News – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 16 Dec 2025 13:03:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 หมดยุคเดาใจ! Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ https://thestandard.co/era-guessing-is-over-tinder/ Tue, 16 Dec 2025 13:03:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1155500 หมดยุคเดาใจ Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ

ภาพรวมของความสัมพันธ์ในปี 2569 หรือ 2026 กำลังจะเปลี่ยน […]

The post หมดยุคเดาใจ! Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมดยุคเดาใจ Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ

ภาพรวมของความสัมพันธ์ในปี 2569 หรือ 2026 กำลังจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคที่ความชัดเจนกลายเป็นหัวใจสำคัญ หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความสับสนและกระแสไวรัลอย่าง ‘Boyfriends Are Embarrassing’ ที่เคยมองว่าการมีความสัมพันธ์เป็นเรื่องน่าขัดเขิน ในปีที่จะถึงนี้ คนโสดรุ่นใหม่กำลังก้าวเข้ามานิยามความรักในรูปแบบที่จริงจังและจริงใจมากขึ้น โดยเน้นการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาและการแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริง เพื่อลดความซับซ้อนและสร้างความสัมพันธ์ที่จับต้องได้

 

ข้อมูลจาก Tinder แอปพลิเคชันหาคู่ระดับโลก ชี้ให้เห็นว่าปีหน้าจะเป็นปีของความสัมพันธ์ที่ไร้ความคลุมเครือ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความฉลาดทางอารมณ์ที่สูงขึ้น หากปีที่ผ่านมาคือการตั้งเป้าหมาย ปี 2569 จะเป็นปีที่ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ คนโสดจะเริ่มปรับจังหวะชีวิตให้ช้าลง เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของตัวเองและคู่เดทอย่างลึกซึ้ง โดยไม่เสียเวลากับการเดาใจหรือเล่นเกมความรู้สึกที่บั่นทอนจิตใจอีกต่อไป

 

เทรนด์แรกที่เด่นชัดที่สุดคือ ‘Clear-Coding’ หรือความชัดเจนในทุกมิติ คนโสดรุ่นใหม่จะไม่ทนนั่งเดาความรู้สึกหรือทำตัวลึกลับซับซ้อน แต่จะให้คุณค่ากับความซื่อสัตย์ทางอารมณ์เป็นอันดับแรก โดยสถิติระบุว่าผู้ใช้งานกว่า 64% ยกให้เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด และอีก 60% ต้องการการสื่อสารที่แสดงเจตนาชัดเจนตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะมองหาความสัมพันธ์ระยะยาวหรือเพียงแค่เพื่อนคุย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน

 

นอกจากความชัดเจนแล้ว เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ช่วยส่วนตัว โดยคนโสดถึง 76% ยอมรับว่าใช้ AI ช่วยออกแบบเส้นทางการออกเดท ตั้งแต่การขอไอเดียสถานที่เดท 39% การคัดเลือกรูปโปรไฟล์ที่ดีที่สุด 28% ไปจนถึงการช่วยเขียนประวัติส่วนตัว 28% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการนำเสนอตัวตนที่ดีที่สุด

 

ในด้านทัศนคติ เทรนด์ ‘Hot-Take Dating’ สะท้อนให้เห็นว่าคนโสดรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการมีจุดยืนที่ชัดเจน โดย 37% ระบุว่าการมีค่านิยมร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็น และ 41% เลือกที่จะไม่ออกเดทกับคนที่มีมุมมองทางการเมืองแตกต่างกัน เพราะเชื่อว่าหลักการพื้นฐานที่ตรงกันคือรากฐานของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน และช่วยลดความขัดแย้งในอนาคต

 

ประเด็นทางสังคมกลายเป็นตัวกรองสำคัญในการคัดเลือกคู่เดท ข้อมูลเชิงลึกพบว่าปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์ไปต่อไม่ได้ หรือ ‘Dealbreakers’ ได้แก่ การเหยียดเชื้อชาติ 37% มุมมองเรื่องครอบครัวที่ไม่ตรงกัน 36% และทัศนคติต่อสิทธิของกลุ่มเพศหลากหลาย 32% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้มองหาแค่ความเข้ากันได้ทางไลฟ์สไตล์ แต่ยังมองลึกถึงระบบคุณค่าและความเชื่อที่อยู่ภายในใจ

 

อีกหนึ่งพฤติกรรมที่คนโสดให้ความสำคัญอย่างมากคือมารยาททางสังคม โดย 54% ระบุชัดเจนว่าพฤติกรรมที่รับไม่ได้ที่สุดคือการพูดจาหยาบคายหรือการเหวี่ยงใส่พนักงานบริการ ซึ่งสะท้อนถึงพื้นฐานนิสัยและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความใจดีและการให้เกียรติคนรอบข้างจึงยังคงเป็นเสน่ห์ที่ครองใจคนโสดเป็นอันดับหนึ่งในยุคนี้

 

อิทธิพลของกลุ่มเพื่อน หรือ ‘Friendfluence’ ได้กลายมาเป็นด่านหน้าสำคัญในการตัดสินใจเรื่องความรัก โดยคนโสดกว่า 42% ยอมรับว่าเพื่อนมีอิทธิพลต่อการเลือกคู่เดท และหากใครไม่ผ่านด่านเพื่อน ก็แทบจะหมดสิทธิ์ไปต่อ ในปีหน้า ‘กรุ๊ปแชท’ ของเพื่อนสนิทจะทำหน้าที่เสมือนแม่สื่อแม่ชักในการสแกนและให้ความเห็นเกี่ยวกับว่าที่คนรู้ใจ

 

ความนิยมในการออกเดทเป็นกลุ่มสะท้อนผ่านฟีเจอร์ Double Date ซึ่งสถิติชี้ว่าผู้ใช้งานเกือบ 85% เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี และผู้ใช้ฟีเจอร์นี้มีโอกาสได้รับการกด Like และ Match มากกว่าโปรไฟล์เดี่ยวถึง 3 เท่า นอกจากนี้ยังมีการส่งข้อความพูดคุยกันมากขึ้นเฉลี่ย 25% เมื่อเทียบกับการแชทแบบตัวต่อตัว เพราะความรู้สึกอุ่นใจและสนุกสนานที่มีเพื่อนร่วมทางไปด้วย

 

ในแง่ของความรู้สึก เทรนด์ ‘Emotional Vibe Coding’ กำลังมาแรง โดยคนโสดในปีหน้าจะให้ความสำคัญกับบทสนทนาที่จริงใจถึง 56% และต้องการความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น 45% โดยเฉพาะหลังจากถูกปฏิเสธ คำว่า ‘มีความหวัง’ กลายเป็นนิยามหลักของการเดทในปี 2569 สะท้อนให้เห็นว่าแม้โลกภายนอกจะวุ่นวาย แต่ในพื้นที่ความรัก พวกเขายังคงมองหาพลังงานบวกและโอกาสใหม่ๆ เสมอ

 

คนรุ่นใหม่ยังมีแนวคิดการเดทแบบ ‘Dating for the plot’ หรือการใช้การเดทเพื่อเขียนเรื่องราวชีวิตให้กับตัวเอง โดย 28% บอกว่าชอบความรู้สึกของการได้แอบชอบหรือมีความรัก แม้ว่าสุดท้ายความสัมพันธ์นั้นจะไม่ได้ไปต่อก็ตาม การมองโลกในแง่ดีและการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ กลายเป็นวิธีที่พวกเขาใช้สร้างสีสันและความหมายให้กับชีวิตโสด

 

สำหรับบริบทในประเทศไทย ข้อมูลสะท้อนถึงพฤติกรรมที่มีเอกลักษณ์ โดย 10 อันดับเทรนด์การออกเดทที่มาแรงที่สุดคือ การหาเพื่อนคุย ตามมาด้วยความชอบสกินชิพ และความนิยมในรูปลักษณ์แบบ ‘หุ่นหมี’ รวมถึงบุคลิกขี้อ้อนแบบ ‘หมาเด็ก’ ที่ติดอันดับต้นๆ นอกจากนี้ กลุ่มคนรักสัตว์อย่างทาสแมวและคนรักหมาก็ยังเป็นกลุ่มใหญ่ที่มองหาคู่เดทที่มีความสนใจเดียวกันอย่างเหนียวแน่น

 

เรื่องอาหารการกินยังคงเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย โดย ‘กาแฟ’ ครองแชมป์เครื่องดื่มยอดนิยม ตามมาด้วยเบียร์และเหล้าสำหรับสายปาร์ตี้ ส่วนเมนูอาหารที่คนโสดไทยโปรดปรานที่สุด 3 อันดับแรกหนีไม่พ้น ชาบู มหมูกระทะ และซูชิ ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมการกินที่เน้นการใช้เวลาร่วมกันหน้าเตา เป็นกิจกรรมที่ช่วยละลายพฤติกรรมและสร้างบทสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

เมื่อพูดถึงสถานที่ยอดนิยมสำหรับการปักหมุดนัดพบ ‘กรุงเทพมหานคร’ ยังคงครองอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย รองลงมาคือเมืองท่องเที่ยวชายทะเลอย่างพัทยา และหัวเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ ขอนแก่น และปทุมธานี ส่วนเมืองต่างประเทศในฝันที่คนโสดไทยนิยมปักหมุดไปหาคู่เดทมากที่สุดคือสิงคโปร์, นิวยอร์ก และซิดนีย์ แสดงถึงความเปิดกว้างในการมองหาความรักข้ามพรมแดน

 

