Science – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 07 Feb 2025 11:01:57 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 นักดาราศาสตร์พบดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ กำลังโคจรรอบดาวฤกษ์เล็กกว่าดวงอาทิตย์ https://thestandard.co/new-giant-planet-orbiting-dwarf-star/ Fri, 07 Feb 2025 11:01:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1039506 ดาวเคราะห์ ก๊าซยักษ์

นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์ที่มีมวลมากกว่า 12 เท่าของด […]

The post นักดาราศาสตร์พบดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ กำลังโคจรรอบดาวฤกษ์เล็กกว่าดวงอาทิตย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดาวเคราะห์ ก๊าซยักษ์

นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์ที่มีมวลมากกว่า 12 เท่าของดาวพฤหัสบดี แต่โคจรรอบดาวฤกษ์ที่เล็กกว่าดวงอาทิตย์ ในระบบดาวที่อยู่ห่างไปเพียง 244 ปีแสงจากโลก นับว่าเป็นระยะทางที่ค่อนข้างใกล้กับระบบสุริยะ

 

การค้นพบดังกล่าวมาจากข้อมูลของกล้องโทรทรรศน์อวกาศ Gaia ขององค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ที่ศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุมากกว่า 2,000 ล้านชิ้น ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ปฏิบัติภารกิจสร้างแผนที่ทางช้างเผือก ฉบับที่มีความสมบูรณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์

 

ด้วยการศึกษาการเคลื่อนที่ไปมาของวัตถุต่างๆ ในทางช้างเผือก รวมถึงบรรดาดาวฤกษ์ที่อาจมีดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะโคจรรอบ ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถตรวจหาการ ‘ส่าย’ อันเนื่องจากอิทธิพลแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ที่กระทำต่อดาวฤกษ์ ราวกับว่าดาวดวงนั้นกำลังควงสว่านอยู่บนท้องฟ้า เมื่อตรวจดูความเปลี่ยนแปลงจากช่วงเวลาที่ยาวนาน

 

จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์ Gaia-4b ดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ที่มีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดีถึง 12 เท่า กำลังโคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ Gaia-4 ที่มีมวลเพียง 64% ของดวงอาทิตย์ ซึ่งอาจเป็นดาวฤกษ์ประเภทดาวแคระแดง หรือดาวแคระส้ม (ดวงอาทิตย์เป็นดาวแคระเหลือง)

 

“ดาวเคราะห์ดวงนี้มีคาบการโคจรมากกว่า 570 วัน ทำให้เป็นดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ที่ค่อนข้างเย็นมากๆ” Guðmundur Stefánsson หัวหน้าคณะวิจัยจาก University of Amsterdam เปิดเผยผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ ESA ว่า “การค้นพบดาวเคราะห์ขนาดใหญ่รอบดาวฤกษ์ขนาดเล็กเกิดขึ้นได้ยากมาก แต่เมื่อเราตรวจเจอแล้วจะเห็นการส่ายของดาวฤกษ์ที่ค่อนข้างชัดเจน จนนำไปสู่การพบเจอได้”

 

นอกจากนี้นักดาราศาสตร์ยังพบดาวแคระน้ำตาล ดาวที่มีมวลมากเกินกว่าจะเป็นดาวเคราะห์ แต่ก็เบาเกินกว่าจะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเป็นดาวฤกษ์ได้ มีชื่อว่า Gaia-5b อันมีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดี 21 เท่า โคจรรอบดาวฤกษ์ Gaia-5 ซึ่งเป็นดาวฤกษ์แบบแคระแดง ที่มีมวลเพียง 34% ของดวงอาทิตย์เท่านั้น

 

Matthew Standing นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของ ESA เปิดเผยว่า “การค้นพบในครั้งนี้เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของการค้นพบดาวเคราะห์จากข้อมูลยาน Gaia เท่านั้น เราคาดว่าจะมีการเจอดาวเคราะห์ดวงใหม่ๆ อีกมากมายในอนาคต” โดย ESA เตรียมเผยข้อมูลชุดใหม่จากยาน Gaia เพิ่มเติมในปี 2026 และระบุว่าอาจนำไปสู่การพบดาวเคราะห์นอกระบบได้อีกหลายพันดวงด้วยกัน

 

งานวิจัยการค้นพบดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ใน The Astrophysical Journal เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025

 

ภาพ: ESA / Gaia / DPAC/M. Marcussen

อ้างอิง:

The post นักดาราศาสตร์พบดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ กำลังโคจรรอบดาวฤกษ์เล็กกว่าดวงอาทิตย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ESA เผยภาพ ‘จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด’ แบบที่ไม่เคยเห็นได้มาก่อน จากกล้องเจมส์ เว็บบ์ https://thestandard.co/esa-reveals-new-image-herbig-haro-30/ Thu, 06 Feb 2025 04:57:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1038635 จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด

องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA เผยภาพถ่าย ‘จานดาวเคราะห์ก่อ […]

The post ESA เผยภาพ ‘จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด’ แบบที่ไม่เคยเห็นได้มาก่อน จากกล้องเจมส์ เว็บบ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด

องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA เผยภาพถ่าย ‘จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด’ จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ พร้อมรายละเอียดที่ไม่เคยเห็นได้มาก่อน

 

ภาพดังกล่าวคือวัตถุ Herbig-Haro 30 ประกอบด้วยดาวฤกษ์อายุน้อยที่ห้อมล้อมไปด้วยฝุ่นก๊าซในจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด หรือ Protoplanetary Disc ซึ่งอยู่ห่างจากโลกไป 477 ปีแสง ในเนบิวลามืด LDN 1551 และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเมฆโมเลกุลในกลุ่มดาววัว (Taurus Molecular Cloud)

 

วัตถุดังกล่าวค่อนข้างได้รับความสนใจจากนักดาราศาสตร์ เนื่องจากสามารถสังเกตเห็นแนวด้านข้างของจานดาวเคราะห์ก่อนเกิดได้จากโลกพอดี จนกลายเป็นตัวอย่างสำคัญให้ศึกษาการเคลื่อนตัวของฝุ่นก๊าซ ลำเจ็ตที่พุ่งออกมา เช่นเดียวกับลักษณะโดยรวมจากแนวข้างของจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด

 

จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด กำเนิดขึ้นจากมวลสารที่หลงเหลือจากการกำเนิดดาวฤกษ์ ซึ่งมวลสารดังกล่าวจะค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นก้อนวัตถุขนาดใหญ่ขึ้น และมีวิวัฒนาการไปเป็นดาวเคราะห์ในท้ายที่สุด ซึ่งการศึกษาจานดาวเคราะห์ก่อนเกิดแบบวัตถุ Herbig-Haro 30 อาจช่วยให้นักดาราศาสตร์ทำความเข้าใจยุคแรกเริ่มของระบบสุริยะ ก่อนจะมีดาวเคราะห์ต่างๆ กำเนิดขึ้นมาได้

