China – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 06 Mar 2025 14:24:07 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 จีนประกาศ ‘พร้อมทำสงครามทุกรูปแบบ’ กับสหรัฐฯ พร้อมจริงไหม? https://thestandard.co/china-declares-war-readiness-us/ Thu, 06 Mar 2025 14:24:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1049427 จีน สงคราม สหรัฐ

สถานทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกาโพสต์ข้อความจากกระทรวงการต่า […]

The post จีนประกาศ ‘พร้อมทำสงครามทุกรูปแบบ’ กับสหรัฐฯ พร้อมจริงไหม? appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีน สงคราม สหรัฐ

สถานทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกาโพสต์ข้อความจากกระทรวงการต่างประเทศจีนผ่านช่องทาง X โดยประกาศเตือนว่า จีนมีความพร้อมที่จะ ‘ทำสงครามรูปแบบใดก็ได้’ กับสหรัฐฯ หลังตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าจีนของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่งปรับเพิ่มภาษีขึ้นอีก 10% รวมเป็น 20% 

 

“ถ้าสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบอื่นๆ เราพร้อมที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด”

 

นอกจากท่าทีที่แข็งกร้าวนี้แล้ว จีนยังดำเนินมาตรการตอบโต้ทางภาษี โดยเตรียมขึ้นภาษีสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากสหรัฐฯ อีก 10-15% รวมทั้งจีนอาจร่วมมือกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างแคนาดาและเม็กซิโก ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์เช่นเดียวกัน เพื่อแสวงหาแนวทางร่วมที่เป็นประโยชน์แก่ทั้ง 3 ประเทศ

 

ส่วนความเคลื่อนไหวสำคัญของกลาโหมจีนล่าสุด หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ประกาศว่า จีนจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมอีก 7.2% ในปีนี้ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้อาจสูงถึง 1.78 ล้านล้านหยวน (หรือราว 2.49 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) พร้อมเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเห็นในรอบทศวรรษกำลังเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว 

 

ด้านสำนักข่าว Xinhua รายงานว่า ทางการจีนปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นตัวเลขหนึ่งหลักต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 แล้ว โดยในช่วง 5 ปีล่าสุดปรับเพิ่มจาก 6.8% ในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 7.1% ในปี 2022 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.2% ในช่วงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2023-2025) โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ความต้องการในการปรับปรุงการป้องกันประเทศ และความท้าทายด้านความมั่นคง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้จ่ายด้านกลาโหมของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ถ้าจะทำสงครามกับสหรัฐฯ จีนพร้อมแค่ไหน?

 

รศ. ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นว่า การที่ออกมาพูดว่าพร้อมสู้รบ พร้อมทำสงคราม ใครๆ ก็พูดได้ และถึงแม้จีนจะประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ บางจำพวกเพื่อตอบโต้ทรัมป์ แต่สิ่งที่ต้องตามดูคือสิ่งที่จีนตอบโต้นั้นเทียบได้ไหมกับสิ่งที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีน คำตอบของคำถามนี้ก็อาจสะท้อนได้แล้วว่าจีนจะสู้สหรัฐฯ ได้หรือไม่หากทำสงครามรูปแบบต่างๆ ระหว่างกัน

 

รศ. ดร.วาสนา อธิบายว่า ในประเด็นเรื่องการขึ้นภาษี สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนมาอย่างยาวนาน ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนก็อิงอยู่กับการที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามหาศาล ถ้ามีสงครามภาษีเกิดขึ้น จะทำให้การค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ น้อยลง ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนน้อยลง จีนจึงต้องเจ็บกว่ามากในสมรภูมิรบนี้ 

 

ถ้าหากจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น ก็จะยิ่งทำให้สหรัฐฯ ค้าขายกับจีนน้อยลง และทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนน้อยลงเข้าไปอีก รศ. ดร.วาสนา มองว่า สหรัฐฯ ถือไพ่เหนือกว่าจีนในขณะนี้ ถ้าต่างคนต่างขึ้นภาษีจะเจ็บทั้งสองประเทศ แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ จีนเจ็บกว่าแน่นอน

 

ส่วนประเด็นในแง่ความพร้อมของกองทัพจีน รศ. ดร.วาสนา ระบุว่า กองกำลังปลดแอกประชาชนจีน (PLA) เกิดความระส่ำระสายอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วง 1-2 ปีที่แล้ว จีนสั่งปลดรัฐมนตรีกลาโหมถึง 2 คน ยังไม่นับรวมนายพลระดับสูงในกองทัพอีกจำนวนหนึ่ง สะท้อนว่า ความพยายามในการปฏิรูปกองทัพของสีจิ้นผิง ตั้งแต่ปี 2015 มีแนวโน้มย่ำแย่ลง แม้ผ่านมานานเป็นสิบปี แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพภายในกองทัพได้ 

 

ดังนั้นคำถามที่ว่า จีนกับสหรัฐฯ จะรบหรือไม่รบกันนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าสีจิ้นผิงอยากรบหรือไม่ แต่อีกคำถามที่อาจจะต้องตอบให้ได้คือสีจิ้นผิงคุมกองทัพของตัวเองอยู่หรือเปล่า เพราะสถานการณ์ของกองทัพจีนในช่วงเวลานี้อาจไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมแบบเบ็ดเสร็จของสีจิ้นผิงอย่างที่หลายคนเข้าใจ

 

จีน-สหรัฐฯ: ความสัมพันธ์ ‘แบบพึ่งพาอาศัย’

 

ขณะที่ อ.ดร.สุธาสินี พรสกุลไพศาล คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชวนตั้งข้อสังเกตว่า พอจีนมีสถานะที่ถูกมองว่า ‘เป็นรัฐมหาอำนาจ’ จึงเป็นการยากที่จีนจะบอกว่า ‘ไม่มีความพร้อม’ หากต้องสู้รบหรือทำสงครามด้านการทหารกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจด้วยกันเอง 

 

แต่ถึงแม้ว่าจีนจะแสดงความพร้อมในการทำสงครามมากน้อยแค่ไหน ประเด็นที่จีนพร้อมที่จะรับความเสี่ยงและตัดสินใจจะทำสงครามจริงๆ หรือไม่นั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่อาจจะยังไม่แน่ชัด

 

ในขณะที่ถ้าหากเป็นสงครามภาษีหรือสงครามการค้า อ.ดร.สุธาสินี มองว่า มีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ที่จีนเองก็จะต้องคำนึงถึงปัญหาภายในประเทศมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนและค่าเงินหยวนกำลังอยู่ในช่วงขาลง จีนจึงต้องพยายามออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

 

อ.ดร.สุธาสินี อธิบายว่า โดยทั่วไปแล้วจีนมีกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าอยู่แล้ว การที่ประเทศอื่นๆ จะส่งสินค้าไปขายในจีนมีขั้นตอนซับซ้อน โดยท้องถิ่นของจีนจะต่างจากไทยตรงที่ ท้องถิ่นจีนมีอำนาจในการจัดเก็บภาษี ทำให้การนำสินค้าเข้าไปขายยังจีน ไม่ใช่เรื่องง่ายมากนัก ดังนั้นการเพิ่มกำแพงภาษีเพื่อสู้กับสหรัฐฯ ก็มีความเป็นไปได้ หากมองว่า เป็นนโยบายระยะสั้น เพราะขณะนี้จีนกำลังพยายามอุ้มจีน และลดการพึ่งพิงตลาดต่างประเทศลงกว่าเมื่อครั้งอดีต

 

นอกจากนี้ อ.ดร.สุธาสินี ยังตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ทรัมป์ในช่วงเวลานี้เพิ่งกลับมามีอำนาจหลังชนะการเลือกตั้งเมื่อช่วงปลายปี 2024 ทำให้ในช่วงระยะแรกๆ นี้ ทรัมป์ต้องพยายามทำตามสิ่งที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในช่วงหาเสียง แต่ในความเป็นจริงจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเราต้องไม่ลืมว่า ในการพูดคุยหารือกันในทางลับ ผู้นำทั้งสองประเทศอาจดีลตกลงกันแล้วในประเด็นต่างๆ เพราะถ้าเราย้อนกลับไปดูช่วงแรกๆ ในสมัยทรัมป์ 1.0 ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้

 

พอก้าวขึ้นมามีอำนาจใหม่ๆ ทรัมป์พยายามจะทำตามแนวนโยบายกีดกันจีน ต่อต้านจีน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ทรัมป์จะมีแนวโน้มผ่อนปรนมากยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ท้ายที่สุดแล้วเป็น ‘ความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน’ ไม่มีประเทศไหนอยากล้ม อีกทั้งการล้มของฝ่ายหนึ่งจะส่งผลกระทบต่ออีกฝ่ายหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

 

