Environment – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 31 May 2025 06:22:26 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน https://thestandard.co/globalseaweed-protect/ Sat, 31 May 2025 06:22:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1080652

มูลนิธิยูนุสมีความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมในโครงการ GLO […]

The post มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>

มูลนิธิยูนุสมีความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมในโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT ซึ่งเป็นโครงการวิจัยระดับนานาชาติครั้งสำคัญ ที่มุ่งเพิ่มความปลอดภัยและความยั่งยืนของสาหร่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการนี้มีกำหนดระยะเวลาดำเนินงานเป็นเวลา 3 ปี นำโดยศาสตราจารย์ Juliet Brodie จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (สหราชอาณาจักร) และได้รับทุนจากสภาวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (BBSRC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ UK Research and Innovation (UKRI) หน่วยงานด้านการให้ทุนวิจัยของสหราชอาณาจักร

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและวิจัยชั้นนำ เช่น สมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งสกอตแลนด์ (SAMS), มหาวิทยาลัยมาลายา, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยมาตาราม, มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ดิลิมัน, มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ และสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเวียดนาม ร่วมกับโครงการสาหร่ายยั่งยืนของมูลนิธิยูนุส

 

การปลูกสาหร่ายมีบทบาทสำคัญในการดำรงชีพของประชากรกว่าหนึ่งล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับชุมชนชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของกลยุทธ์ด้านความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศ ความมั่นคงด้านอาหาร และความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลในระดับภูมิภาคอีกด้วย

 

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมหาสมุทร เพื่อการเติบโตอย่างครอบคลุม และการคำนึงถึงอนามัยสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย การเพาะปลูกสาหร่ายมีศักยภาพอย่างมากในการสร้างรายได้ให้กับชุมชนชายฝั่ง สนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และการเพิ่มมูลค่าสินค้าอาหาร เกษตรกรรม เครื่องสำอาง และวัสดุชีวภาพ

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างสุขภาพของสาหร่ายและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ควบคู่ไปกับการพัฒนาสายพันธุ์สาหร่ายที่ปรับตัวต่อสภาพอากาศและทนทานต่อโรค อีกทั้งยังมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกสาหร่ายทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยส่งเสริมแนวทางการทำฟาร์มที่ยั่งยืนและปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

การมีส่วนร่วมของมูลนิธิยูนุสในโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT สะท้อนให้เห็นถึงพันธกิจที่กว้างขึ้นในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม และมีความครอบคลุมทางสังคม ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มนี้ มูลนิธิยูนุสจะนำความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจเพื่อสังคมและการมีส่วนร่วมของชุมชนชายฝั่งมาช่วยสร้างภาคส่วนเศรษฐกิจด้านสาหร่าย ที่มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างความเท่าเทียมในภาคส่วนธุรกิจมากขึ้น

 

โครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT เป็นการต่อยอดจากความร่วมมืออันแข็งแกร่งที่มีอยู่แล้วระหว่างพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และนานาชาติ โดยมุ่งเป็นต้นแบบของแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ และมีความครอบคลุมในการปกป้องระบบนิเวศทางทะเล โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความยั่งยืนในระยะยาวของการเพาะปลูกสาหร่ายทะเล ในฐานะเสาหลักของเศรษฐกิจสีน้ำเงิน โดยมุ่งจัดการกับภัยคุกคาม เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การระบาดของโรค และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

 

ภาพ: University of Mataram Center for Marine Biorefineries

 

อ้างอิง:

The post มูลนิธิยูนุสร่วมโครงการ GLOBALSEAWEED-PROTECT หนุนความมั่นคงเศรษฐกิจสีน้ำเงินอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก https://thestandard.co/toxic-air-kills-100-kids-daily/ Thu, 06 Feb 2025 12:04:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1038935

ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศในระดับที่เป […]

The post มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในขณะที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศในระดับที่เป็นอันตราย ส่งผลให้โรงเรียนหลายแห่งต้องหยุดและเกิดความกังวลด้านสุขภาพเป็นวงกว้าง การวิเคราะห์ล่าสุดของยูนิเซฟเผยให้เห็นถึงผลกระทบอันเลวร้ายของมลพิษทางอากาศต่อเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ซึ่งมักรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง หรือตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเมษายน โดยมีความเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนในแต่ละวัน

 

การวิเคราะห์เผยให้เห็นว่าเด็กทุกคนในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก หรือประมาณ 500 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มลพิษทางอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีความเชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศในครัวเรือนจากการใช้เชื้อเพลิงแข็งในการหุงต้มและให้ความร้อน 

 

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก มีเด็ก 325 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ ฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยต่อปีสูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึง 5 เท่า และเด็ก 373 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่มีระดับไนโตรเจนไดออกไซด์ในระดับที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ เด็กร้อยละ 91 หรือประมาณ 453 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มลพิษจากโอโซนเกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 

 

ในประเทศที่มีระดับฝุ่น PM2.5 สูงสุด มักเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เชื้อเพลิงชีวมวล และของเสียทางการเกษตร ซึ่งไม่เพียงก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเท่านั้น แต่ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

 

จูน คูนูกิ ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า “ทุกลมหายใจคือชีวิต แต่สำหรับเด็กจำนวนมาก ลมหายใจอาจนำมาซึ่งอันตราย ในช่วงเวลาที่ร่างกายและสมองของเด็กกำลังพัฒนา อากาศที่พวกเขาหายใจเข้าไปกลับเต็มไปด้วยมลพิษในระดับที่เป็นอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ทำลายปอด และบั่นทอนพัฒนาการทางสติปัญญา”

 

เกือบ 1 ใน 4 ของเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ โดยมลพิษทางอากาศสามารถส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักแรกเกิดต่ำ เมื่อเติบโตขึ้น เด็กยังมีโอกาสเป็นโรคหอบหืด ปอดถูกทำลาย และมีพัฒนาการล่าช้า  ในขณะเดียวกัน เด็กจากครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงงานหรือทางหลวง ซึ่งมีระดับมลพิษสูง ยิ่งเสี่ยงต่ออันตรายนี้มากขึ้น นอกจากนี้ การสัมผัสมลพิษทางอากาศเป็นเวลานานยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและอนาคตของเด็กในระยะยาว

 

มลพิษทางอากาศไม่ได้กระทบต่อสุขภาพของเด็กเท่านั้น แต่ยังเพิ่มภาระให้ระบบสาธารณสุขที่มีภาระหนักอยู่แล้ว เพิ่มค่าใช้จ่าย และส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และศักยภาพของเด็ก การขาดเรียนเนื่องจากการเจ็บป่วย การพัฒนาสมองที่ไม่เต็มที่ และความเสี่ยงต่อการปิดโรงเรียนล้วนจำกัดศักยภาพของเด็ก ในขณะที่ผู้ปกครองที่ต้องดูแลบุตรที่เจ็บป่วยอาจต้องสูญเสียรายได้ 

 

ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นรุนแรง โดยธนาคารโลกประมาณการว่าในปี 2019 มลพิษจากฝุ่น PM2.5 ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและความเจ็บป่วย คิดเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกถึงร้อยละ 9.3 ของ GDP หรือมากกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ยูนิเซฟเรียกร้องให้รัฐบาล ภาคธุรกิจ ภาคสาธารณสุข ผู้ปกครอง และนักการศึกษา ลงมืออย่างเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อเด็กในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยเฉพาะในด้านต่อไปนี้:

 

  • รัฐบาล ต้องเป็นผู้นำในการเสริมสร้างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ เปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และบังคับใช้มาตรฐานคุณภาพอากาศให้สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกเพื่อปกป้องสุขภาพของเด็ก

 

  • ภาคธุรกิจ ควรนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้ ลดการปล่อยมลพิษ และดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของเด็กเป็นลำดับแรก

 

  • ภาคสาธารณสุข ควรดำเนินมาตรการเพื่อปรับปรุงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

 

  • ผู้ปกครองและนักการศึกษา มีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ สนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สะอาดขึ้น และส่งเสริมให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

 

ยูนิเซฟกำลังทำงานร่วมกับรัฐบาล ภาคธุรกิจ ระบบสาธารณสุข และชุมชนทั่วเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เพื่อปกป้องเด็กจากผลกระทบที่ร้ายแรงของมลพิษทางอากาศ โดยมีโครงการสำคัญดังต่อไปนี้:

 

  • ผลักดันนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างโลกที่สะอาดและยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับเด็ก

 

  • ดำเนินโครงการลดมลพิษทางอากาศในครัวเรือน เช่น ระบบระบายอากาศแบบปล่องควันและระบบทำความร้อนที่สะอาดขึ้น

 

  • ปรับปรุงการติดตามคุณภาพอากาศและการรายงานผล ด้วยโครงการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดมลพิษที่มีต้นทุนต่ำ

 

  • เสริมสร้างระบบสาธารณสุข เพื่อรับมือกับโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ และลงทุนในระบบจัดการขยะทางการแพทย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

  • ทำงานร่วมกับชุมชนและส่งเสริมบทบาทของเยาวชนในฐานะนักรณรงค์เพื่ออากาศสะอาด โดยช่วยสร้างความตระหนัก ตรวจสอบคุณภาพอากาศ และผลักดันนโยบายที่เข้มแข็งขึ้น

 

คูนูกิเน้นย้ำว่า “การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะช่วยยกระดับสุขภาพ การศึกษา และคุณภาพชีวิตของเด็กอย่างมหาศาล และจะส่งผลดีต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม เรามีแนวทางแก้ไขอยู่แล้ว และอนาคตร่วมกันของเราขึ้นอยู่กับการนำแนวทางเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม”

 

แฟ้มภาพ: UNICEF / UNI715048 / Janthong

อ้างอิง:

  • ยูนิเซฟ ประเทศไทย

The post มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนต่อวัน ในเอเชีย-แปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด https://thestandard.co/pm25-solution-analysis/ Mon, 03 Feb 2025 07:01:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1037590 หมอกควันฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ

ช่วงนี้ไปไหนก็ได้ยินแต่คนบ่นเรื่องฝุ่น PM2.5 บางคนไอ บา […]

The post ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมอกควันฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ

ช่วงนี้ไปไหนก็ได้ยินแต่คนบ่นเรื่องฝุ่น PM2.5 บางคนไอ บางคนเจ็บคอ บางคนถึงกับเลือดกำเดาไหลเพราะอากาศแห้งและเต็มไปด้วยฝุ่น ยิ่งในกรุงเทพฯ เช้าๆ มองไปข้างหน้าก็เห็นแต่อากาศขมุกขมัว แสบจมูกทุกครั้งที่ต้องออกไปข้างนอก หลายคนเริ่มกังวลว่าต้องใช้ชีวิตอยู่กับสภาพนี้ไปอีกนานแค่ไหน

 

กรมควบคุมมลพิษออกมาเตือนว่า ในช่วงวันที่ 31 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ ฝุ่นยังคงอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ นี่หมายความว่าอีกหลายวันข้างหน้า คนกรุงและอีกหลายจังหวัดต้องเผชิญกับมลพิษที่เลี่ยงไม่ได้

 

มาตรการระยะสั้น: พอไหม?

 

หนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้ คือการให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน (25-31 มกราคม) เพื่อลดจำนวนรถยนต์บนถนน ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพฯ พบว่าการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลดลงประมาณ 500,000 คัน หรือ 10% จากตัวเลขเฉลี่ย 10 ล้านคันต่อวัน

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกมาตรการอื่นๆ เช่น การทำงานจากที่บ้าน (WFH) การควบคุมการเผาชีวมวล และการตรวจจับรถควันดำ แต่คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ มันพอไหม? และที่สำคัญ แก้ตรงจุดหรือเปล่า?

 

นายกฯ มองปัญหาฝุ่นอย่างไร?

 

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ THE STANDARD ที่เวที World Economic Forum 2025 เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ว่า

“ฝุ่นไม่ใช่เรื่องที่เซอร์ไพรส์ เรารู้ว่ามีปัญหานี้มาตลอด ก่อนมาประชุมที่นี่ก็เรียกกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาหารือหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ รวมถึงพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือกันลดฝุ่น

 

“แน่นอนว่า วันที่ฝุ่นเยอะเราไม่สามารถดีดนิ้วให้ฝุ่นหายไปได้ เราเตรียมเท่าที่ทำได้อย่างเต็มที่ เผอิญว่าวันที่เรามาที่นี่ มันเป็นช่วงที่ฝุ่นเยอะพอดี แต่เราก็ต้องสื่อสารให้คนเข้าใจ”

 

ฟังดูแล้วรัฐบาลรับรู้ปัญหา และพยายามหาทางออก แต่มาตรการที่ออกมาอาจจะยังเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ

 

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ: เรากำลังแก้ผิดจุด?

