Science – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 13 Aug 2025 02:23:24 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/cryoviva-thailand-stem-cell-atmp-gmp-pics/ Wed, 13 Aug 2025 02:22:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1086555 ไครโอวิวา

เมื่อ ‘วิกฤตสุขภาพ’ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ และ ‘ […]

The post ‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไครโอวิวา

เมื่อ ‘วิกฤตสุขภาพ’ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ และ ‘สเต็มเซลล์’ หรือ ‘เซลล์ต้นกำเนิด’ กำลังจะเป็นความหวังใหม่ของวงการแพทย์ นับตั้งแต่วงการวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยและค้นพบว่า ‘สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ’ หรือ Cord Blood (CB) สามารถใช้รักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเลือดและอื่นๆ ได้มากกว่า 85 โรค อาทิ กลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดชนิดต่างๆ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง โรคจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญ

 

จนถึงวันที่งานวิจัยขยายผลแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสเต็มเซลล์ในส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อสายสะดือ Cord Tissue (CT), สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อหุ้มรก Amnion Tissue (AT) หรือแม้แต่ สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมัน หรือสเต็มเซลล์
มีเซนไคมอลจากไขมัน Adipose-Derived MSCs (ADSC)  

 

 

ปัจจุบันตลาดธนาคารสเต็มเซลล์ในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง เพราะนอกจากสเต็มเซลล์จะเป็น Game Change สำคัญในอุตสาหกรรม Health & Wellness ยังสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับธุรกิจความงามอีกด้วย 

 

ทางเลือกที่มากขึ้น ตามมาด้วยความเสี่ยงที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดในการใช้และมาตรฐานของแหล่งผลิตและจัดเก็บสเต็มเซลล์ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของสารเคมี สารโปรตีนแปลกปลอม เชื้อโรค หรือเซลล์แปลกปลอมในระหว่างกระบวนการเตรียมสเต็มเซลล์ที่ไม่ถูกวิธี จนอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค

 

คำถามคือ หลักเกณฑ์และข้อกำหนดแบบใดที่จะทำให้การจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์มีคุณภาพตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค THE STANDARD ได้มีโอกาสเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการใหม่ของ ‘ไครโอวิวา’ (Cryoviva) ธนาคาร
จัดเก็บสเต็มเซลล์มาตรฐานระดับโลก ที่ถูกยกระดับให้เป็นห้องปฏิบัติการระดับโลกเพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้น 500,000 ล้านเซลล์ต่อปี และสอดคล้องไปกับข้อกำหนดของการผลิตสเต็มเซลล์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาใหม่ ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ภายใต้มาตรฐาน GMP/PICS ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาและเวชภัณฑ์ระดับสากลที่เข้มงวดที่สุด ภายในห้อง
ปฏิบัติการที่ได้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน (แบบ ผ.ย.2) จากองค์การอาหารและยา ให้เป็นสถานที่ผลิตยาที่มีมาตรฐานในการสเต็มเซลล์ประเภท MSCs เพื่อการวิจัยทางคลินิก

 

เจาะเบื้องหลัง ‘สเต็มเซลล์ประสิทธิภาพสูง’ ภายใต้มาตรฐาน AABB 

 

“ไครโอวิวาให้ความสำคัญกับระบบคุณภาพเพราะนั่นหมายถึง ‘ความปลอดภัย’ ของผู้ใช้งาน” จิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด ยังบอกด้วยว่า ความท้าทายคือ จะต้องมีกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและมีความสม่ำเสมอ นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องมีมาตรฐาน AABB มารองรับเพื่อการันตีว่า
ไครโอวิวาใส่ใจทุกกระบวนการและมีความปลอดภัยในระดับสูงสุดในการจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์”  

 

จิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด

 

“ตลอด 18 ปีที่ผ่านมา เรามองตัวเองเป็น ‘Bank of Life’ หรือธนาคารสเต็มเซลล์ที่ใช้ในการรักษา วันนี้เรากำลังเดินหน้าสู่การเป็น ‘Hope for Health’ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ การเก็บรักษาและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดของไทย ผ่านการขยายห้องปฏิบัติการสำหรับจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ 3 เท่า” กมลรัตน์ ศรีถวิล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่ากระบวนการในการเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ มีความละเอียดอ่อนและต้องถูกควบคุมดูแลโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างรัดกุม เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสเต็มเซลล์ได้ 

 

ไครโอวิวา

กมลรัตน์ ศรีถวิล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด

 

“ผู้บริโภคที่สนใจจัดเก็บสเต็มเซลล์หรือต้องการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์หรือความงาม ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะหากแหล่งที่มาไม่ได้มาตรฐานหรือมีกระบวนการในการนำเซลล์ไปใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจก่อให้เกิดอันตรายได้” “จากนี้ไป การจัดเก็บด้วยระบบคุณภาพอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นระบบคุณภาพที่สมบูรณ์” กมลรัตน์กล่าว 

 

ซึ่งเกณฑ์ในการพิจารณา ‘ระบบคุณภาพที่สมบูรณ์’ ประกอบด้วยปัจจัยหลายด้าน ทั้งทักษะความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสเต็มเซลล์รวมไปถึงการปฏิบัติทุกขั้นตอนอย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่การจัดเก็บ สถานที่จัดเก็บ การเพาะเลี้ยง และกระบวนการการขนย้าย เพื่อให้ได้มาซึ่งสเต็มเซลล์ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง 

 

3 หัวใจสำคัญที่ทำให้ไครโอวิวาคือผู้นำตัวจริงในอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ 

 

  1. เพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดแบบ ‘Explant Technology’ เทคโนโลยีลิขสิทธิ์จากสหรัฐอเมริกา เป็นการเพาะเลี้ยงเซลล์ให้มีการเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ทำให้ได้เซลล์ที่มีคุณภาพสูงใกล้เคียงกับเซลล์ต้นกำเนิด อีกทั้งยังจำกัดจำนวนรอบการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์แบบ P3 หรือเพาะเลี้ยงไม่เกิน 3 รอบ เพื่อคุณภาพสูงสุดของการเพาะสเต็มเซลล์ ทำให้ไม่เกิดการลดคุณภาพของสเต็มเซลล์ สเต็มเซลล์ไม่แก่ และสเต็มเซลล์ไม่กลายพันธุ์  

 

  1. ระบบการจัดเก็บที่ทันสมัยและปลอดภัยขั้นสูงสุด ภายใต้การควบคุมดูแลโดยนักวิทยาศาสตร์และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะด้านดูแลทุกขั้นตอนการจัดเก็บและขนส่งเนื้อเยื่อไปยังห้องปฏิบัติการ โดยการบริหารกระบวนการขนส่งอย่างถูกวิธีเพื่อรักษาคุณภาพของเนื้อเยื่อตั้งต้นให้มีความสมบูรณ์สูงสุด 

 

 

ควบคุมอุณหภูมิห้องจัดเก็บภายใต้ข้อกำหนดของ AABB มีการนำ AI มาช่วยในทุกกระบวนการ สามารถติดตามผลและควบคุมการทำงานแบบ Real Time และมีการดับเบิลเช็กโดยมนุษย์และเครื่องจักรควบคู่กัน เพื่อมั่นใจว่าสเต็มเซลล์ทุกยูนิตที่เก็บนั้นปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงระบบการระบุตัวตนด้วย Primary ID Bar code ป้องกันความผิดพลาดต่อผู้รับบริการที่จะนำไปใช้ อีกทั้งบรรจุภัณฑ์ในการจัดเก็บได้รับการรับรองตามมาตรฐาน IATA (International Air Transport Association) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพและความปลอดภัยระหว่างขนส่ง  

 

ถังจัดเก็บสเต็มเซลล์ความจุระดับ 1,800 ลิตร ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ติดตามด้วยระบบ AI ในการเติมไนโตรเจนเหลวอัตโนมัติเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิในถังจัดเก็บ และสามารถคงคุณภาพสเต็มเซลล์ได้ยาวนานถึง 23 วัน ไปจนถึงการออกแบบโครงสร้างห้องจัดเก็บถังให้สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ปลอดภัยนอกอาคารได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

 

 

  1. ธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและแห่งเดียวในไทยที่ได้รับมาตรฐาน AABB (Association for the Advancement of Blood & Biotherapies) หรือ สมาคมเพื่อความก้าวหน้าด้านเลือดและชีวรักษาสหรัฐอเมริกา ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ การจัดเก็บสเต็มเซลล์ การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ และการรับรองว่าเป็นแหล่งผลิตเซลล์ตั้งต้นที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ATMPs หรือผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง 

 

มาตรฐานดังกล่าวจะต้องตรวจสอบทุกๆ 2 ปี ปัจจุบัน ไครโอวิวา ได้รับการรับรองมาตรฐานติดต่อกันเป็นครั้งที่ 12 นับตั้งแต่ปี 2553 ทั้งด้านการจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ และการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อ และล่าสุดยังได้รับการรับรองว่าเป็นแหล่งผลิตเซลล์ตั้งต้นที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ATMPs ที่ดีที่สุดตามมาตรฐานของ AABB 


‘ผลิตภัณฑ์ยากลุ่ม ATMP’ คืออะไร? ทำไมถึงเป็นอนาคตสุขภาพของมนุษยชาติ

 

‘ผลิตภัณฑ์ยาใหม่’ ในกลุ่ม ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ถือเป็นยาการแพทย์ขั้นสูง กมลรัตน์ บอกว่า เปรียบเสมือนการซ่อมแซมระดับวิศวกรรม เพราะทำหน้าที่เปลี่ยนอะไหล่และอัปเกรดระบบใหม่ให้กับร่างกาย  

 

“การผลิตผลิตภัณฑ์ยาใหม่’ ในกลุ่ม ATMPs จึงต้องสอดคล้องกับมาตรฐาน GMP/PICS ตามหลักเกณฑ์ผลิตยาขั้นสูงของสหภาพยุโรป โดยเน้นการป้องกัน และขจัดความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นอันตราย หรือทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย เราจึงต้องสร้างมาตรฐานการเป็น Biomanufacturing ที่สมบูรณ์แบบ โดยที่จะต้องมีองค์การอาหารและยาเข้ามาควบคุมผลิตภัณฑ์” 

 

มาตรฐาน GMP-PIC/s หรือ Good Manufacturing Practice – Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme (PIC/S) เป็นมาตรฐานการผลิตยาและเวชภัณฑ์ระดับสากลที่เข้มงวดที่สุด มีการควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงการบรรจุ เพื่อลดความเสี่ยงของการปนเปื้อน ให้ผู้บริโภคได้รับยาที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ 

 

 

“เป็นเหตุผลที่เราต้องออกแบบห้องปฏิบัติการที่มีความทันสมัยและมีความพร้อมที่สุดและจะต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา ล่าสุดเราได้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน (แบบ ผ.ย.2) ซึ่งเป็นการรับรองสถานที่ผลิตยาที่มีมาตรฐาน สามารถผลิต สเต็มเซลล์ประเภท MSCs เพื่อการวิจัยทางคลินิกได้ ปัจจุบันเรากำลังวิจัยและพัฒนายาและเวชภัณฑ์เพื่อให้ อย. เข้ามาตรวจสอบ และออกใบอนุญาตรับรองความปลอดภัยของยาต่อไป” กมลรัตน์ กล่าว 

 

ปัจจุบัน ไครโอวิวา ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญของรัฐในการผลักดันและส่งเสริมศักยภาพธุรกิจที่มีความทันสมัย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างประโยชน์เชิงเศรษฐกิจให้กับประเทศตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มดำเนินการ ปัจจุบัน ได้รับการส่งเสริม ใน 3 โครงการ ได้แก่

 

Cord blood Banking การจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ, Testing Service (กลุ่ม Mesenchymal Stem Cell) และล่าสุด ลงทุนในโรงงานผลิต ATMPs (Advance Therapy Medicinal Products) ซึ่งอยู่ในกลุ่มการผลิตยาขั้นสูง สะท้อนถึงความพร้อมในด้านเทคโนโลยีการผลิต ระบบคุณภาพ และความมุ่งมั่นสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

 

 

ตั้งเป้าสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ 

 

จิรัญญายังชี้ให้เห็นเทรนด์การใช้สเต็มเซลล์ทั่วโลกในปัจจุบันมีความแพร่หลายเพราะสเต็มเซลล์เริ่มเข้ามาช่วยในการรักษาโรคร้าย อีกทั้งผลสำเร็จของการวิจัยก็มีให้เห็นมากขึ้น 

 

“องค์ประกอบที่สำคัญอยู่ที่ ‘สเต็มเซลล์ที่มีคุณภาพ’ ซึ่งไครโอวิวาเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี เรายังเชื่ออย่างยิ่งว่า ทุกคนควรได้รับโอกาสที่ดีที่จะได้รักษาโรค และการเก็บสเต็มเซลล์ควรเป็นเรื่องที่ใครก็เข้าถึงได้  ต่อจากนี้จะไม่ใช่แค่คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เก็บสเต็มเซลล์เพื่ออนาคตของลูกเท่านั้น แต่ผู้คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงประโยชน์ของสเต็มเซลล์ได้  กลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสมีบุตรหรือไม่คิดจะมีบุตรสามารถเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมันหรือจากกระแสเลือดของตัวเองเพื่อฟื้นฟูสุขภาพตัวเองในอนาคตได้ ซึ่งตลาดสำคัญที่เรามองคือ กลุ่มผู้สูงวัย จะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและคุณภาพชีวิต ด้วยราคาในการรักษาที่คนทั่วไปสามารถจ่ายได้ แนวทางหนึ่งคือการจับมือกับสาธารณสุขบางหน่วยงานสามารถใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุขของประเทศได้ด้วย” 

 

“ดังนั้น นอกจากความมุ่งมั่นในการให้บริการที่โปร่งใสและเป็นธรรม ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิตเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด พันธกิจต่อจากนี้คือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ เพื่อสร้างโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย” จิรัญญากล่าวทิ้งท้าย

