Environment – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 03 Dec 2025 06:56:56 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 “มันคือ KPI ที่ต้องไม่มีคนตาย” ผ่าวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อระบบพร้อม แต่ไม่ถูกใช้งาน https://thestandard.co/kpi-no-deaths-south-flood/ Wed, 03 Dec 2025 06:56:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1150989 “มันคือ **KPI** ที่ต้องไม่มีคนตาย” ผ่าวิกฤตน้ำท่วม **ภาคใต้** เมื่อระบบพร้อม แต่ไม่ถูกใช้งาน

“น้ำท่วมคือภัยธรรมชาติ แต่ความสูญเสียคือความล้มเหลวจากก […]

The post “มันคือ KPI ที่ต้องไม่มีคนตาย” ผ่าวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อระบบพร้อม แต่ไม่ถูกใช้งาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
“มันคือ **KPI** ที่ต้องไม่มีคนตาย” ผ่าวิกฤตน้ำท่วม **ภาคใต้** เมื่อระบบพร้อม แต่ไม่ถูกใช้งาน

“น้ำท่วมคือภัยธรรมชาติ แต่ความสูญเสียคือความล้มเหลวจากการบริหารจัดการ และความล้มเหลวของระบบ”

 

คือมุมมองสะท้อนของวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ครั้งล่าสุด จาก ผศ.ดร. สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างรับมือภัยพิบัติ ที่มาจากบทเรียนครั้งใหญ่จากอุทกภัยปี 2554 แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลไกสำคัญกลับไม่ถูกใช้งานอย่างที่ควรจะเป็น

 

ผลลัพธ์ราคาแพงที่ภาคใต้ต้องเผชิญ ไม่ได้มีเพียงภาพน้ำท่วม แต่เป็นชุดความสูญเสียที่สะท้อนการผิดพลาดเชิงระบบ ตั้งแต่ชีวิตคนไปจนถึงโครงสร้างเมือง เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของฝนที่ตกหนัก แต่คือคำถามต่อทัศนคติและความพร้อมของไทยในการปกป้องชีวิตผู้คนในยามวิกฤต 

 

ไทย ‘ทิ้ง’ ภาคใต้ไว้กลางทาง โครงสร้างมีครบ แต่การขับเคลื่อนสะดุด 

 

ผศ.ดร. สิตางศุ์ระบุว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างและการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 ทำหน้าที่เป็น ‘หัวขบวน’ กำกับดูแลประเด็นด้านน้ำ ทั้งในภาวะปกติและวิกฤต ถือเป็นการถอดบทเรียนครั้งสำคัญจากน้ำท่วมปี 2554 ซึ่งไร้ ‘เจ้าภาพ’ ด้านการบริหารจัดการ 

 

นอกจากนี้ ไทยยังมีเครื่องมือทางกฎหมาย อย่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 หรือ ‘พรบ.น้ำ’ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการกับอุทกภัยในยามวิกฤต ซึ่งกฎหมายดังกล่าวให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และบรรเทาความเสียหายทางน้ำได้

 

สำหรับขั้นตอนการบริหารจัดการ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์​ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อธิบายว่า ตามปกติแล้ว ต้องมีการประชุมล่วงหน้าภายในกลุ่มอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งอยู่ภายใต้ สทนช. และประกอบด้วยบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น รองเลขาธิการสทนช., ปลัดกระทรวงคมนาคม, กระทรวงเกษตร, อธิบดีสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมสาธารณะป้องกันภัย (ปภ.)

 

ในการประชุมกลุ่มอนุกรรมการฯ บริหารจัดการน้ำ มักเกิดขึ้นก่อนเข้าสู่ฤดูฝนเพื่อประเมินสถานการณ์ โดยใช้ข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นตัวตั้งในการประเมิน เช่น การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน หรือการอัปเดตข้อมูลรายละเอียดทุกเดือน ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายร่วมกันในขั้นตอนมา 

 

เมื่อมีการคาดการณ์ว่า ภูมิภาคใดมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภัยพิบัติ ก็จะมีการตั้งศูนย์ส่วนหน้าในพื้นที่นั้น โดยส่วนกลางต้องทำงานร่วมกับมีหน่วยงานระดับท้องถิ่น ขณะที่ระดับจังหวัดก็มีการเตรียมความพร้อม เช่น การซ้อมรับมือภัยพิบัติ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์อพยพ การส่งข้าว-น้ำ และเส้นทางอพยพ  

 

โครงสร้างเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับมือสถานการณ์ในภาคอีสานและภาคกลางแล้ว แต่ ผศ.ดร.สิตางศุ์ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การ ‘ทิ้ง’ ภาคใต้ไว้กลางทาง คือ ไม่มีการตั้งศูนย์ส่วนหน้ารอ และไม่มีการประเมินสถานการณ์ให้

 

“ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ พอรู้ว่า เข้าหน้าฝน จังหวัดก็ต้องรู้แล้ว มันเป็นฤดูกาลของ ปภ. ที่ต้องเอาแผนออกมาซักซ้อมก่อนจะเข้าสู่หน้าฝน มีอะไรก็ต้องคลี่ออกมา เช่น ศูนย์อพยพอยู่ตรงไหน แล้วเกิดเหตุขึ้นจะส่งข้าวส่งน้ำอย่างไร เส้นทางอพยพเป็นอย่างไร

 

“หลังตอนเกิดเหตุสึนามิ เราเคยซ้อมกันอย่างแบบแข็งขันมากเลย แต่พอเวลาไป แผนก็คือแผน แล้วก็ยังมีคำถามว่า ตกลงเราได้ซ้อมกันจริงหรือเปล่า” ผศ.ดร.สิตางศุ์ตั้งคำถาม

 

รับมือภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องเสี่ยงดวง แต่ต้องตั้ง KPI ที่ไม่มีผู้สูญเสีย

 

“น้ำท่วมคือภัยธรรมชาติ แต่ความสูญเสียคือความล้มเหลวจากการบริหารจัดการ และความล้มเหลวของระบบ”

 

ผศ.ดร.สิตางศุ์อธิบาย การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติไม่ใช่เรื่องของการเสี่ยงดวง แม้จะมีกรณีเทียบเคียงกับสถานการณ์ในต่างประเทศ เช่น เหตุน้ำท่วมญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ ซึ่งเธอก็ยอมรับว่า ปัจจัยทางธรรมชาติคือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และวิกฤตโลกเดือดก็มีแต่จะเกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่สิ่งที่ต้องยอมรับ คือ ความสูญเสียครั้งนี้เกิดจากความล้มเหลวจากการบริหารจัดการและระบบ ซึ่งข้องเกี่ยวกับ ‘ทัศนคติ’ ของประเทศนั้นๆ เช่นในกรณีหลายประเทศ การรับมือสถานการณ์ดังกล่าว เปรียบเสมือนการทำ ‘สงคราม’ และมีการตั้งตัวชี้วัด หรือ KPI ชัดเจนว่า ต้องไม่มีคนตาย และทุกคนต้องรอด ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดในการจัดการวิกฤต

 

“ทัศนคติของพวกเขา คือ การรับมือภัยพิบัติที่จะทำให้เกิดภาวะวิกฤตกับประเทศ มันคือการทำสงคราม เราต้องเอาชนะ มันคือ KPI ที่ต้องไม่มีคนตาย”

 

“สิ่งที่เราทำคือการ ‘เสี่ยงดวง’ ว่า ภัยพิบัติจะมาทางไหน เพราะการคาดการณ์เราก็แม่นบ้างไม่แม่นบ้าง ซึ่งก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว เมื่อมันเกิดขึ้นก็เสี่ยงดวงเอา การเตรียมการก็เตรียมระดับหนึ่ง แต่ที่เหลือคือเสี่ยงดวง คือไปแก้ปัญหาหน้างาน ทั้งๆ ที่เรามีแผนลุ่มน้ำ ปภ.มีแผนรับมือภัยพิบัติระดับจังหวัด”

 

ผศ.ดร.สิตางศุ์อธิบายต่อว่า เมื่อมีเป้าหมาย คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่มีคนตาย สิ่งที่ตามมาคือรัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชน ‘ตระหนก’ จนถึงขั้นต้องย้ายออก ซึ่งนี่คือหนึ่งในขั้นตอนการประเมินและเตรียมการสถานการณ์ภายใต้วิกฤตร้ายแรง (Worst Case Scenario) ถึง 4 ข้อ

 

  1. การจัดการคน เช่น การอพยพ การดูแลคนติดค้าง การส่งข้าวส่งน้ำ หรือการช่วยเหลือออกมา

 

  1. การจัดหาข้าวของที่จำเป็นสำหรับการยังชีพ หรือการเตรียมพร้อมในแคมป์อพยพ เช่น อาหาร น้ำ ส้วม ฟูก หรือที่นอน โดยเฉพาะของที่ใช้ได้ต้องเตรียมไว้ก่อน

 

  1. สถานการณ์น้ำ เป็นการจัดการเพื่อคลี่คลายสถานการณ์น้ำ เช่น การเร่งสูบ หรือการคาดการณ์ระยะเวลาที่ธรรมชาติจะคลี่คลายด้วยตนเอง

 

  1. ข้อมูลข่าวสาร หรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้องออกไป

 

ผศ.ดร.สิตางศุ์เปรียบเทียบกรณีใกล้เคียงการรับมือภัยพิบัติอย่างมาเลเซีย ที่เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมเหมือนกันว่า สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ มาเลเซียมีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าไทย และสามารถอพยพได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกอย่างเริ่มตั้งแต่ระบบ เช่น การจับสัญญาณฝน และการเตือนภัย 3 วันล่วงหน้า (3 Days Alert) 

 

“ถามว่า ประเทศไทยไม่มีโมเดลแบบนี้หรือ มีสิ ทุกวันนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์อากาศได้ 3-7 วัน เรายังมีฝนเรดาร์ที่คาดการณ์ได้ 3 ชั่วโมงอย่างแม่นยำอีก แต่พอได้ข้อมูลมา เราประเมินสถานการณ์ต่อหรือเปล่า”

 

อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรน้ำมองว่า การที่รัฐปล่อยให้เกิดเหตุน้ำท่วมรอบที่ 2 ในภาคใต้ ถือเป็นเรื่องที่ ‘ให้อภัยไม่ได้’ และขณะนี้ คนในพื้นที่ยังรู้สึกตกใจอยู่ พร้อมกับตั้งคำถามว่า ฝนจะมาอีกหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ ผศ.ดร.สิตางศุ์ระบุว่า นี่เป็นเพียง ‘ฝนแรก’ ของภาคใต้เท่านั้น และยังต้องจับตาดูสถานการณ์ในเดือนธันวาคม-มกราคมต่อไป

