Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 30 Oct 2025 08:20:57 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ไทยก้าวสู่ Medical Innovation Hub ระดับโลก! Time Magazine สัมภาษณ์ MEDEZE กับความสำเร็จด้าน Cell Therapy [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/time-magazine-medeze-group-thailand/ Thu, 30 Oct 2025 10:00:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1136745 time-magazine-medeze-group-thailand

ในอดีต หากบอกว่าประเทศไทยมีบทบาทอะไร แล้วมีคนตอบว่า “Me […]

The post ไทยก้าวสู่ Medical Innovation Hub ระดับโลก! Time Magazine สัมภาษณ์ MEDEZE กับความสำเร็จด้าน Cell Therapy [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
time-magazine-medeze-group-thailand

ในอดีต หากบอกว่าประเทศไทยมีบทบาทอะไร แล้วมีคนตอบว่า “Medical Innovation Hub” หรือฮับด้านนวัตกรรมแพทย์ ก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่ ณ วันนี้เวลานี้ เราสามารถพูดอย่างนั้นได้แล้ว เพราะครั้งนี้ “ประเทศไทย” กำลังถูกพูดถึงในระดับโลกจากสื่อยักษ์ใหญ่ Time Magazine เผยแพร่บทความที่สะท้อนศักยภาพของประเทศผ่านบริษัทไทยชื่อ “MEDEZE Group (เมดีซ กรุ๊ป)” ผู้บุกเบิกการแพทย์ฟื้นฟูด้วยเซลล์ต้นกำเนิด ที่กำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดจาก “เก็บเซลล์” ไปสู่ “ใช้เซลล์เพื่อรักษา”

 

ในบทความชื่อ “MEDEZE GROUP: Turning Stem Cells into Cures — Pioneering Thailand’s Next Era of Biopharmaceutical.” ซึ่งได้พูดคุยกับ นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE Time Magazine พูดถึงประเทศไทยในฐานะประเทศที่กำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Regenerative Medicine ให้ก้าวขึ้นสู่เวทีโลก โดยเฉพาะผ่านบทบาทของ MEDEZE ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ตัวอย่างของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งสามารถสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ได้ด้วยตนเอง”

 

MEDEZ GROUP

 

Stem Cell Banking สู่ Stem Cell for Cures

 

MEDEZE เริ่มจากธนาคารเก็บเซลล์ต้นกำเนิดมาตรฐานสากล เมื่อเทคโนโลยีพัฒนา วิสัยทัศน์ของบริษัทก็ขยายตาม โดยตั้งคำถามว่า “จะทำอย่างไรให้เซลล์ที่ฝากไว้ กลับมารักษาเราได้ในอนาคต?” 

 

นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของธุรกิจ จาก “Stem Cell Banking” สู่ “Stem Cell for Cures” หรือการใช้เซลล์ต้นกำเนิดมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคอย่างแท้จริง เป็นการขยับจากธุรกิจบริการสุขภาพ ที่เป็นโอกาสใหญ่ในระดับโลกให้กับประเทศไทย

 

จุดเปลี่ยนวงการกับการเพาะ 50 ล้านเซลล์ได้ใน 7 วัน

 

MEDEZE มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้ “การเพาะเลี้ยงและใช้เซลล์ต้นกำเนิด” กลายเป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย และเข้าถึงได้จริง โดยใช้เทคโนโลยี AI, Robotics และ Biotechnology มาทำงานร่วมกันอย่างครบวงจร หุ่นยนต์ในห้องแล็บของบริษัทสามารถเพาะขยายเซลล์จาก 500,000 เซลล์เป็น 50 ล้านเซลล์ภายในเวลาเพียง 7 วัน ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเซลล์เพื่อการรักษา

 

ปัจจุบัน บริษัทขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ โดยเริ่มที่ฟิลิปปินส์ด้วยระบบแฟรนไชส์ทางการแพทย์ใหม่ และมีโครงการปลูกผม HairFolico รวมถึงแผนผลิตยาเชิงพาณิชย์ในอนาคต โดย นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์ อธิบายว่า “สิ่งที่เราทำไม่ใช่เพียงการวิจัย แต่คือการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้ประเทศ อุตสาหกรรมที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”

 

นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์

นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์

 

Sandbox ขับเคลื่อน Cell Therapy สู่ยาทางการแพทย์เป็นทางการ

 

ในอีกมิติหนึ่ง MEDEZE กำลังทำงานร่วมกับภาครัฐภายใต้โครงการ ATMPs Sandbox หรือ Advanced Therapy Medicinal Products Sandbox ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ของรัฐบาลไทย ที่เปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนา ทดลอง และขึ้นทะเบียนการรักษาด้วยเซลล์และยีนได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยมีพื้นที่นำร่องสองแห่งคือ กรุงเทพฯ และภูเก็ต

 

Sandbox นี้เป็นเหมือน “เครื่องยนต์ทางนโยบาย” ที่เร่งให้การแพทย์ไทยเข้าสู่ยุคใหม่ ไม่ต้องติดข้อจำกัดการอนุมัติแบบเดิม และเปิดโอกาสให้ประเทศไทย

ก้าวขึ้นเป็น Medical Tourism Hub และ Medical Wellness Hub แห่งเอเชียในระยะเวลาอันสั้น

 

“Sandbox เปรียบเหมือนเครื่องเร่ง ที่ช่วยให้ไทยไม่ต้องรอเทคโนโลยีจากต่างชาติ

แต่สามารถสร้างระบบนิเวศการแพทย์แห่งอนาคตได้ด้วยตัวเอง” นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์ กล่าว

 

นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์ MEDEZE

 

The post ไทยก้าวสู่ Medical Innovation Hub ระดับโลก! Time Magazine สัมภาษณ์ MEDEZE กับความสำเร็จด้าน Cell Therapy [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอกลาภาพแตก YouTube ใช้ AI ชุบชีวิตวิดีโอเก่าความละเอียด 240p ให้เป็น 1080p หลังคนดูผ่านทีวีมากขึ้น พร้อมเพิ่มขนาดภาพปกเป็น 50MB https://thestandard.co/youtube-ai-old-videos/ Thu, 30 Oct 2025 07:42:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1137420 บอกลาภาพแตก **YouTube** ใช้ **AI** ชุบชีวิตวิดีโอเก่าความละเอียด 240p ให้เป็น **1080p** หลังคนดูผ่านทีวีมากขึ้น พร้อมเพิ่มขนาดภาพปกเป็น **50MB**

YouTube ประกาศแผนการ ‘อัปเกรดครั้งใหญ่’ สำหรับการรับชมว […]

The post บอกลาภาพแตก YouTube ใช้ AI ชุบชีวิตวิดีโอเก่าความละเอียด 240p ให้เป็น 1080p หลังคนดูผ่านทีวีมากขึ้น พร้อมเพิ่มขนาดภาพปกเป็น 50MB appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอกลาภาพแตก **YouTube** ใช้ **AI** ชุบชีวิตวิดีโอเก่าความละเอียด 240p ให้เป็น **1080p** หลังคนดูผ่านทีวีมากขึ้น พร้อมเพิ่มขนาดภาพปกเป็น **50MB**

YouTube ประกาศแผนการ ‘อัปเกรดครั้งใหญ่’ สำหรับการรับชมวิดีโอบนจอทีวี ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตเร็วที่สุดของบริษัท โดยจะนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มความคมชัดให้กับวิดีโอเก่าที่มีความละเอียดต่ำ พร้อมทั้งเปิดตัวเครื่องมือช้อปปิงแบบใหม่ผ่านการสแกน QR Code เพื่อรุกตลาดในห้องนั่งเล่นอย่างเต็มที่

 

เคิร์ต วิล์มส์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ YouTube เปิดเผยในบล็อกโพสต์เมื่อวันพุธ (29 ต.ค.) ว่า บริษัทจะเริ่มใช้ฟีเจอร์ที่เรียกว่า ‘อัปสเกล’ (upscaling) กับวิดีโอที่ถูกอัปโหลดด้วยความละเอียดต่ำกว่า 1080p ก่อนเป็นอันดับแรก โดยใช้ AI ช่วยปรับความละเอียดให้สูงขึ้นในระดับ HD และมีแผนจะรองรับการอัปสเกลไปจนถึงระดับ 4K ในอนาคตอันใกล้นี้

 

การอัปเกรดอัตโนมัตินี้จะถูกนำไปใช้กับวิดีโอที่มีความละเอียดตั้งแต่ 240p ถึง 720p ซึ่งหมายความว่าวิดีโอเก่าๆ จะมีภาพที่ชัดเจนขึ้นอย่างมากเมื่อรับชมบนจอทีวีขนาดใหญ่ รวมถึงบนสมาร์ทโฟนจอใหญ่และอุปกรณ์จอพับด้วย ขณะเดียวกันฟีเจอร์นี้จะไม่มีผลกับวิดีโอเก่าที่ครีเอเตอร์หรือช่องได้รีมาสเตอร์แบบดิจิทัลเป็น 1080p ไปแล้ว

