Environment – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 17 Dec 2024 08:46:31 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด https://thestandard.co/real-christmas-tree-eco-friendly/ Tue, 17 Dec 2024 08:46:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1020508

แม้ชาวไทยส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ แต่เมื่อเข้าสู่เทศกา […]

The post ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด appeared first on THE STANDARD.

]]>

แม้ชาวไทยส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ แต่เมื่อเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสเราก็อดไม่ได้ที่จะเฉลิมฉลองไปกับบรรยากาศแสนอบอุ่น ปัจจุบันห้างร้าน สำนักงาน หรือแม้แต่บ้านของคนทั่วไปก็มีการตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาส เสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 

 

แต่หากคุณคิดว่าการตัดต้นคริสต์มาสที่เป็นต้นไม้จริงๆ เพื่อมาโชว์ครั้งเดียวแล้วทิ้งเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าต้นพลาสติก คุณอาจต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะบทความจากสำนักข่าว BBC ชี้ว่า การใช้ต้นคริสต์มาสจริงอาจดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่คุณคิด

 

อ้างอิง:

 

ปี 1800 สมเด็จพระราชินีชาร์ลอตต์ จัดตั้งต้นคริสต์มาสต้นแรกในอังกฤษ

ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด

ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด

ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด

ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด

ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด

ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด

ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด

 

ภาพประกอบ: พุทธิพงศ์ โรจน์ศตพงค์

The post ต้นคริสต์มาสจริงดีต่อสิ่งแวดล้อมกว่าที่คุณคิด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปี 2024 ปีที่โลกร้อนที่สุด https://thestandard.co/2024-hottest-year-on-record/ Tue, 17 Dec 2024 01:00:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1019693

แม้จะยังไม่หมดปี แต่ตัวเลขอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในปี 2024 […]

The post ปี 2024 ปีที่โลกร้อนที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>

แม้จะยังไม่หมดปี แต่ตัวเลขอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในปี 2024 ก็ทำลายสถิติเดิมทั้งหมดแล้ว

 

ยุคโลกเดือดมาถึงเราแล้ว

 

และยังเป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกค้างเติ่งอยู่เหนือเส้น 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็น​หมุดหมายสำคัญ​ด้าน​โลก​ร้อน​ที่นานาชาติ​ให้คำมั่นสัญญา​กันไว้ในข้อตกลง​ปารีส​อีกด้วย

 

“ยุคโลกเดือดมาถึงเราแล้ว” อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ​กล่าวไว้เมื่อปีกลาย และในปีนี้คำพูดคำนี้ก็วนเวียนตอกย้ำให้เราทั้งหลาย​เห็นว่ามันจริง

 

ข้อมูลจากระบบ ERA5

 

ข้อมูลจากระบบ ERA5 ของโครงการบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service) ระบุถึงอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกวงรอบ 12 เดือนคือ นับจากเดือนตุลาคม 2023 – เดือนกันยายน 2024 มีค่าสูงถึง 1.62 องศาเซลเซียส ซึ่งอยู่เหนือกว่าเส้น 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีสไปมากจนน่าตกใจ นอกจากนี้​อุณหภูมิผิวน้ำทะเล 6 เดือนแรกของปี 2024 ยังสูงกว่าปีที่แล้วซึ่งเคยเป็นปีที่ทำสถิติสูงสุดมาแล้ว​ตามแผนภูมิ​ด้านล่าง​

 

ผิวน้ำทะเลอุณหภูมิสูง

 

ผิวน้ำทะเลอุณหภูมิสูงกลุ่มนี้ยังย้ายข้ามจากฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกไปสู่ฝั่งตะวันตก ตามความเปลี่ยนแปลงจากเอลนีโญมาสู่ลานีญาของปีนี้ และนี่อาจเป็นสาเหตุ​หลักที่ก่อให้เกิด​ไต้ฝุ่น​มากถึง 4 ลูกในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเรื่อง​ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในบันทึกของ WMO

 

โซเนีย เซเนวิรัตเน

 

โซเนีย เซเนวิรัตเน นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจากมหาวิทยาลัยวิจัย ETH Zurich เผยว่า “ไม่รู้สึกแปลกใจ” กับการทำลายสถิติใหม่ของอุณหภูมิ​โลก​ในครั้งนี้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐภาคี COP29 จัดทำข้อตกลงเพิ่มความพยายามให้มากยิ่งขึ้นในการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

 

แต่ก็เหมือนที่เราทราบกัน ผลการประชุม COP29 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ออกมาในเชิงที่ไม่เป็นผลดีกับสภาวะโลกที่กำลังเดินหน้าสู่วิกฤตสักเท่าไร โดยการประชุมรอบนี้เน้นหนักไปที่การขอเงินชดเชยจากประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ไปให้กับประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่เป็นเกาะปะการัง ที่จะประสบปัญหาน้ำทะเลท่วมจนอยู่อาศัยไม่ได้ในอนาคต เช่น

มัลดีฟส์, หมู่เกาะมาร์แชลล์, ​คิริบาส และ​ตูวาลู

 

เกิน 1.5 องศาเซลเซียส​แล้วโลกจะไปทางไหน

 

ข้อตกลงปารีสหรือการประชุมโลกร้อน COP21 เมื่อปี 2015 ที่กรุงปารีสนั้น ที่จริงแล้วกำหนดตัวเลขออกมา 2 ชุดคือ 2.0 องศาเซลเซียส และ 1.5 องศาเซลเซียส โดยตัวเลขแรกคือ 2.0 องศาเซลเซียสนั้นสำคัญที่สุด เพราะมันคือ ‘จุดไม่หวนกลับ’ ซึ่งหมายถึงหากปล่อยให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกข้ามผ่านจุดนั้นไป สถานการณ์หลังจากนั้นก็จะดำเนินไปของมันเอง โดยไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็จะเข้าไปแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว ที่ประชุมจึงตกลงตัวเลข 1.5 องศาเซลเซียสขึ้นมาอีกตัวเพื่อ ‘ความพยายาม’ ของรัฐภาคีที่ร่วมลงนามเอาไว้ที่จะช่วยกันรักษาให้ได้เป็นด่านแรก แต่ตัวเลขนี้ไม่ใช่ตัวเลขที่กำหนดขึ้นมาลอยๆ เพราะมีการวิจัยไว้แล้วว่าหลังโลกร้อนจนแตะหรือผ่านตัวเลขนี้ไปจะเกิดสภาพอากาศสุดขั้ว ทั้งเวลาและสถานที่ รวมทั้งความรุนแรงในแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งในปี 2024 ก็มีภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้วปรากฏให้เห็นหลายเวลาและหลายสถานที่ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เป็นการเตือนเหล่ามนุษย์บนโลกโดยตรงจากธรรมชาติว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องที่นักวิทยาศาสตร์จินตนาการขึ้นมาเอง

