Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 14 Dec 2025 03:21:08 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี https://thestandard.co/goodnotes-bangkok-top10-ipad-app-thai-user/ Sun, 14 Dec 2025 03:21:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1154431 ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี

รู้หรือไม่? ‘กรุงเทพฯ’ ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่มีผู้ใ […]

The post ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี

รู้หรือไม่? ‘กรุงเทพฯ’ ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่มีผู้ใช้งาน Goodnotes สูงที่สุดในโลก จากฐานผู้ใช้งานรวมกว่า 25 ล้านคนต่อเดือน

 

นี่คือสิ่งที่เราได้รู้หลังจากได้เข้าร่วมพูดคุยเป็นกลุ่มเล็กๆ กับ Steven Chan ผู้ก่อตั้งและ Chief Executive Officer รวมถึง Minh Tran ผู้เป็น Chief Operating Officer ของ Goodnotes แอปจดโน้ตดิจิทัลที่ก่อตั้งในปี 2011 หรือเกือบ 15 ปีก่อน

 

“ตามความเข้าใจของเราคือสำหรับนักเรียนไทยที่เข้ามหาวิทยาลัยที่ซื้อ iPad มักจะโหลด GoodNotes มาใช้ด้วย ดังนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่ในไทยจึงอยู่ในช่วงอายุ 18-35 ปี ซึ่งมีทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยและวัยทำงาน” ผู้บริหาร Goodnotes กล่าวพร้อมกับเสริมว่า “ผู้ใช้ชาวไทยยังชื่นชอบความสวยงามของการจดบันทึก โดยมีการใช้งานบ่อยกว่าผู้ใช้ในประเทศอื่น”

 

ความนิยมนี้เองทำให้ GoodNotes เป็นแอปที่ได้รับการดาวน์โหลดมากที่สุดบน iPad (มากกว่า YouTube และ Netflix) รวมถึงได้รับรางวัล iPad App of the Year จาก Apple ในปี 2022

 

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดตัว Goodnotes Essential และ Goodnotes Pro มาพร้อม Goodnotes AI ซึ่งถือเป็นรายแรกที่เชื่อมการเขียนลายมือดิจิทัลเข้ากับ Generative AI โดย Goodnotes ย้ำว่า AI ของตัวเองต่างจาก AI ทั่วไปตรงที่ Goodnotes AI ทำงานร่วมกับการป้อนข้อมูลทุกรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนด้วยลายมือ การพิมพ์ การสเก็ตช์ หรือเสียง

 

การเปิดตัวนี้มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ‘ไวท์บอร์ด’ ที่เข้ามาช่วยในด้านการจดโน้ต การสร้างแผนผัง หรือการระดมความคิดร่วมกัน
ฟีเจอร์เอกสารพิมพ์ สำหรับการสร้าง แก้ไข และจัดระเบียบเนื้อหาที่พิมพ์พร้อมกับรูปภาพ GIF และตาราง รวมถึงเครื่องมือวาดแผนภาพที่ช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นภาพความคิดของตัวเองมากขึ้น ซึ่งช่วยให้สร้างแผนภาพได้ง่ายขึ้นมาก เช่น ผังงาน (flowcharts) และแผนผังความคิด (mind maps)

 

ตลอดจนมีฟีเจอร์ Text Document ใหม่ซึ่งมีการยกตัวอย่างว่า สามารถให้ AI ช่วยร่างเอกสารเช่น การขอให้ AI ร่างแผนการเดินทาง 3 วัน โดยผู้ใช้สามารถเลือกยอมรับหรือปฏิเสธข้อความที่ AI สร้างขึ้น นอกจากนี้ AI สามารถให้ความสำคัญกับส่วนใดส่วนหนึ่งของเอกสาร เช่น ปรับแผนให้เน้นการเดินป่ามากขึ้น และยังสามารถสร้างสิ่งที่ไม่ใช่ข้อความได้ เช่น ตารางเพื่อสรุปแผนรายวัน เป็นต้น

 

Goodnotes ยังได้เพิ่มคุณสมบัติการถอดเสียงแบบเรียลไทม์ และการสรุปแบบเรียลไทม์เข้าไปในฟีเจอร์การบันทึกเสียง ด้วยวิธีนี้ผู้ใช้จึงสามารถสลับระหว่างการบันทึกเสียง การถอดเสียง การสรุป และข้อความได้อย่างราบรื่น โดย Goodnotes ย้ำว่า ตัวแอปมีการแปลเป็นภาษาไทย และรองรับฟีเจอร์ AI ในภาษาไทยด้วย รวมถึงโมเดล Machine Learning สำหรับการจดจำลายมือและการสร้างลายมือ

 

เวอร์ชั่นใหม่ของ Goodnotes จะมีราคาให้เลือกหลากหลายมากขึ้น โดยมีทั้งแบบฟรี, Essential ราคา 329 บาทต่อปี, Pro ราคา 999 บาทต่อปี รวมถึงการจ่ายครั้งเดียว 999 บาท ซึ่งแต่ละแพคเกจจะสามารถใช้ฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป โดยหากต้องใช้ฟีเจอร์ AI จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 279 บาทต่อเดือน

 

“สำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย เรามอง GoodNotes เป็น แพลตฟอร์มการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบเต็มรูปแบบ และกำลังสร้างชุมชนท้องถิ่นกับครีเอเตอร์และผู้ใช้ รวมถึงเพิ่มการรับรู้แบรนด์โดยการร่วมมือกับพันธมิตรตั้งแต่มหาวิทยาลัยไปจนถึงบริษัทชั้นนำ”

 

เป้าหมายในอนาคตของ GoodNotes คือ การให้ความสำคัญกับ Professional Use ผ่านการพิจารณาพัฒนาฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพโดยเฉพาะ รวมถึงการใช้งานในกลุ่มขององค์กร

 

“เราเห็นโอกาสมากมายที่จะเป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันของผู้คนในหลากหลายวงการไม่ว่าจะเป็น สถาปนิก, วิศวกร, การบิน (สายการบินหลายแห่ง), บริษัทกฎหมาย, สถาบันการเงิน และบริษัทขนส่ง โดยใครก็ตามที่ต้องการใช้กระดาษก็สามารถใช้ GoodNotes ได้” ผู้บริหาร Goodnotes กล่าวพร้อมกับเสริมว่า “ภารกิจของเราคือการเป็น แบรนด์จดบันทึกที่โดดเด่นที่สุดในโลก สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน, ผู้เชี่ยวชาญ หรือบริษัท”

ปัจจุบัน Goodnotes มีพนักงานกว่า 300 คน ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยมีทีมที่ทำงานด้าน AI ประมาณ 50 คน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลกเช่นกัน โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร

The post ‘กรุงเทพฯ’ ติด Top 10 เมืองที่ใช้ Goodnotes มากที่สุดในโลก เผยเด็กไทยซื้อ iPad ต้องโหลดติดเครื่อง พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ Pro-Essential เริ่มต้น 329 บาท/ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดไทยโต 35%! Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน https://thestandard.co/garmin-thailand-growth-chonburi-factory/ Sat, 13 Dec 2025 09:51:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1154343 ตลาดไทยโต 35% Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน

กระแสการดูแลสุขภาพที่ตื่นตัวไปทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยบวก […]

The post ตลาดไทยโต 35%! Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดไทยโต 35% Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน

กระแสการดูแลสุขภาพที่ตื่นตัวไปทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสวมใส่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสมาร์ทวอทช์ที่ผู้บริโภคต่างมองหาอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เน้นความยั่งยืนด้านสุขภาพ หรือเทรนด์ ‘Longevity’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การมีอายุยืนยาว แต่ครอบคลุมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ

 

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ Garmin ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดรับรู้รายได้ครึ่งปีแรกทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยมูลค่ารวมกว่า 3.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.09 แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

สำหรับตลาดประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นอย่างมาก โดย Garmin ประเทศไทยสามารถสร้างรายได้เติบโตสูงกว่า 35% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สะท้อนความแข็งแกร่งของแบรนด์ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ข้อมูลจาก Garmin Connect ยังระบุด้วยว่าพฤติกรรมของผู้ใช้งานชาวไทยมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยกิจกรรมการฝึกความแข็งแรง (Strength Training) มีอัตราการเติบโตสูงถึง 40% ตามมาด้วยกิจกรรมคาดิโอในร่มอย่างพิลาทิสและ HIIT ที่เติบโตกว่า 15% บ่งชี้ว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่หลากหลายและจริงจังมากขึ้น

