Tech – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 10 Dec 2025 12:28:45 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่! ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta https://thestandard.co/apple-vp-ai-design/ Wed, 10 Dec 2025 11:50:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1153315 Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่ ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta

Apple เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้บริหาร […]

The post Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่! ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่ ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta

Apple เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้บริหาร โดยมีการประกาศสลับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงถึง 2 ตำแหน่งพร้อมกัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับทิศทางของบริษัทที่หันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณของการสูญเสียบุคลากรคนสำคัญในสายงานออกแบบให้กับบริษัทคู่แข่ง

 

ตั้งบุคคลระดับแนวหน้าดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่าย AI

 

Apple ได้ประกาศแต่งตั้ง อะมาร์ สุบรามันยา (Amar Subramanya) ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ (vice president of AI) คนใหม่ แทนที่ จอห์น จิอันนันเดรีย (John Giannandrea) ผู้บริหารคนเก่าที่กุมบังเหียนด้าน AI ของ Apple มาอย่างยาวนาน

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนของ Apple ในการเร่งพัฒนาฟีเจอร์ AI ให้ก้าวหน้าและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อการแข่งขันในตลาดที่ทวีความดุเดือด ทั้งนี้ สำนักข่าว Reuters และ NDTV รายงานตรงกันว่า อะมาร์ สุบรามันยา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาพลิกโฉมขีดความสามารถด้าน Machine Learning และ Generative AI ของผลิตภัณฑ์ Apple ในยุคต่อไป

 

มือดีไซน์ระดับตำนาน ย้ายค่ายซบ Meta

 

ในขณะเดียวกัน ก็มีข่าวช็อกวงการออกแบบเมื่อ แอลัน ดาย (Alan Dye) รองประธานฝ่ายการออกแบบอินเทอร์เฟซ (VP of Human Interface Design) ของ Apple ได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัท

 

CNBC และ 9to5Mac รายงานว่า แอลัน ดาย ซึ่งเป็นนักออกแบบคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) ผลิตภัณฑ์หลักของ Apple ทั้ง iOS, Apple Watch, Vision Pro และฟีเจอร์ Dynamic Island รวมถึงภาษาการออกแบบใหม่อย่าง Liquid Glass ได้ตัดสินใจลาออก เพื่อไปร่วมงานกับ Meta ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)

 

ล่าสุด แอลัน ดาย ได้ประกาศลาออกอย่างเป็นทางการหลังจากร่วมงานมานานกว่า 20 ปี โดยโพสต์ข้อความอำลาทีมงานผ่านทาง Instagram ส่วนตัว

 

“มันยากที่จะอธิบายความรู้สึกของการต้องจากลาทีมที่คุณรัก

 

เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมได้รับเกียรติให้ทำงานร่วมกับผู้คนที่ยอดเยี่ยม ที่ใส่ใจอย่างลึกซึ้งในงานฝีมือของการออกแบบและผลกระทบที่มันสร้างขึ้น

 

เราได้ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่ผมจะภูมิใจไปตลอดชีวิต…

 

เราทำให้กระจกดูเหมือนของเหลว (Liquid Glass), เราทำให้การ ‘ปัด’ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกลับหน้าโฮม, เราทำให้การ ‘ปิดวงแหวน’ (Activity Rings) กลายเป็นเป้าหมายประจำวันที่เปลี่ยนชีวิตผู้คน, เราทำให้การจ่ายเงินง่ายเพียงแค่แตะ, เราสร้างเกาะที่มีความไดนามิก (Dynamic Island), เราสร้างอีโมจิที่นำมาทั้งความสุข ความเศร้า และเป็นที่ถกเถียง

 

เราสร้างอินเทอร์เฟซเชิงพื้นที่ (Spatial Interface) ที่ควบคุมด้วยมือ ตา และเสียงของคุณเท่านั้น, เราสร้างระบบกล้องที่ดีที่สุดในโลก, เราทำให้ SF ไม่ใช่แค่เมืองที่ดีที่สุด แต่เป็นฟอนต์ที่ดีที่สุดด้วย, เราสร้างอินเทอร์เฟซที่ลื่นไหล สวยงาม และน่ารื่นรมย์ เราทำให้ชีวิตของผู้คนกว่า 2.5 พันล้านคนง่ายขึ้น เชื่อมต่อกันมากขึ้น สร้างสรรค์และแสดงออกได้มากขึ้น และท้ายที่สุด เราได้สร้างร่องรอยไว้ในจักรวาล
งานนี้หล่อหลอมตัวผม แต่ทีมงานหล่อหลอมผมยิ่งกว่า ความหลงใหล พรสวรรค์ และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาทำให้ทุกวันคือเอกสิทธิ์

 

ผมกำลังก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ที่มุ่งเน้น ‘อนาคตของผลิตภัณฑ์และประสบการณ์อัจฉริยะ’ (Intelligent products and experiences) โอกาสที่จะสร้างบางสิ่งจากศูนย์ ประดิษฐ์ภาษาการออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างวัฒนธรรมและทีมตั้งแต่วันแรก… เพื่อผสมผสานแฟชั่น วัฒนธรรม และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน…”

 

9to5Mac และ CNBC ระบุว่า แอลัน ดาย อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Apple จะย้ายไปร่วมงานกับ Meta โดยคาดว่าจะเข้าไปดูแลโปรเจกต์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ เช่น แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses) หรือเทคโนโลยี AR/VR ซึ่งเป็นสิ่งที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กำลังทุ่มเทพัฒนาอย่างหนัก ข้อความในโพสต์ของ แอลัน ดาย ที่กล่าวถึงการ ‘สร้างบางสิ่งจากศูนย์’ และ ‘ผสมผสานแฟชั่น วัฒนธรรม และเทคโนโลยี’ จึงสอดคล้องกับรายงานดังกล่าวก่อนหน้าที่จะมีการประกาศลาออกอย่างเป็นทางการ

 

การสิ้นสุดบทบาทของ แอลัน ดาย ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สืบทอดปรัชญาการออกแบบของ Apple มาอย่างยาวนาน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับทีมดีไซน์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม Apple ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่าน โดยแต่งตั้ง สตีเฟน เลอเมย์ (Stephen Lemay) ดีไซน์เนอร์อาวุโสที่ร่วมงานกับบริษัทมาตั้งแต่ปี 1999 ขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญนี้แทน

 

การปรับทัพครั้งนี้สะท้อนยุทธศาสตร์ ‘เดิมพัน AI’ ของ Apple เพื่อเร่งเครื่องหนีคู่แข่ง ขณะเดียวกันการเสียมือดีไซน์ระดับตำนานให้ Meta ชี้ให้เห็นถึงสมรภูมิ Wearable Tech ที่ดุเดือดขึ้น ซึ่ง Apple ต้องพิสูจน์ว่าการผลัดใบครั้งนี้จะยังคงรักษา DNA การออกแบบอันเป็นจุดแข็ง ควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ได้หรือไม่

 

อ้างอิง:

 

The post Apple ปรับทัพบริหารครั้งใหญ่! ตั้ง ‘อะมาร์ สุบรามันยา’ คุมงาน ด้าน AI ขณะที่ ‘แอลัน ดาย’ ดีไซน์เนอร์ คนสำคัญ ลาออกซบ Meta appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศึก AI เดือด! ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google https://thestandard.co/microsoft-india-data-center-investment/ Wed, 10 Dec 2025 07:19:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1153191 ศึก AI เดือด ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ Microsoft, Amazon และ G […]

The post ศึก AI เดือด! ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศึก AI เดือด ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ Microsoft, Amazon และ Google รวมถึงทุนยักษ์อีกหลายประเทศต่างหลั่งไหลเข้าไปลงทุนตลาด Data center อินเดีย ต่อเนื่อง ชี้นโยบายแข็งแกร่ง ต้นทุนต่ำ เทคโนโลยี AI ในประเทศเติบโตสูง

 

ล่าสุด Microsoft เตรียมลงทุน 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ในอินเดีย ระยะ 4 ปีข้างหน้า ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของ Microsoft ในเอเชีย

 

Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft กล่าวในโพสต์บน X หลังจากเข้าพบนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ของอินเดีย ณ กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ว่าเงินทุนนี้จะถูกนำไปใช้เพิ่มเติมจากเงินลงทุน 3 พันล้านดอลลาร์ ที่ Microsoft ประกาศไปเมื่อเดือนมกราคม

 

“การลงทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะ และศักยภาพอธิปไตยที่จำเป็นสำหรับอนาคตที่ให้ความสำคัญกับ AI ของอินเดีย” Nadella กล่าว

 

ด้าน โมดี โพสต์บน X เกี่ยวกับการลงทุนของ Microsoft เช่นเดียวกันว่า “เยาวชนของอินเดียจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและใช้พลังของ AI เพื่อโลกที่ดีขึ้น”

 

