Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 30 May 2025 07:38:48 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Tinder เผชิญความท้าทายครั้งใหญ่กับ Gen Z ผู้นำคนใหม่รุกเขย่าภาพลักษณ์ จาก ‘แอปหาคู่นอนชั่วคราว’ สู่ ‘การเชื่อมต่อที่ดีขึ้น’ https://thestandard.co/tinder-gen-z-rebranding/ Fri, 30 May 2025 07:38:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1080291 Spencer Rascoff ซีอีโอ Tinder วางกลยุทธ์ใหม่เพื่อเจาะตลาด Gen Z

Tinder แอปพลิเคชันที่เคยปฏิวัติวงการออกเดตออนไลน์สำหรับ […]

The post Tinder เผชิญความท้าทายครั้งใหญ่กับ Gen Z ผู้นำคนใหม่รุกเขย่าภาพลักษณ์ จาก ‘แอปหาคู่นอนชั่วคราว’ สู่ ‘การเชื่อมต่อที่ดีขึ้น’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Spencer Rascoff ซีอีโอ Tinder วางกลยุทธ์ใหม่เพื่อเจาะตลาด Gen Z

Tinder แอปพลิเคชันที่เคยปฏิวัติวงการออกเดตออนไลน์สำหรับมิลเลนเนียลเมื่อเกือบ 13 ปีก่อน กำลังเผชิญกับ ‘ความท้าทายครั้งใหญ่’ ในการดึงดูดกลุ่มผู้ใช้งาน ‘Gen Z’ ผู้นำคนใหม่ของบริษัทจึงได้เข้ามากุมบังเหียน พร้อมแผนการที่จะ ‘เขย่าภาพลักษณ์’ และปรับเปลี่ยนแอปครั้งสำคัญ

 

Spencer Rascoff ซีอีโอของ Match Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Tinder ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้า Tinder ควบคู่กันไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน กล่าวว่า เป้าหมายคือการ ‘เขย่าภาพลักษณ์’ ของ Tinder ที่ถูกมองว่าเป็นเพียง ‘แอปหาคู่นอนชั่วคราว’

 

“ลองนึกถึง Tinder เหมือนบาร์ที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อพบปะผู้คนใหม่ๆ” Rascoff กล่าว “เราต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อดึงดูดผู้คนเข้ามาในสถานประกอบการของเรามากขึ้น และนั่นหมายถึงการปรับปรุงบาร์ของเราใหม่ทั้งหมด” 

 

เขาชี้ว่า “Gen Z ซึ่งมีอายุระหว่าง 18 ถึง 28 ปี ไม่ใช่คนชอบหาคู่นอนชั่วคราว พวกเขาดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง และมีเพศสัมพันธ์น้อยลง เราต้องปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับความเป็นจริงนั้น”

 

Rascoff ได้วางวิสัยทัศน์สำหรับแอปนี้ในบันทึกภายในที่ส่งถึงพนักงาน โดยเรียกร้องให้เร่งการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (AI) และใส่ ‘คุณสมบัติด้านความปลอดภัย’ ให้มากขึ้น 

 

พนักงานควรเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ในแอป แม้จะต้องแลกมาด้วยรายได้ที่อาจหายไประยะสั้นก็ตาม “ผู้ใช้ไม่ต้องการจับคู่ได้มากขึ้น พวกเขาต้องการการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น” Rascoff เขียนในบันทึกภายในที่ Wall Street Journal ได้รับมา

 

ทีมงานของ Tinder ยังกำลังสร้าง ‘วิธีการพบปะที่ไม่กดดัน’ เพื่อดึงดูดกลุ่ม Gen Z เช่น การทดสอบฟีเจอร์ Double Dating ในยุโรป ซึ่งผู้ใช้สามารถจับคู่กับเพื่อนเพื่อจับคู่กับคู่เพื่อนอีกคู่หนึ่งเพื่อออกเดต 

 

ผลลัพธ์เบื้องต้นน่าพอใจ และฟีเจอร์นี้จะเปิดตัวทั่วโลกในช่วงฤดูร้อนนี้ Rascoff กล่าวว่า การแก้ไข Tinder ซึ่งสร้างรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของ Match Group คือหนึ่งในลำดับความสำคัญสูงสุดของเขา

 

การตัดสินใจนี้มีขึ้นท่ามกลางความท้าทายที่ Match Group กำลังเผชิญ ตั้งแต่กระแสความนิยมของแอปเดตที่ลดลงหลังโรคระบาด ผู้ใช้งาน Gen Z จำนวนมากเริ่ม ‘สงสัย’ ในการออกเดตออนไลน์และ ‘เหนื่อยหน่ายจากการปัดหน้าจอ’ รวมถึงปัญหาด้านมารยาท 

 

เช่น การ Ghosting (การหายไปแบบไม่บอกกล่าว) หรือบัญชีปลอม ผู้ใช้บางคนยังคงชอบการพบปะผู้คน ‘แบบเจอหน้า’ มากกว่า

 

นอกจากนี้ Match Group ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากนักลงทุนเพื่อเพิ่มยอดขายและฟื้นฟูการเติบโต ซึ่งทำให้บริษัทประกาศ ‘ลดพนักงาน’ 13% (ประมาณ 325 คน) และลดระดับผู้บริหารลง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและทำให้องค์กร ‘คล่องตัวขึ้น’

 

ด้วยเดิมพันที่สูงลิ่ว เพราะ Tinder เป็นแหล่งรายได้หลักของ Match Group วิสัยทัศน์ของ Spencer Rascoff ในการ ‘ปรับปรุง’ Tinder ให้ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่ม Gen Z มากขึ้น จึงเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญที่น่าจับตา ว่าจะสามารถพา Tinder กลับมาผงาดเป็นผู้นำในตลาดแอปพลิเคชันออกเดตได้อีกครั้งหรือไม่

 

อ้างอิง:

The post Tinder เผชิญความท้าทายครั้งใหญ่กับ Gen Z ผู้นำคนใหม่รุกเขย่าภาพลักษณ์ จาก ‘แอปหาคู่นอนชั่วคราว’ สู่ ‘การเชื่อมต่อที่ดีขึ้น’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ความฝัน’ การเดินทางด้วยความเร็วสูงจ่อเป็นจริง! นักวิทยาศาสตร์จีนแก้ปัญหาจุดอ่อนสำคัญของแนวคิด Hyperloop ของ อีลอน มัสก์ https://thestandard.co/chinese-hyperloop-breakthrough-elon-musk-concept/ Thu, 29 May 2025 05:28:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1079919 ภาพจำลองรถไฟแม็กเลฟของจีนในอุโมงค์สุญญากาศ ทดลองวิ่งด้วยความเร็วสูง

‘ความฝัน’ การเดินทางบนพื้นดินด้วยความเร็วสู […]

The post ‘ความฝัน’ การเดินทางด้วยความเร็วสูงจ่อเป็นจริง! นักวิทยาศาสตร์จีนแก้ปัญหาจุดอ่อนสำคัญของแนวคิด Hyperloop ของ อีลอน มัสก์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพจำลองรถไฟแม็กเลฟของจีนในอุโมงค์สุญญากาศ ทดลองวิ่งด้วยความเร็วสูง

‘ความฝัน’ การเดินทางบนพื้นดินด้วยความเร็วสูงพิเศษ กำลังจะกลับมาเป็นจริงอีกครั้ง! นักวิทยาศาสตร์จีนอ้างว่าได้ ‘แก้ปัญหาสำคัญ’ ที่เป็นอุปสรรคมานานในเทคโนโลยีแม็กเลฟในอุโมงค์สุญญากาศ ซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนสำคัญของแนวคิด Hyperloop ของ อีลอน มัสก์ โดยการค้นพบนี้อาจนำไปสู่การปฏิวัติการขนส่งแห่งอนาคต

 

การศึกษาของจีนเมื่อเดือนพฤษภาคมพบว่า แม้จะมีข้อบกพร่องเล็กน้อยในทางรถไฟ เช่น รางไม่เรียบหรือสะพานเอียง ก็ทำให้การเดินทางด้วยความเร็ว 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกลายเป็นเรื่องทรมานได้

 

รถไฟจะสั่นหนักมากที่ความเร็วบางช่วง โดยเฉพาะที่ 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะสั่นจนรู้สึกแย่มาก และที่ 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะสั่นจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนที่ 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังสั่นมากจนแทบทนไม่ไหว

 

แต่วิศวกรจีนที่ทำงานในสนามทดสอบขนาดใหญ่แห่งแรกของโลกกลางจีน บอกว่าพวกเขาหาทางแก้ไขได้แล้ว โดยสามารถลดการสั่นลงเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้การสั่นที่เคยรุนแรงมาก กลายเป็นรู้สึกได้นิดหน่อยแต่ไม่น่ารำคาญ

 

ทีมวิจัยที่นำโดย จ้าว หมิง จากบริษัทอวกาศจีน ใช้คอมพิวเตอร์ความเร็วสูงและโมเดลจำลองเล็กๆ ในการศึกษา พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้รถไฟสั่นรุนแรง คือ รางที่ไม่เรียบและแรงแม่เหล็กที่ไม่สมดุล

 

เพื่อแก้ปัญหานี้ ทีมจีนได้สร้างระบบกันสะเทือนแบบผสม ที่รวมระหว่างลูกสูบลมกับเครื่องควบคุมแม่เหล็กที่ใช้ AI เครื่องควบคุมไฟฟ้าเหล่านี้ใช้เทคนิคล้ำหน้า 2 แบบ 

 

แบบแรกใช้เทคนิคที่ช่วยลดการสั่นโดยเปรียบเทียบกับพื้นดินที่ไม่เคลื่อนไหว โดยใช้ข้อมูลความเร็วแบบทันทีเพื่อลดการสั่น และแบบที่สองใช้ AI ปรับระบบให้เหมาะกับสภาพรางที่เปลี่ยนไป

 

ผลการทดสอบกับโมเดลขนาด 1:10 แสดงว่า ระบบสามารถลดการสั่นในแนวตั้งได้ถึง 45.6% ในสภาพรางจริง และค่าวัดความสบาย (Sperling Index) อยู่ที่ 2.5 หรือต่ำกว่าทุกความเร็ว ซึ่งอยู่ในระดับรู้สึกได้แต่ไม่น่ารำคาญแทนที่จะเป็น ‘แย่มากๆ’ เหมือนเดิม

 

ไอเดียการส่งรถไฟลอยแม่เหล็กผ่านท่อแรงดันต่ำด้วยความเร็วเกือบเท่าเสียง ถูกเสนอครั้งแรกโดย อีลอน มัสก์ ในปี 2013 แต่ความพยายามพัฒนา Hyperloop ที่สนามทดสอบของ SpaceX จบลงในปี 2023 หลังเจออุปสรรคเทคนิคหลายอย่าง รวมถึงการรักษาสุญญากาศและการทำให้รถไฟเสถียรที่ความเร็วสูงมาก

 

ในทางตรงข้าม จีนกำลังเดินหน้าเต็มสปีด รัฐบาลปักกิ่งทำให้เทคโนโลยีรถไฟแม็กเลฟความเร็วสูงเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ ซึ่งไม่แค่จะเปลี่ยนการเดินทางทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภาคส่วนสำคัญอื่นๆ รวมถึงการแข่งขันส่งจรวดด้วยราคาถูก 

 

สถานที่ทดสอบใน Datong มณฑลชานซี แสดงให้เห็นความตั้งใจของจีนที่จะเป็นผู้นำการขนส่งยุคใหม่ ทีมวิศวกรจีนทำสิ่งยากๆ สำเร็จ เช่น สร้างคอนกรีตที่อากาศทะลุไม่ได้ และรอยต่อที่แม่นยำถึงระดับมิลลิเมตร

 

แม้จะมีการค้นพบสำคัญนี้ นักวิจัยบอกว่ายังมีความท้าทายเหลืออยู่ เช่น การขยายเทคโนโลยีกันสะเทือนให้ใช้กับรถไฟขนาดจริงได้ และการทำให้แน่ใจว่าระบบจะทำงานได้ดีในการเบรกฉุกเฉินและสถานการณ์วิกฤตอื่นๆ แต่การค้นพบนี้ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญที่อาจเปลี่ยนอนาคตการเดินทางบนพื้นดินอย่างแท้จริง

 

อ้างอิง:

The post ‘ความฝัน’ การเดินทางด้วยความเร็วสูงจ่อเป็นจริง! นักวิทยาศาสตร์จีนแก้ปัญหาจุดอ่อนสำคัญของแนวคิด Hyperloop ของ อีลอน มัสก์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้ประชาชนใช้ ChatGPT Plus ฟรี พร้อมเปิดตัวโครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Stargate https://thestandard.co/uae-free-chatgpt-plus-stargate/ Wed, 28 May 2025 10:26:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1079585

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่เป […]

The post สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้ประชาชนใช้ ChatGPT Plus ฟรี พร้อมเปิดตัวโครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Stargate appeared first on THE STANDARD.

