Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 29 Jul 2025 08:03:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 อินไซต์นักการตลาด! Meta เผยผล A/B Test ชี้แอดฯ ที่เน้น ‘ปิดการขายในแชท’ ชนะแอดฯ เน้น ‘สร้างบทสนทนา’ ถึง 99% แถมต้นทุนถูกลง 20% https://thestandard.co/meta-ab-test-chat-sales-ads/ Tue, 29 Jul 2025 08:03:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1101283

ท่ามกลางภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนขึ้น การส่งข้อควา […]

The post อินไซต์นักการตลาด! Meta เผยผล A/B Test ชี้แอดฯ ที่เน้น ‘ปิดการขายในแชท’ ชนะแอดฯ เน้น ‘สร้างบทสนทนา’ ถึง 99% แถมต้นทุนถูกลง 20% appeared first on THE STANDARD.

]]>

ท่ามกลางภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนขึ้น การส่งข้อความทางธุรกิจ (Business Messaging) ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าและขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในงาน Business Messaging Summit ประจำปี 2568 Meta ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจซึ่งชี้ให้เห็นว่า ‘การสนทนา’ กำลังเปลี่ยนวิธีที่ธุรกิจสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างสิ้นเชิง

 

จากผลการศึกษาล่าสุดของ Kantar ในปี 2568 พบว่าการสนทนาคือตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญของธุรกิจในประเทศไทย โดย 95% ของธุรกิจที่สำรวจระบุว่าการส่งข้อความทางธุรกิจช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และสามารถเพิ่มอัตราการเปลี่ยนจากผู้สนใจมาเป็นลูกค้าได้สูงขึ้นถึง 55%

 

มุมมองจากฝั่งผู้บริโภคเองก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดย 74% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยระบุว่าต้องการสื่อสารกับแบรนด์ในลักษณะเดียวกับที่พูดคุยกับเพื่อนและครอบครัว ข้อมูลยังชี้อีกว่า 81% ของผู้ใหญ่ชาวไทยมีการส่งข้อความกับธุรกิจอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และ 73% ค้นพบธุรกิจขนาดกลางและเล็กใหม่ๆ ผ่านการส่งข้อความ

 

แพร ดำรงค์มงคลกุล Country Director ของ Facebook ประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของเทรนด์นี้ว่า “ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคนเชื่อมต่อกับบัญชีธุรกิจผ่านบริการส่งข้อความของเราในแต่ละสัปดาห์ และมีการสนทนาระหว่างผู้คนกับธุรกิจกว่า 600 ล้านครั้งต่อวันในอีโคซิสเต็มของ Meta”

 

Generative AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ให้ง่ายและเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น ผลสำรวจของ Kantar พบว่า 68% ของผู้บริโภคชาวไทยเห็นว่าการได้รับคำตอบจาก AI หรือแชตบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI นั้นมีประโยชน์ ซึ่ง Meta กำลังเดินหน้าพัฒนาเครื่องมือ ‘Business AI’ เพื่อทำให้ทุกธุรกิจสามารถเข้าถึงพลังของ AI ในการให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น

 

ในเชิงกลยุทธ์การตลาด Meta ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจจากการทดสอบ A/B Test พบว่ากลยุทธ์โฆษณาที่มุ่งเน้น ‘การซื้อสินค้า’ (Purchase Optimization) ผ่านการคลิกมายังช่องทางแชท (Click-to-Messaging) ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากลยุทธ์ที่มุ่งเน้น ‘การสนทนา’ (Conversation Optimization) ถึง 99%

 

ที่สำคัญคือกลยุทธ์ที่เน้นการซื้อขายผ่านแชทนี้ยังมีต้นทุนต่อการซื้อสินค้าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 20% ซึ่งเป็นอินไซต์สำคัญสำหรับนักการตลาดในการวางแผนแคมเปญให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

ขณะที่ภาพรวมความพึงพอใจของผู้บริโภคก็อยู่ในระดับสูง โดย 95% ของผู้ใหญ่รู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ส่งข้อความหาธุรกิจผ่าน Messenger หรือ Instagram Direct Messaging

 

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การสนทนาผ่านการแชทไม่ได้เป็นเพียงช่องทางการสื่อสารอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือทางธุรกิจที่ทรงพลังในการสร้างความสัมพันธ์ เพิ่มยอดขาย และค้นพบลูกค้าใหม่ๆ โดยมี AI เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาช่วยยกระดับประสบการณ์เหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

 

ภาพ: Kaspars Grinvalds / Shutterstock

The post อินไซต์นักการตลาด! Meta เผยผล A/B Test ชี้แอดฯ ที่เน้น ‘ปิดการขายในแชท’ ชนะแอดฯ เน้น ‘สร้างบทสนทนา’ ถึง 99% แถมต้นทุนถูกลง 20% appeared first on THE STANDARD.

]]>
มนต์ขลัง ‘อีลอน มัสก์’ เริ่มเสื่อม? แม้ประกาศวิสัยทัศน์ Robotaxi ก็เอาไม่อยู่ หุ้น Tesla ดิ่ง 8% ท่ามกลางยอดขายที่ตกต่ำ https://thestandard.co/tesla-stock-plunges-on-weak-sales/ Mon, 28 Jul 2025 08:43:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1100967 อีลอน มัสก์

ในอดีต คำมั่นสัญญาถึงโลกอนาคตอันน่าตื่นตาตื่นใจของ อีลอ […]

The post มนต์ขลัง ‘อีลอน มัสก์’ เริ่มเสื่อม? แม้ประกาศวิสัยทัศน์ Robotaxi ก็เอาไม่อยู่ หุ้น Tesla ดิ่ง 8% ท่ามกลางยอดขายที่ตกต่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อีลอน มัสก์

ในอดีต คำมั่นสัญญาถึงโลกอนาคตอันน่าตื่นตาตื่นใจของ อีลอน มัสก์ เปรียบเสมือนมนต์สะกดที่ทำให้นักลงทุนยอมมองข้ามผลประกอบการที่ย่ำแย่ของ Tesla ได้เสมอมา แต่ล่าสุดดูเหมือนว่า ‘มนต์ขลัง’ นั้นจะเริ่มเสื่อมลงแล้ว เมื่อแม้แต่การประกาศวิสัยทัศน์ครั้งใหม่เกี่ยวกับ Robotaxi ก็ไม่สามารถช่วยพยุงราคาหุ้นไว้ได้ ท่ามกลางยอดขายที่ตกต่ำและผลกำไรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง อีลอน มัสก์ ได้พยายามปลุกความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกครั้ง โดยกล่าวว่ารถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla กำลังจะสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ และจะกลายเป็น Robotaxi ที่ทำเงินให้เจ้าของได้แม้ในยามหลับใหล 

 

พร้อมตั้งเป้าขยายบริการให้ครอบคลุมประชากรสหรัฐฯ ครึ่งหนึ่งภายในสิ้นปีนี้ แต่คำสัญญาดังกล่าวกลับไม่เป็นผล เมื่อราคาหุ้นของ Tesla ดิ่งลงถึง 8% ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

 

นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างพร้อมใจกันเมินวิสัยทัศน์ระยะไกล และหันมาให้ความสนใจกับปัญหาเฉพาะหน้าที่บริษัทกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก โดยเฉพาะจากประเทศจีน หรือผลกระทบจากภาพลักษณ์ของมัสก์เองที่ส่งผลเสียต่อแบรนด์ Tesla ในช่วงหลัง โดยยอดขายรถยนต์ในไตรมาสล่าสุดลดลงถึง 16% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และทำให้หุ้น Tesla ร่วงลงไปแล้วกว่า 22% ในปีนี้

 

นักวิเคราะห์จาก Jefferies ได้ให้ความเห็นสั้นๆ ว่าการประกาศผลประกอบการครั้งนี้ ‘ค่อนข้างน่าเบื่อ’ ขณะที่ Canaccord Genuity ซึ่งยังคงแนะนำให้ซื้อหุ้น Tesla ระบุในบทวิเคราะห์ว่า “เรารัก Robotaxi และหุ่นยนต์นะ แต่เราก็รักการเติบโตในปัจจุบันด้วยเช่นกัน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดกำลังต้องการผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่าความฝันใน ‘อนาคต’

 

เมื่อมองลึกลงไปใน ‘ความจริง’ ของโครงการ Robotaxi ก็ยิ่งเห็นช่องว่างระหว่างคำสัญญากับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยปัจจุบัน Tesla เพิ่งเริ่มทดสอบบริการในวงจำกัดด้วยรถยนต์เพียง 10-20 คันในเมืองออสติน 

 

และยังต้องมีเจ้าหน้าที่นั่งควบคุมอยู่ในรถตลอดเวลา ซึ่งตลอดโครงการมีการวิ่งไปเพียง 7,000 ไมล์เท่านั้น สวนทางกับคู่แข่งอย่าง Waymo ของ Alphabet ที่วิ่งไปแล้วกว่า 100 ล้านไมล์บนถนนจริง

 

ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะมีข่าวลือว่า Tesla อาจเปิดตัวบริการ Robotaxi ในซานฟรานซิสโกสุดสัปดาห์นี้ แต่จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทยังไม่ได้ยื่นขอใบอนุญาตที่จำเป็นต่อการให้บริการรถยนต์ไร้คนขับในรัฐแคลิฟอร์เนียแม้แต่ฉบับเดียว ซึ่งเป็นกำแพงด้านกฎระเบียบที่สำคัญและแสดงให้เห็นว่าคำประกาศของมัสก์อาจยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก

 

ถึงแม้ข้อมูลทุกอย่างจะชี้ไปในทิศทางเดียวกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองของ อีลอน มัสก์ ลดลงเลยแม้แต่น้อย เขายังคงยืนยันว่าเทคโนโลยี AI ของ Tesla นั้น ‘ดีกว่า Google อย่างเทียบไม่ติด’ และล่าสุดยังได้โพสต์ผ่าน X ว่าสักวันหนึ่ง Tesla จะมีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 649 ล้านล้านบาท) เลยทีเดียว


หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.43 บาท ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2568

