Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 19 Aug 2025 02:48:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Sam Altman ซีอีโอ OpenAI เตือนสหรัฐฯ กำลังประเมินภัยคุกคาม AI จากจีนต่ำเกินไป https://thestandard.co/altman-warns-us-about-china-ai/ Tue, 19 Aug 2025 02:48:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1108716

แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI เตือนว่าสหรัฐฯ อาจกำลังปร […]

The post Sam Altman ซีอีโอ OpenAI เตือนสหรัฐฯ กำลังประเมินภัยคุกคาม AI จากจีนต่ำเกินไป appeared first on THE STANDARD.

]]>

แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI เตือนว่าสหรัฐฯ อาจกำลังประเมินความก้าวหน้าของจีนในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่ำเกินไป พร้อมระบุว่ามาตรการควบคุมการส่งออกชิปเพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบที่เชื่อถือได้

 

Altman กล่าวว่าการแข่งขัน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้นซับซ้อนกว่าการวัดว่าใคร ‘นำ’ หรือ ‘ตาม’ เพราะมีหลายมิติ ทั้งความสามารถด้านการประมวลผล การวิจัย และการสร้างผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีนอาจสร้างโครงสร้างพื้นฐานบางอย่างได้รวดเร็วกว่าสหรัฐฯ เขาไม่เชื่อว่าการจำกัดการส่งออก GPU จะได้ผลจริง เพราะจีนสามารถสร้างโรงงานผลิตชิปเองหรือหาทางเลี่ยงข้อจำกัดได้ ซึ่งเขากล่าวว่า “มันไม่มีทางแก้ง่ายๆ”

 

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ โจ ไบเดน เริ่มจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน แต่โดนัลด์ ทรัมป์​ ก้าวไกลกว่า ด้วยการสั่งห้ามส่งออกชิปขั้นสูงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการผ่อนปรนเปิดทางขายชิปที่ปลอดภัยต่อจีนภายใต้ข้อตกลงใหม่ที่บังคับให้ Nvidia และ AMD มอบรายได้จากชิปในจีน 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ

 

มาตรการนี้สร้างความสับสนเพราะในขณะที่บริษัทอเมริกันยังพึ่งพา Nvidia และ AMD อย่างหนัก บริษัทจีนก็เร่งพัฒนาและใช้ชิปจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei ทำให้เกิดคำถามว่าการตัดการส่งออกจะบรรลุผลจริงหรือไม่

 

ความก้าวหน้าของจีนยังมีอิทธิพลต่อท่าทีของ OpenAI เอง ซึ่ง แซม ยอมรับว่าหนึ่งในเหตุผลที่บริษัทเพิ่งเปิดตัวโมเดล open-weight เป็นเพราะการแข่งขันจากจีน โดยเฉพาะโมเดลโอเพนซอร์สอย่าง DeepSeek

 

OpenAI เพิ่งเปิดตัวโมเดลภาษา open-weight 2 ตัว (gpt-oss-120b และ gpt-oss-20b) ซึ่งนักพัฒนาสามารถดาวน์โหลดมารันบนเครื่องและปรับแต่งได้ ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ GPT-2 ในปี 2019 ที่บริษัทเลือกใช้แนวทางนี้ แม้ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการฝึกสอนหรือซอร์สโค้ดเต็มเหมือนโอเพนซอร์สแท้

 

ด้วยการเปิดตัวครั้งนี้ OpenAI ได้เข้าร่วมกระแสดังกล่าว และในขณะนี้ OpenAI ยังคงเป็นบริษัทต้นแบบด้านรากฐานรายใหญ่เพียงรายเดียวในสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นแนวทางที่เปิดกว้างมากขึ้น แม้ว่า Meta จะเปิดรับแนวคิดเปิดกว้างด้วยโมเดล Llama แต่ Mark Zuckerberg ซีอีโอได้เสนอแนะในการประชุมผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของบริษัทว่า บริษัทอาจยุติกลยุทธ์ดังกล่าวในอนาคต

 

ในขณะเดียวกัน OpenAI กำลังก้าวไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยคาดการณ์ว่า การเข้าถึงที่กว้างขวางขึ้นจะช่วยขยายระบบนิเวศนักพัฒนาและเสริมสร้างสถานะของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากจีน ก่อนหน้านี้ Altman เคยยอมรับว่า OpenAI “อยู่ผิดด้านของประวัติศาสตร์” ด้วยการล็อกโมเดลของตนไว้

 

ท้ายที่สุด การตัดสินใจของ OpenAI แสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการรักษาการมีส่วนร่วมของนักพัฒนาและดึงพวกเขาให้อยู่ในระบบนิเวศของตน การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในขณะที่ Meta กำลังทบทวนท่าทีต่อโอเพนซอร์สอีกครั้ง และในขณะที่ห้องปฏิบัติการวิจัยของจีนกำลังปล่อยโมเดลจำนวนมากที่ถูกออกแบบมาให้ยืดหยุ่นและแพร่หลาย

 

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวโมเดลแบบ open-weight ครั้งแรกกลับได้รับเสียงวิจารณ์หลากหลาย บางนักพัฒนามองว่าโมเดลยังน่าผิดหวัง เพราะความสามารถหลายอย่างที่ทำให้ข้อเสนอเชิงพาณิชย์ของ OpenAI ทรงพลัง ถูกตัดออกไป

 

Altman ไม่ได้ปฏิเสธประเด็นนี้ โดยยอมรับว่าทีมตั้งใจออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานหลักเพียงหนึ่งเดียว คือ “เอเจนต์เขียนโค้ดที่รันในเครื่องได้” เขากล่าวว่าถ้าในอนาคตความต้องการของโลกเปลี่ยนไป โมเดลเหล่านี้ก็สามารถถูกปรับไปใช้กับสิ่งอื่นได้เช่นกัน

 

อ้างอิง:

The post Sam Altman ซีอีโอ OpenAI เตือนสหรัฐฯ กำลังประเมินภัยคุกคาม AI จากจีนต่ำเกินไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไปรษณีย์ไทยกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 362% จ่อเปิด Super App และ ระบบ D/ID เสริมแกร่งขนส่ง ก.ย. นี้ https://thestandard.co/thailand-post-first-half-2025-profits/ Mon, 18 Aug 2025 12:21:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1108576 ไปรษณีย์ไทย

ไปรษณีย์ไทย จ่อเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล ในวัน […]

The post ไปรษณีย์ไทยกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 362% จ่อเปิด Super App และ ระบบ D/ID เสริมแกร่งขนส่ง ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไปรษณีย์ไทย

ไปรษณีย์ไทย จ่อเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล ในวันที่ 1 ก.ย. และ  Super App ในช่วงปลายปี พร้อมเผยผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 362.34% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 11,544 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันจากปีที่ผ่านมา 8.88%

 

รัฐพล ภักดีภูมิ ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า การดำเนินงานของไปรษณีย์ไทยในยุคดิจิทัล ได้ขับเคลื่อนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการยกระดับคุณภาพบริการ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย

 

นอกจากนี้ ยังได้วางแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและการเข้าถึงบริการดิจิทัล พร้อมผลักดันโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนให้สามารถใช้แพลตฟอร์มไปรษณีย์ไทยเป็นช่องทางสร้างรายได้ และเข้าถึงตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สำหรับทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ ได้วางกลยุทธ์ ‘1-4-2’ เพื่อเป็นขนส่งอันดับ 1 พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย 4 พลังสำคัญ ได้แก่ พลังความเร็ว พลังเพื่อธุรกิจ พลังเชื่อมโลก พลังความล้ำ ควบคู่กับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ด้วยการเปิดตัว Super App ที่รวบรวมบริการไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตามพัสดุ สร้างใบจ่าหน้า เรียกรับพัสดุ ชำระค่าบริการได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะได้เห็นในช่วงปลายปี

