China – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 28 May 2025 05:20:48 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทำไมจีนไม่ยอมถูกบูลลี่ และไม่ยอมหมอบให้สหรัฐฯ https://thestandard.co/china-vs-us-trade-war-analysis/ Wed, 28 May 2025 05:20:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1079329 ภาพแผนที่ตลาดส่งออกของจีนสู่ประเทศโลกขั้วใต้ และกราฟเทียบการพึ่งพาสหรัฐฯ

การเจรจาพักรบสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนออกไปอีก 90 […]

The post ทำไมจีนไม่ยอมถูกบูลลี่ และไม่ยอมหมอบให้สหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพแผนที่ตลาดส่งออกของจีนสู่ประเทศโลกขั้วใต้ และกราฟเทียบการพึ่งพาสหรัฐฯ

การเจรจาพักรบสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนออกไปอีก 90 วัน เป็นแค่ ‘เกมซื้อเวลา’ ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังคงหวาดระแวงการเติบใหญ่ของจีน ศึกระหว่างสองมหาอำนาจย่อมไม่จบง่ายๆ เพราะปมขัดแย้งที่แท้จริงไม่ใช่มีเพียงแค่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ประเด็นสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่ามหาศาล  

 

บทความนี้จะวิเคราะห์ว่า ปมขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจคืออะไรกันแน่ และทำไมสีจิ้นผิงกล้าชน ไม่ยอมหมอบ ไม่ยอมจำนนให้ทรัมป์

 

ดิฉันเพิ่งบินกลับมาจากการไปเข้าอบรมหลักสูตร CICG ที่จัดโดยกระทรวงพาณิชย์จีนในกรุงปักกิ่งนาน 2 สัปดาห์ พบว่า นักศึกษาจีนและคนจีนที่พูดคุยด้วยส่วนใหญ่เชียร์ผู้นำของตัวเอง คนจีนส่วนใหญ่ร่วมเชียร์ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ในการสู้ศึกครั้งนี้  อย่าไปยอมจำนนให้ชาติอื่นมาบูลลี่จีน ในขณะที่คนอเมริกันไม่ใช่ทุกคนจะเชียร์ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คนอเมริกันนับแสนคนเคยออกมาร่วมประท้วงใหญ่ต่อต้านนโยบายสุดโต่งของทรัมป์ 

 

ความเห็นของศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนและผู้เชี่ยวชาญฝ่ายจีน ตลอดจนสื่อใหญ่หลายสำนักของจีนที่มาเป็นวิทยากรในหลักสูตรนี้ (เช่น CGTN,  China Daily, Xinhua รวมทั้ง CMG) ต่างก็สนับสนุนท่าทีผู้นำจีนที่จะไม่ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ ฝ่ายจีนประกาศชัดเจน “ไม่มีใครชนะ ในสงครามการค้า” และจีนไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดศึกทำสงครามใดๆ กับสหรัฐฯ แต่ในเมื่อ ‘จีนถูกบูลลี่ก่อน จีนจึงไม่ยอมสยบ จีนพร้อมสู้กลับ’ รวมทั้งการโพสต์ประกาศออกสื่ออย่างแข็งกร้าวของสถานทูตจีนในวอชิงตัน ดี.ซี. “หากสหรัฐฯ ต้องการสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามในรูปแบบใดก็ตาม จีนก็พร้อมที่จะสู้จนถึงที่สุด” จากการจับสัญญาณท่าทีของฝ่ายจีน มีหลายประเด็นที่สำคัญ ดังนี้

 

ประเด็นแรก อะไรคือปมขัดแย้งที่แท้จริงระหว่างสองมหาอำนาจ 

 

หลายท่านอาจจะสงสัยว่าสองมหาอำนาจนี้จะขัดแย้งกันไปทำไม ในเมื่อทั้งสหรัฐฯ และจีนไม่ได้มีใครต้องการไปแย่งดินแดนของอีกฝ่าย จีนไม่ได้ต้องการไปยึดเกาะฮาวายหรือดินแดนใดๆ ของสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ต้องการไปบุกยึดดินแดนของจีนมาเป็นของตนเช่นกัน (แม้ว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนไต้หวัน) แล้วสองประเทศนี้จะทะเลาะกันไปทำไม จนทำให้ทั้งโลกต้องสะเทือนและปั่นป่วนตามไปด้วย

 

หากศึกษาแนวคิดเรื่อง Thucydides Trap หรือ ‘กับดักธูสิดีดิส’ น่าจะช่วยเป็นคำตอบที่ทำให้เข้าใจปมขัดแย้งสหรัฐฯ และจีนได้ชัดเจนขึ้น เนื้อหาในหนังสือ ‘Destined for War’ เขียนโดย ศ.เกรแฮม อัลลิสัน จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้อธิบายในประเด็นนี้ว่า “มหาอำนาจเดิมมักจะหวั่นไหวและหวาดระแวงการเติบใหญ่ของมหาอำนาจใหม่ จนทำให้เกิดความไม่ไว้ใจกัน” และยังได้วิเคราะห์ด้วยว่า หากสองมหาอำนาจติดอยู่ใน ‘กับดักธูสิดีดิส’* ก็อาจนำไปสู่สงครามระหว่างกัน แล้วทั้งสหรัฐฯ และจีนจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ติดกับดักแห่งอำนาจนี้ได้หรือไม่? 

 

ดังนั้นปมขัดแย้งหลักของสองมหาอำนาจก็คือศึกแห่งศักดิ์ศรี มหาอำนาจเดิมคือสหรัฐฯ เกิดความกลัวและหวั่นไหวกับการผงาดขึ้นมาของมหาอำนาจใหม่อย่างจีน  การเติบใหญ่อย่างรวดเร็วของจีน ยิ่งทำให้สหรัฐฯ หวาดระแวง โดยเฉพาะในยุคสีจิ้นผิง จีนกล้าประกาศความแข็งแกร่งในหลายด้าน ไม่เฉพาะด้านเศรษฐกิจ ยังรวมไปถึงบทบาทและอิทธิพลจีนในระดับโลก ทั้งด้านการเมืองระหว่างประเทศและด้านความมั่นคง จีนมีการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว กองทัพจีนมีการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไฮเทคทันสมัย รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของจีนที่ล้ำหน้าอย่างก้าวกระโดด เป็นต้น

 

 

ประการที่สอง ทำไมจีนพร้อมสู้กลับ ไม่กลัวการบูลลี่ของสหรัฐฯ ที่ทำตามอำเภอใจฝ่ายเดียว (Unilateralism)

 

ในการสู้ศึกใหญ่รอบนี้ จีนค่อนข้างมีความพร้อมและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เคยถูกบีบให้ต้องทำสงครามการค้าในยุคทรัมป์สมัยแรก ในปี 2018 สีจิ้นผิงเคยใช้คำว่า ‘แรดเทา’ ในการพูดเตือนผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า “จีนต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิด งานหนักของทุกคนคือการรักษาเสถียรภาพ ต้องเฝ้าระวังอย่างสุดชีวิต เพื่อมุ่งสกัด ‘แรดเทา’ ภัยคุกคามที่มีความเป็นไปได้สูง” ทุกคนต้องไม่ชะล่าใจ จีนต้องวางแผนรับมือกับภัยคุกคามคือศึกใหญ่หลวงจากสหรัฐฯ ดังนั้นในรอบนี้ เมื่อทรัมป์ชนะเลือกตั้งกลับมาอีกครั้ง จีนจึงพร้อมรับมือ/สู้ศึก จีนมีประสบการณ์แล้ว และพร้อมปะทะ/โต้กลับ (หากสนใจประเด็น ‘ทำไมทรัมป์ 2.0 คือแรดเทา แล้วจีนจะสู้กลับอย่างไร?’ สามารถคลิกไปอ่านบทความในเรื่องนี้ของดิฉันได้ที่ https://thestandard.co/trump-china-trade-tensions/)

 

ที่สำคัญจีนไม่ได้พึ่งพารายได้จากการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงมากเหมือนในอดีต ในยุคสีจิ้นผิง จีนปรับสู่โมเดล Xinomics หันมาเน้นขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ (consumption-driven economy) เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ จีนพยายามปรับโมเดลลดการพึ่งพาภาคส่งออกลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในขณะนี้ จีนมี Export to GDP ratio ลดเหลือ 19.7%  

 

นอกจากนี้ จีนได้ซุ่มกระจายการส่งออกไปตลาดในโลกขั้วใต้ (Global South) มานานแล้ว โดยผ่านกลไกข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) หรือ ‘อี้ไต้อี้ลู่’ มาตั้งแต่ปี 2013 ส่งผลให้จีนสามารถกระจายการส่งออกยังตลาดใหม่ๆ ทดแทนตลาดสหรัฐฯ และจีนยังได้ออกไปลงทุนในประเทศโลกขั้วใต้เพิ่มสูงขึ้น เกิดกระแสทุนจีนบุกโลก พร้อมๆ ไปกับการแสวงหาพรรคพวกเข้าร่วมกลุ่ม BRI ที่มากขึ้น 

 

จีนยังได้สร้างแนวร่วมในกลุ่ม BRICS ที่ตอนนี้มีสมาชิก 10 ประเทศ และมีประเทศหุ้นส่วนอีก 13 ประเทศ (รวมทั้งไทย) ตลอดจนกลไกอื่นๆ ที่จีนผลักดันเพื่อสร้างพรรคพวก ทั้งด้านการค้าและการลงทุน เช่น กลไก Forum on China–Africa Cooperation (FOCAC) ในการจับมือกับ 53 ประเทศในทวีปแอฟริกา ในขณะที่ ฝ่ายสหรัฐฯ ขึ้นภาษีโหดทั่วโลก แต่ฝ่ายจีนกลับประกาศลดภาษีเหลือศูนย์ให้กับประเทศกำลังพัฒนาน้อยกว่า เพื่อจูงใจให้ประเทศที่ระดับการพัฒนาต่ำเหล่านั้น โดยเฉพาะประเทศในทวีปแอฟริกา ได้รับประโยชน์จากการมาเป็นพรรคพวกให้ความร่วมมือกับจีน (ทำนองว่า มาคบกับจีนแล้วคุณจะอยู่ดีกินดีขึ้นนะครับ) 

 

จีนยังมีกลไก China-CELAC Forum ในการจับมือกับ 33 ประเทศในลาตินอเมริกาและแคริบเบียน เพื่อให้มาเป็นพรรคพวกของจีน โดยจีนเพิ่งประกาศขยายวงเงินเครดิตให้กลุ่มนี้สูงถึง 9.2 พันล้านดอลลาร์

