Environment – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 20 Oct 2025 11:52:03 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ดีอีและ BDI ดันเชียงใหม่ เมืองต้นแบบอากาศสะอาด ปฏิรูปใช้ Big Data แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก่อนปูทางใช้ทั้งประเทศ https://thestandard.co/chiang-mai-big-data-pm25-model/ Mon, 20 Oct 2025 11:40:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1133035 COVER - Chiang Mai Big Data PM25 Model

ก่อนหน้านี้เรามักได้ยินหรือพบเห็นชื่อของ ‘เชียงใหม่’ ปร […]

The post ดีอีและ BDI ดันเชียงใหม่ เมืองต้นแบบอากาศสะอาด ปฏิรูปใช้ Big Data แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก่อนปูทางใช้ทั้งประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
COVER - Chiang Mai Big Data PM25 Model

ก่อนหน้านี้เรามักได้ยินหรือพบเห็นชื่อของ ‘เชียงใหม่’ ปรากฏตามหน้าสื่อในฐานะเมือง / จังหวัดที่ประสบปัญหาด้านฝุ่นพิษ PM2.5 อยู่เป็นประจำ ตัวอย่างกรณีล่าสุดคือ เคสในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่พวกเขาติดลำดับ 3 เมืองที่มีปริมาณฝุ่นเกินมาตรฐานของโลกจากการเปิดเผยของ IQAir มาแล้ว

 

แม้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะพยายามเร่งแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พลเมืองในพื้นที่กันอย่างเต็มกำลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ยังดูเป็นอุปสรรคคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีที่ไม่สามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาด และแก้ไขได้ภายในระยะเวลาชั่วข้ามคืนอยู่ดี

 

จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ เราก็ได้เห็นความพยายามจากหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษให้สำเร็จให้ได้ ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การผลักดันของ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กับการนำเทคโนโลยีอย่าง Big Data เพื่อมาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว

 

Envi Link ต้นแบบแพลตฟอร์มสิ่งแวดของประเทศไทยกับการปฏิรูปทดลองใช้งานจริงกับ ‘เชียงใหม่’

 

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เปิดตัว ‘Envi Link’ ในฐานะแพลตฟอร์มด้านสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการนำเทคโนโลยี Big Data ผ่านการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 30 หน่วยงานทั่วประเทศ รวมมากกว่า 200 ชุดข้อมูล มายกระดับแนวทางการบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ให้เกิดประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง

 

ในระยะแรกนี้ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่จะนำร่องใช้งาน Envi Link กับจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทดลองจัดการสิ่งแวดล้อมด้วยข้อมูล และยกระดับคุณภาพอากาศ คุณภาพชีวิต และความยั่งยืนของเมืองในระยะยาว เนื่องจากเชียงใหม่ถือเป็นเมืองที่มีความท้าทายด้านฝุ่นพิษ PM2.5 ของประเทศไทยต่อเนื่องยาวนานหลายปี

 

ศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การมีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงอย่าง Envi Link เข้ามาช่วยสนับสนุนจะเปรียบเสมือ ‘จุดเปลี่ยนสำคัญของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่’ เพราะจะช่วยให้เชียงใหม่มีข้อมูลเชิงลึกและแม่นยำมากขึ้นในการประเมินสถานการณ์ วางแผน และออกมาตรการได้อย่างทันท่วงที

 

โดยเฉพาะการใช้ Data Dashboard เพื่อให้ผู้บริหารสามารถติดตามสถานการณ์จริงในแต่ละพื้นที่ได้แบบเรียลไทม์ พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มและประเมินผลการดำเนินงานจากหลักฐานในเชิงข้อมูล (data-driven decision) ได้อย่างเป็นระบบ

 

CONTENT-

ศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

 

“ความร่วมมือระหว่างจังหวัดกับ BDI ในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการนำเทคโนโลยีข้อมูลมาช่วยแก้ปัญหาฝุ่นควัน แต่ยังเป็นต้นแบบของ ‘เมืองอากาศสะอาด’ ที่ภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาชนจะสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันในการติดตามสถานการณ์และร่วมกันวางแผนป้องกันปัญหาได้อย่างมีส่วนร่วม ถือเป็นการยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุก ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริงและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน”

 

ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI กล่าวถึงการเปิดตัว Envi Link ในครั้งนี้ว่า “BDI มุ่งมั่นใช้พลังของข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในทุกมิติ

 

CONTENT-2

ศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)

 

“รวมถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นรากฐานของคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนของประเทศ การเชื่อมโยงข้อมูลกว่า 200 ชุดผ่านแพลตฟอร์ม Envi Link จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างระบบข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงหน่วยงานต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้งภาครัฐ นักวิจัย ภาคธุรกิจ และชุมชน เพื่อให้เกิดการตัดสินใจเชิงนโยบายที่แม่นยำและตรงจุด”

 

CONTENT-3

 

ทำไม Envi Link ถึงจะกลายเป็น Game Changer ที่สำคัญของการแก้ไขปัญหาฝุ่นในระยะยาวของประเทศไทย?

 

อย่างที่มีการเปิดเผยไปในก่อนหน้านี้ว่า สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเชื่อมโยงข้อมูลมากกว่า 200 ชุดเข้าด้วยกันนั้น

 

ข้อมูลที่ว่า หลัก ๆ แล้วจะเป็น Source ข้อมูลต้นกำเนิดของฝุ่นควันที่ครอบคลุมในทุกมิติ ตัวอย่างเช่น

 

  • ปริมาณค่าฝุ่น
  • จุดความร้อนในพื้นที่
  • พื้นที่เผาไหม้
  • การขอใช้ไฟในระบบ Fire-D
  • สถานการณ์ผู้ป่วยจากมลพิษทางอากาศ
  • ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศของหน่วยงานต่าง ๆ
  • ฯลฯ

 

การ Pool รวมข้อมูลเหล่านี้ผ่าน Envi Link เพื่อจัดทำ Dashboard ในการมอนิเตอร์ปัญหาฝุ่นพิษได้แบบเรียลไทม์จะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้บริหารและหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อัปเดตและเชื่อมโยงกันได้แบบทันสถานการณ์

 

ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการปัญหาได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที และได้รับการผลักดันต่อยอดให้เป็นแพลตฟอร์มฐานข้อมูลกลาง เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ตามความเห็นที่ประชุมคณะทำงานพัฒนาแพลตฟอร์มฐานข้อมูลกลางเพื่อสนับสนุนมาตรการลดมลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5)

 

ในอนาคต สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่มีแผนจะร่วมมือกับกลุ่มนักวิจัยในพื้นที่เพื่อขยายผลการใช้งานแพลตฟอร์ม Envi Link ไปยัง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ก่อนจะต่อยอดไปสู่การสร้างระบบข้อมูลสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาคและทั้งประเทศเพื่อสนับสนุนการวางนโยบายเชิงพื้นที่ การบริหารจัดการไฟป่า และการลดปริมาณฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน

 

ทั้งยังรวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบเศรษฐกิจเพื่อวางนโยบายในการจัดการกับปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การติดตามพื้นที่เผาไหม้ตามชนิดพืชเศรษฐกิจจากภาพถ่ายดาวเทียม การแนะนำพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการปรับเปลี่ยนพืชในพื้นที่

 

ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพราะจะสามารถนำไปใช้วางแผน กำหนดนโยบายเชิงรุก ควบคุมด้านเศรษฐกิจและการทำการเกษตรอย่างจริงจังเพื่อลดการเผาให้ได้อย่างยั่งยืนนั่นเอง

 

“การดำเนินงานในจังหวัดเชียงใหม่ไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการข้อมูลสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อน Smart Environment ภายใต้นโยบายเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของรัฐบาล ที่มีมีเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลกลายเป็นเครื่องมือสำคัญออกแบบนโยบาย การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนในทุกมิติ” ศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี กล่าวทิ้งท้าย

The post ดีอีและ BDI ดันเชียงใหม่ เมืองต้นแบบอากาศสะอาด ปฏิรูปใช้ Big Data แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก่อนปูทางใช้ทั้งประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายงานใหม่ UNICEF ชี้ เยาวชนไทยกำลังลุกขึ้นสู้กับโลกรวน แต่ยังไร้สิทธิ์ร่วมตัดสินใจ https://thestandard.co/unicef-report-thai-youth-climate-voice/ Mon, 29 Sep 2025 05:57:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1124233 UNICEF

รายงานฉบับใหม่ของ UNICEF เผยว่า เด็กและเยาวชนไทยกำลังก้ […]

The post รายงานใหม่ UNICEF ชี้ เยาวชนไทยกำลังลุกขึ้นสู้กับโลกรวน แต่ยังไร้สิทธิ์ร่วมตัดสินใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
UNICEF

รายงานฉบับใหม่ของ UNICEF เผยว่า เด็กและเยาวชนไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่น แต่เสียงของพวกเขากลับถูกละเลย ไม่ได้รับการสนับสนุน และบางครั้งยังเผชิญกับการคุกคาม รายงาน ‘จากรุ่นสู่รุ่น ในโลกใบเดียวกัน’ (Between Generations, One Planet) ที่เผยแพร่ล่าสุด ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ UNICEF เปิดตัว แคมเปญ #CountMeIn 2025 จากเหนือจรดใต้ ทุกเสียงของเด็กมีความหมาย: รับฟัง ลงมือทำ รับมือโลกรวน ซึ่งมุ่งส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากทุกภาคส่วนของสังคม

 

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นจากงานวิจัยเชิงลึกและการรวบรวมความคิดเห็นของเยาวชนจากกว่า 110 องค์กรทั่วประเทศ โดยพบว่า แม้เยาวชนจะมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน การสร้างการตระหนักรู้ และการผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย แต่พวกเขามักถูกกันออกจากกระบวนการตัดสินใจที่สำคัญ เยาวชนจำนวนมากยังขาดพื้นที่ปลอดภัย ทรัพยากรและงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนจากชุมชนชายขอบหรือพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์และเด็กพิการ มักถูกละเลยจากเวทีในระดับประเทศ รายงานยังชี้ว่า เด็กและเยาวชนบางส่วนรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อออกมาแสดงความคิดเห็น ซึ่งทั้งหมดนี้ตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการคุ้มครองและสร้างโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