ดนตรีเป็นอีกหนึ่งสื่อกลางที่บ่งบอกตัวตนได้ดีที่สุด เพลงประจำตัวบน Spotify ที่คนโสดไทยนิยมใช้สะท้อนความหลากหลาย ตั้งแต่เพลง‘Manchild’ ของ Sabrina Carpenter ไปจนถึงเพลง ‘Luther’ ของ Kendrick Lamar และเพลง K-Pop จังหวะสนุกอย่าง ‘Golden’ เพลงเหล่านี้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารรสนิยมและดึงดูดคนที่ ‘ไวบ์’ ตรงกัน

 

เมลิสซ่า ฮ็อบลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Tinder กล่าวสรุปทิศทางนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “คนเรามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากมายพอแล้ว ดังนั้นการออกเดทไม่ควรเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกกดดัน ปัจจุบัน คนโสดกำลังมองหาความสัมพันธ์สบายๆ ซื่อสัตย์ต่อกัน และสนุกสนาน” ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้งานที่ต้องการให้การเดทเป็นเรื่องของการเพิ่มสีสันให้ชีวิต ไม่ใช่การเพิ่มความเครียด

 

ภาพ : Gumpanat / Shutterstock

The post หมดยุคเดาใจ! Tinder เผยเทรนด์เดตปี 2569 ‘Clear-Coding’ มาแรง คนโสดเน้น ‘ชัดเจน-ไม่ซับซ้อน’ ขอลาขาดความสัมพันธ์คลุมเครือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สปป.ลาว มอบเงินช่วยเหลือไทย 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย 9 จังหวัดภาคใต้ https://thestandard.co/laos-has-donated-us200000-thailand/ Tue, 16 Dec 2025 12:58:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1155497 สปป.ลาว มอบเงินช่วยเหลือไทย 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย 9 จังหวัดภาคใต้

วานนี้ (15 ธันวาคม) นางฟองสะหมุด อั่นลาวัน รองรัฐมนตรีก […]

The post สปป.ลาว มอบเงินช่วยเหลือไทย 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย 9 จังหวัดภาคใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สปป.ลาว มอบเงินช่วยเหลือไทย 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย 9 จังหวัดภาคใต้

วานนี้ (15 ธันวาคม) นางฟองสะหมุด อั่นลาวัน รองรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในฐานะผู้แทนรัฐบาลและประชาชนชาวลาว ได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย จำนวน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีนางสาวจิรัสยา พีรานนท์ อุปทูต เป็นผู้รับมอบ ณ กระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว

 

รองรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว ระบุว่า รัฐบาลและประชาชนชาวลาวรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์อุทกภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และหวังว่าความช่วยเหลือในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย รวมถึงสนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้สามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

 

ด้านอุปทูตไทยได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลและประชาชน สปป.ลาว สำหรับน้ำใจ ความห่วงใย และความช่วยเหลือในครั้งนี้ พร้อมระบุว่าเป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนของความสัมพันธ์อันดีและมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่าง สปป.ลาว และประเทศไทย ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันมายาวนาน

The post สปป.ลาว มอบเงินช่วยเหลือไทย 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย 9 จังหวัดภาคใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยศสิงห์ ย้ายร่วม กล้าธรรม เลือกพรรคที่เชื่อให้ทำ พางานไปถึงปลายทาง https://thestandard.co/yotsing-joins-kla-tham-choosing/ Tue, 16 Dec 2025 12:55:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1155494 ยศสิงห์ ย้ายร่วม กล้าธรรม เลือกพรรคที่เชื่อให้ทำ พางานไปถึงปลายทาง

วันนี้ (16 ธันวาคม) พรรคกล้าธรรมเปิดบ้านต้อนรับอดีต สส. […]

The post ยศสิงห์ ย้ายร่วม กล้าธรรม เลือกพรรคที่เชื่อให้ทำ พางานไปถึงปลายทาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยศสิงห์ ย้ายร่วม กล้าธรรม เลือกพรรคที่เชื่อให้ทำ พางานไปถึงปลายทาง

วันนี้ (16 ธันวาคม) พรรคกล้าธรรมเปิดบ้านต้อนรับอดีต สส. และอดีตนักการเมืองท้องถิ่นในนาม ‘กลุ่มเพื่อนต่อ’ ของ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ทยอยสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 โดยมี นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรค เป็นผู้ให้การต้อนรับและสวมเสื้อพรรคให้ด้วยตนเอง

 

ภายในงานมีการปรากฏตัวของ จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลในการตัดสินใจเลือกพรรคกล้าธรรมว่า เป็นพรรคที่เปิดพื้นที่ให้ทำงานอย่างเต็มที่ และพร้อมสนับสนุนให้การทำงานเดินหน้าไปจนถึงเป้าหมาย

 

จ่าเอก ยศสิงห์ กล่าวว่า “ผมเลือกกล้าธรรม เพราะพรรคเชื่อให้ผมทำ และสนับสนุนให้การทำงานไปถึงปลายทาง เพื่อสะสางปัญหาที่สะสมมาเป็นเวลานาน” พร้อมย้ำหลักการทำงานว่า นักการเมืองต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนและประเทศชาติ และไม่ควรเกรงกลัวต่ออิทธิพลใดในการปฏิบัติหน้าที่

 

ด้าน นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรค กล่าวว่า การรวมตัวของกลุ่มเพื่อนต่อในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดทัพของพรรคเพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง โดยพรรคไม่ได้จำกัดการทำงานเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ แต่จะขยายไปยังภาคตะวันออกและภาคอีสาน

 

นฤมลระบุว่า พรรคกล้าธรรมตั้งเป้าส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขต พร้อมเตรียมเปิดตัวผู้สมัครและแคมเปญหาเสียงอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีพื้นที่ทับซ้อนกับพรรคการเมืองอื่นสามารถพูดคุยกันได้ และพรรคพร้อมสนับสนุนผู้สมัครอย่างเต็มที่ โดยกล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้รอดูบ้านใหญ่ที่กำลังจะทยอยเข้ามา”

 

การเคลื่อนไหวของพรรคกล้าธรรมครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่เริ่มเข้าสู่ช่วงเตรียมการเลือกตั้ง หลัง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569

The post ยศสิงห์ ย้ายร่วม กล้าธรรม เลือกพรรคที่เชื่อให้ทำ พางานไปถึงปลายทาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ https://thestandard.co/bangkok-rules-gender-justice-15years/ Tue, 16 Dec 2025 12:53:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1155491 15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ

  บทเรียนจากความยากจน พื้นที่สงคราม สู่มาตรฐานโลกท […]

The post 15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ

15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ 1

 

บทเรียนจากความยากจน พื้นที่สงคราม สู่มาตรฐานโลกที่ยั่งยืน

 

ท่ามกลางบริบทโลกที่มีความซับซ้อน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นในหลายภูมิภาค ตัวเลขผู้ต้องขังหญิงทั่วโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ สวนทางกับความพยายามในการสร้างสันติภาพ ในวาระครบรอบ 15 ปีของข้อกำหนดกรุงเทพ (The Bangkok Rules) เวทีเสวนาหัวข้อ ‘The Bangkok Rules in Context: Building Gender-Responsive Justice for a Sustainable and Peaceful World’ จึงถูกจัดขึ้นเพื่อทบทวนเส้นทางที่ผ่านมาและกำหนดทิศทางสู่อนาคต

 

เวทีนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก 3 ท่านที่ทำงานคลุกคลีกับประเด็นนี้มาอย่างยาวนาน ได้แก่ Dr. Matti Joutsen อดีตผู้บริหารสถาบัน HEUNI ของสหประชาชาติ และที่ปรึกษา TIJ, Sabrina Mahtani ทนายความสิทธิมนุษยชนและผู้ก่อตั้ง Women Beyond Walls และ Taghreed Jaber ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือจาก Penal Reform International (PRI) ดำเนินรายการโดย ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว THE STANDARD

 

15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ 2

Dr. Matti Joutsen

อดีตผู้บริหารสถาบัน HEUNI ของสหประชาชาติ และที่ปรึกษา TIJ

 

Bangkok Rules: รื้อถอน ‘โลกของผู้ชาย’ ในกระบวนการยุติธรรม

 

หากย้อนกลับไปก่อนปี 2010 โลกของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาถูกนิยามและออกแบบโดยมี ‘ผู้ชาย’ เป็นศูนย์กลาง

 

Dr. Matti Joutsen ผู้คร่ำหวอดในงานสหประชาชาติมากว่า 5 ทศวรรษ เล่าให้เห็นภาพประวัติศาสตร์ว่า ในอดีตโปรแกรมป้องกันอาชญากรรมของ UN นั้นเป็น ‘พื้นที่หวงห้ามของผู้ชาย’ อย่างแท้จริง แนวคิดเรื่องอาชญากรรมถูกมองผ่านเลนส์ของผู้ชาย เจ้าหน้าที่เป็นผู้ชาย และผู้เชี่ยวชาญก็เป็นผู้ชาย ถึงขนาดที่การประชุม UN Congress ปี 1960 ที่ลอนดอน มีโปรแกรมเสริมสำหรับ ‘ภรรยาผู้เข้าร่วมประชุม’ ให้ไปจิบน้ำชาและช้อปปิ้งที่ห้าง Harrods สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงถูกมองเป็นเพียงผู้ติดตาม ไม่ใช่ผู้เล่นหลักในกระบวนการยุติธรรม

 

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากการผลักดันของประเทศไทย โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ผ่านโครงการกำลังใจ (ELFI) นำไปสู่การร่าง ‘ข้อกำหนดกรุงเทพฯ’ (Bangkok Rules) หรือข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง ซึ่งได้รับการรับรองจากสมัชชาสหประชาชาติในปี 2010