 



ภาพ : Kevin Dietsch/Getty Images

อ้างอิง:

The post มนต์ขลัง ‘อีลอน มัสก์’ เริ่มเสื่อม? แม้ประกาศวิสัยทัศน์ Robotaxi ก็เอาไม่อยู่ หุ้น Tesla ดิ่ง 8% ท่ามกลางยอดขายที่ตกต่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI จาก Google และ OpenAI โชว์พลังแก้โจทย์คณิตโอลิมปิก ทำคะแนนเทียบเท่า ‘เหรียญทอง’ เบื้องหลังคือการใช้กระบวนการ ‘คิด’ ที่ซับซ้อนเหมือนมนุษย์ https://thestandard.co/ai-imo-gold-milestone/ Mon, 28 Jul 2025 04:55:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1100857 ai-imo-gold-milestone

AI จากทั้ง Google และ OpenAI สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์สุ […]

The post AI จาก Google และ OpenAI โชว์พลังแก้โจทย์คณิตโอลิมปิก ทำคะแนนเทียบเท่า ‘เหรียญทอง’ เบื้องหลังคือการใช้กระบวนการ ‘คิด’ ที่ซับซ้อนเหมือนมนุษย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ai-imo-gold-milestone

AI จากทั้ง Google และ OpenAI สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์สุดหินในเวทีโอลิมปิกวิชาการระหว่างประเทศ (IMO) ซึ่งเป็นการแข่งขันสำหรับนักเรียนมัธยมปลายที่ทรงเกียรติที่สุดในโลก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกเทียบเท่ากับระดับเหรียญทอง นี่ถือเป็น ‘ก้าวสำคัญ’ ที่แสดงให้เห็นว่า AI มีความสามารถในการให้เหตุผลที่ซับซ้อนทัดเทียมกับสติปัญญาของมนุษย์แล้ว

 

ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นการพลิกโฉมวงการอย่างแท้จริง เพราะโมเดล AI ของทั้งสองบริษัทไม่ได้ใช้วิธีการแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาภาษาเฉพาะทางด้านคณิตศาสตร์ แต่กลับใช้โมเดลสำหรับการให้เหตุผล (Reasoning Model) ที่สามารถทำความเข้าใจและแก้ปัญหาโจทย์ที่ซับซ้อนด้วย ‘ภาษามนุษย์’ ได้โดยตรง ซึ่งเป็นแนวทางที่ใกล้เคียงกับการคิดวิเคราะห์ของนักคณิตศาสตร์ที่เป็นมนุษย์อย่างมาก

 

ในการแข่งขันครั้งที่ 66 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลีย โมเดล AI ของทั้งสองค่ายสามารถแก้โจทย์ได้ถึง 5 จาก 6 ข้อ ซึ่งเป็นคะแนนในระดับเหรียญทอง โดยหากเทียบกับผู้เข้าแข่งขันที่เป็นมนุษย์ 630 คน มีเพียง 67 คน หรือประมาณ 11% เท่านั้นที่สามารถทำคะแนนได้ในระดับเดียวกัน 

 

โดยโมเดล Gemini Deep Think ของ Google สามารถทำสำเร็จได้ภายในเวลา 4.5 ชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาแข่งขันจริง

 

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าความก้าวหน้านี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของวงการวิทยาศาสตร์ จุนฮยอก จอง ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบราวน์และอดีตเจ้าของเหรียญทอง IMO คาดการณ์ว่า ภายในไม่ถึงหนึ่งปีข้างหน้า AI อาจถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้นักคณิตศาสตร์สามารถไขปัญหาวิจัยที่ยังไม่มีใครแก้ได้สำเร็จ ซึ่งจะเปิดประตูสู่การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ในสาขาอื่นๆ เช่น ฟิสิกส์ ต่อไป

 

เบื้องหลังความสำเร็จของ OpenAI คือการใช้โมเดลทดลองที่ทุ่มพลังการประมวลผลมหาศาล หรือที่เรียกว่า test-time compute ซึ่งเป็นการให้เวลา AI ‘คิด’ วิเคราะห์นานขึ้น และใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องทำงานคู่ขนานกันเพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลายพร้อมๆ กัน แม้จะเป็นวิธีที่ ‘แพงมาก’ แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงขีดความสามารถในการให้เหตุผลที่ซับซ้อนของ AI ได้เป็นอย่างดี

 

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ก็มีประเด็นน่าสนใจเกิดขึ้น เมื่อ OpenAI ‘ชิง’ ประกาศผลงานของตนเองก่อนในวันเสาร์ (19 ก.ค.)โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ IMO แล้ว 

 

ขณะที่ Google เลือกที่จะรอประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ (21 ก.ค.) ตามคำขอของผู้จัดงาน ซึ่ง เดมิส ฮาสซาบิส ซีอีโอของ Google DeepMind ได้เน้นย้ำถึงการให้เกียรติกระบวนการและตัวนักเรียนผู้เข้าแข่งขันทุกคน

 

ถึงจะมีประเด็นเล็กน้อยเกิดขึ้น แต่ความสำเร็จครั้งนี้ก็ได้เปิดประตูสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง เพราะนี่ไม่ใช่การแข่งขันระหว่างมนุษย์กับ AI แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึง ‘ศักยภาพ’ ในการทำงานร่วมกัน 

 

เมื่อเครื่องมือที่ทรงพลังอย่าง AI สามารถเข้าใจและให้เหตุผลด้วยภาษาเดียวกับมนุษย์ได้แล้ว ก็เท่ากับว่าเรากำลังจะมีผู้ช่วยอัจฉริยะที่จะมาช่วยขยายขอบเขตความรู้และไขความลับของจักรวาลได้เร็วกว่าที่เคยเป็นมา


ภาพ : cybermagician/ Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post AI จาก Google และ OpenAI โชว์พลังแก้โจทย์คณิตโอลิมปิก ทำคะแนนเทียบเท่า ‘เหรียญทอง’ เบื้องหลังคือการใช้กระบวนการ ‘คิด’ ที่ซับซ้อนเหมือนมนุษย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ด้านมืดของกาแฟแก้วโปรด? ดื่มกาแฟแค่ไหนถึงจะดีต่อใจ และแค่ไหนที่เริ่มทำลายสมอง https://thestandard.co/coffee-health-daily/ Mon, 28 Jul 2025 03:23:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1100811 coffee-health-daily

สำหรับคอกาแฟจำนวนมาก การเริ่มต้นวันใหม่โดยไม่มีกาแฟสักแ […]

The post ด้านมืดของกาแฟแก้วโปรด? ดื่มกาแฟแค่ไหนถึงจะดีต่อใจ และแค่ไหนที่เริ่มทำลายสมอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
coffee-health-daily

สำหรับคอกาแฟจำนวนมาก การเริ่มต้นวันใหม่โดยไม่มีกาแฟสักแก้วดูจะเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ แต่คำถามที่ค้างคาใจใครหลายคนก็คือ กาแฟที่เราดื่มทุกวันนั้นตกลงแล้วดีต่อสุขภาพจริงหรือ? 

 

ข่าวสารและงานวิจัยที่ขัดแย้งกันไปมาทำให้เราสับสน บ้างก็ว่าดีต่อใจ บ้างก็ว่าเพิ่มความเสี่ยงโรคร้าย ซึ่งความจริงแล้วคำตอบนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด และไม่มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกคน

 

ในด้านดี งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ติดตามผู้หญิงเกือบ 50,000 คนเป็นเวลานานถึง 30 ปี พบว่าการดื่มกาแฟทุกวันอาจช่วยให้ผู้หญิงมีสุขภาพที่แข็งแรงยืนยาวขึ้นได้ 

 

นอกจากนี้ การดื่มกาแฟ 1-3 แก้วต่อวัน ยังมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้นและอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่ทำให้หลายคนจิบกาแฟได้อย่างสบายใจขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งของงานวิจัยกลับชี้ให้เห็นถึงข้อควรระวัง โดยพบว่าการบริโภคกาแฟในปริมาณที่สูงเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้ 

และที่สำคัญคือ งานวิจัยในปี 2022 ยังค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มกาแฟจัดกับการเพิ่มความเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว

 

เมื่อข้อมูลมีทั้งด้านบวกและลบ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ยึดหลัก ‘ทางสายกลาง’ โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้ให้คำแนะนำว่า ปริมาณคาเฟอีนที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับกาแฟประมาณ 2-3 แก้ว และต้องไม่ลืมว่าปริมาณนี้ต้องนับรวมคาเฟอีนจากแหล่งอื่นด้วย เช่น ชา น้ำอัดลม หรือช็อกโกแลต

 

กฎเหล็กที่สำคัญที่สุดคือการฟังเสียง ‘ร่างกาย’ ของตัวเอง เพราะแต่ละคนมีความสามารถในการจัดการกับคาเฟอีนไม่เท่ากัน บางคนดื่มเพียงแก้วเดียวก็อาจรู้สึกกระวนกระวายหรือใจสั่นแล้ว 

 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากคุณเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าเดิมหลังจากดื่มกาแฟ หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ นั่นคือสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณควรหยุดหรือลดปริมาณลงทันที

 

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น สตรีมีครรภ์ควรพิจารณาลดปริมาณคาเฟอีนลงอย่างมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจควรใส่ใจกับปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มกาแฟ ส่วนในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกาแนะนำว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงคาเฟอีนโดยสิ้นเชิง

 

สำหรับคอกาแฟทั่วไป มี ‘เคล็ดลับ’ ง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณมีความสุขกับการดื่มโดยไม่เสียสุขภาพ คือการดื่มน้ำหรือทานอาหารก่อนดื่มกาแฟเสมอ เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์กดความอยากอาหาร 

 

และหากคุณพบว่าการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ การปรับเปลี่ยนมาใช้กฎ ‘ดื่มเฉพาะช่วงเช้า’ ก็เป็นทางออกที่เรียบง่ายและได้ผลดีที่สุด

 

อ้างอิง:

The post ด้านมืดของกาแฟแก้วโปรด? ดื่มกาแฟแค่ไหนถึงจะดีต่อใจ และแค่ไหนที่เริ่มทำลายสมอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
แซม อัลต์แมน เตือนภัย! โลกจ่อเผชิญ ‘วิกฤตฉ้อโกง’ ครั้งใหญ่ หลัง AI เอาชนะระบบพิสูจน์ตัวตนส่วนใหญ่ได้แล้ว ทั้งปลอมเสียง-วิดีโอจนแยกไม่ออก https://thestandard.co/ai-fraud-crisis-warning-altman/ Sun, 27 Jul 2025 07:38:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1100571 แซม อัลต์แมน ซีอีโอ OpenAI ขณะให้สัมภาษณ์เรื่องวิกฤตฉ้อโกงจาก AI

แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ได้ออกมาเตือนว่าโลกอาจกำล […]

The post แซม อัลต์แมน เตือนภัย! โลกจ่อเผชิญ ‘วิกฤตฉ้อโกง’ ครั้งใหญ่ หลัง AI เอาชนะระบบพิสูจน์ตัวตนส่วนใหญ่ได้แล้ว ทั้งปลอมเสียง-วิดีโอจนแยกไม่ออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
แซม อัลต์แมน ซีอีโอ OpenAI ขณะให้สัมภาษณ์เรื่องวิกฤตฉ้อโกงจาก AI

แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ได้ออกมาเตือนว่าโลกอาจกำลังจะเจอ ‘วิกฤตการฉ้อโกง’ (fraud crisis) อันเนื่องมาจากความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะช่วยให้ผู้ไม่หวังดีสามารถปลอมแปลงตัวตนของผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน เพื่อสร้างความเสียหายทางการเงินและสังคม

 

“สิ่งที่ทำให้ผมหวาดกลัวคือ ยังมีสถาบันการเงินบางแห่งที่ยอมรับการพิสูจน์ตัวตนด้วยเสียงเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินจำนวนมาก นั่นเป็นเรื่องที่บ้ามากที่ยังทำกันอยู่ เพราะ AI ได้เอาชนะวิธีการพิสูจน์ตัวตนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไปหมดแล้ว ยกเว้นรหัสผ่าน” อัลต์แมนกล่าว

 

คำเตือนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ทำเนียบขาวเตรียมจะเปิดตัวแผนปฏิบัติการ AI (AI Action Plan) ในเร็วๆ นี้ โดย OpenAI ก็ได้ให้คำแนะนำสำหรับแผนดังกล่าวและกำลังขยายทีมงานในวอชิงตัน ดี.ซี. อย่างต่อเนื่อง

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

OpenAI ยังได้ยืนยันว่า จะเปิดสำนักงานแห่งแรกในวอชิงตัน ดี.ซี. ในช่วงต้นปีหน้า เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการทำงานร่วมกับผู้กำหนดนโยบาย จัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ และจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับ AI ให้กับบุคลากรภาครัฐและภาคการศึกษา

 

แม้จะออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของเทคโนโลยี แต่ OpenAI ก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์หลีกเลี่ยงการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันกับนวัตกรรม AI จากต่างประเทศ โดยอัลต์แมนไม่ได้อยู่เพียงลำพังที่กังวลว่า AI จะทำให้การฉ้อโกงรุนแรงขึ้น

 

FBI เคยออกมาเตือนเรื่องการหลอกลวงด้วยการ ‘โคลนนิ่ง’ เสียงและวิดีโอด้วย AI มาแล้ว และมีรายงานว่ามีผู้ปกครองหลายรายเกือบตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่ใช้เทคโนโลยีนี้ปลอมเสียงเป็นลูกๆ เพื่อหลอกเอาเงิน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังเคยเตือนถึงกรณีที่มีผู้ใช้ AI ปลอมเสียง มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้วย

 

“ผมกังวลมากว่าเรากำลังจะเผชิญกับวิกฤตการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามา” อัลต์แมนกล่าว “ตอนนี้มันคือการโทรด้วยเสียง อีกไม่นานมันจะเป็นวิดีโอหรือ FaceTime ที่แยกไม่ออกจากของจริง” เขายังได้สนับสนุนเครื่องมือที่ชื่อว่า The Orb ซึ่งจะช่วย ‘พิสูจน์ความเป็นมนุษย์’ ในโลกออนไลน์

 

อัลต์แมนยังเผยถึง ‘สิ่งที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ’ นั่นคือแนวคิดที่ว่าผู้ไม่หวังดีอาจสร้างและใช้ Superintelligence ในทางที่ผิดได้สำเร็จ ก่อนที่ทั่วโลกจะก้าวหน้าพอที่จะป้องกันการโจมตีนั้นได้ เช่น การใช้ AI โจมตีโครงข่ายไฟฟ้าหรือสร้างอาวุธชีวภาพ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงาน อัลต์แมนกลับมีท่าทีที่กังวลน้อยกว่าผู้นำเทคโนโลยีคนอื่นๆ ‘ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น’ เขากล่าว “นี่เป็นระบบที่ซับซ้อนเกินไป และเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่และส่งผลกระทบสูงมาก มันยากที่จะคาดเดา”

 

เขากล่าวว่าแม้งานบางประเภทจะหายไปทั้งหมดแต่งานรูปแบบใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาแทนที่ และได้ย้ำถึงวิสัยทัศน์ในอีก 100 ปีข้างหน้าว่า คนทำงานในอนาคตอาจจะไม่มีสิ่งที่คนยุคเราเรียกว่า งานจริงๆ อีกต่อไป แต่จะเป็นการสร้างงานขึ้นมาเพื่อเติมเต็มเวลาและรู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์ต่อผู้อื่น

 

พร้อมกันนี้ OpenAI ยังได้เผยแพร่รายงานโดย รอนนี แชตเตอร์จี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์คนแรกของบริษัท ซึ่งเปรียบเทียบ AI กับเทคโนโลยีที่พลิกโฉมโลกอย่างไฟฟ้าและทรานซิสเตอร์ โดยระบุว่าปัจจุบัน ChatGPT มีผู้ใช้ทั่วโลกถึง 500 ล้านคน และ 20% ของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ใช้เพื่อการเรียนรู้และเพิ่มทักษะ

 

ภาพ:  Andrew Harnik/Getty Images

อ้างอิง:

The post แซม อัลต์แมน เตือนภัย! โลกจ่อเผชิญ ‘วิกฤตฉ้อโกง’ ครั้งใหญ่ หลัง AI เอาชนะระบบพิสูจน์ตัวตนส่วนใหญ่ได้แล้ว ทั้งปลอมเสียง-วิดีโอจนแยกไม่ออก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Intel ผ่าตัดใหญ่! ซีอีโอใหม่สั่งปลดพนักงาน 14,000 ตำแหน่ง พับแผนสร้างโรงงานในยุโรป หลังขาดทุนยับ 6 ไตรมาสติด https://thestandard.co/intel-layoffs-europe-investment-cut-2025/ Fri, 25 Jul 2025 09:29:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1099963 intel-layoffs-europe-investment-cut-2025

Intel ยักษ์ใหญ่แห่งวงการชิป ประกาศแผน ‘ผ่าตัดใหญ่’ องค์ […]

The post Intel ผ่าตัดใหญ่! ซีอีโอใหม่สั่งปลดพนักงาน 14,000 ตำแหน่ง พับแผนสร้างโรงงานในยุโรป หลังขาดทุนยับ 6 ไตรมาสติด appeared first on THE STANDARD.

]]>
intel-layoffs-europe-investment-cut-2025

Intel ยักษ์ใหญ่แห่งวงการชิป ประกาศแผน ‘ผ่าตัดใหญ่’ องค์กรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยจะปรับลดพนักงานลงกว่า 14,000 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 15% ของพนักงานทั้งหมด พร้อมยกเลิกแผนการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ในยุโรป 

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นยาแรงจาก ลิป-บู ตัน ซีอีโอคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม เพื่อกอบกู้วิกฤตและนำพาอดีตเจ้าตลาดรายนี้กลับสู่เส้นทางการแข่งขันอีกครั้ง

 

ลิป-บู ตัน ได้ส่งสารที่ชัดเจนถึงพนักงานทุกคน โดยระบุว่า “ยุคของการอนุมัติงบประมาณแบบไม่จำกัดได้จบลงแล้ว ทุกการลงทุนนับจากนี้ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าคุ้มค่าและมีเหตุผลทางธุรกิจรองรับ” ซึ่งเป็นการประกาศเปลี่ยนแนวทางการบริหารงานอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เน้นการลงทุนสร้างโรงงานขนาดใหญ่ล่วงหน้าเพื่อรอความต้องการจากตลาดในอนาคต

 

มาตรการ ‘รัดเข็มขัด’ ครั้งนี้จะรวมถึงการปรับลดพนักงานจากตัวเลข ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ 96,400 คน โดยตั้งเป้าให้สิ้นปี 2025 บริษัทจะมีพนักงานในส่วนธุรกิจหลักเหลือเพียง 75,000 คน ซึ่งการปรับลดนี้จะเน้นไปที่ตำแหน่งผู้จัดการระดับกลางเป็นหลัก

 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ระงับแผนการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเยอรมนีและโปแลนด์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งถือเป็นการพับโครงการลงทุนในยุโรปมูลค่ามหาศาล เพื่อบริหารค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และจะชะลอการก่อสร้างโรงงานมูลค่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 9.08 แสนล้านบาท) ในรัฐโอไฮโอออกไป

 

การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Intel ต้องเผชิญมรสุมมานานหลายปี จากการที่พลาดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญทั้งยุคของอุปกรณ์พกพาและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้ต้องสูญเสียความเป็นผู้นำให้กับคู่แข่งอย่าง Nvidia และ AMD 

 

ขณะที่ผลประกอบการก็ขาดทุนติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6 แล้ว โดยไตรมาสล่าสุดขาดทุนถึง 2.9 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท) แม้รายรับจะทรงตัวอยู่ที่ 1.29 หมื่นล้านดอลลาร์ก็ตาม

 