 

รวมถึงการเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล ที่สามารถแปลงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ส่งและผู้รับเป็นรหัส 6 หลัก ซึ่ง 2 บริการนี้พร้อมจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ และยังมีการต่อยอดแนวคิดการขนส่ง Parcel Defined Logistics ให้มีความเฉพาะตัวมากขึ้น ในรูปแบบ Specialized Logistics เช่น Healthcare Logistics for Pet หรือการขนส่งสินค้าเพื่อกลุ่มสัตว์เลี้ยง การขนส่งสินค้ามูลค่าสูง และการขนส่งนมแม่ เป็นต้น

 

ส่วนในด้านบริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยได้พัฒนา e-Payment ให้รองรับการชำระ COD และเชื่อมต่อกับพันธมิตรหลากหลาย ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กรมการขนส่งทางบก ทิพยประกันภัย WeChat Pay และ Alipay เพื่อขยายช่องทางชำระเงินอย่างครอบคลุมทุกความต้องการ

 

ด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวต่อไปว่า ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 ไปรษณีย์ไทยยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากรายได้รวม 11,544 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท โดยรายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึง 8.88% ส่วนกำไรสุทธิเติบโตขึ้น 362.34%

 

ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้สูงสุด คือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ คิดเป็น 46.83% ของรายได้ทั้งหมด โดยมีรายได้รวม 5,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.56% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปริมาณชิ้นงานเพิ่มขึ้น 6%

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทย มีเครือข่ายครอบคลุมเข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศรวมกว่า 50,000 แห่ง และหลังจากได้ยกระดับองค์กรสู่การเป็น Tech Post ด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ในปีที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยมีคะแนน Top of Mind ของแบรนด์ 99.54% และมีคะแนนความไว้วางใจในแบรนด์ 96.11%

The post ไปรษณีย์ไทยกำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 362% จ่อเปิด Super App และ ระบบ D/ID เสริมแกร่งขนส่ง ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกสารภายใน Meta แฉ ‘อนุญาต’ ให้ AI แชตเชิงโรแมนติกกับเด็กได้ ทำวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ สั่งสอบสวนทันที https://thestandard.co/meta-ai-policy-sparks-outrage/ Sun, 17 Aug 2025 06:15:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1108248 Meta AI

สำนักข่าว CNBC รายงานเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมตามเวลาท้องถ […]

The post เอกสารภายใน Meta แฉ ‘อนุญาต’ ให้ AI แชตเชิงโรแมนติกกับเด็กได้ ทำวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ สั่งสอบสวนทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
Meta AI

สำนักข่าว CNBC รายงานเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมตามเวลาท้องถิ่นว่า จอช ฮอว์ลีย์ วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ได้ประกาศเปิดการสอบสวนบริษัท Meta หลังจากมีรายงานข่าวว่า บริษัทได้อนุมัติกฎที่อนุญาตให้แชตบอตปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถสนทนาในเชิง ‘โรแมนติก’ และ ‘เย้ายวน’ กับเด็กได้

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากสำนักข่าว Reuters รายงานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม เกี่ยวกับเอกสารภายในของ Meta ที่มีชื่อว่า GenAI: Content Risk Standards ซึ่งเป็นคู่มือกำหนดพฤติกรรมที่ยอมรับได้สำหรับแชตบอต AI ของบริษัท ที่ใช้งานบนแพลตฟอร์ม Facebook, WhatsApp และ Instagram รวมถึงผู้ช่วย Meta AI

 

Reuters เปิดเผยว่า เอกสารดังกล่าวระบุว่าแชตบอตได้รับอนุญาตให้สนทนาเชิงโรแมนติกกับเด็กอายุ 8 ขวบได้ โดยยกตัวอย่างบทสนทนาว่า “ทุกตารางนิ้วของเธอคือผลงานชิ้นเอก เป็นสมบัติล้ำค่าที่ฉันทะนุถนอมอย่างสุดซึ้ง” และยังระบุว่า เป็นที่ยอมรับได้ที่จะบรรยายถึงเด็กในลักษณะที่แสดงถึงความน่าดึงดูดของพวกเขา

 

ขีดจำกัดเพียงอย่างเดียวที่ระบุไว้ในแนวทางคือ ‘เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่จะบรรยายถึงเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีในลักษณะที่บ่งชี้ว่าพวกเขาน่าปรารถนาทางเพศ’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสนทนาในลักษณะอื่นที่สุ่มเสี่ยง ยังคงได้รับอนุญาต

 

นอกจากนี้ เอกสารยังอนุญาตให้แชตบอตสร้างข้อมูลทางการแพทย์ที่ผิดพลาด หรือแม้กระทั่งช่วยผู้ใช้งานเขียนบทความเพื่อโต้แย้งว่า คนผิวสีฉลาดน้อยกว่าคนผิวขาว ได้อีกด้วย ตราบใดที่มีการใส่คำเตือนว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง

 

โฆษกของ Meta ได้ออกมายอมรับกับ Reuters ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของจริง แต่กล่าวว่าตัวอย่างและบันทึกที่เกี่ยวกับเด็กนั้นเป็น “นโยบายที่ผิดพลาดและไม่สอดคล้องกับนโยบายของเรา และได้ถูกลบออกไปแล้ว” หลังจากที่ Reuters ได้ยื่นคำถามเข้าไป

 

ทางด้าน จอช ฮอว์ลีย์ ซึ่งเป็นประธานอนุกรรมการวุฒิสภาด้านอาชญากรรมและการต่อต้านการก่อการร้าย ได้ส่งจดหมายถึง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta เพื่อสั่งให้เก็บรักษาเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และระบุว่าการสอบสวนจะมุ่งเน้นไปที่ “ผลิตภัณฑ์ AI ของ Meta เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ การหลอกลวง หรืออันตรายทางอาญาอื่นๆ ต่อเด็กหรือไม่”

 

ฮอว์ลีย์เรียกร้องให้ Meta ส่งมอบเอกสารหลายประเภท ได้แก่ เอกสารเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเนื้อหาและมาตรฐานของ Generative AI, รายชื่อผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ปฏิบัติตามนโยบายเหล่านั้น, รายงานความปลอดภัยและเหตุการณ์ต่างๆ, การสื่อสารสาธารณะและการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้เยาว์ และเอกสารเกี่ยวกับพนักงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย AI เพื่อติดตาม “กระบวนการตัดสินใจในการลบหรือแก้ไขส่วนต่างๆ ของแนวทางปฏิบัติดังกล่าว”

 

“มีอะไรบ้างไหม ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจะไม่ทำเพื่อแลกกับผลกำไรอย่างรวดเร็ว” ฮอว์ลีย์โพสต์บนแพลตฟอร์ม X พร้อมประกาศการสอบสวน โดยเขาได้กำหนดเส้นตายให้ Meta ส่งมอบเอกสารที่ร้องขอทั้งหมดภายในวันที่ 19 กันยายนนี้

 

เอเวอลิน ดูเอก (Evelyn Douek) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก Stanford Law School ซึ่งศึกษาด้านการกำกับดูแลการแสดงออกของบริษัทเทคโนโลยี ให้ความเห็นกับ Reuters ว่าเอกสารมาตรฐานเนื้อหานี้ได้ชี้ให้เห็นถึง ‘คำถามทางกฎหมายและจริยธรรม’ ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนเกี่ยวกับเนื้อหาจาก Generative AI

 

