Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 19 Nov 2025 11:26:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] https://thestandard.co/ai-first-business-strategy/ Wed, 19 Nov 2025 11:26:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1144067 ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial]

เราอยู่ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อ […]

The post ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial]

เราอยู่ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนและสร้างโอกาสให้กับทุกอุตสาหกรรมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ธุรกิจที่รอดอาจไม่ใช่ธุรกิจที่ปรับตัวเก่งเท่านั้น แต่ต้อง ‘ปรับตัวเร็วแบบ Real Time’ AI ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคอย่างสิ้นเชิง

 

การเติบโตของธุรกิจยุคใหม่จึงต้องอาศัยทั้งกลยุทธ์และเครื่องมือที่เชื่อมโยงและหลอมรวมข้อมูลมหาศาลให้กลายเป็นพลังในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัดภายใต้ระบบนิเวศการตลาดยุคใหม่ที่ท้าทาย

 

เอ้ก ดิจิทัล (EGG Digital) ตอกย้ำจุดยืนผู้นำการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย AI เปิดเวทีเสวนาเทคโนโลยีการตลาดและโฆษณาแห่งปี ‘EGG Digital Nexus 2025’ บนแนวคิด ‘The Fusion Frontier’ เชื่อมต่อทุกความเป็นไปได้ พร้อมคว้าโอกาสทางธุรกิจที่ไร้ขีดจำกัด ผนึกพลังผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าจากองค์กรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อาทิ True Corporation, CP AXTRA, BCG, Bain & Company, TCP Group, Nestlé, Unilever, Google, TikTok, LINE, Meta, Dentsu, เต่าบิน, L’Oreal, Muangthai Life Insurance, WPP Media Thailand, Mita Wealth (Chubby) และ Punpromotion ร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์ แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับอนาคตเศรษฐกิจไทยในยุค AI First การวางรากฐาน AI Transformation อย่างยั่งยืน

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 1

 

มอง AI ในฐานะเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษรฐกิจ

 

ดร. ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด คาดการณ์ว่า AI จะช่วยเพิ่ม GDP โลกได้ถึง 14% ภายในปี 2030 คนที่เอา AI มาเป็น Co-Worker จะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น เวลาการทำงานลดลง 60-70% สอดคล้องกับตัวเลขการเติบโตของ AI Platform Services ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 32%

 

ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI สร้างการเติบโตได้ 18% เมื่อเทียบกับธุรกิจที่ไม่มีการใช้ AI เลย สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้สูงกว่าคู่แข่งถึง 30% ขณะเดียวกันยังสามารถใช้ AI เชิงกลยุทธ์ช่วยตัดสินใจได้เร็วขึ้น 2-5 เท่า ลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้ 15-25% และภายในปี 2026 บริษัทขนาดใหญ่ 75% จะนำ AI เข้ามาใช้

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 2

 

ความท้าทายคือ หลังโควิด-19 ลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์ลดลงมากถึง 80% โดยมีการเปลี่ยนแบรนด์ภายใน 1 ปี และกว่า 91% คาดหวังการตอบกลับภายใน 1 นาที ขณะเดียวกันธุรกิจที่สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลจะสร้างการเติบโตได้มากกว่าธุรกิจที่มอบประสบการณ์ทั่วไปถึง 17.5% ที่น่าสนใจคือ แบรนด์ที่มี Engagement กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสรักษาฐานลูกค้าได้มากกว่าถึง 2.6 เท่า

 

คว้าโอกาสใหม่ในโลกธุรกิจ: Connecting Infinite Growth through Context, Culture & Commerce

 

การเชื่อมต่อทุกจุดสัมผัสของธุรกิจและผู้บริโภคเข้าด้วยกันเป็นหัวใจสำคัญของ EGG Nexus หรือระบบนิเวศทางการตลาดยุคใหม่ที่หลอมรวมข้อมูลลูกค้า 720 องศา จากทุกแพลตฟอร์ม ตั้งแต่การวิเคราะห์อินไซต์ลูกค้า วางกลยุทธ์แบรนด์ วางแผนและลงสื่อแบบครบวงจร ไปจนถึงการวัดผลแบบเรียลไทม์ เพื่อขับเคลื่อนการตลาดด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการ Connect, Create, Communicate, Convert และ Curate เพื่อสร้าง One Single View ที่นำไปสู่การสร้างประสบการณ์ Hyper-Personalized พร้อมสร้างคลื่นลูกใหม่ในการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัด

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 3

 

ไฮไลท์สำคัญของงานคือการเสวนา ‘Connecting Infinite Growth through Context, Culture & Commerce’ ที่ชูแนวทาง 3Cs กุญแจสำคัญในการคว้าโอกาสใหม่ในโลกธุรกิจ ทิพวัลย์ วงศ์ธรรมชาติ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ Analytics AI and Consultation ขยายความ ‘Context’ หรือการตีความบริบทต่อจากนี้ต้อง ‘รวดเร็วและแม่นยำ’ 

 

“การมีข้อมูลมาก ไม่ได้แปลว่าเข้าใจลูกค้าได้จริง เราต้องรู้ก่อนว่าตลาดของเราอยู่ตรงไหน บริบทคืออะไร” ทิพวัลย์ บอกว่าหัวใจที่แท้จริงคือการตีความบริบทให้แม่นยำที่สุด ซึ่ง AI จะเข้ามาทำหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ และดึง ‘Context สำคัญ’ ออกมาเพื่อหา ‘What Matters’ และ ‘What’s Next’ จากงานวิจัยพบว่าองค์กรที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลหลายแหล่ง ลดต้นทุนได้เฉลี่ย 30%

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 4

 

รัฐธีร์ เจริญรัตน์วรกุล ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ MarTech Solution บอกว่า ‘Culture’ คือพลังขับเคลื่อน ดังนั้น การตลาดยุคใหม่ต้องเริ่มจากผู้คน และปล่อยให้ผู้คนเป็นพลังในการขับเคลื่อนแบรนด์

 

สิ่งที่แบรนด์ต้องทำคือการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมที่ผู้บริโภคสนใจผ่านข้อความที่ใช่ ในช่องทางและจังหวะที่เหมาะสม “ผู้บริโภคไม่ได้สนใจว่าแบรนด์ดีแค่ไหน แต่สนใจว่าแบรนด์อยู่ร่วมกับชีวิตเขาอย่างไร มีจุดยืนอย่างไร อยู่โลกเดียวกับเขาหรือเปล่า พูดภาษาเดียวกับเขามั้ย”

 

โดย AI จะช่วยค้นหาและวิเคราะห์กระแส พร้อมสร้างคอนเทนต์เฉพาะบุคคล (Hyper-Personalized Content at scale) ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความชอบ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า

 

แบรนด์ที่กลายเป็น Social First Brand หรือแบรนด์ที่เข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้คนบนโซเชียลจริงๆ จะมีรายได้มากกว่าแบรนด์ทั่วไปเฉลี่ยถึง 10.2% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเสียงของผู้คน คือจุดเริ่มต้นของการสร้างวัฒนธรรมร่วม และเมื่อแบรนด์ฟังเสียงเหล่านี้และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาจะทำให้แบรนด์เติบโตเร็วกว่า 6 เท่า

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 5

 

ชัชพล องนิธิวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ Media Convergence อธิบายต่อว่า ‘Commerce’ คือการปลี่ยนวัฒนธรรมให้กลายเป็นการค้าจริง ด้วยการสร้างประสบการณ์แบบ Hyper-Personalized ที่ตรงใจแต่ละบุคคล โดยใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคในทุกทัชพอยท์ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน

 

“สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ การใช้ Retail Media Network แบบ Omnichannel ในการสร้าง ‘ความสนใจ’ และเปลี่ยนไปสู่การสร้าง ‘ยอดขาย’ ที่วัดผลได้จริง” 

 

ชัชพล บอกว่า “68% ของนักการตลาดมองว่า Retail Media Networks กำลังกลายเป็น Full-Funnel Impact ที่เชื่อมโยงการมีส่วนร่วมที่ขับเคลื่อนด้วยวัฒนธรรมเข้ากับการขาย และ 54% ของนักการตลาดใช้ Retail Media Networks เพื่อสร้างการมองเห็นให้กับแบรนด์ก่อน แล้วยอดขายก็ตามมา”

 

นอกจากนี้ AI ยังช่วยปรับกลยุทธ์การสื่อสารแบบเรียลไทม์ ทำให้แบรนด์สามารถสร้างโอกาสใหม่และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้ ข้อมูลจากการศึกษาผู้บริโภคกว่า 1,500 แบรนด์ทั่วโลกในปี 2023-2024 พบว่า แบรนด์ที่สร้าง Engagement ได้จริง จะรักษาฐานลูกค้าไว้ได้กว่า 35% ต่อปี

 

“ยุคที่การแข่งขันรุนแรงและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วการมีลูกค้าไม่สำคัญเท่ากับการรักษาลูกค้าให้รักแบรนด์” ชัชพล กล่าว

 

Case Study: เจาะลึกเคสจริง ประสบการณ์จริงจากลูกค้าธุรกิจ

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 6

 

ยังมีอีกหลายหัวข้อที่น่าสนใจโดยเฉพาะช่วงบ่ายที่นำเคสจริง ประสบการณ์จริงมาแชร์ให้ฟัง อาทิ หัวข้อ Singularity Insights: The Power of Context Clarity ที่ได้ผู้บริหารจาก CP AXTRA, True Corporation, เมืองไทยประกันชีวิต และ เอ้ก ดิจิทัล เล่าถึงพลังของข้อมูลในยุค Hyper-Personalization ซึ่งหนึ่งในความท้าทายคือ แม้แบรนด์จะรู้ว่า ลูกค้าซื้ออะไร ซื้อเมื่อไหร่ แต่กลับไม่รู้ว่า ซื้อทำไม ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการสร้างความเข้าใจลูกค้าแบบ 720 องศา โดยใช้ข้อมูลหลายอุตสาหกรรม เช่น ข้อมูลโทรคมนาคมที่เก็บพฤติกรรมใช้งาน, ตำแหน่ง, และข้อมูลของห้างค้าปลีกที่เก็บเรื่องพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย ช่วยให้เกิด segmentation รูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้แบ่งแค่ตามอายุ แต่ที่ถูกเชื่อมโยงด้วยการมีไลฟ์สไตล์ร่วมกัน, ค่านิยมร่วมกัน และความเต็มใจที่จะใช้จ่ายมากกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเราขอเรียกกลุ่มนี้ว่า ‘Gen Strong’ ซึ่งเป็น segment ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในอนาคต แต่ยัง พร้อมใช้จ่าย และพร้อมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจตั้งแต่วันนี้ โดยสามารถแบ่งเป็น segments นี้ย่อยลงไปได้อีกกว่า 50 subsegments เช่น ‘Single Glam’ คนรุ่นใหม่รักสุขภาพ หรือ ‘Silver Strong’ ผู้สูงวัยแอ็กทีฟ ทำให้การเข้าถึงลูกค้ามีความเฉพาะเจาะจงและแม่นยำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

