Sport – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 11 Mar 2025 14:49:08 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ตารางแข่งขัน F1 ออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์ https://thestandard.co/f1-australian-gp-schedule/ Wed, 12 Mar 2025 00:00:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1051113 f1-australian-gp-schedule

ศึก F1 สัปดาห์นี้เป็นการแข่งขันสัปดาห์แรกของฤดูกาล 2025 […]

The post ตารางแข่งขัน F1 ออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
f1-australian-gp-schedule

ศึก F1 สัปดาห์นี้เป็นการแข่งขันสัปดาห์แรกของฤดูกาล 2025 ที่หลายคนรอคอย ในรายการออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์ ที่อัลเบิร์ตพาร์กเซอร์กิต เมืองเมลเบิร์น ซึ่งทุกท่านยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดทาง beIN SPORTS CONNECT ได้เหมือนเดิม

 


 

ตารางแข่งขัน F1 ออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์

 

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

The post ตารางแข่งขัน F1 ออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
มาดามแป้งจ่อฟ้องสมยศ ใช้หนี้สยามสปอร์ต – อะไรทำให้ฟุตบอลไทยมาถึงจุดนี้? https://thestandard.co/thai-football-crisis/ Tue, 11 Mar 2025 12:53:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1051049 thai-football-crisis

เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการ […]

The post มาดามแป้งจ่อฟ้องสมยศ ใช้หนี้สยามสปอร์ต – อะไรทำให้ฟุตบอลไทยมาถึงจุดนี้? appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-football-crisis

เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการฟุตบอลไทย นั่นคือข่าวที่พิพากษาให้ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นฝ่ายชนะคดีเหนือสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยศาลมีคำสั่งให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ชดใช้เงิน 360 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยต่อสยามสปอร์ต

 

ประเด็นดังกล่าวเป็นข่าวร้อนแรงและเป็นที่พูดถึงอย่างมาก โดยในตอนนั้น มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ซึ่งยังติดภารกิจอยู่ที่ต่างประเทศ ยังไม่มีการพูดถึงประเด็นนี้ในตอนนั้น

 

จนล่าสุดวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวในหลายประเด็นสำคัญ และได้ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับคดีนี้แล้ว นั่นคือการเลือกจากฟ้องร้องทางแพ่งกับ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ

 

ซึ่งคงง่ายกว่าหากเรามาไล่ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบกันอีกครั้ง และพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ด้วย

 

จุดเริ่มต้นมหากาพย์สิทธิประโยชน์

 

จุดเริ่มต้นเรื่องนี้ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยที่สยามสปอร์ตได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งในตอนนั้นมี วรวีร์ มะกูดี เป็นนายกสมาคมฯ ให้เป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ตั้งแต่ปี 2556-2565 รวมทั้งสิ้น 10 ปี

 

แต่หลังจากนั้นในปี 2559 เมื่อ พล.ต.อ. สมยศ ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้มีการสั่งยกเลิกสัญญาการบริหารสิทธิประโยชน์สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่สยามสปอร์ตได้รับการแต่งตั้ง โดยทาง พล.ต.อ. สมยศ นายกสมาคมฯ ในตอนนั้น ให้เหตุผลว่า สัญญามีความผูกขาด บางส่วนไม่ชัดเจน และไม่เป็นธรรมต่อสมาคมฯ

 

นั่นทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างฟ้องอีกฝ่ายโดยเรียกค่าเสียหายที่ต่างกรรมต่างวาระต่อกันและกัน

 

โดยในตอนแรกคดีจะแบ่งเป็น 2 คดี คือ คดีแรก บริษัท ซีนิแพล็กซ์ จำกัด (บริษัทในเครือของผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก) ยื่นฟ้องบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (ผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการถ่ายทอดเสียงและภาพการแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ ที่จัดโดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์) 

 

และคดีที่ 2 คือคดีที่บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กับพวกรวม 20 คน (ซึ่งคือนายกและคณะกรรมการสมาคม) เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ สัญญา ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

 

ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ได้มีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน และกลายเป็นมหากาพย์การสู้กันอันยาวนานในชั้นศาลนับแต่นั้นมา

 

ต่อสู้กันในชั้นศาล

 

ในยกแรก ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษาเมื่อเดือนสิงหาคม 2562 โดยพิพากษาให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่สยามสปอร์ตจำนวน 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง และให้สยามสปอร์ตคืนเงินจำนวน 240 ล้านบาทแก่บริษัท ซีนิแพล็กซ์ จำกัด จำเลยที่ 20 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559

 

บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ในฐานะโจทก์ ไม่พอใจคำตัดสิน และมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษในเดือนกรกฎาคม 2564 

 

ศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่บริษัทสยามสปอร์ตจำนวน 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 27 มิถุนายน 2560) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ย 5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

 

และให้บริษัทสยามสปอร์ต โจทก์ ชำระเงิน 240 ล้านบาทแก่บริษัทซีนิแพล็กซ์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 20 แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี 

 

แต่เรื่องก็ไม่จบแค่นั้น หลังบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) โจทก์ และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 มีการยื่นฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

 

สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ต้องชดใช้

 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีนี้ ซึ่งผลปรากฏว่า ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) โจทก์ เป็นเงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ 

 

จากคำพิพากษานี้ แม้จำนวนเงินตามที่ศาลระบุจะมีตัวเลขที่ 360 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาไว้ที่ 450 ล้านบาทก็ตาม แต่ตัวเลขดังกล่าวมาพร้อมกับดอกเบี้ย ซึ่งศาลระบุให้นับตั้งแต่ ‘วันฟ้อง’ จนถึงวัน ‘ชำระเสร็จ’

 

ซึ่งเบื้องต้นมีการคำนวณคร่าวๆ แล้วปรากฏว่า ตัวเลขนับเฉพาะดอกเบี้ยในปัจจุบันอาจจะเกิน 200 ล้านบาทไปแล้ว นั่นหมายความว่าเมื่อรวมกับเงินต้นแล้วสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ต้องชดใช้ให้สยามสปอร์ตเป็นเงินเกินกว่า 500 ล้านบาทไปแล้ว

 

และเมื่อนับว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตทางด้านการเงินมาหมาดๆ หลังจากที่ไทยลีกได้ผู้ถ่ายทอดสดและมีการเคลียร์หนี้สินต่างๆ ออกไปแล้วบางส่วน เงินกว่า 500 ล้านบาทที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ต้องใจในครั้งนี้ จึงกลายเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ครั้งใหม่ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ไปในทันที

 

ความไม่ชอบมาพากลของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ยุคก่อน

 

ช่วงบ่ายวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ จัดงานแถลงข่าวขึ้นอย่างง่ายๆ ณ ที่ทำการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยแม้ในช่วงแรกของการแถลงข่าวจะเป็นการสรุปภาพรวมการทำงาน 1 ปีของสมาคมฟุตบอลในยุคที่เธอมาเป็นนายกสมาคมฯ แต่ไฮไลต์ของงานแถลงข่าวครั้งนี้ก็ตามมาหลังจากนั้น

 

โดยมาดามแป้งสาธยายรายละเอียดถึงคดีระหว่างสยามสปอร์ตกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยเล่าถึงการทำงานของคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ชุดก่อนว่า ณ วันที่เธอเข้ามารับตำแหน่ง สมาคมฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพียง 27,076,886.97 บาทเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันสมาคมฯ มีหนี้สินที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้อื่นๆ จำนวน 132,476,476 บาท

 

นอกจากนี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนปัจจุบัน ยังเล่าถึงกรณีเงินสนับสนุนจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ที่จะให้เงินสนับสนุนประเทศสมาชิกปีละ 1.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 42.2 ล้านบาท แต่มีการกู้เงินจาก FIFA เพื่อมาช่วยเหลือวงการฟุตบอลไทยจากปัญหาโควิด

 

โดยมีการระบุว่า อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้มีการกู้เงินระยะยาวและมีการเบิกรับครั้งเดียวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวนเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 155 ล้านบาท และไทยต้องชำระคืนผ่านการหักเงิน สนับสนุนประเทศสมาชิกปีละ 5แสนดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลา 10 ปี ทำให้ปัจจุบันไทยได้รับเงินสนับสนุนจาก FIFA เหลือปีละ 7.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 25.3 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ชุดก่อน มีการขายสิทธิ์การถ่ายทอดสดในต่างประเทศ ทั้งไทยลีก 1, ไทยลีก 2 และไทยลีก 3 ออกไปแล้วทั้งหมด ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ซื้อลิขสิทธิ์เหล่านี้คืนมาแล้ว

 

แต่ยังมีสิทธิ์ที่อาจนำมาซึ่งผลประโยชน์บางอย่างอย่างถูกขายไปด้วยเช่นกัน และสมาคมฯ ไม่สามารถซื้อกลับมาได้ ทำให้ต้องรอจนกว่าจะหมดสัญญาเท่านั้น นั่นคือ Data Analysist กับ Betting Rights ของทีมชาติไทย