 

กฎนี้เข้ามาอุดช่องโหว่สำคัญ โดยระบุชัดเจนว่าผู้หญิงมีความต้องการเฉพาะด้านที่ไม่เหมือนผู้ชาย เช่น สุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ การตั้งครรภ์ การเลี้ยงดูบุตร และที่สำคัญคือภูมิหลังการกระทำผิดที่มักเชื่อมโยงกับการตกเป็นเหยื่อความรุนแรง

 

“ผมคิดว่าข้อกำหนดกรุงเทพฯ เป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพราะไม่ได้ส่งผลกระทบแค่มาตรฐานการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง หรือผู้หญิงที่ได้รับโทษที่ไม่ใช่การคุมขังเท่านั้น แต่รวมถึงความเข้าใจเรื่องกระบวนการยุติธรรมและการป้องกันอาชญากรรมทั่วโลกในภาพรวม” Matti Joutsen กล่าว

 

15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ 3

Sabrina Mahtani

ทนายความสิทธิมนุษยชนและผู้ก่อตั้ง Women Beyond Walls

 

ความจริงที่เจ็บปวด: เมื่อ ‘ความยากจน’ กลายเป็นอาชญากรรม

 

Sabrina Mahtani อธิบายความจริงอันโหดร้ายของผู้หญิงรากหญ้า เธอชี้ให้เห็นถึงเส้นทางจากความยากจนสู่การลงโทษ

 

จากประสบการณ์กว่า 20 ปี Sabrina พบว่าผู้หญิงจำนวนมหาศาลไม่ได้เข้าคุกเพราะเป็นอาชญากรโดยสันดาน แต่เพราะพวกเธอพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด กฎหมายในหลายประเทศ (โดยเฉพาะกฎหมายยุคอาณานิคม) มักเอาผิดกับการกระทำที่เกิดจากความยากจน เช่น การขโมยผ้าอ้อมหรืออาหารเด็ก การเร่ขายของโดยไม่มีใบอนุญาต หรือแม้แต่การไม่มีเงินจ่ายค่าปรับจราจร

 

Sabrina ยกตัวอย่างในเคนยาที่ผู้หญิงมักถูกจับกุมข้อหาต้มสุราเถื่อน พวกเธอทำเพราะต้องการรายได้เลี้ยงลูกและสามารถทำได้ที่บ้าน แต่กลับต้องแลกด้วยอิสรภาพ หรือกรณีในอังกฤษและเวลส์ที่คดีลักเล็กขโมยน้อยของผู้หญิงพุ่งสูงถึง 40% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความขัดสน

 

“เหตุผลที่ฉันไม่เคยติดคุก ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนดีหรือมีศีลธรรมสูงส่ง แต่เพราะฉันมีอภิสิทธิ์ที่เกิดในครอบครัวที่ส่งเสียให้เรียน ฉันไม่ต้องตัดสินใจเรื่องยากๆ แบบที่ผู้หญิงยากจนต้องเผชิญ” Sabrina Mahtani กล่าว

 

ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของการขังผู้หญิงคือผลกระทบข้ามรุ่น เพราะผู้หญิงมักเป็นผู้ดูแลหลักของครอบครัว เมื่อแม่ติดคุก ลูกๆ จะถูกทิ้งให้อยู่ในภาวะเสี่ยง ขาดการศึกษา และอาจเข้าสู่วงจรอาชญากรรมในที่สุด

 

“เมื่อเราขังแม่คนหนึ่ง เรากำลังขังทั้งครอบครัวของเธอด้วย (When we imprison a mother, we imprison a family.)”

 

15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ 4

 

ในสมรภูมิสงคราม: ผู้หญิงที่ถูกลืมในความขัดแย้ง

 

สถานการณ์ในยามปกติถือว่าแย่แล้ว สถานการณ์ในพื้นที่ขัดแย้งยิ่งเลวร้ายกว่า Taghreed Jaber จาก PRI ฉายภาพจากประสบการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ โดยเชื่อมโยง Bangkok Rules เข้ากับวาระ ‘ผู้หญิง สันติภาพ และความมั่นคง’

 

Taghreed ยกตัวอย่างกรณีสงครามในเยเมนซึ่งประเทศแตกแยก ทำให้ระบบยุติธรรมล่มสลาย สิ่งที่เธอพบคือ ในพื้นที่ภาคใต้เหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเพียง 12 คน และไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หญิงเลยแม้แต่คนเดียวในเรือนจำ หมายความว่าผู้ต้องขังหญิงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชายล้วน ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดอย่างยิ่ง

 

PRI จึงนำ Bangkok Rules มาใช้เป็นกรอบในการเจรจาและสร้างโรงเรียนตำรวจหญิง เร่งฝึกอบรมเจ้าหน้าที่หญิงกว่า 4,000 คน เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ตรวจค้นและดูแลผู้ต้องขังหญิงตามหลักสิทธิมนุษยชน

 

อีกกรณีที่น่าสะเทือนใจคือในซูดาน เมื่อเกิดการระบาดของอหิวาตกโรคในเรือนจำหญิงที่มีเด็กติดผู้ต้องขังอยู่ด้วย 10 คน การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมจากภายนอกมักเข้าไปไม่ถึงเรือนจำ เพราะคนมักมองข้ามผู้ที่อยู่หลังกำแพง

 

Taghreed ยังชี้ให้เห็นจุดบอดในกระบวนการสันติภาพว่า ในการเจรจาแลกเปลี่ยนนักโทษ คู่ขัดแย้งมักพูดถึงแต่นักโทษชาย แต่ผู้หญิงที่ถูกจับกุมกลับถูกลืมไว้ข้างหลัง อย่างสมบูรณ์

 

“สันติภาพที่ปราศจากความยุติธรรมนั้นเปราะบาง และความยุติธรรมคือหัวใจสำคัญของสันติภาพ หากขาดสิ่งนี้เราจะไม่สามารถบรรลุอะไรได้เลย” Taghreed Jaber ให้ความเห็น

 

15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ 5

 

ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม และอุปสรรคที่ยังขวางกั้น

 

ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา Bangkok Rules ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ ดังนี้

 

1. กฎหมายเปลี่ยน: หลายประเทศแก้ไข พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เช่น โคลอมเบียที่ออกกฎหมายอนุญาตให้แม่ที่มีลูกเล็กหรือต้องดูแลคนแก่ สามารถทำงานบริการสังคมแทนการจำคุกได้หากโทษไม่เกิน 8 ปี

 

2. นวัตกรรมความยุติธรรม: เกิด ‘ศูนย์ช่วยเหลือผู้หญิง’ (Women’s Centers) ในอังกฤษและหลายประเทศ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าคุ้มค่ากว่าการสร้างคุก Sabrina ให้ข้อมูลว่าการดูแลผู้หญิงในศูนย์ฯ ใช้งบ 4,000 ปอนด์ (ประมาณ 176,000 บาท) ต่อคนต่อปี ในขณะที่การขังคุกใช้งบถึง 52,000 ปอนด์ (สูงกว่า 2.2 ล้านบาท) ต่อคนต่อปี

 

3. เปลี่ยนทัศนคติ: เจ้าหน้าที่คุมประพฤติในเคนยาเริ่มเขียนรายงานเสนอศาลโดยคำนึงถึงบริบทชีวิตของผู้หญิงมากขึ้น อาทิ แนะนำงานบริการสังคมที่ไม่กระทบเวลาไปรับลูกที่โรงเรียน

 

แต่อุปสรรคสำคัญยังคงมีอยู่

 

  • ชนกลุ่มน้อย: ผู้ต้องขังหญิงมีสัดส่วนน้อย (ประมาณ 5-10%) ผู้บริหารมักใช้ข้ออ้างว่า ‘งบมีจำกัด ต้องดูแลคนส่วนใหญ่ (ผู้ชาย) ก่อน’ ทำให้ความต้องการของผู้หญิงถูกปัดตก
  • มายาคติเรื่อง ‘เหยื่อที่สมบูรณ์แบบ’: Sabrina เล่าว่าผู้ให้ทุนมักลังเลที่จะสนับสนุนองค์กรที่ทำงานกับผู้ต้องขังหญิงเพราะกลัวภาพลักษณ์เสีย หากต้องช่วยเหลือผู้หญิงที่ฆ่าสามีหรือค้ายา ทั้งที่เบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นมักมีความซับซ้อนของความรุนแรงและการถูกบังคับ
  • ข้อมูลสูญหาย: เรายังขาดตัวเลขที่ชัดเจนว่ามีผู้หญิงกี่คนในโลกที่ติดคุก หรือมีกี่คนที่ตั้งครรภ์ ทำให้การแก้ปัญหาไม่ตรงจุด

 

The Way Forward: ก้าวต่อไปสู่อนาคต

 

ในช่วงท้าย ผู้ร่วมเสวนาได้เสนอ ‘ทางออก’ ที่ทรงพลังและเป็นรูปธรรมสำหรับทศวรรษหน้า

 

1. ข้อมูลและความรับผิดชอบ

 

Dr. Matti และ Taghreed เห็นตรงกันว่าต้องผลักดันให้รัฐบาลเก็บข้อมูลแยกเพศและควรมีกลไกตรวจสอบระดับสากล อาทิ ผู้รายงานพิเศษของ UN ด้านผู้ต้องขัง เพื่อกดดันให้รัฐปฏิบัติตามกฎ ไม่ใช่แค่รับหลักการลอยๆ

 