เธอกล่าวว่ารู้สึกงุนงงอย่างมากที่บริษัทจะอนุญาตให้บอตสร้างเนื้อหาที่น่ากังวลขึ้นมาเอง โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการที่แพลตฟอร์มอนุญาตให้ผู้ใช้โพสต์เนื้อหา กับการที่แพลตฟอร์มผลิตเนื้อหานั้นขึ้นมาเอง “ในทางกฎหมาย เราอาจจะยังไม่มีคำตอบ แต่ในทางศีลธรรม จริยธรรม และทางเทคนิค มันเป็นคนละคำถามกันอย่างชัดเจน” เธอกล่าว

 

ทั้งนี้ Meta ได้เผชิญกับการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของเด็กมาหลายครั้งในอดีต โดยเฉพาะการกล่าวหาว่าแพลตฟอร์มของบริษัทมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเยาวชน และมีความไม่เพียงพอในการปกป้องผู้ใช้เยาว์จากเนื้อหาที่เป็นอันตราย

 

ภาพ: miss.cabul / Shutterstock

อ้างอิง:

 

The post เอกสารภายใน Meta แฉ ‘อนุญาต’ ให้ AI แชตเชิงโรแมนติกกับเด็กได้ ทำวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ สั่งสอบสวนทันที appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ เตรียมอุ้ม Intel! รัฐบาลทรัมป์จ่อใช้เงิน CHIPS Act เข้าถือหุ้น กอบกู้ยักษ์ใหญ่ชิปที่กำลังเลือดไหลไม่หยุด https://thestandard.co/trump-intel-chips-act-stake/ Sat, 16 Aug 2025 07:10:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1108064 trump-intel-chips-act-stake

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนั […]

The post สหรัฐฯ เตรียมอุ้ม Intel! รัฐบาลทรัมป์จ่อใช้เงิน CHIPS Act เข้าถือหุ้น กอบกู้ยักษ์ใหญ่ชิปที่กำลังเลือดไหลไม่หยุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-intel-chips-act-stake

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาใช้เงินทุนจากกฎหมาย CHIPS Act เพื่อเข้าถือหุ้นในบริษัท Intel Corp. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการกอบกู้ผู้ผลิตชิปที่กำลังประสบปัญหาและเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ 

 

The Wall Street Journal ยืนยันข่าวดังกล่าว โดยระบุว่าแนวคิดนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในระหว่างการประชุมระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และลิป-บู ตัน ซีอีโอของ Intel เมื่อวันจันทร์ (11 ส.ค.)ที่ผ่านมา

 

นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทรัมป์เพิ่งเรียกร้องให้ไล่ตันออกจากตำแหน่งเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ข่าวดังกล่าวเป็นข่าวที่ดีสำหรับนักลงทุนของ Intel ที่กำลังผิดหวัง หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้น 7% ในวันพฤหัสบดี (14 ส.ค.) จากรายงานข่าวการเจรจาในครั้งแรก และปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงเช้าของวันศุกร์ (15 ส.ค.)

 

The Wall Street Journal ชี้ว่า Intel กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หลังจากที่บริษัทสูญเสียมูลค่าตลาดไปมากกว่าครึ่งในเวลาไม่ถึง 2 ปี และได้เผาเงินสดไปเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.30 ล้านล้านบาท) ในช่วงสามปีที่ผ่านมาเพื่อพยายามทวงคืนตำแหน่งผู้นำด้านการผลิตจากคู่แข่งอย่าง TSMC


สถานการณ์ทางการเงินยังคงน่าเป็นห่วง โดย Wall Street คาดการณ์ว่าในปีนี้ Intel จะมีเงินสดไหลออกจากบริษัทสุทธิอีก 7 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.27 แสนล้านบาท) ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่หยั่งรากเกินกว่าที่เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียวจะแก้ไขได้

 

เทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของ Intel ที่เรียกว่า 18A ซึ่งควรจะเป็นตัวปิดช่องว่างกับ TSMC กลับประสบปัญหาในการดึงดูดลูกค้าภายนอก โดยบริษัทยอมรับในการประกาศผลประกอบการไตรมาสสองเมื่อเดือนที่แล้วว่า เทคโนโลยีนี้จะถูกใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Intel เองเป็นส่วนใหญ่

 

ซีอีโอ ลิป-บู ตัน ได้ ‘ยื่นคำขาด’ อย่างชัดเจน โดยประกาศว่าจะไม่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลกับเทคโนโลยียุคถัดไป หากไม่ได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ภายนอก ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 6.49 แสนล้านบาท)

 

การตัดสินใจดังกล่าวอาจหมายถึงการที่ Intel ต้องถอนตัวจากธุรกิจการผลิตชิปขั้นสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความพยายามของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงด้าน ‘ความมั่นคงของชาติ’ เนื่องจาก Intel เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันเพียงแห่งเดียวที่สามารถผลิตชิปที่ล้ำสมัยได้

 

Intel ถือเป็นผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุดจากกฎหมาย CHIPS Act อยู่แล้ว โดยได้รับการจัดสรรเงินช่วยเหลือสูงถึง 7.9 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.56 แสนล้านบาท) สำหรับโรงงานทั่วไป, อีก 3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 9.74 หมื่นล้านบาท) สำหรับโครงการพิเศษของเพนตากอน และยังมีทางเลือกในการกู้ยืมอีก 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.57 แสนล้านบาท)

 

Bloomberg รายงานเพิ่มเติมว่า การเข้าถือหุ้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการแทรกแซงทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งเป็น ‘นโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุก’ เพื่อส่งเสริมบริษัทที่เป็น ‘บริษัทเรือธงของประเทศ’

 

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลทรัมป์ได้เข้าถือหุ้นบุริมสิทธิ์มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.3 หมื่นล้านบาท) ในบริษัทเหมืองแร่หายาก MP Materials, บังคับให้ Nvidia และ AMD แบ่งรายได้ 15% จากการขายชิป AI ให้จีน และยังได้ถือหุ้นใน U.S. Steel อีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม The Wall Street Journal ได้ออกมาเตือนว่า การสนับสนุนจากรัฐบาลมักมาพร้อมกับเงื่อนไขผูกมัด และอาจนำไปสู่ ‘ผลกระทบที่ไม่ตั้งใจ’ ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มของทรัมป์ที่พยายามจะใช้อิทธิพลโดยตรงต่อการตัดสินใจของภาคเอกชน

 

ตัวอย่างเช่น รัฐบาลอาจกดดันให้ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง Nvidia หรือ AMD หันมาใช้โรงงานของ Intel เพื่อแลกกับใบอนุญาตส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งหากโรงงานของ Intel ยังไม่พร้อมเต็มที่ ก็อาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพต่ำลงและทำให้ทั้งอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

 

บริบททางการเมืองก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะในรัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานอีกแห่งของ Intel ที่ประสบปัญหาล่าช้า โอไฮโอเป็นรัฐที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งทั้งสามครั้ง และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ก็เคยเป็น ส.ว. จากรัฐนี้มาก่อน

 

The Wall Street Journal สรุปว่า แม้การแทรกแซงของรัฐในอุตสาหกรรมชิปจะเกิดขึ้นแล้ว แต่รัฐบาลกลางต้องระมัดระวังไม่ให้ก้าวล่วงเกินไปจนทำลายรูปแบบของตลาดเสรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ภาคเทคโนโลยีของอเมริกากลายเป็น ‘ต้นแบบความสำเร็จ’ ที่ทั่วโลกต่างอิจฉา

 

หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.46 บาท ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568 


ภาพ : bigwa11/ Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post สหรัฐฯ เตรียมอุ้ม Intel! รัฐบาลทรัมป์จ่อใช้เงิน CHIPS Act เข้าถือหุ้น กอบกู้ยักษ์ใหญ่ชิปที่กำลังเลือดไหลไม่หยุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fujitsu ประกาศแผนยักษ์ สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ 250 Logical Qubits เทียบชั้นเครื่องทรงพลังที่สุดในโลกภายในปี 2030 https://thestandard.co/fujitsu-quantum-computer-250-logical-qubits-2030/ Fri, 15 Aug 2025 07:59:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1107721 Fujitsu