เมื่อเข้าใจลูกค้ามากขึ้นก็จะสามารถเลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่เฉียบคมขึ้น เจาะพื้นที่ เสนอโปรโมชันหรือผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจกว่าเดิม โดยเป้าหมายสูงสุดในการทำตลาดแบบ Segment of One คือการมองลูกค้าเป็นรายบุคคล แล้วใช้ AI และข้อมูลในช่วง Micro-Moments นำเสนอสิ่งที่เหมาะสมในเวลาทีใช่ นั่นหมายความว่า ธุรกิจใดที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลบริบท ไลฟ์สไตล์ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันได้ จะมีโอกาสสร้างการเติบโตได้แบบไม่มีข้อจำกัด

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 7

 

หรือหัวข้อ Where Attention Sparks Culture and Drives Commerce through Retail Media Network ที่เน้นย้ำความสำคัญของ Retail Media Network ว่าจะกลายเป็นเครื่องมือที่ปฏิวัติวงการโดยมี AI เป็นตัวขับเคลื่อน โดยมีองค์กรชั้นนำอย่าง Google Unilever และ Amplifi (Thailand) มาร่วมแสดงความคิดเห็น

 

และได้ข้อสรุปว่า ปัจจุบันผู้บริโภคต้องการมากกว่าข้อมูลทั่วไปแต่คาดหวัง Intelligence ที่ผ่านการวิเคราะห์และแปลความแล้วว่าต้องการอะไรและเมื่อไหร่ ทำให้ Data และ AI กลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำคัญ โดย Retail Media Network สื่อที่สามารถเชื่อมโยงทุกจุดสัมผัสของผู้บริโภคเข้าด้วยกันอย่างครบถ้วน และยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง Brand Culture และ Brand Commerce ให้เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งการผสาน Retail Media Network, AI และ First-Party Data จากผู้ค้าปลีกเข้าด้วยกัน ช่วยให้แบรนด์สามารถทำ Hyper-Personalization ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจควบคู่ไปด้วย

 

ในช่วงนี้ยังมีการนำเสนอแนวคิดใหม่ โดยแนะนำแพลตฟอร์ม CreativeFusion ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง EGG Digital และ Google เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถสร้าง The Right Message หรือข้อความที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคนได้อย่างแท้จริง

 

นอกจากนี้ ยังได้มีการแนะนำ AI Expert Robotics สำหรับการทดลองใช้งานบริเวณหน้าชั้นวางสินค้า เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมความสามารถในการสื่อสารผ่าน Avatar ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

อนาคตของ Retail Media สำหรับแบรนด์ ไม่ใช่แค่การซื้อสื่อเพื่อยิงโฆษณาอีกต่อไป แต่คือโอกาสในการสร้าง ‘Brand Experience’ ที่ผู้บริโภคจับต้องได้จริง

 

สิ่งต่อมาคือ Agentic AI ที่ไม่แค่ช่วยทำงานแต่จะเข้ามาอยู่ในทุกกระบวนการทางการตลาดตั้งแต่เก็บข้อมูล คิดไอเดีย วิเคราะห์ตลาดไปจนถึงวัดผล สิ่งที่แบรนด์และเอเจนซีต้องมีความเร็วในการปรับตัวและความร่วมมือเชิงกลยุท์ระหว่างแบรนด์ ผู้ค้าปลีก และเอเจนซี เพราะนี่คือก้าวสำคัญสู่อนาคตของการตลาด ที่ Culture และ Commerce เดินไปพร้อมกัน

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 8

 

AI ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่าง Media และ Commerce เข้าด้วยกัน บนเวที Where Media Meets AI Intelligence: Driven the Future of Commerce ได้ชวน 3 องค์กรชั้นนำ อย่าง L’Oréal, WPP Media และ Meta มาร่วมฉายภาพอนาคตการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI

 

สิ่งที่ทั้ง 3 องค์กรเห็นเหมือนกันคือ เส้นทางการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ปัจจุบันผู้ซื้อเห็นคอนเทนต์หรือไลฟ์แล้วกดซื้อทันที โดย WPP Media มองว่าการวางแผนสื่อต้องเปลี่ยนไปใช้ Data และ AI เพื่อค้นหา ‘ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด’ เพื่อสร้างความต้องการซื้อได้อย่างแม่นยำ

 

เครื่องมือที่จะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพคือ AI ด้าน Meta กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่จะทำให้ AI สร้างการวัดผลที่จับต้องได้ จะต้องอาศัยการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ Omnichannel ซึ่งสามารถสร้าง Return on Ad Spend (ROAS) ได้ดีขึ้นถึง 67% เมื่อเทียบกับแคมเปญทั่วไป

 

ด้าน L’Oréal ยกตัวอย่างแคมเปญ Beauty for Each ด้วยการใช้ข้อมูลค้นหากลุ่มลูกค้าใหม่เพื่อออกแบบแคมเปญที่สามารถส่งสารแบบ Personalize ได้ตรงจุด ถูกที่ ถูกเวลา และที่สำคัญคือ เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคแต่ละคนมากที่สุด

 

ต่อไปนี้นักการตลาดจะใช้เวลาไปกับการสร้างสรรค์กลยุทธ์และไอเดียมากขึ้น สนุกขึ้น แล้วส่งหน้าที่ให้ AI ทำงานที่ซับซ้อน และช่วยสร้างความสัมพันธ์ระดับบุคคลในสเกลที่ใหญ่ขึ้น

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 9

 

หัวข้ออย่าง Next-Level Retail: AI-Powered Dynamic Context in Action ที่มาตอกย้ำว่า ‘ความเร็ว’ คืออาวุธสำคัญ ‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’ อาจไม่จริงอีกต่อไป แต่เป็น ‘ปลาเร็วเท่านั้น ที่จะเข้าเส้นชัยก่อน’ ที่ได้องค์กรอย่าง CP AXTRA, Unilever และ Nestlé มาแบ่งปันประสบการณ์

 

ประเด็นสำคัญของหัวข้อนี้คือ บทบาทสำคัญของ AI ในธุรกิจค้าปลีกคือการทำให้ธุรกิจมีความ ‘Real-Time’ ยิ่งข้อมูลลูกค้ามีจำนวนมหาศาล ความคาดหวังเปลี่ยนบริบทการตลาดใหม่ สิ่งที่ AI จะเข้ามาช่วยไม่ว่าจะเป็น Real-Time Feedback การเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนโปรโมชันได้อย่างรวดเร็ว การใช้ AI ช่วยจัด Store Cluster และจัดกลุ่มสินค้าให้ตรงกับลักษณะลูกค้า เช่น กลุ่มที่อยู่อาศัย หรือกลุ่มสำนักงาน หรือหา Optimization ในการทำโปรโมชัน และเข้าใจ Budget ที่แท้จริงในการลงทุน

 

AI ยังช่วยให้เข้าใจ Assortment Plan, Shelf Size, Shelf Type และ โครงสร้างของสินค้าในแต่ละร้านค้า วิเคราะห์โอกาสจากข้อมูลตลาดและแนวโน้มเพื่อสร้างสินค้าที่ไม่เคยมีมาก่อน ไปจนถึงใช้ Social Listening และ AI วิเคราะห์เทรนด์หลักๆ เพื่อพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ หา Promotion Modeling และอ่านคอมเมนต์ลูกค้า ในอนาคต AI จะไม่ได้มีบทบาทแค่การวิเคราะห์ แต่จะทำหน้าที่เป็น Collaborator หรือ Co-Pilot ที่สามารถให้คำแนะนำและช่วยเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันจะเข้ามาอยู่ในกระบวนการแบบ End-to-End

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 10

 

ขณะเดียวกัน Workshop สุดเข้มข้นที่นำกรณีศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและเทคโนโลยีจริงมาให้ผู้ร่วมงานได้ทดลองก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น เรียนรู้ PromoMatter เครื่องมือปลดล็อกการวัดประสิทธิภาพโปรโมชันให้แม่นยำและเข้าใจง่าย พร้อมวิธีใช้ข้อมูลเพื่อประเมินและจัดอันดับโปรโมชันอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ทลายข้อจำกัดด้านงบประมาณและทีมงานด้วยเครื่องมือ MarTech พร้อมทดลองใช้งาน EGG One Platform ที่รวบรวมข้อมูลลูกค้า การบริหารแคมเปญ และระบบอัตโนมัติไว้ในที่เดียว รวมถึง MediaFusion แพลตฟอร์มมีเดียอัจฉริยะที่สามารถค้นหาอินไซท์เชิงลึก กำหนดเป้าหมายอย่างชาญฉลาด พร้อมวัดผลได้อย่างทันท่วงที ไปจนถึงการ Business Wellness Check ปรึกษาปัญหาธุรกิจฟรีกับผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและเทคโนโลยี

 

ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] 11

 

ดร.ธีรเดช กล่าวทิ้งท้ายถึงเป้าหมายของ เอ้ก ดิจิทัล ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่คือการสนับสนุนให้ธุรกิจและบุคลากรในไทยเติบโต ช่วยให้ภาคธุรกิจและประเทศไทยสามารถปรับตัวได้ในโลกดิจิทัลได้ มอง AI เป็นการหลอมรวมระหว่างข้อมูล วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการค้าเพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในสมรภูมิดิจิทัลแห่งอนาคตนี้”