2. การลงทุนที่ยั่งยืนให้ภาคประชาสังคม

 

Sabrina เรียกร้องให้แหล่งทุนเปลี่ยนวิธีคิด เลิกให้ทุนแบบโครงการสั้นๆ แต่ควรให้ทุนสนับสนุนองค์กรแก่องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด่านหน้า เพราะคนกลุ่มนี้คือผู้ที่เข้าถึงผู้หญิงในคุกได้ดีที่สุด หากพวกเขาอยู่ไม่ได้ Bangkok Rules ก็จะตายไปพร้อมกับพวกเขา

 

3. ความเห็นอกเห็นใจและการจินตนาการใหม่

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม Dr. Matti ย้ำว่า การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จะช่วยโน้มน้าวผู้กำหนดนโยบายให้เห็นว่าการไม่ขังผู้หญิงนั้น ‘คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ’

 

และสุดท้ายคือการทลายกำแพงอคติ เราต้องเลิกมองพวกเธอเป็นอาชญากร แต่ให้มองเห็นความเป็นมนุษย์ ความเป็นแม่ และความเป็นเหยื่อของความไม่เท่าเทียม

 

“ถึงเวลาแล้วที่เราจะจินตนาการใหม่ว่า ความยุติธรรมสำหรับผู้หญิงควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่มีเหยื่อที่สมบูรณ์แบบ แต่เราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” Sabrina Mahtani กล่าวทิ้งท้าย

 

15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ 6

 

15 ปีของ Bangkok Rules คือการเดินทางไกลที่เริ่มต้นจากความเห็นอกเห็นใจจนกลายเป็นมาตรฐานโลก แต่งานยังไม่จบ หัวใจสำคัญของการก้าวต่อจากนี้คือการทำให้กฎระเบียบในกระดาษกลายเป็นการปฏิบัติจริงที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนได้ ไม่ใช่เพียงเพื่อผู้หญิงในเรือนจำ แต่เพื่อสร้างสังคมที่โอบรับ ยั่งยืน และเปี่ยมไปด้วยสันติภาพสำหรับทุกคน

The post 15 ปี Bangkok Rules: เมื่อ ‘ความยุติธรรม’ ต้องใส่ใจเพศสภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุคทองนักไลฟ์! ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย https://thestandard.co/thai-video-commerce-growth-850k-sellers/ Tue, 16 Dec 2025 12:17:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1155482 ยุคทองนักไลฟ์ ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย

รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ ‘ […]

The post ยุคทองนักไลฟ์! ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุคทองนักไลฟ์ ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย

รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ ‘e-Conomy SEA Report’ ฉบับครบรอบ 10 ปี โดยความร่วมมือระหว่าง Google, Temasek และ Bain & Company ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญภายใต้หัวข้อ From Digital Decade to AI Reality ที่ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการของภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจดิจิทัลไว้ท่ามกลางความท้าทาย

 

แม้สภาพเศรษฐกิจมหภาคจะเผชิญกับแรงกดดันจากการบริโภคภายในประเทศที่ซบเซาและภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของไทยยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้มูลค่าสินค้ารวมของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยยังคงเติบโตได้ดีและรักษาอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ได้ รองจากประเทศอินโดนีเซียที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุด

 

รายงานฉบับนี้คาดการณ์ว่า ‘Gross Merchandise Value’ หรือ GMV ของไทยจะพุ่งสูงถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 คิดเป็นอัตราการเติบโต 16% จากระดับ 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดที่ไม่เพียงแต่ฟื้นตัว แต่ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในหลายภาคส่วนธุรกิจ

 

แรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคที่ระดับ 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยคาดว่ามูลค่าจะแตะระดับ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นจนกลายเป็นความปกติใหม่

 

สิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือการก้าวขึ้นมาของ ‘Video Commerce’ ที่กำลังเฟื่องฟูอย่างมากในไทย โดยพบว่ามีผู้ขายสินค้าผ่านวิดีโอมากถึง 850,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นถึง 175% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดที่มีจำนวนผู้ขายสินค้าผ่านวิดีโอที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้

 

ปัจจุบันไทยครองตำแหน่งตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค ด้วยปริมาณธุรกรรมที่สูงถึง 1.3 พันล้านครั้ง โดยสินค้ากลุ่มแฟชั่นและเครื่องประดับเป็นหมวดหมู่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คิดเป็นสัดส่วน 21% ของมูลค่าสินค้ารวมในกลุ่มนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคอนเทนต์วิดีโอมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ

 

ราฟาเอล ซิสโลว์สกี Country Manager, Google ประเทศไทย กล่าวว่า “การผสานรวมระหว่างการขายสินค้าและการทำคอนเทนต์เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน โดยปัจจุบัน ภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยมีการเติบโตที่เร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค”

 

เขายังเสริมอีกว่า “แรงขับเคลื่อนหลักมาจากไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งภาคส่วนอื่นๆ ก็กำลังได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตนี้ด้วย เราเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภาคธุรกิจหลักๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับความท้าทายจากหลายด้าน”

 

ในภาคการท่องเที่ยวออนไลน์ คาดว่าจะมีการเติบโต 6% และมูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 แม้การฟื้นตัวอาจจะไม่รวดเร็วเท่าอดีต แต่ไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดการท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง

 

การขยายโครงการยกเว้นวีซ่าให้ครอบคลุม 93 ประเทศ และการอนุญาตให้พำนักได้สูงสุด 60 วัน เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น อินเดียและตะวันออกกลาง ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตนี้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์ระดับโลก

 

ด้านบริการทางการเงินดิจิทัล (DFS) ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม ‘Digital Wealth’ หรือความมั่งคั่งทางดิจิทัล ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 29% และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการแตะ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยเริ่มหันมาบริหารจัดการเงินลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น

 

ขณะที่บริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล คาดว่าจะมียอดสินเชื่อคงค้างสูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 คิดเป็นอัตราการเติบโต 21% ส่วนการชำระเงินดิจิทัลคาดว่าจะมีมูลค่าธุรกรรมรวมสูงถึง 1.63 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเติบโตขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าตามพฤติกรรมสังคมไร้เงินสด

 

ภูมิทัศน์ทางการเงินของไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอีกขั้น ด้วยการคาดการณ์ว่าจะมี ‘Virtual Banks’ หรือธนาคารดิจิทัล 3 แห่งได้รับอนุมัติใบอนุญาตให้เริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569 โดยมุ่งเน้นการให้บริการกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินและธุรกิจ SME ขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

 

สำหรับสื่อออนไลน์ ซึ่งรวมถึงวิดีโอออนดีมานด์ เพลง เกม และโฆษณา ยังคงรักษาการเติบโตอยู่ที่ 8% โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายเครือข่ายสื่อค้าปลีกและการเจาะตลาดเชิงลึกของวิดีโอคอมเมิร์ซที่สร้างเม็ดเงินโฆษณา

 

ที่น่าสนใจคือกุญแจสำคัญอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีอิทธิพลในด้านต่างๆ ยังคงเป็นตลาดหลักสำหรับการบริโภคสื่อบันเทิง โดยเฉพาะกระแสเพลง T-Pop ที่กำลังได้รับความนิยมและเริ่มสร้างเทรนด์ระดับโลก ซึ่งส่งผลดีต่อระบบนิเวศของสื่อออนไลน์ในภาพรวม

 

ด้านการขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์เติบโตขึ้น 15% และคาดว่าจะมีมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี 2566 หลังจากผ่านช่วงการแข่งขันที่ดุเดือด แพลตฟอร์มต่างๆ ได้ปรับตัวมุ่งเน้นไปที่การสร้างผลกำไรและความยั่งยืนทางธุรกิจ

 

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนโลก ประเทศไทยกำลังดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรระดับประเทศอย่างแข็งขัน ผ่านโครงการริเริ่มของรัฐบาลที่ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี เพื่อยกระดับทักษะของแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน ‘Generative AI’ ของคนไทย

 

ตัวเลขสถิติชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของผู้ใช้งานชาวไทย โดย 76% ของผู้ใช้มีการโต้ตอบกับเครื่องมือ AI ทุกวัน และ 56% สนทนากับแชทบ็อต AI ซึ่งส่งผลให้รายได้ของแอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์ AI เติบโตขึ้นถึง 79% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

วิลลี่ ชาง Partner, Bain & Company กล่าวว่า “เศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตและความสามารถในการฟื้นตัวที่โดดเด่น โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้การลงทุนจะชะลอตัวในบางช่วงและภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา”

 

“เราเชื่อมั่นว่า AI จะเป็นแรงผลักดันการเติบโตระลอกต่อไป ตราบใดที่ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม รับมือกับความท้าทาย และเปลี่ยนนวัตกรรม AI ให้กลายเป็นการสร้างมูลค่าระยะยาวได้” ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในทศวรรษหน้า

 

ภาพ : jittawit21 / Shutterstock

The post ยุคทองนักไลฟ์! ไทยขึ้นแท่น ‘ตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซ’ โตเร็วสุดในอาเซียน ผู้ขายพุ่ง 1.7 เท่า แตะ 8.5 แสนราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพงษ์ย้ำความสำคัญเลือกตั้ง 69 จะอยู่กับรัฐล้มเหลวแบบเดิม หรือพลิกโฉมประเทศใหม่ https://thestandard.co/natthaphong-election-69-transform-country/ Tue, 16 Dec 2025 11:42:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1155473 ณัฐพงษ์ย้ำความสำคัญเลือกตั้ง 69 จะอยู่กับรัฐล้มเหลวแบบเดิม หรือพลิกโฉมประเทศใหม่