Fujitsu ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ได้เปิดเผยแผนก […]

The post Fujitsu ประกาศแผนยักษ์ สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ 250 Logical Qubits เทียบชั้นเครื่องทรงพลังที่สุดในโลกภายในปี 2030 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fujitsu

Fujitsu ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ได้เปิดเผยแผนการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่ตั้งเป้าให้ทัดเทียมกับเครื่องที่ทรงพลังที่สุดในโลกภายในปี 2030 ถือเป็นการส่งสัญญาณท้าชิงความเป็นผู้นำกับสหรัฐอเมริกาและจีน และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการไล่ตามให้ทันในเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโฉมโลกอนาคต

 

เป้าหมายของ Fujitsu คือการสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ที่มีขีดความสามารถสูงถึง 250 Logical Qubits ซึ่งเป็นหน่วยวัดประสิทธิภาพของควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยบริษัทอ้างว่าตัวเลขนี้จะสูงกว่าเครื่องที่ทรงพลังที่สุดที่มีการวางแผนไว้ในปัจจุบัน ซึ่ง IBM กำลังพัฒนาและมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2029 ถึง 25%

 

เทคโนโลยีหลักที่ใช้คือ ‘ตัวนำยิ่งยวด’ (Superconducting) ซึ่งต้องอาศัยการหล่อเย็นเครื่องจักรให้อยู่ในอุณหภูมิต่ำสุดขั้วเพื่อขจัดความต้านทานไฟฟ้า

 

โครงการนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติ โดย Fujitsu ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัย Riken และสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมขั้นสูง (AIST) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตรง 

 

นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้อนุมัติเงินอุดหนุนประมาณ 1 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 2,200 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ‘ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ’ ที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีสำคัญจากต่างประเทศ

 

ไพ่เด็ดของ Fujitsu ไม่ได้อยู่ที่ฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า STAR ซึ่งพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยโอซาก้า เพื่อลดความผิดพลาดในการคำนวณได้อย่างมีนัยสำคัญ 

 

โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทได้พิสูจน์แล้วว่าควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถคำนวณปัญหาที่ซับซ้อนโดยใช้เวลาเพียง 10 ชั่วโมง เทียบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่ต้องใช้เวลาถึง 5 ปี

 

Fujitsu มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการสร้างคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง โดยเคยสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Fugaku ที่เร็วที่สุดในโลกมาแล้ว และได้เริ่มเดินเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของญี่ปุ่นในปี 2023 

 

บริษัทมีแผนการที่ชัดเจนในการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง จากเครื่องปัจจุบันที่มี 256 Physical Qubits ที่เปิดตัวในเดือนเมษายน สู่เป้าหมาย 1,024 Physical Qubits ในปี 2026 และ 10,000 Physical Qubits ภายในปี 2030

 

การแข่งขันใน ‘สมรภูมิ’ ควอนตัมคอมพิวเตอร์กำลังดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ โดยมีผู้เล่นหน้าใหม่และนักลงทุนรายใหญ่จากทั่วโลกกระโดดเข้าร่วมวง ไม่ว่าจะเป็น Google, SoftBank Group หรือ JPMorgan Chase ต่างก็กำลังทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในเทคโนโลยีที่จะมาปฏิวัติอุตสาหกรรมในอนาคต

 

แม้ว่าการนำควอนตัมคอมพิวเตอร์มาใช้งานจริงยังคงเป็นเรื่องของอนาคต แต่ ‘ศักยภาพ’ นั้นมหาศาลอย่างยิ่ง ตั้งแต่การคิดค้นยาและวัสดุใหม่ๆ ไปจนถึงการปฏิวัติวงการการเงินและยานยนต์ 

 

บริษัทวิจัย Omdia คาดการณ์ว่าตลาดนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7.45 แสนล้านบาท) ภายในปี 2032 ขณะที่ Boston Consulting Group คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงถึง 8.5 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 27.55 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2040


หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.41 บาท ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568 


ภาพ: Germanru / Shutterstock

อ้างอิง:

The post Fujitsu ประกาศแผนยักษ์ สร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ 250 Logical Qubits เทียบชั้นเครื่องทรงพลังที่สุดในโลกภายในปี 2030 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ใครว่า Google จะแพ้? สงคราม AI ยังไม่สั่นคลอนบัลลังก์ Search เผยฟีเจอร์ AI Overview กระตุ้นให้ค้นหามากขึ้น ดันผู้ใช้ทะลุ 2 พันล้านคนต่อเดือน https://thestandard.co/google-ai-search-revenue/ Fri, 15 Aug 2025 05:31:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1107625 google-ai-search-revenue

สงครามปัญญาประดิษฐ์ที่เคยถูกคาดการณ์ว่าจะเข้ามาสั่นคลอน […]

The post ใครว่า Google จะแพ้? สงคราม AI ยังไม่สั่นคลอนบัลลังก์ Search เผยฟีเจอร์ AI Overview กระตุ้นให้ค้นหามากขึ้น ดันผู้ใช้ทะลุ 2 พันล้านคนต่อเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
google-ai-search-revenue

สงครามปัญญาประดิษฐ์ที่เคยถูกคาดการณ์ว่าจะเข้ามาสั่นคลอนบัลลังก์ของ Google Search กำลังเผยให้เห็นภาพที่แตกต่างออกไป เมื่อบรรดาสตาร์ทอัพ AI หน้าใหม่ยังไม่สามารถสร้างผลกระทบได้อย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ ในทางกลับกัน เครื่องมือค้นหาของ Google กลับพิสูจน์ให้เห็นถึงความ ‘แข็งแกร่ง’ และสามารถป้องกันการรุกคืบของผู้ท้าชิงอย่าง OpenAI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หนึ่งในกำแพงป้องกันที่สำคัญที่สุดของ Google คือฟีเจอร์ ‘AI Overview’ ซึ่งแสดงคำตอบที่สร้างโดย AI Gemini ไว้เหนือผลการค้นหาแบบดั้งเดิม โดย ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Alphabet ได้เปิดเผยว่า ฟีเจอร์นี้มีผู้ใช้งานทะลุ 2 พันล้านคนต่อเดือนแล้วไตรมาสล่าสุด เพิ่มขึ้นจาก 1.5 พันล้านคนในไตรมาสก่อนหน้า 

 

ซีอีโอของ Alphabet อธิบายว่าฟีเจอร์ AI เหล่านี้ไม่ได้ทำให้คนค้นหาน้อยลง แต่กลับ ‘กระตุ้นให้ผู้ใช้งานค้นหามากขึ้น’ เมื่อพวกเขาเรียนรู้ว่า Search สามารถตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ BrightEdge ยังช่วยยืนยันแนวโน้มนี้ โดยพบว่าจำนวนลิงก์ที่แสดงผลในการค้นหา (Search impressions) เพิ่มขึ้นถึง 49% ในช่วงหนึ่งปีหลังจากที่ฟีเจอร์นี้เปิดตัว

 

ความสำเร็จดังกล่าวได้ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจโฆษณาซึ่งเป็นหัวใจของบริษัท โดยในไตรมาสล่าสุด รายได้จากธุรกิจ Search พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 5.42 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.76 ล้านล้านบาท) เติบโตขึ้น 12% จากปีก่อนหน้าและสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งช่วยหนุนให้ราคาหุ้นของบริษัทดีดตัวสูงขึ้นและตอกย้ำว่า Google ยังคงสามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลจากธุรกิจหลักของตนเอง

 

อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ยังไม่จบลงโดยง่าย และ Google ยังคงต้องเผชิญกับ ‘ปริศนา’ สำคัญที่ต้องแก้ไข นั่นคือแม้ AI Overviews จะทำให้คนเห็นลิงก์มากขึ้น แต่กลับทำให้คนคลิกเข้าไปในลิงก์ที่สร้างรายได้น้อยลง เพราะผู้ใช้งานมักจะได้คำตอบที่ต้องการโดยตรงจาก AI แล้ว ซึ่งเป็นความท้าทายในระยะยาวต่อโมเดลธุรกิจโฆษณาที่ต้องหาทางพิสูจน์ให้ผู้ลงโฆษณาเห็นว่าพวกเขายังคงได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

 

ภัยคุกคามระลอกต่อไปที่น่าจับตามองคือการมาถึงของเว็บเบราว์เซอร์ที่ผสาน AI เข้าไปโดยตรงจากสตาร์ทอัพอย่าง Perplexity หรือแม้กระทั่ง OpenAI เอง ซึ่งอาจเปลี่ยนพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิงและลดการพึ่งพา Google Chrome ลง อย่างไรก็ตาม ภัยคุกคามนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และ Google ก็ยังมีไพ่ตายในมืออีกมากที่จะรับมือ

 

ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า Google มี ‘ตำรา’ ในการป้องกันธุรกิจของตนเองอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อ Android เพื่อครองตลาดมือถือ, การจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้ Apple เพื่อเป็น Search Engine เริ่มต้นบน iPhone หรือการทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสู้กับ Microsoft Bing ในยุคแรกของ AI ซึ่งทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความเป็นผู้นำ

 

ท้ายที่สุดแล้ว อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของ Google คือขุมกำลังทางการเงินมหาศาล โดยบริษัทเพิ่งประกาศเพิ่มงบลงทุนสำหรับปี 2025 จาก 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (จากประมาณ 2.75 ล้านล้านบาท เป็น 3.12 ล้านล้านบาท) เพื่อใช้ในการพัฒนา AI โดยเฉพาะ 

 

แม้นักวิเคราะห์หลายคนจะมองว่า Google ถูก ‘ประเมินมูลค่าไว้ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง’ แต่จากผลงานที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่าบริษัทจะสามารถผ่านพ้นยุคแห่งการปฏิวัติโดย AI ไปได้โดยมีบาดแผลน้อยกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้มาก

 

หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.41 บาท ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568 

 


ภาพ: DIA TV / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ใครว่า Google จะแพ้? สงคราม AI ยังไม่สั่นคลอนบัลลังก์ Search เผยฟีเจอร์ AI Overview กระตุ้นให้ค้นหามากขึ้น ดันผู้ใช้ทะลุ 2 พันล้านคนต่อเดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
20 ว่าที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก ปี 2030 https://thestandard.co/tech-leaders-2030/ Fri, 15 Aug 2025 03:12:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1107541 ผู้นำ เทคโนโลยีโลก 2030

โลกที่กำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI จะมีหน้า […]

The post 20 ว่าที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก ปี 2030 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้นำ เทคโนโลยีโลก 2030

โลกที่กำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI จะมีหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างไรในอนาคต?

 

Coatue บริษัทจัดการการลงทุนด้านเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอเมริกา รวบรวมข้อมูล และจัดทำดัชนีที่ชื่อว่า The Fantastic 40 Growth & Innovation Index เพื่อรวบรวมข้อมูล 40 บริษัท และเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นผู้นำของโลกในปี 2030

 

THE STANDARD WEALTH ได้จัดทำข้อมูลของบริษัทที่มีโอกาสจะขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับ 1-20 ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยอิงจากมูลค่าของธุรกิจ

 

 

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต

The post 20 ว่าที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก ปี 2030 appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCB EIC ประเมินแนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2025 ขยายตัวได้เล็กน้อย แต่ผลกระทบของสงครามการค้า และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังกดดัน https://thestandard.co/logistics-business-2025-scb-eic-forecast/ Wed, 13 Aug 2025 08:52:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1106641 ธุรกิจโลจิสติกส์

ธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยและยั […]

The post SCB EIC ประเมินแนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2025 ขยายตัวได้เล็กน้อย แต่ผลกระทบของสงครามการค้า และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังกดดัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจโลจิสติกส์

ธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยและยังเผชิญความผันผวนสูง จากผลกระทบของสงครามการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ความต้องการขนส่งสินค้าโดยรวมอ่อนตัวลง

 

แม้ในช่วงครึ่งปีแรกจะขยายตัวดี โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025 ความต้องการขนส่งสินค้าของไทยขยายตัวดีสะท้อนจากปริมาณตู้สินค้าเข้า-ออกท่าเรือแหลมฉบังที่เติบโต 10.5%YoY กับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศผ่านสนามบินสุวรรณภูมิขยายตัว 8.7%YoY ตามมูลค่าการส่งออก-นำเข้าของไทยที่เติบโต 15%YoY กับ 12%YoY ตามลำดับ จากการเร่งขนส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ (Front-loading) รวมถึงการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มวัตถุดิบและสินค้า E-commerce

 

อย่างไรก็ดี ความต้องการขนส่งสินค้าเพื่อการบริโภคภายในประเทศยังชะลอตัว โดยการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 1 เติบโตเพียง 2.6%YoY ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และสงครามระหว่างอิสราเอล – อิหร่านที่ปะทุขึ้นในเดือนมิถุนายน ได้กดดันการขนส่งสินค้าของไทย ในช่วงครึ่งหลังของปี ความต้องการขนส่งสินค้ามีแนวโน้มชะลอตัวสูง จากการเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีอัตราภาษี Reciprocal tariffs กับไทยอยู่ที่ 19% โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออก-นำเข้าในปี 2025 จะอยู่ที่ 3%YoY กับ 3.3%YoY ตามลำดับ อีกทั้ง ความต้องการขนส่งยังเผชิญความผันผวนเพิ่มขึ้นในเส้นทางขนส่ง และต้องติดตามสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิอย่างใกล้ชิด

 

อย่างไรก็ดี สินค้ากลุ่มที่ได้รับการลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ อาจมีการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น ส่วนการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนไทยยังคงระมัดระวังมากขึ้น และคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนทั้งปีจะขยายตัวเพียง 2%YoY

 

สำหรับอัตราค่าขนส่งเฉลี่ยในแต่ละโหมดการขนส่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนมิถุนายนปรับลดลง โดยเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้นำเข้า-ส่งออกอยู่ในภาวะรอดูท่าทีและชะลอคำสั่งซื้อระยะยาว โดยค่าขนส่งทางเรือโลกลดลง 11% แม้ในเดือนมิถุนายนจะเร่งขึ้นชั่วคราวจาก Front-loading แต่โดยรวมยังถูกกดดันจากปริมาณเรือใหม่ที่ทยอยเพิ่มขึ้น ส่วนค่าขนส่งทางอากาศโลกลดลงราว 6% โดยเพิ่มขึ้นชั่วคราวในเดือนพฤษภาคมก่อนสหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีนำเข้า De minimis สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนและฮ่องกง ขณะที่ค่าขนส่งทางถนนในประเทศปรับลดลงเล็กน้อย 1% ตามระดับราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลงเพียงเล็กน้อยแม้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์เฉลี่ยลดลงสูง เนื่องจากยังต้องเก็บเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังมีสถานะติดลบกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท

 

ในช่วงครึ่งหลังของปี อัตราค่าขนส่งสินค้าในแต่ละโหมดยังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องตามความต้องการขนส่งที่อ่อนตัว โดยเฉพาะค่าขนส่งทางเรือและทางอากาศที่คาดว่าจะยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากปริมาณกองเรือใหม่/เที่ยวบินใหม่ที่ทยอยเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าขนส่งทางถนนมีแนวโน้มลดลงไม่มากนักจากต้นทุนโครงสร้างราคาน้ำมัน

