเร็ว’ ถอดบทเรียนระบบนิเวศดิจิทัลไอร์แลนด์ โอกาสยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุคทอง Longevity? ถอดรหัสกระแสที่ทำให้คนยอมทำทุกอย่าง ตั้งแต่แช่น้ำแข็งถึงกินอาหารเสริม เพื่อขอมี ‘วันพรุ่งนี้’ https://thestandard.co/longevity-science-proof-wellness-investment-influencer-trend/ Wed, 01 Oct 2025 06:20:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1125103 xi-putin-secret-talk-longevity-biotech-150-years-old

บทสนทนานี้ความจริงแล้วสมควรเป็นความลับระดับสูงสุด แต่เพ […]

The post ยุคทอง Longevity? ถอดรหัสกระแสที่ทำให้คนยอมทำทุกอย่าง ตั้งแต่แช่น้ำแข็งถึงกินอาหารเสริม เพื่อขอมี ‘วันพรุ่งนี้’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
xi-putin-secret-talk-longevity-biotech-150-years-old

บทสนทนานี้ความจริงแล้วสมควรเป็นความลับระดับสูงสุด แต่เพราะความผิดพลาดทำให้การพูดคุยกันระหว่างสองผู้นำชาติมหาอำนาจของโลกอย่าง สีจิ้นผิง และวลาดิเมียร์ ปูติน หลุดออกมาสู่โลกภายนอกและทำให้คนทั้งโลกต้องเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ

 

“ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าด้วยเทคโนโลยีชีวภาพจะทำให้เราเปลี่ยนถ่ายอวัยวะของมนุษย์ได้ ดังนั้นคนจะสามารถคงความหนุ่มสาวได้ หรือแม้แต่เป็นอมตะ” ล่ามแปลภาษาถ่ายทอดข้อความสู่ผู้นำแดนมังกร ก่อนที่จะมีการพูดตอบกลับสั้นๆว่า “มีการทำนายกันว่าในศตวรรษนี้มนุษย์อาจจะอยู่ได้ถึง 150 ปี”

 

เรื่องนี้หากได้ยินเมื่อ 10 ปีที่แล้วอาจคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่สำหรับในยุคปัจจุบันกระแส ‘Longevity’ หรือการยืดอายุของมนุษย์ให้ยืนยาว กำลังเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจในวงกว้างอย่างมาก ผู้คนกำลังคลั่งไคล้ทำในสิ่งที่เชื่อว่าจะช่วยเราสามารถมีวันพรุ่งนี้และตื่นมาพบกับวันใหม่ได้มากกว่าที่เคยคิดหวัง

 

ตั้งแต่นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะที่ช่วยบอกได้ว่าเราหลับนอนเป็นอย่างไร การลงไปแช่ในอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมมากมายที่มีให้เลือกเติมเต็มในสิ่งที่ร่างกายขาดและต้องการ

 

แต่คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านี้ รวมถึงการลงทุนมหาศาลมันตั้งอยู่บนความจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ไหม?

 

Longevity ว่าด้วยบทสนทนาใหม่ของชีวิต

 

บทสนทนาประเด็นเรื่อง ‘Longevity’ บนโลกออนไลน์ในบ้านเราช่วงที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกำลังให้ความสนใจกับประเด็นที่เคยถูกมองว่าไกลตัว

 

ถึงในความรู้สึกของใครหลายคนโลกใบนี้อาจจะน่าอยู่น้อยลง แต่หากเลือกได้คนจำนวนไม่น้อยก็อยากที่จะอยู่ได้ยืนยาวขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จะเพื่อใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักให้นานขึ้น อยู่เพื่อทำภารกิจบางอย่างของชีวิต ไปจนถึงอยู่เพื่อสั่งสมความมั่งคั่งเพื่อตัวเองและลูกหลานในวันข้างหน้า

 

หรือบางคนอาจจะไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่าการมีสุขภาพที่ดี ยืนยาว แต่ไม่สร้างปัญหาและภาระให้กับตัวเองและคนรอบตัวในวันข้างหน้าเมื่อถึงเวลาใกล้ที่จะต้องจากโลกนี้ไป

 

สิ่งเหล่านี้นำไปสู่คำถามมากมายกับคำตอบหลากหลายที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันและกันถึงสิ่งที่มนุษย์ทำได้ในปัจจุบันเพื่อให้ชีวิตยืนยาว ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างการนอน ไปจนถึงเทคโนโลยีที่น่าสนใจ กับราคาที่ต้องจ่าย (หรูหราหรือภาระ?)

 

ไม่นับวิดีโอไลฟ์สไตล์จากเหล่าผู้มีอิทธิพลทางสังคมหรือ ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ (Influencer) ที่ผลัดกันขึ้นมาบนหน้าฟีดตามการแนะนำของสมองกลอัจฉริยะในแต่ละแพลตฟอร์ม ยิ่งทำให้เรื่องนี้ถูกผลักเข้ามาใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น 

 

ความสนใจเหล่านี้ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกระแส Longevity มากมาย ยกตัวอย่าง เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การเรียนรู้ตลอดชีวิต, เทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยืนยาว, ธุรกิจสุขภาพและความงาม หรือการแพทย์

 

แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เราเดินทางมาค่อนข้างไกลแล้ว

 

บทสนทนาลับระดับสูงสุด ระหว่าง สีจิ้นผิง และ วลาดิเมียร์ ปูติน

 

การรวมตัวของเหล่ายอดมนุษย์

 

ลองคิดกันเล่นๆว่าถ้าอยากจะมีอายุยืนยาว ไม่ต้องถึงหมื่นปีก็ได้แค่เพียง 150 ปี หรือขั้นต่ำที่สุดก็ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นอีก 20 ปี เราต้องลงทุนเท่าไร?

 

สำหรับผู้เขียนอาจจะเป็นการลงทุนกับนาฬิกาอัจฉริยะอย่าง Whoop ที่ช่วยบอกได้ว่าคุณภาพการนอนและสัญญาณชีวิตต่างๆนั้นเป็นอย่างไร ไปจนถึงการทำกิจกรรมที่เขาว่าช่วยได้อย่างการแช่น้ำแข็ง (Ice bath) และการจ่ายเงินเข้าฟิตเนส

 

แต่สำหรับเหล่าอัครมหาเศรษฐีของโลกแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ได้ลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาเพื่อค้นหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขายืนยาวขึ้น ตามข้อมูลจาก Wall Street Journal

 

เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos), แซม อัลต์แมน (Sam Altman),​ ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel),​ ยูริ มิลเนอร์ (Yuri Milner) และ มาร์ค อันดรีสเซน (Marc Andreessen) เป็นกลุ่มนักธุรกิจที่ทุ่มเงินมหาศาลไปกับงบประมาณการลงทุนในอุตสาหกรรม Longevity โดยที่มีนักลงทุนจากทั่วโลกที่พร้อมให้การสนับสนุนด้วย

 

ธีล คือหนึ่งในคนที่ลงทุนมากที่สุดผ่านการจัดตั้งบริษัทมากกว่า 10 แห่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนผ่านกองทุนการลงทุนส่วนตัวของเขาและองค์กรการกุศลอื่นๆที่เขาให้การสนับสนุน โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700 ล้านดอลลาร์ 

 

ขณะที่อัลต์แมน อดีตผู้ก่อตั้ง OpenAI ปัจจุบันลุยเต็มตัวกับ Retro Biosciences สตาร์ทอัพด้าน Longevity และกำลังคิดค้นยาที่จะช่วยลดอายุสมองของเราให้อ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยต่อต้านโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งเตรียมจะทดสอบกับมนุษย์จริงๆในช่วงปลายปีนี้

 

เรียกได้ว่าเหมือนการรวมตัวกันของเหล่ายอดมนุษย์ในภารกิจสำคัญ 

 