Microsoft กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เงินทุนจะถูกนำไปใช้เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงวัตถุประสงค์อื่นๆ โดย Data center คลาวด์ในภาคกลางตอนใต้ของอินเดีย เมืองไฮเดอราบัดจะเปิดใช้งานในช่วงกลางปี ​​2026 บริษัทจะขยาย Data center 3 แห่งที่ใช้งานอยู่แล้ว ที่เมืองเจนไนและไฮเดอราบัดทางตอนใต้ของอินเดีย และปูเนทางตะวันตก

 

ทั้งนี้ การประกาศของ Microsoft เกิดขึ้นเพียง 2 เดือน หลังจากที่คู่แข่งอย่าง Google ประกาศการลงทุน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในอินเดียเป็นเวลา 5 ปี จนถึงปี 2030 โดยจะพัฒนาศูนย์กลาง AI ในเมืองวิศาขาปัฏฏนัม ทางตอนใต้ ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของ Data center แหล่งพลังงาน และเครือข่ายใยแก้วนำแสง ส่วนในปี 2023 Amazon Web Services ประกาศการลงทุน 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์

 

3 ประเทศ อินเดีย เนปาล และภูฏาน ใช้ดาต้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 71%

 

ขณะนี้ ‘อินเดีย’ กลายเป็นจุดสนใจของการลงทุน อุตสาหกรรม Data center เนื่องจากประชากรที่เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตและได้รับประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือราคาถูก ข้อมูลจำนวนมหาศาลและบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากที่เข้ามาตั้งสำนักงานเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งบุคลากรที่มีความสามารถ

 

บริษัทเทคโนโลยี Ericsson กล่าวว่า สมาร์ทโฟนที่ใช้งานอยู่ในภูมิภาค อย่าง อินเดีย เนปาล และภูฏาน ใช้ดาต้าโดยเฉลี่ยประมาณ 36 กิกะไบต์ต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าในอเมริกาเหนือ 44% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 71% และการแพร่หลายของ AI ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญให้กับตลาด Data center อินเดีย

 

บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ CBRE มองว่า ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตพื้นฐานของตลาด Data center อินเดีย มาจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การประมวลผลแบบคลาวด์ ข้อมูลขนาดใหญ่ และอินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (IoT) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายและการลงทุนของรัฐบาลนั้นจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป

 

“ด้วยกำลังการผลิต Data center อินเดียเติบโตขึ้นมากกว่า 150% ตั้งแต่ปี 2021 เป็น 1.5 กิกะวัตต์”

 

จากข้อมูลการประเมินของ CBRE ระบุอีกว่า “ต้นทุนการสร้าง Data center ในอินเดียต่ำกว่าในญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน มาเลเซีย” ทำให้กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศ เช่น Reliance Industries, Tata Group และ Adani Group ก็ได้เข้ามาร่วมลงทุนด้วยเช่นกัน

 

รวมถึง Digital Connexion ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Reliance, Brookfield บริษัทข้ามชาติจากแคนาดา และ Digital Realty

 

บริษัทลงทุนจากสหรัฐอเมริกา จะลงทุน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 เพื่อสร้าง Data center AI ขนาด 1 กิกะวัตต์ และ Tata Consultancy Services บริษัทส่งออกซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้รับเงินทุน 1 พันล้านดอลลาร์ จาก TPG มีแผนสร้าง Data center เช่นกัน

 

ภาพ: Justin Sullivan/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ศึก AI เดือด! ยักษ์เทคแห่ปักธง Data Center อินเดีย ‘Microsoft’ เทอีก 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ไล่บี้ Amazon-Google appeared first on THE STANDARD.

]]>
หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง https://thestandard.co/apple-chip-chief-denies-resignation/ Wed, 10 Dec 2025 06:19:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1153141 หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง

กระแสข่าวลือเกี่ยวกับการลาออกของ Johny Srouji หัวหน้าฝ่ […]

The post หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง

กระแสข่าวลือเกี่ยวกับการลาออกของ Johny Srouji หัวหน้าฝ่ายพัฒนาชิปและหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของ Apple ถูกสยบลงอย่างเป็นทางการ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเขาได้ส่งอีเมลถึงพนักงานทั่วทั้งองค์กร ยืนยันชัดเจนว่า ยังไม่มีแผนจะลาออกในเร็วๆ นี้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีรายงานจาก Bloomberg ว่าเขากำลังพิจารณาอำลาตำแหน่งก็ตาม

 

ในอีเมลดังกล่าว Johny Srouji ระบุว่า หลังจากมีข่าวลือที่แพร่กระจายในช่วงไม่กี่วันมานี้ จึงต้องสื่อสารโดยตรงกับทีม โดยผมรักทีมและรักงานที่ Apple และไม่ได้วางแผนจะออกไปไหนทั้งนั้น ซึ่งถือเป็นถ้อยคำแถลงที่ต้องการลดความกังวลภายในทีมและย้ำความมั่นใจต่อทิศทางของบริษัท

 

ย้อนกลับไปในเส้นทางการทำงาน Johny Srouji เข้าร่วมงานกับ Apple ตั้งแต่ปี 2008 และเป็นกำลังสำคัญของบริษัทมานานกว่าทศวรรษ เขาดูแลทีม Hardware Technologies ซึ่งรับผิดชอบเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์หลักทั้งหมด ตั้งแต่หน้าจอ กล้อง เซนเซอร์ ไปจนถึงซิลิคอนและแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำทีมที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของชิปตระกูล A-series ใน iPhone และ M-series ใน Mac ที่ช่วยให้ Apple สามารถยุติการพึ่งพาชิปจาก Intel ได้อย่างสมบูรณ์

 

ทีมภายใต้การบริหารของเขา ยังขับเคลื่อนการพัฒนาโมเด็มสื่อสารภายในบริษัท ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเข้ามาแทนที่โมเด็มของ Qualcomm ในผลิตภัณฑ์ iPhone ส่วนใหญ่ในอนาคต อีกทั้งชื่อของ Johny Srouji ยังปรากฏในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหญ่ของ Apple อยู่บ่อยครั้งในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี ซิลิคอน

 

ทั้งนี้ Johny Srouji ยังย้ำในอีเมลว่า รู้สึกภูมิใจกับผลงานเทคโนโลยีที่ทีม Hardware Technologies ได้สร้างขึ้น ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กที่สุดของฮาร์ดแวร์ ไปจนถึงโครงสร้างหลักที่เป็นหัวใจของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ Apple

 

การออกมาปฏิเสธข่าวลือการลาออก เกิดขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาที่ Apple กำลังเผชิญคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง ต่อเนื่องหลายรายภายในไม่กี่สัปดาห์ เริ่มจาก John Giannandrea หัวหน้าฝ่าย AI ที่ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อสัปดาห์ก่อน ตามด้วย Alan Dye หัวหน้าฝ่ายออกแบบ UI ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างดีไซน์ Liquid Glass ที่ลาออกไปเข้าร่วม Meta

 

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ในวันต่อมา Apple ยังประกาศการเกษียณของผู้บริหารระดับสูงอีกสองราย ได้แก่ Kate Adams ที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัท และ Lisa Jackson รองประธานฝ่ายสิ่งแวดล้อม นโยบาย และสังคม ซึ่งต่างเป็นผู้บริหารที่รายงานตรงต่อซีอีโอ Tim Cook การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ยิ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของทีมผู้บริหารชุดปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว การยืนยันของ Johny Srouji จึงนับเป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนว่า Apple ยังสามารถรักษาผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เป็นฟันเฟืองหลักขององค์กรเอาไว้ได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบริษัท

 

ภาพ: kovop/shutterstock

 

อ้างอิง:

The post หัวหน้าทีมพัฒนาชิป Apple ปฏิเสธข่าวลือเตรียมลาออก ยืนยัน ยังไม่ไปไหน ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี https://thestandard.co/microsoft-frontier-firms-ai-returns/ Mon, 08 Dec 2025 08:28:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1152326 อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’ Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี

ในงาน Microsoft Ignite 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเร็วๆ […]

The post อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’ Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี

ในงาน Microsoft Ignite 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้ ไมโครซอฟท์ได้ตอกย้ำวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการผลักดันให้องค์กรธุรกิจยกระดับสู่การเป็น ‘Frontier firms’ หรือผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI

 

โดยชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เพียงส่วนเสริม (Add-on) อีกต่อไป แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องถูกนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกเลเยอร์ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานอย่างศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงเครื่องมือที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพของบุคลากรในทุกแผนก

 

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว Work IQ ฟีเจอร์อัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับ Microsoft 365 Copilot และระบบนิเวศของ AI Agent โดย Work IQ ถูกออกแบบมาให้เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ผ่านแกนหลักคือ ‘ความทรงจำ’ (Memory) และ ‘การอนุมาน’ (Inference) เพื่อเรียนรู้สไตล์การทำงาน พฤติกรรม และความต้องการเฉพาะบุคคล

 