 

แต่นับว่ายังดีที่การประชุม COP29 ได้ข้อกำหนดว่ารัฐภาคีต้องจัดทำข้อตกลง ‘การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด’ (Nationally Determined Contributions: NDCs) ฉบับใหม่ขึ้นในปีหน้าหรือปี 2025 ถือเป็นข้อกำหนด NDC 3.0 ที่ตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ภายในปี 2035 โดยยังคงใช้ตัวเลขเป้าหมายเดิมจากข้อตกลงปารีส นั่นคือกลับไปที่การควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ ‘ท้าทายมากยิ่งขึ้น’ สำหรับรัฐภาคีที่จะต้องลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ท่ามกลางความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

 

อ้างอิง:

 

 

 

The post ปี 2024 ปีที่โลกร้อนที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปดีลสำคัญประชุมโลกร้อน COP29 มีอะไรบ้าง https://thestandard.co/cop29-conclusion/ Mon, 25 Nov 2024 12:15:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1012604 COP29

การประชุมโลกร้อน COP29 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงบากู ประเทศอาเ […]

The post สรุปดีลสำคัญประชุมโลกร้อน COP29 มีอะไรบ้าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
COP29

การประชุมโลกร้อน COP29 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ปิดฉากลงแล้ว โดยหนึ่งในดีลที่สำคัญที่สุดในการประชุมครั้งนี้คือ ‘การกำหนดเป้าหมายใหม่ทางการเงิน’ (New Collective Quantified Goal on Climate Finance: NCQG) เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี โดยประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องจัดสรรเงินเพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้น 3 เท่า จาก 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2035

 

แม้เป้าหมายใหม่นี้จะดู ‘ท้าทายและทะเยอทะยานยิ่งขึ้น’ แต่ภาคีที่เป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนากลับมองว่าเป็นเป้าหมายที่ ‘ต่ำเกินไป’ และน้อยกว่าเม็ดเงินที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้จริงราว 3 เท่า อีกทั้งยังกำหนดเป้าหมายการระดมทุนโดยรวม 1,300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2035 ผ่านทั้งช่องทางการเงินสาธารณะและการลงทุนจากภาคเอกชนที่จะสามารถช่วยปลดล็อกทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้

 

ที่ประชุม COP29 ยังผลักดัน ‘กองทุนเพื่อความสูญเสียและความเสียหาย’ (Loss and Damage Fund) ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยแต่งตั้ง Ibrahima Cheikh Diong ผู้แทนพิเศษของประธานธนาคารอาหรับเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในแอฟริกาเรื่อง ESG สัญชาติเซเนกัล-อเมริกันเป็น ‘ผู้อำนวยการบริหารกองทุนคนแรก’ วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยจะเริ่มขับเคลื่อนกองทุนอย่างเป็นทางการในปี 2025 ซึ่งคาดว่ากองทุนจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินตามคำมั่นสัญญาที่ภาคีต่างๆ ได้ให้ไว้ในขณะนี้กว่า 730 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

COP29 ยังบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับ ‘ตลาดคาร์บอน’ โดยมีการเสนอ ‘กลไกการให้เครดิตตามข้อตกลงปารีส’ (Paris Agreement Crediting Mechanism) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบการซื้อขายในตลาดคาร์บอน และมีส่วนช่วยให้ภาคีต่างๆ จัดทำแผนสภาพภูมิอากาศของตนได้รวดเร็วและประหยัดยิ่งขึ้น และจะมีส่วนทำให้เกิดความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลดลงครึ่งหนึ่งภายในทศวรรษนี้

 

นอกจากนี้ COP29 ยังบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับ ‘การรายงานและการปรับตัวด้านสภาพภูมิอากาศ’ ที่มีความโปร่งใส โดยกำหนดแนวทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในประเด็นนี้ ซึ่งทุกภาคีจะต้องจัดทำรายงานความโปร่งใสรายสองปี (BTR) อีกทั้งทุกภาคียังมีกำหนดส่ง ‘การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด’ (Nationally Determined Contributions: NDCs) ฉบับใหม่ในปี 2025 อีกด้วย

 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 

 

ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา

อ้างอิง:

The post สรุปดีลสำคัญประชุมโลกร้อน COP29 มีอะไรบ้าง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมอกควันพิษอินเดียยังวิกฤต คุณภาพอากาศกระทบสุขภาพประชาชน https://thestandard.co/india-toxic-smog-health-crisis/ Sun, 24 Nov 2024 08:04:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1012231

สถานการณ์หมอกควันพิษในกรุงนิวเดลีและหลายพื้นที่ทางภาคเห […]

The post หมอกควันพิษอินเดียยังวิกฤต คุณภาพอากาศกระทบสุขภาพประชาชน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สถานการณ์หมอกควันพิษในกรุงนิวเดลีและหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของอินเดียยังคงวิกฤต ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ชาวอินเดียบางคนถึงกับเผยว่า สภาพอากาศของอินเดียขณะนี้ทำให้แสบตาราวกับมีผงพริกเข้าตา หายใจไม่สะดวก และส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็น

 

ทางการท้องถิ่นจึงแนะนำประชาชนให้อยู่ในที่พักอาศัยและหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น รวมถึงผลักดันเรื่องฉีดน้ำและฝนเทียม เพื่อใช้แก้ไขปัญหาหมอกควันพิษในขณะนี้ 