 

เซเวอรีน เลโอนาร์ดี รักษาการผู้อำนวยการ องค์การ UNICEF ประเทศไทย กล่าวว่า “เด็กและเยาวชนไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วย” 

 

“รายงานและแคมเปญนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เยาวชนไม่เพียงต้องได้รับการรับฟัง แต่ต้องได้รับการสนับสนุน การคุ้มครอง และการเสริมพลังให้มีส่วนร่วมในการออกแบบแนวทางที่โลกต้องการอย่างเร่งด่วน”

 

ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ของดัชนีความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศโลกปี 2025 ขณะเดียวกัน รายงานของ UNICEF ในปี 2023 ระบุว่า เด็กในประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม โดยภัยแล้ง คลื่นความร้อน และน้ำท่วมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเด็กยากจนและกลุ่มเปราะบางมากที่สุด

 

แคมเปญ #CountMeIn ปีนี้มาพร้อมแนวคิด “เสียงของเด็ก พลังของเด็ก” โดยชูพลังการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการต่อสู้อย่างไม่ลดละที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชน  เพื่อย้ำว่า ทุกเสียงและการลงมือทำของเด็กและเยาวชนล้วนมีความหมาย

 

ทั้งนี้ แคมเปญ #CountMeIn 2025 จากเหนือจรดใต้ ทุกเสียงของเด็กมีความหมาย: รับฟัง ลงมือทำ รับมือโลกรวน ยังหยิบยกเรื่องราวของตัวแทนเยาวชน 3 คนที่มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจ ได้แก่

 

 

สิริกานต์ เส่งหล้า อายุ 18 ปี เยาวชนชาติพันธุ์ม้งจากจังหวัดเชียงใหม่ ผู้เคยประสบเหตุการณ์ดินถล่มครั้งใหญ่ที่ทำให้หมู่บ้านถูกตัดขาดจากอาหาร น้ำ และไฟฟ้านานหลายวัน “เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ทุกครั้งที่ฝนตกหนัก หนูจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน กังวลและกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก แต่การได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้หนูมีความหวังมากขึ้น  หนูพยายามบอกเล่าความรู้นี้ให้คนในหมู่บ้านเข้าใจว่า เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเจ้าป่าเจ้าเขาลงโทษ แต่คือปัญหาสภาพอากาศที่เราต้องเตรียมรับมือร่วมกัน”

 

 

ปัณณ์พิตรา ภูธร อายุ 22 ปี หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาเยาวชนของยูนิเซฟจากจังหวัดร้อยเอ็ด ต้องเผชิญทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมที่ทำลายผลผลิตทางการเกษตรของครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก เธอต้องทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและเป็นทุนการศึกษาให้ตนเอง “ทุกคนมีส่วนในการปล่อยคาร์บอน สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าทุกการกระทำของเราส่งผลต่อโลก เราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่ช่วยหรือทำร้ายโลกก็ได้ โลกไม่ได้ต้องการความสมบูรณ์แบบ แต่ต้องการคนที่พร้อมลงมือทำ และหนูเลือกการใช้ซ้ำ โดยเริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เช่น เสื้อผ้า”

 

 

ไครียะห์ ระหมันยะ อายุ 23 ปี หรือที่รู้จักในชื่อ ‘ลูกสาวแห่งทะเล’ เคยเป็นข่าวดังจากการลุกขึ้นคัดค้านการทำลายชายฝั่งบ้านเกิดในจังหวัดสงขลาตั้งแต่วัยรุ่น “เคยมีคนบอกเราว่า ‘จุ้นจ้านน่ะ เป็นเด็กก็ไปตั้งใจเรียนไป’ เราได้แต่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรกลับไปต่อหน้า แต่พูดกับสาธารณะว่า ‘ถึงจะเป็นเด็ก แต่เราดื่มกินอยู่กับฐานทรัพยากรที่บ้าน หายใจอากาศบริสุทธิ์ เราเลยมีสิทธิที่จะปกป้อง’ มันคือหน้าที่ของทุกคนที่ต้องปกป้องอาหารปลอดภัยและอากาศบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องแยกว่าควรเป็นใครทำ”

 

รายงาน จากรุ่นสู่รุ่น ในโลกใบเดียวกันและแคมเปญ #CountMeIn ต่างเรียกร้องให้ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ร่วมกันสนับสนุนโครงการที่นำโดยเยาวชน ปกป้องนักปกป้องสิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่ และสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัย เปิดกว้าง และมีโครงสร้างชัดเจน เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดนโยบายและการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ

 

เลโอนาร์ดี เน้นย้ำว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือ ความท้าทายที่สำคัญที่สุดของยุคเรา…หากเราอยากได้ทางออกที่ยั่งยืน เยาวชนต้องอยู่ในศูนย์กลางของการตัดสินใจ” 

 

ภาพ: Arun Roisri / UNICEF

Patipat Janthong / UNICEF

อ้างอิง: 

  • องค์การ UNICEF ประเทศไทย

 

The post รายงานใหม่ UNICEF ชี้ เยาวชนไทยกำลังลุกขึ้นสู้กับโลกรวน แต่ยังไร้สิทธิ์ร่วมตัดสินใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน https://thestandard.co/pm25-research-north-thailand/ Tue, 08 Jul 2025 00:00:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1093952 พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทย […]

The post ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และจัดเสวนาในหัวข้อ ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 ณ โรงแรมทรีธารา จังหวัดลำปาง

 

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสถาบันการศึกษา ได้มีการร่วมมือกันมองปัญหาอย่างมุ่งเป้าไปที่เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องอากาศ ที่มีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สะสมในอากาศปริมาณมากทุกปี

 

 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้กล่าวเปิดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เพื่อประกาศเจตนารมณ์ว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติกำหนดเป้าหมายหลัก 3 ประการไว้สำหรับโครงการนี้ ได้แก่ การลดจุดความร้อนหรือ Hotspot ให้ไม่เกิน 5,000 จุดต่อปี การลดจำนวนวันที่มีค่าฝุ่น PM2.5 มากเกินมาตรฐานให้ไม่เกิน 50 วันต่อปี และการลดจำนวนผู้ป่วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังหรือ COPD ให้มีไม่เกิน 1,000 คนต่อปี โดยมุ่งหวังว่าทุกหน่วยงานจะมีการร่วมมือกันเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น

 

 

ศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้กล่าวถึงการดำเนินงานภายใต้โครงการว่า แบ่งการแก้ปัญหาออกเป็น 6 มิติ โดยมิติที่ 1 คือเรื่องงานวิจัยเพื่อบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหาของภาคส่วนต่าง ๆ มิติที่ 2 เป็นเรื่องลดการเผาพื้นที่เกษตรกรรมผ่านงานวิจัยนวัตกรรมเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มิติที่ 3 คือเรื่องลดการเผาป่าและการจัดการไฟป่าโดยการร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มิติที่ 4 คือการลดปริมาณไอเสียจากการคมนาคมในพื้นที่เมือง มิติที่ 5 คือการลดฝุ่นข้ามชายแดนด้วยการทำข้อตกลงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อกำหนดนโยบายร่วมกัน และสุดท้ายมิติที่ 6 เป็นมิติการสื่อสารเชิงรุกด้วยการนำข้อมูลงานวิจัยมาเผยแพร่เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชน

 

แผนงานดังกล่าว ทางสำนักงานการวิจัยแห่งชาติได้เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นต้นแบบที่เริ่มต้นใน 8 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือก่อน ประกอบไปด้วยจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และตาก 

 

พิธีลงนามโครงการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย ลดปัญหา PM2.5 ภาคเหนือ โดย วช. และตัวแทนจังหวัดลำปาง

 

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 ในครั้งนี้แบ่งออกเป็นการลงนามจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติร่วมกับตัวแทนจากจังหวัดลำปาง และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติร่วมกับตัวแทนจากจังหวัดตาก โดยมีผู้ร่วมลงนามทั้งหมดดังนี้

 

  1. นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
  2. นายกฤษณะ พินิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง 
  3. นายสาธิต มณฑาทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก 
  4. นางสาวปิยธิดา ถิระรณรงค์ เจ้าหน้าที่เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิเคราะห์นโยบายและแผนงานวิจัยการเกษตร ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) 
  5. นายพิษณุพล ประสาน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง 
  6. นางจิตรี จิวะสันติการ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง 
  7. นางศิริพร ปัญญาเสน ประธานเครือข่ายฟ้าใส ลมหายใจลำปาง 
  8. นายวิเชษฎ ขาวละออ หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ ผู้แทนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก 
  9. นายวิฑูรย์ ภู่ชินาพันธุ์ กรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดตาก ผู้แทนประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดตาก 
  10. นายอารักษ์ อนุชปรีดา ประธานสภาลมหายใจจังหวัดตาก

 

 

นอกจากในส่วนของพิธีการลงนามบันทึกข้อตกลงและเสวนาแล้ว นักวิจัยและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังมีนิทรรศการจัดแสดงผลงานวิจัยอีกด้วย ทั้งที่เป็นชิ้นงานผลิตภัณฑ์ และที่เป็นข้อมูลสำหรับนำไปวิเคราะห์ต่อ

 

 