จากนั้นนำมาประมวลผลเพื่อคาดการณ์การดำเนินการถัดไปที่ดีที่สุด ซึ่งจะผสานอยู่ในแอปพลิเคชันหลักอย่าง Word, Outlook และ Teams ทำให้ Copilot สามารถมอบประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและตอบโจทย์ธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงาน อาทิ Agent Mode ใน Microsoft 365 ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานร่วมกับ Copilot เพื่อสร้างเอกสารและสเปรดชีตคุณภาพสูงได้แบบ End-to-End, Sales Development Agent ที่เชื่อมต่อข้อมูลจาก CRM อย่าง Salesforce เพื่อช่วยทีมขายปิดการขายได้เร็วขึ้น

 

และ Teams Mode ที่เปลี่ยน Copilot ให้เป็นเสมือนเพื่อนร่วมทีมที่ช่วยจัดการวาระการประชุมได้ครบวงจร รวมถึงการเปิดตัว Microsoft 365 Copilot Business ในราคา 21 ดอลลาร์ต่อผู้ใช้ เพื่อขยายโอกาสให้ธุรกิจ SMEs เข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น

 

ในฝั่งของการบริหารจัดการองค์กร ไมโครซอฟท์ได้นำเสนอโซลูชัน Fabric IQ และ Foundry IQ ที่ช่วยให้ AI Agent เข้าใจบริบททางธุรกิจและเชื่อมโยงข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆ เข้ากับความต้องการจริง ทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (Real-time)

 

ควบคู่ไปกับ Microsoft Agent 365 เครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบและกำกับดูแลความปลอดภัยของ AI Agent ทั้งหมดในองค์กรผ่านระบบ Registry กลาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านไอทีและภัยคุกคามทางไซเบอร์

 

จากการสำรวจร่วมกับ IDC ผู้นำทางธุรกิจกว่า 4,000 คน พบว่าองค์กรที่เป็น Frontier firms หรือผู้ที่นำ AI มาปรับใช้ในฟังก์ชันธุรกิจอย่างจริงจัง สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าผู้ที่เริ่มต้นช้าถึง 3 เท่า โดย 71% ของบริษัทเหล่านี้วางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณด้าน AI

 

และ 58% กำลังใช้โซลูชัน AI แบบปรับแต่งเองเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยคาดการณ์ว่าการใช้งาน Agentic AI จะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวในอีก 2 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่า AI ได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกธุรกิจยุคใหม่

The post อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก https://thestandard.co/aws-reinvent-2025/ Sat, 06 Dec 2025 04:06:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1151795 ‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก

แม้โลกจะพูดถึง AI มาหลายปี แต่คำถามสำคัญที่ผู้บริหารจำน […]

The post ‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก

แม้โลกจะพูดถึง AI มาหลายปี แต่คำถามสำคัญที่ผู้บริหารจำนวนมากยังตอบไม่ชัด คือสุดท้ายแล้ว AI จะเปลี่ยนองค์กรอย่างไร และเราต้องเตรียมอะไรบ้าง?

 

ในวันที่ 1-5 ธันวาคมบนเวที AWS re:Invent 2025 งานอีเวนต์ของ Amazon Web Services (AWS) บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก จัดขึ้นที่ Las Vegas สหรัฐอเมริกา Matt Garman CEO of AWS ระบุถึงเทรนด์ AI ในยุคต่อไป ไว้ว่า

 

“Agents are changing the way we play, learn, optimize, secure, and build.”

 

“I believe that in the future, there’s going to be billions of agents inside of
every company and across every imaginable field.”

 

โลกยุคต่อไป คือการเกิดขึ้นของ AI Agents นับพันล้านตัวที่จะเข้าไปอยู่ในการผลิต การเงิน การตลาด การวิเคราะห์ ไปจนถึงระบบความปลอดภัยและการป้องกันไซเบอร์ของประเทศ ขนาดของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้มากพอที่จะทำให้ Matt Garman ระบุว่า AI Agents จะกลายเป็น ‘รากฐานใหม่ของคอมพิวเตอร์’ ในยุคหลัง 2026

 

และเพื่อรองรับโลกที่จะมี Agent ทำงานแทนมนุษย์ในทุกมิติ AWS ได้ระบุถึงสถาปัตยกรรม 4 ชั้นที่กำลังกลายเป็น Reference Model ขององค์กรทั่วโลก ซึ่งจะกำหนดว่าบริษัทใดจะไปได้เร็ว และบริษัทใดจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

 

  • 4 สถาปัตยกรรมใหม่ในโลก Billion of Agents

 

‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก 1

 

(1) AI Infrastructure: สมการเสาเข็มโลกใหม่คือ Chip + Cloud

 

“The foundation of great AI starts with great infrastructure.”

 

ในโลกที่ทุกคนให้ความสนใจกับโมเดล AI, ผลลัพธ์ที่โมเดลสร้างได้, หรือฟีเจอร์ใหม่ๆ Matt ระบุว่า การจะสร้างมูลค่าจริงจาก AI ไม่ได้เริ่มที่ตัวโมเดล แต่เริ่มต้นที่โครงสร้างพื้นฐาน และการรันชิป AI คือจุดสำคัญ

 

Peter DeSantis, SVP, Utility Computing, AWS ระบุว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา AWS เห็นการเติบโตของความต้องการในการประมวลผลจากใช้ AI เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
AWS จึงวางเดิมพันในโครงสร้างพื้นฐานของโลกใหม่ผ่านสองขาหลัก คือ NVIDIA GPU และ Custom AI Chip ที่ AWS พัฒนาขึ้นเอง โดย Matt ระบุว่า
“AWS is the best place to run NVIDIA GPUs.”

 

AWS มีการร่วมพัฒนากับ NVIDIA มานานกว่า 15 ปี ตั้งแต่การ Debug ปัญหาที่เกิดขึ้น ไปจนถึงการออกแบบ Data Center ให้รองรับ GPU Clusters ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดคลาวด์

 

แต่ในปีนี้การวางหมากของ AWS ไม่ได้อยู่ที่ GPU เพียงอย่างเดียว Matt ระบุว่า อนาคตของ AI ต้องพึ่งพาพลังสองขาอย่างสมดุล คือ GPU และ Custom AI Chip นั่นทำให้ AWS มองว่า Trainium หรือชิปของ AWS ที่พัฒนาขึ้นนั้นจะกลายเป็นเครื่องจักรหลักของ AWS ยุคใหม่

 

Matt เผยตัวเลขบนเวทีว่า วันนี้มี Trainium ถูกใช้งานจริงมากกว่า 1,000,000 ชิ้น และที่สำคัญกว่านั้นคือ งาน Inference ส่วนใหญ่บน Bedrock แพลตฟอร์ม AI ของ AWS ไม่ได้รันบน GPU แล้ว แต่รันบน Trainium

 

สะท้อนว่า AWS ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงผู้ให้บริการคลาวด์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบที่สอดรับกับยุค AI ตั้งแต่ระดับศูนย์ข้อมูล (Data Center Layer) ไปจนถึงระดับชิป (Silicon Layer)

 

Matt อธิบายต่อว่า Trainium รุ่นใหม่ อย่าง Trn3 UltraServers ให้พลัง 4.4× Compute, 3.9× Memory Bandwidth และ 5× ประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่อ Token ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของ Inference และในขณะเดียวกัน AWS ก็กำลังพัฒนา Trainium 4 เพื่อรองรับ Frontier Models รุ่นถัดไปที่จะใหญ่เกินกว่าความสามารถของชิปในปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ยัง มีการะบุถึง Project Rainier หรือการสร้าง Data Center ทั้งเมืองที่ทำงานเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว เพื่อรองรับการเทรนโมเดล Claude รุ่นต่อไปของ Anthropic ที่ต้องใช้พลังการคำนวณมหาศาล

 

และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Matt ถึงบอกว่า โลก AI ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะถูกกำหนดโดยโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าตัวโมเดลเอง

 

(2) Inference Platform: การเดิมพันว่าโลกไม่มีผู้ชนะ AI Model เพียงหนึ่งเดียว

 

“Model choice is critical.”

