Science – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 07 Nov 2025 07:44:56 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน https://thestandard.co/space-junk-delays-china-return/ Fri, 07 Nov 2025 07:44:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1140674 จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน

นักบินอวกาศจีนที่ทำงานอยู่บนอวกาศนาน 6 เดือน ได้เลื่อนแ […]

The post จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน

นักบินอวกาศจีนที่ทำงานอยู่บนอวกาศนาน 6 เดือน ได้เลื่อนแผนการเดินทางกลับโลกออกไป หลังพบว่ายานอวกาศพวกเขา อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน

 

ลูกเรือ 3 คนของภารกิจ Shenzhou-20 ที่ขึ้นไปปฏิบัติงานบนสถานีอวกาศเทียนกง ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2025 ต้องเลื่อนการเดินทางกลับโลกออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังจากมีรายงานว่ายานอวกาศ อาจถูกขยะอวกาศขนาดเล็กพุ่งชน จากรายงานของสำนักงานโครงการอวกาศของมนุษย์แห่งชาติจีน หรือ CMSEO

 

CMSEO ชี้แจงเพิ่มเติมในแถลงการณ์ว่า “เพื่อรับรองความปลอดภัยของนักบินอวกาศ และความสำเร็จของภารกิจในองค์รวม จึงได้มีการตัดสินใจเลื่อนการเดินทางกลับโลกของ Shenzhou-20 จากเดิมในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ออกไปก่อน”

 

ในการนี้ CMSEO ไม่ได้ระบุถึงตำแหน่งต้องสงสัยว่าถูกขยะอวกาศพุ่งชน หรือมีความเสียหายมากน้อยเพียงใด แต่กล่าวเพียงว่ากำลังมีการวิเคราะห์ความเสียหาย และประเมินความเสี่ยงในด้านต่างๆ อยู่ ณ ตอนนี้

 

ลูกเรือทั้งสามคน ได้แก่ Chen Dong, Chen Zhongrui และ Wang Jie จะยังประจำการอยู่บนสถานีอวกาศเทียนกงต่อไปก่อน ในระหว่างมีการตรวจสอบความเสียหายจากขยะอวกาศ ว่ามีผลกระทบต่อระบบที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของนักบินอวกาศ อาทิ แผ่นกันความร้อน และระบบร่มชูชีพ เป็นต้น

 

สำหรับ CMSEO มีการเตรียมยานอวกาศ Shenzhou และจรวด Long March 2F ในสถานะเตรียมความพร้อมไว้ ณ ฐานปล่อย และพร้อมส่งขึ้นบินได้ในเวลาไม่เกิน 9 วัน โดยหากยานอวกาศของภารกิจ Shenzhou-20 ไม่สามารถใช้โดยสารกลับโลกได้จริง นักบินอวกาศอาจโดยสารยานของภารกิจ Shenzhou-21 กลับโลก หลังจากที่จีนได้ส่งยานลำใหม่ขึ้นไปทดแทน

 

ข้อมูลจากสำนักงานขยะอวกาศ องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ระบุว่าในปี 2024 มีขยะอวกาศขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร รวมมากกว่า 1,200,000 ชิ้น ที่กำลังโคจรรอบโลกด้วยความเร็วสูง ซึ่งหากมีการพุ่งชนเข้ากับโครงสร้างของยานอวกาศ อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบที่จำเป็นต่อการดำรงชีพได้

 

สถานีอวกาศเทียนกง เป็นสถานีอวกาศแห่งที่สามของประเทศจีน ประกอบด้วยโมดูลต่างๆ สำหรับการปฏิบัติภารกิจวิจัย และอยู่อาศัยของนักบินอวกาศจีน โดยปกติจะรองรับลูกเรือจำนวน 3 คน ในภารกิจระยะเวลา 6 เดือน แต่ ณ ตอนนี้ สถานีอวกาศเทียนกงจะมีลูกเรืออาศัยรวม 6 คนไปก่อน จนกว่าจะหาทางออกสำหรับ Shenzhou-20 ได้สำเร็จเรียบร้อย

 

ภาพ: CMSEO

 

อ้างอิง:

The post จีนเลื่อนพานักบินอวกาศกลับโลก หลังยานอวกาศ Shenzhou-20 อาจถูกขยะอวกาศพุ่งชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปรากฏการณ์ควอนตัมระดับมหภาค กับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 https://thestandard.co/nobel-physics-2025-quantum-macroscopic/ Mon, 13 Oct 2025 07:40:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1129863 รางวัลโนเบลฟิสิกส์

เมื่อพูดถึงปรากฏการณ์เชิงควอนตัม เรามักจะพบว่ามันเกิดขึ […]

The post ปรากฏการณ์ควอนตัมระดับมหภาค กับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รางวัลโนเบลฟิสิกส์

เมื่อพูดถึงปรากฏการณ์เชิงควอนตัม เรามักจะพบว่ามันเกิดขึ้นในแวดล้อมที่เล็กๆ และเย็นๆ มีปรากฏการณ์มากมายที่แตกต่างจากสิ่งที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน

 

รางวัลโนเบลฟิสิกส์

นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 ได้แก่ จอห์น คลาร์ก มิเชล เดอโวเรต์ และจอห์น มาร์ตินิส

ภาพ: nobelprize.org

 

ตัวอย่างที่หลายคนเคยได้ยินเช่น แมวของชเรอดิงเงอร์ ที่อยู่ในกล่องผสมสารพิษที่เรามองด้านในไม่เห็น เมื่ออธิบายด้วยฟิสิกส์ควอนตัม สถานะของแมวตัวนั้นมันทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกัน หรือที่เราเรียกว่าการซ้อนทับสถานะ (Superposition)

 

มีอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ถือว่าเป็นแกนหลักของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 นั่นคือปรากฏการณ์การลอดอุโมงค์เชิงควอนตัม (Quantum Tunneling) ที่อนุภาคควอนตัมขนาดเล็กๆ มีความสามารถในการทะลุผ่านกำแพงได้ แม้ว่ามันจะมีพลังงานไม่มากพอจะปีนข้ามกำแพงนั้น แตกต่างจากวัตถุขนาดใหญ่และประกอบขึ้นจากอะตอมจำนวนมากๆ อย่างเช่น ลูกบอล ที่เราจะปาอัดกำแพงสักกี่ครั้งมันก็จะเด้งกลับมาหาเราอยู่เสมอ ทำให้โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักไม่เห็นปรากฏการณ์การลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมแบบนี้กับวัตถุที่มีขนาดใหญ่พอที่เราจะสังเกตได้ จนกระทั่งทั่วโลกได้เห็นการทดลองของนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีนี้

 

ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2025 ได้แก่นักวิทยาศาสตร์ 3 คน คือ จอห์น คลาร์ก (John Clarke) มิเชล เดอโวเรต์ (Michel Devoret) และจอห์น มาร์ตินิส (John Martinis) ซึ่งได้รับรางวัลจากผลงานการค้นพบปรากฏการณ์การลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมระดับมหภาค และการควอนไทซ์ของพลังงานในวงจรไฟฟ้า

 

นักฟิสิกส์เจอปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร?

 

ในปี 1984 และ 1985 นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามได้ทดลองสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาชุดหนึ่งจากตัวนำยิ่งยวด (Superconductors) หมายถึงเป็นวัสดุที่สามารถนำไฟฟ้าได้โดยไม่มีความต้านทานไฟฟ้าเลย ซึ่งภายในตัวนำยิ่งยวด อิเล็กตรอนจะมีพฤติกรรมการจับคู่กับอิเล็กตรอนตัวอื่นที่มีคุณสมบัติเข้าคู่กับมันได้ (มีโมเมนตัมและค่าสปินตรงข้ามกัน) เรียกกันว่าเป็นอนุภาคคู่คูเปอร์ (Cooper pair)

 

เมื่อตัวนำยิ่งยวดสองชิ้นวางต่อกันโดยมีฉนวนบางๆ กั้นอยู่ตรงกลาง จะเรียกรอยต่อระหว่างตัวนำยิ่งยวดสองชิ้นที่มีฉนวนกั้นอยู่นี้ว่า รอยต่อโจเซฟสัน (Josephson junction) โดยฉนวนทำหน้าที่เป็นกำแพงศักย์ไฟฟ้ากั้นไว้ไม่ให้อนุภาคที่อยู่ภายในตัวนำยิ่งยวดข้ามผ่านรอยต่อโจเซฟสันไปได้ถ้าไม่มีแรงดันไฟฟ้า ซึ่งตัวนำยิ่งยวดที่ไม่มีความต้านทานไฟฟ้าเลย ตามสมการทางคณิตศาสตร์แล้วจะไม่มีแรงดันไฟฟ้าอยู่ด้วยเช่นกัน อนุภาคที่อยู่ภายในตัวนำยิ่งยวดจึงถูกขังอยู่และไม่สามารถทะลุผ่านกำแพงออกมาได้ หรือถ้าหากทะลุได้ด้วยปรากฏการณ์ลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมก็จะเกิดขึ้นไม่มาก มีโอกาสเพียงน้อยนิดที่อนุภาคทั้งหมดจะสามารถทะลุผ่านกำแพงได้ กระแสไฟฟ้าจึงไม่เกิดการไหลครบวงจร

 

ภาพจำลองการประพฤติตัวเป็นอนุภาคเดี่ยวของอิเล็กตรอนภายในวงจรตัวนำยิ่งยวด

ภาพ: nobelprize.org

 

สิ่งที่น่าสนใจคืออนุภาคคู่คูเปอร์เป็นอนุภาคควอนตัมเชิงซ้อนที่สามารถเกิดพฤติกรรมรวมตัว กลายเป็นเหมือนกับอนุภาคเดี่ยวได้ แต่เป็นอนุภาคเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่พอที่เราจะสังเกตได้ นั่นทำให้อนุภาคเดี่ยวตัวเดียวมีโอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์ลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมขึ้น และเราสามารถตรวจวัดปรากฏการณ์นี้ได้ เพราะเมื่อมีการไหลของกระแสไฟฟ้าข้ามรอยต่อโจเซฟสัน แปลว่ามันเกิดแรงดันไฟฟ้าดันให้อนุภาคเคลื่อนที่ไปในวงจร นักวิทยาศาสตร์เจ้าของการทดลองจึงวัดปริมาณแรงดันที่เกิดขึ้นภายในวงจรนี้ได้

 

การประยุกต์ใช้ ‘อะตอมเทียม’

 

ความเชื่อที่เคยมีกันว่าปรากฏการณ์เชิงควอนตัมเกิดเฉพาะในแวดล้อมที่เล็กมากๆ เท่านั้น หรือที่เรียกว่าระดับจุลภาค (Microscopic) ก็เปลี่ยนไป เพราะพฤติกรรมการรวมตัวเป็นอนุภาคเดี่ยวจนเกิดปรากฏการณ์ลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมที่กล่าวถึงในข้างต้น เกิดขึ้นภายในวงจรขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่พอให้เราสังเกตเห็นได้ จึงเรียกว่าปรากฏการณ์นี้เกิดในระดับมหภาค (Macroscopic) และวงการนักวิจัยควอนตัมเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการสร้าง ‘อะตอมเทียม’ (Artificial Atoms)

 

ในด้านการประยุกต์สำหรับงานวิจัย อะตอมเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมาสามารถใช้เพื่อศึกษาสสารต่างๆ รวมถึงแสงได้ในภาวะที่ใช้ฟิสิกส์แบบดั้งเดิมอธิบายไม่ได้ รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างระบบที่เกิดปรากฏการณ์เชิงควอนตัมได้ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อสำรวจธรรมชาติของควอนตัมให้ละเอียดมากยิ่งขี้น

 

นอกจากนี้ ผลงานที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีนี้ยังถูกประยุกต์ใช้ในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ได้ด้วย เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัม เพราะวงจรตัวนำยิ่งยวดสามารถใช้พัฒนาคิวบิต (qubits) ที่เป็นหน่วยประมวลผลพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้

 

ช่วงแรกของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอดีต เคยมีอีกเทคนิคสำหรับการพัฒนาคิวบิตที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจมาก นั่นคือ เทคนิคการดักจับไอออน (Trapped Ions) ซึ่งมีความเสถียรกว่ามากเมื่อเทียบกับวงจรตัวนำยิ่งยวด เพราะวงจรตัวนำยิ่งยวดมีความไวต่อสัญญาณรบกวนภายนอก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาวงจรตัวนำยิ่งยวดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจนสามารถออกแบบคิวบิตจากเทคนิคนี้ที่มีความไวต่อสัญญาณรบกวนน้อยลงได้

 

คอมพิวเตอร์ควอนตัม Sycamore จาก Google ที่สามารถเอาชนะคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่เร็วที่สุดในเวลานั้นได้

ภาพ: Google Research

 