อาทิตย์ ประทุมพวง กรรมการผู้จัดการบริษัท Sustain Innotech และนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนของทีมวิจัยที่ทำเรื่องการลด PM2.5 โดยการสร้างรายได้จากสินค้านวัตกรรม ที่เกิดจากการแปรรูปชีวมวลข้าวโพด โดยเน้นความยั่งยืนของชุมชนเป็นหลัก จากการเผยแพร่องค์ความรู้วิธีการผลิตสินค้าแปรรูปที่เพิ่มมูลค่า เช่น ปุ๋ยอินทรีย์จากซังข้าวโพด ถ่านไบโอชาร์คุณภาพสูง กรีนซีเมนต์ รวมถึงน้ำส้มควันไม้จากเปลือกหอยที่สามารถกำจัดแมลงและเพิ่มผลผลิตให้ข้าวโพดได้ ซึ่งนอกจากการสอนผลิตสินค้าแปรรูปแล้ว ทางทีมวิจัยก็ได้ช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านธุรกิจ เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยโครงการวิจัยดังกล่าวเริ่มต้นที่จังหวัดน่านและจังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก แต่ในอนาคตก็มีแผนขยายผลโครงการไปยังจังหวัดอื่น ๆ เช่น ลำปางด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยจาก ผศ. ดร.จิตรตรา เพียภูเขียว จากภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่วิจัยเรื่องการใช้เห็ดป่าไมคอร์ไรซา เช่น เห็ดเผาะ เพื่อแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างยั่งยืน โดยมีแนวคิดตั้งต้นมาจากพฤติกรรมของชาวบ้านที่มักจะเผาใบไม้เพื่อเห็ดจากความเข้าใจว่าการเผาป่าทำให้เกิดเห็ด แม้ว่าในความจริงแล้ว เห็ดเผาะสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่มักจะถูกใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ร่วงหล่นและกลบทับไว้ การเผาจึงไม่ได้ทำให้เกิดเห็ด เพียงแต่มันทำให้หาเห็ดได้ง่ายขึ้น ทีมวิจัยจึงส่งเสริมเกษตรกรให้สามารถปลูกเห็ดได้ด้วยตนเอง โดยการพัฒนาหัวเชื้อเห็ดเผาะด้วยวิธีการปั่นเส้นใยเพื่อเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการแล้วจึงนำไปแจกจ่าย รวมถึงการพัฒนาหัวเชื้อเห็ดเผาะจากสปอร์เห็ดที่ชาวบ้านสามารถทำตามได้เอง โดยโครงการเริ่มต้นที่ 6 จังหวัดในภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา และลำปาง

 

 

อีกหนึ่งนิทรรศการที่น่าสนใจเป็นงานวิจัยเชิงข้อมูลที่นำทีมโดย รศ. ดร.ธันวดี ศรีธาวิรัตน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่มีการลงพื้นที่ตรวจวัดค่าประมาณสารประกอบต่าง ๆ ในอากาศจากแหล่งกำเนิดมลพิษโดยตรง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม การขนส่งทางบก การเผาในที่โล่งและไฟป่า รวมถึงอื่น ๆ แล้วทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจเพื่อจัดทำบัญชีการระบายมลพิษทางอากาศในระดับจังหวัด แล้วนำข้อมูลนี้ไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาระดับจังหวัด โดยพื้นที่เป้าหมายที่ทางทีมวิจัยเลือก ได้แก่ จังหวัดลำปาง พะเยา แพร่ และน่าน

 

วิทยาศาสตร์ งานวิจัย และนวัตกรรม กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน แม้การลงนามบันทึกข้อตกลง ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ผนึกพลังขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5 จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ทางสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ก็ยืนยันว่าจะมีการติดตามผลเป็นระยะ ในช่วงเวลา 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี จะมีการเยี่ยมเยือนทุกจังหวัดในโครงการเพื่อประเมินผลการดำเนินงาน และช่วยสนับสนุนให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นไปได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ

The post ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย’ ความร่วมมือเพื่อใช้วิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในลำปางและภาคเหนือตอนบน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เชียงใหม่-ลำพูน จับมือร่วมกับ วช. แก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นด้วยงานวิจัย https://thestandard.co/chiangmai-lamphun-research-pm25-water-crisis/ Mon, 07 Jul 2025 08:58:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1093820 พิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเชียงใหม่-ลำพูน และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษและน้ำท่วม

‘เชียงใหม่’ ถือเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 […]

The post เชียงใหม่-ลำพูน จับมือร่วมกับ วช. แก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นด้วยงานวิจัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเชียงใหม่-ลำพูน และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษและน้ำท่วม

‘เชียงใหม่’ ถือเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย ด้วยขนาดพื้นที่ 20,107.057 ตารางกิโลเมตร และจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่เยอะมาก จังหวัดเชียงใหม่จึงเป็นจังหวัดที่ได้รับความนิยมสำหรับการท่องเที่ยวอย่างมาก แต่อุปสรรคที่เชียงใหม่ต้องเผชิญคือ วิกฤตการณ์จากภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำที่ในช่วงหน้าแล้งก็มีความแห้งแล้งอย่างมาก ในช่วงที่น้ำท่วมก็จะเห็นได้ว่าอาจเกิดน้ำท่วมได้หนักหนาสาหัส ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาอากาศที่ไม่สะอาดจากการสะสมของฝุ่นควัน ก็ได้สร้างผลกระทบให้กับสุขภาพของคนในพื้นที่ และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัด

 

ภาคเหนืออีกหลายจังหวัดก็มักจะประสบกับปัญหาทางด้านน้ำและอากาศไม่ต่างกันกับจังหวัดเชียงใหม่ อย่างเช่น ในจังหวัดลำพูน โดย วิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนได้เล่าว่า แม้จังหวัดลำพูนจะไม่ได้เป็นเป้าหมายแรกที่นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางมา แต่ก็เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางต่อเนื่องกันมาจากการเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อภัยธรรมชาติกระทบกับการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ย่อมส่งผลกระทบสู่จังหวัดลำพูนด้วย

 

 

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จึงได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ พร้อมเสวนา ‘มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทยเพื่ออากาศสะอาด น้ำมั่นคง’ เพื่อผลักดันประเทศไทยให้ปลอดภัยจาก PM2.5 และน้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง ตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ณ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

 

บรรยากาศการลงนามแก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นด้วยงานวิจัย

 

เมื่อเดือนมีนาคม 2025 ช่างภาพข่าว THE STANDARD เดินทางไปยังบริเวณรอบอำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อเก็บภาพบรรยากาศในวันที่จังหวัดเชียงใหม่ติดอันดับ 1 ใน 3 เมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลก จากการวัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศจากเว็บไซต์ AQI โดยความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในหลายอำเภอเกินมาตรฐานเฉลี่ยที่ 100-200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่ม และปีนี้ไม่ใช่ปีแรกที่เกิดปัญหาการสะสมของฝุ่นละอองในอากาศ แต่ในปีที่ผ่านๆ มาจังหวัดเชียงใหม่ยังเคยเป็นอันดับ 1 เมืองที่มี ‘คุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก’ หลายครั้ง

 

 

รวมถึงในปี 2024 ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงใหม่ก็ประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก โดยในย่านเศรษฐกิจถูกน้ำท่วมหนักมาก ระดับน้ำที่สถานีตรวจวัด P.1 สะพานนวรัฐ ขึ้นถึง 5.28 เมตร นับเป็นระดับน้ำสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำลายทุกสถิติน้ำท่วมในตัวเมืองเชียงใหม่ ถือว่ากระทบหนักสุดในรอบ 50 ปี ทำให้จังหวัดเชียงใหม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเยียวยา รวมถึงค่าล้างโคลนมากถึง 1,200 ล้านบาท

 

นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวว่า “ผมรู้สึกขอบคุณที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. เลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่ดำเนินการในการขับเคลื่อนเป้าหมายตามยุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ในประเด็น ประเทศไทยปลอดภัยจาก PM.25 เป้าหมาย 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เพราะเชียงใหม่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์” เนื่องจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งในการหาวิธีการแก้ไขปัญหาในเรื่องฝุ่น PM2.5 รวมทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้การรับมือกับภัยน้ำท่วมและน้ำแล้งได้ดีขึ้นด้วย เป็นการประหยัดงบประมาณแล้วเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการให้มากขึ้น

 

พิธีลงนามข้อตกลงในวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น มีการลงนามข้อตกลงสำหรับทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเซ็นข้อตกลงสำหรับจังหวัดเชียงใหม่ประกอบไปด้วย

 

  1. ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 
  2. นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ 
  3. อนันต์ เพ็ชรหนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภาค 1 
  4. ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) 
  5. วีรยุทธ ปิ่นแก้ว รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ 
  6. ชัชวาล ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจจังหวัดเชียงใหม่ 
  7. วัลลภ นามางศ์พรหม รองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่

 

พิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเชียงใหม่-ลำพูน และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษและน้ำท่วม

 

ส่วนการเซ็นข้อตกลงสำหรับจังหวัดลำพูนประกอบไปด้วย

 

  1. ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
  2. วิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน 
  3. อนันต์ เพ็ชรหนู ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภาค 1 
  4. ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) 
  5. วีระเดช ภู่พิสิฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน 
  6. พงษ์เทพ มนัสตรง ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน 
  7. ภาณุพงศ์ ไชยวรรณ์ ประธานสภาลมหายใจจังหวัดลำพูน

 

 

วิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวไว้ว่า “พื้นที่การเกษตรของจังหวัดลำพูนมีประมาณ 800,000 ไร่ แต่ได้งบประมาณการไถกลบมาแค่ 300 กว่าไร่เท่านั้น จึงต้องมีการผนึกกำลังขับเคลื่อนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม” เห็นได้ว่า เรื่องการจัดสรรงบประมาณยังคงเป็นปัญหากับการดำเนินการแก้ไขมลพิษทางอากาศ เพราะงบประมาณจากภาครัฐที่ไม่เพียงพอต่อการไถกลบ ทำให้ภาคเอกชนในด้านเกษตรกรรมกลับมาทำการเผาพื้นที่การเกษตรจนเกิดฝุ่นควัน การแก้ปัญหาเพื่อผลักดันให้ภาคเหนือมีอากาศสะอาดสำหรับหายใจ จึงต้องเกิดจากความร่วมมือของหลายฝ่ายในการหาวิธีอื่นในการแก้ปัญหา

 