ตลาดหุ้นตอบสนองต่อข่าวนี้ด้วยปฏิกิริยาที่ผสมผสาน ราคาหุ้นดีดตัวขึ้นในช่วงแรกหลังการประกาศแผนปฏิรูปที่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นในตัวซีอีโอคนใหม่ แต่กลับร่วงลงในเวลาต่อมาหลังจากที่บริษัทคาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาสหน้าจะยังคงขาดทุนหนักกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

กลยุทธ์ใหม่ของ ลิป-บู ตัน ถือเป็นการพลิกแนวทางของ แพท เกลซิงเกอร์ ซีอีโอคนก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง โดยเกลซิงเกอร์ได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการขยายโรงงานผลิตชิปโดยหวังพึ่งพากฎหมาย CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่แผนดังกล่าวกลับไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ ทำให้โครงการในรัฐโอไฮโอที่เคยวางแผนจะแล้วเสร็จในปี 2025 อาจต้องเลื่อนออกไปจนถึงหลังปี 2030

 

สำหรับทิศทางในอนาคต Intel จะมุ่งเน้นไปที่การทวงคืนส่วนแบ่งตลาดโปรเซสเซอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่เรียกว่า 18A ซึ่งจะใช้ในชิปรุ่นใหม่ Panther Lake

 

ขณะที่ ‘เดิมพัน’ ครั้งสำคัญที่สุดคือเทคโนโลยีกระบวนการผลิตยุคถัดไปที่เรียกว่า 14A ซึ่งบริษัทหวังว่าจะสามารถดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ให้มาใช้บริการรับจ้างผลิตชิปได้ แต่ก็พร้อมจะยกเลิกหากไม่ประสบความสำเร็จ

 

หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.43 บาท ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 


ภาพ: charnsitr / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post Intel ผ่าตัดใหญ่! ซีอีโอใหม่สั่งปลดพนักงาน 14,000 ตำแหน่ง พับแผนสร้างโรงงานในยุโรป หลังขาดทุนยับ 6 ไตรมาสติด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปากบอกไม่ทำร้าย แต่การกระทำสวนทาง? ทรัมป์ลั่นหนุนธุรกิจมัสก์ แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าสอบสัญญา SpaceX และอาจเสียโปรเจกต์ 5 ล้านล้านบาท https://thestandard.co/trump-elon-musk-spacex/ Fri, 25 Jul 2025 09:25:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1099960 trump-elon-musk-spacex

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งสำคั […]

The post ปากบอกไม่ทำร้าย แต่การกระทำสวนทาง? ทรัมป์ลั่นหนุนธุรกิจมัสก์ แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าสอบสัญญา SpaceX และอาจเสียโปรเจกต์ 5 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-elon-musk-spacex

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเมื่อวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.) ที่ผ่านมา โดยประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่าจะไม่ทำลายบริษัทของ อีลอน มัสก์ ด้วยการตัดเงินอุดหนุนจากรัฐบาล และต้องการให้ธุรกิจของมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีรายนี้เติบโตต่อไป ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการปรับท่าทีหลังจากที่ทั้งสองซึ่งเคยเป็นพันธมิตรคนสำคัญได้เปิดศึก ‘แตกหัก’ กันอย่างรุนแรงในช่วงเดือนที่ผ่านมา

 

ด้าน อีลอน มัสก์ ก็ได้ออกมาตอบโต้ผ่านแพลตฟอร์ม X ทันที โดยแย้งว่า ‘เงินอุดหนุน’ ที่ทรัมป์พูดถึงนั้นไม่มีอยู่จริง เขาชี้แจงว่า SpaceX ชนะสัญญาจาก NASA เพราะทำงานได้ดีกว่าและมีราคาถูกกว่า ส่วน Tesla ก็ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นมาตรการที่เปิดกว้างสำหรับทุกบริษัท และที่สำคัญคือกำลังจะถูกยกเลิกโดยกฎหมายฉบับใหม่ของทรัมป์เองในสิ้นเดือนกันยายนนี้

 

ความขัดแย้งระหว่างสองยักษ์ใหญ่ปะทุขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม หลังจากที่มัสก์ซึ่งเคยทุ่มเงินมหาศาลช่วยทรัมป์หาเสียงเลือกตั้งและเคยเป็นหัวหอกในหน่วยงานปฏิรูปภาครัฐ ได้ออกมาวิจารณ์กฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ของทรัมป์อย่างเปิดเผยว่าอาจทำให้ประเทศล้มละลาย พร้อมทั้งประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การขู่จากฝั่งทรัมป์ว่าจะยกเลิกสัญญามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์กับบริษัทของมัสก์

 

สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่ออาณาจักรของมัสก์ โดยเฉพาะ Tesla ที่ตัวมัสก์เองเพิ่งออกมายอมรับกับนักลงทุนว่าบริษัทอาจต้องเผชิญกับ ‘ไตรมาสที่ยากลำบาก’ เนื่องจากการยกเลิกมาตรการลดหย่อนภาษีรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 7,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.42 แสนบาท) ซึ่งเคยเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นยอดขายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเป็นแหล่งรายได้ให้ Tesla มาแล้วกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.96 แสนล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2015

 

ขณะเดียวกัน SpaceX ซึ่งมีสัญญากับรัฐบาลมาแล้วกว่า 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7.12 แสนล้านบาท) ก็ตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะโครงการโล่ป้องกันขีปนาวุธ Golden Dome มูลค่า 1.75 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.66 ล้านล้านบาท) ที่ SpaceX เคยเป็นตัวเต็ง แต่ล่าสุดมีรายงานว่ารัฐบาลกำลังมองหาพันธมิตรรายอื่นเข้ามาแทนที่แล้ว

 

ท่าทีล่าสุดของทรัมป์จึงดูเหมือนจะ ‘สวนทาง’ กับการกระทำของรัฐบาลของเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะที่ปากบอกว่าต้องการสนับสนุน แต่หน่วยงานต่างๆ กลับเดินหน้าตรวจสอบสัญญาของ SpaceX และทำเนียบขาวเองก็เพิ่งแสดงท่าทีไม่ต้องการให้หน่วยงานรัฐทำงานร่วมกับ xAI บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของมัสก์ ทั้งที่กระทรวงกลาโหมเพิ่งอนุมัติสัญญาไปไม่นาน

 

แม้คำพูดของทรัมป์ในวันนี้อาจดูเหมือนเป็นการสงบศึกชั่วคราว แต่ ‘ความขัดแย้ง’ ที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายและความไม่แน่นอนให้กับธุรกิจของมัสก์ไปแล้ว

 

หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.36 บาท ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 

 


ภาพ: Kevin Dietsch/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ปากบอกไม่ทำร้าย แต่การกระทำสวนทาง? ทรัมป์ลั่นหนุนธุรกิจมัสก์ แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าสอบสัญญา SpaceX และอาจเสียโปรเจกต์ 5 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความมั่นคงสหรัฐฯ สั่นสะเทือน! แฮกเกอร์จีนเจาะระบบ ‘หน่วยงานนิวเคลียร์’ ผ่านช่องโหว่ Microsoft SharePoint กระทบวงกว้างกว่า 400 องค์กร https://thestandard.co/chinese-hackers-breach-us-nuclear-agency/ Thu, 24 Jul 2025 12:16:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1099484 แฮกเกอร์จีน

เกิดเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เมื […]

The post ความมั่นคงสหรัฐฯ สั่นสะเทือน! แฮกเกอร์จีนเจาะระบบ ‘หน่วยงานนิวเคลียร์’ ผ่านช่องโหว่ Microsoft SharePoint กระทบวงกว้างกว่า 400 องค์กร appeared first on THE STANDARD.

]]>
แฮกเกอร์จีน

เกิดเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เมื่อมีรายงานว่าแฮกเกอร์ได้เจาะเข้าระบบของหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่ง รวมถึงสำนักงานความมั่นคงทางนิวเคลียร์แห่งชาติ (NNSA) การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นผ่านช่องโหว่ร้ายแรงของซอฟต์แวร์ SharePoint ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายของ Microsoft

 

Microsoft ออกมากล่าวโทษว่าการโจมตีครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างน้อย 3 กลุ่ม คือ Linen Typhoon, Violet Typhoon และ Storm-2603 โดยทั้งหมดใช้ประโยชน์จาก ‘ช่องโหว่’ ที่เรียกว่า Zero-day ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ Microsoft เองเคยพยายามแก้ไขแต่ไม่สำเร็จในตอนแรก ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้เป็นประตูเพื่อเจาะเข้าระบบขององค์กรต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย

 

โฆษกกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานแม่ของ NNSA ออกมายอมรับว่าการโจมตีเริ่มขึ้นตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ยืนยันว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น ‘น้อยมาก’ และมีระบบเพียงส่วนน้อยที่ถูกเจาะ พร้อมทั้งให้ความมั่นใจว่าข้อมูลลับหรือข้อมูลชั้นความลับยังไม่เป็นที่ทราบว่าถูกเข้าถึงหรือรั่วไหลออกไป และกำลังอยู่ในระหว่างการกู้คืนระบบที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์ได้ให้ความเห็นว่า แม้ข้อมูลชั้นความลับสูงสุดจะถูกเก็บอยู่ในเครือข่ายที่ตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตและปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ข้อมูลประเภท ‘ละเอียดอ่อน’ อื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกจัดเป็นชั้นความลับอาจถูกเข้าถึงได้ ข้อมูลเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับวัสดุนิวเคลียร์หรือข้อมูลบุคลากร ซึ่งแฮกเกอร์สามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการโจมตีในรูปแบบอื่น เช่น การหลอกลวงทางสังคม (Social Engineering) ต่อไปได้

 

สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกขั้น เมื่อ Microsoft เปิดเผยว่ากลุ่มแฮกเกอร์ ‘Storm-2603’ ได้เริ่มยกระดับการโจมตีด้วยการปล่อยแรนซัมแวร์ (Ransomware) หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งจะทำการเข้ารหัสและทำให้ระบบของเหยื่อเป็นอัมพาตจนกว่าจะยอมจ่ายเงินค่าไถ่ นี่คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการโจมตีจากเดิมที่เน้นการจารกรรมข้อมูล ไปสู่การสร้างความเสียหายและเรียกค่าไถ่โดยตรง