ไม่ใช่เพื่อกู้โลก แต่เพื่อให้เรามีเวลาบนโลกใบนี้มากขึ้น

 

หรือพูดให้ตรงกว่านั้น เพื่อให้พวกเขาอยู่ได้นานขึ้น

 

บทสนทนาลับระดับสูงสุด ระหว่าง สีจิ้นผิง และ วลาดิเมียร์ ปูติน

 

ยุคทองของ Longevity

 

ความจริงแล้วการค้นหาความลับของชีวิต ในการจะทำให้เป็นอมตะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์พยายามที่จะค้นหามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy grail) ของชาวตะวันตก หรือตำนานชาวตะวันออก เช่น การพยายามตามหายาที่จะทำให้เป็นอมตะของจิ๋นซีฮ่องเต้

 

ในยุคปัจจุบันมนุษย์เองก็ยังคงตามหาสิ่งที่จะทำให้ชีวิตยืนยาวได้อยู่ แต่เป็นในรูปแบบที่ทันสมัยและเข้าใจกฎธรรมชาติมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนจากการอยู่จนชั่วฟ้าดินสลายกลายเป็นการอยู่นานๆได้ไหมแทน ผ่านการค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์

 

การพยายามค้นหาคำตอบนี้อย่างจริงจังมีขึ้นมายาวนานเกิน 2 ทศวรรษ เนิ่นนานก่อนที่จะกลายเป็นกระแสในสังคมปัจจุบัน ซึ่งมีการทดลองวิจัยจำนวนมากที่นำมาสู่สิ่งต่างๆที่เป็นธุรกิจในเวลานี้ 

 

เพียงแต่ 3 สิ่งที่เป็นหัวหอกของการวิจัยเรื่อง Longevity ในเวลานี้ที่เหล่าบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีและนักลงทุนแบ่งออกเป็น

 

  • ความพยายามในการย้อนกลับหรือเปลี่ยนแปลงอายุขัย
  • การพัฒนายาสำหรับการต้านโรคที่เกี่ยวกับอายุ
  • การขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น

 

โดยความท้าทายที่สุดคือการพยายาม ‘รีโปรแกรม’ (Reprogram) และการชุบชีวิตเซลล์ในร่างกายขึ้นใหม่ เปลี่ยนแปลงชีวิตจากส่วนที่เล็กเกือบที่สุดของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต่างอะไรจากการสร้างน้ำอมฤตอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ซึ่งหากทำสำเร็จจะสามารถเลือกได้ว่าอยากจะให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าหรือเดินถอยหลังก็ได้

 

ตามข้อมูลจาก The Journal ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้คือสตาร์ทอัพอย่าง Altos Labs แห่งซิลิคอนวัลลีย์ใต้การสนับสนุนของเจฟฟ์ เบโซส ที่ลงทุนไป 3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ จากจำนวนเม็ดเงินลงทุนในตลาดรวม 5.1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐขณะที่บริษัทอื่นๆก็พยายามจะระดมทุนเพื่อลุยด้านนี้ด้วยเช่นกัน

 

ไม่นับในส่วนของผู้เล่นรายย่อยในตลาดที่มีตั้งแต่ผู้ผลิตยา ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อุปกรณ์ Wearable ล้ำสมัย และผู้ให้บริการด้านต่างๆ ไม่ใช่แค่ Longevity ด้านความงาม แต่เป็นด้านร่างกาย 

 

มูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรม Longevity มีมูลค่าในปี 2024 ที่ 2.129 หมื่นเหรียญ และคาดว่าภายในปี 2035 มูลค่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 6.3 หมื่นล้านเหรียญ

 

ถ้าไม่เรียกว่ายุคทองก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว

 

บทสนทนาลับระดับสูงสุด ระหว่าง สีจิ้นผิง และ วลาดิเมียร์ ปูติน

 

กำแพงที่มองไม่เห็น

 