 

โดย Data Analysist เป็นข้อมูลจากการถ่ายทอดสดใช้สำหรับวิเคราะห์และประมวลผลเป็นสถิติการแข่งขัน เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล จำนวนการเข้าทำ หรือข้อมูลการยิงตรงกรอบ-นอกกรอบ ฯลฯ

 

ส่วน Betting Rights หรือ Gaming Rights เป็นชุดข้อมูลเดียวกับ Data Analysist แต่เป็นการซื้อไปเพื่อใช้สิทธิตามจุดประสงค์พิเศษ 

 

นอกจากนั้นแล้วมาดามแป้งยังมีการเปิดเผยว่า อดีตนายกสมาคมฯ คนก่อน ได้รับเงินเดือนจากสมาคมฯ และบริษัทไทยลีก รวมกันเดือนละ 1 ล้านบาท ไม่รวมโบนัส แม้ว่าจะมีการชี้แจงว่าได้นำเงินเดือนทั้งหมด 32 ล้านบาทคืนให้สมาคมฯ แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่พบหลักฐานการคืนเงินดังกล่าว

 

นอกจากนี้มาดามแป้งยังได้ให้หนึ่งในสภากรรมการสมาคมฯ อย่าง เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล เปิดเผยเพิ่มเติมว่ามีการจ่ายเงิน 30 ล้านบาทให้ทนายเพื่อยื่นฎีกา ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ผิดปกติอย่างมาก เพราะในศาลชั้นต้นค่าทนายความเสนอเพียง 750,000 บาท ส่วนค่าทนายในชั้นอุทธรณ์อยู่ที่ 300,000 บาท 

 

แต่เมื่อถึงชั้นฎีกากลับมีการอนุมัติจ่ายค่าทนายสูงถึง 30 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้ว่าจะจ่ายเพียง 300,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ได้รับการอนุมัติก่อนสิ้นสุดวาระของอดีตนายกสมาคมฯ

 

เลิศศักดิ์กล่าวว่า “กรณีนี้มีความผิดปกติในการใช้เงิน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แอบแฝงหรืออาจเข้าข่ายการฉ้อโกงและฟอกเงิน ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยใช้เวลาตรวจสอบราว 1 เดือน และพบข้อพิรุธสำคัญ ซึ่งต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปอย่างไร เนื่องจากศาลฎีกาไม่รับฎีกา ทำให้คดีสิ้นสุดลงแล้ว”

 

ฟ้องแพ่งตามมาตรา 76

 

จากความไม่ชอบมาพากลทั้งหมด ทำให้มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตัดสินใจที่จะฟ้องเพื่อไล่เบี้ยความเสียหายตามมาตรา 76 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

 

โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ระบุว่า ถ้าการกระทำตามหน้าที่ของผู้แทนของนิติบุคคลหรือผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคล เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น นิติบุคคลนั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น แต่ไม่สูญเสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ก่อความเสียหาย

 

ขณะที่ยังมีวรรคสองระบุด้วยว่า ถ้าความเสียหายแก่บุคคลอื่นเกิดจากการกระทำที่ไม่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์หรืออำนาจหน้าที่ของนิติบุคคล บรรดาบุคคลดังกล่าวตามวรรคหนึ่งที่ได้เห็นชอบให้กระทำการนั้นหรือได้เป็นผู้กระทำการทำดังกล่าว ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายนั้น

 

ซึ่งประมุขลูกหนังไทยยืนยันว่า เตรียมนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภากรรมการในวาระเร่งด่วน พร้อมยื่นฟ้องไล่เบี้ยอดีตนายกสมาคมฯ และสภากรรมการชุดเก่า แม้ว่าศาลฎีกาจะระบุว่าอดีตนายกสมาคมฯ และสภากรรมการชุดเก่าไม่ต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวก็ตาม

 

มาดามแป้งกล่าวว่า “แป้งได้ตัดสินใจแล้วว่าในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จะดำเนินการฟ้องไล่เบี้ยจากอดีตนายกสมาคมฯ เนื่องจากหนี้สินดังกล่าวเกิดจากการบริหารงานในยุคก่อนที่ได้ยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยไม่เป็นธรรม ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อวงการฟุตบอลไทย และทำให้ยุคของแป้งต้องรับภาระหนี้ก้อนนี้ ซึ่งเป็นหนี้สินของสมาคมฯ ที่ต้องชำระ

 

“แป้งเคารพคำพิพากษาของศาลฎีกา แต่การบอกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ตไม่ถูกต้อง ทำให้สมาคมฯ ในยุคของแป้งต้องชดใช้ค่าเสียหายในคดีนี้ ดังนั้นแป้งจึงตัดสินใจนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภากรรมการเฉพาะกิจโดยด่วน เพื่อดำเนินการฟ้องไล่เบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ต่ออดีตนายกสมาคมฯ และสภากรรมการยุคก่อน”

 

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

 

แม้เงินจำนวนมหาศาลที่ศาลสั่งให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จ่ายต่อสยามสปอร์ตจะเป็นจำนวนที่เกินกำลังของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ไปบ้าง แต่บทสรุปของเรื่องราวนี้อาจไม่ได้มีแต่หนทางที่ย่ำแย่เสมอไป

 

ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว มาดามแป้งเปิดเผยว่า เธอเตรียมจะไปคุยกับ ระวิ โหลทอง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ย

 

โดยที่ผ่านมามาดามแป้งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และเชื่อว่าต่างฝ่ายต่างหวังดีต่อวงการฟุตบอลไทยและอยากที่จะหาทางออกร่วมกัน

 

ขณะที่ฝั่งของอดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ อย่าง พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมฯ ก็เป็นการฟ้องคดีแพ่ง ซึ่งมาดามแป้งยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว และเป็นการฟ้องร้องตามหน้าที่ที่ควรจะทำเท่านั้น

 

ต้องอย่าลืมว่ามาดามแป้งมานั่งในตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ด้วยการเป็น ‘มือประสาน 10 ทิศ’ ซึ่งนี่อาจจะเป็นอีกครั้งก็ได้ที่เราได้เห็นความสามารถนั้นของผู้หญิงแกร่งแห่งวงการฟุตบอลไทยคนนี้เฉิดฉายอีกครั้ง และมันจะช่วยให้วงการฟุตบอลไทยผ่านเรื่องราวเลวร้ายไปอีกหนก็เป็นได้

The post มาดามแป้งจ่อฟ้องสมยศ ใช้หนี้สยามสปอร์ต – อะไรทำให้ฟุตบอลไทยมาถึงจุดนี้? appeared first on THE STANDARD.

]]>
แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดภาพจำลองโปรเจกต์ สนามใหม่ จุได้ 1 แสนคน https://thestandard.co/manutd-100k-stadium-project/ Tue, 11 Mar 2025 11:22:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1051005

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศแผนพร้อมเผยภาพโปรเจกต์ สนามใ […]

The post แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดภาพจำลองโปรเจกต์ สนามใหม่ จุได้ 1 แสนคน appeared first on THE STANDARD.

]]>

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศแผนพร้อมเผยภาพโปรเจกต์ สนามใหม่ ที่มีความจุ 1 แสนที่นั่ง เพื่อแทนที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด โดยโครงการนี้คาดว่าจะมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรถึง 7.3 พันล้านปอนด์ต่อปี สร้างงานใหม่ 92,000 ตำแหน่ง ตลอดจนดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 1.8 ล้านคนต่อปี

 

เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของร่วมของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ INEOS กล่าวว่า “วันนี้เป็นการเริ่มต้นของการเดินทางที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งในการสร้างสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางของการฟื้นฟูพื้นที่โอลด์แทรฟฟอร์ด” 

 

นอกจากนี้ เซอร์จิมยังเน้นย้ำว่าการสร้างสนามใหม่ข้างๆ สถานที่ปัจจุบันจะช่วยรักษาแก่นแท้ของโอลด์แทรฟฟอร์ดไว้ ในขณะที่สร้างสนามที่ทันสมัยเพื่อปรับปรุงประสบการณ์รับชมเกมของแฟนบอล

 

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวางแผนและต้องผ่านกระบวนการปรึกษาหารือเพิ่มเติมกับแฟนบอล และชุมชนท้องถิ่นก่อนที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย ซึ่งคาดว่าน่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 1.5 พันล้านปอนด์

 

 

อ้างอิง:

The post แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดภาพจำลองโปรเจกต์ สนามใหม่ จุได้ 1 แสนคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เซอร์จิม เปิดใจถึงวิกฤตแมนฯ ยูไนเต็ด และภารกิจคว้าแชมป์ลีกใน 3 ปี https://thestandard.co/sir-jim-on-manutd-crisis/ Tue, 11 Mar 2025 06:56:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1050809 เซอร์จิม แมนยู

เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของร่วมของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเ […]