อีกข้อดีที่วงจรตัวนำยิ่งยวดมีนั่นคือความสามารถในการปรับขนาดได้ เนื่องจากวงจรนี้เป็นของแข็งที่สามารถสร้างไว้บนชิปได้ง่าย ทำให้การเพิ่มจำนวนคิวบิตสามารถปั๊มและต่อเข้าด้วยกันเพื่อรวมระบบในพื้นที่ขนาดเล็กได้ดี ต่างจากการดักจับไอออนที่การเพิ่มจำนวนไอออนในกับดักเดียวกันจะทำให้ควบคุมยากขึ้น แต่การสร้างกับดักจับไอออนหลายอันก็ทำให้กระบวนการสร้างซับซ้อนขึ้นด้วย ทั้งสองเทคนิคจึงมีข้อดีข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งคู่ยังถือว่าเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับการพัฒนาคิวบิตที่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์อย่างมาก

 

ในปี 2019 หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลในปีนี้อย่าง จอห์น มาร์ตินิส ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย Quantum AI ของ Google ได้สาธิตการใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบวงจรตัวนำยิ่งยวดที่ทีมเขาพัฒนาขึ้นในชื่อว่า Sycamore มันสามารถแก้โจทย์ที่ซับซ้อนมากในเวลาแค่ 200 วินาที เอาชนะคอมพิวเตอร์ทุกตัวที่ Google พัฒนาขึ้นมาได้ในขณะนั้น โดยถ้าเทียบกับการประเมินคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่ทรงพลังที่สุดยังต้องใช้เวลาประมาณ 10,000 ปีในการทำโจทย์เดียวกัน นี่จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่รู้จักกันในชื่อ ‘Quantum Supremacy’ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถเอาชนะคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่ดีที่สุดในโลกได้

 

นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ยังคงพัฒนาเทคนิคทางด้านควอนตัมกันต่อไป ทั้งการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ทรงพลังและเสถียรมากขึ้น หรือการทำความรู้จักกับโลกควอนตัมให้กระจ่างมากกว่าที่เคย ซึ่งไม่ว่านักวิทยาศาสตร์จะกำลังพัฒนาความรู้ด้านควอนตัมในด้านไหน ผลงานการค้นพบปรากฏการณ์การลอดอุโมงค์เชิงควอนตัมระดับมหภาค และการควอนไทซ์ของพลังงานในวงจรไฟฟ้า ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2025 ก็ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้รู้เทคนิคการทำความเข้าใจควอนตัมได้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ภาพ: Vink Fan via Shutterstock

The post ปรากฏการณ์ควอนตัมระดับมหภาค กับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โครงข่ายโลหะอินทรีย์ (MOF) วัสดุแห่งอนาคต เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2025 https://thestandard.co/mof-material-future-nobel-prize/ Sat, 11 Oct 2025 02:44:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1129269 โครงข่ายโลหะอินทรีย์

รางวัลโนเบลสาขาเคมี ประจำปี 2025 มอบให้แก่ผลงานการพัฒนา […]

The post โครงข่ายโลหะอินทรีย์ (MOF) วัสดุแห่งอนาคต เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โครงข่ายโลหะอินทรีย์

รางวัลโนเบลสาขาเคมี ประจำปี 2025 มอบให้แก่ผลงานการพัฒนาโครงข่ายโลหะอินทรีย์ หรือ Metal-organic frameworks (MOFs) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีโครงสร้างพิเศษสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลในปีนี้มี 3 คน ได้แก่ ซุซุมุ คิตากาวะ (Susumu Kitagawa) ริชาร์ด ร็อบสัน (Richard Robson) และโอมาร์ ยากิ (Omar Yaghi)

 

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ทำงานวิจัยแยกกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาทำหน้าที่เป็นสถาปนิกออกแบบโครงสร้างภายในโมเลกุลทางเคมีที่คล้ายผลึกเพชร ที่เป็นคาร์บอนต่อกันจำนวนมาก ต่างกันตรงที่ส่วนประกอบมีโลหะเข้าไปผสมอยู่ตามมุมโครงสร้างด้วย และจุดเด่นของโครงสร้างนี้ไม่ใช่ความแข็งแบบเพชร แต่เป็น ‘ความว่าง’ ของโพรงที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้าง ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในการดักจับสารที่ต้องการได้

 

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้โพรงภายในโครงสร้าง MOF ในการดักจับสารต่างๆ เช่น สารเคมีตลอดกาลอย่าง PFAS ที่สามารถสะสมจนเกิดผลเสียในร่างกายมนุษย์ได้ นักวิทยาศาสตร์สามารถดักจับเพื่อแยก PFAS ที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำได้ หรือการดักจับน้ำกลางทะเลทรายจากในอากาศก็สามารถทำได้จริงแล้วด้วยโครงสร้างนี้เช่นกัน

 

MOF จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองว่าเป็น ‘วัสดุแห่งอนาคต’ ซึ่งจุดเริ่มต้นการค้นพบ และผลักดันให้งานวิจัยโครงสร้างชนิดนี้โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ เกิดจากความพยายามของนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีทั้ง 3 คนในปีนี้ และในบทความนี้จะเล่าถึงสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ทำ

 

MOF เป็นโครงสร้างโมเลกุลทางเคมีที่เชื่อมต่อกันเป็นคริสตัลโดยมีโพรงขนาดใหญ่อยู่ภายในโครงสร้าง

ภาพ: https://www.ossila.com/pages/what-are-metal-organic-frameworks

 

จุดเริ่มต้นของ MOF

 

ริชาร์ด ร็อบสัน เป็นคนแรกที่จุดประกายการทดลองสร้างโมเลกุลที่มีโครงสร้างซับซ้อนนี้ขึ้น โดยเขาให้ความสำคัญกับแนวคิดการออกแบบอย่างมีหลักการ (Rational Design) สามารถสร้างสิ่งใหม่ที่มีคุณค่าขึ้นมาได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ในการสร้างสารเคมีหรือโมเลกุลชนิดใหม่มักเกิดจากการรวมสารเคมีหนึ่ง เข้ากับอีกสารเคมีหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดการรวมตัวกันของโมเลกุลอย่างสุ่ม และอธิบายได้ยาก เขาจึงเริ่มต้นจากการออกแบบ

 

โครงสร้างที่ร็อบสันสร้างขึ้นเกิดจากการใช้คุณสมบัติการมีพันธะได้ 4 แขนของคาร์บอนมารวมกับไอออนของโลหะ โดยครั้งแรกเขาเริ่มจากการผสมทองแดงจนเกิดเป็นโครงสร้างโมเลกุลที่มีโพรงขนาดใหญ่ตรงกลาง ถัดจากนั้นร็อบสันยังคงทดลองสลับชนิดไอออนโลหะเพื่อศึกษาโครงสร้างดังกล่าวอีกหลายครั้ง

 

การเชื่อมต่อโครงสร้างระหว่างคาร์บอนและไอออนของทองแดงเพื่อให้เป็นคริสตัลคล้ายเพชร แต่มีโพรงขนาดใหญ่ด้านใน

ภาพ: nobelprize.org

 

ต่อมาในปี 1992 ซุซุมุ คิตากาวะ เป็นอีกคนที่เสนอโครงสร้างโมเลกุล MOF ขึ้นมา ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีโพรงขนาดใหญ่พอที่จะใส่โมเลกุลอะซิโตนเข้าไปข้างในได้ แต่ทั้งร็อบสัน และคิตากาวะ ยังคงต้องพบเจอกับอุปสรรคเรื่องเดียวกันนั่นคือ MOF มีความเปราะบางมาก แตกต่างจากผลึกซีโอไลต์ (Zeolites) ที่นักวิทยาศาสตร์รู้จักกันอยู่แล้วว่ามันเป็นผลึกของแข็ง ด้านในมีรูพรุน สามารถดูดซับแก๊สต่างๆ ได้ ผู้ออกทุนในตอนนั้นจึงไม่ได้เห็นความสำคัญของการสร้าง MOF สักเท่าไร

 

เป็นคิตากาวะเองที่อธิบายวิสัยทัศน์ผ่าน Bulletin of the Chemical Society of Japan เพื่อเปรียบเทียบให้สังคมเข้าใจว่าข้อดีของ MOF ยังมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะคุณสมบัติของมันที่มีความเป็นไปได้หลากหลายมากกว่า ในขณะที่ซีโอไลต์อยู่ในสถานะของแข็งเท่านั้น แต่ MOF สร้างผลิตขึ้นมาให้มีความยืดหยุ่นได้ ทำให้การปรับขนาดโพรงให้ใหญ่หรือเล็กก็สามารถทำได้ง่ายกว่า รวมถึง MOF ยังเป็นโครงสร้างที่เกิดจากการประกอบคาร์บอนเข้ากับโลหะชนิดต่างๆ ซึ่งยังมีรูปแบบการใช้โลหะอีกมากเพื่อนำมาสร้างพันธะกับคาร์บอนจนเกิดเป็นโครงสร้างที่ต้องการ แต่ซีโอไลต์นั้นเกิดขึ้นจากซิลิคอนไดออกไซด์เท่านั้น

 

โครงสร้าง MOF มีความยืดหยุ่น สามารถสร้างให้มีโครงสร้างที่อ่อนนุ่มได้

ภาพ: nobelprize.org

 

โอมาร์ ยากิ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีความตั้งใจในการออกแบบโครงสร้าง MOF เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ โดยเขาเป็นผู้ที่บัญญัติคำว่า Metal-organic frameworks ที่ย่อได้ว่าเป็น MOF รวมถึงเขายังเป็นผู้พัฒนา MOF ที่สามารถใช้ในการดักจับน้ำจากอากาศได้จริงราวกับเวทมนตร์

 

ยากิ ได้พัฒนา MOF-5 ขึ้นมา ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีความเสถียรสูงมาก สามารถทนความร้อนได้สูงกว่า 300°C โดยไม่ยุบตัว และด้วยปริมาณเล็กน้อยไม่กี่กรัมของมันกลับมีความยืดหยุ่นมากเสียจนมีพื้นที่ว่างภายในใหญ่พอจะเก็บสนามฟุตบอลไว้ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาพัฒนา MOF ที่มีความสามารถในการดูดซับแก๊สได้ดีกว่าซีโอไลต์แล้ว และนั่นเป็นรากฐานสำคัญทำให้นักวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมามีการพัฒนา MOF ที่มีความเสถียรเพิ่มมากขึ้นจนปัจจุบันมี MOF อยู่มากมายกว่า 100,000 ชนิด

 

ลักษณะของ MOF-5 ที่ออกแบบโดย โอมาร์ ยากิ สามารถขยายโพรงด้านในโครงสร้างให้มีขนาดใหญ่มากได้

ภาพ: nobelprize.org

 

ความสามารถพิเศษในการดักจับสารต่างๆ ของ MOF นั้น อาจใช้ในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์มลพิษร้ายทำลายโลกก็ได้ ดักจับไฮโดรเจนที่เป็นพลังงานสะอาดแห่งอนาคตก็ได้ ดักจับน้ำจืดที่กำลังน้อยลงทุกวันเพื่อให้มนุษย์มีความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำมากขึ้นได้ หรือสามารถประยุกต์ใช้ได้กับอีกหลากหลายสถานการณ์ตามที่นักวิทยาศาสตร์จะจินตนาการออก

 

MOF จึงไม่ใช่แค่โมเลกุลที่มีโครงสร้างน่าสนใจเท่านั้น แต่ถ้าหลายคนจะมองว่ามันเป็น ‘วัสดุแห่งอนาคต’ ก็คงจะไม่แปลก เพราะยังมีพื้นที่อีกมากให้นักวิจัยศึกษาและออกแบบโครงสร้างที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์ได้ อีกไม่นานเราคงได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างขึ้นจาก MOF มากขึ้น และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้ผลงานดังกล่าวได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี 2025 ในที่สุด

The post โครงข่ายโลหะอินทรีย์ (MOF) วัสดุแห่งอนาคต เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ กับการค้นพบกลไกสำคัญที่ภูมิคุ้มกันไม่ทำร้ายร่างกายตนเอง https://thestandard.co/nobel-prize-medicine-immune-tolerance/ Thu, 09 Oct 2025 08:22:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1128588 โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์

หลายครั้งที่อาการป่วยของเราสามารถหายได้เอง เพราะร่างกาย […]

The post โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ กับการค้นพบกลไกสำคัญที่ภูมิคุ้มกันไม่ทำร้ายร่างกายตนเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์

หลายครั้งที่อาการป่วยของเราสามารถหายได้เอง เพราะร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่เป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือจะมีหน้าตาแบบไหนก็ตาม ระบบภูมิคุ้มกันของเราก็สามารถกำจัดเชื้อโรคเหล่านั้นได้ แต่สงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมภูมิคุ้มกันโจมตีเฉพาะเชื้อโรค แต่กลับไม่โจมตีเซลล์ร่างกายของเรา