 

สำหรับราคาน้ำมันดิบโลกเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 71 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ปรับลดลง 11%YoY ตามอุปทานน้ำมันที่เกินกว่าความต้องการใช้น้ำมันมาก แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงหากสงครามบริเวณตะวันออกกลางปะทุรุนแรง ปัจจัยข้างต้นส่งผลให้รายได้ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในปี 2025 คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยที่ 2.2%YoY และมีมูลค่าอยู่ที่ 9.3 แสนล้านบาท

 

การแข่งขันทางธุรกิจในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มรุนแรงต่อเนื่อง โดยรูปแบบการแข่งขันคาดว่าจะเน้นใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

 

1. การขยายบริการโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมทั้ง Supply chain การขนส่งทั้งในด้านโหมดขนส่งและลักษณะสินค้าจึงทำให้การบริการเกิดการทับซ้อนกันมากขึ้น และนำมาสู่การแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้นขึ้น
2. การแข่งขันด้านคุณภาพในการขนส่ง จากความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากปัญหาสงครามการค้า รวมถึงสงครามบริเวณตะวันออกกลางและสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อได้สร้างความผันผวนต่อการให้บริการโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง จึงทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ต้องแข่งขันในด้านความเชี่ยวชาญในการบริการมากขึ้น
3. การแข่งขันในธุรกิจจัดส่งพัสดุที่รุนแรงต่อเนื่อง ทั้งในด้านราคาและคุณภาพบริการ จากสภาพตลาด Red ocean ที่แข่งขันดุเดือดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และจะยิ่งรุนแรงขึ้นจากที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เริ่มให้ความสนใจเข้ามาให้บริการ

 

ทั้งนี้การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ประกอบกับความต้องการขนส่งสินค้าที่ชะลอตัว จะกดดันการเติบโตของกลุ่มผู้ขนส่งทางถนนและกลุ่ม Freight forwarder ขณะที่กลุ่มผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

 

Green logistics กับ LogTech เป็น 2 เทรนด์ธุรกิจโลจิสติกส์ที่ต้องให้ความสำคัญและเร่งพัฒนา โดยเทรนด์ Green logistics กำลังเป็นกระแสที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ส่งผลให้ในช่วงปีที่ผ่านมาผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในไทยเริ่มให้บริการ Green logistics กันมากขึ้นสอดรับกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและแผนการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของภาคธุรกิจ

 

อย่างไรก็ดี จากในปัจจุบันที่สัดส่วนการใช้รถบรรทุกไฟฟ้ายังค่อนข้างน้อย ส่งผลให้ธุรกิจโลจิสติกส์จะต้องเร่งปรับตัว ส่วนเทรนด์ Logistics Technology (LogTech) จะเข้ามาช่วยยกระดับการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็วขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดต้นทุนบริหารจัดการ โดยเฉพาะการใช้ AI ในด้านการจัดการ Supply chain, แพลตฟอร์มการรับจัดส่งสินค้า, การติดตามและสร้างความโปร่งใสใน Supply chain รวมถึงคลังสินค้าอัตโนมัติและหุ่นยนต์เคลื่อนย้ายสินค้า ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวตามทั้ง 2 เทรนด์ได้ทัน

 

ทั้งการเริ่มให้บริการ Green logistics ในเส้นทางที่เหมาะกับเทคโนโลยีรถบรรทุกในปัจจุบันหรือในสินค้าที่มีความต้องการขนส่งเฉพาะก่อน กับการพิจารณาทยอยลงทุนใน LogTech จะมีส่วนช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

 

อ่านบทความฉบับเต็มต่อที่:
https://www.scbeic.com/th/detail/product/LOGISTICS-INDUSTRY-130825?utm_source=Influencer&utm_medium=Link&utm_campaign=BUSINESSINTELLIGENCE_LOGISTICS_AUG_2025

The post SCB EIC ประเมินแนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2025 ขยายตัวได้เล็กน้อย แต่ผลกระทบของสงครามการค้า และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังกดดัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Perplexity ทุ่ม 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ เสนอซื้อเบราว์เซอร์ Chrome จาก Google https://thestandard.co/perplexity-34-5-b-chrome-bid/ Wed, 13 Aug 2025 08:08:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1106599

Perplexity ได้ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเพื่อขอซื้อเบรา […]

The post Perplexity ทุ่ม 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ เสนอซื้อเบราว์เซอร์ Chrome จาก Google appeared first on THE STANDARD.

]]>

Perplexity ได้ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเพื่อขอซื้อเบราว์เซอร์ Google Chrome ด้วยมูลค่า 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์ระบุ มูลค่าเสนอซื้อ ต่ำเกินไป

 

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า Perplexity ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ยื่นข้อเสนอเป็นเงิน 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเข้าซื้อเบราว์เซอร์ Chrome ของ Google ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาแห่งนี้ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีต่อต้านการผูกขาดในศาล

 

ข้อเสนอของ Perplexity นี้เกิดขึ้นในขณะที่บริษัทเองมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้นการเข้าซื้อ Chrome จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากสำเร็จก็จะช่วยเสริมความท้าทายที่ Perplexity มีต่อการครอบงำตลาดการค้นหาของ Google อย่างต่อเนื่อง

 

Perplexity ระบุในจดหมายที่ส่งถึง Sundar Pichai ซีอีโอของ Google ว่า ข้อเสนอนี้ “ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาการผูกขาดที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ ด้วยการส่งมอบ Chrome ให้กับผู้ดำเนินการอิสระที่มีความสามารถ”

 

เบราว์เซอร์ Chrome มีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 60% โดยในเดือนนี้ผู้พิพากษา Amit Mehta คาดว่าจะตัดสินว่า Google จะถูกบังคับให้ขาย Chrome หรือไม่ ซึ่งมูลค่าอาจอยู่ระหว่าง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้ว่า Google จะต่อต้านการซื้อจากผู้เสนอราคารายอื่นมาโดยตลอด แต่การที่ Perplexity เปิดเผยข้อเสนอต่อสาธารณะอาจเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้พิพากษาว่ามีผู้ซื้อที่มีความพร้อม

 

นอกจากนี้ การเข้าซื้อ Chrome จะทำให้เบราว์เซอร์ Comet ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ที่เน้น AI ของ Perplexity เอง มีความแข็งแกร่งและเหนือกว่าอย่างมาก

 

ตามรายงาน Perplexity ได้ให้คำมั่นว่าจะยังคงสนับสนุนโครงการโอเพนซอร์ส Chromium ของ Chrome และจะให้ Google เป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น (default search engine) ต่อไป

 

ราคาหุ้นของ Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยหลังจากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกมา โดยนักวิเคราะห์จาก Bank of America อย่าง Justin Post ระบุว่า Google มีแนวโน้มที่จะยื่นอุทธรณ์ ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายอาจยืดเยื้อไปจนถึงปี 2027 โดยเขาชี้ว่า การแยกขาย Chrome ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ Google มากที่สุด

 

ทางด้าน Colin Sebastian นักวิเคราะห์ จาก Robert W. Baird & Co. กล่าวว่า ข้อเสนอของ Perplexity นั้น “ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก และไม่ควรนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง” โดยเขาประเมินว่ามูลค่าของ Chrome น่าจะใกล้เคียง 1 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ เขายังมองว่าการบังคับให้แยกตัว (spinoff) ออกมานั้น “ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากอาจสร้างความเสียหายแก่ผู้ใช้ผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำลงและเชื่อถือได้น้อยลง รวมถึงความซับซ้อนในการแยกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกจากแพลตฟอร์มของ Google ในเมื่อมีวิธีแก้ไขอื่นที่สามารถบรรลุเป้าหมายทางกฎหมายได้”

