China – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 12 Dec 2024 04:10:59 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สื่อนอกเผย ทรัมป์เชิญสีจิ้นผิง ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยสอง https://thestandard.co/trump-xi-jinping-second-inauguration-invitation/ Thu, 12 Dec 2024 04:10:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1018728 ทรัมป์ สีจิ้นผิง

สื่อต่างประเทศอย่าง CBS News รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว […]

The post สื่อนอกเผย ทรัมป์เชิญสีจิ้นผิง ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยสอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ สีจิ้นผิง

สื่อต่างประเทศอย่าง CBS News รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 47 ส่งคำเชิญ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ในวันที่ 20 มกราคม 2025 เบื้องต้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้นำจีนตอบรับคำเชิญดังกล่าวหรือไม่

 

ทรัมป์เผยขณะให้สัมภาษณ์ NBC News ว่า เขากับสีจิ้นผิงเข้ากันได้เป็นอย่างดี และพวกเขาพูดคุยกันเมื่อไม่นานมานี้ ท่ามกลางความตึงเครียดในการแข่งขันของทั้งสองมหาอำนาจ โดยเฉพาะในมิติของสงครามการค้า

 

ทรัมป์เสนอชื่อสมาชิกคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูง ‘สายเหยี่ยว’ ในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ส่วนหนึ่งเพื่อรับมือกับจีน โดยทรัมป์เพิ่งประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% จากภาษีเดิม หากจีนไม่ช่วยสหรัฐฯ ยุติปัญหาการลักลอบค้าสารเสพติดอย่างเฟนทานิล ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์ยังเคยขู่จะเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มสูงกว่า 60% ระหว่างช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

 

ด้านสื่อจีนเตือนว่า แนวทางของทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มเติมอาจดึงให้มหาอำนาจด้านเศรษฐกิจสองอันดับแรกของโลกเข้าสู่ ‘สงครามภาษี’ ที่จะสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองประเทศ

 

ขณะที่สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าจะไม่มีผู้ชนะในสงครามภาษี สงครามการค้าและเทคโนโลยี พร้อมเสนอให้ประสานความร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ของทุกฝ่าย

 

ภาพ: Jim Watson / AFP

อ้างอิง:

The post สื่อนอกเผย ทรัมป์เชิญสีจิ้นผิง ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยสอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมทรัมป์ 2.0 คือ ‘แรดเทา’ แล้วจีนจะสู้กลับอย่างไร? https://thestandard.co/trump-china-trade-tensions/ Wed, 27 Nov 2024 09:01:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1013523 ทรัมป์

โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ […]

The post ทำไมทรัมป์ 2.0 คือ ‘แรดเทา’ แล้วจีนจะสู้กลับอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์

โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือที่เรียกกันว่า Trump 2.0 จะส่งผลกระทบกับประเทศไทยอย่างไร เป็นหัวข้อที่พูดกันมากในสื่อต่างๆ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีของไทยมองการกลับมาของ Trump 2.0 ด้วยโลกสีชมพู และเคยให้สัมภาษณ์ว่า “เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย เพราะว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เน้นเรื่องของเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก และไทยมีการค้าขายกับสหรัฐฯ มากอยู่แล้ว” รัฐบาลไทยชุดนี้จึงค่อนข้างชะล่าใจและ (ยัง) ไร้แผนงานที่เป็นรูปธรรมในการเตรียมรับมือกับกระแสกีดกันการค้าที่จะหนักหน่วงขึ้นในยุค Trump 2.0

 

ในทางกลับกัน ผู้นำจีนที่มีประสบการณ์สูงอย่าง สีจิ้นผิง มองว่า การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามการค้าครั้งใหม่ที่เข้มข้นกว่าเดิม จึงนับว่าเป็น ‘แรดเทา’ (Gray Rhino) ในสายตาจีน เนื่องจากเป็นภัยคุกคามที่มีความเป็นไปได้สูงและจะมีผลกระทบสูง หากใครนิ่งนอนใจแล้วมองข้ามหรือประเมินต่ำไป ไม่ใส่ใจที่จะเตรียมรับมือกับปัญหาที่มองเห็นอยู่ ปล่อยปละละเลยจนปัญหาลุกลามใหญ่โต ก็ย่อมจะถูกกระทบอย่างหนักมาก

 

สำหรับจีน การกลับมาของ Trump 2.0 ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ แท้จริงแล้วฝ่ายจีนได้ซุ่มเตรียมการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่จะจัดการกับจีนมาโดยตลอด จีนพร้อมสู้กลับและเตรียมแก้เกมนี้อย่างไม่ประมาท

 

บทความนี้จะมาเรียงให้เห็นว่าจีนเตรียมที่จะรับมือกับ ‘แรดเทา’ ตัวนี้อย่างไร

 

เริ่มจากประเด็นแรก ความหมายของ ‘แรดเทา’ คืออะไร แล้วจีนมาเกี่ยวข้องอย่างไร

 

คำว่า ‘แรดเทา’ เปรียบเสมือนสถานการณ์ความเสี่ยงบางอย่างที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากและจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่มักจะถูกมองข้ามหรือมองไม่เห็นสัญญาณความเสี่ยงที่จะเกิดเพราะคิดว่าไม่สำคัญ ทั้งๆ ที่เป็นความเสี่ยงที่มองเห็นได้ แต่ไม่ได้เตรียมรับมือหรือจัดการมากพออย่างที่ควรจะเป็น ผู้ที่ริเริ่มคำเปรียบเปรยว่าแรดเทา หรือ Gray Rhino คือ มิเชล วัคเกอร์ (Michele Wucker) นักวิเคราะห์ชาวอเมริกัน และเป็นผู้เขียนหนังสือ The Gray Rhino ในปี 2016 โดยกล่าวว่า การเผชิญหน้ากับแรดเทาเปรียบเสมือนการที่เราพอจะมองเห็นอันตรายจากแรดที่วิ่งพุ่งเข้ามาหาตัวเราอย่างรวดเร็ว แต่เรากลับหาข้ออ้างหรือเหตุผลที่จะไม่ทำอะไรเลยกับสิ่งนี้ กว่าเราจะรู้ตัวก็ถูกแรดเทาพุ่งเข้าชนจนเจ็บสาหัส เกิดความเสียหายอย่างหนัก

 

ในกรณีของจีน ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้หยิบยกคำว่า ‘แรดเทา’ หรือ ‘ฮุยซีหนิว’ มากล่าวหลายครั้ง (มักจะกล่าวเปรียบเปรยคู่กับคำว่า ‘หงส์ดำ’) สีจิ้นผิงมักจะเตือนถึงความเสี่ยงอย่างมากจากปัญหาแรดเทา ดังนั้นจีนจะต้องพร้อมรับมือและจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นปี 2018 (ช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มทำสงครามการค้ากับจีนในรอบแรก) สีจิ้นผิงเคยกล่าวกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า “จีนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกหลายอย่างที่คาดไม่ถึง และมีปัจจัยภายนอกที่อ่อนไหวและซับซ้อน งานหนักของทุกคนคือการรักษาเสถียรภาพ การพัฒนา และการปฏิรูป เราจะต้องเฝ้าระวังอย่างสุดชีวิต เพื่อคอยจับตา ‘หงส์ดำ’ ภัยมืดที่มองไม่เห็น และมุ่งสกัด ‘แรดเทา’ ภัยคุกคามที่มีความเป็นไปได้สูง

 

สำหรับจีน สงครามการค้าในยุคทรัมป์จึงเปรียบเสมือนแรดเทา สีจิ้นผิงย้ำกับทุกฝ่ายว่า “อย่าชะล่าใจและต้องเร่งควบคุมความเสี่ยงอย่างเต็มที่ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ แนวคิดหลักทฤษฎี และเทคโนโลยี” หลังจากนั้นสีจิ้นผิงก็มีการหยิบยกคำว่าแรดเทามากล่าวถึงอีกหลายครั้งในหลายวาระ เช่น ในการประชุมสภาประชาชนปี 2019 การกล่าวสุนทรพจน์วันขึ้นปีใหม่ปี 2020 และช่วงต้นปี 2021 เป็นต้น

 

ในมุมมองของจีน แรดเทาน่าจะดุดันมากขึ้นในยุค Trump 2.0 เห็นได้จากนโยบายแข็งกร้าวของทรัมป์ และการตั้งทีมงานสายเหยี่ยวมารับตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในรัฐบาล Trump 2.0 จึงคาดว่าน่าจะเกิดสงครามการค้าที่ระอุขึ้นมาอีกครั้งหากทรัมป์ทำตามที่เคยหาเสียงไว้ ทั้งการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมากถึงร้อยละ 60 เพื่อลดการขาดดุลการค้ากับจีน และเร่งการแยกขั้ว/ตัดขาดห่วงโซ่การผลิตจากจีน รวมไปถึงการเพิ่มมาตรการกีดกันอื่นๆ เพื่อจำกัดจีนในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนส่งสัญญาณถึงภัยคุกคามของแรดเทาในสายตาจีน

 

ประเด็นที่สอง แล้วจีนจะสู้กลับหรือแก้เกม Trump 2.0 อย่างไร

 

แน่นอนว่าจีนจะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย จีนไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว แม้ว่าจีนอาจจะใช้ไม้อ่อนเริ่มจากการพูดคุยเจรจากับทรัมป์ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์และหาทางประนีประนอม ซึ่งย่อมจะดีกว่าการต่อสู้ห้ำหั่นกัน อย่างไรก็ดี หากสหรัฐฯ ยังยืนยันที่จะมีท่าทีแข็งกร้าวและจะขึ้นภาษีกับสินค้าจีนตามคำขู่ ฝ่ายจีนก็พร้อมจะสู้กลับ จุดแข็งของจีนคือการมีพลังซื้อมหาศาลเป็นอาวุธที่ทรงพลัง

 

หากรัฐบาลทรัมป์ทำสงครามการค้ากับจีนอีกครั้ง ฝ่ายจีนก็พร้อมที่จะปล่อยหมัดสวนกลับด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการตอบโต้ทางการค้า หรือที่เรียกว่า Trade Retaliation ด้วยการเพิ่มกำแพงภาษีหรือจำกัดโควตาสินค้าที่จีนเคยนำเข้าจำนวนมากจากสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาจีนที่เป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองมากที่สุดในโลก (สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 60-63 ของการนำเข้าถั่วเหลืองของโลก) จีนจึงเป็นตลาดส่งออกถั่วเหลืองที่สำคัญของสหรัฐฯ หากจีนประกาศตอบโต้ด้วยการไม่ซื้อหรือเพิ่มมาตรการกีดกันถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ส่งออกไปจีนได้น้อยลง ย่อมจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ผลิตถั่วเหลืองจำนวนมากในสหรัฐฯ ว่ากันว่าคนเหล่านี้เป็นกลุ่มฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ที่อาศัยอยู่ในมลรัฐตอนกลาง (Midwest) และเป็นแหล่งผลิตถั่วเหลืองสำคัญจนถูกเรียกกันว่า ‘Soybean Belt’

 

อีกประเด็นสำคัญคือ จีนแก้เกมเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ด้วยกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง (Diversification Strategy) เร่งกระจายส่งออกไปตลาดใหม่ๆ ในโลกขั้วใต้ (Global South) จนสำเร็จ

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจีนไม่ได้นิ่งนอนใจและใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการกับภัยคุกคาม ‘แรดเทา’ ที่จะเกิดขึ้นกับจีน สีจิ้นผิงจึงได้รุกคืบไปสร้างความสัมพันธ์กับหลายประเทศที่มีศักยภาพในโลกขั้วใต้ มีการกระจายตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าจีนและขยายการค้าการลงทุนกับประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในทวีปต่างๆ ทำให้จีนกลายเป็นคู่ค้าสำคัญของประเทศเหล่านั้น มีการรายงานว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าจีนไปยังตลาดโลกขั้วใต้มีมูลค่าขยายเพิ่มสูงกว่าการส่งออกของจีนไปตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ดังแสดงในภาพประกอบ

 

อ้างอิง: https://asiatimes.com/2024/05/2-words-explain-china-export-surge-global-south/

 

เส้นสีฟ้าคือตลาดส่งออกของจีนในแถบโลกขั้วใต้ (Global South) ได้แก่ อาเซียน เอเชียใต้ เอเชียกลาง ลาตินอเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาตอนเหนือ (Middle East and North Africa: MENA) รวมทั้งรัสเซีย

 

เส้นสีส้มคือตลาดส่งออกของจีนที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

 

จีนเล็งเห็นศักยภาพของตลาดโลกขั้วใต้มานานแล้ว ยิ่งชาติตะวันตกใช้วิธีการกดดันและกีดกันสินค้าจีน ก็ยิ่งจำเป็นสำหรับจีนที่ต้องเตรียมตลาดสำรองในโลกขั้วใต้ ล่าสุดกรณีรถยนต์ EV แม้ว่าสหรัฐฯ และยุโรปเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้ารถยนต์ EV จากจีน แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับจีนมากนัก เพราะนอกจากสหรัฐฯ จะไม่ใช่ตลาดหลักของรถยนต์ EV จีนแล้ว จีนยังเน้นทำตลาดและส่งออกรถยนต์ EV ไปยังประเทศในโลกขั้วใต้จนสำเร็จ เช่น บราซิล เป็นตลาดหลักอันดับต้นๆ ของรถยนต์ EV จีน รวมทั้งอีกหลายประเทศในตะวันออกกลางก็นิยมใช้รถยนต์ EV จีนมากขึ้น

 

โดยสรุป การกลับมาของทรัมป์และทีมงานสายเหยี่ยวที่มุ่งจัดการกับจีนคือแรดเทาสำหรับจีน ความเสี่ยงนั้นชัดเจน จึงมีการเตรียมความพร้อมที่จะสู้กลับและแก้เกมเช่นกัน อย่างไรก็ดี ความพยายามของจีนในการรับมือกับนโยบายแข็งกร้าวและหนักหน่วงในยุค Trump 2.0 อาจจะต้องใช้เวลา ดังนั้นในระยะสั้นจีนอาจจะยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่อยู่บ้าง จึงจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์เชิงรุกให้มากขึ้นและเร่งพัฒนาเศรษฐกิจจีนที่แข็งแกร่งจากภายในให้มากยิ่งขึ้น

 

ที่น่าสนใจคือกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ด้วยการกระจายตลาดและรุกคืบไปสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับหลายประเทศในโลกขั้วใต้จนกลายเป็นอีกตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสำหรับจีน แล้วประเทศไทยเรียนรู้อะไรในเรื่องนี้ ไทยจะยังคงฝากอนาคตตัวเองไว้กับตลาดเดิมๆ อีกต่อไปหรือไม่ ก็ขอฝากให้ไปลองคิดกันต่อนะคะ

The post ทำไมทรัมป์ 2.0 คือ ‘แรดเทา’ แล้วจีนจะสู้กลับอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน https://thestandard.co/opinion-trump-trade-war-strategy/ Mon, 25 Nov 2024 05:01:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1012416

สงครามการค้าสเกลมหึมาที่ทรัมป์หาเสียงไว้จะมาจริงไหม จะม […]

The post สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สงครามการค้าสเกลมหึมาที่ทรัมป์หาเสียงไว้จะมาจริงไหม จะมาเร็วแค่ไหน และจะมาแรงแค่ไหน