วันนี้ (16 ธันวาคม) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ อดีต สส. แบบ […]

The post ณัฐพงษ์ย้ำความสำคัญเลือกตั้ง 69 จะอยู่กับรัฐล้มเหลวแบบเดิม หรือพลิกโฉมประเทศใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ณัฐพงษ์ย้ำความสำคัญเลือกตั้ง 69 จะอยู่กับรัฐล้มเหลวแบบเดิม หรือพลิกโฉมประเทศใหม่

วันนี้ (16 ธันวาคม) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ อดีต สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้รับเชิญไปบรรยายที่คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาภายใต้หัวข้อ ‘ดิจิทัล กระจายอำนาจ งบประมาณกับการพัฒนาประชาธิปไตย’ ร่วมกับอาจารย์และนิสิต

 

ณัฐพงษ์กล่าวว่า ขอชวนทุกคนย้อนกลับไปรำลึกถึงการเมืองไทยในอดีต และการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งสุดท้ายที่ไทยมีการเลือกตั้งและได้นายกรัฐมนตรีตามเจตนารมณ์ทางการเมืองก็คือเมื่อปี 2554 ภาพของอำนาจของประชาชนที่ได้ลงคะแนนในคูหาสามารถสะท้อนเสียงประชาชนตามความเป็นจริง และภายหลังจากการเลือกตั้งปี 2554 การเมืองไทยก็กลับสู่วงจรรัฐประหารเช่นเคย และไม่ปกติเป็นเวลากว่า 10 ปี อีกทั้งยังเกิดผลภูมิจากการทำรัฐประหารมาสู่ปัจจุบันผ่านรัฐธรรมนูญ 2560

 

ณัฐพงษ์ย้ำถึงประเด็นสำคัญของการเลือกตั้งในครั้งหน้าว่า ไม่ใช่การเลือกตั้งปกติทั่วไปแต่มันคือการตัดสินว่า ประเทศไทยจะเดินต่อไปทางไหน ตลอด 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2554 เสียงของประชาชนไทยแทบไม่เคยเป็นผู้ตัดสินหน้าตารัฐบาลอย่างแท้จริง มีรัฐประหาร มีการสืบทอดอำนาจ มีการกำหนดกติกาที่ไม่เป็นธรรม ทำให้การเลือกตั้งหลายครั้ง กลายเป็นแค่พิธีกรรม ไม่ใช่การตัดสินอนาคตประเทศอย่างแท้จริง

 

ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า เราเชื่อว่าประเทศไทยมีทางออกจากวิกฤตทุกอย่างที่ลุมล้อมประเทศอยู่ตอนนี้ แน่นอนว่าเราต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีเจตจำนงทางการเมืองในการเข้ามาบริหารประเทศเพื่อขับเคลื่อนวาระแก้ไขปัญหาเรื่องยากๆ ให้ประเทศชาติ สิ่งสำคัญและหลักคิดในการทำงานพวกเราคือรัฐบาลใหม่ปี 2569 ที่จะเข้ามาต้อง โปร่งใส  มีประสิทธิภาพ  และเป็นของประชาชน นี่คือเป้าหมายของ ‘ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก’

 

ไทยไม่เทา หมายความว่ารัฐบาลต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่มีพื้นที่ให้คอร์รัปชันและทุนสีเทา ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน นี่คือการตรวจสอบที่สำคัญที่สุด

 

ไทยเท่ากัน ทุกคนต้องเข้าถึงโอกาสและบริการของรัฐอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าคุณจะเกิดที่ไหน มีฐานะอย่างไร การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นคือสิ่งที่เป็นความตั้งใจของพรรคประชาชนในการกระจายอำนาจ กระจายคน และกระจายงบประมาณเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการตัวเองได้

 

และ ไทยทันโลก รัฐต้องทำงานทันสมัย มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองที่สามารถใช้งานได้จริง บริหารงบประมาณให้คุ้มค่าตอบโจทย์ชีวิตของประชาชนในทุกพื้นที่

 

ณัฐพงษ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงปี 2569 นี้ จะไม่ใช่แค่การเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่คือการเลือกว่าจะยอมอยู่กับรัฐที่มีการเมืองแบบเดิม บริหารประเทศล้มเหลวต่อไป หรือจะเริ่มสร้างประเทศไทยใหม่ไปด้วยกัน

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่มันคือเรื่องของ common sense ทางการเมือง และการเลือกตั้งครั้งหน้า คือโอกาสที่เราจะพาประเทศไทยกลับสู่การเมืองที่ปกติอีกครั้ง การเมืองที่เสียงของประชาชนมีความหมายจริงๆ” ณัฐพงษ์กล่าว

The post ณัฐพงษ์ย้ำความสำคัญเลือกตั้ง 69 จะอยู่กับรัฐล้มเหลวแบบเดิม หรือพลิกโฉมประเทศใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/thai-business-risk-assessment-marsh/ Tue, 16 Dec 2025 11:00:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1155440 ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL]

เหตุการณ์น้ำท่วมไทยและในภูมิภาค รวมถึงข่าวปลอมจาก AI ล้ […]

The post ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL]

เหตุการณ์น้ำท่วมไทยและในภูมิภาค รวมถึงข่าวปลอมจาก AI ล้วนชี้ถึง “ความเสี่ยงในธุรกิจที่ต้องจัดการ” ซึ่งไม่ใช่ความเสี่ยงธรรมดา แต่เพิ่มทั้งขนาด ความเร็ว และการเชื่อมโยง จนเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ

 

ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเผชิญความเสี่ยงใหม่มากมาย ทั้งภัยพิบัติ ภูมิรัฐศาสตร์ ต้นทุนพลังงาน ซัพพลายเชน และภัยไซเบอร์ แม้ว่าองค์กรจะมีความตระหนักรู้เพิ่มขึ้น แต่หลายองค์กรยังประเมินต่ำไปว่าความเสี่ยงเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างไรและจะทวีความรุนแรงขึ้นได้รวดเร็วเพียงใด

 

THE STANDARD ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Derek Heng ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Marsh McLennan Thailand ซึ่งให้บริการที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงและกลยุทธ์การถ่ายโอนความเสี่ยงแก่บริษัทในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น SET50 กว่า 40 แห่ง ด้วยการใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์ระดับโลก เช่น ข้อมูลการเคลมประกันและข้อมูลความสูญเสีย Marsh สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ความเสี่ยงที่กำลังเปลี่ยนแปลง และสนับสนุนอุตสาหกรรมหลักในประเทศไทย เช่น การท่องเที่ยวและโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ อาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมด้านสุขภาพ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง

 

ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] 1

Derek Heng ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Marsh McLennan Thailand

 

Marsh กับความเสี่ยงที่ธุรกิจไทยที่ต้องบริหาร

 

Derek เริ่มต้นบทสนทนาด้วยบทบาทของ Marsh โดยเน้นว่า “ความเสี่ยงวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่อ่านจากรายงาน แต่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่สามารถส่งผลกระทบสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ”

 

“สิ่งที่ทำให้ Marsh มองเห็นความเสี่ยงได้อย่างชัดเจน ไม่ได้มาจากการจำลองสถานการณ์ แต่มาจากข้อมูลความเสียหายจริงที่เกิดขึ้นทั่วโลกและในไทย เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ การหยุดชะงักของการดำเนินงาน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และภัยไซเบอร์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สะท้อนผลกระทบจริงต่อธุรกิจได้ชัดเจนและน่าเชื่อถือกว่าการคาดการณ์ทั่วไป”

 

ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] 2

“Marsh องค์กรที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงและนายหน้าประกันภัยระดับโลก”

 

ภูมิทัศน์ความเสี่ยงยุคใหม่ที่ไม่ใช่แค่ “ความเสี่ยง” อีกต่อไป

 

“จากรายงาน Global Risk Report เผยแพร่โดย World Economic Forum ทุกปี ชี้ชัดว่าความเสี่ยงระยะสั้นที่สุดที่ผู้นำองค์กรต้องให้ความสำคัญในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า มี 3 ประการหลักที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยภายในปีเดียว ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดที่ผู้นำธุรกิจต้องเตรียมพร้อมอย่างจริงจัง” Derek กล่าว และความเสี่ยงระยะสั้น Derek ได้กล่าวไว้ว่ามีทั้งหมด 3 ประการ ได้แก่

 

  • Misinformation and disinformation: ข้อมูลบิดเบือนและข่าวปลอมแพร่เร็วในโลกดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกขยายผลด้วย AI
  • Geopolitical Tension: ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง ทั้งสงคราม รัฐประหาร มาตรการกีดกันทางการค้า และความขัดแย้งชายแดน
  • Environmental Risks: เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น

 

ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] 3

“การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ภูมิรัฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม

คือความเสี่ยงสำคัญที่องค์กรต้องดูแลและจัดการ”

 

“ในส่วนของความกังวลสูงสุดของผู้นำทั่วโลกใน 10 ปีข้างหน้า คือ ‘ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม’ ซึ่งชี้ว่าระบบภูมิอากาศโลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ภาคธุรกิจจึงต้องเตรียมพร้อมในระดับโครงสร้าง แทนที่จะเป็นเพียงระดับปฏิบัติการในระยะสั้น”

 

จุดอ่อนที่ทำให้ผู้นำไทย “รู้ว่ามีความเสี่ยง แต่ไม่ได้เตรียมตัวพอ”

 