 

ถ้ามือถือมีค่ายสัญญาณโทรศัพท์ เว็บไซต์มีหลายเว็บเบราว์เซอร์ Matt ก็เชื่อว่า AI ไม่จำเป็นต้องมี Model เดียว

 

Matt เชื่อว่าไม่มีโมเดลใดทำได้ทุกอย่างดีหมด โมเดลที่ Reasoning เก่ง อาจไม่เร็วพอ โมเดลที่เร็วอาจไม่แม่นยำพอ โมเดลบางตัวเหมาะกับงานภาษาหนึ่ง แต่ใช้กับอีกภาษาอาจไม่ดีนัก

 

โลกในอนาคต คือโลก Multi-Model ที่จะเป็นสภาพความจริงใหม่ขององค์กร

 

AWS เลือกพัฒนา AWS Bedrock แพลตฟอร์มที่ให้เลือกโมเดลหลากหลายค่าย ตั้งแต่ Claude จากค่ายฝั่งตะวันตก ไปจนถึง Deepseek โมเดลจากจีน รวมถึงโมเดลอื่นๆ อีกหลายโมเดลด้วยกัน

 

ในปีนี้ได้มีการเปิดตัวโมเดลใหม่ที่จะร่วมอยู่ใน AWS Bedrock ตั้งแต่ Google GEMMA, Kimi, MiniMax, NVIDIA NEMOTRON และ Mistral Large 3 ซึ่งปัจจุบันใน AWS Bedrock มีลูกค้าที่ใช้งานจริงในระดับ Production เช่น Starbucks, PwC, Ferrari และอีกกว่า 50 รายในหลากหลายอุตสาหกรรม

 

‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก 2

 

นี่คือสัญญาณว่า Bedrock กำลังกลายเป็น ‘แพลตฟอร์ม AI กลาง’ ที่องค์กรระดับโลกใช้จริงอย่างมีเสถียรภาพ

 

(3) Your Data: ข้อมูลส่วนตัวองค์กร คืออาวุธลับสู่ ‘Frontier Model’

 

หนึ่งในประโยคที่ผู้บริหารจำได้มากที่สุดบนเวทีปีนี้คือ

 

“Your data is unique. That is your competitive advantage.”

 

Matt ระบุว่า สิ่งที่หลายบริษัททำผิด ไม่ใช่การเลือกโมเดล แต่เป็นการละเลยที่จะทำให้โมเดล ‘เข้าใจข้อมูลขององค์กรจริงๆ’ ซึ่งเป็นรากฐานของความได้เปรียบที่คู่แข่งลอกไม่ได้ และนำไปสู่การสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘Frontier Model’

 

แต่การทำให้โมเดลเข้าใจความรู้ลึกเชิงโดเมนแบบ Pre-training เป็นสิ่งที่ในอดีตสามารถทำได้ยาก

 

AWS จึงมุ่งพัฒนา Nova Forge หรือ Open Training Model ที่ทำให้บริษัทสร้าง Frontier Model ของตนเองขึ้นมา

 

Nova Forge ทำงานโดยแบ่งลำดับขั้นตอนเป็น 2 สเต็ปด้วยกัน เริ่มจากการที่บริษัทเลือกเทรนโมเดลต่อจาก Checkpoint ของ Nova และสเต็ปถัดมาจึงนำมารวมกับ Curated Dataset ของตนเอง เพื่อให้ได้ ‘Frontier Mode’ ที่เข้าใจทั้งโลกและเข้าใจบริษัทของเราได้ลึกมากที่สุด

 

Booking.com, Nimbus, NRI, Reddit และ Sony คือ 5 บริษัทที่มีการนำ Nova Forge มาใช้งานจริง โดย Sony ได้ปฏิวัติโลกเกม สู่การสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในทุกมิติ

 

Sony ใช้ Nova Forge ในการสร้างโมเดลที่เข้าใจเนื้อหาและ IP ของตนในระดับลึก ตั้งแต่ Demon Slayer แอนิเมชันดาบพิฆาตอสูร ไปจนถึงงานภาพยนตร์และเกม และนำ Agent หลายสิบตัวไปทำงานจริงในองค์กร ทั้งด้าน Compliance, Document Review และ Creative Workflow

 

‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก 3

 

แนวคิดหนึ่งที่ Matt Garman ระบุคือ
“The right model with all your data unlocks competitive advantage.”

 

และนี่คือแกนสำคัญของ Core 3 ที่จะกำหนดว่าผู้เล่นรายใดจะได้เปรียบเชิงโครงสร้างในยุค AI

 

(4) Tools to Build Agents: เครื่องมือที่ทำให้องค์กรมี ‘พนักงานดิจิทัล’ ในทุกแผนก

 

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม โมเดลพร้อม และข้อมูลพร้อม สิ่งสุดท้ายคือเครื่องมือสร้าง Agent ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้จริงในองค์กร

 

Agent ไม่ได้เป็นเพียง Chatbot โดยอาจกล่าวได้ว่า Chatbot ตอบสนองผู้ใช้โดยการแนะนำให้ตรวจสอบสิ่งต่างๆ แต่ Agent จะลงมือปฏิบัติทันที รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขให้ทีมตรวจสอบก่อนตัดสินใจ

 

โดยหัวใจสำคัญคือ

 

“Trust, but verify”

 

Matt เปรียบเทียบว่า Agent ก็เหมือนกับการที่ผู้นำต้องไว้วางใจให้ทีมมีโอกาสคิด และตัดสินใจลงมือทำได้ด้วยตนเอง แต่ผู้นำต้อง ‘มีสิทธิ’ ที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ แต่ไม่ต้องตัดสินใจหรือลงมือทำในทุกกระบวนการ

 

AWS จึงเปิดตัว AgentCore ที่ขาย ‘ศักยภาพ’ ที่จะทำให้เราสามารถทำกับ Agent ได้ เช่น Memory, Gateway, Identity, Execution Sandbox ไปจนถึง Observability

 

องค์กรที่เริ่มใช้งานแล้ว เช่น Workday ระบุว่าสามารถลดงาน Routine Planning และ Analysis ลงกว่า 30%

 

Adobe และ Writer อีก 2 องค์กรตัวอย่างของการสร้าง Workflow ใหม่ทั้งองค์กร โดย Adobe ใช้ AgentCore ในทุกผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ PDF, Express ไปจนถึง Creative Cloud หรือ Writer เปิดให้ลูกค้าสร้าง Agent และเลือกโมเดลบน Bedrock ได้ทันที ช่วยให้ธุรกิจสร้างแรงงานดิจิทัลที่สเกลได้ไม่จำกัด

 

  • ความท้าทายในโลกที่ AI เร็วกว่าองค์กรและบริษัทไทยจะปรับตัวอย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมดูสดใส แต่ความจริงสำคัญว่าองค์กรจำนวนมากยังไม่พร้อมต่อโลกที่กำลังจะมาด้วยปัจจัยหลายประการ

  • โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ต้องการทรัพยากรและการออกแบบที่ใหญ่กว่าที่คิด
  • ข้อมูลขององค์กรส่วนใหญ่ยังไม่เป็นระเบียบและไม่พร้อมใช้งาน
  • โมเดลเติบโตเร็วจนองค์กรปรับตัวตามไม่ทัน
  • การบริหาร Agent ต้องใช้วิธีคิดใหม่ทั้งหมด ทั้งด้านกฎหมาย ความปลอดภัย และความรับผิดชอบ

 

กสิมะ ธารพิพิธชัย Head of AI Strategy จาก บริษัท SCB 10X ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ระบุว่า แม้โลก AI จะเติบโตไปอย่างรวดเร็ว และเข้าสู่ยุคที่เราอาจได้เห็น Agent เป็นพันล้านตัว โจทย์สำคัญของไทยยังคงเป็นการที่เราต้อง ‘รู้จักตัวเอง’ ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการรู้ว่า ‘Domain Expertise’ ของเราคืออะไรในแต่ละอุตสาหกรรม ถึงจะสามารถปลดล็อกศักยภาพจาก Agent ได้

 

กสิมะระบุว่า

 

“บริษัทไทยต้องรู้ว่า Task ส่วนไหนขององค์กรที่มีความสำคัญ
และกำลังเกิดขึ้นในแต่ละกระบวนการ”

 

“การเข้าใจ Task งานขององค์กรตนเอง เป็นจุดเริ่มต้นในการนำ Agent เข้ามาปรับใช้ในองค์กร”

 

ซึ่งถือเป็นสิ่งแรกที่บริษัทไทยควรเริ่มทำ ท่ามกลางการเข้าสู่ The World with Billion Agent เพื่อคว้าโอกาสจาก AI ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

The post ‘The World with Billion of Agents’ สรุป 4 เทรนด์ AI 2026 บนเวที AWS re:Invent 2025 จาก Matt Garman ซีอีโอ AWS คลาวด์เบอร์หนึ่งโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก https://thestandard.co/moore-threads-nvidia-400-surge/ Fri, 05 Dec 2025 06:05:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1151646 Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก

หุ้นของ Moore Threads ผู้ผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) […]

The post Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก

หุ้นของ Moore Threads ผู้ผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) สัญชาติจีน ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น “Nvidia แห่งจีน” สร้างปรากฏการณ์ในการเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Exchange) ด้วยการพุ่งทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงกว่า 400%

 

ราคาหุ้นล่าสุดพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 584.98 หยวน ซึ่งสูงกว่าราคาจองซื้อ (IPO) ที่ 114.28 หยวน ถึงกว่า 5 เท่า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่ออุตสาหกรรมชิป AI ในประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีที่ดุเดือดระหว่างจีนและสหรัฐฯ

 

Moore Threads ประสบความสำเร็จในการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่ากว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 3.6 หมื่นล้านบาท โดยมี CITIC Securities เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ร่วมกับ BOC International Securities, China Merchants Securities และ GF Securities

 