 

เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดโลกและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Garmin จึงได้ตัดสินใจเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญด้วยการขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเป็นประเทศแรกของอาเซียน นอกเหนือจากโรงงานผลิตของ Garmin ที่มีอยู่หลายแห่งทั่วโลก ได้แก่ จีน, ไต้หวัน, เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์ และ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

 

ข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่าได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนให้กับ บริษัท การ์มิน ชลบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2569 เพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศและจำหน่ายในประเทศ

 

การเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ในครั้งนี้ มาจากศักยภาพความพร้อมในหลายด้าน ทั้งทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่ง รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยและซัพพลายเชนที่ครบวงจร เอื้อต่อการบริหารจัดการต้นทุนและการกระจายสินค้า

 

โดยโรงงานแห่งนี้จะใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงเพื่อผลิตสินค้าครอบคลุมหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาอัจฉริยะ (GPS Smart Watch) อุปกรณ์นำทาง (GPS Navigator) สำหรับยานยนต์และการเดินเรือ รวมถึงเซนเซอร์วัดค่าทางสุขภาพต่างๆ

 

มิสซี่ ยาง ผู้จัดการประจำ Garmin ประเทศไทย กล่าวถึงทิศทางกลยุทธ์ว่า การตั้งโรงงานในไทยเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์การขยายธุรกิจแนวดิ่ง หรือ ‘Vertical Integration’ ซึ่งหมายถึงการที่ Garmin เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งกระบวนการ ตั้งแต่พัฒนาด้านวิศวกรรม การผลิต การตลาด ตลอดจนการให้บริการ ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพทั้งสายการผลิต และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวให้เท่าทันการเติบโตของอุตสาหกรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้

 

ในแง่ของสายการผลิตช่วงแรก Garmin วางแผนที่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์ (Auto OEM) เป็นลำดับแรก เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดนี้ในภูมิภาคเอเชีย ก่อนจะขยายไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์
ขณะเดียวกันการมีฐานผลิตในประเทศยังจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคชาวไทยในเรื่องของ ‘Lead Time’ หรือระยะเวลาการส่งมอบสินค้าที่จะรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการสต็อกสินค้าที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับแบรนด์ในระยะยาว

 

ด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ในไทยนั้น Garmin ประเทศไทย ระบุว่า แบรนด์มีจุดแข็งในการเจาะตลาดแบบ ‘Specialty’ หรือตลาดเฉพาะทางที่มีความต้องการสูง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักวิ่ง นักปั่นจักรยาน หรือผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีช่วงราคาที่กว้างตั้งแต่ระดับเริ่มต้น 5,000 บาท ไปจนถึงระดับพรีเมียม 40,000 บาท ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ประกอบกับจุดเด่นเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ

 

เทคโนโลยีสุขภาพยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาสินค้า โดยล่าสุด Garmin ได้ยกระดับฟีเจอร์การติดตามการนอนหลับไปอีกขั้นด้วย ‘Sleep Alignment’ ที่วิเคราะห์รูปแบบการนอนของผู้ใช้เทียบกับจังหวะชีวภาพตามธรรมชาติ (Circadian Rhythm) เพื่อให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Daily Suggested Workouts และ Lifestyle Logging ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมประจำวันกับสุขภาพโดยรวม เสมือนมีโค้ชส่วนตัวคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

 

นอกจากมิติด้านสุขภาพ Garmin ยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย หรือ ‘Innovation That Protects’ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสื่อสารผ่านดาวเทียม inReach และฟังก์ชัน SOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถขอความช่วยเหลือได้แม้ในพื้นที่ไร้สัญญาณโทรศัพท์

 

ปัจจุบันฟีเจอร์นี้เปิดให้บริการแล้วในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และไต้หวัน สำหรับประเทศไทยทาง Garmin ระบุว่ากำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันกฎระเบียบให้รองรับเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานชาวไทยในอนาคต

 

ในส่วนของภาพรวมรายได้ระดับโลก สัดส่วนรายได้ของ Garmin มาจากกลุ่มฟิตเนส 30% กิจกรรมกลางแจ้ง 27% การเดินเรือ 19% ยานยนต์ 15% และการบิน 14% ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดี และความแข็งแกร่งในทุกเซกเมนต์สินค้า

 

โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ Outdoor อย่างซีรีส์ Instinct และ Forerunner ที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในไทยและตลาดโลก รวมถึงกลุ่ม Wellness อย่าง Venu 3 และ Venu 4 ที่ถือเป็นสินค้าฮีโร่ที่สร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับแผนงานในอนาคต Garmin ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในช่องทางออนไลน์ (Official Online Store) ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง พร้อมเตรียมเปิดตัวบริการใหม่อย่าง Garmin Connect Plus ที่จะมาพร้อมฟีเจอร์และข้อมูลเชิงลึกแบบ Adaptive Information เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น โดยยืนยันว่าฟีเจอร์พื้นฐานเดิมจะยังคงให้บริการฟรี แต่จะมีทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลวิเคราะห์ขั้นสูงในรูปแบบสมาชิก

The post ตลาดไทยโต 35%! Garmin เผยอินไซต์คนไทยฮิต ‘เวทเทรนนิ่ง-พิลาทิส’ ปักหมุด ‘ชลบุรี’ ตั้งโรงงานแห่งแรกในอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า https://thestandard.co/khonla-khrueng-plus-sme-rider-growth/ Fri, 12 Dec 2025 08:37:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1154012 คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า

“ในช่วงครึ่งปีแรก 2025 ถือเป็นช่วงต่ำสุดของธุรกิจร้านอา […]

The post คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า

“ในช่วงครึ่งปีแรก 2025 ถือเป็นช่วงต่ำสุดของธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะไตรมาส 2 ยอดขายต่อร้านหดตัวหนัก -14% จากนั้นเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 โต 1% และไตรมาส 4 โต 5% จากแรงหนุนของโครงการคนละครึ่งพลัสที่ทำให้บรรยากาศการจับจ่ายคึกคักมากขึ้น” ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าว

 

โดยเฉพาะการกระจายสู่ร้านอาหารรายเล็ก ที่นับรายได้น้อยกว่า 10,000 บาทต่อเดือน เติบโตได้จริง มียอดขายเติบโตเกือบ 6 เท่า เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงก่อนโครงการ ส่วนร้านขนาดกลาง ที่มีรายได้มากกว่า 10,000 บาทต่อเดือน เติบโต 2 เท่า แสดงให้เห็นได้ว่าการอัดฉีดของรัฐทำให้เม็ดเงินไหลสู่ร้านรายย่อยอย่างชัดเจน หรือแม้แต่ฝั่งไรเดอร์เองก็ได้อานิสงส์จากโครงการ โดยมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 15–25% ตามปริมาณออเดอร์ต่อวันที่สูงขึ้น

 

เช่นเดียวกับ LINE MAN เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มเดลิเวอรีของโครงการคนละครึ่งพลัส โดย 65% ของร้านที่เข้าโครงการเลือกขายบนแพลตฟอร์มและทำยอดขายคนละครึ่งพลัส คิดเป็น 63% มากที่สุดในตลาด โดยภายใน 3 สัปดาห์แรกของโครงการ มียอดออเดอร์คนละครึ่งรวมกว่า 8 ล้านออเดอร์

 

ขณะที่ยอดขายร้านค้าทั่วประเทศ เติบโตเฉลี่ย 4.2 เท่า และเติบโตสูงสุดมากกว่า 10 เท่า สูงกว่าโครงการคนละครึ่งในรอบที่ผ่านมา ที่สำคัญร้านค้าได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 22% และมีความถี่ในการสั่งบ่อยขึ้น 30% และมูลค่าต่อบิลโต 15%

 

เมื่อเจาะลึกลงมาถึงเมนูที่มียอดสั่งสูงสุดผ่านแคมเปญคนละครึ่งพลัสบน LINE MAN 5 อันดับแรก ได้แก่ ชาไทย, ตำปูปลาร้า, ชาเขียวนม, โกโก้ และ ตำป่า รวมถึงเมนูมัทฉะ เครื่องดื่มที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรง มียอดสั่งพุ่งกว่า 6.5 ล้านแก้ว เติบโตทะลุ 300% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มที่เติบโตเร็วที่สุดบนแพลตฟอร์ม