แม้ผู้บริหารจำนวนมากยอมรับความเสี่ยงสำคัญ แต่ Derek พบช่องว่างสำคัญในองค์กรไทยคือ ผู้นำรู้ความเสี่ยง แต่ “ไม่รู้ความลึกและรู้กว้าง” เมื่อเกิดขึ้นจริง

 

“ตัวอย่างที่ผมเห็นในหลายอุตสาหกรรมไทยคือ มีความเสี่ยงอยู่จริง แต่ประเมิน ‘ระดับความเสียหาย’ ต่ำเกินไป หลายบริษัทคิดว่าระบบล่มจะแก้ได้ในไม่กี่ชั่วโมง ทั้งที่จริงอาจหยุดได้หลายวันและสัปดาห์ ทุกชั่วโมงที่หยุดคือรายได้และความเชื่อมั่นที่หายไป ต้นทุนฟื้นฟูที่สูงขึ้น”

 

“เช่นเดียวกับน้ำท่วม หลายที่คิดว่าจะกระทบแค่ส่วนหนึ่ง แต่ความจริงคือพนักงานและรถขนส่งเข้าไม่ได้ ทำให้สายการผลิตหยุดทันที และการกลับสู่ภาวะปกติก็ไม่ทันทีเสมอไป นี่คือจุดบอดที่ทำให้องค์กรเสียหายหนักกว่าที่ควรจะเป็น”

 

ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] 4

“หลายบริษัทยังประเมินความเสี่ยงขององค์กรต่ำไป”

 

อีกจุดบอด คือ การมองความเสี่ยงแบบแยกส่วน องค์กรไทยส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องของฝ่ายความปลอดภัย ทั้งที่ความเสี่ยงปัจจุบันเชื่อมโยงกับทุกส่วนธุรกิจ เช่น ไฟไหม้อาจกระทบซัพพลายเออร์หลายราย ระบบล่มอาจหยุดให้บริการลูกค้าจำนวนมาก หรือหยุดผลิตอาจทำให้รายได้ไตรมาสหายไปมาก ความเสี่ยงไม่ใช่แค่ “เหตุการณ์” แต่คือ “กระบวนการเชื่อมต่อกันทั้งระบบ” ซึ่งหลายองค์กรยังไม่ได้เตรียมพร้อมบริหารจัดการรวมถึงรับมือกับผลกระทบที่ลุกลามตามมา

 

อีกจุดบอดที่น่ากังวล คือ การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีและ AI ที่เร็วเกินระบบรองรับ ผู้นำมุ่งเน้นการใช้ AI เพิ่ม Productivity แต่ละเลยความเสี่ยงจาก “Single Point of Failure” ที่รุนแรงขึ้นหลายเท่า เนื่องจากการพึ่งพาระบบส่วนกลางเพียงไม่กี่แพลตฟอร์ม เช่น Cloud หรือ Endpoint Security ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ระบบล่มพร้อมกันทั่วโลกมาแล้ว

 

ความเสี่ยงกลายเป็นงานหลักของผู้นำยุคใหม่ในสายตาของ Marsh

 

สิบปีก่อน ความเสี่ยงจำกัดอยู่แค่ฝ่ายปฏิบัติการหรือประกันภัย แต่วันนี้ใหญ่ขึ้น หลากหลายมิติ และเป็นวาระสำคัญของ C-suite “ความเสี่ยงไม่ใช่แค่การควบคุมความเสียหายอีกต่อไป ความเสี่ยงได้กลายเป็นตัวแปรเชิงกลยุทธ์ที่กำหนดความยืดหยุ่นขององค์กร (organizational resilience) ผู้นำได้เปลี่ยนจากการรับผิดชอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมของ C-suite ทั้งหมด โดยตระหนักว่าการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเป็นแรงขับเคลื่อนผลการดำเนินงานทางการเงินและการเติบโตในระยะยาว”

 

Derek เห็นว่าผู้นำในยุคนี้ควรมองความเสี่ยงเป็น ‘ความสามารถเชิงกลยุทธ์และข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน’ ที่ช่วยให้องค์กรอยู่รอดในวิกฤตและเติบโตเร็วกว่าเมื่อตลาดฟื้นตัว แทนที่จะมองว่าเป็นต้นทุนเหมือนในอดีต”

 

Risk Management Framework ที่องค์กรต้องมีจาก Marsh

 

คำถามต่อมาคือ องค์กรจะจัดการความเสี่ยงในโลกที่วิกฤตการณ์รุนแรงและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วได้อย่างไร? Derek ได้นำเสนอ 4 ขั้นตอนบริหารความเสี่ยง (Risk Management Framework) ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนของไทยไว้ดังนี้

 

  • Identify: ระบุความเสี่ยงทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจ “ผลกระทบที่แท้จริง” ต่อสินทรัพย์ กระบวนการ ระบบ คน ซัพพลายเออร์ และตลาด

 

  • Mitigate: ลดความเสี่ยงด้วยการปฏิบัติจริง เช่น ตรวจสอบโครงสร้างตามหลักวิศวกรรม จัดทำ BCP เสริมความปลอดภัยระบบ IT กระจายห่วงโซ่อุปทาน และทดสอบแผนรับมือผ่านสถาณการณ์วิกฤตจำลอง

 

  • Transfer: โอนความเสี่ยงด้วยการประกันภัย องค์กรชั้นนำมองประกันเป็น “กลยุทธ์” เพื่อสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ (การซื้อประกันโดยไม่มีข้อมูลที่ดีพอ อาจไม่ปกป้องความเสี่ยงจริง)

 

  • Monitor: ติดตามและตอบสนองเพื่อเตรียมรับมือแบบเชิงรุกต่อภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง

 

Framework นี้สำคัญ เพราะช่วยให้องค์กรเห็น “Total Cost of Risk” (TCOR) ไม่ใช่แค่เบี้ยประกัน ซึ่งองค์กรไทยส่วนใหญ่ยังไม่เคยใช้ ทั้งที่ TCOR เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการวางกลยุทธ์ระยะยาว โดยรวมถึงค่าเสียหาย ค่า Downtime ต้นทุนความเสี่ยงบุคลากร ค่าเสื่อมระบบ และค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็น

 

กรณีศึกษาความเสี่ยงจาก Marsh

 

ประสบการณ์ของ Marsh ในการทำงานกับลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งบริษัทไทยระดับภูมิภาคและองค์กรชั้นนำระดับโลกอย่าง Fortune 500 ทำให้ Marsh ค้นพบว่า องค์กรส่วนใหญ่มักประเมินความเสี่ยงของตนเอง ‘ต่ำกว่าความเป็นจริง’ จนกว่าจะได้เห็นข้อมูลเชิงลึกทั้งหมด

 

กรณีหนึ่งคือบริษัทไทยที่มีฐานปฏิบัติการหลายประเทศ แต่ไม่เคยเห็นว่า “ต้นทุนความเสี่ยงจริง” กระจายอยู่ตรงไหน Marsh ช่วยออกแบบ Captive ทำให้บริษัทสามารถวัด Loss เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการความเสี่ยง และลด Total Cost of Risk ได้อย่างต่อเนื่อง

 

อีกกรณีในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม แม้บริษัทจะมีระบบ Cyber Security และประกันภัยพร้อม แต่ไม่มั่นใจว่าหากเกิดการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ ความเสียหายจริงจะมีขนาดและผลกระทบต่อธุรกิจเท่าใด Marsh จึงช่วยทำ Risk Quantification สร้างโมเดลความเสียหาย เปรียบเทียบผู้เล่นในอุตสาหกรรม และใช้ข้อมูลเคลมจริงจากต่างประเทศ เพื่อฉายภาพ Worst-case scenario เป็นตัวเลข ทำให้องค์กรเข้าใจมูลค่าความเสี่ยงที่แท้จริง สามารถจัดวางการโอนถ่ายความเสี่ยงและบริหาร Total Cost of Risk ได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดต้นทุนความเสี่ยงของธุรกิจในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ

 

บทบาทที่ลึกกว่าคำว่า ‘นายหน้าประกันภัย’ ที่ช่วยเสริมขีดความสามารถให้ธุรกิจทุกขนาดของ Marsh

 

SME มีบทบาทสำคัญกับเศรษฐกิจไทยโดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.3 ของ GDP รวมของประเทศ (อ้างอิงจาก Thailand Economic Monitor February 2025: Unleashing Growth – Innovation, SMEs and Startups) ดังนั้น Derek จึงให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SME ในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ

 

“บ่อยครั้ง ความเสี่ยงเดียวสามารถทำให้ SME ‘หยุดกิจการทันที’ เพราะมีสิ่งที่ถ่วงดุลน้อย บทบาทของ Marsh คือช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นความเสี่ยงที่แท้จริง ก่อนสายเกินไป ไม่ใช่เข้ามาจัดการหลังเกิดเหตุ”

 

ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] 5

“ความเสี่ยงเดียวอาจทำให้ SME ปิดกิจการลงถาวร”

 

นั่นทำให้ Marsh เป็น “Risk Advisor” ที่แตกต่างจากนายหน้าประกันภัยทั่วไป เราให้คำปรึกษาด้านความเสี่ยงแบบครบวงจร ตั้งแต่การทำ Exposure Mapping จนถึงการวางกลยุทธ์โอนความเสี่ยง โดยใช้ข้อมูลและความเข้าใจ Value Chain ในการออกแบบระบบความเสี่ยงทั้งองค์กร เราไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์ แต่ให้ “แนวทางการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กรแบบองค์รวม” ซึ่งสำคัญมากในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

Marsh กับนิยามผู้นำแบบใหม่ในโลกที่ขยับตลอดเวลา

 