แม้บริษัทยังไม่มีกำไร แต่ได้ระบุในหนังสือชี้ชวนว่าจะนำเงินที่ได้ไปเร่งเครื่องการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในโครงการหลักๆ โดยเฉพาะการพัฒนาชิป GPU สำหรับการฝึกฝน (Training) และการอนุมาน (Inference) AI รุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเอง รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

 

🇨🇳 ความหวังของจีนในการพึ่งพาตนเองท่ามกลางสงครามชิป

 

ความสำเร็จในการเข้าตลาดครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่ง เนื่องจาก Moore Threads เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำและคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งจำกัดการเข้าถึงกระบวนการผลิตชิปขั้นสูง

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทถือเป็นตัวแทนสำคัญของกลุ่มบริษัทจีนที่กำลังเร่งพัฒนาโปรเซสเซอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ตามนโยบายของรัฐบาลปักกิ่ง ที่พยายามผลักดันให้เกิดทางเลือกภายในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยเฉพาะจากฝั่งของสหรัฐฯ

 

อย่างไรก็ตาม Moore Threads ไม่ใช่ผู้เล่นรายเดียวในสนามนี้ แต่ยังมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Huawei ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี รวมถึงผู้เล่นเฉพาะทางอย่าง Cambricon (ซึ่งราคาหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 100% ในปีนี้) นอกจากนี้ยังมีสตาร์ทอัพหน้าใหม่อย่าง Enflame Technology และ Biren Technology ที่กำลังกระโดดเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด GPU มูลค่ามหาศาลที่ Nvidia ไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไป

 

สถานการณ์นี้สอดคล้องกับท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลของจีน ที่กำลังเร่งอนุมัติ IPO ของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์จำนวนมาก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายความเป็นอิสระด้าน AI ของประเทศ ท่ามกลางมาตรการกีดกันทางการค้าจากทั้งสองฝั่ง โดยล่าสุดจีนก็ได้เริ่มระงับการนำเข้าชิปบางรุ่นของ Nvidia เพื่อเปิดทางให้ผู้ผลิตในประเทศได้เติบโต

 

อ้างอิง:

The post Moore Threads หุ้นผลิตชิปจีน ผู้ท้าชิง Nvidia เปิดเทรดวันแรกพุ่ง 400% ท่ามกลางสงครามชิปของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple Watch เปิดตัวคุณสมบัติ ‘การแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง’ ในแล้วไทย https://thestandard.co/apple-watch-hypertension-thailand/ Thu, 04 Dec 2025 05:22:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1151267 Apple Watch เปิดตัวคุณสมบัติ การแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง ในแล้ว ไทย

Apple ได้ออกมาเปิดเผยว่า วันนี้ (4 ธ.ค.) ได้เปิดตัวคุณส […]

The post Apple Watch เปิดตัวคุณสมบัติ ‘การแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง’ ในแล้วไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Apple Watch เปิดตัวคุณสมบัติ การแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง ในแล้ว ไทย

Apple ได้ออกมาเปิดเผยว่า วันนี้ (4 ธ.ค.) ได้เปิดตัวคุณสมบัติ ‘การแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง’ (hypertension notifications) ในประเทศไทย สำหรับ Apple Watch ซึ่งสามารถแจ้งเตือนผู้ใช้หากตรวจพบสัญญาณของภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง หรือ ภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension)

 

ภาวะความดันโลหิตสูงส่งผลกระทบต่อผู้คนราว 1.3 พันล้านคนทั่วโลก ภาวะนี้มักจะไม่ได้รับการวินิจฉัยเนื่องจากมักไม่แสดงอาการ ผู้คนหลายคนไม่ได้ไปพบแพทย์เป็นประจำ และแม้ในระหว่างการตรวจรักษา ก็อาจถูกมองข้ามได้ง่ายด้วยการวัดค่าเพียงครั้งเดียว

 

ฟีเจอร์ ‘การแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง’ บน Apple Watch ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัล (optical heart sensor) เพื่อวิเคราะห์ว่าหลอดเลือดของผู้ใช้ตอบสนองต่อการเต้นของหัวใจอย่างไร

 

อัลกอริทึมนี้จะทำงานอยู่เบื้องหลัง โดยตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังเป็นระยะเวลา 30 วัน และจะแจ้งเตือนผู้ใช้หากตรวจพบสัญญาณของภาวะความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่อง การแจ้งเตือนเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองที่เกี่ยวข้องกับภาวะที่พบได้บ่อยนี้ เพียงแค่สวมใส่ Apple Watch

 

Apple ระบุอีกว่า หากผู้ใช้ได้รับการแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง ขอแนะนำให้บันทึกค่าความดันโลหิตของตนเองเป็นเวลา 7 วัน โดยใช้เครื่องวัดความดันโลหิตอื่น ๆ และแบ่งปันผลลัพธ์กับผู้ให้บริการด้านสุขภาพของตนในการนัดหมายครั้งถัดไป

 

ภาพ : Hadrian / Shutterstock

The post Apple Watch เปิดตัวคุณสมบัติ ‘การแจ้งเตือนภาวะความดันโลหิตสูง’ ในแล้วไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทุนข้ามชาติยึดหัวหาด E-Commerce ขึ้นค่าธรรมเนียม 15-25% แถมปิดกั้นข้อมูล ภาวุธจี้รัฐดัน Open Platform ทวงคืนข้อมูลลูกค้า https://thestandard.co/mnc-e-commerce-fees-reclaim-data/ Sun, 30 Nov 2025 05:09:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1149778 ทุนข้ามชาติยึดหัวหาด E-Commerce ขึ้นค่าธรรมเนียม 15-25% แถมปิดกั้นข้อมูล ภาวุธจี้รัฐดัน Open Platform ทวงคืนข้อมูลลูกค้า

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2025 ที่ยังคงมีความเปราะบา […]

The post ทุนข้ามชาติยึดหัวหาด E-Commerce ขึ้นค่าธรรมเนียม 15-25% แถมปิดกั้นข้อมูล ภาวุธจี้รัฐดัน Open Platform ทวงคืนข้อมูลลูกค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทุนข้ามชาติยึดหัวหาด E-Commerce ขึ้นค่าธรรมเนียม 15-25% แถมปิดกั้นข้อมูล ภาวุธจี้รัฐดัน Open Platform ทวงคืนข้อมูลลูกค้า

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2025 ที่ยังคงมีความเปราะบาง โดยมีการคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไว้เพียง 1.8-2.2% ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO Pay Solutions ได้สะท้อนมุมมองว่าความท้าทายที่น่ากังวลกว่าปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น คือสถานการณ์ตลาด E-Marketplace ไทยที่กำลังถูกครอบงำโดยแพลตฟอร์มต่างชาติ

 

ภาวุธ ชี้ให้เห็นว่าความท้าทายหลักคือการที่แพลตฟอร์มต่างชาติยังคงสยายปีกและมีอำนาจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องค่าบริการที่เติบโตขึ้นถึง 15-25% ซึ่งสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุนของผู้ประกอบการอย่างหนัก ยกตัวอย่างเช่น ผู้ขายที่มียอดขายผ่านแพลตฟอร์ม 17 ล้านบาทต่อเดือน อาจต้องจ่ายค่าบริการสูงถึง 8 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 35% ของยอดขาย

 

นอกจากเรื่องต้นทุน ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ ‘Data Ownership’ หรือความเป็นเจ้าของข้อมูล เมื่อแพลตฟอร์มต่างชาติอย่าง Shopee และ TikTok ใช้นโยบายปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลลูกค้า ทั้งชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ทำให้ร้านค้าไม่สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์หรือทำ CRM เพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำของตัวเองได้อีกต่อไป ต้องพึ่งพาแต่แพลตฟอร์มเท่านั้น

 

ภาวุธ เปิดเผยว่าขณะนี้กำลังทำงานร่วมกับคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เพื่อผลักดันให้มีการเปิดเผยข้อมูลลูกค้าออกมาและสนับสนุนนโยบาย ‘Open Platform’ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเก็บข้อมูลและนำไปต่อยอดธุรกิจในการขายออเดอร์ที่ 2 และ 3 ได้เอง แทนที่จะต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติเพียงอย่างเดียวตลอดไป

 

ในมิติของการแข่งขัน หากมีแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Taobao เข้ามาทำตลาดเพิ่ม จะยิ่งสร้างความท้าทายหนักขึ้น เพราะปัจจุบันสินค้าจีนจำนวนมหาศาลได้ไหลเข้ามาผ่าน Lazada, Shopee และ TikTok เรียบร้อยแล้ว โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้มีระบบนิเวศที่ครบวงจร ทั้งระบบขนส่ง ระบบชำระเงิน และคลังสินค้าเป็นของตนเอง

 