 

การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นเป็น ‘วงกว้าง’ และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระบุว่าจำนวนองค์กรที่ตกเป็นเหยื่อได้พุ่งจาก 100 แห่งในช่วงสุดสัปดาห์ มาอยู่ที่อย่างน้อย 400 แห่ง และคาดว่าตัวเลขจริงจะสูงกว่านี้อีกมาก โดยนอกจากกระทรวงพลังงานแล้ว สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ก็ออกมายืนยันว่าถูกเจาะระบบเช่นกัน ขณะที่มีรายงานว่ากระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิก็ตกเป็นเป้าหมายด้วย

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หน่วยงานด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ถูกเจาะระบบ โดยในปี 2020 NNSA ก็เคยตกเป็นเหยื่อของการโจมตีครั้งประวัติศาสตร์ผ่านซอฟต์แวร์ของบริษัท SolarWinds มาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการตกเป็นเป้าหมายที่มีมูลค่าสูงอย่างต่อเนื่องของหน่วยงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงของชาติ

 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ยกระดับความตึงเครียดทางไซเบอร์ระหว่างประเทศ เมื่อทั้ง Microsoft และ Google ต่างชี้เป้าไปที่แฮกเกอร์จีน แม้ว่ารัฐบาลปักกิ่งจะออกมา ‘ปฏิเสธ’ ข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างสิ้นเชิงก็ตาม ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งแข่งกับเวลาเพื่อแก้ไขช่องโหว่ ก่อนที่แฮกเกอร์จะสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถประเมินขอบเขตความเสียหายที่แท้จริงได้ทั้งหมด


ภาพ: Tada Images / Shutterstock

อ้างอิง:

The post ความมั่นคงสหรัฐฯ สั่นสะเทือน! แฮกเกอร์จีนเจาะระบบ ‘หน่วยงานนิวเคลียร์’ ผ่านช่องโหว่ Microsoft SharePoint กระทบวงกว้างกว่า 400 องค์กร appeared first on THE STANDARD.

]]>
จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา https://thestandard.co/thai-rocket-engineer-europe/ Fri, 18 Jul 2025 11:46:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1097913 thai-rocket-engineer-europe

“ความยากของการสร้างจรวดคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถี […]

The post จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-rocket-engineer-europe

“ความยากของการสร้างจรวดคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถียรภาพ วัสดุต้องทนต่อความร้อน ทนแรงดันสูงและต้องพัฒนาระบบควบคุมการระเบิดแบบหมุนวนได้ นี่ถือเป็นงานวิจัยที่จะสร้าง breakthrough ให้กับวงการอวกาศ และหากประสบความสำเร็จจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ”

 

ในโลกที่การแข่งขันด้านอวกาศไม่ใช่แค่เรื่องของ NASA หรือ SpaceX อีกต่อไป ยุโรปกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตกขบวนและในสมรภูมิแห่งนี้ มีคนไทยคนหนึ่งที่สร้างเครื่องยนต์จรวดอวกาศให้กับบริษัทสัญชาติยุโรปนั่นคือ

 

อาชว์ ปลื้มปัญญา หรือ เอม หนึ่งในวิศวกรระบบขับเคลื่อนของ Rocket Factory Augsburg (RFA) สตาร์ทอัพด้านจรวดสัญชาติเยอรมนีอันดับต้นๆ ของยุโรป เขาเป็นคนไทยไม่กี่คนที่ได้มีโอกาสพัฒนาเครื่องยนต์จรวดจริง ตั้งแต่ประกอบ ทดสอบ ไปจนถึงผลิตเพื่อเตรียมส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร

 

เส้นทางของเขาเริ่มต้นจากเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ผูกพันกับการบิน จากนักเรียนไทยในมหาวิทยาลัยเพอร์ดู (Purdue University) ที่ได้ลงมือ “ออกแบบและระเบิดท่อทดลอง” จนไปถึงการร่วมขับเคลื่อนวงการสตาร์ทอัพอวกาศยุโรปให้เดินหน้า

 

THE STANDARD ชวนคุยกับอาชว์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความหลงใหลในจรวด เบื้องหลังชีวิตการทำงานในอุตสาหกรรมอวกาศจริง ข้อจำกัด ความผิดพลาด ความหวัง และคำถามสำคัญว่า “อวกาศไทยจะไปต่ออย่างไร?”

 

เพราะการสร้างจรวดอาจไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่มันคือเรื่องของการกล้าสร้างเส้นทางใหม่ในโลกที่ไม่มีทางเดิน

 

อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจจรวด

 

อาชว์: จริงๆ ครอบครัวอยู่ในแวดวงนี้ เริ่มจากคุณทวดเป็นทหารอากาศสมัยสงครามอินโดจีน คุณปู่เป็นนายพลทหารอากาศ น้องของคุณย่าก็เป็นนักบินรบเหมือนกันครับแล้วก็เป็นรุ่นคุณพ่อคุณลุงทั้งคู่ก็เป็นนักบินการบินไทยทั้งคู่

 

คุณแม่ก็ทำการบินไทยก็คือวนๆ อยู่ในนี้ครับ ตอนเด็กๆ ก็อยากเป็นนักบินเหมือนพ่อ ช่วงประมาณมัธยมปลายเริ่มผมก็มีความสนใจเรื่องอวกาศ ดู YouTube ข่าวการปล่อยจรวด NASA ดูหนัง Gravity ทำให้ผมมีความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นในด้านนี้

 

ตอนนั้นผมเรียนสาธิตเกษตรอินเตอร์ตั้งแต่ป.1 ถึงม.6 ผมไม่ได้เรียนเก่งท็อปห้องอะไรตลอด แต่จะเป็นเด็กที่พอมีความสนใจอะไรแล้วจะอยากต่อยอดตรงนั้นให้ลึกขึ้น พอช่วงมหาลัยสอบได้ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมยานยนต์ ที่จุฬาฯ ประมาณ 1 ปี ก็รู้สึกไม่ค่อยตรง ผมรู้สึกว่ามันยังก้าวไปในระดับที่ผมอยากไปไม่ได้ ด้วยทรัพยากร สภาพแวดล้อม เพราะต้องเข้าใจว่าอวกาศบ้านเรามันมีน้อยมากสำหรับการเรียนการสอน

 

พอถึงเทอม 2 เราเห็นน้องๆ ที่สาธิตเกษตรรุ่นต่อไปที่เขาจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยที่อเมริกากัน ผมคิดว่ามันเปิดโลกทัศน์ทั้งในด้าน professional และ self-development ผมรู้สึกว่าน่าสนใจ เลยตั้งใจสมัครดู ซึ่งก็คือมหาวิทยาลัย Purdue ตอนนั้นลำบากมากจริงๆ เพราะการที่จะ transfer เข้ามักจะคำนึง GPA จากจุฬาฯที่ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนช่วงนั้นเป็นหลัก พอไปสอบต่อที่อเมริกาแบบเด็กซิ่วเข้าไปมันยาก ผมยื่นคะแนนไป รู้ว่าไม่ติดวิศวะที่นั่นอยู่แล้วมันแข่งขันกันเยอะ ผมเลยเข้าทางลัดเรียกว่า undeclared ก็คือเข้าไปในสาขาที่ยังไม่ได้ declare ว่าอยากเรียนอะไร มันมีสำหรับเด็กที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองอยากเรียนอะไร จากนั้นค่อยไปเริ่มเรียนคณะวิศวกรรมอวกาศ เรียนปี 1 ใหม่ เพราะหน่วยกิตจากจุฬาฯโอนเทียบไม่ได้

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

มหาวิทยาลัย Purdue สอนอะไรเรา 

 

อาชว์: มหาวิทยาลัยเพอร์ดู มีประวัติศาสตร์ทางด้านอวกาศมายาวนานมาก ถ้านับจำนวนนักบินอวกาศที่เป็นเด็กจบจากเพอร์ดู มีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสองของอเมริกา รองจาก MIT เพอร์ดูมีศิษย์เก่าอย่าง Neil Armstrong คือคนแรกที่เหยียบดวงจันทร์และคนล่าสุดที่เหยียบดวงจันทร์คือ Eugene Cernan และยังมี Gus Grissom กับ Roger Chaffee ที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุทดสอบภารกิจ Apollo 1 รวมไปถึงวิศวกรระดับต่ำจนถึงระดับบริหารอีกนับไม่ถ้วนที่ทำงานให้กับ NASA, SpaceX, Blue Origin, Lockheed Martin, Orbital ATK, ISRO, JAXA ฯลฯ

 

เมื่อเรียนจบเด็กที่มีสัญชาติอเมริกันที่นี่จะมีบริษัทมาทาบทามไป เงินเดือนก็น่าจะสักแสนดอลลาร์ต่อปีขึ้นไป ความประทับใจที่เรียนที่นี่คือ Professor มีความรู้ทางด้านนั้นๆ ครอบคลุมเกือบทั้งหมดที่เราอยากเรียนรู้ มี Lab ที่ทำเกี่ยวกับ Propulsion ก็คือพวกเครื่องยนต์จรวด เครื่องยนต์เครื่องบิน เป็นต้น ชื่อว่า Zucrow Laboratories ที่มีขีดความสามารถสูงที่สุดในประเทศเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ

 

การเรียนการสอนก็จะ open-ended มากกว่าที่เราต้องทำเป็น teamwork ค้นคว้าด้วยตัวเองหา unique solution ไม่ใช่คำตอบตายตัวอะไรอย่างนี้ครับ ทำให้เหมือนนักเรียนได้ inspire ในการเป็นวิศวกรจริงๆ ในการแก้ปัญหา เราได้เป็น owner ของการคิดและการริเริ่มนำเสนอ Aerospace มี 2 สาขาหลักๆ คือเครื่องบินกับอวกาศ ผมจุดประกายความชอบมาจากกระสวยอวกาศกับเครื่องยนต์ ผมชอบความที่มันเป็น hardware ที่มันมีความซับซ้อนสูงและจับต้องได้