The post เซอร์จิม เปิดใจถึงวิกฤตแมนฯ ยูไนเต็ด และภารกิจคว้าแชมป์ลีกใน 3 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เซอร์จิม แมนยู

เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของร่วมของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ INEOS ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงในการให้สัมภาษณ์กับ BBC Sport เกี่ยวกับปัญหาภายในของแมนฯ ยูไนเต็ด ในหลายแง่มุม 

 

ทั้งการออกมายอมรับความผิดพลาดในอดีตเกี่ยวกับการต่อสัญญา เทน ฮาก, แผนพลิกฟื้นแมนฯ ยูไนเต็ด สู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง, เรื่องหนี้สิน, การเสริมทัพ และเป้าหมายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่เจ้าตัวคาดหวังให้เกิดขึ้นภายในปี 2028

 

และนี่คือสรุปประเด็นหลักเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ของ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ถึงมุมมองที่มีต่อแมนฯ ยูไนเต็ด ในเวลานี้

 


 

 

เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับขุมกำลังของทีม โดยยอมรับว่านักเตะบางรายยังไม่ดีพอ และบางคนค่าเหนื่อยสูงเกินจริง โดยส่วนใหญ่เป็นนักเตะที่ตกทอดมาจากการบริหารงานของบอร์ดชุดเก่า

 

“หากคุณมองไปที่ผู้เล่นที่เราซื้อในช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งเราไม่ได้ซื้อเอง เราได้ซื้อแอนโทนี, คาเซมิโร, โอนานา, ฮอยลุนด์, ซานโช สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม เราก็รับช่วงต่อสิ่งเหล่านี้มา และต้องจัดการเรื่องนี้

 

“ส่วน จาดอน ซานโช ตอนนี้เล่นให้เชลซี และเราจ่ายเงินค่าเหนื่อยให้เขาครึ่งหนึ่ง นั่นหมายถึงเราต้องเสียเงิน 17 ล้านปอนด์เพื่อซื้อเขากลับมาในช่วงซัมเมอร์”

 

นอกจากนี้บรรดานักเตะที่เซอร์จิมพาดพิงถึงหลายคนยังทำผลงานไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ทั้งแอนโทนีที่ถูกปล่อยยืมให้กับเรอัล เบติส, คาเซมิโรกับฟอร์มไม่คงที่ และโอนานาที่ยังมีจังหวะผิดพลาดให้เห็นบ่อยครั้ง

 

ขณะเดียวกันเซอร์จิมยังย้ำว่าการสร้างทีมขึ้นใหม่ต้องใช้เวลา และแม้จะมีผู้เล่นที่ดีอยู่บ้าง เช่น บรูโน แฟร์นันด์ส ซึ่งเขายกให้เป็นนักเตะที่ทีมยังต้องพึ่งพา แต่โดยรวมแล้วทีมยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากอดีตสู่อนาคต ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับโครงสร้างให้เข้าที่

 


 

 

เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ออกมายอมรับและขอโทษแฟนบอลต่อการตัดสินใจต่อสัญญาและให้โอกาส เอริก เทน ฮาก คุมทีมต่อในช่วงซัมเมอร์ ก่อนจะปลดออกจากตำแหน่งหลังคุมทีมในลีกเพียง 9 นัด

 

เช่นเดียวกับการแต่งตั้ง แดน แอชเวิร์ธ เป็นผู้อำนวยการกีฬา ซึ่งอยู่ในตำแหน่งเพียง 5 เดือนก่อนแยกทางกัน โดยเซอร์จิมยอมรับว่านี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาด และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการบริหารทีมในอนาคต

 


 

 

เซอร์จิมแสดงความเชื่อมั่นใน รูเบน อโมริม กุนซือวัย 40 ปี ที่เข้ามารับไม้ต่อจาก เอริก เทน ฮาก และแม้ว่าผลงานในลีกยังไม่น่าพอใจ ปัจจุบันแมนฯ ยูไนเต็ด รั้งอันดับ 14 ของตาราง และตามหลังจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลถึง 36 แต้ม และเหลือลุ้นแชมป์เพียง 1 รายการนั่นคือ ยูฟ่ายูโรปาลีก

 

“ผมคิดว่ารูเบนเป็นผู้จัดการทีมหนุ่มที่โดดเด่นมาก ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ เขาเป็นผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยม และผมคิดว่าเขาจะอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ผมเห็นแววของเขาแล้วในเกมกับอาร์เซนอล ทั้งที่นักเตะตัวหลักเจ็บไปเกือบหมด เขายังทำให้ทีมเล่นได้ดี รูเบนทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมาก”

 


 

 

อีกหนึ่งปัญหาที่ถูกพูดถึงหนักสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด คือเรื่องของภาระหนี้สินของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ส่งผลกระทบถึงการปรับโครงสร้างในองค์กร และลดจำนวนพนักงานจำนวนมาก

 

“หนี้สินเป็นแค่ส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่าย แต่มันไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้สโมสรมีปัญหาทางการเงิน ถ้าสโมสรสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง เราจะสามารถจ่ายหนี้และบริหารจัดการได้ดีขึ้น นั่นคือเป้าหมายของเรา”

 

โดยเซอร์จิมเน้นย้ำว่า สโมสรต้องให้ความสำคัญกับการเสริมแกร่งทีมมากกว่าการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในส่วนอื่น

 

“ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณมองการบริหารสโมสรที่มีขนาดเท่ากับแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งมีรายได้ประมาณ 650 ล้านปอนด์ คุณจะใช้เงิน 650 ล้านปอนด์ส่วนหนึ่งในการบริหารสโมสร และอีกส่วนหนึ่งในการบริหารทีม

 

“เราต้องเลือกว่าจะใช้เงินไปกับอะไร จะใช้ไปกับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสโมสร หรือจะใช้เพื่อพัฒนาทีม เพราะถ้าคุณใช้เงินไปกับทีม คุณก็จะได้ผลงานที่ดีขึ้น และสุดท้ายแล้วแมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ที่นี่เพื่ออะไร หากไม่ใช่เพื่อคว้าถ้วยรางวัล?

 

“สิ่งที่เราต้องการทำคือลงทุนกับผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก ถ้าทำได้ แทนที่จะใช้เงินไปกับอาหารกลางวันฟรีๆ ที่ผมเกรงว่าจะเป็นมื้อเที่ยง เพราะสิ่งเดียวที่ผมให้ความสำคัญคือการนำแมนฯ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”

 


 

 

แม้สถานการณ์ปัจจุบันของยูไนเต็ดจะดูย่ำแย่ แต่เซอร์จิมยังคงตั้งเป้าพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ภายในปี 2028 ซึ่งจะตรงกับช่วงครบรอบ 150 ปีของสโมสร

 

“ผมไม่คิดว่ามันเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้” ขณะเดียวกันเซอร์จิมยังเปรียบเทียบกับอาร์เซนอลและลิเวอร์พูล ทีมชั้นนำของลีกที่ใช้เวลาหลายปีในการฟื้นฟูสโมสรให้กลับมาสู่เส้นทางแห่งชัยชนะ และแน่นอนว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ก็กำลังเดินในเส้นทางเดียวกัน

 

นอกจากนี้สโมสรยังมีแผนที่จะสร้างสนามใหม่ที่อาจเป็นสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาสโมสรในระยะยาว โดยรายละเอียดเพิ่มเติมจะประกาศเร็วๆ นี้

 

“ในความคิดของผม อีก 3 ปีข้างหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นทีมที่แตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เราจะกลายเป็นสโมสรที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก ผมคิดว่าเราอาจมีสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และเราจะคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง”

 


 

 

อีกหนึ่งประเด็นที่แรตคลิฟฟ์ถูกวิจารณ์หนัก คือการให้ความสำคัญกับทีมฟุตบอลหญิงของสโมสร ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวว่าทีมชายคือประเด็นหลักของแมนฯ ยูไนเต็ด และเคยถูกกล่าวหาว่าตัวเขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อนักเตะหญิงในทีม

 

แต่ครั้งนี้ เซอร์จิม ออกมาชี้แจงว่า สโมสรให้ความสำคัญกับทีมฟุตบอลหญิงไม่แพ้ทีมชาย “สิ่งที่ผมพูดตอนต้นก็คือ ผมมุ่งเน้นไปที่ทีมชายเป็นหลัก เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนแปลงไป แต่ทีมฟุตบอลหญิงก็เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์แมนฯ ยูไนเต็ด เช่นกัน

 

“จากรายได้ 650 ล้านปอนด์ของเรา 640 ล้านปอนด์มาจากทีมชาย และ 10 ล้านปอนด์มาจากทีมหญิง ด้วยประสบการณ์ทางธุรกิจของผม คุณมักจะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาที่ใหญ่กว่า ก่อนที่จะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาที่เล็กกว่า

 