สิ่งที่น่ากังวลคือการที่แพลตฟอร์มต่างชาติกำลังสร้างระบบนิเวศของตนเองเบ็ดเสร็จในประเทศไทย เช่น TikTok ที่พยายามทำระบบขนส่งและระบบรับชำระเงินเอง ซึ่งกลไกนี้จะดูดผู้ประกอบการไทยเข้าไปอยู่ในระบบและดึงเม็ดเงินออกนอกประเทศ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยลดลงในระยะยาวและเสียอธิปไตยทางข้อมูล

 

อกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับบริการ ‘Buy Now Pay Later’ (BNPL) หรือซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ที่กำลังขยายตัวเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายที่เปราะบาง เช่น การเข้าสู่ตลาดเกมโชว์ ซึ่งอาจสร้างพฤติกรรมการใช้เงินที่ไม่เหมาะสมให้กับเยาวชน ทำให้เด็กสามารถเข้าถึงสินเชื่อและก่อหนี้ได้ง่ายเกินความจำเป็นและขาดการควบคุม

 

ความท้าทายในภาพรวมยังรวมถึงกฎระเบียบของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลให้การประมวลผลข้อมูลการเงินไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศไทย รวมถึงการที่ภาครัฐยังไม่มีหน่วยงานหลักที่เข้าใจบริบทของเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแท้จริง ทำให้การกำกับดูแลและการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยยังไม่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก

 

จากสถานการณ์ดังกล่าว ภาวุธ จึงแนะกลยุทธ์ว่าผู้ประกอบการควรใช้ Marketplace เป็นเพียงช่องทางในการ ‘สร้างลูกค้าใหม่’ เท่านั้น แต่ต้องพยายามสร้าง ‘Owned Channel’ หรือช่องทางของตนเอง เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าและสร้างกลยุทธ์ O2O (Online to Offline) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการรักษาลูกค้าและลดต้นทุนระยะยาว

 

อย่างไรก็ตามแม้จะเผชิญแรงกดดันรอบด้าน แต่ Pay Solutions คาดว่าจะสามารถปิดปี 2025 ด้วยยอดธุรกรรมรวมทะลุ 10,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 100% สวนกระแสเศรษฐกิจ โดยปัจจัยหนุนสำคัญมาจากการเติบโตของธุรกรรมในฝั่งออฟไลน์ที่สูงถึง 238% สะท้อนว่าผู้ประกอบการเริ่มกลับมาลงทุนหน้าร้านควบคู่กับออนไลน์เพื่อกระจายความเสี่ยง

 

ข้อมูลพฤติกรรมการชำระเงินยังชี้ให้เห็นว่า PromptPay ได้ก้าวขึ้นมาเป็นช่องทางหลักแซงหน้าบัตรเครดิต โดยมีสัดส่วนการใช้งานสูงถึง 52.6% ของธุรกรรมทั้งหมด ขณะเดียวกัน เม็ดเงินจากต่างประเทศก็เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยมียอดธุรกรรมจากบัตรเครดิตต่างชาติสูงถึง 1,200 ล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว

สำหรับทิศทางในปี 2026 Pay Solutions มุ่งเป้าที่จะยกระดับสู่การเป็น ‘Payment Infrastructure’ ของประเทศ โดยไม่ได้มองแค่การเป็นระบบรับจ่ายเงิน แต่ต้องการเชื่อมโยงระบบนิเวศทางธุรกิจทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทั้งระบบบัญชี ภาษี และการขนส่ง เพื่อช่วยลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้ผู้ประกอบการไทย

 

โดยเตรียมเปิดตัว ‘Super EDC’ เครื่องรูดบัตรอัจฉริยะที่รวมระบบจัดการหน้าร้านและการรับชำระเงินไว้ในเครื่องเดียว เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัว และนำเทคโนโลยี AI มาช่วยลดขั้นตอนการทำงานในทุกแผนก ตั้งแต่การขาย, บัญชี ไปจนถึงกราฟิก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรให้สูงสุด

 

ภาวุธ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในวันที่กำลังซื้อภายในประเทศยังชะลอตัว การดึงเม็ดเงินจากต่างชาติและการเปิดรับช่องทางการชำระเงินจากทั่วโลกคือทางรอดของธุรกิจไทย” โดย Pay Solutions พร้อมที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้ธุรกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางการแข่งขันระดับโลก

The post ทุนข้ามชาติยึดหัวหาด E-Commerce ขึ้นค่าธรรมเนียม 15-25% แถมปิดกั้นข้อมูล ภาวุธจี้รัฐดัน Open Platform ทวงคืนข้อมูลลูกค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google Quantum AI เผยชิป Willow เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 13,000 เท่า หนุนพัฒนายาและวัสดุศาสตร์ มุ่งสู่ใช้งานเชิงพาณิชย์ใน 5 ปี https://thestandard.co/willow-chip-supercomputer-commercial/ Sun, 30 Nov 2025 05:03:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1149772 Google Quantum AI เผยชิป Willow เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 13,000 เท่า หนุนพัฒนายาและวัสดุศาสตร์ มุ่งสู่ใช้งานเชิงพาณิชย์ใน 5 ปี

Google Quantum AI ได้เผยถึงผลงานวิจัยล่าสุดที่แสดงให้เห […]

The post Google Quantum AI เผยชิป Willow เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 13,000 เท่า หนุนพัฒนายาและวัสดุศาสตร์ มุ่งสู่ใช้งานเชิงพาณิชย์ใน 5 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
Google Quantum AI เผยชิป Willow เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 13,000 เท่า หนุนพัฒนายาและวัสดุศาสตร์ มุ่งสู่ใช้งานเชิงพาณิชย์ใน 5 ปี

Google Quantum AI ได้เผยถึงผลงานวิจัยล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถประมวลผลอัลกอริทึมที่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้บนฮาร์ดแวร์จริงได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นความสามารถที่เหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่เร็วที่สุดในโลก โดยผลลัพธ์จากการทดสอบระบุว่าอัลกอริทึมดังกล่าวมีความเร็วเหนือกว่าถึง 13,000 เท่า

 

ความแตกต่างพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่ได้อยู่ที่ความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่วิธีการประมวลผลที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง เนื่องจากปัญหาในการค้นพบยาและวัสดุศาสตร์ล้วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมระดับโมเลกุล ซึ่งคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมทำได้เพียงการประมาณค่า

 

แต่คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถจำลองพฤติกรรมระดับโมเลกุลได้โดยตรง ทำให้การใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ควอนตัมเพื่อการค้นพบใหม่ๆ ในด้านการแพทย์และวัสดุศาสตร์ขยับเข้าใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

 

ความก้าวหน้านี้ไม่เพียงแต่เป็นการโชว์ศักยภาพในการคำนวณโครงสร้างของโมเลกุลที่ซับซ้อน แต่ยังเป็นการปูทางไปสู่การประยุกต์ใช้งานจริง Hartmut Neven ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าทีม และ Vadim Smelyanskiy ผู้อำนวยการฝ่าย Quantum Pathfinding ของ Google Quantum AI ระบุว่า ความสำเร็จในวันนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความก้าวหน้าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา

 

เริ่มต้นจากการประกาศความสำเร็จในปี 2019 ที่แสดงให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถแก้ปัญหาที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์อาจต้องใช้เวลานานนับพันปี มาจนถึงช่วงปลายปี 2024 กับการเปิดตัวชิปควอนตัมรุ่นใหม่ในชื่อ ‘Willow’ ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการลดข้อผิดพลาดต่างๆ ได้ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมวิจัยสามารถแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ท้าทายมาเกือบ 30 ปีได้สำเร็จ

 

การลดอัตราข้อผิดพลาดนี้เองที่เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้การใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์ควอนตัมเพื่อการค้นพบใหม่ๆ ในด้านการแพทย์และวัสดุศาสตร์ ขยับเข้าใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น Google Quantum AI เปรียบเทียบความแม่นยำนี้ว่า หากเราพยายามค้นหาเรือที่จมอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร เทคโนโลยีแบบเดิมอย่างโซนาร์อาจให้ภาพที่เบลอและบอกได้เพียงคร่าวๆ ว่ามีซากเรืออยู่ตรงนั้น

 

แต่เทคโนโลยีใหม่บนชิป Willow เปรียบเสมือนการที่เราไม่เพียงแค่หาเรือเจอ แต่สามารถดำลงไปอ่านป้ายชื่อบนเรือลำนั้นได้อย่างชัดเจน นี่คือระดับความแม่นยำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการประมวลผลอัลกอริทึม ความก้าวหน้าล่าสุดนี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature โดยชิปควอนตัม Willow ได้รันอัลกอริทึมตัวชี้วัดความโกลาหล หรือ Out-of-time-order Correlator (OTOC)

 

ทางทีมวิจัยเรียกกระบวนการนี้ว่า ‘Quantum Echoes’ หลักการทำงานของเทคนิคนี้มีความซับซ้อนโดยทำงานคล้ายกับการส่งสัญญาณเสียงสะท้อน เริ่มต้นจากการส่งสัญญาณที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันไปยังระบบควอนตัมเพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับคิวบิตเป้าหมาย จากนั้นระบบจะทำการย้อนวิวัฒนาการของสัญญาณอย่างแม่นยำเพื่อฟังเสียงสะท้อนที่ย้อนกลับมา