]]>

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่เปิดให้ประชาชนทุกคนสามารถใช้งาน ChatGPT Plus ซึ่งเป็นเวอร์ชันพรีเมียมของแชตบอต AI จากบริษัท OpenAI ได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ความเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ระหว่างรัฐบาล UAE และบริษัท OpenAI

 

ในความร่วมมือครั้งนี้ ยังครอบคลุมการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดใหญ่ในกรุงอาบูดาบี ภายใต้ชื่อ ‘Stargate UAE’ ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางของปัญญาประดิษฐ์ในระดับภูมิภาค โครงการดังกล่าวจะประกอบด้วยคลัสเตอร์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI กำลังไฟฟ้ารวม 1 กิกะวัตต์ โดยเฟสแรกจะมีกำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในปีหน้า

 

โครงการ Stargate UAE เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมระดับโลกของ OpenAI ภายใต้ชื่อ “OpenAI for Countries” ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้แต่ละประเทศสามารถพัฒนา AI ที่สอดคล้องกับภาษา โครงสร้างการปกครอง และบริบททางสังคมของตนเอง พร้อมคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ และการจัดสรรให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ

 

แซม อัลท์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ OpenAI กล่าวถึงโครงการใน UAE ว่าเป็น “วิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ” ที่จะช่วยนำประโยชน์ของ AI ไปสู่ภาคส่วนสำคัญ เช่น การแพทย์ การศึกษา และพลังงานสะอาด

 

ข้อตกลงนี้ยังมีพันธมิตรทางเทคโนโลยีรายใหญ่จากทั่วโลกเข้าร่วม อาทิ Oracle, Nvidia, Cisco, SoftBank, Microsoft และ G42 บริษัทด้าน AI ใน UAE ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับ UAE ให้เป็นหนึ่งในผู้นำด้าน AI บนเวทีโลก

 

สิ่งที่ทำให้ความร่วมมือนี้มีความโดดเด่น คือ การที่ประชาชนทุกคนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะสามารถเข้าถึงเครื่องมือขั้นสูงของ OpenAI อย่าง ChatGPT Plus ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้คนหลายล้านคนสามารถใช้ AI เพื่อช่วยในการเขียน ศึกษา การเขียนโปรแกรม และการวางแผนต่างๆ

 

นอกจากนี้ UAE ยังให้คำมั่นว่าจะ ลงทุนด้าน AI ภายในประเทศในมูลค่าเท่ากับที่ลงทุนในสหรัฐอเมริกา โดยรายงานจาก Axios ระบุว่าการลงทุนรวมทั้งสองฝั่งอาจสูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ขณะที่ในอนาคต Jason Kwon ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ OpenAI มีแผนเดินทางเยือนประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อหารือโอกาสในความร่วมมือแบบเดียวกัน

 

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้สายตาทั่วโลกจับจ้องไปที่ประเทศอย่าง อินเดีย ซึ่งกำลังผลักดันยุทธศาสตร์ AI ของตนอย่างเข้มข้น ว่าจะเดินรอยตาม UAE หรือไม่

 

ภาพ: Beata Zawrzel / NurPhoto via Getty Images

อ้างอิง:

The post สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้ประชาชนใช้ ChatGPT Plus ฟรี พร้อมเปิดตัวโครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Stargate appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทียบฟอร์มโมเดล AI ชื่อดัง ตัวไหนเป็นที่นิยมในแต่ละด้าน https://thestandard.co/ai-model-comparison/ Tue, 27 May 2025 10:52:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1079135 โมเดล AI

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ AI (Artificial Intelligence) ถือได้ว่ […]

The post เทียบฟอร์มโมเดล AI ชื่อดัง ตัวไหนเป็นที่นิยมในแต่ละด้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
โมเดล AI

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ AI (Artificial Intelligence) ถือได้ว่าเป็นเทรนด์สำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบหรือวิถีชีวิตของมนุษย์ไปอย่างมาก ทั้งในแง่การทำงาน การใช้ชีวิต ความบันเทิง และอีกหลายๆ มิติ จึงทำให้โมเดล AI ที่ถูกพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามหลัง ChatGPT ของ OpenAI อย่างเช่น Claude, Deepseek เป็นต้น

 

แม้ AI ส่วนมากที่พัฒนาขึ้นมาในยุคนี้จะเป็นลักษณะ​ Generative AI หรือ AI ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และทำงานได้หลากหลายด้าน แต่โมเดล AI แต่ละตัวก็มักจะถูกพัฒนาโดยมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป บ้างถนัดงานคิด (Reasoning) บ้างถนัดงานสร้างสรรค์ (Creativity) หรือบางโมเดลก็ถนัดงานข้อความ (Text) เป็นต้น

 

ในบทความนี้ทางทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปเทียบฟอร์มของโมเดล AI ชื่อดังต่างๆ ในตลาด ว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งด้านใด และอย่างไรกันบ้าง ให้ผู้อ่านเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม

 

โมเดล AI

The post เทียบฟอร์มโมเดล AI ชื่อดัง ตัวไหนเป็นที่นิยมในแต่ละด้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลาซาด้า ทุ่ม 100 ล้านดอลลาร์ เปิดตัว Affiliate โฉมใหม่ เพิ่มค่าคอมมิชชัน ดันอินฟลูทำรายได้ https://thestandard.co/lazada-affiliate-2025-investment-commission/ Mon, 26 May 2025 06:17:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1078572 อินฟลูเอ็นเซอร์ร่วมโปรแกรม Lazada Affiliate โฉมใหม่ พร้อมรับค่าคอมมิชชันและสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น