The post ถอดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจยุค AI First ด้วยมุมมองและเครื่องมือขุมพลังใหม่ จากงาน ‘EGG Digital Nexus: The Fusion Frontier’ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึกความคืบหน้า KMUTNB NSTC ศูนย์กลางพัฒนากำลังคนด้าน IC Assembly and Test และ PCBA บนพื้นฐานความเชี่ยวชาญกว่า 15 ปี [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/kmutnb-nstc/ Tue, 18 Nov 2025 10:05:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1144592

ปี 2568 เป็นปีแห่งการ ‘ปักหมุด’ ยุทธศาสตร์การพัฒนากำลัง […]

The post เจาะลึกความคืบหน้า KMUTNB NSTC ศูนย์กลางพัฒนากำลังคนด้าน IC Assembly and Test และ PCBA บนพื้นฐานความเชี่ยวชาญกว่า 15 ปี [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปี 2568 เป็นปีแห่งการ ‘ปักหมุด’ ยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคนเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) อย่างเอาจริงเอาจัง

 

หนึ่งในศูนย์ที่เดินหน้าภารกิจนี้อย่างเข้มข้น คือ ศูนย์พัฒนากำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ (National Semiconductor Training Center: NSTC) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หรือ KMUTNB NSTC’ ซึ่งถูกเลือกให้เป็นแกนกลางในการพัฒนาคนสมรรถนะสูงด้าน IC Assembly and Test และ PCBA (Printed Circuit Board Assembly)

 

ถึงแม้ว่า KMUTNB NSTC จะเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 2568

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เส้นทางของศูนย์แห่งนี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นผลักดันเรื่องเซมิคอนดักเตอร์เป็นปีแรก

 

แต่มีประสบการณ์คลุกคลีอยู่ในแวดวงไมโครอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์มายาวนานกว่า 15 ปี มีทั้งองค์ความรู้ที่ครบครัน และความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในประเทศอย่างต่อเนื่อง

 

ก้าวย่างของศูนย์ในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงการเริ่มต้น แต่คือการ ‘ต่อยอด’ องค์ความรู้ที่สั่งสมมายาวนานให้พร้อมเดินหน้าปั้นบุคลากรคุณภาพสูงป้อนอุตสาหกรรมไทยได้อย่างทันเวลาและตรงความต้องการของภาคอุตสาหกรรม

 

KMUTNB NSTC พื้นฐานแข็งแรง ประสบการณ์แน่น

 

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เริ่มเปิดการเรียนการสอนด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ร่วมกับบริษัท ยูแทคไทย จำกัด ที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตและทดสอบบรรจุภัณฑ์วงจรรวม มาตั้งแต่ปี 2553 นับเป็นเวลากว่า 15 ปี ก่อนต่อยอดสู่การเปิดหลักสูตร วิศวกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์อย่างเป็นทางการในปี 2561


ทำให้ที่นี่มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจำนวนมาก และพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเป็นศูนย์ฝึกอบรมระดับประเทศ

 

NSTC มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

 

มหาวิทยาลัยมีความพร้อมทั้งห้องปฏิบัติการสะอาดและเครื่องจักรสำหรับการบรรจุภัณฑ์วงจรรวม (IC Packaging) รวมถึงอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่รองรับงานด้าน Failure Analysis และ Research and Development (R&D) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และถ่ายทอดเทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ที่มีการติดตั้งเครื่องมือหลากหลาย เช่น กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) และเครื่องวิเคราะห์การเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ (XRD)

 

เสริมแกร่งศูนย์ ด้วยพลังจากภาคเอกชน

 

ภาคอุตสาหกรรมในประเทศเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญที่เข้ามาช่วย ‘เสริมแกร่ง’ ให้การพัฒนาของ KMUTNB NSTC เดินหน้าได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งในมิติของการเรียนรู้และการลงมือทำจริง ตั้งแต่โครงการสหกิจศึกษา โครงการศึกษาดูงาน การส่งผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นอาจารย์พิเศษประจำรายวิชา ไปจนถึงการพัฒนาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ และการสนับสนุนทุนโครงงาน (Senior Project)

 

NSTC มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ความร่วมมือระหว่าง KMUTNB NSTC และ บริษัท ยูแทคไทย จำกัด

 

โดยมีบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมร่วมขับเคลื่อน อาทิ บริษัท ยูแทคไทย จำกัด, บริษัท เอ็นเอ็กซ์พี แมนูแฟคเจอริ่ง (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท อนาล็อก ดีไวเซส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด,  บริษัท ฮานา เซมิคอนดักเตอร์ (อยุธยา) จำกัด และบริษัท โซนี่ ดีไวซ์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ฯลฯ


มาถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากหน้างานสู่ห้องเรียน ผ่านการทำ Co-training และการเรียนรู้ในโรงงานจริง (Factory-based Learning) เปิดโอกาสให้นักศึกษาและบุคลากรของศูนย์ได้เข้าใจภาพรวมกระบวนการผลิตพร้อมเข้าสู่การทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมอย่างมืออาชีพ

 

เดินหน้าสร้างคนสมรรถนะสูงผ่านการอบรมและสัมมนา

 

ตลอดปี 2568 KMUTNB NSTC เดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคนอย่างต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรมอบรมและสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมทักษะให้กับนักศึกษาและบุคลากรที่ต้องการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

 

เริ่มจาก KMUTNB Semiconductor Bootcamp ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 และ 24-27 มิถุนายน 2568 หลักสูตรนี้ออกแบบเพื่อฝึกอบรมนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ให้เข้าใจพื้นฐานด้านการประกอบบรรจุภัณฑ์วงจรรวม (IC Packaging) พร้อมพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมืออาชีพ มีนักศึกษาเข้าร่วมทั้งหมด 41 คน

 

NSTC มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ภาพบรรยากาศ KMUTNB Semiconductor Bootcamp

 

ต่อด้วยการอบรม Basics about IC Packaging เมื่อวันที่ 22-25 กรกฎาคม 2568 (รอบแรก) และ วันที่ 22-25 กรกฎาคม 2568 (รอบสอง) เปิดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้เรียนรู้ภาพรวมของการผลิตบรรจุภัณฑ์วงจรรวม ตั้งแต่สายการผลิต การทดสอบทางไฟฟ้า ไปจนถึงการวิเคราะห์ความล้มเหลวของชิ้นงาน มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 77 คน

 

NSTC มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ภาพบรรยากาศ Basics about IC Packaging

 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดสัมมนาวิชาการ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่

  • “Semiconductor Technology Platform and Generative Innovation” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 มีผู้เข้าร่วม 86 คน
  • “From Design to Production – The Journey of Semiconductor Chip” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 มีผู้เข้าร่วม 42 คน
  • “Future Challenge for Failure Analysis of Advanced Electronics and Semiconductors” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 มีผู้เข้าร่วม 42 คน

และยังมีการอบรมที่รับสมัครอยู่ในขณะนี้อีกหลายโครงการ

 

NSTC มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

งานสัมมนา ในหัวข้อ ‘Future Challenge for Failure Analysis of Advanced Electronics and Semiconductors’

 

จากการดำเนินงานตลอดปี 2568 จะเห็นได้ว่า KMUTNB NSTC เดินหน้าตามแผนที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการพัฒนาหลักสูตร การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และการจัดอบรมสัมมนาเพื่อเสริมทักษะเชิงเทคนิคให้บุคลากรในทุกระดับ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของศูนย์และกระทรวง อว. ในการยกระดับศักยภาพคนไทยสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต

The post เจาะลึกความคืบหน้า KMUTNB NSTC ศูนย์กลางพัฒนากำลังคนด้าน IC Assembly and Test และ PCBA บนพื้นฐานความเชี่ยวชาญกว่า 15 ปี [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% https://thestandard.co/oppo-launches-apex-guard/ Tue, 18 Nov 2025 04:56:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1144447 OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3%

ทำความรู้จัก ชุดเทคโนโลยี Apex Guard ของ OPPO ที่มุ่งยก […]

The post OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% appeared first on THE STANDARD.

]]>
OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3%

ทำความรู้จัก ชุดเทคโนโลยี Apex Guard ของ OPPO ที่มุ่งยกระดับ ‘ความทนทาน’ ของผลิตภัณฑ์ เหนือคู่แข่ง ผ่าน 180 บททดสอบ เช่น การกันน้ำขั้นสุด การทนร้อน 75°C และการทดสอบตก 2.5 เมตร ก็ยังปลอดภัย พบลดอัตราการเสื่อมตํ่ากว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมถึง 3%

 

OPPO เปิดตัว Apex Guard ซึ่งชุดเทคโนโลยี ‘ปกป้อง’ และ ‘รักษา’ คุณภาพประสบการณ์ของผู้ใช้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ตั้งแต่กระบวนการวิจัยและพัฒนาการผลิต ไปจนถึงบริการหลังการขาย หวังยกระดับ ‘ความทนทาน’ ของผลิตภัณฑ์ กำหนดนิยาม ‘คุณภาพ’ ใหม่ให้ทั้งอุตสาหกรรม

 

Grus Shan, Director of Manufacturing ของ OPPO ได้กล่าวเน้นย้ำว่า “คุณภาพคือรากฐานของทุกสิ่ง ด้วยการสร้างความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในด้านคุณภาพ OPPO มุ่งมั่นที่จะปกป้องอิสรภาพของผู้ใช้งานทุกคนในการเดินทางของชีวิต คุณภาพไม่ได้เป็นเพียงฟีเจอร์เท่านั้น แต่คืออิสระในการสร้างสรรค์ช่วงเวลาของคุณ หรือ Make Your Moment”

 

“คุณภาพของผลิตภัณฑ์ เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอ แต่กลับแทบไม่เคยถูกนิยามอย่างชัดเจน เมื่อไม่มีมาตรฐานสากลที่ใช้แบ่งเส้นระหว่าง ‘ทั่วไป’ กับ ‘ยอดเยี่ยม’ คำว่า ‘คุณภาพ’ จึงกลายเป็นเพียงคำลอย ๆ ที่ใครก็พูดได้ แต่ต่างคนก็ต่างตีความหมายไม่เหมือนกันเลย” แถลงการณ์ระบุ

 

OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% 1

 

OPPO Apex Guard กับ 3 การก้าวข้าม

 