 

แน่นอนว่ายังคงมีบางประเทศในโลกขั้วใต้ (เช่น บางประเทศในลาตินอเมริกา) ที่ยังระแวงจีนอยู่บ้าง แต่ในยุคทรัมป์ที่ไม่แคร์เพื่อน และชอบบูลลี่คนอื่น ก็ยิ่งผลักให้ประเทศที่โดนเทมาจากสหรัฐฯ เหล่านั้น สนใจจะมาจับมือกับจีนมากขึ้น ซึ่งฝ่ายจีนก็แสดงความพร้อมที่จะโอบรับและจับมือ/ร่วมมือกับประเทศเหล่านั้นเสมอ จีนประกาศว่า จะร่วมต่อต้าน ‘ลัทธิทำตามอำเภอใจฝ่ายเดียว’ (Unilateralism) ของรัฐบาลทรัมป์ และจะร่วมมือกันสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี (Multilateralism) ภายใต้องค์การการค้าโลก WTO

 

พฤติกรรมของสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ป่วนโลกและไม่แคร์เพื่อน จะกลายเป็นโอกาสของจีน เข้าทางจีนในการดึงประเทศโลกขั้วใต้เหล่านี้มาเป็นพรรคพวกของจีนให้มากขึ้น  ล่าสุด นิตยสาร The Economist ฉบับต้นเดือนเมษายน พาดหัวขึ้นปกด้วยข้อความว่า “ทรัมป์จะทำให้จีนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make China Great Again) และจะกลายเป็นโอกาสที่สวยงามของจีน” (A Big and Beautiful Opportunity for China)  ในการดึงประเทศอื่นมาเป็นพรรคพวก เพื่อสร้างอาณาจักรที่จะทำให้จีนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งนั่นเอง

 

กลไกสร้างพรรคพวกและแสวงหาความร่วมมือในโลกขั้วใต้ทั้งหลายนี้ ล้วนมีส่วนทำให้จีนสามารถกระจายความเสี่ยง (diversify) ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ผ่านการกระจายตลาดส่งออกจีนไปยังประเทศโลกขั้วใต้อย่างต่อเนื่อง จากสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกของจีนไปยังโลกขั้วใต้มีการขยายตัวมากกว่าและมีมูลค่าสูงกว่าการส่งออกไปตลาดดั้งเดิม เช่น ตลาดสหรัฐฯ ดังแสดงในรูปประกอบ 

 

จากข้อมูลปี 2024 การส่งออกของจีนไปตลาดสหรัฐฯ มีสัดส่วนลดลงเหลือ 14.7% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน (จากเดิมที่เคยมีสัดส่วนสูงมากกว่า 20% ของการส่งออกจีน) เนื่องจากจีนตั้งใจปรับโมเดลลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นๆ เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง 

 

อ้างอิง: https://asiatimes.com/2024/05/2-words-explain-china-export-surge-global-south/

 

เส้นสีฟ้าคือตลาดส่งออกของจีนในแถบโลกขั้วใต้ ได้แก่ อาเซียน เอเชียใต้ เอเชียกลาง ลาตินอเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาตอนเหนือ รวมทั้งรัสเซีย

 

เส้นสีส้มคือตลาดส่งออกดั้งเดิมของจีนที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

 

ในแง่ทิศทางในอนาคตของภูมิภาคเอเชีย เมื่อประเทศต่างๆ ต้องเผชิญกับมาตรการภาษีสูงลิ่วของทรัมป์ จึงคาดว่า ประเทศในเอเชียเหล่านี้จะหันมาค้าขายกันเองมากขึ้น  โดยเฉพาะญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ล้วนต้องเผชิญกับภาษีโหดของทรัมป์ และเริ่มสนใจจะร่วมมือกับจีนมากขึ้น จึงเข้าทางจีนที่ต้องการผลักดันให้เกิดข้อตกลงการค้าเสรี FTA แบบไตรภาคีระหว่างจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ โดยฝ่ายจีนคาดหวังว่า ภายในปลายปีนี้ในระหว่างการประชุม APEC Summit ที่กรุงโซล น่าจะมีการลงนาม FTA ไตรภาคีฉบับนี้ได้สำเร็จ

 

ประการที่สาม ภาคเอกชนจีนมุ่งมั่นที่จะ Disrupt ตัวเอง คือจุดแข็งของเศรษฐกิจจีน  

 

สีจิ้นผิงเชิดชูและชื่นชมภาคเอกชนจีนที่มีคุณูปการช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างแข็งแกร่งในหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะบทบาทของสตาร์ทอัพจีนที่มีการ disrupt ตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อคิดค้นและต่อยอดในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง 

 

จากกรณีการเปิดตัว AI ของสตาร์ทอัพจีนคือ DeepSeek แล้วทำให้มูลค่าหุ้นบิ๊กเทค 7 นางฟ้าของสหรัฐฯ ต้องร่วงระนาว เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า สตาร์ทอัพจีนในวัย 40 ปีและทีมงานทุกคนที่ไม่เคยไปเรียนต่อเมืองนอก จะใช้เวลาไม่นานในการทำ AI ต้นทุนต่ำออกมาให้ทุกคนได้ใช้งานฟรี และใช้ได้ดีไม่น้อยหน้า AI ต้นทุนสูงลิ่วของฝรั่ง จนกลายเป็นปรากฏการณ์ ‘DeepSeek moment’ เทียบเคียงกับเหตุการณ์ Sputnik moment ในปี 1957 เมื่อสหภาพโซเวียตสามารถส่งดาวเทียมดวงแรกของโลกที่ชื่อ Sputnik ขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ ทำให้คนอเมริกันต้องตะลึง เพราะสหภาพโซเวียตไม่ได้ล้าหลังเหมือนที่พวกคนอเมริกันเหล่านั้นเคยถูกทำให้เข้าใจผิดมาโดยตลอด 

 

ตัวอย่างพัฒนาการที่น่าทึ่งของจีนอีกด้านที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และถูกพูดกันมากในขณะนี้คือการพัฒนาอุตสาหกรรมโดรนและรถบินได้ ตลอดจนอุปกรณ์อัจฉริยะที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่เรียกโดยรวมว่าเป็น ‘เศรษฐกิจในเขตน่านฟ้าระดับต่ำ’ (Low Altitude Economy) โดยจีนใช้คำเรียกย่อๆ ว่า ‘Di Kong Jingji’ คำว่า Di Kong (ตีคง) คือเขตน่านฟ้าในระดับต่ำ ส่วนคำว่า Jingji (จิงจี้) คือเศรษฐกิจ 

 

ในการประชุม 2 สภาของจีน (Two Sessions หรือ Liang Hui) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็มีการพูดถึงเศรษฐกิจในเขตน่านฟ้าระดับต่ำฯ อย่างกว้างขวาง ซึ่งมีมูลค่าตลาดฯ ที่สูงมากกว่า 5 แสนล้านหยวน (ปี 2023) ภาครัฐของจีนให้การส่งเสริมเศรษฐกิจในเขตน่านฟ้าระดับต่ำฯ อย่างเต็มที่ และตั้งเป้าหมายในปี 2030 ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงถึง 2 ล้านล้านหยวน ส่งผลให้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของจีนต่างกระตือรือร้น เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจในเขตน่านฟ้าต่ำฯ กลายเป็นพระเอกของภาคการผลิตใหม่ และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในยุค AI+ ให้เติบโตต่อไป

 

โดยสรุป จีนสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากสหรัฐฯ ในทุกรูปแบบ ในยุคที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งสองมหาอำนาจไม่มีใครยอมใคร แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ก็คือการแยกขั้วของสหรัฐฯ และจีนแบบ ‘ต่างคน ต่างอยู่’ และประเทศต่างๆ จะถูกบีบให้ต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น จะทำให้การลงทุน FDI เปลี่ยนทิศ หลายประเทศจะถูกบีบให้ตัดขาดจากห่วงโซ่อุปทานของจีน กระแสโลกาภิวัตน์ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ การค้าโลกจะเล็กลง ทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างไทยที่พึ่งพาภาคต่างประเทศเป็นอย่างมาก (overdependence) ก็จะถูกกระทบอย่างหนัก ไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากภายนอก ต้องเจอกับการแข่งขันอย่างเข้มข้น ไทยต้องเจอศึกรอบด้าน แล้ววันนี้ ไทยมีความพร้อมแค่ไหนในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงระดับพายุหมุนในรอบนี้?

 

สำหรับบทความในตอนต่อไป จะมาวิเคราะห์ว่า จีนมีหมัดเด็ดอะไรที่จะใช้สู้กลับและตอบโต้สหรัฐฯ และในแง่ข้อจำกัด เศรษฐกิจจีนมีจุดอ่อนที่น่ากังวลอะไรบ้างที่ยังสะสางและแก้ไขไม่สำเร็จ

 

ภาพ: REUTERS / Ken Cedeno,​ Sieges ueber Nazideutschland. Foto:The Kremlin Moscow via SVEN SIMON Fotoagentur GmbH & Co., Memory Stockphoto via ShutterStock

The post ทำไมจีนไม่ยอมถูกบูลลี่ และไม่ยอมหมอบให้สหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Xiaomi ท้าชน Tesla ในจีน เปิดตัว YU7 รถไฟฟ้าระยะทางไกลกว่า พร้อมสู้รุ่นขายดีที่สุด https://thestandard.co/xiaomi-yu-7-challenges-tesla/ Tue, 27 May 2025 02:12:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1078883

Xiaomi บริษัทจีนที่เป็นที่รู้จักในด้านสมาร์ทโฟน เพิ่งเข […]

The post Xiaomi ท้าชน Tesla ในจีน เปิดตัว YU7 รถไฟฟ้าระยะทางไกลกว่า พร้อมสู้รุ่นขายดีที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>

Xiaomi บริษัทจีนที่เป็นที่รู้จักในด้านสมาร์ทโฟน เพิ่งเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้ไม่นาน และขณะนี้กำลังตั้งเป้าท้าทายรถยนต์รุ่นขายดีของ Tesla ในจีน

 