 

รอบนี้ทรัมป์มาแบบคนใจร้อน การตั้งทีม ครม. ก็ประกาศเกือบครบทุกตำแหน่งอย่างรวดเร็ว และทรัมป์ได้สั่งให้ทุกชุดนโยบายเตรียมแผนให้เรียบร้อยว่าจะทำอะไรตั้งแต่ Day One และ First One Hundred Days

 

แต่เรื่องนโยบายการค้าก็ยังคงไม่แน่นอนสูง คนที่หวังว่าสงครามการค้าคงไม่ทำจริงหรือไม่ทำเร็ว ก็จะชี้ว่าตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จเป็นต้นมา ทรัมป์แทบไม่พูดเรื่องนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีอีกเลย และตัวทรัมป์เองดูจะแคร์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาก ที่ปรึกษาทุกคนน่าจะบอกกับทรัมป์ว่าถ้าตั้งกำแพงภาษีกับจีนและทั่วโลกในสเกลแบบที่ทรัมป์หาเสียง ตลาดจะต้องช็อกและหุ้นจะต้องตกระเนระนาดแน่

 

ส่วนคนที่เชื่อว่าทรัมป์น่าจะทำจริง ทำแรง และทำเร็วนั้น มองว่ามาครั้งนี้ทรัมป์ต้องการจะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและความสัมพันธ์กับจีนในระดับพื้นฐานจริงๆ และชุดความคิดนี้เป็นสิ่งที่ทีมงานของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นว่าที่รัฐมนตรีพาณิชย์หรือว่าที่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ต่างประกาศแล้วว่าเชื่อมั่นในแนวทางนี้

 

ตัวผมเองพยายามประเมินข่าวแวดล้อม ทำให้มั่นใจว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีจีนทันทีตั้งแต่วันแรกหรือไม่นานหลังเข้ารับตำแหน่ง และเขาจะเร่งเครื่องออกมาตรการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากทั่วโลกด้วย ทรัมป์คงไม่ได้ขึ้นแบบรวดเดียวต่อจีนร้อยละ 60 และต่อทุกประเทศร้อยละ 10 ทันทีทันใดในคราวเดียว ในช่วงแรกสุดเขาน่าจะเลือกทำเป็นกลุ่มสินค้า (เพื่อให้กระทบผู้บริโภคน้อยหน่อย) และเน้นที่จีนให้หนักก่อน แต่ทิศทางคือจะทำจริง จะทำกับทุกประเทศ และจะมาแรงและเร็วกว่าสงครามการค้ารอบที่แล้ว

 

ในจีนเองยังมีนักวิเคราะห์ที่มองโลกในแง่ดีว่า กว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีต่อจีนได้น่าจะเป็นช่วงปลายปีหน้า โดยดูจากไทม์ไลน์ของการขึ้นกำแพงภาษีในรัฐบาลทรัมป์ 1 ซึ่งอาศัยอำนาจของประธานาธิบดีตามมาตรา 301 ของ Trade Act of 1974 และมาตรา 232 ของ Trade Expansion Act of 1962 โดยจำเป็นต้องมีกระบวนการสอบสวนพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม (ตามมาตรา 301) และผลกระทบต่อความมั่นคง (ตามมาตรา 232) เสียก่อน การสอบสวนจัดทำรายงานต้องใช้เวลาและจำเป็นต้องระบุกลุ่มสินค้าให้ชัดเจน ไม่สามารถขึ้นทุกสินค้าจากจีนแบบที่ทรัมป์หาเสียงได้ และกว่าจะสอบสวนทำรายงานเสร็จก็น่าจะใช้เวลาถึงปลายปีหน้า

 

แต่ในวงการกฎหมายสหรัฐฯ ขณะนี้มีการพูดกันมากว่าทรัมป์อาจเลือกใช้อำนาจตามกฎหมาย The International Emergency Economic Powers Act of 1977 โดยประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจและขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนที่อยากจะขึ้นได้ตั้งแต่วันแรก รอบนี้ทรัมป์อาจมาไม้ใหม่ ไม่ได้ใช้ไม้เดิมที่ต้องใช้เวลาสอบสวนนานแบบคราวที่แล้ว

 

ขณะเดียวกัน ตอนนี้มีรายงานข่าวว่าทีมงานของทรัมป์ได้ประสานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกรีพับลิกันในสภาคองเกรส โดยต้องการจะออกกฎหมายเรื่องการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้า นักกฎหมายหลายคนสงสัยว่าเหตุใดทรัมป์จึงต้องการออกเป็นกฎหมาย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วการขึ้นกำแพงภาษีเป็นอำนาจของประธานาธิบดีที่ทำได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปผ่านไปพึ่งคองเกรสให้ออกกฎหมายใหม่แม้แต่น้อย

 

คาดกันว่าทรัมป์มีสามเป้าหมายที่ในระยะยาวเขาต้องการเข็นเรื่องนี้ให้ผ่านเป็นกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่ใช้คำสั่งประธานาธิบดี

 

หนึ่ง ทรัมป์ต้องการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นการทั่วไปต่อทุกกลุ่มสินค้าและทุกประเทศ ดังที่ทรัมป์หาเสียงไว้ว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลกร้อยละ 10 ซึ่งมีนักกฎหมายหลายคนมองว่าหากอาศัยตามอำนาจกฎหมายการค้าปกติ ประธานาธิบดีน่าจะขึ้นกำแพงภาษีได้อย่างเฉพาะเจาะจงกลุ่มสินค้าหรือกลุ่มประเทศที่เอาเปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่เป็นประเด็นทางกฎหมายว่าจะสามารถขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดเป็นการทั่วไปได้หรือไม่โดยอาศัยอำนาจทางบริหารหรือต้องไปขอสภาผ่านเป็นกฎหมาย

 

สอง ทรัมป์ต้องการให้การขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าเป็นเรื่องระยะยาวที่ต่อไปไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางเรื่องนี้ได้ง่ายๆ หากเป็นเพียงการขึ้นกำแพงภาษีโดยอำนาจประธานาธิบดี ประธานาธิบดีคนใหม่มาถึงก็สามารถเปลี่ยนแปลงยกเลิกได้ทันที แต่หากเป็นกฎหมายที่ออกโดยสภาคองเกรส ก็จะอยู่ที่ว่าพรรคใดคุมคองเกรสและอาจต้องเสียต้นทุนทางการเมืองมากสำหรับประธานาธิบดีที่จะกลับลำนโยบายนี้ เรียกว่าทรัมป์คิดในระดับปฏิวัติทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลก ไม่ได้มองว่าการตั้งกำแพงภาษีจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเพื่อใช้บีบคู่ค้าให้มาเจรจาเท่านั้น

 

สาม มีข่าวว่าทรัมป์ต้องการขอให้สภาคองเกรสพิจารณาเรื่องการเก็บภาษีสินค้านำเข้าควบคู่ไปพร้อมกับแพ็กเกจการลดภาษีเงินได้ภายในประเทศ เพื่อให้เอารายได้จากการเก็บภาษีสินค้านำเข้ามาคิดทดแทนตัวเลขการลดภาษีภายในประเทศของทรัมป์ (ทรัมป์จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เลิกเก็บ Tax on Tips และ Tax on Overtime)

 

แต่เดิมมีหลายคนมองว่านโยบายลดภาษีของทรัมป์จะทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ดูไม่จืด แต่แนวคิดของทรัมป์คือจะเอารายได้จากภาษีนำเข้ามาเป็นรายได้สำคัญแทนรายได้จากภาษีเงินได้ภายในประเทศ ดังที่ทีมของทรัมป์ชอบคุยถึงยุคของ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ในช่วงเริ่มต้นตั้งประเทศสหรัฐฯ ซึ่งรายได้หลักทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ตอนเริ่มต้นมาจากการเก็บภาษีนำเข้าเป็นหลัก

 

สำหรับจีน ทรัมป์ยังต้องการให้คองเกรสออกกฎหมายยกเลิกสถานะการเป็นชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation Status) ของจีน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าจีนทั้งหมดต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าคู่ค้าประเทศอื่นของสหรัฐฯ ข้อนี้จะมีผลสำคัญมากในเชิงสัญลักษณ์ต่อการหย่าขาดกับจีนในทางเศรษฐกิจ และจะมีผลระยะยาวที่ประธานาธิบดีคนใหม่มาก็ยากที่จะเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ที่ดิ่งเหวลงในทางการค้านี้ได้

 

เมื่อดูการเตรียมการต่างๆ ที่ออกมาตามข่าวแล้ว ผมจึงเห็นว่าทรัมป์กำลังเดินไปในทิศทางที่แรงและเร็วในเรื่องสงครามการค้า แม้คงจะไม่ได้ทำสงครามการค้าทันทีทั้งหมดกับจีนและทุกประเทศ แต่จะค่อยๆ เดินไปตามแนวทางการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าทั่วโลก เพราะเป้าหมายของเขารอบนี้ต้องการปฏิวัติรากฐานระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและปฏิวัติให้การเก็บภาษีสินค้านำเข้ากลายมาเป็นรายได้สำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ เลยทีเดียว

 

ภาพ: Brian Snyder / Reuters

The post สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทูตจีนตอบเรื่องทุนจีน ทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี https://thestandard.co/chinese-ambassador-talks-thailand-china/ Sun, 24 Nov 2024 03:35:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1012177

นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธ […]

The post ทูตจีนตอบเรื่องทุนจีน ทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ได้รับโอกาสสัมภาษณ์ หานจื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผ่านรายการ The Secret Sauce เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2024 โดยท่านทูตตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน กระแสความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจจีน รวมถึงการไหลทะลักของสินค้าจีน และการแก้ปัญหาทุนสีเทา

 

Q: จีนมองประเทศไทยอย่างไร และในโอกาสเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี คิดว่าความสัมพันธ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

 

A: ยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาสัมภาษณ์กับคุณเคน ก็อย่างที่บอกครับ ปีหน้าเป็นปีที่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน เนื่องจากเป็นปีที่ความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปี

 

จากการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เรามองเห็นว่าทั้งสองชาติเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีมิตรไมตรี มีความเชื่อมั่น และเอื้อเฟื้อต่อกันมาอย่างยาวนาน หากย้อนมองไปไกลอีกหน่อย พบว่าประวัติศาสตร์การเจริญสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างจีนกับไทยมีมามากกว่า 1,000 ปี ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้ มิตรไมตรี ความเอื้อเฟื้อ และความร่วมมือ เป็นรากฐานความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติ ซึ่งในปัจจุบันความสัมพันธ์ของจีนและไทยอยู่ในสถานะที่ดีและดียิ่งๆ ขึ้น โดยเฉพาะในปี 2022 ที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงมาเยือนประเทศไทย ได้ร่วมกันแถลงกับผู้นำของไทยในเรื่องการก่อตั้งประชาคมไทย-จีนที่จะมีอนาคตร่วมกัน ซึ่งถือเป็นการชี้ทิศทางใหม่ให้กับสองประเทศ ทั้งยังนำพาจีนและไทยเข้าสู่ยุคใหม่

 

ในปัจจุบันเรามีความเชื่อมั่นทางด้านการเมือง สนับสนุนซึ่งกันและกัน ด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สองประเทศก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และได้ประโยชน์ร่วมกัน ในขณะเดียวกันด้านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็มีความแนบแน่น มิตรภาพของประชากรทั้งสองประเทศมีแต่จะเพิ่มพูน ทั้งสองฝ่ายกำลังหารือวางแผนในการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีนที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งการครบรอบ 50 ปีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ ผลักดันให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศก้าวไปสู่ขั้นใหม่ ดังนั้นพวกเรามั่นใจได้เลยว่าความสัมพันธ์ของจีนและไทยนับวันจะยิ่งแน่นแฟ้น นับวันจะยิ่งงดงาม สร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับคนของทั้งสองประเทศ ซึ่งถือเป็นการแสดงออกสำคัญถึงสันติภาพแก่ภูมิภาค โลก และเราทั้งสองประเทศ

 

เมื่อสักครู่เราคุยกันถึงว่าบรรพบุรุษของคุณเคนก็เป็นคนแต้จิ๋ว มาจากมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน แล้วที่เมื่อสักครู่ถามถึงมุมมองของจีนว่าความสัมพันธ์ไทยและจีนเป็นอย่างไรนั้น เราขอมอบ 3 ประโยคให้คุณ ประโยคแรก จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีดั่งน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ประโยคที่สอง เราเป็นญาติพี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกัน ประโยคสุดท้าย เป็นหุ้นส่วนที่ดีที่จะมีอนาคตร่วมกัน ผมคิดว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำบรรยายความสัมพันธ์จีนและไทยในมุมกว้างๆ แล้วยังเป็นตัวแทนเสียงในใจของคนทั้งสองประเทศ

 

Q: ปีนี้เราเห็นความพยายามมากมายของจีนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจจากความท้าทายในมิติต่างๆ เช่น ในด้านอสังหาริมทรัพย์ อยากให้ท่านทูตเล่าให้ฟังว่าปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจของจีนเป็นอย่างไร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้จะใหญ่แค่ไหน

 

A: ปัญหาที่คุณพูดมานี้สำคัญมาก พวกเรายินดีที่จะแชร์หัวข้อนี้กับเพื่อนๆ ชาวไทย เศรษฐกิจของจีนนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปฏิรูปเปิดประเทศเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว GDP ของจีนขยายตัวเกินกว่า 9% ต่อปีโดยเฉลี่ย ทำให้เศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งจากการเติบโตมาต่อเนื่องหลายปี เวลานี้เศรษฐกิจจีนก้าวเข้าสู่ระยะใหม่ของการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง

 

ถ้าให้พูดรายละเอียด เราดำเนินการตามแนวคิดของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งกำหนดไว้เกี่ยวกับการพัฒนาขั้นใหม่ หรือก็คือการมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง หรือการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงบนพื้นฐานใหม่ๆ กล่าวคือต้องมีนวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้คนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานนวัตกรรมใหม่จะต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงด้วย 

 

ช่วงหลายปีมานี้จีนมีนโยบายที่มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หนึ่งในเป้าหมายก็คือให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งจะสอดคล้องกับเทรนด์การพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก ในอีกทางหนึ่งก็สอดคล้องกับการพัฒนาของมนุษยชาติ ซึ่งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนี้มีความคืบหน้าอย่างเป็นที่ประจักษ์ อย่างจำนวนของสถานี 5G ของจีนมีจำนวนกว่า 5 ล้านจุด ซึ่งนับเป็นจำนวนมากกว่า 60% ของทั้งโลก หุ่นยนต์อุตสาหกรรมของจีนมี Rated Capacity ที่มีสัดส่วนเกินกว่า 50% ของโลก ในปี 2023 Rated Capacity ด้านพลังงานทดแทนในจีนก็มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของโลก กล่าวได้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนานของจีนนี้ก่อร่างสร้างตัวบนพื้นฐานใหม่ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนอย่างยั่งยืนและมั่นคงให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจจีนในอนาคต หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นแนวคิด New Quality Productive Forces ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวของจีนจะอยู่บนพื้นฐานแนวคิดดังกล่าว

 