 

วิกฤตอากาศในอินเดียเกี่ยวพันกับการเผาไหม้ถ่านหินจำนวนมากในภาคการผลิตกระแสไฟฟ้าภายในประเทศ ประกอบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากยานพาหนะต่างๆ จำนวนหลายล้านคัน รวมถึงฝุ่นควันจากการเผาไหม้จากภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งไม่มีการควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวด ทำให้ปัญหาหมอกควันพิษเป็นหนึ่งในปัญหาเรื้อรังของอินเดีย

 

อ้างอิง:

 

ภาพ: Anushree Fadnavis / Reuters

 

ภาพ: Reuters

 

ภาพ: Anushree Fadnavis / Reuters

 

ภาพ: Anushree Fadnavis / Reuters

 

ภาพ: Bhawika Chhabra / Reuters

The post หมอกควันพิษอินเดียยังวิกฤต คุณภาพอากาศกระทบสุขภาพประชาชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
บทสรุป COP29: เกิดอะไรขึ้นบ้าง และไทยได้ประโยชน์อะไร https://thestandard.co/cop29-thai-benefits-summary/ Sat, 23 Nov 2024 07:57:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1012017

ปิดฉากลงแล้วสำหรับการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูม […]

The post บทสรุป COP29: เกิดอะไรขึ้นบ้าง และไทยได้ประโยชน์อะไร appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปิดฉากลงแล้วสำหรับการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือการประชุมโลกร้อน ‘COP29’ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน 2024 ที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยมีภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ทั้ง 198 ภาคี (197 ประเทศ + สหภาพยุโรป) เข้าร่วมการประชุมหลายระดับในปีนี้

 

ปัจจุบันวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ขอบเขตของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันดับต้นๆ ของโลก แม้ไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% ของทั้งโลกก็ตาม

 

หากทุกประเทศไม่ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมีนัยสำคัญ โลกอาจมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับเป้าหมายใน ‘ความตกลงปารีส’ (Paris Agreement) ที่พยายามควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากช่วงยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม

 

COP29 กับเป้าหมายใหม่ทางการเงิน

 

COP29 ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘Finance COP’ เนื่องจากหนึ่งในหัวใจสำคัญของการประชุมโลกร้อน 2024 คือ ‘การกำหนดเป้าหมายใหม่ทางการเงิน’ (New Collective Quantified Goal on Climate Finance: NCQG) เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งเคยกำหนดเป้าหมายไว้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องจัดสรรเงิน 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2020 ทั้งในรูปแบบเงินให้เปล่า (Grant) และเงินกู้แบบผ่อนปรน (Highly Concessional Loan) เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่เป้าหมายดังกล่าวนี้ ‘ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง’ และเคยมีความพยายามขยายระยะเวลาระดมเงินสนับสนุนออกไปเป็นภายในปี 2030

 

COP29 สิ้นสุดลงด้วยข้อตกลงครั้งสำคัญ หลังปรับเป้าหมายใหม่ที่ดู ‘ท้าทายและทะเยอทะยานยิ่งขึ้น’ โดยกำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องจัดสรรเงินช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2035 และในร่างแถลงการณ์ยังระบุถึงเป้าหมายการระดมทุนโดยรวม 1,300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2035 ผ่านช่องทางการเงินสาธารณะและการลงทุนจากภาคเอกชนที่จะสามารถช่วยปลดล็อกทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้

 

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ประเทศกำลังพัฒนาจำเป็นจะต้องเข้าถึงเงินทุนอย่างน้อย 1,000,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในสิ้นทศวรรษนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายใหม่ทางการเงินนี้ทำให้ที่ประชุม COP29 เสียงแตกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน โดยกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามองว่าเป้าหมายใหม่ต่ำเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมองว่าเป้าหมายใหม่สูงเกินไปและเป็นการเพิ่มภาระ เนื่องจากจำนวนประเทศพัฒนาแล้วที่ต้องแบกรับเป้าหมายดังกล่าวมีจำนวนเท่าเดิม

 

ประกอบกับมาตรการทางภาษีต่างๆ โดยเฉพาะของรัฐบาลใหม่สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยท้าทายที่อาจจะทำให้เป้าหมายใหม่ทางการเงินนี้บรรลุผลสำเร็จได้ยากมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีผู้แทนบางภาคีมองว่าจีนและอินเดียที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่สมควรรับบทเป็น ‘ผู้รับ’ อีกต่อไป และควรมีส่วนแสดงความรับผิดชอบต่อเป้าหมายใหม่นี้มากยิ่งขึ้น

 

วาระสำคัญอื่นๆ ใน COP29

 

การเข้าถึง ‘กองทุนเพื่อความสูญเสียและความเสียหาย’ (Loss and Damage Fund) เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่มีการหารือกันใน COP29 เนื่องจากกองทุนนี้เป็น ‘เครื่องมือทางการเงิน’ ในการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา เพื่อปรับตัวกับผลกระทบที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ และพยายามสร้าง ‘ความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศ’ ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันของบรรดาประเทศกำลังพัฒนาที่เผชิญกับความเสี่ยงภัยจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ทั้งที่ต้นตอส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีความพยายามปรับเพิ่มเงินระดมทุนจากราว 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อตอนที่กองทุนนี้ได้รับการบรรจุเป็นวาระสำคัญครั้งแรกใน COP27 หรือเมื่อสองปีก่อน

 

โดยแต่ละภาคียังจะต้องจัดทำ ‘การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด’ (Nationally Determined Contributions: NDCs) ฉบับใหม่ในปี 2025 โดยเฉพาะ NDC 3.0 ซึ่งเป็นเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2035 ที่มีความ ‘ท้าทายมากยิ่งขึ้น’ เพื่อให้สามารถควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีส และเช็กความคืบหน้าผลการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก ครั้งที่ 1 (The First Global Stocktake)

 