 

ความพิเศษอยู่ที่เสียงสะท้อนควอนตัมนี้จะได้รับการขยายสัญญาณผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Constructive Interference’ ซึ่งคลื่นควอนตัมจะซ้อนทับกัน ส่งผลให้การประมวลผลมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและการวัดผลมีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่สุดของการประกาศครั้งนี้คือสิ่งที่เรียกว่าความสามารถในการพิสูจน์ยืนยันของควอนตัม (Quantum Verifiability)

 

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถรันอัลกอริทึมที่มีความซับซ้อนเหนือกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่ยังสามารถตรวจสอบความถูกต้องและทำซ้ำได้ การทดลองในอดีตมักเน้นเพียงความเร็วหรือความซับซ้อนแบบสุ่ม แต่การพิสูจน์ยืนยันได้ในครั้งนี้หมายถึงความสามารถในการประมวลผลที่ทำซ้ำได้เพื่อให้ได้คำตอบเดียวกัน

 

ฮาร์ดแวร์ที่จะทำสิ่งนี้ได้ต้องมีคุณสมบัติสำคัญสองประการควบคู่กัน คือ อัตราข้อผิดพลาดที่ต่ำมาก และความเร็วในการประมวลผลที่สูง ซึ่งชิป Willow ตอบโจทย์ทั้งสองข้อนี้ ในแง่ของการนำไปประยุกต์ใช้จริง เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการเรียนรู้โครงสร้างของระบบต่างๆ ในธรรมชาติ ตั้งแต่โมเลกุล แม่เหล็ก ไปจนถึงหลุมดำ

 

ในการทดลองเพื่อพิสูจน์แนวคิด Google Quantum AI ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ โดยนำเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า ‘Molecular Ruler’ มาใช้ในการวัดระยะทางของโครงสร้างเคมี โดยอาศัยข้อมูลจากการสั่นพ้องของคลื่นแม่เหล็กนิวเคลียร์ (NMR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานเดียวกับที่ใช้ในเครื่อง MRI ทางการแพทย์

 

เทคโนโลยีดังกล่าวทำหน้าที่เสมือนกล้องจุลทรรศน์ระดับโมเลกุลที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เห็นตำแหน่งสัมพัทธ์ของอะตอม ผลการทดลองบนชิป Willow กับโมเลกุลที่มีขนาด 15 และ 28 อะตอม พบว่าผลลัพธ์ที่ได้จากคอมพิวเตอร์ควอนตัมตรงกับผลลัพธ์จาก NMR แบบดั้งเดิม แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือความสามารถในการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่วิธีการแบบเดิมไม่สามารถเข้าถึงได้

 

Ashok Ajoy ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาวิชาเคมีของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานร่วมกับทีม Google Quantum AI ให้ความเห็นว่า “อัลกอริทึม Quantum Echoes ของ Google แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคอมพิวเตอร์ควอนตัมในการสร้างแบบจำลองและคลี่คลายปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของการหมุนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจทำได้แม้ในระยะทางไกล” ซึ่งอาจช่วยยกระดับวงการยาและการออกแบบวัสดุขั้นสูง

 

การทดลองนี้เปรียบเสมือนก้าวแรกสู่การสร้างกล้องควอนตัมที่จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน ตั้งแต่การระบุว่ายาชนิดใหม่ทำปฏิกิริยากับโมเลกุลเป้าหมายอย่างไร ไปจนถึงการออกแบบวัสดุใหม่ๆ เช่น โพลีเมอร์ประสิทธิภาพสูง หรือส่วนประกอบแบตเตอรี่รุ่นใหม่

 

นอกจากนี้ Quantum Echoes ยังอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างคอมพิวเตอร์ควอนตัมและ AI เนื่องจาก AI ต้องการข้อมูลในการฝึกฝน และคอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถสร้างชุดข้อมูลเฉพาะที่มีคุณค่าซึ่ง AI สามารถนำไปใช้เรียนรู้ได้ ตัวอย่างเช่น ความสำเร็จล่าสุดในการทำนายโครงสร้างโปรตีน 3 มิติต้องอาศัยชุดข้อมูลที่ใช้เวลารวบรวมกว่า 50 ปี แต่ด้วยอัลกอริทึมอย่าง Quantum Echoes อาจช่วยย่นระยะเวลาในการสร้างชุดข้อมูลลักษณะนี้ได้อย่างมาก

 

ความก้าวหน้าเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานแสงอาทิตย์ ไปจนถึงนิวเคลียร์ฟิวชัน Google Quantum AI ระบุทิ้งท้ายว่า การเผยโฉมความสามารถของ Quantum Echoes บนชิป Willow ในครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ผลักดันให้การประมวลผลแบบควอนตัมขยับจากการทดลองในห้องแล็บไปสู่การใช้งานจริง

 

โดยคาดการณ์ว่าการประยุกต์ใช้งานเชิงพาณิชย์ครั้งแรกจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้ ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระยะที่ 3 ตามแผนกลยุทธ์ฮาร์ดแวร์ คือการพัฒนาคิวบิตเชิงตรรกะที่มีอายุการใช้งานยาวนาน

The post Google Quantum AI เผยชิป Willow เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 13,000 เท่า หนุนพัฒนายาและวัสดุศาสตร์ มุ่งสู่ใช้งานเชิงพาณิชย์ใน 5 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] https://thestandard.co/thai-semiconductor-policy-economy-driver/ Thu, 27 Nov 2025 09:00:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1148059 สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial]

รอบตัวเราทุกวันนี้ถูกรายล้อมด้วยระบบและอุปกรณ์ที่ใช้พลั […]

The post สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial]

รอบตัวเราทุกวันนี้ถูกรายล้อมด้วยระบบและอุปกรณ์ที่ใช้พลังของ ‘ชิป’ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ เครื่องสแกนใบหน้า โครงข่ายไฟฟ้า ไปจนถึงเครื่องบินรบ

 

‘Semiconductor’ หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า Microchips คือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่หลากหลาย ทั้งขยายสัญญาณ แปลงพลังงาน ตรวจจับ เก็บข้อมูล เรียกได้ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิดมี ‘chip’ เป็นขุมพลัง รวมไปถึงเทคโนโลยีอย่าง AI และ Data Center

 

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยีอย่าง AI, Cloud และ Data Center กลายเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ชิปจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญ ยิ่ง AI ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

ปี 2024 อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยอดขายทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 627 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดการณ์ว่าจบปี 2025 จะเติบโตขึ้นอีกเป็นประมาณ 697 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] 1

 

ใครครอบครองชิป ไม่ต่างอะไรกับได้ครอบครองโลก อาจไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง Chris Miller ผู้เขียนหนังสือ CHIP WAR บอกว่า ไมโครชิปคือน้ำมันชนิดใหม่ ในโลกยุคก่อนมหาอำนาจต่างแย่งชิงบ่อน้ำมัน แต่โลคยุค AI ประเทศชั้นนำกำลังแย่งชิงขุมพลังในการประมวลผล Data

 

ปัจจุบัน ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี และจีน ยังคงเป็นผู้เล่นหลักของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังมีหลายประเทศ ที่อยากชิงชัยเป็นผู้นำด้านการวิจัย พัฒนา และผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ เพราะนั้นหมายถึงการก้าวเท้าจ่อคิวที่จะเป็นประเทศมหาอำนาจ และสะท้อนถึงความมั่นคงระดับชาติ

 

สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] 2

 

‘เซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย

 

ประเทศไทยเองก็เช่นกัน ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. กล่าวว่า ประเทศไทยไม่สามารถยืนอยู่บนอุตสาหกรรมเดิมได้ ต้องสร้าง New Growth Engine หรืออุตสาหกรรมที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือ ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’

 

“เราอาจจะยังไม่เด่นชัดมากแต่เราก็ไม่ได้ช้าเกินไปที่จะเข้าไปในอุตสาหกรรมนี้ คู่แข่งในภูมิภาคหลักๆ ก็คงจะเป็นเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย อุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องการพลังงานเยอะ ซึ่งไทยได้เปรียบเรื่องพลังงาน”

 

สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] 3

 

ศาสตราจารย์ ดร.สุรินทร์ คำฝอย รองผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สอวช.กล่าวว่า ประเทศไทยเคยเป็นผู้ส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) อันดับหนึ่งของโลก และถ้ามองลึกลงไปจะพบสินค้าที่อยู่เบื้องหลัง Data Center มากมาย หนึ่งในนั้นคือ เซมิคอนดักเตอร์

 

“คาดการณ์ในปี 2030 ตลาดเซมิคอนดักเตอร์อาจมีมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ไทยมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนนี้ ประกอบกับปัจจัยเร่งจากภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เกิดความต้องการสินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น เนื่องจากบริษัทในจีนและไต้หวันไม่สามารถส่งออกไปประเทศอื่นได้”