ภาวะโควิด-19 สร้างผลกระทบอันหนักหน่วงต่อเศรษฐกิจของนานาประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความมั่นคงทางการเมือง และสงครามในบางประเทศ รวมถึงปัจจัยวัฏจักร ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญแรงกดดันค่อนข้างสูง จีนก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในโลกนี้ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและรักษาอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง รัฐบาลกลางจีนออกชุดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีสาระสำคัญ 5 หัวข้อ ครอบคลุมนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงมาตรการด้านการเงินและมาตรการทางการคลัง มีการออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาการชะลอตัว ในส่วนของการสำรองเงินฝากธนาคารนั้น มีการปรับลดลง 0.5% ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.2% นอกจากนี้ยังมีมาตรการทางการคลังที่จะออกพันธบัตรระยะยาวและพันธบัตรรัฐบาลพิเศษ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นในการพัฒนาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินเอกชนที่ประสบปัญหา

 

นอกจากการปรับโครงสร้างและมาตรการทางเศรษฐกิจมหภาคแล้ว จีนยังมีมาตรการกระตุ้นดีมานด์ภายในประเทศ บรรเทาปัญหาให้กับภาคธุรกิจ ส่งเสริมตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมยกระดับตลาดทุน ซึ่งทั้งหมดนี้ควรใช้นโยบายและมาตรการที่มีประโยชน์ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ช่วงสองวันมานี้เพิ่งมีรายงานตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคมออกมา จะเห็นถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนของมาตรการทางเศรษฐกิจ เราจึงมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ได้ตามที่กำหนดไว้

 

การเติบโตของเศรษฐกิจจีน ไม่เพียงสำคัญต่อจีนเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของเรา แนวโน้มการเติบโตของจีนยังสดใส นอกจากนี้ยังมอบโอกาสการเติบโตที่มากขึ้นแก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ประโยชน์ร่วมกัน หรือวิน-วินทั้งสองฝ่าย 

 

จีนเป็นหุ้นส่วนการค้าที่มีความสำคัญกับคู่ค้ากว่า 150 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ทุกปีจีนรับการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก ปีที่แล้วมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันการลงทุนในต่างประเทศของจีนก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ปีที่แล้วมีมูลค่าสูงถึง 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตของเศรษฐกิจจีนมีความต่อเนื่องหลายปี มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก 

 

ในส่วนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและไทยนั้น มีความแนบแน่นใกล้ชิด นับได้ว่าจีนเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์การเกษตรของไทย และยังเป็นแหล่งเงินลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญแหล่งหนึ่งของไทย นักท่องเที่ยวจีนก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหลักของไทย ดังนั้นเราเชื่อว่าการเติบโตที่ดีของเศรษฐกิจจีนไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อคนจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อคนไทยด้วย

 

Q: คิดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดนี้เพียงพอหรือไม่ และคิดว่ากำลังซื้อจะกลับมามากน้อยแค่ไหน เป้าหมายการเติบโตของจีนที่ก่อนหน้านี้อาจจะอยู่ที่ระดับ 9% โดยเฉลี่ย ตอนนี้ลดลงมาเหลืออยู่ที่ราว 5% แสดงว่าหลังจากนี้เป้าหมายจะลดลงเหลือที่ 5%ใช่หรือไม่ นี่คือยุคใหม่ของจีนแล้วใช่ไหม

 

A: คงต้องกล่าวว่าอัตราการขยายตัวที่ 5-6% ถือว่าเหมาะกับสภาวการณ์ของจีนในปัจจุบันแล้ว มูลค่าเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันถ้าคิดเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะอยู่ที่ประมาณ 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตที่ 5-6% ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันจะมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือก็คือเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจปีละ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขนี้มีขนาดพอๆ กับการขยายตัวของ GDP 1 ปีของประเทศขนาดกลางหลายประเทศรวมกัน ลองคิดดูว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นมาในแต่ละปีนั้นมีนัยสำคัญต่อโอกาสทางธุรกิจแค่ไหน มีนัยสำคัญต่อ Market Growth มากน้อยแค่ไหน 

 

กล่าวได้อีกว่าเศรษฐกิจของจีนนั้นมีจุดเด่นที่เป็นพื้นฐานสำคัญหลายข้อ หนึ่งในนั้นก็คือการที่จีนมีตลาดขนาดใหญ่ เมื่อกล่าวถึงตลาดการบริโภค หากคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันจะมีมูลค่าประมาณ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบครัวชนชั้นกลาง ครอบครัวที่มีระดับรายได้ปานกลางมีจำนวนประมาณ 400 ล้านคน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรชนชั้นกลางมากที่สุดในโลก หากไม่นับรวมประเทศอินเดีย

 

Q: 3 อุตสาหกรรมหัวหอกของจีน ได้แก่ EV, แบตเตอรี่ลิเธียม และโซลาร์เซลล์ ใน 3 อุตสาหกรรมใหม่นี้คิดว่าจะนำทิศทางของเศรษฐกิจจีนต่อไปอย่างไร จีนจริงจังกับเรื่องเทคโนโลยีสะอาดเพื่อจะแข่งขันกับมหาอำนาจอื่นๆ มากน้อยแค่ไหน

 

A: ต้องตอบเลยว่าใช่ครับ เนื่องจากทั้ง 3 อุตสาหกรรมใหม่ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์ ล้วนสอดคล้องกับเทรนด์เศรษฐกิจโลกและการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต และยังสอดรับกับเทรนด์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษยชาติ ดังนั้นทั้ง 3 อุตสาหกรรมนี้จึงมีอนาคตที่สดใส และยังตอบสนองดีมานด์ตลาดขนาดใหญ่ ดังนั้นเราจึงมองในแง่บวกเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ทั้ง 3 นี้ว่าจะยังอยู่ในทิศทางที่ดีในอนาคต

 

การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษย์ จะเห็นว่าทั้ง 3 อุตสาหกรรมใหม่นี้ล้วนตอบโจทย์ ไม่เพียงแต่มอบสินค้าและเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมทั่วโลกให้มุ่งไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน ตรงนี้เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่า และความหมายของการมีอยู่ของนวัตกรรมใหม่เหล่านี้

 

Q: แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่จีนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น บางคนอาจใช้คำว่าสงครามเทคโนโลยี เราเห็นมาตรการกีดกันทางการค้าจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา จีนมองอย่างไรและจะรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างไร

 

A: สำหรับสินค้าส่งออกของจีนนั้น มีการพูดกันถึงภาวะการผลิตส่วนเกินที่เกิดจากรัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุน คำกล่าวโทษเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยแนวคิดกีดกันทางการค้า เป็นข้ออ้างของพวกลัทธิฝ่ายเดียว และมีลักษณะสองมาตรฐาน

 

หากจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน รัฐบาลประเทศต่างๆ กำลังพยายามปรับทิศทางการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของตนให้อยู่บนเส้นทางของเศรษฐกิจสีเขียว ทางจีนเองก็ลงแรงกายแรงใจและพยายามอย่างเต็มที่ในด้านนี้ และประสบความสำเร็จ ซึ่งเหตุนี้ทำให้สินค้าและเทคโนโลยีของจีนมีความสามารถทางการแข่งขันบนตลาดโลกอย่างเห็นได้ชัด ควรกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การสนับสนุน และเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากกว่าไม่ใช่หรือ?

 

มีบางประเทศในด้านหนึ่งก็ป่าวประกาศเสียงดังว่าต้องการหาทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ บรรลุการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กลับกีดกันผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีสีเขียวของจีน อันที่จริงเราทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาคิดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง โลกกำลังมุ่งสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน แต่พวกเขาให้ใช้แต่เทคโนโลยีของพวกเขา และใช้แต่สินค้าของพวกเขา ความคิดเช่นนี้นอกจากจะเห็นแก่ตัวแล้วยังเป็นความไร้วิสัยทัศน์ และเป็นความไม่รับผิดชอบขั้นสูงสุดต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษยชาติ

 

สหรัฐอเมริกากับยุโรปขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่างไม่มีเหตุผล ถือเป็นการละเมิดกฎเกณฑ์การค้าขององค์การการค้าโลก (WTO) สิ่งนี้ละเมิดระเบียบสากล ดังนั้นฝ่ายจีนเองก็จะขอคัดค้านต่อการกระทำเช่นนี้อย่างแข็งขัน และการกระทำเหล่านี้ย่อมเป็นผลเสียต่อตนเอง ซึ่งไม่น่าส่งผลลัพธ์ที่ดีอะไร รถยนต์ไฟฟ้าของจีนครองสัดส่วนในตลาดโลกค่อนข้างมาก พวกเขาจึงมากล่าวโทษว่าสาเหตุเป็นเพราะจีนผลิตสินค้าล้นตลาด ลองคิดดูครับว่าเครื่องบิน Boeing ของสหรัฐอเมริกา หรือ Airbus ของยุโรป ก็มีส่วนแบ่งการตลาดเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทำไมพวกเขาถึงไม่โทษว่าผลิตล้นตลาดบ้างล่ะ ความสองมาตรฐานของพวกเขาทำให้พวกเรารู้สึกว่าน่าขัน เป็นการกีดกันทางการค้าและเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง

 

พวกเราควรเคารพกฎระเบียบและกลไกตลาดที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากกว่า ขณะเดียวกันก็ควรร่วมกันดูแลและปกป้องแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษยชาติที่เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนจะได้ประโยชน์ร่วมกัน ร่วมมือกันทำให้ก้อนเค้กโตขึ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกันสำหรับทุกฝ่าย นโยบายแบบนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาควรนำมาใช้

 

Q: แล้วทางการจีนจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาได้ผู้นำใหม่ขึ้นมา แน่นอนว่าทิศทางที่เขาจะมีต่อประเทศจีนก็คงจะดำเนินไปในแนวทางเดียวกัน จะรุนแรงมากขึ้น หรือว่ารุนแรงประมาณเดิม จีนจะรับมืออย่างไร

 

A: นี่คือสิ่งที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง หรือก็คือทุกคนกำลังติดตามเรื่องนี้ด้วยความกังวลใจมากๆ สหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจแห่งเดียวในโลก ต่อไปจะมีนโยบายที่แสดงความรับผิดชอบหรือไม่ สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโลกใบนี้ พวกเราไม่ขอประเมินผู้สมัครรับเลือกตั้ง และไม่อยากแสดงความคิดเห็นต่อผลเลือกตั้งหรือไปคาดเดาอะไร เพราะว่านี่เป็นเรื่องภายในของสหรัฐอเมริกา พวกเราหวังว่าคนอเมริกันจะตัดสินใจอย่างชาญฉลาด เลือกผู้นำประเทศที่คู่ควรกับการรอคอยของพวกเขา ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมให้เกิดเสถียรภาพและสันติภาพบนโลกใบนี้

 

เมื่อสักครู่ที่บอกว่า ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกตั้ง นโยบายที่สหรัฐอเมริกาจะมีต่อจีนคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ยังคงเป็นนโยบายเชิงลบต่อจีนเช่นปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมมีความเห็นว่าเราไม่อาจคาดหวังให้นโยบายที่มีต่อจีนกลับอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องผ่านการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว เราหวังแต่เพียงว่าการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา จะทำให้สหรัฐอเมริกาตระหนักได้ว่าระหว่างเราจะมีเพียงการดำเนินนโยบายภายใต้หลักการที่เคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติและเอื้อประโยชน์ร่วมกัน เพื่อมาจัดการกับประเด็นความสัมพันธ์ของสองประเทศ จึงจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกาและต่อโลก

 

เราต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเพื่อจะทำให้ผู้นำของสหรัฐอเมริกาตระหนักถึงจุดนี้ ปรับแก้นโยบายที่มีต่อจีนซึ่งถือเป็นความผิดพลาดในขณะนี้ สหรัฐอเมริกาตัดสินใจผิดพลาด พวกเขาเชื่อว่าหากจีนแข็งแกร่งขึ้นมาก็จะมาแทนที่พวกเขา จะส่งผลเสียต่อฐานะมหาอำนาจโลกของเขา คิดว่าจีนจะมาช่วงชิงตำแหน่งนี้

 

แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นมุมมองต่อจีนที่ผิด ประเทศจีนจะพัฒนาและแข็งแกร่งขึ้นอย่างมิอาจขวางได้ แต่จีนจะไม่มีวันไปแก่งแย่งสถานะมหาอำนาจโลกอะไรนั่นกับเขา ในมุมมองของจีน คำว่ามหาอำนาจโลกเป็นคำเชิงลบมากๆ ไม่ใช่บทบาทที่ดี ประเทศจีนไม่มีเจตนาจะไปชิงสถานะความเป็นมหาอำนาจโลกกับพวกเขา เราต้องการโลกที่มีสันติภาพ ความร่วมมือ และมีผลประโยชน์ร่วมกัน ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของเรากล่าวว่า เราต้องสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน

 

เพื่อที่จะกีดกันจีน สหรัฐอเมริกาเปิดสงครามการค้า ปิดกั้นทางเทคโนโลยี พยายามแบ่งขั้วเศรษฐกิจออกจากกัน แม้แต่ก่อความไม่สงบและสร้างความขัดแย้งในภูมิภาคจนเกิดกลุ่มต่อต้าน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อก่อนไม่สำเร็จ จากนี้และต่อไปก็จะไม่สำเร็จ มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาค และนำหายนะมาสู่สหรัฐอเมริกาเอง

 

อันที่จริงช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายปิดกั้นทางเทคโนโลยี กลับเป็นช่วงที่จีนมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างที่เพิ่งบอกไปว่าเราประสบความสำเร็จในการคิดค้นนวัตกรรม สหรัฐอเมริกาพยายามจะแบ่งแยกเศรษฐกิจออกจากจีน แต่ว่าการค้าการส่งออกของจีนในปัจจุบันกำลังฟื้นตัวและเติบโตอย่างเข้มแข็ง

 

ตัวเลขการเติบโตด้านการค้าระหว่างประเทศของจีนในเดือนมกราคม-กันยายนปีนี้อยู่ที่ 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ และถือเป็นการขยายตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ลงทุนมาจีนเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ธุรกิจใหม่จากต่างประเทศเข้ามาตั้งสำนักงานมากกว่า 50,000 ราย ในเวลาเดียวกันจีนก็มีการใช้เงิน 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐไปลงทุนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เราไม่ได้ถูกปิดกั้นในเรื่องนี้และเรากำลังพัฒนาให้ดีขึ้น สหรัฐอเมริกากำลังพยายามที่จะแบ่งแยกเศรษฐกิจออกจากจีน แต่จีนจะใช้ความทุ่มเทที่มากขึ้นสร้างระบบที่ส่งเสริมการเปิดกว้างทางการค้าและมาตรฐานที่สูง เราจะมีโลกที่ดีขึ้น 

 

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา Bloomberg ในสหรัฐอเมริกาเผยแพร่บทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายปิดกั้นทางเทคโนโลยีต่อจีนของสหรัฐอเมริกาว่า แทนที่จะประสบความสำเร็จแต่กลับล้มเหลว พวกเขากล่าวถึง 5 ปัจจัยของโลกเทคโนโลยีขั้นสูง โดยกล่าวว่าเทคโนโลยีจีนนั้นอยู่ในตำแหน่งผู้นำของโลก นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างเรื่องเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ อีก 7 ด้านว่าจีนก็ประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นบทความของ Bloomberg จึงตอกย้ำถึงความล้มเหลวของสหรัฐอเมริกาในการปิดกั้นเทคโนโลยีต่อจีน เพราะจีนกลับพัฒนาล้ำขึ้นไปอีกขั้น