“แต่ทีมหญิงมีตราสินค้าแมนฯ ยูไนเต็ด โลโก้แมนฯ ยูไนเต็ด ดังนั้นพวกเขามีความสำคัญพอๆ กับทีมชาย และพูดตรงๆ ว่าพวกเขาทำได้ดีกว่าทีมชาย พวกเขาอยู่อันดับ 2 ของลีกและคว้าแชมป์เอฟเอคัพเมื่อฤดูกาลที่แล้ว มาร์ก สกินเนอร์ ทำหน้าที่โค้ชได้ดีมาก และมายา (เลอ ทิสซิเอร์) กัปตันทีมคนใหม่ กำลังทำงานได้ยอดเยี่ยม

 

อ้างอิง:

The post เซอร์จิม เปิดใจถึงวิกฤตแมนฯ ยูไนเต็ด และภารกิจคว้าแชมป์ลีกใน 3 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fortnite จับมือ MLB ออกสกิน โชเฮ โอตานิ https://thestandard.co/fortnite-mlb-partnership-shohei-ohtani-skin/ Tue, 11 Mar 2025 03:26:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1050695 Fortnite

ไม่กี่วันก่อนที่เกม MLB โตเกียวซีรีส์ จะเปิดฉากขึ้นที่โ […]

The post Fortnite จับมือ MLB ออกสกิน โชเฮ โอตานิ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fortnite

ไม่กี่วันก่อนที่เกม MLB โตเกียวซีรีส์ จะเปิดฉากขึ้นที่โตเกียวโดม ซึ่งเป็นสัญญาณการเปิดฉากในศึกเมเจอร์ลีกเบสบอลฤดูกาลใหม่อย่างเป็นทางการ ทางลีกเบสบอลดังคอลแลบกับ Fortnite เกม FPS แบตเทิลรอยัลชื่อดัง ออกสกินของ โชเฮ โอตาติ ออกมาด้วย

 

โดยแฟนๆ ของโชเฮจะได้เห็นสกินของเขาในชุดของ แอลเอ ดอดเจอร์ส และยังมีสกินพิเศษในชุดเกราะซามูไร โดยใช้ชื่อว่า ซามูไร โชเฮ ซึ่งจะมาในวันที่ 18 มีนาคมนี้อีกชุด

 

The post Fortnite จับมือ MLB ออกสกิน โชเฮ โอตานิ appeared first on THE STANDARD.

]]>
F1 2025: รวมเรื่องราวน่าสนใจก่อนชมฤดูกาลใหม่ในศึกฟอร์มูลาวัน https://thestandard.co/f1-2025-season-stories/ Tue, 11 Mar 2025 01:00:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1050649

สุดสัปดาห์นี้แล้วที่ศึกฟอร์มูลาวันสนามแรกของฤดูกาล 2025 […]

The post F1 2025: รวมเรื่องราวน่าสนใจก่อนชมฤดูกาลใหม่ในศึกฟอร์มูลาวัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สุดสัปดาห์นี้แล้วที่ศึกฟอร์มูลาวันสนามแรกของฤดูกาล 2025 จะกลับมาเปิดฉากแข่งขันกันอีกครั้งในรายการออสเตรเลียนกรังด์​ปรีซ์ ที่เมลเบิร์นพาร์ก ระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคมนี้ นั่นหมายความว่าเราจะได้เห็น F1 กลับมาแข่งขันกันอีกครั้งแล้ว

 

เพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาของศึก F1 ฤดูกาลใหม่ THE STANDARD SPORT ได้รวบรวมทุกเรื่องราวน่ารู้ เพื่อตอบทุกคำถามก่อนฤดูกาลนี้จะเปิดฉาก ไม่ว่าจะเป็น F1 ฤดูกาลนี้แข่งเมื่อไร, แข่งขันกี่สนาม, ใครแข่งขันบ้าง, กี่สนาม, หรือต่างจากปีก่อนอย่างไร?

 

ไลน์อัพนักขับ

 

F1 2025 ไลน์อัพนักขับ

 

ปี 2025 เป็นปีที่แตกต่างจากปีก่อนอย่างยิ่ง ในตำแหน่งไลน์อัพนักขับ โดยปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงนักขับมากมาย เพราะปีที่ผ่านมาในปี 2024 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักขับเลยในทุกตำแหน่งช่วงเปิดฤดูกาล

 

แต่ในปี 2025 นี้ มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักขับถึง 10 ที่นั่ง หรือ ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว โดยนักขับที่ยังนั่งที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ 2 นักขับของ แมคลาเรน อย่าง แลนโด นอร์ริส กับ ออสการ์ ปิอัสทรี ตามมาด้วย 2 คู่หูจาก แอสตัน มาร์ติน อย่าง แฟร์นานโด อลองโซ กับ แลนซ์ สโตรลล์

 

โดยยังมี ชาร์ลส์ เลอแคลร์ จาก เฟอร์รารี, แชมป์โลกอย่าง แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน จาก เรดบูลล์ เรซซิง, จอร์จ รัสเซลล์ จากเมอร์ซีเดส, ปิแอร์ แกสลีย์ จาก อัลพีน, ยูกิ สึโนดะ จาก เรซซิงบูลส์ และ อเล็กซ์ อัลบอน จาก วิลเลียมส์

 

แต่นอกจากนี้อีก 10 ตำแหน่ง ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด โดยมีถึง 2 ทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงนักขับทั้ง 2 ตำแหน่งด้วย

 

เริ่มจากคนที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว เพราะมีการประกาศเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นปีก่อน อย่าง ลูอิส แฮมิลตัน ที่ย้ายจาก เมอร์ซีเดส มาร่วมงานกับเฟอร์รารี ซึ่งเป็นการย้ายทีมที่เขายืนยันว่า ‘เป็นความฝันมาตลอด’

 

ขณะที่ช่องว่างซึ่ง แฮมิลตันทิ้งไว้ ตกเป็นของ อันเดรีย คิมี อันโตเนลลี นักขับดาวรุ่งน่าจับตามองวัยเพียงแค่ 18 ปี ที่จะขึ้นมาเป็นคู่หูของ จอร์จ รัสเซลล์ และทำให้ F1 มีนักขับชาวอิตาเลียนอีกครั้ง

 

โดยการมาของ แฮมิลตัน ทำให้ การ์ลอส ไซน์ซ นักขับชาวสเปน ต้องย้ายไปร่วมงานกับ วิลเลียมส์ เรซซิง และทำให้กำเนิดคู่หู คาร์โบโน่  ที่น่าจับตามองในการแข่งขันปีนี้

 

ขณะที่ทาง เรดบูลล์ ก็แยกทางกับ ‘เชโก’ เซร์คิโอ เปเรซ เปิดทางให้นักขับดาวรุ่งจากนิวซีแลนด์อย่าง เลียม ลอว์สัน ขึ้นมาเป็นคู่หูของแชมป์โลกอย่าง เวอร์สแตพเพน แทนเช่นกัน

 

ทีมรองของ เรดบูลล์ อย่าง เรซซิงบูลล์ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยในฤดูกาลก่อน มีการปลด แดเนียล ริคเคียร์โด ช่วงกลางฤดูกาล และให้ เลียม ลอว์สัน ขึ้นมาแทนที่ โดยเมื่อ ลอว์สัน ถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ พวกเขาก็ยกที่ว่างนี้ให้ ไอแซค ฮัดจาร์ นักขับดาวรุ่งฝรั่งเศส มาแทนที่

 

อัลพีน ก็เป็นอีกทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักขับ โดยแยกทางกับ เอสเตบัน โอคอน นักขับฝรั่งเศส ในเรซสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้ว และดัน แจ็ค ดูฮาน ขึ้นมารับตำแหน่งแทน

 

ขณะที่ โอคอน หลังจากออกจาก อัลพีน ก็ย้ายไปร่วมทีม ฮาส F1 ซึ่งเป็นหนึ่งใน 2 ทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักขับทั้ง 2 ตำแหน่ง โดยนอกจาก โอคอน แล้ว อีกคนที่เข้ามาร่วมทีม คือ โอลิเวอร์ แบร์แมน ที่เซ็นสัญญามาเป็นนักขับสำรองให้ทีมตั้งแต่ปีก่อนแล้ว

 

ขณะที่ทีมสุดท้าย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงยกทีม ได้แก่ทีม สเทก คิกเซาเบอร์ ที่แยกทางกับ 2 นักขับเดิมทั้ง โจว กวนยู กับ วัลต์เทรี บอตตัส มาร่วมงานกับ นิโก อูล์เคนแบร์ก ที่ย้ายออกมาจากทีมฮาส และ ยังได้ กาเบรียล บอร์โตเลโต นักขับดาวรุ่งจาก บราซิล มาแทนที่ด้วย

 

โดยในฤดูกาลนี้ มีนักขับทั้ง 6 คนที่มีสัญญาจนถึงสิ้นฤดูกาล โดยนักขับหน้าใหม่ 4 คนได้รับข้อเสนอสัญญา 1 ปี ได้แก่ อันโตเนลลี, ดูฮาน, ฮัดจาร์ และลอว์สัน