 

เนื่องจากจานดาวเคราะห์ก่อนเกิดมักซ่อนอยู่หลังกลุ่มเมฆที่หนาทึบ ทำให้เป็นเรื่องยากในการสังเกตเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กล้องเจมส์ เว็บบ์ที่สำรวจจักรวาลในช่วงคลื่นอินฟราเรด มีความสามารถในการส่องทะลุเมฆโมเลกุลไปได้ ก่อนเผยให้เห็นรายละเอียดอย่างที่ไม่เคยบันทึกได้มาก่อน ผ่านการบันทึกภาพด้วยอุปกรณ์ NIRCam (อินฟราเรดใกล้) และ MIRI (อินฟราเรดกลาง) ก่อนนำข้อมูลทั้งสองช่วงคลื่นมาประมวลผลรวมกัน

 

นอกจากข้อมูลภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ แล้ว นักดาราศาสตร์ยังใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล และกล้อง ALMA หรือ Atacama Large Millimeter/submillimeter Array ซึ่งช่วยให้เข้าใจถึงความหลากหลายในวัตถุ Herbig-Haro 30 ที่บ่งชี้ว่าฝุ่นขนาดเล็กและลำเจ็ตของระบบดาวจะมีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของดาวเคราะห์ขึ้นมาได้

 

ภาพ: NASA, ESA, CSA, Tazaki et al.

อ้างอิง:

 

The post ESA เผยภาพ ‘จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด’ แบบที่ไม่เคยเห็นได้มาก่อน จากกล้องเจมส์ เว็บบ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แผ่นดินไหวที่ลึกที่สุดเท่าที่เคยมีมา เกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไร นักวิทยาศาสตร์มีคำตอบแล้ว https://thestandard.co/deepest-earthquake-recorded/ Sun, 02 Feb 2025 07:01:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1037316 deepest-earthquake-recorded

แผ่นดิน​ไหวเป็นสิ่งที่เกิดมาตั้งแต่ผิวโลกเริ่มเย็นตัวลง […]

The post แผ่นดินไหวที่ลึกที่สุดเท่าที่เคยมีมา เกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไร นักวิทยาศาสตร์มีคำตอบแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
deepest-earthquake-recorded

แผ่นดิน​ไหวเป็นสิ่งที่เกิดมาตั้งแต่ผิวโลกเริ่มเย็นตัวลงเป็นของแข็งหลังก่อตัวขึ้นเป็นดาวเคราะห์ แต่มนุษย์​ยังมีความเข้าใจปรากฏ​การณ์​นี้น้อยมาก แม้จะมีบันทึกว่ามนุษย์​สนใจศึกษาปรากฏการณ์​ธรรมชาติ​นี้มาตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราชก็ตาม แต่กว่าจะเริ่มเข้าใจสาเหตุ​ที่มา ลักษณะ​การเกิด รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยวิทยาการใน​ศตวรรษ​ที่ 20 เข้ามาช่วยในการศึกษา​ค้นคว้า ​จึงทำให้เดินหน้า​ต่อไปได้

 

สาเหตุที่ความเข้าใจ​เกี่ยวกับความเป็นมาเป็นไปของแผ่นดินไหวดำเนินไปได้ค่อนข้างช้า ก็เพราะแผ่นดินไหวนั้น​เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบริเวณ​หนึ่งของโลกที่สำรวจได้ยากเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือใต้ผิวโลกที่มีความลึกลงไปจากเริ่มต้นกิโลเมตร​แรกลงไปจนถึงหลักหลายร้อยกิโลเมตรด้านล่าง

 

ภาพแสดงคลื่น P (ปฐมภูมิ) และ S (ทุติยภูมิ)

ภาพแสดงคลื่น P (ปฐมภูมิ) และ S (ทุติยภูมิ) ของแผ่นดินไหวที่เดินทางผ่านส่วนต่างๆ ในโลก แล้วปรากฏขึ้นมาที่เครื่องวัดตามสถานีต่างๆ ที่ทำให้เราทราบความเร็วและทิศทาง จนเข้าใจโครงสร้างต่างๆ ภายในโลก

 

ความลึกนี้เองคืออุปสรรค​สำคัญ เพราะเมื่อไม่อาจขุดเจาะลงไปสำรวจได้ด้วยตาตัวเอง (หลุมลึกที่สุดที่ขุดได้คือเพียง 12 กิโลเมตร)​ มนุษย์​ก็จำเป็นต้องอาศัยทางอื่น นั่นคือใช้การสังเกตทิศทาง​และความเร็ว​ของคลื่นที่เกิดจาก​แผ่นดินไหว คลื่นนี้จะ​สะท้อนหักเหไปมาผ่านชั้นต่างๆ ที่เรียงตัวลงไปสู่ใจกลางโลก จนเราสามารถเข้าใจโครงสร้างภายในของดาวเคราะห์​ดวงนี้ได้มากขึ้น​ 

 

สิ่งนี้กลายมาเป็นรากฐานของวิชาการด้านวิทยาแผ่นดินไหว หรือ Seismology ที่แยกต่างหากออกไปจากธรณีวิทยา นักแผ่นดินไหววิทยาจะอาศัยการอ่านค่าและการสังเกตคลื่นแผ่นดินไหวเป็นหลักในรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวต่างๆ ประจำวัน ตลอดจนใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานการค้นพบต่างๆ ออกมาเผยแพร่ให้สาธารณชนได้ทราบกัน 

 

เราจะสนใจค่าความลึกของแผ่นดินไหวไปทำไมกัน

 

ปกติแล้วเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ตัวเลขแรกๆ ที่เราซึ่งเป็นประชาชนทั่วไปสนใจ นอกจากเวลาที่เกิดก็คือขนาดและพิกัดของแผ่นดินไหว เพราะขนาดแผ่นดินไหวที่ใหญ่และพิกัดที่ใกล้เรา หมายถึงแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลต่อเรามากขึ้น แต่ยังมีตัวเลขสำคัญอีกตัวนั่นคือความลึก

 

ค่าความลึกเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ เพราะแผ่นดินไหวนั้นยิ่งเกิดลึก แรงสั่นสะเทือนก็จะลดน้อยลง ยิ่งถ้าแผ่นดินไหวครั้งนั้นๆ เกิดลึกกว่า 300 กิโลเมตรลงไปแล้ว แรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลต่อเราจะค่อนข้างน้อยจนไม่น่าเป็นห่วง แม้จะเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ก็ตาม

 