 

มองสถานการณ์ฟื้นฟูภาคใต้หลังน้ำท่วม รัฐต้องทำอย่างไร

 

“ตอนนี้แค่ขอโทษยังไม่พอ การขอโทษอาจจะคลี่คลายอารมณ์ได้นิดเดียว แต่รัฐบาลต้องรู้ก่อนว่า ตัวเองบกพร่องเรื่องไหน” 

 

ผศ.ดร.สิตางศุ์มองว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำต่อไป คือ การรับมือสถานการณ์ในเดือนธันวาคม-มกราคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และต้องเอาจริงเอาจังกับการตั้ง KPI ที่ต้องไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ต้องหลีกเลี่ยงนำ ‘การเมือง’ มายุ่งเกี่ยวกับประเด็นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และให้ ‘มืออาชีพ’ ทำงาน

 

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่อยู่ในช่วงฟื้นฟู ผศ.ดร.สิตางศุ์ระบุว่า ต้องครอบคลุมในเรื่องการจัดการคน ทั้งกรณีเสียชีวิต, ติดค้าง หรือเยียวยาชดเชย หรือการจัดการทรัพยากร เช่น สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต หรือปัญหา ‘ขยะ’ ก็เป็นเรื่องที่รัฐเพิกเฉยไม่ได้ ซึ่งกลุ่มอาสาและภาคประชาสังคมที่นำโดย สมบัติ บุญงามอนงค์ ร่วมกับ ThaiPBS ก็ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว

 

ขณะเดียวกัน เรื่องการฟื้นฟูจิตใจก็เป็นสิ่งที่เพิกเฉยไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประสบภัย ซึ่งรัฐต้องเตรียมการ และใช้บุคลากรจำนวนมาก

 

ภาพ: KARIT CHAUI-AKSORN

The post “มันคือ KPI ที่ต้องไม่มีคนตาย” ผ่าวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อระบบพร้อม แต่ไม่ถูกใช้งาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้น้ำท่วมใหญ่เกิดทุก 2 สัปดาห์ https://thestandard.co/global-boiling-2100-quotes/ Thu, 27 Nov 2025 07:50:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1148468 นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้ น้ำท่วมใหญ่ เกิดทุก 2 สัปดาห์

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัย […]

The post นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้น้ำท่วมใหญ่เกิดทุก 2 สัปดาห์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้ น้ำท่วมใหญ่ เกิดทุก 2 สัปดาห์

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ถึงวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ของไทย โดยสะท้อนให้เห็นว่า ยิ่งโลกร้อนขึ้น โอกาสเกิด ‘ภัยพิบัติรุนแรง’ จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมเสนอแนะแนวทางให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น

 

นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้ น้ำท่วมใหญ่ เกิดทุก 2 สัปดาห์ 1นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้ น้ำท่วมใหญ่ เกิดทุก 2 สัปดาห์ 2นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้ น้ำท่วมใหญ่ เกิดทุก 2 สัปดาห์ 3นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้ น้ำท่วมใหญ่ เกิดทุก 2 สัปดาห์ 4นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้ น้ำท่วมใหญ่ เกิดทุก 2 สัปดาห์ 5นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้ น้ำท่วมใหญ่ เกิดทุก 2 สัปดาห์ 6

The post นักวิชาการคาด โลกเดือด ปี 2100 อาจทำให้น้ำท่วมใหญ่เกิดทุก 2 สัปดาห์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องโมเดลจัดการน้ำท่วมต่างประเทศ ‘เตรียมพร้อม ป้องกัน รับมือ’ อย่างไร ไม่ให้ภัยพิบัติเลวร้าย https://thestandard.co/international-flood-model-prepare-prevent/ Wed, 26 Nov 2025 08:29:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1147932 ส่อง โมเดลจัดการน้ำท่วมต่างประเทศ ‘เตรียมพร้อม ป้องกัน รับมือ’ อย่างไร ไม่ให้ภัยพิบัติเลวร้าย

น้ำท่วมหรืออุทกภัย ถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลก […]

The post ส่องโมเดลจัดการน้ำท่วมต่างประเทศ ‘เตรียมพร้อม ป้องกัน รับมือ’ อย่างไร ไม่ให้ภัยพิบัติเลวร้าย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่อง โมเดลจัดการน้ำท่วมต่างประเทศ ‘เตรียมพร้อม ป้องกัน รับมือ’ อย่างไร ไม่ให้ภัยพิบัติเลวร้าย

น้ำท่วมหรืออุทกภัย ถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายมิติ ทั้งต่อชีวิตของผู้คน สภาพสังคม และภาวะเศรษฐกิจ และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในยุคปัจจุบัน จากผลกระทบภาวะโลกรวน หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ทำให้เกิดมหาอุทกภัยมากขึ้นในหลายจุดของโลก และล่าสุดคือประเทศไทย ที่กำลังเกิดน้ำท่วมครั้งประวัติการณ์ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

 

ที่ผ่านมา มีหลายประเทศเผชิญกับภาวะน้ำท่วมบ่อยครั้ง จนทำให้ต้องมีการกำหนดนโยบายหรือแผนบริหารจัดการความเสี่ยงจากน้ำท่วม (Flood Risk Management Plan) ในขณะที่โมเดลจัดการน้ำท่วมแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะภูมิประเทศ งบประมาณ เทคโนโลยี และโครงสร้างการปกครอง

 

THE STANDARD จะพาไปสำรวจโมเดลการจัดการน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพของบางประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบต่ำและเสี่ยงเกิดน้ำท่วมได้ง่าย ตลอดจนอังกฤษ และญี่ปุ่นที่เผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง แต่ด้วยแผนบริหารจัดการที่ดี ทำให้วันนี้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องหวาดกลัวอันตรายจากภาวะน้ำท่วม

 

The Delta Programme แผนจัดการน้ำท่วมของเนเธอร์แลนด์

 

เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศพื้นที่ราบลุ่มหลายส่วนอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลและแม่น้ำ ทำให้การบริหารจัดการน้ำกลายเป็นภารกิจระดับชาติที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และมีความเชื่อมโยงในหลายมิติ ทั้งด้านวิศวกรรม นโยบาย และการวางผังเมือง

 

สิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเบื้องหลังความสำเร็จในแผนบริหารจัดการความเสี่ยงน้ำท่วมของเนเธอร์แลนด์ คือโครงการที่เรียกว่า The Delta Programme ซึ่งเป็นกรอบนโยบายระดับชาติที่วางแนวทางป้องกันน้ำท่วม รับประกันแหล่งน้ำจืด และเตรียมรับมือและปรับตัวต่อผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระยะยาว โดยมีแผนล่วงหน้าไปอีกครึ่งศตวรรษข้างหน้า และบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลกลาง ทางการท้องถิ่น องค์กรบริหารจัดการน้ำ และสถาบันวิจัยต่างๆ

 

ที่มาของ The Delta Programme ต้องย้อนไปถึงเหตุภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ปี 1953 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 1,800 คน และทำให้พื้นที่กว้างใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ

 

หลังเหตุการณ์นั้น เนเธอร์แลนด์เริ่มโครงการวิศวกรรมขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า Delta Works เพื่อปิดช่องทะเลและเสริมคันกั้นน้ำ ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนมาเป็นกรอบบูรณาการ ในชื่อโครงการ Delta Programme ซึ่งผสมผสานมาตรการบริหารจัดการน้ำ ทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบนิเวศ และการวางผังเมืองเข้าด้วยกัน

 

The Delta Programme มีภารกิจหลักที่มุ่งเน้นอยู่ 3 ด้าน ได้แก่

 

1.ความปลอดภัยจากน้ำท่วม (Flood safety) โดยเน้นการคงระดับการป้องกันจากทะเลและแม่น้ำ ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง เช่น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและปริมาณฝนตกหนักที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ

 

2.การจัดหาน้ำจืด (Freshwater supply) เน้นการวางแผนสำรองน้ำในช่วงฤดูแล้ง โดยปรับสมดุลการใช้น้ำระหว่างภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และชุมชน เพื่อรับมือกับความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝน

 

3.การปรับตัวเชิงพื้นที่ (Spatial adaptation) หรือการวางแผนเชิงพื้นที่ให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม และภัยแล้ง ภายใต้แนวคิด ‘การพัฒนาเมืองที่นำโดยการจัดการน้ำ’ ซึ่งทำให้โครงการก่อสร้าง และการพัฒนาพื้นที่ใหม่ๆ คำนึงถึงความสามารถในการสำรองและระบายน้ำ เช่น การทำพื้นที่กักเก็บชั่วคราว พื้นที่ชุ่มน้ำ และโครงการขยายพื้นที่รับน้ำ

 

The Delta Programme เป็นแผนงานที่มีการจัดทำเป็นรายปี โดยนำเสนอต่อรัฐสภา ควบคู่ไปกับงบประมาณของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ขณะที่แนวทางดำเนินงาน สามารถปรับเปลี่ยนไปตามข้อมูลวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ และสถานการณ์ความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป

 

โดยแผนดำเนินงานและมาตรการที่สำคัญภายใต้โครงการ The Delta Programme อาทิ

 

  • โครงการปรับปรุงและเสริมความแข็งแรงของแนวคันกันน้ำและประตูน้ำ เพื่อรองรับระดับน้ำที่สูงขึ้นในอนาคต

 

  • Room for the River ขยายพื้นที่รับน้ำตามแนวแม่น้ำ โดยการปรับระดับพื้นที่ริมฝั่ง ขุดคูน้ำข้างลำคลอง, สร้างช่องบายพาส, ยก/ย้ายถนนและคันกั้นน้ำบางส่วน เพื่อให้แม่น้ำมีที่ว่างเมื่อระดับน้ำสูงขึ้น โดยผสมผสานการปรับสภาพภูมิทัศน์เข้ากับการป้องกันน้ำในเชิงวิศวกรรม

 

  • โครงสร้างด้านระบบนิเวศและธรรมชาติ โดยใช้พื้นที่ชุ่มน้ำและระบบนิเวศชายฝั่งเป็น ‘บัฟเฟอร์’ หรือพื้นที่กันชนตามธรรมชาติเพื่อชะลอคลื่นและเก็บกักน้ำฝน

 