 

แม้ว่าการปรับแต่งเนื้อหาโดยแพลตฟอร์มอาจสร้างความกังวลให้กับครีเอเตอร์บางกลุ่ม แต่ YouTube ยืนยันว่าไฟล์ต้นฉบับจะยังคงถูกเก็บไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และทั้งครีเอเตอร์และผู้ชมจะมีทางเลือกในการปิดฟีเจอร์ Super Resolution นี้ได้หากไม่พอใจผลลัพธ์ที่ได้ โดยวิดีโอที่ผ่านการอัปสเกลจะมีป้ายกำกับที่ชัดเจน

 

การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ YouTube เคยใช้ Machine Learning เพิ่มความคมชัดให้กับวิดีโอสั้น (Shorts) โดยไม่แจ้งล่วงหน้า จนถูกครีเอเตอร์ร้องเรียนว่าทำให้ภาพเกิดความบิดเบือน แต่การอัปเกรดครั้งนี้จะมีทางเลือกให้ผู้ใช้สามารถควบคุมได้

 

นอกจากการอัปเกรดภาพแล้ว YouTube ยังได้ขยายขีดจำกัดขนาดไฟล์ภาพหน้าปกวิดีโอ (thumbnail) จากเดิมเพียง 2MB เพิ่มเป็น 50MB เพื่อรองรับภาพปกที่มีความละเอียดสูงระดับ 4K บนจอทีวี และกำลังทดสอบการอัปโหลดวิดีโอที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นกับครีเอเตอร์บางกลุ่ม เพื่อให้ได้ ‘ความคมชัดสูงสุด’ เทียบเท่าบริการสตรีมมิงอย่าง Netflix

 

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือการรุกตลาดช้อปปิงบนทีวี โดย YouTube จะเปิดตัวเครื่องมือซื้อของแบบทันที ผ่านการใช้ QR Code ในวิดีโอที่มีการแท็กสินค้า เมื่อผู้ชมเห็นสินค้าที่สนใจ ก็สามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code บนหน้าจอทีวีเพื่อเข้าไปยังหน้าผลิตภัณฑ์และสั่งซื้อได้ทันที

 

ฟีเจอร์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครีเอเตอร์ โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการช้อปปิง ซึ่งมียอดการรับชมสูงถึง 3.5 หมื่นล้านชั่วโมงในปีที่ผ่านมา และจำนวนช่องที่สร้างรายได้หลักแสนดอลลาร์ขึ้นไปจากการรับชมบนจอทีวีก็เพิ่มขึ้นกว่า 45% ในปีที่ผ่านมา

 

การอัปเดตครั้งนี้ยังรวมถึงการปรับปรุงหน้าตาผู้ใช้งานบนทีวี (UI) ให้ดีขึ้น เช่น การแสดงตัวอย่างวิดีโอบนหน้าโฮมแบบใหม่ และการปรับปรุงการค้นหาในช่องของครีเอเตอร์ให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยจะจัดลำดับความสำคัญของวิดีโอจากช่องนั้นๆ ก่อน

 

การอัปเดตทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่ YouTube กำลังพยายามตอกย้ำตำแหน่ง ‘ผู้นำในห้องนั่งเล่น’ หลังจากรายงานของ Nielsen ในเดือนเมษายนระบุว่า YouTube ครองส่วนแบ่งเวลาในการรับชมโทรทัศน์ทั้งหมดสูงถึง 12.4% แซงหน้าแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Disney, Paramount และ Netflix

 

อ้างอิง:

The post บอกลาภาพแตก YouTube ใช้ AI ชุบชีวิตวิดีโอเก่าความละเอียด 240p ให้เป็น 1080p หลังคนดูผ่านทีวีมากขึ้น พร้อมเพิ่มขนาดภาพปกเป็น 50MB appeared first on THE STANDARD.

]]>
Microsoft Azure ล่มทั่วโลก ชี้สาเหตุ DNS ผิดพลาดแบบเดียวกับที่ AWS เพิ่งล่มไปเมื่อสัปดาห์ก่อน https://thestandard.co/azure-global-outage-dns-error/ Thu, 30 Oct 2025 04:05:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1137259 Microsoft Azure ล่มทั่วโลก ชี้สาเหตุ DNS ผิดพลาดแบบเดียวกับที่ AWS เพิ่งล่มไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

Microsoft ประสบเหตุการณ์ระบบคลาวด์ล่มครั้งใหญ่เมื่อวันพ […]

The post Microsoft Azure ล่มทั่วโลก ชี้สาเหตุ DNS ผิดพลาดแบบเดียวกับที่ AWS เพิ่งล่มไปเมื่อสัปดาห์ก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Microsoft Azure ล่มทั่วโลก ชี้สาเหตุ DNS ผิดพลาดแบบเดียวกับที่ AWS เพิ่งล่มไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

Microsoft ประสบเหตุการณ์ระบบคลาวด์ล่มครั้งใหญ่เมื่อวันพุธ (29 ต.ค.) ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการ Azure และ Microsoft 365 ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้ใช้งานทั่วโลก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่บริษัทมีกำหนดจะรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด

 

บริษัทได้ออกมายอมรับว่ากำลังทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความพร้อมใช้งานของเครือข่ายบนแพลตฟอร์มคลาวด์ Azure ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจจำนวนมากทั่วโลก โดยบริการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงรวมถึงเครื่องมือสำคัญในการทำงานอย่าง Outlook และ Teams ตลอดจนบริการอย่าง Xbox, Live และ Copilot

 

การล่มของระบบยังส่งผลกระทบเป็นโดมิโนไปยังบริษัทอื่นๆ ที่พึ่งพาบริการของ Azure โดยสายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines รายงานว่าเว็บไซต์และระบบเช็คอินออนไลน์ของสายการบินหยุดชะงัก ขณะที่ Downdetector เว็บไซต์ติดตามการล่มของบริการ ยังรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของ Starbucks และ Kroger ด้วย

 

Microsoft ระบุในภายหลังว่าปัญหาเกิดจากปัญหา DNS และการเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่าโดยไม่ได้ตั้งใจในบริการ Azure Front Door ซึ่งทำหน้าที่จัดการปริมาณการจราจรทางอินเทอร์เน็ตไปยังแพลตฟอร์มคลาวด์ ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวกับการล่มครั้งใหญ่ของ Amazon Web Services (AWS) เมื่อสัปดาห์ก่อน

 

การล่มครั้งนี้ยังสร้างความปั่นป่วนในสหราชอาณาจักร โดยเว็บไซต์ของซูเปอร์มาร์เก็ต Asda, M&S และผู้ให้บริการมือถือ O2 ต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกันที่สำคัญคือ แม้แต่การประชุมของรัฐสภาสกอตแลนด์ก็ต้องถูกระงับชั่วคราว เนื่องจากปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้นกับระบบลงคะแนนออนไลน์ ซึ่งแหล่งข่าวอาวุโสในรัฐสภาสกอตแลนด์ได้บอกกับ BBC News ว่า พวกเขาเชื่อว่าปัญหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการล่มของ Microsoft ในครั้งนี้

 

ดร. ซาคิบ คัควิ จากมหาวิทยาลัยรอยัล ฮอลโลเวย์ ให้ความเห็นว่า การที่บริการคลาวด์กระจุกตัวอยู่กับผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่รายอย่าง Microsoft, Amazon และ Google ทำให้การล่มเพียงครั้งเดียว “สามารถทำให้แอปพลิเคชันและระบบหลายร้อยหรือหลายพันแห่งเป็นอัมพาตได้”

 

เขากล่าวว่า “มันเหมือนกับการที่เราเอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะกร้าเพียงสามใบ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางอย่างยิ่งของอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน

Downdetector รายงานว่ามีผู้ใช้ Azure ได้รับผลกระทบมากกว่า 105,000 ราย และ Microsoft 365 อีกเกือบ 9,000 ราย ซึ่ง Microsoft ต้องหันไปใช้แพลตฟอร์ม X (Twitter) เพื่ออัปเดตสถานการณ์ เนื่องจากผู้ใช้บางส่วนไม่สามารถเข้าถึงหน้าสถานะบริการของบริษัทได้

 

แม้ว่าบริการส่วนใหญ่จะกลับมาใช้งานได้ในเวลาต่อมา แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของ Azure ที่มีต่อระบบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์กันว่ามีส่วนแบ่งตลาดคลาวด์ทั่วโลกประมาณ 20%

ภาพ: Jeenah Moon/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post Microsoft Azure ล่มทั่วโลก ชี้สาเหตุ DNS ผิดพลาดแบบเดียวกับที่ AWS เพิ่งล่มไปเมื่อสัปดาห์ก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
10 ข้อควรรู้ หลัง ‘Sora’ AI ช่วยสร้างวิดีโอของ OpenAI เปิดให้ใช้งานในไทย หนึ่งในที่แรกของเอเชีย https://thestandard.co/sora-ai-thailand-launch-guide/ Thu, 30 Oct 2025 03:26:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1137235 10 ข้อควรรู้ หลัง ‘Sora’ AI ช่วยสร้างวิดีโอของ OpenAI เปิดให้ใช้งานใน ไทย หนึ่งในที่แรกของ เอเชีย

OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหม่ […]

The post 10 ข้อควรรู้ หลัง ‘Sora’ AI ช่วยสร้างวิดีโอของ OpenAI เปิดให้ใช้งานในไทย หนึ่งในที่แรกของเอเชีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
10 ข้อควรรู้ หลัง ‘Sora’ AI ช่วยสร้างวิดีโอของ OpenAI เปิดให้ใช้งานใน ไทย หนึ่งในที่แรกของ เอเชีย

OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหม่ให้กับวงการครีเอทีฟทั่วโลก ด้วยการประกาศเปิดตัว แอปพลิเคชัน ‘Sora’ อย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ววันนี้ (30 ตุลาคม 2568) ทำให้ไทยเป็น หนึ่งในประเทศแรกๆ ของเอเชีย (พร้อมกับเวียดนามและไต้หวัน) ที่ได้เข้าถึงประสบการณ์การสร้างวิดีโอด้วยเทคโนโลยี AI เจเนอเรชันใหม่นี้

 

การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำว่าประเทศไทยคือบ้านของชุมชนครีเอทีฟที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค และพร้อมที่จะปลดล็อกคลื่นลูกใหม่ของการเล่าเรื่องด้วยเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้

 

หลังจากที่แอป Sora เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้สร้างปรากฏการณ์มียอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งภายในเวลาไม่ถึง 5 วัน และในวันนี้ที่แอป Sora มาถึงมือคนไทยแล้ว

 

The Standard Wealth สรุป 10 ประเด็นสำคัญที่คุณควรรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามาปฏิวัติวงการสร้างสรรค์วิดีโอล่าสุดนี้

 

1. Sora คืออะไร?

Sora คือโมเดล AI รุ่นใหม่ล่าสุด (Sora 2) จาก OpenAI ที่มีความสามารถในการสร้างวิดีโอคุณภาพสูงและสมจริงได้อย่างน่าทึ่งจากคำบรรยาย (Prompt) ที่เป็นข้อความธรรมดา เพียงแค่คุณพิมพ์สิ่งที่จินตนาการไว้ Sora ก็จะสร้างวิดีโอนั้นให้คุณบนหน้าจอได้ทันที โดยผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบันคือ ‘แอป Sora’ ซึ่งเป็นแอปโซเชียลบน iOS ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล Sora 2

 

2. เริ่มต้นใช้งานอย่างไร?

สามารถดาวน์โหลดแอป Sora บน iOS App Store ได้ฟรีตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องใช้รหัสเชิญ เพียงแค่ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี OpenAI (หรือสมัครใหม่) หลังจากยืนยันอายุ ระบบจะให้คุณตั้งชื่อผู้ใช้และเริ่มสร้างสรรค์ผลงานได้ทันที ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ หรือเลือกสไตล์วิดีโอที่ต้องการได้ เช่น แนวภาพยนตร์ แอนิเมชัน หรือคอนเทนต์สำหรับโซเชียลมีเดีย

 

3. ‘Cameo’ ฟีเจอร์พลิกโลกที่ทำให้คุณเข้าไปอยู่ในวิดีโอได้

นี่คือหนึ่งในฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ‘Cameo’ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างตัวละครดิจิทัลของตนเองเข้าไปอยู่ในวิดีโอที่ AI สร้างขึ้นได้ เพียงแค่บันทึกวิดีโอและเสียงสั้นๆ หนึ่งครั้งเพื่อยืนยันตัวตนและบันทึกใบหน้าและเสียงของคุณอย่างปลอดภัย คุณสามารถกำหนดได้เองว่าใครสามารถใช้ Cameo ของคุณได้บ้าง และสามารถเพิกถอนสิทธิ์หรือลบวิดีโอที่มี Cameo ของคุณออกได้ทุกเมื่อ

 

4. ‘Remix’ การต่อยอดจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด

เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มโซเชียลยุคใหม่ Sora มีฟีเจอร์ ‘Remix’ ที่อนุญาตให้คุณนำผลงานวิดีโอของครีเอเตอร์คนอื่นมาสร้างต่อยอดในมุมมองของคุณเองได้ โดยทุกคลิปที่ถูก Remix จะมีการระบุที่มาอย่างชัดเจน ทำให้สามารถติดตามเส้นทางของแรงบันดาลใจนั้นได้

 

5. รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบ

Sora รองรับการใช้งานภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ผู้ใช้สามารถป้อนคำสั่งเป็นภาษาไทยเพื่อสร้างวิดีโอที่สะท้อนวัฒนธรรม อารมณ์ขัน หรือสไตล์แบบไทยได้อย่างแม่นยำ

 

วู้ดดี้ มิลินทจินดา หนึ่งในผู้ที่ได้ทดลองใช้ Sora กลุ่มแรก กล่าวว่า “Sora ไม่ใช่แค่ทำให้สิ่งที่เราจินตนาการไว้ในหัวกลายเป็นจริงเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูให้ได้เห็นคอนเทนต์สุดล้ำจากครีเอเตอร์ทั่วโลก การได้เห็นพลังสร้างสรรค์ระดับโลกนี้เองที่จุดประกายให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ๆ อย่างไม่สิ้นสุด”

 

6. ใครเป็นเจ้าของวิดีโอที่สร้างด้วย Sora?

คำตอบคือ คุณคือเจ้าของผลงานทั้งหมด คุณสามารถดาวน์โหลด แชร์ แก้ไข และเผยแพร่ผลงานได้ตามต้องการ ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้นโยบายการใช้งานของ OpenAI

 

7. หากผลลัพธ์ไม่ตรงใจ?

คุณสามารถสั่งให้ระบบสร้างใหม่ หรือปรับแก้ได้ทันที เช่น “ทำให้การเคลื่อนไหวสมูทขึ้น” “เพิ่มแสง” หรือ “ทำให้คลิปสั้นลง” ระบบจะเรียนรู้ความตั้งใจของคุณเพื่อพัฒนาผลลัพธ์ให้ตรงใจยิ่งขึ้นในครั้งต่อไป

 

8. เปิดตัวอย่างรับผิดชอบ ออกแบบมาเพื่อ ‘สร้าง’ ไม่ใช่ ‘เสพ’

OpenAI ย้ำว่าแอปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ “สร้าง” (Create) มากกว่า “เสพ” (Consume) โดยฟีดเริ่มต้นจะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เลื่อนดูอย่างไม่สิ้นสุด แต่จะเน้นเนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจจากคนที่คุณติดตาม เพื่อกระตุ้นให้คุณสร้างผลงานของตัวเอง

 

9. ระบบความปลอดภัยและ ‘ลายน้ำ C2PA’

ทุกวิดีโอที่สร้างด้วย Sora จะมีทั้งลายน้ำที่มองเห็นได้ และลายน้ำดิจิทัลตาม มาตรฐาน C2PA ที่ไม่สามารถลบหรือปลอมแปลงได้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มาได้เสมอ นอกจากนี้ ระบบยังมีการป้องกันหลายชั้นเพื่อกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย รวมถึงการป้องกันการสร้างภาพบุคคลสาธารณะ (ยกเว้นเจ้าตัวจะใช้ Cameo เอง)

 

10. ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

ในช่วงเปิดตัว แอป Sora เปิดให้ใช้งานได้ฟรี โดยมีสิทธิการใช้งานที่เพียงพอสำหรับการทดลองและสำรวจความสามารถต่างๆ ทั้งนี้ OpenAI ระบุว่าขีดจำกัดการใช้งานอาจมีการปรับเปลี่ยนในอนาคตตามทรัพยากรการประมวลผล (Compute Constraints)

 

การมาถึงของ Sora ในประเทศไทยครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของครีเอเตอร์ไทย และเป็นเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังอย่างยิ่งสำหรับภาคธุรกิจในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

The post 10 ข้อควรรู้ หลัง ‘Sora’ AI ช่วยสร้างวิดีโอของ OpenAI เปิดให้ใช้งานในไทย หนึ่งในที่แรกของเอเชีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
บริษัทเทคโนโลยี 218 แห่ง ปลดพนักงานรวม 1.12 แสนตำแหน่ง ในปีนี้ นักวิชาการตั้งคำถาม เป็นเพราะ AI หรือเศรษฐกิจ https://thestandard.co/tech-layoffs-ai-or-economy/ Wed, 29 Oct 2025 07:53:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1137004 บริษัทเทคโนโลยี 218 แห่ง ปลดพนักงานรวม 1.12 แสนตำแหน่ง ในปีนี้ นักวิชาการตั้งคำถาม เป็นเพราะ AI หรือเศรษฐกิจ