แต่สำหรับนักแผ่นดินไหววิทยา ความลึกของแผ่นดินไหวยังสำคัญกว่านั้นในแง่ของการค้นคว้า เพื่อให้เข้าใจการพาความร้อนและการปลดปล่อยพลังงานใต้พิภพ การเปลี่ยนเฟสของแร่ที่เป็นเนื้อโลก ไปจนถึงการค้นคว้าหาสาเหตุของแผ่นดินไหวเพิ่มเติมไปจากที่เคยรู้จัก เพราะพฤติกรรมของแผ่นดินไหวโดยทั่วไปที่เกิดบริเวณเปลือกโลกด้านบน จะเกิดขึ้นเพราะการเคลื่อนที่หรือการมุดตัวของเปลือกโลก แต่สำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดในบริเวณที่ลึกลงไปถึงเนื้อโลก สาเหตุจะมาจากสิ่งอื่นที่แตกต่างออกไป

 

แกนโลก

 

แล้วสถิติความลึกที่น่าสนใจคือที่ไหน เท่าไร และเมื่อไร

 

โดยทั่วไปบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดคือบริเวณเปลือกโลก แผ่นดินไหวขนาดเล็กขนาด 2.0-2.9 จะเกิดขึ้นบ่อยมากคือปีละนับล้านครั้งทั่วโลก จำนวนครั้งของแผ่นดินไหวจะยิ่งลดลงเมื่อแผ่นดินไหวมีขนาดใหญ่ขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ขนาด 4.0-4.9 เกิดราวปีละ 10,000 ครั้ง, ขนาด 5.0-5.9 เกิดราว 1,000-1,500 ครั้ง หรือแผ่นดินไหวที่มีขนาด 7.0-7.9 จะมีจำนวนราวๆ 10-20 ครั้งต่อปีทั่วโลก

 

นอกจากเรื่องของขนาดแล้ว ที่บริเวณที่ลึกลงไปจากเปลือกโลก จำนวนครั้งในการเกิดแผ่นดินไหวจะยิ่งลดน้อยลง โดยตลอด 100 ปีที่ผ่านมามีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่า 7.0 ที่เกิดที่ระดับความลึกเกินกว่า 300 กิโลเมตรเพียง 89 ครั้งเท่านั้น

 

สถิติที่น่าสนใจคือแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2015 เป็นแผ่นดินไหวขนาด Mw 7.9 บริเวณ​หมู่เกาะ​โองาซาวาระ ห่างจากกรุงโตเกียวลงไปทางใต้ราว 1,000 กิโลเมตร นอกชายฝั่งญี่ปุ่น แผ่นดินไหว​นี้เกิดที่ระดับความลึก 680 กิโลเมตรในเขตมุดตัวอิซุ-โบนิน

 

แผ่นดินไหวครั้งดังกล่าวนี้ซึ่งเรียกกันย่อๆ ว่า ‘2015 M7.9 โบนิน’ กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เนื่องจากในอดีตนักแผ่นดินไหววิทยายังไม่เคยพบว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเนื้อโลกส่วนล่าง หรือ Lower Mantle เกินระดับความลึก 750 กิโลเมตร​​มาก่อนเลย เนื่องจากเป็นส่วนที่ประกอบด้วยเนื้อแร่โอลิวีนที่มีความนุ่มจากอุณหภูมิและแรงกดดันสูง (สีเขียวในภาพด้านบน) จนกระทั่งมีงานวิจัยของทีมงาน ผศ.อีริก ไคเซอร์ จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2021 อ้างว่าพบอาฟเตอร์ช็อกจากแผ่นดินไหว 2015 M7.9 โบนิน เกิดลึกลงไปถึงเนื้อโลกส่วนล่างที่ค่าความลึก 751 กิโลเมตร เท่ากับว่าทีมงานของ ผศ.ไคเซอร์ พบแผ่นดินไหว​ในเนื้อโลกส่วนล่าง​เป็น​ครั้งแรก

 

ประเด็นก็คือ​ มีงานวิจัย​ล่าสุดซึ่งตีพิมพ์​เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่​ผ่าน​มา โดย จางห่าว จากภาควิชาธรณีศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ที่มีความเห็นแย้งงานค้นพบของ ผศ.ไคเซอร์ โดยจางห่าวใช้เทคนิค Backprojection ซึ่งทำได้โดยใช้คลื่นแผ่นดินไหว​ทั้งคลื่น P (ปฐมภูมิ) และ S (ทุติยภูมิ) ที่ได้จากเครือข่าย Hi-net ของญี่ปุ่น คำนวณย้อนกลับไปหาตำแหน่ง​จริงของแหล่งกำเนิด​คลื่น ​โดยกำหนดค่าอัตราส่วนระหว่างสัญญาณจริงกับสัญญาณรบกวน หรือ SNR ≥ 5 จนพบอาฟเตอร์ช็อกของแผ่นดินไหว​ M7.9 โบนิน จำนวน 14 ครั้งที่เกิดในรัศมี​ 150 กิโลเมตร​จากจุดโฟกัส​ของ​แผ่นดินไหวหลัก 

 

อาฟเตอร์ช็อกที่เกิดในสัปดาห์แรกเรียงตัวตามระนาบการแตกตัวหลัก แสดงการกระจายความเครียดในแนวลงลึก (Down Dip) อาฟเตอร์ช็อกที่เกิดในสัปดาห์ถัดไปกระจายตัวกว้างขึ้นรอบพื้นที่แตกตัวหลัก ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดหรือการแพร่ของของไหล แต่ทั้งหมดทั้งมวลจางห่าวพบอาฟเตอร์ช็อกที่ออกนอกกลุ่มลึกลงไปด้านล่างน้อยมาก ครั้งที่ลึกที่สุดเกิดที่ความลึก 707 กิโลเมตร​ ไม่ใช่ 751 กิโลเมตร​ตามงานวิจัย​ของ ผศ.ไคเซอร์

 

งานวิจัย​ของจางห่าวจึงถือเป็นการหักล้างการค้นพบของ ผศ.อีริก ไคเซอร์ ก่อนหน้านี้ และสถิติแผ่นดินไหว​ที่ลึกที่สุดในโลกก็จะย้อนกลับไปที่สถิติเดิมนั่นคือที่ความลึก 735.8 กิโลเมตรในเหตุการณ์​แผ่นดินไหว​ขนาด mb 4.2 บริเวณ​หมู่เกาะ​วานูอาตู​เมื่อเดือนเมษา​ยน ปี 2004 ซึ่งบันทึกเอาไว้โดย USGS 

ทีมงานของจางห่าวตีพิมพ์งานวิจัย​ใน​วารสาร https://phys.org/news/2025-01-aftershock-analysis-world-deepest-earthquake.html#google_vignette

 

ภาพ: Andrey VP via Shutterstock

 

อ้างอิง: 

The post แผ่นดินไหวที่ลึกที่สุดเท่าที่เคยมีมา เกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไร นักวิทยาศาสตร์มีคำตอบแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
รำลึก 57 ปี โศกนาฏกรรม Apollo 1 ก้าวแรกสู่ดวงจันทร์ของ NASA ที่จบลงในเปลวเพลิง https://thestandard.co/apollo1-tragedy-57-years/ Mon, 27 Jan 2025 10:05:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1034974 apollo1-tragedy-57-years

“Per aspera ad astra” วลีภาษาละตินที่มีความหมายว่า ฝ่าผ […]

The post รำลึก 57 ปี โศกนาฏกรรม Apollo 1 ก้าวแรกสู่ดวงจันทร์ของ NASA ที่จบลงในเปลวเพลิง appeared first on THE STANDARD.