อย่างไรก็ดี ในความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมอายุยืนยาว มีอย่างน้อยหนึ่งคนที่รู้สึกกังวลในการเติบโตนี้และพยายามทักท้วง ที่สำคัญคนที่ท้วงก็เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญระดับ ‘บิดา’ ของวงการอย่าง เลียวนาร์ด กัวเรนเต (Leonard Guarente) ผู้ที่เป็นหนึ่งในคนจุดกระแสเรื่อง Longevity ตั้งแต่เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว

 

กัวเรนเต เป็นผู้ค้นพบความลับเกี่ยวกับยีนของมนุษย์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่วางรากฐานเกี่ยวกับการศึกษาความลับของชีวิต และมีส่วนในการช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อมาที่ปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นเสาหลักของวงการ

 

แต่ในวันนี้นักวิทยาศาสตร์วัย 72 ปีรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ ที่นำเสนอแก่ผู้คนนั้น มันไม่ได้อิงอยู่บนผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเดินตามกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อที่จะทำรายได้ให้มากที่สุดมากกว่า

 

หรือพูดง่ายๆคือบางอย่างก็ ‘เกินความจริงไป’ และยังมีการถกเถียงกันเองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ด้วยว่าของใครถูกใครผิด

 

“ในเรื่องของวัย แต่ละคนต่างก็มีทฤษฎีที่ตัวเองชื่นชอบ มันทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับทฤษฎีที่ไม่ได้เป็นของตัวเอง” กัวเรนเต ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Elysium ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในการกระตุ้นการทำงานของเซอร์ทูอิน กลุ่มของโปรตีนที่มีหน้าที่ในการทำงานของเซลล์ในร่างกายและช่วยชะลออายุกล่าว

 

ขณะที่กลุ่มนักวิจัยจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเวลานี้การศึกษาความลับของร่างกายมนุษย์เดินทางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว 

 

กล่าวคือเราไม่สามารถจะก้าวไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว

 

โดยในปีกลาย (2024) มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาทาง Nature เกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยของมนุษย์ในช่วง 100 ปีนับจากปี 1900-2000 เฉพาะชาวสหรัฐอเมริกามีค่าเฉลี่ยอายุเพิ่มจาก 47 เป็น 77 ปี ซึ่งเป็นผลจากการค้นพบวัคซีน, ยาปฏิชีวนะ, ระบบสาธารณสุข และโภชนาการที่ดีขึ้น แต่ความก้าวหน้าในเรื่องเหล่านี้กลับเชื่องช้าลงอย่างมาก

 

ทีมผู้วิจัยยังระบุว่าอย่าว่าแต่การมีอายุยืนยาวถึง 150 ปีเลย แค่อายุยืนให้ครบ 100 ปีก็ยากแล้ว โดยแบบจำลองที่อ้างอิงจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา 30 ปี ระบุว่าในสถานการณ์ที่ดีที่สุดจะมีผู้หญิงแค่ 15 เปอร์เซ็นต์  และผู้ชายอีก 5 เปอร์เซ็นต์ในวันนี้ที่จะมีอายุถึง 100 ปี 

 

อยู่อย่างดี

 

ขณะที่คนทั่วไปในสังคม คำว่า Longevity อาจไม่ได้มีเป้าหมายในเรื่องของอายุที่ยืนยาว แต่เป็นการอยู่อย่างดี สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรค ซึ่งแน่นอนว่าถ้าทำได้ก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างแน่นอน

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินมากมายเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้ ยกเว้นว่ามีกำลังจ่ายเพื่อให้ไปสู่ Longevity ในระดับที่ Advanced กว่าก็ตามสะดวก

 

สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการกินดี การนอนหลับพักผ่อนที่ดี และการออกกำลังกาย (ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่การโหนบาร์ก็อาจช่วยให้มีอายุยืนขึ้นถึง 10 ปีแล้ว)

 

รวมถึงการดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี มองหาความสุขเล็กๆให้พบในแต่ละวัน ดูแลคนใกล้ตัวให้ดี ยิ้มและหัวเราะ และพยายามใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ถอดบทเรียนชีวิตจากเมื่อวาน วางแผนอนาคตสำหรับวันพรุ่งนี้ และอย่าลืมใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในแต่ละวัน

 

บางทีการทำแค่นี้ก็อาจจะเพียงพอที่จะบอกว่า “เราได้ใช้ชีวิตกันอย่างดีแล้ว” 

 

ในช่วงเวลาเล็กๆที่เรายังมีเวลาอยู่บนโลกใบนี้


ภาพปก: Olga Rolenko / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ยุคทอง Longevity? ถอดรหัสกระแสที่ทำให้คนยอมทำทุกอย่าง ตั้งแต่แช่น้ำแข็งถึงกินอาหารเสริม เพื่อขอมี ‘วันพรุ่งนี้’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google Drive เปิดตัวระบบป้องกัน Ransomware ด้วย AI พร้อมช่วยกู้คืนไฟล์ที่ถูกโจมตี https://thestandard.co/google-drive-ai-ransomware-detection/ Wed, 01 Oct 2025 03:14:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1125032 google-drive-ai-ransomware-detection

แรนซัมแวร์ (Ransomware) ยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามทางไซเ […]

The post Google Drive เปิดตัวระบบป้องกัน Ransomware ด้วย AI พร้อมช่วยกู้คืนไฟล์ที่ถูกโจมตี appeared first on THE STANDARD.

]]>
google-drive-ai-ransomware-detection

แรนซัมแวร์ (Ransomware) ยังคงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายต่อองค์กรต่างๆ มากที่สุดในปัจจุบัน การโจมตีเหล่านี้อาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินครั้งใหญ่ การหยุดทำงานของระบบ และการถูกละเมิดข้อมูล ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม รวมถึงภาคสุขภาพ การค้าปลีก การศึกษา การผลิต และภาครัฐ จากสถิติ เหตุโจมตีที่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์คิดเป็น 21% ของการโจมตีทั้งหมดที่ Mandiant รวบรวมข้อมูลในปี 2024 โดยมีค่าใช้จ่ายสำหรับเหตุการณ์การโจมตีแรนซัมแวร์หรือการขู่กรรโชกทางไซเบอร์โดยเฉลี่ยมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 160 ล้านบาท

 

 

 

จากการตรวจสอบของ Mandiant ในปี 2024 พบว่า 89% ขององค์กรในญี่ปุ่นและเอเชียแปซิฟิก (JAPAC) ที่ได้รับผลกระทบจากแรนซัมแวร์มักทราบเรื่องเหตุโจมตีจากบุคคลภายนอกเท่านั้น (เช่น ผู้โจมตีเอง หรือ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย) สถิตินี้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดด้านความสามารถในการตรวจจับและแทรกแซงภายใน เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะทราบว่าตนเองถูกโจมตีเมื่อมีการส่งข้อความเรียกค่าไถ่ หรือเมื่อบุคคลที่สามส่งสัญญาณเตือน

 

เพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงนี้ Google Cloud จึงได้ประกาศว่ากำลังปรับปรุง Google Drive for Desktop ด้วยความสามารถในการตรวจจับและแทรกแซงแรนซัมแวร์ โดยขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อหยุดการซิงค์ไฟล์โดยอัตโนมัติและช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนไฟล์ได้ง่ายเพียงไม่กี่คลิก

 

การเปิดตัวเทคโนโลยีครั้งนี้ถือเป็นการตอบโจทย์ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งในโลกไซเบอร์ และเป็นการอุดช่องโหว่สำคัญที่เรียกว่า ‘The Missing Middle’ ซึ่งเป็นจุดที่โซลูชันความปลอดภัยส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังไปไม่ถึง

 

