Science – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 25 Dec 2025 06:45:05 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 NASA กลับไปดวงจันทร์ อวกาศไทยไปนอกโลก: รวมเรื่องราวอวกาศน่าติดตามปี 2026 https://thestandard.co/nasa-moon-thai-space-2026/ Thu, 25 Dec 2025 06:45:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1158139 NASA กลับไป ดวงจันทร์ อวกาศไทยไปนอกโลก: รวมเรื่องราวอวกาศน่าติดตามปี 2026

เข้าสู่ศักราชใหม่อีกครั้ง เมื่อดาวเคราะห์สีครามดวงนี้ได […]

The post NASA กลับไปดวงจันทร์ อวกาศไทยไปนอกโลก: รวมเรื่องราวอวกาศน่าติดตามปี 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
NASA กลับไป ดวงจันทร์ อวกาศไทยไปนอกโลก: รวมเรื่องราวอวกาศน่าติดตามปี 2026

เข้าสู่ศักราชใหม่อีกครั้ง เมื่อดาวเคราะห์สีครามดวงนี้ได้โคจรรอบดาวฤกษ์ครบไปอีกหนึ่งรอบ พร้อมกับเรื่องราวน่าติดตาม และการสำรวจต่างๆ เพื่อปลดล็อกปริศนา ไขคำตอบของห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่นี้

 

ปี 2026 นับเป็นอีกปีที่น่าจับตาของวงการอวกาศ เพราะมีทั้งการส่งมนุษย์กลับไปสำรวจดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบครึ่งศตวรรษ เป็นครั้งแรกที่จะมีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ไทยไปดวงจันทร์ เช่นเดียวกับการนำส่งภารกิจต่างๆ ออกเดินทางสู่วงโคจร ตลอดจนนานาปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์บนโลก ที่ THE STANDARD ได้รวบรวมมา

 

10 มกราคม – ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุด

 

เปิดปีใหม่ด้วยการสังเกตดู ดาวพฤหัสบดี ที่จะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งใกล้โลกที่สุดของปี 2026 ในคืนวันที่ 10 มกราคม โดยสามารถมองเห็นดาวเคราะห์ดวงนี้ขึ้นจากทิศตะวันออกช่วงเย็น และปรากฏสว่างเด่นตลอดคืน ก่อนตกลับขอบฟ้าในช่วงรุ่งเช้า

 

ตำแหน่งดังกล่าว เรียกว่า Jupiter Opposition หรือการที่ดาวพฤหัสฯ อยู่ตำแหน่งตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ เมื่อสังเกตจากโลก โดยปีนี้ดาวพฤหัสบดีอยู่ห่างไปประมาณ 633 ล้านกิโลเมตร หรือประมาณ 35 นาทีแสงด้วยกัน

 

มกราคม – GISTDA ส่งดาวเทียม THEOS-2A ขึ้นสู่วงโคจร

 

ในเดือนมกราคม GISTDA เตรียมส่ง THEOS-2A ดาวเทียมสำรวจโลกความละเอียดสูงดวงล่าสุดของประเทศไทย ขึ้นสู่วงโคจรรอบโลก เพื่อร่วมปฏิบัติภารกิจการถ่ายภาพ สนับสนุนข้อมูลให้กับหน่วยงานต่างๆ จากอวกาศ

 

สำหรับดาวเทียม THEOS-2A ได้มีการร่วมพัฒนาโดยทีมวิศวกรไทยมากกว่า 20 คน และปัจจุบันได้ผ่านการทดสอบด้านต่างๆ จากศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ พร้อมสำหรับการนำส่งโดยจรวดของประเทศอินเดียในช่วงต้นปี 2026

 

6 กุมภาพันธ์ – NASA ส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์

 

NASA เตรียมส่งนักบินอวกาศกลับไปดวงจันทร์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1972 กับภารกิจ ‘อาร์ทีมิส 2’ โดยมีกำหนดออกเดินทางเร็วที่สุด ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2026 จากฐานปล่อย 39B ของศูนย์อวกาศเคนเนดี รัฐฟลอริดา

 

ภารกิจดังกล่าวมีนักบินอวกาศ 4 คน ซึ่งรวมถึงสุภาพสตรี และชาวแคนาดาคนแรกที่จะได้ออกเดินทางไปดวงจันทร์ โดยมีแผนไปบินผ่าน (Flyby) ดวงจันทร์ เพื่อสาธิตความพร้อมของระบบต่างๆ และทำการสำรวจอีกฝั่งของดวงจันทร์ ก่อนเดินทางกลับมาลงจอดบนโลก

 

อาร์ทีมิส 2 จะกินระยะเวลารวมประมาณ 10 วัน และเป็นหนึ่งในภารกิจที่สำคัญที่สุดของทศวรรษนี้ โดยคาดว่าจะมีสื่อมวลชน และประชาชนไปรอรับชมการปล่อยยานเป็นจำนวนมาก โดย NASA ระบุว่ามีช่วงเวลาในการปล่อยยาน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2026 นี้

 

3 มีนาคม – จันทรุปราคาเต็มดวง เห็นได้จากทั่วไทย

 

เย็นวันที่ 3 มีนาคมนี้ ชวนดูปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้จากทั่วประเทศไทย

 

ในประเทศไทย จะเห็นดวงจันทร์ขึ้นจากขอบฟ้าเป็นสีแดงเลือด โดยสามารถมองเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงได้นานเกือบ 40 นาที ไปจนถึงช่วงเวลา 19:02 น. และมองเห็นเป็นจันทรุปราคาบางส่วนไปจนเวลาประมาณ 20:17 น.

 

ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เรียงตัวอยู่ในแนวระนาบเดียวกัน โดยดวงจันทร์ตกอยู่ในเงามืดของโลกพอดี ทำให้แสงจากดวงอาทิตย์ที่ถูกหักเหในชั้นบรรยากาศโลก โดยเฉพาะแสงสีแดงที่มีความยาวคลื่นมากกว่า ไปตกกระทบบนพื้นผิวดวงจันทร์

 

สิงหาคม – จีนส่งยานลงดวงจันทร์ พร้อมอุปกรณ์ชิ้นแรกของไทย

 

ในช่วงกลางปี 2026 จีนเตรียมส่งยานอวกาศ ฉางเอ๋อ 7 ออกเดินทางไปลงจอดบริเวณขั้วใต้ดวงจันทร์ เพื่อศึกษาบริเวณโดยรอบ ค้นหาร่องรอยของน้ำแข็งบนพื้นผิว และเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจลงจอดของนักบินอวกาศจีนในอนาคต

 

ในการนี้ ประเทศไทยได้ส่งอุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ หรือ MATCH (Moon Aiming Thai Chinese Hodoscope) เพื่อตรวจวัดอนุภาคมีประจุพลังงานสูง ศึกษาปริมาณของรังสีคอสมิกในห้วงอวกาศรอบดวงจันทร์ จากการพัฒนาโดย NARIT และมหาวิทยาลัยมหิดล นับเป็นอุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกของไทย ที่จะได้ออกเดินทางไปถึงห้วงอวกาศลึก และติดตั้งอยู่กับยานส่วนที่โคจรอยู่รอบดวงจันทร์

 

ปลายปี – จีนเตรียมส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศมุมกว้าง

 

อีกหนึ่งภารกิจที่น่าจับตาของประเทศจีน คือการนำส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศสุนเทียน หรืออีกชื่อว่า CSST ขึ้นไปประจำการในวงโคจรที่ใกล้เคียงกับสถานีอวกาศเทียนกง

 

กล้องสุนเทียน มีขนาดกระจกหลัก 2 เมตร ซึ่งแม้จะเล็กกว่ากล้องฮับเบิล แต่ถูกออกแบบมาให้ถ่ายภาพมุมกว้างกว่าประมาณ 300-500 เท่า เพื่อถ่ายภาพมุมกว้างของห้วงจักรวาล ในช่วงเวลานานกว่า 10 ปีที่คาดว่ากล้องจะอยู่ในประจำการบนวงโคจรรอบโลกได้

 

ภาพ: Getty Images

 

อ้างอิง:

The post NASA กลับไปดวงจันทร์ อวกาศไทยไปนอกโลก: รวมเรื่องราวอวกาศน่าติดตามปี 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักดาราศาสตร์พบ ‘น้ำตาล’ ที่จำเป็นต่อชีวิต ในหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู https://thestandard.co/sugars-gum-stardust-found-in-nasas-asteroid-bennu-samples/ Sun, 07 Dec 2025 02:57:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1151980 นักดาราศาสตร์พบ ‘น้ำตาล’ ที่จำเป็นต่อชีวิต ในหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู

นักดาราศาสตร์ได้ตรวจพบ ‘น้ำตาล’ ที่จำเป็นต่อชีวิต และสส […]

The post นักดาราศาสตร์พบ ‘น้ำตาล’ ที่จำเป็นต่อชีวิต ในหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักดาราศาสตร์พบ ‘น้ำตาล’ ที่จำเป็นต่อชีวิต ในหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู

นักดาราศาสตร์ได้ตรวจพบ ‘น้ำตาล’ ที่จำเป็นต่อชีวิต และสสารคล้าย ‘หมากฝรั่ง’ ในตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู ที่บ่งชี้ว่าวัตถุดิบสำหรับการกำเนิดชีวิตนั้นมีอยู่ทั่วระบบสุริยะของเรา

 

การค้นพบดังกล่าว มาจากการศึกษาตัวอย่างหินของดาว ‘เบนนู’ ดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกประเภทคาร์บอน ที่เป็นดั่งไทม์แคปซูลซึ่งได้รักษาสภาพสสารต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วงกำเนิดของระบบสุริยะ หรือเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีที่แล้ว จนกระทั่งยานอวกาศ OSIRIS-REx ของ NASA ได้เดินทางไปลงเก็บหินรวมประมาณ 120 กรัม ส่งกลับมาถึงโลกอย่างปลอดภัย เพื่อให้นักดาราศาสตร์จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้นำไปวิจัยและศึกษาต่ออย่างละเอียด

 

สำหรับการค้นพบน้ำตาลในครั้งนี้ คือการพบ ‘ไรโบส’ (Ribose) ซึ่งเป็นน้ำตาลที่มีคาร์บอน 5 อะตอม และที่พิเศษกว่านั้นคือการตรวจพบ ‘กลูโคส’ (Glucose) น้ำตาลที่มีคาร์บอน 6 อะตอม เป็นครั้งแรกในตัวอย่างวัตถุที่มาจากนอกโลก

 

แม้การค้นพบน้ำตาลเหล่านี้ ไม่ใช่การพบสิ่งมีชีวิตโดยตรง แต่เมื่อพิจารณาว่าไรโบสนั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญของ RNA และกลูโคส เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของชีวิตต่าง ๆ บนโลก รวมถึงมีการตรวจพบกรดอะมิโน นิวคลีโอเบส ในตัวอย่างหินของดาวเบนนูมาก่อนหน้านี้ ก็เป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่าองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตนั้น ได้กระจายตัวอยู่ทั่วไปในระบบสุริยะ

 