COP29 ได้หารือถึงแนวทางในการเสริมสร้างเป้าหมายระดับโลกเพื่อการปรับตัว (Global Goal on Adaptation: GGA) เพื่อให้ตัวชี้วัด (Indicators) ในระดับต่างๆ ทั้งระดับโลกและระดับท้องถิ่น มีความชัดเจนและสอดคล้องตามบริบทของแต่ละภาคี โดยพยายามลด ‘ช่องว่างทางการเงินเพื่อการปรับตัว’ (Adaptation Finance Gap) ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ราว 187,000-359,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้น

 

นอกจากนี้การใช้ประโยชน์จากตลาดคาร์บอน (Carbon Markets) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) โดยมาตรา 6 ในความตกลงปารีสอนุญาตให้ประเทศต่างๆ ซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศได้ โดยจะต้องมีแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน ไม่ซับซ้อน และไม่ก่อให้เกิดภาระเพิ่มเติมเกินจำเป็น แม้จะมีความคืบหน้าในประเด็นนี้ แต่ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบและความน่าเชื่อถือของระบบคาร์บอนเครดิตอยู่ไม่น้อย 

 

ประเด็นที่ไทยเสนอใน COP29

 

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมประชุม COP29 ระบุว่า ประเด็นที่ไทยเสนอในที่ประชุม COP29 มุ่งเน้นการเสนอผลการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ทั้งประเด็นการลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้ข้อตกลงและข้อตัดสินใจภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ อย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

 

  1. การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อการบรรลุ NDC 2030 ซึ่งคาดว่าสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 43% จากเป้าหมาย 30-40% คิดเป็น 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq)

 

  1. การขับเคลื่อนแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการประเด็นการปรับตัวฯ เข้าสู่แผนและยุทธศาสตร์ในรายสาขาและในพื้นที่ รวมถึงการจัดทำข้อมูลด้านภูมิอากาศและข้อมูลความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับประเทศ

 

  1. การเร่งผลักดัน ‘พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยคาดว่าจะบังคับใช้ในปี 2026

 

  1. นำเสนอตัวอย่างการสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนให้เป็นรูปธรรม จากการประชุมภาคีขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 3 (Thailand Climate Action Conference: TCAC 2024)

 

  1. การจัดส่งรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 (First Biennial Transparency Report: BTR1) ซึ่งประเทศไทยกำหนดให้สามารถจัดส่งได้ภายในเดือนธันวาคม 2024 ตามกำหนดเวลา

 

นับเป็นโอกาสของไทยที่ได้แสดงบทบาทในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับนานาชาติ พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานของประเทศไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065

 

ดร.เฉลิมชัย ได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงบนเวที COP29 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ที่ผ่านมาไทยได้เผชิญกับภัยพิบัติด้านสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง เกิดความสูญเสีย ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน รวมถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจและความหลากหลายทางชีวภาพ แม้ไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมาก (ไม่ถึง 1%) เมื่อเทียบกับทั้งโลก แต่ไทยยังคงมุ่งมั่นยกระดับการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเต็มความสามารถ บนหลักการ ‘ความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง’ เพื่อบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกตามกรอบ NDC 2030

 

พร้อมเร่งดำเนินงานไปสู่ NDC 3.0 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำกว่า 270 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2035 ควบคู่ไปกับการจัดทำ ‘แผนการลงทุนสีเขียว’ รวมถึงเร่งเพิ่มการดูดกลับของภาคป่าไม้ให้ได้ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2037

 

ในด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยได้มุ่งเน้นบูรณาการแผนการปรับตัวระดับชาติให้เชื่อมโยงกับการดำเนินงานระดับท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมในสาขาต่างๆ และที่สำคัญได้ขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติในทุกระดับอย่างเป็นระบบและบูรณาการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายภายใต้ความตกลงปารีส

 

การเจรจาคู่ขนานกับผลประโยชน์ของไทย

 

ดร.เฉลิมชัย ยังได้หารือกับ ยูทากะ มัตสึซาวะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น ถึงแนวทางการลงทุนโครงการขนาดใหญ่เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการพัฒนาแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใน ‘ระบบเตือนภัยล่วงหน้า’ (Early Warning System: EWS) เพื่อให้ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัย สามารถรับมือและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีมากยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ในห้วงของการประชุม COP29 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้หารือกับ เฮนรี กอนซาเลซ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนของ ‘กองทุนภูมิอากาศสีเขียว’ (Green Climate Fund: GCF) โดยเฉพาะประเด็นความชัดเจนเกี่ยวกับการเพิ่มโอกาสให้ไทยได้รับการสนับสนุนทางการเงินมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการดำเนินโครงการและการเตรียมความพร้อมเพื่อนำไปสู่การลงทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Investment) ทั้งนี้ ยังหารือกับผู้แทนจากรัฐบาลเยอรมนีและสิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และยกระดับความร่วมมือลดก๊าซเรือนกระจกที่แต่ละภาคีมีเป้าหมายร่วมกัน

 

การเข้าร่วมประชุม COP29 จึงมีความสำคัญกับไทยอย่างมาก เนื่องจากทุกความคืบหน้าของการเจรจาจะส่งผลต่อประโยชน์ของไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามข้อตกลงต่างๆ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนที่ใช้ในการปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตด้านสภาพอากาศอีกด้วย

 

สำหรับการประชุม COP30 ในช่วงปลายปี 2025 จะจัดขึ้นที่เมืองเบเลม (Belém) ในเขตแอมะซอน ทางตอนเหนือของบราซิล โดยหลายฝ่ายเชื่อว่า COP30 จะเป็นเวทีต่อยอดความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจาก COP29 เพื่อให้ภาคีทุกฝ่ายรับมือกับวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ภาพ: Murad Sezer / Reuters

อ้างอิง:

The post บทสรุป COP29: เกิดอะไรขึ้นบ้าง และไทยได้ประโยชน์อะไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครั้งแรกในรอบ 73 ปีที่ปรากฏ​ไต้ฝุ่น​พร้อมกันถึง 4 ลูก​ในเดือนพฤศจิกา​ยน​ https://thestandard.co/historic-four-typhoons-november-weather-record/ Sun, 17 Nov 2024 08:40:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1009736 ​ไต้ฝุ่น

ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบมาก่อนตั้งแต่มีการก่อตั้งองค์กร […]

The post ครั้งแรกในรอบ 73 ปีที่ปรากฏ​ไต้ฝุ่น​พร้อมกันถึง 4 ลูก​ในเดือนพฤศจิกา​ยน​ appeared first on THE STANDARD.