]]>
apollo1-tragedy-57-years

“Per aspera ad astra” วลีภาษาละตินที่มีความหมายว่า ฝ่าผ่านความยากลำบากไปสู่ดวงดาว เป็นวลีและคติย้ำเตือนใจถึงความท้าทายในการพิชิตห้วงอวกาศ เพราะแม้ว่าจะมีผู้คนกว่า 600 ชีวิตที่เคยเดินทางไปนอกโลก แต่เส้นทางสู่ดวงดาวนั้นล้วนเต็มไปด้วยขวากหนาม และบางครั้งก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสีย

 

หนึ่งในความสูญเสียดังกล่าวเกิดขึ้นกับภารกิจแรกของโครงการ Apollo โครงการเรือธงที่มีเป้าหมายส่งมนุษย์ไปลงดวงจันทร์ ที่จบลงในเปลวเพลิงและการสูญเสียนักบินอวกาศ 3 คนไปแบบไม่มีทางที่จะช่วยเหลือได้ทันท่วงที

 

ภารกิจดังกล่าวคือ Apollo 1 หรือเป็นที่รู้จักในนาม AS-204 ณ ขณะนั้นได้รับการวางแผนให้เป็นภารกิจแรกของโครงการ Apollo ที่มีนักบินอวกาศโดยสารไปด้วย เพื่อเป็นภารกิจทดสอบความพร้อมระบบต่างๆ ของยานอวกาศในวงโคจรรอบโลกนาน 14 วัน

 

ลูกเรือทั้งสามของ Apollo 1 ได้แก่ Gus Grissom ผู้บัญชาการมากประสบการณ์, Ed White ฮีโร่อเมริกัน ผู้ออกไปทำ Spacewalk หรือทำงานนอกยานอวกาศเป็นครั้งแรก และ Roger Chaffee นักบินอวกาศหน้าใหม่ ซึ่งทั้งสามได้ร่วมฝึกซ้อมขั้นตอนต่างๆ กับยานอวกาศลำใหม่ของ NASA รวมถึงในวันที่ 27 มกราคม 1967 ซึ่งเป็นการทำ Plugs-out Test หรือการทดสอบว่าระบบของยานอวกาศสามารถทำงานด้วยแบตเตอรี่ภายในโดยไม่เชื่อมต่อสายเข้ากับฐานปล่อยได้หรือไม่

 

การทดสอบดังกล่าวถูกมองว่าไม่เป็นอันตรายใดๆ เนื่องจากไม่มีการเติมเชื้อเพลิงให้กับตัวจรวดและยานอวกาศ อย่างไรก็ตาม ยานบังคับการ หรือยาน Command Module รุ่นแรกของโครงการ Apollo นั้นเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด จากทั้งระบบภายในที่มีความซับซ้อนกว่ายานอวกาศรุ่นก่อนหน้า และแรงกดดันของ Space Race ระหว่างสหรัฐฯ กับโซเวียต ทำให้ NASA และบริษัทผู้รับเหมาอย่าง North American Aviation ต่างเร่งพัฒนาจนมองข้ามปัจจัยความปลอดภัยบางอย่างไป

 

นักบินอวกาศของภารกิจ Apollo 1 ต่างกังวลถึงวัตถุที่สามารถติดไฟได้ง่ายอยู่ในยานอวกาศที่มีบรรยากาศประกอบด้วยออกซิเจน 100% เป็นจำนวนมาก จนพวกเขาถ่ายภาพทำท่ากำลังพนมมือสวดขอพรต่อหน้าโมเดลแบบจำลองยานอวกาศ พร้อมกับเขียนข้อความข้างหลังภาพส่งให้ Joseph Shea ผู้จัดการสำนักงานที่ดูแลยานอวกาศโครงการ Apollo ว่า

 

“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อใจคุณนะ แต่รอบนี้เราอาจต้องพึ่งอะไรที่เหนือกว่าคุณหน่อยละ”

 

การทดสอบดำเนินไปอย่างล่าช้า เนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้นกับระบบต่างๆ โดยนักบินอวกาศทั้งสามได้เริ่มเข้านั่งประจำที่ในยานอวกาศตั้งแต่เวลา 13.00 น. จนล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นของวัน ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาระบบสื่อสารได้ จนกระทั่ง Gus Grissom บ่นออกมาว่า “เราจะไปดวงจันทร์กันได้อย่างไร ถ้ายังคุยกันแค่ 2-3 ช่วงตึกไม่รู้เรื่อง”

 

เพียงไม่นานหลังจากนั้น เมื่อเวลา 18.31 น. กระแสไฟฟ้าลัดวงจรในยานบังคับการของ Apollo 1 ทำให้เกิดประกายไฟขึ้น โดยที่นักบินอวกาศเริ่มรายงานว่ามีไฟไหม้เมื่อเวลา 18.31.04 น. โดยเปลวเพลิงค่อยๆ ลุกลามจากด้านซ้ายไปขวาอย่างรวดเร็ว ในยานอวกาศที่มีบรรยากาศเป็นออกซิเจน 100% พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ถูกบันทึกได้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ระบบสื่อสารทั้งหมดจะขาดหายไป

 

แม้เจ้าหน้าที่ประจำฐานปล่อยได้รีบรุดเข้าไปให้ความช่วยเหลือ แต่ด้วยอุณหภูมิที่สูง เขม่าควันล้อมรอบ และประตูยานที่ต้องถอดประกอบออก 3 ส่วนก่อนจะเปิดออกมาได้ ทำให้ความพยายามกู้ภัยแทบเป็นไปได้เลย โดยต้องรอนานกว่า 5 นาทีก่อนจะเปิดประตูทั้งหมดได้ ซึ่งก็สายเกินไปแล้ว

 

นักบินอวกาศทั้งสามเสียชีวิตอยู่ในยาน โดยข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยระบุว่าร่างของ Gus Grissom และ Ed White ไม่ได้อยู่ติดกับเก้าอี้ตนเอง อาจเป็นเพราะพวกเขาได้พยายามเปิดประตูยานออกมา โดยที่ Roger Chaffee เป็นคนเดียวที่ยังนั่งประจำที่เพื่อคอยสื่อสารกับศูนย์ควบคุมจนกว่าจะเปิดประตูได้ ตามแผนการที่ทั้งสามคนได้เคยซักซ้อมไว้

 

ความสูญเสียดังกล่าวส่งผลให้โครงการ Apollo หยุดชะงักไปนานกว่า 18 เดือน เพื่อปรับแก้ข้อผิดพลาดทั้งหมด และเป็นเหมือนการเรียกสติให้ NASA ดำเนินแผนการส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์อย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามคำมั่นสัญญาของ John F. Kennedy อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวไว้