 

รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ในปี 2025 มอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ 3 คนที่ค้นพบคำตอบว่าร่างกายของพวกเรามีกลไกการตรวจสอบการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย (Peripheral Immune Tolerance) โดยผู้ที่ได้รับรางวัล ได้แก่ แมรี่ บรุนโคว์, เฟร็ด แรมส์เดลล์, และชิมง ซากางุจิ

 

เดิมทีนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า กลไกสำคัญในร่างกายที่เรียกว่า ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง (Central Immune Tolerance) เป็นกระบวนการหลักอย่างเดียวที่ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีโอกาสโจมตีร่างกายได้ออกไป แต่แล้วการค้นพบกระบวนการความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย (Peripheral Immune Tolerance) จากผลงานของนักวิจัยทั้ง 3 ท่านที่ได้รับรางวัลโนเบล มันก็ได้ช่วยเติมเต็มช่องโหว่ของความรู้เรื่องระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงยังเปิดประตูบานใหม่ให้การศึกษาวิธีการรักษาโรค เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune disease) จากกระบวนการนี้

 

Screenshot

การทำงานของ regulatory T-cell ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของกระบวนการความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย

ภาพ: nobelprize.org

รู้จักกับ T-cell

 

เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรคหรือเซลล์ผิดปกติอย่างจำเพาะเจาะจง โดยลักษณะของ T cell ทุกชนิดจะมีโปรตีนพิเศษที่เรียกว่า T-cell receptors อยู่บนผิวเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนเซนเซอร์ เมื่อ T-cell ตรวจตราว่าร่างกายกำลังถูกโจมตีหรือไม่ วิธีการคือมันจะใช้ตรวจเซลล์ที่พวกมันพบไปเรื่อยๆ ตรวจเจอโปรตีนบนผิวเซลล์ที่มีความจำเพาะกับ T-cell receptors ของมันได้พอดีเหมือนกับต่อจิ๊กซอว์ ก็จะเข้าสู่กระบวนการกำจัดเชื้อโรคหรือเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านั้นไปอย่างจำเพาะเจาะจง

 

ทางทฤษฎีแล้ว T-cell อาจจะมี T-cell receptors อยู่บนผิวเซลล์ละ 10^15 แบบ หรือประมาณหนึ่งพันล้านล้านแบบ ทำให้มั่นใจได้ว่ามีโอกาสสูงที่ T-cell receptors บางแบบจะสามารถตรวจเจอเชื้อร้าย รวมถึงไวรัสได้ แต่การที่โปรตีนบนผิวมีจำนวนมากหลากหลายรูปแบบ จึงเป็นไปได้เช่นกันที่ T-cell receptors บางแบบจะสามารถจับกับเซลล์ปกติในร่างกาย แล้วเกิดการอักเสบจากการโจมตีที่ผิดพลาดได้

 

Screenshot

ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง กลไกที่เกิดขึ้นในอวัยวะสร้างเม็ดเลือดขาวส่วนกลาง

ภาพ: nobelprize.org

 

ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง จึงเป็นกระบวนการสำคัญที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอวัยวะสร้างเม็ดเลือดขาวส่วนกลาง เช่น T-cell ที่ถูกสร้างขึ้นในต่อมไทมัส จะพบเจอกับเซลล์ชนิดพิเศษในต่อมไทมัสที่ผิวของมันมีโปรตีนลักษณะเดียวกันกับโปรตีนที่พบในเซลล์ปกติของร่างกาย ถ้าหาก T-cell ตัวไหนจับกับมันได้ แปลว่ามีโอกาสจะทำการโจมตีเซลล์ร่างกายได้ T-cell ที่จับกับมันได้จึงถูกกำจัดตั้งแต่ยังอยู่ในอวัยวะสร้างเม็ดเลือดขาว เพื่อไม่ให้มีเม็ดเลือดขาวชนิดไหนก็ตามออกไปสู่ทางเดินโลหิตในร่างกาย ถ้ายังไม่ปลอดภัยมากพอ

 

หน้าที่พิเศษของ T-cell ชนิดใหม่

ชิมง ซากางุจิ ไม่คิดว่ากลไกป้องกันภาวะแพ้ภูมิตัวเองมาจากกระบวนการความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลางเพียงอย่างเดียว แต่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจมีความซับซ้อนมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากในยุคนั้นคิด

 

ซากางุจิทำการทดลองผ่าตัดเอาต่อมไทมัสออกจากหนูแรกเกิดออก โดยมีสมมติฐานว่าระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายน่าจะอ่อนแอลง เพราะไม่มีอวัยวะที่สร้างเม็ดเลือดขาวชนิด T-cell แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เมื่อสามวันหลังจากหนูแรกเกิดถูกตัดต่อมไทมัส ร่างกายกลับป่วยลงจากสาเหตุเพราะระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักเกินกว่าปกติจนเกิดเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองหลายชนิด ซึ่งเมื่อซากางุจิแยก T-cell ออกจากหนูที่มีพันธุกรรมเหมือนกันและยังมีต่อมไทมัสอยู่ แล้วนำไปฉีดให้หนูที่ถูกตัดต่อมไทมัสตั้งแต่แรกเกิด ผลปรากฏว่าหนูที่ได้รับ T-cell มีสุขภาพที่ดีไม่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง

 

 

Screenshot

การทดลองของ ชิมง ซากางุจิ ที่ทดลองฉีด T-cell ให้กับหนูที่ผ่าตัดต่อมไทมัสออก แล้วหนูไม่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง

ภาพ: nobelprize.org

 

เนื่องจากหนูตัวที่ไม่มีต่อมไทมัส สามารถต่อต้านโรคแพ้ภูมิตัวเองในร่างกายตัวเองได้เพียงแค่ได้รับ T-cell จากหนูตัวอื่น แสดงว่าระบบภูมิคุ้มกันมีกลไกป้องกันโรคดังกล่าวนอกเหนือจากความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนกลาง ในต่อมไทมัสด้วยแน่นอน และกุญแจสำคัญคือ T-cell ชนิดพิเศษ

 

ซากางุจิเสนอในวารสาร The Journal of Immunology ว่า โดยปกติแล้ว T-cell ถูกจำแนกออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ helper T-cell ที่มีโปรตีน CD4 เป็นตัวรับร่วมอยู่บนผิวเซลล์ และ killer T-cell ที่มีโปรตีน CD8 เป็นตัวรับร่วมอยู่บนผิวเซลล์ แต่ซากางุจิพบว่ามี T-cell ชนิดใหม่ที่เขาเรียกว่า regulatory T-cell (Treg) บนผิวประกอบไปด้วยโปรตีน CD4 และยังมี CD25 ร่วมด้วย

 

แต่นักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนยังคงสงสัยถึงการมีอยู่ของ regulatory T-cell จนกระทั่งทั่วโลกพบหลักฐานเพิ่มเติมจากนักวิทยาศาสตร์อีกสองคน คือ แมรี บรุนโคว์ และเฟร็ด แรมส์เดลล์

 

ยืนยันการมีอยู่ของความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย

 

บรุนโคว์และแรมส์เดลล์ทำการศึกษาในหนูสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับกัมมันตรังสีทำให้หนูตัวผู้บางตัวป่วย โดยเกิดมาพร้อมผิวหนังที่เป็นเกล็ดและมีขุย มีม้ามและต่อมน้ำเหลืองที่โต และอายุสั้น ซึ่งหนูสายพันธุ์นี้มีการระบุว่าเกิดการกลายพันธุ์บนโครโมโซม X เพราะหนูตัวผู้ครึ่งหนึ่งป่วยเป็นโรคดังกล่าว ส่วนหนูตัวเมียสามารถอยู่กับการกลายพันธุ์นี้ได้เพราะร่างกายมีโครโมโซม X สองอัน โดยบรุนโคว์และแรมส์เดลล์พยายามค้นหายีนกลายพันธุ์ที่มีผลกับการเกิดโรคดังกล่าว

 

ในวารสาร Nature Genetics บรุนโคว์และแรมส์เดลล์เผยว่าโรคแพ้ภูมิตัวเองในหนูที่กำลังศึกษาเชื่อมโยงกับโรคแพ้ภูมิตัวเองชนิดหนึ่งในมนุษย์ที่เกิดจากการกลายพันธุ์บนโครโมโซม X เช่นกัน และเมื่อค้นหาจากฐานข้อมูลก็พบว่ายีนที่ส่งผลให้เกิดโรคดังกล่าวมีชื่อว่ายีน foxp3

 

Screenshot

ตำแหน่งการกลายพันธุ์ที่ยีน foxp3 มีผลให้เกิดโรคแพ้ภูมิตัวเอง

ภาพ: nobelprize.org

 

ต่อมา ซากางุจิและนักวิจัยคนอื่นๆ ก็สามารถพิสูจน์ได้ตรงกันว่ายีน foxp3 ควบคุมการพัฒนาของ regulatory T-cell ซึ่งหน้าที่ของ T-cell ชนิดนี้คือการควบคุมและป้องกันไม่ให้ T-cell ชนิดอื่นโจมตีเนื้อเยื่อของร่างกายผิดพลาด รวมถึงยังช่วยลดอาการอักเสบของเซลล์ร่างกายที่เกิดจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย กลไกที่ไม่ได้เกิดภายในอวัยวะส่วนกลางที่สร้างเม็ดเลือดขาวนี้จึงถูกตั้งชื่อใหม่ว่า ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย

 

ความสำคัญของความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย

 

ปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับ ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย ถูกประยุกต์ใช้ในการพัฒนาวิธีรักษาโรครูปแบบใหม่ๆ เช่น นักวิจัยพยายามส่งเสริมการสร้าง regulatory T-cell ในร่างกายผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองให้มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นที่โจมตีร่างกาย รวมถึงมีการกระตุ้นการสร้าง regulatory T-cell สำหรับผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ เพื่อลดภาวะร่างกายปฏิเสธอวัยวะด้วย

 

ที่สำคัญ ความรู้ดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำความรู้จักโรคมะเร็งให้มากขึ้นด้วย เพราะเซลล์มะเร็งก็มีกลไกยับยั้งภูมิคุ้มกันไม่ให้กำจัดมันออกไปจากการสร้างสารเคมีที่ระดมพล regulatory T-cell มาล้อมรอบมันได้ จึงเป็นที่มาให้เกิดการวิจัยวิธีการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ที่เน้นการยับยั้งการทำงานของ regulatory T-cell รอบเซลล์มะเร็งเป็นหลัก

 

การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 คนจึงเปิดประตูบานใหม่ให้เราทำความเข้าใจกลไกการจัดการเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพอย่างระบบภูมิคุ้มกันมากขึ้น ทำให้หนทางในการรักษาโรคร้ายต่างๆ ดูมีโอกาสสูงขึ้นด้วย

The post โนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ กับการค้นพบกลไกสำคัญที่ภูมิคุ้มกันไม่ทำร้ายร่างกายตนเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดภาพศูนย์ควบคุมภารกิจ ‘ฮูสตัน’ ที่ NASA ใช้เตรียมความพร้อมส่งนักบินอวกาศกลับไปดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบ 53 ปี https://thestandard.co/nasa-artemis-2-mission-control-training/ Thu, 25 Sep 2025 09:25:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1122825

THE STANDARD ได้รับอนุญาตให้เข้าเก็บภาพบรรยากาศการทำงาน […]

The post เปิดภาพศูนย์ควบคุมภารกิจ ‘ฮูสตัน’ ที่ NASA ใช้เตรียมความพร้อมส่งนักบินอวกาศกลับไปดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบ 53 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

THE STANDARD ได้รับอนุญาตให้เข้าเก็บภาพบรรยากาศการทำงานของเจ้าหน้าที่ NASA ในศูนย์ควบคุมภารกิจ ระหว่างการฝึกซ้อมขั้นตอนต่างๆ สำหรับภารกิจอาร์ทีมิส 2 ที่มีกำหนดออกเดินทางไปบินผ่านดวงจันทร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2026

 

‘ฮูสตัน’ หรือชื่อเต็มว่า ศูนย์ควบคุมภารกิจ Christopher C. Kraft Jr. เป็นอาคารปฏิบัติการในศูนย์อวกาศจอห์นสันของ NASA ที่รับผิดชอบและจัดการทุกภารกิจสำรวจอวกาศของสหรัฐฯ ที่มีนักบินอวกาศออกไปทำงานนอกโลก ได้แก่ สถานีอวกาศนานาชาติ และโครงการอาร์ทีมิส

 

สำหรับห้องควบคุมที่ถูกใช้ในภารกิจอาร์ทีมิส 2 คือห้องควบคุมสีขาว หรือ ‘White Flight Control Room’ เริ่มใช้งานครั้งแรกในปี 1998 และได้ใช้งานเป็นห้องควบคุมสำรองของสถานีอวกาศนานาชาติ ตลอดจนภารกิจอาร์ทีมิส 1 เมื่อปี 2022

 

เบื้องหลังการฝึกซ้อมภารกิจอาร์ทีมิส 2: เบื้องหลังการฝึกซ้อมภารกิจอาร์ทีมิส 2: เบื้องหลังการฝึกซ้อมภารกิจอาร์ทีมิส 2: เบื้องหลังการฝึกซ้อมภารกิจอาร์ทีมิส 2: เบื้องหลังการฝึกซ้อมภารกิจอาร์ทีมิส 2: เบื้องหลังการฝึกซ้อมภารกิจอาร์ทีมิส 2: เบื้องหลังการฝึกซ้อมภารกิจอาร์ทีมิส 2: เบื้องหลังการฝึกซ้อมภารกิจอาร์ทีมิส 2:

The post เปิดภาพศูนย์ควบคุมภารกิจ ‘ฮูสตัน’ ที่ NASA ใช้เตรียมความพร้อมส่งนักบินอวกาศกลับไปดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบ 53 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
NASA เปิดตัว ‘นักบินอวกาศฝึกหัด’ รุ่นที่ 24 รวม 10 คน จากผู้สมัครทั่วประเทศกว่า 8,000 คน https://thestandard.co/nasa-24th-astronaut-class/ Tue, 23 Sep 2025 04:23:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1121690

เช้ามืดวันที่ 23 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย NASA ได้เปิดต […]

The post NASA เปิดตัว ‘นักบินอวกาศฝึกหัด’ รุ่นที่ 24 รวม 10 คน จากผู้สมัครทั่วประเทศกว่า 8,000 คน appeared first on THE STANDARD.