The post ‘ไครโอวิวา’ พลิกเกมอุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ไทย มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ยาใหม่กลุ่ม ATMP บนมาตรฐาน GMP/PICS [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำประเภทหายาก ขณะกำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป ห่างจากโลก 450 ล้านปีแสง https://thestandard.co/nasas-ngc-6099-hlx-1/ Thu, 31 Jul 2025 02:00:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1101950 นักดาราศาสตร์

นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำแห่งใหม่ เป็นชนิดที่หาได้ยาก อย […]

The post นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำประเภทหายาก ขณะกำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป ห่างจากโลก 450 ล้านปีแสง appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักดาราศาสตร์

นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำแห่งใหม่ เป็นชนิดที่หาได้ยาก อยู่ในกาแล็กซีที่ห่างจากโลกไปประมาณ 450 ล้านปีแสง โดยถูกพบได้ระหว่างกำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป จากข้อมูลการสำรวจของกล้องโทรทรรศน์อวกาศต่างๆ ในวงโคจรรอบโลก

 

หลุมดำที่ถูกพบในครั้งนี้ มีชื่อว่า NGC 6099 HLX-1 เป็นวัตถุปรากฏสว่างในบริเวณกระจุกดาวฤกษ์หนาแน่นของกาแล็กซี NGC 6099 ห่างจากใจกลางไปประมาณ 40,000 ปีแสง ซึ่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทราได้ตรวจพบแสงสว่างวาบในช่วงรังสีเอ็กซ์จากจุดนี้เป็นครั้งแรกในปี 2009 และได้มีการสำรวจอย่างต่อเนื่องนับจากนั้น จนพบว่าแหล่งกำเนิดแสงดังกล่าว มาจากหลุมดำที่กำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป

 

Yi-Chi Chang หัวหน้าคณะวิจัยในการค้นพบครั้งนี้ ระบุว่า “แหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์ที่มีความสว่างระดับนี้นั้นหาได้ยากในบริเวณนอกใจกลางกาแล็กซี และอาจเป็นข้อมูลสำคัญในการระบุตำแหน่งของหลุมดำมวลปานกลาง ซึ่งเป็นส่วนที่ขาดหายไปในวิวัฒนาการของหลุมดำ ระหว่างหลุมดำมวลดาวฤกษ์ และหลุมดำมวลยิ่งยวด”

 

จากข้อมูลการสำรวจในปัจจุบัน กาแล็กซีต่างๆ ในจักรวาลนั้น จะมีหลุมดำมวลยิ่งยวด หรือ Supermmasive Black Holes ที่มีมวลมากกว่าล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ อยู่ในบริเวณใจกลางของกาแล็กซี เช่นเดียวกับหลุมดำมวลดาวฤกษ์ หรือ Stellar-Mass Black Holes ซึ่งมีมวลน้อยกว่า 100 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ที่ควรมีอยู่โดยทั่วไปในกาแล็กซีต่างๆ เช่นเดียวกับในทางช้างเผือกของเรา

 

อย่างไรก็ตาม หลุมดำมวลปานกลาง หรือ Intermediate-Mass Black Holes ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างหลุมดำทั้งสองประเภท หรือมีมวลมากกว่า 100 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ แต่ไม่ถึง 100,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ กลับเป็นหลุมดำที่นักดาราศาสตร์พบเจอได้ยากมาก เนื่องจากมันไม่ค่อยกลืนกินมวลสารจากดาวฤกษ์บ่อยเหมือนกับหลุมดำมวลยิ่งยวด ที่จะปลดปล่อยรังสีพลังงานสูงออกมาจนสามารถตรวจสอบได้ชัดเจนจากโลก

 

นักดาราศาสตร์จึงพยายามค้นหาเหตุการณ์ Tidal Disruption Event ที่มีดาวฤกษ์โชคร้ายโคจรผ่านเข้ามาใกล้หลุมดำมวลปานกลาง จนถูกฉีกขาดและกลืนกินเข้าไป เป็นเทคนิคการหาหลุมดำมวลปานกลางโดยอ้อม ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับหลุมดำ NGC 6099 HLX-1 ในปี 2009 จนทำให้เกิดการแผ่รังสีเอ็กซ์ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 3 ล้านองศาเซลเซียส สอดคล้องกับการเกิดเหตุการณ์ Tidal Disruption Event โดยหลุมดำ

 

ข้อมูลจากกล้องฮับเบิลยังพบว่าบริเวณที่หลุมดำแห่งนี้ตั้งอยู่ มีกระจุกดาวฤกษ์ที่โคจรอยู่ค่อนข้างใกล้กัน มีระยะห่างเพียงไม่กี่เดือนแสงระหว่างกันเท่านั้น (ดวงอาทิตย์ และดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด อยู่ห่างไป 4 ปีแสง) ซึ่งดาวฤกษ์เหล่านี้อาจเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของหลุมดำ NGC 6099 HLX-1 ที่นักดาราศาสตร์พบว่ามีความสว่างมากสุดในปี 2012 ก่อนค่อยๆ ลดลงจนถึงการสังเกตการณ์ล่าสุดด้วยกล้อง XMM-Newton ในปี 2023

 

ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์ยังต้องศึกษาหลุมดำแห่งนี้เพิ่มเติม เพื่อประเมินว่าหลุมดำมวลปานกลางใช้เวลากลืนกินดาวฤกษ์นานแค่ไหน ความสว่างจะพุ่งกลับมาอีกไหม หรือมันจะค่อยๆ หรี่ความสว่างลงจนมืดสนิทไปอีกครั้งในช่วงรังสีเอ็กซ์

 

ในปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ต้องการศึกษาหลุมดำมวลปานกลางเหล่านี้เพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจว่าวิวัฒนาการของหลุมดำนั้นเป็นเช่นไร โดยเฉพาะการเกิดของหลุมดำมวลยิ่งยวด ว่ามาจากการควบรวมกันของหลุมดำมวลปานกลาง หรือมาจากการยุบรวมของเมฆก๊าซในยุคแรกๆ ของเอกภพ และกำเนิดขึ้นเป็นหลุมดำมวลยิ่งยวดได้โดยตรง ซึ่งการพบเหตุการณ์ Tidal Disruption Event เพิ่มเติม จะช่วยให้นักดาราศาสตร์เข้าใจพฤติกรรมของหลุมดำมวลปานกลางเหล่านี้ได้

 

แม้ข้อจำกัดจากข้อมูลข้องกล้องจันทรา และกล้อง XMM-Newton ที่ศึกษาห้วงจักรวาลในช่วงรังสีเอ็กซ์ จะเป็นมุมมองการมองเห็นของกล้องที่ค่อนข้างจำกัด จนอาจพลาดมองเห็นการเกิดปรากฏการณ์ Tidal Disruption Event ในส่วนอื่นของท้องฟ้าไปได้ แต่ในปัจจุบันได้มีกล้องของหอดูดาว Vera C. Rubin ในชิลี ที่ทำการสำรวจความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าทุกคืน เป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งอาจมีส่วนช่วยให้ค้นพบหลุมดำมวลปานกลางแบบนี้เพิ่มเติมได้ในอนาคตอันใกล้

 

ข้อมูลการค้นพบดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Astrophysical Journal เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา

 

ภาพ: NASA, ESA, Ralf Crawford (STScI) 

อ้างอิง:

The post นักดาราศาสตร์ค้นพบหลุมดำประเภทหายาก ขณะกำลังกลืนกินดาวฤกษ์เข้าไป ห่างจากโลก 450 ล้านปีแสง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา https://thestandard.co/thai-rocket-engineer-europe/ Fri, 18 Jul 2025 11:46:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1097913 thai-rocket-engineer-europe

“ความยากของการสร้างจรวดคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถี […]

The post จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-rocket-engineer-europe

“ความยากของการสร้างจรวดคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถียรภาพ วัสดุต้องทนต่อความร้อน ทนแรงดันสูงและต้องพัฒนาระบบควบคุมการระเบิดแบบหมุนวนได้ นี่ถือเป็นงานวิจัยที่จะสร้าง breakthrough ให้กับวงการอวกาศ และหากประสบความสำเร็จจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ”

 

ในโลกที่การแข่งขันด้านอวกาศไม่ใช่แค่เรื่องของ NASA หรือ SpaceX อีกต่อไป ยุโรปกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตกขบวนและในสมรภูมิแห่งนี้ มีคนไทยคนหนึ่งที่สร้างเครื่องยนต์จรวดอวกาศให้กับบริษัทสัญชาติยุโรปนั่นคือ

 

อาชว์ ปลื้มปัญญา หรือ เอม หนึ่งในวิศวกรระบบขับเคลื่อนของ Rocket Factory Augsburg (RFA) สตาร์ทอัพด้านจรวดสัญชาติเยอรมนีอันดับต้นๆ ของยุโรป เขาเป็นคนไทยไม่กี่คนที่ได้มีโอกาสพัฒนาเครื่องยนต์จรวดจริง ตั้งแต่ประกอบ ทดสอบ ไปจนถึงผลิตเพื่อเตรียมส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร

 

เส้นทางของเขาเริ่มต้นจากเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ผูกพันกับการบิน จากนักเรียนไทยในมหาวิทยาลัยเพอร์ดู (Purdue University) ที่ได้ลงมือ “ออกแบบและระเบิดท่อทดลอง” จนไปถึงการร่วมขับเคลื่อนวงการสตาร์ทอัพอวกาศยุโรปให้เดินหน้า

 

THE STANDARD ชวนคุยกับอาชว์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความหลงใหลในจรวด เบื้องหลังชีวิตการทำงานในอุตสาหกรรมอวกาศจริง ข้อจำกัด ความผิดพลาด ความหวัง และคำถามสำคัญว่า “อวกาศไทยจะไปต่ออย่างไร?”

 

เพราะการสร้างจรวดอาจไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่มันคือเรื่องของการกล้าสร้างเส้นทางใหม่ในโลกที่ไม่มีทางเดิน

 

อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจจรวด

 

อาชว์: จริงๆ ครอบครัวอยู่ในแวดวงนี้ เริ่มจากคุณทวดเป็นทหารอากาศสมัยสงครามอินโดจีน คุณปู่เป็นนายพลทหารอากาศ น้องของคุณย่าก็เป็นนักบินรบเหมือนกันครับแล้วก็เป็นรุ่นคุณพ่อคุณลุงทั้งคู่ก็เป็นนักบินการบินไทยทั้งคู่

 

คุณแม่ก็ทำการบินไทยก็คือวนๆ อยู่ในนี้ครับ ตอนเด็กๆ ก็อยากเป็นนักบินเหมือนพ่อ ช่วงประมาณมัธยมปลายเริ่มผมก็มีความสนใจเรื่องอวกาศ ดู YouTube ข่าวการปล่อยจรวด NASA ดูหนัง Gravity ทำให้ผมมีความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นในด้านนี้

 

ตอนนั้นผมเรียนสาธิตเกษตรอินเตอร์ตั้งแต่ป.1 ถึงม.6 ผมไม่ได้เรียนเก่งท็อปห้องอะไรตลอด แต่จะเป็นเด็กที่พอมีความสนใจอะไรแล้วจะอยากต่อยอดตรงนั้นให้ลึกขึ้น พอช่วงมหาลัยสอบได้ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมยานยนต์ ที่จุฬาฯ ประมาณ 1 ปี ก็รู้สึกไม่ค่อยตรง ผมรู้สึกว่ามันยังก้าวไปในระดับที่ผมอยากไปไม่ได้ ด้วยทรัพยากร สภาพแวดล้อม เพราะต้องเข้าใจว่าอวกาศบ้านเรามันมีน้อยมากสำหรับการเรียนการสอน

 

พอถึงเทอม 2 เราเห็นน้องๆ ที่สาธิตเกษตรรุ่นต่อไปที่เขาจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยที่อเมริกากัน ผมคิดว่ามันเปิดโลกทัศน์ทั้งในด้าน professional และ self-development ผมรู้สึกว่าน่าสนใจ เลยตั้งใจสมัครดู ซึ่งก็คือมหาวิทยาลัย Purdue ตอนนั้นลำบากมากจริงๆ เพราะการที่จะ transfer เข้ามักจะคำนึง GPA จากจุฬาฯที่ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนช่วงนั้นเป็นหลัก พอไปสอบต่อที่อเมริกาแบบเด็กซิ่วเข้าไปมันยาก ผมยื่นคะแนนไป รู้ว่าไม่ติดวิศวะที่นั่นอยู่แล้วมันแข่งขันกันเยอะ ผมเลยเข้าทางลัดเรียกว่า undeclared ก็คือเข้าไปในสาขาที่ยังไม่ได้ declare ว่าอยากเรียนอะไร มันมีสำหรับเด็กที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองอยากเรียนอะไร จากนั้นค่อยไปเริ่มเรียนคณะวิศวกรรมอวกาศ เรียนปี 1 ใหม่ เพราะหน่วยกิตจากจุฬาฯโอนเทียบไม่ได้

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

มหาวิทยาลัย Purdue สอนอะไรเรา 

 

อาชว์: มหาวิทยาลัยเพอร์ดู มีประวัติศาสตร์ทางด้านอวกาศมายาวนานมาก ถ้านับจำนวนนักบินอวกาศที่เป็นเด็กจบจากเพอร์ดู มีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสองของอเมริกา รองจาก MIT เพอร์ดูมีศิษย์เก่าอย่าง Neil Armstrong คือคนแรกที่เหยียบดวงจันทร์และคนล่าสุดที่เหยียบดวงจันทร์คือ Eugene Cernan และยังมี Gus Grissom กับ Roger Chaffee ที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุทดสอบภารกิจ Apollo 1 รวมไปถึงวิศวกรระดับต่ำจนถึงระดับบริหารอีกนับไม่ถ้วนที่ทำงานให้กับ NASA, SpaceX, Blue Origin, Lockheed Martin, Orbital ATK, ISRO, JAXA ฯลฯ