 

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) สะท้อนให้เห็นการเติบโตของ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ในไทย มียอดส่งออกทะลุ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยในปี 2567 อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 71,033 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 2.8% จากปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่ม Consumer Electronics (27.8%), Power Electronics (22.7%) และ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (21.1%) นับเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของประเทศที่ยังคงขยายตัวท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

 

“มีผู้ประกอบการรวมกว่า 2,700 ราย สะท้อนถึงโครงสร้างอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าไปจนถึงระบบควบคุมพลังงานอัจฉริยะ นำไปสู่การจ้างงานในระบบ”

 

ด้านเซมิคอนดักเตอร์ ไทยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 14,946 ล้านบาท เติบโต 3% และมีโครงการลงทุนใหม่กว่า 407 โครงการ รวมมูลค่า 231,710 ล้านบาท ภายในปี 2567 โดยเป็นการลงทุนด้านผลิตเซมิคอนดักเตอร์โดยตรงกว่า 60,000 ล้านบาท

 

“แม้ไทยจะยังต้องนำเข้าชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศเกือบ 100% แต่เราก็มีจุดแข็งโดยเฉพาะในภาคการประกอบและทดสอบ (Outsourced Semiconductor Assembly and Test – OSAT) และแผงวงจร (PCB Assembly) แต่หากมองทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมประเทศไทยมีผู้เล่นสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของไทยหรือบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศ ทำให้เราสามารถสปริงบอร์ดข้ามไปเป็นผู้เล่นชั้นบนได้”

 

สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] 4

 

อาวุธลับสร้างข้อได้เปรียบในสมรภูมิเซมิคอนดักเตอร์

 

ศาสตราจารย์ ดร.สุรินทร์ ชี้ให้เห็นจุดแข็งที่อาจทำให้ไทยได้เปรียบในการแข่งขัน คือ IC Design โฟกัสไปที่ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ และ Power Electronic Device ในฐานะฐานการผลิตสำคัญทำให้สามารถเกาะขบวนอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง เช่น AI, Data Server, และ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึง Sensor ต่างๆ ที่ใช้ในภาคการเกษตร, อาหาร และการแพทย์

 

สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] 5

 

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.ภานวีย์ โภไคยอุดม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร และหนึ่งในศูนย์ฝึกอบรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ และหนึ่งในศูนย์ฝึกอบรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ มองจุดแข็งไทย 4 ด้านเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ได้แก่ การมีฐานอุตสาหกรรมเดิมที่แข็งแกร่ง จากอดีตที่เคยเป็น ‘Detroit of Thailand’ และเป็นผู้ผลิตยานยนต์สันดาปที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค

 

“ด้วยความแข็งแกร่งของประเทศไทยในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ เราจึงมีฐานความรู้และบุคลากรที่มีศักยภาพอยู่แล้ว การเสริมทักษะและการปรับตัวอย่างจริงจัง จะช่วยให้เรายกระดับไปสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในระดับต้นน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว”

 

“หากมองโครงสร้างพื้นฐาน ไทยมีระบบสาธารณูปโภคที่ดี อีกทั้งโลจิสติกส์ไม่เป็นรองใครในภูมิภาค ขณะเดียวกันเรากำลังมีนโยบายรัฐที่ชัดเจน ทาง BOI เองก็มีแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุนที่ดีพอที่จะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้”

 

ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย มองว่า แม้ไทยจะมีข้อได้เปรียบหลายด้านแต่สิ่งที่ช้ากว่าคือการผลิตกำลังคน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม

 

“ที่ผ่านมาเราไม่มีเซมิคอนดักเตอร์เอ็นจิเนียร์ เพราะในอดีตเราไม่มีหลักสูตรนี้ ถึงจะเอาคนที่วิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มาอัปสกิลได้ แต่ถ้าเรามีเซมิคอนดักเตอร์เอ็นจิเนีย ก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศไทยเอาจริง”

 

เป็นที่มาของการเปิดหลักสูตร ‘วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ ครั้งแรกของประเทศไทย นำร่อง 7-8 มหาวิทยาลัย สามารถรับนักศึกษาในปีแรกได้ 300-400 คน

 

“เราเรียกหลักสูตรนี้ว่า ‘Higher Education Sandbox’ กระทรวง อว. มีบทบาทหลักในการพัฒนาบุคลากรด้านนี้อย่างชัดเจน โดยมุ่งผลิต Talent เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เป้าหมายคือผลิตกำลังคนเข้าอุตสาหกรรม 80,000 คนภายใน 5 ปี ซึ่งจำนวนที่ว่านี้ นอกเหนือจากกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ยังรวมถึงคนที่อยู่ในตลาดแรงงานที่มีพื้นฐานอยู่แล้ว หรือคนที่อยากเปลี่ยนงาน หรือกลุ่มอาชีวะ นำมา Upskill Reskill และอีกกลุ่มหนึ่งคือ อาจารย์และนักวิจัย”

 

นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมการผลิตและพัฒนากำลังคนในหลากหลายรูปแบบ อาทิ โครงการ Semiconductor Bootcamp เพื่อเตรียมนักศึกษาชั้นปี 3 – 4 เข้าสู่อุตสาหกรรมจริง การพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทางด้านวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หลักสูตรระยะสั้นเพื่อ Upskill Reskill บุคลากรในตลาดแรงงาน โปรแกรม Train the trainer เพื่อพัฒนาอาจารย์และนักวิจัย ตลอดจนทุนปริญญาเอกแบบมุ่งเป้าด้าน IC Design โดยเฉพาะการจัดตั้ง National Semiconductor Training Centers ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการพัฒนากำลังคน และการสร้างความร่วมมือเชิงลึกร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ

 

“หลายภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมมือ เพราะลำพังกระทรวง อว. เอง อาจจะยังไม่พอ ปัจจุบันเราก็ทำงานกับ BOI ค่อนข้างมากในการพัฒนาคน รวมถึงความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม” ศ.ดร. ศุภชัย กล่าว

 

สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] 6

 

นอกจากความร่วมมือภายในประเทศ กระทรวง อว. ได้สร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเลือกจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของแต่ละประเทศ

 

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์ฝึกอบรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ รศ.ดร. ภานวีย์ ฉายภาพความร่วมมือในปัจจุบัน กับ Arizona State University (ASU) สหรัฐอเมริกา ภายใต้โครงการ Thai-US Alliance for Semiconductor Excellence Center ตั้งเป้ายกระดับอุตสาหกรรมไทยด้าน Advance Packaging หรือการจับมือกับ Imperial College London สหราชอาณาจักร เน้นความเชี่ยวชาญด้าน IC Design โดยมองสหราชอาณาจักรเป็นประตูสู่ยุโรป

 

“โครงการหลักของเราคือ ศูนย์ ‘MUT–Imperial SABER Lab’ แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่ที่ Imperial College เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยด้าน AI, เซมิคอนดักเตอร์ และไบโอเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สำคัญ SABER Lab ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์วิจัย แต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยชั้นนำระดับโลก ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง และเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานอันทันสมัย”

 

“นอกจากนี้เรายังสร้างห้องปฏิบัติการคู่ขนาน (BiNOVA) ในประเทศไทยที่มีเทคโนโลยีและอุปกรณ์เหมือนกันกับที่ Imperial College เพื่อให้เกิด Knowledge Transfer อย่างแท้จริง”

 

ตัวชี้วัดความสำเร็จภายใต้ กรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’

 

ภายใต้กรอบนโยบาย “อว. for Semiconductor” ตั้งเป้าหมายพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง จำนวน 80,000 คน ภายใน 5 ปี

 

หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ไทยจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก นำไปสู่การยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้

 

สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] 7

 

ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เน้นย้ำว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องการอย่างมากคือแรงงานทักษะสูงเพื่อป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

 

“ผลลัพธ์ที่เราตั้งไว้ จะเน้นเรื่องการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนสมรรถนะสูงเฉพาะทาง โดยเฉพาะทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ ก็พยายามจะสร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ไปจนถึงการดึงดูดการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมด้านเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญแห่งอนาคตที่รัฐบาลไทยกำหนดเอาไว้ ด้วยการพยายามเพิ่มสัดส่วนการจ้างงาน แล้วก็ผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์”

 

“การจะเริ่มอุตสาหกรรมใหม่ จุดสำคัญคือการมีคนที่มีทักษะที่ดี การร่วมมือในการพัฒนากำลังคน ซึ่งถือว่าเป็น “สินทรัพย์ที่สำคัญของประเทศ” คือความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน” ศ.ดร. ศุภชัย กล่าวทิ้งท้าย

 

อ้างอิง:

The post สำรวจความเป็นไปได้ใน ‘อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์’ กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของไทย ผ่านกรอบนโยบาย ‘อว. For Semiconductor’ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>