 

อีกทั้งยังทำให้เกิดเมนูจัดหนัก ที่มียอดบิลสูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แซลมอน, ทุเรียนหมอนทองแกะเนื้อ, กุ้งเผา, ปูไข่นึ่ง และหมูหัน มูลค่าบิลสูงสุดแตะ 1,700 บาท ซึ่งแสดงว่าผู้บริโภคมองโปรโมชันจากรัฐเป็นโอกาสลองของแพง และทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าโครงการคนละครึ่งพลัสช่วยขยายฐานผู้ใช้และกระตุ้นกำลังซื้ออย่างชัดเจน

 

รวมถึงตลาดต่างจังหวัดในช่วงไตรมาส 4 ภาพรวมตลาดร้านอาหารฟื้นตัวแรงกว่ากรุงเทพฯ โดยยอดขายต่อร้านต่างจังหวัดโตเฉลี่ย 7% สวนทางกับกรุงเทพฯ ที่โตเพียง 2% โดยเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงใหม่ โต 9%, พัทยา โต 12% และภูเก็ต โต 7% ถือเป็นการเริ่มฟื้นตามการกลับมาของนักท่องเที่ยว

 

อีกทั้งผลพวงจากคนละครึ่งพลัส ดันยอดขายร้านต่างจังหวัดโตสูง จังหวัดที่ทำผลงานโดดเด่น มียอดขายร้านเติบโตสูงที่สุด เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงก่อนโครงการ ได้แก่ จันทบุรี โต 9.4 เท่า, หนองบัวลำภู โต 9.3 เท่า, อุตรดิตถ์ โต 8 9 เท่า, อุดรธานี โต 8 เท่า และเชียงราย โต 7 เท่า

 

แม้ตลาดภาพรวมจะเริ่มฟื้นช่วงสิ้นปี แต่กรุงเทพฯ ยังเป็นพื้นที่ที่ฟื้นตัวช้าที่สุด โดยโซนฮอตสปอต หลายย่านยังมียอดขายติดลบ ได้แก่ ย่านธุรกิจสุขุมวิท-สีลม-สาทร ที่มียอดขายต่อร้าน -19% ในไตรมาส 2 และแม้ดีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน แต่ยังติดลบเล็กน้อยที่ 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน

 

ไม่เว้นแม้แต่ ย่านบรรทัดทอง ชะลอตัวหนักที่สุด ติดลบถึง 35% ในไตรมาส 2 และยังติดลบ 21% ในช่วงปลายปี ส่วนร้านในห้าง เริ่มเห็นสัญญาณบวก ยอดขายช่วงไตรมาส 2 ลดลง 21% แต่ดีดตัวขึ้นมาบวก 1% ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวในกรุงเทพฯ ที่พลิกกลับมาบวกได้ในช่วงปลายปี

 

ถึงกระนั้นธุรกิจร้านอาหารยังเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง แม้ในครึ่งปีหลังจะมีร้านอาหารเปิดใหม่เพิ่มขึ้น 3% แต่อัตราร้านที่ปิดตัวลงยังอยู่ที่ 50% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดร้านอาหารยังมีการแข่งขันกันอย่างหนักและยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว มีผลต่อพฤติกรรมคนไทยที่จะเลือกกินคุ้มค่ามากขึ้น โดยจะเลือกซื้อเมนูราคาจับต้องได้ ทำให้กลุ่มเมนูยอดบิลต่ำกว่า 500 บาทได้รับผลกระทบน้อยกว่า ยอดขายต่อร้านลดลงเพียง 12% ในไตรมาส 2 ก่อนจะกลับมาโต 5% ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน แต่ในทางตรงกันข้าม เมน ที่ยอดบิลสูงกว่า 500 บาทถูกกดดันหนักและโตน้อยกว่าเมนูราคาถูก แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อระดับกลางยังรัดเข็มขัดต่อเนื่อง

 

ด้านตลาดฟู้ดเดลิเวอรีโดยรวมยังอยู่ในทิศทางเติบโตต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เข้าถึงบริการได้ง่ายมากขึ้น โดยประเมินว่าตลาดน่าจะขยายตัวราว 15% ต่อปี ขณะที่ LINE MAN ตั้งเป้าเติบโตเร็วกว่าตลาด โดยหวังสร้างการเติบโตอยู่ที่ 20% ต่อปี

 

ในมุมแนวโน้มปี 2569 ผู้บริหาร LINE MAN Wongnai มองว่า หากรัฐบาลเดินหน้าโครงการคนละครึ่งต่อ จะมีส่วนช่วยเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นยอดสั่งอาหารออนไลน์ได้พอสมควร อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าเกณฑ์ร้านอาหารที่เข้าร่วมจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ รวมถึงวงเงินงบประมาณรวมของโครงการ ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อการวางแผนต้นทุนของแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะการลดค่า GP ที่ธุรกิจต้องประเมินผลกระทบและเงินลงทุนเพิ่มเติม

 

แต่หากโครงการได้รับการอนุมัติทันช่วงไตรมาส 1 ปี 2569 คาดว่าจะช่วยสร้างบรรยากาศจับจ่ายให้คึกคักขึ้น แม้ปัจจัยด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกแหล่งรายได้สำคัญของภาคบริการจะยังไม่เห็นสัญญาณบวกมากนัก โดยภาพรวมยังคงซบเซา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการจึงขอเสนอให้รัฐบาลเร่งผลักดันเรื่องความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กลับมาโตในระยะยาว

The post คนละครึ่งพลัสพยุงตลาดอาหารฟื้นโค้งท้ายปี LINE MAN เผยยอดออเดอร์พุ่ง 8 ล้านครั้ง ดันร้านรายเล็กโตเกือบ 6 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่านเกม OR กับการขับเคลื่อนสถานีชาร์จ ‘EV Station PluZ’ สู่ ‘โครงสร้างพื้นฐานยุคพลังงานใหม่’ [Advertorial] https://thestandard.co/or-ev-station-pluz-leader-1200-branches/ Fri, 12 Dec 2025 04:00:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1152873 or-ev-station-pluz-leader-1200-branches

การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ส่งผลให้ธุ […]

The post อ่านเกม OR กับการขับเคลื่อนสถานีชาร์จ ‘EV Station PluZ’ สู่ ‘โครงสร้างพื้นฐานยุคพลังงานใหม่’ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
or-ev-station-pluz-leader-1200-branches

การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ส่งผลให้ธุรกิจสถานีชาร์จรถไฟฟ้าเติบโตตาม บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) (OR) ก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นเบอร์ใหญ่ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ด้วยจำนวนสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ‘EV Station PluZ’ ที่มากที่สุดในประเทศไทย ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 1,200 สาขา

 

ในฐานะผู้นำด้านพลังงาน OR ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Empowering All toward Inclusive Growth’ เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน โดยมีพันธกิจ 4 ด้านคือ ‘Seamless Mobility’ สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน เพื่อการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ, ‘All Lifestyles’ มุ่งมั่นสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตแบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ, ‘Global Market’ ขยายฐานธุรกิจเพื่อสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก, และ ‘OR Innovation’ ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในแบบฉบับของ OR

 

สัญลักษณ์ EV Station PluZ ของ OR

 

เพื่อเตรียมความพร้อมเดินหน้าสู่ยุคพลังงานใหม่ OR จึงขยายขอบเขตไปสู่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (Energy Solution Ecosystem) วางรากฐานเพื่อรองรับโลกพลังงานสะอาดที่ขยายตัวรวดเร็ว ด้วยการเปิดตัวสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ‘EV Station PluZ’ ชาร์จความมั่นใจไปได้ทุกที่ เพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น

 

‘EV Station PluZ’ คือภาพสะท้อนภาพที่ชัดเจนของ OR ในการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดรถยนต์ EV และเป็นอีกหนึ่งการให้บริการทางด้านพลังงานทางเลือกที่ OR นำมารองรับความต้องการของผู้บริโภค 

 

ปี 2568 เครือข่ายสถานีชาร์จ ‘EV Station PluZ’ ทั้งในและนอกสถานีบริการ PTT Station ขยายตัวครอบคลุม 77 จังหวัด กว่า 1,200 แห่ง ทั่วประเทศ มีหัวชาร์จรวมกว่า 3,370 หัว แบ่งเป็น DC กว่า 2,550 หัว และ AC กว่า 820 หัว ครอบคลุมเส้นทางหลัก แหล่งท่องเที่ยว และพื้นที่เชิงพาณิชย์สำคัญทั่วประเทศ กระจายทั้งในสถานี PTT Station สถานี LPG NGV ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อให้ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย

 

สัญลักษณ์ EV Station PluZ ของ OR

 

นอกจากนี้ยังขยายสถานีชาร์จรูปแบบ EV HUB ที่สามารถรองรับการชาร์จพร้อมกันไม่ต่ำกว่า 6 หัวชาร์จ กำลังไฟฟ้าสูงถึง 180 kW อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเปิดตัว Ultra-Fast Charge ชาร์จไว กำลังไฟฟ้าสูงถึง 480 kW เทคโนโลยีชาร์จที่เร็วและแรงที่สุดของ EV Station PluZ นำร่อง PTT Station สาขาวิภาวดี  

 

ทั้งนี้ OR ขยายหัวชาร์จ DC ให้ถึง 7,000 จุดภายในปี 2030 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของตลาดสถานีชาร์จในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐ 30@30 ที่ตั้งเป้ามี DC Chargers รวม 12,000 จุดภายในปีเดียวกัน

 

OR ยังตอกย้ำความครบวงจรของระบบนิเวศรถไฟฟ้าด้วยแอปพลิเคชัน EV Station PluZ เพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวก ทั้งการค้นหาจุดชาร์จ จอง ชำระค่าบริการออนไลน์ ตรวจสอบประวัติการใช้งาน พร้อมทั้งสามารถสะสมคะแนน blueplus+ จากการชาร์จรถที่ EV Station PluZ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ 

 

สัญลักษณ์ EV Station PluZ ของ OR

 

ภายใต้เป้าหมายในการสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตร่วมกับสังคมชุมชน (People) สิ่งแวดล้อม (Planet) ควบคู่ไปกับผลการดําเนินงานที่ดี (Performance) ของ OR ที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นจริงภายในปี 2030  

 

นอกจาก ‘Living Community’ ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนกว่า 17,000 ชุมชน หรือกว่า 12 ล้านคน และ ‘Economic Prosperity’ สร้างการเติบโต สร้างอาชีพ และกระจายความมั่งคั่งสู่คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ผู้ประกอบการขนาดย่อม ชุมชน และพนักงานกว่า 1,000,000 ราย

 

เป้าประสงค์ในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ‘Healthy Environment’ โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปริมาณขยะที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจให้ได้มากกว่า 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับปี 2565 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ยังสอดคล้องไปกับการแผนต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร   

 

การเติบโตของสถานีชาร์จ ‘EV Station PluZ’ นอกจากจะช่วยสนับสนุนการมุ่งสู่ Carbon Neutrality ของประเทศ และเป้าหมาย Net Zero GHG ของกลุ่ม ปตท. แล้ว OR ยังเตรียมเชื่อมโครงข่าย EV Charging เข้ากับพลังงานหมุนเวียนและระบบอัจฉริยะในอนาคต เช่น Green Energy Integration และ Smart Charging ที่จะทำให้การชาร์จไฟเป็นส่วนหนึ่งของระบบพลังงานสะอาดครบวงจร

 

รวมถึงการยกระดับสถานีบริการจากจุดแวะเพียงไม่กี่นาที ไปสู่พื้นที่ที่ผู้คนใช้เวลาได้ยาวขึ้นอย่างมีความหมายตามธรรมชาติของการชาร์จไฟฟ้า ผ่านแนวคิด Time Spent Expansion ด้วยการพัฒนาพื้นที่ PTT Station และ OR Space รวมถึงบริการเสริมที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันทั้งด้านอาหาร ไลฟ์สไตล์ และสุขภาพ รองรับ Energy Transition และเปิดโอกาสให้เกิดรายได้ใหม่ที่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์

The post อ่านเกม OR กับการขับเคลื่อนสถานีชาร์จ ‘EV Station PluZ’ สู่ ‘โครงสร้างพื้นฐานยุคพลังงานใหม่’ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่! ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta https://thestandard.co/apple-vp-ai-design/ Wed, 10 Dec 2025 11:50:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1153315 Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่ ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta

Apple เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้บริหาร […]

The post Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่! ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่ ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta

Apple เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้บริหาร โดยมีการประกาศสลับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงถึง 2 ตำแหน่งพร้อมกัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับทิศทางของบริษัทที่หันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณของการสูญเสียบุคลากรคนสำคัญในสายงานออกแบบให้กับบริษัทคู่แข่ง

 

ตั้งบุคคลระดับแนวหน้าดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่าย AI

 

Apple ได้ประกาศแต่งตั้ง อะมาร์ สุบรามันยา (Amar Subramanya) ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ (vice president of AI) คนใหม่ แทนที่ จอห์น จิอันนันเดรีย (John Giannandrea) ผู้บริหารคนเก่าที่กุมบังเหียนด้าน AI ของ Apple มาอย่างยาวนาน

 

อะมาร์ สุบรามันยา (Amar Subramanya)

อะมาร์ สุบรามันยา (Amar Subramanya) รองประธานฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ (vice president of AI) คนใหม่ 

 

จอห์น จิอันนันเดรีย (John Giannandrea) ผู้บริหารคนเก่าที่กุมบังเหียนด้าน AI ของ Apple มาอย่างยาวนาน

จอห์น จิอันนันเดรีย (John Giannandrea) senior vice president for Machine Learning and AI Strategy

ผู้บริหารคนเก่าที่กุมบังเหียนด้าน AI ของ Apple มาอย่างยาวนาน

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนของ Apple ในการเร่งพัฒนาฟีเจอร์ AI ให้ก้าวหน้าและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อการแข่งขันในตลาดที่ทวีความดุเดือด ทั้งนี้ สำนักข่าว Reuters และ NDTV รายงานตรงกันว่า อะมาร์ สุบรามันยา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาพลิกโฉมขีดความสามารถด้าน Machine Learning และ Generative AI ของผลิตภัณฑ์ Apple ในยุคต่อไป

 

มือดีไซน์ระดับตำนาน ย้ายค่ายซบ Meta

 

ในขณะเดียวกัน ก็มีข่าวช็อกวงการออกแบบเมื่อ แอลัน ดาย (Alan Dye) รองประธานฝ่ายการออกแบบอินเทอร์เฟซ (VP of Human Interface Design) ของ Apple ได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัท

 

แอลัน ดาย (Alan Dye) รองประธานฝ่ายการออกแบบอินเทอร์เฟซ (VP of Human Interface Design)

แอลัน ดาย (Alan Dye) รองประธานฝ่ายการออกแบบอินเทอร์เฟซ (VP of Human Interface Design)

 

CNBC และ 9to5Mac รายงานว่า แอลัน ดาย ซึ่งเป็นนักออกแบบคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) ผลิตภัณฑ์หลักของ Apple ทั้ง iOS, Apple Watch, Vision Pro และฟีเจอร์ Dynamic Island รวมถึงภาษาการออกแบบใหม่อย่าง Liquid Glass ได้ตัดสินใจลาออก เพื่อไปร่วมงานกับ Meta ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)

 

ล่าสุด แอลัน ดาย ได้ประกาศลาออกอย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมานานกว่า 20 ปี โดยโพสต์ข้อความอำลาทีมงานผ่านทาง Instagram ส่วนตัว

 

“มันยากที่จะอธิบายความรู้สึกของการต้องจากลาทีมที่คุณรัก

 

เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมได้รับเกียรติให้ทำงานร่วมกับผู้คนที่ยอดเยี่ยม ที่ใส่ใจอย่างลึกซึ้งในงานฝีมือของการออกแบบและผลกระทบที่มันสร้างขึ้น

 

เราได้ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่ผมจะภูมิใจไปตลอดชีวิต…

 

เราทำให้กระจกดูเหมือนของเหลว (Liquid Glass), เราทำให้การ ‘ปัด’ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกลับหน้าโฮม, เราทำให้การ ‘ปิดวงแหวน’ (Activity Rings) กลายเป็นเป้าหมายประจำวันที่เปลี่ยนชีวิตผู้คน, เราทำให้การจ่ายเงินง่ายเพียงแค่แตะ, เราสร้างเกาะที่มีความไดนามิก (Dynamic Island), เราสร้างอีโมจิที่นำมาทั้งความสุข ความเศร้า และเป็นที่ถกเถียง

 