 

เพื่อสร้างปัญหาให้จีน สหรัฐอเมริกาเพิ่มความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี ใช้ประโยชน์จากข้อพิพาทระหว่างจีนกับประเทศที่เกี่ยวข้องในทะเลจีนใต้กระพือให้เป็นประเด็นร้อน พฤติกรรมเช่นนี้ยังมีอยู่ในบริเวณช่องแคบไต้หวัน เพื่อสร้างการเผชิญหน้า หรือแม้แต่ไปเพิ่มความขัดแย้งในสงครามภายในเมียนมาให้รุนแรงขึ้น 

 

พฤติกรรมเหล่านี้สหรัฐอเมริกาได้อะไร สิ่งที่พวกเขาจะได้รับก็คือทำให้ทุกประเทศในภูมิภาคเกิดความกังวลในเรื่องความมั่นคง ทำให้เกิดการต่อต้านพฤติกรรมเหล่านี้อย่างรุนแรง และเกิดความสงสัย สุดท้ายก็จะทำให้เกิดความไม่พอใจจากคนในภูมิภาค ดังนั้นสิ่งที่เราหวังก็คือ ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะทำให้ผู้นำของสหรัฐอเมริกาได้ตระหนัก เพื่อเข้าใจเหตุผล อย่าตัดสินแบบผิดๆ อย่าพยายามหาทางต่อต้านและเผชิญหน้ากับประเทศจีน แต่ควรทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกลับไปสู่จุดที่ดีและมั่นคง

 

Q: ในมุมหนึ่งคนไทยเริ่มมีความกังวลและอยากได้รับความเข้าใจคือเรื่องของสินค้าและบริการต่างๆ ของจีนที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่สินค้าไฮเทคอย่างเช่น EV จนถึงสินค้าระดับโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมภาคบริการ เช่น ร้านอาหารต่างๆ คนไทยรู้สึกมีความกังวลว่า สินค้าเหล่านี้ราคาค่อนข้างได้เปรียบ และทำให้ผู้ประกอบการไทยประสบความยากลำบาก อยากให้ท่านช่วยอธิบายและชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นนี้

 

A: เรามีการติดตามเรื่องนี้มาสักพักหนึ่ง มีการอภิปรายเรื่องนี้กันแพร่หลายทั้งบนสื่อไทยและบนอินเทอร์เน็ต ขอเริ่มคุยกันจากประเด็นการค้าระหว่างประเทศ ตัวเลขการค้าระหว่างจีนและไทย จากข้อมูลสถิติของฝั่งจีนปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขส่งออกจากจีนมาไทยอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเม็ดเงินจำนวนนี้สินค้าทุนและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปคิดเป็นกว่า 80% ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมพื้นฐานโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศของจีนนั้นเหมือนกัน หรือก็คือการค้าระหว่างประเทศของจีนในช่วงหลายปีมานี้ การส่งออกสินค้ากึ่งสำเร็จรูปเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคิดเป็น 60% ของการส่งออกไปยังต่างประเทศทั้งหมด ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทั้งสิ้น เป็นวิสาหกิจจากจีนออกไปตั้งโรงงานผลิตในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ธุรกิจเหล่านี้จะมีความต้องการนำเข้าชิ้นส่วนและอะไหล่จากประเทศจีนเพื่อนำมาผลิตสินค้าในโรงงานท้องถิ่น ซึ่งสัมพันธ์กับการนำเข้า ประเทศไทยก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นสินค้าส่วนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตในไทยแล้วจึงจำหน่ายหรือส่งออก พูดง่ายๆ ก็คือจีนช่วยตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการไทยในด้านการผลิตสินค้าที่ผู้ประกอบการต้องการหรือมีความจำเป็นในท้องตลาด

 

ยกตัวอย่างเช่น การนำเข้าแผ่นซิลิคอนที่เป็นวัตถุดิบ มูลค่าการนำเข้าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นไทยก็ส่งออกโซลาร์เซลล์มูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือพูดง่ายๆ ก็คือถ้าไม่มีการนำเข้าแผ่นซิลิคอน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนี้ ก็จะไม่มีการส่งออกโซลาร์เซลล์ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหนจะพวกผลิตภัณฑ์ชีวิตประจำวัน พวกเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง และอาหาร ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จีนส่งออกไปไทยยังไม่ถึง 10% ซึ่งในบรรดาผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปไม่ถึง 10% นี้มีบางอย่างที่ส่งออกไปไทยค่อนข้างมากหน่อย ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อการผลิตและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่ผลิตสินค้าคล้ายคลึงกัน นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่ง ยังมีสินค้าอื่นๆ บางจำพวกที่ประสบปัญหาไม่ผ่านมาตรฐานการนำเข้า และมีประเด็นการได้รับใบอนุญาตมาตรฐานอาหารและยาของประเทศไทย ผู้ส่งออกอาจจะยังมีการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องอยู่ ถ้ามองอย่างเป็นกลาง ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามหรือทำผิดกฎหมายจะต้องเพิ่มการกำกับดูแล และเราก็ยินดีให้ความร่วมมือที่จำเป็น เพราะนี่คือสิ่งที่จีนสนับสนุนหรือส่งเสริมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือผู้ประกอบการที่จะออกสู่ต่างประเทศก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศหรือท้องถิ่นนั้นๆ

 

วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมบางแห่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านการแข่งขัน ก็มีความจำเป็นที่ภาครัฐของจีนต้องช่วยเหลือพวกเขาเพื่อให้มีศักยภาพในการปรับตัวต่อแรงกดดันทางการค้าระหว่างประเทศได้ดีขึ้น ให้ความช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่เราทำได้อย่างสุดกำลัง ให้พวกเขามีโอกาสทางการค้าท่ามกลางความร่วมมือด้านการค้าระหว่างสองประเทศ

 

ยังมีอีกตัวอย่าง เช่น มีสินค้าจีนมากมายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ผู้ซื้อในไทยนำเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ไทยเองก็สามารถขายสินค้าให้ผู้ซื้อในจีนผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ของไทยมีวิธีการที่ดีมาก มีการนำอินฟลูเอ็นเซอร์ของจีนมาไลฟ์ ระหว่างไลฟ์ก็เอาสินค้าขึ้นมาประชาสัมพันธ์ เป็นการเชิญมาไทยเพื่อไลฟ์แล้วก็ขายสินค้าไปยังประเทศจีนบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งยอดขายสินค้าจากประเทศไทย 5 วัน ขายได้ 1,500 ล้านบาท เรื่องแบบนี้จีนก็มีบทบาทในการส่งเสริมเช่นกัน

 

เคยมีการเสนอว่าอยากเห็นการบุกเบิกการขนส่งสินค้าการเกษตรผ่านทางน้ำ ส่งออกผลไม้ไทยไปประเทศจีนผ่านแม่น้ำโขง ข้อเสนอแบบนี้เราใช้เวลาเพียง 10 เดือนเท่านั้นในการสร้างด่านตรวจสินค้านำเข้า ด่านตรวจสอบคุณภาพสินค้า และติดตั้งเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบและกักกัน เป็นการเปิดช่องทางใหม่ในการส่งออกผลไม้ไทยผ่านระบบขนส่งทางแม่น้ำโขงไปยังจีนอีกช่องทางหนึ่ง

 

เรื่องสถานการณ์การลงทุนจากประเทศจีนก็เช่นเดียวกัน มีบริษัทในประเทศไทยที่ลงทุนโดยผู้ประกอบการจีนมาจดทะเบียนกับสถานเอกอัครราชทูตจีนประมาณ 1,000 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่มาประกอบการและเติบโตในไทย อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างคุณประโยชน์ให้กับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในด้านต่างๆ มีการจ้างงาน สั่งซื้อชิ้นส่วนในท้องถิ่น ซื้อวัตถุดิบ จัดเก็บภาษี ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจไทย ยังเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของประชากรท้องถิ่นอีกด้วย

 

บริษัทจีนล้วนมีสโลแกนที่เรียกว่า ‘อยู่ไทยทำเพื่อไทย’ พวกเขาไม่เพียงตระหนักถึงการพัฒนาสถานประกอบการของตนเท่านั้น แต่ยังตระหนักถึงการพัฒนาเศรษฐกิจไทย และมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริง สินค้าของผู้ประกอบการเหล่านี้หากต้องการติดป้าย Made in Thailand ภายใต้เงื่อนไขว่าการผลิตในท้องถิ่นเช่นนี้ ตามกฎหมายของไทย 40% ของมูลค่าเพิ่มของสินค้าต้องมาจากประเทศไทย

 

สำหรับเรื่องการจ้างงานในท้องถิ่นในหลายสถานประกอบการ มีสัดส่วนของพนักงานในท้องถิ่นเกินกว่า 90% โดยรวมคือหลายแสนคน มีพลเมืองจีนบางส่วนที่ดำเนินธุรกิจที่นี่ และยังมีประเด็นบางอย่างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้ก็เช่นกัน เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการเสริมสร้างการกำกับตรวจสอบ การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศที่แน่นแฟ้นย่อมมีปัญหาบ้างเป็นธรรมดา แต่เราต้องมองปัญหาเหล่านี้ด้วยมุมมองว่าเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง เป็นประเด็นเฉพาะ ไม่สามารถใช้ประเด็นเหล่านี้เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ไม่อาจอ้างว่าเป็นเพราะปัญหาเฉพาะเหล่านี้จึงพากันออกมาคว่ำบาตรสินค้าจีน มาประกาศว่าเราจะต้องต่อสู้กับทุนจีน ทำแบบนี้จะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางการค้าของสองประเทศ อันที่จริงจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาประเทศ และยังส่งผลเสียต่อคนไทยด้วย

 

คุณคือผู้นำ THE STANDARD สื่อทรงอิทธิพลในไทย ผมอยากร้องขอให้คุณและทีมงานของคุณทำให้คนไทยเห็นถึงความสัมพันธ์ด้านการค้าไทย-จีนในภาพรวมทุกมิติผ่านแพลตฟอร์มหรือผลงานของพวกคุณ ส่งข้อความให้กับคนไทยอย่างทั่วถึง มาทำงานร่วมกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างทั้งสองประเทศกันนะครับ เราถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน รักษาความร่วมมืออันดีต่อกันไว้ เพราะว่าสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญที่จำเป็นต่อการพัฒนาชาติ และการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยร่วมกัน

 

Q: อยากขยายความเพิ่มเติม เมื่อสักครู่ท่านทูตพูดถึงทุนจีนในแบบที่อาจจะมีการทำผิดกฎหมายอยู่บ้างแล้ว ซึ่งก็ต้องจัดการกันไป ในประเทศไทยเองตอนนี้ก็มีความกังวลเกิดขึ้น ทั้งการใช้คนไทยเป็นนอมินี มาทำงานแบบผิดกฎหมาย หรือเรื่องของคาสิโน คอลเซ็นเตอร์ต่างๆ มีข่าวถึงขั้นบอกว่าที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยนั้นมีแหล่งที่ทำผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก คำถามก็คือทางการจีนจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร

 

A: สถานการณ์นี้คือในประเทศไทยมีคำนิยามเรียกว่าทุนจีนสีเทา ซึ่งเป็นคำที่ดูเทาๆ มีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน ผมอยากขอคำชี้แนะหน่อยครับ ทุนจีนที่ว่าหมายถึงธุรกิจสีเทาหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายโดยมีทุนจากจีน หรือว่าหมายถึงการลงทุนทุกรูปแบบที่มีประเด็นหรือข้อสงสัยว่าทำผิดกฎหมาย นับเป็นทุนจีนสีเทาทั้งหมดหรือไม่ครับ

 

Q: (อธิบายเสริม): ทั้งหมดเลยครับ ทั้งผิดกฎหมาย หรืออาจจะผิดกฎระเบียบในการแข่งขันเชิงธุรกิจ หลากหลายมุมรวมกัน

 

A: ผมคิดว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่สำคัญมาก คิดว่าควรปฏิบัติตามกฎหมาย ปฏิบัติตามระเบียบ ธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นไปตามข้อกำหนดเราก็ต้องเคารพและปกป้อง พวกละเมิดกฎหมาย ผิดกฎหมาย เราต้องยับยั้งและจัดการ

 

เมื่อสักครู่เราเพิ่งพูดถึงเรื่องพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างการพนัน ยาเสพติด มิจฉาชีพออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง สิ่งนี้จำเป็นต้องมีมาตรการปราบปรามอย่างรุนแรงจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย 

 

ซึ่งในแง่มุมนี้ทั้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของจีนและไทยต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จีนให้ความสำคัญกับการกวาดล้างการพนัน ยาเสพติด และการฉ้อโกงออนไลน์เป็นอันดับแรก เรายังให้ความร่วมมืออันดีในคดีต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมผ่านกิจกรรม โครงการช่วยเหลือ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก

 

นอกจากความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคีระหว่างจีนและไทยแล้ว ยังมุ่งเป้าไปที่อาชญากรรมข้ามพรมแดนด้วย จีน, สปป.ลาว, เมียนมา และไทย 4 ประเทศ มีการก่อตั้งกลไกความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างทุกฝ่ายในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ 

 

โดยสรุปยังมีประเด็นปัญหาเฉพาะกับทุนสีเทา อันนี้ต้องยอมรับ แต่ว่าเมื่อเทียบกับบริษัทจีนที่มาลงทุนทั้งหมดในประเทศไทย ถือเป็นปัญหาส่วนน้อยเท่านั้น พวกเรากำลังใส่ใจและกำลังแก้ไขปัญหา

 

ในเวลาเดียวกันจีนเองก็มีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เป็นมิตร เปรียบเทียบให้เห็นครับว่า ผืนป่าอันเขียวขจี อุดมสมบูรณ์ และเจริญเติบโตได้ดี แต่มีแมลงศัตรูพืชอยู่ในนั้นด้วย สิ่งที่เราควรทำคือจับแมลงพวกนี้ออกไป แต่ไม่ใช่การทำลายป่าทั้งผืนเพียงเพราะว่ามีศัตรูพืช

 

Q: ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอย่างที่บอกตั้งแต่ต้น ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาเรามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และผมคิดว่าหลังจากนี้เราก็อยากเห็นสถานการณ์ที่วิน-วินทั้งสองฝ่าย ท่านทูตมีคำแนะนำถึงทางการไทย รัฐบาลไทย หรือผู้ประกอบการไทยจำนวนมากที่เป็นผู้ฟังของ THE STANDARD อย่างไร

 

A: ผู้บริโภคจีนมีกำลังซื้อ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นกำลังซื้อขนาดใหญ่ในตลาดผู้บริโภค ซึ่งเรายินดีต้อนรับสินค้าดีๆ จากไทยอย่างจริงใจให้ส่งออกไปยังตลาดจีน นอกจากตลาดจีนจะมีความต้องการสินค้าไทยแล้ว การค้าขายจะช่วยส่งเสริมให้บรรลุนโยบายการพัฒนาร่วมกัน เกิดความเจริญรุ่งเรือง และสร้างประชาคมไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน 