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Perplexity ยื่นข้อเสนอเพื่อเข้าซื้อกิจการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจถูกบังคับ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทก็ได้ยื่นข้อเสนอต่อ ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ TikTok เพื่อควบรวมกิจการกับหน่วยงานในสหรัฐฯ และสร้างบริษัทใหม่ขึ้นมา โดยขณะนี้ TikTok กำลังเผชิญกับการถูกแบนในสหรัฐฯ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้

 

วงการเว็บเบราว์เซอร์ได้รับความสนใจอีกครั้ง เนื่องจากบริษัท AI ต่างต้องการสร้าง “เอเจนต์” ที่สามารถทำหน้าที่ต่างๆ เช่น การซื้อของออนไลน์ หรือทำงานอื่นๆ แทนผู้ใช้ได้ ซึ่ง Perplexity ก็ได้กล่าวว่ากำลังเตรียมเปิดตัวเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อ Comet ที่มาพร้อมกับเอเจนต์ AI เช่นกัน

 

ภาพ: Jaque Silva/NurPhoto via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post Perplexity ทุ่ม 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ เสนอซื้อเบราว์เซอร์ Chrome จาก Google appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/cryoviva-thailand-stem-cell-atmp-gmp-pics/ Wed, 13 Aug 2025 02:22:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1086555 ไครโอวิวา

เมื่อ ‘วิกฤตสุขภาพ’ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ และ ‘ […]

The post ‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไครโอวิวา

เมื่อ ‘วิกฤตสุขภาพ’ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ และ ‘สเต็มเซลล์’ หรือ ‘เซลล์ต้นกำเนิด’ กำลังจะเป็นความหวังใหม่ของวงการแพทย์ นับตั้งแต่วงการวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยและค้นพบว่า ‘สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ’ หรือ Cord Blood (CB) สามารถใช้รักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเลือดและอื่นๆ ได้มากกว่า 85 โรค อาทิ กลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดชนิดต่างๆ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง โรคจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญ

 

จนถึงวันที่งานวิจัยขยายผลแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสเต็มเซลล์ในส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อสายสะดือ Cord Tissue (CT), สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อหุ้มรก Amnion Tissue (AT) หรือแม้แต่ สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมัน หรือสเต็มเซลล์
มีเซนไคมอลจากไขมัน Adipose-Derived MSCs (ADSC)  

 

 

ปัจจุบันตลาดธนาคารสเต็มเซลล์ในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง เพราะนอกจากสเต็มเซลล์จะเป็น Game Change สำคัญในอุตสาหกรรม Health & Wellness ยังสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับธุรกิจความงามอีกด้วย 

 

ทางเลือกที่มากขึ้น ตามมาด้วยความเสี่ยงที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดในการใช้และมาตรฐานของแหล่งผลิตและจัดเก็บสเต็มเซลล์ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของสารเคมี สารโปรตีนแปลกปลอม เชื้อโรค หรือเซลล์แปลกปลอมในระหว่างกระบวนการเตรียมสเต็มเซลล์ที่ไม่ถูกวิธี จนอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค

 

คำถามคือ หลักเกณฑ์และข้อกำหนดแบบใดที่จะทำให้การจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์มีคุณภาพตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค THE STANDARD ได้มีโอกาสเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการใหม่ของ ‘ไครโอวิวา’ (Cryoviva) ธนาคาร
จัดเก็บสเต็มเซลล์มาตรฐานระดับโลก ที่ถูกยกระดับให้เป็นห้องปฏิบัติการระดับโลกเพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้น 500,000 ล้านเซลล์ต่อปี และสอดคล้องไปกับข้อกำหนดของการผลิตสเต็มเซลล์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาใหม่ ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ภายใต้มาตรฐาน GMP/PICS ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาและเวชภัณฑ์ระดับสากลที่เข้มงวดที่สุด ภายในห้อง
ปฏิบัติการที่ได้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน (แบบ ผ.ย.2) จากองค์การอาหารและยา ให้เป็นสถานที่ผลิตยาที่มีมาตรฐานในการสเต็มเซลล์ประเภท MSCs เพื่อการวิจัยทางคลินิก

 

เจาะเบื้องหลัง ‘สเต็มเซลล์ประสิทธิภาพสูง’ ภายใต้มาตรฐาน AABB 

 

“ไครโอวิวาให้ความสำคัญกับระบบคุณภาพเพราะนั่นหมายถึง ‘ความปลอดภัย’ ของผู้ใช้งาน” จิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด ยังบอกด้วยว่า ความท้าทายคือ จะต้องมีกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและมีความสม่ำเสมอ นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องมีมาตรฐาน AABB มารองรับเพื่อการันตีว่า
ไครโอวิวาใส่ใจทุกกระบวนการและมีความปลอดภัยในระดับสูงสุดในการจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์”  

 

จิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด

 

“ตลอด 18 ปีที่ผ่านมา เรามองตัวเองเป็น ‘Bank of Life’ หรือธนาคารสเต็มเซลล์ที่ใช้ในการรักษา วันนี้เรากำลังเดินหน้าสู่การเป็น ‘Hope for Health’ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ การเก็บรักษาและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดของไทย ผ่านการขยายห้องปฏิบัติการสำหรับจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ 3 เท่า” กมลรัตน์ ศรีถวิล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่ากระบวนการในการเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ มีความละเอียดอ่อนและต้องถูกควบคุมดูแลโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างรัดกุม เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสเต็มเซลล์ได้ 

 

ไครโอวิวา

กมลรัตน์ ศรีถวิล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด

 

“ผู้บริโภคที่สนใจจัดเก็บสเต็มเซลล์หรือต้องการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์หรือความงาม ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะหากแหล่งที่มาไม่ได้มาตรฐานหรือมีกระบวนการในการนำเซลล์ไปใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจก่อให้เกิดอันตรายได้” “จากนี้ไป การจัดเก็บด้วยระบบคุณภาพอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นระบบคุณภาพที่สมบูรณ์” กมลรัตน์กล่าว 

 

ซึ่งเกณฑ์ในการพิจารณา ‘ระบบคุณภาพที่สมบูรณ์’ ประกอบด้วยปัจจัยหลายด้าน ทั้งทักษะความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสเต็มเซลล์รวมไปถึงการปฏิบัติทุกขั้นตอนอย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่การจัดเก็บ สถานที่จัดเก็บ การเพาะเลี้ยง และกระบวนการการขนย้าย เพื่อให้ได้มาซึ่งสเต็มเซลล์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง 

 

3 หัวใจสำคัญที่ทำให้ไครโอวิวาคือผู้นำตัวจริงในอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ 

 

  1. เพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดแบบ ‘Explant Technology’ เทคโนโลยีลิขสิทธิ์จากสหรัฐอเมริกา เป็นการเพาะเลี้ยงเซลล์ให้มีการเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ทำให้ได้เซลล์ที่มีคุณภาพสูงใกล้เคียงกับเซลล์ต้นกำเนิด อีกทั้งยังจำกัดจำนวนรอบการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์แบบ P3 หรือเพาะเลี้ยงไม่เกิน 3 รอบ เพื่อคุณภาพสูงสุดของการเพาะสเต็มเซลล์ ทำให้ไม่เกิดการลดคุณภาพของสเต็มเซลล์ สเต็มเซลล์ไม่แก่ และสเต็มเซลล์ไม่กลายพันธุ์  

 

