Environment – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 07 Jul 2025 12:41:05 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน https://thestandard.co/pm25-research-north-thailand/ Tue, 08 Jul 2025 00:00:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1093952 พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทย […]

The post ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และจัดเสวนาในหัวข้อ ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 ณ โรงแรมทรีธารา จังหวัดลำปาง

 

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสถาบันการศึกษา ได้มีการร่วมมือกันมองปัญหาอย่างมุ่งเป้าไปที่เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องอากาศ ที่มีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สะสมในอากาศปริมาณมากทุกปี

 

 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้กล่าวเปิดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เพื่อประกาศเจตนารมณ์ว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติกำหนดเป้าหมายหลัก 3 ประการไว้สำหรับโครงการนี้ ได้แก่ การลดจุดความร้อนหรือ Hotspot ให้ไม่เกิน 5,000 จุดต่อปี การลดจำนวนวันที่มีค่าฝุ่น PM2.5 มากเกินมาตรฐานให้ไม่เกิน 50 วันต่อปี และการลดจำนวนผู้ป่วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหรือ COPD ให้มีไม่เกิน 1,000 คนต่อปี โดยมุ่งหวังว่าทุกหน่วยงานจะมีการร่วมมือกันเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น

 

 

ศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้กล่าวถึงการดำเนินงานภายใต้โครงการว่า แบ่งการแก้ปัญหาออกเป็น 6 มิติ โดยมิติที่ 1 คือเรื่องงานวิจัยเพื่อบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหาของภาคส่วนต่าง ๆ มิติที่ 2 เป็นเรื่องลดการเผาพื้นที่เกษตรกรรมผ่านงานวิจัยนวัตกรรมเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มิติที่ 3 คือเรื่องลดการเผาป่าและการจัดการไฟป่าโดยการร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มิติที่ 4 คือการลดปริมาณไอเสียจากการคมนาคมในพื้นที่เมือง มิติที่ 5 คือการลดฝุ่นข้ามชายแดนด้วยการทำข้อตกลงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกำหนดนโยบายร่วมกัน และสุดท้ายมิติที่ 6 เป็นมิติการสื่อสารเชิงรุกด้วยการนำข้อมูลงานวิจัยมาเผยแพร่เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชน

 

แผนงานดังกล่าว ทางสำนักงานการวิจัยแห่งชาติได้เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นต้นแบบที่เริ่มต้นใน 8 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือก่อน ประกอบไปด้วยจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และตาก 

 

พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

 

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 ในครั้งนี้แบ่งออกเป็นการลงนามจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติร่วมกับตัวแทนจากจังหวัดลำปาง และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติร่วมกับตัวแทนจากจังหวัดตาก โดยมีผู้ร่วมลงนามทั้งหมดดังนี้

 

  1. นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
  2. นายกฤษณะ พินิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง 
  3. นายสาธิต มณฑาทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก 
  4. นางสาวปิยธิดา ถิระรณรงค์ เจ้าหน้าที่เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิเคราะห์นโยบายและแผนงานวิจัยการเกษตร ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) 
  5. นายพิษณุพล ประสาน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง 
  6. นางจิตรี จิวะสันติการ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง 
  7. นางศิริพร ปัญญาเสน ประธานเครือข่ายฟ้าใส ลมหายใจลำปาง 
  8. นายวิเชษฎ ขาวละออ หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ ผู้แทนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก 
  9. นายวิฑูรย์ ภู่ชินาพันธุ์ กรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดตาก ผู้แทนประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดตาก 
  10. นายอารักษ์ อนุชปรีดา ประธานสภาลมหายใจจังหวัดตาก

 

 

นอกจากในส่วนของพิธีการลงนามบันทึกข้อตกลงและเสวนาแล้ว นักวิจัยและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังมีนิทรรศการจัดแสดงผลงานวิจัยอีกด้วย ทั้งที่เป็นชิ้นงานผลิตภัณฑ์ และที่เป็นข้อมูลสำหรับนำไปวิเคราะห์ต่อ

 

 

อาทิตย์ ประทุมพวง กรรมการผู้จัดการบริษัท Sustain Innotech และนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนของทีมวิจัยที่ทำเรื่องการลด PM2.5 โดยการสร้างรายได้จากสินค้านวัตกรรม ที่เกิดจากการแปรรูปชีวมวลข้าวโพด โดยเน้นความยั่งยืนของชุมชนเป็นหลัก จากการเผยแพร่องค์ความรู้วิธีการผลิตสินค้าแปรรูปที่เพิ่มมูลค่า เช่น ปุ๋ยอินทรีย์จากซังข้าวโพด ถ่านไบโอชาร์คุณภาพสูง กรีนซีเมนต์ รวมถึงน้ำส้มควันไม้จากเปลือกหอยที่สามารถกำจัดแมลงและเพิ่มผลผลิตให้ข้าวโพดได้ ซึ่งนอกจากการสอนผลิตสินค้าแปรรูปแล้ว ทางทีมวิจัยก็ได้ช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านธุรกิจ เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยโครงการวิจัยดังกล่าวเริ่มต้นที่จังหวัดน่านและจังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก แต่ในอนาคตก็มีแผนขยายผลโครงการไปยังจังหวัดอื่น ๆ เช่น ลำปางด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยจาก ผศ. ดร.จิตรตรา เพียภูเขียว จากภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่วิจัยเรื่องการใช้เห็ดป่าไมคอร์ไรซา เช่น เห็ดเผาะ เพื่อแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างยั่งยืน โดยมีแนวคิดตั้งต้นมาจากพฤติกรรมของชาวบ้านที่มักจะเผาใบไม้เพื่อเห็ดจากความเข้าใจว่าการเผาป่าทำให้เกิดเห็ด แม้ว่าในความจริงแล้ว เห็ดเผาะสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่มักจะถูกใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ร่วงหล่นและกลบทับไว้ การเผาจึงไม่ได้ทำให้เกิดเห็ด เพียงแต่มันทำให้หาเห็ดได้ง่ายขึ้น ทีมวิจัยจึงส่งเสริมเกษตรกรให้สามารถปลูกเห็ดได้ด้วยตนเอง โดยการพัฒนาหัวเชื้อเห็ดเผาะด้วยวิธีการปั่นเส้นใยเพื่อเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการแล้วจึงนำไปแจกจ่าย รวมถึงการพัฒนาหัวเชื้อเห็ดเผาะจากสปอร์เห็ดที่ชาวบ้านสามารถทำตามได้เอง โดยโครงการเริ่มต้นที่ 6 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา และลำปาง

 

 

อีกหนึ่งนิทรรศการที่น่าสนใจเป็นงานวิจัยเชิงข้อมูลที่นำทีมโดย รศ. ดร.ธันวดี ศรีธาวิรัตน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่มีการลงพื้นที่ตรวจวัดค่าประมาณสารประกอบต่าง ๆ ในอากาศจากแหล่งกำเนิดมลพิษโดยตรง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม การขนส่งทางบก การเผาในที่โล่งและไฟป่า รวมถึงอื่น ๆ แล้วทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจเพื่อจัดทำบัญชีการระบายมลพิษทางอากาศในระดับจังหวัด แล้วนำข้อมูลนี้ไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาระดับจังหวัด โดยพื้นที่เป้าหมายที่ทางทีมวิจัยเลือก ได้แก่ จังหวัดลำปาง พะเยา แพร่ และน่าน

 

วิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรม กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน แม้การลงนามบันทึกข้อตกลง ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ทางสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ก็ยืนยันว่าจะมีการติดตามผลเป็นระยะ ในช่วงเวลา 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี จะมีการเยี่ยมเยือนทุกจังหวัดในโครงการเพื่อประเมินผลการดำเนินงาน และช่วยสนับสนุนให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นไปได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ

The post ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เชียงใหม่-ลำพูน จับมือร่วมกับ วช. แก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นด้วยงานวิจัย https://thestandard.co/chiangmai-lamphun-research-pm25-water-crisis/ Mon, 07 Jul 2025 08:58:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1093820 พิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเชียงใหม่-ลำพูน และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษและน้ำท่วม

‘เชียงใหม่’ ถือเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 […]

The post เชียงใหม่-ลำพูน จับมือร่วมกับ วช. แก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นด้วยงานวิจัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเชียงใหม่-ลำพูน และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษและน้ำท่วม

‘เชียงใหม่’ ถือเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย ด้วยขนาดพื้นที่ 20,107.057 ตารางกิโลเมตร และจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่เยอะมาก จังหวัดเชียงใหม่จึงเป็นจังหวัดที่ได้รับความนิยมสำหรับการท่องเที่ยวอย่างมาก แต่อุปสรรคที่เชียงใหม่ต้องเผชิญคือ วิกฤตการณ์จากภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำที่ในช่วงหน้าแล้งก็มีความแห้งแล้งอย่างมาก ในช่วงที่น้ำท่วมก็จะเห็นได้ว่าอาจเกิดน้ำท่วมได้หนักหนาสาหัส ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาอากาศที่ไม่สะอาดจากการสะสมของฝุ่นควัน ก็ได้สร้างผลกระทบให้กับสุขภาพของคนในพื้นที่ และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัด

 

ภาคเหนืออีกหลายจังหวัดก็มักจะประสบกับปัญหาทางด้านน้ำและอากาศไม่ต่างกันกับจังหวัดเชียงใหม่ อย่างเช่น ในจังหวัดลำพูน โดย วิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนได้เล่าว่า แม้จังหวัดลำพูนจะไม่ได้เป็นเป้าหมายแรกที่นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางมา แต่ก็เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางต่อเนื่องกันมาจากการเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อภัยธรรมชาติกระทบกับการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ย่อมส่งผลกระทบสู่จังหวัดลำพูนด้วย

 

 

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จึงได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ พร้อมเสวนา ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทยเพื่ออากาศสะอาด น้ำมั่นคง’ เพื่อผลักดันประเทศไทยให้ปลอดภัยจาก PM2.5 และน้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ณ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

 

บรรยากาศการลงนามแก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นด้วยงานวิจัย

 

เมื่อเดือนมีนาคม 2025 ช่างภาพข่าว THE STANDARD เดินทางไปยังบริเวณรอบอำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อเก็บภาพบรรยากาศในวันที่จังหวัดเชียงใหม่ติดอันดับ 1 ใน 3 เมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลก จากการวัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศจากเว็บไซต์ AQI โดยความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในหลายอำเภอเกินมาตรฐานเฉลี่ยที่ 100-200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่ม และปีนี้ไม่ใช่ปีแรกที่เกิดปัญหาการสะสมของฝุ่นละอองในอากาศ แต่ในปีที่ผ่านๆ มาจังหวัดเชียงใหม่ยังเคยเป็นอันดับ 1 เมืองที่มี ‘คุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก’ หลายครั้ง

 

 

รวมถึงในปี 2024 ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงใหม่ก็ประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก โดยในย่านเศรษฐกิจถูกน้ำท่วมหนักมาก ระดับน้ำที่สถานีตรวจวัด P.1 สะพานนวรัฐ ขึ้นถึง 5.28 เมตร นับเป็นระดับน้ำสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำลายทุกสถิติน้ำท่วมในตัวเมืองเชียงใหม่ ถือว่ากระทบหนักสุดในรอบ 50 ปี ทำให้จังหวัดเชียงใหม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเยียวยา รวมถึงค่าล้างโคลนมากถึง 1,200 ล้านบาท