เราสร้างอินเทอร์เฟซเชิงพื้นที่ (Spatial Interface) ที่ควบคุมด้วยมือ ตา และเสียงของคุณเท่านั้น, เราสร้างระบบกล้องที่ดีที่สุดในโลก, เราทำให้ SF ไม่ใช่แค่เมืองที่ดีที่สุด แต่เป็นฟอนต์ที่ดีที่สุดด้วย, เราสร้างอินเทอร์เฟซที่ลื่นไหล สวยงาม และน่ารื่นรมย์ เราทำให้ชีวิตของผู้คนกว่า 2.5 พันล้านคนง่ายขึ้น เชื่อมต่อกันมากขึ้น สร้างสรรค์และแสดงออกได้มากขึ้น และท้ายที่สุด เราได้สร้างร่องรอยไว้ในจักรวาล
งานนี้หล่อหลอมตัวผม แต่ทีมงานหล่อหลอมผมยิ่งกว่า ความหลงใหล พรสวรรค์ และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาทำให้ทุกวันคือเอกสิทธิ์

 

ผมกำลังก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ที่มุ่งเน้น ‘อนาคตของผลิตภัณฑ์และประสบการณ์อัจฉริยะ’ (Intelligent products and experiences) โอกาสที่จะสร้างบางสิ่งจากศูนย์ ประดิษฐ์ภาษาการออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างวัฒนธรรมและทีมตั้งแต่วันแรก… เพื่อผสมผสานแฟชั่น วัฒนธรรม และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน…”

 

9to5Mac และ CNBC ระบุว่า แอลัน ดาย อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Apple จะย้ายไปร่วมงานกับ Meta โดยคาดว่าจะเข้าไปดูแลโปรเจกต์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ เช่น แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses) หรือเทคโนโลยี AR/VR ซึ่งเป็นสิ่งที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กำลังทุ่มเทพัฒนาอย่างหนัก ข้อความในโพสต์ของ แอลัน ดาย ที่กล่าวถึงการ ‘สร้างบางสิ่งจากศูนย์’ และ ‘ผสมผสานแฟชั่น วัฒนธรรม และเทคโนโลยี’ จึงสอดคล้องกับรายงานดังกล่าวก่อนหน้าที่จะมีการประกาศลาออกอย่างเป็นทางการ

 

การสิ้นสุดบทบาทของ แอลัน ดาย ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สืบทอดปรัชญาการออกแบบของ Apple มาอย่างยาวนาน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับทีมดีไซน์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม Apple ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่าน โดยแต่งตั้ง สตีเฟน เลอเมย์ (Stephen Lemay) ดีไซน์เนอร์อาวุโสที่ร่วมงานกับบริษัทมาตั้งแต่ปี 1999 ขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญนี้แทน

 

การปรับทัพครั้งนี้สะท้อนยุทธศาสตร์ ‘เดิมพัน AI’ ของ Apple เพื่อเร่งเครื่องหนีคู่แข่ง ขณะเดียวกันการเสียมือดีไซน์ระดับตำนานให้ Meta ชี้ให้เห็นถึงสมรภูมิ Wearable Tech ที่ดุเดือดขึ้น ซึ่ง Apple ต้องพิสูจน์ว่าการผลัดใบครั้งนี้จะยังคงรักษา DNA การออกแบบอันเป็นจุดแข็ง ควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ได้หรือไม่

 

อ้างอิง:

The post Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่! ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศึก AI เดือด! ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google https://thestandard.co/microsoft-india-data-center-investment/ Wed, 10 Dec 2025 07:19:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1153191 ศึก AI เดือด ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ Microsoft, Amazon และ G […]

The post ศึก AI เดือด! ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศึก AI เดือด ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ Microsoft, Amazon และ Google รวมถึงทุนยักษ์อีกหลายประเทศต่างหลั่งไหลเข้าไปลงทุนตลาด Data center อินเดีย ต่อเนื่อง ชี้นโยบายแข็งแกร่ง ต้นทุนต่ำ เทคโนโลยี AI ในประเทศเติบโตสูง

 

ล่าสุด Microsoft เตรียมลงทุน 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ในอินเดีย ระยะ 4 ปีข้างหน้า ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของ Microsoft ในเอเชีย

 

Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft กล่าวในโพสต์บน X หลังจากเข้าพบนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ของอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ว่าเงินทุนนี้จะถูกนำไปใช้เพิ่มเติมจากเงินลงทุน 3 พันล้านดอลลาร์ ที่ Microsoft ประกาศไปเมื่อเดือนมกราคม

 

“การลงทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะ และศักยภาพอธิปไตยที่จำเป็นสำหรับอนาคตที่ให้ความสำคัญกับ AI ของอินเดีย” Nadella กล่าว

 

ด้าน โมดี โพสต์บน X เกี่ยวกับการลงทุนของ Microsoft เช่นเดียวกันว่า “เยาวชนของอินเดียจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและใช้พลังของ AI เพื่อโลกที่ดีขึ้น”

 

Microsoft กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เงินทุนจะถูกนำไปใช้เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงวัตถุประสงค์อื่นๆ โดย Data center คลาวด์ในภาคกลางตอนใต้ของอินเดีย เมืองไฮเดอราบัดจะเปิดใช้งานในช่วงกลางปี ​​2026 บริษัทจะขยาย Data center 3 แห่งที่ใช้งานอยู่แล้ว ที่เมืองเจนไนและไฮเดอราบัดทางตอนใต้ของอินเดีย และปูเนทางตะวันตก

 

ทั้งนี้ การประกาศของ Microsoft เกิดขึ้นเพียง 2 เดือน หลังจากที่คู่แข่งอย่าง Google ประกาศการลงทุน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในอินเดียเป็นเวลา 5 ปี จนถึงปี 2030 โดยจะพัฒนาศูนย์กลาง AI ในเมืองวิศาขาปัฏฏนัม ทางตอนใต้ ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของ Data center แหล่งพลังงาน และเครือข่ายใยแก้วนำแสง ส่วนในปี 2023 Amazon Web Services ประกาศการลงทุน 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์

 

3 ประเทศ อินเดีย เนปาล และภูฏาน ใช้ดาต้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 71%

 

ขณะนี้ ‘อินเดีย’ กลายเป็นจุดสนใจของการลงทุน อุตสาหกรรม Data center เนื่องจากประชากรที่เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตและได้รับประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือราคาถูก ข้อมูลจำนวนมหาศาลและบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากที่เข้ามาตั้งสำนักงานเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งบุคลากรที่มีความสามารถ

 

บริษัทเทคโนโลยี Ericsson กล่าวว่า สมาร์ทโฟนที่ใช้งานอยู่ในภูมิภาค อย่าง อินเดีย เนปาล และภูฏาน ใช้ดาต้าโดยเฉลี่ยประมาณ 36 กิกะไบต์ต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าในอเมริกาเหนือ 44% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 71% และการแพร่หลายของ AI ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญให้กับตลาด Data center อินเดีย

 

บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ CBRE มองว่า ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตพื้นฐานของตลาด Data center อินเดีย มาจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การประมวลผลแบบคลาวด์ ข้อมูลขนาดใหญ่ และอินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (IoT) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายและการลงทุนของรัฐบาลนั้นจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป

 

“ด้วยกำลังการผลิต Data center อินเดียเติบโตขึ้นมากกว่า 150% ตั้งแต่ปี 2021 เป็น 1.5 กิกะวัตต์”

 

จากข้อมูลการประเมินของ CBRE ระบุอีกว่า “ต้นทุนการสร้าง Data center ในอินเดียต่ำกว่าในญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน มาเลเซีย” ทำให้กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศ เช่น Reliance Industries, Tata Group และ Adani Group ก็ได้เข้ามาร่วมลงทุนด้วยเช่นกัน

 

รวมถึง Digital Connexion ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Reliance, Brookfield บริษัทข้ามชาติจากแคนาดา และ Digital Realty

 

บริษัทลงทุนจากสหรัฐอเมริกา จะลงทุน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 เพื่อสร้าง Data center AI ขนาด 1 กิกะวัตต์ และ Tata Consultancy Services บริษัทส่งออกซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้รับเงินทุน 1 พันล้านดอลลาร์ จาก TPG มีแผนสร้าง Data center เช่นกัน

 

ภาพ: Justin Sullivan/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ศึก AI เดือด! ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google appeared first on THE STANDARD.