การประกาศเลิกจ้างพนักงานนับหมื่นตำแหน่งของ Amazon หนึ่ง […]

The post บริษัทเทคโนโลยี 218 แห่ง ปลดพนักงานรวม 1.12 แสนตำแหน่ง ในปีนี้ นักวิชาการตั้งคำถาม เป็นเพราะ AI หรือเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บริษัทเทคโนโลยี 218 แห่ง ปลดพนักงานรวม 1.12 แสนตำแหน่ง ในปีนี้ นักวิชาการตั้งคำถาม เป็นเพราะ AI หรือเศรษฐกิจ

การประกาศเลิกจ้างพนักงานนับหมื่นตำแหน่งของ Amazon หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกในสัปดาห์นี้ ได้ตอกย้ำความวิตกกังวลว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเริ่มเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์

 

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้ กลายเป็นบริษัทล่าสุดในสหรัฐฯ ที่อ้างถึงเทคโนโลยี AI ว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลเบื้องหลังการเลิกจ้าง หลังจากที่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ได้ประกาศปลดพนักงานไปก่อนหน้า เช่น Chegg บริษัทด้านเทคโนโลยีการศึกษา ที่บอกว่าบอกว่า AI คือความเป็นจริงใหม่ของโลกธุรกิจ ทำให้บริษัทประกาศลดพนักงานถึง 45% หรือ Salesforce ที่ระบุว่า ‘AI Agent’ กำลังเข้ามาทำงานแทน หลังจากที่บริษัทลดตำแหน่งบริการลูกค้า 4,000 ตำแหน่ง เมื่อเดือนก่อน แม้กระทั่ง UPS ซึ่งประกาศลดพนักงาน 48,000 ตำแหน่งนับตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็เคยเชื่อมโยงการเลิกจ้างบางส่วนเข้ากับ Machine Learning

 

จากข้อมูลของ Layoffs.fyi ณ 29 ตุลาคม 2025 ระบุว่า ตลอดทั้งปีนี้ บริษัทเทคโนโลยีจำนวน 218 แห่ง ปลดพนักงานรวมกันไปแล้ว 112,732 ตำแหน่ง โดยหนึ่งในบริษัทที่มีแผนปลดพนักงานมากที่สุดคือ Amazon ที่ประกาศเมื่อ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าจะปลดพนักงาน 1.4 หมื่นตำแหน่ง

 

อย่างไรก็ตาม BBC ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตั้งคำถามว่า AI เป็นเหตุผลที่แท้จริงสำหรับการปลดพนักงานจำนวนมากของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้หรือไม่

 

มาร์ธา กิมเบล ผู้อำนวยการบริหารของ Budget Lab แห่งมหาวิทยาลัยเยล กล่าวว่า การสรุปผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานจากคำพูดของผู้บริหารในระหว่างการเลิกจ้างนั้น “อาจเป็นวิธีที่เลวร้ายที่สุด” ในการประเมินสถานการณ์ เธอกล่าวว่า บ่อยครั้งที่ปัจจัยขับเคลื่อนเฉพาะตัวของบริษัท มักจะมีบทบาทสำคัญอยู่เบื้องหลัง

 

“มีแนวโน้มอย่างมากที่จะมีการตอบสนองที่เกินจริงต่อการประกาศของแต่ละบริษัท เพราะทุกคนต่างตื่นตระหนกเกี่ยวกับผลกระทบที่เป็นไปได้ของ AI ต่อตลาดแรงงานในอนาคต” กิมเบลกล่าว

 

แม้ว่าคนบางกลุ่มในตลาดแรงงาน เช่น บัณฑิตจบใหม่ และพนักงานใน Data Center จะเป็นกลุ่มที่เปราะบางเป็นพิเศษต่อการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ แต่งานวิจัยล่าสุดกลับให้ภาพที่ซับซ้อนกว่านั้น

 

งานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาเซนต์หลุยส์ พบความสัมพันธ์ระหว่างอาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI สูง กับการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานนับตั้งแต่ปี 2022

 

ในระยะยาว การแยกแยะผลกระทบจากวัฏจักรเศรษฐกิจออกจากผลกระทบที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง กิมเบลยกตัวอย่างว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย ตำแหน่งงานในฝ่ายทรัพยากรบุคคล และการตลาด มักจะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกเลิกจ้าง แต่ในปัจจุบัน งานเหล่านี้ก็บังเอิญเป็นงานกลุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI เช่นกัน ซึ่งทำให้การระบุสาเหตุที่แท้จริงทำได้ยากขึ้น

 

ด้าน มอร์แกน แฟรงก์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก ผู้ศึกษาความเสี่ยงในการว่างงานตามอาชีพ กลับพบข้อมูลที่เจาะจงกว่านั้น เขาระบุว่า แรงงานกลุ่มเดียวที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากการเปิดตัว ChatGPT ในเดือนพฤศจิกายน 2022 คือกลุ่มงาน ‘สำนักงานและธุรการสนับสนุน’ (Office and Administrative Support)

 

สำหรับกลุ่มนี้ ความน่าจะเป็นในการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงต้นปี 2023 แต่สำหรับกลุ่มอาชีพ ‘คอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์’ (Computer and Maths) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบโดยตรง กลับ “ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในแนวโน้ม” ในช่วงเวลาดังกล่าว

 

“ทั้งพนักงานเทคและพนักงานธุรการ ต่างก็อยู่ในตลาดงานที่ยากลำบากกว่าเมื่อสองสามปีที่แล้ว แต่ผมยังคงสงสัยว่า AI เป็นสาเหตุของทั้งหมดนั้น” แฟรงก์กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม กรณีของ Amazon อาจมีความแตกต่างออกไป บริษัทอ้างว่าจำเป็นต้อง “จัดระเบียบองค์กรให้กระชับขึ้น” เพื่อคว้าโอกาสที่เกิดจาก AI

 

เอ็นริโก โมเรตติ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก UC Berkeley ชี้ว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Amazon อยู่ในแนวหน้าของการเลิกจ้างที่เกี่ยวข้องกับ AI “ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาเป็นทั้ง ‘ผู้ผลิต’ และ ‘ผู้บริโภค’ AI”

 

ลอว์เรนซ์ ชมิดท์ รองศาสตราจารย์ด้านการเงินจาก MIT Sloan School of Management เห็นด้วยว่า Amazon มีแนวโน้มที่จะสามารถทำให้งานเป็นอัตโนมัติได้เร็วกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่เนื่องจาก ‘ขนาด’ (Scale) ของบริษัท “ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะคิดว่า Amazon อาจต้องการลดบทบาทบางประเภท หรือละเว้นการจ้างงานเพิ่มเติมในบทบาทที่สามารถถูกทำให้เป็นอัตโนมัติได้อย่างรวดเร็ว”

 

อ้างอิง:

The post บริษัทเทคโนโลยี 218 แห่ง ปลดพนักงานรวม 1.12 แสนตำแหน่ง ในปีนี้ นักวิชาการตั้งคำถาม เป็นเพราะ AI หรือเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Oura กระโดดร่วมศึกวัดความดันโลหิต เปิดตัวการศึกษา Blood Pressure Profile ผ่านแหวน ท้าชิง Apple Watch ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ตรวจจับความดันสูง https://thestandard.co/oura-blood-pressure-challenges-apple-watch/ Wed, 29 Oct 2025 07:12:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1136984 Oura กระโดดร่วมศึกวัดความดันโลหิต เปิดตัวการศึกษา Blood Pressure Profile ผ่านแหวน ท้าชิง Apple Watch ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ตรวจจับความดันสูง

Oura Health Oy ผู้ผลิตแหวนอัจฉริยะชื่อดังจากฟินแลนด์ กล […]

The post Oura กระโดดร่วมศึกวัดความดันโลหิต เปิดตัวการศึกษา Blood Pressure Profile ผ่านแหวน ท้าชิง Apple Watch ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ตรวจจับความดันสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Oura กระโดดร่วมศึกวัดความดันโลหิต เปิดตัวการศึกษา Blood Pressure Profile ผ่านแหวน ท้าชิง Apple Watch ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ตรวจจับความดันสูง

Oura Health Oy ผู้ผลิตแหวนอัจฉริยะชื่อดังจากฟินแลนด์ กลายเป็นบริษัทอุปกรณ์สวมใส่รายล่าสุดที่กระโดดเข้าสู่สมรภูมิการตรวจวัดความดันโลหิต โดยได้ประกาศแผนการศึกษา Blood Pressure Profile ซึ่งจะเริ่มต้นภายในสิ้นปีนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension)

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณท้าชิงกับ Apple ซึ่งเพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ตรวจจับภาวะความดันโลหิตสูงสำหรับ Apple Watch ไปเมื่อเดือนก่อน และยังเป็นการตอกย้ำถึงแนวโน้มที่ชัดเจนของอุตสาหกรรม ที่อุปกรณ์สวมใส่กำลังขยับจากการเป็นเพียงเครื่องติดตามการออกกำลังกาย สู่การเป็นเครื่องมือ ‘ตรวจสุขภาพ’ เชิงรุก