ลาซาด้า ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใ […]

The post ลาซาด้า ทุ่ม 100 ล้านดอลลาร์ เปิดตัว Affiliate โฉมใหม่ เพิ่มค่าคอมมิชชัน ดันอินฟลูทำรายได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินฟลูเอ็นเซอร์ร่วมโปรแกรม Lazada Affiliate โฉมใหม่ พร้อมรับค่าคอมมิชชันและสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น

ลาซาด้า ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 เพื่อยกระดับโปรแกรม Lazada Affiliate มุ่งไปที่การเพิ่มค่าคอมมิชชัน ค่าตอบแทน และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้าเสริมศักยภาพพาร์ตเนอร์ในเครือข่าย

 

Jared Chan หัวหน้าฝ่าย Affiliate ลาซาด้า กรุ๊ป กล่าวว่า ลาซาด้าเดินหน้าสนับสนุนอินฟลูเอ็นเซอร์และครีเอเตอร์ให้สามารถเข้าถึงโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ และต่อยอดอิทธิพลของตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ เราเชื่อมั่นว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างเครือข่ายนักสร้างรายได้ ซึ่งไม่เพียงส่งเสริมการเติบโตของครีเอเตอร์ในทุกกลุ่ม แต่ยังช่วยเชื่อมโยงแบรนด์กับผู้บริโภคด้วยเช่นกัน

 

สิ่งที่น่าสนใจของโปรแกรม Lazada Affiliate เวอร์ชันใหม่ มาพร้อมโครงสร้างค่าตอบแทนและฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมศักยภาพให้กับพาร์ตเนอร์นักสร้างรายได้ในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์และครีเอเตอร์ที่มีชื่อเสียง ไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์หน้าใหม่ หรือนักช้อปทั่วไป เพื่อต่อยอดการสร้างรายได้จากคอนเทนต์และเพิ่มการเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เรียกได้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดโมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์อย่างแท้จริง โดยแบรนด์และผู้ขายจะชำระเงินเมื่อเกิดการซื้อสินค้าจริงเท่านั้น ช่วยให้การร่วมงานกับเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์สามารถวัดผล ต่อยอด และสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

The post ลาซาด้า ทุ่ม 100 ล้านดอลลาร์ เปิดตัว Affiliate โฉมใหม่ เพิ่มค่าคอมมิชชัน ดันอินฟลูทำรายได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิจัยจีนพัฒนาคอนแทคเลนส์ มองเห็น ‘แสงอินฟราเรด’ ได้แม้ในความมืด อนาคตช่วยคนตาบอดสี-งานกู้ภัย https://thestandard.co/infrared-contact-lens/ Sun, 25 May 2025 11:20:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1078307 infrared-contact-lens

ความฝันในการ ‘มองเห็นในความมืด’ กำลังเป็นจริงขึ้นอีกขั้ […]

The post นักวิจัยจีนพัฒนาคอนแทคเลนส์ มองเห็น ‘แสงอินฟราเรด’ ได้แม้ในความมืด อนาคตช่วยคนตาบอดสี-งานกู้ภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
infrared-contact-lens

ความฝันในการ ‘มองเห็นในความมืด’ กำลังเป็นจริงขึ้นอีกขั้น เมื่อทีมนักวิจัยในประเทศจีนได้พัฒนา ‘คอนแทคเลนส์’ ที่สามารถทำให้มนุษย์มองเห็นแสงอินฟราเรดซึ่งปกติแล้วเป็นแสงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้ แม้ในที่มืดสนิท หรือแม้แต่หลับตา

 

นับเป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นและก้าวข้ามข้อจำกัดของอุปกรณ์มองเห็นกลางคืนแบบเดิมๆ ที่มีขนาดใหญ่และต้องใช้พลังงานเพิ่มเติม

 

คอนแทคเลนส์ดังกล่าวมี ‘นาโนอนุภาค’ ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งทำหน้าที่ดูดซับและแปลงรังสีอินฟราเรด (โดยเฉพาะช่วงความยาวคลื่นใกล้อินฟราเรด 800 ถึง 1600 นาโนเมตร) ให้กลายเป็นแสงสีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดง ที่ตามนุษย์สามารถมองเห็นได้ 

 

หลักการนี้คล้ายกับอุปกรณ์มองเห็นกลางคืนทั่วไป แต่คอนแทคเลนส์นี้มีน้ำหนักเบากว่ามากและที่สำคัญคือไม่ต้องใช้พลังงานจากภายนอก อาทิ แบตเตอรี่ ทำให้ใช้งานได้สะดวกและแนบเนียนกว่าอุปกรณ์แบบกะทัดรัด

 

ความสามารถในปัจจุบันของคอนแทคเลนส์นี้คือ สามารถตรวจจับ แหล่งกำเนิดแสง LED อินฟราเรดความเข้มสูงได้ เช่น แสงที่ปล่อยออกมาจากรีโมตคอนโทรลทีวี แต่ยังไม่สามารถให้ ‘การมองเห็นกลางคืน’ ที่ละเอียดซับซ้อน หรือการนำทางในถนนที่มืดสนิทได้ เนื่องจากยังไม่สามารถตรวจจับแสงอินฟราเรดระดับต่ำจากแหล่งกำเนิดแสงรอบข้างได้ 

 

อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบพบว่าเมื่อผู้สวมใส่หลับตา แว่นตาจะตรวจจับแสงอินฟราเรดได้มีประสิทธิภาพเกือบสี่เท่า เพราะเปลือกตาช่วยตัดแสงที่มองเห็นได้ออกไป ลดการรบกวน

 

การทดสอบในมนุษย์และหนูแสดงให้เห็นว่า ผู้สวมใส่สามารถมองเห็นแสงอินฟราเรดที่กะพริบได้อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งแสงกะพริบเหล่านี้สามารถนำมาใช้ ‘เข้ารหัสและส่งข้อมูล’ ได้ เช่น การแปลงความถี่ จำนวน และสีของแสงกะพริบที่แตกต่างกันเพื่อสื่อสารตัวอักษร

 