ส่วนในเรื่องของปัญหาน้ำ รศ. ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นในตัวแทนของฝั่งนักวิจัยก็เปิดเผยว่า ความแม่นยำของระบบพยากรณ์น้ำท่วม มีการปรับปรุงไปเรื่อยๆ โดยในส่วนการพยากรณ์นั้นบอกว่าปริมาณน้ำจะมีมากเท่าไหร่ แต่สิ่งสำคัญที่การเตือนภัยทุกจังหวัดขาดคือการบอกความเสี่ยงให้ประชาชนแต่ละพื้นที่ว่าเสี่ยงขนาดไหน และน้ำจะท่วมสูงขนาดไหน เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมการรับมือ เช่น ยกของขึ้นที่สูง หรือพาผู้ป่วยติดเตียงหนีน้ำท่วมได้ทันท่วงที

 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า “การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย เพื่ออากาศสะอาดและน้ำมั่นคง โดยใช้เรื่องของวิทยาศาสตร์และงานวิจัย โดยจะมีการกลับเข้ามาทำงานร่วมกันเป็นระยะๆ ในรูปแบบของการติดตาม ทั้งในเชิงนโยบาย และการทำงานร่วมกันกับภาคประชาสังคมอีกหลายส่วน คาดว่าการทำความร่วมมือในครั้งนี้ทำให้เกิดเป้าหมายในการขับเคลื่อนอนาคตประเทศไปได้สำเร็จตามเจตนารมณ์”

 

นิทรรศการส่งเสริมการมุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย

 

ภายในบริเวณจัดงานที่ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดนิทรรศการจากนักวิจัย และเอกชน ซึ่งมีผลงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งระดับจังหวัด และระดับชุมชน โดยผลงานต่าง ๆ จะเกี่ยวโยงกับการแก้ไขปัญหาในหลายจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ หรือจังหวัดลำพูน

 

ผศ. ดร.ภูดินันท์ สิงห์คําฟู นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในผู้จัดแสดงผลงานวิจัยพัฒนาแผนที่และข้อมูลความสูงของพื้นที่ความแม่นยำสูงพิเศษจากภาพถ่ายทางอากาศด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน เพื่อใช้ต่อยอดสำหรับการบริหารจัดการน้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ โดยทีมวิจัยกำลังพัฒนาแบบจำลองแผนที่สามมิติของพื้นที่น้ำท่วมในเชียงใหม่ เพื่อแทนที่แบบจำลองจากดาวเทียมที่ไม่สามารถประเมินความสูงได้ เนื่องจากสามารถบอกความสูงได้ละเอียดที่สุดแค่เพียง 1 เมตร โดยปกติแล้ววิธีการวัดความสูงของระดับน้ำเป็นการใช้ Flood Mark ที่เป็นเสาปักริมน้ำ แล้วมีขีดบอกระดับน้ำในระดับเซนติเมตร แต่ข้อมูลความสูงระดับน้ำที่วัดจาก Flood Mark สามารถรู้ได้เฉพาะในพื้นที่ที่มีการปักเท่านั้น อาจครอบคลุมไม่ไกล การวิจัยในโครงการนี้จึงสร้างแบบจำลองใน City Scale ซึ่งทีมวิจัยเริ่มต้นจากการทำแบบจำลอง 150 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ 21 ตำบลในเชียงใหม่ แล้วจะมีการขยายผลต่อเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระดับจังหวัดให้ดีมากยิ่งขึ้น

 

 

นพคุณ แก้วสิงห์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็มีการนำเสนอผลงานวิจัยที่สนับสนุนการลดค่า PM2.5 โดยการสร้างฐานข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ตำแหน่งของจุดความร้อน หรือ Hotspot ซึ่งทางทีมวิจัยสามารถหาตำแหน่งได้ด้วยค่าความถูกต้องประมาณ 90% โดยตำแหน่งที่ถูกต้องจะมีประโยชน์กับเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปยับยั้งการเกิดไฟป่า เพื่อไม่ให้เกิดการลุกลาม โดยในฤดูไฟป่าในช่วงต้นปี 2025 มีการทดลองใช้งานวิจัยนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เจ้าหน้าที่ในการควบคุมไฟป่า ทำให้ Hotspot ในพื้นที่ที่รับผิดชอบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนได้รับการชื่นชมจากนานาประเทศ

 

ในภาคเอกชนอย่าง HAZE Free Thailand ก็มีการนำเสนอการทำงานของบริษัท ที่จัดตั้งขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ว่าต้องการเป็น วิสาหกิจเพื่อสังคมไร้ควัน โดยการขับเคลื่อนวิธีการดำเนินงานของเกษตรกรเพื่อลดการเผาที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กลอยขึ้นสู่อากาศ โดยการทำงานของบริษัทดังกล่าวประกอบไปด้วยโครงการปลูกป่าวนเกษตร เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินของเกษตรกรที่ว่างเว้น หรือเคยใช้ในการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ในการปลูกต้นไม้ที่ช่วยลดแก๊สเรือนกระจกแทน โดยโครงการนี้เคยได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัท เซ็ท เอสอี จำกัด ที่ร่วมดำเนินงานต้นแบบการปลูกป่าที่จังหวัดน่านและจังหวัดเชียงใหม่

 

อีกส่วนที่น่าสนใจจากงานของ HAZE Free Thailand คือระบบที่ดูแลติดตามการทำงานของเกษตรกรอย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการกำกับดูแลปริมาณการใช้ปุ๋ยด้วย ซึ่งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) เคยเปิดเผยว่า การเผาไม่ใช่สาเหตุหลักเพียงสาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 แต่ยังมีผลจากการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ รวมถึงการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนที่มากเกินไปจนเกิดสารประกอบไนโตรเจนลอยขึ้นไปทำปฏิกิริยาในอากาศและเกิดฝุ่นได้เช่นกัน การกำกับดูแลกระบวนการทำงานของเกษตรกรจึงเป็นการแก้ปัญหาการเกิดฝุ่นควันได้จากหลายสาเหตุ

 

 

ก้าวต่อไปของงานวิจัย เพื่ออากาศสะอาด-น้ำมั่นคง

 

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทยเพื่ออากาศสะอาด น้ำมั่นคง” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการมุ่งเป้าที่การแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในจังหวัดภาคเหนือจากการจับมือกันของหลายภาคส่วน การร่วมมือกันแก้ปัญหาทั้งในด้านของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การออกนโยบายเชิงสังคม รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น ซึ่งถ้าหากพื้นที่ภาคเหนือสามารถแก้ปัญหาได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการดังกล่าวจะกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ เริ่มทำตาม โดยจากนี้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะคอยติดตามการดำเนินงานเพื่อให้ผลลัพธ์ของโครงการออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

The post เชียงใหม่-ลำพูน จับมือร่วมกับ วช. แก้ปัญหาน้ำและปัญหาฝุ่นด้วยงานวิจัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน https://thestandard.co/globalseaweed-protect/ Sat, 31 May 2025 06:22:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1080652

มูลนิธิยูนุสมีความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมในโครงการ GLO […]

The post มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>

มูลนิธิยูนุสมีความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมในโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT ซึ่งเป็นโครงการวิจัยระดับนานาชาติครั้งสำคัญ ที่มุ่งเพิ่มความปลอดภัยและความยั่งยืนของสาหร่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการนี้มีกำหนดระยะเวลาดำเนินงานเป็นเวลา 3 ปี นำโดยศาสตราจารย์ Juliet Brodie จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (สหราชอาณาจักร) และได้รับทุนจากสภาวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (BBSRC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ UK Research and Innovation (UKRI) หน่วยงานด้านการให้ทุนวิจัยของสหราชอาณาจักร

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำ เช่น สมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งสกอตแลนด์ (SAMS), มหาวิทยาลัยมาลายา, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยมาตาราม, มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ดิลิมัน, มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ และสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเวียดนาม ร่วมกับโครงการสาหร่ายยั่งยืนของมูลนิธิยูนุส

 

การปลูกสาหร่ายมีบทบาทสำคัญในการดำรงชีพของประชากรกว่าหนึ่งล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับชุมชนชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของกลยุทธ์ด้านความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศ ความมั่นคงด้านอาหาร และความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลในระดับภูมิภาคอีกด้วย

 

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมหาสมุทร เพื่อการเติบโตอย่างครอบคลุม และการคำนึงถึงอนามัยสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย การเพาะปลูกสาหร่ายมีศักยภาพอย่างมากในการสร้างรายได้ให้กับชุมชนชายฝั่ง สนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และการเพิ่มมูลค่าสินค้าอาหาร เกษตรกรรม เครื่องสำอาง และวัสดุชีวภาพ

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างสุขภาพของสาหร่ายและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ควบคู่ไปกับการพัฒนาสายพันธุ์สาหร่ายที่ปรับตัวต่อสภาพอากาศและทนทานต่อโรค อีกทั้งยังมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกสาหร่ายทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยส่งเสริมแนวทางการทำฟาร์มที่ยั่งยืนและปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

การมีส่วนร่วมของมูลนิธิยูนุสในโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT สะท้อนให้เห็นถึงพันธกิจที่กว้างขึ้นในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม และมีความครอบคลุมทางสังคม ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มนี้ มูลนิธิยูนุสจะนำความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจเพื่อสังคมและการมีส่วนร่วมของชุมชนชายฝั่งมาช่วยสร้างภาคส่วนเศรษฐกิจด้านสาหร่าย ที่มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างความเท่าเทียมในภาคส่วนธุรกิจมากขึ้น

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT เป็นการต่อยอดจากความร่วมมืออันแข็งแกร่งที่มีอยู่แล้วระหว่างพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และนานาชาติ โดยมุ่งเป็นต้นแบบของแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ และมีความครอบคลุมในการปกป้องระบบนิเวศทางทะเล โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความยั่งยืนในระยะยาวของการเพาะปลูกสาหร่ายทะเล ในฐานะเสาหลักของเศรษฐกิจสีน้ำเงิน โดยมุ่งจัดการกับภัยคุกคาม เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การระบาดของโรค และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

 

ภาพ: University of Mataram Center for Marine Biorefineries

 

อ้างอิง:

The post มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก https://thestandard.co/toxic-air-kills-100-kids-daily/ Thu, 06 Feb 2025 12:04:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1038935

ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศในระดับที่เป […]

The post มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศในระดับที่เป็นอันตราย ส่งผลให้โรงเรียนหลายแห่งต้องหยุดและเกิดความกังวลด้านสุขภาพเป็นวงกว้าง การวิเคราะห์ล่าสุดของยูนิเซฟเผยให้เห็นถึงผลกระทบอันเลวร้ายของมลพิษทางอากาศต่อเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ซึ่งมักรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง หรือตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเมษายน โดยมีความเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนในแต่ละวัน

 

การวิเคราะห์เผยให้เห็นว่าเด็กทุกคนในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก หรือประมาณ 500 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มลพิษทางอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีความเชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศในครัวเรือนจากการใช้เชื้อเพลิงแข็งในการหุงต้มและให้ความร้อน 

 

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก มีเด็ก 325 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ ฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยต่อปีสูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึง 5 เท่า และเด็ก 373 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่มีระดับไนโตรเจนไดออกไซด์ในระดับที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ เด็กร้อยละ 91 หรือประมาณ 453 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มลพิษจากโอโซนเกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 

 

ในประเทศที่มีระดับฝุ่น PM2.5 สูงสุด มักเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เชื้อเพลิงชีวมวล และของเสียทางการเกษตร ซึ่งไม่เพียงก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเท่านั้น แต่ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

 

จูน คูนูกิ ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า “ทุกลมหายใจคือชีวิต แต่สำหรับเด็กจำนวนมาก ลมหายใจอาจนำมาซึ่งอันตราย ในช่วงเวลาที่ร่างกายและสมองของเด็กกำลังพัฒนา อากาศที่พวกเขาหายใจเข้าไปกลับเต็มไปด้วยมลพิษในระดับที่เป็นอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ทำลายปอด และบั่นทอนพัฒนาการทางสติปัญญา”

 

เกือบ 1 ใน 4 ของเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ โดยมลพิษทางอากาศสามารถส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักแรกเกิดต่ำ เมื่อเติบโตขึ้น เด็กยังมีโอกาสเป็นโรคหอบหืด ปอดถูกทำลาย และมีพัฒนาการล่าช้า  ในขณะเดียวกัน เด็กจากครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงงานหรือทางหลวง ซึ่งมีระดับมลพิษสูง ยิ่งเสี่ยงต่ออันตรายนี้มากขึ้น นอกจากนี้ การสัมผัสมลพิษทางอากาศเป็นเวลานานยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและอนาคตของเด็กในระยะยาว

 

มลพิษทางอากาศไม่ได้กระทบต่อสุขภาพของเด็กเท่านั้น แต่ยังเพิ่มภาระให้ระบบสาธารณสุขที่มีภาระหนักอยู่แล้ว เพิ่มค่าใช้จ่าย และส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และศักยภาพของเด็ก การขาดเรียนเนื่องจากการเจ็บป่วย การพัฒนาสมองที่ไม่เต็มที่ และความเสี่ยงต่อการปิดโรงเรียนล้วนจำกัดศักยภาพของเด็ก ในขณะที่ผู้ปกครองที่ต้องดูแลบุตรที่เจ็บป่วยอาจต้องสูญเสียรายได้ 

 

ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นรุนแรง โดยธนาคารโลกประมาณการว่าในปี 2019 มลพิษจากฝุ่น PM2.5 ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและความเจ็บป่วย คิดเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกถึงร้อยละ 9.3 ของ GDP หรือมากกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ยูนิเซฟเรียกร้องให้รัฐบาล ภาคธุรกิจ ภาคสาธารณสุข ผู้ปกครอง และนักการศึกษา ลงมืออย่างเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อเด็กในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยเฉพาะในด้านต่อไปนี้:

 

  • รัฐบาล ต้องเป็นผู้นำในการเสริมสร้างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ เปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพอากาศให้สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกเพื่อปกป้องสุขภาพของเด็ก

 

  • ภาคธุรกิจ ควรนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้ ลดการปล่อยมลพิษ และดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของเด็กเป็นลำดับแรก

 

  • ภาคสาธารณสุข ควรดำเนินมาตรการเพื่อปรับปรุงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

 

  • ผู้ปกครองและนักการศึกษา มีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ สนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สะอาดขึ้น และส่งเสริมให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

 

ยูนิเซฟกำลังทำงานร่วมกับรัฐบาล ภาคธุรกิจ ระบบสาธารณสุข และชุมชนทั่วเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เพื่อปกป้องเด็กจากผลกระทบที่ร้ายแรงของมลพิษทางอากาศ โดยมีโครงการสำคัญดังต่อไปนี้:

 

  • ผลักดันนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างโลกที่สะอาดและยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับเด็ก

 

  • ดำเนินโครงการลดมลพิษทางอากาศในครัวเรือน เช่น ระบบระบายอากาศแบบปล่องควันและระบบทำความร้อนที่สะอาดขึ้น

 

  • ปรับปรุงการติดตามคุณภาพอากาศและการรายงานผล ด้วยโครงการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดมลพิษที่มีต้นทุนต่ำ

 

  • เสริมสร้างระบบสาธารณสุข เพื่อรับมือกับโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ และลงทุนในระบบจัดการขยะทางการแพทย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

  • ทำงานร่วมกับชุมชนและส่งเสริมบทบาทของเยาวชนในฐานะนักรณรงค์เพื่ออากาศสะอาด โดยช่วยสร้างความตระหนัก ตรวจสอบคุณภาพอากาศ และผลักดันนโยบายที่เข้มแข็งขึ้น

 

คูนูกิเน้นย้ำว่า “การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะช่วยยกระดับสุขภาพ การศึกษา และคุณภาพชีวิตของเด็กอย่างมหาศาล และจะส่งผลดีต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม เรามีแนวทางแก้ไขอยู่แล้ว และอนาคตร่วมกันของเราขึ้นอยู่กับการนำแนวทางเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม”

 

แฟ้มภาพ: UNICEF / UNI715048 / Janthong

อ้างอิง:

  • ยูนิเซฟ ประเทศไทย

The post มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด https://thestandard.co/pm25-solution-analysis/ Mon, 03 Feb 2025 07:01:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1037590 หมอกควันฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ

ช่วงนี้ไปไหนก็ได้ยินแต่คนบ่นเรื่องฝุ่น PM2.5 บางคนไอ บา […]

The post ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมอกควันฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ

ช่วงนี้ไปไหนก็ได้ยินแต่คนบ่นเรื่องฝุ่น PM2.5 บางคนไอ บางคนเจ็บคอ บางคนถึงกับเลือดกำเดาไหลเพราะอากาศแห้งและเต็มไปด้วยฝุ่น ยิ่งในกรุงเทพฯ เช้าๆ มองไปข้างหน้าก็เห็นแต่อากาศขมุกขมัว แสบจมูกทุกครั้งที่ต้องออกไปข้างนอก หลายคนเริ่มกังวลว่าต้องใช้ชีวิตอยู่กับสภาพนี้ไปอีกนานแค่ไหน

 

กรมควบคุมมลพิษออกมาเตือนว่า ในช่วงวันที่ 31 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ ฝุ่นยังคงอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ นี่หมายความว่าอีกหลายวันข้างหน้า คนกรุงและอีกหลายจังหวัดต้องเผชิญกับมลพิษที่เลี่ยงไม่ได้

 

มาตรการระยะสั้น: พอไหม?

 

หนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้ คือการให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน (25-31 มกราคม) เพื่อลดจำนวนรถยนต์บนถนน ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพฯ พบว่าการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลดลงประมาณ 500,000 คัน หรือ 10% จากตัวเลขเฉลี่ย 10 ล้านคันต่อวัน

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกมาตรการอื่นๆ เช่น การทำงานจากที่บ้าน (WFH) การควบคุมการเผาชีวมวล และการตรวจจับรถควันดำ แต่คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ มันพอไหม? และที่สำคัญ แก้ตรงจุดหรือเปล่า?

 

นายกฯ มองปัญหาฝุ่นอย่างไร?

 

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ THE STANDARD ที่เวที World Economic Forum 2025 เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ว่า

“ฝุ่นไม่ใช่เรื่องที่เซอร์ไพรส์ เรารู้ว่ามีปัญหานี้มาตลอด ก่อนมาประชุมที่นี่ก็เรียกกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาหารือหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ รวมถึงพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือกันลดฝุ่น

 

“แน่นอนว่า วันที่ฝุ่นเยอะเราไม่สามารถดีดนิ้วให้ฝุ่นหายไปได้ เราเตรียมเท่าที่ทำได้อย่างเต็มที่ เผอิญว่าวันที่เรามาที่นี่ มันเป็นช่วงที่ฝุ่นเยอะพอดี แต่เราก็ต้องสื่อสารให้คนเข้าใจ”

 

ฟังดูแล้วรัฐบาลรับรู้ปัญหา และพยายามหาทางออก แต่มาตรการที่ออกมาอาจจะยังเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ

 

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ: เรากำลังแก้ผิดจุด?

 

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI มองว่า มาตรการหลายอย่างที่รัฐบาลทำ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จริงๆ

 

“การฉีดละอองน้ำ การขอความร่วมมืองดปิ้งย่าง หรือแม้แต่การลดการสูบบุหรี่ ไม่ได้ผิด แต่มันไม่ใช่คำตอบที่จะแก้ปัญหา PM2.5 ได้จริงๆ เพราะฝุ่นจากกิจกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ PM2.5 แต่เป็นฝุ่นอีกประเภท”

 

เขายังชี้ให้เห็นว่า การติดตั้งหอดูดอากาศขนาดใหญ่ หรือการจำกัดรถบรรทุกให้วิ่งเฉพาะวันคู่-วันคี่ อาจมีต้นทุนสูง แต่กลับไม่ได้ช่วยลดฝุ่นพิษจากต้นเหตุหลัก

 

“เราต้องกลับไปดูต้นตอของปัญหาจริงๆ เช่น ควันจากรถยนต์ดีเซลเก่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ถ้าเราไม่แตะจุดพวกนี้ ฝุ่น PM2.5 ก็ไม่มีวันลดลง”

 

จะแก้ฝุ่นพิษให้ได้ ต้องทำอะไรบ้าง?