  1. ระบบการจัดเก็บที่ทันสมัยและปลอดภัยขั้นสูงสุด ภายใต้การควบคุมดูแลโดยนักวิทยาศาสตร์และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะด้านดูแลทุกขั้นตอนการจัดเก็บและขนส่งเนื้อเยื่อไปยังห้องปฏิบัติการ โดยการบริหารกระบวนการขนส่งอย่างถูกวิธีเพื่อรักษาคุณภาพของเนื้อเยื่อตั้งต้นให้มีความสมบูรณ์สูงสุด 

 

 

ควบคุมอุณหภูมิห้องจัดเก็บภายใต้ข้อกำหนดของ AABB มีการนำ AI มาช่วยในทุกกระบวนการ สามารถติดตามผลและควบคุมการทำงานแบบ Real Time และมีการดับเบิลเช็กโดยมนุษย์และเครื่องจักรควบคู่กัน เพื่อมั่นใจว่าสเต็มเซลล์ทุกยูนิตที่เก็บนั้นปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงระบบการระบุตัวตนด้วย Primary ID Bar code ป้องกันความผิดพลาดต่อผู้รับบริการที่จะนำไปใช้ อีกทั้งบรรจุภัณฑ์ในการจัดเก็บได้รับการรับรองตามมาตรฐาน IATA (International Air Transport Association) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพและความปลอดภัยระหว่างขนส่ง  

 

ถังจัดเก็บสเต็มเซลล์ความจุระดับ 1,800 ลิตร ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ติดตามด้วยระบบ AI ในการเติมไนโตรเจนเหลวอัตโนมัติเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิในถังจัดเก็บ และสามารถคงคุณภาพสเต็มเซลล์ได้ยาวนานถึง 23 วัน ไปจนถึงการออกแบบโครงสร้างห้องจัดเก็บถังให้สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ปลอดภัยนอกอาคารได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

 

 

  1. ธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและแห่งเดียวในไทยที่ได้รับมาตรฐาน AABB (Association for the Advancement of Blood & Biotherapies) หรือ สมาคมเพื่อความก้าวหน้าด้านเลือดและชีวรักษาสหรัฐอเมริกา ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ การจัดเก็บสเต็มเซลล์ การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ และการรับรองว่าเป็นแหล่งผลิตเซลล์ตั้งต้นที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ATMPs หรือผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง 

 

มาตรฐานดังกล่าวจะต้องตรวจสอบทุกๆ 2 ปี ปัจจุบัน ไครโอวิวา ได้รับการรับรองมาตรฐานติดต่อกันเป็นครั้งที่ 12 นับตั้งแต่ปี 2553 ทั้งด้านการจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ และการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อ และล่าสุดยังได้รับการรับรองว่าเป็นแหล่งผลิตเซลล์ตั้งต้นที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ATMPs ที่ดีที่สุดตามมาตรฐานของ AABB 


‘ผลิตภัณฑ์ยากลุ่ม ATMP’ คืออะไร? ทำไมถึงเป็นอนาคตสุขภาพของมนุษยชาติ

 

‘ผลิตภัณฑ์ยาใหม่’ ในกลุ่ม ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ถือเป็นยาการแพทย์ขั้นสูง กมลรัตน์ บอกว่า เปรียบเสมือนการซ่อมแซมระดับวิศวกรรม เพราะทำหน้าที่เปลี่ยนอะไหล่และอัปเกรดระบบใหม่ให้กับร่างกาย  

 

“การผลิตผลิตภัณฑ์ยาใหม่’ ในกลุ่ม ATMPs จึงต้องสอดคล้องกับมาตรฐาน GMP/PICS ตามหลักเกณฑ์ผลิตยาขั้นสูงของสหภาพยุโรป โดยเน้นการป้องกัน และขจัดความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นอันตราย หรือทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย เราจึงต้องสร้างมาตรฐานการเป็น Biomanufacturing ที่สมบูรณ์แบบ โดยที่จะต้องมีองค์การอาหารและยาเข้ามาควบคุมผลิตภัณฑ์” 

 

มาตรฐาน GMP-PIC/s หรือ Good Manufacturing Practice – Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme (PIC/S) เป็นมาตรฐานการผลิตยาและเวชภัณฑ์ระดับสากลที่เข้มงวดที่สุด มีการควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงการบรรจุ เพื่อลดความเสี่ยงของการปนเปื้อน ให้ผู้บริโภคได้รับยาที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ 

 

 

“เป็นเหตุผลที่เราต้องออกแบบห้องปฏิบัติการที่มีความทันสมัยและมีความพร้อมที่สุดและจะต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ล่าสุดเราได้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน (แบบ ผ.ย.2) ซึ่งเป็นการรับรองสถานที่ผลิตยาที่มีมาตรฐาน สามารถผลิต สเต็มเซลล์ประเภท MSCs เพื่อการวิจัยทางคลินิกได้ ปัจจุบันเรากำลังวิจัยและพัฒนายาและเวชภัณฑ์เพื่อให้ อย. เข้ามาตรวจสอบ และออกใบอนุญาตรับรองความปลอดภัยของยาต่อไป” กมลรัตน์ กล่าว 

 

ปัจจุบัน ไครโอวิวา ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญของรัฐในการผลักดันและส่งเสริมศักยภาพธุรกิจที่มีความทันสมัย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างประโยชน์เชิงเศรษฐกิจให้กับประเทศตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มดำเนินการ ปัจจุบัน ได้รับการส่งเสริม ใน 3 โครงการ ได้แก่

 

Cord blood Banking การจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ, Testing Service (กลุ่ม Mesenchymal Stem Cell) และล่าสุด ลงทุนในโรงงานผลิต ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ซึ่งอยู่ในกลุ่มการผลิตยาขั้นสูง สะท้อนถึงความพร้อมในด้านเทคโนโลยีการผลิต ระบบคุณภาพ และความมุ่งมั่นสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

 

 

ตั้งเป้าสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ 

 

จิรัญญายังชี้ให้เห็นเทรนด์การใช้สเต็มเซลล์ทั่วโลกในปัจจุบันมีความแพร่หลายเพราะสเต็มเซลล์เริ่มเข้ามาช่วยในการรักษาโรคร้าย อีกทั้งผลสำเร็จของการวิจัยก็มีให้เห็นมากขึ้น 

 

“องค์ประกอบที่สำคัญอยู่ที่ ‘สเต็มเซลล์ที่มีคุณภาพ’ ซึ่งไครโอวิวาเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี เรายังเชื่ออย่างยิ่งว่า ทุกคนควรได้รับโอกาสที่ดีที่จะได้รักษาโรค และการเก็บสเต็มเซลล์ควรเป็นเรื่องที่ใครก็เข้าถึงได้  ต่อจากนี้จะไม่ใช่แค่คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เก็บสเต็มเซลล์เพื่ออนาคตของลูกเท่านั้น แต่ผู้คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงประโยชน์ของสเต็มเซลล์ได้  กลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสมีบุตรหรือไม่คิดจะมีบุตรสามารถเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมันหรือจากกระแสเลือดของตัวเองเพื่อฟื้นฟูสุขภาพตัวเองในอนาคตได้ ซึ่งตลาดสำคัญที่เรามองคือ กลุ่มผู้สูงวัย จะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและคุณภาพชีวิต ด้วยราคาในการรักษาที่คนทั่วไปสามารถจ่ายได้ แนวทางหนึ่งคือการจับมือกับสาธารณสุขบางหน่วยงานสามารถใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุขของประเทศได้ด้วย” 

 

“ดังนั้น นอกจากความมุ่งมั่นในการให้บริการที่โปร่งใสและเป็นธรรม ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิตเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด พันธกิจต่อจากนี้คือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ เพื่อสร้างโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย” จิรัญญากล่าวทิ้งท้าย

The post ‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>