เพียงไม่ถึง 1 ปีหลังจากเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก Xiaomi เผยโฉมรถ SUV รุ่นใหม่ชื่อว่า YU7 พร้อมอ้างว่ารถรุ่นนี้จะสามารถวิ่งได้ไกลอย่างน้อย 760 กิโลเมตร (472 ไมล์) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ระยะทางขับขี่ของ YU7 สูงกว่ารุ่นขยายระยะทางของ Tesla Model Y ซึ่งระบุไว้ว่าวิ่งได้ 719 กิโลเมตรอย่างชัดเจน โดยระยะทางต่อการชาร์จยังคงเป็นจุดขายสำคัญสำหรับผู้บริโภคที่กังวลเกี่ยวกับการต้องชาร์จแบตเตอรี่บ่อยครั้ง

 

Jeff Chung นักวิเคราะห์จาก Citi กล่าวในรายงานว่า “เราคาดว่า YU7 จะส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดของ Tesla Model Y ในจีนอย่างมีนัยสำคัญ” Citi คาดว่า YU7 จะมีราคาขายอยู่ในช่วง 250,000-320,000 หยวน (ประมาณ 34,700-44,420 ดอลลาร์สหรัฐ) และคาดการณ์ยอดขายรายเดือนราว 30,000 คัน เมื่อยอดขายเริ่มเติบโต อาจแตะระดับ 300,000 ถึง 360,000 คันต่อปี

 

ช่วงราคาระดับนี้ทำให้ YU7 เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Tesla Model Y ซึ่งมีราคาเริ่มต้นในจีนที่ 263,500 หยวน โดย Xiaomi มีแผนจะประกาศราคาจำหน่ายของ YU7 อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้

 

Elinor Leung กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตในเอเชียของ CLSA กล่าวว่า YU7 ถูกวางตำแหน่งเป็น “รถ SUV หรู” และคาดว่ายอดขายของรุ่นนี้อาจสูงกว่ารถ SU7 ซีดานรุ่นแรกของ Xiaomi

 

ปีที่แล้ว Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก SU7 ซีดาน ซึ่งมีราคาต่ำกว่ารถ Tesla Model 3 ณ เวลานั้นประมาณ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยหลังจากนั้น Tesla ได้ปรับลดราคาของ Model 3 ลงเหลือ 235,500 หยวนเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังแพงกว่า SU7 ที่ราคา 215,900 หยวนอยู่ดี

 

Xiaomi สามารถส่งมอบรถ SU7 ได้มากกว่า 28,000 คันในเดือนเมษายน ลดลงเล็กน้อยจากสถิติสูงสุดที่มากกว่า 29,000 คันในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ยอดขายนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์รถ SU7 ประสบอุบัติเหตุในจีนจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน ส่งผลให้จีนออกข้อกำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องระมัดระวังคำโฆษณาเกี่ยวกับระบบช่วยขับขี่มากขึ้น Xiaomi เปิดตัว YU7 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ในช่วงท้ายงานเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นพรีเมียมที่ใช้ชิปใหม่ซึ่งบริษัทอ้างว่าสามารถทำคะแนนเหนือกว่า Apple ในบางด้านอีกด้วย

 

ภาพ: VCG / VCG via Getty Images

อ้างอิง:

The post Xiaomi ท้าชน Tesla ในจีน เปิดตัว YU7 รถไฟฟ้าระยะทางไกลกว่า พร้อมสู้รุ่นขายดีที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Xi Jinping พิจารณาแผน ‘Made-in-China’ ฉบับใหม่ แม้สหรัฐฯ เรียกร้องปรับสมดุลเศรษฐกิจ https://thestandard.co/xi-jinping-new-made-in-china-plan/ Tue, 27 May 2025 01:33:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1078879 Xi Jinping

รัฐบาลของประธานาธิบดี Xi Jinping กำลังพิจารณาแผนแม่บทฉบ […]

The post Xi Jinping พิจารณาแผน ‘Made-in-China’ ฉบับใหม่ แม้สหรัฐฯ เรียกร้องปรับสมดุลเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Xi Jinping

รัฐบาลของประธานาธิบดี Xi Jinping กำลังพิจารณาแผนแม่บทฉบับใหม่เพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าทางเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของจีนในการควบคุมภาคการผลิตอย่างเหนียวแน่น ในขณะที่ประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐฯ พยายามผลักดันให้โรงงานต่างๆ กลับไปตั้งในสหรัฐฯ มากขึ้น

 

เจ้าหน้าที่จีนกำลังร่างแผนใหม่ต่อยอดจากโครงการ “Made in China 2025” ของประธานาธิบดี Xi แผนในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี เช่น อุปกรณ์การผลิตชิป และอาจใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงวิจารณ์จากประเทศตะวันตก

 

นอกจากนี้ ผู้วางแผนนโยบายของจีนยังเตรียมแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่ที่จะเริ่มในปี 2026 โดยตั้งเป้ารักษาสัดส่วนภาคการผลิตในระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่มั่นคงในระยะยาว ซึ่งสะท้อนว่าความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะผลักดันให้จีนลดการพึ่งพาภาคการผลิต อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

 

แหล่งข่าวระบุว่า ในระหว่างการหารือ เจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกันว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับ 5 ปีฉบับถัดไปควรกำหนดเป้าหมายเชิงตัวเลขเกี่ยวกับสัดส่วนของการบริโภคต่อ GDP ของจีนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ดูเหมือนว่าทางการจะยังไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ เนื่องจากกังวลว่าไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน และไม่ต้องการผูกมัดตัวเองกับตัวเลขเป้าหมายที่ชัดเจน

 

การหารือล่าสุดในกรุงปักกิ่งบ่งชี้ว่าจีนมีแนวโน้มจะยึดกลยุทธ์โดยรวมแบบเดิมเป็นส่วนใหญ่ แม้จะถูกสหรัฐฯ และยุโรปวิพากษ์วิจารณ์ว่าก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางการค้าก็ตาม รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ผลักดันให้จีนหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งใช้นโยบายควบคุมการส่งออกและการขึ้นภาษีเพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ “แยกตัวเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Decoupling) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทำให้สหรัฐฯ พึ่งพาตนเองในสาขาสำคัญ เช่น เหล็ก ยา และเซมิคอนดักเตอร์

 

การที่จีนปฏิเสธข้อเรียกร้องเหล่านี้ รวมถึงการคงมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก แสดงให้เห็นถึงความกังวลของจีนเองในด้านความมั่นคง และการที่สหรัฐฯ พยายามสกัดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงชิปขั้นสูงและเทคโนโลยีอื่นๆ ผู้นำจีนยังได้กล่าวถึงความจำเป็นในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดและชดเชยการส่งออกที่คาดว่าจะลดลงจากผลกระทบของภาษีศุลกากรที่รัฐบาล Trump กำหนด

 

ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติประจำปี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี Li Qiang ระบุว่า “การส่งเสริมการบริโภคอย่างจริงจัง” เป็นภารกิจสำคัญอันดับแรกของรัฐบาลในปีนี้ พร้อมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อ “ทำให้การบริโภคภายในประเทศเป็นเครื่องยนต์หลักและจุดยึดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ”

 

ทางด้านสหภาพยุโรป (EU) ประกาศว่าได้ตกลงที่จะเร่งการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีที่เป็นมิตรยิ่งขึ้น เพียงไม่กี่วันหลังจากประธานาธิบดี Donald Trump ออกมาวิจารณ์ว่าทาง EU ใช้ประโยชน์จากสหรัฐฯ และถ่วงเวลาในการเจรจา

 

หลังการพูดคุยดังกล่าว Trump ได้ขยายเส้นตายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปในอัตรา 50% ออกไปอีกกว่าหนึ่งเดือนจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาเพิ่มเติม

 

การเจรจาที่ผ่านมาเต็มไปด้วยปัญหาหลากหลาย และยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการหาจุดกึ่งกลางที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจได้

 

ฝ่ายยุโรปแสดงความไม่พอใจว่าพวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่าสหรัฐฯ ต้องการอะไร หรือแม้แต่ใครเป็นผู้แทนที่พูดในนามของประธานาธิบดีอเมริกัน ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ ก็กล่าวหาว่าสหภาพยุโรปเลือกปฏิบัติต่อบริษัทอเมริกัน โดยใช้คดีความและกฎระเบียบในการกดดันอย่างไม่เป็นธรรม

 

ภาพ: Sun Meng / VCG via Getty Images, Costfoto / NurPhoto via Getty Images

อ้างอิง:

The post Xi Jinping พิจารณาแผน ‘Made-in-China’ ฉบับใหม่ แม้สหรัฐฯ เรียกร้องปรับสมดุลเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดีลระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะมีหน้าตาอย่างไร? https://thestandard.co/us-china-deal-trump-reset-2025/ Wed, 21 May 2025 02:17:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1076555 ผู้นำจีน-สหรัฐ จับมือกันในเวทีเจรจา

ทรัมป์บอกว่าจะทำ ‘The Greatest Deal’ กับจีน นี่แหละครับ […]

The post ดีลระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะมีหน้าตาอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้นำจีน-สหรัฐ จับมือกันในเวทีเจรจา

ทรัมป์บอกว่าจะทำ ‘The Greatest Deal’ กับจีน นี่แหละครับที่มีคนบอกว่าใจความสำคัญของหนังสือ The Art of the Deal ของทรัมป์ก็คือสุดท้ายต้องมีดีล ถ้าสุดท้ายตกลงกันไม่ได้ คงไม่ใช่ศิลปะของการทำดีล

 

ทีมเจรจาของจีนและสหรัฐฯ ได้ตกลงกันที่เจนีวาเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะพักรบกัน 90 วัน เพื่อเจรจาการค้า ทรัมป์มีคำศัพท์ใหม่บอกว่าจะนำไปสู่ ‘Total Reset’ ในเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน ความขัดแย้งที่ผ่านมาพร้อมลืม มาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ ถ้าทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงทำดีลยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้

 

คำถามคือ ประเด็นที่สองฝ่ายจะเจรจาต่อไปมีอะไรบ้าง สหรัฐฯ ต้องการอะไรจากจีน และจีนจะต้องการอะไรจากสหรัฐฯ

 

เริ่มจากสิ่งที่สหรัฐฯ จะขอจากจีนก่อน ตรงไปตรงมาอันดับแรกคือจีนต้องซื้อของสหรัฐฯ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง ข้าวโพด ฯลฯ) พลังงาน (ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน) และเครื่องบิน Boeing (ที่จีนไม่ยอมรับมอบ ตอนนี้คงต้องสัญญาว่าจะสั่งซื้อเพิ่ม)

 