  • ก้าวข้ามการใช้งานประจำวัน: สร้างอุปกรณ์ที่ไม่เพียงแต่ทนทานต่อการสึกหรอในแต่ละวันเท่านั้น แต่ยังมอบประสิทธิภาพที่ราบรื่นอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
  • ก้าวข้ามอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์: ลดอัตราที่ประสิทธิภาพของโทรศัพท์จะช้าลง เพื่อให้โทรศัพท์ของคุณยังคงราบรื่นและเชื่อถือได้ไปอีกหลายปี
  • ก้าวข้ามมาตรฐานที่มีอยู่: ยืนกรานที่จะก้าวข้ามเกณฑ์มาตรฐานการผลิตและการทดสอบแบบดั้งเดิม เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

โดย OPPO มีการทดสอบมากกว่า 180 รายการ ภายใน OPPO Labs เพื่อยืนยันว่าทุกอุปกรณ์สามารถ ‘ทนทาน’ ผ่านมาตรฐานระดับสูงที่ตั้งไว้ได้อย่างแท้จริง รวมถึงการทดสอบที่อุณหภูมิสูงถึง 75°C เป็นเวลา 168 ชั่วโมง การทดสอบการตกจากที่สูง 2 5 เมตร และการทดสอบที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่มากกว่า 73 รายการ

 

เพิ่มความทนทาน-ยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์

 

OPPO ยังมีการทดสอบ Smoothness Aging Tests เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ยังทำงานได้อย่างเสถียร ตลอดหลายปีของการใช้งานเพื่อสะท้อนประสบการณ์จริงของผู้ใช้ให้แม่นยำที่สุด OPPO ได้พัฒนา Endurance Simulation Suite ที่อ้างอิงข้อมูลเชิงลึกด้านพฤติกรรมและรูปแบบการใช้งานของผู้ใช้ เพื่อนำมาจำลองรอบการใช้งานยาวนาน 48, 60 และ 72 เดือน

 

โดยปรับตามคุณลักษณะของฮาร์ดแวร์แต่ละรุ่นอย่างเฉพาะเจาะจง ผลลัพธ์คือ แม้ใช้งานต่อเนื่องยาวนาน 4–6 ปี อุปกรณ์ของ OPPO ยังมีอัตราการเสื่อมโดยรวมต่ำกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมถึง 3%

 

และช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานแบตเตอรี่ ทำให้ได้แบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเบาขึ้น ใช้งานได้ยาวนานขึ้น และยืดอายุการใช้งานของเซลล์แบตเตอรี่ได้เพิ่มขึ้น 400 รอบชาร์จ

 

โดย Corning® Gorilla® Glass 7i และกระบวนการ Chemical Ion Exchange ของ OPPO นวัตกรรมทั้งหมดนี้ ทำให้หน้าจอผ่านการรับรอง Five-Star Overall Drop Resistance จาก SGS องค์กรทดสอบอิสระระดับโลก ภายในตัวเครื่อง แบตเตอรี่แบบ silicon-carbon ช่วยเพิ่มความจุในพื้นที่ที่เล็กลง ส่งผลให้ใช้งานได้นานขึ้น และยืดอายุแบตเตอรี่โดยรวมให้ยาวนานกว่าเดิม

 

ฮาร์ดแวร์แข็งแกร่ง

 

เมื่อพูดถึงฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานได้ยาวนาน OPPO Find X9 Series ใหม่ คือผู้นำด้วยนวัตกรรมหลายด้าน ตัวอย่างเช่น หน้าจอที่ใช้ชั้นหมึกทนความร้อน ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นขอบสีดำเกิดการหลุดลอก

 

นอกจากนี้ ยังมีการใช้อะลูมิเนียมอัลลอยด์ความแข็งแรงสูง AM04 มีความแข็งแรงกว่าอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปทั่วไปถึง 70% และผ่านการทดสอบว่าสามารถทนต่อการดัดงอได้ 1,000 ครั้ง ทำให้มีความทนทานใกล้เคียงกับไทเทเนียม

 

กันน้ำระดับสูงสุด

 

นอกจากนี้ OPPO ยังมีการทดสอบระบบกันน้ำ ที่ระบุจุดที่อาจเป็นช่องทางให้น้ำเข้าได้กว่า 20 จุด และได้เสริมความแข็งแรงด้วยเทคนิคการซีลแบบเฉพาะตัว

 

โดย OPPO เป็นรายแรกในอุตสาหกรรมที่นำเสนอสมาร์ทโฟนซีรีส์ครบถ้วนที่มีระดับการกันน้ำระดับสูงสุด

 

ซึ่งในงานที่เปิดให้ THE STANDARD WEALTH ได้ชมเบื้องหลัง ณ สำนักงานใหญ่และศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ระดับโลกของ OPPO ที่ Binhai Bay Campus ทาง OPPO ได้ทดสอบการกันน้ำผ่าน ‘น้ำประเภทต่าง’ เช่น น้ำนม น้ำส้ม น้ำผสมแชมพู น้ำผสมน้ำยาล้างจ้าน น้ำร้อน และน้ำเย็น เป็นต้น

 

‘จอพับ’ เกรด ‘อากาศยาน’

 

ในมือถือรุ่นจอพับอย่าง Find N5 Series OPPO ได้ใช้เหล็กความแข็งแรงสูงเป็นพิเศษ พร้อมแผงหลังที่ทำจาก glass fiber เกรดเดียวกับที่ใช้ในอากาศยาน ให้ทั้งความยืดหยุ่นและความทนทานในเวลาเดียวกัน

 

โดยเหล็กขึ้นรูปความแข็งแรงสูงเป็นพิเศษของพัฒนาขึ้นมาสำหรับอุปกรณ์พับได้ (Foldable devices) โดยเฉพาะ มีความแข็งแรงกว่า 10% และมีความเหนียว (Ductile) กว่า 15% ซึ่งมอบความทนทานต่อการสึกหรอและความเสถียรของบานพับในระยะยาว ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

 

ซอฟต์แวร์ที่ลื่นไหล

 

นอกจากนี้ OPPO ยังนำเสนอ All-New Luminous Rendering Engine ColorOS 16 นำเสนอสถาปัตยกรรมแอนิเมชันแบบรวม เป็นครั้งแรกสำหรับ Android ซึ่งมอบประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและลื่นไหลเหมือนโลกแห่งความเป็นจริง ในทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้

 

พร้อมนำเสนอเทคโนโลยี Chip-Level Dynamic Frame Sync เพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ลื่นไหลเมื่อทำงานหลายอย่างพร้อมกัน และมีเทคโนโลยี Sensor Offload เพื่อให้สามารถบันทึกวิดีโอ 4K 60 เฟรมต่อวินาที ได้อย่างต่อเนื่อง

 

OPPO ยังพัฒนามาตรฐานการตรวจวัดความลื่นไหลของเราเองในชื่อ 6-Zero Smoothness Validation ซึ่งประกอบด้วย 0 Lag (ดีเลย์เป็นศูนย์), 0 Latency (ความหน่วงเป็นศูนย์), 0 Flicker (ภาพกะพริบเป็นศูนย์), 0 Crash (แอปขัดข้องเป็นศูนย์), 0 Mislaunch (การเปิดผิดพลาดเป็นศูนย์), และ 0 Freeze (ค้างเป็นศูนย์)

 

โดยจะทดสอบความลื่นไหลขณะเปิดหลายแอปติดกันอย่างรวดเร็วจากหน้าโฮม เพื่อสะท้อนสถานการณ์จริง ที่ผู้ใช้ทำบ่อยที่สุด

 

ฟีเจอร์ Instant Refresh รักษาความเร็ว เพิ่มความไหลลื่น

 

นอกจากนี้บน ColorOS 16 OPPO ได้นำเสนอฟีเจอร์ Instant Refresh บน OPPO A Series ที่ช่วยรักษาความเร็ว และความเสถียรของเครื่องในระยะยาว เพียงแตะครั้งเดียว ระบบจะลดการกระจัดกระจายของข้อมูล (data fragmentation) และปรับการขอสิทธิ์ของแอปให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ส่งผลให้ตัวเครื่องยังคงตอบสนองได้ดี ลื่นไหล และน่าเชื่อถือแม้ใช้งานไปนานหลายปี

 

OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% 2

 

เสนอบริการหลังการขายโดดเด่น

 

บริการหลังการขายคืออีกหนึ่งด้านที่มักถูกมองข้าม แต่เป็นจุดที่ OPPO โดดเด่นอย่างชัดเจน ด้วยบริการซ่อมด่วนภายใน 1 ชั่วโมง ในบางสาขา ที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ผ่านศูนย์บริการกว่า 3,300 แห่งในกว่า 75 ประเทศทั่วโลก

 

เบื้องหลังคือระบบคลังสินค้าแบบคลาวด์ระดับโลก การบริหารงานที่ดูแลโดย OPPO โดยตรง และเครือข่ายการรับประกันระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลที่เข้าถึงง่ายและไว้ใจได้ตลอดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์

 

OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% 3

 

OPPO Labs ณ Binhai Bay Campus

 

OPPO ได้เพิ่มส่วนอำนวยความสะดวกใหม่ๆ เข้าไปใน Binhai Bay Campus ตัวอย่างเช่น ห้องปฏิบัติการวัสดุ (Materials Lab) ห้องปฏิบัติการทดสอบอุปกรณ์อัจฉริยะ (Intelligent Terminal Testing Lab) ห้องปฏิบัติการอัจฉริยะด้านการใช้พลังงาน (Power Consumption Intelligent Lab) และห้องปฏิบัติการสื่อสาร (Communication Lab) โดยแต่ละห้องจะทำหน้าที่ประเมินคุณภาพในมุมมองที่แตกต่างกัน เพื่อรับประกันว่าฮาร์ดแวร์มีความน่าเชื่อถือและผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ซอฟต์แวร์ที่ราบรื่น

 

OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% 4

 

1) ห้องปฏิบัติการวัสดุ (Materials Lab) เป็นแหล่งกำเนิดของวัสดุที่ล้ำหน้าที่สุดหลายอย่างของ OPPO สิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติกว่า 380 ฉบับ มีต้นกำเนิดจากที่นี่ ห้องปฏิบัติการนี้มีเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูงกว่า 200 รายการ รวมถึงเครื่องสเปกโตรมิเตอร์ที่มีราคาสูงเป็นอันดับสองในอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยให้ OPPO สามารถดำเนินการตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติของวัสดุในระดับโลกได้ ความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่พัฒนาขึ้นในห้องปฏิบัติการนี้ ได้แก่ กระจกนาโนคริสตัลแบบบางเฉียบ ที่เพิ่มการป้องกันการตกกระแทกได้ถึง 400% บานพับเหล็กที่ทนทานต่อการสึกหรอ ซึ่งสามารถพับได้ถึง หนึ่งล้านครั้ง และ เส้นใยเกรดอากาศยานที่บางลง 50% แต่มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 4 เท่า