]]>
หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง https://thestandard.co/apple-chip-chief-denies-resignation/ Wed, 10 Dec 2025 06:19:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1153141 หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง

กระแสข่าวลือเกี่ยวกับการลาออกของ Johny Srouji หัวหน้าฝ่ […]

The post หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง

กระแสข่าวลือเกี่ยวกับการลาออกของ Johny Srouji หัวหน้าฝ่ายพัฒนาชิปและหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของ Apple ถูกสยบลงอย่างเป็นทางการ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเขาได้ส่งอีเมลถึงพนักงานทั่วทั้งองค์กร ยืนยันชัดเจนว่า ยังไม่มีแผนจะลาออกในเร็วๆ นี้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีรายงานจาก Bloomberg ว่าเขากำลังพิจารณาอำลาตำแหน่งก็ตาม

 

Johny Srouji

 

ในอีเมลดังกล่าว Johny Srouji ระบุว่า หลังจากมีข่าวลือที่แพร่กระจายในช่วงไม่กี่วันมานี้ จึงต้องสื่อสารโดยตรงกับทีม โดยผมรักทีมและรักงานที่ Apple และไม่ได้วางแผนจะออกไปไหนทั้งนั้น ซึ่งถือเป็นถ้อยคำแถลงที่ต้องการลดความกังวลภายในทีมและย้ำความมั่นใจต่อทิศทางของบริษัท

 

ย้อนกลับไปในเส้นทางการทำงาน Johny Srouji เข้าร่วมงานกับ Apple ตั้งแต่ปี 2008 และเป็นกำลังสำคัญของบริษัทมานานกว่าทศวรรษ เขาดูแลทีม Hardware Technologies ซึ่งรับผิดชอบเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์หลักทั้งหมด ตั้งแต่หน้าจอ กล้อง เซนเซอร์ ไปจนถึงซิลิคอนและแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำทีมที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของชิปตระกูล A-series ใน iPhone และ M-series ใน Mac ที่ช่วยให้ Apple สามารถยุติการพึ่งพาชิปจาก Intel ได้อย่างสมบูรณ์

 

ทีมภายใต้การบริหารของเขา ยังขับเคลื่อนการพัฒนาโมเด็มสื่อสารภายในบริษัท ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเข้ามาแทนที่โมเด็มของ Qualcomm ในผลิตภัณฑ์ iPhone ส่วนใหญ่ในอนาคต อีกทั้งชื่อของ Johny Srouji ยังปรากฏในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหญ่ของ Apple อยู่บ่อยครั้งในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี ซิลิคอน

 

ทั้งนี้ Johny Srouji ยังย้ำในอีเมลว่า รู้สึกภูมิใจกับผลงานเทคโนโลยีที่ทีม Hardware Technologies ได้สร้างขึ้น ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กที่สุดของฮาร์ดแวร์ ไปจนถึงโครงสร้างหลักที่เป็นหัวใจของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ Apple

 

การออกมาปฏิเสธข่าวลือการลาออก เกิดขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาที่ Apple กำลังเผชิญคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง ต่อเนื่องหลายรายภายในไม่กี่สัปดาห์ เริ่มจาก John Giannandrea หัวหน้าฝ่าย AI ที่ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อสัปดาห์ก่อน ตามด้วย Alan Dye หัวหน้าฝ่ายออกแบบ UI ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างดีไซน์ Liquid Glass ที่ลาออกไปเข้าร่วม Meta

 

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ในวันต่อมา Apple ยังประกาศการเกษียณของผู้บริหารระดับสูงอีกสองราย ได้แก่ Kate Adams ที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัท และ Lisa Jackson รองประธานฝ่ายสิ่งแวดล้อม นโยบาย และสังคม ซึ่งต่างเป็นผู้บริหารที่รายงานตรงต่อซีอีโอ Tim Cook การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ยิ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของทีมผู้บริหารชุดปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว การยืนยันของ Johny Srouji จึงนับเป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนว่า Apple ยังสามารถรักษาผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เป็นฟันเฟืองหลักขององค์กรเอาไว้ได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบริษัท

 

ภาพ: kovop/shutterstock

 

อ้างอิง:

The post หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี https://thestandard.co/microsoft-frontier-firms-ai-returns/ Mon, 08 Dec 2025 08:28:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1152326 อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’ Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี

ในงาน Microsoft Ignite 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเร็วๆ […]

The post อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’ Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี

ในงาน Microsoft Ignite 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้ ไมโครซอฟท์ได้ตอกย้ำวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการผลักดันให้องค์กรธุรกิจยกระดับสู่การเป็น ‘Frontier firms’ หรือผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI

 

โดยชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เพียงส่วนเสริม (Add-on) อีกต่อไป แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องถูกนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกเลเยอร์ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานอย่างศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงเครื่องมือที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพของบุคลากรในทุกแผนก

 

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว Work IQ ฟีเจอร์อัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับ Microsoft 365 Copilot และระบบนิเวศของ AI Agent โดย Work IQ ถูกออกแบบมาให้เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ผ่านแกนหลักคือ ‘ความทรงจำ’ (Memory) และ ‘การอนุมาน’ (Inference) เพื่อเรียนรู้สไตล์การทำงาน พฤติกรรม และความต้องการเฉพาะบุคคล

 

จากนั้นนำมาประมวลผลเพื่อคาดการณ์การดำเนินการถัดไปที่ดีที่สุด ซึ่งจะผสานอยู่ในแอปพลิเคชันหลักอย่าง Word, Outlook และ Teams ทำให้ Copilot สามารถมอบประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและตอบโจทย์ธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงาน อาทิ Agent Mode ใน Microsoft 365 ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานร่วมกับ Copilot เพื่อสร้างเอกสารและสเปรดชีตคุณภาพสูงได้แบบ End-to-End, Sales Development Agent ที่เชื่อมต่อข้อมูลจาก CRM อย่าง Salesforce เพื่อช่วยทีมขายปิดการขายได้เร็วขึ้น

 

และ Teams Mode ที่เปลี่ยน Copilot ให้เป็นเสมือนเพื่อนร่วมทีมที่ช่วยจัดการวาระการประชุมได้ครบวงจร รวมถึงการเปิดตัว Microsoft 365 Copilot Business ในราคา 21 ดอลลาร์ต่อผู้ใช้ เพื่อขยายโอกาสให้ธุรกิจ SMEs เข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น

 

ในฝั่งของการบริหารจัดการองค์กร ไมโครซอฟท์ได้นำเสนอโซลูชัน Fabric IQ และ Foundry IQ ที่ช่วยให้ AI Agent เข้าใจบริบททางธุรกิจและเชื่อมโยงข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆ เข้ากับความต้องการจริง ทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (Real-time)

 

ควบคู่ไปกับ Microsoft Agent 365 เครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบและกำกับดูแลความปลอดภัยของ AI Agent ทั้งหมดในองค์กรผ่านระบบ Registry กลาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านไอทีและภัยคุกคามทางไซเบอร์

 

จากการสำรวจร่วมกับ IDC ผู้นำทางธุรกิจกว่า 4,000 คน พบว่าองค์กรที่เป็น Frontier firms หรือผู้ที่นำ AI มาปรับใช้ในฟังก์ชันธุรกิจอย่างจริงจัง สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าผู้ที่เริ่มต้นช้าถึง 3 เท่า โดย 71% ของบริษัทเหล่านี้วางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณด้าน AI

 

และ 58% กำลังใช้โซลูชัน AI แบบปรับแต่งเองเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยคาดการณ์ว่าการใช้งาน Agentic AI จะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวในอีก 2 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่า AI ได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกธุรกิจยุคใหม่

The post อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก https://thestandard.co/aws-reinvent-2025/ Sat, 06 Dec 2025 04:06:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1151795 ‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก

แม้โลกจะพูดถึง AI มาหลายปี แต่คำถามสำคัญที่ผู้บริหารจำน […]

The post ‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก

แม้โลกจะพูดถึง AI มาหลายปี แต่คำถามสำคัญที่ผู้บริหารจำนวนมากยังตอบไม่ชัด คือสุดท้ายแล้ว AI จะเปลี่ยนองค์กรอย่างไร และเราต้องเตรียมอะไรบ้าง?