 

ดร.สมเกียรติ เสนอแนวทางที่สามารถทำได้จริง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

 

  • ปรับมาตรฐานน้ำมันและไอเสีย: ยกระดับมาตรฐานน้ำมันให้เป็น Euro 5 หรือ Euro 6 และควบคุมอายุการใช้งานของรถยนต์เก่า
  • ลดการเผาชีวมวล: ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรแทนการเผา และให้แรงจูงใจทางการเงิน เช่น คาร์บอนเครดิต
  • จัดการปัญหาข้ามพรมแดน: ฝุ่นบางส่วนมาจากเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ที่มีการเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตร ไทยต้องมีมาตรการร่วมกับอาเซียนเพื่อแก้ปัญหานี้
  • บริหารจัดการซัพพลายเชนพืชเกษตร: ปัจจุบันไทยปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เอง 4-5 ล้านตันต่อปี แต่ต้องใช้ 8-9 ล้านตัน ทำให้ต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน หากไทยลดการปลูกข้าวโพดและนำเข้าแทน อาจช่วยลดปัญหาการเผา

 

ประเทศไทยต้องเดินหน้าไปทางไหน?

 

ขณะที่รัฐบาลยังคงใช้มาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การลดค่ารถเมล์ หรือการใช้ฝนหลวง แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ที่โครงสร้างและนโยบายระยะยาว

 

ในสิงคโปร์ บริษัทที่ซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศต้องรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งหมายความว่า หากบริษัทในไทยต้องการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ก็ต้องพิสูจน์ว่าไม่มีการเผาทำลายป่า นี่เป็นแนวทางที่ไทยควรศึกษา

 

สัปดาห์นี้ อารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาออกมาตรการกำหนดให้ผู้นำเข้าข้าวโพด ต้องแสดงเอกสารยืนยันว่าไม่ใช้การเผา รวมถึงจะประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน

 

ฝุ่นพิษไม่ใช่แค่ปัญหาฤดูกาล แต่มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ถ้าเรายังแก้กันแบบปลายเหตุ เราก็จะเจอกับฝุ่น PM2.5 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

มาตรการชั่วคราวช่วยให้คนหายใจสะดวกขึ้นในช่วงหนึ่ง แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ด้วยการปฏิรูปกฎหมาย ควบคุมมลพิษจากรถยนต์ โรงงาน และการเผาในที่โล่ง รวมถึงร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง

 

ถึงเวลาที่ไทยต้องหันมา ‘ร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ตรงจุด’ เพราะฝุ่นพิษไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ได้ด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น หากทุกภาคส่วน—รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชน—ไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วงเกินกว่าที่จะรับไหว และฝุ่นพิษอาจกลายเป็น ‘เรื่องปกติ’ ที่กัดกินคุณภาพชีวิตของเราทุกคนไปตลอด

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

The post ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน https://thestandard.co/pm25-and-cross-border-dust-crisis/ Tue, 28 Jan 2025 12:19:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1035474

สถานการณ์ฝุ่นในช่วงเวลานี้น่ากังวลเป็นอย่างมาก หลายพื้น […]

The post เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สถานการณ์ฝุ่นในช่วงเวลานี้น่ากังวลเป็นอย่างมาก หลายพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและมีค่าฝุ่นในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ THE STANDARD พูดคุยกับ ศ. ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ถึงช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน

 

ไทยยังไม่มีการกำหนดค่าสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ

 

ศ. ดร.ศิวัช เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าว่า เมื่อ 30-40 ปีก่อน ประเทศสหราชอาณาจักรที่อาจารย์เคยเดินทางไปศึกษาต่อ มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศกันแล้ว ขณะที่ในประเทศไทยจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานดังกล่าว และนี่เป็นหนึ่งในช่องโหว่สำคัญที่ทำให้สถานการณ์ฝุ่นในไทยกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง

 

เทียบเคียงได้กับปัญหาเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญของไทย ถ้าที่ผ่านมารัฐไม่มีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย โอกาสที่คนเมาแล้วขับจะเกิดอุบัติเหตุจนสร้างผลกระทบให้กับตนเองและคนรอบข้างก็มีสูงมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าตราบใดที่รัฐยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์ทั้งหลายในชั้นบรรยากาศ ซึ่งรวมถึงโลหะหนักอย่างสารหนู แคดเมียม และปรอท ก็จะทำให้ผู้ปล่อยมลพิษทางอากาศทั้งหลายไม่ถูกควบคุมด้วยเกณฑ์มาตรฐานที่เข้มงวดและรัดกุมจากภาครัฐ 

 

 

ไทยยังขาดการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ครอบคลุม และจริงจัง

 

ศ. ดร.ศิวัช อธิบายว่า ถ้าจะทำความเข้าใจเรื่องฝุ่น และต้องการทำให้เกิดมาตรการที่เข้มงวดและจริงจังอย่างแท้จริงนั้น จะต้องทราบข้อมูลพื้นฐานเรื่องฝุ่น เช่น แหล่งกำเนิดฝุ่นมีที่มาทั้งที่เกิดตามธรรมชาติ และเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งฝุ่นส่วนใหญ่ที่มีสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์และก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพของคนนั้น มักเป็นฝุ่นที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ อีกทั้งฝุ่นในตอนนี้ เมื่อเทียบกับฝุ่นเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ไม่เหมือนกัน เพราะฝุ่นในปัจจุบันอันตรายกว่าเดิมมาก และมีแนวโน้มที่จะมีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงกว่า

 

อาจารย์ยังยกตัวอย่างวิกฤตฝุ่น PM ในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อช่วงต้นปี 2024 ที่มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) สูงมาก โดยรัฐบาลจีนเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่แหล่งกำเนิดฝุ่นที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ แทนที่จะจัดการกับแหล่งกำเนิดฝุ่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ และทราบดีว่าวิกฤตฝุ่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเป็นฝุ่นที่พัดมาจากทะเลทราย ยากที่จะควบคุม

 

สิ่งที่ทางการจีนทำคือ หากโรงงานอุตสาหกรรมไหนปล่อยมลพิษมากเกินเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดก็ใช้บทลงโทษอย่างจริงจัง เช่น สั่งย้ายโรงงาน หรือสั่งปิดโรงงาน รวมถึงเดินหน้าสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้สถานการณ์ฝุ่นโดยรวมในเมืองหลวงของจีนดีขึ้นอย่างมาก 

 

 

นอกเหนือไปจากการเผาในภาคการเกษตร ไอเสียจากยานพาหนะและมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุของฝุ่น PM ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ในประเทศไทยที่ ‘มักถูกมองข้าม’ คือ ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นจากการใช้ ‘ปุ๋ยไนโตรเจน’ อย่างบ้าระห่ำ

 

ประเทศไทยใช้ปุ๋ยไนโตรเจนซึ่งเป็นปุ๋ยเคมีมากจนเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือไนโตรเจนจะทำปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับออกซิเจน กลายเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และไปทำปฏิกิริยากับแก๊ส BVOCs (Biogenic Volatile Organic Compounds) หรือสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายที่มาจากพืช ถ้าเป็นพื้นที่ในเมืองที่มีไอเสียรถยนต์จำนวนมาก อาจจะเป็นแก๊ส VOCs (Volatile Organic Compounds) และกลายเป็นฝุ่น PM และโอโซน (O3)

 

สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้คือ ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดปริมาณการเกิดฝุ่น PM และโอโซนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาตรงนี้ เนื่องจากฝุ่น PM และโอโซนที่มากจนเกินไปก็จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพของผู้คน เช่น ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ

 

ศ. ดร.ศิวัช เน้นย้ำว่า คนไทยนอกจากจะต้องสนใจค่าฝุ่น PM2.5 แล้ว ยังจำเป็นต้องสนใจด้วยว่ามีอะไรอยู่ในฝุ่นเหล่านั้นบ้าง พร้อมทั้งแนะนำว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทยควรจะมีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์อย่างโลหะหนัก เช่น สารหนู แคดเมียม และปรอท ไว้อย่างชัดเจน ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

 

นอกจากนี้อาจารย์ยังอธิบายว่า บางครั้งค่าฝุ่นสูงอาจไม่ได้แปลว่าฝุ่นนั้นมีสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์สูงมากอย่างที่เราคาดคิด ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์ที่ครอบคลุมและชัดเจน หากวิเคราะห์ฝุ่นแล้วพบว่า องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นไม่ได้มีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงมาก ภาครัฐก็อาจประกาศเตือนและลดความตื่นตระหนก พร้อมแนะนำมาตรการรับมือให้กับประชาชน ในทำนองเดียวกัน หากในสถานการณ์ที่ค่าฝุ่นไม่สูงมาก แต่ตรวจพบว่ามีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ภาครัฐก็จะต้องยกระดับการป้องกันและประกาศเตือนประชาชนให้รับมือกับปัญหาได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการสันดาป หรือโรงงานถลุงเหล็กที่มีการปล่อยสารก่อมะเร็งออกมาเป็นจำนวนมาก ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้สูงมาก 

 

 

ฝุ่นข้ามพรมแดน ความท้าทายของไทยและอาเซียน

 

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ‘ฝุ่นข้ามพรมแดน’ ที่มีต้นกำเนิดของฝุ่นอยู่ภายนอกประเทศ มีส่วนทำให้วิกฤตฝุ่น PM ภายในประเทศไทยซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เผยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงความรู้ เทคนิค และการบริหารจัดการวิกฤตฝุ่นระหว่างกัน ทั้งยังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับจุดร้อน ฝุ่นควัน และสนับสนุนการกำหนดบทลงโทษอย่างจริงจัง

 