 

นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวว่า “ผมรู้สึกขอบคุณที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. เลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่ดำเนินการในการขับเคลื่อนเป้าหมายตามยุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ในประเด็น ประเทศไทยปลอดภัยจาก PM.25 เป้าหมาย 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เพราะเชียงใหม่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์” เนื่องจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งในการหาวิธีการแก้ไขปัญหาในเรื่องฝุ่น PM2.5 รวมทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้การรับมือกับภัยน้ำท่วมและน้ำแล้งได้ดีขึ้นด้วย เป็นการประหยัดงบประมาณแล้วเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการให้มากขึ้น

 

พิธีลงนามข้อตกลงในวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น มีการลงนามข้อตกลงสำหรับทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเซ็นข้อตกลงสำหรับจังหวัดเชียงใหม่ประกอบไปด้วย

 

  1. ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 
  2. นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ 
  3. อนันต์ เพ็ชรหนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภาค 1 
  4. ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) 
  5. วีรยุทธ ปิ่นแก้ว รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ 
  6. ชัชวาล ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจจังหวัดเชียงใหม่ 
  7. วัลลภ นามางศ์พรหม รองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่

 

พิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเชียงใหม่-ลำพูน และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษและน้ำท่วม

 

ส่วนการเซ็นข้อตกลงสำหรับจังหวัดลำพูนประกอบไปด้วย

 

  1. ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
  2. วิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน 
  3. อนันต์ เพ็ชรหนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภาค 1 
  4. ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) 
  5. วีระเดช ภู่พิสิฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน 
  6. พงษ์เทพ มนัสตรง ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน 
  7. ภาณุพงศ์ ไชยวรรณ์ ประธานสภาลมหายใจจังหวัดลำพูน

 

 

วิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวไว้ว่า “พื้นที่การเกษตรของจังหวัดลำพูนมีประมาณ 800,000 ไร่ แต่ได้งบประมาณการไถกลบมาแค่ 300 กว่าไร่เท่านั้น จึงต้องมีการผนึกกำลังขับเคลื่อนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม” เห็นได้ว่า เรื่องการจัดสรรงบประมาณยังคงเป็นปัญหากับการดำเนินการแก้ไขมลพิษทางอากาศ เพราะงบประมาณจากภาครัฐที่ไม่เพียงพอต่อการไถกลบ ทำให้ภาคเอกชนในด้านเกษตรกรรมกลับมาทำการเผาพื้นที่การเกษตรจนเกิดฝุ่นควัน การแก้ปัญหาเพื่อผลักดันให้ภาคเหนือมีอากาศสะอาดสำหรับหายใจ จึงต้องเกิดจากความร่วมมือของหลายฝ่ายในการหาวิธีอื่นในการแก้ปัญหา

 

ส่วนในเรื่องของปัญหาน้ำ รศ. ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นในตัวแทนของฝั่งนักวิจัยก็เปิดเผยว่า ความแม่นยำของระบบพยากรณ์น้ำท่วม มีการปรับปรุงไปเรื่อยๆ โดยในส่วนการพยากรณ์นั้นบอกว่าปริมาณน้ำจะมีมากเท่าไหร่ แต่สิ่งสำคัญที่การเตือนภัยทุกจังหวัดขาดคือการบอกความเสี่ยงให้ประชาชนแต่ละพื้นที่ว่าเสี่ยงขนาดไหน และน้ำจะท่วมสูงขนาดไหน เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมการรับมือ เช่น ยกของขึ้นที่สูง หรือพาผู้ป่วยติดเตียงหนีน้ำท่วมได้ทันท่วงที

 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า “การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย เพื่ออากาศสะอาดและน้ำมั่นคง โดยใช้เรื่องของวิทยาศาสตร์และงานวิจัย โดยจะมีการกลับเข้ามาทำงานร่วมกันเป็นระยะๆ ในรูปแบบของการติดตาม ทั้งในเชิงนโยบาย และการทำงานร่วมกันกับภาคประชาสังคมอีกหลายส่วน คาดว่าการทำความร่วมมือในครั้งนี้ทำให้เกิดเป้าหมายในการขับเคลื่อนอนาคตประเทศไปได้สำเร็จตามเจตนารมณ์”

 

นิทรรศการส่งเสริมการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย

 

ภายในบริเวณจัดงานที่ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดนิทรรศการจากนักวิจัย และเอกชน ซึ่งมีผลงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งระดับจังหวัด และระดับชุมชน โดยผลงานต่าง ๆ จะเกี่ยวโยงกับการแก้ไขปัญหาในหลายจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ หรือจังหวัดลำพูน

 

ผศ. ดร.ภูดินันท์ สิงห์คําฟู นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในผู้จัดแสดงผลงานวิจัยพัฒนาแผนที่และข้อมูลความสูงของพื้นที่ความแม่นยำสูงพิเศษจากภาพถ่ายทางอากาศด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน เพื่อใช้ต่อยอดสำหรับการบริหารจัดการน้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ โดยทีมวิจัยกำลังพัฒนาแบบจำลองแผนที่สามมิติของพื้นที่น้ำท่วมในเชียงใหม่ เพื่อแทนที่แบบจำลองจากดาวเทียมที่ไม่สามารถประเมินความสูงได้ เนื่องจากสามารถบอกความสูงได้ละเอียดที่สุดแค่เพียง 1 เมตร โดยปกติแล้ววิธีการวัดความสูงของระดับน้ำเป็นการใช้ Flood Mark ที่เป็นเสาปักริมน้ำ แล้วมีขีดบอกระดับน้ำในระดับเซนติเมตร แต่ข้อมูลความสูงระดับน้ำที่วัดจาก Flood Mark สามารถรู้ได้เฉพาะในพื้นที่ที่มีการปักเท่านั้น อาจครอบคลุมไม่ไกล การวิจัยในโครงการนี้จึงสร้างแบบจำลองใน City Scale ซึ่งทีมวิจัยเริ่มต้นจากการทำแบบจำลอง 150 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ 21 ตำบลในเชียงใหม่ แล้วจะมีการขยายผลต่อเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระดับจังหวัดให้ดีมากยิ่งขึ้น

 

 

นพคุณ แก้วสิงห์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็มีการนำเสนอผลงานวิจัยที่สนับสนุนการลดค่า PM2.5 โดยการสร้างฐานข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ตำแหน่งของจุดความร้อน หรือ Hotspot ซึ่งทางทีมวิจัยสามารถหาตำแหน่งได้ด้วยค่าความถูกต้องประมาณ 90% โดยตำแหน่งที่ถูกต้องจะมีประโยชน์กับเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปยับยั้งการเกิดไฟป่า เพื่อไม่ให้เกิดการลุกลาม โดยในฤดูไฟป่าในช่วงต้นปี 2025 มีการทดลองใช้งานวิจัยนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เจ้าหน้าที่ในการควบคุมไฟป่า ทำให้ Hotspot ในพื้นที่ที่รับผิดชอบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนได้รับการชื่นชมจากนานาประเทศ

 

ในภาคเอกชนอย่าง HAZE Free Thailand ก็มีการนำเสนอการทำงานของบริษัท ที่จัดตั้งขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ว่าต้องการเป็น วิสาหกิจเพื่อสังคมไร้ควัน โดยการขับเคลื่อนวิธีการดำเนินงานของเกษตรกรเพื่อลดการเผาที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กลอยขึ้นสู่อากาศ โดยการทำงานของบริษัทดังกล่าวประกอบไปด้วยโครงการปลูกป่าวนเกษตร เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินของเกษตรกรที่ว่างเว้น หรือเคยใช้ในการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ในการปลูกต้นไม้ที่ช่วยลดแก๊สเรือนกระจกแทน โดยโครงการนี้เคยได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัท เซ็ท เอสอี จำกัด ที่ร่วมดำเนินงานต้นแบบการปลูกป่าที่จังหวัดน่านและจังหวัดเชียงใหม่

 

อีกส่วนที่น่าสนใจจากงานของ HAZE Free Thailand คือระบบที่ดูแลติดตามการทำงานของเกษตรกรอย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการกำกับดูแลปริมาณการใช้ปุ๋ยด้วย ซึ่งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) เคยเปิดเผยว่า การเผาไม่ใช่สาเหตุหลักเพียงสาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 แต่ยังมีผลจากการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ รวมถึงการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนที่มากเกินไปจนเกิดสารประกอบไนโตรเจนลอยขึ้นไปทำปฏิกิริยาในอากาศและเกิดฝุ่นได้เช่นกัน การกำกับดูแลกระบวนการทำงานของเกษตรกรจึงเป็นการแก้ปัญหาการเกิดฝุ่นควันได้จากหลายสาเหตุ

 

 

ก้าวต่อไปของงานวิจัย เพื่ออากาศสะอาด-น้ำมั่นคง

 

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทยเพื่ออากาศสะอาด น้ำมั่นคง” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการมุ่งเป้าที่การแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในจังหวัดภาคเหนือจากการจับมือกันของหลายภาคส่วน การร่วมมือกันแก้ปัญหาทั้งในด้านของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การออกนโยบายเชิงสังคม รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น ซึ่งถ้าหากพื้นที่ภาคเหนือสามารถแก้ปัญหาได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการดังกล่าวจะกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ เริ่มทำตาม โดยจากนี้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะคอยติดตามการดำเนินงานเพื่อให้ผลลัพธ์ของโครงการออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

The post เชียงใหม่-ลำพูน จับมือร่วมกับ วช. แก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นด้วยงานวิจัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน https://thestandard.co/globalseaweed-protect/ Sat, 31 May 2025 06:22:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1080652

มูลนิธิยูนุสมีความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมในโครงการ GLO […]

The post มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>

มูลนิธิยูนุสมีความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมในโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT ซึ่งเป็นโครงการวิจัยระดับนานาชาติครั้งสำคัญ ที่มุ่งเพิ่มความปลอดภัยและความยั่งยืนของสาหร่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการนี้มีกำหนดระยะเวลาดำเนินงานเป็นเวลา 3 ปี นำโดยศาสตราจารย์ Juliet Brodie จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (สหราชอาณาจักร) และได้รับทุนจากสภาวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (BBSRC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ UK Research and Innovation (UKRI) หน่วยงานด้านการให้ทุนวิจัยของสหราชอาณาจักร

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำ เช่น สมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งสกอตแลนด์ (SAMS), มหาวิทยาลัยมาลายา, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยมาตาราม, มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ดิลิมัน, มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ และสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเวียดนาม ร่วมกับโครงการสาหร่ายยั่งยืนของมูลนิธิยูนุส

 

การปลูกสาหร่ายมีบทบาทสำคัญในการดำรงชีพของประชากรกว่าหนึ่งล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับชุมชนชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของกลยุทธ์ด้านความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศ ความมั่นคงด้านอาหาร และความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลในระดับภูมิภาคอีกด้วย

 

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมหาสมุทร เพื่อการเติบโตอย่างครอบคลุม และการคำนึงถึงอนามัยสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย การเพาะปลูกสาหร่ายมีศักยภาพอย่างมากในการสร้างรายได้ให้กับชุมชนชายฝั่ง สนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และการเพิ่มมูลค่าสินค้าอาหาร เกษตรกรรม เครื่องสำอาง และวัสดุชีวภาพ