 

ริคกี้ บลูมฟิลด์ (Ricky Bloomfield) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ของ Oura กล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้จะใช้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากแหวน Oura โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์วัดความดันแบบดั้งเดิม (Cuff) เพื่อ “ระบุสัญญาณเริ่มต้นของภาวะความดันโลหิตสูง โดยติดตามสัญญาณชีพที่สำคัญอย่างต่อเนื่องอยู่เบื้องหลัง”

 

เป้าหมายสูงสุดคือการนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาและตรวจสอบความถูกต้องของฟีเจอร์สำหรับผู้บริโภคในอนาคต เพื่อยื่นขอการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเทคโนโลยีดังกล่าว ภาวะความดันโลหิตสูงส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่ราว 1.3 พันล้านคนทั่วโลก และเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ

 

บลูมฟิลด์ยังได้ชี้ให้เห็นถึงข้อได้เปรียบของการออกแบบในรูปแบบแหวนว่า สามารถเก็บข้อมูลสัญญาณทางสรีรวิทยาได้แม่นยำกว่า เนื่องจากตัวแหวนจะสัมผัสโดยตรงกับหลอดเลือดแดงที่นิ้ว ซึ่งเป็นจุดที่วัดสัญญาณชีพได้ดี การศึกษานี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยแล้ว และจะเปิดให้ผู้ใช้งานในสหรัฐฯ เข้าร่วมผ่านส่วน Oura Labs ในแอปพลิเคชันเร็วๆ นี้

 

การรุกคืบเข้าสู่ตลาดการตรวจวัดความดันโลหิตนี้สะท้อนถึง ‘แนวโน้ม’ ที่ใหญ่ขึ้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์สำหรับผู้บริโภคต่างกำลังเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจวัดสุขภาพที่ซับซ้อนเข้าไปในอุปกรณ์ของตนเอง ทำให้เส้นแบ่งระหว่างแกดเจ็ตทั่วไปกับอุปกรณ์ทางการแพทย์เริ่มเลือนรางลง

 

อย่างไรก็ตาม การเดินทางสายนี้ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะในแง่ของกฎระเบียบ ดังกรณีของ Whoop Inc. ผู้ผลิตสายรัดข้อมือฟิตเนส ที่กำลังคัดค้านคำสั่งของ FDA ซึ่งสั่งให้ระงับฟีเจอร์ตรวจวัดความดันโลหิต เนื่องจากมองว่าอุปกรณ์ดังกล่าวเข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ยังไม่ได้รับการรับรอง

 

นอกเหนือจากการพัฒนาฟีเจอร์วัดความดันโลหิตแล้ว Oura ยังได้เปิดตัวการอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับแอปพลิเคชันของตนเอง โดยมีฟีเจอร์เด่นคือ Cumulative Stress ที่จะช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมว่าร่างกายจัดการและฟื้นตัวจากความเครียดสะสมในแต่ละสัปดาห์ได้อย่างไร โดยวิเคราะห์จากข้อมูลการนอนหลับ, อัตราการเต้นของหัวใจ, อุณหภูมิ และกิจกรรมต่างๆ

 

แอปพลิเคชันที่ออกแบบใหม่นี้ยังมีการเพิ่มหน้าแดชบอร์ดสำหรับติดตามข้อมูลสุขภาพ ที่สำคัญ เช่น แนวโน้มการนอนหลับ, ความเครียด และสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงแท็บใหม่ Habits และ Routines ที่จะแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมในแต่ละวันส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมอย่างไร นอกจากนี้ ฟีเจอร์ติดตามรอบเดือนและการตกไข่ยังถูกขยายมุมมองจาก 1 เดือนเป็น 12 เดือนอีกด้วย

 

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมการศึกษา Blood Pressure Profile จะต้องมีอายุ 22 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ และใช้แหวน Oura Ring Gen 3 ขึ้นไป โดยสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ผ่านส่วน Oura Labs ในแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้เข้าร่วมจะต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพและพฤติกรรมบางส่วน ควบคู่ไปกับการสวมใส่แหวนตามปกติ

 

Oura ย้ำว่าการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานในการศึกษานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะข้อมูลและผลตอบรับที่ได้จะช่วยให้นักวิจัยเข้าใจถึงแนวทางใหม่ๆ ที่เทคโนโลยีสวมใส่จะสามารถนำมาใช้สนับสนุนการวิจัยด้านสุขภาพหัวใจในอนาคตได้
ภาพ: T3 / Contributor/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post Oura กระโดดร่วมศึกวัดความดันโลหิต เปิดตัวการศึกษา Blood Pressure Profile ผ่านแหวน ท้าชิง Apple Watch ที่เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ตรวจจับความดันสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Wisesight เผยคนรุ่นใหม่วัย 25-34 ปี เร่งวางแผนเกษียณไว หนีความเหนื่อยล้า เปิดโอกาสทองให้ธุรกิจประกันชีวิตและสถาบันการเงิน ชี้คนกลัวเงินเฟ้อและค่ารักษาตอนแก่ https://thestandard.co/wisesight-new-gen-early-retirement/ Wed, 29 Oct 2025 07:09:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1136982 Wisesight เผยคนรุ่นใหม่วัย 25-34 ปี เร่งวางแผนเกษียณไว หนีความเหนื่อยล้า **เปิด**โอกาสทองให้ **ธุรกิจประกันชีวิตและสถาบันการเงิน** **ชี้**คนกลัวเงินเฟ้อและค่ารักษาตอนแก่

ในยุคที่โลกของการทำงานหมุนเร็วและเหนื่อยกว่าที่เคย ‘การ […]

The post Wisesight เผยคนรุ่นใหม่วัย 25-34 ปี เร่งวางแผนเกษียณไว หนีความเหนื่อยล้า เปิดโอกาสทองให้ธุรกิจประกันชีวิตและสถาบันการเงิน ชี้คนกลัวเงินเฟ้อและค่ารักษาตอนแก่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Wisesight เผยคนรุ่นใหม่วัย 25-34 ปี เร่งวางแผนเกษียณไว หนีความเหนื่อยล้า **เปิด**โอกาสทองให้ **ธุรกิจประกันชีวิตและสถาบันการเงิน** **ชี้**คนกลัวเงินเฟ้อและค่ารักษาตอนแก่

ในยุคที่โลกของการทำงานหมุนเร็วและเหนื่อยกว่าที่เคย ‘การเกษียณไว’ กลายเป็นความฝันใหม่ของคนวัยทำงานจำนวนมาก ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นความคิดของคนวัย 40–50 ปี แต่ปัจจุบัน จากคำสนทนาบทโซเชียลมีเดีย ทำให้เรารู้ว่ากลุ่มคนที่พูดคุยเรื่องนี้ เริ่มวางแผนตั้งแต่อายุน้อยลงเรื่อยๆ และเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตว่า “จะต้องทำงานหนักไปถึงเมื่อไรถึงจะได้ใช้ชีวิตในแบบที่อยากเป็น”

 

เพื่อสำรวจปรากฏการณ์นี้ ทีม Wisesight Research ได้วิเคราะห์ข้อมูล Social Listening ระหว่างเดือนมกราคม–กันยายน 2025 พบว่ามีการพูดถึงการเกษียณไว และ FIRE (Financial Independence, Retire Early) รวมกันกว่า 23,024 ข้อความ เพิ่มขึ้นประมาณ 14% จากปีก่อน โดยจำนวนการพูดถึงเกิดขึ้นสม่ำเสมอทุกเดือน และจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่มีคนดังประกาศเกษียณ หรือมีคอนเทนต์เกี่ยวกับอิสรภาพในการใช้ชีวิต

 

ความฝัน ‘เกษียณตอนอายุ 45’ ไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจ แต่เกิดจากความต้องการอิสระและความยั่งยืนในชีวิต เสียงของผู้คนในโลกออนไลน์สะท้อนถึงความเหนื่อยล้าทางใจ และความไม่มั่นคงของรายได้ทางเดียวจากการทำงานในระบบ การเกษียณที่คนรุ่นใหม่พูดถึงจึงหมายถึงการเลิกทำงานประจำ หรือเลิกทำงานที่ทำอยู่เพื่อไปทำอย่างอื่นที่มีอิสระมากขึ้น

 

เมื่อเจาะลึกถึงเหตุผลที่อยากเกษียณไวมากที่สุด พบว่าคือการอยากมีอิสระทางการเงิน (53%) ตามมาด้วยอยากมีอิสระทางเวลา ได้ทำในสิ่งที่รัก ไม่ผูกติดกับระบบออฟฟิศ (26%) นอกจากนี้ยังอยากใช้ชีวิตแบบสมดุล ได้กลับมาดูแลสุขภาพกายและใจ (11%) และความเหนื่อยล้าจากงานประจำ (10%) โพสต์ส่วนใหญ่ที่ลงรายละเอียดการวางแผนนั้นเป็นไปในโทนบวก สะท้อนถึงแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้น