 

ดังนั้นจากมุมมองของภาครัฐ เราจึงต้องดำเนินการต่อไปเพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับการค้าระหว่างสองประเทศ เช่น ผมเพิ่งพูดถึงการเปิดช่องทางการขนส่งทางน้ำในแม่น้ำโขง การบุกเบิกช่องทางส่งออกผลไม้ไทยไปยังจีน จากนั้นเราจะมีนโยบายระหว่างทั้งสองประเทศ เชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ สร้างเส้นทางการค้าขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันยังต้องการส่งเสริมการเชื่อมโยงในนโยบายต่างๆ เช่น ด่านศุลกากร นโยบายตรวจสินค้านำเข้า การตรวจสอบและกักกัน ขั้นตอนการเข้า-ออกต่างๆ สิ่งเหล่านี้ต้องพัฒนาร่วมกัน เช่นนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย 

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็คือ เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน และกรอบ RCEP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ซึ่งมีการอำนวยความสะดวกในแง่ของการลงทุนการค้า สร้างความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาคเดียวกัน ระบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ การเพิ่มจำนวนการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังจีน

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็คือ การก่อตั้งสมาคมหรือองค์กรต่างๆ ที่มีบทบาทในการส่งเสริมความร่วมมือหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างการเชื่อมโยงหรือการประสานงานระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์บางอย่างขึ้น การที่มีการเชื่อมโยงที่ดีกว่าจะทำให้เกิดผลบางอย่างที่สามารถสนับสนุนและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างสองฝ่ายให้มากขึ้น เสริมสร้างการทำธุรกิจร่วมกันหรือทำให้การติดต่อทางการค้าราบรื่นยิ่งขึ้น ผ่านข้อมูลที่จำเป็นต่อทั้งสองประเทศเกี่ยวกับตลาดและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น

 

สินค้าจากประเทศไทยได้รับความนิยมในตลาดจีนมาก แล้วยังมีสินค้าอีกหลายชนิดที่ยังไม่มีในตลาดจีน แต่หากเข้ามาได้แล้วจะได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ทุเรียน ไม่ใช่แค่มันสำปะหลัง และไม่ใช่แค่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก เรามักเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เวลากลับประเทศต้องนำสินค้าหรือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยติดตัวกลับไปด้วย แต่บ่อยครั้งที่คุณไปที่ร้านแล้วมีสินค้าที่คุณชอบ แต่เขาขายให้คุณได้เพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้นเพราะหมดสต็อก

 

สินค้าแบบหนึ่งหากไปถูกทางแล้วจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลจากตลาดขนาดใหญ่ของจีน ซึ่งน่าจะเกินกว่าที่ผู้คนจะคาดคิดได้ ทุเรียนเป็นเพียงผลไม้ชนิดหนึ่ง ทุเรียนไทยส่งออกไปจีนมีมูลค่ามากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี ตลาดของจีนใหญ่ เราเต็มใจมากที่จะร่วมมือกับนักธุรกิจไทยที่อยู่ในวงการทุเรียน เราน่าจะพบเจอจุดเติบโตใหม่ของการค้าระหว่างทั้งสองประเทศเฉกเช่นเดียวกับการค้าทุเรียน

 

อีกอย่างที่เป็นรูปธรรม ตอนนี้เพื่อนชาวไทยเริ่มสนใจแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสะดวกสบายมากขึ้นในการนำสินค้าจากจีนเข้ามาที่ไทย แต่ผมหวังว่าผู้ส่งออกชาวไทยจะสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ให้เกิดประโยชน์ได้เช่นเดียวกับความสำเร็จของกระทรวงพาณิชย์ไทยเมื่อไม่นานมานี้ ที่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการจับจ่ายออนไลน์ คงจะเป็นการดีหากผู้ประกอบการไทยจะมีรูปแบบการค้าใหม่ เครื่องมือทำมาหากินใหม่ ภายใต้เงื่อนไขของเทคโนโลยีเครือข่ายดิจิทัลที่ทันสมัย

 

สินค้าส่งออกของไทยโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคมาค้าขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซจีนแล้ว จะทำให้ไทยเสียดุลการค้าให้กับจีน นี่ไม่ใช่เป้าหมายของจีน และไม่ใช่นโยบายของจีนด้วย เราไม่มีความต้องการให้ไทยเสียดุลการค้าใดๆ แต่จริงๆ มันก็เป็นผลลัพธ์อย่างหนึ่งของเงื่อนไขกลไกตลาดที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานเท่านั้นเอง

 

อีกสิ่งหนึ่งก็คือสนับสนุน SMEs ไทย ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความกดดันของการแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบัน และยังมีเรื่องอื่นๆ นั่นคือธุรกิจจีนในไทย พวกเขาดำเนินธุรกิจได้ชาญฉลาดมาก นั่นคือพยายามใช้อะไหล่และวัสดุท้องถิ่นให้ดี เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุตสาหกรรม ก่อนหน้านี้ผมได้พบกับผู้ประกอบการจีนในไทย พวกเขามีซัพพลายเออร์ในท้องถิ่น 400-500 ราย หวังว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย กับผู้ประกอบการจีนจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากต้นน้ำไปถึงปลายน้ำในด้านอุปทาน และได้เจอโอกาสในการพัฒนาใหม่ๆ

 

การที่ผู้ประกอบการไปลงทุนในต่างประเทศ และจะสร้างความคุ้นเคยกับ Ecosystem จนสามารถหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่นอย่างสมบูรณ์ กระบวนการนี้จะต้องใช้เวลา ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจะช่วยส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมท้องถิ่นได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

The post ทูตจีนตอบเรื่องทุนจีน ทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมไทยอาจเจ็บหนักกว่าจีนจาก Trade War 2.0? https://thestandard.co/thailands-risks-under-trade-war-2-0/ Thu, 14 Nov 2024 01:01:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1008329 Trade War 2.0

หลายคนมองว่าสงครามการค้ารอบใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ จีนจะ […]

The post ทำไมไทยอาจเจ็บหนักกว่าจีนจาก Trade War 2.0? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Trade War 2.0

หลายคนมองว่าสงครามการค้ารอบใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ จีนจะเจ็บหนัก ส่วนไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย และจากที่ไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกาแทนสินค้าจีน แต่ผมเกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเลยครับ

 

จีนเจ็บแน่ แต่เกรงว่าที่จะเจ็บหนักยิ่งกว่าจีนคือประเทศกลุ่ม Middle Power ต่างๆ รวมทั้งไทยด้วย

 

เพราะ Trade War 2.0 จะไม่เหมือนกับสงครามการค้ารอบก่อนที่ประเทศกลุ่ม Middle Power เช่น เวียดนาม เม็กซิโก อินเดีย รวมถึงไทย ได้ประโยชน์ ส้มหล่นจากการย้ายฐานการลงทุนออกจากจีน และสหรัฐฯ เองซื้อสินค้าราคาถูกจากประเทศเหล่านี้แทนสินค้าจีน

 

แต่นโยบายการค้ารอบนี้ของทรัมป์ชัดมากว่าไม่เหมือนเดิม เพราะเขาประกาศ 3 ข้อ

 

ข้อแรก จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนที่อัตราร้อยละ 60 เท่ากับ 4 เท่าจากรอบที่แล้ว


ข้อ 2 จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าทั่วโลกที่อัตราร้อยละ 10

 

ข้อ 3 จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้ากับคู่ค้าแต่ละประเทศสูงขึ้นเรื่อยๆ (อัตราร้อยละ 10 นั้นแค่เริ่มต้น) จนกว่าจะถึงจุดสมดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ

 

ความเข้าใจผิดของเราคือ เราไปโฟกัสความสนใจกันที่ข้อ 1 เพราะถ้ามีแค่ข้อ 1 ผลก็จะคล้ายๆ สงครามการค้ารอบที่แล้วที่บริษัทจะย้ายออกจากจีนไปที่อื่น เพื่อขายไปยังตลาดสหรัฐฯ

 

แต่เป้าหมายของทรัมป์รอบนี้ชัดเจนว่ารอบก่อนยังแรงไม่พอ เพราะรอบก่อนทำให้สหรัฐฯ เพียงเปลี่ยนจากซื้อจากจีนเป็นซื้อจากเวียดนาม เม็กซิโก ไทย และประเทศอื่นๆ แทน แต่รอบนี้เขาต้องการให้เกิดผลให้โรงงานย้ายกลับไปผลิตที่สหรัฐฯ เพื่อให้เกิดมหกรรมการลงทุนครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และฟื้นอุตสาหกรรมการผลิตในสหรัฐฯ ให้เกิดการจ้างงานชนชั้นกลางคนขาวชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นฐานเสียงของเขา

 

ถ้าเพิ่มจากข้อแรกซัดจีน บวกแค่ข้อ 2 คือขึ้นภาษีทั่วโลกอัตราร้อยละ 10 ก็ยังพอเป็นไปได้ว่าจะย้ายฐานการผลิตจากจีนไปที่อื่นและปรับตัวกันไป ยอมเสียภาษีร้อยละ 10 (แต่ดีกว่าผลิตที่จีนเสียร้อยละ 60) แต่นี่เขายังมีข้อ 3 ด้วย คือจะค่อยๆ ขึ้นภาษีสูงขึ้นเรื่อยๆ หากสหรัฐฯ ยังขาดดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ อยู่ จนกว่าจะถึงจุดสมดุลทางการค้า

 

ถ้าเราเป็นบริษัทในจีนที่ผลิตสินค้าส่งไปสหรัฐฯ สัญญาณจากทรัมป์กำลังบอกว่า ถ้าอยากขายให้ตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดในโลก ทางเดียวคือต้องมาผลิตที่สหรัฐฯ เท่านั้น หากย้ายไปเวียดนาม เม็กซิโก ไทย หรือที่อื่น ต่อไปก็จะโดนภาษีอยู่ดี และจะค่อยๆ เก็บสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

 

ผมจึงมีข้อสรุปที่อาจแปลกกว่าที่พวกเราเคยได้ยินกันคือ คนที่จะเจ็บหนักที่สุดจาก Trade War 2.0 อาจไม่ใช่จีน แต่กลายเป็นประเทศกลุ่ม Middle Power เดิมที่เคยได้ประโยชน์จากสงครามการค้ารอบแรก รอบนี้จะไม่ได้ประโยชน์และจะเจ็บตัวหนัก

 

เพราะประเทศกลุ่ม Middle Power (รวมทั้งไทยด้วย) กำลังจะถูกแรงบีบทั้ง 3 ทางพร้อมกัน ตลาดใหญ่ที่สุดอันดับ 1 อย่างสหรัฐฯ ก็ส่งไปไม่ได้ เพราะสหรัฐฯ จะปิดตลาด เพื่อบีบให้บริษัทย้ายฐานกลับมาผลิตที่สหรัฐฯ

 

ตลาดอันดับ 2 อย่างจีนก็จะปิดตัวมากขึ้นเองโดยธรรมชาติ (ถึงแม้จีนคงจะประชาสัมพันธ์ว่าจะเปิดตลาด) เพราะสินค้าจีนส่งไปสหรัฐฯ ไม่ได้ ก็ต้องเน้นขายในตลาดจีน สินค้าต่างชาติยากจะเข้าไปแย่งส่วนแบ่ง แถมเศรษฐกิจจีนที่มีปัญหาภายในก่อนหน้านี้อยู่แล้ว และถูกซัดซ้ำจากสงครามการค้าของทรัมป์ ก็จะมีกำลังซื้อลดลงจากเดิมมาก

 

ส่วนตลาดที่เหลือทั่วโลกก็จะแย่ลง เพราะ 1. คลื่นสินค้าราคาถูกจากจีนเมื่อไปสหรัฐฯ ไม่ได้ และเมื่อกำลังซื้อภายในจีนเองก็ลด ก็ย่อมจะออกมาบุกตลาดเหล่านี้มากขึ้น 2. ทุกคนย่อมจะอ่อนแอลงหมด เพราะภาคส่งออกของแต่ละที่ไม่สามารถส่งสินค้าไป 2 ตลาดใหญ่ที่สุดของโลกได้อย่างเมื่อก่อน กำลังซื้อโลกก็จะหดตัวลงมาก ก้อนการค้าโลก ก้อนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ยังเหลืออยู่จะเล็กลงจากเดิมมาก

 

จีนนั้นเจ็บหนัก เจ็บแน่ ประเมินว่าการเติบโตของ GDP จีนอาจติดลบจากเดิมถึงร้อยละ 2 แต่จีนก็ยังพอมีความแข็งแกร่งภายในที่ยังอดทนฝ่ามรสุมไปได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดภายในที่ใหญ่ ความได้เปรียบเรื่องราคาสินค้าจีนที่จะส่งออกไปยังตลาดอื่นแทน คนจีนยังมีเงินเก็บมากและไม่มีหนี้ครัวเรือน ทำให้อดทนต่อความยากลำบากได้ และจีนยังมีภาคเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมา รวมทั้งภาคพลังงานสะอาดที่จีนจะสวมบทผู้นำแทนสหรัฐฯ ที่จะถอยจากวงการนี้

 

ส่วนสหรัฐฯ เองก็คงแย่ลง คนสหรัฐฯ จะต้องซื้อของราคาแพงขึ้น แต่ทีมมันสมองด้านเศรษฐกิจของทรัมป์อย่าง โรเบิร์ต ไลต์ไทเซอร์ ประกาศแล้วว่า ถ้าให้เลือกระหว่างคนสหรัฐฯ ตกงาน แต่ได้ซื้อของราคาถูกจากจีน เวียดนาม และเม็กซิโก กับให้คนสหรัฐฯ มีงานดีๆ ในโรงงานทำ แต่ซื้อของราคาแพงขึ้นหน่อย เขาเลือกแบบที่ 2 เขาต้องการให้อุตสาหกรรมการผลิตกลับมาเป็นฐานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (ไม่ต้องพึ่งสินค้าจากข้างนอก โดยเฉพาะจากศัตรูคู่แข่งอย่างจีน รวมทั้งจากที่อื่นที่ก็อาจเป็นจีนแปลงตัวไปผลิตที่นั่นหรือเชื่อมกับซัพพลายเชนจีนอยู่ดี) 

 

แต่ประเทศ Middle Power นี่สิครับจะแย่กันหมด ไม่ว่าจะเป็นยุโรปที่น่าจะเกิดภาวะ Recession ต่อเนื่องแน่ โดยเฉพาะเยอรมนีที่พึ่งพาทั้งตลาดสหรัฐฯ และจีน และแน่นอน เวียดนาม เม็กซิโก อินเดีย รวมทั้งไทย ก็จะเจ็บตัวกันหมด อย่าหวังว่าจะเป็นตาอยู่ได้คว้าพุงปลามากินเหมือนครั้งก่อน

 

ยิ่งหากเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง และพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และตลาดจีนสูงอย่างไทย และกำลังซื้อภายในเปราะบางด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือน ย่อมจะเผชิญความท้าทายจากโครงสร้างเศรษฐกิจมากเป็นพิเศษจากสงครามการค้ารอบใหม่ของทรัมป์ 

 