 

มีประสบการณ์ที่ท้าทายตอนเรียนป.โทบ้างมั้ย

 

อาชว์: ตอนป. โทผมลงเรียนลึกขึ้นด้าน Rocket Propulsion มีคลาสที่ประทับใจคือ AAE-53900 Advanced Rocket Propulsion หรือการออกแบบเครื่องยนต์จรวดสอนโดยศาสตราจารย์ Timothée Pourpoint ถ้านักเรียนคนไหนอยากไปอยู่ SpaceX หรือ NASA พัฒนาเครื่องยนต์จรวด คุณต้องลงคลาสนี้ อันที่ท้าทายที่สุดคือการที่ต้องเขียนโค้ดเพื่อที่จะ simulate และ analyze การถ่ายเทความร้อนภายใน nozzle จรวดที่มีการหล่อเย็นด้วยเชื้อเพลิง (heat transfer in regenerative cooled rocket nozzle) ก่อนจบคลาสก็จะมี project ใหญ่ๆ อีกสองอันซึ่งนำความรู้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ engine architecture ในภาพใหญ่แต่จะลงรายละเอียดในแง่มุม

 

ให้หลังมาปีหนึ่งตอนนั้นผมทำ final project สำหรับคลาส Air-Breathing Hypersonic Propulsion กับ Professor Heister แล้วสะดุดตาเขาเพราะเป็นนักเรียนคนแรกที่โค้ด simulation ของ flow field ในสองมิติโดยผมใช้ method of characteristics ในการจำลอง rotating detonation flow ในช่องเผาไหม้ เขาเลยไปแนะนำให้ Professor Pourpoint รับไปเป็น Teaching Assistant (TA) ช่วยสอนคลาส Advanced Rocket Propulsion การได้ช่วยสอนทำให้ผมได้เข้าใจเนื้อหามากกว่าการเป็นนักเรียนด้วยซ้ำไป นักเรียนหลายๆ คนผมยังติดต่ออยู่โดยคนที่มีสัญชาติอเมริกันก็ไปทำงาน NASA SpaceX กับ Blue Origin ก็มีไม่น้อย

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

ภาพถ่ายร่วมกับศาสตราจารย์ Timothée Pourpoint

 

มีคลาสไหนที่ได้ลงมือทดลองจริงบ้างไหม

 

ผมลงคลาสนึงที่ประทับใจคือ Design, Build, Test สอนโดย Professor Carson Slabaugh ที่คุมทีมวิจัย Rotating Detonation Engine (RDE) คือจะทำเครื่องยนต์จรวดแบบใหม่ในวงการเครื่องยนต์จรวดที่กำลังได้รับความสนใจจากนักวิจัยหลายแห่ง ปกติกลไกการเผาไหม้จะมีสองแบบคือแบบปกติและการระเบิด (Detonation) การเผาไหม้แบบปกติ เครื่องยนต์จรวดทั่วไปที่เห็นในการปล่อยจรวดใช้การเผาไหม้แบบปกติ มีความเร็วต่ำกว่าความเร็วเสียงและเห็นเป็นเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจากท้ายจรวด

 

แต่การระเบิด (Detonation) จะเป็นการเผาไหม้ที่มีความเร็วสูงกว่าความเร็วเสียง มีแรงดันขับเคลื่อนที่สูงกว่าการเผาไหม้แบบปกติหลายเท่า และมีการเกิดคลื่นช็อก (Shock wave) ออกมาด้วย โดยทั่วไปแล้ว วิศวกรมักจะพยายามหลีกเลี่ยงการเกิด Detonation ในเครื่องยนต์จรวดแบบดั้งเดิม เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นสามารถทำลายเครื่องยนต์ได้ทันที

ซึ่ง Rotating Detonation Engine จะเป็นแนวคิดที่จะนำเอาพลังงานจากการระเบิดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยออกแบบให้เกิดการระเบิดหมุนเวียนเป็นวงรอบภายในห้องเผาไหม้ คลื่นการระเบิดจะหมุนไปเรื่อยๆ ในทิศทางเดียวกัน เหมือนเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่เป็นวงและสามารถควบคุมการระเบิดให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ข้อดีของ RDE คือ ประสิทธิภาพสูงขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า สร้างแรงดันที่สูงกว่าการเผาไหม้แบบปกติ ซึ่งความยากคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถียรภาพ วัสดุที่ใช้ต้องทนต่อความร้อนและแรงดันสูงมากและต้องพัฒนาระบบควบคุมที่สามารถจัดการกับการระเบิดแบบหมุนวนได้ นี่ถือเป็นงานวิจัยที่มีศักยภาพที่จะสร้าง breakthrough ให้กับวงการอวกาศ และหากประสบความสำเร็จจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับ hardware จริงๆ เพราะก่อนหน้านี้โจทย์ที่ได้มาในกระดาษจะไม่พูดถึงโครงสร้างหรือชิ้นส่วนมากนัก จะโฟกัสที่การคำนวณหาค่าโดยไม่คำนึงถึงวิธีผลิตหรือประกอบ โจทย์ของทีมคือการออกแบบประกอบและทดสอบ hardware ที่สามารถใช้วิเคราะห์การระเบิดของส่วนผสมระหว่าง ammonia และแก๊สออกซิเจน (detonation characteristics of premixed ammonia-gaseous oxygen) โดยแท่นทดลองถูกออกแบบให้เป็น detonation tube ตั้งชื่อว่า BookStick มีขนาดท่อลดหลั่นกันลงไปเพื่อที่จะศึกษา quenching length ของการระเบิด และมีเซนเซอร์ตลอดลำท่อเพื่อที่จะวัดความเร็วของ detonation front งบในการพัฒนา $6,000

 

เรามีเวลาแค่สี่เดือนเลยต้องเร่งมือ มีหลายๆ อย่างที่ไม่เข้าที่เข้าทางแต่สุดท้ายเรา confirm ได้ว่าสามารถ detonate ส่วนผสม ammonia ในท่อสำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแล็บ อาจารย์ยังเอ่ยปากชมว่าเป็นทีมที่มี teamwork ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่สำคัญมากในการทำงานสายนี้

 

ความท้าทายในการทำงานด้านจรวดคืออะไร

 

อาชว์: แน่นอนว่าเขาให้เฉพาะคนอเมริกันมาทำงานด้านนี้ครับ เพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ ดังนั้นเขาไม่อนุญาตให้คนสัญชาติอื่นมาทำงานบริษัทด้านจรวดในอเมริกาครับ ถือเป็นความลับ แค่ฝึกงานก็ไม่ได้ ขั้นต่ำจะต้องเป็น permanent resident หรือมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยอย่างถูกกฎหมาย เพราะด้วยข้อบังคับ ITAR (International Traffic in Arms Regulations) จรวดไม่ว่าจะใช้ขนส่งอะไรก็ยังถือว่าเป็นยุทโธปกรณ์

 

แต่ถ้าฝั่งยุโรปก็จะเปิดกว้างมากกว่าในการรับคนสัญชาติอื่น เรียนจบเลยตัดสินใจสมัครงานที่ RFA (Rocket Factory Augsburg) บริษัทสตาร์ทอัพด้านอวกาศสัญชาติเยอรมัน ติดอันดับ Top ของยุโรปเลยครับ ทุกประเทศอยากตาม SpaceX ให้ทัน ยุโรปก็ตื่นตัว ทีนี้เยอรมนีจะมี 2 บริษัทที่นำหน้าทางยุโรปเลยก็คือ RFA กับ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

RFA เป็นบริษัท spin-off มาจากบริษัท OHB SE กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอวกาศสัญชาติเยอรมัน-ยุโรปที่โด่งดังในการผลิตดาวเทียม เพราะในยุโรปเองเล็งเห็นความล้าหลังในเทคโนโลยีจุดนี้จึงอยากกระตุ้นบริษัทที่สามารถปล่อยดาวเทียมของตัวเองได้ ดาวเทียมเล็กๆ อยากมี VC เข้ามา แต่ต้องเป็น Strategic Investor หมายความว่าไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใครจะมาลงทุนก็ลงได้ ต้องผ่าน OHB SE ก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไม RFA ทุนเลยน้อยกว่า start-up บางบริษัทที่กำลังแข่งขันกันภายในทวีป ดังนั้นเราต้องทำทุกอย่างให้ฉลาดในสภาวะที่มีทรัพยากรจำกัด

 

ถ้าได้ยินข่าวดังของ RFA ปีที่แล้วมีการทดสอบก่อนที่จะปล่อยจรวดจริงๆ ก็เกิดอุบัติเหตุ อาจพูดได้ไม่มากว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่มันมีบางอย่างเกี่ยวกับดีไซน์ของ turbopump ที่ก่อให้เกิด oxygen fire ที่ควบคุมไม่อยู่ ในขณะที่ทดสอบ static hotfire ของจรวดขั้นที่หนึ่ง (Stage 1) ซึ่งจุดเครื่องยนต์ 9 เครื่องพร้อมกัน สุดท้ายสูญเสียจรวดขั้นที่หนึ่งพร้อมกับเครื่องยนต์ทั้งหมดไป เป็นการสูญเสียที่ใหญ่ของบริษัทแต่ไม่มีใครเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บนะครับ เรามี standard ที่ผมค่อนข้างเชื่อมั่นอยู่แล้ว เคราะห์ดีที่จรวดขั้นที่สองและสามยังปลอดภัยดี ส่วนฐานปล่อยได้รับความเสียหายแค่เล็กน้อย

 

ผมเรียกว่ามันก็เป็นการทดสอบที่ล้มเหลวดีกว่า ไม่ใช่อุบัติเหตุ นี่เป็นเรื่องปกติของการทดสอบจรวดและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา R&D ไม่ว่าจะเป็น hardware ไหนๆ ที่นักลงทุนและผู้มีอำนาจจะต้องเข้าใจครับ

 