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างสุขภาพของสาหร่ายและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ควบคู่ไปกับการพัฒนาสายพันธุ์สาหร่ายที่ปรับตัวต่อสภาพอากาศและทนทานต่อโรค อีกทั้งยังมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกสาหร่ายทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยส่งเสริมแนวทางการทำฟาร์มที่ยั่งยืนและปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

การมีส่วนร่วมของมูลนิธิยูนุสในโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT สะท้อนให้เห็นถึงพันธกิจที่กว้างขึ้นในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม และมีความครอบคลุมทางสังคม ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มนี้ มูลนิธิยูนุสจะนำความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจเพื่อสังคมและการมีส่วนร่วมของชุมชนชายฝั่งมาช่วยสร้างภาคส่วนเศรษฐกิจด้านสาหร่าย ที่มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างความเท่าเทียมในภาคส่วนธุรกิจมากขึ้น

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT เป็นการต่อยอดจากความร่วมมืออันแข็งแกร่งที่มีอยู่แล้วระหว่างพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และนานาชาติ โดยมุ่งเป็นต้นแบบของแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ และมีความครอบคลุมในการปกป้องระบบนิเวศทางทะเล โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความยั่งยืนในระยะยาวของการเพาะปลูกสาหร่ายทะเล ในฐานะเสาหลักของเศรษฐกิจสีน้ำเงิน โดยมุ่งจัดการกับภัยคุกคาม เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การระบาดของโรค และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

 

ภาพ: University of Mataram Center for Marine Biorefineries

 

อ้างอิง:

The post มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก https://thestandard.co/toxic-air-kills-100-kids-daily/ Thu, 06 Feb 2025 12:04:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1038935

ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศในระดับที่เป […]

The post มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศในระดับที่เป็นอันตราย ส่งผลให้โรงเรียนหลายแห่งต้องหยุดและเกิดความกังวลด้านสุขภาพเป็นวงกว้าง การวิเคราะห์ล่าสุดของยูนิเซฟเผยให้เห็นถึงผลกระทบอันเลวร้ายของมลพิษทางอากาศต่อเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ซึ่งมักรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง หรือตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเมษายน โดยมีความเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนในแต่ละวัน

 

การวิเคราะห์เผยให้เห็นว่าเด็กทุกคนในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก หรือประมาณ 500 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มลพิษทางอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีความเชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศในครัวเรือนจากการใช้เชื้อเพลิงแข็งในการหุงต้มและให้ความร้อน 

 

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก มีเด็ก 325 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ ฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยต่อปีสูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึง 5 เท่า และเด็ก 373 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่มีระดับไนโตรเจนไดออกไซด์ในระดับที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ เด็กร้อยละ 91 หรือประมาณ 453 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มลพิษจากโอโซนเกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 

 

ในประเทศที่มีระดับฝุ่น PM2.5 สูงสุด มักเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เชื้อเพลิงชีวมวล และของเสียทางการเกษตร ซึ่งไม่เพียงก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเท่านั้น แต่ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

 

จูน คูนูกิ ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า “ทุกลมหายใจคือชีวิต แต่สำหรับเด็กจำนวนมาก ลมหายใจอาจนำมาซึ่งอันตราย ในช่วงเวลาที่ร่างกายและสมองของเด็กกำลังพัฒนา อากาศที่พวกเขาหายใจเข้าไปกลับเต็มไปด้วยมลพิษในระดับที่เป็นอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ทำลายปอด และบั่นทอนพัฒนาการทางสติปัญญา”

 

เกือบ 1 ใน 4 ของเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ โดยมลพิษทางอากาศสามารถส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักแรกเกิดต่ำ เมื่อเติบโตขึ้น เด็กยังมีโอกาสเป็นโรคหอบหืด ปอดถูกทำลาย และมีพัฒนาการล่าช้า  ในขณะเดียวกัน เด็กจากครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงงานหรือทางหลวง ซึ่งมีระดับมลพิษสูง ยิ่งเสี่ยงต่ออันตรายนี้มากขึ้น นอกจากนี้ การสัมผัสมลพิษทางอากาศเป็นเวลานานยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและอนาคตของเด็กในระยะยาว

 

มลพิษทางอากาศไม่ได้กระทบต่อสุขภาพของเด็กเท่านั้น แต่ยังเพิ่มภาระให้ระบบสาธารณสุขที่มีภาระหนักอยู่แล้ว เพิ่มค่าใช้จ่าย และส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และศักยภาพของเด็ก การขาดเรียนเนื่องจากการเจ็บป่วย การพัฒนาสมองที่ไม่เต็มที่ และความเสี่ยงต่อการปิดโรงเรียนล้วนจำกัดศักยภาพของเด็ก ในขณะที่ผู้ปกครองที่ต้องดูแลบุตรที่เจ็บป่วยอาจต้องสูญเสียรายได้ 

 

ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นรุนแรง โดยธนาคารโลกประมาณการว่าในปี 2019 มลพิษจากฝุ่น PM2.5 ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและความเจ็บป่วย คิดเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกถึงร้อยละ 9.3 ของ GDP หรือมากกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ยูนิเซฟเรียกร้องให้รัฐบาล ภาคธุรกิจ ภาคสาธารณสุข ผู้ปกครอง และนักการศึกษา ลงมืออย่างเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อเด็กในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยเฉพาะในด้านต่อไปนี้:

 

  • รัฐบาล ต้องเป็นผู้นำในการเสริมสร้างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ เปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพอากาศให้สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกเพื่อปกป้องสุขภาพของเด็ก

 

  • ภาคธุรกิจ ควรนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้ ลดการปล่อยมลพิษ และดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของเด็กเป็นลำดับแรก

 

  • ภาคสาธารณสุข ควรดำเนินมาตรการเพื่อปรับปรุงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

 

  • ผู้ปกครองและนักการศึกษา มีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ สนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สะอาดขึ้น และส่งเสริมให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

 

ยูนิเซฟกำลังทำงานร่วมกับรัฐบาล ภาคธุรกิจ ระบบสาธารณสุข และชุมชนทั่วเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เพื่อปกป้องเด็กจากผลกระทบที่ร้ายแรงของมลพิษทางอากาศ โดยมีโครงการสำคัญดังต่อไปนี้:

 

  • ผลักดันนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างโลกที่สะอาดและยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับเด็ก

 

  • ดำเนินโครงการลดมลพิษทางอากาศในครัวเรือน เช่น ระบบระบายอากาศแบบปล่องควันและระบบทำความร้อนที่สะอาดขึ้น

 

  • ปรับปรุงการติดตามคุณภาพอากาศและการรายงานผล ด้วยโครงการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดมลพิษที่มีต้นทุนต่ำ

 

  • เสริมสร้างระบบสาธารณสุข เพื่อรับมือกับโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ และลงทุนในระบบจัดการขยะทางการแพทย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

  • ทำงานร่วมกับชุมชนและส่งเสริมบทบาทของเยาวชนในฐานะนักรณรงค์เพื่ออากาศสะอาด โดยช่วยสร้างความตระหนัก ตรวจสอบคุณภาพอากาศ และผลักดันนโยบายที่เข้มแข็งขึ้น

 

คูนูกิเน้นย้ำว่า “การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะช่วยยกระดับสุขภาพ การศึกษา และคุณภาพชีวิตของเด็กอย่างมหาศาล และจะส่งผลดีต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม เรามีแนวทางแก้ไขอยู่แล้ว และอนาคตร่วมกันของเราขึ้นอยู่กับการนำแนวทางเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม”

 

แฟ้มภาพ: UNICEF / UNI715048 / Janthong

อ้างอิง:

  • ยูนิเซฟ ประเทศไทย

The post มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด https://thestandard.co/pm25-solution-analysis/ Mon, 03 Feb 2025 07:01:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1037590 หมอกควันฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ

ช่วงนี้ไปไหนก็ได้ยินแต่คนบ่นเรื่องฝุ่น PM2.5 บางคนไอ บา […]

The post ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมอกควันฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ

ช่วงนี้ไปไหนก็ได้ยินแต่คนบ่นเรื่องฝุ่น PM2.5 บางคนไอ บางคนเจ็บคอ บางคนถึงกับเลือดกำเดาไหลเพราะอากาศแห้งและเต็มไปด้วยฝุ่น ยิ่งในกรุงเทพฯ เช้าๆ มองไปข้างหน้าก็เห็นแต่อากาศขมุกขมัว แสบจมูกทุกครั้งที่ต้องออกไปข้างนอก หลายคนเริ่มกังวลว่าต้องใช้ชีวิตอยู่กับสภาพนี้ไปอีกนานแค่ไหน

 

กรมควบคุมมลพิษออกมาเตือนว่า ในช่วงวันที่ 31 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ ฝุ่นยังคงอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ นี่หมายความว่าอีกหลายวันข้างหน้า คนกรุงและอีกหลายจังหวัดต้องเผชิญกับมลพิษที่เลี่ยงไม่ได้

 

มาตรการระยะสั้น: พอไหม?

 

หนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้ คือการให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน (25-31 มกราคม) เพื่อลดจำนวนรถยนต์บนถนน ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพฯ พบว่าการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลดลงประมาณ 500,000 คัน หรือ 10% จากตัวเลขเฉลี่ย 10 ล้านคันต่อวัน

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกมาตรการอื่นๆ เช่น การทำงานจากที่บ้าน (WFH) การควบคุมการเผาชีวมวล และการตรวจจับรถควันดำ แต่คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ มันพอไหม? และที่สำคัญ แก้ตรงจุดหรือเปล่า?

 

นายกฯ มองปัญหาฝุ่นอย่างไร?

 

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ THE STANDARD ที่เวที World Economic Forum 2025 เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ว่า

“ฝุ่นไม่ใช่เรื่องที่เซอร์ไพรส์ เรารู้ว่ามีปัญหานี้มาตลอด ก่อนมาประชุมที่นี่ก็เรียกกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาหารือหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ รวมถึงพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือกันลดฝุ่น

 

“แน่นอนว่า วันที่ฝุ่นเยอะเราไม่สามารถดีดนิ้วให้ฝุ่นหายไปได้ เราเตรียมเท่าที่ทำได้อย่างเต็มที่ เผอิญว่าวันที่เรามาที่นี่ มันเป็นช่วงที่ฝุ่นเยอะพอดี แต่เราก็ต้องสื่อสารให้คนเข้าใจ”

 

ฟังดูแล้วรัฐบาลรับรู้ปัญหา และพยายามหาทางออก แต่มาตรการที่ออกมาอาจจะยังเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ

 

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ: เรากำลังแก้ผิดจุด?

 

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI มองว่า มาตรการหลายอย่างที่รัฐบาลทำ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จริงๆ

 

“การฉีดละอองน้ำ การขอความร่วมมืองดปิ้งย่าง หรือแม้แต่การลดการสูบบุหรี่ ไม่ได้ผิด แต่มันไม่ใช่คำตอบที่จะแก้ปัญหา PM2.5 ได้จริงๆ เพราะฝุ่นจากกิจกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ PM2.5 แต่เป็นฝุ่นอีกประเภท”

 

เขายังชี้ให้เห็นว่า การติดตั้งหอดูดอากาศขนาดใหญ่ หรือการจำกัดรถบรรทุกให้วิ่งเฉพาะวันคู่-วันคี่ อาจมีต้นทุนสูง แต่กลับไม่ได้ช่วยลดฝุ่นพิษจากต้นเหตุหลัก

 

“เราต้องกลับไปดูต้นตอของปัญหาจริงๆ เช่น ควันจากรถยนต์ดีเซลเก่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ถ้าเราไม่แตะจุดพวกนี้ ฝุ่น PM2.5 ก็ไม่มีวันลดลง”

 

จะแก้ฝุ่นพิษให้ได้ ต้องทำอะไรบ้าง?