ส่วนหากใครยังแอบหวังลึกๆ ว่านโยบายการค้าของทรัมป์เป็นเพียงคำขู่เอาไว้ใช้เจรจาต่อรอง หรือคงไม่ทำถึงในระดับที่หาเสียงไว้ ผมคิดว่าท่านน่าจะผิด เพราะทรัมป์และทีมของทรัมป์ชัดเจนในทุกการสัมภาษณ์ว่าแผนการใหญ่ของเขาเป็นแผนในระดับ ‘ปฏิวัติ’ โครงสร้างเศรษฐกิจโลก เลิกโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ และมีทีมของเขาออกมาเตือนนักลงทุนแล้วว่าทำจริง และที่สำคัญจะทำเร็ว (เริ่มทันที) และทำแรงด้วย

 

ใครจึงอย่าคิดว่าสงครามการค้ารอบใหม่จะคล้ายรอบเก่า เรากำลังพูดถึง Trade War คนละสเกลและคนละเป้าหมาย ครั้งที่แล้วแค่เพียงว่าจะไม่ซื้อจากจีน ไปซื้อจากที่อื่นแทน แต่ครั้งนี้ต้องการถึงขั้นบีบให้บริษัทมาผลิตที่สหรัฐฯ หากยังต้องการเข้าถึงตลาดใหญ่ที่สุดในโลกต่อไป

 

ภาพ: Allison ROBBERT / POOL / AFP

The post ทำไมไทยอาจเจ็บหนักกว่าจีนจาก Trade War 2.0? appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ SMR ปลอดภัยจริงไหม ทำไมจีนไม่กลัว https://thestandard.co/china-smr-nuclear-power-plant/ Sat, 02 Nov 2024 08:04:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1003119

ในยุคสีจิ้นผิง จีนมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการทำ Green Tr […]

The post โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ SMR ปลอดภัยจริงไหม ทำไมจีนไม่กลัว appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในยุคสีจิ้นผิง จีนมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการทำ Green Transition มุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียวและพัฒนาพลังงานสะอาด เช่น การระบุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของจีนฉบับล่าสุด กำหนดให้ดัชนีด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานเป็นเป้าหมายที่มีสภาพบังคับต้องทำให้สำเร็จตามกรอบเวลาที่วางไว้ ทิศทางจีนจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง เช่น การตั้งเป้าหมายที่จะให้รถทุกคันในจีนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด รวมทั้งล่าสุดมีการผลักดันอุตสาหกรรม ‘สามใหม่’ (New Three Industries) ได้แก่ 1. รถยนต์ไฟฟ้า EV 2. แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และ 3. เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Photovoltaic) ซึ่งล้วนมุ่งสู่ทิศทางหลักของประเทศจีนในการพัฒนาพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง

 

ทั้งภาครัฐและเอกชนของจีนต่างทุ่มเทพัฒนาและคิดค้นวิธีการใช้ประโยชน์จากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ยุคใหม่ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น และเป็นการผลิตไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของจีน คือการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2060

 

ล่าสุดจีนกลายเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กหรือ Small Modular Reactor (SMR) ซึ่งเป็นนวัตกรรมล้ำสมัยของเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ หรือ Nuclear 4.0 โรงไฟฟ้า SMR มีขนาด 300 เมกะวัตต์ ควบคุมดูแลความปลอดภัยได้ง่าย เป็นพลังงานสะอาด และสามารถผลิตไฟฟ้าที่มีความเสถียรสูง รวมทั้งมีอีกหลายประเทศที่เริ่มพัฒนาและออกแบบโรงไฟฟ้า SMR เช่น เกาหลีใต้ รวมทั้งเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยคืออินโดนีเซีย

 

กรณีศึกษาประสบการณ์ของจีนในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR 

 

ช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ดิฉันมีโอกาสเดินทางไปลงพื้นที่เกาะไห่หนาน (ไหหลำ) เพื่อเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR แห่งแรกของจีน โดยเดินทางร่วมกับคณะผู้บริหารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และทีมนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์อีกหลายท่าน

 

โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Changjiang Nuclear Power Plant ที่คณะจากไทยมีโอกาสเข้าไปสำรวจ Site Visit ตั้งอยู่ริมทะเลที่เมืองฉางเจียงบนเกาะไห่หนาน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR แห่งแรกของจีน ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท Hainan Nuclear Power: HNPC เป็นบริษัทในสังกัดของ China National Nuclear Corporation: CNNC รัฐวิสาหกิจหลักของจีนที่มีประสบการณ์ด้านการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์มานานกว่า 40 ปี

 

ที่ผ่านมาโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของ HNPC แห่งนี้เปิดใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบ CNP650 เพื่อผลิตไฟฟ้าอยู่ก่อนแล้ว (กำลังการผลิตหน่วยละ 650 เมกะวัตต์) และมีเครื่องปฏิกรณ์แบบ ACP1000 ที่เปิดใช้งานแล้วเช่นกัน (กำลังการผลิตหน่วยละ 1200 เมกะวัตต์)

 

ในส่วนของโรงไฟฟ้าแบบ SMR ที่คณะจากไทยเข้าไปเยี่ยมชมจะใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า ACP100 หรือ Linglong One ขนาด 125 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาและออกแบบโดยบริษัท CNNC และผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยโดยสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) โดยล่าสุดเดือนสิงหาคม 2023 เริ่มมีการติดตั้งเตาปฏิกรณ์ Linglong One ซึ่งคาดว่าจะเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2026

 

สำหรับเชื้อเพลิงที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์ SMR คือยูเรเนียมออกไซด์ (ความเข้มข้นน้อยกว่า 5%) ออกแบบให้เดินเครื่องอย่างต่อเนื่องได้นาน 24 เดือน มีอายุการใช้งานนาน 60 ปี และโรงไฟฟ้า SMR ใช้เนื้อที่โดยรวมประมาณ 125 ไร่

 

ในการลงพื้นที่ดูงานครั้งนี้ ฝ่ายจีนที่มาให้ข้อมูลมีทั้งทีมผู้บริหาร CNNC ที่บินตรงมาจากกรุงปักกิ่ง และทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จากมณฑลอื่น (เช่น เสฉวน) มาร่วมให้ข้อมูลและตอบข้อซักถาม และพาคณะฯ เข้าเยี่ยมชมใน Exhibition Hall จัดแสดงข้อมูลและวิดีโอแบบจำลองของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่มีการใช้งานจริงในจีน รวมทั้งพาเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมฯ ที่มีการจำลองระบบทั้งหมดอยู่ในห้องคอนโทรล เพื่อควบคุมเครื่องปฏิกรณ์ที่มีการใช้ผลิตพลังไฟฟ้าแบบ Real Time จากของจริง ซึ่งพนักงานทุกคนจะต้องผ่านการอบรมและจะต้องสอบใบอนุญาตอย่างเป็นระบบตามหลักสากล

 

แน่นอนว่าประเด็นที่คนทั่วไปอาจกังวลและตั้งคำถามคือ การใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อผลิตไฟฟ้าแบบ SMR จะมีความปลอดภัยแค่ไหน มีความเสี่ยงสูงหรือไม่ ทีมวิศวกรที่ร่วมประชุมหารือด้วยจึงอธิบายในประเด็นนี้ว่า “เครื่องปฏิกรณ์แบบ SMR มีความปลอดภัยสูง ออกแบบให้เป็นเครื่องปฏิกรณ์ประเภทใช้ระบบน้ำอัดแรงดันที่มีการรวมอุปกรณ์หลายส่วนไว้ภายในถังปฏิกรณ์ (Integrated PWR) โดยใช้น้ำเป็นตัวกลางระบายความร้อน และใช้หลักการออกแบบให้ง่ายขึ้น (Simplification) มีการรวมระบบกำเนิดไอน้ำไว้ในโมดูล และเพิ่มระดับความปลอดภัยแบบ Passive ซึ่งทำงานโดยไม่ต้องใช้แหล่งจ่ายไฟภายนอก อาศัยหลักการพาความร้อนแบบธรรมชาติ (Natural Convection) เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น”

 

สำหรับจุดเด่นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก SMR มีอะไรบ้าง และจะมีความแตกต่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่แบบดั้งเดิมอย่างไร จากข้อมูลที่ได้รับจากการลงพื้นที่ครั้งนี้ ขอสรุปในแต่ละประเด็น ดังนี้

 

  1. โรงไฟฟ้า SMR เป็นการผลิตไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงเป็นพลังงานสะอาดและก่อให้เกิดกากกัมมันตรังสี (Nuclear Waste) ในปริมาณน้อยกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิม

 

  1. โรงไฟฟ้า SMR มีขนาดเล็กลง ทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างต่ำกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิม และลดความเสี่ยงทางการเงินได้มากกว่า

 

  1. โรงไฟฟ้า SMR ให้กำลังการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่า 300 เมกะวัตต์ จัดการด้านความปลอดภัยได้ง่ายกว่า และเพียงพอในการใช้ประโยชน์ (สามารถเพิ่มจำนวนโมดูลหากต้องการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า) ในขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปแบบเดิมจะให้กำลังการผลิตมากกว่า 1000 เมกะวัตต์

 

  1. โรงไฟฟ้า SMR ใช้พื้นที่น้อยกว่า (ประมาณ 100-125 ไร่) ในขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมจะใช้เนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่

 

  1. โรงไฟฟ้า SMR ก่อสร้างได้รวดเร็วกว่าคือประมาณ 3-4 ปี ในขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมใช้เวลาก่อสร้างนาน 5-6 ปี

 

  1. โรงไฟฟ้า SMR ก่อสร้างได้สะดวกกว่า เนื่องจากอุปกรณ์หลักจะประกอบเบ็ดเสร็จจากโรงงานผลิตก่อนจะมาติดตั้งในพื้นที่ ในขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมจำเป็นต้องมีการก่อสร้างในพื้นที่เป็นหลัก

 

  1. โรงไฟฟ้า SMR มีการออกแบบให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการผลิตไฟฟ้า ผลิตความร้อน ผลิตไอน้ำ หรือแยกเกลือออกจากน้ำทะเล และเหมาะกับพื้นที่ที่มีโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กหรือพื้นที่ห่างไกล

 

  1. ด้านระบบความปลอดภัย เทคโนโลยีของ SMR มีความปลอดภัยสูง ทำงานแบบไม่ต้องอาศัยแหล่งจ่ายไฟภายนอก ใช้หลักการพาความร้อนแบบธรรมชาติ (Natural Convection) เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

 

  1. ในการจัดทำแผนฉุกเฉิน Emergency Zone สำหรับโรงไฟฟ้า SMR จะอยู่ภายในรัศมีน้อยกว่า 1 กิโลเมตร ในขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมที่มีขนาดใหญ่ต้องทำแผนฉุกเฉินรัศมี 16 กิโลเมตร

 

 

ไทยเรียนรู้อะไร

 

ในยุคที่โลกเราขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI และมีการใช้เครื่องมือเครื่องใช้อัจฉริยะในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาล ในขณะเดียวกันก็ต้องการที่จะลดการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากฟอสซิลแบบดั้งเดิมที่ก่อมลพิษ หันมาผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดให้มากขึ้น ดังนั้นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด SMR ที่ไม่ปล่อยก๊าซ CO₂ จึงเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก หลายบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Microsoft และ Google ก็เริ่มที่จะนำไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ SMR มาป้อนให้กับศูนย์ Data Center ของตน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าโรงไฟฟ้า SMR คือตัวเปลี่ยนเกมสู่อนาคต แล้วประเทศไทยจะพร้อมรับกับ SMR นวัตกรรมสุดล้ำแห่งอนาคตนี้หรือไม่

 

ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะประเทศจีน หากแต่มีมากกว่า 18 ประเทศที่มีการพัฒนาและออกแบบโรงไฟฟ้า SMR มากกว่า 80 แบบ ประเทศไทยจึงควรคัดเลือกแบบและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทและเงื่อนไขของประเทศไทย และจำเป็นต้องศึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายต่อไป รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมในทางเทคนิคเพื่อการใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้า SMR อย่างปลอดภัยสูงสุด ตลอดจนหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีการสื่อสารส่งต่อข้อมูล SMR ที่ควรรู้สำหรับคนไทยทั่วไป เพื่อให้มีความเข้าใจ คลายข้อกังวล และมีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับนวัตกรรมแห่งอนาคตเหล่านี้ด้วย

 

ภาพ: Luo Yunfei / China News Service / VCG via Getty Images

The post โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ SMR ปลอดภัยจริงไหม ทำไมจีนไม่กลัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐบาลอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 4 ธ.ค. – 14 ก.พ. 68 ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ สานสัมพันธ์ 50 ปี ไทย-จีน https://thestandard.co/buddha-tooth-relic-4-dec-14-feb-68/ Tue, 29 Oct 2024 09:35:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1001377

วันนี้ (29 ตุลาคม) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายก […]

The post รัฐบาลอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 4 ธ.ค. – 14 ก.พ. 68 ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ สานสัมพันธ์ 50 ปี ไทย-จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (29 ตุลาคม) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากสาธารณรัฐประชาชนจีนมาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนในปี 2568

 

จิรายุกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนเคยอนุญาตให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ไปประดิษฐานในประเทศต่างๆ แล้ว 6 ครั้ง โดยอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล ที่ประเทศไทยครั้งแรกในปี 2545 ในสมัยรัชกาลที่ 9 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ เป็นสิริมงคลยิ่งต่อพุทธศาสนิกชนไทย-จีน โดยทั้งสองประเทศต่างมีพระพุทธศาสนาเป็นที่ยึดโยงจิตใจ และเป็นรากฐานสำคัญทางวัฒนธรรม

 

ทั้งนี้ รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานที่ประเทศไทยในครั้งนี้ จะช่วยสานต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทย-จีนให้แน่นแฟ้น โดยผ่านสายสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนา และผลักดันการเสริมสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย-จีน พร้อมส่งเสริมในคำว่า ‘ไทย-จีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ ให้ยิ่งหยั่งลงรากลึกในจิตใจ จึงขอเชิญชวนประชาชนไปร่วมนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ

The post รัฐบาลอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 4 ธ.ค. – 14 ก.พ. 68 ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ สานสัมพันธ์ 50 ปี ไทย-จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์มองการค้าโลกต่างจากไบเดนอย่างไร? กับคำถามโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจถึงทางตัน? https://thestandard.co/trump-biden-world-trade-policies-compared/ Tue, 29 Oct 2024 07:48:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1001326 ทรัมป์ ไบเดน

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชัดยิ่งกว่าชัดว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสิ […]

The post ทรัมป์มองการค้าโลกต่างจากไบเดนอย่างไร? กับคำถามโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจถึงทางตัน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ ไบเดน

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชัดยิ่งกว่าชัดว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าต่อจีน 4 เท่าตัวจากเดิม และจะขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าทั่วโลกร้อยละ 10 เรียกได้ว่าหากเขาชนะจะเกิดสงครามการค้าที่ใหญ่กว่าในยุครัฐบาลทรัมป์รอบแรกหลายเท่า

 

หลายคนนึกว่าทรัมป์คงพูดเล่นๆ เอามันเพื่อเรียกคะแนนนิยม ไม่ได้คิดมาอย่างจริงจังนักหรอก แต่ผมเกรงว่านี่อาจเป็นนโยบายที่มีมันสมองชั้นเลิศคิดมาให้แล้ว (ซึ่งทำให้มีแนวโน้มที่จะถูกนำไปปฏิบัติจริงหากเขาชนะการเลือกตั้ง)