 

กลุ่มคนที่พูดถึงเรื่องนี้มากที่สุดคือวัยทำงาน ช่วงอายุ 25–34 ปี (49%) รองลงมาคือกลุ่ม First jobber ช่วงอายุ 18-24 ปี (24%) และช่วงอายุ 35–44 ปี (18%) เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่าส่วนใหญ่คือ พนักงานออฟฟิศ บริษัทเอกชน หรือข้าราชการ ที่ทำงานประจำ (85%) ตามมาด้วยฟรีแลนซ์ หรือครีเอเตอร์ (12%) และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก (3%)

 

คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะชื่นชอบเพจหรืออินฟลูเอนเซอร์ด้านการเงินส่วนบุคคล การลงทุน และแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต พวกเขายังมีการตั้ง Community ใน X (Twitter) เพื่อพูดคุยกันเรื่อง FIRE หรือการวางแผนทางการเงินเพื่อเกษียณไวโดยเฉพาะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่คือความเคลื่อนไหวที่จริงจัง ไม่ใช่แค่การบ่นลอยๆ

 

เสียงในโลกโซเชียลยังชี้ให้เห็นว่า คนจำนวนมากเริ่ม ‘ลงมือวางแผนเกษียณ’ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น รูปแบบที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ การออมอัตโนมัติ (45%) เช่น บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง หรือออมกับกองทุนรวม ตามมาด้วย การซื้อประกัน (23%) การลงทุนในหุ้นและคริปโตฯ (20%) และการมีอาชีพเสริม (10%) เช่น ขายของออนไลน์ หรือสร้างคอนเทนต์

 

อย่างไรก็ตาม แม้หลายคนจะพูดถึงการเกษียณไวอย่างมีแรงบันดาลใจ แต่อีกด้านในโซเชียลยังเต็มไปด้วยเสียงของความกังวล โดยความรู้สึกเชิงลบที่พบมากที่สุดคือ กลัวเงินไม่พอใช้ (71%) เนื่องจากยังมีภาระหนี้สิน มีครอบครัวที่ต้องดูแล และปัญหาเงินเฟ้อที่บั่นทอนเงินเก็บ

 

ความกังวลรองลงมาคือ กลัวไม่มีงานรองรับหลังเกษียณ (23%) เพราะกังวลว่าบริษัทส่วนใหญ่ไม่รับคนอายุ 35 ขึ้นไปเข้าทำงาน ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจไม่ดี มีข่าวการ Layoff บ่อยครั้ง และการที่ AI อาจเข้ามาทำงานแทนคนได้ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องกลัวค่ารักษาแพงตอนแก่ (6%)

 

กระแส ‘เกษียณไว’ นี้ กำลังเปิดโอกาสใหม่ให้กับหลายธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับ การเงิน, สุขภาพ, และไลฟ์สไตล์หลังเกษียณ หมวดธุรกิจที่ถูกพูดถึงควบคู่กับการวางแผนเกษียณมากที่สุด ได้แก่ บริษัทประกันชีวิตและประกันสุขภาพ (48%) ตามด้วย ธนาคารและสถาบันการเงิน (24%)

 

นอกจากกลุ่มการเงินแล้ว ธุรกิจบริการสุขภาพและฟิตเนส (13%) และ การท่องเที่ยว หรือ Wellness Retreat (9%) ก็ถูกพูดถึงด้วยเช่นกัน สะท้อนว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้วางแผนแค่เรื่องเงิน แต่ยังวางแผนเรื่องสุขภาพและการใช้ชีวิตไปพร้อมกันด้วย

 

คีย์เวิร์ดใหม่ที่เริ่มปรากฏบ่อยขึ้น เช่น Wellness Living, Health is the new Wealth, Passive Health Plan, และ ‘Luxury ไม่ใช่ของแพง แต่คือ อิสระในการใช้ชีวิต’ สะท้อนแนวโน้มว่า การเกษียณจะกลายเป็น lifestyle choice มากกว่าช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตแบบเดิม

 

สรุปได้ว่า การเกษียณไวไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือ การนิยามแบบชีวิตใหม่ เสียงในโลกโซเชียลกำลังบอกเราว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้หนีงาน แต่กำลังหาชีวิตที่สมดุล พวกเขาอยากใช้เวลาในวัยกลางคนอย่างมีคุณค่า และพร้อมจะลงทุนทั้งเงินและเวลาเพื่อไปถึงจุดนั้น การเกษียณไว คือการเกษียณจากความเหนื่อย เพื่อเริ่มต้นใช้ชีวิตในแบบที่เลือกเอง

 

ภาพ: aslysun / Shutterstock

The post Wisesight เผยคนรุ่นใหม่วัย 25-34 ปี เร่งวางแผนเกษียณไว หนีความเหนื่อยล้า เปิดโอกาสทองให้ธุรกิจประกันชีวิตและสถาบันการเงิน ชี้คนกลัวเงินเฟ้อและค่ารักษาตอนแก่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Nvidia ลุยเกาหลีใต้! Jensen Huang จ่อเปิดดีลชิป AI ยักษ์ใหญ่กับ Samsung-Hyundai แก้เกมข้อจำกัดในจีน https://thestandard.co/nvidia-lands-samsung-hyundai-ai-deal/ Wed, 29 Oct 2025 04:40:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1136834 Nvidia ลุย เกาหลีใต้ Jensen Huang จ่อเปิดดีลชิป AI ยักษ์ใหญ่ กับ Samsung-Hyundai แก้เกมข้อจำกัด ใน จีน

Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia Corp. เตรียมเปิดเผยข้อตกล […]

The post Nvidia ลุยเกาหลีใต้! Jensen Huang จ่อเปิดดีลชิป AI ยักษ์ใหญ่กับ Samsung-Hyundai แก้เกมข้อจำกัดในจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Nvidia ลุย เกาหลีใต้ Jensen Huang จ่อเปิดดีลชิป AI ยักษ์ใหญ่ กับ Samsung-Hyundai แก้เกมข้อจำกัด ใน จีน

Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia Corp. เตรียมเปิดเผยข้อตกลงใหม่ในการจัดส่งชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ได้แก่ Samsung Electronics Co. และ Hyundai Motor Group ระหว่างการเยือนประเทศเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามขยายโอกาสทางธุรกิจของบริษัท

 

ข้อตกลงเหล่านี้จะช่วยเปิดตลาดสำคัญแห่งใหม่ให้กับ Nvidia ซึ่งกำลังเผชิญข้อจำกัดมากขึ้นในจีน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ขณะเดียวกันสำหรับกลุ่มบริษัทเกาหลีใต้ ความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับ Nvidia หมายถึงการเข้าถึงกราฟิกโปรเซสเซอร์ (GPU) ได้อย่างมั่นคง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการฝึกและใช้งานโมเดล AI

 

Huang ต้องการกระชับความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของเอเชีย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานหน่วยความจำของโลก และมีเป้าหมายจะกลายเป็นศูนย์กลางด้านคอมพิวติ้ง AI ระดับโลก นอกจาก Samsung และ Hyundai แล้ว Nvidia ยังมีแผนจัดส่งชิปให้กับกลุ่ม SK Group ซึ่งกำลังลงทุนกว่า 7 ล้านล้านวอน (ราว 4.9 พันล้านดอลลาร์) เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเกาหลีใต้ โดยมี SK Hynix Inc. บริษัทผลิตชิปรายใหญ่ในเครือเป็นผู้ดำเนินการ

 

Huang คาดว่าจะประกาศความร่วมมือเหล่านี้ก่อนเข้าร่วมการประชุม APEC CEO Summit ที่เมืองคยองจูในวันศุกร์ โดยขณะนี้เขากำลังจัดการประชุมของ Nvidia ที่กรุงวอชิงตันในวันอังคาร ซึ่งประธานาธิบดี Donald Trump กล่าวว่าจะพบกับเขาในระหว่างการเดินทางเยือนเอเชีย

 

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ มีกำหนดลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีขั้นสูงกับเกาหลีใต้ในวันพุธ ซึ่งครอบคลุมสาขา AI, ควอนตัมคอมพิวติ้ง, เทคโนโลยีชีวภาพ และเครือข่าย 6G ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่เปิดเผยชื่อ โดยยังไม่ได้ระบุว่าบริษัทใดจะเข้าร่วมในโครงการภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว

 

เพื่อขยายอิทธิพลต่อไป Huang ได้ผลักดันแนวคิด ‘Sovereign AI’ หรือการที่แต่ละประเทศควรสร้างขีดความสามารถด้าน AI ของตนเอง เกาหลีใต้กำลังวางแผนลงทุนครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานด้านคอมพิวติ้ง รวมถึงเป้าหมายในการจัดหาชิป GPU สมรรถนะสูงกว่า 200,000 ตัวภายในปี 2030 ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