 

เมื่อเรียนจบเด็กที่มีสัญชาติอเมริกันที่นี่จะมีบริษัทมาทาบทามไป เงินเดือนก็น่าจะสักแสนดอลลาร์ต่อปีขึ้นไป ความประทับใจที่เรียนที่นี่คือ Professor มีความรู้ทางด้านนั้นๆ ครอบคลุมเกือบทั้งหมดที่เราอยากเรียนรู้ มี Lab ที่ทำเกี่ยวกับ Propulsion ก็คือพวกเครื่องยนต์จรวด เครื่องยนต์เครื่องบิน เป็นต้น ชื่อว่า Zucrow Laboratories ที่มีขีดความสามารถสูงที่สุดในประเทศเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ

 

การเรียนการสอนก็จะ open-ended มากกว่าที่เราต้องทำเป็น teamwork ค้นคว้าด้วยตัวเองหา unique solution ไม่ใช่คำตอบตายตัวอะไรอย่างนี้ครับ ทำให้เหมือนนักเรียนได้ inspire ในการเป็นวิศวกรจริงๆ ในการแก้ปัญหา เราได้เป็น owner ของการคิดและการริเริ่มนำเสนอ Aerospace มี 2 สาขาหลักๆ คือเครื่องบินกับอวกาศ ผมจุดประกายความชอบมาจากกระสวยอวกาศกับเครื่องยนต์ ผมชอบความที่มันเป็น hardware ที่มันมีความซับซ้อนสูงและจับต้องได้

 

มีประสบการณ์ที่ท้าทายตอนเรียนป.โทบ้างมั้ย

 

อาชว์: ตอนป. โทผมลงเรียนลึกขึ้นด้าน Rocket Propulsion มีคลาสที่ประทับใจคือ AAE-53900 Advanced Rocket Propulsion หรือการออกแบบเครื่องยนต์จรวดสอนโดยศาสตราจารย์ Timothée Pourpoint ถ้านักเรียนคนไหนอยากไปอยู่ SpaceX หรือ NASA พัฒนาเครื่องยนต์จรวด คุณต้องลงคลาสนี้ อันที่ท้าทายที่สุดคือการที่ต้องเขียนโค้ดเพื่อที่จะ simulate และ analyze การถ่ายเทความร้อนภายใน nozzle จรวดที่มีการหล่อเย็นด้วยเชื้อเพลิง (heat transfer in regenerative cooled rocket nozzle) ก่อนจบคลาสก็จะมี project ใหญ่ๆ อีกสองอันซึ่งนำความรู้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ engine architecture ในภาพใหญ่แต่จะลงรายละเอียดในแง่มุม

 

ให้หลังมาปีหนึ่งตอนนั้นผมทำ final project สำหรับคลาส Air-Breathing Hypersonic Propulsion กับ Professor Heister แล้วสะดุดตาเขาเพราะเป็นนักเรียนคนแรกที่โค้ด simulation ของ flow field ในสองมิติโดยผมใช้ method of characteristics ในการจำลอง rotating detonation flow ในช่องเผาไหม้ เขาเลยไปแนะนำให้ Professor Pourpoint รับไปเป็น Teaching Assistant (TA) ช่วยสอนคลาส Advanced Rocket Propulsion การได้ช่วยสอนทำให้ผมได้เข้าใจเนื้อหามากกว่าการเป็นนักเรียนด้วยซ้ำไป นักเรียนหลายๆ คนผมยังติดต่ออยู่โดยคนที่มีสัญชาติอเมริกันก็ไปทำงาน NASA SpaceX กับ Blue Origin ก็มีไม่น้อย

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

ภาพถ่ายร่วมกับศาสตราจารย์ Timothée Pourpoint

 

มีคลาสไหนที่ได้ลงมือทดลองจริงบ้างไหม

 

ผมลงคลาสนึงที่ประทับใจคือ Design, Build, Test สอนโดย Professor Carson Slabaugh ที่คุมทีมวิจัย Rotating Detonation Engine (RDE) คือจะทำเครื่องยนต์จรวดแบบใหม่ในวงการเครื่องยนต์จรวดที่กำลังได้รับความสนใจจากนักวิจัยหลายแห่ง ปกติกลไกการเผาไหม้จะมีสองแบบคือแบบปกติและการระเบิด (Detonation) การเผาไหม้แบบปกติ เครื่องยนต์จรวดทั่วไปที่เห็นในการปล่อยจรวดใช้การเผาไหม้แบบปกติ มีความเร็วต่ำกว่าความเร็วเสียงและเห็นเป็นเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจากท้ายจรวด

 

แต่การระเบิด (Detonation) จะเป็นการเผาไหม้ที่มีความเร็วสูงกว่าความเร็วเสียง มีแรงดันขับเคลื่อนที่สูงกว่าการเผาไหม้แบบปกติหลายเท่า และมีการเกิดคลื่นช็อก (Shock wave) ออกมาด้วย โดยทั่วไปแล้ว วิศวกรมักจะพยายามหลีกเลี่ยงการเกิด Detonation ในเครื่องยนต์จรวดแบบดั้งเดิม เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นสามารถทำลายเครื่องยนต์ได้ทันที

ซึ่ง Rotating Detonation Engine จะเป็นแนวคิดที่จะนำเอาพลังงานจากการระเบิดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยออกแบบให้เกิดการระเบิดหมุนเวียนเป็นวงรอบภายในห้องเผาไหม้ คลื่นการระเบิดจะหมุนไปเรื่อยๆ ในทิศทางเดียวกัน เหมือนเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่เป็นวงและสามารถควบคุมการระเบิดให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ข้อดีของ RDE คือ ประสิทธิภาพสูงขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า สร้างแรงดันที่สูงกว่าการเผาไหม้แบบปกติ ซึ่งความยากคือ ต้องควบคุมการระเบิดให้มีเสถียรภาพ วัสดุที่ใช้ต้องทนต่อความร้อนและแรงดันสูงมากและต้องพัฒนาระบบควบคุมที่สามารถจัดการกับการระเบิดแบบหมุนวนได้ นี่ถือเป็นงานวิจัยที่มีศักยภาพที่จะสร้าง breakthrough ให้กับวงการอวกาศ และหากประสบความสำเร็จจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับ hardware จริงๆ เพราะก่อนหน้านี้โจทย์ที่ได้มาในกระดาษจะไม่พูดถึงโครงสร้างหรือชิ้นส่วนมากนัก จะโฟกัสที่การคำนวณหาค่าโดยไม่คำนึงถึงวิธีผลิตหรือประกอบ โจทย์ของทีมคือการออกแบบประกอบและทดสอบ hardware ที่สามารถใช้วิเคราะห์การระเบิดของส่วนผสมระหว่าง ammonia และแก๊สออกซิเจน (detonation characteristics of premixed ammonia-gaseous oxygen) โดยแท่นทดลองถูกออกแบบให้เป็น detonation tube ตั้งชื่อว่า BookStick มีขนาดท่อลดหลั่นกันลงไปเพื่อที่จะศึกษา quenching length ของการระเบิด และมีเซนเซอร์ตลอดลำท่อเพื่อที่จะวัดความเร็วของ detonation front งบในการพัฒนา $6,000

 

เรามีเวลาแค่สี่เดือนเลยต้องเร่งมือ มีหลายๆ อย่างที่ไม่เข้าที่เข้าทางแต่สุดท้ายเรา confirm ได้ว่าสามารถ detonate ส่วนผสม ammonia ในท่อสำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแล็บ อาจารย์ยังเอ่ยปากชมว่าเป็นทีมที่มี teamwork ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่สำคัญมากในการทำงานสายนี้

 

ความท้าทายในการทำงานด้านจรวดคืออะไร

 

อาชว์: แน่นอนว่าเขาให้เฉพาะคนอเมริกันมาทำงานด้านนี้ครับ เพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ ดังนั้นเขาไม่อนุญาตให้คนสัญชาติอื่นมาทำงานบริษัทด้านจรวดในอเมริกาครับ ถือเป็นความลับ แค่ฝึกงานก็ไม่ได้ ขั้นต่ำจะต้องเป็น permanent resident หรือมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยอย่างถูกกฎหมาย เพราะด้วยข้อบังคับ ITAR (International Traffic in Arms Regulations) จรวดไม่ว่าจะใช้ขนส่งอะไรก็ยังถือว่าเป็นยุทโธปกรณ์

 

แต่ถ้าฝั่งยุโรปก็จะเปิดกว้างมากกว่าในการรับคนสัญชาติอื่น เรียนจบเลยตัดสินใจสมัครงานที่ RFA (Rocket Factory Augsburg) บริษัทสตาร์ทอัพด้านอวกาศสัญชาติเยอรมัน ติดอันดับ Top ของยุโรปเลยครับ ทุกประเทศอยากตาม SpaceX ให้ทัน ยุโรปก็ตื่นตัว ทีนี้เยอรมนีจะมี 2 บริษัทที่นำหน้าทางยุโรปเลยก็คือ RFA กับ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

RFA เป็นบริษัท spin-off มาจากบริษัท OHB SE กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอวกาศสัญชาติเยอรมัน-ยุโรปที่โด่งดังในการผลิตดาวเทียม เพราะในยุโรปเองเล็งเห็นความล้าหลังในเทคโนโลยีจุดนี้จึงอยากกระตุ้นบริษัทที่สามารถปล่อยดาวเทียมของตัวเองได้ ดาวเทียมเล็กๆ อยากมี VC เข้ามา แต่ต้องเป็น Strategic Investor หมายความว่าไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใครจะมาลงทุนก็ลงได้ ต้องผ่าน OHB SE ก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไม RFA ทุนเลยน้อยกว่า start-up บางบริษัทที่กำลังแข่งขันกันภายในทวีป ดังนั้นเราต้องทำทุกอย่างให้ฉลาดในสภาวะที่มีทรัพยากรจำกัด

 

ถ้าได้ยินข่าวดังของ RFA ปีที่แล้วมีการทดสอบก่อนที่จะปล่อยจรวดจริงๆ ก็เกิดอุบัติเหตุ อาจพูดได้ไม่มากว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่มันมีบางอย่างเกี่ยวกับดีไซน์ของ turbopump ที่ก่อให้เกิด oxygen fire ที่ควบคุมไม่อยู่ ในขณะที่ทดสอบ static hotfire ของจรวดขั้นที่หนึ่ง (Stage 1) ซึ่งจุดเครื่องยนต์ 9 เครื่องพร้อมกัน สุดท้ายสูญเสียจรวดขั้นที่หนึ่งพร้อมกับเครื่องยนต์ทั้งหมดไป เป็นการสูญเสียที่ใหญ่ของบริษัทแต่ไม่มีใครเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บนะครับ เรามี standard ที่ผมค่อนข้างเชื่อมั่นอยู่แล้ว เคราะห์ดีที่จรวดขั้นที่สองและสามยังปลอดภัยดี ส่วนฐานปล่อยได้รับความเสียหายแค่เล็กน้อย

 

ผมเรียกว่ามันก็เป็นการทดสอบที่ล้มเหลวดีกว่า ไม่ใช่อุบัติเหตุ นี่เป็นเรื่องปกติของการทดสอบจรวดและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา R&D ไม่ว่าจะเป็น hardware ไหนๆ ที่นักลงทุนและผู้มีอำนาจจะต้องเข้าใจครับ

 

ช่วงที่ทำงานเป็นวิศวกรด้านจรวดทำอะไรบ้าง

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

อาชว์: ณ ตอนนั้นน่ะ ผมเข้าไปเริ่มงานในจุดที่เพิ่งจะทดสอบเครื่องยนต์จรวดสำเร็จรอบแรก บริษัทฯ ได้ทำการพัฒนาเครื่องยนต์จรวดให้สำเร็จก่อนเพราะมันเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดและพัฒนายากที่สุด เมื่อทดสอบผ่านขั้นต่อไปคือการสร้างเครื่องยนต์เป็น production ก็คือผลิตเครื่องตัวนี้เพิ่ม 10 กว่าตัว เพื่อที่จะเอามาใส่จรวดจริงๆ ในการปล่อยจรวดครั้งแรก

 

ผมเข้าไปฝึกงานตอนนั้น ไม่ได้มีความรู้มากมายในด้านอุตสาหกรรมนั้น เริ่มตั้งแต่งานลูกกระจ๊อกที่สุดเลยก็คือไปคุม storage ของ flight hardware มันก็จะมีห้องโกดังเล็กๆ อันหนึ่งที่แบบเก็บชิ้นส่วนทุกอย่างที่จะนำมาประกอบเป็นเครื่องยนต์จรวด

 

ผมก็ไปนั่งนับสกรูว่าอันนี้มันมีกี่อันเพราะมันไม่ตรงกับใน system ก็ไปเรียนรู้ว่าชิ้นนี้เรียกว่าอะไร system code ของมันคืออะไร มันไปใช้อยู่ตรงไหน ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าคุ้มแล้ว อย่างน้อยก็เป็นคนไทยที่ได้มาทำจุดนี้ ถึงงานมันจะโง่มากไปหน่อย แต่ผมได้เรียนรู้จากพื้นฐานมากๆ ผมได้เรียนรู้ทุกชิ้นของจรวดที่มีอยู่ ชิ้นส่วน 800 กว่าชิ้นที่ไม่เหมือนกัน รู้ว่าคืออะไร ประกอบเข้ามาตรงไหน

 

ทำอยู่ประมาณ 3 เดือนก็ถูกเลื่อนมาทำหน้าที่คล้ายๆ โฟร์แมนในไซต์ก่อสร้างทำให้ได้ใช้สมองมากขึ้น งานผมคือการเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง design engineer กับ assembly technician คล้ายสถาปนิกกับวิศวกรออกแบบตึกต้องทำงานร่วมกัน แต่สองส่วนนี้มันไม่ได้เชื่อมกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ผมต้องคอยคุมว่า เอ้ย ชิ้นนี้มีปัญหาแล้วนะ ปัญหาใหญ่ๆ ก็ต้องปรึกษากับเจ้าของระบบหรือเรียกว่า system owner ซึ่งเป็นคนออกแบบหรือรับผิดชอบสูงสุดของระบบนั้นๆ เช่น turbopump preburner หรือวาล์วต่างๆ ปัญหาเล็กๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วผมก็จะเรียนรู้และนำการแก้มาใช้ได้ทันทีเลย ความน่าสนใจคือพอได้ทำงานกับคนหลายสัญชาติ เราก็ได้เห็นวิธีคิดเขา แต่ละคนคิดแก้ปัญหายังไง