 

มันสมองคนนี้ก็คือ โรเบิร์ต ไลต์ไทเซอร์ (Robert Lighthizer) อดีตผู้แทนการค้าของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งเคยรับผิดชอบการทำสงครามการค้ากับจีน เขาเขียนอธิบายแนวคิดเบื้องหลังนโยบายการค้านี้ไว้อย่างละเอียดในหนังสือชื่อ No Trade Is Free: Changing Course, Taking on China, and Helping America’s Workers ซึ่งตีพิมพ์ออกมาเมื่อปีที่แล้ว

 

ไลต์ไทเซอร์อธิบายว่า ในด้านการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่จะมีเป้าหมาย 4 ข้อ หากเราเอา 4 ข้อนี้มาพิจารณากันแล้วจะเห็นได้ว่า เป็นแนวคิดที่แตกต่างโดยพื้นฐานจากแนวคิดของไบเดนและพรรคเดโมแครต 

 

เป้าหมายหนึ่งของทรัมป์คือ เลิกโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ทรัมป์มองว่าโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ (Economic Globalization) ซึ่งหัวใจก็คือการค้าเสรี (Free Trade) เป็นโทษต่อชนชั้นแรงงานสหรัฐฯ เพราะส่งผลให้ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เหือดแห้งไป ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำและการสูญสลายของชนชั้นกลาง 

 

ความเชื่อนี้แตกต่างโดยพื้นฐานจากแนวคิดของทีมไบเดน อย่าง เจเน็ต เยลเลน รมว.คลังของไบเดน ยังคงมองว่าการค้าเสรีเป็นคุณต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าโทษ (ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ยอมรับกันทั่วไป) เพียงแต่ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง จึงจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงออกจากจีน ทำการ ‘Friendshoring’ ไปยังประเทศอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนของสหรัฐฯ แทน

 

ในยุคไบเดน แทนที่จะนำเข้าจากจีน สหรัฐฯ ก็นำเข้าจากเวียดนามและอินเดียแทน แต่สหรัฐฯ ก็ยังได้สินค้าราคาถูกและผู้บริโภคชาวอเมริกันก็ยังได้ประโยชน์จากสินค้าราคาถูกเหล่านี้ โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจจึงไม่ได้สิ้นสุด เพียงแต่ย้ายออกจากจีนไปที่อื่นเท่านั้น ทั้งหมดนี้แตกต่างจากแนวคิดของทรัมป์ที่ต้องการเลิกโลกาภิวัตน์ 

 

เป้าหมายที่ 2 ของทรัมป์คือ การรื้อฟื้นอุตสาหกรรมการผลิตขึ้นอีกครั้งในสหรัฐฯ (Reindustrialization of US Manufacturing) ทีมทรัมป์ต้องการให้โรงงานย้ายฐานการผลิตกลับมาที่สหรัฐฯ และสร้างงานให้ชนชั้นแรงงานในสหรัฐฯ

 

ต่างจากแนวคิดของทีมไบเดนที่ขอเพียงโรงงานย้ายจากจีนไปที่อื่น เช่น เวียดนาม อินเดีย หรืออินโดนีเซีย ก็เพียงพอแล้ว ทีมไบเดนไม่เชื่อว่าสหรัฐฯ มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในด้านการผลิตอีกต่อไป ซื้อจากต่างประเทศถูกและคุ้มค่ากว่า

 

เป้าหมายที่ 3 ของทรัมป์คือ บรรลุสมดุลการค้า (Trade Balance) กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในหนังสือของไลต์ไทเซอร์จึงเสนอว่าจะต้องขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าจากคู่ค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าด้วยอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าสหรัฐฯ จะหยุดขาดดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ

 

แตกต่างจากทีมไบเดนที่ไม่ได้มองว่าการขาดดุลการค้าเป็นปัญหาโดยตัวมันเอง ทีมไบเดนมองว่าเป็นไปตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อสหรัฐฯ ไม่มีความได้เปรียบในเรื่องค่าแรงและการผลิต ก็ยกระดับไปทำภาคอุตสาหกรรมขั้นสูงกว่า เช่น ภาคการเงินหรือภาคการวิจัยและพัฒนา อีกทั้งใช้ประโยชน์จากการค้ากับคู่ค้าที่ถนัดในเรื่องการผลิตมากกว่าสหรัฐฯ 

 

อ่านหนังสือของไลต์ไทเซอร์แล้วขอเตือนว่า นโยบายของทรัมป์ที่ประกาศจะขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าทั่วโลกร้อยละ 10 อาจเป็นเพียงอัตราเริ่มต้นเท่านั้น โดยอาจขึ้นไปมากกว่านี้ตามระดับการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับแต่ละประเทศคู่ค้า

 

ส่วนเป้าหมายสุดท้ายของทรัมป์ก็คือ การหย่าขาดจากจีนในทางเศรษฐกิจ (Complete Decoupling from China) ในหนังสือของไลต์ไทเซอร์ถึงกับเสนอให้ยกเลิกสถานะการเป็นชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favoured Nation Status) ของจีนในทางการค้ากับสหรัฐฯ 

 

ข้อนี้ก็แตกต่างจากทีมไบเดนและพรรคเดโมแครตที่ต้องการแยกห่วงโซ่ออกจากจีนเพียงบางส่วน (Partial Decoupling) หรือที่ไบเดนเรียกศัพท์ใหม่ว่า ‘De-risking’ ซึ่งหมายถึงการกระจายความเสี่ยงในบางอุตสาหกรรมที่สำคัญออกจากจีน แต่ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะหย่าขาดจากจีน

 

จีนา เรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์ในรัฐบาลไบเดน ย้ำมาตลอดว่ายังยินดีค้าขายกับจีนในสินค้าส่วนใหญ่ เพราะผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้ประโยชน์ สหรัฐฯ จึงยังคงยินดีจะซื้อเสื้อผ้า, แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน และต้นคริสต์มาส ราคาถูกจากเมืองจีน เพียงแต่ไม่ยินดีที่จะค้าขายกับจีนในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคง เช่น รถยนต์ EV, แบตเตอรี่, เซมิคอนดักเตอร์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเธอบอกว่าจริงๆ แล้วเป็นกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้มีปริมาณมากเมื่อเทียบกับปริมาณการค้ารวมระหว่างสองประเทศ จึงเรียกนโยบายการค้าของไบเดนว่า ‘พื้นที่เล็ก กำแพงสูง’ (Small Yard, High Fence) คือจะตั้งกำแพงภาษีสูงเป็นพิเศษเฉพาะสินค้าเชิงยุทธศาสตร์เพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น

 

เมื่อพิจารณาความแตกต่างระหว่างทรัมป์และไบเดนทั้ง 4 ข้อแล้ว เราจำเป็นต้องทบทวนความเชื่อที่ว่า ทรัมป์กับไบเดนไม่น่าจะต่างกันมากในเรื่องนโยบายการค้า หลายคนมองว่าไบเดนเองไม่ได้ยกเลิกกำแพงภาษีสินค้าที่ทรัมป์เคยตั้งมาแต่เดิม และทั้งสองพรรคการเมืองต่างก็ไม่ชอบจีนเช่นเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ แนวคิดเบื้องหลังนโยบายการค้าของทรัมป์กับไบเดนนั้นแตกต่างกันมากในเชิงอุดมการณ์พื้นฐานครับ 

 

ไบเดนและทีมของพรรคเดโมแครต ซึ่งหาก คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งคงสืบต่อนโยบายเหล่านั้น ไม่ได้มีแนวคิดที่จะหย่าขาดจากจีนอย่างถาวร และไม่ได้มีแนวคิดที่จะเลิกโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจและการค้าเสรีอย่างกลับหลังหัน แตกต่างจากแนวคิดของทรัมป์และทีมงานซึ่งมีไลต์ไทเซอร์เป็นมันสมองหลัก ที่ต้องการปฏิวัติ (Revolutionize) ระเบียบการค้าโลก และตอกฝาโลงโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นกระแสหลักของโลกมายาวนานกว่า 30 ปีหลังสิ้นสุดยุคสงครามเย็น

 

หลายคนยังหวังลึกๆ ว่า ถึงทรัมป์จะพูดหาเสียงอย่างดุดัน แต่ในทางปฏิบัติไม่น่าจะทำได้จริง แต่ท่านต้องทราบนะครับว่า นโยบายการขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าเป็นอำนาจเด็ดขาดของประธานาธิบดีที่ไม่ต้องผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส 

 

ส่วนประเด็นที่ว่า นโยบายลักษณะนี้จะสร้างหายนะต่อเงินเฟ้อ เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงมากในสหรัฐฯ แต่ทีมทรัมป์มองว่าโรงงานสามารถปรับเป็นระบบ Automation ได้ ไม่ต้องใช้แรงงานมาก และหากตั้งใกล้ผู้บริโภค ก็สามารถประหยัดต้นทุนโลจิสติกส์ สุดท้ายแม้ต้นทุนการผลิตรวมจะสูงกว่าที่ผลิตที่ต่างประเทศ แต่ก็อาจไม่ได้สูงกว่าในต่างประเทศมากหลายเท่าตัวอย่างที่หลายคนนึกก็ได้ 

 

มีทีมนักวิเคราะห์ของ Barclays ประเมินว่า หากทรัมป์ทำสงครามการค้าในระดับที่เขาหาเสียงจริง GDP ของสหรัฐฯ จะลดลง 1.4% ขณะที่ GDP ของจีนจะลดลงถึง 2% 

 

นี่แหละครับที่บอกว่าสงครามการค้านั้นเจ็บทั้งคู่แน่นอน เพียงแต่ทรัมป์บอกว่าจีนจะเจ็บมากกว่าและจะเจ็บหนักด้วยท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวอยู่แล้ว ส่วนผลต่อโลกคือทุกคนเจ็บกันถ้วนหน้า แต่สหรัฐฯ หวังว่าสุดท้ายจะกดดันให้บริษัทย้ายฐานการผลิตกลับเข้าสหรัฐฯ ได้ ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าจะได้ผลจริงหรือไม่ หรือจะหายนะกันหมดเพราะเงินเฟ้อก่อน

The post ทรัมป์มองการค้าโลกต่างจากไบเดนอย่างไร? กับคำถามโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจถึงทางตัน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
4 ประชุมบอสใหญ่ของจีนที่นักลงทุนต้องจับตา https://thestandard.co/4-chinese-big-boss-meetings/ Sun, 27 Oct 2024 04:57:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1000555

ในทศวรรษนี้การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและตลาดการเงินจีนมี […]

The post 4 ประชุมบอสใหญ่ของจีนที่นักลงทุนต้องจับตา appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในทศวรรษนี้การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและตลาดการเงินจีนมีบทบาทสำคัญต่อการลงทุนทั่วโลก

 

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้นลงอย่างรวดเร็วของหุ้นจีนจากการเปลี่ยนทิศนโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องตอกย้ำว่านักลงทุนควรเข้าใจนโยบายเศรษฐกิจจีนให้มากยิ่งขึ้น ผมจึงสรุป 4 การประชุมใหญ่ระหว่างปีที่สำคัญมาแชร์ให้ทุกท่านได้ติดตามไปพร้อมกัน

 

1. การประชุมคณะกรรมการกรมการเมือง (Politburo Meeting)

 

การประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองของจีนเป็นการประชุมระดับสูงสุดด้านการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง มีประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเป็นผู้ดำเนินการประชุม จัดขึ้นทุกไตรมาสในเดือนมกราคม, เมษายน, กรกฎาคม และกันยายนหรือธันวาคม

 

Politburo Meeting เน้นไปที่การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน ก่อนที่จะประกาศนโยบายเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น

 

การประชุมครั้งที่โดดเด่นในอดีต เช่น การออกมาตรการรับมือวิกฤตตลาดหุ้นจีนในเดือนกรกฎาคม ปี 2015 ตอบสนองต่อวิกฤตตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรง มีการประกาศมาตรการฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน เช่น การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดและควบคุมการขายหุ้น ช่วยให้ตลาดหุ้นจีนประคองตัวได้

 

หรือเดือนกรกฎาคม ปี 2020 Politburo Meeting ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการระบาดของโควิด ช่วยให้จีนฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

 

และการประชุมครั้งล่าสุดเดือนกันยายน ปี 2024 ที่มีการเสนอเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปรับปรุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความหวังของการกระตุ้นจากภาครัฐ

 

2. การประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress: NPC)

 

การประชุม NPC เป็นการประชุมระดับชาติ จัดขึ้นในเดือนมีนาคมของทุกปี โดยมุ่งเน้นการกำหนดงบประมาณ ออกกฎหมาย และการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว การประชุมนี้เป็นเวทีของการอนุมัติงบประมาณ ทุกนโยบายที่มีตัวเลขจึงมักต้องผ่านการประชุมนี้

 

NPC ครั้งสำคัญในอดีต เช่น ปี 2013 เรื่องการประกาศวิสัยทัศน์ ‘Chinese Dream’ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงใช้เวที NPC ในการประกาศแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางสังคม ตั้งเป้าหมายที่จะทำให้จีนเป็นประเทศที่มั่นคงทางเศรษฐกิจ

 

หรือ NPC ปี 2021 มีการเสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี (Five-Year Plan) ฉบับที่ 14 เน้นเรื่องการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจจีนไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีสีเขียว

 

ในปี 2024 การประชุม NPC ครั้งล่าสุด รัฐบาลจีนได้อนุมัติการออกพันธบัตรพิเศษจำนวน 2.3 ล้านล้านหยวน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการกู้ยืมเพื่อส่งเสริมการซื้อบ้าน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อบ้านเป็นครั้งแรก และออกมาตรการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงิน

 

สำหรับ NPC ปี 2025 คาดว่าจะเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ฉบับที่ 15 (2025-2030) การปฏิรูปภาคการเงิน การจัดการหนี้สิน และการกระตุ้นการบริโภคในประเทศเป็นหลัก

 

3. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission: NDRC)

 

NDRC มีบทบาทในการกำหนดทิศทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการเติบโตในภาคอุตสาหกรรม

 

อย่างไรก็ดี NDRC ไม่มีตารางประชุมประจำ แต่จะมีการจัดเมื่อมีการพิจารณาโครงการสำคัญ มักจัดประชุมในช่วงเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายน เพื่อประกาศโครงการลงทุนในปีถัดไป

 

ตัวอย่างการประชุม NDRC ครั้งสำคัญ เช่น ปี 2013 NDRC ได้ประกาศแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐาน นำไปสู่การสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ

 

หรือปี 2017 ที่มีการประกาศโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ (Belt and Road Initiative: BRI) เชื่อมต่อประเทศจีนกับภูมิภาคต่างๆ นำไปสู่การส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างจีนกับนานาประเทศในเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา

 

NDRC เป็นคณะที่มีหน้าที่หลักในการวางแผนและกำกับดูแลเศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผน ล่าสุดในวันที่ 8 ตุลาคม แม้จะมีแถลงการณ์เกี่ยวกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่ 5% แต่เนื่องจากไม่ได้มีการระบุวงเงินการกระตุ้นใหม่หรือนโยบายที่ชัดเจน จึงเป็นเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานในเวลาต่อมา