 

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI มองว่า มาตรการหลายอย่างที่รัฐบาลทำ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จริงๆ

 

“การฉีดละอองน้ำ การขอความร่วมมืองดปิ้งย่าง หรือแม้แต่การลดการสูบบุหรี่ ไม่ได้ผิด แต่มันไม่ใช่คำตอบที่จะแก้ปัญหา PM2.5 ได้จริงๆ เพราะฝุ่นจากกิจกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ PM2.5 แต่เป็นฝุ่นอีกประเภท”

 

เขายังชี้ให้เห็นว่า การติดตั้งหอดูดอากาศขนาดใหญ่ หรือการจำกัดรถบรรทุกให้วิ่งเฉพาะวันคู่-วันคี่ อาจมีต้นทุนสูง แต่กลับไม่ได้ช่วยลดฝุ่นพิษจากต้นเหตุหลัก

 

“เราต้องกลับไปดูต้นตอของปัญหาจริงๆ เช่น ควันจากรถยนต์ดีเซลเก่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ถ้าเราไม่แตะจุดพวกนี้ ฝุ่น PM2.5 ก็ไม่มีวันลดลง”

 

จะแก้ฝุ่นพิษให้ได้ ต้องทำอะไรบ้าง?

 

ดร.สมเกียรติ เสนอแนวทางที่สามารถทำได้จริง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

 

  • ปรับมาตรฐานน้ำมันและไอเสีย: ยกระดับมาตรฐานน้ำมันให้เป็น Euro 5 หรือ Euro 6 และควบคุมอายุการใช้งานของรถยนต์เก่า
  • ลดการเผาชีวมวล: ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรแทนการเผา และให้แรงจูงใจทางการเงิน เช่น คาร์บอนเครดิต
  • จัดการปัญหาข้ามพรมแดน: ฝุ่นบางส่วนมาจากเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ที่มีการเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตร ไทยต้องมีมาตรการร่วมกับอาเซียนเพื่อแก้ปัญหานี้
  • บริหารจัดการซัพพลายเชนพืชเกษตร: ปัจจุบันไทยปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เอง 4-5 ล้านตันต่อปี แต่ต้องใช้ 8-9 ล้านตัน ทำให้ต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน หากไทยลดการปลูกข้าวโพดและนำเข้าแทน อาจช่วยลดปัญหาการเผา

 

ประเทศไทยต้องเดินหน้าไปทางไหน?

 

ขณะที่รัฐบาลยังคงใช้มาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การลดค่ารถเมล์ หรือการใช้ฝนหลวง แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ที่โครงสร้างและนโยบายระยะยาว

 

ในสิงคโปร์ บริษัทที่ซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศต้องรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งหมายความว่า หากบริษัทในไทยต้องการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ก็ต้องพิสูจน์ว่าไม่มีการเผาทำลายป่า นี่เป็นแนวทางที่ไทยควรศึกษา

 

สัปดาห์นี้ อารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาออกมาตรการกำหนดให้ผู้นำเข้าข้าวโพด ต้องแสดงเอกสารยืนยันว่าไม่ใช้การเผา รวมถึงจะประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน

 

ฝุ่นพิษไม่ใช่แค่ปัญหาฤดูกาล แต่มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ถ้าเรายังแก้กันแบบปลายเหตุ เราก็จะเจอกับฝุ่น PM2.5 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

มาตรการชั่วคราวช่วยให้คนหายใจสะดวกขึ้นในช่วงหนึ่ง แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องเปลี่ยนวิธีคิด ด้วยการปฏิรูปกฎหมาย ควบคุมมลพิษจากรถยนต์ โรงงาน และการเผาในที่โล่ง รวมถึงร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง

 

ถึงเวลาที่ไทยต้องหันมา ‘ร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ตรงจุด’ เพราะฝุ่นพิษไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ได้ด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น หากทุกภาคส่วน—รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชน—ไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วงเกินกว่าที่จะรับไหว และฝุ่นพิษอาจกลายเป็น ‘เรื่องปกติ’ ที่กัดกินคุณภาพชีวิตของเราทุกคนไปตลอด

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

The post ฝุ่นพิษ: ภัยเงียบที่ต้องแก้ให้ตรงจุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน https://thestandard.co/pm25-and-cross-border-dust-crisis/ Tue, 28 Jan 2025 12:19:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1035474

สถานการณ์ฝุ่นในช่วงเวลานี้น่ากังวลเป็นอย่างมาก หลายพื้น […]

The post เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สถานการณ์ฝุ่นในช่วงเวลานี้น่ากังวลเป็นอย่างมาก หลายพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและมีค่าฝุ่นในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ THE STANDARD พูดคุยกับ ศ. ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ถึงช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน

 

ไทยยังไม่มีการกำหนดค่าสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ

 

ศ. ดร.ศิวัช เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าว่า เมื่อ 30-40 ปีก่อน ประเทศสหราชอาณาจักรที่อาจารย์เคยเดินทางไปศึกษาต่อ มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศกันแล้ว ขณะที่ในประเทศไทยจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานดังกล่าว และนี่เป็นหนึ่งในช่องโหว่สำคัญที่ทำให้สถานการณ์ฝุ่นในไทยกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง

 

เทียบเคียงได้กับปัญหาเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญของไทย ถ้าที่ผ่านมารัฐไม่มีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย โอกาสที่คนเมาแล้วขับจะเกิดอุบัติเหตุจนสร้างผลกระทบให้กับตนเองและคนรอบข้างก็มีสูงมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าตราบใดที่รัฐยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์ทั้งหลายในชั้นบรรยากาศ ซึ่งรวมถึงโลหะหนักอย่างสารหนู แคดเมียม และปรอท ก็จะทำให้ผู้ปล่อยมลพิษทางอากาศทั้งหลายไม่ถูกควบคุมด้วยเกณฑ์มาตรฐานที่เข้มงวดและรัดกุมจากภาครัฐ 

 

 

ไทยยังขาดการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ครอบคลุม และจริงจัง

 

ศ. ดร.ศิวัช อธิบายว่า ถ้าจะทำความเข้าใจเรื่องฝุ่น และต้องการทำให้เกิดมาตรการที่เข้มงวดและจริงจังอย่างแท้จริงนั้น จะต้องทราบข้อมูลพื้นฐานเรื่องฝุ่น เช่น แหล่งกำเนิดฝุ่นมีที่มาทั้งที่เกิดตามธรรมชาติ และเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งฝุ่นส่วนใหญ่ที่มีสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์และก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพของคนนั้น มักเป็นฝุ่นที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ อีกทั้งฝุ่นในตอนนี้ เมื่อเทียบกับฝุ่นเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ไม่เหมือนกัน เพราะฝุ่นในปัจจุบันอันตรายกว่าเดิมมาก และมีแนวโน้มที่จะมีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงกว่า

 

อาจารย์ยังยกตัวอย่างวิกฤตฝุ่น PM ในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อช่วงต้นปี 2024 ที่มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) สูงมาก โดยรัฐบาลจีนเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่แหล่งกำเนิดฝุ่นที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ แทนที่จะจัดการกับแหล่งกำเนิดฝุ่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ และทราบดีว่าวิกฤตฝุ่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเป็นฝุ่นที่พัดมาจากทะเลทราย ยากที่จะควบคุม

 

สิ่งที่ทางการจีนทำคือ หากโรงงานอุตสาหกรรมไหนปล่อยมลพิษมากเกินเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดก็ใช้บทลงโทษอย่างจริงจัง เช่น สั่งย้ายโรงงาน หรือสั่งปิดโรงงาน รวมถึงเดินหน้าสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้สถานการณ์ฝุ่นโดยรวมในเมืองหลวงของจีนดีขึ้นอย่างมาก 

 

 

นอกเหนือไปจากการเผาในภาคการเกษตร ไอเสียจากยานพาหนะและมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุของฝุ่น PM ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ในประเทศไทยที่ ‘มักถูกมองข้าม’ คือ ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นจากการใช้ ‘ปุ๋ยไนโตรเจน’ อย่างบ้าระห่ำ

 

ประเทศไทยใช้ปุ๋ยไนโตรเจนซึ่งเป็นปุ๋ยเคมีมากจนเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือไนโตรเจนจะทำปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับออกซิเจน กลายเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และไปทำปฏิกิริยากับแก๊ส BVOCs (Biogenic Volatile Organic Compounds) หรือสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายที่มาจากพืช ถ้าเป็นพื้นที่ในเมืองที่มีไอเสียรถยนต์จำนวนมาก อาจจะเป็นแก๊ส VOCs (Volatile Organic Compounds) และกลายเป็นฝุ่น PM และโอโซน (O3)

 

สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้คือ ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดปริมาณการเกิดฝุ่น PM และโอโซนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาตรงนี้ เนื่องจากฝุ่น PM และโอโซนที่มากจนเกินไปก็จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพของผู้คน เช่น ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ

 

ศ. ดร.ศิวัช เน้นย้ำว่า คนไทยนอกจากจะต้องสนใจค่าฝุ่น PM2.5 แล้ว ยังจำเป็นต้องสนใจด้วยว่ามีอะไรอยู่ในฝุ่นเหล่านั้นบ้าง พร้อมทั้งแนะนำว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทยควรจะมีการกำหนดค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์อย่างโลหะหนัก เช่น สารหนู แคดเมียม และปรอท ไว้อย่างชัดเจน ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

 

นอกจากนี้อาจารย์ยังอธิบายว่า บางครั้งค่าฝุ่นสูงอาจไม่ได้แปลว่าฝุ่นนั้นมีสารก่อมะเร็งหรือสารก่อการกลายพันธุ์สูงมากอย่างที่เราคาดคิด ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์ที่ครอบคลุมและชัดเจน หากวิเคราะห์ฝุ่นแล้วพบว่า องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นไม่ได้มีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงมาก ภาครัฐก็อาจประกาศเตือนและลดความตื่นตระหนก พร้อมแนะนำมาตรการรับมือให้กับประชาชน ในทำนองเดียวกัน หากในสถานการณ์ที่ค่าฝุ่นไม่สูงมาก แต่ตรวจพบว่ามีสารก่อมะเร็งในปริมาณที่สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ภาครัฐก็จะต้องยกระดับการป้องกันและประกาศเตือนประชาชนให้รับมือกับปัญหาได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการสันดาป หรือโรงงานถลุงเหล็กที่มีการปล่อยสารก่อมะเร็งออกมาเป็นจำนวนมาก ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้สูงมาก 

 

 

ฝุ่นข้ามพรมแดน ความท้าทายของไทยและอาเซียน

 

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ‘ฝุ่นข้ามพรมแดน’ ที่มีต้นกำเนิดของฝุ่นอยู่ภายนอกประเทศ มีส่วนทำให้วิกฤตฝุ่น PM ภายในประเทศไทยซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เผยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงความรู้ เทคนิค และการบริหารจัดการวิกฤตฝุ่นระหว่างกัน ทั้งยังส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับจุดร้อน ฝุ่นควัน และสนับสนุนการกำหนดบทลงโทษอย่างจริงจัง

 

ขณะที่รัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศก็เดินหน้าแก้ไขวิกฤตฝุ่นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เช่น การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดน การผลักดันประเด็นฝุ่นพิษในการประชุมอาเซียน รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (AATHP) แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่นข้ามพรมแดนก็ยังเผชิญความท้าทายอยู่มาก เช่น ข้อจำกัดด้านกฎหมายและการบังคับใช้ในแต่ละประเทศ ความแตกต่างของนโยบายและลำดับความสำคัญระหว่างประเทศ การขาดงบประมาณและทรัพยากร รวมถึงการขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการติดตามและประเมินผล เป็นต้น

 

ศ. ดร.ศิวัช ระบุว่า ถ้าจะแก้ไขวิกฤตฝุ่นในอาเซียนจะต้องสนใจภาพรวมในระดับภูมิภาค (Regional Scale) เนื่องจากปัญหามลพิษทางอากาศเป็นปัญหาข้ามพรมแดน (Transboundary Issue) สุดท้ายแล้วการมี พ.ร.บ.อากาศสะอาดในระดับภูมิภาคอาเซียนก็อาจเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง

 

อาจารย์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับฝุ่นข้ามพรมแดนไว้ว่า ถ้าจุดตรวจจับฝุ่นควันได้รับการติดตั้งในพื้นที่บริเวณชายแดนของประเทศ A และ B ซึ่งอาจมีระยะห่างไม่ถึง 1 กิโลเมตร หรือมีแค่แม่น้ำคั่นกลางเท่านั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฝุ่นข้ามพรมแดนในลักษณะนี้อาจไม่ต่างจากแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในประเทศมากนักหากมองจากดาวเทียมอวกาศ แต่ถ้าแหล่งกำเนิดฝุ่นข้ามแดนเกิดขึ้นภายนอกประเทศในจุดที่ถูกลมพัดพาเป็นระยะทางไกล (Long Range Transportation) และใช้ระยะเวลานานหลายวัน ฝุ่นที่ถูกลมพัดพาให้ข้ามพรมแดนมาอาจทำปฏิกิริยากับสารเคมีอื่นๆ จนทำให้องค์ประกอบทางเคมีหรือสารก่อมะเร็งต่างๆ ที่อยู่ในฝุ่น PM เปลี่ยนแปลงไปจากฝุ่นที่เกิดขึ้น ณ จุดต้นกำเนิด และอาจถูกแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ย่อยสลายหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของสารพิษที่อยู่ในฝุ่นได้เช่นกัน แม้ฝุ่นข้ามพรมแดนจะยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คน แต่ก็อาจไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบได้มากเท่ากับฝุ่นที่เกิดขึ้นจากภายในประเทศ

 

ศ. ดร.ศิวัช เน้นย้ำว่า ถ้าเรามุ่งเน้นไปที่สุขภาพของประชาชนภายในประเทศ การควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นในประเทศของเราเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ เพื่อเป็นตัวอย่างหรือแนวทางในการรับมือวิกฤตฝุ่น ก่อนที่จะมุ่งเน้นไปยังแหล่งกำเนิดฝุ่นภายนอกประเทศ 

 

บทเรียนจากสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมา อาจารย์ระบุว่า สิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ดีและชัดเจนอย่างมากในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM โดยสิงคโปร์สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นภายในประเทศได้เกือบทั้งหมด รถยนต์เก่าที่ปล่อยควันพิษในปริมาณมากจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งาน เว็บไซต์กระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ถึงกับเคยระบุว่า สิงคโปร์จะไม่ตัดถนนเพิ่มเติมและสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ มีเพียงมลพิษที่มาจากเรือ (Shipping Emission) ที่ยังคงเป็นความท้าทายของสิงคโปร์ เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเมืองท่า มีเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่จากทั่วโลกมาจอดเทียบท่าเป็นจำนวนมาก

 

แต่สิ่งที่ตามมาคือ สิงคโปร์สามารถควบคุมคุณภาพอากาศในสภาวะปกติได้ดีมาก ถึงแม้จะเผชิญกับปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนที่มาจากการเผาในภาคการเกษตรของอินโดนีเซีย แต่สิงคโปร์ก็เดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ใช้ทั้งมาตรการไม้แข็ง ทั้งสั่งปรับ ขึ้นบัญชีดำ และยุติการทำธุรกรรมต่างๆ กับบริษัทหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง และใช้มาตรการไม้อ่อนด้วยการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรในอินโดนีเซียเลิกเผาเพื่อบรรเทาวิกฤตฝุ่น ทำให้ปัญหาฝุ่นข้ามแดนจากอินโดนีเซียมายังสิงคโปร์ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

 

เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ไทยอาจเป็นต้นตอปัญหาฝุ่นข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้าน

 

ศ. ดร.ศิวัช ยังชี้ว่า ในทางตรงกันข้าม ถ้าทิศทางของกระแสลมเปลี่ยนแปลง ต้นทางลมอยู่ที่ประเทศไทย และปลายทางลมอยู่ทิศประเทศเพื่อนบ้าน แหล่งกำเนิดฝุ่นในไทยก็จะทำให้ไทยกลายเป็นต้นตอของฝุ่นข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดียวกัน ดังนั้น ก่อนที่จะไปพูดถึง พ.ร.บ.อากาศสะอาดอาเซียน เราอาจจะต้องช่วยกันผลักดันให้ พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทยเกิดขึ้นได้จริง และช่วยกันตรวจสอบว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดนี้มีเนื้อหาอย่างไร และยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนบางกลุ่มอยู่หรือไม่ 

 

ส่วนแนวโน้มวิกฤตฝุ่นอาเซียนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า อาจารย์มองว่าถ้าวิกฤตฝุ่นนี้เกี่ยวโยงกับการเผาในภาคการเกษตร จุดนี้อาจต้องใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาจัดการ เปลี่ยนสิ่งที่ชาวบ้านหรือเกษตรกรจะเผาให้กลายเป็นสิ่งของที่มีมูลค่า เปลี่ยนชีวมวลให้กลายเป็นเงิน เช่น การพัฒนาต่อยอดและเพิ่มมูลค่าชีวมวลให้กลายเป็นน้ำมันไพโรไลซิส ซึ่งสามารถกลั่นเป็นน้ำมันดีเซลหรือเบนซินได้ รวมถึงการส่งออกชีวมวลส่วนเกินต่างๆ ไปเป็นอาหารสัตว์ในฟาร์มต่างประเทศ 

 

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐในกลุ่มประเทศอาเซียนว่าจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับชีวมวลเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน โดยทิศทางในภาพรวม พื้นที่เมืองมีแนวโน้มที่วิกฤตฝุ่นจะดีขึ้น เนื่องจากระบบขนส่งต่างๆ จะหันมาพึ่งพาไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ขณะที่พื้นที่ชนบทก็อาจจะยังคงเผชิญปัญหานี้ต่อไป หากรัฐไม่สามารถอุดช่องโหว่ต่างๆ และลดต้นตอการเกิดฝุ่นควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สอดคล้องกับ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่เสนอแนะแนวทางที่สามารถทำได้จริงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน ดังนี้

 

  1. ปรับมาตรฐานน้ำมันและไอเสียรถยนต์ โดยการยกระดับมาตรฐานน้ำมันให้เป็น Euro 5 หรือ Euro 6 พร้อมกับจำกัดอายุการใช้งานของรถยนต์เก่า
  2. ลดการเผาชีวมวล พร้อมสนับสนุนการใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวแทนการเผา และสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เช่น คาร์บอนเครดิต
  3. บริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ที่ทำให้เกิดการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน

 

โดย ดร.สมเกียรติ เน้นย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับปัญหาฝุ่นข้ามแดน พร้อมทั้งแนะให้รัฐบาลไทยหามาตรการที่ชัดเจนในการบริหารจัดการซัพพลายเชนในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดการเผาในภาคการเกษตร รวมถึงเตรียมจัดหาอาชีพเสริมให้กับกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ และบริหารจัดการให้ดียิ่งขึ้น

The post เปิดช่องโหว่ของไทยในการรับมือวิกฤตฝุ่น PM2.5 และฝุ่นข้ามพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>
UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 https://thestandard.co/unicef-pm25-thai-children-health-risks/ Mon, 27 Jan 2025 06:31:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1034744 เด็กไทยสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM2.5 ในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ

ยูนิเซฟ (UNICEF) มีความกังวลอย่างยิ่งต่อระดับค่าฝุ่น PM […]

The post UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เด็กไทยสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM2.5 ในช่วงวิกฤตมลพิษทางอากาศ

ยูนิเซฟ (UNICEF) มีความกังวลอย่างยิ่งต่อระดับค่าฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กประมาณ 13.6 ล้านคนทั่วประเทศ สถานการณ์ที่น่าห่วงนี้ต้องการการดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ของเด็ก

 

จากรายงาน Over the Tipping Point ของ UNICEF ในปี 2023 พบว่า จำนวนเด็กในประเทศไทยที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากฝุ่น PM2.5 นั้นมีมากกว่าจำนวนเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศอื่นๆ เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง

 

คยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “เราต้องการความมุ่งมั่น ความร่วมมือ และการดำเนินการที่เด็ดขาดจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐและภาคธุรกิจ เพื่อจัดการกับสาเหตุของมลพิษทางอากาศอย่างจริงจัง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เด็กทุกคนได้เติบโตในโลกที่ปลอดภัย สะอาด และยั่งยืน”

 

ในประเทศไทยระดับฝุ่น PM2.5 ที่เป็นอันตรายในช่วงนี้ ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น เพื่อที่เด็กๆ จะได้ไม่ต้องเสียวันเรียนไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้ UNICEF กำลังจัดทำการศึกษาวิจัยโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเน้นการปรับปรุงอาคารและห้องเรียนให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศ รวมถึงฝุ่น PM2.5 ได้ดียิ่งขึ้น งานวิจัยนี้ซึ่งคาดว่าจะเผยแพร่ในปีนี้ จะเป็นข้อมูลสำคัญในการผลักดันการดำเนินการของรัฐบาลและระดมทรัพยากรเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

 

เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางต่อมลพิษทางอากาศเป็นพิเศษ โดยฝุ่น PM2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และส่งผลต่อเนื่องในระยะยาว เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และปัญหาการพัฒนาสมอง นอกจากนี้เด็กยังหายใจรับอากาศมากกว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบปริมาณต่อน้ำหนักตัว และดูดซับมลพิษมากกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ปอด ร่างกาย และสมองยังคงเจริญเติบโตไม่เต็มที่

 

PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กพอที่จะเข้าสู่ปอดลึกและกระแสเลือด อนุภาคเหล่านี้สามารถทำลายระบบอวัยวะหลายส่วน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคหอบหืด ปอดอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในเด็ก การสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวยังเชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อในผู้ใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และมะเร็งปอด

 

จากรายงานสภาวะอากาศโลก (The State of Global Air) ฉบับที่ 5 ซึ่งเผยแพร่โดย Health Effects Institute และ UNICEF ชี้ว่า ในปี 2021 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 700,000 คนทั่วโลก หรือคิดเป็นวันละเกือบ 2,000 คน ต้องเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่สองของการเสียชีวิตของเด็กกลุ่มอายุนี้ทั่วโลก รองจากภาวะทุพโภชนาการ รายงานยังระบุด้วยว่าฝุ่น PM2.5 เป็นตัวบ่งชี้ที่แม่นยำและชัดเจนที่สุดในการคาดการณ์ปัญหาสุขภาพของประชากรทั่วโลกในอนาคต

 

เด็กกลุ่มเปราะบางที่สุดคือกลุ่มที่ต้องรับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากที่สุด เพราะพวกเขามีทางเลือกน้อยกว่าที่จะปกป้องตัวเองจากฝุ่น PM2.5 ข้อมูลทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าเด็กในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้สูง โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าอย่างชัดเจน

 

UNICEF ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและภาคเอกชนเร่งแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เพื่อลดมลพิษทางอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเน้นย้ำว่าการตัดสินใจที่กล้าหาญและมองการณ์ไกลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาระยะยาวแทนการใช้มาตรการระยะสั้น

 

ภาพ: ปฏิภัทร จันทร์ทอง / UNICEF

อ้างอิง:

  • UNICEF

The post UNICEF ชี้ เด็ก 13.6 ล้านคนในไทยเผชิญความเสี่ยงจากฝุ่น PM2.5 appeared first on THE STANDARD.