]]>

เช้ามืดวันที่ 23 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย NASA ได้เปิดตัว นักบินอวกาศฝึกหัด หรือ Astronaut Candidates รุ่นล่าสุด เพื่อเตรียมเข้ารับการฝึกพื้นฐานนาน 2 ปี ก่อนจะพร้อมปฏิบัติภารกิจจริง ทั้งการทำงานบนสถานีอวกาศนานาชาติ ไปลงจอดบนดวงจันทร์ และดาวอังคารในอนาคต

 

ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ มี Sean Duffy รักษาการผู้อำนวยการของ NASA Ted Cruz สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ และนักบินอวกาศในประจำการจากนานาประเทศ รวมถึงเยาวชนจากโรงเรียนในท้องถิ่น ที่ได้โอกาสร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้

 

ทั้ง Duffy และ Cruz ได้เน้นย้ำว่าสหรัฐฯ ต้องส่งคนกลับไปดวงจันทร์ได้ก่อนประเทศจีน พร้อมกับเผยว่าหนึ่งในนักบินอวกาศฝึกหัดที่นั่งอยู่ในห้องนี้ อาจได้เป็นมนุษย์คนแรกที่ไปลงดาวอังคารอีกด้วย

 

นักบินอวกาศฝึกหัดทั้ง 10 คน ได้แก่ Ben Bailey, Lauren Edgar, Adam Fuhrmann, Cameron Jones, Yuri Kubo, Rebecca Lawler, Anna Menon, Imelda Muller, Erin Overcash, และ Katherine Spies โดยหนึ่งในนี้ มี Anna Menon ที่เคยเดินทางไปอวกาศกับภารกิจ Polaris Dawn ของ SpaceX มาแล้ว

 

ปัจจุบัน NASA ได้คัดเลือกนักบินอวกาศรวมทั้งสิ้น 370 คน ตั้งแต่ภารกิจแรกเริ่มในโครงการเมอร์คิวรี มาจนถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับโครงการอาร์ทีมิสในยุคสมัยนี้

 

The post NASA เปิดตัว ‘นักบินอวกาศฝึกหัด’ รุ่นที่ 24 รวม 10 คน จากผู้สมัครทั่วประเทศกว่า 8,000 คน appeared first on THE STANDARD.

]]>
NASA พบ ‘สัญญาณบ่งชี้ชีวิต’ แบบชัดเจนที่สุดบนดาวอังคาร ในบริเวณแม่น้ำโบราณ แต่ยังไม่เจอชีวิต https://thestandard.co/nasa-mars-life-indication/ Thu, 11 Sep 2025 00:18:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1118022 nasa-mars-life-indication

NASA ได้ค้นพบ ‘สัญญาณบ่งชี้ของชีวิต’ ชัดเจนที่สุดเท่าที […]

The post NASA พบ ‘สัญญาณบ่งชี้ชีวิต’ แบบชัดเจนที่สุดบนดาวอังคาร ในบริเวณแม่น้ำโบราณ แต่ยังไม่เจอชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
nasa-mars-life-indication

NASA ได้ค้นพบ ‘สัญญาณบ่งชี้ของชีวิต’ ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากยานสำรวจบนพื้นผิวดาวอังคาร อาจเป็นหลักฐานถึงการมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีแดงมาก่อนในอดีต

 

การค้นพบดังกล่าวเกิดขึ้นในตัวอย่างหินชื่อ ‘Sapphire Canyon’ ที่อยู่ในหุบเขาสายน้ำโบราณ กว้างกว่า 400 เมตร ซึ่งสายธารน้ำได้ไหลเข้าสู่หลุมอุกกาบาต Jezero Crater มาก่อนในอดีตกาล ก่อนที่มวลน้ำดังกล่าวจะแห้งเหือดไปในที่สุด

 

ฌอน ดัฟฟี รักษาการผู้อำนวยการ NASA เปิดเผยในงานแถลงข่าวว่า “การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดในการพบชีวิตบนดาวอังคาร การตรวจเจอสิ่งที่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้บนดาวอังคาร เป็นการค้นพบครั้งสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจที่เรามีต่อดาวอังคารเพิ่มเติม”

 

ยาน Perseverance ของ NASA ซึ่งมีภารกิจในการศึกษาหาความเป็นไปได้ของชีวิตบนดาวอังคารได้อดีต ได้เก็บหินดังกล่าวขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2024 พร้อมกับใช้อุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เพื่อศึกษา ‘จุดลายเสือดาว’ ซึ่งอาจเป็นร่องรอยที่จุลินทรีย์บนดาวอังคารได้ทิ้งเอาไว้ หากมีการใช้คาร์บอนอินทรีย์ ซัลเฟอร์ และฟอสฟอรัสในหินดังกล่าว เป็นแหล่งพลังงานในการดำเนินชีวิต แบบเดียวกับจุลินทรีย์ที่ถูกพบบนโลก

 

การค้นพบดังกล่าวสร้างความสนใจให้กับนักวิทยาศาสตร์ และได้มีการศึกษาเพิ่มเติมด้วยอุปกรณ์ PIXL (Planetary Instrument for X-ray Lithochemistry) ในการสำรวจและวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีและแร่ธาตุของหิน และ SHERLOC (Scanning Habitable Environments with Raman & Luminescence for Organics & Chemicals) ที่วิเคราะห์และระบุดูสารอินทรีย์และเคมี จากหินดังกล่าวอย่างละเอียดที่สุด เท่าที่สามารถทำได้โดยยานสำรวจบนดาวอังคาร

 

นับจากการค้นพบดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์พยายามตั้งสมมติฐานเพื่อมาหักล้างการค้นพบครั้งนี้ รวมถึงพยายามหากระบวนการอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดร่องรอยอย่างในตัวอย่างหิน แต่ในปัจจุบันยังไม่มีสมมติฐานอื่นที่อธิบายได้อย่างชัดเจน ทำให้การค้นพบครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ของชีวิต หรือ Biosignature ที่อาจถูกทิ้งไว้โดยสิ่งมีชีวิตอย่างชัดเจนที่สุดบนดาวอังคาร แต่ไม่ใช่การพบหลักฐานของชีวิตโดยตรง โดย NASA ได้พยายามเน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งภารกิจเก็บตัวอย่าง หรือการทำ Sample Return เพื่อนำหินดังกล่าวกลับมาศึกษาอย่างละเอียดเพิ่มเติม

 

พร้อมกันนี้ NASA ยังเน้นย้ำว่าเป็นหลักฐานและข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น โดยได้มีการเปิดข้อมูลงานวิจัยเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์สามารถนำไปวิเคราะห์ศึกษาเพิ่มเติม เพื่อยืนยันหรือหักล้างหลักฐานในการค้นพบครั้งนี้เป็นอันดับต่อไป

 

รักษาการผู้อำนวยการ NASA ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “NASA มุ่งเน้นในการดำเนินตาม Gold Science Standard (ตามคำสั่งฝ่ายบริหาร หรือ Executive Order ของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์) ในขณะที่เรามุ่งมั่นสู่เป้าหมายในการส่งมนุษย์ชาวอเมริกัน ไปลงเหยียบบนพื้นผิวดาวอังคาร”

 

ดร. มติพล ตั้งมติธรรม นักวิชาการ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และผู้อำนวยการ ศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า “การค้นพบสิ่งที่อาจจะเป็น biosignature บนดาวเคราะห์ดวงอื่นเป็นสิ่งที่สำคัญ และน่าจับตาดู แต่ยังห่างไกลจากการยืนยันว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ซึ่งทางเดียวที่เราจะสามารถยืนยันได้ก็คือการทำ sample return หรือส่งนักบินอวกาศไปเยือน”

 

ปัจจุบัน ภารกิจ Sample Return หรือการนำหินจากดาวอังคารกลับโลก ภายใต้ความร่วมมือของ NASA และ ESA ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกยกเลิก เนื่องจากมีงบประมาณที่ค่อนข้างสูง และร่างงบประมาณปี 2026 อาจตัดงบภารกิจดังกล่าวลง ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะนำหินชุดนี้กลับมาสู่โลก ยังดูห่างไกลออกไปอยู่เช่นเคย

 

และคำตอบของคำถามที่ว่า มีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นหรือไม่ ก็ยังคงไม่ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน อย่างน้อยก็ในอีกหลายปีต่อจากนี้ เพราะการค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างหลักฐานของชีวิตบนดาวดวงอื่น จำต้องอาศัยข้อมูลสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

 

ภาพ: NASA

อ้างอิง:

The post NASA พบ ‘สัญญาณบ่งชี้ชีวิต’ แบบชัดเจนที่สุดบนดาวอังคาร ในบริเวณแม่น้ำโบราณ แต่ยังไม่เจอชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/cryoviva-thailand-stem-cell-atmp-gmp-pics/ Wed, 13 Aug 2025 02:22:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1086555 ไครโอวิวา

เมื่อ ‘วิกฤตสุขภาพ’ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ และ ‘ […]

The post ‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไครโอวิวา

เมื่อ ‘วิกฤตสุขภาพ’ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ และ ‘สเต็มเซลล์’ หรือ ‘เซลล์ต้นกำเนิด’ กำลังจะเป็นความหวังใหม่ของวงการแพทย์ นับตั้งแต่วงการวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยและค้นพบว่า ‘สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ’ หรือ Cord Blood (CB) สามารถใช้รักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเลือดและอื่นๆ ได้มากกว่า 85 โรค อาทิ กลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดชนิดต่างๆ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง โรคจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญ

 

จนถึงวันที่งานวิจัยขยายผลแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสเต็มเซลล์ในส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อสายสะดือ Cord Tissue (CT), สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อหุ้มรก Amnion Tissue (AT) หรือแม้แต่ สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมัน หรือสเต็มเซลล์
มีเซนไคมอลจากไขมัน Adipose-Derived MSCs (ADSC)  

 

 

ปัจจุบันตลาดธนาคารสเต็มเซลล์ในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง เพราะนอกจากสเต็มเซลล์จะเป็น Game Change สำคัญในอุตสาหกรรม Health & Wellness ยังสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับธุรกิจความงามอีกด้วย 

 

ทางเลือกที่มากขึ้น ตามมาด้วยความเสี่ยงที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดในการใช้และมาตรฐานของแหล่งผลิตและจัดเก็บสเต็มเซลล์ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของสารเคมี สารโปรตีนแปลกปลอม เชื้อโรค หรือเซลล์แปลกปลอมในระหว่างกระบวนการเตรียมสเต็มเซลล์ที่ไม่ถูกวิธี จนอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค

 