ถัดมาก็คือ จีนต้องประกาศจริงจังในเรื่องการปราบปรามสารตั้งต้นยาเสพติด (Fentanyl) ที่ระบาดในสหรัฐฯ ประเด็นนี้จริงๆ จีนบอกว่ารับปากมาตั้งแต่สมัยไบเดนแล้ว แต่ฝั่งสหรัฐฯ ยังไม่พอใจความคืบหน้าและการปฏิบัติของจีน 

 

สหรัฐฯ ยังต้องการให้จีนเปิดตลาด โดยเฉพาะในภาคบริการ เช่น ในด้านประกันภัย ธุรกิจการเงิน เป็นต้น ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีอย่างโซเชียลมีเดียนั้น อาจยากหน่อย เพราะจีนบอกว่าจีนเปิดกว้างอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อคุณเข้ามาคุณต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของรัฐบาลจีนในการจำกัดเนื้อหา ซึ่งโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มของสหรัฐฯ รับไม่ได้

 

สามข้อถัดมาที่สหรัฐฯ ต้องการจากจีนและจะยากขึ้นไปอีกที่จะตกลงกันได้ ข้อแรกคือให้จีนประกาศเข้าไปลงทุนสร้างงานในสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ต้องการให้จีนเข้าไปลงทุนในภาคการผลิตและสร้างโรงงานอัจฉริยะ พร้อมเงื่อนไขว่าทุนจีนต้องร่วมทุนเป็น Joint Venture กับทุนสหรัฐฯ และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับทุนสหรัฐฯ 

 

เหมือนที่ในอดีตจีนเองก็เคยมีเงื่อนไขเช่นนี้มาก่อน ทุนสหรัฐฯ ที่เข้าไปในตลาดจีนในอดีต เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดมหึมาของจีน ก็จำเป็นต้องร่วมทุนกับทุนจีนและถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่ครั้งนี้ทิศทางกลับกัน คือสหรัฐฯ เองต้องการเทคโนโลยีจากจีน โดยเฉพาะในเรื่องรถยนต์ EV โซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และระบบโรงงานอัจฉริยะ

 

ข้อสองที่สหรัฐฯ ต้องการจากจีนและทำได้ยากคือ สหรัฐฯ จะกดดันให้จีนปรับค่าเงิน เพื่อให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น ตามเป้าหมายของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อน เพื่อประโยชน์ของการส่งออกของสหรัฐฯ และลดการขาดดุลการค้า

 

ข้อสุดท้ายที่ยากขึ้นไปอีกคือ สหรัฐฯ จะเรียกร้องให้จีนซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ สาเหตุที่ว่ายากเพราะช่วงที่ผ่านมา จีนมีแต่จะลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนมาซื้อทองคำเก็บแทน หลายคนวิเคราะห์ว่านี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ดันราคาทองพุ่งสูงแบบที่เป็นอยู่ในวันนี้

 

เพื่อแลกกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้ จีนเองจะต้องการอะไรจากสหรัฐฯ บ้าง เฉพาะหน้าที่สุดคือสหรัฐฯ ต้องหยุดขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าจีน และที่ได้ขึ้นมาใหม่ร้อยละ 30 ตั้งแต่ที่ทรัมป์รับตำแหน่ง ก็ควรจะเลิกด้วย

 

จีนบอกว่าจริงๆ แล้วต้องการไปลงทุนในสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ ควรต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในเรื่องความมั่นคง ไม่ใช่เอาทุนจีนในสหรัฐฯ เป็นตัวประกัน เวลาไม่พอใจก็กลั่นแกล้ง โดยอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคง หรือที่เคยขู่ไว้เอาแบบน่ากลัวสุดเช่นจะดีลิสต์ทุนจีนออกจากตลาดเลยหากไม่พอใจกัน

 

สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดที่จีนต้องการ คือ สหรัฐฯ ต้องปรับกฎเกณฑ์เรื่องการจำกัดการขายชิปให้จีน เพราะนี่เป็นข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดต่อการพัฒนา AI และเทคโนโลยีก้าวต่อไปของจีน ในขณะที่จีนเองยังไม่สามารถผลิตชิปในคุณภาพ ปริมาณ และระดับพลังการประมวลผลทัดเทียมกับชิปของฝั่งสหรัฐฯ และพันธมิตรได้ 

 

ประเด็นต่างๆ ทั้งหมดนี้ ท่านทั้งหลายคิดว่าเขาจะตกลงกันได้ไหมครับ ผมทำนายว่า ดูจากทิศทางลม โดยเฉพาะลมปากของทรัมป์แล้ว ทรัมป์ซึ่งเป็นโชว์แมนและเซลส์แมนคงต้องการประกาศความสำเร็จโดยการมีข้อตกลงการค้าประวัติศาสตร์กับจีน 

 

ส่วนจากมุมจีนเอง ก็คงต้องการซื้อเวลาและผ่อนเวลาช็อกทางเศรษฐกิจจากการแตกหักกับสหรัฐฯ ในทันที ดังนั้นจีนคงยอมโอนอ่อนตกลงกับสหรัฐฯ ให้ทรัมป์ได้หน้า และปูทางให้สีจิ้นผิงและทรัมป์ได้จับมือกันผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับโลก

 

แต่ข้อตกลงที่จะออกมาสวยหรูนั้น คำถามคือ สุดท้ายจะทำได้จริงเพียงใด และจะหวนกลับมาแตกหักชี้หน้ากันว่าต่างฝ่ายต่างไม่รักษาสัญญาอีกครั้งเมื่อใด เพราะสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องการนั้น หลายอย่างทำจริงได้ยาก เพราะขัดแย้งกับประโยชน์พื้นฐานของตัวเอง 

 

หลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะหวนย้อนนึกถึงข้อตกลงการค้าเฟส 1 กับจีนในปลายยุครัฐบาลทรัมป์ 1 ซึ่งตอนนั้นก็ตกลงกันไว้สวยหรู แล้วสุดท้ายก็ฉีกสัญญากันทั้งคู่กลับมาซัดกัน

The post ดีลระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะมีหน้าตาอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน จัดปฐมนิเทศเข้มข้น หลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 เสริมแกร่งผู้นำรุ่นใหม่รับความร่วมมือสองชาติ https://thestandard.co/thai-china-business-executive-program-batch-2-2025/ Sun, 18 May 2025 05:53:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1075434 บรรยากาศปฐมนิเทศหลักสูตรผู้บริหารไทย-จีน รุ่น 2

สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ร่วมกับ สถาบันสื่อและบริหารธุรก […]

The post สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน จัดปฐมนิเทศเข้มข้น หลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 เสริมแกร่งผู้นำรุ่นใหม่รับความร่วมมือสองชาติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บรรยากาศปฐมนิเทศหลักสูตรผู้บริหารไทย-จีน รุ่น 2

สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ร่วมกับ สถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน จัดพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาหลักสูตร ‘ผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2’ (Young Executive Program – BTC.2) ประจำปีการศึกษา 2568 อย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง ณ โรงแรม Arize Hotel อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 17-18 พฤษภาคม 2568 โดยมีคณะผู้บริหารสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน ให้การต้อนรับและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าร่วมหลักสูตรอย่างครบถ้วน

 

บรรยากาศภายในงานปฐมนิเทศเต็มไปด้วยความคึกคักและมุ่งมั่นของผู้เข้ารับการอบรม ซึ่งมาจากหลากหลายภาคส่วนของธุรกิจทั้งในประเทศไทยและผู้ที่สนใจในตลาดจีน โดยได้รับเกียรติจาก ดร.กำพล มหานุกูล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมทั้งแนะนำความเป็นมาของสมาคมฯ และเน้นย้ำถึงพันธกิจสำคัญในการเป็นสื่อกลางรายงานข่าวสารที่ถูกต้องและส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน

 

ด้าน ผศ. ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ประธานหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน และที่ปรึกษาหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน ได้กล่าวถึงรายละเอียดและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ‘ผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2’ ซึ่งมุ่งเน้นการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารธุรกิจในบริบทที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดจีนอย่างลึกซึ้ง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เข้ารับการอบรม

 

คัณธรส หาญไชยพิบูลย์กุล กรรมการหลักสูตร และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนากลยุทธ์และอบรม สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้ร่วมให้การต้อนรับและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมและเนื้อหาการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นตลอดหลักสูตร โดยเน้นย้ำถึงโอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้เข้าร่วมจากหลากหลายอุตสาหกรรม

 

ขณะที่ แจ็คกี้ แซ่เฉิ่น อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ได้กล่าวต้อนรับสมาชิกผู้เข้าอบรมด้วยความยินดี พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดจากการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์อันหลากหลาย และสามารถเติบโตไปพร้อมกันในโลกธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

หลักสูตร ‘ผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2’ เป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และหอการค้าไทย-จีน โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย และ China Media Group ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า รวมถึงการพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจระหว่างสองประเทศ

 

การจัดอบรมในครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับการบริหารธุรกิจในบริบทไทย-จีน โดยครอบคลุมทั้งด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ กฎหมาย และโอกาสทางธุรกิจต่างๆ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่แข็งแกร่งระหว่างผู้เข้าร่วมอบรม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจของไทยและจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอนาคต

 

อ้างอิง:

  • สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน

The post สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน จัดปฐมนิเทศเข้มข้น หลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 เสริมแกร่งผู้นำรุ่นใหม่รับความร่วมมือสองชาติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครื่องบินรบจีนโชว์ศักยภาพในสงครามปากีสถาน-อินเดีย สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน? https://thestandard.co/china-fighter-jets-pakistan-india-war/ Wed, 14 May 2025 05:26:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1074110 china-fighter-jets-pakistan-india-war

เครื่องบินขับไล่ J-10CE พร้อมจรวดที่จีนส่งมอบให้กองทัพป […]

The post เครื่องบินรบจีนโชว์ศักยภาพในสงครามปากีสถาน-อินเดีย สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
china-fighter-jets-pakistan-india-war

เครื่องบินขับไล่ J-10CE พร้อมจรวดที่จีนส่งมอบให้กองทัพปากีสถาน เป็นที่จับตามองจากทั่วโลก หลังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในระหว่างการเผชิญหน้ากับฝูงบินรบของอินเดียที่ทำการโจมตีทางอากาศเข้าใส่หลายพื้นที่ของปากีสถานและแคว้นแคชเมียร์ในส่วนการปกครองของปากีสถาน เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา 