]]>
​ไต้ฝุ่น

ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบมาก่อนตั้งแต่มีการก่อตั้งองค์กรอุตุนิยมวิทยาระหว่างประเทศ (IMO) อย่าง​เป็น​ทางการ ย้อนกลับ​ไป​ถึงปี 1951 นับเป็นเวลาถึง 73 ปี ที่ในปีนี้เกิดการก่อตัวของ​ไต้ฝุ่น​ในเดือนพฤศจิกา​ยนในเวลาไล่เลี่ยกัน​ถึง 4 ลูก​

ได้แก่

 

  1. ไต้ฝุ่น​หยินซิ่ง (銀杏 / Yinxing) หรือ Marce​ ตามวิธีการ​เรียก​แบบ​ฟิลิปปินส์​ ก่อตัววันที่ 4 พฤศจิกายน
  2. ​ไต้ฝุ่น​โทราจี (도라지 / Toraji) หรือ Nika ตามวิธีการ​เรียก​แบบ​ฟิลิปปินส์ ก่อตัววันที่ 9 พฤศจิกายน
  3. ไต้ฝุ่นหม่านหยี่ (萬宜 / Man-yi) หรือ Pepito ตามวิธีการ​เรียก​แบบ​ฟิลิปปินส์​ ก่อตัววันที่ 9 พฤศจิกายน
  4. ไต้ฝุ่นอุซางิ (うさぎ / Usagi) หรือ Ofel ตามวิธีการ​เรียก​แบบ​ฟิลิปปินส์​ ก่อตัววันที่ 11 พฤศจิกายน

 

หากไต้ฝุ่น​ทั้ง 4 ลูกก่อตัวลักษณะ​นี้ในเดือนมิถุนา​ยน-ตุลาคม​ไม่ถือเป็น​เรื่องแปลก ในฤดูกาล​พายุของปีอื่นๆ ก็เคยเกิดมาแล้ว แต่การก่อตัวในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 4 ลูกในเดือนพฤศจิ​กายน รวมทั้งยังทวีกำลังจากดีเปรสชัน​ผ่านความเป็​นพายุ​โซน​ร้อน​จนกลายเป็น​ไต้ฝุ่น​หมดทุกลูกแบบนี้ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อย่าง​น้อยก็เท่าที่ทาง IMO บันทึกมา 73 ปี

 

ความแปลกของปี 2024 ยังไม่หมดเท่านี้ เมื่อมีรายงานถึงยอดภูเขาไฟ​ฟูจิ​ที่ไร้หิมะปกคลุมแม้จะล่วงเข้าเดือนตุลาคมซึ่งเป็นฤดู​ใบไม้​ร่วงนานเกิน 1 เดือนแล้ว ก็ไม่เคยปรากฏ​มาก่อนตลอดช่วงเวลาที่มีการก่อตั้งกรมอุตุ​นิยม​วิทยาของญี่ปุ่น​ที่มีอายุถึง 130 ปี

 

 

ภาพถ่ายด้านบนคือยอดภูเขาไฟ​ฟูจิ​ในวันที่ 12 พฤศจิกายน​ ก็ยังคงไร้หิมะปกคลุม​ จนกระทั่งล่าสุดพบเมฆเลนติ​คู​ลาร์​ลอยเหนือยอดเขา และหิมะกลับมาตกปกคลุมจนใกล้จะกลายเป็นภาพคุ้นตาก็ล่วงเข้าช่วงเช้าวันที่ 15 พฤศจิกายน​แล้ว (มีรายงานพบหิมะตกอย่างไม่เป็นทางการ​ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน แต่ก็ละลายไป)​

 

คำถามคือปีนี้เกิดอะไรขึ้นกับโลกจนสภาวะภูมิอากาศล่าช้าผิดปกติ​ไปประมาณ ​1 เดือน

 

 

คำตอบที่แน่ชัดรวมทั้งงานวิจัย​ต่างๆ ยังคงไม่มีการตีพิมพ์​ออกมาในเวลาที่เขียนบทความนี้ แต่หากมองถึงปัจจัย​ที่ใช้ในการก่อตัวของพายุหมุน​เขตร้อน​ก็หนีไม่พ้นอุณหภูมิ​ผิวน้ำทะเลฝั่งตะวันตก​ของ​มหาสมุทร​แปซิฟิก​ ที่สูงกว่าปกติในช่วงที่ปรากฏการณ์​ลานีญากำลัง​ดำเนินอยู่ในช่วงครึ่งหลัง​ของปี 2024 ซึ่งนอกจากส่งผลถึงการก่อตัวอย่างชุกชุม​ของพายุหมุน​เขตร้อน​นอกฤดูแล้ว​ ยังอาจส่งผลถึงกระแสน้ำคุโรชิโอะที่จะส่งผ่านน้ำอุ่น​จากเส้นศูนย์สูตร​ไปทาง​ตะวันออก​ของเกาะฮอน​ชู​ด้วย

 

ตามรายงานพบว่าในปี 2024 ญี่ปุ่นมีฤดูร้อนที่ร้อนผิดปกติและฤดูใบไม้ร่วงที่อบอุ่นกว่าที่เคยเป็น อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนตุลาคมที่ยอดเขาฟูจินั้นเคยมีค่าปกติอยู่​ที่​ลบ 2 องศาเซลเซียส แต่ปีนี้กลับขึ้นมาอยู่ที่ 1.6 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 1932

 

อย่างไรก็ตาม ​ขณะที่เรากำลัง​รอคำตอบ​จากเหล่านักวิทยาศาสตร์​ ก็ขอให้อย่าลืมที่จะช่วยกันเป็นหนึ่งในคนที่จะไม่เพิ่มภาระความผิดปกติ​ให้สภาวะภูมิอากาศ​โลก ก่อนที่ดาวเคราะห์​ดวงนี้จะ​เปลี่ยน​ไปจนหมดความสวยงามน่าอยู่อย่างที่เคยเป็น​