สำหรับสิ่งมีชีวิตบนโลก ดีออกซีไรโบส (Deoxyribose) และ ไรโบส เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้าง DNA และ RNA ตามลำดับ โดยที่ DNA ทำหน้าที่เป็นตัวเก็บรหัสพันธุกรรมหลักภายในเซลล์ ส่วน RNA มีหน้าที่หลากหลาย และชีวิตในแบบที่เรารู้จักนั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้ หากขาด RNA ไป

 

Yoshihiro Furukawa หัวหน้าคณะวิจัยในการค้นพบครั้งนี้ จากมหาวิทยาลัยโทโฮกุ ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า “เราได้ค้นพบนิวคลีโอเบสครบทั้ง 5 ชนิดที่ใช้สร้าง DNA และ RNA ในตัวอย่างหินที่ยาน OSIRIS-REx ได้นำกลับโลก และการค้นพบไรโบสในครั้งนี้ หมายความว่าองค์ประกอบทั้งหมดที่จำเป็นต่อการสร้างโมเลกุล RNA นั้นมีอยู่ครบบนดาวเบนนู”

 

สิ่งที่น่าสนใจคือนักดาราศาสตร์ไม่พบดีออกซีไรโบสในหินจากดาวเบนนู ซึ่งอาจสนับสนุนสมมติฐาน ‘RNA World’ ที่ว่าสิ่งมีชีวิตรูปแบบแรก ๆนั้นพึ่งพา RNA เป็นโมเลกุลหลักในการเก็บข้อมูลและขับเคลื่อนปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นต่อการอยู่รอด ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาใช้ DNA ในภายหลัง

 

นอกจากนี้ คณะนักดาราศาสตร์อีกกลุ่ม ยังได้พบสสารที่มีคุณสมบัติคล้ายหมากฝรั่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นมาก่อนในอดีตกาล แต่ปัจจุบันมันได้แข็งตัวไปเป็นที่เรียบร้อย อยู่ในตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนูเช่นกัน

 

สสารดังกล่าวประกอบไปด้วยวัสดุคล้ายโพลิเมอร์ อันประกอบด้วยไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นจำนวนมาก ซึ่งนี่เป็นลักษณะของสสารที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน จากก้อนหินใด ๆ ก็ตามที่มาจากอวกาศ ซึ่งโครงสร้างของโมเลกุลที่ซับซ้อนเช่นนี้ อาจเป็นสารตั้งต้นทางเคมีที่ช่วยเริ่มต้นการกำเนิดชีวิตบนโลกได้ และการตรวจพบในครั้งนี้ อาจช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจว่าชีวิตเริ่มต้นขึ้นมาได้อย่างไร และมีโอกาสพบชีวิตบนดาวดวงอื่นได้หรือไม่อีกด้วย

 

‘หมากฝรั่งอวกาศ’ นี้ ไม่ได้เป็นก้อนหมากฝรั่งขนาดใหญ่ที่ติดมากับยาน แต่เป็นโครงสร้างขนาดเล็กที่กระจายตัวอยู่ในชั้นน้ำแข็งและแร่ธาตุของดาวเคราะห์น้อยเบนนู มีขนาดใหญ่เพียงระดับไมโครเมตรเท่านั้น แต่ก็มีความคล้ายกับโพลียูรีเทนบนโลก จน Scott Sanford หัวหน้าคณะวิจัยจาก NASA’s Ames Research Center เรียกมันอย่างไม่เป็นทางการว่า “พลาสติกอวกาศ” แต่มีโครงสร้างที่ยุ่งเหยิงและเป็นระเบียบน้อยกว่า

 

การศึกษาตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู จะช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบสุริยะเมื่อช่วงแรกเริ่ม หรือประมาณ 4,500 ล้านปีที่แล้ว ทั้งวัตถุดิบต่าง ๆ และกระบวนการที่จำเป็นต่อการกำเนิดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นบนโลก หรือบนดาวดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะก็ตาม

 

งานวิจัยของคณะที่นำโดย Yoshihiro Furukawa ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature Geoscience เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม และงานวิจัยของคณะที่นำโดย Scott Sanford ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature Astronomy ในวันเดียวกัน

 

แม้จะนำหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนูกลับมาถึงโลกเมื่อปี 2023 แต่ยานอวกาศ OSIRIS-REx ยังปฏิบัติภารกิจอยู่ โดยได้รับการต่อขยายภารกิจให้บินไปสำรวจดาวเคราะห์น้อยอะโพพิส ที่มีกำหนดมาเฉียดใกล้โลกในเดือนเมษายน 2029 ภายใต้ชื่อใหม่ว่า OSIRIS-APEX เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจคุณสมบัติและดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกได้ดียิ่งขึ้น

 

ภาพ: NASA

 

อ้างอิง:

The post นักดาราศาสตร์พบ ‘น้ำตาล’ ที่จำเป็นต่อชีวิต ในหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู appeared first on THE STANDARD.

]]>
รังสีจากดวงอาทิตย์คืออะไร ทำไมอาจทำให้อุปกรณ์เครื่องบิน Airbus A320 ขัดข้องได้? https://thestandard.co/solar-radiation-airbus-a320-fail/ Sun, 30 Nov 2025 02:39:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1149685 รังสีจากดวงอาทิตย์คืออะไร ทำไมอาจทำให้อุปกรณ์เครื่องบิน Airbus A320 ขัดข้องได้?

รังสีจากดวงอาทิตย์ หรือเปลวสุริยะ (Solar Flare) อาจส่งผ […]

The post รังสีจากดวงอาทิตย์คืออะไร ทำไมอาจทำให้อุปกรณ์เครื่องบิน Airbus A320 ขัดข้องได้? appeared first on THE STANDARD.

]]>
รังสีจากดวงอาทิตย์คืออะไร ทำไมอาจทำให้อุปกรณ์เครื่องบิน Airbus A320 ขัดข้องได้?

รังสีจากดวงอาทิตย์ หรือเปลวสุริยะ (Solar Flare) อาจส่งผลให้อุปกรณ์บนเครื่องบิน Airbus A320 มากกว่า 6,000 ลำทั่วโลก ทำงานขัดข้องได้

 

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน บริษัท Airbus ได้ออกแถลงการ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สายการบินทั่วโลกตรวจสอบ และปรับปรุงซอฟต์แวร์กับอุปกรณ์ในการบิน เพื่อให้มีความปลอดภัยและพร้อมในการขึ้นบินอีกครั้ง

 

สื่อต่าง ๆ รายงานว่าเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสวนดังกล่าว เกิดขึ้นกับสายการบิน JetBlue เที่ยวบิน 1230 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ที่สูญเสียระดับการบินกะทันหัน จากปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ ELAC หรือ Elevator and Aileron Computer บนเครื่องบิน Airbus A320 ลำดังกล่าว ทำให้ผู้โดยสารบางรายได้รับบาดเจ็บ จนต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉิน

 

Airbus เผยเหตุที่อุปกรณ์ดังกล่าวทำงานผิดพลาด เป็นผลมาจากเปลวสุริยะที่รุนแรง จนอาจไปรบกวนข้อมูลระบบควบคุมการบิน และเครื่องบินรุ่น A320 จำนวนกว่า 6,000 ลำ ต้องได้รับการซ่อมบำรุงโดยทันที ทั้งผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ และบางรุ่นที่อาจต้องถูกเปลี่ยนอุปกรณ์แบบใหม่หมด

 

ในการนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้ประสานทุกสายการบินของไทย เพื่อเร่งตรวจสอบและปรับปรุงเครื่องบินรุ่น A320 ตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของการเดินอากาศ โดยระบุว่าสายการบินทั้งหมดได้ดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขตามแผนที่จัดทำขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบตารางบินหรือการให้บริการผู้โดยสาร โดยการปรับปรุงทั้งหมดจะเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยสากลและแนวปฏิบัติของ Airbus

 

ทั้งนี้ เปลวสุริยะ มาจากการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของดวงอาทิตย์อย่างรุนแรง และเมื่อมาปะทะเข้ากับบรรยากาศโลก จะทำให้ชั้นบรรยากาศเกิดการปั่นป่วน รบกวนการทำงานของคลื่นวิทยุ ดาวเทียม GPS ในฝั่งที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ ณ ช่วงเวลานั้นพอดี โดยอนุภาคพลังงานสูง (Solar Energetic Particles) ที่มาพร้อมกับ Solar Flare และการพ่นมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejection) อาจเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้อุปกรณ์บนเครื่องบินได้รับความเสียดาย

 

ในปี 2025 เป็นช่วงพีคสุดของวงจรสุริยะที่ 25 (Solar Cycle 25) หมายความว่าดวงอาทิตย์จะมีการปล่อยรังสี Solar Flare พ่นมวลโคโรนา และมีกิจวัตรต่าง ๆ ที่มากสุด เกิดขึ้นในช่วงเวลาทุก 11 ปีโดยประมาณ ซึ่งนักดาราศาสตร์พบว่ามีการปล่อย Solar Flare ระดับ X-Class (รุนแรงที่สุด) มากกว่า 20 ครั้งในปีนี้

 

ปัจจุบัน หน่วยงานอวกาศต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญกับการติดตาม เฝ้าระวัง และพยากรณ์ ‘สภาพอวกาศ’ หรือ Space Weather เพื่อตรวจดูความผันผวนในสภาพของดวงอาทิตย์ และพื้นที่ห้วงอวกาศโดยรอบ อาทิ GISTDA หรือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ได้พัฒนาระบบพยากรณ์อวกาศแห่งประเทศไทย หรือ Jasper ขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มวิจัยระบบนิเวศโลก-อวกาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังสภาพอวกาศและพยากรณ์ผลกระทบจากสภาพอวกาศอยู่อีกแห่งหนึ่ง

 

เปลวสุริยะ และการพ่นมวลโคโรนา ไม่เป็นอันตรายต่อผู้คนบนพื้นโลก ที่มีสนามแม่เหล็ก และชั้นบรรยากาศคอยปกป้อง จึงไม่ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ที่ใช้ชีวิตบนพื้นโลกตามปกติแต่อย่างใด

 

ภาพ: NASA via Getty Images

อ้างอิง:

The post รังสีจากดวงอาทิตย์คืออะไร ทำไมอาจทำให้อุปกรณ์เครื่องบิน Airbus A320 ขัดข้องได้? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดาวเทียมบนอวกาศสามารถบันทึกข้อมูลน้ำท่วมบนโลกได้อย่างไร? https://thestandard.co/satellite-record-flood-data/ Thu, 27 Nov 2025 07:34:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1148449 ดาวเทียมบนอวกาศสามารถบันทึกข้อมูลน้ำท่วมบน โลกได้อย่างไร?

ดาวเทียมที่โคจรอยู่บนอวกาศ สูงไปจากพื้นดินหลายร้อยกิโลเ […]

The post ดาวเทียมบนอวกาศสามารถบันทึกข้อมูลน้ำท่วมบนโลกได้อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดาวเทียมบนอวกาศสามารถบันทึกข้อมูลน้ำท่วมบน โลกได้อย่างไร?