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

พอทำต่อมาได้อีกสักพักหนึ่งผมถูกเลื่อนขึ้นมาคุม engine production ทั้งหมดเป็นคนแรกเพราะเป็นเครื่องยนต์ล็อตแรกของบริษัท ซึ่งเป็นงานที่กดดันสูง เพราะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการจากการผลิตต้นแบบ (Prototyping) ไปสู่การผลิตจำนวนมาก (Serial Production) ให้มีประสิทธิภาพและส่งมอบทันเวลา หน้าที่ของผมคือรับชิ้นส่วนมาประกอบ ทดสอบ และทำ QC ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางวิศวกรรม จนในที่สุดผมและทีมก็สามารถส่งมอบเครื่องยนต์ Helix ทั้ง 14 เครื่องได้สำเร็จ โดยทุกเครื่องผ่านการทดสอบการจุดระเบิดครั้งแรก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญและเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตการทำงานของผม

 

เนื่องจากการทำตำแหน่งนี้อาศัยการ manage คนและทรัพยากรเป็นหลัก และทำให้มีความรู้กว้างแต่ไม่ลึกในด้านใดด้านหนึ่ง ผมเลยขอหัวหน้าเปลี่ยนตำแหน่งลงมาทำอะไรที่จะได้มีความเป็นเจ้าของของ hardware มากขึ้น ผมเลยได้เปลี่ยนมาเป็น system owner (วิศวกรที่รับผิดชอบเกี่ยวกับระบบใดระบบหนึ่ง) อย่างคนนี้เขาทำ pump คนนี้ทำท่อ เป็นต้น มันจะมีวาล์ว (วาล์วสำหรับเปิด-ปิดหรือควบคุมการไหลของเชื้อเพลิงและแก๊สต่างๆ) หลายตัว ผมก็ได้เป็น system owner สำหรับ 2 อย่างก็คือหลักๆ ทำวาล์วเชื้อเพลิงหลัก (main fuel valve) แล้วก็วาล์วควบคุม (flow control valves) เวลาครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการแก้ปัญหาและพัฒนาระบบที่เป็นเจ้าของอีกครึ่งหนึ่งผมยังใช้ไปกับการสนับสนุนคนคุม engine production คนใหม่ในตำแหน่ง advisor เพราะถือว่ายังมีความสำคัญสูงสุดของบริษัทอยู่ เหนือไปกว่าการพัฒนาคือการผลิต product ที่ใช้งานให้ได้ก่อน

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

ถามว่าทำงานที่นี่แตกต่างจากที่อื่นอย่างไร ผมรู้สึกว่าหลายๆ บริษัทจะทดสอบทุกอย่างให้ชัวร์ก่อน ความเสี่ยงจะต่ำ เพราะทุกอย่างต้องเป๊ะก่อน requirement สำหรับ system ของเขาเป็นหลายๆ ช่อง เขาก็ติ๊กหมดเลย และเพราะงบประมาณสูงด้วยเลยต้องระมัดระวัง แต่ RFA ไม่ได้มีงบเยอะขนาดนั้น บางช่องที่ไม่ได้ติ๊ก ก็เทสต์ใหม่ จนมันเวิร์ก เหมือนปรัชญาของ SpaceX ที่บอกว่าเขาไม่ได้ไปทำทุกอย่างให้มันเวิร์กก่อน คือมันไม่ต้องสร้างเป๊ะมาก แต่คือเทสต์ไปเรื่อยๆ จะได้รู้ว่าจุดไหนผิดถูกแล้วก็จะได้แก้จุดนั้น ถ้าคุณใช้เวลาในการดีไซน์มากเท่าไรมันไม่เห็นเป็นรูปธรรมสักที อย่าง COO ของบริษัทเขาจะพูดเสมอเลยว่าอย่า simulate อะไรที่สามารถทดสอบจริงได้เพราะทำเป็นพันชั่วโมงมันก็ให้คำตอบไม่ตรงเท่ากับการทดสอบจริง

 

ผมดีใจนะที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการส่งมอบเครื่องยนต์จรวดให้นำไปใช้ในการทดสอบ ถึงแม้จะล้มเหลวจากสาเหตุอื่นจนสูญเสียไป 9 เครื่องและตัวจรวด Stage 1 แต่นั่นถือเป็นก้าวแรกที่เราสามารถพยายามส่งมอบของที่มีความ reliable สูงในการนำไปใช้ซึ่งไม่ใช่แค่การขับเคลื่อนบริษัทเท่านั้นแต่คือขับเคลื่อนทั้งยุโรป เพราะว่าทั้งทวีปยุโรปมีแค่ไม่กี่บริษัทที่ทำได้ นี่คือความแตกต่างที่เราสร้างและ RFA จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับยุโรป

 

ในอนาคตเราจะทำจรวดที่มีแรงขับเคลื่อนเยอะกว่านี้ requirement ก็จะสูงกว่านี้ แรงดันก็จะสูงกว่านี้ ปีที่แล้วมันใกล้สำเร็จมากๆ แล้ว ก็ยังมีความหวังว่าจะได้เห็นมันได้ launch เป็นจรวดลำแรกจากพื้นดิน EU ปล่อยขึ้นที่พัฒนาโดยภาคเอกชนก่อนสิ้นปีนี้ อันนี้คือภารกิจที่อยากจะทำให้สำเร็จ

 

อาชว์ วัฒนธีรานุกูล วิศวกรไทยใน Rocket Factory Augsburg

 

มองอวกาศประเทศไทยอย่างไร

 

อาชว์: ผมคิดว่าคนไทยที่มีอำนาจในการให้งบประมาณอาจยังไม่เข้าใจ R&D มากพอ การที่อุตสาหกรรมหรือการวิจัยเติบโตได้คือต้องไม่หวังผลทุกรอบ มันไม่ได้ contribute to product ที่ทำเงินได้เอามาก่อน มันเป็นพื้นฐานในการต่อยอดขึ้นไปทำ application แล้วก็เป็น industry ต่อไปได้

 

ประเทศไทยเราต้องมี Heavy Industry ที่เป็นเจ้าของเป็น OEM เป็นผู้พัฒนา ยิ่งเราเริ่มช้าเรายิ่งตกขบวน ไม่ใช่ว่าคุณอยากพัฒนา product ที่เป็น end application แต่ว่าคุณไม่มี industry รองรับถามว่าถ้าเราไปซื้อของจีน ของอินเดียมาแบบนั้นได้ไหม ได้ แต่มันไม่คล่องตัวและไม่ยั่งยืนเท่าการที่จะมี Supplier ภายในประเทศ รวมถึงระบบการศึกษาที่ต้องยกระดับด้วยเพื่อให้เด็กไทยมี analytical mindset ที่สำคัญมากในการเรียนวิชา STEM

 

ผมพยายามเก็บประสบการณ์ทำงานจากต่างประเทศแล้วกลับมาสร้าง infrastructure ให้กับประเทศไทยด้าน space economy แน่นอน เรื่องจรวดผมรู้อยู่แล้วว่ามันทำไม่ได้ ก็คงต้องดูว่าเทคโนโลยีไหนที่มันทำเงินได้และเป็น expertise ของตัวเองด้วย แต่คงไม่ถึงกับแบบเป็น product ที่เป็นจรวดเป็นลำ ผมเป็นคนที่อยากต้องพัฒนาอะไรไปด้วยจริงๆ อาจจะกลับมาทำสตาร์ทอัพ supply chain ชิ้นส่วนด้านจรวดและสอนหนังสือไปด้วยก็เป็นไปได้ครับ ขึ้นอยู่กับการผลักดันจากทางภาครัฐเพราะผมก็ไม่สามารถจะช่วยประเทศชาติได้ถ้าต้องมาขาดทุนส่วนตัวในการพัฒนาประเทศ มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ส่วนผมมีหน้าที่ใช้ความรู้ขับเคลื่อนสังคมตามกำลังที่มี

 

วิศวกรอวกาศถ้าสร้างจรวดได้แปลว่าสร้างอะไรก็ได้บนโลกใบนี้

 

อาชว์: ผมคิดว่าศาสตร์ของผมก็จะ Old School นิดหนึ่ง อย่างน้อยมันอาจจะมีสิ่งที่เหมือนกันคือพื้นฐานความรู้ในการทำและคิดแก้ไขปัญหาบางอย่างที่มันเหมือนกัน มันสามารถประยุกต์ใช้สร้างสิ่งต่างๆ ได้ วิศวกรถ้าให้นิยามก็ต้องเป็นคนที่เข้าใจ first principles คือหลักแก่นแท้ของศาสตร์แต่ละอันคือคุณเข้าใจตรงนี้แล้วคุณประยุกต์มาใช้ให้ถูกต้องนั่นคือวิศวะในการแก้ปัญหาซึ่ง Elon Musk เคยพูดเรื่องนี้บ่อยๆ

 

อยากฝากอะไรถึงน้องๆ หรือคนที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้แต่สนใจด้านอวกาศ

 

ผมโชคดีมากๆ ที่ทางบ้านมีทุนพอที่จะส่งผมไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยไม่ต้องไปดิ้นรนหาทุนเอาเอง จากจุดนั้นจนถึงวันนี้ผมค่อยเดินอีกครึ่งทางต่อมาด้วยตัวเอง สำหรับน้องๆ คนไทยหลายๆ คนผมรู้ว่ามันลำบากที่จะต้องเดินด้วยตัวเองทั้งทางตั้งแต่แรกจนจบ แต่มันเป็นไปได้ ผมไม่อยากจะดูแคลนการศึกษาประเทศไทยแต่ดูจาก ranking มหาวิทยาลัยแค่ภายในทวีปต้องยอมรับว่าเรายังล้าหลังอยู่มาก ผมสนับสนุนว่าถ้ามีโอกาสอยากจะให้ออกมาสัมผัสการศึกษาในประเทศที่ขึ้นชื่อในศาสตร์ที่ตัวเองสนใจ

 

สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมล้วนแล้วมาจากการที่ได้ท้าทาย comfort zone ตัวเอง การที่ได้ทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัดหรือคุ้นชินคือการที่ได้ผลักดันตัวเองไปในทางที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่แค่ในทางการงานแต่ในชีวิตประจำวันด้วย สำคัญที่สุดคืออย่านิ่งนอนใจว่าโอกาสมันจะตกใส่ตัวเอง มันไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าเราไม่กระตือรือร้นไขว่คว้ามันเอง สำหรับน้องๆ ที่มี passion กับอะไรสักอย่าง อยากจะบอกให้ take action เพราะยิ่งรอนานยิ่งจะเฉื่อย การจะส่งอะไรไปดวงจันทร์ถ้าเล็งวงโคจรนั้นพลาดไปแค่องศาเดียวสุดท้ายจะคลาดเป้าหมายไปเกือบหมื่นกิโลเมตร ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายแล้วก็ควรจะปรับโคจรตัวเองแต่เนิ่นๆ แล้วก็ปรับไปเรื่อยๆ ระหว่างทางด้วย ที่สุดแล้วต้องถามตัวเองลึกๆ ก่อนว่าจุดหมายของเราคืออะไรแล้วก็อย่าชะล่าใจในการวิ่งตามมัน

 

สุดท้ายอยากฝากมอตโตที่ผมชอบในภาษาละติน ซึ่งเป็นคติที่ผลักดันให้ผมกล้าหาหนทางเดินต่อไปได้คือ “Aut viam inveniam aut faciam” (I shall either find a way or make one) แปลว่า “ฉันจะหาทางให้ไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าเส้นทางนั้นไม่มี ก็ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง” 

The post จากฝันสู่ห้วงอวกาศ วิศวกรผู้สร้างจรวดคนไทยในเยอรมนี เอม-อาชว์ ปลื้มปัญญา appeared first on THE STANDARD.

]]>
เส้นทางสู่การ ‘ขจัดมะเร็งปากมดลูก’ ในไทย สำเร็จแค่ไหน ความท้าทายคืออะไร? [Advertorial] https://thestandard.co/who-global-cervical-thailand/ Fri, 27 Jun 2025 10:20:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1089656 who-global-cervical-cancer-elimination-goal-2030

เส้นทางการขจัดมะเร็งปากมดลูกภายใต้การขับเคลื่อนขององค์ก […]

The post เส้นทางสู่การ ‘ขจัดมะเร็งปากมดลูก’ ในไทย สำเร็จแค่ไหน ความท้าทายคืออะไร? [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
who-global-cervical-cancer-elimination-goal-2030

เส้นทางการขจัดมะเร็งปากมดลูกภายใต้การขับเคลื่อนขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ปี 2018 ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมมือกันขจัดมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับที่ 4 ในผู้หญิงทั่วโลก โดยตั้งเป้าให้อัตราการเกิดโรคต่ำกว่า 4 รายต่อผู้หญิง 100,000 คน ภายในปี 2030  

 

แผนรณรงค์ขจัดมะเร็งปากมดลูกของ WHO ภายในปี 2030 พร้อมภาพผู้หญิงและกราฟอัตราการป่วย

 

สมาชิก 194 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้ลงมติช่วยผลักดัน ให้ความมุ่งมั่นที่จะขจัดมะเร็งปากมดลูกสำเร็จ ผ่านแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกในการเร่งขจัดมะเร็งปากมดลูก (Global Strategy to Accelerate the Elimination of Cervical Cancer) ที่จัดทำขึ้นโดย WHO ในปี 2020 ภายใต้แนวทาง 3 ประการ บนยุทธศาสตร์ 90-70-90  

 

  • 90% ของเด็กผู้หญิงได้รับวัคซีน HPV ครบ เมื่ออายุ 15 ปี
  • 70% ของผู้หญิงได้รับการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่ออายุ 35 ปี และอีกครั้งเมื่ออายุ 45 ปี
  • 90% ของผู้หญิงที่ผิดปกติได้รับการรักษา (90% ของผู้หญิงที่ตรวจพบความผิดปกติของปากมดลูกระยะก่อนลุกลาม และ 90% ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งระยะลุกลามต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสม)

 

ประเทศไทยอยู่จุดไหนของเป้าหมาย?