 

เปลวเพลิงจากความสูญเสียของ Apollo 1 เป็นบทเรียนสำคัญที่ส่งให้ Apollo 11 พามนุษย์คนแรกไปลงเดินบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ เช่นเดียวกับอาจช่วยชีวิตนักบินอวกาศทั้งสามของภารกิจ Apollo 13 ที่ถังออกซิเจนระเบิดระหว่างทางไปดวงจันทร์ไว้ได้ ซึ่งตอกย้ำว่าเส้นทางสู่ดวงดาวนั้นยากลำบากเสมอ และพวกเราจะไม่ลืมชื่อของผู้เสียสละทุกคนที่กรุยทางพามนุษยชาติเดินทางไปสู่หมู่ดาวได้สำเร็จ

 

ภาพ: NASA

 

อ้างอิง:

The post รำลึก 57 ปี โศกนาฏกรรม Apollo 1 ก้าวแรกสู่ดวงจันทร์ของ NASA ที่จบลงในเปลวเพลิง appeared first on THE STANDARD.

]]>
NASA เตรียมแถลงข่าวผลการศึกษาหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู 29 มกราคมนี้ https://thestandard.co/asteroid-bennu-study-nasa-update/ Mon, 27 Jan 2025 09:47:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1034969

NASA เตรียมแถลงข่าววันที่ 29 มกราคมนี้ ถึงผลการศึกษาตัว […]

The post NASA เตรียมแถลงข่าวผลการศึกษาหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู 29 มกราคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

NASA เตรียมแถลงข่าววันที่ 29 มกราคมนี้ ถึงผลการศึกษาตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู ที่ยานอวกาศ OSIRIS-REx นำกลับมาสู่โลกเมื่อเดือนกันยายน 2023

 

ยาน OSIRIS-REx หรือชื่อเต็มว่า Origins, Spectral Interpretation, Resource Identification, and Security-Regolith Explorer เป็นภารกิจแรกของ NASA ที่เดินทางไปสำรวจดาวเคราะห์น้อยเบนนู ดาวเคราะห์น้อยที่มีองค์ประกอบของคาร์บอนเป็นหลัก

 

ภารกิจดังกล่าวเดินทางถึงดาวเคราะห์น้อยเบนนูในปี 2018 และลงเก็บตัวอย่างหินในปี 2020 ได้รวมกว่า 121.6 กรัม โดยนำใส่แคปซูลเพื่อส่งกลับมาลงจอดบนโลกเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2023 หลังจากเดินทางไกลกว่า 6.2 พันล้านกิโลเมตร ตลอดระยะเวลาภารกิจนานกว่า 7 ปีในห้วงอวกาศลึก

 

หลังจากร่อนลงจอด ณ พื้นที่ฝึกและทดสอบของกระทรวงกลาโหม รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา มีทีมเจ้าหน้าที่เข้ามาเก็บกู้แคปซูลเพื่อนำไปห้องปลอดเชื้อ และแยกตัวอย่างหินออกเป็นสัดส่วนต่างๆ เพื่อใช้ในการศึกษาโดยนักวิจัยของ NASA หน่วยงานอวกาศพันธมิตร และนักวิทยาศาสตร์จากนานาประเทศ

 

คาดการณ์ว่าการแถลงข่าวครั้งนี้จะมีรายงานความคืบหน้าผลการศึกษาตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตรวจพบแมกนีเซียม-โซเดียมฟอสเฟต โดย Dante Lauretta หัวหน้าคณะวิจัยของภารกิจ OSIRIS-REx ระบุในการแถลงผลเบื้องต้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ว่า “การพบฟอสเฟตและองค์ประกอบต่างๆ บนเบนนูบ่งชี้ว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้อาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของดาวที่ปกคลุมด้วยมหาสมุทรมาก่อน แต่สมมติฐานนี้ยังต้องอาศัยการตรวจสอบอย่างละเอียดเพิ่มเติมอยู่”

 

สำหรับการแถลงข่าวจะมีขึ้นทางออนไลน์ในวันที่ 29 มกราคม เวลา 23.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยมีนักวิทยาศาสตร์ของภารกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาแร่ และผู้ดูแลอุกกาบาตประจำพิพิธภัณฑ์ ร่วมให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชน

 

ภาพ: NASA

อ้างอิง:

The post NASA เตรียมแถลงข่าวผลการศึกษาหินจากดาวเคราะห์น้อยเบนนู 29 มกราคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักดาราศาสตร์เจอดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่ ก่อนพบว่าเป็นรถยนต์ของ อีลอน มัสก์ https://thestandard.co/new-asteroid-elon-musks-car/ Sun, 26 Jan 2025 11:50:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1034660

นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่โคจรเข้ามาเฉียดใ […]

The post นักดาราศาสตร์เจอดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่ ก่อนพบว่าเป็นรถยนต์ของ อีลอน มัสก์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่โคจรเข้ามาเฉียดใกล้โลกกว่าวงโคจรของดวงจันทร์ ก่อนจะทราบในภายหลังว่าสิ่งที่เขาค้นพบคือรถยนต์ของ อีลอน มัสก์ ที่ถูกส่งไปดาวอังคารกับจรวด Falcon Heavy เที่ยวบินแรกในปี 2018

 

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2025 Minor Planet Center (MPC) สำนักงานของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลที่รับผิดชอบรวบรวมข้อมูลวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ เช่น ดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์แคระ และดาวหาง เผยแพร่ข้อมูลการค้นพบดาวเคราะห์น้อย 2018 CN41 ซึ่งมีระยะเข้ามาเฉียดใกล้โลกประมาณ 240,000 กิโลเมตร

 

เอช. เอ. กูเลอร์ นักดาราศาสตร์ชาวตุรกี ใช้ซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นมาเอง เพื่อตรวจดูฐานข้อมูลของสำนักงาน MPC จนได้ค้นพบวัตถุปริศนาดังกล่าว ซึ่งมีการสำรวจและถ่ายภาพโดยกล้องโทรทรรศน์ต่างๆ ก่อนส่งข้อมูลวงโคจรให้ MPC นำไปตรวจสอบและเผยแพร่ว่าเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่ ซึ่งเฉียดผ่านใกล้โลกเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2018

 

อย่างไรก็ตาม วันที่ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับการขึ้นบินของจรวด Falcon Heavy เที่ยวบินทดสอบอย่างเต็มรูปแบบครั้งแรกของ SpaceX โดยมีการนำส่งจรวดส่วนที่ 2 ติดกับรถยนต์ Tesla Roadster ของอีลอน มัสก์ เดินทางขึ้นสู่อวกาศไปเมื่อเช้ามืดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2018 ตามเวลาประเทศไทย

 