ช่วงที่ทำงานเป็นวิศวกรด้านจรวดทำอะไรบ้าง

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

อาชว์: ณ ตอนนั้นน่ะ ผมเข้าไปเริ่มงานในจุดที่เพิ่งจะทดสอบเครื่องยนต์จรวดสำเร็จรอบแรก บริษัทฯ ได้ทำการพัฒนาเครื่องยนต์จรวดให้สำเร็จก่อนเพราะมันเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดและพัฒนายากที่สุด เมื่อทดสอบผ่านขั้นต่อไปคือการสร้างเครื่องยนต์เป็น production ก็คือผลิตเครื่องตัวนี้เพิ่ม 10 กว่าตัว เพื่อที่จะเอามาใส่จรวดจริงๆ ในการปล่อยจรวดครั้งแรก

 

ผมเข้าไปฝึกงานตอนนั้น ไม่ได้มีความรู้มากมายในด้านอุตสาหกรรมนั้น เริ่มตั้งแต่งานลูกกระจ๊อกที่สุดเลยก็คือไปคุม storage ของ flight hardware มันก็จะมีห้องโกดังเล็กๆ อันหนึ่งที่แบบเก็บชิ้นส่วนทุกอย่างที่จะนำมาประกอบเป็นเครื่องยนต์จรวด

 

ผมก็ไปนั่งนับสกรูว่าอันนี้มันมีกี่อันเพราะมันไม่ตรงกับใน system ก็ไปเรียนรู้ว่าชิ้นนี้เรียกว่าอะไร system code ของมันคืออะไร มันไปใช้อยู่ตรงไหน ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าคุ้มแล้ว อย่างน้อยก็เป็นคนไทยที่ได้มาทำจุดนี้ ถึงงานมันจะโง่มากไปหน่อย แต่ผมได้เรียนรู้จากพื้นฐานมากๆ ผมได้เรียนรู้ทุกชิ้นของจรวดที่มีอยู่ ชิ้นส่วน 800 กว่าชิ้นที่ไม่เหมือนกัน รู้ว่าคืออะไร ประกอบเข้ามาตรงไหน

 

ทำอยู่ประมาณ 3 เดือนก็ถูกเลื่อนมาทำหน้าที่คล้ายๆ โฟร์แมนในไซต์ก่อสร้างทำให้ได้ใช้สมองมากขึ้น งานผมคือการเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง design engineer กับ assembly technician คล้ายสถาปนิกกับวิศวกรออกแบบตึกต้องทำงานร่วมกัน แต่สองส่วนนี้มันไม่ได้เชื่อมกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ผมต้องคอยคุมว่า เอ้ย ชิ้นนี้มีปัญหาแล้วนะ ปัญหาใหญ่ๆ ก็ต้องปรึกษากับเจ้าของระบบหรือเรียกว่า system owner ซึ่งเป็นคนออกแบบหรือรับผิดชอบสูงสุดของระบบนั้นๆ เช่น turbopump preburner หรือวาล์วต่างๆ ปัญหาเล็กๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วผมก็จะเรียนรู้และนำการแก้มาใช้ได้ทันทีเลย ความน่าสนใจคือพอได้ทำงานกับคนหลายสัญชาติ เราก็ได้เห็นวิธีคิดเขา แต่ละคนคิดแก้ปัญหายังไง

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

พอทำต่อมาได้อีกสักพักหนึ่งผมถูกเลื่อนขึ้นมาคุม engine production ทั้งหมดเป็นคนแรกเพราะเป็นเครื่องยนต์ล็อตแรกของบริษัท ซึ่งเป็นงานที่กดดันสูง เพราะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการจากการผลิตต้นแบบ (Prototyping) ไปสู่การผลิตจำนวนมาก (Serial Production) ให้มีประสิทธิภาพและส่งมอบทันเวลา หน้าที่ของผมคือรับชิ้นส่วนมาประกอบ ทดสอบ และทำ QC ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางวิศวกรรม จนในที่สุดผมและทีมก็สามารถส่งมอบเครื่องยนต์ Helix ทั้ง 14 เครื่องได้สำเร็จ โดยทุกเครื่องผ่านการทดสอบการจุดระเบิดครั้งแรก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญและเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตการทำงานของผม

 

เนื่องจากการทำตำแหน่งนี้อาศัยการ manage คนและทรัพยากรเป็นหลัก และทำให้มีความรู้กว้างแต่ไม่ลึกในด้านใดด้านหนึ่ง ผมเลยขอหัวหน้าเปลี่ยนตำแหน่งลงมาทำอะไรที่จะได้มีความเป็นเจ้าของของ hardware มากขึ้น ผมเลยได้เปลี่ยนมาเป็น system owner (วิศวกรที่รับผิดชอบเกี่ยวกับระบบใดระบบหนึ่ง) อย่างคนนี้เขาทำ pump คนนี้ทำท่อ เป็นต้น มันจะมีวาล์ว (วาล์วสำหรับเปิด-ปิดหรือควบคุมการไหลของเชื้อเพลิงและแก๊สต่างๆ) หลายตัว ผมก็ได้เป็น system owner สำหรับ 2 อย่างก็คือหลักๆ ทำวาล์วเชื้อเพลิงหลัก (main fuel valve) แล้วก็วาล์วควบคุม (flow control valves) เวลาครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการแก้ปัญหาและพัฒนาระบบที่เป็นเจ้าของอีกครึ่งหนึ่งผมยังใช้ไปกับการสนับสนุนคนคุม engine production คนใหม่ในตำแหน่ง advisor เพราะถือว่ายังมีความสำคัญสูงสุดของบริษัทอยู่ เหนือไปกว่าการพัฒนาคือการผลิต product ที่ใช้งานให้ได้ก่อน

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

ถามว่าทำงานที่นี่แตกต่างจากที่อื่นอย่างไร ผมรู้สึกว่าหลายๆ บริษัทจะทดสอบทุกอย่างให้ชัวร์ก่อน ความเสี่ยงจะต่ำ เพราะทุกอย่างต้องเป๊ะก่อน requirement สำหรับ system ของเขาเป็นหลายๆ ช่อง เขาก็ติ๊กหมดเลย และเพราะงบประมาณสูงด้วยเลยต้องระมัดระวัง แต่ RFA ไม่ได้มีงบเยอะขนาดนั้น บางช่องที่ไม่ได้ติ๊ก ก็เทสต์ใหม่ จนมันเวิร์ก เหมือนปรัชญาของ SpaceX ที่บอกว่าเขาไม่ได้ไปทำทุกอย่างให้มันเวิร์กก่อน คือมันไม่ต้องสร้างเป๊ะมาก แต่คือเทสต์ไปเรื่อยๆ จะได้รู้ว่าจุดไหนผิดถูกแล้วก็จะได้แก้จุดนั้น ถ้าคุณใช้เวลาในการดีไซน์มากเท่าไรมันไม่เห็นเป็นรูปธรรมสักที อย่าง COO ของบริษัทเขาจะพูดเสมอเลยว่าอย่า simulate อะไรที่สามารถทดสอบจริงได้เพราะทำเป็นพันชั่วโมงมันก็ให้คำตอบไม่ตรงเท่ากับการทดสอบจริง

 

ผมดีใจนะที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการส่งมอบเครื่องยนต์จรวดให้นำไปใช้ในการทดสอบ ถึงแม้จะล้มเหลวจากสาเหตุอื่นจนสูญเสียไป 9 เครื่องและตัวจรวด Stage 1 แต่นั่นถือเป็นก้าวแรกที่เราสามารถพยายามส่งมอบของที่มีความ reliable สูงในการนำไปใช้ซึ่งไม่ใช่แค่การขับเคลื่อนบริษัทเท่านั้นแต่คือขับเคลื่อนทั้งยุโรป เพราะว่าทั้งทวีปยุโรปมีแค่ไม่กี่บริษัทที่ทำได้ นี่คือความแตกต่างที่เราสร้างและ RFA จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับยุโรป

 

ในอนาคตเราจะทำจรวดที่มีแรงขับเคลื่อนเยอะกว่านี้ requirement ก็จะสูงกว่านี้ แรงดันก็จะสูงกว่านี้ ปีที่แล้วมันใกล้สำเร็จมากๆ แล้ว ก็ยังมีความหวังว่าจะได้เห็นมันได้ launch เป็นจรวดลำแรกจากพื้นดิน EU ปล่อยขึ้นที่พัฒนาโดยภาคเอกชนก่อนสิ้นปีนี้ อันนี้คือภารกิจที่อยากจะทำให้สำเร็จ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

มองอวกาศประเทศไทยอย่างไร

 

อาชว์: ผมคิดว่าคนไทยที่มีอำนาจในการให้งบประมาณอาจยังไม่เข้าใจ R&D มากพอ การที่อุตสาหกรรมหรือการวิจัยเติบโตได้คือต้องไม่หวังผลทุกรอบ มันไม่ได้ contribute to product ที่ทำเงินได้เอามาก่อน มันเป็นพื้นฐานในการต่อยอดขึ้นไปทำ application แล้วก็เป็น industry ต่อไปได้

 

ประเทศไทยเราต้องมี Heavy Industry ที่เป็นเจ้าของเป็น OEM เป็นผู้พัฒนา ยิ่งเราเริ่มช้าเรายิ่งตกขบวน ไม่ใช่ว่าคุณอยากพัฒนา product ที่เป็น end application แต่ว่าคุณไม่มี industry รองรับถามว่าถ้าเราไปซื้อของจีน ของอินเดียมาแบบนั้นได้ไหม ได้ แต่มันไม่คล่องตัวและไม่ยั่งยืนเท่าการที่จะมี Supplier ภายในประเทศ รวมถึงระบบการศึกษาที่ต้องยกระดับด้วยเพื่อให้เด็กไทยมี analytical mindset ที่สำคัญมากในการเรียนวิชา STEM

 