ดังนั้น อ.ดร.สุธาสินี จึงเชื่อว่าการออกนโยบายต่างๆ อาทิ นโยบายทางด้านภาษี ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ‘อาจไม่ใช่นโยบายระยะยาว’ แต่เป็นเพียงนโยบายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะทรัมป์เองก็อาจจะทำไปเพื่อรักษาคำพูดสิ่งที่ตัวเองเคยหาเสียงไว้ ขณะที่จีนเอง ก็อาจจะทำเพื่อเศรษฐกิจจีน หันมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากยิ่งขึ้น อีกทั้งฐานการผลิตสินค้าหลายชนิดของสหรัฐฯ ก็อยู่ในประเทศจีนด้วย ก็ยิ่งตอกย้ำภาพที่ทั้งสองประเทศจะได้รับผลกระทบ หากทำสงครามภาษีหรือสงครามการค้าระหว่างกัน

 

แฟ้มภาพ: Reuters, Shutterstock

อ้างอิง:

The post จีนประกาศ ‘พร้อมทำสงครามทุกรูปแบบ’ กับสหรัฐฯ พร้อมจริงไหม? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สองสหายคอมมิวนิสต์จีน-เวียดนาม: ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่ออุดมการณ์ที่กินได้ https://thestandard.co/china-vietnam-communist-allies/ Thu, 06 Mar 2025 08:32:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1049311 china-vietnam-communist-allies

ความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม หากมองจากมุมภูมิรัฐศาสตร์อาจจะ […]

The post สองสหายคอมมิวนิสต์จีน-เวียดนาม: ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่ออุดมการณ์ที่กินได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
china-vietnam-communist-allies

ความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม หากมองจากมุมภูมิรัฐศาสตร์อาจจะเห็นภาพความขัดแย้งของสองประเทศเพื่อนบ้านนี้ โดยเฉพาะข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ที่มีการอ้างสิทธิทับซ้อนกัน รวมทั้งมีกระแสชาตินิยมของชาวเวียดนามบางกลุ่มที่ต่อต้านจีน เคยเกิดการประท้วงในเวียดนามในปี 2014 และปี 2018 ซึ่งประเด็นการประท้วงมีความเชื่อมโยงกับการลงทุนของจีนในเวียดนาม นอกจากนี้ทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมานาน เวียดนามต้องอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีนเป็นเวลาหลายพันปี และในปี 1979 ทั้งสองประเทศก็เคยทำสงครามระหว่างกันที่เรียกว่า ‘สงครามสั่งสอน’

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในมุมมองด้านภูมิรัฐศาสตร์ สองประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีพรมแดนติดกันนี้จะมีรากฐานของความขัดแย้งระหว่างกัน หากแต่ในแง่เศรษฐกิจ ทั้งสองประเทศกลับมีความเกี่ยวพันโยงใยกันมากขึ้น ทั้งด้านการลงทุนและการค้าระหว่างกัน ไหนว่าไม่รักกัน แล้วทำไมเวียดนามและจีนหันมาคบกัน บทความนี้จะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสองประเทศทั้งในมุมเศรษฐกิจและมุมภูมิรัฐศาสตร์ดังนี้

 

ประการแรก การค้าจีน-เวียดนาม พุ่งขึ้นมากกว่า 400% ในยุคสีจิ้นผิง

 

หากเปรียบเทียบในกลุ่มอาเซียน เวียดนามสามารถแซงทุกประเทศก้าวขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน ล่าสุดในปี 2024 มูลค่าการค้าจีน-เวียดนามสูงถึง 260,651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ในขณะที่การค้าไทย-จีน มีมูลค่าเพียงแค่ 133,982 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของจีน) นอกจากนี้เวียดนามยังเป็นคู่ค้าอันดับ 6 ของจีนเมื่อเทียบระดับโลก (ส่วนไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 14 ของจีน)

 

ดังนั้นในยุคสีจิ้นผิง การค้าจีน-เวียดนามขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลในรอบ 12 ปี มูลค่าการค้าจีน-เวียดนามพุ่งสูงขึ้น 416.79% (เมื่อเปรียบเทียบปี 2012 ที่มีมูลค่าเพียงแค่ 50,441 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเป็น 260,651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024)

 

ในแง่ดุลการค้าจีน-เวียดนาม พบว่าเวียดนามเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับจีน เนื่องจากเวียดนามต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีน โดยเฉพาะการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรต่างๆ ทำให้จีนกลายเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของเวียดนามด้วย

 

สำหรับสินค้าเวียดนามที่ส่งออกไปจีนมากที่สุดคือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ (เช่น สินค้าประเภทสมาร์ทโฟน) สัดส่วนสูงถึง 59.2% ของการส่งออกทั้งหมด ส่วนสินค้านำเข้าจากจีนก็อยู่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ คิดเป็นสัดส่วน 33% ของการนำเข้าทั้งหมดจากจีน

 

ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนว่าเวียดนามและจีนอยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันในการผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ โดยเฉพาะสินค้าสมาร์ทโฟนและชิ้นส่วน รวมทั้งทุนต่างชาติรายสำคัญที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามก็ล้วนเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิ้นส่วนที่สำคัญระดับโลก เช่น Samsung จากเกาหลีใต้ และ Foxconn จากไต้หวัน จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของโลก (รองจากจีน)

 

นอกจากนี้การค้าชายแดนจีน-เวียดนาม นับเป็นช่องทางการค้าที่สำคัญระหว่างสองประเทศนี้ เนื่องจากเวียดนามมีพรมแดนทางบกติดต่อกับสองมณฑลสำคัญของจีน ได้แก่ มณฑลยูนนานและกวางสี จึงมีส่วนเอื้อให้การค้าชายแดนจีน-เวียดนามขยายตัวมากขึ้น

 

ประการที่สอง ทุนจีนไหลเข้าเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากปริมาณการค้าที่ขยายตัวมากขึ้นแล้ว ในยุคสีจิ้นผิงเน้นความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับเวียดนาม ทำให้ทุนจีนไหลเข้าเวียดนามเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ในยุครัฐบาลทรัมป์สมัยแรก ก็เป็นอีกปัจจัยเร่งให้ทุนจีนต้องขยายฐานการผลิตในเวียดนาม หลังจากที่สหรัฐฯ เริ่มขึ้นภาษีกับจีนตั้งแต่ปลายปี 2018 การลงทุนจากจีนในเวียดนามก็ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

จีนในเวียดนาม การลงทุน

อ้างอิง: China speeds up investment in Việt Nam, China’s investments to Vietnam boom as Xi visits Hanoi, US spending down | Reuters, FDI disbursement in Vietnam in 2024 hits record high | Vietnam+ (VietnamPlus)

 

จากข้อมูลปี 2024 จีนเป็นผู้ลงทุนอันดับที่ 3 ในเวียดนาม ด้วยมูลค่าการลงทุน 4,730 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.37 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมดในเวียดนาม ในขณะที่ผู้ลงทุนอันดับ 1 และ 2 ในเวียดนาม คือสิงคโปร์และเกาหลีใต้

 

INFO-ตารางสรุปความเสี่ยงของผลกระทบทรัมป์-2.0-ต่อเวียดนามและไทย

ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร

 

ประการที่สาม สองสหายคอมมิวนิสต์ ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่ออุดมการณ์ที่กินได้

 

ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-เวียดนามมีความเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของสองประเทศขยายตัวอย่างน่าทึ่ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในยุคของสีจิ้นผิง ผู้นำคนสำคัญของจีนที่ขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่เดือนมีนาคม 2013 โดยเน้นนโยบายสมานฉันท์กับประเทศเพื่อนบ้านและใช้ความเป็นสหายคอมมิวนิสต์ในการกระชับความสัมพันธ์กับเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

 

ตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งของจีน สีจิ้นผิงได้เดินทางไปเยือนเวียดนามรวม 3 ครั้ง ได้แก่ ปี 2015, ปี 2017 และปี 2023 โดยเน้นบทบาทของสีจิ้นผิงในฐานะ ‘เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ เพื่อเดินทางไปพบปะหารือกับสหายฝ่ายเวียดนามคือ เหงียนฝูจ่อง (Nguyễn Phú Trọng) เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เน้นสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และชูภาพความสัมพันธ์ของสองประเทศเพื่อนบ้านในฐานะเป็น ‘ประเทศคอมมิวนิสต์’ ด้วยกัน เพื่อสร้างความมั่นใจในการก้าวข้ามความขัดแย้ง ปรับเปลี่ยนมาเน้น ‘ความเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์’ เพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยพยายามเลี่ยงไม่หยิบยกประเด็นปัญหาข้อพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้มาวางบนโต๊ะเจรจาให้เสียบรรยากาศ

 