  • นโยบายเชิงพื้นที่และการวางผังเมือง โดยกำหนดเงื่อนไขและข้อบังคับในการก่อสร้างใหม่ เช่น ระดับพื้นต้องยกสูงขึ้น, มีพื้นที่ซึมซับน้ำ และพื้นที่กักเก็บน้ำในยามฉุกเฉิน

 

ทั้งนี้ เนเธอร์แลนด์ลงทุนหลายพันล้านยูโรต่อปีในโครงการจัดการน้ำ ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น รวมถึงโครงการย่อยอีกหลายร้อยโครงการทั่วประเทศ

 

โดยการลงทุนโครงการเหล่านี้ถือเป็นการรับประกันความมั่นคงพื้นฐานของเศรษฐกิจและสังคม เพราะหากไม่มีระบบป้องกันและจัดการความเสี่ยงน้ำท่วมอย่างเหมาะสม ความเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิตประชาชนอาจเพิ่มสูงแบบทวีคูณ

 

ยุทธศาสตร์จัดการน้ำท่วมของ UK ในยุคโลกรวน

 

สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญความเสี่ยงจากน้ำท่วมหลากหลายรูปแบบ ทั้งน้ำจากแม่น้ำ น้ำทะเลหนุน ฝนตกหนัก น้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน และการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

 

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หลายครั้ง ทั้งในอังกฤษ เวลส์ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ ทำให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรต้องกำหนดระบบบริหารจัดการแบบบูรณาการ จนเกิดเป็นกรอบยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ชื่อว่า ‘การจัดการความเสี่ยงจากน้ำท่วมและการกัดเซาะชายฝั่งแห่งชาติ (Flood and Coastal Erosion Risk Management : FCERM)’ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบจัดการความเสี่ยงน้ำท่วมในปัจจุบัน

 

โดยยุทธศาสตร์นี้อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การจัดการน้ำท่วมและน้ำปี 2010 (Flood and Water Management Act 2010) ซึ่งมีการปรับปรุงล่าสุดเมื่อปี 2020 เพื่อรองรับผลกระทบจากภาวะโลกรวนที่รุนแรงยิ่งขึ้นในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

 

สำหรับยุทธศาสตร์ FCERM มีการกำหนดบทบาทของหน่วยงานหลักอย่างชัดเจน โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อม (Environment Agency) รับหน้าที่เป็นผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันน้ำท่วมและการกัดเซาะชายฝั่งทั่วอังกฤษ มีหน้าที่ประเมินความเสี่ยงระดับประเทศ ออกแบบมาตรฐานความปลอดภัย และจัดการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น คันกันน้ำและประตูน้ำ

 

ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่น เช่น Lead Local Flood Authorities (LLFAs), สภาท้องถิ่น บริษัทน้ำ และคณะกรรมการด้านการระบายน้ำ ต่างมีหน้าที่ดูแลระบบระบายน้ำ น้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน และทางน้ำขนาดเล็ก รวมถึงการวางผังเมืองที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ซึ่งโครงสร้างการทำงานแบบหลายภาคส่วนเช่นนี้ ทำให้การบริหารจัดการน้ำท่วมของอังกฤษ มีการบูรณาการทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ

 

สำหรับแนวทางปฏิบัติที่สำคัญของยุทธศาสตร์ FCERM ได้แก่

 

  • การใช้แนวทางรับมือตามธรรมชาติ (Nature-based Solutions) เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ การสร้างพื้นที่รับน้ำธรรมชาติ การเปิดพื้นที่น้ำท่วมหลากตามฤดูกาล และการออกแบบพื้นที่สีเขียวและพื้นที่น้ำภายในเมือง เพื่อช่วยชะลอน้ำ ลดระดับน้ำสูงสุด และเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำในระบบนิเวศตามธรรมชาติ โดยแนวคิดนี้สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากการ ‘กันน้ำออก’ มาเป็นการ ‘อยู่กับน้ำอย่างปลอดภัย’

 

  • การวางผังเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านน้ำและชายฝั่ง โดยหน่วยงานท้องถิ่นต้องพิจารณาความเสี่ยงด้านน้ำทุกครั้งที่มีการอนุมัติการพัฒนาโครงการก่อสร้างใหม่ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก

 

  • การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อเหตุการณ์ เช่น ระบบเตือนภัยน้ำท่วม, การแจ้งเตือนชายฝั่ง, การรับมือฉุกเฉิน การอพยพ การวางแผนฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานท้องถิ่นได้ร่วมกันพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำท่วมที่มีความแม่นยำสูงขึ้น โดยใช้ข้อมูลสภาพอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม และแบบจำลองน้ำลุ่มน้ำ ซึ่งช่วยให้ประชาชนและหน่วยบริการฉุกเฉินมีเวลาเตรียมตัวก่อนน้ำท่วม อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดแผนรับมือน้ำท่วมในระดับครัวเรือนและธุรกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ที่รัฐไม่เพียงต้องป้องกัน แต่ยังต้อง ‘เสริมภูมิคุ้มกัน’ ให้ประชาชนสามารถรับมือและฟื้นตัวได้เร็วเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม

 

  • การบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำท่วมและระบบน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยหลายพื้นที่ในอังกฤษมีโครงสร้างป้องกันน้ำทะเล แม่น้ำ และชายฝั่งจำนวนมาก การดูแลให้เขื่อน ประตูน้ำ ระบบระบายน้ำทำงานได้ดีจึงเป็นหัวใจของความปลอดภัยในระยะยาว

 

  • ความร่วมมือของหลายภาคส่วน ไม่ใช่เพียงรัฐหรือหน่วยงานเดียว แต่รวมหน่วยงานท้องถิ่น ผู้จัดการน้ำ บริษัทน้ำ ผู้วางผังเมือง เกษตรกร ชุมชน ธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อให้การจัดการน้ำเป็นงานร่วม มีการแบ่งบทบาทและรับผิดชอบที่ชัดเจน

 

  • การใช้ข้อมูล วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมเพื่อวางแผนระยะยาว ประเมินความเสี่ยง และออกแบบมาตรการให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

ทั้งนี้ ระหว่างปี 2015-2021 รัฐบาลอังกฤษ ได้ทุ่มงบประมาณราว 2.6 พันล้านปอนด์เพื่อป้องกันน้ำท่วมและกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้สามารถช่วยปกป้องบ้านเรือนกว่า 300,000 หลัง

 

ช่วงระหว่างปี 2021-2027 รัฐบาลยังเพิ่มงบประมาณเป็น 5.2 พันล้านปอนด์เพื่อยกระดับโครงการป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว โดยตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่ารัฐมองการป้องกันน้ำท่วมเป็น ‘การลงทุนด้านความมั่นคงสาธารณะ’ ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายระยะสั้น เพราะน้ำท่วมหนึ่งครั้งอาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่างบป้องกันหลายปีรวมกัน

 

แผนรับมือน้ำท่วมญี่ปุ่น กระจายอำนาจ-ร่วมมือบูรณาการ

 

สำหรับแผนรับมือภัยพิบัติของประเทศญี่ปุ่น รวมถึงภัยจากน้ำท่วม จะใช้การตัดสินใจแบบกระจายอำนาจ และเน้นความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน โดยใช้ระบบข้อมูลแบบบูรณาการ และมุ่งเน้นไปที่การป้องกันปัญหา

 

โดยรัฐบาลท้องถิ่นจะบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินขนาดเล็ก ในขณะที่รัฐบาลกลางจะบริหารจัดการวิกฤตระดับชาติ ซึ่งทั้งสองประเทศจะทำงานภายใต้กรอบการทำงานเดียวกันเพื่อให้มั่นใจว่าการประสานงานจะราบรื่น

 

ขณะที่ยังมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยในการช่วยป้องกันปัญหา ​​เช่น แบบจำลองเมืองเสมือนจริงเพื่อประเมินและคาดการณ์ความเสี่ยง

 

นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ เช่น J-Alert ซึ่งสามารถแจ้งเตือนประชาชนได้ภายในไม่กี่วินาทีผ่านหลากหลายช่องทาง ตั้งแต่ลำโพง โทรทัศน์ วิทยุ อีเมล และโทรศัพท์มือถือ

 

ซึ่งการเตือนภัยล่วงหน้าที่ครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อออกอย่างน้อย 24 ชั่วโมงล่วงหน้า สามารถลดความเสียหายจากภัยพิบัติได้ 30% และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่ามาตรการเชิงรุกสามารถช่วยชีวิตและลดความสูญเสียให้น้อยที่สุดได้อย่างไร

 

อีกแนวทางที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยมีการจัดฝึกซ้อมและมีโครงการต่างๆ ในโรงเรียน ที่จะช่วยให้รู้วิธีรับมือกับเหตุฉุกเฉินรวมถึงน้ำท่วม

 

ภาพ: Ana Fernandez/SOPA Images/LightRocket via Getty Images

อ้างอิง:

The post ส่องโมเดลจัดการน้ำท่วมต่างประเทศ ‘เตรียมพร้อม ป้องกัน รับมือ’ อย่างไร ไม่ให้ภัยพิบัติเลวร้าย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ https://thestandard.co/unicef-nida-schools-lack-flood-climate/ Wed, 19 Nov 2025 11:46:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1145137 ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ

ท่ามกลางสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมที่ยังคงสร้างผลกระทบ […]

The post ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ

ท่ามกลางสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมที่ยังคงสร้างผลกระทบต่อหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย รายงานสำรวจล่าสุดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ด้วยการสนับสนุนจาก UNICEF พบว่า เกือบทุกโรงเรียนในประเทศไทยต้องเผชิญสภาพอากาศรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่โรงเรียนจำนวนมากยังขาดการสนับสนุนและทรัพยากรที่จำเป็นในการรับมือและปกป้องความปลอดภัยและการเรียนรู้ของเด็ก

 

การสำรวจ ‘ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความช่วยเหลือที่โรงเรียนต้องการ’ ดำเนินการระหว่างเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2025 โดยเก็บข้อมูลจากโรงเรียนของรัฐ 329 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงโรงเรียนเฉพาะความพิการ 14 แห่ง ใน 14 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เช่น เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา ยะลา และนราธิวาส ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าโรงเรียนและนักเรียนกำลัง ‘เผชิญความเสี่ยงสูงขึ้น’ ต่อฝนตกหนัก น้ำท่วม พายุ และคลื่นความร้อน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกรวนที่ทวีความรุนแรงขึ้น

 