แม้คอนแทคเลนส์แบบสวมใส่จะแสดงถึงแนวทางที่ ‘ปลอดภัยและใช้งานได้จริงมากกว่า’ สำหรับการประยุกต์ใช้กับมนุษย์ เมื่อเทียบกับการทดลองก่อนหน้านี้ที่ฉีดนาโนอนุภาคเข้าไปในดวงตาของหนูโดยตรง 

 

แต่ Peter Rentzepis จาก Texas A&M University ตั้งข้อสังเกตว่า ยังคงมีความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ‘ความร้อน’ จากกระบวนการแปลงแสง และ ‘การรั่วไหลของนาโนอนุภาค’ เข้าไปในเนื้อเยื่อตา

 

ศ.เทียน ซูเอะ หัวหน้าคณะวิจัยจาก University of Science and Technology of China กล่าวว่า “งานวิจัยของเราเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ที่ไม่รุกล้ำร่างกาย ซึ่งจะมอบวิสัยทัศน์ที่เหนือกว่าให้กับผู้คน” ในอนาคต

 

ทีมวิจัยหวังที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถช่วยผู้ที่มีปัญหา ‘ตาบอดสี’ รวมถึงการเพิ่มพลังในการตรวจจับแหล่งกำเนิดแสงอินฟราเรดที่อ่อนแอลง เพื่อให้สามารถใช้งานการมองเห็นในเวลากลางคืนที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นได้ การค้นพบนี้มีศักยภาพในการประยุกต์ใช้ได้ทันทีหลายด้าน เช่น การรักษาความปลอดภัย การช่วยเหลือ การเข้ารหัส และการป้องกันการปลอมแปลง

 

ภาพ: Sergey Kolesnikov / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post นักวิจัยจีนพัฒนาคอนแทคเลนส์ มองเห็น ‘แสงอินฟราเรด’ ได้แม้ในความมืด อนาคตช่วยคนตาบอดสี-งานกู้ภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไขปริศนาแมวสามสี นักวิจัยญี่ปุ่นค้นพบ ‘ยีน ARHGAP36’ บนโครโมโซม X กุญแจกำหนดสีขนและเหตุผลที่ส่วนใหญ่เป็นเพศเมีย https://thestandard.co/calico-cat-genetics/ Sat, 24 May 2025 09:51:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1078040 calico-cat-genetics

หลังจากเป็น ‘ปริศนา’ ที่ยาวนานกว่า 120 ปี ในที่สุดทีมนั […]

The post ไขปริศนาแมวสามสี นักวิจัยญี่ปุ่นค้นพบ ‘ยีน ARHGAP36’ บนโครโมโซม X กุญแจกำหนดสีขนและเหตุผลที่ส่วนใหญ่เป็นเพศเมีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
calico-cat-genetics

หลังจากเป็น ‘ปริศนา’ ที่ยาวนานกว่า 120 ปี ในที่สุดทีมนักวิจัยจากญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาก็ไขรหัสลับเบื้องหลังสีสันอันโดดเด่นของแมวสามสี หรือ Calico (ที่เรียกในญี่ปุ่นว่า Mike Neko) ที่มีขนเป็นปื้นสีดำ ขาว และส้ม ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเพศเมีย การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงแต่ตอบคำถามคาใจของคนรักแมว แต่ยังอาจนำไปสู่ความเข้าใจใหม่ๆ ทางชีววิทยาอีกด้วย

 

ศ.ซาซากิ ฮิโรยูกิ จาก Kyushu University Institute for Advanced Study ในญี่ปุ่น ร่วมกับทีมวิจัยจาก Stanford University ในแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาและเปรียบเทียบยีนของแมวสามสีกับแมวชนิดอื่นๆ ซึ่งนำไปสู่การระบุ ‘ยีน ARHGAP36’ ซึ่งอยู่บน ‘โครโมโซม X’ ว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ควบคุมการแสดงออกของสีขนดำและส้ม

 

ทีมวิจัยอธิบายว่า เมื่อยีน ARHGAP36 นี้มี ‘ส่วนหนึ่งขาดหายไป’ (Missing Segment) จะส่งผลกระทบต่อการผลิตโปรตีน ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) สร้างโทนสีที่สว่างขึ้น ส่งผลให้ขนสีดำกลายเป็นสีส้ม

 

ในทางกลับกัน หากยีนนี้ไม่มีส่วนขาดหายไป ขนจะเป็นสีดำ และหากแมวมี ‘ยีนขนสีขาว’ ด้วย ก็จะเกิดเป็นลายปื้นสีดำ ขาว และส้ม อันเป็นเอกลักษณ์ของแมวสามสี

 

โดยในแมวส้ม (Ginger Cats) ยีน ARHGAP36 จะทำงานได้อย่างเต็มที่เนื่องจากมีส่วนขาดหายไป ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีสร้างโทนสีที่สว่างกว่าปกติ ส่วนในแมวชนิดอื่น ยีนนี้จะถูกควบคุมให้ทำงานน้อยลง

 

การค้นพบนี้ยังอธิบายถึงปรากฏการณ์ที่ว่าทำไมแมวสามสีเกือบทั้งหมดจึงเป็น ‘เพศเมีย’ และทำไมแมวส้มมักเป็น ‘เพศผู้’ เนื่องจากยีน ARHGAP36 อยู่บน โครโมโซม X ซึ่งแมวเพศเมียมีโครโมโซม X สองเส้น (XX) 

 

หากโครโมโซม X หนึ่งเส้นมียีน ARHGAP36 ที่กลายพันธุ์ (สีส้ม) และอีกเส้นมียีนปกติ (สีดำ) ก็จะแสดงสีขนทั้งสองออกมาได้ ส่วนแมวเพศผู้มีโครโมโซม XY การที่ยีน ARHGAP36 ส่วนหนึ่งขาดหายไปบนโครโมโซม X เพียงเส้นเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้ขนเป็นสีส้มเกือบทั้งหมด

 

ความเข้าใจเกี่ยวกับแมวสามสีมีการพัฒนามายาวนาน เมื่อประมาณ 120 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าแมวสามสีเกือบทั้งหมดเป็นเพศเมีย และปัจจัยที่กำหนดสีอยู่ในโครโมโซม X ต่อมาอีกประมาณ 60 ปี นักวิจัยค้นพบว่าโครโมโซม X หนึ่งในสองเส้นของแมวสามสีจะถูกปิดการทำงาน