]]>
การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 https://thestandard.co/ai-climate-forecast-2060/ Sun, 26 Jan 2025 05:16:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1034587 สภาพภูมิอากาศโลก

ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศชั้นนำ นำโดย ศ.เอลิซา […]

The post การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สภาพภูมิอากาศโลก

ทีมนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศชั้นนำ นำโดย ศ.เอลิซาเบธ บาร์นส์ จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด ​รวบรวมข้อมูลเชิงลึกผ่านแบบจำลองสภาพภูมิอากาศโลก 10 แบบ พร้อมความช่วยเหลือจากระบบ AI ได้ผลสรุปออกมาว่า อุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลก​ที่เพิ่มขึ้น​จาก​สภาวะ​โลกร้อนในหลายภูมิภาคมีโอกาสจะเกินเกณฑ์วิกฤตที่ 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส ก่อนจะไปถึงปี 2040 หรือ 15 ปีนับจากนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้มาก

 

และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง นั่นคือระบบ AI ยังได้พยากรณ์ว่า ในบางภูมิภาคของโลก อันได้แก่ เอเชียใต้, เมดิเตอร์เรเนียน, ยุโรปกลาง และบางส่วนของทวีปแอฟริกา (บริเวณทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา) จะต้องพบกับระดับของอุณหภูมิ​เฉลี่ยที่จะสูงถึง 3 องศาเซลเซียส หรือ 2 เท่าตามข้อตกลงปารีส ก่อนจะไปถึงปี 2060

 

“งานวิจัยของทีมงานเราที่ลงเผยแพร่บนวารสาร Environmental Research Letters เน้นย้ำถึงความสำคัญในการใช้เทคนิคด้าน AI เชิงนวัตกรรม เช่น การเรียนรู้แบบถ่ายโอน เพื่อไปใช้กับการสร้างแบบจำลองสภาพอากาศ เพื่อปรับปรุงและจำกัดการคาดการณ์ในระดับภูมิภาค และเราก็พร้อมจะมอบข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ต่อได้สำหรับผู้กำหนดนโยบาย นักวิทยาศาสตร์ และชุมชนทั่วโลก” บาร์นส์กล่าว

 

ตัวเลขดังกล่าวเกิดจากการที่ทีมวิจัยจัดการฝึกฝนเครือข่ายระบบประสาทเทียมของ AI ในแบบคอนโวลูชัน (Convolutional Neural Network: CNN) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบประสาทในสมองของมนุษย์ โดยมีจุดเด่นตรงที่สามารถรักษาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่และเวลาในข้อมูลไว้ได้ จึงทำให้ AI สามารถแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับการจดจำภาพการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี

 

ทีมวิจัยได้ให้ระบบ AI เรียนรู้ข้อมูลจากทั้งหมด 43 ภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งถูกกำหนดโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC อิงตามแบบจำลองสภาพอากาศ CMIP6 โดยให้ AI แยกแบบจำลองสภาพอากาศอิงตามภูมิภาคแทนการมองภาพรวมระดับโลก ทำให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะจุดมากขึ้น การทำงานจะแบ่งอุณหภูมิไว้ 5 ระดับ คือ 1, 1.5, 2, 2.5 และสุดท้ายที่ 3 องศาเซลเซียส จากนั้นจะวิเคราะห์ซ้ำข้อมูลที่ได้ โดยจะเสริมด้วยข้อมูลจากการสังเกตและข้อมูลด้านอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

 

ผลลัพธ์ที่ได้บอกเราว่า จากทั้งหมด 43 ภูมิภาคทั่วโลก จะมี 34 ภูมิภาคที่มีแนวโน้มอุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 โดย 31 ใน 34 ภูมิภาคดังกล่าวมีเกณฑ์ที่อุณหภูมิ​เฉลี่ย​จะเกินไปจนถึง 2 องศาเซลเซียส สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ทีมวิจัยพบว่า 26 ภูมิภาคในจำนวนนั้นจะมีอุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลกเกิน 3 องศาเซลเซียสภายในปี 2060

 

“สิ่งสำคัญที่ต้องมุ่งเน้นไม่ใช่แค่เพียงการที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงเฉพาะที่เกิดขึ้นในพื้นที่ท้องถิ่นและภูมิภาคด้วย” โนอา ดิฟเฟินบอว์ นักวิจัยด้านสภาพอากาศจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว “การจำกัดว่าแต่ละภูมิภาคจะถึงเกณฑ์ความร้อนเมื่อใดนั้น จะทำให้เราสามารถคาดการณ์เวลาของผลกระทบเฉพาะที่จะเกิดต่อสังคมและระบบนิเวศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” และกล่าวเสริมว่า “ความท้าทายก็คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแต่ละภูมิภาคอาจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น จากระบบสภาพอากาศมีการรบกวนในระดับพื้นที่ที่เล็กกว่า และจากกระบวนการต่างๆ ในชั้นบรรยากาศ มหาสมุทร และพื้นผิวโลก สุดท้ายก็อาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นได้ ดังนั้นผลการตอบสนองของแต่ละภูมิภาคต่อภาวะโลกร้อนในระดับโลกจึงคาดการณ์ได้ยาก”

 

ทีมงานเน้นย้ำถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและแจ้งเตือนให้ทั่วโลกรับมืออย่างเร่งด่วน โดยระบุว่า แม้มนุษยชาติจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงเป็นศูนย์ได้ทั้งหมดแล้ว ผลกระทบก็ยังคงจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากยังมีก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากตกค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศ

 

จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกร้อนขึ้นไปถึงระดับ 3 องศาเซลเซียส

 

แน่นอนว่าช่วงปีที่ผ่านมาเราเริ่มมองเห็นผลกระทบทางภัยธรรมชาติจากโลกร้อนบ้างแล้ว ทั้งการเกิดฝนตกน้ำท่วมในประเทศที่เป็นทะเลทราย ไฟป่ารุนแรง คลื่นทะเลสูงผิดปกติ ไปจนถึงการเกิดไต้ฝุ่น 4 ลูกในเดือนที่ไม่ควรเกิด อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่สูงขึ้นทำให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดขั้วไปทั่วโลก ภัยธรรมชาติจะเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น

 

งานวิจัยของทีมงาน ศ.ไนเจล อาร์เนลล์ ผู้อำนวยการสถาบันวอล์กเกอร์ มหาวิทยาลัยรีดดิ้ง ที่ตีพิมพ์เมื่อ 2 ปีก่อนพบว่า เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยโลกแตะ 1.5 องศาเซลเซียส โอกาสที่จะเกิดคลื่นความร้อนครั้งใหญ่ทั่วโลกเฉลี่ยต่อปีจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 5% ในช่วงปี 1981-2010 เป็นประมาณ 30% และหากอุณหภูมิเฉลี่ยโลกแตะ 3 องศาเซลเซียส โอกาสที่จะเกิดคลื่นความร้อนครั้งใหญ่จะเพิ่มขึ้นเป็น 80%

 

งานวิจัยของอาร์เนลล์ยังระบุอีกว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยโลกเกิน 3 องศาเซลเซียส โอกาสเกิดน้ำท่วมจะเพิ่มเกือบ 3 เท่าจากค่าเฉลี่ยทั่วโลก แม้จะยังมีความไม่แน่นอนของตัวเลขอยู่บ้าง เนื่องจากสภาพอากาศเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีตัวแปรมากมาย แต่ผลลัพธ์ทั้งหมดต่างเป็นไปในทางเดียวกัน นั่นคือสิ่งเหล่านี้จะเกิดรุนแรงและบ่อยขึ้น

 

“งานวิจัยของผมยังบอกพวกเราว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบทางกายภาพเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นเส้นตรง คือผลลัพธ์พุ่งไปจนน่ากังวล” อาร์เนลล์กล่าวทิ้งท้าย

 

ทีมงานตีพิมพ์​เผยแพร่​งานศึกษา​ครั้งนี้​ลงในวารสาร​

https://iopscience.iop.org/article/10.1088/1748-9326/ad91ca

 

ภาพ: David McNew / Getty Images

The post การพยากรณ์จาก AI ชี้ว่า โลกจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในปี 2060 appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/ https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/#respond Wed, 22 Jan 2025 04:00:17 +0000 https://thestandard.co/?p=192417 pollution-prevention

หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพั […]

The post ‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
pollution-prevention

หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2019

 

ความศิวิไลซ์ของมนุษย์มักต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางธรรมชาติอันประเมินค่าไม่ได้ จากอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน เราพบว่ามนุษย์ยังคงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่เรียนรู้บทเรียนจากผลเสียของการทำลายธรรมชาติ

 

ท่ามกลางปัญหาหมอกพิษที่กำลังรุมเร้าหลายภูมิภาคทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ หลายประเทศเพิ่งตระหนักกับปัญหามลพิษอย่างจริงจัง ขณะที่หลายประเทศเพิ่งเริ่มตระหนักและกดดันภาครัฐให้งัดมาตรการต่างๆ เพื่อทวงคืนอากาศบริสุทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรก ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น  

 

อาจถือได้ว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีที่ทั่วโลกพร้อมใจกันยกประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแก้ปัญหาโลกร้อนและมลพิษเป็นวาระสำคัญของประเทศ ซึ่งทำให้โลกนี้ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียวที่จะมีอากาศสะอาดให้คนรุ่นหลังได้สูดเข้าไปอย่างเต็มปอด

 

ไม่ไกลจากประเทศไทย จีนซึ่งเป็นชาติที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลกสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และครองแชมป์แหล่งต้นตอของมลพิษทางอากาศมานานหลายปี เวลานี้กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกในด้านการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้จีนยังรับบทหัวเรือใหญ่ในการผลักดันมาตรการแก้ปัญหาโลกร้อนบนเวทีโลก ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตสำหรับประเทศที่ทำลายธรรมชาติจนบอบช้ำ ถึงแม้ว่ากว่าที่จีนจะเริ่มตระหนักและแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง พวกเขาต้องแลกมาด้วยคุณภาพชีวิตของประชากรและต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่มากมายมหาศาล

 

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าจีนมีผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากปัญหามลพิษในอากาศมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี ขณะที่นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ได้วัดดัชนีความสุขโดยใช้อัลกอริทึมวิเคราะห์อารมณ์ของผู้ใช้เว่ยป๋อ (Weibo) แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนที่คล้ายทวิตเตอร์) ใน 144 เมือง นับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งพบว่าเมื่อระดับฝุ่น PM2.5 (ฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน) สูงขึ้น ข้อความที่สะท้อนความสุขของประชาชนจะลดลง ซึ่งถือเป็นสหสัมพันธ์เชิงลบระหว่างระดับมลพิษกับความสุข

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีการสอดส่องโซเชียลมีเดียเพื่อศึกษาความต้องการของประชาชนมาตลอด บ่อยครั้งนโยบายระดับชาติที่กำหนดออกมาบังคับใช้ก็มาจากเสียงโอดครวญในโลกออนไลน์ มาตรการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เช่นเดียวกัน และเมื่อรัฐตระหนักถึงปัญหานี้อย่างจริงจังก็เป็นตัวเร่งให้ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อวิจัยและพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือก จนกระทั่งจีนก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้นำโลกภายในช่วงเวลาไม่กี่ปี ขณะที่ค่ามลพิษก็ลดลงจนน่าพอใจ ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับไทย

 

เราไปดูกันว่ายุทธศาสตร์การทำสงครามกับมลพิษทางอากาศของจีนเป็นอย่างไร ได้ผลมากน้อยแค่ไหน เราสามารถยึดเป็นแบบอย่างได้เพียงใด

 

 

กรณีศึกษา: สงครามต่อสู้มลพิษของจีน

หลังจีนเปิดประเทศและเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมในทุกๆ ด้าน ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลายสวนทางกับความเจริญ เนื่องจากจีนพึ่งพาพลังงานจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษมหาศาล เช่นเดียวกับการขยายตัวของตัวเมืองก็เป็นอีกตัวเร่งให้ปัญหามลพิษเลวร้ายลง กระทั่งจีนกระโดดขึ้นมาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) รวมกัน

 

เมื่อปัญหามลพิษหนักขึ้นจนทำให้ประชาชนไม่มีความสุข รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเร่งด่วน และได้กำหนดยุทธศาสตร์แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นระบบตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทในการต่อสู้กับมลพิษที่ชัดเจนที่สุดของจีน

 

ในแผนปฏิบัติการลดมลพิษทางอากาศที่คลอดเมื่อเดือนกันยายน ปี 2013 ช่วยให้จีนปรับปรุงคุณภาพอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังกำหนดเป้าหมายลดค่าฝุ่น PM2.5 ในกรุงปักกิ่งและเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงลง 33% และ 15% ตามลำดับ ภายในช่วงระหว่างปี 2013-2017

 

ในช่วงเวลาดังกล่าว กรุงปักกิ่งต้องลดค่าฝุ่น PM2.5 จากระดับ 89.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรให้เหลือ 60 ไมโครกรัม ซึ่งมาตรการฉุกเฉินที่ทางการงัดมาใช้ในตอนนั้นมีตั้งแต่การสั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วกรุงปักกิ่ง และห้ามประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงและพื้นที่รอบข้างเผาถ่านหินเพื่อให้ความอบอุ่น ซึ่งแม้จะมีกระแสต่อต้านจากหลายๆ ฝ่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือปักกิ่งสามารถลดค่าฝุ่น PM2.5 ลงเหลือเฉลี่ย 58 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือลดลงถึง 35% ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้เสียอีก