ผลการสำรวจพบว่า ‘ทุกโรงเรียน’ เคยประสบสภาพอากาศรุนแรงอย่างน้อยหนึ่งประเภทในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยภัยที่เกิดบ่อยและส่งผลกระทบรุนแรงที่สุด ได้แก่ พายุ ฝนตกหนัก และน้ำท่วม ทั้งนี้โรงเรียน 3 ใน 4 แห่ง (ร้อยละ 75) ระบุว่าสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐานได้รับผลกระทบ เช่น ไฟฟ้า น้ำดื่ม ห้องน้ำ สุขอนามัย อาหารปลอดภัย หรือการเดินทางมาโรงเรียน ขณะที่กว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 55) รายงานว่านักเรียนเผชิญปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคที่มากับความร้อน โรคที่มียุงเป็นพาหะ หรือโรคที่มากับน้ำ เช่น ไข้เลือดออก ท้องร่วง หรือโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของโรงเรียน (ร้อยละ 46) ได้รับความเสียหายต่ออาคารสถานที่

 

ที่น่ากังวลคือ โรงเรียนประมาณครึ่งหนึ่งระบุว่า ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือใด ๆ หลังประสบภัยสภาพอากาศรุนแรง ขณะที่โรงเรียนที่เคยได้รับความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่ได้รับในรูปแบบข้อมูลหรือการแจ้งเตือนล่วงหน้า (ร้อยละ 41) การอบรมหรือจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อม (ร้อยละ 35) และการช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร น้ำดื่ม หรือสิ่งของจำเป็น (ร้อยละ 34)

 

เซเวอรีน เลโอนาร์ดี รองผู้แทนองค์การ UNICEF ประเทศไทย กล่าวว่า “ข้อมูลครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิของเด็กในการเข้าถึงการศึกษา และทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจำเป็นต้องเร่งเสริมความพร้อมให้โรงเรียนมีความรู้ โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กทุกคนยังคงเรียนได้อย่างปลอดภัย แม้ในยามน้ำท่วมหรือยามที่เกิดคลื่นความร้อน หากเราไม่ลงมือในวันนี้ ผลที่ตามมาคือการสูญเสียการเรียนรู้และศักยภาพของเด็กจำนวนมาก”

 

เมื่อปี 2024 อุทกภัยจากพายุไต้ฝุ่นยางิส่งผลให้นักเรียนกว่า 19,000 คน ในโรงเรียน 555 แห่งในภาคเหนือของไทยไม่สามารถไปโรงเรียนได้ ครูต้องปรับไปใช้การเรียนออนไลน์หรือส่งมอบใบงานถึงบ้านของนักเรียน

 

ผลสำรวจยังพบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดย 2 ใน 3 ของโรงเรียนคาดว่าจะเผชิญฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น และกว่าครึ่ง (ร้อยละ 54) คาดว่าจะเจอคลื่นความร้อนที่รุนแรงกว่าเดิมในอนาคต โดยผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของนักเรียน เช่น การเจ็บป่วย การบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิต เป็นความกังวลสูงสุดของโรงเรียน

 

ในด้านความพร้อมและขีดความสามารถของโรงเรียนในการรับมือกับสภาพอากาศรุนแรง โรงเรียนกว่าครึ่ง (ร้อยละ 53) ประเมินว่าตนมีความพร้อมอยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’ ความต้องการเร่งด่วนที่โรงเรียนระบุ ได้แก่ การอบรมและจัดกิจกรรมให้นักเรียนเรียนรู้เรื่องภาวะโลกรวนและการปรับตัว การอบรมครูเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัว และข้อมูลหรือระบบแจ้งเตือนภัยที่ทันเวลาและเชื่อถือได้

 

แม้เกือบทุกโรงเรียนจะสอดแทรกเนื้อหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการเรียนการสอน แต่ครูกว่าร้อยละ 80 ไม่เคยได้รับการอบรมอย่างเป็นทางการ และต้องพึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเอง ขณะที่โรงเรียนเฉพาะความพิการมีความต้องการสูงกว่าโรงเรียนทั่วไป ทั้งด้านการอบรมครู สื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย อุปกรณ์การเรียนการสอนที่เหมาะสม และงบประมาณสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยดัชนี Global Climate Risk Index ปี 2025 จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่การวิเคราะห์ของ UNICEFในปี 2021 จัดไทยอยู่อันดับที่ 50 จาก 163 ประเทศที่เด็กเผชิญความเสี่ยงสูงสุด นอกจากนี้ รายงาน Over the Tipping Point ปี 2023 ของ UNICEF ระบุว่า เด็กกว่า 10.8 ล้านคนในประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่ออุทกภัยและภัยแล้ง

 

“โรงเรียนคือด่านหน้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ” เลโอนาร์ดีกล่าวเพิ่มเติม “เราต้องลงทุนอย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมความพร้อมให้โรงเรียนทั่วประเทศสามารถรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น และทำให้มั่นใจว่าเด็กทุกคน รวมถึงเด็กในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากหรือพื้นที่ห่างไกล ได้เรียนรู้อย่างปลอดภัย การเตรียมความพร้อมให้โรงเรียนและระบบการศึกษาไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่ออนาคตของเด็กทุกคน”

 

UNICEF กำลังทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และพันธมิตรอื่นๆ เพื่อผลักดัน ‘การศึกษาเพื่อรับมือสภาพภูมิอากาศ’ (Climate Smart Education) ในการให้โรงเรียนทั่วประเทศมีความปลอดภัย ยืดหยุ่น และครอบคลุม เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้อย่างเต็มที่และเติบโตเต็มศักยภาพท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ 1
ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ 2
ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ 3
ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ 4
ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ 5

 

ภาพ: Anan Chonmahatrakul / UNICEF / 2025

อ้างอิง:

  • UNICEF ประเทศไทย

The post ผลสำรวจ UNICEF-NIDA ระบุ โรงเรียนไทยยังขาดความพร้อมรับมือน้ำท่วม-ภัยสภาพภูมิอากาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 https://thestandard.co/brazil-indigenous-amazon-protest-cop30/ Wed, 12 Nov 2025 03:37:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1142307 “พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30

เกิดเหตุปะทะกลางสถานที่จัดการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซ […]

The post “พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 appeared first on THE STANDARD.

]]>
“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30

เกิดเหตุปะทะกลางสถานที่จัดการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล หลังกลุ่มชนพื้นเมืองออกมาประท้วง และพยายามบุกเข้าไปในที่ประชุม เผยที่ดินทำกินในป่าแอมะซอนถูกรุกราน จากการตัดไม้ทำลายป่า และการขุดเจาะน้ำมัน โดยหวังใช้เวทีครั้งนี้แสดงพลังรักษาสิ่งแวดล้อมเฮือกสุดท้าย

 

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) ชนพื้นเมืองชาวบราซิลนับร้อยแห่ประท้วงกลางที่ประชุม COP30 โดยพยายามบุกเข้าไปในสถานที่จัดงาน เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อกรณีที่ดินทำกินในป่าแอมะซอนถูกรุกราน จนเกิดเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่พยายามห้ามปราม

 

ในวิดีโอบนโลกโซเชียลมีเดีย ปรากฏให้เห็นชนพื้นเมืองถือป้ายประท้วงว่า ‘ดินแดนของเราไม่ได้มีไว้ขาย’ ท่ามกลางฝูงชนจำนวนหนึ่งที่ถือป้ายและธงชาติปาเลสไตน์ สวมเสื้อ Juntos (แปลว่า Together) ขณะที่อีกส่วนหนึ่งตะโกนด่าทอรัฐบาลบราซิลว่า “พวกเขาคือรัฐบาล นี่คือวิธีการปกป้องผืนป่าที่ถูกยึดครอง เข้าใจบ้างไหม?”

 

ทั้งนี้ โฆษกสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (U.N. Climate Change) แถลงการณ์ว่า ผู้ชุมนุมพยายามบุกรั้วบริเวณทางเข้าหลักของสถานที่จัดงาน COP30 จนเกิดเหตุปะทะกัน โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย พร้อมยืนยันว่า ทุกภาคส่วนกำลังสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น และรักษาความปลอดภัยต่อไป

 

นอกจากนี้ Reuters ยังรายงานว่า มีพยานพบเห็นเจ้าหน้าที่ใช้มือกุมท้องด้วยความเจ็บปวด ขณะที่หน่วยรักษาความปลอดภัย 1 คน ถูกไม้ของชนพื้นเมืองฟาดที่บริเวณศีรษะ จนเลือดไหลบริเวณศีรษะ และมีรอยฟกช้ำบริเวณใต้ตา

 

เหตุประท้วงในการประชุม COP ถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก เพราะที่ผ่านมา การประชุมมักจัดในประเทศที่เสรีภาพทางการแสดงออกไม่ได้เปิดกว้าง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอียิปต์ หากแต่รัฐบาลบราซิลในฐานะเจ้าภาพ COP 30 นำโดยประธานาธิบดี ลูลา ดา​ ซิลวา สนับสนุนตัวแสดงอื่นๆ ในวิกฤตโลกเดือดให้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะชนพื้นเมือง

 

ทั้งนี้ ชนพื้นเมืองออกมาเปิดเผยว่า พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับโครงการพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมบทบาทอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของชนพื้นเมือง โดย ออกุสติน โอกาญา (Agustin Ocaña) ตัวแทนกลุ่ม Global Youth Coalition ให้สัมภาษณ์ว่า ชนพื้นเมืองรู้สึกไม่พอใจที่รัฐบาลระดมทุนสร้างเมืองเบเล็งใหม่โดยไม่จำเป็น ทั้งที่งบประมาณสามารถใช้จ่ายในด้านการศึกษา สุขภาพ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งการประท้วงครั้งนี้แสดงถึงความรู้สึกสิ้นหวังของพวกเขา

 

“เรากินเงินไม่ได้ เราต้องการที่ดินทำกินของเรา ให้รอดพ้นจากธุรกิจการเกษตร การสำรวจน้ำมัน การขุดเหมืองผิดกฎหมาย และการลักลอบตัดไม้” กิลมาร์ (Gilmar) หัวหน้ากลุ่มชนพื้นเมืองตูปินัมบา (Tupinamba) ที่อาศัยบริเวณแม่น้ำตาปาฌอส กล่าวกับผู้สื่อข่าว

 

“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 1“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 2“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 3“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 4“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 5“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 6

 

ภาพ: Anderson Coelho / Reuters

 

อ้างอิง:

The post “พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เยาวชนไทยเสนอ 6 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ก่อน COP30 เปิดฉาก หวังผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม https://thestandard.co/six-urgent-climate-demands/ Mon, 10 Nov 2025 10:59:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1141772 เยาวชนไทยเสนอ 6 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ก่อน **COP30** เปิดฉาก หวังผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

ขณะที่ทั่วโลกเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสั […]

The post เยาวชนไทยเสนอ 6 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ก่อน COP30 เปิดฉาก หวังผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เยาวชนไทยเสนอ 6 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ก่อน **COP30** เปิดฉาก หวังผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

ขณะที่ทั่วโลกเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 หรือ COP30 ที่จะเปิดฉากขึ้นที่บราซิลในวันนี้ (10 พฤศจิกายน) ตามเวลาท้องถิ่น เด็กและเยาวชนนักเคลื่อนไหวและนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 360 คนทั่วประเทศไทย ได้ร่วมกันส่งเสียงเรียกร้องให้ผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วนและทั่วถึง

 

เสียงของพวกเขารวบรวมจากการประชุมปรึกษาหารือเยาวชน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งจัดขึ้นโดย องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมกับ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) เมื่อเร็วๆ นี้ โดยผลการหารือสะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเด็กและเยาวชนแล้วอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพวกเขาที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ด้วยตนเอง

 

เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมเป็นตัวแทนจาก 97 เครือข่ายเยาวชนทั่วประเทศ ทั้งกลุ่มนักเรียน เยาวชนชาติพันธุ์ที่ทำงานอนุรักษ์ป่าและธรรมชาติ รวมถึงเยาวชนที่ขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย การปรึกษาหารือเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แบ่งปันประสบการณ์ ความกังวล และข้อเสนอแนะต่อการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศ โดยมีจุดร่วมสำคัญคือ เยาวชนต้องการให้เสียงของพวกเขาได้รับการรับฟังและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม

 

ชัยรัตน์ ดิ๊ผอ (อเล็กซ์) อายุ 19 ปี เยาวชนจากกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในผู้เข้าร่วมการปรึกษาหารือภาคเหนือ และเป็นหนึ่งในตัวแทนเยาวชนไทย 9 คน ที่จะร่วมเดินทางไปกับคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายนนี้ กล่าวว่า “ในชุมชนของผม ความร้อนที่สูงขึ้นและภัยแล้ง ทำให้หลายครอบครัวปลูกพืชได้ยากขึ้นและมีรายได้น้อยลง เมื่อพืชผลเสียหาย เด็กมักเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ บางคนต้องออกจากโรงเรียน เพื่อช่วยครอบครัว เราอยากให้ผู้นำฟังเรื่องราวของเรา และลงมือปกป้องอนาคตของพวกเรา”

 

ขณะเดียวกัน นันท์นภัส พงศ์วิฑูรย์ เยาวชนวัย 23 ปี ผู้ประสานงานของ GYBN Thailand และ Project Manager ของ Local Conference of Youth (LCOY) Thailand 2025 ซึ่งจะร่วมเดินทางไปประชุม COP30 กับคณะผู้แทนไทย กล่าวว่า LCOY พบว่ากุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นคือ การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างคนต่างรุ่นและหลากหลายภาคส่วน

 

โดยเยาวชนจากทั่วประเทศได้เสนอ ‘6 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน’ เพื่อปกป้องสุขภาพ ความเป็นอยู่ และความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ โดยมุ่งเน้นไม่ให้มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ได้แก่

 

1. ระบบสาธารณสุขที่ตอบสนองต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ เช่น ความร้อนจัด มลพิษ PM2.5 โรคไข้เลือดออก และผลกระทบทางจิตใจจากภัยพิบัติ

 

2. การศึกษาด้านสภาพภูมิอากาศสำหรับนักเรียนทุกคน เพื่อให้เด็กมีทักษะในการรับมือภัยพิบัติ การเกษตรที่ยั่งยืน และการจัดการของเสีย

 

3. เศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน โดยผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ภาคอาชีพในท้องถิ่น เช่น เกษตรกรรมและการท่องเที่ยว ให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ

 

4. การจัดการภัยพิบัติที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนและครอบคลุมทุกกลุ่ม มีระบบเตือนภัยที่ทั่วถึงและมาตรการอพยพที่คำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก

 

5. ความมั่นคงด้านน้ำสำหรับทุกคน ผ่านการปกป้องลุ่มน้ำ การควบคุมมลพิษ และการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการบริหารจัดการ

 

6. การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างจริงจัง เช่น การจัดเก็บภาษีพลาสติกระดับประเทศ และสนับสนุนธุรกิจชุมชนที่แปรรูปของเสียให้เกิดมูลค่า

 

เซเวอรีน เลโอนาร์ดี รองผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “เสียงของเยาวชนเหล่านี้คือ การเรียกร้องให้เกิดการดำเนินการในระดับประเทศ เยาวชนได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่เพียงกังวลต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่ยังพร้อมจะเป็นผู้นำและร่วมลงมือ ยูนิเซฟจึงขอเรียกร้องให้แนวทางและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแผนการปรับตัวแห่งชาติ (NAP) และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDC) สะท้อนความต้องการของเด็กและเยาวชนด้วย ขณะที่เรากำลังก้าวสู่การประชุม COP30 นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยจะได้แสดงภาวะผู้นำ โดยให้ความต้องการและเสียงของเด็กเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจด้านสภาพภูมิอากาศ”

 

เยาวชนยังได้เสนอให้มีการจัดตั้ง ‘เครือข่ายเยาวชนด้านสภาพภูมิอากาศระดับภูมิภาค’ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงการจัดตั้ง ‘กองทุนเยาวชนเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศระดับประเทศ’ และการออกนโยบายที่คุ้มครองสิทธิเด็กในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

 

จากผลสำรวจ U-Report ปี 2024 พบว่า แม้กว่าร้อยละ 90 ของเยาวชนไทยต้องการมีส่วนร่วมในประเด็นสภาพภูมิอากาศ แต่มีเพียงร้อยละ 34 ที่ได้รับโอกาสนั้นจริง ข้อมูลนี้สอดคล้องกับรายงาน ‘จากรุ่นสู่รุ่น ในโลกใบเดียวกัน’ (Between Generations, One Planet) ของยูนิเซฟเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าแม้เยาวชนจะเป็นพลังสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ แต่พวกเขายังมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจน้อยเกินไป

 

เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนมากขึ้น ยูนิเซฟจึงได้จัดทำ แคมเปญ #CountMeIn 2025 ‘จากเหนือจรดใต้ ทุกเสียงของเด็กมีความหมาย: รับฟัง ลงมือทำ รับมือโลกรวน’ ซึ่งมุ่งส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากทุกภาคส่วนของสังคม นอกจากนี้ ยูนิเซฟยังสนับสนุนให้ชัยรัตน์, นันท์นภัส และตัวแทนเยาวชนไทย ได้นำเสียงและข้อเสนอของพวกเขาไปสู่การประชุม COP30 เพื่อให้มุมมองของเด็กและเยาวชนไทยได้รับการสะท้อนในเวทีเจรจาระดับโลก

 

เลโอนาร์ดีเน้นย้ำว่า การเปิดโอกาสให้เยาวชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่เพียงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน โดยเด็กและเยาวชนคือผู้อยู่แนวหน้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มุมมองและภาวะผู้นำของพวกเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างประเทศไทยที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต

 

ภาพ: ยูนิเซฟ ประเทศไทย

 

อ้างอิง:

  • ยูนิเซฟ ประเทศไทย

The post เยาวชนไทยเสนอ 6 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน ก่อน COP30 เปิดฉาก หวังผู้นำเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อโลกทะลุ 1.5 องศา COP30 คือสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อน ‘หายนะ’ ทางภูมิอากาศ https://thestandard.co/cop30-climate-catastrophe-warning/ Mon, 10 Nov 2025 05:59:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1141567 เมื่อโลกทะลุ 1.5 องศา COP30 คือสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อน ‘หายนะ’ ทางภูมิอากาศ

‘หายนะ’ หรือ ‘ทางออก’ คือสถานการณ์เส้นบางๆ ที่อาจเกิดขึ […]

The post เมื่อโลกทะลุ 1.5 องศา COP30 คือสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อน ‘หายนะ’ ทางภูมิอากาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อโลกทะลุ 1.5 องศา COP30 คือสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อน ‘หายนะ’ ทางภูมิอากาศ

‘หายนะ’ หรือ ‘ทางออก’ คือสถานการณ์เส้นบางๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการประชุม COP30 ซึ่งเปิดฉากอย่างเป็นทางการ ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ตั้งแต่วันที่ 10 – 21 พฤศจิกายน ท่ามกลางความคาดหวังและแรงกดดันจากทั่วโลก หลังมีการเปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในช่วงปลายปี 2024 ว่า โลกมีค่าเฉลี่ยอุณหภูมิทะลุ 1.5 องศา ซึ่งเป็นตัวเลขเกินกว่าขีดจำกัดตามที่ ‘ข้อตกลงปารีส’ เคยตั้งไว้

 

THE STANDARD รวบรวมวาระการประชุม ประเด็นที่น่าสนใจ รวมถึงความหวังเฮือกสุดท้ายของโลกในการจัดการวิกฤตโลกเดือดมาสรุปไว้ที่นี่

 

การประชุม COP คืออะไร

 

COP เป็นการประชุมของสมาชิกประเทศในภาคีสนธิอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (U.N. Framework on Climate Change Convention: UNFCCC) โดยมีการลงนามตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมาว่า ทุกประเทศต้องร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างแข็งขัน

 

ทั้งนี้ หลักการสำคัญในภาคีสนธิสัญญาที่ยึดถือร่วมกัน คือ ‘Common But Differentiated Responsibilities’ (CBDR) ซึ่งหมายความว่า ทุกประเทศในโลกต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะหากเป็นประเทศพัฒนา ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบมากกว่าประเทศกำลังพัฒนา (เพราะมีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างความร่ำรวยให้กับตนเอง)

 

อย่างไรก็ดี การประชุม COP ในแต่ละปี ยังมีไฮไลต์สำคัญนอกเหนือจากประเด็นสภาพภูมิอากาศ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์หรือการเงินโลก โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้นำระดับโลก นักวิทยาศาสตร์ องค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และตัวแสดงที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งคาดว่า ปี 2025 จะมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 5 หมื่นคน

 

COP30 มีความสำคัญอย่างไร

 