 

ที่น่าจับตามองคือ จอร์จ รัสเซลล์ จากเมอร์เซเดส และยูกิ สึโนดะ จากเรซซิงบูลส์ ก็มีสัญญาที่กำลังจะหมดลงในช่วงปลายปี 2025 เช่นกัน

 

นอกจากนี้ ยังจะมีที่นั่งว่างอีก 2 ตำแหน่ง ในปี 2026 หลังจาก FIA ยืนยันแล้วว่า คาดิลแลค จะกลายมาเป็นทีมที่ 11 ในศึก F1 ในปีหน้า

 

ทีมผู้ผลิตที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง

 

F1 2025 ทีมผู้ผลิตที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง

 

ในส่วนของทีมผู้ผลิต แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักในฤดูกาลที่จะถึงนี้ ยกเว้นการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งของทีมรองของ เรดบูลล์ เรซซิง

 

จากเดิม ที่พวกเขาใช้ชื่อว่า ทีม อาร์บี หรือชื่อเต็มว่า วีซา แคช แอป อาร์บี F1 ก็ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นชื่ เรซซิงบูลส์ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและการจดจำ

 

นอกจากทีม เรซซิงบูลส์แล้ว ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ใดๆ เกิดขึ้นกับทีมอื่นๆ ยกเว้นการเปลี่ยนแปลงสปอนเซอร์เล็กน้อยเท่านั้น

 

แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สำคัญจริงๆ จะมาถึงในปี 2026 หลังทาง คาดิลแลค ได้รับการยืนยันให้เข้าร่วมมาเป็นทีมที่ 11 ในศึก F1 อย่างเป็นทางการแล้ว

 

ขณะที่ปี 2025 จะเป็นปีสุดท้าย ที่ทีม สเทก คิกเซาเบอร์ จะแข่งขันภายใต้ชื่อนี้ ก่อนที่ในปีหน้าทีมของพวกเขาจะถูกส่งต่อและเปลี่ยนผ่านเป็นทีม ออดี แบบเต็มตัว

 

ตำแหน่งสำคัญในทีมต่างๆ

 

F1 2025 ตำแหน่งสำคัญในทีมต่างๆ

 

นอกจากบรรดานักขับแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในศึก F1 ฤดูกาลใหม่นี้ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นที่ทราบกันดีตั้งแต่ปีที่แล้วก็ตาม นั่นคือการย้ายทีมของ เอเดรียน นิวอี

 

นักออกแบบ F1 ระดับตำนานลาออกจาก เรดบูลล์ และย้ายไปอยู่กับ แอสตัน มาร์ติน ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งถือเป็นการย้ายทีมที่สำคัญพอๆ กับการที่ เซอร์ลูอิส แฮมิลตัน ย้ายไปร่วมงานกับ เฟอร์รารี เลยก็ว่าได้

 

นอกจากนี้ แอสตัน มาร์ติน ยังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกตำแหน่ง ในส่วนของทีมบอส เมื่อ ไมค์ แคร็ก  ถูกลดตำแหน่งจากทีมบอสไปเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายติดตามการแข่งขัน โดยทางทีมได้แต่งตั้ง แอนดี โคเวลล์ อดีตกูรูเครื่องยนต์ของ เมอร์ซีเดส ขึ้นมาเป็นทีมบอสคนใหม่แทนด้วย

 

นอกจากนี้ ทาง คิกเซาเบอร์ ก็ได้ทีมบอสคนใหม่เช่นกัน หลังจากที่ให้ มัตเตีย บิน็อตโต ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ต้นปี 2025 ก็มีการแต่งตั้ง โจนาธาน วีตลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของ เรดบูลล์ เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม วีตลีย์ จะยังไม่ได้ทำงานตั้งแต่เรซแรกในปีนี้ เนื่องจากสัญญาเริ่มงานของเขา จะมีผลตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป แต่การแต่งตั้ง วีตลีย์ครั้งนี้ เป็นเหมือนการเตรียมตัวของทีม ที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ทีม ออดี ในปี 2026 มากกว่า

 

เรซการแข่งขัน

 

F1 2025 เรซการแข่งขัน

 

ออสเตรเลียจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเรซเปิดฤดูกาลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ในวันที่ 14-16 มีนาคม  ซึ่งแตกต่างจากปีก่อน ที่สนามเปิดฤดูกาล คือ บาห์เรน อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต แต่ที่ไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว นั่นคือการแข่งขันทั้งฤดูกาล ยังมีจำนวน 24 สนามเท่าเดิม

 

โดยก่อนหน้านี้ บาห์เรนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเปิดฤดูกาลมาแล้ว 4 ปี แต่เนื่องจากช่วงเวลาของเดือนรอมฎอน การแข่งขันที่ซาคีร์และกรังด์ปรีซ์ซาอุดีอาระเบียถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนเมษายนแทน การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอื่นๆ ได้แก่ สแปนิช กรังด์ปรีซ์ จะเลื่อนไปจัดในสุดสัปดาห์ถัดจากโมนาโก กรังด์ปรีซ์แทน

 

อีกเรื่องที่แตกต่างจากปีก่อน คือจะไม่มีช่องว่างการพักการแข่งขัน 4 สัปดาห์อีกแบบที่เกิดขึ้นหลังสิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ ในปีก่อนอีกต่อไป

 

นอกจากนั้นแล้วสปรินท์เรซในปีนี้จะมีด้วยกัน 6 สนามเท่าเดิม โดยมีเพียง 1 สนาม ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน นั่นคือ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ จะไม่ได้จัดสปรินท์เรซ โดยที่จะเป็น เบลเยียม กรังด์ปรีซ์ จะได้จัดสปรินท์เรซแทน ส่วนอีก 5 สนามทั้ง ไชนีส กรังด์ปรีซ์, ไมอามี กรังด์ปรีซ์, ยูเอส กรังด์ปรีซ์, เซาเปาโล กรังด์ปรีซ์ และกาตาร์ กรังด์ปรีซ์ ยังคงได้จัดสปรินท์เรซเหมือนเดิม

 

นั่นหมายความว่า การแข่งขัน สปรินท์เรซ ที่ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ ซึ่งจัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2022 จะต้องจบตำนานลงในที่สุด

 

ขณะที่รูปแบบการแข่งขันแบบสปรินท์เรซ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะมีเซสชันฝึกซ้อมหนึ่งครั้ง ตามด้วยการแข่งขันรอบคัดเลือกสปรินท์ในบ่ายวันศุกร์ การแข่งขันสปรินท์ในเช้าวันเสาร์ โดยรอบคัดเลือกจะจัดขึ้นตามปกติในบ่ายวันเสาร์ และการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ในวันอาทิตย์

 

กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป

 

F1 2025 กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงกฎการแข่งขันเพียงเล็กน้อย โดยการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดคือการนำคะแนนพิเศษสำหรับผู้ที่ทำเวลาเร็วที่สุดต่อรอบ หรือ Fastest Lap ออกไป

 

โดยปกติแล้ว คะแนนสำหรับผู้ที่ทำความเร็วที่สุดต่อรอบที่ทำอันดับติด 1 ใน 10 อันดับแรก บางครั้งจะเพิ่มความน่าตื่นเต้นให้การแข่งขันได้ โดยเฉพาะในรอบท้ายๆ จะมีนักขับบางคน ยอมเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยาง แล้วออกมาทำสถิตินี้ เพื่อเป็นคะแนนโบนัส หรือ ปลอบใจ แต่ในบางครั้งก็สามารถลดช่องว่างในตารางคะแนนให้ตื่นเต้นขึ้นได้บ้าง

 

ในส่วนของกฎอื่นๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นในส่วนของกฎยิบย่อย อย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักขั้นต่ำของนักขับซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 80 กิโลกรัมเป็น 82 กิโลกรัม โดยหากนักขับมีน้ำหนักน้อยกว่า 82 กิโลกรัม จะต้องเพิ่มน้ำหนักถ่วงพิเศษให้กับรถเพื่อให้สมดุลมากขึ้น

 

ขณะที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงกฎเกี่ยวกับนักขับหน้าใหม่ โดยกฎในปี 2025 มีการบังคับให้ นักขับหน้าใหม่ ต้องลงขับในรอบซ้อมอย่างน้อย 4 เซสชัน ต่อคน ต่อทีมเป็นอย่างน้อย ถึงจะสามารถลงแข่งขันได้ โดยวิธีนี้ยังช่วยให้นักแข่งมีโอกาสได้สัมผัสกับทีม F1 มากขึ้นอีกด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีการนำชุดระบายความร้อนของผู้ขับขี่มาใช้ ขณะที่กฎระเบียบทางเทคนิคยังคงเหมือนเดิม

 

พรีซีซันเทสต์ ใครได้ ใครดี ใครโดน

 

F1 2025 พรีซีซันเทสต์ ใครได้ ใครดี ใครโดน

 