 

รัฐบาลปากีสถานอ้างว่า เครื่องบินรบสัญชาติจีนดังกล่าว ซึ่งติดตั้งจรวดอากาศสู่อากาศพิสัยไกลแบบ PL-15E ที่ผลิตในจีนเช่นกัน สามารถยิงเครื่องบินรบอินเดียตกได้ 5 ลำ ในจำนวนนี้รวมถึงเครื่องบินรบ Rafale ที่ผลิตในฝรั่งเศสจำนวน 3 ลำ ส่วนอีก 2 ลำคือ MiG-29 และ Su-30 ที่ผลิตในรัสเซีย

 

โดยเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของฝรั่งเศสยืนยันว่า มีเครื่องบิน Rafale ถูกยิงตกอย่างน้อย 1 ลำ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ขอไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า มีเครื่องบินรบของอินเดียอย่างน้อย 2 ลำถูกยิงตก หนึ่งในนั้นคือ Rafale แต่อินเดียยังไม่แสดงความเห็นต่อรายงานดังกล่าว

 

ในด้านการทหาร ข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นจุดสนใจของนานาชาติ เนื่องจากเครื่องบินรบ Rafale นั้นเป็นเครื่องบินรบยุค 4.5 ที่มีสมรรถนะทางการบินและเทคโนโลยีในระดับสูง ในขณะที่กองทัพปากีสถานใช้ทั้งเครื่องบินรบ และระบบตรวจจับอาวุธจากจีนเป็นหลัก ซึ่งเหตุการณ์นี้ ถือเป็นการสูญเสียเครื่องบิน Rafale ในสมรภูมิครั้งแรก เพราะที่ผ่านมา Rafale ยังไม่เคยมีประวัติถูกยิงตกมาก่อน

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมมองว่า ข่าวการยิงเครื่องบินรบอินเดียตกหลายลำ แสดงให้เห็นภาพความเป็นไปได้ของสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หากความขัดแย้งระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันเกิดปะทุขึ้น จนมีการใช้กำลังต่อสู้กัน

 

สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน

 

นักวิเคราะห์ไต้หวันมองว่า หากเครื่องบินรบของจีนมีศักยภาพสูงจริงแบบที่เป็นข่าว ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลไต้หวันต้องเตรียมพร้อมและปรับปรุงระบบอาวุธทั้งหมดของตน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากเทคโนโลยีอาวุธของจีน

 

ขณะที่ เฉินกวนถิง สมาชิกสภานิติบัญญัติไต้หวันจากพรรค DPP ของไต้หวัน ให้ความเห็นว่า กรณีที่ปากีสถานใช้ระบบอาวุธและเครื่องบินรบสัญชาติจีน ยิงเครื่องบินรบ Rafale ของอินเดียตกได้สำเร็จจริง ถือเป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของไต้หวัน

 

เขากล่าวว่า เหตุการณ์นี้อาจเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญในการประเมินสมรรถนะของอาวุธจีนในการเผชิญหน้ากับเทคโนโลยีอาวุธจากชาติตะวันตกโดยผลลัพธ์ของการสู้รบ จะมีผลต่อการตัดสินใจจัดซื้ออาวุธของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

“สำหรับไต้หวัน เราต้องเข้าใจว่าภัยคุกคามของเราคืออะไร และเราควรลงทุนด้านใดอย่างเร่งด่วน”

 

ทางด้าน ซูเสี่ยวหวง นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันวิจัยความมั่นคงและการป้องกันแห่งชาติของไต้หวัน (INDSR) มองว่า เหตุการณ์นี้เป็นการแสดงออกถึงการทำสงครามแบบบูรณาการของจีนผ่านประเทศพันธมิตร

 

“ปากีสถาน ภายใต้การสนับสนุนของจีน ใช้ระบบเตือนภัยทางอากาศ KJ-500, เรดาร์ภาคพื้นดิน และเครือข่ายสั่งการดิจิทัล ซึ่งสามารถส่งข้อมูลเป้าหมายไปยังเครื่องบินรบ”

 

ด้วยระบบนี้ทำให้ J-10C สามารถยิงขีปนาวุธ PL-15E ได้โดยไม่ต้องเปิดเรดาร์ของตนเอง ซึ่งเรียกว่าการแยกฟังก์ชัน ‘เซ็นเซอร์’ กับ ‘การยิง’ (Sensor-Shooter Separation) โดยลดการถูกตรวจจับ ในขณะที่เพิ่มศักยภาพในการเปิดฉากโจมตีก่อน

 

“ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่ตัวขีปนาวุธ แต่คือเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังมัน”

 

โดยนักวิเคราะห์มองว่า ระบบเช่นนี้คือภัยคุกคามที่ไต้หวัน ‘ยังไม่พร้อมรับมือ’

 

อีริช ชีห์ นักวิเคราะห์การทหาร กล่าวว่า “นอกจากเรือพิฆาต Kidd-class ที่ไต้หวันได้จากสหรัฐฯ แทบไม่มีระบบอาวุธใดที่สามารถบูรณาการเข้ากับเครือข่ายควบคุมการยิงร่วมของไต้หวันได้”

 

เขาเสริมว่า แม้แต่เครื่องบินเตือนภัยทางอากาศ E-2K ที่สหรัฐฯ ขายให้ไต้หวัน ก็ยังขาดระบบสำหรับการปฏิบัติการร่วม โดยถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงในสงครามทางอากาศยุคใหม่

 

ข้อจำกัดนี้ยังรวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ F-16V ของไต้หวันมีเรดาร์ AESA ที่ทันสมัย 

 

ส่วนเครื่องบินอื่นอย่าง Indigenous Defence Fighter และ Mirage 2000-5 ยังขาดระบบรบอิเล็กทรอนิกส์และการเชื่อมต่อข้อมูลดิจิทัลที่ปลอดภัย

 

ซูจื่อหยุน นักวิเคราะห์ของ INDSR เตือนว่า “หากไม่มีการบูรณาการระบบอาวุธ ไต้หวันจะมีข้อจำกัดอย่างรุนแรงในการรับมือกับการโจมตีระยะไกลที่ประสานงานกัน

 

“เราต้องเพิ่มศักยภาพนักบินให้สามารถตอบโต้การรบแบบรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ และการล็อกเป้าด้วยเรดาร์ของศัตรูได้”

 

พล.ร.อ. หลานหนิงลี่ อดีตผู้บัญชาการทหารไต้หวันที่เกษียณอายุแล้ว มองว่าเหตุการณ์นี้ควรเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักวางแผนของกองทัพไต้หวัน

 

“หลักนิยมแบบตะวันตกยังคงเน้นความเหนือกว่าของยุทโธปกรณ์ แต่นั่นล้าสมัยแล้ว เครื่องบินรบ Rafale อาจมีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ Spectra ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับการซุ่มโจมตีแบบประสานงานกันของระบบอาวุธจีน ซึ่งขีปนาวุธเป็นแค่ขั้นตอนสุดท้ายของห่วงโซ่การสังหารที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน”

 

เขาย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปากีสถาน ไม่ใช่แค่การรบกลางอากาศธรรมดา แต่เป็นการแสดงศักยภาพการโจมตีทางอากาศตามแบบฉบับจีน

 

“ไต้หวันต้องสร้าง ‘ระบบ’ ไม่ใช่แค่ซื้อยุทโธปกรณ์ หากกองทัพปลดปล่อยจีน (PLA) ใช้ระบบ ISR และสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบเดียวกันในกรณีไต้หวัน ยุทโธปกรณ์ของเราจะถูกโจมตีก่อนที่จะได้ยิงตอบโต้ด้วยซ้ำ”

 

ขณะที่ไต้หวันกำลังเผชิญแรงกดดันจากจีนมากขึ้น ทั้งจากกิจกรรมสีเทาใกล้เขตอากาศแทบทุกวัน  โดยนักวิเคราะห์เตือนว่าหากไม่เรียนรู้จากบทเรียนในเอเชียใต้ ไต้หวันอาจต้องจ่ายในราคาที่สูงมาก

 

อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวไต้หวันยังดูจะเพิกเฉยต่อเหตุการณ์นี้ โดยมีการพูดคุยเรื่องนี้ในโซเชียลมีเดียเพียงเล็กน้อย แม้สื่อท้องถิ่นหลายสำนัก จะรายงานข่าวนี้อย่างกว้างขวางพร้อมตั้งข้อสังเกตถึงผลกระทบที่อาจมีต่อไต้หวัน

 

ไต้หวันต้องเสริมเขี้ยวเล็บรับมือจีน?

 

อนาลโย กอสกุล ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์เทคโนโลยีการทหาร มองว่าไต้หวันอาจต้องกลับมาพิจารณาการเสริมสร้างอาวุธของตนมากเป็นพิเศษ เพราะเครื่องบินรบและจรวดจากจีนที่กองทัพปากีสถานนำมาใช้นั้น ล้วนเป็นรุ่นส่งออกที่ลดประสิทธิภาพบางอย่าง แต่ไต้หวันต้องรับมือกับรุ่นที่มีขีดความสามารถตามปกติ และต้องรับมือกับอากาศยานรุ่นอื่นอย่าง J-20 ที่เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อีกด้วย 

 

ในขณะที่โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ F-16V จากสหรัฐฯ จำนวน 66 ลำของไต้หวันดำเนินการไปค่อนข้างช้า และเพิ่งได้รับมอบเครื่องบินลำแรกในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เท่านั้น

 

โดยรวมแล้ว อนาลโยมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามปากีสถานและอินเดียทำให้ช่องว่างระหว่างกองทัพจีนและไต้หวันที่เคยกว้างอยู่แล้วนั้นกว้างขึ้นไปอีก ดังนั้นไต้หวันอาจต้องพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม เช่น การพยายามจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่กว่า F-16V เช่น F-15EX หรือแม้แต่เครื่องบินขับไล่ F-35 ซึ่งสหรัฐฯ เคยปฏิเสธไม่ขายมาแล้ว รวมถึงอาจต้องพิจารณาจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบอาวุธที่ใช้งานกับอากาศยานเพิ่มเติม เพื่อลดช่องว่างดังกล่าวให้มากที่สุด

 

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคหลักของไต้หวันก็คือ ปัจจุบันมีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่ยินดีขายอาวุธให้ เพราะประเทศอื่นๆ ล้วนเกรงว่าการขายอาวุธให้ไต้หวันอาจทำให้จีนไม่พอใจจนนำไปสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไต้หวันต้องหาทางออกให้ได้