 

แต่ยีนที่รับผิดชอบต่อการเกิดสีที่แตกต่างกันนี้ยังคงเป็นปริศนามาตลอด จนกระทั่งการค้นพบครั้งนี้

 

ทีมนักวิจัยซึ่งเป็นคนรักแมวทุกคน ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลแมวที่นำมาศึกษาเป็นพิเศษ โดยใช้เพียงตัวอย่างเลือดที่เก็บจากโรงพยาบาลสัตว์เท่านั้น ศ.ซาซากิ เริ่มโครงการนี้ด้วยเป้าหมายที่จะช่วยต่อสู้กับโรคแมวที่อธิบายไม่ได้ และเพื่อทำหน้าที่ในฐานะคนรักแมวตัวยง

 

โครงการวิจัยนี้ยังได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากคนรักแมวทั่วโลกผ่านการระดมทุนแบบ Crowdfunding โดยระดมเงินได้มากกว่า 10 ล้านเยน (ประมาณ 68,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึงสองเท่า

 

ผลการค้นพบนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารออนไลน์ Current Biology ของสหรัฐฯ โดย ศ.ซาซากิ กล่าวแสดงความยินดีกับผลการวิจัย และเชื่อว่าการค้นพบนี้บ่งชี้ว่า ยีน ARHGAP36 อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและการพัฒนาสมอง และตั้งใจที่จะศึกษาเพิ่มเติมว่าสีและลายขนที่แตกต่างกันมีความเชื่อมโยงกับบุคลิกของแมวหรือไม่

 

นักวิจัยยังหวังว่าจะศึกษาผลกระทบของยีน ARHGAP36 ต่อสุขภาพและการทำงานของร่างกายแมวส้มในด้านอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาสมอง ซึ่งเป็นที่มาของมุกตลกในหมู่เจ้าของแมวส้มที่ว่า “แมวส้มทั้งโลกใช้เซลล์สมองร่วมกันแค่เซลล์เดียว และต้องผลัดกันใช้”

 

นอกจากนี้ยังมีการระบุว่า ในมนุษย์ ยีน ARHGAP36 เคยถูกเชื่อมโยงกับปัญหาผมร่วงและมะเร็งผิวหนังด้วย ซึ่ง ศ.ซาซากิ ยังหวังว่าความก้าวหน้าครั้งสำคัญนี้จะสามารถกระตุ้นเยาวชนให้หันมาสนใจเป็นนักวิจัยมากขึ้น

 

ภาพ: Oporty786 / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ไขปริศนาแมวสามสี นักวิจัยญี่ปุ่นค้นพบ ‘ยีน ARHGAP36’ บนโครโมโซม X กุญแจกำหนดสีขนและเหตุผลที่ส่วนใหญ่เป็นเพศเมีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
OnlyFans จ่อขายกิจการมูลค่า 2.6 แสนล้านบาท ท่ามกลางความสำเร็จทางธุรกิจและความท้าทายจากเนื้อหาอนาจาร https://thestandard.co/onlyfans-deal-billion/ Sat, 24 May 2025 08:56:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1078032 onlyfans-deal-billion

เว็บไซต์ OnlyFans แพลตฟอร์มคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมอย่ […]

The post OnlyFans จ่อขายกิจการมูลค่า 2.6 แสนล้านบาท ท่ามกลางความสำเร็จทางธุรกิจและความท้าทายจากเนื้อหาอนาจาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
onlyfans-deal-billion

เว็บไซต์ OnlyFans แพลตฟอร์มคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อ ‘ขายกิจการ’ ให้กับกลุ่มนักลงทุนในมูลค่าสูงถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.6 แสนล้านบาท) ตามรายงานของ Reuters โดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวใกล้ชิด

 

OnlyFans ซึ่งเป็นเจ้าของโดย Fenix International ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในช่วงการระบาดของโควิด โดยเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ ‘แพลตฟอร์มเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่’ ที่เปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้จากการเก็บค่าสมัครสมาชิกจากผู้ชม ซึ่งแพลตฟอร์มจะหักรายได้ 20% ของครีเอเตอร์ 

 

การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2023 รายได้สุทธิของ OnlyFans เพิ่มขึ้น 20% แตะ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำกำไรได้ 485.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้าเช่นกัน 

 

นอกจากนี้จำนวนครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มยังเพิ่มขึ้น 29% เป็น 4.1 ล้านคน และจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 28% เป็น 305 ล้านคน

 

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า กลุ่มนักลงทุนที่นำโดย Forest Road Company ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนในลอสแอนเจลิส กำลังเป็นหัวหอกในการเจรจาซื้อกิจการ OnlyFans ซึ่งมีฐานอยู่ในลอนดอน 

 

การเจรจาได้ดำเนินมาตั้งแต่เดือนมีนาคม และแหล่งข่าวคาดว่าข้อตกลงอาจบรรลุได้ภายในหนึ่งถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า แม้จะไม่มีการยืนยันถึงความแน่นอนของข้อตกลงนี้ แหล่งข่าวระบุว่า Fenix International ก็กำลังเจรจากับผู้สนใจรายอื่นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ‘การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ’ (IPO) ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังพิจารณาอยู่

 

ปัจจุบัน Leonid Radvinsky นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายยูเครน เป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวของ Fenix International โดยเขาได้ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของ OnlyFans มาตั้งแต่ปี 2018 จาก Guy และ Tim Stokely ผู้ก่อตั้งชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์นี้ในปี 2016 

 

เอกสารการยื่นต่อทางการอังกฤษระบุว่า Radvinsky ได้จ่ายเงินปันผลให้ตัวเองไปแล้วอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตาม การที่ OnlyFans เกี่ยวข้องกับ ‘เนื้อหาอนาจาร’ สร้างความท้าทายอย่างมากในการหาผู้ซื้อรายใหญ่หรือการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ 

 

แพลตฟอร์มนี้กลายเป็น ‘สิ่งที่แตะต้องไม่ได้’ (Untouchable) สำหรับธนาคารและนักลงทุนรายใหญ่ เนื่องจากเมื่อทำการตรวจสอบก่อนลงทุน (Due Diligence) อาจพบเนื้อหาผิดกฎหมาย