ขณะที่รัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศก็เดินหน้าแก้ไขวิกฤตฝุ่นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เช่น การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดน การผลักดันประเด็นฝุ่นพิษในการประชุมอาเซียน รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (AATHP) แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่นข้ามพรมแดนก็ยังเผชิญความท้าทายอยู่มาก เช่น ข้อจำกัดด้านกฎหมายและการบังคับใช้ในแต่ละประเทศ ความแตกต่างของนโยบายและลำดับความสำคัญระหว่างประเทศ การขาดงบประมาณและทรัพยากร รวมถึงการขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการติดตามและประเมินผล เป็นต้น

 

ศ. ดร.ศิวัช ระบุว่า ถ้าจะแก้ไขวิกฤตฝุ่นในอาเซียนจะต้องสนใจภาพรวมในระดับภูมิภาค (Regional Scale) เนื่องจากปัญหามลพิษทางอากาศเป็นปัญหาข้ามพรมแดน (Transboundary Issue) สุดท้ายแล้วการมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดในระดับภูมิภาคอาเซียนก็อาจเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง

 

อาจารย์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับฝุ่นข้ามพรมแดนไว้ว่า ถ้าจุดตรวจจับฝุ่นควันได้รับการติดตั้งในพื้นที่บริเวณชายแดนของประเทศ A และ B ซึ่งอาจมีระยะห่างไม่ถึง 1 กิโลเมตร หรือมีแค่แม่น้ำคั่นกลางเท่านั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฝุ่นข้ามพรมแดนในลักษณะนี้อาจไม่ต่างจากแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในประเทศมากนักหากมองจากดาวเทียมอวกาศ แต่ถ้าแหล่งกำเนิดฝุ่นข้ามแดนเกิดขึ้นภายนอกประเทศในจุดที่ถูกลมพัดพาเป็นระยะทางไกล (Long Range Transportation) และใช้ระยะเวลานานหลายวัน ฝุ่นที่ถูกลมพัดพาให้ข้ามพรมแดนมาอาจทำปฏิกิริยากับสารเคมีอื่นๆ จนทำให้องค์ประกอบทางเคมีหรือสารก่อมะเร็งต่างๆ ที่อยู่ในฝุ่น PM เปลี่ยนแปลงไปจากฝุ่นที่เกิดขึ้น ณ จุดต้นกำเนิด และอาจถูกแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ย่อยสลายหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของสารพิษที่อยู่ในฝุ่นได้เช่นกัน แม้ฝุ่นข้ามพรมแดนจะยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คน แต่ก็อาจไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบได้มากเท่ากับฝุ่นที่เกิดขึ้นจากภายในประเทศ

 

ศ. ดร.ศิวัช เน้นย้ำว่า ถ้าเรามุ่งเน้นไปที่สุขภาพของประชาชนภายในประเทศ การควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นในประเทศของเราเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ เพื่อเป็นตัวอย่างหรือแนวทางในการรับมือวิกฤตฝุ่น ก่อนที่จะมุ่งเน้นไปยังแหล่งกำเนิดฝุ่นภายนอกประเทศ 

 

บทเรียนจากสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมา อาจารย์ระบุว่า สิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ดีและชัดเจนอย่างมากในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM โดยสิงคโปร์สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในประเทศได้เกือบทั้งหมด รถยนต์เก่าที่ปล่อยควันพิษในปริมาณมากจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งาน เว็บไซต์กระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ถึงกับเคยระบุว่า สิงคโปร์จะไม่ตัดถนนเพิ่มเติมและสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ มีเพียงมลพิษที่มาจากเรือ (Shipping Emission) ที่ยังคงเป็นความท้าทายของสิงคโปร์ เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเมืองท่า มีเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่จากทั่วโลกมาจอดเทียบท่าเป็นจำนวนมาก

 

แต่สิ่งที่ตามมาคือ สิงคโปร์สามารถควบคุมคุณภาพอากาศในสภาวะปกติได้ดีมาก ถึงแม้จะเผชิญกับปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนที่มาจากการเผาในภาคการเกษตรของอินโดนีเซีย แต่สิงคโปร์ก็เดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ใช้ทั้งมาตรการไม้แข็ง ทั้งสั่งปรับ ขึ้นบัญชีดำ และยุติการทำธุรกรรมต่างๆ กับบริษัทหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง และใช้มาตรการไม้อ่อนด้วยการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรในอินโดนีเซียเลิกเผาเพื่อบรรเทาวิกฤตฝุ่น ทำให้ปัญหาฝุ่นข้ามแดนจากอินโดนีเซียมายังสิงคโปร์ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

 

เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ไทยอาจเป็นต้นตอปัญหาฝุ่นข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้าน

 

ศ. ดร.ศิวัช ยังชี้ว่า ในทางตรงกันข้าม ถ้าทิศทางของกระแสลมเปลี่ยนแปลง ต้นทางลมอยู่ที่ประเทศไทย และปลายทางลมอยู่ทิศประเทศเพื่อนบ้าน แหล่งกำเนิดฝุ่นในไทยก็จะทำให้ไทยกลายเป็นต้นตอของฝุ่นข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนที่จะไปพูดถึง พ.ร.บ.อากาศสะอาดอาเซียน เราอาจจะต้องช่วยกันผลักดันให้ พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทยเกิดขึ้นได้จริง และช่วยกันตรวจสอบว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดนี้มีเนื้อหาอย่างไร และยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนบางกลุ่มอยู่หรือไม่ 

 

ส่วนแนวโน้มวิกฤตฝุ่นอาเซียนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า อาจารย์มองว่าถ้าวิกฤตฝุ่นนี้เกี่ยวโยงกับการเผาในภาคการเกษตร จุดนี้อาจต้องใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาจัดการ เปลี่ยนสิ่งที่ชาวบ้านหรือเกษตรกรจะเผาให้กลายเป็นสิ่งของที่มีมูลค่า เปลี่ยนชีวมวลให้กลายเป็นเงิน เช่น การพัฒนาต่อยอดและเพิ่มมูลค่าชีวมวลให้กลายเป็นน้ำมันไพโรไลซิส ซึ่งสามารถกลั่นเป็นน้ำมันดีเซลหรือเบนซินได้ รวมถึงการส่งออกชีวมวลส่วนเกินต่างๆ ไปเป็นอาหารสัตว์ในฟาร์มต่างประเทศ 

 

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐในกลุ่มประเทศอาเซียนว่าจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับชีวมวลเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน โดยทิศทางในภาพรวม พื้นที่เมืองมีแนวโน้มที่วิกฤตฝุ่นจะดีขึ้น เนื่องจากระบบขนส่งต่างๆ จะหันมาพึ่งพาไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ขณะที่พื้นที่ชนบทก็อาจจะยังคงเผชิญปัญหานี้ต่อไป หากรัฐไม่สามารถอุดช่องโหว่ต่างๆ และลดต้นตอการเกิดฝุ่นควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สอดคล้องกับ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่เสนอแนะแนวทางที่สามารถทำได้จริงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน ดังนี้

 

  1. ปรับมาตรฐานน้ำมันและไอเสียรถยนต์ โดยการยกระดับมาตรฐานน้ำมันให้เป็น Euro 5 หรือ Euro 6 พร้อมกับจำกัดอายุการใช้งานของรถยนต์เก่า
  2. ลดการเผาชีวมวล พร้อมสนับสนุนการใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวแทนการเผา และสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เช่น คาร์บอนเครดิต
  3. บริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ที่ทำให้เกิดการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน

 

โดย ดร.สมเกียรติ เน้นย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับปัญหาฝุ่นข้ามแดน พร้อมทั้งแนะให้รัฐบาลไทยหามาตรการที่ชัดเจนในการบริหารจัดการซัพพลายเชนในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดการเผาในภาคการเกษตร รวมถึงเตรียมจัดหาอาชีพเสริมให้กับกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ และบริหารจัดการให้ดียิ่งขึ้น

The post เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>
UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 https://thestandard.co/unicef-pm25-thai-children-health-risks/ Mon, 27 Jan 2025 06:31:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1034744 เด็กไทยสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM2.5 ในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ

ยูนิเซฟ (UNICEF) มีความกังวลอย่างยิ่งต่อระดับค่าฝุ่น PM […]

The post UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เด็กไทยสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM2.5 ในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ

ยูนิเซฟ (UNICEF) มีความกังวลอย่างยิ่งต่อระดับค่าฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กประมาณ 13.6 ล้านคนทั่วประเทศ สถานการณ์ที่น่าห่วงนี้ต้องการการดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ของเด็ก

 

จากรายงาน Over the Tipping Point ของ UNICEF ในปี 2023 พบว่า จำนวนเด็กในประเทศไทยที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากฝุ่น PM2.5 นั้นมีมากกว่าจำนวนเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศอื่นๆ เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง

 

คยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “เราต้องการความมุ่งมั่น ความร่วมมือ และการดำเนินการที่เด็ดขาดจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อจัดการกับสาเหตุของมลพิษทางอากาศอย่างจริงจัง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เด็กทุกคนได้เติบโตในโลกที่ปลอดภัย สะอาด และยั่งยืน”

 

ในประเทศไทยระดับฝุ่น PM2.5 ที่เป็นอันตรายในช่วงนี้ ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น เพื่อที่เด็กๆ จะได้ไม่ต้องเสียวันเรียนไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้ UNICEF กำลังจัดทำการศึกษาวิจัยโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเน้นการปรับปรุงอาคารและห้องเรียนให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศ รวมถึงฝุ่น PM2.5 ได้ดียิ่งขึ้น งานวิจัยนี้ซึ่งคาดว่าจะเผยแพร่ในปีนี้ จะเป็นข้อมูลสำคัญในการผลักดันการดำเนินการของรัฐบาลและระดมทรัพยากรเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

 

เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางต่อมลพิษทางอากาศเป็นพิเศษ โดยฝุ่น PM2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และส่งผลต่อเนื่องในระยะยาว เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และปัญหาการพัฒนาสมอง นอกจากนี้เด็กยังหายใจรับอากาศมากกว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบปริมาณต่อน้ำหนักตัว และดูดซับมลพิษมากกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ปอด ร่างกาย และสมองยังคงเจริญเติบโตไม่เต็มที่