 

ภาพ: REUTERS/Athit Perawongmetha/File Photo

 

อ้างอิง: 

The post เครื่องบินรบจีนโชว์ศักยภาพในสงครามปากีสถาน-อินเดีย สัญญาณเตือนถึงไต้หวัน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สีจิ้นผิงย้ำชัด กระแสธารการรวมชาติของจีนมิอาจหยุดยั้งได้ https://thestandard.co/xi-jinping-china-unification/ Wed, 07 May 2025 12:11:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1072186 xi-jinping-china-unification

บทความฉบับลงนาม สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ซึ่งเผยแพร่ผ่ […]

The post สีจิ้นผิงย้ำชัด กระแสธารการรวมชาติของจีนมิอาจหยุดยั้งได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
xi-jinping-china-unification

บทความฉบับลงนาม สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ซึ่งเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์กาเซตต์ของรัสเซียในวันนี้ (7 พฤษภาคม) ก่อนเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการและเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 80 ปี ชัยชนะแห่งมหาสงครามผู้รักชาติหรือวันแห่งชัยชนะระบุว่า กระแสธารประวัติศาสตร์ที่ว่าจีนจะต้องบรรลุการรวมชาตินั้นเป็นสิ่งที่มิอาจหยุดยั้งได้

 

สีจิ้นผิงระบุว่าปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 80 ปี การฟื้นฟูไต้หวัน และการที่ไต้หวันหวนกลับคืนสู่จีนเป็นส่วนสำคัญของผลลัพธ์แห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 และระเบียบระหว่างประเทศในยุคหลังสงคราม

 

เอกสารชุดหนึ่งที่มีผลทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงปฏิญญาไคโรและแถลงการณ์พอตส์ดัม ได้ยืนยันอธิปไตยเหนือไต้หวันของจีน โดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และกฎหมายเหล่านี้ไม่อาจโต้แย้งได้ และไม่อาจท้าทายอำนาจตามข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 ได้เช่นกัน

 

ไม่ว่าสถานการณ์บนเกาะไต้หวันจะดำเนินไปอย่างไร และไม่ว่ากองกำลังภายนอกจะพยายามแทรกแซงอย่างไร กระแสธารประวัติศาสตร์ที่ว่าจีนจะต้องบรรลุการรวมชาตินั้นเป็นสิ่งที่มิอาจหยุดยั้งได้

 

สีจิ้นผิงเสริมว่า จีนและรัสเซียสนับสนุนซึ่งกันและกันในประเด็นเกี่ยวกับผลประโยชน์หลักและข้อกังวลหลักของอีกฝ่าย โดยฝ่ายรัสเซียยืนยันการยึดมั่นในหลักการจีนเดียว ซึ่งยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งที่มิอาจแบ่งแยกของแผ่นดินจีน พร้อมทั้งคัดค้าน ‘เอกราชไต้หวัน’ ทุกรูปแบบ และสนับสนุนทุกมาตรการของรัฐบาลจีนและประชาชนจีนในการบรรลุการรวมชาติ ซึ่งจีนชื่นชมจุดยืนนี้อย่างยิ่ง

 

แฟ้มภาพ: Tingshu Wang-Pool / Getty Images

 

อ้างอิง: 

  • สำนักข่าวซินหัว

The post สีจิ้นผิงย้ำชัด กระแสธารการรวมชาติของจีนมิอาจหยุดยั้งได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สถานทูตจีนในไทยตอบประเด็นสีจิ้นผิงเยือน 3 ชาติอาเซียน และความสัมพันธ์ไทย-จีน https://thestandard.co/xi-jinping-asean-visit-thailand/ Sun, 27 Apr 2025 11:46:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1068719 xi-jinping-asean-visit-thailand

สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยตอบคำถามเกี่ยวกับประเ […]

The post สถานทูตจีนในไทยตอบประเด็นสีจิ้นผิงเยือน 3 ชาติอาเซียน และความสัมพันธ์ไทย-จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
xi-jinping-asean-visit-thailand

สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นการเยือน 3 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผู้นำจีนในปีนี้ โดยทริปดังกล่าวทำให้เกิดการตีความวิเคราะห์ไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของจีนในอาเซียน 

 

คำถามว่า การเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชาในครั้งนี้มีรายละเอียดสำคัญอย่างไร สถานทูตจีนตอบว่า “การเยือนของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงถือเป็นการเปิดฉากทางการทูตของจีนในปีนี้ ภายใต้แนวคิดการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน ยึดหลักมิตรภาพระหว่างเพื่อนบ้าน ความจริงใจ เกื้อกูล และไม่แบ่งแยก พร้อมส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

 

“การเยือนครั้งนี้นำไปสู่ความสำเร็จในโครงการความร่วมมือมากกว่าร้อยโครงการ” โดยผู้นำทั้งสามประเทศให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แสดงสัญญาณถึงความสำคัญที่สามประเทศมีต่อความสัมพันธ์กับจีน และจีนก็ถือว่า การเยือนครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และสร้างหมุดหมายใหม่ให้กับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศในภูมิภาค

 

กับคำถามว่า จุดเด่นสำคัญของการเยือนในครั้งนี้คืออะไร สถานทูตตอบว่า

 

  • จีน-เวียดนาม: ทั้งสองฝ่ายตกลงเร่งสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันเชิงยุทธศาสตร์ และเริ่มต้นกลไกความร่วมมือด้านทางรถไฟจีน-เวียดนาม เพื่อเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน เป็นโครงการสัญลักษณ์ของ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ที่มีคุณภาพสูง

 

  • จีน-มาเลเซีย และ จีน-กัมพูชา: ความสัมพันธ์ได้รับการยกระดับสู่ “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันในระดับยุทธศาสตร์ที่มีคุณภาพสูง” และ “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันในทุกสถานการณ์แห่งยุคใหม่” ตามลำดับ

 

  • จีนและกัมพูชาได้ลงนามเอกสารความร่วมมือ 37 ฉบับ สนับสนุนแผนพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนกัมพูชา

 

  • มีการยกระดับกลไกการหารือด้านการทูตและการป้องกันประเทศ ได้แก่:

 

    • จีน-เวียดนาม: “3+3” (ทูต-กลาโหม-ความมั่นคงภายใน) ระดับรัฐมนตรี
    • จีน-มาเลเซีย และ จีน-กัมพูชา: “2+2” (ทูต-กลาโหม)

 

คำถามต่อมาคือ การเยือนครั้งนี้มีความหมายพิเศษอย่างไร ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้ากับสหรัฐฯ สถานทูตจีนตอบว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลกระทบต่อประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้เน้นย้ำว่า จีนและประเทศเพื่อนบ้านควรเสริมสร้างการประสานงาน ต่อต้านลัทธิเอกภาคี และปกป้องระเบียบการค้าพหุภาคี

 

จีนประกาศขยายการเปิดประเทศในระดับสูง พร้อมต้อนรับสินค้าอาเซียนที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาดจีนมากขึ้น และยืนยันจะเดินหน้าแบ่งปันโอกาสการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้าน

 

สถานทูตจีนในไทย ระบุด้วยว่า ผู้นำของเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ต่างสนับสนุนจุดยืนของจีน เช่น

 

  • โต เลิมของเวียดนาม ขานรับความร่วมมือกับจีนเพื่อปกป้องกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ

 

  • นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย กล่าวว่าจีนเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้

 

  • นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ยืนยันความพร้อมในการประสานงานกับจีนเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ร่วมกัน

 

ส่วนคำถามว่า ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าจะดำเนินไปอย่างไร สถานทูตตอบว่า จีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา พร้อมยินดีต้อนรับสินค้าเกษตรและสินค้าอื่นๆ ที่มีคุณภาพดีจากทั้งสามประเทศเข้าสู่ตลาดจีน อีกทั้งสนับสนุนการลงทุนโดยบริษัทจีนที่มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในภูมิภาค

 

ส่วนแนวทางความร่วมมือเฉพาะประกอบด้วย 

 

  • จีน-เวียดนาม: ใช้โครงการทางรถไฟเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน พร้อมขยายความร่วมมือด้าน 5G, AI และการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

  • จีน-มาเลเซีย: ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สีเขียว สีน้ำเงิน และการท่องเที่ยว

 

  • จีน-กัมพูชา: ขับเคลื่อน “ระเบียงพัฒนาอุตสาหกรรม” และ “ระเบียงปลาและข้าว” เพื่อยกระดับการผลิตและการเกษตรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

 

คำถามสุดท้าย การเยือนครั้งนี้มีนัยสำคัญอย่างไรต่อความสัมพันธ์จีน-ไทย สถานทูตตอบว่า การเยือนสามประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเน้นย้ำถึงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์และความไว้วางใจทางการเมืองระหว่างจีนกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีความหมายเชิงบวกต่อความสัมพันธ์จีน-ไทยด้วย

 

“จีนและไทยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญที่สุด”

 

“ท่ามกลางความท้าทายจากการใช้อำนาจฝ่ายเดียว จีนและไทยควรเสริมสร้างการสื่อสารและประสานงาน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน และรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เกื้อกูลกันอย่างยั่งยืน”

 

นอกจากนี้จีนยังยืนยันที่จะเปิดตลาดที่มีขนาดใหญ่ของตนให้กว้างขึ้น และยินดีต้อนรับสินค้าคุณภาพดีจากไทยสู่ตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง

 

อ้างอิง:

  • สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย

The post สถานทูตจีนในไทยตอบประเด็นสีจิ้นผิงเยือน 3 ชาติอาเซียน และความสัมพันธ์ไทย-จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนเตือนประเทศใดช่วยสหรัฐฯ กดดัน-ลดการค้ากับจีน จะโต้กลับอย่างเด็ดขาดและเท่าเทียม https://thestandard.co/china-warns-retaliation-us-trade-pressure/ Mon, 21 Apr 2025 05:39:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1066423 สีจิ้นผิง ประธานาธิบดี จีน กล่าวเตือนประเทศที่ร่วมมือกับ สหรัฐฯ กดดันทางการค้ากับจีน

จีน ประกาศเตือนประเทศต่างๆ ไม่ให้ทำข้อตกลงทางเศรษฐกิจกั […]