Kristina Behr, Vice President, Collaboration Applications, Google Workspace กล่าวว่า แรนซัมแวร์ยังคงเป็นความกังวลอันดับต้นๆ ที่ทำให้องค์กรทุกขนาดต้องกังวล 

 

ขณะที่ Luke Camery, Product Manager, Security and Compliance, Collaboration Applications, Google Workspace ในฐานะผู้นำทีมวิศวกรรมของโครงการนี้ อธิบายว่า แนวทางการป้องกันในปัจจุบันมีข้อบกพร่องพื้นฐานคือมุ่งเน้นไปที่ 2 ปลายทางเท่านั้น ได้แก่

 

  1. ด่านหน้า (Antivirus): พยายามตรวจจับและบล็อกไฟล์อันตรายก่อนที่จะเริ่มทำงาน ซึ่งหากพลาดก็เท่ากับเปิดประตูให้การโจมตีเริ่มต้นขึ้น
  2. ด่านสุดท้าย (Backup & Restore): การสำรองและกู้คืนข้อมูลหลังจากที่ระบบถูกโจมตีและสร้างความเสียหายไปแล้ว ซึ่งมักจะมาพร้อมกับ Downtime และต้นทุนมหาศาล

 

“เราตระหนักว่ามีช่องว่างตรงกลางที่ขาดหายไป” Luke กล่าว “เราต้องการวางกับดักสำหรับผู้โจมตีทันทีหลังจากการโจมตีเริ่มต้นขึ้น มันเปรียบเหมือนระบบเตือนภัยในบ้านที่ไม่ได้แค่ส่งเสียงดัง แต่ยังดักจับผู้บุกรุกไว้ที่ทางเข้า ไม่ให้พวกเขาสร้างความเสียหายหรือหลบหนีไปได้”

 

AI ทำงานอย่างไร? จาก ‘ตรวจจับไฟล์’ สู่ ‘ตรวจจับพฤติกรรม’

 

หัวใจของโซลูชันใหม่นี้คือโมเดล AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Google ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากตัวอย่างแรนซัมแวร์ในโลกจริงนับล้านเคส โดยใช้ข้อมูลจากทีม Mandiant และ VirusTotal ของ Google เอง แต่แทนที่จะมองหาไฟล์ที่เป็นอันตรายเหมือน Antivirus ทั่วไป AI ตัวนี้กลับมองหา “พฤติกรรม” หรือ “การเปลี่ยนแปลงที่เป็นอันตราย” ต่อไฟล์

 

ตัวอย่างเช่น เมื่อ AI ตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย เช่น การพยายามเข้ารหัส (Encrypt) หรือแก้ไขไฟล์จำนวนมากอย่างรวดเร็ว, การเปลี่ยนนามสกุลไฟล์เป็นรูปแบบที่แรนซัมแวร์นิยมใช้ หรือการทำให้ไฟล์ที่เคยอ่านได้กลายเป็นไฟล์ที่อ่านไม่ได้ ระบบจะเข้าแทรกแซงทันที:

 

  1. หยุดการซิงค์ไฟล์: ระบบจะปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงไฟล์ทั้งหมดจากผู้ใช้รายนั้นไปยังคลาวด์ เพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายแพร่กระจาย
  2. สร้างฟองสบู่ป้องกัน: แยกไฟล์ของผู้ใช้ที่ถูกโจมตีออกจากระบบ เพื่อจำกัดวงความเสียหาย
  3. แจ้งเตือนและนำสู่การกู้คืน: แจ้งเตือนผู้ใช้และผู้ดูแลระบบถึงการโจมตีที่เกิดขึ้น

 

Luke ระบุว่าระบบทำงานได้รวดเร็วมาก โดยจะเริ่มทำงานหลังจากตรวจพบความเสียหายเพียง 3-5 ไฟล์แรก เท่านั้น ซึ่งช่วยลดผลกระทบได้อย่างมหาศาล

 

ไม่ใช่แค่ป้องกัน แต่กู้คืนได้ทันทีในไม่กี่คลิก

 