ดาวเทียมที่โคจรอยู่บนอวกาศ สูงไปจากพื้นดินหลายร้อยกิโลเมตร สามารถถ่ายภาพและมองเห็นน้ำท่วมบนโลกได้อย่างไร?

 

อุทกภัยในจังหวัดสงขลา และพื้นที่ต่างๆ ของภาคใต้ ตลอดจนจังหวัดที่ได้รับผลกระทบในภาคกลาง สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความปลอดภัยของผู้คน และการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน จึงทำให้ข้อมูลเพื่อรับมือภัยพิบัติต่างๆ นั้นมีความจำเป็น และสำคัญต่อการประเมินเพื่อเฝ้าระวัง รับมือ จนถึงขั้นการฟื้นฟูสถานการณ์ในภายหลัง

 

ดาวเทียม เป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ถูกนำมาใช้รับมือภัยพิบัติบนโลก เนื่องจากปัจจุบันมีดาวเทียมสำรวจโลก พร้อมวัตถุประสงค์การทำงานที่หลากหลาย ผ่านอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ถูกติดตั้ง สำหรับการเก็บข้อมูลในด้านต่างๆ ตั้งแต่การถ่ายภาพความละเอียดสูง สำรวจทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ เกษตร มหาสมุทร ตลอดจนการใช้เพื่อวางผังเมือง เป็นต้น

 

สำหรับการตรวจดูน้ำท่วม โดยเฉพาะสถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทย GISTDA หรือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ได้วิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม SAR หรือ Synthetic Aperture Radar ที่ใช้การส่งคลื่นไมโครเวฟ และคลื่นวิทยุลงมาสู่พื้นโลก เพื่อตรวจจับสัญญาณที่สะท้อนกลับมา ซึ่งสามารถตรวจดูรายละเอียดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้

 

ดาวเทียมประเภท SAR แตกต่างจากดาวเทียมประเภท Optical ที่ถ่ายภาพในช่วงคลื่นแสงที่ตามองเห็น ซึ่งไม่สามารถถ่ายภาพในช่วงกลางคืน ในพื้นที่มีหมอกควัน หรือมีเมฆหนาคอยบดบังการมองเห็น แต่ดาวเทียม SAR สามารถส่งคลื่นไมโครเวฟและคลื่นวิทยุพลังงานสูงส่องทะลุได้ตลอด 24 ชั่วโมง จนสามารถติดตามสถานการณ์และความเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับบริเวณที่มีน้ำท่วม คลื่นจากดาวเทียมจะถูกสะท้อนออกไปด้านข้าง ไม่ได้กระเจิงกลับมายังตัวรับสัญญาณของดาวเทียม ส่งผลให้บริเวณที่มีน้ำท่วมนั้นจะปรากฏมืดกว่าในข้อมูลจากเรดาร์ เมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้าง ป่าไม้ และพื้นดิน ที่ปรากฏสว่างกว่า

 

ในปัจจุบัน GISTDA มีการใช้ข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-1A, Radarsat-2, Shenqi-02, และ StriX-4 อันเป็นดาวเทียมประเภท SAR เพื่อประเมินพื้นที่น้ำท่วม และวิเคราะห์ดูความลึก บริเวณได้รับผลกระทบ เพื่อนำส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญ ในการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือ การวางแผนเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการติดตามและประเมินแนวโน้มผลกระทบในระยะต่อไป

 

ทั้งนี้ GISTDA ระบุในแผนการพัฒนากลุ่มดาวเทียมสำรวจโลก หรือ THEOS Constellation ว่าจะมีการพัฒนาดาวเทียมประเภท SAR ได้แก่ THEOS-5A, THEOS-5B, THEOS-5C, และ THEOS-5D เพื่อสนับสนุนภารกิจรับมือต่อภัยพิบัติต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เสริมกับการทำงานของดาวเทียมประเภท Optical ในปัจจุบัน อย่าง THEOS-1 และ THEOS-2 ที่เป็นข้อมูลสำคัญในการเปรียบเทียบสภาพก่อน-หลังเกิดอุทกภัยได้อย่างชัดเจน

 

ในการนี้ ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ผ่านระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อบริหารจัดการภัยพิบัติ ที่ประชาชนทั่วไปสามารถสืบค้นได้ทางเว็บไซต์: https://disaster.gistda.or.th/ และแอปพลิเคชั่น “เช็คน้ำ” ทั้งในระบบ iOS และ Android

 

ภาพ: ESA / Mlabspace

 

อ้างอิง:

The post ดาวเทียมบนอวกาศสามารถบันทึกข้อมูลน้ำท่วมบนโลกได้อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ระเบิดฝน’ (Rain Bomb) ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วมหาดใหญ่จริงหรือไม่? https://thestandard.co/rain-bomb-and-hat-yai/ Tue, 25 Nov 2025 12:24:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1147519 ‘ระเบิดฝน’ ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วม หาดใหญ่ จริงหรือไม่?

หาดใหญ่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ จากฝนที่ตกหนักตั้ง […]

The post ‘ระเบิดฝน’ (Rain Bomb) ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วมหาดใหญ่จริงหรือไม่? appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ระเบิดฝน’ ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วม หาดใหญ่ จริงหรือไม่?

หาดใหญ่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ จากฝนที่ตกหนักตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งกรมชลประทานระบุไว้ว่าปริมาณน้ำฝนที่เป็นสาเหตุของน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ ถือเป็นฝนที่หนักที่สุดในรอบ 300 ปี โดยปริมาณน้ำฝนสะสมในอำเภอหาดใหญ่ 3 วันนับตั้งแต่ 19-21 พฤศจิกายน 2568 วัดได้สูงสุดถึง 630 มม. อุทกภัยใหญ่ในครั้งนี้จึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบกับชีวิตของประชาชนในหลายจังหวัดภาคใต้จำนวนมาก

 

‘ระเบิดฝน’ ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วม หาดใหญ่ จริงหรือไม่? 1

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ เกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจเห็นได้จากสื่อหลายสำนักที่มีการหยิบยกคำศัพท์หนึ่งขึ้นมานิยามลักษณะของฝนที่ทำให้เกิดน้ำท่วมที่หาดใหญ่อย่าง ‘Rain Bomb’ หรือ ‘ระเบิดฝน’ ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่ไม่ได้ถูกใช้ในทางอุตุนิยมวิทยาอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นคำที่หลายคนเลือกนำมาใช้อธิบายให้เห็นภาพ แล้วระเบิดฝนมันคืออะไร? เกิดจากอะไร? และมันใช่สาเหตุของน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้หรือไม่?

 

‘ระเบิดฝน’ คืออะไร?

 

จากคำอธิบายของ ผศ. ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า Rain Bomb หรือระเบิดฝน เป็นคำศัพท์ที่ใช้อธิิบายปรากฏการณ์ฝนตกหนักระดับ 100-200 มม. หรือมากกว่านั้นในช่วงสั้นๆ โดยมีปัจจัยธรรมชาติ 3 อย่างในครั้งนี้ ได้แก่ ลานีญา ร่องมรสุม และภาวะโลกร้อน

 

‘ระเบิดฝน’ ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วม หาดใหญ่ จริงหรือไม่? 2

ภาพอธิบายปรากฏการณ์ เอลนีโญ และลานีญา
ภาพ: กรมชลประทาน

 

ลานีญา เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการกระแสลมจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกพัดมายังด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งกระแสลมนี้มีความรุนแรงมากกว่าปกติ และพัดพากระแสน้ำอุ่นให้ไหลมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น บริเวณภูมิภาคนี้จึงมีระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เมื่อน้ำทะเลระเหยขึ้นเป็นเมฆฝน จึงมีปริมาณฝนที่ตกหนักมากขึ้นกว่าปกติ

 

ส่วนร่องมรสุม หมายถึงร่องความกดอากาศต่ำ หรือหมายถึงโซนแคบๆ ที่เป็นแนวพาดขวางในทิศตะวันออกและทิศตะวันตกที่มีลมพัดผ่าน โดยร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณไหนจะทำให้บริเวณนั้นเกิดฝนตกหนัก ซึ่งปกติแล้วร่องมรสุมจะมีการเลื่อนขึ้นลงได้ตามแนวการโคจรของดวงอาทิตย์ แต่ในครั้งนี้ ร่องมรสุมกลับพาดผ่านอยู่บริเวณภาคใต้ตอนล่างเป็นเวลานาน ไม่ขยับไปไหน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักบริเวณภาคใต้มากกว่าปกติ

 

‘ระเบิดฝน’ ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วม หาดใหญ่ จริงหรือไม่? 3

ภาพปรากฏการณ์ Microburst ที่เกิดจากกระแสลมพุ่งลงอย่างรวดเร็ว

ภาพ: huw-ogilvie

 

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ภาวะโลกร้อน ซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้มหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น ปริมาณน้ำที่ระเหยมีมากขึ้น เมฆมีความชื้นสูงมากขึ้น รวมถึงอากาศที่อุ่นนั้นสามารถกักเก็บไอน้ำได้มากขึ้นประมาณ 7% ต่อองศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้น ทำให้ในชั้นบรรยากาศเกิดการสะสมของปริมาณความชื้นจำนวนมาก เมื่อเกิดฝนตกจึงเกิดระเบิดฝน คล้ายกับฟ้ารั่วที่มีการปลดปล่อยน้ำปริมาณมหาศาลลงมาจากฟ้าในเวลาอันสั้น ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่อย่างที่ได้เห็นกัน

 

โดยระเบิดฝนนั้นถือเป็นปัญหาในด้านอุตุนิยมวิทยาอย่างมาก เนื่องจากมันค่อนข้างสังเกตยาก โดย ผศ.ดร.ภาณุ ตรัยเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาและสภาพอากาศ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยให้ข้อมูลว่า เมฆที่เป็นต้นกำเนิดของระเบิดฝนมีลักษณะที่ไม่ได้แตกต่างจากเมฆฝนทั่วไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อวงการต่างๆ ที่ต้องเฝ้าระวังการเกิดฝนในลักษณะนี้ หนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมการบิน ซึ่งนักอุตุนิยมวิทยาเพื่อการบินมีการศึกษาเรื่องนี้เยอะมาก เพราะมันส่งผลต่อความปลอดภัยในการบิน เช่น การที่เกิดลมพัดลงขณะที่เครื่องบินกำลังจะขึ้น ทำให้หัวเครื่องบินถูกกดลงมาจนไม่สามารถเอาเครื่องขึ้นได้

 

สาเหตุหลักของน้ำท่วมภาคใต้คือ ‘ฝนแช่’ ไม่ใช่ ‘ระเบิดฝน’

 

อย่างที่อธิบายไป ระเบิดฝนนั้นถูกใช้อธิบายปรากฏการณ์ฝนตกหนักระดับ 100-200 มม. หรือมากกว่านั้นในช่วงสั้นๆ ซึ่งคำว่าระเบิดนั้น นอกจากหมายถึงปริมาณน้ำฝนที่มากแล้ว อาจหมายถึงลมที่พัดน้ำฝนกระแทกพื้นดินอย่างรุนแรงด้วยเป็นก้อนเดียวในเวลาอันสั้น ซึ่งระยะเวลาสั้นนี้กินเวลาประมาณ 15-60 นาที จนเกิดเป็นน้ำท่วมฉับพลันได้จากการที่ระบายน้ำได้ไม่ทัน

 

เนื่องจากระเบิดฝน ยังไม่ใช่คำศัพท์ที่นักวิชาการใช้กันจริงๆ ตัวนิยามคำว่า ‘เวลาอันสั้น’ จึงอาจจะไม่เท่ากันแล้วแต่การตีความ แต่ลักษณะฝนที่ตกในบริเวณภาคใต้ จนเกิดเป็นน้ำท่วมใหญ่ในปี 2568 นี้มีลักษณะฝนตกทุกวัน ตั้งแต่

 

• วันที่ 19 พฤศจิกายน ฝนตก 155 มม.
• วันที่ 20 พฤศจิกายน ฝนตก 146.8 มม.
• วันที่ 21 พฤศจิกายน ฝนตก 370.2 มม.
• วันที่ 22 พฤศจิกายน ฝนตก 139.6 มม.
• วันที่ 23 พฤศจิกายน ฝนตก 143.8 มม.
• วันที่ 24 พฤศจิกายน ฝนตก 262 มม.