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าตำแหน่งของดาวเคราะห์น้อย 2018 CN41 มีความใกล้เคียงกับวัตถุ 2018-017A ที่เป็นจรวดส่วนบนของ Falcon Heavy ที่ถูกส่งมุ่งหน้าไปสู่ดาวอังคาร ก่อนที่ MPC จะออกมาชี้แจงในวันที่ 3 มกราคม 2025 ว่าวัตถุดังกล่าวไม่ใช่ดาวเคราะห์น้อย แต่เป็นรถยนต์ของอีลอน มัสก์ ที่กำลังโคจรรอบดวงอาทิตย์ในห้วงอวกาศลึก โดยรถ Tesla Roadster จะกลับมาเฉียดใกล้โลกอีกครั้งในปี 2047 ด้วยระยะห่างประมาณ 5 ล้านกิโลเมตร

 

ภาพ: SpaceX

อ้างอิง:

The post นักดาราศาสตร์เจอดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่ ก่อนพบว่าเป็นรถยนต์ของ อีลอน มัสก์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
LOGSATS-2 ดาวเทียมดวงแรกของเอกชนไทย ที่ติดต่อกลับโลกจากอวกาศได้สำเร็จ https://thestandard.co/logsats-2-space-communication/ Sat, 25 Jan 2025 12:52:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1034514

วานนี้ (24 มกราคม) เวลา 23.03 น. ดาวเทียม LOGSATS-2 จาก […]

The post LOGSATS-2 ดาวเทียมดวงแรกของเอกชนไทย ที่ติดต่อกลับโลกจากอวกาศได้สำเร็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วานนี้ (24 มกราคม) เวลา 23.03 น. ดาวเทียม LOGSATS-2 จากการผลิตและประกอบโดยวิศวกรไทย บริษัท EOS Orbit สามารถส่งข้อมูลชุดแรกกลับถึงโลกได้สำเร็จ

 

LOGSATS-2 เป็นดาวเทียมประเภท CubeSat ขนาด 3U หรือ 10x10x30 เซนติเมตร ถูกนำส่งขึ้นสู่วงโคจรแบบ Sun-Synchronous Orbit กับจรวด Falcon 9 ภารกิจ Transporter-12 เมื่อวันที่ 15 มกราคม เวลา 02.09 น. ตามเวลาประเทศไทย จากฐานปล่อย ณ ฐานทัพอวกาศ Vandenberg รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

 

หลังจากนำส่งขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ ดาวเทียม LOGSATS-2 ได้แยกตัวออกจากระบบนำส่งเมื่อวันที่ 22 มกราคม โดย สุปิติ บูรณวัฒนาโชค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท EOS Orbit ระบุว่า ดาวเทียมมีกำหนดผ่านเหนือน่านฟ้าประเทศไทยในคืนวันที่ 24 มกราคม ระหว่างเวลา 23.01-23.09 น. ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการรอรับสัญญาณชุดแรกจากดาวเทียมดวงนี้

 

ทีมงาน THE STANDARD ร่วมติดตามวินาทีที่ LOGSATS-2 ติดต่อกลับโลก จากสถานีภาคพื้นดินของบริษัท EOS Orbit ในจังหวัดนนทบุรี ก่อนสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมได้สำเร็จในเวลา 23.03 น. โดยดาวเทียม LOGSATS-2 สามารถกางเซลล์สุริยะและชาร์จพลังงานเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ตามแผน จากข้อมูลเบื้องต้นที่ส่งกลับมายังสถานีภาคพื้นดิน

 

สุปิติระบุว่า ในขั้นตอนถัดไปวิศวกรของ EOS Orbit จะดำเนินการส่งคำสั่งจากโลกไปยังดาวเทียม LOGSATS-2 เพื่อสาธิตความสามารถในการสื่อสารระหว่างสถานีภาคพื้นกับดาวเทียม โดยคาดว่ามีระยะเวลาปฏิบัติการในวงโคจรได้ไม่น้อยกว่า 3 ปี

 

ทั้งนี้ ปกติแล้วดาวเทียมขนาดเล็ก เช่น CubeSat หรือ Microsat มักมีอายุการทำงานน้อยกว่าดาวเทียมขนาดใหญ่ที่อาจประจำการในวงโคจรได้หลายสิบปี แต่ดาวเทียมขนาดเล็กเช่นนี้มีราคาที่ถูกกว่ามาก และสามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นไปทดแทนดาวเทียมดวงเดิมที่จะเสื่อมสภาพได้

 

ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ LOGSATS-2 เป็นดาวเทียมดวงแรกของบริษัทเอกชนไทยที่สามารถปฏิบัติการจากวงโคจรรอบโลกได้ โดย EOS Orbit เปิดเผยว่า กำลังวางแผนพัฒนาดาวเทียมดวงถัดไป

The post LOGSATS-2 ดาวเทียมดวงแรกของเอกชนไทย ที่ติดต่อกลับโลกจากอวกาศได้สำเร็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่งคนอเมริกันไปปักธงบนดาวอังคาร วิเคราะห์ความเป็นไปได้จากคำแถลงของ โดนัลด์ ทรัมป์ https://thestandard.co/trump-american-to-mars-possibility/ Wed, 22 Jan 2025 02:00:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1032871

เช้ามืดวันที่ 21 มกราคม 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถ้อยแถ […]

The post ส่งคนอเมริกันไปปักธงบนดาวอังคาร วิเคราะห์ความเป็นไปได้จากคำแถลงของ โดนัลด์ ทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เช้ามืดวันที่ 21 มกราคม 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถ้อยแถลงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้งว่า “เราจะไล่ตามชะตาลิขิตไปสู่ดวงดาว โดยส่งนักบินอวกาศอเมริกันไปปักธงชาติบน ดาวอังคาร”

 

แต่ถ้อยแถลงของประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ว่าด้วยการส่งมนุษย์ไปสำรวจดาวอังคาร มีโอกาสเกิดขึ้นจริงได้มากน้อยเพียงใด

 

‘ดาวอังคาร’ เป็นหนึ่งในดาวเคราะห์หินของระบบสุริยะที่ได้รับความสนใจตั้งแต่อดีตกาล โดยในปี 1877 จิโอวานนี สเกียพาเรลลี (Giovanni Schiaparelli) นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ส่องกล้องพบลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลองบนดาวอังคาร สร้างความสนใจให้กับนักดาราศาสตร์และผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะความเป็นไปได้ว่าดาวอังคารอาจมีชีวิตทรงภูมิเป็นผู้ขุดลอกคลองเหล่านี้ขึ้นมา

 

แม้ในท้ายที่สุดมนุษย์จะพบว่าภาพของ ‘คลอง’ ดาวอังคาร เป็นเพราะกล้องโทรทรรศน์ในสมัยดังกล่าวมีกำลังขยายภาพไม่เพียงพอ จนไม่สามารถส่องเห็นได้ว่าดาวดวงนี้แห้งแล้งโดยสิ้นเชิง แต่ดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ก็ยังได้รับความสนใจอยู่จวบจนปัจจุบัน ทั้งในแง่มุมของการตามหาร่องรอยชีวิตในอดีต ไปจนถึงความพยายามส่งมนุษย์คนแรกไปลงสำรวจ