สำหรับประเทศไทย มะเร็งปากมดลูกพบมากเป็นอันดับ 4 รองจากมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้และไส้ตรง มะเร็งปอด ข้อมูลจากกรมการแพทย์เผยว่า มีผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 14 คน หรือ 5,219 คนต่อปี และเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 6 คน หรือ 2,238 คนต่อปี 

 

สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV (Human papillomavirus) โดยเฉพาะสายพันธุ์ HPV 16 และ HPV 18 ที่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกถึงร้อยละ 70 ทั้งนี้ เชื้อไวรัสสามารถก่อให้เกิดโรคได้ในหลายอวัยวะและมักเข้าสู่ร่างกายผ่านการสัมผัสขณะมีเพศสัมพันธ์ การร่วมเพศทางปาก ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก

 

การติดเชื้อไวรัสก่อให้เกิดความผิดปกติของปากมดลูก หากไม่มีการตรวจคัดกรองและได้รับการรักษาที่เหมาะสม ความผิดปกติที่ปากมดลูกนั้นอาจมีการดำเนินของโรคต่อจนกลายเป็นมะเร็ง

 

แม้ว่าอัตราการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยจะมีแนวโน้มลดลง แต่อัตราการเสียชีวิตยังอยู่ในระดับสูง 

 

แผนรณรงค์ขจัดมะเร็งปากมดลูกของ WHO ภายในปี 2030 พร้อมภาพผู้หญิงและกราฟอัตราการป่วย

 

ที่ผ่านมา กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค และกรมอนามัย ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ลงนาม MOU จัดทำโครงการ ‘กำจัดมะเร็งปากมดลูก’ เพื่อแสดงเจตจำนงร่วมกันในการขจัดโรคมะเร็งปากมดลูกของประเทศไทย ผ่านมาตรการสำคัญ ได้แก่ 1.) การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV 2.) การตรวจคัดกรองและการรักษารอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง และ 3.) การดูแลผู้หญิงที่มีผลตรวจคัดกรองปากมดลูกผิดปกติ 

 

ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV

 

วัคซีน HPV ถูกนำมาใช้ครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาในปี 2006 จนถึงปัจจุบัน มีการฉีดไปแล้วทั่วโลกกว่า 270 ล้านโดส มีงานวิจัยมากมายพิสูจน์ให้เห็นถึงความปลอดภัยของวัคซีน ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ และความสำคัญของการฉีดให้กับเด็กอายุ 9-13 ปี ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ 

 

ปี 2012 คณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (ACIP) ของไทยได้บรรจุวัคซีนนี้เข้าสู่โครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งชาติ (EPI) และเริ่มโครงการนำร่องฉีดวัคซีน HPV โดยมุ่งเป้าหมายไปที่เด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในปี 2014  

 

โครงการดังกล่าว มีอัตราการยอมรับสูงกว่า 90% และเมื่อมองถึงความคุ้มค่าระยะยาวในการลดภาระจำนวนผู้ป่วย ลดอัตราการเสียชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค  จึงมีการบรรจุวัคซีนป้องกัน HPV เข้าสู่โครงการวัคซีนแห่งชาติ โดยให้วัคซีนแบบสองสายพันธุ์ (bivalent) หรือแบบสี่สายพันธุ์ (quadrivalent) แก่เด็กหญิงชั้น ป.5 (อายุ 11–12 ปี) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งนับเป็นความสำเร็จก้าวแรก 

 

ต่อมาแม้ว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนวัคซีนในระดับโลกช่วงการระบาดของโควิดช่วงปี 2019-2021 แต่การเกิดขึ้นของแคมเปญ ‘Quick Win’ โดยกระทรวงสาธารณสุขที่จับมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ในปี 2023 กลายเป็นตัวเร่งให้เกิดฉีดวัคซีน HPV เดินหน้าอีกครั้งและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายคือวัคซีน 1 ล้านโดส ภายใน 100 วัน ครอบคลุมการฉีดวัคซีนในเด็กหญิงอายุ 11-20 ปี สำหรับเข็มแรก และวัคซีนเข็มชดเชยแก่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขาดวัคซีน โดยครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ ป.5 ถึงระดับมหาวิทยาลัยปีที่ 2

 

อีกทั้งการเปิดตัวโครงการสุขภาพโรงเรียนอย่างเข้มข้นในหลายโรงเรียนทำให้สามารถฉีดวัคซีน HPV ได้ถึง 1.67 ล้านโดสภายในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการฉีดเข็มแรกถึง 1.4 ล้านโดส ส่งผลให้ครอบคลุมการฉีดวัคซีน HPV อย่างน้อย 1 โดสในเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี สูงถึง 80% ในปี 2023

 

แผนรณรงค์ขจัดมะเร็งปากมดลูกของ WHO ภายในปี 2030 พร้อมภาพผู้หญิงและกราฟอัตราการป่วย

 

การตรวจคัดกรองและการรักษารอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง

 

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกแบบมาตรฐานอายุในประเทศไทยลดลงจาก 24.7 เหลือ 10.3 ต่อประชากรหญิง 100,000 คน จากการดำเนินโครงการคัดกรองระดับประเทศ (national screening) อย่างต่อเนื่อง

 

นับตั้งแต่ปี 1985 ประเทศไทยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจคัดกรองตามโอกาสของแต่ละบุคคล (opportunistic cytology-based screening) จนกระทั่งปี 1999-2002 ได้เปลี่ยนมาตรวจคัดกรองด้วยเซลล์วิทยาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะมีการจัดโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแห่งชาติและแนวทางที่เกี่ยวข้องระหว่างในปี 2002-2004 

 

ปีต่อมา (2005) โครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกระดับประเทศได้ผนวกรวม Pap smear และการตรวจด้วยน้ำส้มสายชู (VIA) โดยให้บริการภายใต้สิทธิประโยชน์ตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ผู้หญิงไทยอายุ 35–60 ปี ตรวจคัดกรองทุก 5 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โครงการนี้ได้ดำเนินการเป็นระยะ ดังนี้

 

  • ระยะที่ 1 (ปี 2005-2009): มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิง 4,030,833 คน ผลการดำเนินงานคัดกรองครอบคลุม 77.5% ของเป้าหมาย
  • ระยะที่ 2 (ปี 2010 – 2014): เป้าหมาย 9,577,840 คน ดำเนินการครอบคลุม 54.99% แต่ข้อมูลการติดตามผลยังมีข้อจำกัด จึงมีผู้หญิงที่มีผลคัดกรองผิดปกติกลับมาติดตามผลน้อยกว่า 10%
  • ระยะที่ 3 (ปี 2015- 2019): เป้าหมาย 10,355,152 คน ดำเนินการครอบคลุม 57.65% ได้มีการปรับปรุงระบบการติดตามผลโดยเชื่อมโยงข้อมูลการตรวจคัดกรองและการรักษากับเลขประจำตัวประชาชน
  • ระยะที่ 4 (ปี 2020 – 2024): เป้าหมาย 9,141,488 คน ดำเนินการครอบคลุม 83.39% ระยะนี้ได้เปลี่ยนวิธีการตรวจคัดกรองจากวิธีการตรวจด้วยเซลล์วิทยา (Pap smear) เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส HPV โดยตรง (HPV testing) ซึ่งทำให้ความไวในการตรวจคัดกรองดีกว่า สอดคล้องไปกับคำแนะนำจาก WHO ในปี 2021 ที่ให้ใช้การตรวจ HPV 

 

การเปลี่ยนวิธีการตรวจคัดกรองจาก Pap smear มาเป็นการตรวจ HPV ในระยะที่ 4 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และยังสอดคล้องไปกับผลการศึกษาที่ทำในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดอุบลราชธานีในปี 2014-2015 พบว่า การตรวจ HPV มีประสิทธิภาพสูงกว่าการตรวจ Pap smear อย่างมีนัยสำคัญ

 

ตุลาคมปี 2020 ประเทศไทย เปิดตัวโครงการ ‘Cervical Cancer Screening 2020’ นำการตรวจ HPV มาใช้เป็นการตรวจคัดกรองหลัก พร้อมกับการตรวจระบุสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 สำหรับผู้หญิงไทยอายุ 30–60 ปี ทุก 5 ปี ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของ WHO ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ประกาศเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการในปี 2023 

 

การดูแลผู้หญิงที่มีผลตรวจคัดกรองปากมดลูกผิดปกติ

 

การดูแลอย่างไร้รอยต่อผ่านการวางแผนที่ครอบคลุมและเป็นระบบรอบด้าน ภายใต้ความร่วมมือของเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการรักษามะเร็งอยู่ทั่วประเทศ ทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา จนถึงการติดตามผลได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปราการด่านสุดท้ายในการขจัดมะเร็งมดลูกให้หมดไป

 

โดย สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย (TGCS) ร่วมกับราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย (RTCOG) และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (NCI) ได้จัดทำ “แนวทางการป้องกันและรักษามะเร็งปากมดลูก” พ.ศ.2567 เพื่อเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการตรวจและจัดการผลตรวจคัดกรองที่ผิดปกติ รวมถึงแนวทางการรักษารอยโรคก่อนเป็นมะเร็งและมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม

 

ระยะแรกจะโฟกัสไปที่การติดตามผลตรวจเซลล์วิทยา (Cytology) ร่วมกับผล HPV ที่ผิดปกติ แต่หลังจากใช้การตรวจ HPV เป็นวิธีหลัก แนวทางการติดตามก็ได้เปลี่ยนไปตามระดับความเสี่ยงของเชื้อ HPV และตรวจแยกแยะต่อด้วย Cytology ตามมา เพื่อให้มีความแม่นยำและเป็นระบบมากขึ้นในการจัดการกลุ่มเสี่ยง

 

หากตรวจพบเชื้อ HPV 16 หรือ 18 จะต้องตรวจวินิจฉัยด้วยการส่องกล้อง และการตัดชิ้นเนื้อปากมดลูก แต่ในกรณีที่ตรวจพบ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูงชนิดอื่นๆ จะตรวจต่อด้วย Cytology เพื่อคัดแยกว่าจะต้องส่องกล้องต่อหรือไม่ 

 

นอกจากนี้ยังสามารถตรวจคัดกรองด้วยการย้อมสีคู่ p16/Ki-67 หากพบความผิดปกติจะถูกส่งต่อไปส่องกล้อง หรือหากชิ้นเนื้อพบ CIN2 หรือรุนแรงกว่า จะรักษาด้วยการจี้ทำลายรอยโรค (ablation) หรือผ่าตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย (conization) ตามความเหมาะสม

 

ปัจจุบัน โรงพยาบาลที่มีคลินิกส่องกล้องมีจำนวนเพิ่มขึ้นครอบคลุมครบทั้ง 13 เขตสุขภาพ ทั้งในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังมีโครงการ ‘Cancer Anywhere’ ให้ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทุกแห่งในระบบ สามารถเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้านหรือสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยไม่ต้องรอใบส่งตัวจากหน่วยบริการปฐมภูมิ 

 

นอกจากจะเพิ่มการเข้าถึงบริการ ยังช่วยลดระยะเวลารอรับการรักษา โดยมีการจัดบริการเพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถได้รับการผ่าตัดภายใน 4 สัปดาห์และได้รับเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาภายใน 6 สัปดาห์

 

การดำเนินงานต่างๆ ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณเพื่อให้ครอบคลุมค่ายา ค่าตรวจวินิจฉัย ค่ารักษา ต่างๆ อีกทั้งยังมีการอบรมบุคลากรสหวิชาชีพเพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างครอบคลุม ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม 

 

แผนรณรงค์ขจัดมะเร็งปากมดลูกของ WHO ภายในปี 2030 พร้อมภาพผู้หญิงและกราฟอัตราการป่วย

 

ความท้าทายในการขจัดมะเร็งปากมดลูกของไทย


แม้มาตรการข้างต้นจะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีความท้าทายในหลายด้านที่เป็นอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็น ความล่าช้าในการผลิตและกระจายวัคซีนป้องกัน HPV ปัญหาของความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงในกลุ่มเปราะบาง ระบบติดตามผลที่ยังไม่บูรณาการในการติดตามผู้ที่มีผลตรวจผิดปกติ ทำให้ผู้หญิงบางส่วนพลาดโอกาสในการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ไปจนถึงความท้าทายในมุมของประชาชนเอง โดยเฉพาะการขาดเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน HPV ในเด็กหญิงและเด็กชาย และการตรวจคัดกรอง 

 

บรรลุเป้า WHO ขจัดโรคมะเร็งปากมดลูกภายในปี ค.ศ. 2030 อาจเป็นจริงได้


จะเห็นว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยวางแนวทางยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย 90-70-90 โดยเน้นการดำเนินงานทั้งในเชิงนโยบาย การบริการ และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ 

  • เปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย: รับรองการฉีดวัคซีน HPV แบบเข็มเดียวในเด็กหญิงวัยเรียนเป็นมาตรฐาน พร้อมแผนการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมเยาวชนนอกระบบโรงเรียน
  • กระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง: ใช้ระบบคลินิกโรงเรียนและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในชุมชนห่างไกล เพื่อให้บริการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มเสี่ยงและผู้ที่เคยพลาดโอกาส
  • ส่งเสริมการตรวจคัดกรองด้วยตนเอง: ใช้ชุดตรวจ HPV ด้วยตนเอง (self-sampling) เพื่อเพิ่มอัตราการตรวจคัดกรอง ในกลุ่มผู้หญิงที่มีความอายและอุปสรรคด้านวัฒนธรรมที่ทำให้ไม่เข้ามารับการตรวจในสถานบริการ ทั้งนี้โดยมีการเชื่อมโยงกับระบบออนไลน์ของรัฐ เช่น แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
  • เพิ่มประสิทธิภาพของระบบข้อมูล: พัฒนาระบบบันทึกผลการตรวจและการติดตามผลการรักษาให้เชื่อมโยงกันระหว่างสถานพยาบาลต่างๆ ผ่านระบบฐานข้อมูลกลาง เช่น ทะเบียนมะเร็ง (Cancer Registry)
  • เสริมทักษะบุคลากร: อบรมพยาบาลและเจ้าหน้าที่ปฐมภูมิให้สามารถให้คำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกัน HPV การตรวจคัดกรอง วิธีการเก็บตัวอย่างตรวจ HPV ทั้งการเก็บโดยบุคลากรทางสาธารณสุขและการเก็บด้วยตนเอง และการดูแลติดตามผู้ที่ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจคัดกรอง

 

นอกจากนี้ การมีนโยบายที่ชัดเจนและได้รับการสนับสนุนจากระดับผู้นำและองค์กรทางวิชาการ  การตรวจคัดกรองด้วยการตรวจ HPV เป็นวิธีหลัก การเกิดขึ้นของ โครงการ Cancer Anywhere ทำให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอใบส่งตัว และความสำเร็จจากแคมเปญ Quick Win จนสามารถเพิ่มอัตราการเข้าถึงวัคซีนป้องกัน HPV ได้อย่างรวดเร็วล้วนเป็นแนวโน้มที่ดีที่สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการควบคุมและป้องกันมะเร็งปากมดลูก 

 

กุญแจสำคัญคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรทางวิชาการ และประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขของประชาชนที่อยู่ห่างไกล การสนับสนุนด้านงบประมาณ และการพัฒนาระบบการเก็บข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน 

 

หากทุกภาคส่วนช่วยกันรักษาความมุ่งมั่นและส่งแรงสนับสนุนต่อเนื่อง การบรรลุเป้าหมายของ WHO ในการขจัดโรคมะเร็งปากมดลูกภายในปี ค.ศ. 2030 ในประเทศไทยอาจไม่ไกลเกินเอื้อม และอาจได้เป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียที่สามารถขจัดมะเร็งปากมดลูกได้สำเร็จ

 

อ้างอิง

Cancer in Thailand Vol. XI, 2019–2021. Bangkok: National Cancer Institute of Thailand; 2025. https://www.hfocus.org/content/2024/01/29624 

https://sjr-redesign.stjude.org/content/dam/research-redesign/centers-initiatives/hpv-cancer-prevention-program/hpv-advocacy-campaign/history-hpv-vaccination.pdf 

The post เส้นทางสู่การ ‘ขจัดมะเร็งปากมดลูก’ ในไทย สำเร็จแค่ไหน ความท้าทายคืออะไร? [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
แจ้งเตือนพายุสนามแม่เหล็กโลกระดับ G4 หวั่นกระทบต่อระบบนำทาง ระบบสื่อสาร และดาวเทียม https://thestandard.co/magnetic-storm-g4-warning-2025/ Sun, 01 Jun 2025 08:11:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1081113 ภาพแสดง พายุสนามแม่เหล็กโลก ระดับ G4 จาก GISTDA

การปะทุบนดวงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2568 บริเ […]

The post แจ้งเตือนพายุสนามแม่เหล็กโลกระดับ G4 หวั่นกระทบต่อระบบนำทาง ระบบสื่อสาร และดาวเทียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพแสดง พายุสนามแม่เหล็กโลก ระดับ G4 จาก GISTDA

การปะทุบนดวงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2568 บริเวณจุดมืด AR4100 ได้ปล่อยทั้งเปลวสุริยะ (Solar Flare) และมวลโคโรนาขนาดใหญ่ (Coronal Mass Ejection: CME) ที่มีทิศทางพุ่งตรงมายังโลก โดยคาดว่า CME ดังกล่าวจะถึงโลกในวันนี้ (1 มิถุนายน) และอาจก่อให้เกิด พายุสนามแม่เหล็กโลก ระดับรุนแรงหรือ G4 (NOAA scale) ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบนำทาง ระบบการสื่อสารชั่วขณะ และการปฏิบัติการของระบบดาวเทียม 

 

นอกจากนี้ ปรากฏการณ์พายุแม่เหล็กโลกครั้งนี้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์แสงออโรรา (Aurora) หลากสีเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ใกล้ขั้วโลกและเขตละติจูดสูง สำหรับประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์นี้

 

อย่างไรก็ตาม GISTDA ได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด และหากมีรายงานความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป

 

ภาพ: GISTDA

อ้างอิง:

  • SDO / SWPC NOAA / ESA Jhelioviwer / Solarham

The post แจ้งเตือนพายุสนามแม่เหล็กโลกระดับ G4 หวั่นกระทบต่อระบบนำทาง ระบบสื่อสาร และดาวเทียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักเรือ Xuelong 2 เรือวิจัยตัดน้ำแข็งขั้วโลกของจีน และงานวิจัยไทยในขั้วโลกใต้ https://thestandard.co/xuelong2-icebreaker/ Sat, 24 May 2025 08:51:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1078029 xuelong2-icebreaker

เมื่อวันที่ 19-22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เรือวิจัยตัดน้ำแข็งข […]

The post รู้จักเรือ Xuelong 2 เรือวิจัยตัดน้ำแข็งขั้วโลกของจีน และงานวิจัยไทยในขั้วโลกใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
xuelong2-icebreaker

เมื่อวันที่ 19-22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เรือวิจัยตัดน้ำแข็งขั้วโลกเสวี่ยหลง 2 (Xuelong 2) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เดินทางมาเทียบท่า ณ ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ หลังจากเสร็จสิ้นการปฏิบัติภารกิจในทวีปแอนตาร์กติกา

 

การเดินทางมาไทยในหนนี้ ถือเป็นครั้งแรกของเรือ Xuelong 2 เนื่องในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา และในวาระครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน ของปีนี้

 

Xiao Zhi Min ผู้บังคับการเรือ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “Xuelong 2 เป็นเรือสำรวจขั้วโลกลำที่ 4 ของจีน และเป็นลำแรกที่มีการสร้างขึ้นเองทั้งหมดภายในประเทศ โดยในการเดินเรือครั้งนี้ได้พบกับสภาพภูมิอากาศที่มีความท้าทายมาก แต่ตัวเรือก็มีศักยภาพที่จะตัดทะลุน้ำแข็ง ด้วยหัวเรือส่วนใต้น้ำถูกออกแบบให้มีความแข็งแรงเป็นพิเศษเพื่อชนและไต่ขึ้นเหนือแผ่นน้ำแข็ง สร้างแรงกดที่ช่วยแยกน้ำแข็งเพื่อให้เรือตัดผ่านและเคลื่อนที่ต่อไป จนสามารถบรรลุภารกิจด้านต่าง ๆ ตามแผนที่วางไว้ได้”

 

เรือวิจัยลำนี้ มีความยาวรวม 122.5 เมตร และมีพื้นที่ใช้สอยรวม 9 ชั้น รองรับลูกเรือและนักวิจัยได้สูงสุด 90 คน แบ่งเป็นห้องปฏิบัติการวิจัย พร้อมอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์รวมพื้นที่กว่า 580 ตารางเมตร สำหรับการวิจัยและทดลองด้านต่าง ๆ โดยมีเครื่องมือรองรับการเก็บตัวอย่างน้ำจากใต้ทะเล และวิเคราะห์ผลด้านจุลชีววิทยาและเคมีโดยเบื้องต้นได้ระหว่างเดินทาง

 

ดร.อุดมศักดิ์ ดรุมาศ นักวิจัยไทยหนึ่งเดียวที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมเดินทางไปกับเรือ Xuelong 2 ให้สัมภาษณ์ว่า “ได้ร่วมเดินทางไปศึกษาด้านสภาพสิ่งแวดล้อม ตรวจหา Microplastic จากตัวอย่างน้ำ เพื่อดูว่าทะเลในเขตขั้วโลกใต้ยังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่” โดยได้เริ่มกระบวนการเก็บตัวอย่างจากนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ EEC ของประเทศนิวซีแลนด์ ไปจนบริเวณทวีปแอนตาร์กติกา ผ่านการใช้เครื่องมือเก็บตัวอย่างบนเรือวิจัย เพื่อนำตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อดูระดับการปนเปื้อน Microplastic ของสภาพแวดล้อมในบริเวณขั้วโลกใต้ จากระดับความลึกที่แตกต่างกัน

 

นอกจากนี้ ดร.อุดมศักดิ์ ยังได้เล่าถึงประสบการณ์ในการปฏิบัติงานบนเรือว่า “ทุกคนบนเรือเราเป็นพี่น้องทำงานร่วมกัน ดูแลกันเป็นอย่างดี ผมตื่นเต้นในเรื่องของการวิจัยที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดมาผมอยู่แต่เขตร้อน ไม่เคยไปเขตหนาว การวิจัยในแอนตาร์กติกาต้องเจอกับอุณหภูมิติดลบ และลมความเร็วสูงกว่า 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง” โดยมีความท้าทายในด้านอากาศที่หนาวและแห้ง ทำให้เหนื่อยง่าย และร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ”

 

ในวันเดียวกัน Li Wenming หัวหน้าวิศวกรเรือ พร้อมกับ ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิทยาศาสตร์ผู้มีประสบการณ์ไปร่วมสำรวจขั้วโลกใต้ ได้พาสื่อมวลชนเดินทางเยี่ยมชมส่วนต่าง ๆ ของเรือ Xuelong 2 โดย Li Wenming เปิดเผยว่า “ระบบต่าง ๆ บนเรือได้ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นภายในประเทศ รวมถึงระบบนำทางที่มีการใช้เครือข่าย BeiDou โดยหน่วยงานอวกาศของจีนเป็นหลัก ควบคู่กับระบบนำทางสากล” พร้อมกับพาชมสะพานเดินเรือ ห้องวิจัย และบริเวณที่ใช้ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อการสำรวจทางวิทยาศาสตร์

 

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นคนไทยพระองค์แรกที่เสด็จฯ เยือนทวีปแอนตาร์กติกาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1993 โดยพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมเรือ Xuelong 2 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยได้มีการส่งนักวิจัยไปปฏิบัติงาน ณ ขั้วโลกใต้มาอย่างต่อเนื่อง โดย ศ.ดร.สุชนา ให้ข้อมูลว่า “นักวิจัยที่ได้เดินทางไปประเทศจีน ต้องผ่านเกณฑ์คัดเลือกที่เข้มงวด ทั้งด้านประโยชน์เชิงวิชาการ ความสอดคล้องกับธีมงานวิจัยของจีน ณ ตอนนั้น เช่นเดียวกับความพร้อมทางร่างกายและจิตใจระหว่างต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นเป็นระยะเวลานานหลายเดือน”

 

ทั้งนี้ ศ. ดร.สุชนา ชวนิชย์ เป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงไทยคนแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมสำรวจทวีปแอนตาร์กติกากับคณะสำรวจจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2009 ก่อนเดินทางไปกับคณะของจีนในครั้งล่าสุดเมื่อต้นปี 2025 โดยมีการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่มีต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในละแวกโดยรอบของทวีปแอนตาร์กติกา อาทิ ประชากรนกเพนกวินลดลง หรือการพบพยาธิในตัวปลาเพิ่มขึ้น เป็นต้น

 

ในปัจจุบันมีงานวิจัยวิทยาศาสตร์หลากหลายแขนง ณ บริเวณทวีปแอนตาร์กติกา โดยนอกจากงานด้านสมุทรศาสตร์ ยังมีด้านธรณีวิทยาและฟอสซิล ฟิสิกส์ และดาราศาสตร์ อันได้แก่ การศึกษารังสีคอสมิกและนิวทริโน โดยมี รศ.ดร.ชนะ สินทรัพย์วโรดม อาจารย์ภาควิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ไปปฏิบัติภารกิจด้านวิศวกรรมของหอดูดาว IceCube สำหรับสำรวจอนุภาคนิวทริโน ในบริเวณขั้วโลกใต้

 

แม้เรือ Xuelong 2 จะออกเดินทางจากท่าเรือจุกเสม็ด เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นที่เรียบร้อย แต่สำหรับผู้ที่สนใจ ยังมีการจัดนิทรรศการ ‘Xuelong 2 and See the Unseen in Polar Region’ โดยมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อเป็นแหล่งความรู้และแรงบันดาลใจของผู้สนใจเรื่องราววิทยาศาสตร์ ณ Crystal Court ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 14-25 พฤษภาคม

The post รู้จักเรือ Xuelong 2 เรือวิจัยตัดน้ำแข็งขั้วโลกของจีน และงานวิจัยไทยในขั้วโลกใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
GISTDA และ ESA รายงาน ยาน Kosmos 482 ตกกลับโลกแล้ว หน่วยงานอวกาศรัสเซียชี้ ยานตกในมหาสมุทรอินเดีย https://thestandard.co/kosmos-482-re-entry-indian-ocean/ Sat, 10 May 2025 11:13:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1073094 Kosmos 482

สำนักติดตามขยะอวกาศ องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA เป็นหน่ว […]

The post GISTDA และ ESA รายงาน ยาน Kosmos 482 ตกกลับโลกแล้ว หน่วยงานอวกาศรัสเซียชี้ ยานตกในมหาสมุทรอินเดีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Kosmos 482

สำนักติดตามขยะอวกาศ องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA เป็นหน่วยงานแรกที่รายงานว่ายานลำนี้ได้ตกกลับมาเผาไหม้ในบรรยากาศโลก หลังจากเรดาร์ตรวจไม่พบ Kosmos 482 ในกำหนดการบินผ่านเหนือสถานีติดตามในประเทศเยอรมนี เวลา 14:32 น.