ชื่อของ COP30 มาจากจำนวนครั้งของการประชุมตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา โดยในปี 2025 ประเทศบราซิลได้เป็นเจ้าภาพตามวาระหมุนเวียน ซึ่งใช้เมืองเบเล็งเป็นสถานที่การประชุม โดย อังเดร กอร์เรอา ดู ลาโก (André Corrêa do Lago) ประธาน COP30 ระบุว่า สาเหตุที่ต้องใช้สถานที่นี้ เพราะต้องการให้ผู้นำโลกเผชิญ ‘วิกฤตทางสภาพภูมิอากาศ’ อย่างตรงไปตรงมา

 

เบเล็งคือเมืองที่เผชิญความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมสูง โดยพื้นที่ 40% ของเมืองตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ยากจนของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเมืองปากแม่น้ำแอมะซอน ป่าริมฝนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำหน้าที่เป็น ‘ปอดโลก’ ดูดซับมลพิษ แต่กลับเผชิญความเปราะบางสูง จากการถูกทำลายทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำเหมือง การทำฟาร์ม และการสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิล

 

นอกจากนี้ COP30 ยังมีชื่อเล่นอื่นๆ เช่น the Forest COP หรือ COP of Truth โดยรัฐบาลบราซิลภายใต้ ลูลา ดา ซิลวา ยืนยันว่า การประชุมครั้งนี้จะมีความหลากหลายและเปิดกว้างต่อกลุ่มเปราะบาง เช่น การให้ชนพื้นเมืองเข้ามานั่งร่วมพูดคุย หรือเปิดกว้างให้กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทำการประท้วง หรือแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายในการประชุมครั้งก่อนๆ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอียิปต์ ที่จำกัดเสรีภาพการแสดงออก

 

COP30 มีวาระอะไรน่าจับตามองบ้าง

 

อันที่จริง การประชุม COP30 เกิดขึ้นท่ามกลางคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ คือ ภัยคุกคามเร่งด่วน โดยการมีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด และยั่งยืน เป็น ‘สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน’ ของมนุษยชาติ ซึ่งตอกย้ำมติของสมัชชาใหญ่ (UNGA) ในปี 2022 อันมีผลให้รัฐภาคีในสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) มีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย

 

การประชุมครั้งนี้จึงเป็นทั้งโอกาสพิเศษ และการผลักดันให้วาระดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง รวมถึงอยู่ในวงกว้างมากขึ้น เช่น การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและสถาบันทางการเงิน ดำเนินมาตรการหรือสร้างกฎระเบียบที่เชื่อมโยงกับคำตัดสินครั้งนี้

 

อย่างไรก็ดี วาระหลักของการประชุม COP30 คือ การหาทางออกจากวิกฤตโลกเดือด โดยในช่วงที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกมีตัวเลขมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เกินขีดจำกัดที่กำหนดไว้ตามข้อตกลงปารีส และหากไม่มีการจัดการ อุณหภูมิโลกอาจพุ่งสูง 2.3-2.8 องศาเซลเซียส ซึ่งระบบนิเวศอาจล่มสลาย มนุษย์อาศัยอยู่ไม่ได้ เพราะโลกเผชิญอุทกภัย และความร้อนจัด

 

บราซิลในฐานะเจ้าภาพจึงตั้งใจใช้เวทีการประชุมครั้งนี้ตอกย้ำปัญหา และประกาศว่า การแก้ไขวิกฤตโลกเดือดคือภารกิจร่วมกันของมนุษยชาติ (Collective Task หรือ Mutirão ในภาษาพื้นเมือง) โดยมีแผนงานสืบเนื่อง คือ การระดมทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2035 ซึ่งเป็นโปรเจกต์ต่อเนื่องจาก COP29 เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา และผลักดัน ‘การเปลี่ยนผ่านอย่างยุติธรรม’ ให้กับโลก

 

นอกจากนี้ การประชุม COP30 ยังเกิดขึ้นในช่วงครบรอบ 10 ปี ที่ข้อตกลงปารีสเกิดขึ้น ซึ่งในสนธิสัญญาระบุให้รัฐภาคีต้องปรับปรุงเนื้อหา ‘กรอบการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด’ (Nationally Determined Contributions: NDCs) ในทุก 5 ปี หรือแผนงานที่ระบุว่า แต่ละประเทศมีเจตนารมณ์ที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อทำให้อุณหภูมิต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้อย่างไร โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ปริมาณก๊าซต้องลดลง 60% ภายในปี 2035

 

อย่างไรก็ดี รัฐบาล 95% ในภาคีไม่ได้ส่งกรอบเนื้อหาภายใต้เงื่อนเวลาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แม้จะขยายเวลาจนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่มีเพียง 60 กลุ่มที่ส่งกรอบดังกล่าว

 

มีการคาดการณ์ว่า การประชุมครั้งนี้จะไม่ราบรื่นเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา เพราะแต่ละประเทศต้องเจรจาต่อรองตามผลประโยชน์แห่งชาติ ซึ่งมักเกิดความขัดแย้ง และหยุดชะงักกลางคัน

 

COP30 ไร้เงาสหรัฐฯ หนึ่งในมหาอำนาจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก

 

ตามรายงานในหน้าสื่อ รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม COP30 หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐฯ ประกาศจุดยืนต่อต้านประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ พร้อมถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2026

 

อย่างไรก็ดี บทวิเคราะห์ How the US could shape the COP30 climate summit without even being there ของ CNN เชื่อว่า แม้ทรัมป์จะไม่เดินทางมาเข้าร่วม แต่สหรัฐฯ ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในเวทีการประชุมดังกล่าว โดยเฉพาะการให้โทษกับหลายประเทศที่เข้าร่วมการประชุม หรือยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า

 

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า จุดยืนของทรัมป์ที่ไม่ลงรอยกับประเด็นสิ่งแวดล้อม อาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อการผลักดันวาระสำคัญในประชุม เช่น การที่สหรัฐฯ สนับสนุนการใช้พลังงานฟอสซิล ได้ลดแรงจูงใจให้ชาติ อื่นๆ ทำตามแผนงานลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2035

 

ทั้งนี้คาดว่า ดาวเด่นในการประชุม COP30 คือ ประเทศกลุ่มซีกโลกใต้ (Global South), ประเทศหมู่เกาะที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกเดือดโดยตรง หรือกลุ่มประเทศมหาอำนาจ G7 และ BASIC โดยเฉพาะจีน แม้ สีจิ้นผิง ผู้นำสูงสุดไม่ได้เดินทางมาเข้าร่วมประชุมด้วยตนเอง แต่ก็พยายามเล่นบทบาทผู้นำสิ่งแวดล้อมอย่างแข็งขันแทนสหรัฐฯ

 

‘ตัดไม้ทำลายป่า ปูทางให้คนรวย’ เสียงวิจารณ์อีกด้านจาก COP30

 

แม้มีการปูทางให้ COP30 เป็นวาระจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก แต่การประชุมครั้งนี้มีข้อวิจารณ์มากมายที่ตามมา เช่น กรณีรัฐบาลบราซิลสั่งให้มีการทำถนนเพื่อบรรเทาสถานการณ์รถติดจากการประชุม โดยต้องตัดต้นไม้ในป่าอะแมซอนมากกว่า 400 ตารางกิโลเมตร ซึ่งนักเคลื่อนไหวและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมองว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของการประชุม

 

นอกจากนี้ ยังมีหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงศักยภาพของเมืองเบเล็งในการรองรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งเผชิญกับภาวะขาดแคลนที่อยู่อาศัย และมีค่าครองชีพราคาแพง ทำให้เจ้าของที่และบริษัทเช่าอสังหาริมทรัพย์เก็บค่าที่พักสูงถึงหลักแสน เช่น แฟลตอะพาร์ตเมนต์ 1 ห้อง ราคาเพิ่มขึ้นถึง 15,266 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4.9 แสนบาท) จากเดิมที่ราคา 158 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4,902 บาท) ขณะที่มีรายงานว่า เจ้าของที่บางรายไล่ผู้เช่าเดิมออก เพื่อแสวงหากำไรกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

ภาพ: Adriano Machado / Reuters

อ้างอิง:

The post เมื่อโลกทะลุ 1.5 องศา COP30 คือสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อน ‘หายนะ’ ทางภูมิอากาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดีอีและ BDI ดันเชียงใหม่ เมืองต้นแบบอากาศสะอาด ปฏิรูปใช้ Big Data แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก่อนปูทางใช้ทั้งประเทศ https://thestandard.co/chiang-mai-big-data-pm25-model/ Mon, 20 Oct 2025 11:40:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1133035 COVER - Chiang Mai Big Data PM25 Model

ก่อนหน้านี้เรามักได้ยินหรือพบเห็นชื่อของ ‘เชียงใหม่’ ปร […]

The post ดีอีและ BDI ดันเชียงใหม่ เมืองต้นแบบอากาศสะอาด ปฏิรูปใช้ Big Data แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก่อนปูทางใช้ทั้งประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
COVER - Chiang Mai Big Data PM25 Model

ก่อนหน้านี้เรามักได้ยินหรือพบเห็นชื่อของ ‘เชียงใหม่’ ปรากฏตามหน้าสื่อในฐานะเมือง / จังหวัดที่ประสบปัญหาด้านฝุ่นพิษ PM2.5 อยู่เป็นประจำ ตัวอย่างกรณีล่าสุดคือ เคสในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่พวกเขาติดลำดับ 3 เมืองที่มีปริมาณฝุ่นเกินมาตรฐานของโลกจากการเปิดเผยของ IQAir มาแล้ว

 

แม้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะพยายามเร่งแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พลเมืองในพื้นที่กันอย่างเต็มกำลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ยังดูเป็นอุปสรรคคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีที่ไม่สามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาด และแก้ไขได้ภายในระยะเวลาชั่วข้ามคืนอยู่ดี

 

จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ เราก็ได้เห็นความพยายามจากหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษให้สำเร็จให้ได้ ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การผลักดันของ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับการนำเทคโนโลยีอย่าง Big Data เพื่อมาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว

 

Envi Link ต้นแบบแพลตฟอร์มสิ่งแวดของประเทศไทยกับการปฏิรูปทดลองใช้งานจริงกับ ‘เชียงใหม่’

 

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เปิดตัว ‘Envi Link’ ในฐานะแพลตฟอร์มด้านสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการนำเทคโนโลยี Big Data ผ่านการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 30 หน่วยงานทั่วประเทศ รวมมากกว่า 200 ชุดข้อมูล มายกระดับแนวทางการบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ให้เกิดประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง

 

ในระยะแรกนี้ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่จะนำร่องใช้งาน Envi Link กับจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทดลองจัดการสิ่งแวดล้อมด้วยข้อมูล และยกระดับคุณภาพอากาศ คุณภาพชีวิต และความยั่งยืนของเมืองในระยะยาว เนื่องจากเชียงใหม่ถือเป็นเมืองที่มีความท้าทายด้านฝุ่นพิษ PM2.5 ของประเทศไทยต่อเนื่องยาวนานหลายปี

 

ศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การมีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงอย่าง Envi Link เข้ามาช่วยสนับสนุนจะเปรียบเสมือ ‘จุดเปลี่ยนสำคัญของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่’ เพราะจะช่วยให้เชียงใหม่มีข้อมูลเชิงลึกและแม่นยำมากขึ้นในการประเมินสถานการณ์ วางแผน และออกมาตรการได้อย่างทันท่วงที

 

โดยเฉพาะการใช้ Data Dashboard เพื่อให้ผู้บริหารสามารถติดตามสถานการณ์จริงในแต่ละพื้นที่ได้แบบเรียลไทม์ พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มและประเมินผลการดำเนินงานจากหลักฐานในเชิงข้อมูล (data-driven decision) ได้อย่างเป็นระบบ

 

CONTENT-

ศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

 

“ความร่วมมือระหว่างจังหวัดกับ BDI ในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการนำเทคโนโลยีข้อมูลมาช่วยแก้ปัญหาฝุ่นควัน แต่ยังเป็นต้นแบบของ ‘เมืองอากาศสะอาด’ ที่ภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาชนจะสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันในการติดตามสถานการณ์และร่วมกันวางแผนป้องกันปัญหาได้อย่างมีส่วนร่วม ถือเป็นการยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุก ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริงและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน”

 

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI กล่าวถึงการเปิดตัว Envi Link ในครั้งนี้ว่า “BDI มุ่งมั่นใช้พลังของข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในทุกมิติ

 

CONTENT-2

ศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)

 

“รวมถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นรากฐานของคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนของประเทศ การเชื่อมโยงข้อมูลกว่า 200 ชุดผ่านแพลตฟอร์ม Envi Link จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างระบบข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงหน่วยงานต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้งภาครัฐ นักวิจัย ภาคธุรกิจ และชุมชน เพื่อให้เกิดการตัดสินใจเชิงนโยบายที่แม่นยำและตรงจุด”

 

CONTENT-3

 

ทำไม Envi Link ถึงจะกลายเป็น Game Changer ที่สำคัญของการแก้ไขปัญหาฝุ่นในระยะยาวของประเทศไทย?

 

อย่างที่มีการเปิดเผยไปในก่อนหน้านี้ว่า สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเชื่อมโยงข้อมูลมากกว่า 200 ชุดเข้าด้วยกันนั้น

 

ข้อมูลที่ว่า หลัก ๆ แล้วจะเป็น Source ข้อมูลต้นกำเนิดของฝุ่นควันที่ครอบคลุมในทุกมิติ ตัวอย่างเช่น

 

  • ปริมาณค่าฝุ่น
  • จุดความร้อนในพื้นที่
  • พื้นที่เผาไหม้
  • การขอใช้ไฟในระบบ Fire-D
  • สถานการณ์ผู้ป่วยจากมลพิษทางอากาศ
  • ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศของหน่วยงานต่าง ๆ
  • ฯลฯ

 

การ Pool รวมข้อมูลเหล่านี้ผ่าน Envi Link เพื่อจัดทำ Dashboard ในการมอนิเตอร์ปัญหาฝุ่นพิษได้แบบเรียลไทม์จะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้บริหารและหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อัปเดตและเชื่อมโยงกันได้แบบทันสถานการณ์

 

ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการปัญหาได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที และได้รับการผลักดันต่อยอดให้เป็นแพลตฟอร์มฐานข้อมูลกลาง เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ตามความเห็นที่ประชุมคณะทำงานพัฒนาแพลตฟอร์มฐานข้อมูลกลางเพื่อสนับสนุนมาตรการลดมลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5)

 

ในอนาคต สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่มีแผนจะร่วมมือกับกลุ่มนักวิจัยในพื้นที่เพื่อขยายผลการใช้งานแพลตฟอร์ม Envi Link ไปยัง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ก่อนจะต่อยอดไปสู่การสร้างระบบข้อมูลสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาคและทั้งประเทศเพื่อสนับสนุนการวางนโยบายเชิงพื้นที่ การบริหารจัดการไฟป่า และการลดปริมาณฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน

 

ทั้งยังรวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบเศรษฐกิจเพื่อวางนโยบายในการจัดการกับปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การติดตามพื้นที่เผาไหม้ตามชนิดพืชเศรษฐกิจจากภาพถ่ายดาวเทียม การแนะนำพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการปรับเปลี่ยนพืชในพื้นที่

 

ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพราะจะสามารถนำไปใช้วางแผน กำหนดนโยบายเชิงรุก ควบคุมด้านเศรษฐกิจและการทำการเกษตรอย่างจริงจังเพื่อลดการเผาให้ได้อย่างยั่งยืนนั่นเอง

 

“การดำเนินงานในจังหวัดเชียงใหม่ไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการข้อมูลสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อน Smart Environment ภายใต้นโยบายเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของรัฐบาล ที่มีมีเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลกลายเป็นเครื่องมือสำคัญออกแบบนโยบาย การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนในทุกมิติ” ศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี กล่าวทิ้งท้าย

The post ดีอีและ BDI ดันเชียงใหม่ เมืองต้นแบบอากาศสะอาด ปฏิรูปใช้ Big Data แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก่อนปูทางใช้ทั้งประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายงานใหม่ UNICEF ชี้ เยาวชนไทยกำลังลุกขึ้นสู้กับโลกรวน แต่ยังไร้สิทธิ์ร่วมตัดสินใจ https://thestandard.co/unicef-report-thai-youth-climate-voice/ Mon, 29 Sep 2025 05:57:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1124233 UNICEF

รายงานฉบับใหม่ของ UNICEF เผยว่า เด็กและเยาวชนไทยกำลังก้ […]

The post รายงานใหม่ UNICEF ชี้ เยาวชนไทยกำลังลุกขึ้นสู้กับโลกรวน แต่ยังไร้สิทธิ์ร่วมตัดสินใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
UNICEF

รายงานฉบับใหม่ของ UNICEF เผยว่า เด็กและเยาวชนไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่น แต่เสียงของพวกเขากลับถูกละเลย ไม่ได้รับการสนับสนุน และบางครั้งยังเผชิญกับการคุกคาม รายงาน ‘จากรุ่นสู่รุ่น ในโลกใบเดียวกัน’ (Between Generations, One Planet) ที่เผยแพร่ล่าสุด ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ UNICEF เปิดตัว แคมเปญ #CountMeIn 2025 จากเหนือจรดใต้ ทุกเสียงของเด็กมีความหมาย: รับฟัง ลงมือทำ รับมือโลกรวน ซึ่งมุ่งส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากทุกภาคส่วนของสังคม

 

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นจากงานวิจัยเชิงลึกและการรวบรวมความคิดเห็นของเยาวชนจากกว่า 110 องค์กรทั่วประเทศ โดยพบว่า แม้เยาวชนจะมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน การสร้างการตระหนักรู้ และการผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย แต่พวกเขามักถูกกันออกจากกระบวนการตัดสินใจที่สำคัญ เยาวชนจำนวนมากยังขาดพื้นที่ปลอดภัย ทรัพยากรและงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนจากชุมชนชายขอบหรือพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์และเด็กพิการ มักถูกละเลยจากเวทีในระดับประเทศ รายงานยังชี้ว่า เด็กและเยาวชนบางส่วนรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อออกมาแสดงความคิดเห็น ซึ่งทั้งหมดนี้ตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการคุ้มครองและสร้างโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

 

เซเวอรีน เลโอนาร์ดี รักษาการผู้อำนวยการ องค์การ UNICEF ประเทศไทย กล่าวว่า “เด็กและเยาวชนไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วย” 

 

“รายงานและแคมเปญนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เยาวชนไม่เพียงต้องได้รับการรับฟัง แต่ต้องได้รับการสนับสนุน การคุ้มครอง และการเสริมพลังให้มีส่วนร่วมในการออกแบบแนวทางที่โลกต้องการอย่างเร่งด่วน”

 

ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ของดัชนีความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศโลกปี 2025 ขณะเดียวกัน รายงานของ UNICEF ในปี 2023 ระบุว่า เด็กในประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม โดยภัยแล้ง คลื่นความร้อน และน้ำท่วมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเด็กยากจนและกลุ่มเปราะบางมากที่สุด

 

แคมเปญ #CountMeIn ปีนี้มาพร้อมแนวคิด “เสียงของเด็ก พลังของเด็ก” โดยชูพลังการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการต่อสู้อย่างไม่ลดละที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชน  เพื่อย้ำว่า ทุกเสียงและการลงมือทำของเด็กและเยาวชนล้วนมีความหมาย

 

ทั้งนี้ แคมเปญ #CountMeIn 2025 จากเหนือจรดใต้ ทุกเสียงของเด็กมีความหมาย: รับฟัง ลงมือทำ รับมือโลกรวน ยังหยิบยกเรื่องราวของตัวแทนเยาวชน 3 คนที่มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจ ได้แก่

 

 

สิริกานต์ เส่งหล้า อายุ 18 ปี เยาวชนชาติพันธุ์ม้งจากจังหวัดเชียงใหม่ ผู้เคยประสบเหตุการณ์ดินถล่มครั้งใหญ่ที่ทำให้หมู่บ้านถูกตัดขาดจากอาหาร น้ำ และไฟฟ้านานหลายวัน “เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ทุกครั้งที่ฝนตกหนัก หนูจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน กังวลและกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก แต่การได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้หนูมีความหวังมากขึ้น  หนูพยายามบอกเล่าความรู้นี้ให้คนในหมู่บ้านเข้าใจว่า เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเจ้าป่าเจ้าเขาลงโทษ แต่คือปัญหาสภาพอากาศที่เราต้องเตรียมรับมือร่วมกัน”

 

 