 

อ้างอิง:

The post ครั้งแรกในรอบ 73 ปีที่ปรากฏ​ไต้ฝุ่น​พร้อมกันถึง 4 ลูก​ในเดือนพฤศจิกา​ยน​ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภูเขาไฟฟูจิยังไร้หิมะแรก ช้าสุดในรอบ 130 ปี https://thestandard.co/fuji-mt-no-snow-130-years/ Mon, 28 Oct 2024 10:23:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1001040 ภูเขาไฟฟูจิ

สื่อญี่ปุ่นชี้ หิมะแรกของ ภูเขาไฟฟูจิ ยังไม่ปรากฏในปีนี […]

The post ภูเขาไฟฟูจิยังไร้หิมะแรก ช้าสุดในรอบ 130 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภูเขาไฟฟูจิ

สื่อญี่ปุ่นชี้ หิมะแรกของ ภูเขาไฟฟูจิ ยังไม่ปรากฏในปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่ช้าที่สุดในรอบ 130 ปี หรือนับตั้งแต่ที่มีการเก็บสถิติมา

 

หนังสือพิมพ์โยมิอุริ ชิมบุน รายงานว่า สถิติช้าที่สุดก่อนหน้านี้อยู่ที่วันที่ 26 ตุลาคม 1955 และอีกครั้งหนึ่งคือวันที่ 26 ตุลาคม 2016 แต่ปีนี้ล่วงเลยผ่านวันที่ 26 ตุลาคมแล้วก็ยังคงไม่มีหิมะตกลงมา ซึ่งโดยปกตินั้นหิมะแรกที่ปกคลุมภูเขาไฟฟูจิถือเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการมาเยือนของฤดูหนาว

 

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นเมืองโคฟุเปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้หิมะแรกยังไม่ตกลงมานั้นเป็นเพราะอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ ทำให้หิมะบนภูเขาตกลงมาล่าช้ากว่าเดิม

 

โดยปกติแล้วทุกๆ ปี เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศจะยืนยันการมาถึงของหิมะแรกของฤดูกาลจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากภูเขาประมาณ 40 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่า สภาพอากาศที่มีเมฆมากในบริเวณรอบๆ ภูเขาหรือในเมืองอาจทำให้พวกเขายืนยันการก่อตัวของหิมะได้ยากแม้ว่าหิมะตกแล้วก็ตาม

 

สำหรับปีที่ผ่านมา ภูเขาไฟฟูจิปรากฏหิมะแรกในวันที่ 5 ตุลาคม ซึ่งล่าช้ากว่าระยะเวลาเฉลี่ยที่หิมะแรกมักจะตกในช่วงวันที่ 2 ตุลาคม

 

อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าหิมะแรกมักตกช้าลงเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่ช่วงแรกที่มีการเก็บสถิติคือปี 1894 หิมะมักจะตกในช่วงเดือนกันยายน แต่ในช่วงหลังผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 หิมะจะเริ่มมาตกในช่วงเดือนตุลาคมแทน โดยในปี 1961, 1969 และ 2017 หิมะแรกตกในวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ล่าช้ามากที่สุดเป็นอันดับ 2

 

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามชาวบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง โดย ยูกะ ชิมิสึ พนักงานร้านชาเขียวที่ถนนฮอนโชโดริในเมืองฟูจิโยชิดะ จังหวัดยามานาชิ กล่าวว่า “โดยปกติแล้วเราจะสามารถชื่นชมทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิที่ปกคลุมไปด้วยหิมะท่ามกลางสีสันของฤดูใบไม้ร่วงได้ในช่วงนี้ของปี ฉันเองก็รอจะได้เห็นหิมะแรกที่ปกคลุมภูเขาไฟฟูจิเพื่อชื่นชมกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล”

 

ภาพ: The Yomiuri Shimbun

อ้างอิง:

The post ภูเขาไฟฟูจิยังไร้หิมะแรก ช้าสุดในรอบ 130 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
โลกรวนต้นเหตุเฮอริเคนเฮลีนแรงขึ้นกว่าเดิม จับตามิลตันจ่อซ้ำรอย https://thestandard.co/hurricane-helene-intensification/ Thu, 10 Oct 2024 01:50:08 +0000 https://thestandard.co/?p=994024 เฮอริเคนเฮลีน

นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ภาวะโลกรวนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ เ […]

The post โลกรวนต้นเหตุเฮอริเคนเฮลีนแรงขึ้นกว่าเดิม จับตามิลตันจ่อซ้ำรอย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เฮอริเคนเฮลีน

นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ภาวะโลกรวนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ เฮอริเคนเฮลีน ที่พัดถล่มสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม พร้อมเตือนด้วยว่าเฮอริเคนมิลตันที่เตรียมพัดถล่มรัฐฟลอริดาก็จะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐฯ เผชิญกับพลังทำลายล้างของ เฮอริเคนเฮลีน ที่ถล่มหนักในรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ สร้างความเสียหายใหญ่หลวง คร่าชีวิตผู้คนหลายร้อยคน อีกทั้งยังทำให้ประชาชนนับพันต้องอยู่โดยไม่มีไฟฟ้าใช้และขาดน้ำดื่ม

 

ล่าสุด World Weather Attribution ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เผยแพร่รายงานชี้ว่า ความเร็วลมของเฮอริเคนเฮลีนมีความรุนแรงขึ้น 11% ขณะเดียวกันยังเพิ่มปริมาณน้ำฝนสูงขึ้น 10% ด้วย เนื่องจากภาวะโลกรวน

 

ฟรีเดอริเก ออตโต นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจาก Imperial College London ซึ่งเป็นผู้ร่วมวิจัยครั้งนี้กล่าวว่า “ขณะนี้เรามีงานวิจัยมากมายที่บ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างภาวะโลกรวนและความรุนแรงของเฮอริเคน”

 

ที่ต้องจับตากันต่อคือเฮอริเคนมิลตัน ซึ่งเคลื่อนตัวเหนือมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิร้อนเป็นประวัติการณ์ โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในอ่าวเม็กซิโกสูงกว่าปกติมาก และน้ำที่อุ่นก็ทำหน้าที่เสมือนเชื้อเพลิงที่ทำให้พายุดังกล่าวมีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