 

OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% 5

 

2. ห้องปฏิบัติการทดสอบอุปกรณ์อัจฉริยะ (Intelligent Terminal Testing Lab) เป็นห้องปฏิบัติการทดสอบซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถทดสอบอุปกรณ์ได้พร้อมกันกว่าหลายหมื่นเครื่อง และดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน โดยมีกระบวนการเกือบทั้งหมดเป็นแบบอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์ มีเพียงผู้ดูแลเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จำเป็นในการเฝ้าติดตามและบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่กำลังทำงานอยู่หลายพันเครื่อง ห้องปฏิบัติการนี้ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตู (gatekeeper) ของคุณภาพซอฟต์แวร์ของ OPPO

 

OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% 6

 

3. ห้องปฏิบัติการอัจฉริยะด้านการใช้พลังงาน (Power Consumption Intelligent Lab) คือกลไกอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลและเสถียรของผลิตภัณฑ์ OPPO ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ติดตั้งเครื่องมือขั้นสูงกว่าร้อยชุด และขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติที่พัฒนาโดย OPPO เอง ซึ่งรองรับการทำงานของอุปกรณ์กว่าร้อยเครื่อง ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์

 

OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% 7

 

4. ห้องปฏิบัติการสื่อสาร (Communication Lab) ด้วยการลงทุนมูลค่าหลายร้อยล้านหยวน ถือเป็นห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดและมีราคาสูงที่สุดแห่งหนึ่งภายในวิทยาเขต Binhai Bay ของ OPPO เทคโนโลยี ต่างๆ เช่น AI LinkBoost, การออกแบบเสาอากาศแบบ 360 องศา (360° Surround Antenna Design) และชิปการสื่อสารที่พัฒนาขึ้นภายในของ OPPO ล้วนถูกนำมาทดสอบและพัฒนาให้สมบูรณ์แบบที่นี่

 

OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% 8

The post OPPO เปิดตัวชุดเทคโนโลยี Apex Guard ยกระดับ ‘ความทนทาน’ ผลิตภัณฑ์ ลดอัตราการเสื่อมตํ่าถึง 3% appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนสั่งคุมเข้มอินฟลูเอนเซอร์ ห้ามพูดเรื่องการเงิน กฎหมาย สุขภาพ หากไม่มีใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพมายืนยัน สวนทางสหรัฐฯ ที่ ‘ทรัมป์’ หนุน-Meta เลิก Fact-Check https://thestandard.co/china-influencer-license-rules/ Mon, 17 Nov 2025 10:36:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1144239 จีนสั่งคุมเข้ม อินฟลูเอนเซอร์ ห้ามพูดเรื่องการเงิน กฎหมาย สุขภาพ หากไม่มีใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพมายืนยัน สวนทาง สหรัฐฯ ที่ ‘ทรัมป์’ หนุน-Meta เลิก Fact-Check

The Economic Times รายงานว่า รัฐบาลจีนได้สร้างแรงสั่นสะ […]

The post จีนสั่งคุมเข้มอินฟลูเอนเซอร์ ห้ามพูดเรื่องการเงิน กฎหมาย สุขภาพ หากไม่มีใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพมายืนยัน สวนทางสหรัฐฯ ที่ ‘ทรัมป์’ หนุน-Meta เลิก Fact-Check appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนสั่งคุมเข้ม อินฟลูเอนเซอร์ ห้ามพูดเรื่องการเงิน กฎหมาย สุขภาพ หากไม่มีใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพมายืนยัน สวนทาง สหรัฐฯ ที่ ‘ทรัมป์’ หนุน-Meta เลิก Fact-Check

The Economic Times รายงานว่า รัฐบาลจีนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการอินฟลูเอนเซอร์ โดยกำหนดให้ผู้สร้างคอนเทนต์ต้องแสดงหลักฐานคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง หากต้องการพูดคุยในหัวข้อที่ ‘จริงจัง’ (Serious) เช่น การเงิน, สุขภาพ, การแพทย์, กฎหมาย หรือการศึกษา

 

Social Media Today ชี้ว่า แม้กฎนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแนวปฏิบัติสำหรับผู้แพร่ภาพออนไลน์ (Conduct for Online Broadcasters) มาตั้งแต่ปี 2022 แล้ว แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนเพิ่งจะเริ่มนำมาบังคับใช้อย่างจริงจังมากขึ้นในขณะนี้

 

กฎระเบียบใหม่นี้ กำหนดให้ผู้สร้างคอนเทนต์ต้องมีปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะเผยแพร่เนื้อหา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดข้อมูลที่ผิดๆ จากผู้มีอิทธิพลที่ขาดความรู้จริง และอาจต้องเผชิญกับโทษปรับสูงถึง 14,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.5 แสนบาท) หากมีการละเมิดกฎหมาย

 

โดยหน่วยงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) ได้ออกมาปกป้องกฎหมายนี้ว่าถูกนำมาใช้เพื่อ ‘ปกป้องประชาชนจากเนื้อหาที่ทำให้เข้าใจผิดและคำแนะนำที่เป็นอันตราย’ บนโลกออนไลน์

 

นอกจากการกำหนดคุณสมบัติของผู้พูดแล้ว CAC ยังได้สั่งห้ามการโฆษณาผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์, อาหารเสริม และอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อป้องกันการ ‘โฆษณาแฝง’ ที่มาในรูปแบบของการให้ความรู้ และยังกำหนดให้ผู้สร้างคอนเทนต์ต้องระบุอย่างชัดเจนหากเนื้อหาส่วนใดสร้างขึ้นโดย AI หรือมีการอ้างอิงมาจากงานวิจัย

 

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Douyin (TikTok เวอร์ชันจีน), Weibo และ Bilibili จะต้องมีหน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สร้างคอนเทนต์เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมอินฟลูเอนเซอร์ของจีน และได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์

 

ผู้ใช้งานจำนวนมากต่างแสดงความยินดีกับกฎหมายใหม่นี้ โดยผู้ใช้ Weibo รายหนึ่งแสดงความเห็นว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจะได้เป็นผู้นำในการสนทนา” แต่ในทางกลับกัน หลายฝ่ายก็แสดงความกังวลว่ากฎหมายนี้จะเป็นการจำกัด ‘เสรีภาพในการพูด’ และทำลายความคิดสร้างสรรค์ “อีกหน่อยเราคงต้องมีใบอนุญาตเพื่อแสดงความคิดเห็น” ผู้สร้างคอนเทนต์ในปักกิ่งคนหนึ่งกล่าว

 

Social Media Today ได้ตั้งข้อสังเกตว่า แนวคิดในการควบคุมอินฟลูเอนเซอร์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเกาหลีใต้ที่กำลังพิจารณาออกกฎหมายในลักษณะคล้ายกัน โดยมุ่งเป้าไปที่การจำกัดชาวต่างชาติที่แสดงความคิดเห็นเชิงลบหรือสร้างความเกลียดชังต่อประเทศ

 

The Korea Times รายงานว่า รัฐมนตรียุติธรรมของเกาหลีใต้ จองซองโฮ (Jung Sung-ho) ได้กล่าวว่า รัฐบาลกำลังทบทวนมาตรการที่จะจำกัดการเข้าประเทศของชาวต่างชาติที่แสดงความคิดเห็นเชิงลบหรือสร้างความเกลียดชังต่อเกาหลีใต้จากต่างประเทศ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกว่าเนื้อหาของพวกเขาอาจส่งผลกระทบมากกว่าแค่กระแสต่อต้านในโซเชียลมีเดีย

 

การพิจารณากฎหมายนี้เป็นผลมาจากกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นล่าสุดหลายครั้ง กรณีแรกคือ จอห์นนี่ โซมาลี (Johnny Somali) สตรีมเมอร์ชาวอเมริกันที่ถูกดำเนินคดีเมื่อปีที่แล้ว หลังจากเผยแพร่คลิปที่เขาสร้างความวุ่นวายในร้านสะดวกซื้อ อีกกรณีคือ เดโบะจัง (Debo-chan) ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีที่อาศัยในญี่ปุ่น ซึ่งกำลังถูกสอบสวนจากคลิปไวรัลที่อ้างข้อมูลเท็จว่ามีการค้นพบ ‘ศพที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ หลายสิบศพ’ ในเกาหลีใต้

 

การเคลื่อนไหวของประเทศในเอเชียเหล่านี้ช่างดู ‘แตกต่าง’ อย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับแนวทางในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเผชิญกับความแตกแยกทางสังคมและการเมืองที่รุนแรงอันเป็นผลมาจากข้อมูลบิดเบือน แต่กลับดูเหมือนว่าจะยิ่งส่งเสริมให้อินฟลูเอนเซอร์มีตัวตนและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

 

ตัวอย่างเช่น Meta ได้ประกาศยุติโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบุคคลที่สาม และผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านเนื้อหา หลังจากถูกกดดันทางการเมืองจากรัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต้องการให้มีการควบคุมเนื้อหาน้อยลง

 

ในขณะที่สื่อกระแสหลักถูกทรัมป์โจมตีอย่างต่อเนื่องว่านำเสนอข้อมูลเท็จ เขากลับเลือกที่จะยกระดับความน่าเชื่อถือให้กับเหล่าพอดแคสเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ที่ช่วยกระจายข่าวสารของเขา ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเป็นประโยชน์ต่อตนเอง แต่ก็ทำให้ชาวอเมริกันมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของทฤษฎีสมคบคิดและการโฆษณาชวนเชื่อได้ง่ายขึ้น

 

ประเด็นนี้จึงนำไปสู่คำถามสำคัญที่ว่า การเปิดให้ใครก็ได้พูดในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้โดยปราศจากความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ แม้ว่าเสรีภาพของสื่อจะเป็นรากฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเห็นที่ขาดความรู้ความเข้าใจในประเด็นที่ซับซ้อนก็กำลังสร้าง ‘ความเสียหาย’ และความแตกแยกทางสังคมอย่างเห็นได้ชัด