ในแต่ละครั้งที่เยือนเวียดนาม สีจิ้นผิงจะเน้นความเป็นกันเองอย่างใกล้ชิดกับเหงียนฝูจ่อง ผู้นำฝ่ายเวียดนาม ตัวอย่างเช่น การเยือนเวียดนามของสีจิ้นผิงในปี 2017 สื่อจีน Xinhua รายงานว่า “สีจิ้นผิงได้ร่วมรับประทานมื้อเช้า จิบชา และเดินเล่นในสวน ภายใต้บรรยากาศที่ชื่นมื่นกับเหงียนฝูจ่อง” สีจิ้นผิงได้มอบของขวัญพิเศษให้กับเหงียนฝูจ่อง คือหนังสือพิมพ์ People Daily ฉบับเก่าสุดพิเศษที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ โดยบอกว่า “นี่คือหนังสือพิมพ์ที่รายงานข่าวประธานาธิบดีโฮจิมินห์แห่งเวียดนามเยือนจีนเมื่อปี 1955 พวกเราพยายามเสาะหาหนังสือพิมพ์นี้มามอบให้ท่าน” ทำให้เหงียนฝูจ่องรู้สึกเซอร์ไพรส์และยินดีมาก

 

อ้างอิง: Xinhua

อ้างอิง: Xinhua

 

นอกจากนี้ การเมืองภายในของเวียดนามมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์เวียดนาม-จีนมีความเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น ผลของการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามครั้งที่ 12 ในปี 2016 เพื่อเลือกผู้นำพรรคชุดใหม่ ในขณะนั้นกลุ่มการเมืองเวียดนามแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือกลุ่มอนุรักษนิยมมีนโยบายใกล้ชิดกับจีนนำโดยเหงียนฝูจ่อง และกลุ่มฝ่ายปฏิรูปมีนโยบายเอนเอียงไปทางสหรัฐฯ นำโดย เหงียนเตินสุง ผลจากการลงคะแนนภายในพรรคปรากฏว่า กลุ่มของเหงียนฝูจ่องเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ทิศทางของเวียดนามปรับไปมีนโยบายที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับจีนมากยิ่งขึ้น

 

ในช่วงต้นปี 2017 เหงียนฝูจ่อง ในฐานะเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้เดินทางเยือนจีนในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์เวียดนาม-จีน เอื้อให้บรรยากาศความสัมพันธ์สองทั้งสองฝ่ายมีท่าทีเป็นมิตรและผ่อนคลายมากขึ้น (ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2024 เหงียนฝูจ่องถึงแก่อสัญกรรมในวัย 80 ปี โดยมี โต เลิม (To Lam) ขึ้นรับตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คนใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม)

 

ประการที่สี่ ความร่วมมือระบบรางกับจีน ขนส่งสินค้าเวียดนามไปไกลถึงยุโรป

 

เวียดนามเป็นประเทศพันธมิตรสำคัญของจีนภายใต้ ‘ยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI)’ ของสีจิ้นผิง และมีหลายโครงการสำคัญที่ร่วมมือกัน โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าระบบรางผ่านเส้นทาง ‘รถไฟเวียดนาม-จีน-ยุโรป’ เริ่มเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 เวียดนาม-จีนเปิดให้บริการเส้นทางปฐมฤกษ์ เพื่อขนส่งสินค้าผ่านทางรถไฟ ‘ฮานอย-จีน-เบลเยียม’ จากต้นทางรถไฟในกรุงฮานอยของเวียดนาม ขนส่งสินค้าผ่านไปยังนครหนานหนิงของจีน จากนั้นก็ไปเชื่อมต่อกับระบบรางของจีน-ยุโรป ที่เรียกว่า China-Europe Railway Express ระยะทาง 10,000 กว่ากิโลเมตร ผ่านประเทศเวียดนาม-จีน-คาซัคสถาน-รัสเซีย-เบลารุส-โปแลนด์-เยอรมนี-เบลเยียม

 

ภาพแสดงแนวเส้นทางรถไฟ ‘เวียดนาม-จีน-เบลเยียม’ ปี 2021

 

ภาพแสดงแนวเส้นทางรถไฟ ‘เวียดนาม-จีน-เบลเยียม’ ปี 2021

 

เส้นทางรถไฟขนส่งสินค้าสายนี้วิ่งผ่าน 8 ประเทศและขนาดของรางก็ไม่เท่ากัน แล้วจีน-เวียดนามบริหารจัดการได้อย่างไร? เช่น ช่วงในเวียดนามราง 1 เมตร ช่วงในจีนใช้ราง 1.435 เมตร (Standard Gauge) ในขณะที่อีก 3 ประเทศอดีตสหภาพโซเวียต คือ คาซัคสถาน รัสเซีย และเบลารุส ใช้รางรถไฟกว้างกว่าจีนขนาด 1.520 เมตร (Broad Gauge) พอไปถึงยุโรปที่โปแลนด์ใช้รางขนาด 1.435 เมตร ไปจนถึงประเทศปลายทาง แล้วรถไฟสายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? คำตอบคือ แม้ว่าขนาดรางไม่เท่ากันไม่ใช่ปัญหา ฝ่ายจีนซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักของรถไฟข้ามทวีปสายนี้สามารถบริหารจัดการด้วยการ Shift Mode ในช่วงรอยต่อขนส่งผ่านระบบรางระหว่างประเทศ โดยใช้วิธีการที่ทันสมัยในการเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ Modern Transhipment เพื่อนำตู้สินค้าไปวางบนแคร่และใช้รางของแต่ละประเทศที่พาดผ่าน เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นได้รับค่าบริการ/ได้รับประโยชน์ด้วยกัน (กระจายผลประโยชน์ เพื่อลดแรงต้านในแต่ละประเทศด้วย) โดยมีบริษัทของฝ่ายจีนเป็นผู้บริหารจัดการ/ประสานงานตลอดเส้นทางที่ผ่านทั้ง 8 ประเทศนี้ นี่คือส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ BRI ในยุคสีจิ้นผิงสมานฉันท์กับเวียดนาม

 

โดยสรุป ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจจีน-เวียดนามขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้เวียดนามมีการพึ่งพาโยงใยทางเศรษฐกิจกับจีนเป็นอย่างมาก แม้ว่าในด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งสองฝ่ายยังคงมีประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกันในทะเลจีนใต้ และยังคงมีกลุ่มเวียดนามชาตินิยมที่อาจจะต่อต้านจีน หากแต่ความสัมพันธ์ในระดับพรรคและความใกล้ชิดระหว่างผู้นำ ส่งผลให้ทั้งสองประเทศเลือกที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และหันหน้าเข้าหากัน สื่อสารพูดคุย และเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจมากขึ้นในยุคสมานฉันท์ เพื่ออุดมการณ์ที่กินได้ กลายเป็นคู่ค้าสำคัญของกันและกัน รวมทั้งเวียดนามยังได้อ้าแขนต้อนรับการลงทุนจากจีนมากขึ้น และรู้จักฉกฉวยโอกาสจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ในการดึงดูดการลงทุนจากจีนให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในเวียดนามมากขึ้น ทำให้จีนขยับขึ้นมาเป็นนักลงทุนอันดับต้นในเวียดนาม

 

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ต้องศึกษาวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง ในสมรภูมิระหว่างประเทศไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร ผู้นำที่ชาญฉลาดจะไม่นำประเด็นความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมาเป็นอุปสรรคในการร่วมมือกัน และกล้าที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง แปลงอุปสรรคให้เป็นโอกาส เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว

 

ภาพ: ANI Photo / Reuters

 

อ้างอิง:

The post สองสหายคอมมิวนิสต์จีน-เวียดนาม: ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่ออุดมการณ์ที่กินได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนเปิดประชุมสองสภา ตั้งเป้า GDP เติบโตราว 5% ในปี 2025 https://thestandard.co/china-two-sessions-gdp-target-2025/ Wed, 05 Mar 2025 07:04:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1048763 การประชุมสองสภา ของ จีน ที่ปักกิ่ง ตั้งเป้า GDP โต 5% ในปี 2025

จีนเปิด ‘การประชุมสองสภา’ อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการประช […]

The post จีนเปิดประชุมสองสภา ตั้งเป้า GDP เติบโตราว 5% ในปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
การประชุมสองสภา ของ จีน ที่ปักกิ่ง ตั้งเป้า GDP โต 5% ในปี 2025

จีนเปิด ‘การประชุมสองสภา’ อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการประชุมทางการเมืองระดับชาติที่สำคัญของจีนที่จะกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ ท่ามกลางฉากหลังของสภาพแวดล้อมอันสลับซับซ้อนและท้าทายในจีนและทั่วโลก โดยการประชุมประจำปีของคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (CPPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูงสุดของจีน เริ่มขึ้นเมื่อวานนี้ (4 มีนาคม) ส่วนการประชุมของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติระดับสูงสุด เริ่มขึ้นแล้วในวันนี้ (5 มีนาคม)

 

จีนตั้งเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ราว 5% ในปี 2025 ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตัวเลขนี้ถือเป็นหนึ่งในตัวเลขที่ถูกจับตามองมากที่สุด โดย GDP ไม่ใช่เพียงตัวชี้วัดเศรษฐกิจ แต่ยังถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญขณะที่เศรษฐกิจของจีนกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง

 

การประชุมสองสภาของจีนที่ปักกิ่ง ตั้งเป้าหมาย GDP โต 5% ในปี 2025 การประชุมสองสภาของจีนที่ปักกิ่ง ตั้งเป้าหมาย GDP โต 5% ในปี 2025

 

ภาพ: Xinhua

อ้างอิง:

The post จีนเปิดประชุมสองสภา ตั้งเป้า GDP เติบโตราว 5% ในปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนยืนยัน 40 ชาวจีนลักลอบเข้าไทยถูกส่งกลับแล้ว ด้านฟูอาดี้ชี้ รัฐบาลส่งอุยกูร์กลับจีนอาจละเมิดอำนาจศาล-ขัดมาตรา 13 พ.ร.บ.อุ้มหาย https://thestandard.co/china-40-illegal-migrants/ Thu, 27 Feb 2025 09:22:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1046429

สำนักข่าว Xinhua รายงานข้อมูลจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณ […]

The post จีนยืนยัน 40 ชาวจีนลักลอบเข้าไทยถูกส่งกลับแล้ว ด้านฟูอาดี้ชี้ รัฐบาลส่งอุยกูร์กลับจีนอาจละเมิดอำนาจศาล-ขัดมาตรา 13 พ.ร.บ.อุ้มหาย appeared first on THE STANDARD.