คำถามคือ หลักเกณฑ์และข้อกำหนดแบบใดที่จะทำให้การจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์มีคุณภาพตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค THE STANDARD ได้มีโอกาสเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการใหม่ของ ‘ไครโอวิวา’ (Cryoviva) ธนาคาร
จัดเก็บสเต็มเซลล์มาตรฐานระดับโลก ที่ถูกยกระดับให้เป็นห้องปฏิบัติการระดับโลกเพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้น 500,000 ล้านเซลล์ต่อปี และสอดคล้องไปกับข้อกำหนดของการผลิตสเต็มเซลล์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาใหม่ ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ภายใต้มาตรฐาน GMP/PICS ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาและเวชภัณฑ์ระดับสากลที่เข้มงวดที่สุด ภายในห้อง
ปฏิบัติการที่ได้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน (แบบ ผ.ย.2) จากองค์การอาหารและยา ให้เป็นสถานที่ผลิตยาที่มีมาตรฐานในการสเต็มเซลล์ประเภท MSCs เพื่อการวิจัยทางคลินิก

 

เจาะเบื้องหลัง ‘สเต็มเซลล์ประสิทธิภาพสูง’ ภายใต้มาตรฐาน AABB 

 

“ไครโอวิวาให้ความสำคัญกับระบบคุณภาพเพราะนั่นหมายถึง ‘ความปลอดภัย’ ของผู้ใช้งาน” จิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด ยังบอกด้วยว่า ความท้าทายคือ จะต้องมีกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและมีความสม่ำเสมอ นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องมีมาตรฐาน AABB มารองรับเพื่อการันตีว่า
ไครโอวิวาใส่ใจทุกกระบวนการและมีความปลอดภัยในระดับสูงสุดในการจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์”  

 

จิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด

 

“ตลอด 18 ปีที่ผ่านมา เรามองตัวเองเป็น ‘Bank of Life’ หรือธนาคารสเต็มเซลล์ที่ใช้ในการรักษา วันนี้เรากำลังเดินหน้าสู่การเป็น ‘Hope for Health’ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ การเก็บรักษาและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดของไทย ผ่านการขยายห้องปฏิบัติการสำหรับจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ 3 เท่า” กมลรัตน์ ศรีถวิล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่ากระบวนการในการเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ มีความละเอียดอ่อนและต้องถูกควบคุมดูแลโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างรัดกุม เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสเต็มเซลล์ได้ 

 

ไครโอวิวา

กมลรัตน์ ศรีถวิล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด

 

“ผู้บริโภคที่สนใจจัดเก็บสเต็มเซลล์หรือต้องการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์หรือความงาม ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะหากแหล่งที่มาไม่ได้มาตรฐานหรือมีกระบวนการในการนำเซลล์ไปใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจก่อให้เกิดอันตรายได้” “จากนี้ไป การจัดเก็บด้วยระบบคุณภาพอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นระบบคุณภาพที่สมบูรณ์” กมลรัตน์กล่าว 

 

ซึ่งเกณฑ์ในการพิจารณา ‘ระบบคุณภาพที่สมบูรณ์’ ประกอบด้วยปัจจัยหลายด้าน ทั้งทักษะความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสเต็มเซลล์รวมไปถึงการปฏิบัติทุกขั้นตอนอย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่การจัดเก็บ สถานที่จัดเก็บ การเพาะเลี้ยง และกระบวนการการขนย้าย เพื่อให้ได้มาซึ่งสเต็มเซลล์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง 

 

3 หัวใจสำคัญที่ทำให้ไครโอวิวาคือผู้นำตัวจริงในอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ 

 

  1. เพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดแบบ ‘Explant Technology’ เทคโนโลยีลิขสิทธิ์จากสหรัฐอเมริกา เป็นการเพาะเลี้ยงเซลล์ให้มีการเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ทำให้ได้เซลล์ที่มีคุณภาพสูงใกล้เคียงกับเซลล์ต้นกำเนิด อีกทั้งยังจำกัดจำนวนรอบการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์แบบ P3 หรือเพาะเลี้ยงไม่เกิน 3 รอบ เพื่อคุณภาพสูงสุดของการเพาะสเต็มเซลล์ ทำให้ไม่เกิดการลดคุณภาพของสเต็มเซลล์ สเต็มเซลล์ไม่แก่ และสเต็มเซลล์ไม่กลายพันธุ์  

 

  1. ระบบการจัดเก็บที่ทันสมัยและปลอดภัยขั้นสูงสุด ภายใต้การควบคุมดูแลโดยนักวิทยาศาสตร์และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะด้านดูแลทุกขั้นตอนการจัดเก็บและขนส่งเนื้อเยื่อไปยังห้องปฏิบัติการ โดยการบริหารกระบวนการขนส่งอย่างถูกวิธีเพื่อรักษาคุณภาพของเนื้อเยื่อตั้งต้นให้มีความสมบูรณ์สูงสุด 

 

 

ควบคุมอุณหภูมิห้องจัดเก็บภายใต้ข้อกำหนดของ AABB มีการนำ AI มาช่วยในทุกกระบวนการ สามารถติดตามผลและควบคุมการทำงานแบบ Real Time และมีการดับเบิลเช็กโดยมนุษย์และเครื่องจักรควบคู่กัน เพื่อมั่นใจว่าสเต็มเซลล์ทุกยูนิตที่เก็บนั้นปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงระบบการระบุตัวตนด้วย Primary ID Bar code ป้องกันความผิดพลาดต่อผู้รับบริการที่จะนำไปใช้ อีกทั้งบรรจุภัณฑ์ในการจัดเก็บได้รับการรับรองตามมาตรฐาน IATA (International Air Transport Association) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพและความปลอดภัยระหว่างขนส่ง  

 

ถังจัดเก็บสเต็มเซลล์ความจุระดับ 1,800 ลิตร ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ติดตามด้วยระบบ AI ในการเติมไนโตรเจนเหลวอัตโนมัติเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิในถังจัดเก็บ และสามารถคงคุณภาพสเต็มเซลล์ได้ยาวนานถึง 23 วัน ไปจนถึงการออกแบบโครงสร้างห้องจัดเก็บถังให้สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ปลอดภัยนอกอาคารได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

 

 

  1. ธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและแห่งเดียวในไทยที่ได้รับมาตรฐาน AABB (Association for the Advancement of Blood & Biotherapies) หรือ สมาคมเพื่อความก้าวหน้าด้านเลือดและชีวรักษาสหรัฐอเมริกา ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ การจัดเก็บสเต็มเซลล์ การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ และการรับรองว่าเป็นแหล่งผลิตเซลล์ตั้งต้นที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ATMPs หรือผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง 

 

มาตรฐานดังกล่าวจะต้องตรวจสอบทุกๆ 2 ปี ปัจจุบัน ไครโอวิวา ได้รับการรับรองมาตรฐานติดต่อกันเป็นครั้งที่ 12 นับตั้งแต่ปี 2553 ทั้งด้านการจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ และการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อ และล่าสุดยังได้รับการรับรองว่าเป็นแหล่งผลิตเซลล์ตั้งต้นที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ATMPs ที่ดีที่สุดตามมาตรฐานของ AABB 


‘ผลิตภัณฑ์ยากลุ่ม ATMP’ คืออะไร? ทำไมถึงเป็นอนาคตสุขภาพของมนุษยชาติ

 

‘ผลิตภัณฑ์ยาใหม่’ ในกลุ่ม ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ถือเป็นยาการแพทย์ขั้นสูง กมลรัตน์ บอกว่า เปรียบเสมือนการซ่อมแซมระดับวิศวกรรม เพราะทำหน้าที่เปลี่ยนอะไหล่และอัปเกรดระบบใหม่ให้กับร่างกาย  

 

“การผลิตผลิตภัณฑ์ยาใหม่’ ในกลุ่ม ATMPs จึงต้องสอดคล้องกับมาตรฐาน GMP/PICS ตามหลักเกณฑ์ผลิตยาขั้นสูงของสหภาพยุโรป โดยเน้นการป้องกัน และขจัดความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นอันตราย หรือทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย เราจึงต้องสร้างมาตรฐานการเป็น Biomanufacturing ที่สมบูรณ์แบบ โดยที่จะต้องมีองค์การอาหารและยาเข้ามาควบคุมผลิตภัณฑ์” 

 

มาตรฐาน GMP-PIC/s หรือ Good Manufacturing Practice – Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme (PIC/S) เป็นมาตรฐานการผลิตยาและเวชภัณฑ์ระดับสากลที่เข้มงวดที่สุด มีการควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงการบรรจุ เพื่อลดความเสี่ยงของการปนเปื้อน ให้ผู้บริโภคได้รับยาที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ 

 

 

“เป็นเหตุผลที่เราต้องออกแบบห้องปฏิบัติการที่มีความทันสมัยและมีความพร้อมที่สุดและจะต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ล่าสุดเราได้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน (แบบ ผ.ย.2) ซึ่งเป็นการรับรองสถานที่ผลิตยาที่มีมาตรฐาน สามารถผลิต สเต็มเซลล์ประเภท MSCs เพื่อการวิจัยทางคลินิกได้ ปัจจุบันเรากำลังวิจัยและพัฒนายาและเวชภัณฑ์เพื่อให้ อย. เข้ามาตรวจสอบ และออกใบอนุญาตรับรองความปลอดภัยของยาต่อไป” กมลรัตน์ กล่าว 

 

ปัจจุบัน ไครโอวิวา ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญของรัฐในการผลักดันและส่งเสริมศักยภาพธุรกิจที่มีความทันสมัย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างประโยชน์เชิงเศรษฐกิจให้กับประเทศตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มดำเนินการ ปัจจุบัน ได้รับการส่งเสริม ใน 3 โครงการ ได้แก่

 

Cord blood Banking การจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ, Testing Service (กลุ่ม Mesenchymal Stem Cell) และล่าสุด ลงทุนในโรงงานผลิต ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ซึ่งอยู่ในกลุ่มการผลิตยาขั้นสูง สะท้อนถึงความพร้อมในด้านเทคโนโลยีการผลิต ระบบคุณภาพ และความมุ่งมั่นสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

 

 

ตั้งเป้าสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ 

 

จิรัญญายังชี้ให้เห็นเทรนด์การใช้สเต็มเซลล์ทั่วโลกในปัจจุบันมีความแพร่หลายเพราะสเต็มเซลล์เริ่มเข้ามาช่วยในการรักษาโรคร้าย อีกทั้งผลสำเร็จของการวิจัยก็มีให้เห็นมากขึ้น 

 

“องค์ประกอบที่สำคัญอยู่ที่ ‘สเต็มเซลล์ที่มีคุณภาพ’ ซึ่งไครโอวิวาเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี เรายังเชื่ออย่างยิ่งว่า ทุกคนควรได้รับโอกาสที่ดีที่จะได้รักษาโรค และการเก็บสเต็มเซลล์ควรเป็นเรื่องที่ใครก็เข้าถึงได้  ต่อจากนี้จะไม่ใช่แค่คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เก็บสเต็มเซลล์เพื่ออนาคตของลูกเท่านั้น แต่ผู้คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงประโยชน์ของสเต็มเซลล์ได้  กลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสมีบุตรหรือไม่คิดจะมีบุตรสามารถเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมันหรือจากกระแสเลือดของตัวเองเพื่อฟื้นฟูสุขภาพตัวเองในอนาคตได้ ซึ่งตลาดสำคัญที่เรามองคือ กลุ่มผู้สูงวัย จะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและคุณภาพชีวิต ด้วยราคาในการรักษาที่คนทั่วไปสามารถจ่ายได้ แนวทางหนึ่งคือการจับมือกับสาธารณสุขบางหน่วยงานสามารถใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุขของประเทศได้ด้วย” 

 

“ดังนั้น นอกจากความมุ่งมั่นในการให้บริการที่โปร่งใสและเป็นธรรม ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิตเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด พันธกิจต่อจากนี้คือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ เพื่อสร้างโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย” จิรัญญากล่าวทิ้งท้าย

The post ‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำประเภทหายาก ขณะกำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป ห่างจากโลก 450 ล้านปีแสง https://thestandard.co/nasas-ngc-6099-hlx-1/ Thu, 31 Jul 2025 02:00:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1101950 นักดาราศาสตร์

นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำแห่งใหม่ เป็นชนิดที่หาได้ยาก อย […]

The post นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำประเภทหายาก ขณะกำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป ห่างจากโลก 450 ล้านปีแสง appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักดาราศาสตร์

นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำแห่งใหม่ เป็นชนิดที่หาได้ยาก อยู่ในกาแล็กซีที่ห่างจากโลกไปประมาณ 450 ล้านปีแสง โดยถูกพบได้ระหว่างกำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป จากข้อมูลการสำรวจของกล้องโทรทรรศน์อวกาศต่างๆ ในวงโคจรรอบโลก

 