 

ดร.สมเกียรติ เสนอแนวทางที่สามารถทำได้จริง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

 

  • ปรับมาตรฐานน้ำมันและไอเสีย: ยกระดับมาตรฐานน้ำมันให้เป็น Euro 5 หรือ Euro 6 และควบคุมอายุการใช้งานของรถยนต์เก่า
  • ลดการเผาชีวมวล: ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรแทนการเผา และให้แรงจูงใจทางการเงิน เช่น คาร์บอนเครดิต
  • จัดการปัญหาข้ามพรมแดน: ฝุ่นบางส่วนมาจากเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ที่มีการเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตร ไทยต้องมีมาตรการร่วมกับอาเซียนเพื่อแก้ปัญหานี้
  • บริหารจัดการซัพพลายเชนพืชเกษตร: ปัจจุบันไทยปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เอง 4-5 ล้านตันต่อปี แต่ต้องใช้ 8-9 ล้านตัน ทำให้ต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน หากไทยลดการปลูกข้าวโพดและนำเข้าแทน อาจช่วยลดปัญหาการเผา

 

ประเทศไทยต้องเดินหน้าไปทางไหน?

 

ขณะที่รัฐบาลยังคงใช้มาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การลดค่ารถเมล์ หรือการใช้ฝนหลวง แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ที่โครงสร้างและนโยบายระยะยาว

 

ในสิงคโปร์ บริษัทที่ซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศต้องรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งหมายความว่า หากบริษัทในไทยต้องการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ก็ต้องพิสูจน์ว่าไม่มีการเผาทำลายป่า นี่เป็นแนวทางที่ไทยควรศึกษา

 

สัปดาห์นี้ อารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาออกมาตรการกำหนดให้ผู้นำเข้าข้าวโพด ต้องแสดงเอกสารยืนยันว่าไม่ใช้การเผา รวมถึงจะประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน

 

ฝุ่นพิษไม่ใช่แค่ปัญหาฤดูกาล แต่มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ถ้าเรายังแก้กันแบบปลายเหตุ เราก็จะเจอกับฝุ่น PM2.5 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

มาตรการชั่วคราวช่วยให้คนหายใจสะดวกขึ้นในช่วงหนึ่ง แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ด้วยการปฏิรูปกฎหมาย ควบคุมมลพิษจากรถยนต์ โรงงาน และการเผาในที่โล่ง รวมถึงร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง

 

ถึงเวลาที่ไทยต้องหันมา ‘ร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ตรงจุด’ เพราะฝุ่นพิษไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ได้ด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น หากทุกภาคส่วน—รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชน—ไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วงเกินกว่าที่จะรับไหว และฝุ่นพิษอาจกลายเป็น ‘เรื่องปกติ’ ที่กัดกินคุณภาพชีวิตของเราทุกคนไปตลอด

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

The post ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน https://thestandard.co/pm25-and-cross-border-dust-crisis/ Tue, 28 Jan 2025 12:19:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1035474

สถานการณ์ฝุ่นในช่วงเวลานี้น่ากังวลเป็นอย่างมาก หลายพื้น […]

The post เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สถานการณ์ฝุ่นในช่วงเวลานี้น่ากังวลเป็นอย่างมาก หลายพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและมีค่าฝุ่นในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ THE STANDARD พูดคุยกับ ศ. ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ถึงช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน

 

ไทยยังไม่มีการกำหนดค่าสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ

 

ศ. ดร.ศิวัช เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าว่า เมื่อ 30-40 ปีก่อน ประเทศสหราชอาณาจักรที่อาจารย์เคยเดินทางไปศึกษาต่อ มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศกันแล้ว ขณะที่ในประเทศไทยจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานดังกล่าว และนี่เป็นหนึ่งในช่องโหว่สำคัญที่ทำให้สถานการณ์ฝุ่นในไทยกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง

 

เทียบเคียงได้กับปัญหาเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญของไทย ถ้าที่ผ่านมารัฐไม่มีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย โอกาสที่คนเมาแล้วขับจะเกิดอุบัติเหตุจนสร้างผลกระทบให้กับตนเองและคนรอบข้างก็มีสูงมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าตราบใดที่รัฐยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์ทั้งหลายในชั้นบรรยากาศ ซึ่งรวมถึงโลหะหนักอย่างสารหนู แคดเมียม และปรอท ก็จะทำให้ผู้ปล่อยมลพิษทางอากาศทั้งหลายไม่ถูกควบคุมด้วยเกณฑ์มาตรฐานที่เข้มงวดและรัดกุมจากภาครัฐ 

 

 

ไทยยังขาดการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ครอบคลุม และจริงจัง

 

ศ. ดร.ศิวัช อธิบายว่า ถ้าจะทำความเข้าใจเรื่องฝุ่น และต้องการทำให้เกิดมาตรการที่เข้มงวดและจริงจังอย่างแท้จริงนั้น จะต้องทราบข้อมูลพื้นฐานเรื่องฝุ่น เช่น แหล่งกำเนิดฝุ่นมีที่มาทั้งที่เกิดตามธรรมชาติ และเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งฝุ่นส่วนใหญ่ที่มีสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์และก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพของคนนั้น มักเป็นฝุ่นที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ อีกทั้งฝุ่นในตอนนี้ เมื่อเทียบกับฝุ่นเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ไม่เหมือนกัน เพราะฝุ่นในปัจจุบันอันตรายกว่าเดิมมาก และมีแนวโน้มที่จะมีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงกว่า

 

อาจารย์ยังยกตัวอย่างวิกฤตฝุ่น PM ในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อช่วงต้นปี 2024 ที่มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) สูงมาก โดยรัฐบาลจีนเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่แหล่งกำเนิดฝุ่นที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ แทนที่จะจัดการกับแหล่งกำเนิดฝุ่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ และทราบดีว่าวิกฤตฝุ่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเป็นฝุ่นที่พัดมาจากทะเลทราย ยากที่จะควบคุม

 

สิ่งที่ทางการจีนทำคือ หากโรงงานอุตสาหกรรมไหนปล่อยมลพิษมากเกินเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดก็ใช้บทลงโทษอย่างจริงจัง เช่น สั่งย้ายโรงงาน หรือสั่งปิดโรงงาน รวมถึงเดินหน้าสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้สถานการณ์ฝุ่นโดยรวมในเมืองหลวงของจีนดีขึ้นอย่างมาก 

 

 

นอกเหนือไปจากการเผาในภาคการเกษตร ไอเสียจากยานพาหนะและมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุของฝุ่น PM ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ในประเทศไทยที่ ‘มักถูกมองข้าม’ คือ ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นจากการใช้ ‘ปุ๋ยไนโตรเจน’ อย่างบ้าระห่ำ

 

ประเทศไทยใช้ปุ๋ยไนโตรเจนซึ่งเป็นปุ๋ยเคมีมากจนเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือไนโตรเจนจะทำปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับออกซิเจน กลายเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และไปทำปฏิกิริยากับแก๊ส BVOCs (Biogenic Volatile Organic Compounds) หรือสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายที่มาจากพืช ถ้าเป็นพื้นที่ในเมืองที่มีไอเสียรถยนต์จำนวนมาก อาจจะเป็นแก๊ส VOCs (Volatile Organic Compounds) และกลายเป็นฝุ่น PM และโอโซน (O3)

 

สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้คือ ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดปริมาณการเกิดฝุ่น PM และโอโซนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาตรงนี้ เนื่องจากฝุ่น PM และโอโซนที่มากจนเกินไปก็จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพของผู้คน เช่น ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ

 

ศ. ดร.ศิวัช เน้นย้ำว่า คนไทยนอกจากจะต้องสนใจค่าฝุ่น PM2.5 แล้ว ยังจำเป็นต้องสนใจด้วยว่ามีอะไรอยู่ในฝุ่นเหล่านั้นบ้าง พร้อมทั้งแนะนำว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทยควรจะมีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์อย่างโลหะหนัก เช่น สารหนู แคดเมียม และปรอท ไว้อย่างชัดเจน ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

 

นอกจากนี้อาจารย์ยังอธิบายว่า บางครั้งค่าฝุ่นสูงอาจไม่ได้แปลว่าฝุ่นนั้นมีสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์สูงมากอย่างที่เราคาดคิด ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์ที่ครอบคลุมและชัดเจน หากวิเคราะห์ฝุ่นแล้วพบว่า องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นไม่ได้มีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงมาก ภาครัฐก็อาจประกาศเตือนและลดความตื่นตระหนก พร้อมแนะนำมาตรการรับมือให้กับประชาชน ในทำนองเดียวกัน หากในสถานการณ์ที่ค่าฝุ่นไม่สูงมาก แต่ตรวจพบว่ามีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ภาครัฐก็จะต้องยกระดับการป้องกันและประกาศเตือนประชาชนให้รับมือกับปัญหาได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการสันดาป หรือโรงงานถลุงเหล็กที่มีการปล่อยสารก่อมะเร็งออกมาเป็นจำนวนมาก ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้สูงมาก 

 

 

ฝุ่นข้ามพรมแดน ความท้าทายของไทยและอาเซียน

 

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ‘ฝุ่นข้ามพรมแดน’ ที่มีต้นกำเนิดของฝุ่นอยู่ภายนอกประเทศ มีส่วนทำให้วิกฤตฝุ่น PM ภายในประเทศไทยซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เผยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงความรู้ เทคนิค และการบริหารจัดการวิกฤตฝุ่นระหว่างกัน ทั้งยังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับจุดร้อน ฝุ่นควัน และสนับสนุนการกำหนดบทลงโทษอย่างจริงจัง

 

ขณะที่รัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศก็เดินหน้าแก้ไขวิกฤตฝุ่นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เช่น การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดน การผลักดันประเด็นฝุ่นพิษในการประชุมอาเซียน รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (AATHP) แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่นข้ามพรมแดนก็ยังเผชิญความท้าทายอยู่มาก เช่น ข้อจำกัดด้านกฎหมายและการบังคับใช้ในแต่ละประเทศ ความแตกต่างของนโยบายและลำดับความสำคัญระหว่างประเทศ การขาดงบประมาณและทรัพยากร รวมถึงการขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการติดตามและประเมินผล เป็นต้น

 

ศ. ดร.ศิวัช ระบุว่า ถ้าจะแก้ไขวิกฤตฝุ่นในอาเซียนจะต้องสนใจภาพรวมในระดับภูมิภาค (Regional Scale) เนื่องจากปัญหามลพิษทางอากาศเป็นปัญหาข้ามพรมแดน (Transboundary Issue) สุดท้ายแล้วการมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดในระดับภูมิภาคอาเซียนก็อาจเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง

 