 

ในวันที่ 1-5 ธันวาคมบนเวที AWS re:Invent 2025 งานอีเวนต์ของ Amazon Web Services (AWS) บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก จัดขึ้นที่ Las Vegas สหรัฐอเมริกา Matt Garman CEO of AWS ระบุถึงเทรนด์ AI ในยุคต่อไป ไว้ว่า

 

“Agents are changing the way we play, learn, optimize, secure, and build.”

 

“I believe that in the future, there’s going to be billions of agents inside of
every company and across every imaginable field.”

 

โลกยุคต่อไป คือการเกิดขึ้นของ AI Agents นับพันล้านตัวที่จะเข้าไปอยู่ในการผลิต การเงิน การตลาด การวิเคราะห์ ไปจนถึงระบบความปลอดภัยและการป้องกันไซเบอร์ของประเทศ ขนาดของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้มากพอที่จะทำให้ Matt Garman ระบุว่า AI Agents จะกลายเป็น ‘รากฐานใหม่ของคอมพิวเตอร์’ ในยุคหลัง 2026

 

และเพื่อรองรับโลกที่จะมี Agent ทำงานแทนมนุษย์ในทุกมิติ AWS ได้ระบุถึงสถาปัตยกรรม 4 ชั้นที่กำลังกลายเป็น Reference Model ขององค์กรทั่วโลก ซึ่งจะกำหนดว่าบริษัทใดจะไปได้เร็ว และบริษัทใดจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

 

  • 4 สถาปัตยกรรมใหม่ในโลก Billion of Agents

 

‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก 1

 

(1) AI Infrastructure: สมการเสาเข็มโลกใหม่คือ Chip + Cloud

 

“The foundation of great AI starts with great infrastructure.”

 

ในโลกที่ทุกคนให้ความสนใจกับโมเดล AI, ผลลัพธ์ที่โมเดลสร้างได้, หรือฟีเจอร์ใหม่ๆ Matt ระบุว่า การจะสร้างมูลค่าจริงจาก AI ไม่ได้เริ่มที่ตัวโมเดล แต่เริ่มต้นที่โครงสร้างพื้นฐาน และการรันชิป AI คือจุดสำคัญ

 

Peter DeSantis, SVP, Utility Computing, AWS ระบุว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา AWS เห็นการเติบโตของความต้องการในการประมวลผลจากใช้ AI เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
AWS จึงวางเดิมพันในโครงสร้างพื้นฐานของโลกใหม่ผ่านสองขาหลัก คือ NVIDIA GPU และ Custom AI Chip ที่ AWS พัฒนาขึ้นเอง โดย Matt ระบุว่า
“AWS is the best place to run NVIDIA GPUs.”

 

AWS มีการร่วมพัฒนากับ NVIDIA มานานกว่า 15 ปี ตั้งแต่การ Debug ปัญหาที่เกิดขึ้น ไปจนถึงการออกแบบ Data Center ให้รองรับ GPU Clusters ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดคลาวด์

 

แต่ในปีนี้การวางหมากของ AWS ไม่ได้อยู่ที่ GPU เพียงอย่างเดียว Matt ระบุว่า อนาคตของ AI ต้องพึ่งพาพลังสองขาอย่างสมดุล คือ GPU และ Custom AI Chip นั่นทำให้ AWS มองว่า Trainium หรือชิปของ AWS ที่พัฒนาขึ้นนั้นจะกลายเป็นเครื่องจักรหลักของ AWS ยุคใหม่

 

Matt เผยตัวเลขบนเวทีว่า วันนี้มี Trainium ถูกใช้งานจริงมากกว่า 1,000,000 ชิ้น และที่สำคัญกว่านั้นคือ งาน Inference ส่วนใหญ่บน Bedrock แพลตฟอร์ม AI ของ AWS ไม่ได้รันบน GPU แล้ว แต่รันบน Trainium

 

สะท้อนว่า AWS ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงผู้ให้บริการคลาวด์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบที่สอดรับกับยุค AI ตั้งแต่ระดับศูนย์ข้อมูล (Data Center Layer) ไปจนถึงระดับชิป (Silicon Layer)

 

Matt อธิบายต่อว่า Trainium รุ่นใหม่ อย่าง Trn3 UltraServers ให้พลัง 4.4× Compute, 3.9× Memory Bandwidth และ 5× ประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่อ Token ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ Inference และในขณะเดียวกัน AWS ก็กำลังพัฒนา Trainium 4 เพื่อรองรับ Frontier Models รุ่นถัดไปที่จะใหญ่เกินกว่าความสามารถของชิปในปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ยัง มีการะบุถึง Project Rainier หรือการสร้าง Data Center ทั้งเมืองที่ทำงานเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว เพื่อรองรับการเทรนโมเดล Claude รุ่นต่อไปของ Anthropic ที่ต้องใช้พลังการคำนวณมหาศาล

 

และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Matt ถึงบอกว่า โลก AI ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะถูกกำหนดโดยโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าตัวโมเดลเอง

 

(2) Inference Platform: การเดิมพันว่าโลกไม่มีผู้ชนะ AI Model เพียงหนึ่งเดียว

 

“Model choice is critical.”

 

ถ้ามือถือมีค่ายสัญญาณโทรศัพท์ เว็บไซต์มีหลายเว็บเบราว์เซอร์ Matt ก็เชื่อว่า AI ไม่จำเป็นต้องมี Model เดียว

 

Matt เชื่อว่าไม่มีโมเดลใดทำได้ทุกอย่างดีหมด โมเดลที่ Reasoning เก่ง อาจไม่เร็วพอ โมเดลที่เร็วอาจไม่แม่นยำพอ โมเดลบางตัวเหมาะกับงานภาษาหนึ่ง แต่ใช้กับอีกภาษาอาจไม่ดีนัก

 

โลกในอนาคต คือโลก Multi-Model ที่จะเป็นสภาพความจริงใหม่ขององค์กร

 

AWS เลือกพัฒนา AWS Bedrock แพลตฟอร์มที่ให้เลือกโมเดลหลากหลายค่าย ตั้งแต่ Claude จากค่ายฝั่งตะวันตก ไปจนถึง Deepseek โมเดลจากจีน รวมถึงโมเดลอื่นๆ อีกหลายโมเดลด้วยกัน

 

ในปีนี้ได้มีการเปิดตัวโมเดลใหม่ที่จะร่วมอยู่ใน AWS Bedrock ตั้งแต่ Google GEMMA, Kimi, MiniMax, NVIDIA NEMOTRON และ Mistral Large 3 ซึ่งปัจจุบันใน AWS Bedrock มีลูกค้าที่ใช้งานจริงในระดับ Production เช่น Starbucks, PwC, Ferrari และอีกกว่า 50 รายในหลากหลายอุตสาหกรรม

 

‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก 2

 

นี่คือสัญญาณว่า Bedrock กำลังกลายเป็น ‘แพลตฟอร์ม AI กลาง’ ที่องค์กรระดับโลกใช้จริงอย่างมีเสถียรภาพ

 

(3) Your Data: ข้อมูลส่วนตัวองค์กร คืออาวุธลับสู่ ‘Frontier Model’

 

หนึ่งในประโยคที่ผู้บริหารจำได้มากที่สุดบนเวทีปีนี้คือ

 

“Your data is unique. That is your competitive advantage.”

 

Matt ระบุว่า สิ่งที่หลายบริษัททำผิด ไม่ใช่การเลือกโมเดล แต่เป็นการละเลยที่จะทำให้โมเดล ‘เข้าใจข้อมูลขององค์กรจริงๆ’ ซึ่งเป็นรากฐานของความได้เปรียบที่คู่แข่งลอกไม่ได้ และนำไปสู่การสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘Frontier Model’

 

แต่การทำให้โมเดลเข้าใจความรู้ลึกเชิงโดเมนแบบ Pre-training เป็นสิ่งที่ในอดีตสามารถทำได้ยาก

 

AWS จึงมุ่งพัฒนา Nova Forge หรือ Open Training Model ที่ทำให้บริษัทสร้าง Frontier Model ของตนเองขึ้นมา

 

Nova Forge ทำงานโดยแบ่งลำดับขั้นตอนเป็น 2 สเต็ปด้วยกัน เริ่มจากการที่บริษัทเลือกเทรนโมเดลต่อจาก Checkpoint ของ Nova และสเต็ปถัดมาจึงนำมารวมกับ Curated Dataset ของตนเอง เพื่อให้ได้ ‘Frontier Mode’ ที่เข้าใจทั้งโลกและเข้าใจบริษัทของเราได้ลึกมากที่สุด

 

Booking.com, Nimbus, NRI, Reddit และ Sony คือ 5 บริษัทที่มีการนำ Nova Forge มาใช้งานจริง โดย Sony ได้ปฏิวัติโลกเกม สู่การสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในทุกมิติ

 

Sony ใช้ Nova Forge ในการสร้างโมเดลที่เข้าใจเนื้อหาและ IP ของตนในระดับลึก ตั้งแต่ Demon Slayer แอนิเมชันดาบพิฆาตอสูร ไปจนถึงงานภาพยนตร์และเกม และนำ Agent หลายสิบตัวไปทำงานจริงในองค์กร ทั้งด้าน Compliance, Document Review และ Creative Workflow

 

‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก 3

 

แนวคิดหนึ่งที่ Matt Garman ระบุคือ
“The right model with all your data unlocks competitive advantage.”