 

ดาวอังคารอยู่ห่างจากโลกเฉลี่ยประมาณ 220 ล้านกิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากโลกประมาณ 6-8 เดือน โดยมีช่วงเวลานำส่งจรวดทุกๆ 2 ปี ที่ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงอยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกันที่สุดของวงโคจร แตกต่างจากการเดินทางไปดวงจันทร์ อันเป็นภารกิจส่งนักบินอวกาศเดินทางไปไกลจากโลกที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งมีระยะห่างเพียงประมาณ 380,000 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางเพียง 2-3 วันเท่านั้น

 

ปัจจุบัน NASA หรือองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา มีแผนการส่งนักบินอวกาศเดินทางกลับไปสำรวจดวงจันทร์อีกครั้ง ภายใต้โครงการอาร์ทีมิส (Artemis Program) โดยเริ่มจากอาร์ทีมิส 2 การส่งนักบินอวกาศ 4 คนไปบินผ่านดวงจันทร์ในเดือนเมษายน 2026 เพื่อทดสอบความพร้อมของยานโอไรออน (Orion) ที่โดยสารไปด้วย ก่อนส่งภารกิจอาร์ทีมิส 3 เดินทางไปลงจอดบนพื้นผิวในช่วงกลางปี 2027 ซึ่งจะใช้ยานสตาร์ชิป (Starship) ของบริษัท SpaceX เป็นยานลงดวงจันทร์ของภารกิจนี้

 

แม้ว่าแผนของโครงการอาร์ทีมิสจะเป็นการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์อีกครั้ง เพื่อเป็นรากฐานการสำรวจอวกาศลึกอย่างยั่งยืน และนำไปสู่ภารกิจออกสำรวจดาวอังคารในอนาคต ซึ่งความสำเร็จของการส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์ จะเป็นตัวกำหนดว่ามนุษย์คนแรกจะได้ออกเดินทางไปดาวอังคารตอนไหน

 

ในปัจจุบัน แผนการศึกษาและสำรวจดาวอังคารของ NASA ระบุว่า ภารกิจแรกจะเป็นการส่งมนุษย์ไปบินผ่านสำรวจดาวอังคารในยุคทศวรรษที่ 2030 โดยนักวิทยาศาสตร์ยังต้องการศึกษาผลกระทบของการอยู่อาศัยในอวกาศลึกเป็นระยะเวลายาวนาน เช่นเดียวกับความพร้อมของอาหาร อากาศหายใจ และระบบพยุงชีพต่างๆ เมื่อต้องเดินทางไปไกลจากโลกหลายร้อยล้านกิโลเมตร

 

ยานอวกาศสตาร์ชิปของ SpaceX เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับภารกิจสำรวจห้วงอวกาศลึก และอาจเป็นยานที่พามนุษย์คนแรกไปถึงดาวอังคารได้จริง อย่างไรก็ตาม ยานลำดังกล่าวยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพัฒนา และต้องได้รับการทดสอบอีกหลายขั้น เพื่อให้พร้อมรองรับลูกเรือที่จะโดยสารไปด้วยเสียก่อน

 

นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนำส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวอังคาร จะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2026 หรือไม่นานหลังจากกำหนดส่งอาร์ทีมิส 2 ไปดวงจันทร์ และระหว่างการเตรียมความพร้อมส่งมนุษย์กลับไปลงดวงจันทร์กับภารกิจอาร์ทีมิส 3 หากพลาดโอกาสดังกล่าว โอกาสส่งยานอวกาศไปดาวอังคารครั้งถัดไปจะมาในเดือนธันวาคม 2028 – มกราคม 2029 หรือช่วงเวลาที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะหมดวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีพอดี

 

ทั้งนี้ ยังไม่ได้พิจารณาระยะเวลาที่ยานอวกาศต้องใช้เดินทางจากโลกถึงดาวอังคาร และเดินทางกลับมาสู่บ้านของพวกเขา รวมถึงงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนายานอวกาศ ระบบต่างๆ ที่จำเป็น ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมนักบินอวกาศสำหรับภารกิจสำรวจระยะยาวที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ทันในช่วงเวลา 4 ปีต่อจากนี้

 

โดยสรุปแล้ว ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงอาจเป็นไปได้ยากมากๆ ที่ชาวอเมริกันจะได้ไปปักธงบนดาวอังคารภายในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี แต่เจ้าตัวอาจได้เป็นผู้นำโลกเสรีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ได้โทรศัพท์พูดคุยกับมนุษย์บนดวงจันทร์ หากโครงการอาร์ทีมิสดำเนินไปได้ตามแผนที่วางไว้ และไม่มีการเลื่อนกำหนดนำส่งออกไปจากเดิม

 

ภาพ: joshimerbin / Shutterstock

อ้างอิง:

The post ส่งคนอเมริกันไปปักธงบนดาวอังคาร วิเคราะห์ความเป็นไปได้จากคำแถลงของ โดนัลด์ ทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวที่ 7: บูสเตอร์กลับมาลงจอดสำเร็จ แต่ยานไปไม่ถึงอวกาศ https://thestandard.co/spacex-starship-ift7-test-results/ Fri, 17 Jan 2025 07:44:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1031404 บูสเตอร์ Super Heavy ลงจอดสำเร็จที่ฐาน Starbase

บริษัท SpaceX เริ่มการทดสอบจรวด Starship เที่ยวแรกของปี […]

The post สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวที่ 7: บูสเตอร์กลับมาลงจอดสำเร็จ แต่ยานไปไม่ถึงอวกาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บูสเตอร์ Super Heavy ลงจอดสำเร็จที่ฐาน Starbase

บริษัท SpaceX เริ่มการทดสอบจรวด Starship เที่ยวแรกของปี 2025 ด้วยการนำบูสเตอร์ Super Heavy กลับมาลงจอดที่ฐานปล่อยได้สำเร็จ แต่ยาน Starship เกิดแตกออกเป็นเสี่ยงระหว่างมุ่งหน้าขึ้นสู่อวกาศ

 

ภารกิจการทดสอบเที่ยวที่ 7 หรือ IFT-7 ของจรวด Starship เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม เวลา 05.37 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยนำส่งขึ้นจากฐานปล่อย Starbase รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา พร้อมเป้าหมายในการนำบูสเตอร์กลับมาลงจอด และเก็บข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนายาน Starship ในขั้นถัดไป

 

ในเที่ยวบินนี้บูสเตอร์ Super Heavy ประสบความสำเร็จในการแยกตัวจากยาน Starship พร้อมเดินเครื่องยนต์ Raptor เพื่อมุ่งหน้ากลับมาลงจอด ณ ฐานปล่อยได้อีกครั้ง โดยที่แขนกล Mechazilla ทำหน้าที่ในการคีบจรวดสูงกว่า 70 เมตรได้ตามแผนที่วางไว้ เป็นการกลับมาลงจอดบนฐานปล่อยได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากภารกิจ IFT-5 เมื่อเดือนตุลาคม 2024