ปัณณ์พิตรา ภูธร อายุ 22 ปี หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาเยาวชนของยูนิเซฟจากจังหวัดร้อยเอ็ด ต้องเผชิญทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมที่ทำลายผลผลิตทางการเกษตรของครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก เธอต้องทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและเป็นทุนการศึกษาให้ตนเอง “ทุกคนมีส่วนในการปล่อยคาร์บอน สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าทุกการกระทำของเราส่งผลต่อโลก เราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่ช่วยหรือทำร้ายโลกก็ได้ โลกไม่ได้ต้องการความสมบูรณ์แบบ แต่ต้องการคนที่พร้อมลงมือทำ และหนูเลือกการใช้ซ้ำ โดยเริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เช่น เสื้อผ้า”

 

 

ไครียะห์ ระหมันยะ อายุ 23 ปี หรือที่รู้จักในชื่อ ‘ลูกสาวแห่งทะเล’ เคยเป็นข่าวดังจากการลุกขึ้นคัดค้านการทำลายชายฝั่งบ้านเกิดในจังหวัดสงขลาตั้งแต่วัยรุ่น “เคยมีคนบอกเราว่า ‘จุ้นจ้านน่ะ เป็นเด็กก็ไปตั้งใจเรียนไป’ เราได้แต่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรกลับไปต่อหน้า แต่พูดกับสาธารณะว่า ‘ถึงจะเป็นเด็ก แต่เราดื่มกินอยู่กับฐานทรัพยากรที่บ้าน หายใจอากาศบริสุทธิ์ เราเลยมีสิทธิที่จะปกป้อง’ มันคือหน้าที่ของทุกคนที่ต้องปกป้องอาหารปลอดภัยและอากาศบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องแยกว่าควรเป็นใครทำ”

 

รายงาน จากรุ่นสู่รุ่น ในโลกใบเดียวกันและแคมเปญ #CountMeIn ต่างเรียกร้องให้ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ร่วมกันสนับสนุนโครงการที่นำโดยเยาวชน ปกป้องนักปกป้องสิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่ และสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัย เปิดกว้าง และมีโครงสร้างชัดเจน เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดนโยบายและการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ

 

เลโอนาร์ดี เน้นย้ำว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือ ความท้าทายที่สำคัญที่สุดของยุคเรา…หากเราอยากได้ทางออกที่ยั่งยืน เยาวชนต้องอยู่ในศูนย์กลางของการตัดสินใจ” 

 

ภาพ: Arun Roisri / UNICEF

Patipat Janthong / UNICEF

อ้างอิง: 

  • องค์การ UNICEF ประเทศไทย

 

The post รายงานใหม่ UNICEF ชี้ เยาวชนไทยกำลังลุกขึ้นสู้กับโลกรวน แต่ยังไร้สิทธิ์ร่วมตัดสินใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน https://thestandard.co/pm25-research-north-thailand/ Tue, 08 Jul 2025 00:00:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1093952 พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทย […]

The post ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และจัดเสวนาในหัวข้อ ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 ณ โรงแรมทรีธารา จังหวัดลำปาง

 

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสถาบันการศึกษา ได้มีการร่วมมือกันมองปัญหาอย่างมุ่งเป้าไปที่เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องอากาศ ที่มีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สะสมในอากาศปริมาณมากทุกปี

 

 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้กล่าวเปิดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เพื่อประกาศเจตนารมณ์ว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติกำหนดเป้าหมายหลัก 3 ประการไว้สำหรับโครงการนี้ ได้แก่ การลดจุดความร้อนหรือ Hotspot ให้ไม่เกิน 5,000 จุดต่อปี การลดจำนวนวันที่มีค่าฝุ่น PM2.5 มากเกินมาตรฐานให้ไม่เกิน 50 วันต่อปี และการลดจำนวนผู้ป่วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหรือ COPD ให้มีไม่เกิน 1,000 คนต่อปี โดยมุ่งหวังว่าทุกหน่วยงานจะมีการร่วมมือกันเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น

 

 

ศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้กล่าวถึงการดำเนินงานภายใต้โครงการว่า แบ่งการแก้ปัญหาออกเป็น 6 มิติ โดยมิติที่ 1 คือเรื่องงานวิจัยเพื่อบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหาของภาคส่วนต่าง ๆ มิติที่ 2 เป็นเรื่องลดการเผาพื้นที่เกษตรกรรมผ่านงานวิจัยนวัตกรรมเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มิติที่ 3 คือเรื่องลดการเผาป่าและการจัดการไฟป่าโดยการร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มิติที่ 4 คือการลดปริมาณไอเสียจากการคมนาคมในพื้นที่เมือง มิติที่ 5 คือการลดฝุ่นข้ามชายแดนด้วยการทำข้อตกลงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกำหนดนโยบายร่วมกัน และสุดท้ายมิติที่ 6 เป็นมิติการสื่อสารเชิงรุกด้วยการนำข้อมูลงานวิจัยมาเผยแพร่เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชน

 

แผนงานดังกล่าว ทางสำนักงานการวิจัยแห่งชาติได้เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นต้นแบบที่เริ่มต้นใน 8 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือก่อน ประกอบไปด้วยจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และตาก 

 

พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

 

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 ในครั้งนี้แบ่งออกเป็นการลงนามจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติร่วมกับตัวแทนจากจังหวัดลำปาง และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติร่วมกับตัวแทนจากจังหวัดตาก โดยมีผู้ร่วมลงนามทั้งหมดดังนี้

 

  1. นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
  2. นายกฤษณะ พินิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง 
  3. นายสาธิต มณฑาทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก 
  4. นางสาวปิยธิดา ถิระรณรงค์ เจ้าหน้าที่เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิเคราะห์นโยบายและแผนงานวิจัยการเกษตร ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) 
  5. นายพิษณุพล ประสาน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง 
  6. นางจิตรี จิวะสันติการ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง 
  7. นางศิริพร ปัญญาเสน ประธานเครือข่ายฟ้าใส ลมหายใจลำปาง 
  8. นายวิเชษฎ ขาวละออ หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ ผู้แทนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก 
  9. นายวิฑูรย์ ภู่ชินาพันธุ์ กรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดตาก ผู้แทนประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดตาก 
  10. นายอารักษ์ อนุชปรีดา ประธานสภาลมหายใจจังหวัดตาก

 

 

นอกจากในส่วนของพิธีการลงนามบันทึกข้อตกลงและเสวนาแล้ว นักวิจัยและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังมีนิทรรศการจัดแสดงผลงานวิจัยอีกด้วย ทั้งที่เป็นชิ้นงานผลิตภัณฑ์ และที่เป็นข้อมูลสำหรับนำไปวิเคราะห์ต่อ

 

 

อาทิตย์ ประทุมพวง กรรมการผู้จัดการบริษัท Sustain Innotech และนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนของทีมวิจัยที่ทำเรื่องการลด PM2.5 โดยการสร้างรายได้จากสินค้านวัตกรรม ที่เกิดจากการแปรรูปชีวมวลข้าวโพด โดยเน้นความยั่งยืนของชุมชนเป็นหลัก จากการเผยแพร่องค์ความรู้วิธีการผลิตสินค้าแปรรูปที่เพิ่มมูลค่า เช่น ปุ๋ยอินทรีย์จากซังข้าวโพด ถ่านไบโอชาร์คุณภาพสูง กรีนซีเมนต์ รวมถึงน้ำส้มควันไม้จากเปลือกหอยที่สามารถกำจัดแมลงและเพิ่มผลผลิตให้ข้าวโพดได้ ซึ่งนอกจากการสอนผลิตสินค้าแปรรูปแล้ว ทางทีมวิจัยก็ได้ช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านธุรกิจ เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยโครงการวิจัยดังกล่าวเริ่มต้นที่จังหวัดน่านและจังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก แต่ในอนาคตก็มีแผนขยายผลโครงการไปยังจังหวัดอื่น ๆ เช่น ลำปางด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยจาก ผศ. ดร.จิตรตรา เพียภูเขียว จากภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่วิจัยเรื่องการใช้เห็ดป่าไมคอร์ไรซา เช่น เห็ดเผาะ เพื่อแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างยั่งยืน โดยมีแนวคิดตั้งต้นมาจากพฤติกรรมของชาวบ้านที่มักจะเผาใบไม้เพื่อเห็ดจากความเข้าใจว่าการเผาป่าทำให้เกิดเห็ด แม้ว่าในความจริงแล้ว เห็ดเผาะสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่มักจะถูกใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ร่วงหล่นและกลบทับไว้ การเผาจึงไม่ได้ทำให้เกิดเห็ด เพียงแต่มันทำให้หาเห็ดได้ง่ายขึ้น ทีมวิจัยจึงส่งเสริมเกษตรกรให้สามารถปลูกเห็ดได้ด้วยตนเอง โดยการพัฒนาหัวเชื้อเห็ดเผาะด้วยวิธีการปั่นเส้นใยเพื่อเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการแล้วจึงนำไปแจกจ่าย รวมถึงการพัฒนาหัวเชื้อเห็ดเผาะจากสปอร์เห็ดที่ชาวบ้านสามารถทำตามได้เอง โดยโครงการเริ่มต้นที่ 6 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา และลำปาง

 

 

อีกหนึ่งนิทรรศการที่น่าสนใจเป็นงานวิจัยเชิงข้อมูลที่นำทีมโดย รศ. ดร.ธันวดี ศรีธาวิรัตน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่มีการลงพื้นที่ตรวจวัดค่าประมาณสารประกอบต่าง ๆ ในอากาศจากแหล่งกำเนิดมลพิษโดยตรง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม การขนส่งทางบก การเผาในที่โล่งและไฟป่า รวมถึงอื่น ๆ แล้วทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจเพื่อจัดทำบัญชีการระบายมลพิษทางอากาศในระดับจังหวัด แล้วนำข้อมูลนี้ไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาระดับจังหวัด โดยพื้นที่เป้าหมายที่ทางทีมวิจัยเลือก ได้แก่ จังหวัดลำปาง พะเยา แพร่ และน่าน

 

วิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรม กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน แม้การลงนามบันทึกข้อตกลง ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ทางสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ก็ยืนยันว่าจะมีการติดตามผลเป็นระยะ ในช่วงเวลา 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี จะมีการเยี่ยมเยือนทุกจังหวัดในโครงการเพื่อประเมินผลการดำเนินงาน และช่วยสนับสนุนให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นไปได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ

The post ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน appeared first on THE STANDARD.

]]>