 

สำหรับมหานครเทียนจินที่อยู่ติดกับปักกิ่ง รวมถึงมณฑลข้างเคียงอย่างเหอเป่ยต่างก็ดำเนินมาตรการต่อสู้กับมลพิษเช่นกัน โดยพื้นที่แถบนี้จัดอยู่ในกลุ่มเมืองขนาดใหญ่ (Clusters) เช่นเดียวกับกลุ่มเมืองในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและแยงซีที่ใช้มาตรการต่างๆ จนสามารถลดระดับมลพิษได้ตามเป้าเช่นกัน

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้หลายเมืองของประเทศจีนจะทำได้ตามเป้า แต่ก็ยังไม่มีเมืองไหนที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพอากาศตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรสำหรับฝุ่นละอองขนาด PM2.5 ขณะที่สิ้นปี 2017 มีเพียง 107 เมืองจากทั้งหมด 338 เมืองใหญ่ที่ทำได้ตามมาตรฐานระดับพอรับได้ขององค์การอนามัยโลกที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

 

หลังแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปีฉบับแรกของรัฐบาลจีนสิ้นสุดลง จีนมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำต่อคือปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ได้มาตรฐานโลก เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้นและยั่งยืน

 

ดังนั้นแผนปฏิบัติการฉบับใหม่ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ต่อสู้กับมลพิษทางอากาศเฟสที่ 2 จึงกำหนดขอบเขตควบคุมให้กว้างขวางขึ้นทั่วประเทศ และเพิ่มความท้าทายด้วยกรอบเวลาที่สั้นลงเหลือเพียง 3 ปี (2018-2020) โดยรัฐบาลเรียกมันว่า ‘แผนปฏิบัติการทำสงครามเพื่อท้องฟ้าที่สดใส’

 

แผนปฏิบัติการใหม่นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมระยะ 5 ปีฉบับที่ 13 ของจีน ซึ่งมีข้อบังคับสำหรับเมืองขนาดใหญ่หรือเขตพื้นที่ที่อากาศไม่ได้มาตรฐานคุณภาพให้ลดค่าฝุ่น PM2.5 ลงอย่างน้อย 18% เมื่อเทียบกับระดับมลพิษในปี 2015

 

ข้อมูลจาก หวงเหว่ย หัวหน้าแผนกภูมิอากาศและพลังงานแห่งองค์กรสิ่งแวดล้อม กรีนพีซ อีสต์เอเชีย ระบุว่าแผนปฏิบัติการใหม่มีการควบคุมการปล่อยมลพิษในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น ส่งผลให้หลายเมืองที่ไม่เคยถูกควบคุมเรื่องมลพิษมาก่อนถูกกดดันให้ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ จากเดิมที่เคยเป็นเป้าหมายเฉพาะสำหรับกลุ่มเมืองปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย รวมถึงเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและแยงซีเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางการระบุว่าในบรรดาเมืองขนาดใหญ่จำนวน 338 เมืองที่อยู่ในข่ายถูกควบคุม มีถึง 231 เมืองที่ไม่ได้มาตรฐานคุณภาพอากาศตามเกณฑ์ค่า PM2.5 ซึ่งอนุญาตให้มีปริมาณฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเทียบเท่ากับมาตรฐานที่พอรับได้ขององค์การอนามัยโลก

 

มีการตั้งข้อสังเกตว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การควบคุมมลพิษตามแผนปฏิบัติการฉบับ 3 ปีไม่ได้ผลมากนักเป็นเพราะส่วนกลางไม่ได้กำหนดเป้าหมายให้ลดฝุ่นละอองโดยเทียบจากระดับมลพิษในปี 2017 ทว่ากลับใช้ตัวเลขของปี 2015 เป็นเส้นฐานแทน ซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลนัก

 

มีเสียงวิจารณ์ว่าเป้าหมายลดค่าฝุ่น PM2.5 ลง 18% ภายในปี 2020 เป็นเรื่องที่ง่ายดายเกินไปสำหรับบางเมือง ส่งผลให้มาตรการควบคุมการปล่อยมลพิษในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนในหลายเมืองไม่เข้มข้นมากนัก

 

ก่อนหน้านี้มีกว่า 70 เมืองที่ลดมลพิษในอากาศได้เกินเป้าของแผนปฏิบัติการฉบับแรก ซึ่งเป็นฉบับที่มีการกำหนดเป้าหมายใหม่ แต่สำหรับเฟสที่ 2 กลับไม่จูงใจให้เมืองเหล่านี้ดำเนินมาตรการมากขึ้น เพราะเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนระยะ 3 ปีไม่ท้าทายเพียงพอ

 

และแม้ว่าทุกเมืองจะทำได้ตามเป้าโดยลดฝุ่น PM2.5 ลง 18% แต่ก็จะมีกว่า 200 เมืองที่ไม่ได้มาตรฐานคุณภาพอากาศที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในปี 2020

 

อย่างไรก็ตาม หวังจินหนาน ผู้อำนวยการสถาบันวางแผนด้านสิ่งแวดล้อมในสังกัดกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีน ชี้แจงว่าการกำหนดเป้าหมายโดยแยกจากแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมระยะ 5 ปี (2016-2020) ของรัฐบาลอาจสร้างความสับสนให้กับรัฐบาลท้องถิ่นผู้รับแผนไปปฏิบัติ เพราะตัวเลขต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่ประกาศไปในปี 2016 ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถกำหนดเป้าหมายด้านปริมาณใหม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือเพียงตอกย้ำถึงความจำเป็นในการบรรลุเป้าหมายใหญ่ของแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมฉบับที่ 13 ของจีน

 

โฟกัสโอโซนระดับพื้นดินมากขึ้น

นอกเหนือจากฝุ่นละอองขนาดเล็กแล้ว โอโซนที่เป็นพิษซึ่งส่งผลเสียต่อระบบหายใจเมื่อสูดเข้าไปในร่างกายก็เป็นสิ่งที่ทางการจีนวิตกกังวลและถูกบรรจุลงในแผนปฏิบัติการฉบับใหม่ของรัฐบาลด้วย โอโซนที่ว่านี้อยู่ในระดับพื้นดิน ซึ่งเกิดจากสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds) หรือสาร VOCs ที่ทำปฏิกิริยากับไนโตรเจนออกไซด์ โดยทางการได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยสาร VOCs และไนโตรเจนออกไซด์ลง 10% และ 15% ตามลำดับ โดยใช้ตัวเลขปี 2015 เป็นฐาน

 

ปัจจุบันมีสัญญาณบ่งชี้ว่าปัญหามลพิษโอโซนในจีนเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนจะทำให้โอโซนในระดับพื้นดินเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ ขณะกรีนพีซเคยคำนวณไว้ว่าระดับโอโซนเฉลี่ยทั่วประเทศจีนในเดือนมิถุนายน ปี 2018 สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 11%

 

 

โมเดลระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้า

หนึ่งในกรณีศึกษาน่าสนใจเกี่ยวกับมาตรการต่อสู้กับปัญหามลพิษ นอกเหนือไปจากการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน ย้ายที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมออกนอกเขตเมือง และควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมแล้ว รัฐบาลจีนยังโดดเด่นในเรื่องการส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์ดีเซลและเบนซินที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญก็คือถึงแม้รัฐบาลจีนพบว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการปรับปรุงคุณภาพอากาศในกรุงปักกิ่ง แต่ความสำเร็จส่วนใหญ่มาจากการย้ายที่ตั้งอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษให้ไกลออกไปจากเมืองหลวง ซึ่งหากจีนต้องการบรรลุเป้าหมายคุณภาพอากาศทั่วประเทศภายในปี 2035 รัฐบาลจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบ

 

การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จึงต้องมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย

 

เพราะรถยนต์เป็นอีกหนึ่งต้นตอของมลพิษทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองใหญ่ของจีน

 

ในบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของนิตยสาร Forbes เมื่อปี 2018 มีการคาดการณ์ว่าจีนจะกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่มีระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

 

เรื่องนี้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยสำหรับจีน เพราะภาครัฐได้กำหนดยุทธศาสตร์ถนนสีเขียวและสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังมานานแล้ว โดยเมื่อเร็วๆ นี้เราได้เห็นความเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญคือบริษัท Tesla ของ อีลอน มัสก์ ได้ทำพิธีลงเสาเข็มเพื่อเดินหน้าสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Tesla แห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จจะเป็นฐานผลิตรถ Model 3 ที่สำคัญของ Tesla

 

หากคุณยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนพอ ลองดูข้อมูลจาก Forbes ประกอบก่อน

 

Forbes ระบุว่าในปี 2017 จีนผลิตรถเก๋ง รถบัส และรถบรรทุกที่เป็นระบบไฟฟ้าจำนวน 680,000 คัน ซึ่งมากกว่าทั่วโลกผลิตรวมกันเสียอีก นอกจากนี้จีนยังมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่าประเทศที่เหลือทั่วโลกด้วย

 

ขณะที่เมืองใหญ่อย่างเซินเจิ้นก็ประสบความสำเร็จในการยกเครื่องรถบัสโดยสารให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEVs) ทั้งหมด ซึ่งเป็นต้นแบบให้เมืองอื่นๆ ดำเนินรอยตาม ขณะที่ยานยนต์ลูกผสมอย่างรถไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) ก็กำลังหายไปจากท้องถนนในจีนอย่างรวดเร็ว

 

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกตัวสะท้อนความนิยมที่มีต่อยานยนต์ทางเลือก โดยข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีนเผยว่า จีนมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทะลุ 800,000 คันในปี 2017 พุ่งขึ้นจากตัวเลขไม่ถึง 100,000 คันในปี 2014

 

แต่ปัญหาการใช้รถ BEVs ก็ยังมีอยู่ รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้นต่อการชาร์จแบตครั้งเดียว โดยเป้าหมายคือการทำให้รถ BEVs วิ่งได้ไกลเกิน 160 กิโลเมตร (100 ไมล์) ต่อการชาร์จแบต 1 ครั้ง

 

และเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ จีนตั้งเป้าเพิ่มสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะให้ได้ 500,000 จุดภายในปี 2020 จากที่มีอยู่ 214,000 จุดในปี 2017

 

เฉพาะบริษัทการไฟฟ้าแห่งชาติของจีน (State Grid) ก็มีแผนจะเพิ่มจุดชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า 120,000 จุด จากจำนวน 10,000 จุดในปัจจุบัน โดยจะมีการติดตั้งเพิ่มตามเมืองใหญ่ต่างๆ เช่น เซินเจิ้น ซึ่งทดลองติดตั้งอยู่ริมถนนในบริเวณที่จอดรถ ทั้งหมดนี้ถือเป็นโมเดลสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า BEVs เพราะยิ่งมีจุดชาร์จแบตกระจายไปทั่วมากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังชั่งใจว่าจะเลือกรถ BEVs หรือไม่ เพราะแทนที่พวกเขาจะขับรถไปเติมน้ำมันตามปั๊มแบบเดิม พวกเขาก็สามารถเสียบปลั๊กชาร์จแบตขณะจอดรถตามที่ต่างๆ ได้

 

ดังนั้นหากคุณเดินทางไปจีนในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณอาจเห็นท้องฟ้าที่สดใสปลอดโปร่งขึ้นในเมืองใหญ่ๆ เพราะปัญหาแหล่งมลพิษจากรถเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจค่อยๆ หมดไปจากถนนในจีน

 

 

ความหวังใหม่

ความหวังใหม่สำหรับกรุงปักกิ่งที่เผชิญปัญหาหมอกพิษมานานหลายปี วันนี้ประชาชนได้เห็นท้องฟ้าที่สดใสขึ้น พร้อมกับความหวังใหม่ที่จะสามารถสูดอากาศได้เต็มปอดอย่างสบายใจในสักวันหนึ่ง

 

เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 ปักกิ่งวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในอากาศเฉลี่ยทั้งเดือนได้ 34 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งได้มาตรฐานคุณภาพอากาศระดับชาติที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเป็นครั้งแรก

 