]]>

สำนักข่าว Xinhua รายงานข้อมูลจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ระบุว่า ชาวจีน 40 คนที่เกี่ยวข้องกับการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายถูกส่งตัวกลับจากประเทศไทยในวันนี้ (27 กุมภาพันธ์) โดยเป็นความพยายามร่วมกันในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนและปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของพลเมืองจีน

 

รายงานระบุว่า ปฏิบัติการดังกล่าวดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย ตลอดจนกฎระเบียบระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับ พร้อมทั้งชี้ว่าเป็นตัวอย่างของความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างไทยและจีนในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ

 

ทั้งนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าชาวจีนทั้ง 40 คนที่ปรากฏในรายงานนั้นเป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์หรือไม่ โดยรายงานดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ปรากฏรายงานข่าวรถบรรทุกของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ต้องสงสัยว่าได้ขนส่งกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กว่า 40 คนออกจากห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสวนพลูและอาจส่งตัวกลับไปจีน โดยมีเครื่องบินจากจีนเดินทางมารับที่สนามบินดอนเมือง 

 

ผลกระทบไทยส่ง อุยกูร์ ให้จีน

 

ด้าน ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ นักวิชาการจากสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความเห็นต่อกรณีการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ให้ทางการจีน โดยมองว่า หากเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการตัดสินใจของฝ่ายการเมือง ซึ่งในแง่ผลกระทบที่ตามมา อาจมองได้ 2 มิติ โดยในมุมกฎหมาย คืออาจเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เนื่องจากการส่งตัวกลุ่มชาวอุยกูร์ให้จีน เกิดขึ้นในระหว่างที่ศาลพิพากษาของไทยกำลังพิจารณาคำร้องปล่อยตัวชาวอุยกูร์เหล่านี้ 

 

เขายังตั้งข้อสังเกตว่า กรณีนี้อาจขัดต่อมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า บุคคลนั้นจะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย

 

ขณะเดียวกันยังอาจเข้าข่าย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งภาคประชาสังคมอาจมีการยื่นฟ้องรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร หากมีการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องนี้

 

ทั้งนี้ ฟูอาดี้ชี้ว่าไทยยังมีหน้าที่ในฐานะภาคีของ 2 อนุสัญญาระหว่างประเทศ คือภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี และภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ 

 

ขณะที่ผลกระทบในมิติด้านการเมืองรวมถึงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับหลายประเทศ โดยตุรกีและสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้ไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้กลับไปยังจีน ซึ่งมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ก่อนเข้ารับตำแหน่ง และเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจ 

 

โดยการส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้จีนนั้นเขามองว่า ในแง่หนึ่งอาจเป็นการสื่อความหมายว่าไทยเลือกข้างจีนแล้วหรือไม่ ทั้งที่สหรัฐฯ ก็มีการเตือนและแสดงท่าทีว่าไม่อยากให้ทางการไทยส่งชาวอุยกูร์ให้จีน

 

อ้างอิง:

The post จีนยืนยัน 40 ชาวจีนลักลอบเข้าไทยถูกส่งกลับแล้ว ด้านฟูอาดี้ชี้ รัฐบาลส่งอุยกูร์กลับจีนอาจละเมิดอำนาจศาล-ขัดมาตรา 13 พ.ร.บ.อุ้มหาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์จะทำดีลอะไรกับสีจิ้นผิงและปูติน อาจสร้างระเบียบโลกใหม่ระหว่างสามผู้นำ https://thestandard.co/trump-xi-putin-deal/ Mon, 24 Feb 2025 03:25:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1045128 trump-xi-putin-deal

เคยมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดของทีมงานกา […]

The post ทรัมป์จะทำดีลอะไรกับสีจิ้นผิงและปูติน อาจสร้างระเบียบโลกใหม่ระหว่างสามผู้นำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-xi-putin-deal

เคยมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดของทีมงานการต่างประเทศของ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของ เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดี, มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ หรือของ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคง ว่าคิดเห็นเรื่องการต่างประเทศอย่างไรมาบ้างในอดีต

 

หากเป็นในรัฐบาลอื่น ทีมงานก็คือนโยบาย (Personnel is policy) เพราะทีมงานจะเป็นคนให้คำปรึกษาประธานาธิบดีและขับเคลื่อนนโยบาย แต่ผมไม่แน่ใจว่าสำหรับทรัมป์แล้ว ทรัมป์จะฟังลูกน้อง หรือลูกน้องต้องฟังทรัมป์ เพราะเกณฑ์สำคัญที่สุดในการเลือกคนของทรัมป์คือ ความจงรักภักดี (Loyalty) ว่าจะเถียงเขาหรือจะ ‘ดีครับนาย’

 

ดูตัวอย่างเช่นที่ปรึกษาความมั่นคง ไมค์ วอลซ์ ที่เคยมีจุดยืนที่แข็งกร้าวมากต่อรัสเซียมาก่อน แต่ล่าสุดก็ปรากฏว่าเขาออกมาสนับสนุนแนวทางของทรัมป์ที่หันไปดีลกับรัสเซียอย่างเต็มที่ เขาเพิ่งย้ำว่ายูเครนสุดท้ายจะต้องตกลงตามที่สหรัฐฯ ขอเรื่องทรัพยากรแร่ในยูเครน และต้องตกลงกับรัสเซียตามที่สหรัฐฯ จะไปเจรจากับปูตินให้

 

เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจมากของ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ให้สัมภาษณ์ เมกิน เคลลี นักข่าวหญิงชื่อดัง มีสองประเด็นที่ผมต้องรีบเอาปากกามาไฮไลต์

 

ประเด็นแรกคือ มาร์โก รูบิโอ ยอมรับว่า ปัจจุบันสิ้นสุดยุคการนำเดี่ยวของสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว เข้าสู่ยุคหลายมหาอำนาจ (Multipolar World) ซึ่งสหรัฐฯ จะต้องใช้นโยบายปฏิบัตินิยม (Pragmatism) โดยหัวใจสำคัญคือมหาอำนาจอื่นต้องไม่มาท้าทายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ (แต่นัยคือสหรัฐฯ จะไม่รับบทเป็นตำรวจโลก นักบุญโลก หรือผู้พิทักษ์คุณธรรมโลกอีกต่อไป)

 

ประเด็นที่สองคือ เขาบอกว่าในการเจรจากับจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นมหาอำนาจนั้น ต้องเป็นการดีลกันในระดับผู้นำสูงสุดโดยตรง คือทรัมป์กับปูติน และทรัมป์กับสีจิ้นผิง (นัยกลายๆ คือเขาจะไม่ใช่คนหลักในการดีลกับรัสเซียและจีน)

 

จึงไม่แปลกที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง มาร์โก รูบิโอ จะดูแลการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศเล็กๆ ต่างๆ ทั่วโลก และเน้นที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้เป็นหลัก เช่น ดีลกับเม็กซิโก แคนาดา ปานามา แต่การทูตระดับบนกับพี่เบิ้มตัวใหญ่อย่างรัสเซียและจีน ตัวทรัมป์จะดีลเอง อย่างมากรูบิโอก็ช่วยสนับสนุนและนำผลการดีลไปปฏิบัติ

 

ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องวิเคราะห์ให้มากว่ารูบิโอเกลียดจีนแค่ไหน อย่างไร จีนยังคงมีคำสั่งห้ามไม่ให้รูบิโอเข้าประเทศจีน เนื่องจากจุดยืนที่แข็งกร้าวของรูบิโอต่อข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีนที่ซินเจียง แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกเราเท่าไรว่าสหรัฐฯ จะมีนโยบายต่อจีนอย่างไรกันแน่ เพราะทั้งหมดสุดท้ายจะอยู่ที่การดีลของทรัมป์เป็นหลัก

 