 

รวมแล้วทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 17-24 พฤศจิกายน ตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาวัดปริมาณน้ำฝนที่อำเภอหาดใหญ่ได้ 1,120.6 มม. ซึ่งถือว่าเยอะมาก จากการสะสมของปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาตลอดหลายวัน นิยามของระเบิดฝนที่ว่าฝนตกหนักมากในเวลาอันสั้นจึงดูจะไม่ตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ครั้งนี้

 

อีกหนึ่งในคำศัพท์ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ฝนตกหนักที่ภาคใต้ในครั้งนี้ได้ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าคือ ‘Stationary Heavy Rain’ หรือ ‘ฝนแช่’ ที่เกิดจากร่องมรสุมที่หยุดนิ่ง อย่างที่ได้อธิบายไปก่อนหน้าว่าในช่วงนี้ร่องมรสุมนั้นพาดผ่านอยู่บริเวณภาคใต้ตอนล่างเป็นเวลานาน ไม่ขยับไปไหน ทำให้เกิดเมฆฝนก่อตัวและตกลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในพื้นที่เดิม โดยอาจตกต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง หรือหลายวัน ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนมีการสะสมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนระบบระบายน้ำไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้เพียงพอ

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปรากฏการณ์ฝนแช่ ก็เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนเช่นเดียวกันกับระเบิดฝน เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทั่วทั้งโลก รวมถึงบริเวณน้ำทะเล ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลในอ่าวไทยสูงขึ้น การระเหยของน้ำทะเลก็เพิ่มสูงขึ้น น้ำทะเลที่ระเหยขึ้นมานี้จึงกลายเป็นเชื้อเพลงที่คอยเติมความชื้นให้เมฆฝนอย่างไม่หยุดหย่อน ฝนแช่จึงเกิดขึ้นต่อเนื่องและยาวนานอย่างที่เห็น

 

‘ระเบิดฝน’ ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วม หาดใหญ่ จริงหรือไม่? 4

 

พยากรณ์สภาพอากาศหลังจากนี้

 

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์สภาพอากาศล่วงหน้าระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2568 ภาคใต้จะมีฝนลดลง เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างเคลื่อนไปปกคลุมบริเวณเกาะสุมาตรา และอ่าวเบงกอลตอนล่างแทน แต่ก็อาจจะยังมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ของภาคใต้

 

กรมอุตุนิยมวิทยา ยังเตือนอีกว่าประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างยังต้องระวังอันตรายจากฝนที่ตกสะสม อาจมีน้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มเติมได้ ควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

 

ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน จากภาวะโลกรวน เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญให้ประชาชนทุกภาค และหน่วยงานรัฐ ทบทวนมาตรการรับมือกับภัยธรรมชาติกันใหม่ ไม่ใช่แค่ภาคใต้ เพราะทั้งระเบิดฝนและฝนแช่นั้น อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ กลาง อีสาน จรดใต้ได้หมด

 

หากใครที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดสงขลา และยังต้องการรับความช่วยเหลือจากเหตุน้ำท่วมในครั้งนี้ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ และสายด่วนตามภาพได้

 

‘ระเบิดฝน’ ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วม หาดใหญ่ จริงหรือไม่? 5

 

ภาพปก: REUTERS / Roylee Suriyaworakul

 

อ้างอิง:

The post ‘ระเบิดฝน’ (Rain Bomb) ใช่ปรากฏการณ์เบื้องหลังน้ำท่วมหาดใหญ่จริงหรือไม่? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก L’Oréal [Advertorial] https://thestandard.co/loreal-awards-women-asf-nano/ Thu, 20 Nov 2025 12:00:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1145525 เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial]

หนทางและความหวังในการพัฒนางานวิจัยเพื่อปกป้องเกษตรกรไทย […]

The post เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก L’Oréal [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial]

หนทางและความหวังในการพัฒนางานวิจัยเพื่อปกป้องเกษตรกรไทยและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ของ ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และงานวิจัยที่เป็นความหวังใหม่สู้โรคเรื้อรัง ของ ดร.มัตถกา คงขาว ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กำลังสร้างผลกระทบเชิงสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น “ต้นแบบวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” และ “การพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิวเพื่อนำส่งยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” จนสามารถคว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 จัดโดยลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย

 

ความสำเร็จที่นี้ ยังตอกย้ำอุดมการณ์ สวทช. ที่มุ่งสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนางานวิจัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของชาติ และนำพาประเทศสู่ความยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)

 

วัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกร (ASF) สายพันธุ์ไทย ความหวังควบคุมโรคระบาด

 

ความหวังที่จะควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ ปกป้องเกษตรกรไทยและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ต้องใช้ทั้งแรงกาย กำลังใจ และความพยายามอย่างในฐานะนักวิจัยหญิงอายุน้อย ที่ต้องเข้ามารับบทบาทผู้นำในการนำเสนอผลงาน “ช่วงแรกไม่มีใครเชื่อว่างานวิจัยจะสำเร็จ” ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าว

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 1

 

เนื่องจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรหรือ African Swine Fever (ASF) เป็นโรคระบาดรุนแรงในสุกรที่เกิดจากเชื้อไวรัส African swine fever virus (ASFV) และเป็นโรคอุบัติใหม่ที่พบการระบาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2565 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทย โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดเล็กหรือขนาดกลาง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท เกษตรกรจำนวนมากต้องปิดฟาร์ม ขาดรายได้ และตกอยู่ในภาวะหนี้สิน ขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องประสบปัญหาราคาเนื้อสุกรพุ่งสูง รวมถึงการนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อนจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน เสี่ยงต่อโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น โรคหูดับ หากมีการบริโภคเนื้อสุกรที่ปรุงไม่สุก

 

“ประเทศไทยยังไม่มีองค์ความรู้ เทคโนโลยีพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการพัฒนาวัคซีนที่แทบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ ระยะแรกมาตรการที่ใช้ควบคุมการระบาดจึงทำได้เพียงการสร้างระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ Biosecurity เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่เข้าหรือออกจากฟาร์ม แต่ด้วยต้นทุนการจัดการฟาร์มที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นเรื่องยากที่ฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางจะลงทุนไหว”

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 2

 

การวิจัยพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพจึงเป็น ‘กุญแจสำคัญ’ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาโรคระบาด ASF และนั่นคือโจทย์เร่งด่วนให้เธอและทีมวิจัยต้องเร่งเดินหน้าพัฒนา ‘วัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานการพัฒนา ‘วัคซีนสัตว์’ ภายใต้กลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand ของ สวทช. ที่มุ่งขับเคลื่อนงานวิจัยแก้ปัญหาสำคัญของชาติ และตอบโจทย์มิติการพึ่งพาตนเอง

 

การวิจัยและพัฒนาวัคซีนอาศัยฐานเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ไบโอเทค สวทช. สั่งสมมายาวนาน จนสามารถพัฒนา “วัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์” จาก “ไวรัสสายพันธุ์ไทย” ตัวแรกได้สำเร็จ

 

“ผลการศึกษาเบื้องต้นในระดับห้องปฏิบัติการชี้ว่า วัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70–100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรง”

 

ทั้งนี้ การทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้าน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง โดยจะเริ่มทดสอบในฟาร์มขนาดเล็กภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนต้นแบบในการป้องกันโรค ASF อย่างละเอียดก่อนที่จะขยายผลในวงกว้างต่อไป

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 3

 

หากวัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในฟาร์มจริงประสบความสำเร็จ ความหวังที่จะพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับโรคระบาดในสุกร และช่วยฟื้นฟูฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางให้หวนกลับมาทำอาชีพได้อีกครั้งของ ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา จะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

 

“ทุกวันนี้ แรงบันดาลใจสำคัญในการทำวิจัยคือ ‘เกษตรกรไทย’ แม้พวกเขาจะเคยสูญเสียทุกอย่างจากโรค ASF แต่พวกเขายังคงมีความหวังที่จะกลับมาเลี้ยงสุกรซึ่งเป็นอาชีพหลักและอาจเป็นอาชีพเดียวได้อีกครั้ง ดังนั้นถ้าวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจะช่วยให้ฟาร์มเล็กๆ ของเกษตรกรฟื้นคืนกลับมาได้ และช่วยให้พวกเขามีรายได้และชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นความภูมิใจสูงสุดในฐานะนักวิจัย”

 

“การวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF ยังมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหาร รวมถึงลดการพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศในอนาคต”

 

เธอบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยพัฒนาวัคซีน ASF หรือการวิจัยพัฒนาวัคซีนสัตว์อื่นๆ ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ต้องอาศัยความร่วมมือและผลักดันจากหลายภาคส่วนเพื่อสร้างความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และบริบทของกฎหมายที่จะช่วยส่งเสริมการผลิตวัคซีนสัตว์ที่มีมาตรฐานสากลและการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทางธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะทำให้ทีมวิจัยสามารถต่อยอดจากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรมได้ เป็นความหวังที่อยากให้เกิดการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นผู้ผลิตวัคซีนสัตว์เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันในภูมิภาคได้”

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 4

 

สำหรับเธอ การได้รางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย เป็นเหมือนกำลังใจอันยิ่งใหญ่ และเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า มีคนมองเห็นคุณค่าในความพยายามและความอดทนของเธอ

 

“รู้สึกดีใจและภูมิใจที่แม้งานวิจัยการพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ยังมีคนมองเห็นคุณค่าในความพยายามและความอดทนในการทำงานวิจัยที่เป็นเรื่องใหม่ โดยเฉพาะการทดสอบในสุกรซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญและทำงานภายใต้ข้อจำกัดมากมาย มันคือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้เราและทีมวิจัยก้าวต่อไปในโจทย์ที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยให้สามารถแก้ปัญหาแก่เกษตรกรไทยได้จริง ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าว

 

“อนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิว” ความหวังส่งยาแม่นยำ รักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ตรงจุด

 

สำหรับ ดร.มัตถกา คงขาว ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. นอกจากความหวังที่จะได้เห็นจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบข้างเคียงจากการกินยาลดลงด้วยการพัฒนายาที่ตรงจุดมากขึ้น เธอยังหวังที่จะเห็นการพัฒนาด้านเวชศาสตร์ป้องกันเพื่อชะลอการเกิดโรค โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) เช่น มะเร็ง สมองเสื่อม เบาหวาน ไขมันและหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 5

 

ประเทศไทยพบผู้ป่วยในกลุ่มโรค NCDs เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่า 75% ของผู้เสียชีวิตต่อปี นอกจากนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรค NCDs ได้ง่าย

 

อีกทั้งปัจจุบันการรักษาโรคในกลุ่ม NCDs แบบเดิมยังมีข้อจำกัดมาก เช่น ยาดูดซึมได้ไม่ดี มีการกระจายไปทั่วร่างกายแบบไม่จำเพาะ ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ตัวยาสำคัญเกิดการสลายตัวในทางเดินอาหาร ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหรือไม่จำเพาะเจาะจง นอกจากนี้ตัวยาหรือสารออกฤทธิ์บางตัวที่ไวต่อสภาพแวดล้อม เช่น เพปไทด์หรือสารสมุนไพร มักเสื่อมสลายง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง ที่สำคัญผู้ป่วยบางรายมีโรคร่วมหลายอย่าง ทำให้ต้องรับประทานยาจำนวนมาก

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 6

 

การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับกลุ่มโรค NCDs เป็นโจทย์สำคัญที่มีความจำเป็นเร่งด่วนมากขึ้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ ดร.มัตถกา ทุ่มเทให้กับการวิจัยและพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันกักเก็บยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API) ต่อเนื่องกว่า 10 ปี โดยดัดแปลงพื้นผิวของอนุภาคนาโนไขมันให้มีลักษณะที่จำเพาะเจาะจงกับโรคนั้นๆ เช่น การเพิ่มอนุภาคที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ การเพิ่มตัวจับเฉพาะกับเซลล์เป้าหมาย การปรับประจุพื้นผิวให้เกาะกับเนื้อเยื่อดีขึ้นเพื่อให้ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี เพื่อใช้กักเก็บและนำส่งยาอย่างจำเพาะเจาะจง ลดผลข้างเคียง เพิ่มการดูดซึม และช่วยให้ผู้ป่วยใช้ยาน้อยลงแต่ได้ผลมากขึ้น

 

“การนำเทคโนโลยีนาโนมาใช้พัฒนาระบบนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง คือหนทางควบคุมการปลดปล่อยยาได้ตรงจุด เพิ่มเสถียรภาพของยา และช่วยให้ยาออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบให้รองรับโรคหลากหลาย ทั้งมะเร็ง ภาวะอักเสบเรื้อรัง เบาหวาน โรคหัวใจ ไปจนถึงงานด้านชะลอวัย โดยมีการทดสอบในระดับพรีคลินิกแล้วและเตรียมก้าวสู่การทดสอบทางคลินิก ซึ่งเป็นความหวังสำคัญที่อาจนำไปสู่ผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคของคนไทยภายใน 3–5 ปี”

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 7

 

ปัจจุบันอนุภาคนาโนไขมันที่ออกแบบมีความจำเพาะกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคทางระบบประสาทเสื่อม มะเร็ง การอักเสบเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ไขมันช่องท้องและในเลือด รวมถึงความชราของผิวหนัง และอื่น ๆ

 

ดร.มัตถกา ยกตัวอย่าง ยาคีโมที่ผู้ป่วยมะเร็งได้รับจะมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งเซลล์ที่แบ่งตัวผิดปกติอย่างไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ยาคีโมไปทำลายเซลล์รากผมหรือเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงหรืออาเจียน

 

“หากใช้อนุภาคนาโนไขมันนำส่งยาไปยังเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะเจาะจง จะช่วยลดผลข้างเคียงและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยก็ดีขึ้น หรือในกรณีผู้ป่วยสูงอายุกลุ่มโรค NCDs ที่มักมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไตวายเรื้อรัง อาจต้องรับประทานยาปริมาณมาก การใช้อนุภาคนาโนไขมันเข้าไปช่วยเพิ่มการดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหาร จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สามารถลดปริมาณยาและลดการได้รับผลข้างเคียงจากยา ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น”

 

อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอนุภาคนาโนที่ ดร.มัตถกา พัฒนาขึ้น ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การรักษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีแผนนำไปใช้ในเชิงเวชศาสตร์ป้องกันในด้านการชะลอและป้องกันการเกิดโรค NCDs รวมถึงประยุกต์ใช้ในการกักเก็บสารสกัดหรือสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางและอาหารเสริมชะลอวัย ปัจจุบันสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกระชายดำในเชิงเวชสำอางและถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ ถือเป็นผลงานวิจัยภายใต้แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทยเพื่อความงาม สุขภาพ และอายุยืนยาว (PhytoEX) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ สวทช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติในมิติเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างแท้จริง

 

“อนุภาคนาโนไขมันไม่เพียงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยดูแลสุขภาพของคนไทย แต่ยังเป็นองค์ความรู้ที่ช่วยวางรากฐานให้ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางคุณภาพสูงในอนาคต ที่สำคัญหากประเทศพัฒนานวัตกรรมได้เอง จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศมากขึ้น”

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 8

 

การได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทยจากลอรีอัลในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ยืนยันหรือสะท้อนให้เห็นว่า งานวิจัยและแผนกลยุทธ์ที่ สวทช. ผลักดันนั้นมาถูกทาง และสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้จริง สำหรับ ดร.มัตถกา นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะเธอยังตั้งเป้าต่อยอดผลักดันอนุภาคนาโนไขมันเพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจากสมุนไพร และยาสมุนไพรให้สำเร็จ รวมทั้งวางแผนวิจัยต่อยอดในกลุ่มโรคติดเชื้อ เพราะทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยามากขึ้น อย่างไรก็ดีเป้าหมายสูงสุดของการทำวิจัยที่มุ่งหวังไว้คือให้คนไทยได้ใช้นวัตกรรมแล้วมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

 

โลกต้องการวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรี

 

รางวัลที่ 2 นักวิจัยหญิงได้รับ ไม่เพียงเติมเต็มความหวังในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของคนไทย ความปลอดภัยทางอาหาร และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กับประเทศไทย แต่ยังเป็นแรงบันดาลให้นักวิทยาศาสตร์หญิงไทยเดินหน้าสร้างสรรค์งานเพื่อสังคมอย่างไม่หยุดยั้ง

 

เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก LOréal [Advertorial] 9

 

ลอรีอัล กรุ๊ป (L’Oréal Group) ในฐานะองค์กรด้านความงามชั้นนำของโลก จึงเดินหน้าผลักดัน ส่งเสริม สร้างความตระหนักรู้ และสนับสนุนนักวิจัยสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์ ผ่านโครงการทุนวิจัยลอรีอัล เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ หรือ For Women in Science (FWIS) ที่ไม่เพียงสนับสนุนและเชิดชูผลงานของนักวิจัยสตรีทั่วโลก และส่งเสริมความเท่าเทียมของสตรีในวงการวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังตั้งใจให้เวทีนี้เป็นตัวแทนของความเสมอภาคทางเพศในวงการวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กหญิงรุ่นใหม่เลือกทำงานในสายวิทยาศาสตร์ และเน้นย้ำความสำคัญของผู้หญิงต่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘วิทยาศาสตร์เพื่อมนุษยชาติ’

The post เชิดชู 2 นักวิจัยหญิง สวทช. ผลักดันความหวังใหม่ด้วยนวัตกรรม ‘วัคซีน ASF–นาโนส่งยา’ จนคว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์สตรีปี 2568 จาก L’Oréal [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน https://thestandard.co/space-junk-delays-china-return/ Fri, 07 Nov 2025 07:44:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1140674 จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน

นักบินอวกาศจีนที่ทำงานอยู่บนอวกาศนาน 6 เดือน ได้เลื่อนแ […]

The post จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน

นักบินอวกาศจีนที่ทำงานอยู่บนอวกาศนาน 6 เดือน ได้เลื่อนแผนการเดินทางกลับโลกออกไป หลังพบว่ายานอวกาศพวกเขา อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน

 

ลูกเรือ 3 คนของภารกิจ Shenzhou-20 ที่ขึ้นไปปฏิบัติงานบนสถานีอวกาศเทียนกง ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2025 ต้องเลื่อนการเดินทางกลับโลกออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังจากมีรายงานว่ายานอวกาศ อาจถูกขยะอวกาศขนาดเล็กพุ่งชน จากรายงานของสำนักงานโครงการอวกาศของมนุษย์แห่งชาติจีน หรือ CMSEO

 

CMSEO ชี้แจงเพิ่มเติมในแถลงการณ์ว่า “เพื่อรับรองความปลอดภัยของนักบินอวกาศ และความสำเร็จของภารกิจในองค์รวม จึงได้มีการตัดสินใจเลื่อนการเดินทางกลับโลกของ Shenzhou-20 จากเดิมในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ออกไปก่อน”

 

ในการนี้ CMSEO ไม่ได้ระบุถึงตำแหน่งต้องสงสัยว่าถูกขยะอวกาศพุ่งชน หรือมีความเสียหายมากน้อยเพียงใด แต่กล่าวเพียงว่ากำลังมีการวิเคราะห์ความเสียหาย และประเมินความเสี่ยงในด้านต่างๆ อยู่ ณ ตอนนี้

 

ลูกเรือทั้งสามคน ได้แก่ Chen Dong, Chen Zhongrui และ Wang Jie จะยังประจำการอยู่บนสถานีอวกาศเทียนกงต่อไปก่อน ในระหว่างมีการตรวจสอบความเสียหายจากขยะอวกาศ ว่ามีผลกระทบต่อระบบที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของนักบินอวกาศ อาทิ แผ่นกันความร้อน และระบบร่มชูชีพ เป็นต้น

 

สำหรับ CMSEO มีการเตรียมยานอวกาศ Shenzhou และจรวด Long March 2F ในสถานะเตรียมความพร้อมไว้ ณ ฐานปล่อย และพร้อมส่งขึ้นบินได้ในเวลาไม่เกิน 9 วัน โดยหากยานอวกาศของภารกิจ Shenzhou-20 ไม่สามารถใช้โดยสารกลับโลกได้จริง นักบินอวกาศอาจโดยสารยานของภารกิจ Shenzhou-21 กลับโลก หลังจากที่จีนได้ส่งยานลำใหม่ขึ้นไปทดแทน

 

ข้อมูลจากสำนักงานขยะอวกาศ องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ระบุว่าในปี 2024 มีขยะอวกาศขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร รวมมากกว่า 1,200,000 ชิ้น ที่กำลังโคจรรอบโลกด้วยความเร็วสูง ซึ่งหากมีการพุ่งชนเข้ากับโครงสร้างของยานอวกาศ อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบที่จำเป็นต่อการดำรงชีพได้