กระแสแรงซื้อในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของโลกส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง นักลงทุนต่างเชื่อว่าเทคโนโลยี AI จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของผลกำไร และเป็นพลังหลักของตลาดกระทิงในรอบนี้

 

แม้หุ้นส่วนใหญ่ในดัชนี S&P 500 จะชะลอตัวหลังจากการปรับขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดย Microsoft Corp. ประกาศข้อตกลงใหม่กับ OpenAI ซึ่งจะทำให้บริษัทถือหุ้น 27% ในสตาร์ทอัพผู้พัฒนา ChatGPT โดยมีมูลค่าราว 1.35 แสนล้านดอลลาร์

 

ขณะเดียวกัน Apple Inc. ก็สร้างประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้ง หลังมูลค่าตลาดของบริษัททะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงสั้น ๆ ขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia Corp. ได้ออกมาปัดความกังวลเกี่ยวกับ ‘ฟองสบู่ AI’ โดยยืนยันว่าแนวโน้มของเทคโนโลยีนี้ยังคงแข็งแกร่งและยั่งยืน

 

ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดที่ระดับใกล้ 6,900 จุด ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่ม ‘Magnificent Seven’ ซึ่งรวมถึงบริษัทอย่าง Microsoft, Apple, Nvidia, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla ปรับตัวขึ้นประมาณ 1.3% ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีทรงตัวที่ 3.97% ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อย

 

อีกหนึ่งแรงหนุนต่อความเชื่อมั่นในตลาดคือความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในวันพุธนี้ โดยนักลงทุนจับตาสัญญาณว่าธนาคารกลางจะยุติโครงการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) เมื่อใด ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า Fed อาจยุติการดำเนินการดังกล่าวเร็วสุดภายในเดือนนี้

 

ภาพ: Anna Moneymaker/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post Nvidia ลุยเกาหลีใต้! Jensen Huang จ่อเปิดดีลชิป AI ยักษ์ใหญ่กับ Samsung-Hyundai แก้เกมข้อจำกัดในจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
PayPal ผนึก OpenAI! เปิดตัว ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ รายแรกบน ChatGPT ปฏิวัติการช้อปปิ้งด้วย AI https://thestandard.co/paypal-openai-chatgpt-wallet/ Wed, 29 Oct 2025 04:07:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1136806 PayPal ผนึก OpenAI เปิดตัว ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ รายแรกบน ChatGPT ปฏิวัติการช้อปปิ้ง ด้วย AI

บริษัท PayPal ได้ลงนามในข้อตกลงกับ OpenAI เพื่อให้กระเป […]

The post PayPal ผนึก OpenAI! เปิดตัว ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ รายแรกบน ChatGPT ปฏิวัติการช้อปปิ้งด้วย AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
PayPal ผนึก OpenAI เปิดตัว ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ รายแรกบน ChatGPT ปฏิวัติการช้อปปิ้ง ด้วย AI

บริษัท PayPal ได้ลงนามในข้อตกลงกับ OpenAI เพื่อให้กระเป๋าเงินดิจิทัลของตนถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ ChatGPT ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถชำระค่าสินค้าที่ค้นหาผ่านเครื่องมือ AI ยอดนิยมนี้ได้โดยตรง ข้อตกลงดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของ PayPal พุ่งขึ้นกว่า 4%

 

ตามข้อมูลจาก Alex Chriss ซีอีโอของ PayPal ระบุว่าข้อตกลงนี้ซึ่งเพิ่งบรรลุในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจะเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝั่งของระบบนิเวศ PayPal สามารถเชื่อมต่อกับ ChatGPT ได้โดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ผู้ใช้ PayPal จะสามารถซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม AI ได้โดยตรง ในขณะที่ร้านค้าหรือผู้ขายที่ใช้ PayPal ก็สามารถนำสินค้าของตนมาจำหน่ายใน ChatGPT ได้เช่นกัน

 

Chriss กล่าวว่า “เรามีผู้ใช้กระเป๋าเงิน PayPal ที่ภักดีหลายร้อยล้านราย และพวกเขาจะสามารถคลิกปุ่ม ‘Buy with PayPal’ ภายใน ChatGPT เพื่อทำการชำระเงินได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย”

 

ความร่วมมือนี้ทำให้ PayPal กลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรยุคแรก ๆ ของ OpenAI ที่มุ่งขยายการใช้งาน ChatGPT สู่การช้อปปิ้งออนไลน์ แนวคิดเบื้องหลังคือการให้ผู้ใช้กว่า 700 ล้านคนต่อสัปดาห์สามารถใช้ AI ช่วยค้นหาสินค้าที่เหมาะสมราวกับมีผู้ช่วยช้อปส่วนตัว เมื่อเดือนที่แล้ว OpenAI ได้ประกาศความร่วมมือกับร้านค้าในแพลตฟอร์ม Shopify และ Etsy เพื่อให้ผู้ใช้ซื้อสินค้าผ่าน ChatGPT ได้โดยตรง และเมื่อสองสัปดาห์ก่อนก็เพิ่งประกาศดีลใหม่กับ Walmart

 

PayPal กำลังพยายามวางตำแหน่งตนเองให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของระบบชำระเงินสำหรับยุคใหม่ของการค้าขายด้วย AI โดยก่อนหน้านี้บริษัทก็ได้ประกาศความร่วมมือกับ Google และบริษัท AI อย่าง Perplexity ไปแล้ว บริษัทระบุเพิ่มเติมว่า PayPal จะรับหน้าที่จัดการขั้นตอนเบื้องหลังทั้งหมดของการชำระเงินใน ChatGPT เช่น การจัดการช่องทางชำระเงิน การตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม และระบบประมวลผลการชำระเงิน เพื่อให้ร้านค้าที่ใช้ PayPal ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนหรือทำสัญญาโดยตรงกับ OpenAI

 

ซีอีโอของ PayPal กล่าวว่าจุดแข็งสำคัญของระบบนี้คือทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายล้วนผ่านการยืนยันตัวตนโดย PayPal แล้ว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงลงอย่างมาก ผู้ใช้สามารถชำระเงินโดยดึงเงินจากบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อไว้ บัตรเครดิต หรือยอดเงินคงเหลือในบัญชี PayPal ของตนเอง พร้อมรับบริการคุ้มครองผู้ซื้อ ระบบติดตามพัสดุ และการระงับข้อพิพาทตามมาตรฐานของบริษัท

 

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา OpenAI ประกาศว่าได้ดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงิน (recapitalization) เสร็จสิ้นแล้ว โดยตอกย้ำสถานะของตนในฐานะองค์กรไม่แสวงหากำไร (nonprofit) ที่ยังคงถือหุ้นควบคุมในธุรกิจเชิงพาณิชย์ของตนเอง

 

OpenAI ระบุว่าองค์กรไม่แสวงหากำไรของบริษัทจะใช้ชื่อใหม่ว่า ‘OpenAI Foundation’ และมูลค่าหุ้นที่มูลนิธิถืออยู่ในบริษัทฝั่งเชิงพาณิชย์นั้นมีมูลค่าประมาณ 1.3 แสนล้านดอลลาร์ โดยบริษัทเชิงพาณิชย์ของ OpenAI จะถูกจัดตั้งใหม่ในรูปแบบ ‘Public Benefit Corporation (PBC)’ ภายใต้ชื่อ OpenAI Group PBC
ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้ OpenAI Foundation จะถือหุ้น 26% ในบริษัทฝั่งเชิงพาณิชย์ ขณะที่พนักงานและนักลงทุนปัจจุบัน (รวมถึงอดีตพนักงาน) จะถือหุ้นรวมกัน 47%

 

Microsoft ซึ่งได้ลงทุนใน OpenAI ไปแล้วกว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นพันธมิตรของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2019 ระบุว่า สนับสนุนการปรับโครงสร้างครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยขณะนี้ Microsoft ถือหุ้นใน OpenAI Group PBC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.35 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 27% ของบริษัท หากคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นแบบ diluted (รวมการแปลงสิทธิ์ทั้งหมด)

 

ก่อนหน้านี้ Microsoft เคยถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 32.5% ในธุรกิจเชิงพาณิชย์ของ OpenAI แต่ไม่รวมการระดมทุนรอบล่าสุดของบริษัท หลังการประกาศข่าวนี้หุ้น Microsoft ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 1.98% ในวันอังคาร

 

OpenAI ระบุในบล็อกโพสต์ของตนว่า “ยิ่ง OpenAI ประสบความสำเร็จในฐานะบริษัทมากเท่าไร มูลค่าหุ้นที่มูลนิธิถืออยู่ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งผลกำไรส่วนนี้จะถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนกิจกรรมด้านสาธารณกุศลของมูลนิธิ”

 