พวกเขาอธิบายต่อว่า เฮอริเคนทั้ง 2 ลูกผ่านกระบวนการที่เรียกว่า ‘การเพิ่มความรุนแรงอย่างรวดเร็ว’ ซึ่งความเร็วลมของเฮอริเคนจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 35 ไมล์ต่อชั่วโมงภายใน 24 ชั่วโมง และเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะเกิดถี่ขึ้น เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีมนุษย์เป็นตัวการสำคัญจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยคณะนักวิจัยได้รวมผลการวิเคราะห์เชิงสถิติเข้ากับการสร้างแบบจำลองสภาพอากาศโดยละเอียด และพบว่าเฮอริเคนที่รุนแรงเหมือนเฮลีนนั้นมีแนวโน้มเกิดขึ้นมากกว่าเดิมราว 2.5 เท่า

 

เวลานี้ชาวอเมริกันกำลังจับตาเฮอริเคนมิลตันอย่างใกล้ชิด โดยเฮอริเคนมิลตันในเวลานี้มีความรุนแรงระดับ 4 และคาดว่าจะพัดถล่มฟลอริดาในช่วงคืนวันที่ 9 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่น สำนักข่าว CNN รายงานว่า เฮอริเคนลูกนี้อาจเป็นหนึ่งในลูกที่สร้างความเสียหายได้มากเป็นประวัติการณ์ และแม้เฮอริเคนมิลตันจะอ่อนกำลังลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพลังการทำลายล้างของมันจะลดลงเนื่องจากขนาดที่ใหญ่มหึมา โดยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เฮอริเคนขยายตัวจากประมาณ 80 ไมล์นับจากตาพายุเป็น 140 ไมล์ ซึ่งแปลว่าผลกระทบอันเลวร้ายของเฮอริเคนจะแผ่ขยายกว้างขึ้นมาก

 

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ของรัฐฟลอริดาเร่งประกาศเตือนให้ประชาชนรีบอพยพออกจากพื้นที่โดยด่วน หรือให้หลบอยู่ในที่ปลอดภัยเท่านั้น โดยย้ำว่า “อย่าลังเล หากออกไปได้ให้ออกไปเลยทันที”

 

ภาพ: Eduardo Munoz / Reuters

อ้างอิง:

The post โลกรวนต้นเหตุเฮอริเคนเฮลีนแรงขึ้นกว่าเดิม จับตามิลตันจ่อซ้ำรอย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยูนิเซฟเปิดตัวแคมเปญ #CountMeIn รับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน https://thestandard.co/unicef-countmein/ Mon, 09 Sep 2024 10:09:39 +0000 https://thestandard.co/?p=981515

วันนี้ (9 กันยายน) ยูนิเซฟ ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ #Cou […]

The post ยูนิเซฟเปิดตัวแคมเปญ #CountMeIn รับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (9 กันยายน) ยูนิเซฟ ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ #CountMeIn ‘โลกรวน เด็กเดือดร้อน รับฟังเสียงเด็ก’ เพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อเด็กและเยาวชน โดยธีมของแคมเปญ ‘เสียงของเด็ก เล่าจากเด็ก ลงมือทำโดยเด็ก’ เน้นย้ำถึงความสำคัญในการรับฟังเสียงของเด็กและเยาวชนเมื่อโลกเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

 

แคมเปญ #CountMeIn ได้จัดทำชุดเรื่องราวภาพถ่ายที่สะท้อนประสบการณ์ของเด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในภาคเหนือและภาคกลางของประเทศไทยล่าสุด โดยเผยให้เห็นถึงความท้าทายที่เด็กๆ ต้องเผชิญในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป 

 

นอกจากนี้ แคมเปญยังเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนบอกเล่าเรื่องราวชีวิตจริงของพวกเขาผ่านสิ่งสำคัญในชีวิตที่หายไปจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เช่น เยาวชนในจังหวัดเชียงใหม่ที่ต้องสูญเสียแม่จากโรคมะเร็งปอด ซึ่งเป็นผลมาจากมลพิษทางอากาศ PM2.5 ที่เลวร้ายลง หรือเด็กในชุมชนขุนสมุทรจีน จังหวัดสมุทรปราการ ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียบ้านถึง 3 ครั้งจากพายุที่รุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันเยาวชนที่สนใจในการถ่ายภาพสัตว์ป่าได้สังเกตเห็นการสูญหายและลดลงของชนิดพันธุ์สัตว์ป่า ในขณะที่เด็กชายจากจังหวัดยะลาต้องสูญเสียอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนที่ถูกน้ำท่วมพัดหายไปเมื่อปีที่แล้ว 

 

อลิสา ผลไธสง วัย 19 ปี นักกิจกรรมในชุมชนขุนสมุทรจีน ซึ่งย้ายบ้านมาแล้ว 3 ครั้งจากพายุ กล่าวว่า “สภาพอากาศในปัจจุบันดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันรู้สึกเหมือนครอบครัวของเราต้องทำงานหาเงินเพื่อเตรียมพร้อมที่จะสร้างบ้านใหม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร” 

 

อลิสาเติบโตในชุมชนชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเธอ เธอได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและสุดขั้ว การกัดเซาะในชุมชนขุนสมุทรจีนได้กลืนที่ดินไปถึงหนึ่งกิโลเมตร และทำให้หลายครอบครัวไม่สามารถอยู่อาศัยได้เนื่องจากน้ำท่วมบ่อยครั้งและรุนแรง 

 

คยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหา โดยกล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อชีวิตเด็กในทุกด้าน แต่เสียงของพวกเขากลับเป็นสิ่งที่ได้ยินน้อยที่สุด แคมเปญ #CountMeIn ไม่เพียงแค่สร้างความตระหนักถึงผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีต่อเด็กๆ เท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นที่จะทำให้มุมมองของเด็กๆ ถูกรับฟังและเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ เราต้องไม่ลืมว่าอนาคตที่เรากำลังสร้างนั้นเป็นของพวกเขา และเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะทำให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศด้วยเช่นกัน”