The post จีนเตือนประเทศใดช่วยสหรัฐฯ กดดัน-ลดการค้ากับจีน จะโต้กลับอย่างเด็ดขาดและเท่าเทียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
สีจิ้นผิง ประธานาธิบดี จีน กล่าวเตือนประเทศที่ร่วมมือกับ สหรัฐฯ กดดันทางการค้ากับจีน

จีน ประกาศเตือนประเทศต่างๆ ไม่ให้ทำข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาที่อาจสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของจีน โดยเน้นย้ำว่า ประเทศใดช่วย สหรัฐฯ กดดันหรือลดปริมาณการค้ากับจีน ทำให้จีนเสียเปรียบ จีนจะโต้กลับอย่างเด็ดขาดและเท่าเทียม

 

ท่าทีดังกล่าวของจีนมีขึ้นหลัง Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมกดดันประเทศต่างๆ ที่ต้องการขอลดหรือยกเว้นภาษีจากสหรัฐฯ ให้ลดการค้ากับจีน และอาจถึงขั้นใช้มาตรการลงโทษทางการเงิน หลังทรัมป์ได้เลื่อนการเก็บภาษีกับประเทศอื่นๆ ออกไป 90 วัน ยกเว้นจีนที่ถูกตั้งเป้าเก็บภาษีหนักที่สุด โดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็น 145% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ 125% แต่ยังไม่เพิ่มเกินกว่านั้น

 

โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่า สหรัฐฯ ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือบีบบังคับพันธมิตร โดยอ้างหลัก ‘ความเท่าเทียม’ แต่ในความเป็นจริงคือการบีบบังคับให้ทุกฝ่ายเจรจาภาษีตามที่สหรัฐฯ ต้องการ โดยจีนยืนยันว่ามีความมุ่งมั่นและศักยภาพในการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตน และพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศที่มีจุดยืนเดียวกัน

 

นักวิเคราะห์เชื่อว่า หลายประเทศโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พึ่งพาจีนสูงทั้งในด้านการลงทุน อุตสาหกรรม เทคโนโลยี และการบริโภค ซึ่งไม่น่าจะเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ อีกทั้งในเชิงรุก จีนเตรียมจัดประชุมไม่เป็นทางการในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อหารือถึงกรณีที่สหรัฐฯ กำลังกลั่นแกล้งและทำลายบรรยากาศการพัฒนาและสันติภาพโลกด้วยการใช้นโยบายภาษีเป็นอาวุธ

 

โดยสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นภารกิจเดินทางเยือน 3 ประเทศพันธมิตรในอาเซียน เพื่อเสริมความร่วมมือ พร้อมเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรต่อต้านการกลั่นแกล้งแบบฝ่ายเดียว ได้เน้นย้ำอีกครั้งว่า ‘จะไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าและสงครามภาษี’

 

ภาพ: Ken Ishii – Pool / Getty Images

อ้างอิง:

The post จีนเตือนประเทศใดช่วยสหรัฐฯ กดดัน-ลดการค้ากับจีน จะโต้กลับอย่างเด็ดขาดและเท่าเทียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
โอกาสของจีน เจาะเบื้องลึกสีจิ้นผิงเยือน 3 ประเทศอาเซียน มีนัยอะไร https://thestandard.co/xi-jinping-visits-three-asean-countries/ Sat, 19 Apr 2025 05:06:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1065923 สีจิ้นผิงเยือน 3 ประเทศอาเซียน ขยายอิทธิพลจีนท่ามกลางสงครามภาษีทรัมป์

โลกกำลังแบ่งขั้วแบบเข้มข้นอีกครั้ง หลังการกลับมาของ โดน […]

The post โอกาสของจีน เจาะเบื้องลึกสีจิ้นผิงเยือน 3 ประเทศอาเซียน มีนัยอะไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
สีจิ้นผิงเยือน 3 ประเทศอาเซียน ขยายอิทธิพลจีนท่ามกลางสงครามภาษีทรัมป์

โลกกำลังแบ่งขั้วแบบเข้มข้นอีกครั้ง หลังการกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำให้บรรยากาศการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเด่นชัดขึ้น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มหาอำนาจจับจ้องและเข้ามาขยายอิทธิพล ด้วยเหตุผลด้านการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ และความมั่นคง

 

สัปดาห์ที่ผ่านมาสีจิ้นผิงขยับก่อน 

 

การเดินทางเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ไม่ใช่แค่การทูตมิตรภาพ หากแต่เป็นหมากยุทธศาสตร์ที่จีนชิงคว้า ‘โอกาสทอง’ เพื่อรักษาฐานอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง ในขณะที่ภูมิภาคนี้กำลังตกเป็นเป้าหมายกำแพงภาษีของทรัมป์ และหลายประเทศถูกบีบให้ต้องมองหาพันธมิตรอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยง

 

เวียดนาม มิตรภาพเก่าในโลกใหม่

 

การเยือนเวียดนามของสีจิ้นผิง ถือเป็นจุดแวะที่ ‘จำเป็น’ ในทางการทูตของจีนในภูมิภาค ไม่ใช่แค่เพราะทั้งสองประเทศปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์เหมือนกัน แต่เพราะจีนและเวียดนามมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ 

 

ขณะเดียวกันจีนและเวียดนามก็เป็น ‘คู่แข่ง’ ในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกในยุคที่บริษัทต่างชาติทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีนท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ 2.0

 

รศ. ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า เวียดนามเป็นประเทศแรกๆ ที่ติดต่อสหรัฐฯ ทันทีที่มีประกาศการขึ้นภาษีตอบโต้จากทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เมษายน ดังนั้นจึงเป็นอีกเหตุผลที่สีจิ้นผิงมองว่าควรรีบมากระชับสัมพันธ์กับเวียดนาม 

 

ที่ผ่านมาจีนและเวียดนามมีความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจคือการเป็นพี่น้องคอมมิวนิสต์ ที่จีนพร้อมเปิดช่องทางการพูดคุยกันระหว่างผู้นำระดับสูง โดยเน้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปกครองและการบริหารประเทศ

 

เวียดนามเพิ่งผ่านช่วงผลัดใบ หลังสิ้น เหงวียน ฟู้ จ่อง มาสู่ผู้นำคนใหม่อย่าง โต เลิม แม้ โต เลิม จะเป็นมือปราบคอร์รัปชัน เหมือนกับสีจิ้นผิง แต่ยังเทียบบารมีกับ เหงวียน ฟู้ จ่อง ไม่ได้

 

ฉะนั้นจึงนำไปสู่ประเด็นที่สีจิ้นผิง ได้มีการพูดคุยกับ โต เลิม เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ของเส้นทางประวัติศาสตร์ความเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ผ่านความร่วมมือที่เรียกว่า “P to P > People to People” 

 

นอกจากนี้ในการพบปะกัน จีนและเวียดนามยังยกระดับความร่วมมือระดับสูงด้วย เช่น ในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี 

 

ส่วนประเด็นทะเลจีนใต้ แม้ทั้งสองประเทศยังมีข้อพิพาทต่อกัน แต่ต่างฝ่ายต่างเลือกใช้ท่าทีประนีประนอม โดยเน้นการพูดคุยมากกว่าการเผชิญหน้า เพื่อรักษาเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจร่วมกัน

 

รศ. ดร.ปิติ ยกคำพูดของเหมาเจ๋อตงที่เคยบอกว่า คนเรามี 10 นิ้ว ถ้าเสียไปหนึ่งนิ้ว ไม่ได้หมายความว่าอีก 9 นิ้ว จะใช้การไม่ได้ ดังนั้น ในบริบทการเจอกันของผู้นำ 2 ประเทศ ก็ยังมีเรื่องความมั่นคงที่ยังร่วมคุยกันได้ เพื่อเชื่อมไปยังประเด็นเศรษฐกิจร่วมกัน โดยมองข้ามความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ไปก่อน

 

ขณะที่ รศ. ดร.ธนนันท์ บุ่นวรรณา อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มองว่า จีนเล็งเห็นเวียดนามมีความสำคัญในภูมิรัฐศาสตร์มานานมากแล้ว เพราะในอดีตจีนมองว่าเวียดนามเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

ในห้วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ เวียดนามยังคงใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาดที่เรียกว่า ‘นโยบายไผ่ลู่ลม’ นั่นคือการรักษาสมดุลอำนาจความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐฯ และจีนได้เป็นอย่างดี 

 

ซึ่งนโยบาย ‘ไผ่ลู่ลม’ นี้ รศ. ดร.ธนนันท์ อธิบายว่าเป็นแนวทางที่ประกาศใช้ตั้งแต่สมัย เหงวียน ฟู้ จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนามคนก่อน 

 

เนื่องจากสถานการณ์โลกที่ผันผวนตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ใต้ทรัมป์ 2.0 ก็คาดเดาได้ยาก ดังนั้นการที่เวียดนามไม่เลือกข้าง และเลือกจะเป็นมิตรกับทุกประเทศนั้นก็เป็นการรักษาผลประโยชน์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเวียดนามในขณะนี้

 

เมื่อถามถึงมุมมองของเวียดนามว่า เวียดนามมอง ‘ความใกล้ชิด’ กับจีนเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ หรือเป็นแรงกดดันทางการเมืองในระยะยาวหรือไม่นั้น รศ. ดร.ธนนันท์ มองว่านี่คือโอกาสทางเศรษฐกิจของเวียดนาม เพราะการที่จีนไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยตรง จีนย่อมต้องมองหาพันธมิตรซึ่งเวียดนามอยู่ใกล้จีนมากสุด ดังนั้น จึงเห็นได้จากการพบกันในครั้งนี้ สีจิ้นผิงได้เร่งรัดโครงการเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะพยายามให้แล้วเสร็จในปีนี้ โดยเป็นเส้นทางรถไฟหล่าวกาย-ฮานอย-หายฟ่อง ผ่านด่านเคอโหว่ มณฑลยูนนาน ติดจังหวัดหล่าวกายของเวียดนามและวิ่งต่อมาถึงฮานอยและต่อไปถึงหายฟ่อง ซึ่งมีแหล่งนิคมอุตสาหกรรมอยู่บริเวณนั้น 

 

เมื่อแล้วเสร็จทางรถไฟนี้จะเป็นเส้นทางที่จีนสามารถขนส่งสินค้าต้นทุนต่ำเพื่อมาผลิตในโรงงานเวียดนามและส่งออกสู่ประตูเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเวียดนามนั่นเอง 

 

มาเลเซีย 1 ในผู้นำโลกมุสลิมแห่งอาเซียน 

 