สิ่งที่กรุงปักกิ่งโฟกัสเป็นพิเศษคือการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างเข้มงวด มีทั้งการสั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหลืออยู่ รวมถึงระงับโครงการก่อสร้างทั้งหมดในช่วงฤดูหนาว และยังออกกฎห้ามการเผาถ่านหินในเขตพื้นที่ต่างๆ รอบกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งทีมเจ้าหน้าที่ขจัดควันพิษ หรือ Smog Squad เพื่อตระเวนห้ามชาวเมืองทำกิจกรรมปิ้งย่างบาร์บีคิวกลางแจ้งและเผาขยะด้วย

 

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของกรุงปักกิ่งเปิดเผยว่า ตลอดเดือนมกราคม ปี 2018 คุณภาพอากาศอยู่ที่ระดับ ‘ดี’ และ ‘ดีเยี่ยม’ รวม 25 วันจากทั้งหมด 31 วัน และสามารถลดความหนาแน่นของอนุภาคฝุ่นละอองในอากาศถึง 70.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

 

นอกจากค่า PM2.5 แล้ว ค่าฝุ่นละออง PM10, ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนไดออกไซด์ของกรุงปักกิ่งยังลดลง 51.1%, 55.6% และ 35.4% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว

 

นอกจากเดือนมกราคมที่เป็นหมุดหมายแห่งความสำเร็จแล้ว ปักกิ่งยังทำได้ตามเป้าคุณภาพอากาศในเดือนสิงหาคมและกันยายนในปีที่แล้วอีกด้วย

 

 

สำหรับภาพรวมในปี 2018 ของปักกิ่ง หลังสามารถลดปริมาณฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอนอันเป็นต้นตอของหมอกพิษได้ถึง 12% ในปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลงานที่รัฐบาลค่อนข้างพอใจ แม้ตัวเลขเฉลี่ยตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 51 โมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานคุณภาพอากาศของจีนที่ระดับ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรก็ตาม

 

การบังคับใช้กฎหมายก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อไปสู่เป้าหมาย ทางการจีนเผยว่าเมื่อปีที่แล้วมีผู้ประกอบการที่ปล่อยมลพิษจำนวน 656 รายถูกสั่งให้ย้ายฐานที่ตั้ง ขณะที่บริษัทและบุคคลถูกปรับเงินรวมกว่า 230 ล้านหยวนฐานฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 22.5%

 

กรณีศึกษาของจีนถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศที่กำลังคิดใช้มาตรการต่างๆ เพื่อกอบกู้วิกฤต ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ เพราะกว่าที่จีนจะเห็นผลลัพธ์ที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ นั้น พวกเขาเริ่มตระหนักและแก้ปัญหามลพิษด้วยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบตั้งแต่เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน

 

เพราะการจะแก้ปัญหาฝุ่นพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและดำเนินมาตรการอย่างเคร่งครัดเท่านั้น จึงจะช่วยขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จได้

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post ‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/feed/ 0
จะเกิดอะไรขึ้น หลังทรัมป์เซ็นคำสั่งนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส https://thestandard.co/trump-us-withdraw-paris/ Tue, 21 Jan 2025 04:13:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1032573 trump-us-withdraw-paris

เป็นอีกครั้งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างเสียงฮือฮาตั้งแต่วั […]

The post จะเกิดอะไรขึ้น หลังทรัมป์เซ็นคำสั่งนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-us-withdraw-paris

เป็นอีกครั้งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างเสียงฮือฮาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังเขายืนยันที่จะพาสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสเป็นครั้งที่ 2 สวนกระแสความร่วมมือของนานาประเทศที่พยายามลดผลกระทบจากภาวะโลกรวน ซึ่งกำลังเป็นภัยคุกคามโลกในระดับวิกฤต

 

  • ความเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนภาพลักษณ์สหรัฐฯ

 

การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ส่งผลให้สหรัฐฯ กลายเป็น 1 ใน 4 ประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมข้อตกลงปารีสร่วมกับอิหร่าน ลิเบีย และเยเมน ทั้งที่ข้อตกลงดังกล่าวมีเป้าหมายสำคัญในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม มิเช่นนั้นสถานการณ์ความเลวร้ายทางสภาพอากาศจะไปสู่จุดที่แก้ไขได้ยากแล้ว

 

“ผมขอถอนตัวจากข้อตกลงปารีสที่ไม่เป็นธรรมและลำเอียงทันที” เขากล่าว ก่อนที่จะลงนามในคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร (Executive Order) ต่อหน้าบรรดาผู้สนับสนุนที่มารวมตัวกัน ณ Capital One Arena ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมโจมตีว่าจีนยังคงสร้างมลพิษโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระอย่างไม่สมเหตุผล

 

ท่าทีล่าสุดของทรัมป์สะท้อนทัศนะของเขาเกี่ยวกับภาวะโลกรวนได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยประกาศไว้ว่า ‘โลกรวนคือเรื่องหลอกลวง’ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแผนงานต่างๆ ของทรัมป์ที่ต้องการปลดพันธนาการของบริษัทขุดเจาะน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ ออกจากกฎระเบียบสีเขียวต่างๆ เพื่อยกระดับกำลังการผลิตให้ได้มากที่สุด

 

ในขั้นตอนต่อไปนั้น สหรัฐฯ จะต้องแจ้งอย่างเป็นทางการต่อ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) เกี่ยวกับการถอนตัวดังกล่าว ซึ่งภายใต้ข้อกำหนดแล้ว ข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ในอีก 1 ปีต่อมา

 

  • ผลกระทบที่มากกว่าแค่คำสั่งถอนตัว

 

นักวิชาการเตือนว่าการถอนตัวครั้งนี้อาจสร้างความเสียหายต่อความพยายามด้านสภาพภูมิอากาศของนานาชาติในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก หรือเป็นรองเพียงแค่จีน

 

พอล วัตกินสัน อดีตผู้เจรจาเรื่องสภาพอากาศและที่ปรึกษานโยบายอาวุโสของฝรั่งเศส กล่าวว่า การถอนตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจแตะ 3 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษ อันจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น คลื่นความร้อนรุนแรงขึ้น และพายุทำลายล้างเกิดบ่อยครั้งขึ้น

 

  • สหรัฐฯ เลือกเดินสวนทางโลก

 

การตัดสินใจของทรัมป์สวนทางกับนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เน้นผลักดันสหรัฐฯ ให้เป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด และลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซ แม้ไบเดนจะเคยพลิกสถานการณ์และนำสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีสในปี 2021 แต่การถอนตัวครั้งใหม่นี้ชี้ให้เห็นว่าทรัมป์มีแผนจะผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการผลิตและกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

วัตกินสันกล่าวว่า การถอนตัวครั้งนี้ยังอาจสร้างความเสียหายต่อความพยายามด้านสภาพอากาศของนานาประเทศทั่วโลกได้มากขึ้น

 

“ครั้งนี้จะยากขึ้นเพราะเรายังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการดำเนินการ” วัตกินสันกล่าว

 

แม้หลายๆ ชาติจะมีความพยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด แต่ด้วยปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความขัดแย้งทางการเมือง และงบประมาณของรัฐที่จำกัด ทำให้หลายๆ ประเทศไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสภาพอากาศมาเป็นลำดับต้นๆ อย่างที่ควรจะเป็น

 

  • จีนจับตา เตรียมคว้าชัยในตลาดพลังงานสะอาด?

 

หลี่ซั่ว (Li Shuo) ผู้เชี่ยวชาญด้านการทูตสภาพภูมิอากาศแห่งสถาบัน Asia Society Policy Institute กล่าวว่าการถอนตัวของสหรัฐฯ อาจทำให้จีนกลายเป็นผู้นำในตลาดพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และยานพาหนะไฟฟ้า พร้อมเตือนว่าสหรัฐฯ อาจตามหลังจีนในด้านนี้มากขึ้น

 

“นี่คือโอกาสสำคัญที่จีนจะก้าวขึ้นมา และสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเสียเปรียบในการแข่งขัน” หลี่กล่าว

 

  • UN ยังคงหวังภาคธุรกิจและท้องถิ่นสหรัฐฯ หนุนพลังงานสะอาด

 

แม้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะถอนตัว แต่กูเตอร์เรสมั่นใจว่าเมืองต่างๆ รวมไปถึงรัฐและภาคธุรกิจของสหรัฐฯ “จะยังคงแสดงวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำด้วยการทำงานเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะสร้างงานที่มีคุณภาพ”

 

ฟลอเรนเซีย โซโต นีโน โฆษกสหประชาชาติ กล่าวในแถลงการณ์ว่า “สิ่งสำคัญคือสหรัฐอเมริกาต้องยังคงรักษาความเป็นผู้นำในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ความพยายามร่วมกันภายใต้ข้อตกลงปารีสทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เราจำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าและก้าวไปให้เร็วขึ้นด้วยกัน”

 

ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีการขุดเจาะน้ำมันอย่างแพร่หลายในเท็กซัส นิวเม็กซิโก และที่อื่นๆ เป็นเวลานานหลายปี ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยีการขุดน้ำมันแบบ Fracking และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลกนับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครน

 

การถอนตัวของสหรัฐฯ จากข้อตกลงปารีสเป็นสัญญาณเตือนว่าโลกยังคงเผชิญความท้าทายจากการเมืองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่อาจขัดขวางความพยายามร่วมกันในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ในห้วงเวลาที่นาฬิกาของโลกกำลังเดินไปสู่จุดที่ไม่มีทางหวนกลับได้อีกต่อไป

 

ภาพ: Carlos Barria / Reuters

 

อ้างอิง:

The post จะเกิดอะไรขึ้น หลังทรัมป์เซ็นคำสั่งนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมญี่ปุ่นถึงเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ ขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ยุคพลังงานหมุนเวียน https://thestandard.co/japan-new-coal-plant/ Wed, 15 Jan 2025 04:00:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1030489 japan-new-coal-plant

ท่ามกลางทิวทัศน์ของอ่าวโตเกียวและดอกไม้ฤดูหนาว มีโรงไฟฟ […]

The post ทำไมญี่ปุ่นถึงเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ ขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ยุคพลังงานหมุนเวียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
japan-new-coal-plant

ท่ามกลางทิวทัศน์ของอ่าวโตเกียวและดอกไม้ฤดูหนาว มีโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งล่าสุดของญี่ปุ่นตั้งตระหง่านอยู่ เรือขนถ่านหินลำใหญ่แล่นสวนทางกับเรือประมงของชาวเมือง ปล่องสูงชะลูดแทงขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม คาร์บอนไดออกไซด์ที่มองไม่เห็นพวยพุ่งอยู่ในอากาศ

 

ที่นี่คือเมืองโยโกสุกะ จังหวัดคานากาวะ ห่างจากมหานครโตเกียวราว 1 ชั่วโมงหากเดินทางด้วยรถไฟ เมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นที่รู้จักในฐานะชุมชนชายฝั่งทะเลที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และยังเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือญี่ปุ่น-สหรัฐอเมริกา

 

กระทั่งปี 2023 โรงไฟฟ้าน้ำมันเก่าแก่ที่ปลดประจำการไปนานคืนชีพกลับมาอีกครั้งในสถานะโรงไฟฟ้าถ่านหิน อาณาเขตของมันอยู่ห่างเพียงไม่ถึง 10 กิโลเมตรจากชุมชนที่เต็มไปด้วยบ้านเรือน โรงเรียน และท่าจอดเรือประมง นำมาสู่ความกังวลถึงผลกระทบทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในเมืองโยโกสุกะ

 

อิตาลีตั้งเป้าหมายลดการใช้พลังงานถ่านหินทั้งหมดภายในปี 2025 สหราชอาณาจักรปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งสุดท้ายไปเมื่อปี 2024 ทว่าญี่ปุ่นเพิ่งเปิดใช้งานโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งล่าสุดในปี 2023

 

ปัจจุบันทั่วโลกพยายามเปลี่ยนผ่านเข้าสู่พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก แต่เหตุใดพลังงานถ่านหินจึงยังมีบทบาทอย่างมากใน ‘ประเทศที่พัฒนาแล้ว’ อย่างญี่ปุ่น และทำไมความพยายามของประชาชนที่ลุกขึ้นต่อต้านจึงประสบความล้มเหลว?