ทุกอย่างจึงมีความไม่แน่นอนสูงตามลีลาของทรัมป์ มีการยกประโยคทองของการเมืองอเมริกันในอดีตที่ว่า “Only Nixon can go to China” ซึ่งหมายถึงการที่ประธานาธิบดีนิกสันบินไปจับมือกับประธานเหมาและเริ่มต้นความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ นั้นมีแต่คนอย่างนิกสันเท่านั้นที่ทำได้ เพราะทุกคนรู้ว่านิกสันเป็นสายแข็งเกลียดคอมมิวนิสต์ และในขณะเดียวกันก็ชอบดำเนินนโยบายแหวกแนว แต่ถ้าขืนเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนอื่นบินไปจับมือกับประธานเหมาในยุคนั้นมีหวังถูกสาปส่งแน่

 

เช่นเดียวกัน ทรัมป์เองก็เพิ่งทวีตว่า Only Trump can deal with Russia ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะผู้นำสหรัฐฯ คนอื่นคงไม่มีใครจะสามารถกลับลำนโยบายสหรัฐฯ ที่สนับสนุนยูเครนและเป็นปฏิปักษ์ต่อปูตินได้แบบ 180 องศา ช็อกโลกแบบนี้ แต่ทรัมป์ช็อกโลกวันละเป็นสิบๆ เรื่อง จนเราเริ่มชาชินและไม่แปลกใจเท่าไรกับการพลิกเกมแบบนี้

 

ดังนั้นก็อย่าแปลกใจเกินไปหากทรัมป์จะมีดีลการค้ากับสีจิ้นผิง หรือจะมีดีลใหญ่กว่านั้นเช่นดีลเรื่องไต้หวันกับสีจิ้นผิง แต่ก็อย่าแปลกใจเช่นกันถ้าทรัมป์จะเอาเรื่องไต้หวันขึ้นมาเป็นไพ่ต่อรองกดดันสีจิ้นผิง หรือจะขึ้นกำแพงภาษีจีนแบบโหดหินหรือถึงขนาดยกเลิก Most Favored Nation Status กับจีนในทางการค้า เพราะแท็กติกการเจรจาของทรัมป์นั้น หากคู่เจรจาพูดไม่รู้เรื่องหรือไม่พูดด้วย ทรัมป์ก็พร้อมยกระดับความตึงเครียดเพื่อกดดันคู่เจรจาให้มานั่งโต๊ะ หรือที่เรียกว่า ‘Escalate to Deescalate’

 

ตอนนี้มีนักวิชาการเปรียบเทียบว่า เราอาจจะเห็น Yalta 2.0 โดยการประชุม Yalta เมื่อ 80 ปีที่แล้วหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เป็นการตกลงสร้างระเบียบโลกใหม่ร่วมกันระหว่าง 3 คือ วินสตัน เชอร์ชิลล์ ของอังกฤษ, แฟรงคลิน ดี.โรสเวลต์ ของสหรัฐฯ และโจเซฟ สตาลิน ของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น คนอื่นไม่ได้อยู่บนโต๊ะด้วย

 

หลายคนมองว่าทรัมป์เองก็ต้องการมีดีลใหญ่ยักษ์กับปูตินและสีจิ้นผิง อาจจะเป็นเรื่องข้อตกลงหยุดขยายอาวุธนิวเคลียร์ หรือแม้กระทั่งยุติสงครามยูเครน โดยคนอื่นไม่ต้องมาอยู่บนโต๊ะด้วย เพราะไม่มีความสำคัญไม่ว่าจะเป็นยูเครนหรือยุโรป ตอนนี้มีความคิดสร้างสรรค์แม้กระทั่งว่าจะใช้กำลังทหารจากจีนหรือประเทศที่เป็นกลาง (ไม่ใช่สหรัฐฯ หรือ NATO) ในการการันตีความปลอดภัยให้ยูเครนหลังยุติสงคราม แต่ข้อตกลงแบบนี้คงต้องเกี่ยวข้องกับการแบ่งเค้กผลประโยชน์ต่างๆ ในยูเครนด้วย ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรแร่มหาศาลซึ่งสหรัฐฯ กดดันให้ยูเครนจ่ายเป็นค่าชดเชยการสนับสนุนอาวุธให้ หรือแม้กระทั่งโครงการการก่อสร้างฟื้นฟูประเทศต่างๆ ว่าตกลงจะแบ่งเค้กให้บริษัทจีนเข้าร่วมด้วยได้ไหม

 

การต่างประเทศสหรัฐฯ ตอนนี้จึงไม่ใช่เพียง America First Policy แต่ยังเป็น Trump First Policy ด้วย เพราะนโยบายการต่างประเทศสหรัฐฯ วันนี้ไม่ได้กำหนดจากทีมข้างล่างที่ทำงานกับนักการทูตอีกฝ่ายและเสนอขึ้นข้างบน แต่กลายเป็นข้างบน 3 คนดีลกันเสร็จและกำหนดระเบียบโลกใหม่เรียบร้อย โดยคนอื่นทั้งหมดอาจไม่ได้อยู่บนโต๊ะด้วย แต่ไปอยู่ในเมนูหรือเป็นก้อนเค้กที่ให้สามคนนี้แบ่งประโยชน์กันแทน 

 

ภาพ: Sputnik / Artyom Geodakyan / Pool via Reuters, Nathan Howard / Reuters, Andres Martinez Casares / Pool via Reuters

The post ทรัมป์จะทำดีลอะไรกับสีจิ้นผิงและปูติน อาจสร้างระเบียบโลกใหม่ระหว่างสามผู้นำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักหลิวจงอี้ เปิดภารกิจปราบคอลเซ็นเตอร์ชายแดนไทย-เมียนมา https://thestandard.co/liu-border-mission/ Thu, 20 Feb 2025 05:13:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1044014 liu-border-mission

‘หลิวจงอี้’ กำลังครองหน้าสื่อไทยในตอนนี้ เพราะเขาไม่ได้ […]

The post รู้จักหลิวจงอี้ เปิดภารกิจปราบคอลเซ็นเตอร์ชายแดนไทย-เมียนมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
liu-border-mission

‘หลิวจงอี้’ กำลังครองหน้าสื่อไทยในตอนนี้ เพราะเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวแทนจากจีน แต่เขายังได้ชื่อว่าเป็น ‘มือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์’ เพราะการเดินทางมายังไทยและเมียนมาแค่ครั้งแรก ก็ทำให้ชายแดนสีเทาไม่อาจรุ่งโรจน์ได้เหมือนเคย

 

ส่วนการมาเยือนชายแดนสีเทาไทย-เมียนมา อีกครั้งของ ‘หลิวจงอี้’ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ไทม์ไลน์ภารกิจของเขาเป็นอย่างไร และเขาปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างไร 

 

ไทม์ไลน์ภารกิจ ‘หลิวจงอี้’

 

ภารกิจเริ่มแรกของ ‘หลิวจงอี้’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่เขาเดินทางลงพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นผลมาจากกรณี ‘ซิงซิง’ ดาราจีน ที่ถูกหลอกพาตัวไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียวดีโดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน แต่สุดท้ายด้วยแรงกดดันจากจีนก็สามารถช่วยเหลือดาราหนุ่มได้สำเร็จ

หลิวจงอี้เริ่มสำรวจพื้นที่ชายแดนฝั่งไทยบริเวณริมแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็น ‘ชเวโก๊กโก่’ และ ‘เคเคพาร์ก’ เมืองสแกมเมอร์ตรงข้ามแม่สอดได้

นับตั้งแต่นั้นภาพของ ‘หลิวจงอี้’ ก็ปรากฏทั้งในหน้าสื่อไทยและเอเชียหลายต่อหลายครั้ง หลิวถูกจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะเป็นภาพที่คนไทยอาจไม่ค่อยได้เห็นมากนักในบริบทของข้าราชการไทยที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆ สื่อไม่ต้องมาตั้งไมค์สัมภาษณ์ สิ่งที่เราได้เห็นคือหลิวเดินเกมเร็ว ลงพื้นที่จริง และสั่งการอย่างเด็ดขาด

ซึ่งผลลัพธ์นั้นก็เป็นที่ประจักษ์ เพราะนับตั้งแต่เขาเคลื่อนไหว เข้าหารือกับรัฐบาลไทยถึงมาตรการกวาดล้างและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดีประเทศเมียนมาติดชายแดนไทยก็มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว

 

4 ประเด็นสำคัญ ‘หลิวจงอี้’ เสนอไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์เฟสแรก

 

  1. ขอทางการไทยตัดไฟฟ้า ตัดน้ำประปา และสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมานำไปใช้
  2. ขอให้ทางการไทยเจรจากับชนกลุ่มน้อยที่ปกครองบริเวณชายแดนเมียนมา ปล่อยตัวชาวจีนที่ถูกหลอกไปทำงานกลับมาไทย ซึ่งจีนเชื่อว่ามีประมาณ 3,000-5,000 คน
  3. ตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างไทย-จีน ที่บริเวณชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
  4. ขอให้จับกุมชาวจีน ซึ่งพบข้อมูลว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่บริเวณชายแดนประเทศเมียนมา ซึ่งทางการจีนเชื่อว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่า 50,000 คน