ผมพยายามเก็บประสบการณ์ทำงานจากต่างประเทศแล้วกลับมาสร้าง infrastructure ให้กับประเทศไทยด้าน space economy แน่นอน เรื่องจรวดผมรู้อยู่แล้วว่ามันทำไม่ได้ ก็คงต้องดูว่าเทคโนโลยีไหนที่มันทำเงินได้และเป็น expertise ของตัวเองด้วย แต่คงไม่ถึงกับแบบเป็น product ที่เป็นจรวดเป็นลำ ผมเป็นคนที่อยากต้องพัฒนาอะไรไปด้วยจริงๆ อาจจะกลับมาทำสตาร์ทอัพ supply chain ชิ้นส่วนด้านจรวดและสอนหนังสือไปด้วยก็เป็นไปได้ครับ ขึ้นอยู่กับการผลักดันจากทางภาครัฐเพราะผมก็ไม่สามารถจะช่วยประเทศชาติได้ถ้าต้องมาขาดทุนส่วนตัวในการพัฒนาประเทศ มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ส่วนผมมีหน้าที่ใช้ความรู้ขับเคลื่อนสังคมตามกำลังที่มี

 

วิศวกรอวกาศถ้าสร้างจรวดได้แปลว่าสร้างอะไรก็ได้บนโลกใบนี้

 

อาชว์: ผมคิดว่าศาสตร์ของผมก็จะ Old School นิดหนึ่ง อย่างน้อยมันอาจจะมีสิ่งที่เหมือนกันคือพื้นฐานความรู้ในการทำและคิดแก้ไขปัญหาบางอย่างที่มันเหมือนกัน มันสามารถประยุกต์ใช้สร้างสิ่งต่างๆ ได้ วิศวกรถ้าให้นิยามก็ต้องเป็นคนที่เข้าใจ first principles คือหลักแก่นแท้ของศาสตร์แต่ละอันคือคุณเข้าใจตรงนี้แล้วคุณประยุกต์มาใช้ให้ถูกต้องนั่นคือวิศวะในการแก้ปัญหาซึ่ง Elon Musk เคยพูดเรื่องนี้บ่อยๆ

 

อยากฝากอะไรถึงน้องๆ หรือคนที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้แต่สนใจด้านอวกาศ

 

ผมโชคดีมากๆ ที่ทางบ้านมีทุนพอที่จะส่งผมไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยไม่ต้องไปดิ้นรนหาทุนเอาเอง จากจุดนั้นจนถึงวันนี้ผมค่อยเดินอีกครึ่งทางต่อมาด้วยตัวเอง สำหรับน้องๆ คนไทยหลายๆ คนผมรู้ว่ามันลำบากที่จะต้องเดินด้วยตัวเองทั้งทางตั้งแต่แรกจนจบ แต่มันเป็นไปได้ ผมไม่อยากจะดูแคลนการศึกษาประเทศไทยแต่ดูจาก ranking มหาวิทยาลัยแค่ภายในทวีปต้องยอมรับว่าเรายังล้าหลังอยู่มาก ผมสนับสนุนว่าถ้ามีโอกาสอยากจะให้ออกมาสัมผัสการศึกษาในประเทศที่ขึ้นชื่อในศาสตร์ที่ตัวเองสนใจ

 

สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมล้วนแล้วมาจากการที่ได้ท้าทาย comfort zone ตัวเอง การที่ได้ทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัดหรือคุ้นชินคือการที่ได้ผลักดันตัวเองไปในทางที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่แค่ในทางการงานแต่ในชีวิตประจำวันด้วย สำคัญที่สุดคืออย่านิ่งนอนใจว่าโอกาสมันจะตกใส่ตัวเอง มันไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าเราไม่กระตือรือร้นไขว่คว้ามันเอง สำหรับน้องๆ ที่มี passion กับอะไรสักอย่าง อยากจะบอกให้ take action เพราะยิ่งรอนานยิ่งจะเฉื่อย การจะส่งอะไรไปดวงจันทร์ถ้าเล็งวงโคจรนั้นพลาดไปแค่องศาเดียวสุดท้ายจะคลาดเป้าหมายไปเกือบหมื่นกิโลเมตร ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายแล้วก็ควรจะปรับโคจรตัวเองแต่เนิ่นๆ แล้วก็ปรับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางด้วย ที่สุดแล้วต้องถามตัวเองลึกๆ ก่อนว่าจุดหมายของเราคืออะไรแล้วก็อย่าชะล่าใจในการวิ่งตามมัน

 

สุดท้ายอยากฝากมอตโตที่ผมชอบในภาษาละติน ซึ่งเป็นคติที่ผลักดันให้ผมกล้าหาหนทางเดินต่อไปได้คือ “Aut viam inveniam aut faciam” (I shall either find a way or make one) แปลว่า “ฉันจะหาทางให้ไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าเส้นทางนั้นไม่มี ก็ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง” 

The post จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา appeared first on THE STANDARD.

]]>
จากเบอร์ 1 สู่ขาลง? Tesla ยอดตกหนัก! แต่ไม่รอช้า เร่งบุกอินเดีย และส่ง Model Y L ท้าชน BYD ในจีน https://thestandard.co/teslas-new-strategy-india-china/ Fri, 18 Jul 2025 09:29:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1097820 Tesla

Tesla มียอดขายทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมา […]

The post จากเบอร์ 1 สู่ขาลง? Tesla ยอดตกหนัก! แต่ไม่รอช้า เร่งบุกอินเดีย และส่ง Model Y L ท้าชน BYD ในจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tesla

Tesla มียอดขายทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ปี 2024 ยอดขายอยู่ที่ 384,122 คัน ลดลง 13.5% จากปีก่อน ซึ่งยอดขายในจีนก็ลดลง 11.7% เหลือเพียง 128,803 คัน สวนทางกับคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง BYD ทำยอดขายรถ EV ได้ถึง 606,993 คัน ในไตรมาสเดียวกัน มากกว่า Tesla เกือบ 60%

 

ในจังหวะที่ยอดขาย Tesla ทั่วโลกร่วงหนัก แต่ก็ไม่รอช้า เดินหน้าเจาะตลาดใหม่เพื่อหาทางกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดเพิ่งเปิดโชว์รูมแห่งแรกใน ‘มุมไบ’ ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ในช่วงเวลาเดียวกันได้ประกาศแผนเปิดตัว Model Y รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน หวังเรียกคืนลูกค้าท่ามกลางการแข่งขันสุดเดือด

 

แม้ Tesla จะเคยพยายามเข้าเจาะอินเดียมาหลายปี แต่ติดปัญหาใหญ่เรื่องภาษีนำเข้ารถยนต์ต่างประเทศของอินเดีย ที่อาจทำให้ราคาขายพุ่งขึ้นกว่าเท่าตัว แต่ล่าสุด Tesla ได้เปิดตัวรถ Model Y ในอินเดีย โดยตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 6,107,190 รูปี หรือประมาณ 2.6 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาขายในสหรัฐฯ แถมยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อีก 7,500 ดอลลาร์

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

แม้ราคาขายในอินเดียจะโหดมาก แต่ Tesla มองว่าอินเดียคือโอกาส สอดรับกับ CFO ของ Tesla เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่เดือนเมษายนว่า อินเดียเป็นตลาดที่ร้อนแรงมาก และมีประชากรชนชั้นกลางขนาดใหญ่ ทั้งหมดคือโอกาสสร้างการเติบโต

 

แต่ก็ยอมรับว่าอุปสรรคใหญ่ที่สุดคือภาษีนำเข้า ที่ยังไร้ข้อสรุปด้านการเจรจาการค้า แม้ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเคยกล่าวว่าอินเดียเตรียมยกเลิกภาษีนำเข้าเพื่อดีลกับสหรัฐฯ แต่ทางการอินเดียก็รีบออกมาปฏิเสธว่า ยังไม่มีข้อตกลงใดเป็นรูปธรรม

 

ขณะเดียวกัน Tesla ก็กำลังเผชิญแรงกดดันในจีนอย่างหนัก เนื่องจากจีนเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีการแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะค่าย BYD ที่มียอดขายเติบโตแซงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว

 

เพื่อเรียกลูกค้ากลับมา Tesla ได้เตรียมเปิดตัว Model Y L รถ SUV รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่ง ฐานล้อยาวเกือบ 3.04 เมตร ยาวกว่ารุ่นปกติ ตั้งใจทำออกมาเจาะกลุ่มครอบครัว แม้ยังไม่ได้ประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่ได้โพสต์ทีเซอร์แรกของ Model Y L ถูกปล่อยผ่านโซเชียลมีเดียในจีน พร้อมข้อความว่า ‘Model Y L พบกันฤดูใบไม้ร่วงนี้’ เป็นที่น่าจับตาว่าราคาจะสูงกว่ารุ่น Model Y ในจีน ที่ตอนนี้ขายอยู่ที่ 263,500 หยวน หรือราว 1.3 ล้านบาท มากน้อยแค่ไหน

 

ทั้งนี้ ปัจจุบันโรงงาน Tesla ที่เซี่ยงไฮ้ ผลิตรถ Model Y เป็นหลัก โดยในปี 2024 ได้ขาย Model Y ในจีนได้กว่า 480,000 คัน ซึ่งทำให้กลายเป็น SUV ที่ขายดีที่สุดในจีน และในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โรงงานในเซี่ยงไฮ้ผลิตได้ถึง 61,000 คัน เพิ่มขึ้น 3.7% จากปีก่อน

 

อย่างไรก็ตาม แม้จีนและอินเดียจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ Tesla ยังมีจุดอ่อนในด้านกลยุทธ์เจาะตลาดต่างประเทศ ทั้งในแง่ราคา ตามด้วยภาษี และภาพลักษณ์ของแบรนด์ จากบทบาททางการเมืองของ Elon Musk ที่สร้างกระแสบวกและลบผสมกัน

 

สุดท้ายแล้วการเปิดตลาดใหม่ในอินเดียและการเปิดตัว Model Y L ในจีน อาจเป็นก้าวสำคัญของ Tesla แต่ไม่ใช่เดิมพันที่แน่นอนในตลาด EV ที่นับวันยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

 

ภาพ: Miss.cabul / Shutterstock 

อ้างอิง:

The post จากเบอร์ 1 สู่ขาลง? Tesla ยอดตกหนัก! แต่ไม่รอช้า เร่งบุกอินเดีย และส่ง Model Y L ท้าชน BYD ในจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>