ภาพ: Claudia Nass / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post PayPal ผนึก OpenAI! เปิดตัว ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ รายแรกบน ChatGPT ปฏิวัติการช้อปปิ้งด้วย AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
Stellerus สตาร์ทอัพฮ่องกง ชี้โลกขาดข้อมูลลม 3 มิติ วางแผนใช้ดาวเทียมจีนต้นทุนต่ำกว่า 100 เท่า เตรียมบุกตลาดพลังงานลม https://thestandard.co/stellerus-low-cost-wind-satellites/ Wed, 29 Oct 2025 03:08:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1136725 Stellerus สตาร์ทอัพฮ่องกง ชี้โลกขาดข้อมูลลม 3 มิติ วางแผนใช้ดาวเทียม จีน ต้นทุนต่ำกว่า 100 เท่า เตรียมบุกตลาดพลังงานลม

Stellerus Technology สตาร์ทอัพจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ […]

The post Stellerus สตาร์ทอัพฮ่องกง ชี้โลกขาดข้อมูลลม 3 มิติ วางแผนใช้ดาวเทียมจีนต้นทุนต่ำกว่า 100 เท่า เตรียมบุกตลาดพลังงานลม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Stellerus สตาร์ทอัพฮ่องกง ชี้โลกขาดข้อมูลลม 3 มิติ วางแผนใช้ดาวเทียม จีน ต้นทุนต่ำกว่า 100 เท่า เตรียมบุกตลาดพลังงานลม

Stellerus Technology สตาร์ทอัพจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง (HKUST) กำลังตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการข้อมูลลม 3 มิติผ่านดาวเทียมรายแรกของโลก เพื่อช่วยเพิ่มรายได้, ลดต้นทุน และบริหารความเสี่ยงให้กับอุตสาหกรรมพลังงานลม, การขนส่ง และการประกันภัย

 

บริษัทซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2023 โดยกลุ่มนักวิชาการจาก HKUST จะใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตดาวเทียมของจีน เพื่อทำให้การเก็บรวบรวม ‘ข้อมูลลม 3 มิติ’ ทั่วโลก ซึ่งสามารถทำได้จริงในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก ซูฮุย (Su Hui) ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งกล่าว

 

ข้อมูลลม 3 มิติ ซึ่งหมายถึงทิศทาง, ความเร็ว และการเปลี่ยนแปลงของลมตามระดับความสูง ถือเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพยากรณ์อากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง แต่การเก็บข้อมูลดังกล่าวยังคงมีข้อจำกัดอย่างมากในปัจจุบัน

 

“หลังจากที่มาฮ่องกง ฉันตระหนักว่าเทคโนโลยีสำหรับโครงการลักษณะนี้ในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นค่อนข้างก้าวหน้าไปมาก และต้นทุนก็จะต่ำกว่าในต่างประเทศอย่างมาก” ซูกล่าว “ในสหรัฐฯ ดาวเทียมลักษณะนี้อาจมีค่าใช้จ่ายในการสร้างสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.26 พันล้านบาท) เทียบกับเพียง 20 ล้านหยวน (ประมาณ 91.8 ล้านบาท) ในจีน”

 

ซู ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาและเคยดำรงตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์หลักและผู้จัดการโครงการด้านสภาพอากาศที่ห้องปฏิบัติการ Jet Propulsion Laboratory (JPL) ของ NASA ได้ย้ายมาร่วมงานกับภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมของ HKUST ในตำแหน่งศาสตราจารย์อาวุโส (Chair Professor) เมื่อปี 2022 เธอกล่าวว่า Stellerus จะใช้เซ็นเซอร์ไฮเปอร์สเปกตรัม (Hyperspectral sensors) ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์แสงชนิดพิเศษติดตั้งบนดาวเทียม

 

เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลและใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, มีเทน และไอน้ำในชั้นบรรยากาศ เพื่อคำนวณการเปลี่ยนแปลงของทิศทางและความเร็วลมได้อย่างละเอียด “ข้อมูลที่มีรายละเอียดสูงเช่นนี้ยังคงขาดแคลนสำหรับการสังเกตการณ์และวิเคราะห์ทางอุตุนิยมวิทยาทั่วโลก” เธอกล่าว

 

ซูยังเสริมอีกว่า แม้องค์กรต่างๆ รวมถึง NASA จะมีแผนการสำหรับโครงการลักษณะนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้เนื่องจากต้นทุนที่สูงมากในการส่ง ‘กลุ่มดาวเทียม’ (Satellite constellation) ขึ้นไปโคจร ปัจจุบัน NASA กำลังทดสอบเทคโนโลยีเลเซอร์สำหรับการวัดลม 3 มิติจากอวกาศ

 

ความร่วมมือระหว่าง HKUST และ Chang Guang Satellite Technology ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมเชิงพาณิชย์แห่งแรกของจีน ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมณฑลจี๋หลิน ถือเป็นกุญแจสำคัญ โดย Stellerus ได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าถึงข้อมูลดาวเทียมและอัลกอริทึม ซึ่งได้มาจาก ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง (ความละเอียดจุดภาพ 0.5 เมตร)

 

เดวิด หลิว (David Liu) ซีอีโอของ Stellerus กล่าวว่าบริษัทซึ่งตั้งอยู่ใน Hong Kong Science and Technology Park ได้ระดมทุนไปแล้วหลายสิบล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าที่จะส่งดาวเทียมคู่แรกขึ้นสู่วงโคจรภายใน 18 เดือนข้างหน้า ตามมาด้วยอีก 5 ดวงในลำดับถัดไป

 

ดาวเทียมเหล่านี้จะประกอบกันเป็นกลุ่มดาวเทียม ซึ่งจะเพียงพอต่อการครอบคลุมข้อมูลลมทั่วโลก โดย Stellerus ตั้งเป้าที่จะนำข้อมูลนี้ไปจำหน่ายให้กับผู้พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับอุตสาหกรรมการบิน, การขนส่งทางทะเล และการประกันภัย

 

“แอปพลิเคชันเหล่านี้รวมถึงการปรับเส้นทางการบินให้เหมาะสมเพื่อประหยัดเชื้อเพลิงและหลีกเลี่ยงสภาพอากาศแปรปรวน, การวางแผนเส้นทางการเดินเรือเพื่อประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพอากาศและการ ประเมินเบี้ยประกันภัย โดยบริษัทประกันวินาศภัย” หลิวกล่าว

 

เขายังเปิดเผยอีกว่า Stellerus กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสูงกับผู้พัฒนาฟาร์มกังหันลมและผู้ให้บริการโครงข่ายไฟฟ้าของรัฐ ซึ่งสนใจที่จะนำข้อมูลลม 3 มิติไปใช้งานโดยมีค่าธรรมเนียม

 

จีนเป็นประเทศที่มีฟาร์มกังหันลมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จากบทความของ South China Morning Post เมื่อเดือนมกราคม 2024 ได้ระบุไว้ว่า กำลังการผลิตติดตั้งของฟาร์มกังหันลมและโซลาร์ฟาร์มในจีนทะลุ 1,000 กิกะวัตต์ (GW) ไปแล้ว เพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 3 จากปีก่อนหน้า และคิดเป็น 15% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ

 

บทความยังคาดการณ์อีกว่า จีนจะมีสัดส่วนเกือบ 60% ของกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนใหม่ทั่วโลกในช่วง 5 ปีข้างหน้าจนถึงปี 2028 และกำลังจะบรรลุเป้าหมายการมีกำลังการผลิตติดตั้งจากลมและแสงอาทิตย์ที่ 1,200 GW ได้ภายในปี 2024 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2030 ถึง 6 ปี

 

เจฟฟรีย์ สวีหมิงหยวน (Jeffrey Xu Mingyuan) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Stellerus กล่าวว่า ข้อมูลจาก Stellerus จะช่วยให้ผู้ประกอบการฟาร์มกังหันลมสามารถเพิ่มยอดขายไฟฟ้าและประหยัดค่าใช้จ่ายหลายสิบล้านหยวนในการสร้าง หอตรวจวัดลม ได้

 

“ปัจจุบัน การได้มาซึ่งข้อมูลลมที่แม่นยำนั้นมีต้นทุนที่สูงมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการนอกชายฝั่ง” เขากล่าว “เราตั้งเป้าที่จะแก้ ‘คอขวดทางเทคโนโลยี’ นี้ ด้วยการนำเสนอข้อมูลที่มีคุณภาพดีกว่าและราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเลือกที่ตั้งฟาร์มกังหันลม, การวางแผนระบบกักเก็บพลังงาน, การซื้อขายไฟฟ้า และการเชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้า”

 

หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.61 บาท และ 1 หยวนเท่ากับ 4.59 บาท ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2568

 

ภาพ : Black_Kira / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post Stellerus สตาร์ทอัพฮ่องกง ชี้โลกขาดข้อมูลลม 3 มิติ วางแผนใช้ดาวเทียมจีนต้นทุนต่ำกว่า 100 เท่า เตรียมบุกตลาดพลังงานลม appeared first on THE STANDARD.

]]>