 

โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งล่าสุดของญี่ปุ่นในเมืองโยโกสุกะ จังหวัดคานากาวะ เริ่มเดินเครื่องเมื่อปี 2023

โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งล่าสุดของญี่ปุ่นในเมืองโยโกสุกะ จังหวัดคานากาวะ เริ่มเดินเครื่องเมื่อปี 2023

 

การต่อสู้ของภาคประชาชนในญี่ปุ่น: ไม้ซีกงัดไม้ซุง

 

THE STANDARD ได้พบกับ ริคุโระ ซูซูกิ วัย 84 ปี หนึ่งในผู้นำภาคประชาสังคมที่คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าโยโกสุกะ เขาเป็นชาวจังหวัดอิวาเตะที่ย้ายมาทำงานและอาศัยที่โยโกสุกะตั้งแต่ปี 1998

 

แม้ในยุคสมัยของซูซูกิ ประเด็นมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมจะยังไม่เป็นที่สนใจแพร่หลาย แต่เขาประสบกับความสูญเสียด้วยตนเอง หลังจากหลานชายของเขาที่ป่วยด้วยโรคหอบหืดจากมลพิษในโตเกียว และต้องทรมานกับโรคนี้อยู่ถึง 40 ปี จนสุดท้ายจากไปด้วยอายุ 62 ปี

 

เหตุการณ์นี้สร้างแผลลึกในใจของซูซูกิ และทำให้เขาตระหนักถึงผลกระทบจากมลพิษ ก่อนที่เขาจะรับรู้ว่าโรงไฟฟ้าในเมืองโยโกสุกะที่ปิดตัวไปเกือบ 20 ปีกำลังจะเดินเครื่องอีกครั้ง

 

“เดิมทีโรงไฟฟ้าแห่งนี้เป็นโรงไฟฟ้าน้ำมันเชื้อเพลิงมาก่อน สร้างขึ้นราวช่วงทศวรรษ 1960 ขณะนั้นญี่ปุ่นยังไม่มีกฎหมายกำหนดให้โรงไฟฟ้าต้องตั้งห่างจากชุมชน”

 

ซูซูกิเล่าถึงที่มาที่ไป ก่อน JERA บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น จะเปลี่ยนโรงไฟฟ้าน้ำมันเชื้อเพลิงแห่งเดิมที่ปิดใช้งานไปให้กลายเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 1,300 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน

 

ริคุโระ ซูซูกิ ผู้นำภาคประชาชนยื่นฟ้องโรงไฟฟ้าถ่านหินในโยโกสุกะ

ริคุโระ ซูซูกิ ผู้นำภาคประชาชนยื่นฟ้องโรงไฟฟ้าถ่านหินในโยโกสุกะ

 

โครงการดังกล่าวเริ่มขึ้นในปี 2016 และได้จัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ขึ้นในปีเดียวกัน กระบวนการดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กระทั่ง EIA แล้วเสร็จในปี 2018 ก่อนที่กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ของญี่ปุ่นจะรับรองรายงานดังกล่าวและอนุญาตให้เริ่มการก่อสร้างในปีถัดมา

 

ซูซูกิระบุว่า เขารู้สึกประหลาดใจที่ EIA อ้างว่าการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ในจุดเดิมที่โรงไฟฟ้าเก่าปลดระวางแล้วจะทำให้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลง แต่การกล่าวอ้างนั้นเปรียบเทียบกับสถานการณ์เมื่อ 18 ปีก่อน ที่โรงไฟฟ้าเก่ายังเปิดใช้งานทั้งหมด แม้คณะกรรมการตรวจสอบ EIA รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดคานากาวะจะชี้ให้เห็นถึงปัญหาแล้ว ทว่าก็ไม่ได้รับการแก้ไข

 

“เราไม่สามารถยอมรับ EIA ที่ถูกลดขั้นตอนจนเข้าข้างผลประโยชน์ส่วนตัว และขาดการพิจารณาผลกระทบที่แท้จริงต่อสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ได้” ซูซูกิกล่าวในการประชุมรับฟังความเห็นของคนในชุมชน

 

ด้วยความไม่สมบูรณ์ของ EIA และความกังวลต่อผลกระทบระยะยาว นำมาสู่เหตุการณ์สำคัญที่ประชาชนราว 48 คนในพื้นที่ นำโดยซูซูกิ รวมตัวกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาล ขอให้กระทรวงเศรษฐกิจฯ พิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้

 

ถึงกระนั้นความพยายามก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ศาลสูงโตเกียวตัดสินยกคำร้องเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 โดยศาลยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาร้ายแรง แต่โจทก์ “ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่ชี้ว่า การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าใหม่เพียงแห่งเดียวจะเพิ่มความเสียหายจากภัยพิบัติ หรือส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนในพื้นที่” และเห็นว่ากระบวนการจัดทำ EIA ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

 

กลุ่มของซูซูกิไม่ย่อท้อ พวกเขายื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาให้ทบทวนคำตัดสิน แต่จนแล้วจนรอดศาลฎีกายกคำร้องเมื่อเดือนตุลาคม 2024 โดยระบุเพียงว่า “เหตุผลในการอุทธรณ์ไม่เป็นไปตามกฎหมาย” เป็นอันปิดฉากความพยายามต่อสู้ด้วยกระบวนการยุติธรรม แต่ทางภาคประชาชนสังคมยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อด้วยวิธีอื่น

 

ชาวเมืองโยโกสุกะที่รวมตัวกันต่อต้านการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน และ ยูกะ คิกูจิ ผู้อำนวยการ Mekong Watch (คนที่ 2 จากขวา)

ชาวเมืองโยโกสุกะที่รวมตัวกันต่อต้านการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน และ ยูกะ คิกูจิ ผู้อำนวยการ Mekong Watch (คนที่ 2 จากขวา)

 

ญี่ปุ่น: ประเทศพัฒนาแล้วที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน

 

ช่วงกลางปี 2024 การประชุมของรัฐมนตรีจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 หรือ G7 ซึ่งญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในนั้น บรรลุข้อตกลงครั้งสำคัญว่าจะยุติการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินภายในปี 2030 เพื่อเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นเป็นเพียงประเทศเดียวในกลุ่ม G7 ที่ยังไม่กำหนดเส้นตายสู่การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานไฟฟ้าถ่านหิน

 

ข้อจำกัดด้านพลังงานของญี่ปุ่นสืบเนื่องมาจากญี่ปุ่นมีทรัพยากรพลังงานภายในประเทศจำกัดมาก จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก เพื่อสร้าง ‘ความมั่นคงทางพลังงาน’ มาค้ำจุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และประชากรที่หนาแน่น เป็นเหตุให้มีต้นทุนการผลิตสูง ลำพังค่าไฟฟ้าในญี่ปุ่นก็แพงกว่าไทยเกือบเท่าตัว

 

ด้วยเหตุนี้ญี่ปุ่นจึงหันไปพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์อย่างมาก แต่หลังเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะเมื่อ 13 ปีก่อน รัฐบาลสั่งปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมด จนญี่ปุ่นต้องเผชิญภาวะขาดแคลนพลังงาน ส่งผลให้ต้องนำเข้าพลังงานจากก๊าซธรรมชาติ (LNG) และถ่านหิน เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชย รวมถึงเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มราว 50 แห่ง ซึ่งโรงไฟฟ้าที่เมืองโยโกสุกะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

“ด้วยการดำเนินการที่เร่งด่วน การทำ EIA ของโรงไฟฟ้าถ่านหินจึงขาดความถี่ถ้วน” ซูซูกิอธิบาย

 

สัดส่วนการใช้พลังงานถ่านหินผลิตไฟฟ้า

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

 

จากข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2023 ญี่ปุ่นผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 28.3% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด แม้สัดส่วนจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เชื้อเพลิงถ่านหินซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่สุดของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็ยังคงเป็นแหล่งพลังงานสำคัญอันดับ 2 ของญี่ปุ่น รองจาก LNG

 

ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นพยายามลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอย่างถ่านหินและ LNG ด้วยการอนุมัติแผนการดำเนินนโยบายด้านพลังงานใหม่ โดยตั้งเป้าหมายในปี 2030 ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงเหลือ 41% จากเดิมที่มีการใช้รวมกันถึง 70% ของพลังงานทั้งหมด และนำพลังงานหมุนเวียนมาชดเชยราว 36-38% ตลอดจนแนวคิดในการรื้อฟื้นพลังงานนิวเคลียร์ ที่ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20-22% ด้วย

 

แผนการดำเนินนโยบายด้านพลังงานของญี่ปุ่นสะท้อนถึงความเชื่อของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า ประเทศอาจต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต เพื่อรองรับการใช้ AI รวมถึงศูนย์ข้อมูล (Data Center) ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม จากการเดินทางไปที่ประเทศญี่ปุ่นของ THE STANDARD ทำให้มีโอกาสได้รับฟังความเห็นจากภาคประชาสังคมที่พยายามชี้ให้เห็นว่า ‘พลังงานหมุนเวียน’ อาจกลายเป็นโอกาสใหม่ที่ยังไม่ถูกค้นพบของญี่ปุ่น

 

ก้าวเล็กๆ ของพลังงานหมุนเวียนในญี่ปุ่น

 

RE100 หรือ Renewable Energy 100% เป็นหนึ่งในโครงการระดับโลกที่มุ่งสานต่อพันธกิจในการหันมาใช้พลังงานทดแทน และมีเครือข่ายอยู่ในหลายประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นและไทย สำหรับญี่ปุ่นเองมีบริษัทใหญ่เกือบร้อยแห่งเข้าร่วมโครงการนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของญี่ปุ่นที่มากขึ้นเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน ด้วยความหวังจะลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้า และส่งเสริมการลงทุนโดยตรงกับตลาดพลังงานหมุนเวียนในประเทศ

 

ในช่วงเดือนมิถุนายน 2024 RE100 เน้นย้ำถึงโอกาสของญี่ปุ่นในการเปลี่ยนผ่านมาสู่พลังงานหมุนเวียน เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ แต่ยังมีอุปสรรคสำคัญคือนโยบายของรัฐบาลที่ยังไม่เอื้ออำนวย พร้อมชี้ว่า แรงลมชายฝั่งของญี่ปุ่นมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าแหล่งที่มาปัจจุบันถึง 1.7 เท่า เช่นเดียวกับพื้นที่มากมายซึ่งสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้

 

อากิโกะ โยชิดะ จาก Friends of the Earth Japan (FoE Japan) อธิบายว่า การผลักดันเรื่องพลังงานหมุนเวียนในญี่ปุ่นริเริ่มมาตั้งแต่ช่วงปี 2012 แต่ก็ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ขณะเดียวกันกระแสของหลายประเทศทั่วโลกก็สร้างความกดดันให้บริษัทชั้นนำในญี่ปุ่นต้องเริ่มขบคิดถึงการหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน

 

Power Shift Campaign คือโครงการที่ภาคประชาสังคมในญี่ปุ่นเริ่มขับเคลื่อนมา 8 ปีแล้ว โดยเน้นการสนับสนุนให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยหันมาเลือกแหล่งที่มาจากพลังงานหมุนเวียน พร้อมสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคอุดหนุนไฟฟ้าจากบริษัทเหล่านั้น เรื่องนี้เป็นไปได้ เพราะญี่ปุ่นเปิดโครงสร้างการค้าเป็นเสรีเมื่อปี 2016 จึงมีการแข่งขันกันได้ระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้า ต่างจากประเทศไทยที่ผู้ผลิตไฟฟ้ายังคงเป็นรายใหญ่และค่อนข้างผูกขาด

 

แปลงปลูกถั่วเหลืองผสมกับฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ในจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น

แปลงปลูกถั่วเหลืองผสมกับฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ในจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น

 

อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการในญี่ปุ่นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ยังดำเนินไปอย่างช้าๆ เนื่องจากบริษัทไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหินยังคงมีอิทธิพลเหนือตลาดไฟฟ้าของญี่ปุ่นราว 70-80%

 

ถึงกระนั้นเองบริษัทไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอย่าง JERA ก็เริ่มวางแผนนำเทคโนโลยีที่ลดการปล่อยมลพิษมาปรับใช้ เช่น การเผาไหม้ร่วม (Co-Firing) คือการนำเชื้อเพลิงทางเลือกอย่างชีวมวล (Biomass) มาผสมกับถ่านหิน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน

 

“อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เปิดเดินเครื่องขึ้นใหม่ในเมืองโยโกสุกะน่าจะเป็นแห่งสุดท้ายในประเทศนี้แล้ว” โยชิดะให้ความเห็น

 

จากญี่ปุ่นสู่ไทย พลังงานหมุนเวียนยังเกินเอื้อม?