หลุมดำที่ถูกพบในครั้งนี้ มีชื่อว่า NGC 6099 HLX-1 เป็นวัตถุปรากฏสว่างในบริเวณกระจุกดาวฤกษ์หนาแน่นของกาแล็กซี NGC 6099 ห่างจากใจกลางไปประมาณ 40,000 ปีแสง ซึ่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทราได้ตรวจพบแสงสว่างวาบในช่วงรังสีเอ็กซ์จากจุดนี้เป็นครั้งแรกในปี 2009 และได้มีการสำรวจอย่างต่อเนื่องนับจากนั้น จนพบว่าแหล่งกำเนิดแสงดังกล่าว มาจากหลุมดำที่กำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป

 

Yi-Chi Chang หัวหน้าคณะวิจัยในการค้นพบครั้งนี้ ระบุว่า “แหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์ที่มีความสว่างระดับนี้นั้นหาได้ยากในบริเวณนอกใจกลางกาแล็กซี และอาจเป็นข้อมูลสำคัญในการระบุตำแหน่งของหลุมดำมวลปานกลาง ซึ่งเป็นส่วนที่ขาดหายไปในวิวัฒนาการของหลุมดำ ระหว่างหลุมดำมวลดาวฤกษ์ และหลุมดำมวลยิ่งยวด”

 

จากข้อมูลการสำรวจในปัจจุบัน กาแล็กซีต่างๆ ในจักรวาลนั้น จะมีหลุมดำมวลยิ่งยวด หรือ Supermmasive Black Holes ที่มีมวลมากกว่าล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ อยู่ในบริเวณใจกลางของกาแล็กซี เช่นเดียวกับหลุมดำมวลดาวฤกษ์ หรือ Stellar-Mass Black Holes ซึ่งมีมวลน้อยกว่า 100 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ที่ควรมีอยู่โดยทั่วไปในกาแล็กซีต่างๆ เช่นเดียวกับในทางช้างเผือกของเรา

 

อย่างไรก็ตาม หลุมดำมวลปานกลาง หรือ Intermediate-Mass Black Holes ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างหลุมดำทั้งสองประเภท หรือมีมวลมากกว่า 100 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ แต่ไม่ถึง 100,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ กลับเป็นหลุมดำที่นักดาราศาสตร์พบเจอได้ยากมาก เนื่องจากมันไม่ค่อยกลืนกินมวลสารจากดาวฤกษ์บ่อยเหมือนกับหลุมดำมวลยิ่งยวด ที่จะปลดปล่อยรังสีพลังงานสูงออกมาจนสามารถตรวจสอบได้ชัดเจนจากโลก

 

นักดาราศาสตร์จึงพยายามค้นหาเหตุการณ์ Tidal Disruption Event ที่มีดาวฤกษ์โชคร้ายโคจรผ่านเข้ามาใกล้หลุมดำมวลปานกลาง จนถูกฉีกขาดและกลืนกินเข้าไป เป็นเทคนิคการหาหลุมดำมวลปานกลางโดยอ้อม ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับหลุมดำ NGC 6099 HLX-1 ในปี 2009 จนทำให้เกิดการแผ่รังสีเอ็กซ์ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 3 ล้านองศาเซลเซียส สอดคล้องกับการเกิดเหตุการณ์ Tidal Disruption Event โดยหลุมดำ

 

ข้อมูลจากกล้องฮับเบิลยังพบว่าบริเวณที่หลุมดำแห่งนี้ตั้งอยู่ มีกระจุกดาวฤกษ์ที่โคจรอยู่ค่อนข้างใกล้กัน มีระยะห่างเพียงไม่กี่เดือนแสงระหว่างกันเท่านั้น (ดวงอาทิตย์ และดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด อยู่ห่างไป 4 ปีแสง) ซึ่งดาวฤกษ์เหล่านี้อาจเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของหลุมดำ NGC 6099 HLX-1 ที่นักดาราศาสตร์พบว่ามีความสว่างมากสุดในปี 2012 ก่อนค่อยๆ ลดลงจนถึงการสังเกตการณ์ล่าสุดด้วยกล้อง XMM-Newton ในปี 2023

 

ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์ยังต้องศึกษาหลุมดำแห่งนี้เพิ่มเติม เพื่อประเมินว่าหลุมดำมวลปานกลางใช้เวลากลืนกินดาวฤกษ์นานแค่ไหน ความสว่างจะพุ่งกลับมาอีกไหม หรือมันจะค่อยๆ หรี่ความสว่างลงจนมืดสนิทไปอีกครั้งในช่วงรังสีเอ็กซ์

 

ในปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ต้องการศึกษาหลุมดำมวลปานกลางเหล่านี้เพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจว่าวิวัฒนาการของหลุมดำนั้นเป็นเช่นไร โดยเฉพาะการเกิดของหลุมดำมวลยิ่งยวด ว่ามาจากการควบรวมกันของหลุมดำมวลปานกลาง หรือมาจากการยุบรวมของเมฆก๊าซในยุคแรกๆ ของเอกภพ และกำเนิดขึ้นเป็นหลุมดำมวลยิ่งยวดได้โดยตรง ซึ่งการพบเหตุการณ์ Tidal Disruption Event เพิ่มเติม จะช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจพฤติกรรมของหลุมดำมวลปานกลางเหล่านี้ได้

 

แม้ข้อจำกัดจากข้อมูลข้องกล้องจันทรา และกล้อง XMM-Newton ที่ศึกษาห้วงจักรวาลในช่วงรังสีเอ็กซ์ จะเป็นมุมมองการมองเห็นของกล้องที่ค่อนข้างจำกัด จนอาจพลาดมองเห็นการเกิดปรากฏการณ์ Tidal Disruption Event ในส่วนอื่นของท้องฟ้าไปได้ แต่ในปัจจุบันได้มีกล้องของหอดูดาว Vera C. Rubin ในชิลี ที่ทำการสำรวจความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าทุกคืน เป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งอาจมีส่วนช่วยให้ค้นพบหลุมดำมวลปานกลางแบบนี้เพิ่มเติมได้ในอนาคตอันใกล้

 

ข้อมูลการค้นพบดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา

 

ภาพ: NASA, ESA, Ralf Crawford (STScI) 

อ้างอิง:

The post นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำประเภทหายาก ขณะกำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป ห่างจากโลก 450 ล้านปีแสง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา https://thestandard.co/thai-rocket-engineer-europe/ Fri, 18 Jul 2025 11:46:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1097913 thai-rocket-engineer-europe

“ความยากของการสร้างจรวดคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถี […]

The post จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-rocket-engineer-europe

“ความยากของการสร้างจรวดคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถียรภาพ วัสดุต้องทนต่อความร้อน ทนแรงดันสูงและต้องพัฒนาระบบควบคุมการระเบิดแบบหมุนวนได้ นี่ถือเป็นงานวิจัยที่จะสร้าง breakthrough ให้กับวงการอวกาศ และหากประสบความสำเร็จจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ”

 

ในโลกที่การแข่งขันด้านอวกาศไม่ใช่แค่เรื่องของ NASA หรือ SpaceX อีกต่อไป ยุโรปกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตกขบวนและในสมรภูมิแห่งนี้ มีคนไทยคนหนึ่งที่สร้างเครื่องยนต์จรวดอวกาศให้กับบริษัทสัญชาติยุโรปนั่นคือ

 

อาชว์ ปลื้มปัญญา หรือ เอม หนึ่งในวิศวกรระบบขับเคลื่อนของ Rocket Factory Augsburg (RFA) สตาร์ทอัพด้านจรวดสัญชาติเยอรมนีอันดับต้นๆ ของยุโรป เขาเป็นคนไทยไม่กี่คนที่ได้มีโอกาสพัฒนาเครื่องยนต์จรวดจริง ตั้งแต่ประกอบ ทดสอบ ไปจนถึงผลิตเพื่อเตรียมส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร

 

เส้นทางของเขาเริ่มต้นจากเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ผูกพันกับการบิน จากนักเรียนไทยในมหาวิทยาลัยเพอร์ดู (Purdue University) ที่ได้ลงมือ “ออกแบบและระเบิดท่อทดลอง” จนไปถึงการร่วมขับเคลื่อนวงการสตาร์ทอัพอวกาศยุโรปให้เดินหน้า

 

THE STANDARD ชวนคุยกับอาชว์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความหลงใหลในจรวด เบื้องหลังชีวิตการทำงานในอุตสาหกรรมอวกาศจริง ข้อจำกัด ความผิดพลาด ความหวัง และคำถามสำคัญว่า “อวกาศไทยจะไปต่ออย่างไร?”

 

เพราะการสร้างจรวดอาจไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่มันคือเรื่องของการกล้าสร้างเส้นทางใหม่ในโลกที่ไม่มีทางเดิน

 

อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจจรวด

 

อาชว์: จริงๆ ครอบครัวอยู่ในแวดวงนี้ เริ่มจากคุณทวดเป็นทหารอากาศสมัยสงครามอินโดจีน คุณปู่เป็นนายพลทหารอากาศ น้องของคุณย่าก็เป็นนักบินรบเหมือนกันครับแล้วก็เป็นรุ่นคุณพ่อคุณลุงทั้งคู่ก็เป็นนักบินการบินไทยทั้งคู่

 

คุณแม่ก็ทำการบินไทยก็คือวนๆ อยู่ในนี้ครับ ตอนเด็กๆ ก็อยากเป็นนักบินเหมือนพ่อ ช่วงประมาณมัธยมปลายเริ่มผมก็มีความสนใจเรื่องอวกาศ ดู YouTube ข่าวการปล่อยจรวด NASA ดูหนัง Gravity ทำให้ผมมีความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นในด้านนี้

 

ตอนนั้นผมเรียนสาธิตเกษตรอินเตอร์ตั้งแต่ป.1 ถึงม.6 ผมไม่ได้เรียนเก่งท็อปห้องอะไรตลอด แต่จะเป็นเด็กที่พอมีความสนใจอะไรแล้วจะอยากต่อยอดตรงนั้นให้ลึกขึ้น พอช่วงมหาลัยสอบได้ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมยานยนต์ ที่จุฬาฯ ประมาณ 1 ปี ก็รู้สึกไม่ค่อยตรง ผมรู้สึกว่ามันยังก้าวไปในระดับที่ผมอยากไปไม่ได้ ด้วยทรัพยากร สภาพแวดล้อม เพราะต้องเข้าใจว่าอวกาศบ้านเรามันมีน้อยมากสำหรับการเรียนการสอน

 

พอถึงเทอม 2 เราเห็นน้องๆ ที่สาธิตเกษตรรุ่นต่อไปที่เขาจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยที่อเมริกากัน ผมคิดว่ามันเปิดโลกทัศน์ทั้งในด้าน professional และ self-development ผมรู้สึกว่าน่าสนใจ เลยตั้งใจสมัครดู ซึ่งก็คือมหาวิทยาลัย Purdue ตอนนั้นลำบากมากจริงๆ เพราะการที่จะ transfer เข้ามักจะคำนึง GPA จากจุฬาฯที่ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนช่วงนั้นเป็นหลัก พอไปสอบต่อที่อเมริกาแบบเด็กซิ่วเข้าไปมันยาก ผมยื่นคะแนนไป รู้ว่าไม่ติดวิศวะที่นั่นอยู่แล้วมันแข่งขันกันเยอะ ผมเลยเข้าทางลัดเรียกว่า undeclared ก็คือเข้าไปในสาขาที่ยังไม่ได้ declare ว่าอยากเรียนอะไร มันมีสำหรับเด็กที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองอยากเรียนอะไร จากนั้นค่อยไปเริ่มเรียนคณะวิศวกรรมอวกาศ เรียนปี 1 ใหม่ เพราะหน่วยกิตจากจุฬาฯโอนเทียบไม่ได้

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

มหาวิทยาลัย Purdue สอนอะไรเรา 

 

อาชว์: มหาวิทยาลัยเพอร์ดู มีประวัติศาสตร์ทางด้านอวกาศมายาวนานมาก ถ้านับจำนวนนักบินอวกาศที่เป็นเด็กจบจากเพอร์ดู มีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสองของอเมริกา รองจาก MIT เพอร์ดูมีศิษย์เก่าอย่าง Neil Armstrong คือคนแรกที่เหยียบดวงจันทร์และคนล่าสุดที่เหยียบดวงจันทร์คือ Eugene Cernan และยังมี Gus Grissom กับ Roger Chaffee ที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุทดสอบภารกิจ Apollo 1 รวมไปถึงวิศวกรระดับต่ำจนถึงระดับบริหารอีกนับไม่ถ้วนที่ทำงานให้กับ NASA, SpaceX, Blue Origin, Lockheed Martin, Orbital ATK, ISRO, JAXA ฯลฯ

 