 

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยูนิเซฟร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมและภาคีเครือข่าย เปิดตัว ‘คู่มือกิจกรรมสิ่งแวดล้อมศึกษา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ’ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เข้าใจง่าย และมีกิจกรรมสำหรับครูและนักเรียนในการเรียนรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คู่มือนี้จะแจกจ่ายไปยังโรงเรียนทั่วประเทศไทย เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพคืออะไร ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร และพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม

 

แคมเปญ #CountMeIn ยังมีเซเลบริตี้และอินฟลูเอ็นเซอร์มากมายมาร่วมกิจกรรม เช่น พอลล่า เทเลอร์ Friend of UNICEF ได้ทำวิดีโอสั้นพูดคุยกับลูกๆ ของเธอถึงความสำคัญของอากาศสะอาดและท้องฟ้าสดใส ในขณะที่อินฟลูเอ็นเซอร์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ใบตอง-จรีรัตน์ เพชรโสม และ ก้องกรีนกรีน ก็ลงพื้นที่กับยูนิเซฟเพื่อรับฟังเสียงของเด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศในจังหวัดขอนแก่นและสมุทรปราการ

 

ในเดือนกันยายนนี้ แคมเปญ #CountMeIn จะจัดทำโพลเพื่อสำรวจความคิดเห็น ความต้องการ และคำแนะนำของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจะจัดประชุมหารือกับเยาวชนซึ่งนำโดยคณะกรรมการที่ปรึกษาเยาวชนของยูนิเซฟ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะของเยาวชนเพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 29 หรือ COP29 จะจัดขึ้นประเทศที่อาเซอร์ไบจานในเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ ยูนิเซฟยังสนับสนุนให้ตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมการประชุม COP29 เพื่อให้เด็กๆ ได้มีบทบาทสำคัญในการพูดคุยเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และให้ผู้ใหญ่หันมารับฟังและรวมเด็กๆ เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ปัญหานี้

 

ด้าน สิปโปทัย เกตุจินดา วัย 23 ปี หนึ่งในตัวแทนเยาวชนไทยที่จะเดินทางไปร่วมประชุม COP29 กล่าวว่า “เราหวังว่าแคมเปญนี้จะช่วยส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อเด็กและเยาวชน 

 

“แม้ว่าเด็กและเยาวชนจะเป็นผู้ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ารุ่นผู้ใหญ่ แต่พวกเขาจำเป็นต้องมีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุนในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศด้วย เพราะพวกเขามีทั้งพลังกาย พลังใจ และสามารถมองเห็นวิธีแก้ไขปัญหาเก่าๆ ในมุมมองใหม่ๆ ได้”

 

ภาพ: ปฏิภัทร จันทร์ทอง / ยูนิเซฟ / 2024

อ้างอิง: 

  • ยูนิเซฟ ประเทศไทย

The post ยูนิเซฟเปิดตัวแคมเปญ #CountMeIn รับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 : ทันเทรนด์ 2025 ใน 3 วัน https://thestandard.co/thestandardeconomicforum2024-teaser/ Wed, 21 Aug 2024 11:26:25 +0000 https://thestandard.co/?p=973657 THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024

THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 : BRAVE NEW WORLD เศรษ […]

The post THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 : ทันเทรนด์ 2025 ใน 3 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024

THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 : BRAVE NEW WORLD เศรษฐกิจไทย ไล่กวดโลกใหม่

 

เตรียมพร้อมรับมือการเมือง-เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และความผันผวนของโลกใหม่ กับฟอรัมแห่งปีที่ครบทุกเทรนด์ความรู้สำคัญของปี 2025 

 

วันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2024 ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

 

ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ ZipEvent

 

ถ้าคุณคือผู้นำที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนองค์กรแบบไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ห้ามพลาด!

 

Day 1 | วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2024 Brave New Challenge: เจาะลึกเศรษฐกิจ เปลี่ยนผ่านความยั่งยืน

 

  • ทิศทางเศรษฐกิจมหภาคปี 2025
  • กลยุทธ์ปรับในยุคโลกเดือด
  • พลังงานจะเปลี่ยนผ่านได้จริงหรือ?
  • ปลุกเศรษฐกิจไทยด้วย Green Supply Chain
  • การศึกษา 4.0: เตรียมแรงงานไทยสู่อนาคต

 

Day 2 | วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2024 Brave New World Order: อ่านเกมภูมิรัฐศาสตร์ คว้าโอกาสเมกะเทรนด์

 

  • เจาะลึกสถานการณ์เมียนมา อ่านเกมอาเซียน ถกสงคราม
  • มองขั้วอำนาจจีน vs. สหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งฯ
  • อ่านเกมเศรษฐกิจผ่านมุมมองภูมิรัฐศาสตร์
  • กลยุทธ์การท่องเที่ยวแห่งอนาคต
  • คว้าโอกาสยุค AI อย่างไรให้ไม่ตกขบวน

 

Day 3 | วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2024 Brave Future Frontiers: สำรวจอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

 

  • ไทยต้องปรับตัวอย่างไรในโลกการลงทุนใหม่
  • ทิศทาง EV และโอกาสของไทย
  • คว้าโอกาสในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
  • วิเคราะห์การเมืองปี 2025
  • ปลดล็อกการเติบโตของไทยด้วย Rule of Law

 

เลือก 1 วัน หรือเก็บครบ 3 วัน เจาะลึกประเด็นสำคัญที่คุณสนใจ

 

ซื้อบัตร 1 วันในราคาพิเศษ เพียงใบละ 1,590.-

 

คุ้มกว่า! เก็บครบทุกประเด็น ไม่พลาดความรู้สำคัญในปี 2025

ซื้อบัตร 3 วันเต็ม ราคา 3,990.

 

ถ้าคุณคือผู้นำที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนองค์กรแบบไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ห้ามพลาด!

 

THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 BANNER

 

ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ ZipEvent

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ THE STANDARD

 

The post THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 : ทันเทรนด์ 2025 ใน 3 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>