 

สถานีอวกาศเทียนกง เป็นสถานีอวกาศแห่งที่สามของประเทศจีน ประกอบด้วยโมดูลต่างๆ สำหรับการปฏิบัติภารกิจวิจัย และอยู่อาศัยของนักบินอวกาศจีน โดยปกติจะรองรับลูกเรือจำนวน 3 คน ในภารกิจระยะเวลา 6 เดือน แต่ ณ ตอนนี้ สถานีอวกาศเทียนกงจะมีลูกเรืออาศัยรวม 6 คนไปก่อน จนกว่าจะหาทางออกสำหรับ Shenzhou-20 ได้สำเร็จเรียบร้อย

 

ภาพ: CMSEO

 

อ้างอิง:

The post จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปรากฏการณ์ควอนตัมระดับมหภาค กับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 https://thestandard.co/nobel-physics-2025-quantum-macroscopic/ Mon, 13 Oct 2025 07:40:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1129863 รางวัลโนเบลฟิสิกส์

เมื่อพูดถึงปรากฏการณ์เชิงควอนตัม เรามักจะพบว่ามันเกิดขึ […]

The post ปรากฏการณ์ควอนตัมระดับมหภาค กับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รางวัลโนเบลฟิสิกส์

เมื่อพูดถึงปรากฏการณ์เชิงควอนตัม เรามักจะพบว่ามันเกิดขึ้นในแวดล้อมที่เล็กๆ และเย็นๆ มีปรากฏการณ์มากมายที่แตกต่างจากสิ่งที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน

 

รางวัลโนเบลฟิสิกส์

นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 ได้แก่ จอห์น คลาร์ก มิเชล เดอโวเรต์ และจอห์น มาร์ตินิส

ภาพ: nobelprize.org

 

ตัวอย่างที่หลายคนเคยได้ยินเช่น แมวของชเรอดิงเงอร์ ที่อยู่ในกล่องผสมสารพิษที่เรามองด้านในไม่เห็น เมื่ออธิบายด้วยฟิสิกส์ควอนตัม สถานะของแมวตัวนั้นมันทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกัน หรือที่เราเรียกว่าการซ้อนทับสถานะ (Superposition)

 

มีอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ถือว่าเป็นแกนหลักของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 นั่นคือปรากฏการณ์การลอดอุโมงค์เชิงควอนตัม (Quantum Tunneling) ที่อนุภาคควอนตัมขนาดเล็กๆ มีความสามารถในการทะลุผ่านกำแพงได้ แม้ว่ามันจะมีพลังงานไม่มากพอจะปีนข้ามกำแพงนั้น แตกต่างจากวัตถุขนาดใหญ่และประกอบขึ้นจากอะตอมจำนวนมากๆ อย่างเช่น ลูกบอล ที่เราจะปาอัดกำแพงสักกี่ครั้งมันก็จะเด้งกลับมาหาเราอยู่เสมอ ทำให้โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักไม่เห็นปรากฏการณ์การลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมแบบนี้กับวัตถุที่มีขนาดใหญ่พอที่เราจะสังเกตได้ จนกระทั่งทั่วโลกได้เห็นการทดลองของนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีนี้

 

ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2025 ได้แก่นักวิทยาศาสตร์ 3 คน คือ จอห์น คลาร์ก (John Clarke) มิเชล เดอโวเรต์ (Michel Devoret) และจอห์น มาร์ตินิส (John Martinis) ซึ่งได้รับรางวัลจากผลงานการค้นพบปรากฏการณ์การลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมระดับมหภาค และการควอนไทซ์ของพลังงานในวงจรไฟฟ้า

 

นักฟิสิกส์เจอปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร?

 

ในปี 1984 และ 1985 นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามได้ทดลองสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาชุดหนึ่งจากตัวนำยิ่งยวด (Superconductors) หมายถึงเป็นวัสดุที่สามารถนำไฟฟ้าได้โดยไม่มีความต้านทานไฟฟ้าเลย ซึ่งภายในตัวนำยิ่งยวด อิเล็กตรอนจะมีพฤติกรรมการจับคู่กับอิเล็กตรอนตัวอื่นที่มีคุณสมบัติเข้าคู่กับมันได้ (มีโมเมนตัมและค่าสปินตรงข้ามกัน) เรียกกันว่าเป็นอนุภาคคู่คูเปอร์ (Cooper pair)

 

เมื่อตัวนำยิ่งยวดสองชิ้นวางต่อกันโดยมีฉนวนบางๆ กั้นอยู่ตรงกลาง จะเรียกรอยต่อระหว่างตัวนำยิ่งยวดสองชิ้นที่มีฉนวนกั้นอยู่นี้ว่า รอยต่อโจเซฟสัน (Josephson junction) โดยฉนวนทำหน้าที่เป็นกำแพงศักย์ไฟฟ้ากั้นไว้ไม่ให้อนุภาคที่อยู่ภายในตัวนำยิ่งยวดข้ามผ่านรอยต่อโจเซฟสันไปได้ถ้าไม่มีแรงดันไฟฟ้า ซึ่งตัวนำยิ่งยวดที่ไม่มีความต้านทานไฟฟ้าเลย ตามสมการทางคณิตศาสตร์แล้วจะไม่มีแรงดันไฟฟ้าอยู่ด้วยเช่นกัน อนุภาคที่อยู่ภายในตัวนำยิ่งยวดจึงถูกขังอยู่และไม่สามารถทะลุผ่านกำแพงออกมาได้ หรือถ้าหากทะลุได้ด้วยปรากฏการณ์ลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมก็จะเกิดขึ้นไม่มาก มีโอกาสเพียงน้อยนิดที่อนุภาคทั้งหมดจะสามารถทะลุผ่านกำแพงได้ กระแสไฟฟ้าจึงไม่เกิดการไหลครบวงจร

 

ภาพจำลองการประพฤติตัวเป็นอนุภาคเดี่ยวของอิเล็กตรอนภายในวงจรตัวนำยิ่งยวด

ภาพ: nobelprize.org

 

สิ่งที่น่าสนใจคืออนุภาคคู่คูเปอร์เป็นอนุภาคควอนตัมเชิงซ้อนที่สามารถเกิดพฤติกรรมรวมตัว กลายเป็นเหมือนกับอนุภาคเดี่ยวได้ แต่เป็นอนุภาคเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่พอที่เราจะสังเกตได้ นั่นทำให้อนุภาคเดี่ยวตัวเดียวมีโอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์ลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมขึ้น และเราสามารถตรวจวัดปรากฏการณ์นี้ได้ เพราะเมื่อมีการไหลของกระแสไฟฟ้าข้ามรอยต่อโจเซฟสัน แปลว่ามันเกิดแรงดันไฟฟ้าดันให้อนุภาคเคลื่อนที่ไปในวงจร นักวิทยาศาสตร์เจ้าของการทดลองจึงวัดปริมาณแรงดันที่เกิดขึ้นภายในวงจรนี้ได้

 

การประยุกต์ใช้ ‘อะตอมเทียม’

 

ความเชื่อที่เคยมีกันว่าปรากฏการณ์เชิงควอนตัมเกิดเฉพาะในแวดล้อมที่เล็กมากๆ เท่านั้น หรือที่เรียกว่าระดับจุลภาค (Microscopic) ก็เปลี่ยนไป เพราะพฤติกรรมการรวมตัวเป็นอนุภาคเดี่ยวจนเกิดปรากฏการณ์ลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมที่กล่าวถึงในข้างต้น เกิดขึ้นภายในวงจรขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่พอให้เราสังเกตเห็นได้ จึงเรียกว่าปรากฏการณ์นี้เกิดในระดับมหภาค (Macroscopic) และวงการนักวิจัยควอนตัมเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการสร้าง ‘อะตอมเทียม’ (Artificial Atoms)

 

ในด้านการประยุกต์สำหรับงานวิจัย อะตอมเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมาสามารถใช้เพื่อศึกษาสสารต่างๆ รวมถึงแสงได้ในภาวะที่ใช้ฟิสิกส์แบบดั้งเดิมอธิบายไม่ได้ รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างระบบที่เกิดปรากฏการณ์เชิงควอนตัมได้ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อสำรวจธรรมชาติของควอนตัมให้ละเอียดมากยิ่งขี้น

 

นอกจากนี้ ผลงานที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีนี้ยังถูกประยุกต์ใช้ในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ได้ด้วย เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัม เพราะวงจรตัวนำยิ่งยวดสามารถใช้พัฒนาคิวบิต (qubits) ที่เป็นหน่วยประมวลผลพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้

 

ช่วงแรกของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอดีต เคยมีอีกเทคนิคสำหรับการพัฒนาคิวบิตที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจมาก นั่นคือ เทคนิคการดักจับไอออน (Trapped Ions) ซึ่งมีความเสถียรกว่ามากเมื่อเทียบกับวงจรตัวนำยิ่งยวด เพราะวงจรตัวนำยิ่งยวดมีความไวต่อสัญญาณรบกวนภายนอก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาวงจรตัวนำยิ่งยวดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจนสามารถออกแบบคิวบิตจากเทคนิคนี้ที่มีความไวต่อสัญญาณรบกวนน้อยลงได้

 

คอมพิวเตอร์ควอนตัม Sycamore จาก Google ที่สามารถเอาชนะคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่เร็วที่สุดในเวลานั้นได้

ภาพ: Google Research

 

อีกข้อดีที่วงจรตัวนำยิ่งยวดมีนั่นคือความสามารถในการปรับขนาดได้ เนื่องจากวงจรนี้เป็นของแข็งที่สามารถสร้างไว้บนชิปได้ง่าย ทำให้การเพิ่มจำนวนคิวบิตสามารถปั๊มและต่อเข้าด้วยกันเพื่อรวมระบบในพื้นที่ขนาดเล็กได้ดี ต่างจากการดักจับไอออนที่การเพิ่มจำนวนไอออนในกับดักเดียวกันจะทำให้ควบคุมยากขึ้น แต่การสร้างกับดักจับไอออนหลายอันก็ทำให้กระบวนการสร้างซับซ้อนขึ้นด้วย ทั้งสองเทคนิคจึงมีข้อดีข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งคู่ยังถือว่าเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับการพัฒนาคิวบิตที่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์อย่างมาก

 

ในปี 2019 หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลในปีนี้อย่าง จอห์น มาร์ตินิส ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย Quantum AI ของ Google ได้สาธิตการใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบวงจรตัวนำยิ่งยวดที่ทีมเขาพัฒนาขึ้นในชื่อว่า Sycamore มันสามารถแก้โจทย์ที่ซับซ้อนมากในเวลาแค่ 200 วินาที เอาชนะคอมพิวเตอร์ทุกตัวที่ Google พัฒนาขึ้นมาได้ในขณะนั้น โดยถ้าเทียบกับการประเมินคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่ทรงพลังที่สุดยังต้องใช้เวลาประมาณ 10,000 ปีในการทำโจทย์เดียวกัน นี่จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่รู้จักกันในชื่อ ‘Quantum Supremacy’ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถเอาชนะคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่ดีที่สุดในโลกได้