 

ย้อนกลับมามองประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2055 คืออีกราว 25-30 ปีต่อจากนี้ ขณะเดียวกันทิศทางของพลังงานในไทยจะขับเคลื่อนอยู่ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย หรือแผน PDP ที่วางโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าไว้ระยะยาวจนถึงปี 2037

 

ดูเหมือนว่าเป็นข่าวดี เพราะในแผน PDP ล่าสุดของไทยกำหนดสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนไว้ถึง 46% แบ่งเป็น พลังงานแสงอาทิตย์ 16%, พลังงานน้ำที่นำเข้าจากเขื่อนลุ่มแม่น้ำโขง 15% และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ 15% ทว่าองค์กรภาคประชาสังคมบางส่วนยังไม่เห็นด้วยนักด้วยเหตุผลบางประการ

 

ประการแรก หลายฝ่ายประเมินว่าไทยมีศักยภาพในการผลิตพลังงานหมุนเวียนได้มากกว่าที่กำหนดในแผน กล่าวได้ว่ามากกว่าญี่ปุ่นเกือบเท่าตัว โดยเฉพาะในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ และประการต่อมา มีการชี้ว่าไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศอยู่มาก ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

 

นอกจากนั้น แผน PDP ของไทยก็ยังไม่หลุดพ้นจากการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ทั้งการนำเข้า LNG จากเมียนมา แม้กระทั่งพลังงานหมุนเวียนยังต้องนำเข้าจากเขื่อนใน สปป.ลาว ยังไม่รวมถึงแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซขนาดใหญ่เพิ่มอีกอย่างน้อย 8 แห่งภายในปี 2037 ซึ่งดูสวนทางกับเป้าหมายที่จะมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายใน 2055

 

โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ประเทศไทย

โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ประเทศไทย

 

ยูกะ คิกูจิ ผู้อำนวยการ Mekong Watch องค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนประเด็นด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น อธิบายว่า ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและพลังงานมายาวนาน โดยญี่ปุ่นเริ่มมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานของไทยตั้งแต่ราว 60 ปีก่อน ผ่านการลงทุนในโครงการสำคัญ เช่น นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและแหลมฉบัง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินกู้ของญี่ปุ่น ถึงแม้จะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยเติบโต และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งกำลังลงทุนพัฒนาแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นด้วย ตัวอย่างในอดีตเช่น โรงไฟฟ้าแม่เมาะ และอีกหลายแห่ง”

 

คิกูจิเปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เตรียมจัดสรรเงินทุนอีก 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลหลังสิ้นปี 2024 ซึ่งขัดแย้งกับข้อตกลงของกลุ่มประเทศ G7 ที่ให้ยุติการสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยภาครัฐในต่างประเทศ

 

ภายใต้สถานการณ์ที่มนุษยชาติกำลังเดินหน้าเข้าสู่สภาวะที่ ‘ไม่อาจย้อนกลับได้’ เมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และสถาบันวิจัยสภาพอากาศ Mercator Research Institute on Global Commons and Climate Change (MCC) ประเมินว่า จุดนั้นน่าจะมาถึงภายในเดือนกรกฎาคม 2029 หากไม่เร็วกว่านั้น

 

ไม่ว่าประเทศใดในโลกควรต้องทบทวนแผนการด้านพลังงานของตนเอง อาจเริ่มจาก 2 ประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและไทย ที่อย่างน้อยอาจเปลี่ยนผ่านจาก ‘ความมั่นคง’ ของพลังงานฟอสซิลหรือถ่านหิน แล้วหันมาพิจารณา ‘ความยั่งยืน’ ของพลังงานหมุนเวียน ที่อาจช่วยต่ออายุโลกและซื้ออนาคตให้มนุษยชาติได้บ้าง

 

ซูซูกิและตัวแทนภาคประชาชนชาวโยโกสุกะที่แสดงจุดยืนต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่

ซูซูกิและตัวแทนภาคประชาชนชาวโยโกสุกะที่แสดงจุดยืนต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่

 

The post ทำไมญี่ปุ่นถึงเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ ขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ยุคพลังงานหมุนเวียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิกฤตไฟป่าแคลิฟอร์เนียรุนแรงแค่ไหน ทำไมถึงรุนแรง https://thestandard.co/california-wildfire-severity/ Thu, 09 Jan 2025 10:26:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1028651 california-wildfire-severity

รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตไฟป่าคร […]

The post วิกฤตไฟป่าแคลิฟอร์เนียรุนแรงแค่ไหน ทำไมถึงรุนแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
california-wildfire-severity

รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตไฟป่าครั้งใหญ่รับปีใหม่ 2025 หลังเกิดไฟป่าลุกไหม้ในหลายพื้นที่และลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่ทีมนักดับเพลิงยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และจำกัดขอบเขตความเสียหายได้ โดย กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว

 

ล่าสุด โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อนุมัติการประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลกลาง โดยจะสนับสนุนเงินทุนและระดมทรัพยากรด้านต่างๆ เพื่อช่วยแคลิฟอร์เนียรับมือกับวิกฤตไฟป่าในครั้งนี้ 

 

ไฟป่าครั้งนี้รุนแรงแค่ไหน

 

สำนักงานป่าไม้และป้องกันอัคคีภัยของแคลิฟอร์เนีย (CAL FIRE) รายงานว่า ขณะนี้มีไฟป่าอย่างน้อย 6 แห่งในแคลิฟอร์เนียที่กำลังขยายตัวเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะไฟป่าในย่านแปซิฟิกพาลิเสดส์ หรือพาลิเสดส์ไฟร์ (Palisades Fire) ที่สร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 50,000 ไร่ และไฟป่าแถบหุบเขาอีตัน หรืออีตันไฟร์ (Eaton Fire) ที่เผาไหม้พื้นที่ไปแล้วอีกราว 35,000 ไร่ ภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 วัน

 

เบื้องต้นทางการท้องถิ่นสั่งอพยพประชาชนกว่า 137,000 คนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว หลายครอบครัวจำใจต้องทิ้งบ้านและรถยนต์เพื่อเอาชีวิตรอด หลังไฟป่าลุกลามเข้ามายังเขตที่พักอาศัยอย่างรวดเร็ว แม้ทีมนักดับเพลิงกว่า 1,400 คนจะพยายามช่วยกันควบคุมเพลิงไว้แล้วก็ตาม 

 

ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตจากวิกฤตไฟป่าครั้งนี้แล้วอย่างน้อย 10 คน โดยทางการแคลิฟอร์เนียคาดการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตและขอบเขตความเสียหายจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

 

ด้านศูนย์ข้อมูลสภาพภูมิอากาศโลกของ AccuWeather ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤตไฟป่านี้ว่าอาจสูงถึง 5.2-5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.8-1.9 ล้านล้านบาท) โดย โจนาธาน พอร์เตอร์ หัวหน้านักอุตุนิยมวิทยาประจำ AccuWeather ระบุว่า หากจำนวนสิ่งปลูกสร้างและพื้นที่ความเสียหายจากไฟป่ายังคงเพิ่มมากขึ้นภายในช่วงไม่กี่วันนี้ อาจทำให้วิกฤตไฟป่าครั้งนี้กลายเป็นวิกฤตไฟป่าครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของแคลิฟอร์เนีย

 

ขณะที่ AccuWeather ประเมินว่า ไฟป่าฮาวาย หรือเมาวี ไฟร์ (Maui Fire) เมื่อปี 2023 ซึ่งเป็นไฟป่าที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในรอบกว่า 100 ปี โดยคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 100 ชีวิต มีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอยู่ที่ราว 1.3-1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.5-5.5 แสนล้านบาท) ซึ่งต่างจากตัวเลขประเมินความเสียหายของวิกฤตไฟป่าแคลิฟอร์เนียครั้งนี้ราว 3-4 เท่า

 

ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย ทำไมถึงรุนแรง

 

แม้ว่าปัญหาไฟป่าจะไม่ใช่ปัญหาใหม่ในแคลิฟอร์เนีย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศก็ชี้ว่า มีอยู่อย่างน้อย 3 ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำให้ปัญหาไฟป่าที่ดูจะเป็นปัญหาเรื้อรังนี้ ปะทุกลายเป็นวิกฤตครั้งใหญ่และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ได้แก่

 

1) ลมซานตาอานา

 

ในเดือนที่แคลิฟอร์เนียมีสภาพอากาศเย็นลง มักนำพาสิ่งที่เรียกว่า ‘ลมซานตาอานา’ (Santa Ana Winds) มาด้วย กระแสลมนี้เป็นลมกระโชกแรงที่พัดมาจากพื้นที่แถบทะเลทรายอันกว้างใหญ่ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ไปจนถึงทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย

 

กระแสลมนี้พัดพาความแห้งและลมอุ่นๆ พาดผ่านหลายพื้นที่ของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งตรงข้ามกับมวลอากาศเย็นและความชื้นที่มักจะถูกพัดพาจากมหาสมุทรแปซิฟิกเข้าสู่ภาคพื้นของภูมิภาค 

 

ลมซานตาอานาทำให้ความชื้นในพื้นที่แถบนั้นลดลง และมีส่วนเอื้อให้ไฟป่าแคลิฟอร์เนียลุกโชนได้ง่าย ด้านกรมอุตุนิยมวิทยาสหรัฐฯ รายงานว่า ไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วลม 129 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะแถบเทือกเขาหรือหุบเขาบางแห่งอาจวัดได้สูงถึง 161 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

2) ความแห้งแล้ง 

 

ในช่วงฤดูหนาวนี้ แม้ว่าพื้นที่ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียจะได้รับความชื้นจากเม็ดฝนที่ตกลงมาอยู่บ้าง แต่พื้นที่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียกลับแห้งแล้งมากเป็นพิเศษ ต้นไม้ต่างผลัดใบ ลดการคายน้ำ ส่วนใหญ่เหี่ยวเฉากลายเป็นเชื้อไฟที่ดีให้กับไฟป่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศชี้ว่า พื้นที่บางส่วนทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียอาจอยู่ในช่วงแห้งแล้งที่สุดที่ยาวนานกว่า 150 ปี 

 

3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก 

 

ในขณะที่กระแสลมซานตาอานาและความแห้งแล้งทำให้ไฟป่าครั้งนี้รุนแรงขึ้น แต่อิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) กำลังทำให้วิกฤตไฟป่าเกิดบ่อยครั้งขึ้น กลายเป็นปัญหาเรื้อรังมากยิ่งขึ้น และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก 

 

นักวิจัยด้านสภาพอากาศระบุว่า แคลิฟอร์เนียกำลังเผชิญกับภัยแล้งที่ยาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วิกฤตภัยแล้งครั้งใหญ่’ (Megadrought) ที่ครอบคลุมหลายพื้นที่ทั่วสหรัฐฯ พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า ภัยแล้งนี้อาจรุนแรงที่สุดในรอบอย่างน้อย 1,200 ปี 

 

อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ โดยเฉพาะจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้เกิดสภาพอากาศที่เอื้อต่อการลุกไหม้ของไฟป่า (Fire Weather) เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความชื้นลดลง พืชและพื้นดินส่วนใหญ่แห้งแล้ง

 

นักวิทยาศาสตร์พบว่า พื้นที่ด้านตะวันตกของสหรัฐฯ เกิดไฟป่าบ่อยครั้งขึ้น และขยายตัวเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ปัจจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงที่ไฟป่าจะลุกลามมากขึ้น 25% ในแคลิฟอร์เนีย โดย 10 อันดับไฟป่าครั้งใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้มีถึง 5 อันดับที่เกิดขึ้นในปี 2020 เพียงแค่ปีเดียว 

 

นอกจากนี้ นักวิจัยยังคำนวณว่า ภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์มีส่วนทำให้พื้นที่ความเสียหายจากเหตุไฟป่าในแคลิฟอร์เนียเพิ่มขึ้น 172% นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และคาดว่าพื้นที่ดังกล่าวจะขยายขอบเขตความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

 

ภาพ: Apu Gomes / Getty Images

อ้างอิง:

 

The post วิกฤตไฟป่าแคลิฟอร์เนียรุนแรงแค่ไหน ทำไมถึงรุนแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>