อาจารย์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับฝุ่นข้ามพรมแดนไว้ว่า ถ้าจุดตรวจจับฝุ่นควันได้รับการติดตั้งในพื้นที่บริเวณชายแดนของประเทศ A และ B ซึ่งอาจมีระยะห่างไม่ถึง 1 กิโลเมตร หรือมีแค่แม่น้ำคั่นกลางเท่านั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฝุ่นข้ามพรมแดนในลักษณะนี้อาจไม่ต่างจากแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในประเทศมากนักหากมองจากดาวเทียมอวกาศ แต่ถ้าแหล่งกำเนิดฝุ่นข้ามแดนเกิดขึ้นภายนอกประเทศในจุดที่ถูกลมพัดพาเป็นระยะทางไกล (Long Range Transportation) และใช้ระยะเวลานานหลายวัน ฝุ่นที่ถูกลมพัดพาให้ข้ามพรมแดนมาอาจทำปฏิกิริยากับสารเคมีอื่นๆ จนทำให้องค์ประกอบทางเคมีหรือสารก่อมะเร็งต่างๆ ที่อยู่ในฝุ่น PM เปลี่ยนแปลงไปจากฝุ่นที่เกิดขึ้น ณ จุดต้นกำเนิด และอาจถูกแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ย่อยสลายหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของสารพิษที่อยู่ในฝุ่นได้เช่นกัน แม้ฝุ่นข้ามพรมแดนจะยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คน แต่ก็อาจไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบได้มากเท่ากับฝุ่นที่เกิดขึ้นจากภายในประเทศ

 

ศ. ดร.ศิวัช เน้นย้ำว่า ถ้าเรามุ่งเน้นไปที่สุขภาพของประชาชนภายในประเทศ การควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นในประเทศของเราเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ เพื่อเป็นตัวอย่างหรือแนวทางในการรับมือวิกฤตฝุ่น ก่อนที่จะมุ่งเน้นไปยังแหล่งกำเนิดฝุ่นภายนอกประเทศ 

 

บทเรียนจากสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมา อาจารย์ระบุว่า สิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ดีและชัดเจนอย่างมากในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM โดยสิงคโปร์สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในประเทศได้เกือบทั้งหมด รถยนต์เก่าที่ปล่อยควันพิษในปริมาณมากจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งาน เว็บไซต์กระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ถึงกับเคยระบุว่า สิงคโปร์จะไม่ตัดถนนเพิ่มเติมและสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ มีเพียงมลพิษที่มาจากเรือ (Shipping Emission) ที่ยังคงเป็นความท้าทายของสิงคโปร์ เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเมืองท่า มีเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่จากทั่วโลกมาจอดเทียบท่าเป็นจำนวนมาก

 

แต่สิ่งที่ตามมาคือ สิงคโปร์สามารถควบคุมคุณภาพอากาศในสภาวะปกติได้ดีมาก ถึงแม้จะเผชิญกับปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนที่มาจากการเผาในภาคการเกษตรของอินโดนีเซีย แต่สิงคโปร์ก็เดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ใช้ทั้งมาตรการไม้แข็ง ทั้งสั่งปรับ ขึ้นบัญชีดำ และยุติการทำธุรกรรมต่างๆ กับบริษัทหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง และใช้มาตรการไม้อ่อนด้วยการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรในอินโดนีเซียเลิกเผาเพื่อบรรเทาวิกฤตฝุ่น ทำให้ปัญหาฝุ่นข้ามแดนจากอินโดนีเซียมายังสิงคโปร์ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

 

เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ไทยอาจเป็นต้นตอปัญหาฝุ่นข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้าน

 

ศ. ดร.ศิวัช ยังชี้ว่า ในทางตรงกันข้าม ถ้าทิศทางของกระแสลมเปลี่ยนแปลง ต้นทางลมอยู่ที่ประเทศไทย และปลายทางลมอยู่ทิศประเทศเพื่อนบ้าน แหล่งกำเนิดฝุ่นในไทยก็จะทำให้ไทยกลายเป็นต้นตอของฝุ่นข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนที่จะไปพูดถึง พ.ร.บ.อากาศสะอาดอาเซียน เราอาจจะต้องช่วยกันผลักดันให้ พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทยเกิดขึ้นได้จริง และช่วยกันตรวจสอบว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดนี้มีเนื้อหาอย่างไร และยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนบางกลุ่มอยู่หรือไม่ 

 

ส่วนแนวโน้มวิกฤตฝุ่นอาเซียนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า อาจารย์มองว่าถ้าวิกฤตฝุ่นนี้เกี่ยวโยงกับการเผาในภาคการเกษตร จุดนี้อาจต้องใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาจัดการ เปลี่ยนสิ่งที่ชาวบ้านหรือเกษตรกรจะเผาให้กลายเป็นสิ่งของที่มีมูลค่า เปลี่ยนชีวมวลให้กลายเป็นเงิน เช่น การพัฒนาต่อยอดและเพิ่มมูลค่าชีวมวลให้กลายเป็นน้ำมันไพโรไลซิส ซึ่งสามารถกลั่นเป็นน้ำมันดีเซลหรือเบนซินได้ รวมถึงการส่งออกชีวมวลส่วนเกินต่างๆ ไปเป็นอาหารสัตว์ในฟาร์มต่างประเทศ 

 

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐในกลุ่มประเทศอาเซียนว่าจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับชีวมวลเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน โดยทิศทางในภาพรวม พื้นที่เมืองมีแนวโน้มที่วิกฤตฝุ่นจะดีขึ้น เนื่องจากระบบขนส่งต่างๆ จะหันมาพึ่งพาไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ขณะที่พื้นที่ชนบทก็อาจจะยังคงเผชิญปัญหานี้ต่อไป หากรัฐไม่สามารถอุดช่องโหว่ต่างๆ และลดต้นตอการเกิดฝุ่นควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สอดคล้องกับ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่เสนอแนะแนวทางที่สามารถทำได้จริงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน ดังนี้

 

  1. ปรับมาตรฐานน้ำมันและไอเสียรถยนต์ โดยการยกระดับมาตรฐานน้ำมันให้เป็น Euro 5 หรือ Euro 6 พร้อมกับจำกัดอายุการใช้งานของรถยนต์เก่า
  2. ลดการเผาชีวมวล พร้อมสนับสนุนการใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวแทนการเผา และสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เช่น คาร์บอนเครดิต
  3. บริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ที่ทำให้เกิดการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน

 

โดย ดร.สมเกียรติ เน้นย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับปัญหาฝุ่นข้ามแดน พร้อมทั้งแนะให้รัฐบาลไทยหามาตรการที่ชัดเจนในการบริหารจัดการซัพพลายเชนในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดการเผาในภาคการเกษตร รวมถึงเตรียมจัดหาอาชีพเสริมให้กับกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ และบริหารจัดการให้ดียิ่งขึ้น

The post เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>
UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 https://thestandard.co/unicef-pm25-thai-children-health-risks/ Mon, 27 Jan 2025 06:31:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1034744 เด็กไทยสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM2.5 ในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ

ยูนิเซฟ (UNICEF) มีความกังวลอย่างยิ่งต่อระดับค่าฝุ่น PM […]

The post UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เด็กไทยสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM2.5 ในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ

ยูนิเซฟ (UNICEF) มีความกังวลอย่างยิ่งต่อระดับค่าฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กประมาณ 13.6 ล้านคนทั่วประเทศ สถานการณ์ที่น่าห่วงนี้ต้องการการดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ของเด็ก

 

จากรายงาน Over the Tipping Point ของ UNICEF ในปี 2023 พบว่า จำนวนเด็กในประเทศไทยที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากฝุ่น PM2.5 นั้นมีมากกว่าจำนวนเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศอื่นๆ เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง

 

คยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “เราต้องการความมุ่งมั่น ความร่วมมือ และการดำเนินการที่เด็ดขาดจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อจัดการกับสาเหตุของมลพิษทางอากาศอย่างจริงจัง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เด็กทุกคนได้เติบโตในโลกที่ปลอดภัย สะอาด และยั่งยืน”

 

ในประเทศไทยระดับฝุ่น PM2.5 ที่เป็นอันตรายในช่วงนี้ ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น เพื่อที่เด็กๆ จะได้ไม่ต้องเสียวันเรียนไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้ UNICEF กำลังจัดทำการศึกษาวิจัยโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเน้นการปรับปรุงอาคารและห้องเรียนให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศ รวมถึงฝุ่น PM2.5 ได้ดียิ่งขึ้น งานวิจัยนี้ซึ่งคาดว่าจะเผยแพร่ในปีนี้ จะเป็นข้อมูลสำคัญในการผลักดันการดำเนินการของรัฐบาลและระดมทรัพยากรเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

 

เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางต่อมลพิษทางอากาศเป็นพิเศษ โดยฝุ่น PM2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และส่งผลต่อเนื่องในระยะยาว เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และปัญหาการพัฒนาสมอง นอกจากนี้เด็กยังหายใจรับอากาศมากกว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบปริมาณต่อน้ำหนักตัว และดูดซับมลพิษมากกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ปอด ร่างกาย และสมองยังคงเจริญเติบโตไม่เต็มที่

 

PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กพอที่จะเข้าสู่ปอดลึกและกระแสเลือด อนุภาคเหล่านี้สามารถทำลายระบบอวัยวะหลายส่วน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคหอบหืด ปอดอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในเด็ก การสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวยังเชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อในผู้ใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และมะเร็งปอด

 

จากรายงานสภาวะอากาศโลก (The State of Global Air) ฉบับที่ 5 ซึ่งเผยแพร่โดย Health Effects Institute และ UNICEF ชี้ว่า ในปี 2021 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 700,000 คนทั่วโลก หรือคิดเป็นวันละเกือบ 2,000 คน ต้องเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่สองของการเสียชีวิตของเด็กกลุ่มอายุนี้ทั่วโลก รองจากภาวะทุพโภชนาการ รายงานยังระบุด้วยว่าฝุ่น PM2.5 เป็นตัวบ่งชี้ที่แม่นยำและชัดเจนที่สุดในการคาดการณ์ปัญหาสุขภาพของประชากรทั่วโลกในอนาคต

 

เด็กกลุ่มเปราะบางที่สุดคือกลุ่มที่ต้องรับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากที่สุด เพราะพวกเขามีทางเลือกน้อยกว่าที่จะปกป้องตัวเองจากฝุ่น PM2.5 ข้อมูลทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าเด็กในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้สูง โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าอย่างชัดเจน

 

UNICEF ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและภาคเอกชนเร่งแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เพื่อลดมลพิษทางอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเน้นย้ำว่าการตัดสินใจที่กล้าหาญและมองการณ์ไกลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาระยะยาวแทนการใช้มาตรการระยะสั้น

 

ภาพ: ปฏิภัทร จันทร์ทอง / UNICEF

อ้างอิง:

  • UNICEF

The post UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 appeared first on THE STANDARD.