 

4 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้เข้าพบกับ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังจากที่วันนั้นช่วงเช้า ไทยเพิ่งมีคำสั่งตัดการจ่ายไฟฟ้าให้กับเมืองสแกมเมอร์ที่ชายแดน

 

5 กุมภาพันธ์ 2568 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตัดไฟชายแดนไทย-เมียนมา รวม 5 จุด

 

6-8 กุมภาพันธ์ 2568 นายกรัฐมนตรีและคณะเยือนจีน พบ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีข้อสรุปในการสนับสนุนแก้ปัญหาขบวนการลวงออนไลน์แก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

6 กุมภาพันธ์ 2568 ภูมิธรรมรับตัวชาวต่างชาติ 61 คน ที่ทาง BGF ส่งกลับมาฝั่งไทย

 

11 กุมภาพันธ์ 2568 พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมออกหมายจับ พ.อ. หม่อง ชิต ตู่, พ.ท. โมเต โธน และ พ.ต. ทิน วิน ในความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์คอลเซ็นเตอร์

 

12 กุมภาพันธ์ 2568 ภูมิธรรมลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่จังหวัดสระแก้ว ผุดไอเดียสร้างรั้วกั้นด่านชายแดนในพื้นที่ทับซ้อน ควบคุมการเข้า-ออกป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และในวันเดียวกันมีการปล่อยตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา 261 คน

 

16 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้เดินทางมาไทยอีกครั้ง รอบนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการตรวจการบ้าน และเก็บงานจากที่เสนอรัฐบาลไทยไป เมื่อเขาเดินทางมาถึงประเทศไทยก็ตรงไปแม่สอดทันที เพื่อตรวจดูสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ซึ่งเป็นจุดที่จะรับตัวชาวต่างชาติจากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา

 

ซึ่งกลุ่มคนที่ถูกปล่อยกลับมามีบางส่วนเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งในจำนวนนั้นมีชาวจีนอยู่ด้วย และล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF ในประเทศเมียนมา ในการตรวจค้นอาคารต่างๆ ในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี สามารถรวบรวมคนได้ประมาณ 2,000 คน ครึ่งหนึ่งเป็นชาวจีน

 

ต่อมาหลิวจงอี้ก็ข้ามไปฝั่งเมียนมา และเข้าหารือกับรัฐมนตรีมหาดไทยของเมียนมาทันที เพื่อติดตามมาตรการปราบจีนเทา

 

17 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทางการเมียนมา ซึ่งเป็นตัวแทนรัฐบาลเมียนมา ตรวจเยี่ยมชาวต่างชาติที่ทางกองกำลัง BGF และตำรวจเมียนมา ร่วมกันช่วยเหลือออกจากเมืองสแกมเมอร์ในชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี และนำมารวมกันที่ศูนย์พักคอยที่ศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัยของทหาร BGF ซึ่งมีประมาณกว่า 300 คน

 

19 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้ร่วมประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยขอให้ไทยช่วยอำนวยความสะดวกในการขนย้ายชาวจีนตั้งแต่ชายแดนถึงสนามบิน ขณะที่ขั้นตอนของการตรวจสอบนั้นจีนจะดำเนินการจากฝั่งเมียนมาเอง

 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าหลิวจงอี้มีกำหนดการพบกับ พ.อ. หม่อง ชิต ตู่ เลขาธิการกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) หรือผู้บัญชาการกองทัพกะเหรี่ยงแห่งชาติ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีอำนาจควบคุมพื้นที่ชายแดนแห่งนี้

 

ในขณะเดียวกัน พล.อ. หม่อง ชิต ตู่ ได้ออกมาแถลงข่าวเปิดใจถึงเรื่องที่จะถูกทางการไทยออกหมายจับว่า ตนทำผิดกฎหมายไทยด้วยข้อกล่าวหาอะไร หรือละเมิดประเทศไทยและละเมิดประชาชนคนไทยเรื่องอะไร ที่ผ่านมาตนอยู่ชายแดนมา 30 กว่าปีเหมือนพี่น้องกัน ถ้าเจ้าหน้าที่ไทยต้องการอะไรก็ให้ความร่วมมือตลอด

 

ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนได้เสียใดๆ จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นแค่ผู้ให้เช่าที่ดินเท่านั้น

 

พ.อ. หม่อง ชิต ตู่ ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่มีกระแสข่าวว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ในเมียวดี ฝ่าย BGF ได้กวาดล้างตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และจะทำเรื่อยๆ ให้สิ้นซากภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูเหมือนจะค่อยๆ คลี่คลายลง แต่ไทยอาจไม่ได้เครดิตไปทั้งหมด เพราะผลงานในครั้งนี้ต้องหารให้จีนด้วย

 

โดยเฉพาะหลิวจงอี้ สื่อจีนรายงานว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนคดีอาญาระดับชาติที่อยู่ในแนวหน้ากับการต่อสู้กับอาชญากรรมของจีน

 

จนเมื่อ 12 เมษายน 2567 ผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนอาชญากรรมขึ้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการชื่นชมความไวและเด็ดขาดของหลิวจงอี้ ก็มีความเห็นจาก รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา มองว่าการเดินทางมาของหลิวจงอี้ ถือเป็นการเดินทางมาเยือนในลักษณะที่ถี่เกินไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนเริ่มจะเข้ามาชี้นำ ควบคุมสั่งการ และมีบทบาทอย่างแข็งแรงมากขึ้น พร้อมกับแนะว่ารัฐบาลไทยจะต้องเพิ่มความจริงจัง ให้มั่นใจว่าจัดการปัญหาในภูมิภาคตนเองได้ ป้องกันจีนชี้นำ

The post รู้จักหลิวจงอี้ เปิดภารกิจปราบคอลเซ็นเตอร์ชายแดนไทย-เมียนมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดรหัส สีจิ้นผิง พบ แจ็ค หม่า: จุดเปลี่ยนนโยบายรัฐบาลจีน? https://thestandard.co/xi-jack-ma-meeting/ Wed, 19 Feb 2025 00:46:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1043539 xi-jack-ma-meeting

สำหรับจีนแล้ว ทุกฉากทุกตอนล้วนมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ซ่ […]

The post ถอดรหัส สีจิ้นผิง พบ แจ็ค หม่า: จุดเปลี่ยนนโยบายรัฐบาลจีน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
xi-jack-ma-meeting

สำหรับจีนแล้ว ทุกฉากทุกตอนล้วนมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ซ่อนอยู่ การพบกันระหว่าง สีจิ้นผิง กับ แจ็ค หม่า รวมทั้งกับนักธุรกิจและผู้นำภาคเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ในงานประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ สะท้อนความหมายหลายประการ

 

คำกล่าวของสีจิ้นผิงในที่ประชุม ผมสรุปเป็นภาษาง่ายๆ ว่ามีใจความหลักสามข้อ 

 

หนึ่ง ภาคเอกชนเป็นหัวใจของเศรษฐกิจจีนและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง 

 

สอง ภาคเอกชนต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดระเบียบไปเรียบร้อยแล้วและทุกคนในที่นี้สอบผ่านแล้ว ขอให้ไม่ทำผิดอีกและขอให้ทำดีต่อไป 

 

สาม ข้อกังวลต่างๆ ในตอนนี้ของภาคธุรกิจ เช่น ถูกรัฐบาลท้องถิ่นกลั่นแกล้ง รัฐบาลกลางรับทราบปัญหาและจะเข้าไปดูแล

 

ส่วนภาพข่าวที่ปรากฏออกมา ทุกคนจับจ้องวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าใครนั่งตรงไหน ใครจับมือใคร ใครได้พูดในงานบ้าง อาจสรุปเป็นข้อสังเกต 4 ข้อ

 

ข้อแรก การส่งเทียบเชิญให้ แจ็ค หม่า เข้าร่วมงาน มีความสำคัญมากในเชิงสัญลักษณ์ เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2021 ภายหลังจากที่ แจ็ค หม่า ออกมากล่าววิจารณ์รัฐบาลจีน และรัฐบาลจีนออกมาแตะเบรกการเข้า IPO ของ Ant Financial นับเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดระเบียบภาคเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนที่ตามมาอีกหลายระลอก หลายคนยังมองว่ากลายเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงของภาคเทคโนโลยีจีนและของเศรษฐกิจจีนด้วย

 

หลังจากนั้น แจ็ค หม่า ก็เก็บตัวเงียบไม่ออกงานใดๆ ครั้งนี้การที่ แจ็ค หม่า ได้ปรากฏตัวเข้าร่วมงานสำคัญและจับมือยิ้มแย้มทักทายกับสีจิ้นผิง ย่อมสะท้อนว่า แจ็ค หม่า และบริษัท Alibaba ไม่มีปัญหาอีกต่อไปในมุมของรัฐบาลจีน 

 