 

ในโลกที่ทุกอย่างถูกย่อยให้เหลือเพียงมีมสั้นๆ ช่องว่างทางความรู้นี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของสื่อยุคใหม่ที่มักจะจุดประเด็นดราม่าเพื่อกระตุ้นอารมณ์และเรียกยอดการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นแนวทางที่สื่อตะวันตกกำลังส่งเสริม ในขณะที่สื่อในฝั่งเอเชียกำลังพยายามหาทางควบคุม
หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 32.44 บาท ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568

 

ภาพ: amenic181/Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post จีนสั่งคุมเข้มอินฟลูเอนเซอร์ ห้ามพูดเรื่องการเงิน กฎหมาย สุขภาพ หากไม่มีใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพมายืนยัน สวนทางสหรัฐฯ ที่ ‘ทรัมป์’ หนุน-Meta เลิก Fact-Check appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple เดินหน้าแผนสืบทอดตำแหน่ง CEO คาด ‘ทิม คุก’ เตรียมก้าวลงจากตำแหน่งเร็วที่สุดในปีหน้า https://thestandard.co/apple-ceo-tim-cook-john-ternus/ Mon, 17 Nov 2025 10:08:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1144207 Apple เดินหน้าแผนสืบทอดตำแหน่ง CEO คาด ‘ทิม คุก’ เตรียมก้าวลงจากตำแหน่งเร็วที่สุดในปีหน้า

Apple กำลังดำเนินการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ […]

The post Apple เดินหน้าแผนสืบทอดตำแหน่ง CEO คาด ‘ทิม คุก’ เตรียมก้าวลงจากตำแหน่งเร็วที่สุดในปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple เดินหน้าแผนสืบทอดตำแหน่ง CEO คาด ‘ทิม คุก’ เตรียมก้าวลงจากตำแหน่งเร็วที่สุดในปีหน้า

Apple กำลังดำเนินการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โดย ทิม คุก (Tim Cook) อาจจะก้าวลงจากตำแหน่งเร็วที่สุดในปีหน้า Financial Times (FT) รายงานโดยอ้างถึงแหล่งข่าวที่ทราบการหารือภายในของ Apple ว่าคณะกรรมการบริหารและผู้บริหารระดับสูงได้ ‘เร่งกระบวนการเตรียมการ’ สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

 

ทิม คุก ปัจจุบันอายุ 65 ปี เข้ารับตำแหน่ง CEO ต่อจาก สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ในปี 2011 สามารถนำพา Apple เติบโตอย่างมหาศาล จากมูลค่าตลาดประมาณ 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สู่ระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปัจจุบัน

 

มีรายงานระบุว่า ‘จอห์น เทอร์นัส’ (John Ternus) รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์ของ Apple ถูกจับตามองว่าเป็น ‘ตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากทิม คุก’ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเน้นย้ำว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องนี้

 

ปัจจุบัน จอห์น เทอร์นัส ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์ของ Apple ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักของบริษัททั้งหมด เช่น iPhone, iPad, Mac, Apple Watch และ AirPods โดยเขาได้เข้าร่วมทีมออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Apple ตั้งแต่ปี 2001

 

แหล่งข่าวใกล้ชิด Apple ยืนยันว่า แผนการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งผู้บริหารที่เตรียมไว้ล่วงหน้านี้ ‘ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประกอบการในปัจจุบัน’ ของบริษัทแต่อย่างใด

 

การประกาศแต่งตั้ง CEO คนใหม่ของ Apple คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากรายงานผลประกอบการในช่วงปลายเดือนมกราคม 2026 ซึ่งเป็นช่วงที่ครอบคลุมวันหยุดสำคัญ โดยแหล่งข่าวเชื่อว่า การประกาศในช่วงต้นปีจะทำให้ทีมผู้บริหารชุดใหม่มีเวลาปรับตัวก่อนงานใหญ่ประจำปีอย่าง WWDC ในเดือนมิถุนายน และการเปิดตัว iPhone ในเดือนกันยายน

 

การปรับเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงหลายตำแหน่งในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า Apple กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งอาจเป็นการจัดทัพเพื่อเน้นการกลับไปที่ ‘นวัตกรรมฮาร์ดแวร์’ อีกครั้ง เพื่อเตรียมรับมือกับการแข่งขันในสมรภูมิปัญญาประดิษฐ์ (AI)

 

อ้างอิง:

The post Apple เดินหน้าแผนสืบทอดตำแหน่ง CEO คาด ‘ทิม คุก’ เตรียมก้าวลงจากตำแหน่งเร็วที่สุดในปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีน เตรียมบังคับใช้กฎหมายใหม่ คุมเข้ม AI หลังภาพ-วิดีโอปลอมเกลื่อนโลกออนไลน์ มีผลมกราคม ปี 69 https://thestandard.co/china-enforces-new-ai-law/ Fri, 14 Nov 2025 10:22:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1143442 จีน เตรียมบังคับใช้กฎหมายใหม่ คุมเข้ม **AI** หลังภาพ-วิดีโอปลอมเกลื่อนโลกออนไลน์ มีผล **มกราคม** ปี 69

รัฐบาลจีนเดินหน้าควบคุมการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI […]

The post จีน เตรียมบังคับใช้กฎหมายใหม่ คุมเข้ม AI หลังภาพ-วิดีโอปลอมเกลื่อนโลกออนไลน์ มีผลมกราคม ปี 69 appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีน เตรียมบังคับใช้กฎหมายใหม่ คุมเข้ม **AI** หลังภาพ-วิดีโอปลอมเกลื่อนโลกออนไลน์ มีผล **มกราคม** ปี 69

รัฐบาลจีนเดินหน้าควบคุมการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเข้มงวด หลังพบการเผยแพร่ ‘ภาพและวิดีโอปลอม’ จำนวนมากในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเหตุการณ์อาชญากรรมหรือภัยพิบัติ ซึ่งไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อสังคม แต่ยังอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลจีน

 

กฎหมายฉบับใหม่ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการประจำสภาประชาชนแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา จากเดิมมุ่งเน้นด้านความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม แต่ได้มีการเพิ่มเติมมาตรการบริหารความเสี่ยงและการเฝ้าระวังความปลอดภัยของ AI เข้ามาด้วย โดยกฎหมายความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตฉบับปรับปรุงใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม ปี 2569

 

การปรับกฎหมายครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลจีนต่อการใช้ เทคโนโลยี AI ในการสร้างข้อมูลเท็จเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในสถานการณ์อ่อนไหว เช่น อุบัติเหตุหรือภัยพิบัติ ซึ่งอาจทำให้ความเสียหายดูรุนแรงเกินจริงและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน อีกทั้งยังเกรงว่าข้อมูลปลอมอาจถูกนำมาใช้โจมตีหรือใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ

 

ที่ผ่านมา จีนได้เริ่มควบคุม Generative AI ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 โดยกำหนดให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีต้องป้องกันไม่ให้ระบบสร้างเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความไม่สงบหรือกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเผยแพร่ภาพและวิดีโอปลอมยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

หนึ่งในกรณีที่เป็นกระแสคือ ภาพทารกแรกเกิดที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ในเขตทิเบต เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ภาพดังกล่าวถูกแชร์อย่างกว้างขวางพร้อมยังอ้างว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์จริง ก่อนจะถูกเปิดเผยในภายหลังว่าเป็นภาพที่สร้างขึ้นด้วย AI ส่งผลให้เจ้าของโพสต์ถูกจับกุมในข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

 

อีกทั้งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงได้เพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามเนื้อหาปลอม เพื่อเป็นกรณีตัวอย่างให้สังคมได้เห็น โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีหลายราย เช่น ชายวัย 28 ปีในมณฑลเจ้อเจียงที่โพสต์ภาพเด็กหญิงจากอินเทอร์เน็ตแล้วอ้างว่าเป็นลูกสาวที่ถูกลักพาตัว และหญิงวัย 57 ปีในมณฑลซานซีที่เผยแพร่ภาพปลอมของเหตุแผ่นดินไหว ทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง

 

จากข้อมูลจากศูนย์สารสนเทศเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแห่งประเทศจีน (CNNIC) ระบุว่า จีนมีผู้ใช้งานเทคโนโลยี Generative AI มากถึง 515 ล้านคน ในเดือนมิถุนายน 2568 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายในเวลาเพียงครึ่งปี สะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีนี้

 

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของ AI ยังนำมาซึ่งปัญหาด้านจริยธรรมและความปลอดภัยทางข้อมูล โดยมีวิดีโอสอนการสร้างภาพปลอมแพร่หลายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงซอฟต์แวร์ที่สามารถเปลี่ยนใบหน้าและเสียงของบุคคลได้ ผู้ใช้บางรายนำเนื้อหาเหล่านี้ไปโพสต์เพื่อเรียกยอดผู้ชม หรือสร้างรายได้จากการโฆษณาและขายสินค้า

 

เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตของจีนได้ออกแนวทางให้หน่วยงานท้องถิ่นและแพลตฟอร์มโซเชียลรายใหญ่เพิ่มการตรวจสอบบริการ AI โดยเฉพาะแอปที่สามารถสร้างภาพเปลือยหรือปลอมแปลงใบหน้าและเสียงได้ง่าย ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนที่ผ่านมา ทางการได้สั่งให้แก้ไขแอปพลิเคชันกว่า 3,500 แอป และลบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกว่า 960,000 รายการ

 

นอกจากนี้ ในเดือนกันยายน รัฐบาลจีนยังออกข้อกำหนดใหม่ให้ผู้ให้บริการ AI ต้องติดฉลากระบุว่าเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเป็นผลงานของ AI เพื่อให้ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นภาพจริงหรือจำลอง ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของจีนในการสร้างกรอบควบคุมการใช้ เทคโนโลยี AI ให้สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงและค่านิยมของประเทศ

 

ภาพ: Tero Vesalainen / Shutterstock

อ้างอิง:

The post จีน เตรียมบังคับใช้กฎหมายใหม่ คุมเข้ม AI หลังภาพ-วิดีโอปลอมเกลื่อนโลกออนไลน์ มีผลมกราคม ปี 69 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Canva แต่งตั้ง ‘ภัคพล ตั้งตงฉิน’ เป็น Country Manager คนแรกของไทย https://thestandard.co/canva-max-pakapol-thailand/ Fri, 14 Nov 2025 09:26:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1143408 Canva แต่งตั้ง ‘ภัคพล ตั้งตงฉิน’ เป็น Country Manager คนแรกของไทย

Canva แพลตฟอร์มด้านการออกแบบกราฟิกจากออสเตรเลีย ประกาศแ […]

The post Canva แต่งตั้ง ‘ภัคพล ตั้งตงฉิน’ เป็น Country Manager คนแรกของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Canva แต่งตั้ง ‘ภัคพล ตั้งตงฉิน’ เป็น Country Manager คนแรกของไทย

Canva แพลตฟอร์มด้านการออกแบบกราฟิกจากออสเตรเลีย ประกาศแต่งตั้ง แม็กซ์-ภัคพล ตั้งตงฉิน ให้ดำรงตำแหน่ง Country Manager ประจำประเทศไทยคนแรก อย่างเป็นทางการ

 

การแต่งตั้งในครั้งนี้สะท้อนถึงการรุกตลาดประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยแม็กซ์ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของตนเองว่า

 

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ามานำการขับเคลื่อน Canva ในประเทศไทย เพื่อมุ่งเน้นการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ในระดับท้องถิ่น การเชิดชูงานดีไซน์แบบไทย และช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังความคิดสร้างสรรค์ในระดับโลก”

 

สำหรับ ภัคพล ตั้งตงฉิน หรือ ‘แม็กซ์’ เป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าของ Facebook Page: Max Pakapol

 

เขาสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วยคะแนน GPA 3.9

 

ในด้านการศึกษาต่อ ภัคพลได้รับทุนเต็มจำนวนเพื่อศึกษาต่อปริญญาโท MBA ที่ Harvard Business School และเคยทำคะแนน GMAT ติดอันดับ Top 1% ของโลก
นอกจากนี้ ภัคพลยังมีประสบการณ์ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการ (Management Consultant) ที่ Bain & Company หนึ่งในสามบริษัทที่ปรึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเคยดำรงตำแหน่ง Senior Product Manager Intern ที่ Amazon (Seattle)

 

เขายังเป็นผู้ก่อตั้งองค์กร SECON ร่วมกับสหประชาชาติ (UN), อดีตพิธีกรรายการ Disney Insider และเป็น Presentation & Communication Coach ให้กับสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพและศักยภาพในประเทศไทยอีกด้วย

 

อ้างอิง:

The post Canva แต่งตั้ง ‘ภัคพล ตั้งตงฉิน’ เป็น Country Manager คนแรกของไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
OpenAI เปิดตัว GPT-5.1 อัปเกรดครั้งใหญ่ ฉลาดขึ้น-เร็วขึ้น และมี ‘หัวใจ’ มากขึ้น ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและความรู้สึก https://thestandard.co/gpt-5-1-smarter-faster-with-heart/ Thu, 13 Nov 2025 04:42:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1142810 OpenAI เปิดตัว GPT-5.1 อัปเกรดครั้งใหญ่ ฉลาดขึ้น-เร็วขึ้น และมี ‘หัวใจ’ มากขึ้น ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและความรู้สึก

OpenAI ประกาศอัปเกรดโมเดล AI ครั้งสำคัญในซีรีส์ GPT-5 ส […]

The post OpenAI เปิดตัว GPT-5.1 อัปเกรดครั้งใหญ่ ฉลาดขึ้น-เร็วขึ้น และมี ‘หัวใจ’ มากขึ้น ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและความรู้สึก appeared first on THE STANDARD.

]]>
OpenAI เปิดตัว GPT-5.1 อัปเกรดครั้งใหญ่ ฉลาดขึ้น-เร็วขึ้น และมี ‘หัวใจ’ มากขึ้น ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและความรู้สึก

OpenAI ประกาศอัปเกรดโมเดล AI ครั้งสำคัญในซีรีส์ GPT-5 สู่ GPT-5.1 โดยชูจุดเด่นว่าไม่ใช่แค่ฉลาดขึ้น แต่ยังมี ‘หัวใจ’ และเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่มองหา AI ที่ไม่เพียงแต่เก่งกาจ แต่ยังต้อง “น่าพูดคุยด้วย”

 

การอัปเกรดครั้งนี้เป็นการยกเครื่องโมเดลหลักสองตัวคือ GPT-5.1 Instant (สำหรับงานทั่วไป) และ GPT-5.1 Thinking (สำหรับงานซับซ้อน) พร้อมทั้งยกเครื่องระบบปรับแต่งโทนเสียงใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมบุคลิกของ AI ได้ตามต้องการ

 

ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น และมี ‘หัวใจ’ มากขึ้น

 

OpenAI ระบุว่าได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้มาโดยตลอดว่า AI ที่ยอดเยี่ยมต้องมีความฉลาดควบคู่ไปกับสไตล์การสื่อสารที่ดี GPT-5.1 จึงถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทั้งสองด้าน

 

GPT-5.1 Instant ถูกปรับให้มีโทนเสียงที่ ‘อบอุ่น’ และเป็นบทสนทนามากขึ้น โดยค่าเริ่มต้น OpenAI ระบุว่ามันมักจะสร้างความประหลาดใจด้วย ‘ความขี้เล่น’ (Playfulness) แต่ยังคงความชัดเจนและมีประโยชน์ ที่สำคัญคือ มันสามารถทำตามคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การบังคับให้ตอบด้วยจำนวนคำที่กำหนด ได้แม่นยำกว่ารุ่นเดิมมาก

 

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุง ‘การทำตามคำสั่ง’ (Instruction Following) ให้ดีขึ้นด้วย ดังนั้นโมเดลจึงตอบคำถามที่คุณถามจริงๆ ได้อย่างน่าเชื่อถือมากขึ้น

 

เช่น GPT-5 (แบบเดิม) ตอบว่า “Understood. All responses will be six.” แต่เมื่อถูกถามต่อ กลับตอบยาวเหยียด ขณะที่ GPT-5.1 Instant (แบบใหม่) ตอบว่า “Understood, I will respond in six.” และเมื่อถูกถามต่อ ก็สามารถตอบคำถามด้วยประโยคหกคำได้อย่างแม่นยำ

 

GPT-5.1 Thinking ได้รับการปรับปรุงให้ เข้าใจง่ายขึ้น ลดการใช้ศัพท์เทคนิค (Jargon) และสามารถปรับเวลาในการคิดได้เอง โดยจะใช้เวลามากขึ้นกับปัญหาที่ซับซ้อน และตอบสนองเร็วขึ้นในคำถามง่ายๆ นอกจากนี้ โทนเสียงยังถูกปรับให้อบอุ่นและ ‘เข้าอกเข้าใจ’ (Empathetic) มากขึ้น เมื่อต้องตอบสนองต่อปัญหาทางอารมณ์ของผู้ใช้งาน

 

ครั้งแรกของ ‘Adaptive Reasoning’ ในรุ่น Instant

 

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ GPT-5.1 Instant สามารถใช้ ‘การใช้เหตุผลแบบปรับได้’ (Adaptive Reasoning) ซึ่งหมายความว่ามันสามารถตัดสินใจได้เองว่าเมื่อใดที่ควรจะ ‘คิดก่อนตอบ’ เมื่อเจอกับคำถามที่ท้าทาย ซึ่งส่งผลให้คำตอบในงานที่ซับซ้อนอย่างคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ดมีความแม่นยำสูงขึ้นมาก

 

OpenAI ยังได้ยกเครื่องระบบปรับแต่งโทนเสียงและบุคลิกของ ChatGPT ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสไตล์การตอบสนองได้ง่ายขึ้น โดยเพิ่ม 3 บุคลิกใหม่ ได้แก่ Professional (มืออาชีพ) สำหรับการใช้งานในที่ทำงาน, Candid (ตรงไปตรงมา) สำหรับคำตอบที่ชัดเจน ไม่ต้องอ้อมค้อม และ Quirky (แปลกใหม่) สำหรับไอเดียที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใคร

 

นอกจากนี้ OpenAI ยังกำลังทดลองฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้สามารถปรับจูนคุณลักษณะเฉพาะของ AI ได้โดยตรง เช่น ความกระชับ, ความอบอุ่น, หรือแม้แต่ความถี่ในการใช้อีโมจิ

 

GPT-5.1 Instant และ Thinking จะเริ่มเปิดให้ใช้งานตั้งแต่วันนี้ โดยเริ่มจากผู้ใช้แบบชำระเงิน (Pro, Plus, Business ฯลฯ) ก่อนจะขยายไปยังผู้ใช้ฟรี ส่วนผู้ใช้ Enterprise และ Edu จะได้สิทธิทดลองใช้งานล่วงหน้า 7 วัน ก่อนที่ GPT-5.1 จะกลายเป็นโมเดลเริ่มต้นสำหรับทุกคน

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้แบบชำระเงินที่ยังต้องการเปรียบเทียบ โมเดล GPT-5 (รุ่นเดิม) จะยังคงมีให้เลือกใช้งานในเมนู ‘โมเดลรุ่นเก่า’ (Legacy Models) ต่อไปอีก 3 เดือน ก่อนจะถูกแทนที่โดยสมบูรณ์

 

อ้างอิง:

The post OpenAI เปิดตัว GPT-5.1 อัปเกรดครั้งใหญ่ ฉลาดขึ้น-เร็วขึ้น และมี ‘หัวใจ’ มากขึ้น ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและความรู้สึก appeared first on THE STANDARD.