]]>
การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 https://thestandard.co/ai-climate-forecast-2060/ Sun, 26 Jan 2025 05:16:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1034587 สภาพภูมิอากาศโลก

ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศชั้นนำ นำโดย ศ.เอลิซา […]

The post การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สภาพภูมิอากาศโลก

ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศชั้นนำ นำโดย ศ.เอลิซาเบธ บาร์นส์ จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด ​รวบรวมข้อมูลเชิงลึกผ่านแบบจำลองสภาพภูมิอากาศโลก 10 แบบ พร้อมความช่วยเหลือจากระบบ AI ได้ผลสรุปออกมาว่า อุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลก​ที่เพิ่มขึ้น​จาก​สภาวะ​โลกร้อนในหลายภูมิภาคมีโอกาสจะเกินเกณฑ์วิกฤตที่ 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส ก่อนจะไปถึงปี 2040 หรือ 15 ปีนับจากนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้มาก

 

และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง นั่นคือระบบ AI ยังได้พยากรณ์ว่า ในบางภูมิภาคของโลก อันได้แก่ เอเชียใต้, เมดิเตอร์เรเนียน, ยุโรปกลาง และบางส่วนของทวีปแอฟริกา (บริเวณทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา) จะต้องพบกับระดับของอุณหภูมิ​เฉลี่ยที่จะสูงถึง 3 องศาเซลเซียส หรือ 2 เท่าตามข้อตกลงปารีส ก่อนจะไปถึงปี 2060

 

“งานวิจัยของทีมงานเราที่ลงเผยแพร่บนวารสาร Environmental Research Letters เน้นย้ำถึงความสำคัญในการใช้เทคนิคด้าน AI เชิงนวัตกรรม เช่น การเรียนรู้แบบถ่ายโอน เพื่อไปใช้กับการสร้างแบบจำลองสภาพอากาศ เพื่อปรับปรุงและจำกัดการคาดการณ์ในระดับภูมิภาค และเราก็พร้อมจะมอบข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ต่อได้สำหรับผู้กำหนดนโยบาย นักวิทยาศาสตร์ และชุมชนทั่วโลก” บาร์นส์กล่าว

 

ตัวเลขดังกล่าวเกิดจากการที่ทีมวิจัยจัดการฝึกฝนเครือข่ายระบบประสาทเทียมของ AI ในแบบคอนโวลูชัน (Convolutional Neural Network: CNN) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบประสาทในสมองของมนุษย์ โดยมีจุดเด่นตรงที่สามารถรักษาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่และเวลาในข้อมูลไว้ได้ จึงทำให้ AI สามารถแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับการจดจำภาพการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี

 

ทีมวิจัยได้ให้ระบบ AI เรียนรู้ข้อมูลจากทั้งหมด 43 ภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งถูกกำหนดโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC อิงตามแบบจำลองสภาพอากาศ CMIP6 โดยให้ AI แยกแบบจำลองสภาพอากาศอิงตามภูมิภาคแทนการมองภาพรวมระดับโลก ทำให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะจุดมากขึ้น การทำงานจะแบ่งอุณหภูมิไว้ 5 ระดับ คือ 1, 1.5, 2, 2.5 และสุดท้ายที่ 3 องศาเซลเซียส จากนั้นจะวิเคราะห์ซ้ำข้อมูลที่ได้ โดยจะเสริมด้วยข้อมูลจากการสังเกตและข้อมูลด้านอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

 

ผลลัพธ์ที่ได้บอกเราว่า จากทั้งหมด 43 ภูมิภาคทั่วโลก จะมี 34 ภูมิภาคที่มีแนวโน้มอุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 โดย 31 ใน 34 ภูมิภาคดังกล่าวมีเกณฑ์ที่อุณหภูมิ​เฉลี่ย​จะเกินไปจนถึง 2 องศาเซลเซียส สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ทีมวิจัยพบว่า 26 ภูมิภาคในจำนวนนั้นจะมีอุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลกเกิน 3 องศาเซลเซียสภายในปี 2060

 

“สิ่งสำคัญที่ต้องมุ่งเน้นไม่ใช่แค่เพียงการที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงเฉพาะที่เกิดขึ้นในพื้นที่ท้องถิ่นและภูมิภาคด้วย” โนอา ดิฟเฟินบอว์ นักวิจัยด้านสภาพอากาศจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว “การจำกัดว่าแต่ละภูมิภาคจะถึงเกณฑ์ความร้อนเมื่อใดนั้น จะทำให้เราสามารถคาดการณ์เวลาของผลกระทบเฉพาะที่จะเกิดต่อสังคมและระบบนิเวศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” และกล่าวเสริมว่า “ความท้าทายก็คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแต่ละภูมิภาคอาจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น จากระบบสภาพอากาศมีการรบกวนในระดับพื้นที่ที่เล็กกว่า และจากกระบวนการต่างๆ ในชั้นบรรยากาศ มหาสมุทร และพื้นผิวโลก สุดท้ายก็อาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นได้ ดังนั้นผลการตอบสนองของแต่ละภูมิภาคต่อภาวะโลกร้อนในระดับโลกจึงคาดการณ์ได้ยาก”

 

ทีมงานเน้นย้ำถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและแจ้งเตือนให้ทั่วโลกรับมืออย่างเร่งด่วน โดยระบุว่า แม้มนุษยชาติจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงเป็นศูนย์ได้ทั้งหมดแล้ว ผลกระทบก็ยังคงจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากยังมีก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากตกค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศ

 

จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกร้อนขึ้นไปถึงระดับ 3 องศาเซลเซียส

 

แน่นอนว่าช่วงปีที่ผ่านมาเราเริ่มมองเห็นผลกระทบทางภัยธรรมชาติจากโลกร้อนบ้างแล้ว ทั้งการเกิดฝนตกน้ำท่วมในประเทศที่เป็นทะเลทราย ไฟป่ารุนแรง คลื่นทะเลสูงผิดปกติ ไปจนถึงการเกิดไต้ฝุ่น 4 ลูกในเดือนที่ไม่ควรเกิด อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่สูงขึ้นทำให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดขั้วไปทั่วโลก ภัยธรรมชาติจะเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น

 

งานวิจัยของทีมงาน ศ.ไนเจล อาร์เนลล์ ผู้อำนวยการสถาบันวอล์กเกอร์ มหาวิทยาลัยรีดดิ้ง ที่ตีพิมพ์เมื่อ 2 ปีก่อนพบว่า เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยโลกแตะ 1.5 องศาเซลเซียส โอกาสที่จะเกิดคลื่นความร้อนครั้งใหญ่ทั่วโลกเฉลี่ยต่อปีจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 5% ในช่วงปี 1981-2010 เป็นประมาณ 30% และหากอุณหภูมิเฉลี่ยโลกแตะ 3 องศาเซลเซียส โอกาสที่จะเกิดคลื่นความร้อนครั้งใหญ่จะเพิ่มขึ้นเป็น 80%

 

งานวิจัยของอาร์เนลล์ยังระบุอีกว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยโลกเกิน 3 องศาเซลเซียส โอกาสเกิดน้ำท่วมจะเพิ่มเกือบ 3 เท่าจากค่าเฉลี่ยทั่วโลก แม้จะยังมีความไม่แน่นอนของตัวเลขอยู่บ้าง เนื่องจากสภาพอากาศเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีตัวแปรมากมาย แต่ผลลัพธ์ทั้งหมดต่างเป็นไปในทางเดียวกัน นั่นคือสิ่งเหล่านี้จะเกิดรุนแรงและบ่อยขึ้น

 

“งานวิจัยของผมยังบอกพวกเราว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบทางกายภาพเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นเส้นตรง คือผลลัพธ์พุ่งไปจนน่ากังวล” อาร์เนลล์กล่าวทิ้งท้าย

 

ทีมงานตีพิมพ์​เผยแพร่​งานศึกษา​ครั้งนี้​ลงในวารสาร​

https://iopscience.iop.org/article/10.1088/1748-9326/ad91ca

 

ภาพ: David McNew / Getty Images

The post การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/ https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/#respond Wed, 22 Jan 2025 04:00:17 +0000 https://thestandard.co/?p=192417 pollution-prevention

หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพั […]

The post ‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
pollution-prevention

หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2019

 

ความศิวิไลซ์ของมนุษย์มักต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางธรรมชาติอันประเมินค่าไม่ได้ จากอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน เราพบว่ามนุษย์ยังคงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่เรียนรู้บทเรียนจากผลเสียของการทำลายธรรมชาติ

 

ท่ามกลางปัญหาหมอกพิษที่กำลังรุมเร้าหลายภูมิภาคทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ หลายประเทศเพิ่งตระหนักกับปัญหามลพิษอย่างจริงจัง ขณะที่หลายประเทศเพิ่งเริ่มตระหนักและกดดันภาครัฐให้งัดมาตรการต่างๆ เพื่อทวงคืนอากาศบริสุทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรก ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น  

 

อาจถือได้ว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีที่ทั่วโลกพร้อมใจกันยกประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแก้ปัญหาโลกร้อนและมลพิษเป็นวาระสำคัญของประเทศ ซึ่งทำให้โลกนี้ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียวที่จะมีอากาศสะอาดให้คนรุ่นหลังได้สูดเข้าไปอย่างเต็มปอด

 

ไม่ไกลจากประเทศไทย จีนซึ่งเป็นชาติที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลกสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และครองแชมป์แหล่งต้นตอของมลพิษทางอากาศมานานหลายปี เวลานี้กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกในด้านการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้จีนยังรับบทหัวเรือใหญ่ในการผลักดันมาตรการแก้ปัญหาโลกร้อนบนเวทีโลก ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตสำหรับประเทศที่ทำลายธรรมชาติจนบอบช้ำ ถึงแม้ว่ากว่าที่จีนจะเริ่มตระหนักและแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง พวกเขาต้องแลกมาด้วยคุณภาพชีวิตของประชากรและต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่มากมายมหาศาล

 

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าจีนมีผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากปัญหามลพิษในอากาศมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี ขณะที่นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ได้วัดดัชนีความสุขโดยใช้อัลกอริทึมวิเคราะห์อารมณ์ของผู้ใช้เว่ยป๋อ (Weibo) แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนที่คล้ายทวิตเตอร์) ใน 144 เมือง นับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งพบว่าเมื่อระดับฝุ่น PM2.5 (ฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน) สูงขึ้น ข้อความที่สะท้อนความสุขของประชาชนจะลดลง ซึ่งถือเป็นสหสัมพันธ์เชิงลบระหว่างระดับมลพิษกับความสุข

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีการสอดส่องโซเชียลมีเดียเพื่อศึกษาความต้องการของประชาชนมาตลอด บ่อยครั้งนโยบายระดับชาติที่กำหนดออกมาบังคับใช้ก็มาจากเสียงโอดครวญในโลกออนไลน์ มาตรการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เช่นเดียวกัน และเมื่อรัฐตระหนักถึงปัญหานี้อย่างจริงจังก็เป็นตัวเร่งให้ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อวิจัยและพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือก จนกระทั่งจีนก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้นำโลกภายในช่วงเวลาไม่กี่ปี ขณะที่ค่ามลพิษก็ลดลงจนน่าพอใจ ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับไทย

 

เราไปดูกันว่ายุทธศาสตร์การทำสงครามกับมลพิษทางอากาศของจีนเป็นอย่างไร ได้ผลมากน้อยแค่ไหน เราสามารถยึดเป็นแบบอย่างได้เพียงใด

 

 

กรณีศึกษา: สงครามต่อสู้มลพิษของจีน

หลังจีนเปิดประเทศและเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมในทุกๆ ด้าน ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลายสวนทางกับความเจริญ เนื่องจากจีนพึ่งพาพลังงานจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษมหาศาล เช่นเดียวกับการขยายตัวของตัวเมืองก็เป็นอีกตัวเร่งให้ปัญหามลพิษเลวร้ายลง กระทั่งจีนกระโดดขึ้นมาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) รวมกัน

 

เมื่อปัญหามลพิษหนักขึ้นจนทำให้ประชาชนไม่มีความสุข รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเร่งด่วน และได้กำหนดยุทธศาสตร์แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นระบบตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทในการต่อสู้กับมลพิษที่ชัดเจนที่สุดของจีน

 