เพราะหากรัฐบาลจีนยังมอง แจ็ค หม่า ในแง่ลบ ก็สามารถระบุเชิญผู้นำบริษัท Alibaba คนอื่นได้ (ปัจจุบัน แจ็ค หม่า เองก็ไม่ได้มีบทบาทในการบริหารบริษัท) หรือหากยังมีปัญหากับ Alibaba ก็ไม่เชิญ Alibaba เข้าร่วมก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม แจ็ค หม่า ไม่ได้เป็นจุดโดดเด่นในงาน เขานั่งอยู่ด้านริมของโต๊ะยาว และไม่ได้เป็นตัวแทนนักธุรกิจกล่าวแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็สะท้อนว่าจีนเองก็ไม่ได้ต้องการให้ แจ็ค หม่า กลับมาเล่นบทบาทโดดเด่นหรือออกตัว High Profile แบบในอดีตอีกเช่นเดียวกัน

 

จึงตามมาที่ข้อสังเกตที่สองว่า แล้วนักธุรกิจคนใดได้นั่งในจุดที่โดดเด่นที่สุด ตามธรรมเนียมของจีน ตำแหน่งหลักจะเป็นบริเวณกลางโต๊ะที่หันหน้าตรงเข้ากับสีจิ้นผิง ซึ่งนักธุรกิจที่นั่งในตำแหน่งนี้ได้แก่ เหรินเจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง HUAWEI และ หวังชวนฟู่ แห่ง BYD ซึ่งสะท้อนว่าสองบริษัทนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์เทคโนโลยีของสีจิ้นผิง

 

HUAWEI เป็นตัวอย่างของบริษัทจีนที่ลงทุนด้าน Hard Tech ได้ประสบความสำเร็จ และสามารถขยายทำทุกข้อต่อของซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมของตน ท่ามกลางการกีดกันทางเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตก HUAWEI ยังมีภาพฆ่าแล้วไม่ตาย ยิ่งทุบยิ่งโต สะท้อนยุทธศาสตร์การพึ่งพาตัวเองด้านเทคโนโลยีของจีน 

 

ส่วน BYD เป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ซึ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่สีจิ้นผิงให้ความสำคัญมาก โดยมองว่าภาคพลังงานสะอาดจะกลายมาเป็นกลจักรขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ของเศรษฐกิจจีนแทนที่ภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคอุตสาหกรรมเก่า 

 

ปัจจุบันจีนได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกแทนที่ญี่ปุ่นแล้ว โดยมีรถยนต์ EV เป็นตัวตีตลาดรถยนต์ต่างประเทศ และมีอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และโซลาร์เซลล์เป็นตัวเสริม

 

เมื่อตอนที่สีจิ้นผิงจัดระเบียบภาคเทคโนโลยีของจีนนั้น เคยมีข้อสังเกตว่าสีจิ้นผิงมุ่งจัดระเบียบธุรกิจที่อยู่ในภาค Soft Tech เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งโตได้เพราะการผูกขาด และไม่ได้มีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่จะตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของจีนได้ 

 

แตกต่างจากภาค Hard Tech อย่างธุรกิจของ HUAWEI หรืออุตสาหกรรมรถยนต์ EV แบตเตอรี่ โซลาร์เซลล์ ซึ่งรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนมาตลอด เพราะมองว่าจะตอบโจทย์ความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยี และสร้างการเติบโตรอบใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการผลิตของจีนได้

 

ข้อที่สาม หลายคนตั้งข้อสังเกตถึงบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของจีนที่ไม่ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ได้แก่ Baidu ซึ่งเป็นบริษัทเสิร์ชเอนจินเจ้าใหญ่ของจีน และ ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทโซเชียลมีเดีย ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงว่าเพราะเหตุใดสองบริษัทนี้จึงตกหล่นไปจากเทียบเชิญ 

 

มีนักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา Baidu ดูจะแตกต่างจาก Alibaba และ Tencent ที่สองเจ้าหลังสามารถขยายธุรกิจและสร้างความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีที่หลากหลายมากขึ้นกว่าธุรกิจแพลตฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่นทั้ง Alibaba และ Tencent ต่างก็มีธุรกิจ Cloud Computing ที่แข็งแกร่ง

 

ส่วน ByteDance เองก็มีลักษณะเป็นบริษัทโซเชียลมีเดียอย่างเดียว และกำลังมีประเด็นร้อนอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลจีนอาจไม่ต้องการแสดงจุดยืนเรื่องนี้อย่างชัดเจน บ้างก็ว่าเจ้าของ ByteDance พำนักอยู่ที่สิงคโปร์เป็นหลัก

 

ข้อสังเกตสุดท้ายคือ ในงานครั้งนี้ ยังมีตัวแทนบริษัทน้องใหม่ดาวรุ่งพุ่งแรงอยู่ 2 บริษัทที่ทุกคนจับตา และมีการพูดกันว่าถ้างานในลักษณะนี้จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว สองบริษัทนี้ก็คงไม่ได้รับเชิญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของวงการเทคโนโลยีจีนที่มีดาวดวงใหม่เจิดจรัสแทนที่ดาวดวงเก่าอยู่ตลอด

 

บริษัทแรกก็คือ DeepSeek ที่ได้สั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มาก่อนหน้านี้ เพราะสามารถพัฒนา Generative AI ที่ชาญฉลาด โดยไม่ต้องใช้ชิปที่ดีที่สุดหรือมีพลังประมวลผลที่ดีที่สุด แถมยังแน่จริงโดยการเปิดสูตรเป็น Open Source ให้คนทั้งโลกเอาไปใช้และช่วยต่อยอดขึ้นไปอีกได้ ทำให้สั่นสะเทือนยักษ์ใหญ่ในวงการของสหรัฐฯ หลายเจ้า 

 

อีกบริษัทหนึ่งก็คือ Unitree ซึ่งเป็นบริษัทผลิตหุ่นยนต์ที่กำลังมาแรงแซงโค้งเช่นเดียวกัน ด้วยความสามารถในการผลิตและพัฒนาหุ่นยนต์รุ่นใหม่ๆ และยกระดับผลิตภัณฑ์ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

ย้อนกลับไปครั้งสุดท้ายที่สีจิ้นผิงร่วมงานประชุมนักธุรกิจและภาคเทคโนโลยีชั้นนำในลักษณะนี้คือเมื่อปี 2018 ดังนั้นงานในครั้งนี้จึงมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์อย่างชัดเจน 

 

ความหมายตรงไปตรงมาที่ต้องการสื่อคือรัฐบาลจีนจะกลับมาให้ความสำคัญต่อภาคธุรกิจและภาคเทคโนโลยี ท่ามกลางบริบทการชะลอตัวยาวของเศรษฐกิจจีนและการแข่งขันทางการค้าและเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ภายใต้ยุค Fast and Furious ของโดนัลด์ ทรัมป์

 

ภาพ: Florence Lo / Reuters

The post ถอดรหัส สีจิ้นผิง พบ แจ็ค หม่า: จุดเปลี่ยนนโยบายรัฐบาลจีน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
หลิวจงอี้เตรียมเดินทางกลับ หลังจบการหารือ ตรวจเยี่ยม และรับตัวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน https://thestandard.co/liu-zhongyi-return-back-to-china/ Mon, 17 Feb 2025 08:31:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1042850

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์) เวลา 14.40 น. หลิวจงอี้ ผู้ช่วยร […]

The post หลิวจงอี้เตรียมเดินทางกลับ หลังจบการหารือ ตรวจเยี่ยม และรับตัวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์) เวลา 14.40 น. หลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมด้วยคณะ ปรากฏตัวที่ท่าอากาศยานแม่สอด จังหวัดตาก

 

หลังเดินทางมาที่อำเภอแม่สอดวานนี้ (16 กุมภาพันธ์) เพื่อลงพื้นที่ตรวจการเตรียมพร้อมตามจุดรับตัวชาวต่างชาติในอำเภอแม่สอดที่จะถูกส่งตัวมาจากจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา ผลจากกองกำลังทหารที่ออกปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามเมืองต่างๆ ของเมียนมา

 

โดยตั้งแต่ที่หลิวจงอี้เดินทางมาถึงและปรากฏตัวต่อสื่อมวลชน ไม่มีการตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น แม้สื่อจะพยายามสอบถามในหลายภาษา แต่หลิวจงอี้จะเพียงยกมือและยิ้ม แต่วันนี้ทำท่าไหว้ขึ้นเหนือศีรษะเพียงเท่านั้น

The post หลิวจงอี้เตรียมเดินทางกลับ หลังจบการหารือ ตรวจเยี่ยม และรับตัวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
การทูตแพนด้า: กางแผนที่ปี 2025 ชาติไหนบ้างมีแพนด้ายักษ์จากจีน https://thestandard.co/countries-with-giant-pandas-2025/ Fri, 07 Feb 2025 14:25:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1039584 แพนด้ายักษ์

รัฐบาลจีนเตรียมส่งแพนด้ายักษ์คู่ใหม่ให้กับประเทศไทยในโอ […]