เมื่อเรียนจบเด็กที่มีสัญชาติอเมริกันที่นี่จะมีบริษัทมาทาบทามไป เงินเดือนก็น่าจะสักแสนดอลลาร์ต่อปีขึ้นไป ความประทับใจที่เรียนที่นี่คือ Professor มีความรู้ทางด้านนั้นๆ ครอบคลุมเกือบทั้งหมดที่เราอยากเรียนรู้ มี Lab ที่ทำเกี่ยวกับ Propulsion ก็คือพวกเครื่องยนต์จรวด เครื่องยนต์เครื่องบิน เป็นต้น ชื่อว่า Zucrow Laboratories ที่มีขีดความสามารถสูงที่สุดในประเทศเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ

 

การเรียนการสอนก็จะ open-ended มากกว่าที่เราต้องทำเป็น teamwork ค้นคว้าด้วยตัวเองหา unique solution ไม่ใช่คำตอบตายตัวอะไรอย่างนี้ครับ ทำให้เหมือนนักเรียนได้ inspire ในการเป็นวิศวกรจริงๆ ในการแก้ปัญหา เราได้เป็น owner ของการคิดและการริเริ่มนำเสนอ Aerospace มี 2 สาขาหลักๆ คือเครื่องบินกับอวกาศ ผมจุดประกายความชอบมาจากกระสวยอวกาศกับเครื่องยนต์ ผมชอบความที่มันเป็น hardware ที่มันมีความซับซ้อนสูงและจับต้องได้

 

มีประสบการณ์ที่ท้าทายตอนเรียนป.โทบ้างมั้ย

 

อาชว์: ตอนป. โทผมลงเรียนลึกขึ้นด้าน Rocket Propulsion มีคลาสที่ประทับใจคือ AAE-53900 Advanced Rocket Propulsion หรือการออกแบบเครื่องยนต์จรวดสอนโดยศาสตราจารย์ Timothée Pourpoint ถ้านักเรียนคนไหนอยากไปอยู่ SpaceX หรือ NASA พัฒนาเครื่องยนต์จรวด คุณต้องลงคลาสนี้ อันที่ท้าทายที่สุดคือการที่ต้องเขียนโค้ดเพื่อที่จะ simulate และ analyze การถ่ายเทความร้อนภายใน nozzle จรวดที่มีการหล่อเย็นด้วยเชื้อเพลิง (heat transfer in regenerative cooled rocket nozzle) ก่อนจบคลาสก็จะมี project ใหญ่ๆ อีกสองอันซึ่งนำความรู้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ engine architecture ในภาพใหญ่แต่จะลงรายละเอียดในแง่มุม

 

ให้หลังมาปีหนึ่งตอนนั้นผมทำ final project สำหรับคลาส Air-Breathing Hypersonic Propulsion กับ Professor Heister แล้วสะดุดตาเขาเพราะเป็นนักเรียนคนแรกที่โค้ด simulation ของ flow field ในสองมิติโดยผมใช้ method of characteristics ในการจำลอง rotating detonation flow ในช่องเผาไหม้ เขาเลยไปแนะนำให้ Professor Pourpoint รับไปเป็น Teaching Assistant (TA) ช่วยสอนคลาส Advanced Rocket Propulsion การได้ช่วยสอนทำให้ผมได้เข้าใจเนื้อหามากกว่าการเป็นนักเรียนด้วยซ้ำไป นักเรียนหลายๆ คนผมยังติดต่ออยู่โดยคนที่มีสัญชาติอเมริกันก็ไปทำงาน NASA SpaceX กับ Blue Origin ก็มีไม่น้อย

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

ภาพถ่ายร่วมกับศาสตราจารย์ Timothée Pourpoint

 

มีคลาสไหนที่ได้ลงมือทดลองจริงบ้างไหม

 

ผมลงคลาสนึงที่ประทับใจคือ Design, Build, Test สอนโดย Professor Carson Slabaugh ที่คุมทีมวิจัย Rotating Detonation Engine (RDE) คือจะทำเครื่องยนต์จรวดแบบใหม่ในวงการเครื่องยนต์จรวดที่กำลังได้รับความสนใจจากนักวิจัยหลายแห่ง ปกติกลไกการเผาไหม้จะมีสองแบบคือแบบปกติและการระเบิด (Detonation) การเผาไหม้แบบปกติ เครื่องยนต์จรวดทั่วไปที่เห็นในการปล่อยจรวดใช้การเผาไหม้แบบปกติ มีความเร็วต่ำกว่าความเร็วเสียงและเห็นเป็นเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจากท้ายจรวด

 

แต่การระเบิด (Detonation) จะเป็นการเผาไหม้ที่มีความเร็วสูงกว่าความเร็วเสียง มีแรงดันขับเคลื่อนที่สูงกว่าการเผาไหม้แบบปกติหลายเท่า และมีการเกิดคลื่นช็อก (Shock wave) ออกมาด้วย โดยทั่วไปแล้ว วิศวกรมักจะพยายามหลีกเลี่ยงการเกิด Detonation ในเครื่องยนต์จรวดแบบดั้งเดิม เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นสามารถทำลายเครื่องยนต์ได้ทันที

ซึ่ง Rotating Detonation Engine จะเป็นแนวคิดที่จะนำเอาพลังงานจากการระเบิดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยออกแบบให้เกิดการระเบิดหมุนเวียนเป็นวงรอบภายในห้องเผาไหม้ คลื่นการระเบิดจะหมุนไปเรื่อยๆ ในทิศทางเดียวกัน เหมือนเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่เป็นวงและสามารถควบคุมการระเบิดให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ข้อดีของ RDE คือ ประสิทธิภาพสูงขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า สร้างแรงดันที่สูงกว่าการเผาไหม้แบบปกติ ซึ่งความยากคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถียรภาพ วัสดุที่ใช้ต้องทนต่อความร้อนและแรงดันสูงมากและต้องพัฒนาระบบควบคุมที่สามารถจัดการกับการระเบิดแบบหมุนวนได้ นี่ถือเป็นงานวิจัยที่มีศักยภาพที่จะสร้าง breakthrough ให้กับวงการอวกาศ และหากประสบความสำเร็จจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับ hardware จริงๆ เพราะก่อนหน้านี้โจทย์ที่ได้มาในกระดาษจะไม่พูดถึงโครงสร้างหรือชิ้นส่วนมากนัก จะโฟกัสที่การคำนวณหาค่าโดยไม่คำนึงถึงวิธีผลิตหรือประกอบ โจทย์ของทีมคือการออกแบบประกอบและทดสอบ hardware ที่สามารถใช้วิเคราะห์การระเบิดของส่วนผสมระหว่าง ammonia และแก๊สออกซิเจน (detonation characteristics of premixed ammonia-gaseous oxygen) โดยแท่นทดลองถูกออกแบบให้เป็น detonation tube ตั้งชื่อว่า BookStick มีขนาดท่อลดหลั่นกันลงไปเพื่อที่จะศึกษา quenching length ของการระเบิด และมีเซนเซอร์ตลอดลำท่อเพื่อที่จะวัดความเร็วของ detonation front งบในการพัฒนา $6,000

 

เรามีเวลาแค่สี่เดือนเลยต้องเร่งมือ มีหลายๆ อย่างที่ไม่เข้าที่เข้าทางแต่สุดท้ายเรา confirm ได้ว่าสามารถ detonate ส่วนผสม ammonia ในท่อสำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแล็บ อาจารย์ยังเอ่ยปากชมว่าเป็นทีมที่มี teamwork ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่สำคัญมากในการทำงานสายนี้

 

ความท้าทายในการทำงานด้านจรวดคืออะไร

 

อาชว์: แน่นอนว่าเขาให้เฉพาะคนอเมริกันมาทำงานด้านนี้ครับ เพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ ดังนั้นเขาไม่อนุญาตให้คนสัญชาติอื่นมาทำงานบริษัทด้านจรวดในอเมริกาครับ ถือเป็นความลับ แค่ฝึกงานก็ไม่ได้ ขั้นต่ำจะต้องเป็น permanent resident หรือมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยอย่างถูกกฎหมาย เพราะด้วยข้อบังคับ ITAR (International Traffic in Arms Regulations) จรวดไม่ว่าจะใช้ขนส่งอะไรก็ยังถือว่าเป็นยุทโธปกรณ์

 

แต่ถ้าฝั่งยุโรปก็จะเปิดกว้างมากกว่าในการรับคนสัญชาติอื่น เรียนจบเลยตัดสินใจสมัครงานที่ RFA (Rocket Factory Augsburg) บริษัทสตาร์ทอัพด้านอวกาศสัญชาติเยอรมัน ติดอันดับ Top ของยุโรปเลยครับ ทุกประเทศอยากตาม SpaceX ให้ทัน ยุโรปก็ตื่นตัว ทีนี้เยอรมนีจะมี 2 บริษัทที่นำหน้าทางยุโรปเลยก็คือ RFA กับ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

RFA เป็นบริษัท spin-off มาจากบริษัท OHB SE กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอวกาศสัญชาติเยอรมัน-ยุโรปที่โด่งดังในการผลิตดาวเทียม เพราะในยุโรปเองเล็งเห็นความล้าหลังในเทคโนโลยีจุดนี้จึงอยากกระตุ้นบริษัทที่สามารถปล่อยดาวเทียมของตัวเองได้ ดาวเทียมเล็กๆ อยากมี VC เข้ามา แต่ต้องเป็น Strategic Investor หมายความว่าไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใครจะมาลงทุนก็ลงได้ ต้องผ่าน OHB SE ก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไม RFA ทุนเลยน้อยกว่า start-up บางบริษัทที่กำลังแข่งขันกันภายในทวีป ดังนั้นเราต้องทำทุกอย่างให้ฉลาดในสภาวะที่มีทรัพยากรจำกัด

 

ถ้าได้ยินข่าวดังของ RFA ปีที่แล้วมีการทดสอบก่อนที่จะปล่อยจรวดจริงๆ ก็เกิดอุบัติเหตุ อาจพูดได้ไม่มากว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่มันมีบางอย่างเกี่ยวกับดีไซน์ของ turbopump ที่ก่อให้เกิด oxygen fire ที่ควบคุมไม่อยู่ ในขณะที่ทดสอบ static hotfire ของจรวดขั้นที่หนึ่ง (Stage 1) ซึ่งจุดเครื่องยนต์ 9 เครื่องพร้อมกัน สุดท้ายสูญเสียจรวดขั้นที่หนึ่งพร้อมกับเครื่องยนต์ทั้งหมดไป เป็นการสูญเสียที่ใหญ่ของบริษัทแต่ไม่มีใครเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บนะครับ เรามี standard ที่ผมค่อนข้างเชื่อมั่นอยู่แล้ว เคราะห์ดีที่จรวดขั้นที่สองและสามยังปลอดภัยดี ส่วนฐานปล่อยได้รับความเสียหายแค่เล็กน้อย

 

ผมเรียกว่ามันก็เป็นการทดสอบที่ล้มเหลวดีกว่า ไม่ใช่อุบัติเหตุ นี่เป็นเรื่องปกติของการทดสอบจรวดและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา R&D ไม่ว่าจะเป็น hardware ไหนๆ ที่นักลงทุนและผู้มีอำนาจจะต้องเข้าใจครับ

 

ช่วงที่ทำงานเป็นวิศวกรด้านจรวดทำอะไรบ้าง

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

อาชว์: ณ ตอนนั้นน่ะ ผมเข้าไปเริ่มงานในจุดที่เพิ่งจะทดสอบเครื่องยนต์จรวดสำเร็จรอบแรก บริษัทฯ ได้ทำการพัฒนาเครื่องยนต์จรวดให้สำเร็จก่อนเพราะมันเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดและพัฒนายากที่สุด เมื่อทดสอบผ่านขั้นต่อไปคือการสร้างเครื่องยนต์เป็น production ก็คือผลิตเครื่องตัวนี้เพิ่ม 10 กว่าตัว เพื่อที่จะเอามาใส่จรวดจริงๆ ในการปล่อยจรวดครั้งแรก

 

ผมเข้าไปฝึกงานตอนนั้น ไม่ได้มีความรู้มากมายในด้านอุตสาหกรรมนั้น เริ่มตั้งแต่งานลูกกระจ๊อกที่สุดเลยก็คือไปคุม storage ของ flight hardware มันก็จะมีห้องโกดังเล็กๆ อันหนึ่งที่แบบเก็บชิ้นส่วนทุกอย่างที่จะนำมาประกอบเป็นเครื่องยนต์จรวด

 

ผมก็ไปนั่งนับสกรูว่าอันนี้มันมีกี่อันเพราะมันไม่ตรงกับใน system ก็ไปเรียนรู้ว่าชิ้นนี้เรียกว่าอะไร system code ของมันคืออะไร มันไปใช้อยู่ตรงไหน ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าคุ้มแล้ว อย่างน้อยก็เป็นคนไทยที่ได้มาทำจุดนี้ ถึงงานมันจะโง่มากไปหน่อย แต่ผมได้เรียนรู้จากพื้นฐานมากๆ ผมได้เรียนรู้ทุกชิ้นของจรวดที่มีอยู่ ชิ้นส่วน 800 กว่าชิ้นที่ไม่เหมือนกัน รู้ว่าคืออะไร ประกอบเข้ามาตรงไหน