]]>
บิทาซซ่าคาดนักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโตผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร https://thestandard.co/tourists-spending-crypto-boosts-thailand/ Tue, 11 Nov 2025 11:07:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1142164 บิทาซซ่าคาด นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโต ผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร

ซีอีโอ ‘บิทาซซ่า’ คาดนักท่องเที่ยว 5% ใช้จ่ายผ่านโครงกา […]

The post บิทาซซ่าคาดนักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโตผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
บิทาซซ่าคาด นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโต ผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร

ซีอีโอ ‘บิทาซซ่า’ คาดนักท่องเที่ยว 5% ใช้จ่ายผ่านโครงการ DigiPay คิดเป็นมูลค่าราว 6.6 หมื่นล้านบาท

 

จากโครงการ TouristDigiPay ซึ่งเป็นโครงการทดสอบ (Sandbox) การนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาทและนำไปใช้จ่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำนวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลมาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ​และการ
​​ท่องเที่ยวของประเทศ โดยเพิ่มทางเลือกและความสะดวกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล มาแลก​เปลี่ยนเป็นเงินบาทเพื่อนำไปใช้จ่ายในประเทศไทยผ่านระบบ e-money ได้ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความเห็นชอบ​จะมีระยะเวลาทดสอบภายใน 18 เดือน

 

ธนวัต สุตันติวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทาซซ่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บิทาซซ่าอยู่ระหว่างขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเชื่อว่าบริษัทจะเป็นรายแรกหรือรายต้นๆ ในการทำโครงการนี้ ปัจจุบันแอปพลิเคชันแล้วเสร็จประมาณ 80% โครงการนี้จะเป็นก้าวแรกของไทยในการที่เราเปิดให้นำคริปโตมาใช้จ่ายได้

 

“จากระยะเวลาโครงการ 18 เดือน คิดว่าจะมี 5% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดมาร่วมโครงการ คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายราว 6.6 หมื่นล้านบาท เราเชื่อว่าสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรอย่างเดียว แต่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเงินดั้งเดิมสมัยก่อน” ธนวัตกล่าว

 

โครงการนี้ จะเปิดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ ส่วนคนไทยหรือคนต่างชาติที่ทำงานในไทยไม่สามารถใช้ได้ และเนื่องจากเป็นโครงการ Sandbox จึงมีการกำหนดวงเงินที่สามารถใช้จ่ายได้สูงสุดต่อวัน คือ ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) ส่วนผู้ใช้จ่ายจะมีกระบวนการ Know Your Customer (KYC) และ Know Your Transaction (KYT) ด้วย

 

โครงการทดสอบ (Sandbox) การนำ

https://www.sec.or.th/TH/Pages/SHORTCUT/TOURISTDIGIPAY.aspx

 

สำหรับบิทาซซ่าจะรับแลกเหรียญที่อยู่ภายใต้แพลตฟอร์มของบิทาซซ่า ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 120 คู่เหรียญ​ โดยธนวัตมองว่าหนึ่งในจุดเด่นของโครงการนี้คือ ค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนจากคริปโตมาเป็นเงินบาทที่ต่ำกว่าผู้ให้บริการการเงินระดับโลก ซึ่งมักจะเก็บค่าธรรมเนียมราว 5%

 

จับมือ B2C2 ช่วยเติมสภาพคล่องในศูนย์ซื้อขาย

 

ล่าสุด บิทาซซ่า และ B2C2 ผู้นำระดับโลกด้านการให้สภาพคล่องสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบกำกับดูแลในประเทศไทย

 

B2C2 ได้ร่วมงานกับบิทาซซ่ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน และภายใต้ความร่วมมือนี้ B2C2 จะเป็นผู้ให้บริการสภาพคล่องหลักแก่ Bitazza Thailand พร้อมร่วมดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจและการเติบโตในหลายด้าน โดยความร่วมมือนี้จะช่วยให้ Bitazza Thailand สามารถขยายบริการในตลาดสถาบันได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านบริการสภาพคล่องระดับโฮลเซลล์ การจัดการด้านเครดิต และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการในอนาคต

 

ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านจากการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อยไปสู่การมีบทบาทมากขึ้นของนักลงทุนสถาบัน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลกด้านการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Adoption) ซึ่งแสดงถึงความพร้อมของประเทศในการเข้าสู่การเติบโตในระดับสถาบันอย่างเต็มรูปแบบ

 

ภาพ: Peter Dazeley/Getty Images

The post บิทาซซ่าคาดนักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโตผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้าเสริมทักษะ Semiconductor Testing เน้นเรียนรู้-ฝึกลงมือทำจริง [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/k-engineering-nstc-semiconductor-testing/ Tue, 11 Nov 2025 10:00:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1142101 K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้า เสริมทักษะ Semiconductor Testing [ADVERTORIAL]

ศูนย์ฝึกอบรมด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง […]

The post K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้าเสริมทักษะ Semiconductor Testing เน้นเรียนรู้-ฝึกลงมือทำจริง [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้า เสริมทักษะ Semiconductor Testing [ADVERTORIAL]

ศูนย์ฝึกอบรมด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (National Semiconductor Training Center: NSTC) คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ K-Engineering NSTC
เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจปั้นคนไทยสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยมุ่งเน้นการฝึกอบรมด้านการทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Testing) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการผลิตชิปและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

 

ด้านกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันศูนย์ K-Engineering NSTC มีความพร้อมอย่างมากสำหรับการพัฒนาในระยะเริ่มต้น ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือ และความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม โดยศูนย์นี้ มีห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์รวม 6 ห้อง รวมกว่า 200 เครื่อง พร้อมห้องปฏิบัติการอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน ห้องอิเล็กทรอนิกส์กำลัง และ ห้องปฏิบัติการทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Testing Lab) ที่ติดตั้งอุปกรณ์ทดสอบอัตโนมัติ (Automatic Test Equipment)

 

K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้า เสริมทักษะ Semiconductor Testing [ADVERTORIAL] 1

 

จับมืออุตสาหกรรมชั้นนำ เรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากมืออาชีพ

 

เครื่องมือส่วนใหญ่ของศูนย์ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนชั้นนำ เช่น Analog Devices, UTAC Thai, SPEA และ Delta Electronics ซึ่งนอกจากการสนับสนุนอุปกรณ์แล้ว ยังมีบริษัทชั้นนำอย่าง Infineon Technologies, NXP Manufacturing, Hana Microelectronics และ Silicon Craft Technology ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทั้งการร่วมออกแบบหลักสูตร ส่งผู้เชี่ยวชาญมาเป็นวิทยากร และให้คำปรึกษาโดยตรง เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง และเข้าใจบริบทของอุตสาหกรรมอย่างรอบด้าน

 

K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้า เสริมทักษะ Semiconductor Testing [ADVERTORIAL] 2

 

เน้นหลักสูตรระยะสั้น เสริมทักษะตรงจุด

 

ด้านหลักสูตรการฝึกอบรม K-Engineering NSTC มุ่งเน้นการจัดอบรมระยะสั้น เพื่อเสริมทักษะด้านการทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงให้กับนักศึกษา บัณฑิตจบใหม่ และบุคลากรในตลาดแรงงาน โดยมีแผนดำเนินงานระหว่างเดือนพฤษภาคม 2568 ถึงเมษายน 2569 ครอบคลุมหลายหัวข้อ เช่น

  • การออกแบบลวดลายแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับบอร์ดทดสอบ ( ระยะเวลา 5 วัน จำนวน 2 รุ่น รุ่นละ 30 คน)
  • พื้นฐานวิศวกรทดสอบเซมิคอนดักเตอร์โดยใช้ LabVIEW และ NI STS (ระยะเวลา 5 วัน จำนวน 4 รุ่น รุ่นละ 10 คน)
  • พื้นฐานวิศวกรทดสอบเซมิคอนดักเตอร์โดยใช้ C# และ NI STS ( ระยะเวลา 5 วัน จำนวน 2 รุ่น รุ่นละ 10 คน)
  • พื้นฐาน PLC ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ (ระยะเวลา 2 วัน จำนวน 2 รุ่น รุ่นละ 40 คน)
  • การประมวลผลไฟล์ STDF (Standard Test Data Format) สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (ระยะเวลา 4 วัน จำนวน 4 รุ่น รุ่นละ 20 คน)

 

รวมถึงกิจกรรมสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในประเทศ และการเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศ เพื่ออัปเดตองค์ความรู้

 

KMITL Semiconductor Bootcamp 2025 เรียนรู้จากมืออาชีพ ฝึกปฏิบัติจริง

 

หนึ่งในกิจกรรมที่จัดขึ้นแล้ว และประสบความสำเร็จภายใต้การดำเนินงานของ K-Engineering NSTC คือ ‘KMITL Semiconductor Bootcamp 2025’ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน 2568 เพื่อพัฒนาทักษะ Semiconductor Testing ให้กับนักศึกษาฝึกงานจาก 10 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ รวมกว่า 70 คน

 

K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้า เสริมทักษะ Semiconductor Testing [ADVERTORIAL] 3

 

ตลอด 4 วันของการอบรม ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เน้นเนื้อหา หลัก 2 ด้าน คือ Foundation of Semiconductor Testing: Analog & Mixed Signal IC และ Foundation of Semiconductor Testing: Digital IC โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก Analog Devices, NXP Semiconductor และ Infineon Technologies ร่วมบรรยายเชิงเทคนิค พร้อมกิจกรรมฝึกปฏิบัติและการเยี่ยมชมโรงงาน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจกระบวนการผลิต เทคโนโลยีที่ใช้ในสายการผลิต และวัฒนธรรมองค์กรของแต่ละบริษัท

 

Upskill บุคลากร สร้างศูนย์ NSTC ต้นแบบ

นอกจากนี้ K-Engineering NSTC ยังมีหลักสูตรสำหรับบุคลากรในอุตสาหกรรม ได้แก่ หลักสูตรพื้นฐานวิศวกรทดสอบเซมิคอนดักเตอร์โดยใช้ C# และ NI STS รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 4-8 สิงหาคม 2568 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวน 10 คน เพื่อพัฒนาและเพิ่มทักษะ (Upskill) การเขียนโปรแกรม C# สำหรับควบคุมเครื่องทดสอบอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์อัตโนมัติรุ่นใหม่

 

K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้า เสริมทักษะ Semiconductor Testing [ADVERTORIAL] 4

 

ผลงานของ K-Engineering NSTC จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนากำลังคนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของไทย และเป็นต้นแบบของศูนย์ฝึกอบรม Training Center ที่อว. มีแผนขยายการจัดตั้ง Reginal Semiconductor Training Center (RSTC) ในระยะต่อไป

The post K-Engineering NSTC จับมือเอกชน เดินหน้าเสริมทักษะ Semiconductor Testing เน้นเรียนรู้-ฝึกลงมือทำจริง [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>