นอกจากการหยุดยั้งแล้ว ฟีเจอร์นี้ยังผสานรวมกับระบบกู้คืนไฟล์ (Restoration) รูปแบบใหม่ที่ใช้งานง่าย ผู้ใช้สามารถเข้าไปยังหน้าเว็บอินเทอร์เฟซของ Drive และเลือกกู้คืนไฟล์ที่ได้รับผลกระทบเพียงไม่กี่ไฟล์กลับสู่เวอร์ชันที่ดีก่อนหน้าการโจมตีได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือภายนอกที่ซับซ้อนหรือเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

ทีมงาน Google ย้ำว่าฟีเจอร์นี้ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแทนที่โปรแกรม Antivirus หรือ EDR แต่ทำหน้าที่เป็น “แนวป้องกันชั้นที่สองและสาม” ที่จะทำงานร่วมกัน “เรายังคงแนะนำให้คุณใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสเป็นด่านหน้า และให้เราเข้ามาเป็นแนวป้องกันสำรองของคุณ” Luke กล่าว

 

แนวทางแบบเดิมในการต่อสู้กับแรนซัมแวร์นั้นไม่เพียงพอ

 

อรรณพ ศิริติกุล Country Director, Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “สิ่งที่เราเปิดตัวและพร้อมให้บริการในวันนี้คือการป้องกันอีกชั้นหนึ่งที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ในขณะที่โซลูชันป้องกันไวรัสยังคงทำงานเพื่อหยุดไม่ให้แรนซัมแวร์เข้ามา เราได้สร้างระบบการป้องกันเพื่อหยุดไม่ให้แรนซัมแวร์ทำงานได้เมื่อเข้ามาในระบบแล้ว โดยการตรวจจับและแทรกแซงที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใน Google Drive for Desktop จะระบุจุดบ่งชี้สำคัญของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ซึ่งก็คือการพยายามเข้ารหัสไฟล์จำนวนมาก และจะแทรกแซงอย่างรวดเร็วเพื่อสร้าง “เกราะป้องกัน” รอบไฟล์ของผู้ใช้ก่อนที่การโจมตีจะแพร่กระจายด้วยการหยุดการซิงค์ไฟล์กับระบบคลาวด์โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้แรนซัมแวร์ทำลายไฟล์สำคัญและทำให้ใช้งานไม่ได้”

 

“นอกจากนี้ ระบบป้องกันมัลแวร์ในตัวที่มีอยู่ของ Google Drive ยังช่วยสกัดไม่ให้แรนซัมแวร์แพร่กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นๆ และเข้าควบคุมเครือข่ายทั้งหมดได้ เมื่อทำงานร่วมกัน การป้องกันเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้ธุรกิจ โรงเรียน โรงพยาบาล หน่วยงานรัฐบาล และอื่นๆ ต้องหยุดชะงักจากการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่เคยสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงมาก่อนหน้านี้” อรรณพ กล่าว

 

ระบบการตรวจจับและแทรกแซงแรนซัมแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้เริ่มทยอยเปิดให้บริการแล้ววันนี้ในเวอร์ชันเบต้าแบบเปิด โดยเป็นหนึ่งของมาตรการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กรที่มีอยู่มากมายใน Google Drive ซึ่งมอบการปกป้องข้อมูลสำคัญและช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องสำหรับองค์กรทุกขนาด การปรับปรุงดังกล่าวถูกรวมอยู่ในแพ็กเกจเชิงพานิชย์ส่วนใหญ่ของ Google Workspace โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ขณะเดียวกันผู้ใช้งานทั่วไปก็ยังได้รับประโยชน์จากความสามารถในการกู้คืนไฟล์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน

The post Google Drive เปิดตัวระบบป้องกัน Ransomware ด้วย AI พร้อมช่วยกู้คืนไฟล์ที่ถูกโจมตี appeared first on THE STANDARD.

]]>