ผลการทดสอบช่วงพรีซีซันเทสต์ ที่บาห์เรน ก่อนการแข่งขันสนามแรก มีเพียงรถ 8 คัน จาก 5 ทีมเท่านั้น ที่ทำความเร็วต่อรอบต่ำกว่า 1 นาที 30 วินาที

 

แต่ที่เซอร์ไพรส์ คือการที่ทีมอย่าง วิลเลียมส์ สามารถทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุด โดย การ์ลอส ไซน์ซ นักขับชาวสเปนรายใหม่ของทีม ทำเวลาดีที่สุดในการทดสอบรถครั้งนี้ โดยทำเวลาได้ 1 นาที 29.348 วินาที ในการทดสอบรอบวันที่ 2 ที่เขาขับไป 127 รอบ

 

นอกจากนี้จาก วิลเลียมส์ ยังเป็นเพียง 1 ใน 3 ทีม ที่นักขับทั้ง 2 คนทำเวลาได้หลัก 1 นาที 29 วินาที โดยทาง อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ ก็ทำเวลาได้ 1 นาที 29.566 วินาที

 

ขณะที่ทีมที่ทำเวลาได้น่าประทับใจในรอบทดสอบมากที่สุด เห็นจะเป็นทาง เฟอร์รารี กับรถ SF-25 ของพวกเขา ที่พานักขับใหม่อย่าง เซอร์ลูอิส แฮมิลตัน  ทำเวลาจบอันดับ 2 ในช่วงพรีซีซันเทสต์ ที่เวลา 1 นาที 29.379 วินาที โดยมี ชาร์ลส์ เลอแคลร์ ตามมาในอันดับที่ 3 ด้วยเวลา 1 นาที 29.431 วินาที

 

ขณะที่อีกทีมที่ทำเวลาได้น่าประทับใจคือ เมอร์ซีเดส ที่ จอร์จ รัสเซลล์ ทำเวลาเข้าเป็นอันดับที่ 4 ที่ 1 นาที 29.545 วินาที ส่วน อันเดรีย คิมี อันโตเนลลี  ทำเวลาได้เป็นอันดับ 7 ด้วยเวลา 1 นาที 29.784 วินาที

 

ส่วนแชมป์โลกเก่าอย่าง แม็กซ์ เวอร์สแตพเพน จากทีม เรดบูลล์ ทำเวลาในการทดสอบเป็นอันดับ 5 ด้วยเวลา 1 นาที 29.566 วินาที

 

ที่น่าสนใจคือ ทีมอย่าง เมอร์ซีเดส ซ้อมไปมากที่สุดถึง 458 รอบ โดยที่ ฮาส กับ เรซซิงบูลล์ ซ้อมรองลงมาที่ 457 รอบ และ 454 รอบตามลำดับ

 

ส่วน 2 ทีมหัวตารางที่ทำเวลายอดเยี่ยมในการทดสอบ อย่าง วิลเลียมส์ กับ เฟอร์รารี ซ้อมใกล้เคียงกัน ที่ 395 รอบ กับ 382 รอบตามลำดับ

 

ทีมที่ซ้อมน้อยสุดเป็นทาง เรดบูลล์ เรซซิง ที่ลงทำการซ้อมไปเพียง 304 รอบ และทำระยะไปเพียงแค่ 1,645 กิโลเมตรเท่านั้น

 

นั่นทำให้ วิลเลียมส์ กลายเป็นทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ ในการทดสอบรถที่บาห์เรนอย่างมาก และถูกคาดหวังว่าจะเป็นม้ามืดในการแข่งขันเรซแรกที่ออสเตรเลียเช่นกัน

 

ขณะที่ในบรรดาทีมใหญ่ที่มีศักยภาพในการลุ้นแชมป์โลก ทั้งประเภทบุคคล และ ทีมผู้ผลิต ก็เป็นทีมอย่าง เฟอร์รารี และ เมอร์ซีเดส ที่ทำผลงานออกมาดูดีที่สุด โดยเฉพาะ เฟอร์รารี ที่น่าจับตามองในรอบแรกอย่างยิ่ง

 

โดยแฟนๆ F1 สามารถรอชมความมันในศึก F1 ฤดูกาลใหม่ได้ทาง beIN SPORTS ซึ่งจะถ่ายทอดสดการแข่งขันตลอดฤดูกาลเหมือนเดิม

 

อ้างอิง:

The post F1 2025: รวมเรื่องราวน่าสนใจก่อนชมฤดูกาลใหม่ในศึกฟอร์มูลาวัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่านสถานการณ์แมนฯ ยูไนเต็ด โปรแกรม 10 นัดสุดท้าย และโอกาสในพื้นที่บอลยุโรป https://thestandard.co/manutd-final-10-matches/ Mon, 10 Mar 2025 12:32:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1050607 manutd-final-10-matches

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของผลงานที่ไ […]

The post อ่านสถานการณ์แมนฯ ยูไนเต็ด โปรแกรม 10 นัดสุดท้าย และโอกาสในพื้นที่บอลยุโรป appeared first on THE STANDARD.

]]>
manutd-final-10-matches

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของผลงานที่ไม่แน่นอนในฤดูกาล 2024/25 โดยปัจจุบันรั้งอยู่อันดับ 14 ของตารางคะแนน มี 34 แต้ม หลังผ่านมา 28 นัด ห่างจากทีมโซนหนีตกชั้น 17 คะแนน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากในฤดูกาลนี้

 

อย่างไรก็ตาม ในทางทฤษฎีปีศาจแดงยังไม่หมดโอกาสลุ้นตั๋วยุโรป ทั้งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยูโรปาลีก และยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก เพียงแต่พวกเขาต้องทำผลงานให้สมบูรณ์แบบในช่วง 10 นัดสุดท้าย พร้อมภาวนาให้คู่แข่งในกลุ่มท็อป 10 สะดุดให้ได้มากที่สุด

 

อีกหนึ่งเส้นทางที่ดูเป็นไปได้มากกว่าคือยูโรปาลีก ซึ่งพวกเขายังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ (อยู่รอบ 16 ทีม) หากสามารถคว้าถ้วยนี้ได้ นั่นหมายถึงตั๋วสู่แชมเปียนส์ลีกแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งอันดับในลีก ซึ่งอาจเป็นทางออกที่ง่ายกว่าการเร่งเครื่องโกยแต้มในช่วงท้ายฤดูกาล

 

ขณะเดียวกันโปรแกรม 10 นัดสุดท้ายของแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่ได้ง่ายเลย โดยเฉพาะ 5 เกมสำคัญที่ต้องเจอกับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, เชลซี และแอสตัน วิลลา ซึ่งล้วนเป็นแมตช์ที่อาจเป็นตัวตัดสินชะตากรรมบนอันดับตารางคะแนนของพวกเขาในฤดูกาลนี้

 

นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ รูเบน อโมริม และลูกทีมทุกคน ต้องพิสูจน์ตัวเอง เพื่อเรียกศรัทธาแฟนบอลคืนมาอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล!

 


 

อ่านสถานการณ์แมนฯ ยูไนเต็ด โปรแกรม 10 นัดสุดท้าย

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

The post อ่านสถานการณ์แมนฯ ยูไนเต็ด โปรแกรม 10 นัดสุดท้าย และโอกาสในพื้นที่บอลยุโรป appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘แกนหลัก’ ผนึก ‘ดาวรุ่ง’ สมาคมวอลเลย์บอลฯ เผย 28 ชื่อนักตบหญิงเก็บตัวลุยศึกนานาชาติ 2025 https://thestandard.co/thailand-womens-volleyball-2025-squad/ Mon, 10 Mar 2025 09:57:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1050558

วันนี้ (10 มีนาคม) สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทยประก […]

The post ‘แกนหลัก’ ผนึก ‘ดาวรุ่ง’ สมาคมวอลเลย์บอลฯ เผย 28 ชื่อนักตบหญิงเก็บตัวลุยศึกนานาชาติ 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (10 มีนาคม) สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทยประกาศรายชื่อนักกีฬา วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย เข้าเก็บตัวฝึกซ้อม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเข้าร่วมการแข่งขันรายการกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม 2025 และแข่งขันรายการนานาชาติประจำปี 2025 

 

โดยรายชื่อเล่นทั้งหมด 28 คนที่ถูกเรียกตัวเข้าร่วมแคมป์ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของทีมชาติไทยภายใต้การกลับมาคุมทีมอีกครั้งของ โค้ชอ๊อต-เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ที่ยังคงให้ความสำคัญกับผู้เล่นแกนหลักชุดเก่าที่เคยผ่านศึก VNL และทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ มาแล้ว ควบคู่ไปกับการเปิดโอกาสให้ดาวรุ่งสายเลือดใหม่ได้เข้ามาเรียนรู้และทดสอบฝีมือ โดยนักตบสาวไทยทั้ง 28 คน ประกอบด้วย

 