 

อาทิเนื้อหาอนาจารเด็ก(child sexual abuse material), เหยื่อการค้ามนุษย์ หรือ ‘เนื้อหาอนาจารโดยไม่ยินยอม’ รายงานสืบสวนของ Reuters ในปี 2024 ได้เคยบันทึกข้อร้องเรียนในบันทึกของตำรวจและศาลสหรัฐฯ ว่ามีการพบเนื้อหาเหล่านี้บนเว็บไซต์มาตั้งแต่ปี 2019 และยังพบกรณีผู้ค้ามนุษย์ใช้แพลตฟอร์มเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากผู้หญิงด้วย

 

การเจรจาซื้อกิจการ OnlyFans ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จทางธุรกิจอันน่าทึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงความซับซ้อนและความท้าทายที่บริษัทต้องเผชิญ จากลักษณะของเนื้อหาบนแพลตฟอร์มและความกังวลด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สนใจเข้าลงทุนจะต้องประเมินอย่างรอบคอบต่อไป

 

อ้างอิง:

The post OnlyFans จ่อขายกิจการมูลค่า 2.6 แสนล้านบาท ท่ามกลางความสำเร็จทางธุรกิจและความท้าทายจากเนื้อหาอนาจาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
Xiaomi เปิดตัวชิป XRING O1 ที่พัฒนาเอง ‘เป้าหมายคือเก่งเท่า Apple’ หวังก้าวสำคัญสู่การพึ่งพาตนเอง https://thestandard.co/xiaomi-aims-to-take-on-apple-with-first-in-house-smartphone-chip/ Sat, 24 May 2025 05:13:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1077909 Xiaomi

Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่ของจีน สร้างความฮือฮาด้ […]

The post Xiaomi เปิดตัวชิป XRING O1 ที่พัฒนาเอง ‘เป้าหมายคือเก่งเท่า Apple’ หวังก้าวสำคัญสู่การพึ่งพาตนเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Xiaomi

Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่ของจีน สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนที่ ‘พัฒนาเอง’ เป็นครั้งแรก โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัยเทียบเท่า Apple การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Xiaomi ในการยกระดับผลิตภัณฑ์ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มขึ้น

 

ชิปเซ็ตใหม่นี้มีชื่อว่า XRING O1 SoC (System-on-Chip) ได้รับการออกแบบมาเพื่อผลิตด้วยเทคโนโลยี 3 นาโนเมตรของ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ ‘ล้ำสมัยที่สุด’ ในโลกปัจจุบัน และเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับที่ Apple, MediaTek และ Qualcomm ใช้สำหรับชิปมือถือชั้นนำ

 

Lei Jun ประธานกรรมการผู้ก่อตั้ง Xiaomi กล่าวในการเปิดตัวว่า “Apple ทำชิปที่เก่งที่สุดในโลก เราเลยตั้งเป้าว่าจะทำชิปให้เก่งเท่า Apple” พร้อมระบุว่าชิปใหม่นี้มีทรานซิสเตอร์ 1.9 หมื่นล้านตัว เหมือนกับชิปประมวลผลมือถือล่าสุดของ Apple

 

ผู้ก่อตั้ง Xiaomi ยังประกาศว่าสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ Xiaomi 15S Pro และแท็บเล็ตรุ่นใหม่ Pad 7 Ultra ที่มาพร้อมจอ OLED จะใช้ชิป XRING O1 นี้ นอกจากนี้ Xiaomi ยังได้เปิดตัวชิปโมเด็ม 4G ตัวแรกสำหรับใช้ในสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ของบริษัทด้วย 

 

“หากเราต้องการเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ การสร้างชิปของเราเองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” Jun กล่าว “การเปิดตัวชิปตัวแรกของเราเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และยังมีหนทางอีกยาวไกล”

 

การพัฒนาชิปเซ็ตเช่นนี้ต้องอาศัย ‘การลงทุนมหาศาล’ Jun เปิดเผยว่าบริษัทได้ลงทุนกว่า 1.35 หมื่นล้านหยวน ในการวิจัยและพัฒนาชิป Xring ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาถึงเดือนเมษายน และให้คำมั่นว่าจะลงทุนเพิ่มอีกอย่างน้อย 5 หมื่นล้านหยวนในอีกสิบปีข้างหน้า 

 

การพัฒนาหน่วยประมวลผลเองของ Xiaomi ถือเป็น ‘ก้าวสำคัญ’ สำหรับอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนจีนโดยรวม เนื่องจากก่อนหน้านี้มีเพียง Huawei (ผ่านหน่วยงาน HiSilicon) เท่านั้นที่สามารถสร้างชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนที่สามารถแข่งขันได้ ขณะที่ Oppo ซึ่งเคยมีทีมออกแบบชิปขนาดใหญ่ ก็ได้ยุบทีมนี้ไปในปี 2023

 

ตลาดชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนนั้นถูก MediaTek, Qualcomm และ Apple ครองตลาดมาอย่างยาวนาน โดยรวมกันมีส่วนแบ่งประมาณ 78% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 

 

Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ไม่ได้แสดงความกังวลต่อการที่ลูกค้าเก่าแก่ของพวกเขาจะพัฒนาชิปประมวลผลสมาร์ทโฟนเอง โดยยืนยันถึง “ความสัมพันธ์ที่ยาวนานและแน่นแฟ้น” กับ Xiaomi และคาดว่า Xiaomi จะยังคงใช้ชิป Qualcomm สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงบางรุ่นต่อไป

 

Ethan Qi นักวิเคราะห์จาก Counterpoint มองว่าการพัฒนาชิปเซ็ต 3 นาโนเมตรของ Xiaomi สะท้อนถึง ‘กลยุทธ์ระยะยาว’ ที่กว้างไกลของบริษัท “ความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของประสิทธิภาพสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังเป็นการปูทางสู่การใช้งานที่กว้างขึ้นในด้าน IoT (Internet of Things) และยานยนต์” Qi กล่าว 

 

“แม้ผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดในระยะใกล้จะยังไม่มากนัก แต่คุณค่าของชิปนี้น่าจะปรากฏให้เห็นในด้านยานยนต์และ IoT ก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของ Xiaomi ในตลาดมือถือ”