 

ทำอยู่ประมาณ 3 เดือนก็ถูกเลื่อนมาทำหน้าที่คล้ายๆ โฟร์แมนในไซต์ก่อสร้างทำให้ได้ใช้สมองมากขึ้น งานผมคือการเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง design engineer กับ assembly technician คล้ายสถาปนิกกับวิศวกรออกแบบตึกต้องทำงานร่วมกัน แต่สองส่วนนี้มันไม่ได้เชื่อมกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ผมต้องคอยคุมว่า เอ้ย ชิ้นนี้มีปัญหาแล้วนะ ปัญหาใหญ่ๆ ก็ต้องปรึกษากับเจ้าของระบบหรือเรียกว่า system owner ซึ่งเป็นคนออกแบบหรือรับผิดชอบสูงสุดของระบบนั้นๆ เช่น turbopump preburner หรือวาล์วต่างๆ ปัญหาเล็กๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วผมก็จะเรียนรู้และนำการแก้มาใช้ได้ทันทีเลย ความน่าสนใจคือพอได้ทำงานกับคนหลายสัญชาติ เราก็ได้เห็นวิธีคิดเขา แต่ละคนคิดแก้ปัญหายังไง

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

พอทำต่อมาได้อีกสักพักหนึ่งผมถูกเลื่อนขึ้นมาคุม engine production ทั้งหมดเป็นคนแรกเพราะเป็นเครื่องยนต์ล็อตแรกของบริษัท ซึ่งเป็นงานที่กดดันสูง เพราะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการจากการผลิตต้นแบบ (Prototyping) ไปสู่การผลิตจำนวนมาก (Serial Production) ให้มีประสิทธิภาพและส่งมอบทันเวลา หน้าที่ของผมคือรับชิ้นส่วนมาประกอบ ทดสอบ และทำ QC ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางวิศวกรรม จนในที่สุดผมและทีมก็สามารถส่งมอบเครื่องยนต์ Helix ทั้ง 14 เครื่องได้สำเร็จ โดยทุกเครื่องผ่านการทดสอบการจุดระเบิดครั้งแรก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญและเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตการทำงานของผม

 

เนื่องจากการทำตำแหน่งนี้อาศัยการ manage คนและทรัพยากรเป็นหลัก และทำให้มีความรู้กว้างแต่ไม่ลึกในด้านใดด้านหนึ่ง ผมเลยขอหัวหน้าเปลี่ยนตำแหน่งลงมาทำอะไรที่จะได้มีความเป็นเจ้าของของ hardware มากขึ้น ผมเลยได้เปลี่ยนมาเป็น system owner (วิศวกรที่รับผิดชอบเกี่ยวกับระบบใดระบบหนึ่ง) อย่างคนนี้เขาทำ pump คนนี้ทำท่อ เป็นต้น มันจะมีวาล์ว (วาล์วสำหรับเปิด-ปิดหรือควบคุมการไหลของเชื้อเพลิงและแก๊สต่างๆ) หลายตัว ผมก็ได้เป็น system owner สำหรับ 2 อย่างก็คือหลักๆ ทำวาล์วเชื้อเพลิงหลัก (main fuel valve) แล้วก็วาล์วควบคุม (flow control valves) เวลาครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการแก้ปัญหาและพัฒนาระบบที่เป็นเจ้าของอีกครึ่งหนึ่งผมยังใช้ไปกับการสนับสนุนคนคุม engine production คนใหม่ในตำแหน่ง advisor เพราะถือว่ายังมีความสำคัญสูงสุดของบริษัทอยู่ เหนือไปกว่าการพัฒนาคือการผลิต product ที่ใช้งานให้ได้ก่อน

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

ถามว่าทำงานที่นี่แตกต่างจากที่อื่นอย่างไร ผมรู้สึกว่าหลายๆ บริษัทจะทดสอบทุกอย่างให้ชัวร์ก่อน ความเสี่ยงจะต่ำ เพราะทุกอย่างต้องเป๊ะก่อน requirement สำหรับ system ของเขาเป็นหลายๆ ช่อง เขาก็ติ๊กหมดเลย และเพราะงบประมาณสูงด้วยเลยต้องระมัดระวัง แต่ RFA ไม่ได้มีงบเยอะขนาดนั้น บางช่องที่ไม่ได้ติ๊ก ก็เทสต์ใหม่ จนมันเวิร์ก เหมือนปรัชญาของ SpaceX ที่บอกว่าเขาไม่ได้ไปทำทุกอย่างให้มันเวิร์กก่อน คือมันไม่ต้องสร้างเป๊ะมาก แต่คือเทสต์ไปเรื่อยๆ จะได้รู้ว่าจุดไหนผิดถูกแล้วก็จะได้แก้จุดนั้น ถ้าคุณใช้เวลาในการดีไซน์มากเท่าไรมันไม่เห็นเป็นรูปธรรมสักที อย่าง COO ของบริษัทเขาจะพูดเสมอเลยว่าอย่า simulate อะไรที่สามารถทดสอบจริงได้เพราะทำเป็นพันชั่วโมงมันก็ให้คำตอบไม่ตรงเท่ากับการทดสอบจริง

 

ผมดีใจนะที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการส่งมอบเครื่องยนต์จรวดให้นำไปใช้ในการทดสอบ ถึงแม้จะล้มเหลวจากสาเหตุอื่นจนสูญเสียไป 9 เครื่องและตัวจรวด Stage 1 แต่นั่นถือเป็นก้าวแรกที่เราสามารถพยายามส่งมอบของที่มีความ reliable สูงในการนำไปใช้ซึ่งไม่ใช่แค่การขับเคลื่อนบริษัทเท่านั้นแต่คือขับเคลื่อนทั้งยุโรป เพราะว่าทั้งทวีปยุโรปมีแค่ไม่กี่บริษัทที่ทำได้ นี่คือความแตกต่างที่เราสร้างและ RFA จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับยุโรป

 

ในอนาคตเราจะทำจรวดที่มีแรงขับเคลื่อนเยอะกว่านี้ requirement ก็จะสูงกว่านี้ แรงดันก็จะสูงกว่านี้ ปีที่แล้วมันใกล้สำเร็จมากๆ แล้ว ก็ยังมีความหวังว่าจะได้เห็นมันได้ launch เป็นจรวดลำแรกจากพื้นดิน EU ปล่อยขึ้นที่พัฒนาโดยภาคเอกชนก่อนสิ้นปีนี้ อันนี้คือภารกิจที่อยากจะทำให้สำเร็จ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

มองอวกาศประเทศไทยอย่างไร

 

อาชว์: ผมคิดว่าคนไทยที่มีอำนาจในการให้งบประมาณอาจยังไม่เข้าใจ R&D มากพอ การที่อุตสาหกรรมหรือการวิจัยเติบโตได้คือต้องไม่หวังผลทุกรอบ มันไม่ได้ contribute to product ที่ทำเงินได้เอามาก่อน มันเป็นพื้นฐานในการต่อยอดขึ้นไปทำ application แล้วก็เป็น industry ต่อไปได้

 

ประเทศไทยเราต้องมี Heavy Industry ที่เป็นเจ้าของเป็น OEM เป็นผู้พัฒนา ยิ่งเราเริ่มช้าเรายิ่งตกขบวน ไม่ใช่ว่าคุณอยากพัฒนา product ที่เป็น end application แต่ว่าคุณไม่มี industry รองรับถามว่าถ้าเราไปซื้อของจีน ของอินเดียมาแบบนั้นได้ไหม ได้ แต่มันไม่คล่องตัวและไม่ยั่งยืนเท่าการที่จะมี Supplier ภายในประเทศ รวมถึงระบบการศึกษาที่ต้องยกระดับด้วยเพื่อให้เด็กไทยมี analytical mindset ที่สำคัญมากในการเรียนวิชา STEM

 

ผมพยายามเก็บประสบการณ์ทำงานจากต่างประเทศแล้วกลับมาสร้าง infrastructure ให้กับประเทศไทยด้าน space economy แน่นอน เรื่องจรวดผมรู้อยู่แล้วว่ามันทำไม่ได้ ก็คงต้องดูว่าเทคโนโลยีไหนที่มันทำเงินได้และเป็น expertise ของตัวเองด้วย แต่คงไม่ถึงกับแบบเป็น product ที่เป็นจรวดเป็นลำ ผมเป็นคนที่อยากต้องพัฒนาอะไรไปด้วยจริงๆ อาจจะกลับมาทำสตาร์ทอัพ supply chain ชิ้นส่วนด้านจรวดและสอนหนังสือไปด้วยก็เป็นไปได้ครับ ขึ้นอยู่กับการผลักดันจากทางภาครัฐเพราะผมก็ไม่สามารถจะช่วยประเทศชาติได้ถ้าต้องมาขาดทุนส่วนตัวในการพัฒนาประเทศ มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ส่วนผมมีหน้าที่ใช้ความรู้ขับเคลื่อนสังคมตามกำลังที่มี

 

วิศวกรอวกาศถ้าสร้างจรวดได้แปลว่าสร้างอะไรก็ได้บนโลกใบนี้

 

อาชว์: ผมคิดว่าศาสตร์ของผมก็จะ Old School นิดหนึ่ง อย่างน้อยมันอาจจะมีสิ่งที่เหมือนกันคือพื้นฐานความรู้ในการทำและคิดแก้ไขปัญหาบางอย่างที่มันเหมือนกัน มันสามารถประยุกต์ใช้สร้างสิ่งต่างๆ ได้ วิศวกรถ้าให้นิยามก็ต้องเป็นคนที่เข้าใจ first principles คือหลักแก่นแท้ของศาสตร์แต่ละอันคือคุณเข้าใจตรงนี้แล้วคุณประยุกต์มาใช้ให้ถูกต้องนั่นคือวิศวะในการแก้ปัญหาซึ่ง Elon Musk เคยพูดเรื่องนี้บ่อยๆ

 

อยากฝากอะไรถึงน้องๆ หรือคนที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้แต่สนใจด้านอวกาศ

 

ผมโชคดีมากๆ ที่ทางบ้านมีทุนพอที่จะส่งผมไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยไม่ต้องไปดิ้นรนหาทุนเอาเอง จากจุดนั้นจนถึงวันนี้ผมค่อยเดินอีกครึ่งทางต่อมาด้วยตัวเอง สำหรับน้องๆ คนไทยหลายๆ คนผมรู้ว่ามันลำบากที่จะต้องเดินด้วยตัวเองทั้งทางตั้งแต่แรกจนจบ แต่มันเป็นไปได้ ผมไม่อยากจะดูแคลนการศึกษาประเทศไทยแต่ดูจาก ranking มหาวิทยาลัยแค่ภายในทวีปต้องยอมรับว่าเรายังล้าหลังอยู่มาก ผมสนับสนุนว่าถ้ามีโอกาสอยากจะให้ออกมาสัมผัสการศึกษาในประเทศที่ขึ้นชื่อในศาสตร์ที่ตัวเองสนใจ

 

สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมล้วนแล้วมาจากการที่ได้ท้าทาย comfort zone ตัวเอง การที่ได้ทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัดหรือคุ้นชินคือการที่ได้ผลักดันตัวเองไปในทางที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่แค่ในทางการงานแต่ในชีวิตประจำวันด้วย สำคัญที่สุดคืออย่านิ่งนอนใจว่าโอกาสมันจะตกใส่ตัวเอง มันไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าเราไม่กระตือรือร้นไขว่คว้ามันเอง สำหรับน้องๆ ที่มี passion กับอะไรสักอย่าง อยากจะบอกให้ take action เพราะยิ่งรอนานยิ่งจะเฉื่อย การจะส่งอะไรไปดวงจันทร์ถ้าเล็งวงโคจรนั้นพลาดไปแค่องศาเดียวสุดท้ายจะคลาดเป้าหมายไปเกือบหมื่นกิโลเมตร ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายแล้วก็ควรจะปรับโคจรตัวเองแต่เนิ่นๆ แล้วก็ปรับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางด้วย ที่สุดแล้วต้องถามตัวเองลึกๆ ก่อนว่าจุดหมายของเราคืออะไรแล้วก็อย่าชะล่าใจในการวิ่งตามมัน

 

สุดท้ายอยากฝากมอตโตที่ผมชอบในภาษาละติน ซึ่งเป็นคติที่ผลักดันให้ผมกล้าหาหนทางเดินต่อไปได้คือ “Aut viam inveniam aut faciam” (I shall either find a way or make one) แปลว่า “ฉันจะหาทางให้ไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าเส้นทางนั้นไม่มี ก็ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง” 

The post จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา appeared first on THE STANDARD.

]]>