 

4. การประชุมธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China: PBOC Meeting)

 

ธนาคารกลางจีน (PBOC) เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบายการเงิน การประชุม PBOC จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องอัตราดอกเบี้ย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การจัดการสภาพคล่องในระบบการเงิน และการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน

 

PBOC กำหนดการประชุมประจำไตรมาส (4 ครั้งต่อปี) มักเกิดขึ้นในช่วงท้ายไตรมาสหรือต้นไตรมาสใหม่

 

การประชุม PBOC ครั้งสำคัญในอดีต เช่น ในเดือนธันวาคม ปี 2021 PBOC ได้ตัดสินใจเพิ่มวงเงินปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยลดข้อกำหนดในการปล่อยสินเชื่อ และเพิ่มการสนับสนุนภาคธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาหลังการฟื้นตัวจากโควิด

 

และในเดือนสิงหาคม ปี 2022 PBOC ประกาศลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาหลังจากเกิดวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาการกู้ยืมที่เกินตัวในบางพื้นที่ ทำให้ตลาดคลายความกังวลเรื่องวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนลง

 

ล่าสุดในการประชุม PBOC เดือนกันยายน ปี 2024 ได้มีการประกาศมาตรการที่สำคัญเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ประกอบด้วย การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การลดอัตราสำรองตามกฎหมาย Reserve Requirement Ratio (RRR) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง (Mortgage Rate) และกระตุ้นตลาดหุ้นด้วยมาตรการสนับสนุนสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารให้สามารถกู้ยืมเงินโดยตรงจากธนาคารกลางได้ภายใต้หลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมถึงการสนับสนุนการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน

 

นอกจากการประชุมปกติแล้ว PBOC มีกำหนดการประกาศดอกเบี้ยรายเดือนที่เรียกว่า Loan Prime Rate (LPR) เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เกิดจากการสำรวจธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 18 แห่งในจีน สะท้อนถึงต้นทุนการกู้ยืมระหว่างธนาคาร ซึ่งนำไปใช้ในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจและผู้บริโภค

 

ส่วน PBOC นั้นจะกำหนด Medium-Term Lending Facility (MLF) ปล่อยกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ระยะเวลาการกู้ราว 1 ปี เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม ส่วนในระยะสั้นจะใช้ Repo 7 (7-Day Reverse Repo Rate) เป็นดอกเบี้ยที่ใช้ปรับสภาพคล่อง

 

เมื่อรู้จักการประชุมระหว่างปีที่สำคัญทั้ง 4 กลุ่มของจีน ก็มาถึงคำถามสำคัญว่าเรื่องไหนสำคัญที่สุดในการติดตามเศรษฐกิจจีน?

 

ในมุมมองของผม การประชุมที่สำคัญที่สุดสำหรับเศรษฐกิจต้องพุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นการเติบโตผ่านการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ดังนั้น Politburo Meeting และ NPC จึงสำคัญที่สุด ส่วนด้านต่างประเทศที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย การติดตามการประชุม NDRC และการประกาศนโยบายการลงทุนของจีนเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน แต่ถ้าจะติดตามตลาดหุ้น PBOC เป็นการประชุมที่ต้องติดตามมากกว่าเรื่องอื่น

 

นักลงทุนหลายท่านอาจรู้สึกผิดหวังว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของจีนนั้นช่างขาดตอน ให้จำไว้ว่าทุกนโยบายมีเงื่อนไขและลำดับของมัน การรีบเร่งเกินไปมักไม่สำเร็จ สิ่งใดที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีจำเป็นต้องมีลำดับและทำอย่างรอบคอบครับ

 

ภาพ: Sapphire / Getty Images

The post 4 ประชุมบอสใหญ่ของจีนที่นักลงทุนต้องจับตา appeared first on THE STANDARD.

]]>
มองให้ขาด แผนสามขั้นกุมเศรษฐกิจโลกของรัฐบาลจีน https://thestandard.co/china-three-step-world-economy-plan/ Tue, 15 Oct 2024 06:46:47 +0000 https://thestandard.co/?p=995992

ตกลงจีนคิดอะไรอยู่กันแน่ เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในภาวะซบเซ […]

The post มองให้ขาด แผนสามขั้นกุมเศรษฐกิจโลกของรัฐบาลจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตกลงจีนคิดอะไรอยู่กันแน่ เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในภาวะซบเซามากที่สุดช่วงหนึ่ง มังกรจีนยังมีเขี้ยวเล็บซ่อนอยู่หรือไม่ และซ่อนอะไรไว้

 

จีนมีแผนการใหญ่สามขั้นที่จะนำไปสู่การทะยานรอบใหม่ จะสำเร็จไม่สำเร็จนั้นไม่มีใครรู้ แต่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจภาพยุทธศาสตร์ระยะยาวของจีน เพราะจะมีผลกว้างไกลต่อไทยและภูมิภาคต่อจากนี้

 

ที่ผ่านมาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนเกิดวิกฤต ภาคอสังหาของจีนมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 15-30 ของ GDP จีน ภาคเศรษฐกิจนี้ไม่ฟื้นคืนชีพ คำถามที่ทุกคนถามคือ เศรษฐกิจจีนจะไปต่อได้อย่างไร

 

แถมรัฐบาลจีนเองก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าภาคอสังหาที่ผ่านมาเป็นฟองสบู่ก้อนมหึมา รัฐบาลจีนจะไม่เอาเงินดีไปอุ้มหรือฟื้นชีพบริษัทอสังหาซอมบี้ที่หนี้ท่วมอีก แล้วทางออกของจีนคืออะไร

 

การจะกระตุ้นเศรษฐกิจแบบสมัยก่อนที่เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะจีนสร้างครบหมดแล้วทั้งรถไฟความเร็วสูง, ถนน, สะพาน, ท่าเรือ สร้างอีกก็จะมีแต่โครงการที่ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

 

ส่วนนักวิเคราะห์ฝรั่งอยากให้จีนกระตุ้นเศรษฐกิจโดยแจกเงินเข้ากระเป๋าผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและเพิ่มสัดส่วนการบริโภคใน GDP แต่จีนมองว่าการแจกเงินผู้บริโภคจะได้ผลเพียงระยะสั้นเท่านั้น ไม่ยั่งยืน หากไม่นำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน

 

ทางเดียวของการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่เหลืออยู่จึงเป็นการลงทุนในภาคการผลิต โดยเฉพาะภาคการผลิตใหม่ที่เรียกว่า Three New ได้แก่ โซลาร์เซลล์, รถยนต์อีวี และอุตสาหกรรมแบตเตอรี่

 

จะเห็นว่าทั้งสามเรื่องเป็นภาคพลังงานสะอาด ซึ่งจีนมองว่ามีศักยภาพที่ตลาดจะโตต่อไปได้อีกมหาศาล ฝรั่งชอบบอกว่าจีนผลิตเกินตัว (Overcapacity) แต่จีนมักตอบโต้ว่าจะเรียกผลิตเกินตัวได้อย่างไร ในเมื่อในอนาคตข้างหน้าทุกคนต่างจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ตลาดมีแต่จะเติบโตไปได้อีกมาก ตอนนี้ยังผลิตได้ห่างไกลจากดีมานด์ที่จะมีขึ้นในอนาคต

 

จึงเป็นที่มาของแผนการใหญ่สามขั้นของรัฐบาลจีน

 

ขั้นแรกคือ ทุ่มทุนสุดตัวให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีในภาคพลังงานสะอาด นี่เป็นแนวคิดทางยุทธศาสตร์ของจีนที่ต้องการผันเงินทุนจากเดิมที่จมอยู่ในภาคอสังหาให้ถ่ายมาสู่ภาคการผลิตในอุตสาหกรรมใหม่แทน

 

สิ่งนี้ทำให้จีนแตกต่างจาก Lost Decade ของญี่ปุ่น เพราะในช่วงที่ฟองสบู่อสังหาของญี่ปุ่นแตกโพละ นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาและทศวรรษที่สูญหายนั้น บริษัทของญี่ปุ่นไม่มีการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ และตกขบวนภาคเทคโนโลยีดิจิทัลที่บูมต่อมา แต่ตอนนี้ที่จีนกลายมาเป็นวาระแห่งชาติว่าจะต้องทุ่มให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะพลังงานสะอาด

 

แต่ทางฝรั่งจะยอมให้บริษัทจีนครองตลาดในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเหล่านี้ได้อย่างไร ยุทธศาสตร์ของทางฝั่งตะวันตกตอนนี้จึงมีสองข้อ ข้อแรกคือต้องตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าเหล่านี้จากจีน เพราะขืนปล่อยให้เข้าตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปโดยไม่มีกำแพงกั้น ด้วยต้นทุนที่ถูกของบริษัทจีน บริษัทในอุตสาหกรรมเหล่านี้ของฝรั่งก็คงเจ๊งกันหมด ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอุตสาหกรรมเหล็กและโซลาร์เซลล์ และกำลังจะเกิดขึ้นตามมาในอุตสาหกรรมรถยนต์อีวีและแบตเตอรี่ ทั้งสหรัฐฯ และยุโรป จึงต้องใช้มาตรการภาษีเพื่อคุ้มครองบริษัทเหล่านี้ของตนให้อยู่รอด

 

นอกจากนั้นสหรัฐฯ ยังกลับมาใช้นโยบายอุตสาหกรรม (Industrial Policy) เต็มสูบในการสนับสนุนการลงทุนและส่งเสริม R&D ในอุตสาหกรรมใหม่เหล่านี้ ด้วยหวังว่าความคิดสร้างสรรค์และสังคมที่เปิดกว้างของสหรัฐฯ จะทำให้เกิด Breakthrough ทางเทคโนโลยี สุดท้ายจะทำให้สหรัฐฯ สามารถเปลี่ยนยุคเทคโนโลยีในเรื่องเหล่านี้ได้ก่อนจีนและทิ้งห่างจีนอีกครั้ง

 

ส่วนจีนเมื่อถูกตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ปิดทางเข้า แต่จีนยังต้องการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่เหล่านี้ต่อไป จึงนำมาสู่แผนขั้นที่สองของจีนคือ ต้องเดินหน้าบุกตลาดประเทศกำลังพัฒนาแทน ไม่ว่าจะเป็นอาเซียน, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, ลาตินอเมริกา โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายตลาดและกำลังการผลิต เมื่อสเกลการผลิตใหญ่โตมโหฬารขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง และจะทำให้มีเม็ดเงินมหาศาลที่ขายของได้ไหลกลับมาพัฒนา R&D ให้ก้าวหน้าขึ้นไป การมีตลาดใหม่ที่ใหญ่และรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตจึงสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมเหล่านี้ของจีน

 

ส่วนแผนขั้นสุดท้ายของจีนก็คือ หากจีนทำได้สำเร็จ ด้วยสเกลการผลิตมหาศาลและตลาดที่ใหญ่โต จนสามารถขึ้นเป็นผู้นำในเทคโนโลยีเหล่านี้แบบทิ้งห่างฝรั่งได้จริงในอนาคต สุดท้ายถึงเวลาหนึ่งกลไกตลาดก็จะกดดันให้ฝรั่งต้องยอมรับความจริงและยอมเปิดทางให้สินค้าจีน เมื่อฝรั่งเองก็ต้องเผชิญแรงกดดันที่จะต้องเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด หรือเมื่อกลับกลายเป็นว่าประเทศกำลังพัฒนาจะนำหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้เร็วกว่าทางฝั่งตะวันตกด้วยโซลาร์เซลล์, รถยนต์อีวี และแบตเตอรี่ราคาถูกคุณภาพดีจากจีน

 

ถึงจุดนั้นจีนก็จะกลายเป็นเหมือนสหรัฐฯ ของโลกยุคใหม่ เหมือนที่สหรัฐฯ เคยเป็นเจ้าตลาดและผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลและอุตสาหกรรมรถยนต์ในยุคก่อนหน้านี้มาแล้ว

 

และนี่จึงเป็นสาเหตุที่สำหรับจีน ในเชิงยุทธศาสตร์แล้วภาคพลังงานสะอาดจึงสำคัญและมีศักยภาพกว่าภาคเทคโนโลยีดิจิทัล เพราะอย่างมากแล้วในภาคเทคโนโลยีดิจิทัลบริษัทจีนก็คงประสบความสำเร็จเพียงการครองตลาดภายในของจีน แต่ยากที่จะบุกตลาดตะวันตกหรือตลาดโลก ด้วยข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคง เช่น ความปลอดภัยของข้อมูล รวมทั้งด้วยศักยภาพที่สูงกว่าและเงินทุนที่ยังหนากว่าของบริษัทฝรั่งยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล แต่ภาคพลังงานสะอาดนั้นยังเป็นอุตสาหกรรมใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ที่ยังมีพื้นที่และโอกาสให้จีนยึดครองตลาดโลกให้สำเร็จได้อยู่

 

เศรษฐกิจจีนจึงไม่มีวันจะกลับไปโตหวือหวาแบบในอดีตอีกแล้ว ภาคอสังหาของจีนก็จะไม่ฟื้นกลับมาฟู่ฟ่าอีก เพราะจีนกำลังเล่นเกมยาวในเชิงยุทธศาสตร์เทคโนโลยี ซึ่งทำให้จำเป็นต้องทนเจ็บและยอมรับสภาพซบเซาในช่วงเปลี่ยนผ่าน แน่นอนว่าภาพฝันดูดี แต่ในโลกความเป็นจริงก็ยังมีคำถามว่าจีนจะทนเจ็บได้แค่ไหน เพียงใด จะไม่ลามจนเป็นวิกฤตสังคมใช่ไหม และภาคอุตสาหกรรมใหม่สุดท้ายจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ (และจะไม่ถูกฝรั่งคิดอะไรใหม่ได้ก่อนและแซงทิ้งห่างจีนอีกครั้งแน่ใช่ไหม)

 

หากเราเข้าใจภาพยุทธศาสตร์ใหญ่ของรัฐบาลจีนทั้งหมดนี้ ย่อมจะทำให้เรามองเห็นเทรนด์ระยะยาวต่อจากนี้ชัดเจนขึ้น

 

การแข่งขันทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดระหว่างมหาอำนาจและการทุ่มทุนมหาศาลให้กับการวิจัยและพัฒนา จะนำไปสู่การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วมากในอุตสาหกรรมเหล่านี้

 

การบุกของทุนและสินค้าจีนเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาจะมาแรงและเร็วมาก เป็นคลื่นระยะยาว ไม่ใช่เพียงคลื่นระยะสั้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนช่วงนี้เท่านั้น

 

โจทย์ทางนโยบายสำหรับโอกาสของไทยจะอยู่ที่เราจะร่วมแบ่งเค้กก้อนโตในภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร ด้วยการพยายามเข้าเป็นส่วนหนึ่งเกาะไปกับการผลิตบางชิ้นส่วนเชื่อมโยงกับห่วงโซ่ซัพพลายเชนทั้งของฝั่งจีนและฝั่งตะวันตก ที่ต่างทุ่มทุนขยายอุตสาหกรรมใหม่และยังไม่รู้ผลแพ้-ชนะ

 

ภาพ: Costfoto / NurPhoto via Getty Images

The post มองให้ขาด แผนสามขั้นกุมเศรษฐกิจโลกของรัฐบาลจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>