  1. ชัชชุอร โมกศรี
  2. อัจฉราพร คงยศ
  3. ดลพร สินโพธิ์
  4. พิมพิชยา ก๊กรัมย์
  5. ธนัชชา สุขสด
  6. ทัดดาว นึกแจ้ง
  7. หัตถยา บำรุงสุข
  8. วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์
  9. พรพรรณ เกิดปราชญ์
  10. ณัฎฐณิชา ใจแสน
  11. ปิยะนุช แป้นน้อย
  12. จิดาภา นาหัวหนอง
  13. กัตติกา แก้วพิน
  14. ณัฐธิมา กุบแก้ว
  15. วิรัลยุพา อินทร์จันทร์
  16. วารุณี การรัมย์
  17. กัญญารัตน์ ขุนเมือง
  18. วริศรา ศรีทาเลิศ
  19. นุชนาถ หอมพิทักษ์
  20. กาญจนา สีใสแก้ว
  21. กนกพร แสงทอง
  22. ณิชากร วันศุกร์
  23. กัลยรัตน์ คำวงษ์
  24. สุภาวดี พันวิลัย
  25. ณัฐวรรณ ผาดไธสง
  26. ศศิธร เจตตะ
  27. ณัฐริกา วะสาร
  28. ณัฐณิชา แซ่เล้า

 

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันในระดับนานาชาติปี 2025 มีรายการสำคัญ ดังนี้

 

 

  • SEA V League (Women) ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม

 

  • ศึกวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 หรือ FIVB Volleyball World Championship Women 2025 ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 

 

  • มหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม

 

ส่วนการเตรียมความพร้อมของทีมชาติไทย นักกีฬาที่มีรายชื่อทั้งหมด 28 คนจะต้องเข้ารายงานตัวในวันที่ 13 มีนาคม ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย ก่อนลงฝึกซ้อมช่วงแรกระหว่าง 10.30-12.30 น. ขณะที่วันที่ 14 มีนาคม จะเป็นการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ณ อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย เวลา 09.00 น.

The post ‘แกนหลัก’ ผนึก ‘ดาวรุ่ง’ สมาคมวอลเลย์บอลฯ เผย 28 ชื่อนักตบหญิงเก็บตัวลุยศึกนานาชาติ 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ในความแตกต่างระหว่าง มาร์ติน โอเดการ์ด กับ บรูโน แฟร์นันด์ส https://thestandard.co/odegaard-vs-fernandes/ Mon, 10 Mar 2025 09:47:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1050551 odegaard-vs-fernandes

ย้อนกลับไปในเกมที่โรงละครแห่งความฝันเมื่อคืนวันอาทิตย์ท […]

The post ในความแตกต่างระหว่าง มาร์ติน โอเดการ์ด กับ บรูโน แฟร์นันด์ส appeared first on THE STANDARD.

]]>
odegaard-vs-fernandes

ย้อนกลับไปในเกมที่โรงละครแห่งความฝันเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หนึ่งในคู่ประชันที่น่าดูที่สุดคือการพบกันระหว่าง มาร์ติน โอเดการ์ด และ บรูโน แฟร์นันด์ส สองดารานำของยี่เกต่างวิกที่เป็นผู้นำและความหวังของคนร่วมคณะ

 

ที่ผ่านมาก็เคยมีการเปรียบเทียบฝีเท้าและชั้นเชิงการเล่นกันอยู่บ้าง แต่การพบกันครั้งล่าสุดที่ผ่านมามีน้ำหนักความสำคัญที่มากกว่า เพราะต่างต้องแบกรับทีมที่ประสบปัญหาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา และผลการแข่งขันที่โอลด์แทรฟฟอร์ดมีความหมายอย่างมากสำหรับช่วงที่เหลือของฤดูกาล

 

ผลการประชันปรากฏว่า พ่อหนวดครึ้ม บรูโน แฟร์นันด์ส เป็นฝ่ายชนะ ได้รับเสียงปรบมือและพวงมาลัยอย่างล้นหลามจากผู้ชม ทิ้งให้พ่อหน้ามน มาร์ติน โอเดการ์ด ต้องชอกช้ำระกำทรวงและกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง

 

มันมีบางอย่างที่แตกต่างกันอยู่ระหว่างทั้งสองคน

 

ประสาคนรักเกมลูกหนัง หนึ่งในเรื่องที่เราคุยกันได้สนุกเสมอคือการ ‘ขิง’ กันว่านักเตะคนไหน (ที่เราชอบ) ใครเก่งกว่ากัน

 

ระหว่างแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับอาร์เซนอล ก็มีการพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติเหมือนกันในการจับคู่กันของ บรูโน แฟร์นันด์ส กับ มาร์ติน โอเดการ์ด ซึ่งนอกจากทั้งคู่จะเป็นกัปตันทีมด้วยกันแล้ว ต่างก็เป็นนักเตะในบท ‘เพลย์เมกเกอร์’ ซึ่งถือเป็นคนสำคัญอย่างยิ่งยวดของทีม

 

เพลย์เมกเกอร์ที่เป็นกัปตันทีมด้วยในเกมฟุตบอลสมัยใหม่นั้นเป็นของที่หาได้ยากแล้ว ไม่เหมือนในอดีตที่นักเตะในบทบาทประมาณนี้มักจะเป็นผู้นำของทีม เพราะคนจะเล่นบทตรงนี้ได้ย่อมเป็นคนที่ต้องเก่งที่สุดในทีม

 

มาร์ติน โอเดการ์ด กับ บรูโน แฟร์นันด์ส

 

ระหว่างบรูโนกับโอเดการ์ด ทั้งคู่มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร ไม่ใช่แค่เรื่องของตำแหน่งและบทบาทการเล่น แต่รวมถึงสไตล์การเล่นและบุคลิก

 

สำหรับสตาร์ชาวโปรตุเกส บทบาทที่ถนัดที่สุดคือการเล่นในแบบ ‘หมายเลข 10’ ตัวทำเกมหลักที่มีอิสระในการขับเคลื่อนเกม

 

สิ่งที่ทำให้บรูโนมีความพิเศษมากกว่าตัวทำเกมคนอื่นคือการที่เขามีเท้าขวาที่ฉมังเดช นอกจากจะเตะได้อย่างหนักหน่วง ก็ยังสามารถใส่ลูกเล่นเพิ่มเข้าไปในการเตะได้ด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการยิงประตูแต่รวมถึงการเปิดบอล

 

ถ้าเป็นวันที่เข้าฝัก ใครก็ยากจะหยุดบรูโนได้

 

ขณะที่โอเดการ์ดไม่ได้เล่นในบทตัวทำเกมหมายเลข 10 แบบคลาสสิก เพราะตามระบบและสไตล์การเล่นของอาร์เซนอล กัปตันทีมชาวนอร์เวย์จะเล่นในแบบของ ‘หมายเลข 8’ เป็นมิดฟิลด์ตัวขับเคลื่อนเกมจากแดนกลางและเชื่อมการเล่นให้ทั้งทีม

 

ความสามารถพิเศษของเขาคือการเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวเหมือนสายน้ำ สายตาที่มองเห็นช็อตการเล่นล่วงหน้าและเท้าซ้ายที่เหมือนพกตาชั่งติดตัว ออกบอลแต่ละครั้งน้ำหนักจะพอดีเสมอ

 

ที่สำคัญคือความขยันทุ่มเท วิ่งพล่านไปทั่วสนามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 

 

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาทั้งคู่โดนวิพากษ์หนักไม่น้อยจากทั้งสื่อและแฟนบอลของทีมตัวเอง

 

บรูโนโดนถล่มอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจากคนในวงการด้วยกันเองอย่าง สตีเฟน วอร์น็อก อดีตนักเตะลิเวอร์พูลที่ปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์ให้กับ Sky Sports รวมถึง รอย คีน อดีตกัปตันทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ออกมาสับเป็นชิ้นๆ ประหนึ่งข้าวมันไก่สิงคโปร์

 

ข้อหาของสตาร์โปรตุเกสคือเขาเป็นผู้นำที่ดูไม่น่ารัก ไม่ใช่ผู้นำในแบบอุดมคติ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเป็นคนนิสัยดีมีไมตรีกับคนอื่นไปทั่ว แต่เป็นผู้นำที่ใช้การกระทำเป็นตัวอย่าง ผู้นำที่พยายามทำให้ทีมเดินหน้าต่อไป ผู้นำที่จะไม่สร้างบรรยากาศแย่ๆ จนทำให้คนอื่นพาลจะไม่อยากเล่นด้วย

 

เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นปัญหาของบรูโนมายาวนาน เขาเจอคำวิจารณ์เรื่องนี้มาโดยตลอด

 

ในขณะที่โอเดการ์ด แม้จะเป็นผู้นำในรูปแบบที่แตกต่างกัน บุคลิกใสๆ ไม่เหลี่ยม ไม่ตุกติกมากมาย แต่สถานการณ์ลำบากของอาร์เซนอล ทำให้แฟนบอล Gooners ก็เริ่มตั้งคำถามถึงกัปตันของพวกเขาเหมือนกันว่าตกลงแล้วเก่งพอจะช่วยอะไรทีมได้มากกว่านี้ไหม