 

นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ยังคงพัฒนาเทคนิคทางด้านควอนตัมกันต่อไป ทั้งการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ทรงพลังและเสถียรมากขึ้น หรือการทำความรู้จักกับโลกควอนตัมให้กระจ่างมากกว่าที่เคย ซึ่งไม่ว่านักวิทยาศาสตร์จะกำลังพัฒนาความรู้ด้านควอนตัมในด้านไหน ผลงานการค้นพบปรากฏการณ์การลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมระดับมหภาค และการควอนไทซ์ของพลังงานในวงจรไฟฟ้า ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2025 ก็ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้รู้เทคนิคการทำความเข้าใจควอนตัมได้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ภาพ: Vink Fan via Shutterstock

The post ปรากฏการณ์ควอนตัมระดับมหภาค กับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โครงข่ายโลหะอินทรีย์ (MOF) วัสดุแห่งอนาคต เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2025 https://thestandard.co/mof-material-future-nobel-prize/ Sat, 11 Oct 2025 02:44:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1129269 โครงข่ายโลหะอินทรีย์

รางวัลโนเบลสาขาเคมี ประจำปี 2025 มอบให้แก่ผลงานการพัฒนา […]

The post โครงข่ายโลหะอินทรีย์ (MOF) วัสดุแห่งอนาคต เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โครงข่ายโลหะอินทรีย์

รางวัลโนเบลสาขาเคมี ประจำปี 2025 มอบให้แก่ผลงานการพัฒนาโครงข่ายโลหะอินทรีย์ หรือ Metal-organic frameworks (MOFs) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีโครงสร้างพิเศษสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลในปีนี้มี 3 คน ได้แก่ ซุซุมุ คิตากาวะ (Susumu Kitagawa) ริชาร์ด ร็อบสัน (Richard Robson) และโอมาร์ ยากิ (Omar Yaghi)

 

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ทำงานวิจัยแยกกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาทำหน้าที่เป็นสถาปนิกออกแบบโครงสร้างภายในโมเลกุลทางเคมีที่คล้ายผลึกเพชร ที่เป็นคาร์บอนต่อกันจำนวนมาก ต่างกันตรงที่ส่วนประกอบมีโลหะเข้าไปผสมอยู่ตามมุมโครงสร้างด้วย และจุดเด่นของโครงสร้างนี้ไม่ใช่ความแข็งแบบเพชร แต่เป็น ‘ความว่าง’ ของโพรงที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้าง ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในการดักจับสารที่ต้องการได้

 

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้โพรงภายในโครงสร้าง MOF ในการดักจับสารต่างๆ เช่น สารเคมีตลอดกาลอย่าง PFAS ที่สามารถสะสมจนเกิดผลเสียในร่างกายมนุษย์ได้ นักวิทยาศาสตร์สามารถดักจับเพื่อแยก PFAS ที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำได้ หรือการดักจับน้ำกลางทะเลทรายจากในอากาศก็สามารถทำได้จริงแล้วด้วยโครงสร้างนี้เช่นกัน

 

MOF จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองว่าเป็น ‘วัสดุแห่งอนาคต’ ซึ่งจุดเริ่มต้นการค้นพบ และผลักดันให้งานวิจัยโครงสร้างชนิดนี้โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ เกิดจากความพยายามของนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีทั้ง 3 คนในปีนี้ และในบทความนี้จะเล่าถึงสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ทำ

 

MOF เป็นโครงสร้างโมเลกุลทางเคมีที่เชื่อมต่อกันเป็นคริสตัลโดยมีโพรงขนาดใหญ่อยู่ภายในโครงสร้าง

ภาพ: https://www.ossila.com/pages/what-are-metal-organic-frameworks

 

จุดเริ่มต้นของ MOF

 

ริชาร์ด ร็อบสัน เป็นคนแรกที่จุดประกายการทดลองสร้างโมเลกุลที่มีโครงสร้างซับซ้อนนี้ขึ้น โดยเขาให้ความสำคัญกับแนวคิดการออกแบบอย่างมีหลักการ (Rational Design) สามารถสร้างสิ่งใหม่ที่มีคุณค่าขึ้นมาได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ในการสร้างสารเคมีหรือโมเลกุลชนิดใหม่มักเกิดจากการรวมสารเคมีหนึ่ง เข้ากับอีกสารเคมีหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดการรวมตัวกันของโมเลกุลอย่างสุ่ม และอธิบายได้ยาก เขาจึงเริ่มต้นจากการออกแบบ

 

โครงสร้างที่ร็อบสันสร้างขึ้นเกิดจากการใช้คุณสมบัติการมีพันธะได้ 4 แขนของคาร์บอนมารวมกับไอออนของโลหะ โดยครั้งแรกเขาเริ่มจากการผสมทองแดงจนเกิดเป็นโครงสร้างโมเลกุลที่มีโพรงขนาดใหญ่ตรงกลาง ถัดจากนั้นร็อบสันยังคงทดลองสลับชนิดไอออนโลหะเพื่อศึกษาโครงสร้างดังกล่าวอีกหลายครั้ง

 

การเชื่อมต่อโครงสร้างระหว่างคาร์บอนและไอออนของทองแดงเพื่อให้เป็นคริสตัลคล้ายเพชร แต่มีโพรงขนาดใหญ่ด้านใน

ภาพ: nobelprize.org

 

ต่อมาในปี 1992 ซุซุมุ คิตากาวะ เป็นอีกคนที่เสนอโครงสร้างโมเลกุล MOF ขึ้นมา ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีโพรงขนาดใหญ่พอที่จะใส่โมเลกุลอะซิโตนเข้าไปข้างในได้ แต่ทั้งร็อบสัน และคิตากาวะ ยังคงต้องพบเจอกับอุปสรรคเรื่องเดียวกันนั่นคือ MOF มีความเปราะบางมาก แตกต่างจากผลึกซีโอไลต์ (Zeolites) ที่นักวิทยาศาสตร์รู้จักกันอยู่แล้วว่ามันเป็นผลึกของแข็ง ด้านในมีรูพรุน สามารถดูดซับแก๊สต่างๆ ได้ ผู้ออกทุนในตอนนั้นจึงไม่ได้เห็นความสำคัญของการสร้าง MOF สักเท่าไร

 

เป็นคิตากาวะเองที่อธิบายวิสัยทัศน์ผ่าน Bulletin of the Chemical Society of Japan เพื่อเปรียบเทียบให้สังคมเข้าใจว่าข้อดีของ MOF ยังมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะคุณสมบัติของมันที่มีความเป็นไปได้หลากหลายมากกว่า ในขณะที่ซีโอไลต์อยู่ในสถานะของแข็งเท่านั้น แต่ MOF สร้างผลิตขึ้นมาให้มีความยืดหยุ่นได้ ทำให้การปรับขนาดโพรงให้ใหญ่หรือเล็กก็สามารถทำได้ง่ายกว่า รวมถึง MOF ยังเป็นโครงสร้างที่เกิดจากการประกอบคาร์บอนเข้ากับโลหะชนิดต่างๆ ซึ่งยังมีรูปแบบการใช้โลหะอีกมากเพื่อนำมาสร้างพันธะกับคาร์บอนจนเกิดเป็นโครงสร้างที่ต้องการ แต่ซีโอไลต์นั้นเกิดขึ้นจากซิลิคอนไดออกไซด์เท่านั้น

 

โครงสร้าง MOF มีความยืดหยุ่น สามารถสร้างให้มีโครงสร้างที่อ่อนนุ่มได้

ภาพ: nobelprize.org

 

โอมาร์ ยากิ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีความตั้งใจในการออกแบบโครงสร้าง MOF เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ โดยเขาเป็นผู้ที่บัญญัติคำว่า Metal-organic frameworks ที่ย่อได้ว่าเป็น MOF รวมถึงเขายังเป็นผู้พัฒนา MOF ที่สามารถใช้ในการดักจับน้ำจากอากาศได้จริงราวกับเวทมนตร์

 

ยากิ ได้พัฒนา MOF-5 ขึ้นมา ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีความเสถียรสูงมาก สามารถทนความร้อนได้สูงกว่า 300°C โดยไม่ยุบตัว และด้วยปริมาณเล็กน้อยไม่กี่กรัมของมันกลับมีความยืดหยุ่นมากเสียจนมีพื้นที่ว่างภายในใหญ่พอจะเก็บสนามฟุตบอลไว้ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาพัฒนา MOF ที่มีความสามารถในการดูดซับแก๊สได้ดีกว่าซีโอไลต์แล้ว และนั่นเป็นรากฐานสำคัญทำให้นักวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมามีการพัฒนา MOF ที่มีความเสถียรเพิ่มมากขึ้นจนปัจจุบันมี MOF อยู่มากมายกว่า 100,000 ชนิด

 

ลักษณะของ MOF-5 ที่ออกแบบโดย โอมาร์ ยากิ สามารถขยายโพรงด้านในโครงสร้างให้มีขนาดใหญ่มากได้

ภาพ: nobelprize.org

 

ความสามารถพิเศษในการดักจับสารต่างๆ ของ MOF นั้น อาจใช้ในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์มลพิษร้ายทำลายโลกก็ได้ ดักจับไฮโดรเจนที่เป็นพลังงานสะอาดแห่งอนาคตก็ได้ ดักจับน้ำจืดที่กำลังน้อยลงทุกวันเพื่อให้มนุษย์มีความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำมากขึ้นได้ หรือสามารถประยุกต์ใช้ได้กับอีกหลากหลายสถานการณ์ตามที่นักวิทยาศาสตร์จะจินตนาการออก

 

MOF จึงไม่ใช่แค่โมเลกุลที่มีโครงสร้างน่าสนใจเท่านั้น แต่ถ้าหลายคนจะมองว่ามันเป็น ‘วัสดุแห่งอนาคต’ ก็คงจะไม่แปลก เพราะยังมีพื้นที่อีกมากให้นักวิจัยศึกษาและออกแบบโครงสร้างที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์ได้ อีกไม่นานเราคงได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างขึ้นจาก MOF มากขึ้น และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้ผลงานดังกล่าวได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี 2025 ในที่สุด

The post โครงข่ายโลหะอินทรีย์ (MOF) วัสดุแห่งอนาคต เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ กับการค้นพบกลไกสำคัญที่ภูมิคุ้มกันไม่ทำร้ายร่างกายตนเอง https://thestandard.co/nobel-prize-medicine-immune-tolerance/ Thu, 09 Oct 2025 08:22:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1128588 โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์

หลายครั้งที่อาการป่วยของเราสามารถหายได้เอง เพราะร่างกาย […]

The post โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ กับการค้นพบกลไกสำคัญที่ภูมิคุ้มกันไม่ทำร้ายร่างกายตนเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์

หลายครั้งที่อาการป่วยของเราสามารถหายได้เอง เพราะร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือจะมีหน้าตาแบบไหนก็ตาม ระบบภูมิคุ้มกันของเราก็สามารถกำจัดเชื้อโรคเหล่านั้นได้ แต่สงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมภูมิคุ้มกันโจมตีเฉพาะเชื้อโรค แต่กลับไม่โจมตีเซลล์ร่างกายของเรา