The post การทูตแพนด้า: กางแผนที่ปี 2025 ชาติไหนบ้างมีแพนด้ายักษ์จากจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แพนด้ายักษ์

รัฐบาลจีนเตรียมส่งแพนด้ายักษ์คู่ใหม่ให้กับประเทศไทยในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งคาดว่าจะเดินทางถึงประเทศไทยภายในปีนี้ โดยประเทศไทยเคยได้รับแพนด้ายักษ์คู่หนึ่งจากจีนในปี 2003 คือ ช่วงช่วง และ หลินฮุ่ย ก่อนที่ทั้งคู่จะให้กำเนิด หลินปิง แพนด้าตัวแรกที่เกิดในประเทศไทยเมื่อปี 2009 และถูกส่งกลับจีนในปี 2013 ต่อมาช่วงช่วงและหลินฮุ่ยเสียชีวิตในปี 2019 และ 2023 ตามลำดับ 

 

การทูตแพนด้า (Panda Diplomacy) เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จีนใช้ ‘แพนด้ายักษ์’ เป็นสัญลักษณ์ในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ ซึ่งการปฏิบัตินี้มีขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

 

เหมาเจ๋อตง มอบแพนด้ายักษ์เพื่อเป็นของขวัญให้แก่สหภาพโซเวียตในปี 1957 ในโอกาสครบรอบ 40 ปี การปฏิวัติเดือนตุลาคมในรัสเซีย ซึ่งถือเป็นการทูตแพนด้าครั้งแรก หลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949

 

ในปี 1972 หลังจากการเดินทางเยือนจีนของ ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานั้น จีนได้มอบแพนด้าคู่หนึ่งให้กับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการทูตแพนด้ายุคใหม่ ก่อนที่ตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นไป จีนได้เปลี่ยนนโยบายจากการมอบแพนด้าเป็นของขวัญมาเป็นการให้แก่สวนสัตว์ในต่างประเทศเช่ายืมแพนด้าแทน ซึ่งอาจมีค่าธรรมเนียมรายปีสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อคู่ นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขว่าลูกแพนด้าที่เกิดในช่วงเวลาการเช่ายืมนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของจีน และต้องส่งแพนด้ากลับจีนเมื่อครบกำหนดสัญญา

 

ปัจจุบันมีอย่างน้อย 15 ชาติที่ได้รับแพนด้ายักษ์จากจีน โดยเม็กซิโกเป็นเพียงชาติเดียวที่มีแพนด้ายักษ์เป็นของตนเอง เนื่องจาก ซินซิน (Xin Xin) แพนด้ายักษ์วัย 34 ปี เป็นลูกของแพนด้ายักษ์ที่เกิดในเม็กซิโกจากพ่อแม่แพนด้าที่จีนมอบให้ในปี 1975 ก่อนที่จีนจะเปลี่ยนเงื่อนไขมาเป็นการให้เช่ายืมแทน 

 

อัปเดตและเผยแพร่ล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2025

 

แพนด้ายักษ์

 

อ้างอิง:

The post การทูตแพนด้า: กางแผนที่ปี 2025 ชาติไหนบ้างมีแพนด้ายักษ์จากจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สื่อจีนรายงาน รัฐบาลไทยไฟเขียวรถไฟความเร็วสูงเฟส 2 จ่อดันเศรษฐกิจไทยโตคึกคัก https://thestandard.co/thailand-highspeed-rail-phase2/ Fri, 07 Feb 2025 10:42:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1039476 thailand-highspeed-rail-phase2

สำนักข่าว Xinhua รายงาน รัฐบาลไทยมีมติอนุมัติโครงการรถไ […]

The post สื่อจีนรายงาน รัฐบาลไทยไฟเขียวรถไฟความเร็วสูงเฟส 2 จ่อดันเศรษฐกิจไทยโตคึกคัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-highspeed-rail-phase2

สำนักข่าว Xinhua รายงาน รัฐบาลไทยมีมติอนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย (HSR) ระยะที่ 2 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ที่จะช่วยเชื่อมโยงไทยเข้ากับจีนผ่านทางรถไฟจีน-สปป.ลาว ในที่สุด

 

โครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2030 โดยผู้เชี่ยวชาญจากจีนและไทยกล่าวว่า เมื่อโครงการรถไฟความเร็วสูงแล้วเสร็จ จะช่วยเปิดช่องทางใหม่ให้ไทยสามารถขยายการส่งออก พร้อมดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแกนหลักของโครงข่ายรถไฟสายทรานส์เอเชีย (TAR) อันเป็นความฝันของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนานกว่า 10 ปี ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วภายใต้กรอบ BRI

 

ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 จะมีความยาว 357 กิโลเมตร โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 3.4 แสนล้านบาท ซึ่งการก่อสร้างอาจเริ่มต้นได้ในปีนี้หลังผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการได้ในปี 2031 

 

โครงการดังกล่าวประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกคือการก่อสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมต่อกับโครงการระยะที่ 1 ซึ่งทอดยาวจากกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา โดยมีสถานีรถไฟ 5 แห่งตลอดเส้นทาง ส่วนระยะที่ 2 ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรางในจังหวัดหนองคาย และให้บริการแบบเบ็ดเสร็จสำหรับการขนส่งสินค้าทางรถไฟข้ามพรมแดน 

 

เติ้งเฮาจี้ (Deng Haoji) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Chongqing Hongjiu Fruit กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Global Times ของจีนว่า “เราคาดหวังไว้สูงว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จะช่วยขนส่งผลไม้จากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังจีนได้ เช่น ทุเรียน, มังคุด, ลำไย และมะพร้าว โดยเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางขนส่งโดยตรงระหว่างจีนและไทย รวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย โดยจะมีประสิทธิภาพในการดำเนินการที่สูงขึ้นและต้นทุนที่ต่ำลง”

 

โครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทยออกแบบให้สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงในต่างประเทศโครงการแรกที่จะนำมาตรฐานการรถไฟของจีนมาใช้

 

โฆษกของบริษัท China State Construction Engineering (Thailand) Co., Ltd. เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ Global Times ว่า การก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทยมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในการสร้างโครงข่ายรถไฟสายทรานส์เอเชีย ซึ่งเริ่มต้นเส้นทางจากเมืองคุนหมิงในมณฑลยูนนานของจีน และขยายไปจนถึงสิงคโปร์ผ่าน สปป.ลาวและไทย

 

อนึ่ง ทางรถไฟจีน-สปป.ลาว ซึ่งเชื่อมระหว่างคุนหมิงกับนครหลวงเวียงจันทน์ เริ่มเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม 2021 โดยข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2025 ระบุว่า เส้นทางรถไฟดังกล่าวขนส่งสินค้าไปแล้วรวม 50.7 ล้านตันและมีผู้โดยสารกว่า 45 ล้านคน ทำให้เส้นทางนี้เป็นหนึ่งใน ‘ระเบียงทองคำ’ ในการกระชับความร่วมมือระหว่างจีนและอาเซียน

 

  • นักวิเคราะห์มองโครงการรถไฟความเร็วจะดันไทยเติบโตในอาเซียน

 

หูจื้อหยง (Hu Zhiyong) นักวิจัยจากสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งสถาบันสังคมศาสตร์เซี่ยงไฮ้ มองว่า การดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย ระยะที่ 2 จะช่วยเสริมสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยให้คึกคักมากขึ้น 

 

“เส้นทางทั้งสามของระบบโครงข่ายรถไฟสายทรานส์เอเชียเชื่อมต่อกับไทย ดังนั้นเมื่อโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทยเสร็จสมบูรณ์ ก็จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าในภูมิภาค ขณะเดียวกันการเชื่อมโยงทางรถไฟจะนำมาซึ่งประโยชน์มากมายให้กับไทยในแง่ของการพัฒนาการท่องเที่ยวและเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม”

 

ทั้งนี้ การเยือนจีนของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คาดว่าจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ไทย-จีน รวมถึงการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวจีนในการเดินทางมาประเทศไทยด้วย

 

ดร.วิรุฬห์ พิชัยวงศ์ภักดี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางไทย-จีน เผยกับหนังสือพิมพ์ Global Times ว่า การเยือนของนายกฯ ครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระดับทวิภาคีภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานหมุนเวียนสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล

 

“ความร่วมมือ BRI ระหว่างจีนและไทยมีรากฐานที่มั่นคงและมีแนวโน้มการพัฒนาที่สดใสมาก และการเร่งสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทยระยะที่ 2 จะสร้างแรงผลักดันให้ไทยเติบโตอย่างไม่ต้องสงสัย” หูกล่าว

 

ภาพ: Andrew Benton / Construction Photography / Avalon / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post สื่อจีนรายงาน รัฐบาลไทยไฟเขียวรถไฟความเร็วสูงเฟส 2 จ่อดันเศรษฐกิจไทยโตคึกคัก appeared first on THE STANDARD.

]]>