 

นั่นเพราะอาร์เซนอลมีปัญหาขาดแคลนผู้เล่นในตัวรุก ถึงขนาดที่ต้องขยับเอา ไมเคิล เมริโน มิดฟิลด์ตัวห้องเครื่องขึ้นไปยืนเป็นศูนย์หน้าชั่วคราวแล้ว แต่แฟนบอลก็คาดหวังว่าคนที่มีทักษะการเล่นเป็นเลิศอย่างโอเดการ์ดจะพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในเกม และนำพาชัยชนะมาสู่ทีมให้ได้

 

เหมือนในช่วงหนึ่งที่เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่ข้อเท้าต้องหายหน้าหายตาไปหลายเดือน ที่ทำให้ผลงานของอาร์เซนอลสะดุดอย่างมีนัยสำคัญ แต่สุดท้ายพอกลับมากลับกลายเป็นว่าโอเดการ์ดยิ่งเล่นก็ยิ่งดูดร็อปลงไปจากมาตรฐานที่เคยทำได้ในฤดูกาลก่อนๆ

 

คำถามนั้นเริ่มลามไปถึงอาร์เซนอลควรจะหาคนที่ดีกว่านี้เข้ามาเป็นผู้นำทั้งในเกมรุกและนำทีมไหม?

 

มาร์ติน โอเดการ์ด กับ บรูโน แฟร์นันด์ส

 

ตรงนี้เองที่ทำให้การเจอกันของบรูโนและโอเดการ์ดในเกมที่โอลด์แทรฟฟอร์ดน่าสนใจ โดยที่เราพอจะได้คำตอบบางอย่าง

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่ทำได้ดีกว่าในเกมนี้คือหมายเลข 8 ของแมนฯ ยูไนเต็ด

 

บรูโน แฟร์นันด์ส ไม่ได้แค่เป็นผู้ทำประตูสำคัญให้ปีศาจแดงขึ้นนำในช่วงท้ายครึ่งแรกจากลูกฟรีคิกระยะอันตรายหน้ากรอบเขตโทษ ซึ่งแม้ว่าระยะการตั้งกำแพงจะมีปัญหาอยู่บ้างแต่ลูกยิงของเขาที่ปั่นโค้งข้ามกำแพงก่อนฮุกเข้าเสียบตาข่ายนั้นเป็นการยิงที่สวยสดและงดงามอย่างยิ่ง

 

ที่สำคัญกว่าคือมันเป็นประตูที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่บรูโนทำให้ทีมและแฟนบอลได้เสมอโดยเฉพาะในเกมใหญ่นัดสำคัญที่เขาพร้อมจะยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ

 

ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงครึ่งหลังยังมีโอกาสเกือบจะเป็นผู้ทำประตูชัยให้ทีมได้ด้วยหากดาวิด รายา จะไม่สปริงข้อเท้ากลับไปปัดบอลทิ้งได้ทันเวลาก่อนลูกจะข้ามเส้น และยังมีส่วนกับการสร้างเกมรุกทำอันตรายแนวรับของอาร์เซนอลได้บ่อยครั้ง

 

แม้ว่าในบางครั้งมันจะเป็นการเล่นที่เสี่ยงหรือมุทะลุไปนิดก็ตาม

 

ภาพนั้นแตกต่างจากกรณีของโอเดการ์ดที่ตลอดทั้งเกมแม้จะพยายามแล้วที่จะสร้างสรรค์เกมและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทีม 

 

แต่มันมีหลายครั้งในเกมที่สตาร์ชาวนอร์เวย์ ที่เพิ่งทำ 2 ประตูในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เหมือนติดหล่มในรูปแบบการเล่นของตัวเองที่มักจะห่วงการเล่นในแบบปลอดภัยไว้ก่อน เลือกจะม้วน วน หรือจ่ายกลับคืนให้เพื่อน มากกว่าที่จะพยายามแหวก ตะลุย ฝ่าดงนักเตะยูไนเต็ด หรือหาวิธีจ่ายเพื่อฉีกแนวรับให้เป็นริ้วๆในแบบที่เขาเคยทำได้

 

เรื่องนี้ทำให้คิดถึงหนึ่งในประเด็นของโอเดการ์ดที่รวมถึงอาร์เซนอลในฤดูกาลนี้คือพวกเขาพยายามเล่นแบบลดความเสี่ยง (Risk-Averse) มากเกินไปหรือเปล่า

 

เล่นเหมือนกลัวจะพลาด เล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อนจนเกินไป จนกลายเป็นค่อยๆลืมอิสระในการเล่นที่เคยเป็นจุดเด่นของทีม

 

จริงอยู่ที่ต้องเข้าใจในปัญหาใหญ่ของอาร์เซนอลซึ่งขาดแกนหลักในแนวรุกไปจนเกือบหมด สถานการณ์แบบนี้โคตรทีมที่ไหนเจอกับลำบากเหมือนกันทั้งนั้นและอาจจะยับเยินกว่าด้วย

 

เพียงแต่มันก็วกกลับไปถึงคำถามใหญ่ของเรื่องอยู่ดี

 

ว่าในยามวิกฤตคับขันแบบนี้ ถ้าเลือกได้เราจะอยากได้ผู้นำทีมในแบบ บรูโน แฟร์นันด์ส หรือ มาร์ติน โอเดการ์ด มากกว่ากัน?

 

จอมโวยเลือดเดือดที่พร้อมเดินหน้าและท้าชน

 

กับจอมนิ่งที่สุขุมเยือกเย็นจนอาจจะเย็นเกินไป

 

จริงอยู่ที่เราไม่ควรจะตัดสินทุกอย่างจากเกมนัดเดียว เพราะมันก็อาจเป็นแค่เกมหนึ่งและหนึ่งวันที่บรูโนทำได้ดีกว่า แต่หากตั้งคำถามชั่งน้ำหนักหัวใจของตัวเองดีๆ สิ่งที่ได้เห็นจาก 90 นาทีกว่าๆที่โอลด์แทรฟฟอร์ดก็พอจะชวนให้คิดและตั้งคำถามสนุกๆกันได้

 

แต่ถ้าให้เลือกคำตอบที่ดีที่สุดจริงๆ

 

บางทีจับทั้งคู่มาผสมกันแล้วหารสองก็น่าจะเข้าท่าดี ว่าไหมครับ?

 

อ้างอิง:

The post ในความแตกต่างระหว่าง มาร์ติน โอเดการ์ด กับ บรูโน แฟร์นันด์ส appeared first on THE STANDARD.

]]>
BG Sports ยืนยันคว้า ลิขสิทธิ์ ถ่ายทอดสด ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และ U23 https://thestandard.co/bg-sports-thailand-football-2025/ Mon, 10 Mar 2025 04:58:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1050340

BG Sports ประกาศยืนยันการคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งข […]

The post BG Sports ยืนยันคว้า ลิขสิทธิ์ ถ่ายทอดสด ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และ U23 appeared first on THE STANDARD.

]]>

BG Sports ประกาศยืนยันการคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันของ ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และ ชุดรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีในรายการใหญ่ๆ ตลอดปี 2025 โดยประเดิมทัวร์นาเมนต์แรกในศึกโดฮาคัพ 2025 ชมฟรีผ่านยูทูบช่อง BG SPORTS

 

โดย BG Sports ออกแถลงการณ์ว่า “ก่อนหน้านี้ BG Sports ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดทีมชาติไทยลุยศึกชิงแชมป์อาเซียนคัพ 2024 ซึ่งได้ผลตอบรับจากแฟนบอลทีมชาติไทยเป็นอย่างดี และถือเป็นการต่อยอดจากการสนับสนุนทีมชาติไทยในการเก็บตัว ฝึกซ้อม แข่งขัน และการเดินทางของทีมชาติไทยตลอดปี 2025

 

“โดยในปี 2025 ทีมชาติไทยชุดใหญ่มีโปรแกรมแข่งขันในหลายรายการ ทั้งรายการอุ่นเครื่อง FIFA Days, AFC Asian Cup 2027 Qualifiers, ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน King’s Cup โดยเฉพาะ AFC Asian Cup 2027 Qualifiers ที่เป็นรายการสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะเริ่มทำการแข่งขันในเดือนมีนาคม 2025

 

“ส่วนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ก็มีโปรแกรม AFC U23 Asian Cup รอบคัดเลือกเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีทัวร์นาเมนต์อุ่นเครื่องรายการสำคัญอย่าง DOHA CUP 2025 ที่ประเทศกาตาร์ในเดือนมีนาคมอีกด้วย”

 

ภาพ: BG Sports / Facebook

The post BG Sports ยืนยันคว้า ลิขสิทธิ์ ถ่ายทอดสด ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และ U23 appeared first on THE STANDARD.

]]>