 

รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ในปี 2025 มอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ 3 คนที่ค้นพบคำตอบว่าร่างกายของพวกเรามีกลไกการตรวจสอบการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย (Peripheral Immune Tolerance) โดยผู้ที่ได้รับรางวัล ได้แก่ แมรี่ บรุนโคว์, เฟร็ด แรมส์เดลล์, และชิมง ซากางุจิ

 

เดิมทีนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า กลไกสำคัญในร่างกายที่เรียกว่า ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง (Central Immune Tolerance) เป็นกระบวนการหลักอย่างเดียวที่ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีโอกาสโจมตีร่างกายได้ออกไป แต่แล้วการค้นพบกระบวนการความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย (Peripheral Immune Tolerance) จากผลงานของนักวิจัยทั้ง 3 ท่านที่ได้รับรางวัลโนเบล มันก็ได้ช่วยเติมเต็มช่องโหว่ของความรู้เรื่องระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงยังเปิดประตูบานใหม่ให้การศึกษาวิธีการรักษาโรค เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune disease) จากกระบวนการนี้

 

Screenshot

การทำงานของ regulatory T-cell ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของกระบวนการความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย

ภาพ: nobelprize.org

รู้จักกับ T-cell

 

เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรคหรือเซลล์ผิดปกติอย่างจำเพาะเจาะจง โดยลักษณะของ T cell ทุกชนิดจะมีโปรตีนพิเศษที่เรียกว่า T-cell receptors อยู่บนผิวเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนเซนเซอร์ เมื่อ T-cell ตรวจตราว่าร่างกายกำลังถูกโจมตีหรือไม่ วิธีการคือมันจะใช้ตรวจเซลล์ที่พวกมันพบไปเรื่อยๆ ตรวจเจอโปรตีนบนผิวเซลล์ที่มีความจำเพาะกับ T-cell receptors ของมันได้พอดีเหมือนกับต่อจิ๊กซอว์ ก็จะเข้าสู่กระบวนการกำจัดเชื้อโรคหรือเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านั้นไปอย่างจำเพาะเจาะจง

 

ทางทฤษฎีแล้ว T-cell อาจจะมี T-cell receptors อยู่บนผิวเซลล์ละ 10^15 แบบ หรือประมาณหนึ่งพันล้านล้านแบบ ทำให้มั่นใจได้ว่ามีโอกาสสูงที่ T-cell receptors บางแบบจะสามารถตรวจเจอเชื้อร้าย รวมถึงไวรัสได้ แต่การที่โปรตีนบนผิวมีจำนวนมากหลากหลายรูปแบบ จึงเป็นไปได้เช่นกันที่ T-cell receptors บางแบบจะสามารถจับกับเซลล์ปกติในร่างกาย แล้วเกิดการอักเสบจากการโจมตีที่ผิดพลาดได้

 

Screenshot

ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง กลไกที่เกิดขึ้นในอวัยวะสร้างเม็ดเลือดขาวส่วนกลาง

ภาพ: nobelprize.org

 

ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง จึงเป็นกระบวนการสำคัญที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอวัยวะสร้างเม็ดเลือดขาวส่วนกลาง เช่น T-cell ที่ถูกสร้างขึ้นในต่อมไทมัส จะพบเจอกับเซลล์ชนิดพิเศษในต่อมไทมัสที่ผิวของมันมีโปรตีนลักษณะเดียวกันกับโปรตีนที่พบในเซลล์ปกติของร่างกาย ถ้าหาก T-cell ตัวไหนจับกับมันได้ แปลว่ามีโอกาสจะทำการโจมตีเซลล์ร่างกายได้ T-cell ที่จับกับมันได้จึงถูกกำจัดตั้งแต่ยังอยู่ในอวัยวะสร้างเม็ดเลือดขาว เพื่อไม่ให้มีเม็ดเลือดขาวชนิดไหนก็ตามออกไปสู่ทางเดินโลหิตในร่างกาย ถ้ายังไม่ปลอดภัยมากพอ

 

หน้าที่พิเศษของ T-cell ชนิดใหม่

ชิมง ซากางุจิ ไม่คิดว่ากลไกป้องกันภาวะแพ้ภูมิตัวเองมาจากกระบวนการความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลางเพียงอย่างเดียว แต่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจมีความซับซ้อนมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากในยุคนั้นคิด

 

ซากางุจิทำการทดลองผ่าตัดเอาต่อมไทมัสออกจากหนูแรกเกิดออก โดยมีสมมติฐานว่าระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายน่าจะอ่อนแอลง เพราะไม่มีอวัยวะที่สร้างเม็ดเลือดขาวชนิด T-cell แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เมื่อสามวันหลังจากหนูแรกเกิดถูกตัดต่อมไทมัส ร่างกายกลับป่วยลงจากสาเหตุเพราะระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักเกินกว่าปกติจนเกิดเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองหลายชนิด ซึ่งเมื่อซากางุจิแยก T-cell ออกจากหนูที่มีพันธุกรรมเหมือนกันและยังมีต่อมไทมัสอยู่ แล้วนำไปฉีดให้หนูที่ถูกตัดต่อมไทมัสตั้งแต่แรกเกิด ผลปรากฏว่าหนูที่ได้รับ T-cell มีสุขภาพที่ดีไม่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง

 

 

Screenshot

การทดลองของ ชิมง ซากางุจิ ที่ทดลองฉีด T-cell ให้กับหนูที่ผ่าตัดต่อมไทมัสออก แล้วหนูไม่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง

ภาพ: nobelprize.org

 

เนื่องจากหนูตัวที่ไม่มีต่อมไทมัส สามารถต่อต้านโรคแพ้ภูมิตัวเองในร่างกายตัวเองได้เพียงแค่ได้รับ T-cell จากหนูตัวอื่น แสดงว่าระบบภูมิคุ้มกันมีกลไกป้องกันโรคดังกล่าวนอกเหนือจากความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง ในต่อมไทมัสด้วยแน่นอน และกุญแจสำคัญคือ T-cell ชนิดพิเศษ

 

ซากางุจิเสนอในวารสาร The Journal of Immunology ว่า โดยปกติแล้ว T-cell ถูกจำแนกออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ helper T-cell ที่มีโปรตีน CD4 เป็นตัวรับร่วมอยู่บนผิวเซลล์ และ killer T-cell ที่มีโปรตีน CD8 เป็นตัวรับร่วมอยู่บนผิวเซลล์ แต่ซากางุจิพบว่ามี T-cell ชนิดใหม่ที่เขาเรียกว่า regulatory T-cell (Treg) บนผิวประกอบไปด้วยโปรตีน CD4 และยังมี CD25 ร่วมด้วย

 

แต่นักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนยังคงสงสัยถึงการมีอยู่ของ regulatory T-cell จนกระทั่งทั่วโลกพบหลักฐานเพิ่มเติมจากนักวิทยาศาสตร์อีกสองคน คือ แมรี บรุนโคว์ และเฟร็ด แรมส์เดลล์

 

ยืนยันการมีอยู่ของความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย

 

บรุนโคว์และแรมส์เดลล์ทำการศึกษาในหนูสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับกัมมันตรังสีทำให้หนูตัวผู้บางตัวป่วย โดยเกิดมาพร้อมผิวหนังที่เป็นเกล็ดและมีขุย มีม้ามและต่อมน้ำเหลืองที่โต และอายุสั้น ซึ่งหนูสายพันธุ์นี้มีการระบุว่าเกิดการกลายพันธุ์บนโครโมโซม X เพราะหนูตัวผู้ครึ่งหนึ่งป่วยเป็นโรคดังกล่าว ส่วนหนูตัวเมียสามารถอยู่กับการกลายพันธุ์นี้ได้เพราะร่างกายมีโครโมโซม X สองอัน โดยบรุนโคว์และแรมส์เดลล์พยายามค้นหายีนกลายพันธุ์ที่มีผลกับการเกิดโรคดังกล่าว

 

ในวารสาร Nature Genetics บรุนโคว์และแรมส์เดลล์เผยว่าโรคแพ้ภูมิตัวเองในหนูที่กำลังศึกษาเชื่อมโยงกับโรคแพ้ภูมิตัวเองชนิดหนึ่งในมนุษย์ที่เกิดจากการกลายพันธุ์บนโครโมโซม X เช่นกัน และเมื่อค้นหาจากฐานข้อมูลก็พบว่ายีนที่ส่งผลให้เกิดโรคดังกล่าวมีชื่อว่ายีน foxp3

 

Screenshot

ตำแหน่งการกลายพันธุ์ที่ยีน foxp3 มีผลให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเอง

ภาพ: nobelprize.org

 

ต่อมา ซากางุจิและนักวิจัยคนอื่นๆ ก็สามารถพิสูจน์ได้ตรงกันว่ายีน foxp3 ควบคุมการพัฒนาของ regulatory T-cell ซึ่งหน้าที่ของ T-cell ชนิดนี้คือการควบคุมและป้องกันไม่ให้ T-cell ชนิดอื่นโจมตีเนื้อเยื่อของร่างกายผิดพลาด รวมถึงยังช่วยลดอาการอักเสบของเซลล์ร่างกายที่เกิดจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย กลไกที่ไม่ได้เกิดภายในอวัยวะส่วนกลางที่สร้างเม็ดเลือดขาวนี้จึงถูกตั้งชื่อใหม่ว่า ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย

 

ความสำคัญของความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย

 

ปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับ ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย ถูกประยุกต์ใช้ในการพัฒนาวิธีรักษาโรครูปแบบใหม่ๆ เช่น นักวิจัยพยายามส่งเสริมการสร้าง regulatory T-cell ในร่างกายผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองให้มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นที่โจมตีร่างกาย รวมถึงมีการกระตุ้นการสร้าง regulatory T-cell สำหรับผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ เพื่อลดภาวะร่างกายปฏิเสธอวัยวะด้วย

 

ที่สำคัญ ความรู้ดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำความรู้จักโรคมะเร็งให้มากขึ้นด้วย เพราะเซลล์มะเร็งก็มีกลไกยับยั้งภูมิคุ้มกันไม่ให้กำจัดมันออกไปจากการสร้างสารเคมีที่ระดมพล regulatory T-cell มาล้อมรอบมันได้ จึงเป็นที่มาให้เกิดการวิจัยวิธีการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ที่เน้นการยับยั้งการทำงานของ regulatory T-cell รอบเซลล์มะเร็งเป็นหลัก

 

การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 คนจึงเปิดประตูบานใหม่ให้เราทำความเข้าใจกลไกการจัดการเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพอย่างระบบภูมิคุ้มกันมากขึ้น ทำให้หนทางในการรักษาโรคร้ายต่างๆ ดูมีโอกาสสูงขึ้นด้วย

The post โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ กับการค้นพบกลไกสำคัญที่ภูมิคุ้มกันไม่ทำร้ายร่างกายตนเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>