ในแผนปฏิบัติการลดมลพิษทางอากาศที่คลอดเมื่อเดือนกันยายน ปี 2013 ช่วยให้จีนปรับปรุงคุณภาพอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังกำหนดเป้าหมายลดค่าฝุ่น PM2.5 ในกรุงปักกิ่งและเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงลง 33% และ 15% ตามลำดับ ภายในช่วงระหว่างปี 2013-2017

 

ในช่วงเวลาดังกล่าว กรุงปักกิ่งต้องลดค่าฝุ่น PM2.5 จากระดับ 89.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรให้เหลือ 60 ไมโครกรัม ซึ่งมาตรการฉุกเฉินที่ทางการงัดมาใช้ในตอนนั้นมีตั้งแต่การสั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วกรุงปักกิ่ง และห้ามประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงและพื้นที่รอบข้างเผาถ่านหินเพื่อให้ความอบอุ่น ซึ่งแม้จะมีกระแสต่อต้านจากหลายๆ ฝ่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือปักกิ่งสามารถลดค่าฝุ่น PM2.5 ลงเหลือเฉลี่ย 58 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือลดลงถึง 35% ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้เสียอีก

 

สำหรับมหานครเทียนจินที่อยู่ติดกับปักกิ่ง รวมถึงมณฑลข้างเคียงอย่างเหอเป่ยต่างก็ดำเนินมาตรการต่อสู้กับมลพิษเช่นกัน โดยพื้นที่แถบนี้จัดอยู่ในกลุ่มเมืองขนาดใหญ่ (Clusters) เช่นเดียวกับกลุ่มเมืองในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและแยงซีที่ใช้มาตรการต่างๆ จนสามารถลดระดับมลพิษได้ตามเป้าเช่นกัน

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้หลายเมืองของประเทศจีนจะทำได้ตามเป้า แต่ก็ยังไม่มีเมืองไหนที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพอากาศตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรสำหรับฝุ่นละอองขนาด PM2.5 ขณะที่สิ้นปี 2017 มีเพียง 107 เมืองจากทั้งหมด 338 เมืองใหญ่ที่ทำได้ตามมาตรฐานระดับพอรับได้ขององค์การอนามัยโลกที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

 

หลังแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปีฉบับแรกของรัฐบาลจีนสิ้นสุดลง จีนมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำต่อคือปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ได้มาตรฐานโลก เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้นและยั่งยืน

 

ดังนั้นแผนปฏิบัติการฉบับใหม่ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ต่อสู้กับมลพิษทางอากาศเฟสที่ 2 จึงกำหนดขอบเขตควบคุมให้กว้างขวางขึ้นทั่วประเทศ และเพิ่มความท้าทายด้วยกรอบเวลาที่สั้นลงเหลือเพียง 3 ปี (2018-2020) โดยรัฐบาลเรียกมันว่า ‘แผนปฏิบัติการทำสงครามเพื่อท้องฟ้าที่สดใส’

 

แผนปฏิบัติการใหม่นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมระยะ 5 ปีฉบับที่ 13 ของจีน ซึ่งมีข้อบังคับสำหรับเมืองขนาดใหญ่หรือเขตพื้นที่ที่อากาศไม่ได้มาตรฐานคุณภาพให้ลดค่าฝุ่น PM2.5 ลงอย่างน้อย 18% เมื่อเทียบกับระดับมลพิษในปี 2015

 

ข้อมูลจาก หวงเหว่ย หัวหน้าแผนกภูมิอากาศและพลังงานแห่งองค์กรสิ่งแวดล้อม กรีนพีซ อีสต์เอเชีย ระบุว่าแผนปฏิบัติการใหม่มีการควบคุมการปล่อยมลพิษในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น ส่งผลให้หลายเมืองที่ไม่เคยถูกควบคุมเรื่องมลพิษมาก่อนถูกกดดันให้ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ จากเดิมที่เคยเป็นเป้าหมายเฉพาะสำหรับกลุ่มเมืองปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย รวมถึงเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและแยงซีเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางการระบุว่าในบรรดาเมืองขนาดใหญ่จำนวน 338 เมืองที่อยู่ในข่ายถูกควบคุม มีถึง 231 เมืองที่ไม่ได้มาตรฐานคุณภาพอากาศตามเกณฑ์ค่า PM2.5 ซึ่งอนุญาตให้มีปริมาณฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเทียบเท่ากับมาตรฐานที่พอรับได้ขององค์การอนามัยโลก

 

มีการตั้งข้อสังเกตว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การควบคุมมลพิษตามแผนปฏิบัติการฉบับ 3 ปีไม่ได้ผลมากนักเป็นเพราะส่วนกลางไม่ได้กำหนดเป้าหมายให้ลดฝุ่นละอองโดยเทียบจากระดับมลพิษในปี 2017 ทว่ากลับใช้ตัวเลขของปี 2015 เป็นเส้นฐานแทน ซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลนัก

 

มีเสียงวิจารณ์ว่าเป้าหมายลดค่าฝุ่น PM2.5 ลง 18% ภายในปี 2020 เป็นเรื่องที่ง่ายดายเกินไปสำหรับบางเมือง ส่งผลให้มาตรการควบคุมการปล่อยมลพิษในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนในหลายเมืองไม่เข้มข้นมากนัก

 

ก่อนหน้านี้มีกว่า 70 เมืองที่ลดมลพิษในอากาศได้เกินเป้าของแผนปฏิบัติการฉบับแรก ซึ่งเป็นฉบับที่มีการกำหนดเป้าหมายใหม่ แต่สำหรับเฟสที่ 2 กลับไม่จูงใจให้เมืองเหล่านี้ดำเนินมาตรการมากขึ้น เพราะเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนระยะ 3 ปีไม่ท้าทายเพียงพอ

 

และแม้ว่าทุกเมืองจะทำได้ตามเป้าโดยลดฝุ่น PM2.5 ลง 18% แต่ก็จะมีกว่า 200 เมืองที่ไม่ได้มาตรฐานคุณภาพอากาศที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในปี 2020

 

อย่างไรก็ตาม หวังจินหนาน ผู้อำนวยการสถาบันวางแผนด้านสิ่งแวดล้อมในสังกัดกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีน ชี้แจงว่าการกำหนดเป้าหมายโดยแยกจากแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมระยะ 5 ปี (2016-2020) ของรัฐบาลอาจสร้างความสับสนให้กับรัฐบาลท้องถิ่นผู้รับแผนไปปฏิบัติ เพราะตัวเลขต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่ประกาศไปในปี 2016 ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถกำหนดเป้าหมายด้านปริมาณใหม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือเพียงตอกย้ำถึงความจำเป็นในการบรรลุเป้าหมายใหญ่ของแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมฉบับที่ 13 ของจีน

 

โฟกัสโอโซนระดับพื้นดินมากขึ้น

นอกเหนือจากฝุ่นละอองขนาดเล็กแล้ว โอโซนที่เป็นพิษซึ่งส่งผลเสียต่อระบบหายใจเมื่อสูดเข้าไปในร่างกายก็เป็นสิ่งที่ทางการจีนวิตกกังวลและถูกบรรจุลงในแผนปฏิบัติการฉบับใหม่ของรัฐบาลด้วย โอโซนที่ว่านี้อยู่ในระดับพื้นดิน ซึ่งเกิดจากสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds) หรือสาร VOCs ที่ทำปฏิกิริยากับไนโตรเจนออกไซด์ โดยทางการได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยสาร VOCs และไนโตรเจนออกไซด์ลง 10% และ 15% ตามลำดับ โดยใช้ตัวเลขปี 2015 เป็นฐาน

 

ปัจจุบันมีสัญญาณบ่งชี้ว่าปัญหามลพิษโอโซนในจีนเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนจะทำให้โอโซนในระดับพื้นดินเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ ขณะกรีนพีซเคยคำนวณไว้ว่าระดับโอโซนเฉลี่ยทั่วประเทศจีนในเดือนมิถุนายน ปี 2018 สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 11%

 

 

โมเดลระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้า

หนึ่งในกรณีศึกษาน่าสนใจเกี่ยวกับมาตรการต่อสู้กับปัญหามลพิษ นอกเหนือไปจากการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน ย้ายที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมออกนอกเขตเมือง และควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมแล้ว รัฐบาลจีนยังโดดเด่นในเรื่องการส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์ดีเซลและเบนซินที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญก็คือถึงแม้รัฐบาลจีนพบว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการปรับปรุงคุณภาพอากาศในกรุงปักกิ่ง แต่ความสำเร็จส่วนใหญ่มาจากการย้ายที่ตั้งอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษให้ไกลออกไปจากเมืองหลวง ซึ่งหากจีนต้องการบรรลุเป้าหมายคุณภาพอากาศทั่วประเทศภายในปี 2035 รัฐบาลจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบ

 

การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จึงต้องมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย

 

เพราะรถยนต์เป็นอีกหนึ่งต้นตอของมลพิษทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองใหญ่ของจีน

 

ในบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของนิตยสาร Forbes เมื่อปี 2018 มีการคาดการณ์ว่าจีนจะกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่มีระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

 

เรื่องนี้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยสำหรับจีน เพราะภาครัฐได้กำหนดยุทธศาสตร์ถนนสีเขียวและสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังมานานแล้ว โดยเมื่อเร็วๆ นี้เราได้เห็นความเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญคือบริษัท Tesla ของ อีลอน มัสก์ ได้ทำพิธีลงเสาเข็มเพื่อเดินหน้าสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Tesla แห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จจะเป็นฐานผลิตรถ Model 3 ที่สำคัญของ Tesla

 

หากคุณยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนพอ ลองดูข้อมูลจาก Forbes ประกอบก่อน

 

Forbes ระบุว่าในปี 2017 จีนผลิตรถเก๋ง รถบัส และรถบรรทุกที่เป็นระบบไฟฟ้าจำนวน 680,000 คัน ซึ่งมากกว่าทั่วโลกผลิตรวมกันเสียอีก นอกจากนี้จีนยังมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่าประเทศที่เหลือทั่วโลกด้วย

 

ขณะที่เมืองใหญ่อย่างเซินเจิ้นก็ประสบความสำเร็จในการยกเครื่องรถบัสโดยสารให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEVs) ทั้งหมด ซึ่งเป็นต้นแบบให้เมืองอื่นๆ ดำเนินรอยตาม ขณะที่ยานยนต์ลูกผสมอย่างรถไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) ก็กำลังหายไปจากท้องถนนในจีนอย่างรวดเร็ว

 

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกตัวสะท้อนความนิยมที่มีต่อยานยนต์ทางเลือก โดยข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีนเผยว่า จีนมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทะลุ 800,000 คันในปี 2017 พุ่งขึ้นจากตัวเลขไม่ถึง 100,000 คันในปี 2014

 

แต่ปัญหาการใช้รถ BEVs ก็ยังมีอยู่ รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้นต่อการชาร์จแบตครั้งเดียว โดยเป้าหมายคือการทำให้รถ BEVs วิ่งได้ไกลเกิน 160 กิโลเมตร (100 ไมล์) ต่อการชาร์จแบต 1 ครั้ง

 

และเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ จีนตั้งเป้าเพิ่มสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะให้ได้ 500,000 จุดภายในปี 2020 จากที่มีอยู่ 214,000 จุดในปี 2017

 