ถัดจากเวียดนาม หมุดหมายต่อไปของสีจิ้นผิงก็คือกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในการหารือระหว่างสองประเทศ ผู้นำทั้งสองเน้นประเด็นหลักทั้งด้านเศรษฐกิจและการค้า มีการเจรจาเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการภายใต้ Belt and Road Initiative (BRI) การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และความร่วมมือด้านเทคโนโลยี

 

จีนให้คำมั่นว่าจะลงทุนเพิ่มเติมในโครงการใหม่ๆ พร้อมเปิดประตูให้ภาคเอกชนจีนขยายบทบาทในมาเลเซีย 

 

ส่วนด้านการทูต สีจิ้นผิงเน้นเรื่อง “การเคารพอธิปไตยและไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน” และยังชูแนวคิด “อนาคตของเอเชียต้องนำโดยชาวเอเชีย” เป็นกรอบวิสัยทัศน์ร่วม

 

ด้าน อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเช่นกันว่า มาเลเซียจะยังคง “รักษาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับชาติมหาอำนาจ” และย้ำถึงนโยบายความเป็นกลางที่มาเลเซียยึดถือมาโดยตลอด

 

รศ. ดร.ปิติ กล่าวว่า หลายคนมองว่าโลกในปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้วคือ สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย แต่ในมุมของอาจารย์มองว่า 3 ขั้วที่ว่านี้คือ สหรัฐฯ และชาติตะวันตก ขั้วที่ 2 คือจีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย ในกลุ่ม BRICS ส่วนขั้วที่ 3 คือโลกมุสลิม ซึ่งในเวทีอาเซียน มีประเทศที่พยายามจะวางบทบาทเป็นผู้นำในโลกมุสลิมด้วยนั่นก็คือมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยประกอบที่สีจิ้นผิง เลือกมาเยือนมาเลเซีย 

 

ด้าน รศ. ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉายภาพของมาเลเซียในยุคนายกฯ อันวาร์ ว่ามีท่าทีเชิงบวกและมีใจให้กับจีน และมาเลเซียยังเป็นประเทศมุสลิมที่มีท่าทีแข็งกร้าวกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะต่อชาวยิวอย่างชัดเจน  

 

สีจิ้นผิงจึงมองเห็นศักยภาพของมาเลเซียที่จะมีบทบาทในกลุ่มโลกขั้วใต้ Global South ร่วมกับจีน โดยสามารถร่วมกันคานอำนาจบาตรใหญ่ของมหาอำนาจสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ได้ ซึ่งวาระสำคัญหลังจากนี้คือการผลักดันให้มาเลเซียกลายเป็นสมาชิก BRICS แบบเต็มตัว หรือ Full Member ต่อไป

 

นอกจากบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศแล้ว มาเลเซียยังมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง ในการเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรม เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานขั้วใหม่  

 

มาเลเซียในยุคอันวาร์ ยังได้เล็งเห็นความสำคัญของโครงการลงทุนของจีนจำนวนมาก เช่น โครงการรถไฟ ECRL และมีบริษัทจีนชั้นนำหลายแห่งไปลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในมาเลเซีย    

 

นอกจากนี้ค่ายรถ Geely ของจีน ก็ไปช่วยลงทุนในค่ายรถ Proton ของมาเลเซียที่ขาดทุนหนัก และกลุ่มทุนใหญ่ของจีนยังได้ไปช่วยพยุงกองทุน 1MDB ของมาเลเซียที่มีปัญหาทางการเงิน 

 

กัมพูชา พันธมิตรที่มั่นคง

 

ส่วนหมุดหมายสุดท้ายของสีจิ้นผิงก็คือกัมพูชา โดยการเยือนครั้งนี้ถือเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างสีจิ้นผิง กับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกัมพูชา ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งต่อจากบิดา สมเด็จ ฮุน เซน ผู้นำที่อยู่ในอำนาจมานานเกือบ 4 ทศวรรษ 

 

การเปลี่ยนผ่านผู้นำกัมพูชารุ่นใหม่ อาจเป็นเหตุผลที่สีจิ้นผิงเลือกแวะกัมพูชา ทั้งนี้ก็เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับพนมเปญให้แน่นแฟ้นหรือแนบแน่นยิ่งขึ้น

 

ทำไมกัมพูชาจึงมีความสำคัญต่อจีน?

 

ถ้าพูดถึงประเด็นความภักดีทางการเมือง ก่อนหน้านี้อาจพูดได้เต็มปากว่ากัมพูชามีท่าทีสนับสนุนจีนในเวทีอาเซียนมาโดยตลอด แม้ในประเด็นอ่อนไหว เช่น ทะเลจีนใต้ ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่มีค่าอย่างยิ่งในสายตาปักกิ่ง 

 

แต่ปัจจุบัน รศ. ดร.อักษรศรี อธิบายว่า ท่าทีของกัมพูชาต่อจีนอาจมีลักษณะไม่จงรักภักดีมากเท่ากับในยุคของสมเด็จฯ ฮุนเซน เพราะฮุน มาเนต ลูกชายเป็นผู้นำหัวสมัยใหม่ที่ได้รับการศึกษาและหล่อหลอมทางความคิดมาจากโลกตะวันตก ด้วยเหตุนี้จึงอาจปรับท่าที เพื่อไม่เอียงข้างจีนมากเกินไป และแสวงหาความร่วมมือกับชาติตะวันตกมากขึ้น ดังนั้นสีจิ้นผิง จึงต้องมาเยือนกัมพูชาเพื่อกระชับสัมพันธ์ให้แนบแน่นในยุคลูก 

 

ส่วนตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ก็มีนัยสำคัญเช่นกัน เพราะกัมพูชาคือประตูสำคัญสู่อ่าวไทยและภูมิภาคอินโดจีน ฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา ก็ได้รับความช่วยเหลือจากจีน และเป็นจุดที่ถูกจับตาอย่างมากในแง่ของศักยภาพในการใช้งานทั้งพลเรือนและทางทหาร 

 

สำหรับจีน นี่คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะใช้ปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลในภูมิภาคที่ยังถูกครอบงำโดยสหรัฐฯ

 

จากโลกาภิวัตน์สู่การค้าเพื่อความมั่นคง

 

เมื่อดูบริบททางการค้า จากเดิมที่นโยบายการค้าถูกขับเคลื่อนด้วยหลักเศรษฐศาสตร์ เช่น ต้นทุนต่ำ ประสิทธิภาพแรงงาน และความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ เป็นระบบซัพพลายเชนแบบ Just-in-Time คือเน้นลดต้นทุน แต่ปัจจุบัน โลกเข้าสู่ยุค ‘ภูมิเศรษฐศาสตร์’ (Geo-economics) ที่อำนาจทางเศรษฐกิจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและความมั่นคง 

 

รัฐบาลแต่ละประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปหันมาเน้นความมั่นคงของซัพพลายเชนมากกว่าต้นทุน จึงเกิดเป็นแนวคิด Just-in-Case คือลดการพึ่งพาประเทศศัตรู หรือประเทศที่มีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ 

 

สีจิ้นผิง ไม่แวะไทย มีนัยหรือไม่? 

 

ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามต่อว่าแล้วไทยมองโจทย์นี้ต่อไปอย่างไร ที่สีจิ้นผิงไม่เลือกเยือนไทย ท่ามกลางห้วงเวลาแห่งความตึงเครียดของสงครามภาษีเช่นนี้ 

 

รศ. ดร.ปิติ มองว่าสิ่งนี้อาจเป็นคุณกับไทย โดยอธิบายว่า กรณีภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ส่วนหนึ่งอาจพิจารณาจากว่าประเทศไหนมีส่วนเกี่ยวข้องกับจีนมากที่สุด ก็จะถูกปรับอัตราภาษีตอบโต้เยอะสุด ซึ่งถ้าไทยสามารถใช้ช่วงเวลานี้ที่สีจิ้นผิงไม่ได้เลือกมาเยือนไทย เร่งชี้แจงไปยังสหรัฐฯ เพื่อแสดงจุดยืนว่าไทยมีความเป็นอิสระ ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ก็อาจส่งผลดีต่อไทยก็ได้

 

ขณะเดียวกันในช่วงเวลาที่สีจิ้นผิงเยือน 3 ประเทศในอาเซียนนั้น ไทยอาจจำเป็นต้องพิจารณาส่งคณะไปติดตามและพูดคุยกับสีจิ้นผิง เพื่อหารืออย่างใกล้ชิดเพื่อผลประโยชน์ของไทยเอง ในฐานะที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ซึ่ง รศ. ดร.ปิติ เสนอว่าไทยอาจทำทั้งสองสิ่งพร้อมกัน แบบเดียวกับนโยบาย ‘ไผ่ลู่ลม’ ของเวียดนาม

 

การเยือนทั้ง 3 ประเทศของสีจิ้นผิงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุคระเบียบโลกใหม่ครั้งนี้ คือภาพสะท้อนของเดินหมากรุกที่มีนัยสำคัญ

 

แนวทางของจีนคือการเร่งคว้าโอกาสทองโดยชิงเข้ามาปักธงในอาเซียนก่อนในช่วงที่สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ 2.0 กำลังสาละวนกับการตอบโต้ประเทศต่างๆ ด้วยกำแพงภาษี ขณะที่อาเซียนเองก็ไม่สามารถรอความชัดเจนจากมหาอำนาจใดได้ ทุกประเทศจำเป็นต้องหาทางเดินที่ “ปลอดภัยที่สุดในความไม่แน่นอน”

 

และภายใต้สถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ระดับโลกถูกกำหนดด้วย “ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์” มากกว่ามิตรภาพเฉยๆ การเดินเกมแบบเลือกเยือน-ไม่เยือนไทย ก็อาจกลายเป็น ‘โอกาสซ่อนอยู่’ หากไทยรู้จักเล่นบทที่เหมาะสม คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “สีจิ้นผิง กำลังทำอะไร?” แต่คือ “ประเทศอื่น โดยเฉพาะสหรัฐฯ กำลังมองไทยอย่างไร ในวันที่เราไม่ได้อยู่ในตารางทัวร์ของผู้นำจีน

 

ภาพ: Agence Kampuchea Press / Handout via Reuters

The post โอกาสของจีน เจาะเบื้องลึกสีจิ้นผิงเยือน 3 ประเทศอาเซียน มีนัยอะไร appeared first on THE STANDARD.

]]>