 

และนี่คือแกนสำคัญของ Core 3 ที่จะกำหนดว่าผู้เล่นรายใดจะได้เปรียบเชิงโครงสร้างในยุค AI

 

(4) Tools to Build Agents: เครื่องมือที่ทำให้องค์กรมี ‘พนักงานดิจิทัล’ ในทุกแผนก

 

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม โมเดลพร้อม และข้อมูลพร้อม สิ่งสุดท้ายคือเครื่องมือสร้าง Agent ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้จริงในองค์กร

 

Agent ไม่ได้เป็นเพียง Chatbot โดยอาจกล่าวได้ว่า Chatbot ตอบสนองผู้ใช้โดยการแนะนำให้ตรวจสอบสิ่งต่างๆ แต่ Agent จะลงมือปฏิบัติทันที รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขให้ทีมตรวจสอบก่อนตัดสินใจ

 

โดยหัวใจสำคัญคือ

 

“Trust, but verify”

 

Matt เปรียบเทียบว่า Agent ก็เหมือนกับการที่ผู้นำต้องไว้วางใจให้ทีมมีโอกาสคิด และตัดสินใจลงมือทำได้ด้วยตนเอง แต่ผู้นำต้อง ‘มีสิทธิ’ ที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ แต่ไม่ต้องตัดสินใจหรือลงมือทำในทุกกระบวนการ

 

AWS จึงเปิดตัว AgentCore ที่ขาย ‘ศักยภาพ’ ที่จะทำให้เราสามารถทำกับ Agent ได้ เช่น Memory, Gateway, Identity, Execution Sandbox ไปจนถึง Observability

 

องค์กรที่เริ่มใช้งานแล้ว เช่น Workday ระบุว่าสามารถลดงาน Routine Planning และ Analysis ลงกว่า 30%

 

Adobe และ Writer อีก 2 องค์กรตัวอย่างของการสร้าง Workflow ใหม่ทั้งองค์กร โดย Adobe ใช้ AgentCore ในทุกผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ PDF, Express ไปจนถึง Creative Cloud หรือ Writer เปิดให้ลูกค้าสร้าง Agent และเลือกโมเดลบน Bedrock ได้ทันที ช่วยให้ธุรกิจสร้างแรงงานดิจิทัลที่สเกลได้ไม่จำกัด

 

  • ความท้าทายในโลกที่ AI เร็วกว่าองค์กรและบริษัทไทยจะปรับตัวอย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมดูสดใส แต่ความจริงสำคัญว่าองค์กรจำนวนมากยังไม่พร้อมต่อโลกที่กำลังจะมาด้วยปัจจัยหลายประการ

  • โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ต้องการทรัพยากรและการออกแบบที่ใหญ่กว่าที่คิด
  • ข้อมูลขององค์กรส่วนใหญ่ยังไม่เป็นระเบียบและไม่พร้อมใช้งาน
  • โมเดลเติบโตเร็วจนองค์กรปรับตัวตามไม่ทัน
  • การบริหาร Agent ต้องใช้วิธีคิดใหม่ทั้งหมด ทั้งด้านกฎหมาย ความปลอดภัย และความรับผิดชอบ

 

กสิมะ ธารพิพิธชัย Head of AI Strategy จาก บริษัท SCB 10X ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ระบุว่า แม้โลก AI จะเติบโตไปอย่างรวดเร็ว และเข้าสู่ยุคที่เราอาจได้เห็น Agent เป็นพันล้านตัว โจทย์สำคัญของไทยยังคงเป็นการที่เราต้อง ‘รู้จักตัวเอง’ ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการรู้ว่า ‘Domain Expertise’ ของเราคืออะไรในแต่ละอุตสาหกรรม ถึงจะสามารถปลดล็อกศักยภาพจาก Agent ได้

 

กสิมะระบุว่า

 

“บริษัทไทยต้องรู้ว่า Task ส่วนไหนขององค์กรที่มีความสำคัญ
และกำลังเกิดขึ้นในแต่ละกระบวนการ”

 

“การเข้าใจ Task งานขององค์กรตนเอง เป็นจุดเริ่มต้นในการนำ Agent เข้ามาปรับใช้ในองค์กร”

 

ซึ่งถือเป็นสิ่งแรกที่บริษัทไทยควรเริ่มทำ ท่ามกลางการเข้าสู่ The World with Billion Agent เพื่อคว้าโอกาสจาก AI ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

The post ‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก https://thestandard.co/moore-threads-nvidia-400-surge/ Fri, 05 Dec 2025 06:05:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1151646 Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก

หุ้นของ Moore Threads ผู้ผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) […]

The post Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก

หุ้นของ Moore Threads ผู้ผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) สัญชาติจีน ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น “Nvidia แห่งจีน” สร้างปรากฏการณ์ในการเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Exchange) ด้วยการพุ่งทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงกว่า 400%

 

ราคาหุ้นล่าสุดพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 584.98 หยวน ซึ่งสูงกว่าราคาจองซื้อ (IPO) ที่ 114.28 หยวน ถึงกว่า 5 เท่า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่ออุตสาหกรรมชิป AI ในประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีที่ดุเดือดระหว่างจีนและสหรัฐฯ

 

Moore Threads ประสบความสำเร็จในการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่ากว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 3.6 หมื่นล้านบาท โดยมี CITIC Securities เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ร่วมกับ BOC International Securities, China Merchants Securities และ GF Securities

 

แม้บริษัทยังไม่มีกำไร แต่ได้ระบุในหนังสือชี้ชวนว่าจะนำเงินที่ได้ไปเร่งเครื่องการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในโครงการหลักๆ โดยเฉพาะการพัฒนาชิป GPU สำหรับการฝึกฝน (Training) และการอนุมาน (Inference) AI รุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเอง รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

 

🇨🇳 ความหวังของจีนในการพึ่งพาตนเองท่ามกลางสงครามชิป

 

ความสำเร็จในการเข้าตลาดครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่ง เนื่องจาก Moore Threads เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำและคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งจำกัดการเข้าถึงกระบวนการผลิตชิปขั้นสูง

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทถือเป็นตัวแทนสำคัญของกลุ่มบริษัทจีนที่กำลังเร่งพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ตามนโยบายของรัฐบาลปักกิ่ง ที่พยายามผลักดันให้เกิดทางเลือกภายในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยเฉพาะจากฝั่งของสหรัฐฯ

 

อย่างไรก็ตาม Moore Threads ไม่ใช่ผู้เล่นรายเดียวในสนามนี้ แต่ยังมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Huawei ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี รวมถึงผู้เล่นเฉพาะทางอย่าง Cambricon (ซึ่งราคาหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 100% ในปีนี้) นอกจากนี้ยังมีสตาร์ทอัพหน้าใหม่อย่าง Enflame Technology และ Biren Technology ที่กำลังกระโดดเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด GPU มูลค่ามหาศาลที่ Nvidia ไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไป

 

สถานการณ์นี้สอดคล้องกับท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลของจีน ที่กำลังเร่งอนุมัติ IPO ของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์จำนวนมาก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายความเป็นอิสระด้าน AI ของประเทศ ท่ามกลางมาตรการกีดกันทางการค้าจากทั้งสองฝั่ง โดยล่าสุดจีนก็ได้เริ่มระงับการนำเข้าชิปบางรุ่นของ Nvidia เพื่อเปิดทางให้ผู้ผลิตในประเทศได้เติบโต

 

อ้างอิง:

The post Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>