เฉพาะบริษัทการไฟฟ้าแห่งชาติของจีน (State Grid) ก็มีแผนจะเพิ่มจุดชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า 120,000 จุด จากจำนวน 10,000 จุดในปัจจุบัน โดยจะมีการติดตั้งเพิ่มตามเมืองใหญ่ต่างๆ เช่น เซินเจิ้น ซึ่งทดลองติดตั้งอยู่ริมถนนในบริเวณที่จอดรถ ทั้งหมดนี้ถือเป็นโมเดลสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า BEVs เพราะยิ่งมีจุดชาร์จแบตกระจายไปทั่วมากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังชั่งใจว่าจะเลือกรถ BEVs หรือไม่ เพราะแทนที่พวกเขาจะขับรถไปเติมน้ำมันตามปั๊มแบบเดิม พวกเขาก็สามารถเสียบปลั๊กชาร์จแบตขณะจอดรถตามที่ต่างๆ ได้

 

ดังนั้นหากคุณเดินทางไปจีนในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณอาจเห็นท้องฟ้าที่สดใสปลอดโปร่งขึ้นในเมืองใหญ่ๆ เพราะปัญหาแหล่งมลพิษจากรถเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจค่อยๆ หมดไปจากถนนในจีน

 

 

ความหวังใหม่

ความหวังใหม่สำหรับกรุงปักกิ่งที่เผชิญปัญหาหมอกพิษมานานหลายปี วันนี้ประชาชนได้เห็นท้องฟ้าที่สดใสขึ้น พร้อมกับความหวังใหม่ที่จะสามารถสูดอากาศได้เต็มปอดอย่างสบายใจในสักวันหนึ่ง

 

เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 ปักกิ่งวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในอากาศเฉลี่ยทั้งเดือนได้ 34 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งได้มาตรฐานคุณภาพอากาศระดับชาติที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเป็นครั้งแรก

 

สิ่งที่กรุงปักกิ่งโฟกัสเป็นพิเศษคือการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างเข้มงวด มีทั้งการสั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหลืออยู่ รวมถึงระงับโครงการก่อสร้างทั้งหมดในช่วงฤดูหนาว และยังออกกฎห้ามการเผาถ่านหินในเขตพื้นที่ต่างๆ รอบกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งทีมเจ้าหน้าที่ขจัดควันพิษ หรือ Smog Squad เพื่อตระเวนห้ามชาวเมืองทำกิจกรรมปิ้งย่างบาร์บีคิวกลางแจ้งและเผาขยะด้วย

 

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของกรุงปักกิ่งเปิดเผยว่า ตลอดเดือนมกราคม ปี 2018 คุณภาพอากาศอยู่ที่ระดับ ‘ดี’ และ ‘ดีเยี่ยม’ รวม 25 วันจากทั้งหมด 31 วัน และสามารถลดความหนาแน่นของอนุภาคฝุ่นละอองในอากาศถึง 70.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

 

นอกจากค่า PM2.5 แล้ว ค่าฝุ่นละออง PM10, ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนไดออกไซด์ของกรุงปักกิ่งยังลดลง 51.1%, 55.6% และ 35.4% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว

 

นอกจากเดือนมกราคมที่เป็นหมุดหมายแห่งความสำเร็จแล้ว ปักกิ่งยังทำได้ตามเป้าคุณภาพอากาศในเดือนสิงหาคมและกันยายนในปีที่แล้วอีกด้วย

 

 

สำหรับภาพรวมในปี 2018 ของปักกิ่ง หลังสามารถลดปริมาณฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอนอันเป็นต้นตอของหมอกพิษได้ถึง 12% ในปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลงานที่รัฐบาลค่อนข้างพอใจ แม้ตัวเลขเฉลี่ยตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 51 โมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานคุณภาพอากาศของจีนที่ระดับ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรก็ตาม

 

การบังคับใช้กฎหมายก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อไปสู่เป้าหมาย ทางการจีนเผยว่าเมื่อปีที่แล้วมีผู้ประกอบการที่ปล่อยมลพิษจำนวน 656 รายถูกสั่งให้ย้ายฐานที่ตั้ง ขณะที่บริษัทและบุคคลถูกปรับเงินรวมกว่า 230 ล้านหยวนฐานฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 22.5%

 

กรณีศึกษาของจีนถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศที่กำลังคิดใช้มาตรการต่างๆ เพื่อกอบกู้วิกฤต ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ เพราะกว่าที่จีนจะเห็นผลลัพธ์ที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ นั้น พวกเขาเริ่มตระหนักและแก้ปัญหามลพิษด้วยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบตั้งแต่เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน

 

เพราะการจะแก้ปัญหาฝุ่นพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและดำเนินมาตรการอย่างเคร่งครัดเท่านั้น จึงจะช่วยขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จได้

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post ‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/feed/ 0
จะเกิดอะไรขึ้น หลังทรัมป์เซ็นคำสั่งนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส https://thestandard.co/trump-us-withdraw-paris/ Tue, 21 Jan 2025 04:13:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1032573 trump-us-withdraw-paris

เป็นอีกครั้งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างเสียงฮือฮาตั้งแต่วั […]

The post จะเกิดอะไรขึ้น หลังทรัมป์เซ็นคำสั่งนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-us-withdraw-paris

เป็นอีกครั้งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างเสียงฮือฮาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังเขายืนยันที่จะพาสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสเป็นครั้งที่ 2 สวนกระแสความร่วมมือของนานาประเทศที่พยายามลดผลกระทบจากภาวะโลกรวน ซึ่งกำลังเป็นภัยคุกคามโลกในระดับวิกฤต

 

  • ความเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนภาพลักษณ์สหรัฐฯ

 

การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ส่งผลให้สหรัฐฯ กลายเป็น 1 ใน 4 ประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมข้อตกลงปารีสร่วมกับอิหร่าน ลิเบีย และเยเมน ทั้งที่ข้อตกลงดังกล่าวมีเป้าหมายสำคัญในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม มิเช่นนั้นสถานการณ์ความเลวร้ายทางสภาพอากาศจะไปสู่จุดที่แก้ไขได้ยากแล้ว

 

“ผมขอถอนตัวจากข้อตกลงปารีสที่ไม่เป็นธรรมและลำเอียงทันที” เขากล่าว ก่อนที่จะลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร (Executive Order) ต่อหน้าบรรดาผู้สนับสนุนที่มารวมตัวกัน ณ Capital One Arena ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมโจมตีว่าจีนยังคงสร้างมลพิษโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระอย่างไม่สมเหตุผล

 

ท่าทีล่าสุดของทรัมป์สะท้อนทัศนะของเขาเกี่ยวกับภาวะโลกรวนได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยประกาศไว้ว่า ‘โลกรวนคือเรื่องหลอกลวง’ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแผนงานต่างๆ ของทรัมป์ที่ต้องการปลดพันธนาการของบริษัทขุดเจาะน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ ออกจากกฎระเบียบสีเขียวต่างๆ เพื่อยกระดับกำลังการผลิตให้ได้มากที่สุด

 

ในขั้นตอนต่อไปนั้น สหรัฐฯ จะต้องแจ้งอย่างเป็นทางการต่อ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) เกี่ยวกับการถอนตัวดังกล่าว ซึ่งภายใต้ข้อกำหนดแล้ว ข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ในอีก 1 ปีต่อมา

 

  • ผลกระทบที่มากกว่าแค่คำสั่งถอนตัว

 

นักวิชาการเตือนว่าการถอนตัวครั้งนี้อาจสร้างความเสียหายต่อความพยายามด้านสภาพภูมิอากาศของนานาชาติในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก หรือเป็นรองเพียงแค่จีน

 

พอล วัตกินสัน อดีตผู้เจรจาเรื่องสภาพอากาศและที่ปรึกษานโยบายอาวุโสของฝรั่งเศส กล่าวว่า การถอนตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจแตะ 3 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษ อันจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น คลื่นความร้อนรุนแรงขึ้น และพายุทำลายล้างเกิดบ่อยครั้งขึ้น

 

  • สหรัฐฯ เลือกเดินสวนทางโลก

 

การตัดสินใจของทรัมป์สวนทางกับนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เน้นผลักดันสหรัฐฯ ให้เป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด และลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซ แม้ไบเดนจะเคยพลิกสถานการณ์และนำสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีสในปี 2021 แต่การถอนตัวครั้งใหม่นี้ชี้ให้เห็นว่าทรัมป์มีแผนจะผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการผลิตและกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

วัตกินสันกล่าวว่า การถอนตัวครั้งนี้ยังอาจสร้างความเสียหายต่อความพยายามด้านสภาพอากาศของนานาประเทศทั่วโลกได้มากขึ้น

 

“ครั้งนี้จะยากขึ้นเพราะเรายังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการดำเนินการ” วัตกินสันกล่าว

 

แม้หลายๆ ชาติจะมีความพยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด แต่ด้วยปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความขัดแย้งทางการเมือง และงบประมาณของรัฐที่จำกัด ทำให้หลายๆ ประเทศไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสภาพอากาศมาเป็นลำดับต้นๆ อย่างที่ควรจะเป็น

 

  • จีนจับตา เตรียมคว้าชัยในตลาดพลังงานสะอาด?

 

หลี่ซั่ว (Li Shuo) ผู้เชี่ยวชาญด้านการทูตสภาพภูมิอากาศแห่งสถาบัน Asia Society Policy Institute กล่าวว่าการถอนตัวของสหรัฐฯ อาจทำให้จีนกลายเป็นผู้นำในตลาดพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และยานพาหนะไฟฟ้า พร้อมเตือนว่าสหรัฐฯ อาจตามหลังจีนในด้านนี้มากขึ้น

 

“นี่คือโอกาสสำคัญที่จีนจะก้าวขึ้นมา และสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเสียเปรียบในการแข่งขัน” หลี่กล่าว

 

  • UN ยังคงหวังภาคธุรกิจและท้องถิ่นสหรัฐฯ หนุนพลังงานสะอาด

 

แม้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะถอนตัว แต่กูเตอร์เรสมั่นใจว่าเมืองต่างๆ รวมไปถึงรัฐและภาคธุรกิจของสหรัฐฯ “จะยังคงแสดงวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำด้วยการทำงานเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะสร้างงานที่มีคุณภาพ”

 

ฟลอเรนเซีย โซโต นีโน โฆษกสหประชาชาติ กล่าวในแถลงการณ์ว่า “สิ่งสำคัญคือสหรัฐอเมริกาต้องยังคงรักษาความเป็นผู้นำในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ความพยายามร่วมกันภายใต้ข้อตกลงปารีสทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เราจำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าและก้าวไปให้เร็วขึ้นด้วยกัน”

 

ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีการขุดเจาะน้ำมันอย่างแพร่หลายในเท็กซัส นิวเม็กซิโก และที่อื่นๆ เป็นเวลานานหลายปี ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยีการขุดน้ำมันแบบ Fracking และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลกนับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครน

 

การถอนตัวของสหรัฐฯ จากข้อตกลงปารีสเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกยังคงเผชิญความท้าทายจากการเมืองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่อาจขัดขวางความพยายามร่วมกันในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ในห้วงเวลาที่นาฬิกาของโลกกำลังเดินไปสู่จุดที่ไม่มีทางหวนกลับได้อีกต่อไป

 

ภาพ: Carlos Barria / Reuters

 

อ้างอิง:

The post จะเกิดอะไรขึ้น หลังทรัมป์เซ็นคำสั่งนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส appeared first on THE STANDARD.

]]>