ความเสี่ยงที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า องค์กรจะต้องการ “ผู้นำแบบไหน” Derek เชื่อว่าทักษะของผู้นำในอนาคตต่างออกไปจากทศวรรษที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง เพราะวันนี้ผู้นำไม่ได้ถูกทดสอบด้วยตลาด แต่ถูกทดสอบด้วย ความไม่แน่นอนที่มาจากหลายทิศทางพร้อมกัน

 

ผู้นำยุคใหม่ต้องเริ่มจากการอ่านความเสี่ยงให้ขาดและจัดการให้ทันท่วงทีก่อนเป็นวิกฤต ไม่ใช่แค่ตามข่าว แต่ต้องจับสัญญาณเล็ก ๆ ในห่วงโซ่อุปทาน พฤติกรรมลูกค้า สภาพอากาศ หรือการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะสิ่งเล็ก ๆ ของวันนี้อาจเป็นช็อกครั้งใหญ่ในวันหน้า

 

“ผู้นำจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ขององค์กร กับการตระหนักถึงจุดที่ความเสี่ยงกำลังก่อตัวขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ปรากฏเป็นรูปธรรม การออกแบบโครงสร้างองค์กรให้พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ จะช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับวิกฤติต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในที่สุด”

 

ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] 6

“ผู้นำองค์กรจำเป็นต้องบริหารจัดการความเสี่ยงให้สมดุลกับทิศทางเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

 

Derek เชื่อว่าองค์กรไทยต้องเปลี่ยนจากตั้งรับ เป็นสถาปัตยกรรมที่ยืดหยุ่นเชิงรุก เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อได้แม้เกิดวิกฤต การมีระบบสำรองเทคโนโลยี การกระจายความเสี่ยงซัพพลายเออร์ การพัฒนาทักษะพนักงาน และการรวมความเสี่ยงในแผนเติบโตคือคุณสมบัติสำคัญ การบริหารความเสี่ยงคือการเพิ่ม “ความมั่นใจ” ให้ผู้นำตัดสินใจได้ดีขึ้น Marsh จึงเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยผู้นำไทย “เห็นอนาคตจากข้อมูล ไม่ใช่จากความเชื่อ”

 

“โลกวันนี้ไม่ได้ต้องการผู้นำที่รู้คำตอบ แต่ต้องการผู้นำที่ออกแบบระบบให้รับมือกับสิ่งที่ไม่มีใครตอบได้ ถ้าธุรกิจของคุณเข้าใจความเสี่ยงแบบองค์รวม คุณจะไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง แต่จะใช้มันเป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตในทศวรรษหน้า”

 

นี่คือบทสรุปที่ชัดเจนที่สุดของการเดินทางผ่านความเสี่ยงยุคใหม่ ความเสี่ยงไม่ใช่ภาระ แต่คือความสามารถแข่งขันขององค์กรไทยในอนาคต และผู้นำที่เข้าใจสิ่งนี้ก่อน คือผู้นำที่จะพาธุรกิจไปยืนในจุดที่คนอื่นไปไม่ถึง

The post ธุรกิจไทยกำลังประเมินความเสี่ยงต่ำไปหรือไม่? มุมมองจาก Marsh ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงระดับโลก [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิ่งหน้าใหม่โดดเข้าวงการ ดันตลาดรองเท้าวิ่งโตแรง HOKA ลุยปั้นไทยเป็นฮับเอเชีย แต่ไม่ขอแข่งด้านราคา https://thestandard.co/hoka-thailand-hub-and-price/ Tue, 16 Dec 2025 10:54:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1155457 นักวิ่งหน้าใหม่โดดเข้าวงการ ดันตลาดรองเท้าวิ่งโตแรง HOKA ลุยปั้น **ไทย**เป็นฮับเอเชีย แต่ไม่ขอแข่งด้านราคา

กระแสการวิ่งในประเทศไทยกำลังขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพ […]

The post นักวิ่งหน้าใหม่โดดเข้าวงการ ดันตลาดรองเท้าวิ่งโตแรง HOKA ลุยปั้นไทยเป็นฮับเอเชีย แต่ไม่ขอแข่งด้านราคา appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิ่งหน้าใหม่โดดเข้าวงการ ดันตลาดรองเท้าวิ่งโตแรง HOKA ลุยปั้น **ไทย**เป็นฮับเอเชีย แต่ไม่ขอแข่งด้านราคา

กระแสการวิ่งในประเทศไทยกำลังขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการวิ่งเป็นกลุ่มหรือ Run Club รวมถึงการวิ่งเทรล (Trail Running) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งในไทยและตลาดโลก เทรนด์ดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ตลาดรองเท้าวิ่งเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี

 

ท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าว แบรนด์ HOKA สปอร์ตแวร์สัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งถือกำเนิดจากแพสชั่นของคู่รักนักวิ่งเทรล กำลังก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในแบรนด์รองเท้าวิ่งที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดเอเชีย ปัจจุบัน HOKA มีสาขามากกว่า 100 แห่งทั่วภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย และภายในสิ้นปีนี้เตรียมขยายสาขาในประเทศให้ครบ 9 แห่ง

 

โดยล่าสุด HOKA ได้เปิดสาขาใหม่ที่สยามเซ็นเตอร์ โดยอยากสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้เชื่อมโยงกับแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ของคนเมือง ขณะเดียวกันในปีหน้าบริษัทมีแผนขยายเพิ่มอีก 3 สาขา ซึ่งแต่ละแห่งจะถูกออกแบบภายใต้คอนเซปต์ร้านที่แตกต่างกัน เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น

 

พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรฟ อิดิชั่น จำกัด (REV Edition) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย HOKA ในประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ HOKA สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว มาจากกระแสการวิ่งที่เติบโตต่อเนื่อง ผสานกับคาแรกเตอร์ของแบรนด์ที่ชัดเจน ทั้งด้านดีไซน์และคุณภาพสินค้า โดย HOKA ยึดหลัก ‘ทำในสิ่งที่แบรนด์ถนัด’ ไม่เน้นวิ่งตามเทรนด์แฟชั่นหรือการแข่งขันด้านราคาในตลาด

 

จุดเด่นของ HOKA อยู่ที่การออกแบบรองเท้าพื้นหนาและขนาดใหญ่กว่ารองเท้าวิ่งทั่วไป เพื่อช่วยรองรับแรงกระแทก ลดอาการบาดเจ็บ และเพิ่มความสบายในการวิ่งระยะกลางถึงระยะไกล ซึ่งสอดรับกับความต้องการของนักวิ่งยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและประสบการณ์การวิ่ง มากกว่าการทำสถิติความเร็วเพียงอย่างเดียว

 

แนวโน้มดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่าวัฒนธรรมการวิ่งในประเทศไทยกำลังขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่ตลาดนักวิ่งกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มการวิ่งถนนและการทำสถิติ ปัจจุบันได้ขยายไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น ตั้งแต่กลุ่มวิ่งเพื่อสุขภาพ กลุ่มออกกำลังกายในสวนสาธารณะ กลุ่มวิ่งเชิงไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงกลุ่มนักวิ่งเทรลที่มีอัตราการเติบโตสูง

 

ยิ่งหลังสถานการณ์โควิด ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ และมองหาประสบการณ์การออกกำลังกายรูปแบบใหม่ ส่งผลให้การวิ่งเทรลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ ความท้าทาย และการสะท้อนตัวตนด้านไลฟ์สไตล์ของนักวิ่งรุ่นใหม่

 

ในระยะต่อจากนี้ HOKA วางประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางหรือ Hub ของภูมิภาค เพื่อใช้เป็นฐานในการพัฒนา Regional Playbook ซึ่งมองว่าประเทศไทยฯ เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงของอุตสาหกรรมกีฬาและรองเท้าวิ่ง ด้วยจำนวนประชากรนักวิ่งที่มีประมาณ 15 ล้านคน ประกอบกับการเกิดขึ้นของงานวิ่งใหม่ๆ จากผู้จัดอีเวนต์หลากหลายราย โดย HOKA มุ่งสร้างคอมมูนิตี้ผ่านการจัดกิจกรรมร่วมกับนักวิ่ง ให้ความรู้เรื่องการเริ่มต้นวิ่งอย่างถูกวิธี ปัจจุบันมีสมาชิกในกลุ่มรันคลับมากกว่า 5,000 ราย และยังสนับสนุนวัฒนธรรมการวิ่งเทรลผ่านการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน UTMB ถึง 2 รายการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

 

สำหรับกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์ ทั้งในแง่การขยายการเข้าถึงลูกค้าและการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง โดยในปี 2569 บริษัทประเมินว่าตลาดสินค้าและรองเท้ากีฬาจะมีนักวิ่งหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มจากการวิ่งเชิงไลฟ์สไตล์ ก่อนพัฒนาไปสู่ระยะ 10 กิโลเมตร 20 กิโลเมตร หรือขยับสู่การวิ่งเทรล ซึ่ง HOKA เตรียมพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์กลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง

 

“คาดว่าปีหน้าจะเป็นช่วงพีกของตลาดรองเท้าวิ่ง แม้ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อจะกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ธุรกิจรองเท้าวิ่งได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่หันมาดูแลสุขภาพและออกกำลังกายอย่างจริงจัง” พรศักดิ์ กล่าวย้ำ

The post นักวิ่งหน้าใหม่โดดเข้าวงการ ดันตลาดรองเท้าวิ่งโตแรง HOKA ลุยปั้นไทยเป็นฮับเอเชีย แต่ไม่ขอแข่งด้านราคา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ https://thestandard.co/worlds-first-joint-rescue-exercise/ Tue, 16 Dec 2025 10:51:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1155454 ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่