 

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความสามารถของ Xiaomi ในการรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ต้นทุน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ท่ามกลางความซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทานที่เพิ่มขึ้น

 

อ้างอิง:

The post Xiaomi เปิดตัวชิป XRING O1 ที่พัฒนาเอง ‘เป้าหมายคือเก่งเท่า Apple’ หวังก้าวสำคัญสู่การพึ่งพาตนเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google ผนึก Samsung เปิดตัว ‘แว่นตา AI’ ผสาน Gemini และดีไซน์จาก Gentle Monster ชูธงก้าวสำคัญเทคโนโลยีสวมใส่ https://thestandard.co/google-samsung-ai-glasses-gemini-gentle-monster/ Thu, 22 May 2025 08:17:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1077126

โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีสวมใส่ที่ผสานปัญญ […]

The post Google ผนึก Samsung เปิดตัว ‘แว่นตา AI’ ผสาน Gemini และดีไซน์จาก Gentle Monster ชูธงก้าวสำคัญเทคโนโลยีสวมใส่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีสวมใส่ที่ผสานปัญญาประดิษฐ์อย่างใกล้ชิด เมื่อ Google และ Samsung Electronics เตรียม ‘เปิดตัวแว่นตา AI’ ในกลุ่ม Extended Reality (XR) ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล Gemini สุดล้ำของ Google และมาพร้อมการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์จากแบรนด์แว่นตาชื่อดังอย่าง Gentle Monster และ Warby Parker 

 

ในการประชุมนักพัฒนาประจำปี Google I/O 2025 เมื่อวันอังคาร (19 พ.ค.) ที่ผ่านมา Sundar Pichai ซีอีโอของ Google ได้ฉายภาพการพัฒนา AI ล่าสุดของบริษัท โดยเน้นย้ำว่าเรากำลังอยู่ใน ‘เฟสใหม่ของแพลตฟอร์ม AI’ ซึ่งงานวิจัยที่สั่งสมมาหลายทศวรรษกำลัง ‘กลายเป็นความจริงสำหรับผู้คนทั่วโลก’

 

Google ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Samsung เพื่อพัฒนาฮาร์ดแวร์ที่จะเป็นสะพานเชื่อมโลกเสมือนจริงและโลกจริงเข้าด้วยกัน โดยมี ‘เทคโนโลยี AI’ เป็นแกนหลักขับเคลื่อน

 

ในการสาธิตที่งาน I/O ผู้บริหารของ Google ได้แสดงให้เห็นว่าแว่นตา Android XR รุ่นต้นแบบซึ่งติดตั้ง AI Agents หรือผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์แบบโต้ตอบ สามารถจัดการ ‘งานประจำวัน’ ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการนำทางแผนที่ 3 มิติ), การส่งข้อความ และการแปลภาษาแบบเรียลไทม์โดยแสดงผลเป็นคำบรรยายในเลนส์ 

 

แว่นตาเหล่านี้มีกล้อง ไมโครโฟน และลำโพง ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ เพื่อให้เข้าถึงแอปได้โดยไม่ต้องใช้มือ และสามารถให้ข้อมูลตามบริบทที่ผู้ใช้เห็นได้ราวกับมีผู้ช่วยส่วนตัวมองเห็นและได้ยินไปพร้อมกับเรา

 

การร่วมมือครั้งนี้ Google รับหน้าที่พัฒนาซอฟต์แวร์ (Android XR และ Gemini AI) ส่วน Samsung รับผิดชอบด้านฮาร์ดแวร์ โดยมี Qualcomm เป็นผู้ผลิตชิป 

 

นอกจากนี้ Google ยังได้ประกาศความร่วมมือมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับ Warby Parker (แบรนด์แว่นตาที่เข้าถึงง่ายในตลาดสหรัฐฯ) และ Gentle Monster (แบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในเอเชีย) เพื่อสร้างดีไซน์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ตลาดที่แตกต่างกันออกไป

 

อย่างไรก็ตาม Google และ Samsung อาจกำลังตามหลังคู่แข่งอย่าง Meta เล็กน้อย ในการแข่งขันด้านแว่นตา AI โดยแว่น Ray-Ban AI ของ Meta ซึ่งมีฟังก์ชันคล้ายกัน (กล้อง การแปลภาษา ข้อความ) ได้ขายไปแล้วกว่า 2 ล้านคู่ตั้งแต่ปี 2023 

 

Juston Payne ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ของ Google กล่าวว่า แว่นตา AI ของ Google จะสามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันต่างๆ ของ Google ได้อย่างลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากกว่าแว่นตาของคู่แข่ง ซึ่งจะเป็นจุดแข็งที่โดดเด่น

 

นอกเหนือจากแว่นตา XR สำหรับสวมใส่ในชีวิตประจำวันแล้ว Google, Samsung และ Qualcomm ยังได้ประกาศเปิดตัวชุดหูฟัง Mixed Reality สำหรับแพลตฟอร์ม Android ในชื่อ ‘Project Moohan’ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำหรับฟังก์ชันการใช้งานแบบเต็มรูปแบบ เช่น การรับชมภาพยนตร์ หรือการทำงาน และถูกวางตัวเป็นคู่แข่งสำคัญของ Apple Vision Pro ที่เปิดตัวไปแล้วในปี 2024

 

Payne ระบุว่านักพัฒนาจะสามารถเริ่มสร้างแอปพลิเคชันสำหรับแว่นตา Google-Samsung ได้ภายในปีนี้ แต่ยัง ‘ยังไม่ตัดสินใจ’ ว่าจะพร้อมจำหน่ายต่อสาธารณะเมื่อใด ซึ่งบางรายงานคาดการณ์ว่าอาจจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการหลังปี 2025 หรือประมาณปี 2026 

 

ภาพ: Andrej Sokolow / Picture Alliance via Getty Images 

อ้างอิง:

The post Google ผนึก Samsung เปิดตัว ‘แว่นตา AI’ ผสาน Gemini และดีไซน์จาก Gentle Monster ชูธงก้าวสำคัญเทคโนโลยีสวมใส่ appeared first on THE STANDARD.

]]>