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาณข้อมูลจากยาน Starship ขาดหายไปในช่วงเวลาประมาณ 8 นาที 26 วินาทีหลังขึ้นบิน ก่อนมีรายงานจาก SpaceX ในภายหลังว่ายานอวกาศเกิดการ ‘แยกชิ้นส่วนอย่างรวดเร็วแบบไม่มีในแผนการ’ (Rapid Unscheduled Disassembly) ระหว่างเดินเครื่องยนต์ขึ้นสู่อวกาศ ส่งผลให้มีซากชิ้นส่วนจำนวนมากตกลงมาเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก

 

ตามเดิม ยาน Starship จะสาธิตนำส่งดาวเทียม Starlink จำลองรวม 10 ดวง เพื่อทดสอบความสามารถในการส่งดาวเทียมและ Payload ต่างๆ ขึ้นสู่อวกาศ พร้อมกับใช้เป็นยานเก็บข้อมูลความทนทานของโครงสร้างระหว่างกลับสู่บรรยากาศโลก ก่อนลงจอดเหนือมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งไม่เกิดขึ้นหลังจากสูญเสียยาน Starship ไปไม่นานหลังขึ้นบิน

 

ข้อมูลจากการสืบสวนเบื้องต้น พบว่ามีเปลวเพลิงบริเวณส่วนท้ายของยาน Starship และมีเชื้อเพลิงหรือออกซิเจนรั่วออกมาจากถังเก็บเชื้อเพลิง จนทำให้เกิดความดันสูงกว่าที่ควรเป็น โดย SpaceX ระบุว่าเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาสาเหตุของปัญหาดังกล่าว

 

ยังไม่มีรายงานแน่ชัดว่าเศษซากจากยาน Starship สร้างความเสียหายเพียงใด โดย SpaceX ระบุว่าเศษชิ้นส่วนควรตกอยู่ภายใต้พื้นที่ควบคุมที่มีการกำหนดไว้สำหรับการปล่อยจรวดทุกภารกิจด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ได้เปิดเบอร์โทรศัพท์สายด่วนสำหรับติดต่อเจ้าหน้าที่ SpaceX ในกรณีพบเห็นชิ้นส่วนที่อาจเป็นซากของยาน

 

ทั้งนี้ SpaceX ใช้วิธีพัฒนายานอวกาศด้วยการนำส่งขึ้นทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อเก็บข้อมูลจากข้อผิดพลาดต่างๆ มาใช้ปรับปรุงและพัฒนาจรวด โดยปัจจุบันมีการเตรียมบูสเตอร์และยาน Starship สำหรับภารกิจทดสอบเที่ยวที่ 8 ไว้แล้ว แต่อาจถูกเลื่อนกำหนดทดสอบออกไป เพื่อให้เวลาในการสืบหาต้นเหตุของการสูญเสียยาน Starship ในเที่ยวที่ 7 ได้อย่างชัดเจนเสียก่อน

 

ภาพ: SpaceX

อ้างอิง:

The post สรุปการทดสอบ Starship เที่ยวที่ 7: บูสเตอร์กลับมาลงจอดสำเร็จ แต่ยานไปไม่ถึงอวกาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
SpaceX ส่งดาวเทียม 131 ดวง รวมของประเทศไทย ขึ้นสู่อวกาศกับภารกิจ Transporter-12 https://thestandard.co/spacex-transporter-12-thailand-satellite/ Fri, 17 Jan 2025 04:01:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1031313 SpaceX

จรวด Falcon 9 ของบริษัท SpaceX ประสบความสำเร็จในการนำส่ […]

The post SpaceX ส่งดาวเทียม 131 ดวง รวมของประเทศไทย ขึ้นสู่อวกาศกับภารกิจ Transporter-12 appeared first on THE STANDARD.

]]>
SpaceX

จรวด Falcon 9 ของบริษัท SpaceX ประสบความสำเร็จในการนำส่งดาวเทียม 131 ดวงขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงดาวเทียมของไทย ‘LOGSATS-2’ เดินทางขึ้นไปกับภารกิจ Transporter-12

 

ภารกิจดังกล่าวออกเดินทางขึ้นจากฐานปล่อย ณ ฐานทัพอวกาศ Vandenberg รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 มกราคม เวลา 02.09 น. ตามเวลาประเทศไทย โดย Transporter-12 เป็นเที่ยวบินประเภท Rideshare หรือการนำส่งดาวเทียมจำนวนมากขึ้นสู่วงโคจรใกล้เคียงกัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศ

 

7 นาที 37 วินาที หลังจากขึ้นบิน บูสเตอร์ท่อนแรกของจรวด Falcon 9 ได้เดินทางกลับมาลงจอด ณ บริเวณ Landing Zone 4 ฐานทัพอวกาศ Vandenberg ในขณะที่จรวดท่อนที่สองเดินเครื่องยนต์ขึ้นสู่อวกาศ เพื่อพาดาวเทียมทั้งหมดนำส่งขึ้นสู่วงโคจรตามที่กำหนดไว้

 

หนึ่งในดาวเทียมที่ออกเดินทางไปกับภารกิจนี้คือ LOGSATS-2 ดาวเทียมขนาดเล็กประเภท CubeSat ขนาด 3U ที่พัฒนาขึ้นโดยวิศวกรชาวไทยของบริษัท EOS Orbit เพื่อสาธิตความสามารถในการทำงานของระบบกล้องถ่ายภาพ อุปกรณ์ IoT การถ่ายทอดสัญญาณวิทยุ และระบบติดตามข้อมูลการบินจากวงโคจร

 

ปัจจุบัน SpaceX นำส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศรวมแล้วไม่น้อยกว่า 1,100 ดวง บนเที่ยวบินแบบ Rideshare โดยเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วยภารกิจ Transporter ที่นำส่งดาวเทียมจำนวนมากขึ้นสู่วงโคจรแบบ Sun-Synchronous และภารกิจ Bandwagon สำหรับนำส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรที่มีองศาเอียงทำมุมปานกลาง เพื่อรองรับวัตถุประสงค์ของดาวเทียมประเภทต่างๆ

 

สำหรับปี 2025 จรวด Falcon 9 ของบริษัท SpaceX ได้นำส่ง Payload ขึ้นสู่อวกาศรวมแล้ว 8 เที่ยวบิน ในระยะเวลาครึ่งเดือนแรกของปี และจะมีการทดสอบยาน Starship เป็นครั้งที่ 7 ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 17 มกราคม เพื่อทดสอบความพร้อมของจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลกก่อนเริ่มให้บริการจริงในอนาคต

 

ภาพ: SpaceX

อ้างอิง:

The post SpaceX ส่งดาวเทียม 131 ดวง รวมของประเทศไทย ขึ้นสู่อวกาศกับภารกิจ Transporter-12 appeared first on THE STANDARD.

]]>