 

ด้าน ROSCOSMOS หน่วยงานอวกาศรัสเซีย รายงานว่ายาน Kosmos 482 ตกใส่มหาสมุทรอินเดีย เมื่อเวลา 13:24 น. ห่างจากบริเวณหมู่เกาะอันดามันไป 560 กิโลเมตร

 

ยานอวกาศของสหภาพโซเวียต ถูกนำส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1972 ด้วยภารกิจการเดินทางไปลงจอดบนดาวศุกร์ แต่จากข้อผิดพลาดของการเดินเครื่องยนต์ ทำให้ยาน Kosmos 482 ไปไม่ถึงดาวศุกร์ และยังติดอยู่ในวงโคจรรอบโลกมานานกว่า 53 ปี

 

เนื่องจาก Kosmos 482 ถูกออกแบบมาให้ทนกับสภาพแวดล้อมที่สุดขั้วของดาวศุกร์ หน่วยงานอวกาศต่าง ๆ จึงเป็นกังวลว่าอาจมีซากชิ้นส่วนที่รอดพ้นจากการถูกเผาไหม้ในบรรยากาศโลกได้ โดยยานลำนี้มีขนาดใหญ่ประมาณ 1 เมตร และมีน้ำหนักประมาณ 495 กิโลกรัม เทียบเท่าได้กับดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลกโดยปกติ

 

ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานความเสียหาย หรือผู้ได้รับผลกระทบจากซากชิ้นส่วนของ Kosmos 482

 

แฟ้มภาพ: Rave / Wikimedia

อ้างอิง:

  • GISTDA / ESA / ROSCOSMOS

The post GISTDA และ ESA รายงาน ยาน Kosmos 482 ตกกลับโลกแล้ว หน่วยงานอวกาศรัสเซียชี้ ยานตกในมหาสมุทรอินเดีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตายานอวกาศเก่าโซเวียต ที่ควรไปลงจอดบนดาวศุกร์ แต่จะตกกลับโลกแบบควบคุมไม่ได้ https://thestandard.co/soviet-spacecraft-earth-return/ Thu, 08 May 2025 08:57:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1072443 soviet-spacecraft-earth-return

ในช่วงวันที่ 9-11 พฤษภาคมนี้ จับตายานอวกาศ Kosmos 482 ข […]

The post จับตายานอวกาศเก่าโซเวียต ที่ควรไปลงจอดบนดาวศุกร์ แต่จะตกกลับโลกแบบควบคุมไม่ได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
soviet-spacecraft-earth-return

ในช่วงวันที่ 9-11 พฤษภาคมนี้ จับตายานอวกาศ Kosmos 482 ของอดีตสหภาพโซเวียต จะตกกลับสู่โลกอย่างไร้การควบคุม หลังจากลอยล่องอยู่ในวงโคจรรอบโลกมานานกว่า 53 ปี

 

Kosmos 482 ออกเดินทางจากโลกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1972 พร้อมกับภารกิจออกเดินทางไปลงจอดบนดาวศุกร์ ทว่าข้อผิดพลาดระหว่างการจุดเครื่องยนต์จรวด ส่งผลให้ยานลำนี้ติดอยู่ในวงโคจรที่มีความรีสูง นั่นคือมีจุดใกล้โลกสุดที่ระยะห่าง 205 กิโลเมตร และจุดไกลสุดห่างออกไป 9,805 กิโลเมตร

 

อันที่จริง ชื่อ Kosmos 482 ก็เป็นชื่อที่ทางการโซเวียตใช้เพื่อปกปิดข้อผิดพลาดของภารกิจ เพราะแท้จริงแล้วยานลำนี้เป็นยานสำรวจฝาแฝดกับ Venera 8 ที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนดาวศุกร์ได้เป็นครั้งที่สอง และถูกปล่อยขึ้นบินตามหลังไปเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น

 

NPO Lavochkin บริษัทอวกาศผู้ออกแบบและพัฒนายานสำรวจดาวศุกร์ของโซเวียต ระบุว่ารูปแบบและอุปกรณ์บนยาน Kosmos 482 นั้นเหมือนกับยาน Venera 8 ทำให้ทราบได้ว่าแคปซูลลงจอดของยานอวกาศลำนี้ ชิ้นส่วนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในวงโคจรรอบโลก ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทนทานต่อสภาพแวดล้อมของดาวศุกร์ ในความกดอากาศมากกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางบนโลก 100 เท่า และแรง 300 G อีกด้วย

 

เนื่องจากไม่มีใครสามารถบังคับยาน Kosmos 482 ได้อีกต่อไป และส่วนอื่นๆ ที่นำส่งขึ้นไปต่างตกกลับมาเผาไหม้ในบรรยากาศโลกหมดแล้ว ทำให้เหลือเพียงแคปซูลลงจอดขนาด 1 เมตรลำนี้ ที่จะตกกลับโลกอย่างไร้การควบคุม และไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแน่ชัดว่ายานจะลงจอดเหนือบริเวณใดของโลก แต่จะอยู่ในขอบเขตละติจูด 52 องศาเหนือ จนถึง 52 องศาใต้ ซึ่งรวมถึงบริเวณประเทศไทยเช่นกัน

 

มีความเป็นไปได้ว่า Kosmos 482 อาจรอดจากการตกสู่บรรยากาศโลกได้ จากแผ่นกันความร้อนที่หนากว่ายานทั่วไป และแม้ว่าบนยานลำนี้จะมีร่มชูชีพที่ถูกออกแบบมาเพื่อชะลอความเร็วระหว่างลงดาวศุกร์ แต่คาดว่าตัวร่มอาจเสื่อมสภาพจากการเผชิญรังสีบนอวกาศเป็นเวลายาวนาน หรือมีความเป็นไปได้ที่มันอาจถูกกางออกโดยไม่ได้ตั้งใจในอวกาศไปแล้ว จากภาพถ่ายโดย Ralf Vandebergh นักดาราศาสตร์ที่ใช้กล้องโทรทรรศน์บันทึกภาพจากภาคพื้นโลก

 

ด้าน Marco Langbroek นักดาราศาสตร์ผู้ติดตามตำแหน่งของยานอวกาศลำนี้อย่างต่อเนื่อง คำนวณว่าช่วงเวลาที่ Kosmos 482 จะตกกลับสู่โลกนั้นอยู่ในช่วงวันที่ 10 พฤษภาคม เวลา 14:37 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยมีค่าความคลาดเคลื่อน ± 1 วันด้วยกัน สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ศูนย์ปฏิบัติการร่วมอวกาศ กองทัพอวกาศสหรัฐ หรือ CSpOC ระบุไว้ในวันที่ 10 พฤษภาคม เวลา 4:33 น. ตามเวลาประเทศไทย พร้อมค่าความคลาดเคลื่อน ± 20 ชั่วโมง

 

หากแคปซูลของ Kosmos 482 พุ่งผ่านบรรยากาศโลกมาได้โดยไม่ถูกเผาไหม้ไปหมดเสียก่อน มันจะตกกลับสู่โลกด้วยความเร็วประมาณ 242 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยไม่มีร่มชูชีพช่วยชะลอความเร็ว ซึ่งอาจทำให้เกิดความรุนแรงใกล้เคียงกับดาวตกต่างๆ ที่พุ่งชนโลก และคงเหลือซากอุกกาบาตขนาดใหญ่ประมาณ 40-55 เซนติเมตร จากการคำนวณโดยโมเดลของ Langbroek

 

ข่าวการตกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ของ Kosmos 482 อาจเป็นเรื่องน่ากลัว แต่เคยมีเหตุการณ์ใกล้เคียงกันในช่วงก่อนหน้านี้ อาทิ สถานีอวกาศเทียนกง-1 ของประเทศจีน หรือสถานีอวกาศสกายแล็บของสหรัฐอเมริกา ที่ตกอย่างไร้การควบคุมเช่นกัน ซึ่งโชคดีที่สถานีอวกาศเหล่านี้ตกเหนือผิวน้ำ ในบริเวณที่ไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย และไม่มีรายงานว่ามีใครได้รับผลกระทบจากซากชิ้นส่วนของสถานีอวกาศดังกล่าว

 

ด้วยขนาดใหญ่เพียง 1 เมตร แคปซูลของ Kosmos 482 มีขนาดเล็กกว่าสถานีอวกาศมาก และอาจตกกระแทกเหนือผืนมหาสมุทรเหมือนกับสถานีอวกาศในข้างต้น โดย Langbroek เปิดเผยกับ AP ว่า “คุณมีโอกาสถูกฟ้าผ่าในชั่วชีวิตนี้ มากกว่าจะถูกชนโดยแคปซูลยานลำนี้อีก”

 

“แม้จะมีโอกาสน้อยมากที่มันจะชนกับคนหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว”

 

ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ นักดาราศาสตร์ได้เฝ้าจับตาตำแหน่งของยาน Kosmos 482 อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับค่าโมเดลการทำนายวันและเวลาที่จะตกกลับสู่โลกให้มีความแม่นยำขึ้น แต่ด้วยความไม่แน่นอนของกิจกรรมจากดวงอาทิตย์ ที่มีผลต่อความหนาแน่นของอนุภาคในบรรยากาศโลก เช่นเดียวกับขนาดที่ค่อนข้างเล็กของตัวยาน ทำให้อาจต้องรอใกล้กับช่วงที่ยานจะตกกลับสู่โลกจริงๆ ถึงจะระบุได้ว่าพื้นที่ใดมีความเสี่ยงบ้าง

 

ข่าวดีของเรื่องนี้ คือทำให้เราได้เห็นถึงประสิทธิภาพในการติดตามวัตถุในวงโคจรรอบโลก ทั้งดาวเทียมเก่าแก่ ยานอวกาศจากยุคเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว รวมถึงเศษซากจรวดต่างๆ ได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ

 

แต่นั่นก็คือข่าวร้ายเช่นกัน ว่าห้วงอวกาศรอบโลกเรานั้น เต็มไปด้วยซากขยะอวกาศจำนวนมากอยู่ในเวลานี้…

 

อ้างอิง:

The post จับตายานอวกาศเก่าโซเวียต ที่ควรไปลงจอดบนดาวศุกร์ แต่จะตกกลับโลกแบบควบคุมไม่ได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องร่างงบประมาณ NASA ปี 2026: ตัดงบส่วนอื่นลง 24% เพื่อเร่งเอาชนะจีนไปลงดวงจันทร์ https://thestandard.co/nasa-2026-budget-cut/ Sun, 04 May 2025 03:40:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1070998

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ม […]

The post ส่องร่างงบประมาณ NASA ปี 2026: ตัดงบส่วนอื่นลง 24% เพื่อเร่งเอาชนะจีนไปลงดวงจันทร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนตัดงบประมาณ NASA ลง 24% พร้อมกับยกเลิกโครงการสถานีอวกาศดวงจันทร์ ยานเก็บตัวอย่างหินดาวอังคาร และอีกหลากหลายโครงการ เพื่อเร่งแผนการส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์ให้ได้ก่อนจีน ตามด้วยการส่งนักบินอวกาศคนแรกไปลงจอดบนดาวอังคาร

 

หลังจากมีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ NASA มีความเสี่ยงถูกตัดงบประมาณครั้งใหญ่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม NASA ได้เผยร่างงบประมาณปี 2026 พบว่ามีการตัดงบไปมากถึง 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 24% ของงบประมาณปี 2025

 

Planetary Society ระบุว่านี่คือการตัดงบ NASA ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยข้อมูลจากเอกสารร่างงบประมาณปี 2026 พบว่ามีการตัดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์อวกาศลง 2,265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมคำอธิบายประกอบว่า “ลดงานวิจัยที่มีความสำคัญต่ำ และยกเลิกภารกิจที่แพงเกินไป อย่างเช่นยานเก็บตัวอย่างหินดาวอังคาร ที่ราคาแพงเกินงบประมาณที่ตั้งไว้” และการเร่งส่งมนุษย์ไปลงดาวอังคาร เท่ากับว่านักบินอวกาศสามารถไปเก็บตัวอย่างหินกลับมาได้ด้วยตนเอง

 

ส่วนเดียวที่มีการเพิ่มงบในปี 2026 คือด้านการสำรวจอวกาศโดยมนุษย์ ที่ได้รับงบเพิ่ม 647 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มีงบประมาณมากถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการส่งมนุษย์เดินทางกลับไปสำรวจดวงจันทร์ และอีก 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับลงทุนในโครงการส่งมนุษย์เดินทางไปดาวอังคาร

 

อย่างไรก็ตาม ร่างงบประมาณปี 2026 จะมีการปลดประจำการจรวด SLS หรือ Space Launch System และยานอวกาศ Orion หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอาร์ทีมิส 3 ที่ถูกวางแผนให้พานักบินอวกาศกลับไปลงดวงจันทร์อีกครั้งในช่วงกลางปี 2027 เพื่อเปิดทางให้ยานอวกาศของภาคส่วนเอกชนมารับช่วงต่อ ซึ่งอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและซ่อมบำรุงยานของ NASA ลง ในรูปแบบที่คล้ายกับโครงการ Commercial Crew Program ที่ใช้นำส่งนักบินอวกาศไป-กลับจากสถานีอวกาศนานาชาติในปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ แผนดังกล่าวยังได้มีการยกเลิกสถานีอวกาศ Lunar Gateway ซึ่งเป็นสถานีอวกาศในวงโคจรรอบดวงจันทร์ ที่มีความร่วมมือกับองค์การอวกาศยุโรป (ESA), ญี่ปุ่น (JAXA), และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (MBRSC) เพื่อปรับเปลี่ยนโมดูลที่มีการสร้างมาแล้วในปัจจุบัน สำหรับใช้งานในภารกิจอื่นๆ แทน โดยยังไม่มีการระบุชัดเจนว่าแผนการใหม่นั้นจะเป็นเช่นไร

 