 

PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กพอที่จะเข้าสู่ปอดลึกและกระแสเลือด อนุภาคเหล่านี้สามารถทำลายระบบอวัยวะหลายส่วน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคหอบหืด ปอดอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในเด็ก การสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวยังเชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อในผู้ใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และมะเร็งปอด

 

จากรายงานสภาวะอากาศโลก (The State of Global Air) ฉบับที่ 5 ซึ่งเผยแพร่โดย Health Effects Institute และ UNICEF ชี้ว่า ในปี 2021 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 700,000 คนทั่วโลก หรือคิดเป็นวันละเกือบ 2,000 คน ต้องเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่สองของการเสียชีวิตของเด็กกลุ่มอายุนี้ทั่วโลก รองจากภาวะทุพโภชนาการ รายงานยังระบุด้วยว่าฝุ่น PM2.5 เป็นตัวบ่งชี้ที่แม่นยำและชัดเจนที่สุดในการคาดการณ์ปัญหาสุขภาพของประชากรทั่วโลกในอนาคต

 

เด็กกลุ่มเปราะบางที่สุดคือกลุ่มที่ต้องรับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากที่สุด เพราะพวกเขามีทางเลือกน้อยกว่าที่จะปกป้องตัวเองจากฝุ่น PM2.5 ข้อมูลทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าเด็กในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้สูง โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าอย่างชัดเจน

 

UNICEF ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและภาคเอกชนเร่งแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เพื่อลดมลพิษทางอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเน้นย้ำว่าการตัดสินใจที่กล้าหาญและมองการณ์ไกลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาระยะยาวแทนการใช้มาตรการระยะสั้น

 

ภาพ: ปฏิภัทร จันทร์ทอง / UNICEF

อ้างอิง:

  • UNICEF

The post UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 appeared first on THE STANDARD.

]]>
การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 https://thestandard.co/ai-climate-forecast-2060/ Sun, 26 Jan 2025 05:16:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1034587 สภาพภูมิอากาศโลก

ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศชั้นนำ นำโดย ศ.เอลิซา […]

The post การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สภาพภูมิอากาศโลก

ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศชั้นนำ นำโดย ศ.เอลิซาเบธ บาร์นส์ จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด ​รวบรวมข้อมูลเชิงลึกผ่านแบบจำลองสภาพภูมิอากาศโลก 10 แบบ พร้อมความช่วยเหลือจากระบบ AI ได้ผลสรุปออกมาว่า อุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลก​ที่เพิ่มขึ้น​จาก​สภาวะ​โลกร้อนในหลายภูมิภาคมีโอกาสจะเกินเกณฑ์วิกฤตที่ 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส ก่อนจะไปถึงปี 2040 หรือ 15 ปีนับจากนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้มาก

 

และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง นั่นคือระบบ AI ยังได้พยากรณ์ว่า ในบางภูมิภาคของโลก อันได้แก่ เอเชียใต้, เมดิเตอร์เรเนียน, ยุโรปกลาง และบางส่วนของทวีปแอฟริกา (บริเวณทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา) จะต้องพบกับระดับของอุณหภูมิ​เฉลี่ยที่จะสูงถึง 3 องศาเซลเซียส หรือ 2 เท่าตามข้อตกลงปารีส ก่อนจะไปถึงปี 2060

 

“งานวิจัยของทีมงานเราที่ลงเผยแพร่บนวารสาร Environmental Research Letters เน้นย้ำถึงความสำคัญในการใช้เทคนิคด้าน AI เชิงนวัตกรรม เช่น การเรียนรู้แบบถ่ายโอน เพื่อไปใช้กับการสร้างแบบจำลองสภาพอากาศ เพื่อปรับปรุงและจำกัดการคาดการณ์ในระดับภูมิภาค และเราก็พร้อมจะมอบข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ต่อได้สำหรับผู้กำหนดนโยบาย นักวิทยาศาสตร์ และชุมชนทั่วโลก” บาร์นส์กล่าว

 

ตัวเลขดังกล่าวเกิดจากการที่ทีมวิจัยจัดการฝึกฝนเครือข่ายระบบประสาทเทียมของ AI ในแบบคอนโวลูชัน (Convolutional Neural Network: CNN) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบประสาทในสมองของมนุษย์ โดยมีจุดเด่นตรงที่สามารถรักษาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่และเวลาในข้อมูลไว้ได้ จึงทำให้ AI สามารถแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับการจดจำภาพการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี

 

ทีมวิจัยได้ให้ระบบ AI เรียนรู้ข้อมูลจากทั้งหมด 43 ภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งถูกกำหนดโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC อิงตามแบบจำลองสภาพอากาศ CMIP6 โดยให้ AI แยกแบบจำลองสภาพอากาศอิงตามภูมิภาคแทนการมองภาพรวมระดับโลก ทำให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะจุดมากขึ้น การทำงานจะแบ่งอุณหภูมิไว้ 5 ระดับ คือ 1, 1.5, 2, 2.5 และสุดท้ายที่ 3 องศาเซลเซียส จากนั้นจะวิเคราะห์ซ้ำข้อมูลที่ได้ โดยจะเสริมด้วยข้อมูลจากการสังเกตและข้อมูลด้านอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

 

ผลลัพธ์ที่ได้บอกเราว่า จากทั้งหมด 43 ภูมิภาคทั่วโลก จะมี 34 ภูมิภาคที่มีแนวโน้มอุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 โดย 31 ใน 34 ภูมิภาคดังกล่าวมีเกณฑ์ที่อุณหภูมิ​เฉลี่ย​จะเกินไปจนถึง 2 องศาเซลเซียส สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ทีมวิจัยพบว่า 26 ภูมิภาคในจำนวนนั้นจะมีอุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลกเกิน 3 องศาเซลเซียสภายในปี 2060

 

“สิ่งสำคัญที่ต้องมุ่งเน้นไม่ใช่แค่เพียงการที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงเฉพาะที่เกิดขึ้นในพื้นที่ท้องถิ่นและภูมิภาคด้วย” โนอา ดิฟเฟินบอว์ นักวิจัยด้านสภาพอากาศจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว “การจำกัดว่าแต่ละภูมิภาคจะถึงเกณฑ์ความร้อนเมื่อใดนั้น จะทำให้เราสามารถคาดการณ์เวลาของผลกระทบเฉพาะที่จะเกิดต่อสังคมและระบบนิเวศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” และกล่าวเสริมว่า “ความท้าทายก็คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแต่ละภูมิภาคอาจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น จากระบบสภาพอากาศมีการรบกวนในระดับพื้นที่ที่เล็กกว่า และจากกระบวนการต่างๆ ในชั้นบรรยากาศ มหาสมุทร และพื้นผิวโลก สุดท้ายก็อาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นได้ ดังนั้นผลการตอบสนองของแต่ละภูมิภาคต่อภาวะโลกร้อนในระดับโลกจึงคาดการณ์ได้ยาก”

 

ทีมงานเน้นย้ำถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและแจ้งเตือนให้ทั่วโลกรับมืออย่างเร่งด่วน โดยระบุว่า แม้มนุษยชาติจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงเป็นศูนย์ได้ทั้งหมดแล้ว ผลกระทบก็ยังคงจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากยังมีก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากตกค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศ

 

จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกร้อนขึ้นไปถึงระดับ 3 องศาเซลเซียส

 

แน่นอนว่าช่วงปีที่ผ่านมาเราเริ่มมองเห็นผลกระทบทางภัยธรรมชาติจากโลกร้อนบ้างแล้ว ทั้งการเกิดฝนตกน้ำท่วมในประเทศที่เป็นทะเลทราย ไฟป่ารุนแรง คลื่นทะเลสูงผิดปกติ ไปจนถึงการเกิดไต้ฝุ่น 4 ลูกในเดือนที่ไม่ควรเกิด อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่สูงขึ้นทำให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดขั้วไปทั่วโลก ภัยธรรมชาติจะเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น

 

งานวิจัยของทีมงาน ศ.ไนเจล อาร์เนลล์ ผู้อำนวยการสถาบันวอล์กเกอร์ มหาวิทยาลัยรีดดิ้ง ที่ตีพิมพ์เมื่อ 2 ปีก่อนพบว่า เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยโลกแตะ 1.5 องศาเซลเซียส โอกาสที่จะเกิดคลื่นความร้อนครั้งใหญ่ทั่วโลกเฉลี่ยต่อปีจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 5% ในช่วงปี 1981-2010 เป็นประมาณ 30% และหากอุณหภูมิเฉลี่ยโลกแตะ 3 องศาเซลเซียส โอกาสที่จะเกิดคลื่นความร้อนครั้งใหญ่จะเพิ่มขึ้นเป็น 80%

 

งานวิจัยของอาร์เนลล์ยังระบุอีกว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยโลกเกิน 3 องศาเซลเซียส โอกาสเกิดน้ำท่วมจะเพิ่มเกือบ 3 เท่าจากค่าเฉลี่ยทั่วโลก แม้จะยังมีความไม่แน่นอนของตัวเลขอยู่บ้าง เนื่องจากสภาพอากาศเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีตัวแปรมากมาย แต่ผลลัพธ์ทั้งหมดต่างเป็นไปในทางเดียวกัน นั่นคือสิ่งเหล่านี้จะเกิดรุนแรงและบ่อยขึ้น

 

“งานวิจัยของผมยังบอกพวกเราว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบทางกายภาพเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นเส้นตรง คือผลลัพธ์พุ่งไปจนน่ากังวล” อาร์เนลล์กล่าวทิ้งท้าย

 

ทีมงานตีพิมพ์​เผยแพร่​งานศึกษา​ครั้งนี้​ลงในวารสาร​

https://iopscience.iop.org/article/10.1088/1748-9326/ad91ca

 

ภาพ: David McNew / Getty Images

The post การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 appeared first on THE STANDARD.

]]>