วันนี้ (16 ธันวาคม) ช่างภาพทีมข่าว THE STANDARD ลงพื้นท […]

The post ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่

วันนี้ (16 ธันวาคม) ช่างภาพทีมข่าว THE STANDARD ลงพื้นที่บ้านช้างตระกูลแสน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเก็บภาพบรรยากาศการฝึกซ้อมการกู้ภัย Thailand International Multi-Hazard SAR Exercise (TIMS 2025) ซึ่งมีความพิเศษคือ การนำช้างและสุนัขเข้าร่วมการฝึกซ้อมกู้ภัยร่วมกับมนุษย์เป็นครั้งแรก

 

ไชยเชษฐ์ พัดสี ผู้อำนวยการฝึกอบรมและกู้ภัย ประจำภูมิภาคเอเชีย สมาพันธ์การค้นหาและกู้ภัยนานาชาติ กล่าวว่า จากสถานการณ์โลกที่เผชิญภัยพิบัติในหลากหลายรูปแบบ ทำให้จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

สำหรับการฝึกซ้อมครั้งนี้ มีช้างจากบ้านช้างตระกูลแสนเข้าร่วมจำนวน 4 เชือก และสุนัข K9 พันธุ์ลาบราดอร์ และโกลเดนรีทรีฟเวอร์ รวม 6 ตัว โดยเป็นการฝึกหลายรูปแบบพร้อมกัน แบ่งออกเป็น 4 สถานี ได้แก่

 

  • การตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์
  • สถานการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก
  • สถานการณ์ดินสไลด์และแพคว่ำ
  • สถานการณ์อุบัติเหตุรถตกเหว

 

การฝึกครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของโลกที่นำช้างและสุนัขเข้าฝึกกู้ภัยร่วมกับมนุษย์ โดยใช้ความสามารถเฉพาะของสัตว์ทั้งสองชนิด อาทิ สุนัขมีความสามารถด้านการดมกลิ่นและค้นหาผู้สูญหาย ขณะที่ช้างซึ่งเป็นสัตว์ขนาดใหญ่สามารถลุยน้ำและเข้าพื้นที่ทุรกันดารได้ดีกว่ามนุษย์หรือเรือ ช่วยลำเลียงอุปกรณ์ในเส้นทางที่ถูกตัดขาดจากยานพาหนะหรือเครื่องจักรหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ทั้งนี้ ในปี 2569 มีแผนขยายความร่วมมือในระดับนานาชาติ โดยเชิญประเทศที่มีช้าง เช่น ลาว เมียนมา มาเลเซีย และไต้หวัน เข้าร่วมการฝึกซ้อมเพิ่มเติม

 

ด้าน พระครูวีรวัฒน์ วีรวฑุฒโน (พระครูอ๊อด) ผู้ก่อตั้งบ้านช้างตระกูลแสน กล่าวว่า จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงใหม่ประสบอุทกภัย ได้มีการนำช้างจำนวน 4 เชือก เข้าช่วยลำเลียงอาหารและสิ่งของไปยังชุมชนที่ได้รับผลกระทบ จึงเกิดแนวคิดนำช้างมาฝึกด้านงานกู้ภัยเพื่อช่วยเหลือทั้งมนุษย์และสัตว์ โดยต่อยอดจากการฝึกช้างลากไม้ให้มีทักษะด้านการกู้ภัย

 

ปัจจุบันช้างของบ้านช้างตระกูลแสนผ่านการฝึกแล้ว 8 เชือก และในอนาคต หากเกิดภัยพิบัติ จะสามารถส่งช้างที่ผ่านการฝึกเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ประสบเหตุได้ทันที

 

ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ 1ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ 2ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ 3ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ 4ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ 5ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ 6ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ 7ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ 8

The post ครั้งแรกของโลก ฝึกกู้ภัยร่วม ‘ช้าง–สุนัข–มนุษย์’ ในการซ้อม TIMS 2025 ที่เชียงใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ จับตา ‘เวียดนาม-ไทย’ เอื้อจีนเลี่ยงภาษี นักวิเคราะห์ชี้ปมลักลอบค้าผ่านแดน https://thestandard.co/china-tax-evasion-vietnam-thailand/ Tue, 16 Dec 2025 10:25:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1155431 สหรัฐฯ จับตา เวียดนาม-ไทย เอื้อ จีน เลี่ยงภาษี นักวิเคราะห์ชี้ปมลักลอบค้าผ่านแดน

การพุ่งขึ้นของการส่งออกจากหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉี […]

The post สหรัฐฯ จับตา ‘เวียดนาม-ไทย’ เอื้อจีนเลี่ยงภาษี นักวิเคราะห์ชี้ปมลักลอบค้าผ่านแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ จับตา เวียดนาม-ไทย เอื้อ จีน เลี่ยงภาษี นักวิเคราะห์ชี้ปมลักลอบค้าผ่านแดน

การพุ่งขึ้นของการส่งออกจากหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังสหรัฐอเมริกาในปีนี้ จุดกระแสถกเถียงว่าจีนอาจใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นทางผ่านเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯอีกระลอก โดยเฉพาะเวียดนามและไทยที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด

 

โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาว่าบางประเทศเอื้อให้ผู้ส่งออกจีนหลีกเลี่ยงภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการระบุแหล่งกำเนิดสินค้าไม่ถูกต้อง และขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสูงสุดถึง 40% สำหรับสินค้าที่ตรวจพบว่ามีการ “เปลี่ยนเส้นทาง”

 

ฮาวาร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อต้นปีว่า เวียดนามนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ก่อนเพิ่มมูลค่าเพียงเล็กน้อยแล้วส่งต่อมายังสหรัฐฯ ซึ่งในมุมมองของรัฐบาลวอชิงตันถือเป็นเพียงการเปลี่ยนเส้นทางสินค้า

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนมาก มองว่า รูปแบบการค้าที่เปลี่ยนไปหลังสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษี “ตอบโต้” ตั้งแต่เดือนเมษายน สะท้อนการปรับโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานและชัดเจน

 

ข้อมูลศุลกากรจีนระบุว่า ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม การส่งออกของจีนไปยังเวียดนามและไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน

 

ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอื่นในอาเซียนก็ขยายตัวเป็นตัวเลขสองหลักเช่นกัน พร้อมกันนี้ การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับเวียดนามและไทยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา

 

แม้ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าก่อนอัตราภาษีใหม่มีผลในเดือนสิงหาคม แต่ข้อมูลหลายชุดชี้ว่าการค้าในภูมิภาคยังขยายตัวต่อเนื่อง

 

งานวิจัยของสถาบัน Lowy ระบุว่า การส่งออกของอาเซียนในเดือนตุลาคมสูงกว่าปีก่อนถึง 15% ขณะที่ข้อมูลของ Kpler ชี้ว่าการส่งออกจากจีนไปอาเซียนในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นราว 10%

 

การเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและชิ้นส่วนต้นน้ำ เช่น ชิปและหน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์ ขณะที่เวียดนามและไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ในรูปสินค้าสำเร็จรูป โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน และเครื่องเล่นเกม สะท้อนบทบาทฐานการประกอบในภูมิภาค

 

นักวิเคราะห์ชี้ว่า แนวโน้มนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ “จีนบวกหนึ่ง” (China plus one) ที่ผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังอาเซียน เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีสหรัฐฯ หลังสงครามการค้าระลอกแรก แม้ว่าวัตถุดิบต้นน้ำจำนวนมากยังคงมาจากจีน เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์มีความเป็นสากลสูง

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตจีนลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ภูมิภาคนี้คิดเป็นกว่าหนึ่งในสามของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีน ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตสหรัฐฯ จำนวนมากก็ย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนเช่นกัน

 

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังคงกังวลว่าบางบริษัทอาจตั้งสายการประกอบขนาดเล็กหรือบริษัทบังหน้าในประเทศอาเซียนเพื่อใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขทางการค้า ขณะที่กฎเกณฑ์ว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (transshipment) ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ซึ่งอาจกระทบแม้แต่แบรนด์อเมริกันที่ผลิตในเวียดนามและยังพึ่งพาวัตถุดิบจากจีน

 

ภาคธุรกิจในภูมิภาคระบุว่า การลักลอบเปลี่ยนเส้นทางในปีนี้ไม่รุนแรงเท่าช่วงก่อน รัฐบาลเวียดนามได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า ขณะที่การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อหลายประเทศในอาเซียน ทำให้แรงจูงใจในการใช้เส้นทางอ้อมลดลง

 

นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า สหรัฐฯ มีความสำคัญต่อจีนในฐานะตลาดส่งออกลดลง จีนจึงหันไปกระจายตลาดไปยังอาเซียน ยุโรป และภูมิภาคอื่นมากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลอาเซียนพยายามพยุงเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เช่น เวียดนามที่ประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

โดยสรุป ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า การค้าผ่านแดนมีอยู่จริงในบางส่วน แต่ภาพรวมสะท้อนการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกมากกว่าการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างเป็นระบบ และแนวโน้มการบริโภคในอาเซียนที่แข็งแกร่งอาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการนำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะต่อไป

 

ภาพ: pma2010 / Getty image

 

อ้างอิง:

The post สหรัฐฯ จับตา ‘เวียดนาม-ไทย’ เอื้อจีนเลี่ยงภาษี นักวิเคราะห์ชี้ปมลักลอบค้าผ่านแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>