ย้อนกลับไปในปี 2024 NASA และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ลงนามความร่วมมือ โดยทางญี่ปุ่นจะมีการพัฒนารถสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์รุ่นใหม่ เพื่อให้พร้อมสำหรับภารกิจอาร์ทีมิส 7 ในขณะที่ NASA จะพานักบินอวกาศญี่ปุ่นอย่างน้อย 2 คน ร่วมเดินทางไปลงสำรวจบนดวงจันทร์กับโครงการอาร์ทีมิส ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าความร่วมมือดังกล่าวจะมีความเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบไหน

 

ด้านสถานีอวกาศนานาชาติ ร่างงบประมาณปี 2026 ได้มีการตัดงบลง 508 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการลดจำนวนลูกเรือและงานวิจัยลง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับปลดประจำการตัวสถานีภายในปี 2030 เปิดทางให้สถานีอวกาศของภาคส่วนเอกชนมารับช่วงต่อแทน

 

โดยรวมแล้ว ร่างงบประมาณของ โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการเร่งให้ NASA ส่งมนุษย์เดินทางกลับไปดวงจันทร์อีกครั้งได้ก่อนประเทศจีน ตามที่มีการเน้นย้ำอยู่หลายครั้งในเอกสารประกอบต่างๆ โดย Janet Petro รักษาการผู้อำนวยการ NASA ระบุว่า “ร่างงบประมาณนี้ได้ให้ความสำคัญกับการสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารไปพร้อมกัน เช่นเดียวกับการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญ”

 

NASA ระบุอย่างชัดเจนว่าแผนการดังกล่าวต้องการลดการใช้จ่ายไปกับด้าน DEIA หรือโครงการ Diversity, equity, inclusion and accessibility เช่นเดียวกับการลดงบสำนักงานส่งเสริมด้าน STEM ลง 143 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในงานด้านอวกาศผ่านภารกิจที่น่าตื่นเต้น “ไม่ใช่การจัดสรรงบให้โครงการ STEM แบบ woke ที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มนักเรียนบางกลุ่มมากกว่า และมีผลต่อการสร้างบุคลากรอย่างจำกัด” ตามข้อความที่ระบุในร่างงบประมาณ

 

ทรัมป์เป็นคนลงนามในคำสั่งนโยบายอวกาศที่ 1 เมื่อปี 2017 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการอาร์ทีมิส ที่ได้รวมจรวด SLS กับยานอวกาศ Orion เพื่อใช้นำส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ เช่นเดียวกับการพัฒนาสถานีอวกาศ Lunar Gateway และการพัฒนายานอวกาศของเอกชน เพื่อพามนุษย์เดินทางกลับไปสำรวจดวงจันทร์ ก่อนมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายอื่นๆ ในระบบสุริยะ ซึ่งอาจสอดคล้องกับเจตจำนงของเจ้าตัว ที่ต้องการให้ NASA เร่งการพัฒนายานอวกาศและพามนุษย์กลับไปลงดวงจันทร์อีกครั้งอย่างเร็วที่สุด จนเป็นที่มาของร่างงบประมาณที่ได้ชื่อเล่นว่า ‘Skinny Budget’ อย่างในปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตาม ไม่มีแผนการอย่างชัดเจนว่าหลังจากความสำเร็จของภารกิจอาร์ทีมิส 3 ที่เป็นการส่งมนุษย์กลับไปลงดวงจันทร์อีกครั้งในช่วงกลางปี 2027 NASA จะทำอย่างไรต่อ ในเมื่อภารกิจอาร์ทีมิส 4 ถูกวางไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการก่อสร้างสถานีอวกาศ Lunar Gateway เช่นเดียวกับภารกิจอื่นๆ ที่ตามมาของโครงการอาร์ทีมิส

 

และการทุ่มงบประมาณจำนวนมาก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายไปลงดวงจันทร์อีกครั้งได้ก่อนประเทศจีน โดยไม่มีแผนรองรับของการกลับไปปฏิบัติภารกิจระยะยาว คงไม่ต่างอะไรกับความพยายามในสมัยโครงการอพอลโล ที่สหรัฐฯ ทุ่มงบจำนวนมากเพื่อให้เอาชนะสหภาพโซเวียตได้ แต่ก็ไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับแผนการสำรวจอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ภารกิจสุดท้ายสิ้นสุดลงกับอพอลโล 17 ในปี 1972 

 

แม้จะเป็นเพียงร่างงบประมาณ เพื่อส่งให้รัฐสภาสหรัฐฯ พิจารณาต่อ แต่หลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความกังวลต่อร่างดังกล่าว ทั้งการปรับลดงบในการสำรวจและวิจัยต่างๆ ลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน และอาจเป็นงบประมาณที่กำหนดอนาคตการสำรวจอวกาศของสหรัฐอเมริกาไปอีกหลายปีต่อจากนี้

 

ภาพ: Joe Skipper / Reuters 

อ้างอิง:

The post ส่องร่างงบประมาณ NASA ปี 2026: ตัดงบส่วนอื่นลง 24% เพื่อเร่งเอาชนะจีนไปลงดวงจันทร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปข้อมูล นักดาราศาสตร์พบสัญญาณชัดเจนที่สุด อาจมาจากชีวิตบนดาวเคราะห์มหาสมุทร K2-18b https://thestandard.co/hints-of-life-k2-18b/ Thu, 24 Apr 2025 08:36:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1067837

นักดาราศาสตร์ได้ตรวจพบ ‘สัญญาณที่ชัดเจนที่สุด’ ว่าอาจมา […]

The post สรุปข้อมูล นักดาราศาสตร์พบสัญญาณชัดเจนที่สุด อาจมาจากชีวิตบนดาวเคราะห์มหาสมุทร K2-18b appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักดาราศาสตร์ได้ตรวจพบ ‘สัญญาณที่ชัดเจนที่สุด’ ว่าอาจมาจากสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ด้วยความสามารถของอุปกรณ์บนกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์

 

อย่างไรก็ตาม การค้นพบครั้งนี้ ไม่ใช่การตรวจเจอ ‘เอเลี่ยน’ หรือเป็นการยืนยันว่ามีชีวิตนอกโลก แต่เป็นการพบสัญญาณบ่งชี้ทางชีวภาพ หรือ Biosignature ที่บนโลกของเรานั้นเกิดขึ้นได้จากสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ปรากฏอยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ

 

การค้นพบดังกล่าวเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ K2-18b ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่กว่าโลกประมาณ 2.6 เท่า ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ประเภทดาวแคระแดงในเขตที่อาจมีชีวิตดำรงอาศัยอยู่ได้ (Habitable Zone: เขตเดียวกันกับที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์) โดยระบบดาวดังกล่าวอยู่ห่างจากโลกไปประมาณ 124 ปีแสง

 

‘สัญญาณ’ ที่ถูกพบนั้น คือโมเลกุลของไดเมทิลซัลไฟด์ (Dimethyl Sulfide) และไดเมทิลไดซัลไฟด์ (Dimethyl Disulfide) ซึ่งต่างเป็นสัญญาณบ่งชี้ทางชีวภาพที่สำคัญ เนื่องจากบนโลกของเรา ไดเมทิลซัลไฟด์ และไดเมทิลไดซัลไฟด์ ผลิตจากกระบวนการทางชีวภาพ จากสิ่งมีชีวิตอย่างแพลงก์ตอนในทะเล

 

นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่า ดาวเคราะห์ K2-18b อาจเป็นดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะประเภท Hycean หรือมีมหาสมุทรปกคลุมทั่วทั้งดาว ในบรรยากาศที่ประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนเป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากกล้องฮับเบิลในปี 2019 ที่ตรวจพบไฮโดรเจนและไอน้ำในบรรยากาศ เช่นเดียวกับข้อมูลจากกล้องเจมส์ เว็บบ์ ในปี 2023 ที่พบคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน รวมถึงสัญญาณของไดเมทิลซัลไฟด์แบบอ่อนๆ เช่นกัน

 

ศาสตราจารย์ Nikku Madhusudhan หัวหน้าคณะวิจัย จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เปิดเผยว่า “งานวิจัยและทฤษฎีก่อนหน้านี้ ได้ทำนายว่าอาจมีการพบก๊าซอย่างไดเมทิลซัลไฟด์ในปริมาณสูง บนดาวเคราะห์แบบ Hycean และตอนนี้พวกเราได้ตรวจพบมัน ตรงตามแบบที่มีการคาดการณ์ไว้”

 

“ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่เราทราบเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงนี้ สถานการณ์ที่มันจะเป็นดาวเคราะห์แบบ Hycean พร้อมมหาสมุทรที่อุดมไปด้วยชีวิต คือสิ่งที่ตรงกับข้อมูลที่เรามีที่สุด”

 

ดาวเคราะห์แบบ Hycean ที่โคจรรอบดาวฤกษ์แบบดาวแคระแดง อาจเป็นบ้านที่เหมาะสมกับชีวิตในจักรวาลได้ เนื่องจากเป็นดาวเคราะห์ที่มีชั้นบรรยากาศปกคลุมด้วยไฮโดรเจน ซึ่งอาจช่วยปกป้องรังสีและการปะทุจากดาวแคระแดง ดาวฤกษ์ที่มีอยู่มากสุดในกาแล็กซีทางช้างเผือก แถมยังมีอายุยืนยาวนานที่สุด ทำให้การค้นพบในครั้งนี้ค่อนข้างได้รับความสนใจในวงกว้าง

 

สำหรับการศึกษาธาตุและองค์ประกอบของดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายปีแสง นักดาราศาสตร์ใช้เทคนิค Transmission Spectroscopy ซึ่ง ดร.ศุภชัย อาวิพันธุ์ นักวิจัยดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ และผู้จัดการศูนย์เทคโนโลยีทัศนศาสตร์และโฟโตนิกส์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า “เมื่อมีดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์ แสงของดาวฤกษ์ในเบื้องหลังจะถูกบดบังไป ซึ่งหากดาวเคราะห์ดวงนั้นมีชั้นบรรยากาศอยู่ เราสามารถตรวจดูการดูดกลืนของช่วงคลื่นแสงที่สอดคล้องกับความยาวคลื่นของโมเลกุลนั้นๆ ทำให้ทราบได้ว่าดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวมีองค์ประกอบด้วยโมเลกุลอะไรบ้าง”

 

“แต่เราสามารถหาองค์ประกอบได้แค่จากบนชั้นบรรยากาศเท่านั้น ไม่ใช่บนพื้นผิวของดาว เช่น หากเราใช้เทคนิค Transmission Spectroscopy กับโลก ก็จะตรวจพบไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก”

 

ด้วยข้อมูลในปัจจุบัน นักดาราศาสตร์มีความเชื่อมั่น 99.7% ว่าการตรวจพบไดเมทิลซัลไฟด์ และไดเมทิลไดซัลไฟด์ เป็นข้อมูลจริงจากดาว หรือนับเป็นค่าซิกมาระดับ 3 เท่านั้น ซึ่งงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการค้นพบใหม่ จะต้องมีความเชื่อมั่นมากกว่า 99.99999% หรือค่าซิกมาระดับ 5 ด้วยกัน

 

คณะวิจัยระบุว่าการใช้เวลาระหว่าง 16 ถึง 24 ชั่วโมง ให้กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ สำรวจดาว K2-18b อาจช่วยให้พวกเขายืนยันการค้นพบได้ หรือมีความมั่นใจถึงค่าซิกมาระดับ 5 ได้ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีการจัดสรรเวลาใช้งานกล้องเจมส์ เว็บบ์ ให้กับการสำรวจดาวเคราะห์ดวงนี้หรือไม่

 

การตรวจพบไดเมทิลซัลไฟด์ และไดเมทิลไดซัลไฟด์ ในบรรยากาศของดาว K2-18b ด้วยความเข้มข้นที่สูงมาก (10 ppm) หรือเข้มข้นมากกว่าที่พบในบรรยากาศโลกกว่าพันเท่า (น้อยกว่า 1 ppb) บ่งชี้ว่าดาวดวงนี้อาจมีกระบวนการทางชีวภาพอย่างสุดขั้ว หรืออาจเกิดจากกระบวนการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชีวิต ที่นักดาราศาสตร์ยังไม่เข้าใจในปัจจุบัน

 

แม้จะเป็นการพบสัญญาณบ่งชี้ถึงชีวิตที่ชัดเจนที่สุดในปัจจุบัน แต่ศาสตราจารย์ Nikku Madhusudhan หัวหน้าคณะวิจัยการค้นพบดังกล่าว ระบุเพิ่มเติมว่า “มันสำคัญมากๆ ที่ต้องทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนกล่าวอ้างว่าเราได้พบชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว”

 

“เราต้องตั้งข้อสงสัยกับผลลัพธ์ที่เราได้ เพราะด้วยการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำให้พวกเราถึงจุดที่สามารถมั่นใจในการค้นพบครั้งนี้ได้มากยิ่งขึ้น นี่คือวิธีที่วิทยาศาสตร์ควรจะเป็น”

 

แม้งานวิจัยดังกล่าว ยังไม่ได้พบหลักฐานแบบชัดเจนว่ามีชีวิตนอกโลก หรือ ‘เอเลี่ยน’ อย่างที่เข้าใจในวงกว้าง แต่นับเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการค้นพบทางชีวดาราศาสตร์ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ ซึ่งเปิดประตูให้นักดาราศาสตร์ได้ตรวจพบสัญญาณบ่งชี้ทางชีวภาพ บนดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไปหลายพันล้านล้านกิโลเมตรด้วยกัน

 

งานวิจัยดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในวารสาร The Astrophysical Journal Letters วันที่ 17 เมษายน 2025

 

ภาพ: NASA, ESA, CSA, Joseph Olmsted (STScI)

อ้างอิง:

The post สรุปข้อมูล นักดาราศาสตร์พบสัญญาณชัดเจนที่สุด อาจมาจากชีวิตบนดาวเคราะห์มหาสมุทร K2-18b appeared first on THE STANDARD.

]]>