China – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 30 Jan 2025 01:59:09 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 DeepSeek: ชัยชนะของ Made in China 2025 และจุดเริ่มต้นที่สดใสของ China Standards 2035 https://thestandard.co/deepseek-china-standards-2035-analysis/ Thu, 30 Jan 2025 01:59:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1035974 แอปพลิเคชัน DeepSeek AI นวัตกรรม AI จากจีน

เพียง 10 วันก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเม […]

The post DeepSeek: ชัยชนะของ Made in China 2025 และจุดเริ่มต้นที่สดใสของ China Standards 2035 appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอปพลิเคชัน DeepSeek AI นวัตกรรม AI จากจีน

เพียง 10 วันก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 นั้น ที่มหานครหางโจว มณฑลเจ้อเจียง เหลียงเหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งกองทุน High-Flyer ประกาศเปิดตัวแชตบอตที่ทำให้ AI สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้ในชื่อ DeepSeek-R1 และภายใน 2 สัปดาห์ DeepSeek กลายเป็นแอปพลิเคชันที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก

 

DeepSeek มีความสามารถใกล้เคียงกับ AI ตัวอื่นๆ ที่เป็นโมเดลพื้นฐานที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลทางภาษา (Large Language Model: LLM) อันเป็นเสมือนพื้นฐานของ Generative AI ซึ่งสามารถโต้ตอบ สร้างรูปแบบการสนทนากับมนุษย์ได้เสมือนเรากำลังสนทนากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (อย่างน้อยก็ใกล้เคียงมาก) มันแทบจะไม่แตกต่างจาก ChatGPT, Gemini, Lama AI หากแต่ DeepSeek กลับกลายเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ Generative AI เพราะ

 

  1. วางอยู่บนสถาปัตยกรรมที่มีต้นทุนต่ำกว่ามาก (โดยต้นทุนของการสร้างและพัฒนา DeepSeek อยู่ที่ราว 7-8% เมื่อเทียบกับต้นทุนในการสร้างและพัฒนา OpenAI ตัวอื่นๆ ของฝั่งโลกตะวันตก)
  2. เป็น Open Source นั่นคือ DeepSeek เปิดเผยรหัสต้นทาง เพื่อให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ ปรับปรุง แก้ไข และแจกจ่ายได้อย่างเสรี
  3. เปิดให้ทุกคนสามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนเหมือน AI ตัวอื่นๆ

 

ถึงแม้ว่าห้องปฏิบัติการด้าน AI ของ High-Flyer จะเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2023 และใช้เวลาเพียง 1 ปีในการพัฒนา DeepSeek แต่เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าการพัฒนานี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเรื่องบังเอิญหรือความเก่งกาจแบบเหนือมนุษย์ของนักวิทยาศาสตร์ในแล็บ หากแต่เกิดขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐาน สภาวะแวดล้อม (Ecosystem) ที่มีความพร้อมที่ทำให้นวัตกรรมเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ และนั่นอาจต้องเท้าความกลับไปที่ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ของรัฐบาลจีนที่ประกาศออกมาในปี 2015 พร้อมๆ กับแผน 5 ปีสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสาธารณรัฐประชาชนจีน (Five-Year Plan for National Economic and Social Development of the PRC) ฉบับที่ 13 (ปี 2016-2020) และฉบับที่ 14 (2021-2025)

 

Made in China 2025 เป็นนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภายในประเทศจีน ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบที่ผลิตภายในประเทศให้ได้มากกว่า 40% ในปี 2020 และเพิ่มเป็นมากกว่า 70% ในปี 2025 และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลจีนต้องส่งเสริมใน 4 มิติ

 

  1. ให้สิทธิพิเศษทางภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนในการวิจัยและพัฒนา
  2. สนับสนุนให้เอกชนจีนจับมือกับเจ้าของเทคโนโลยีทั่วโลก ผ่านการสร้างความร่วมมือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี จนถึงการควบรวมกิจการในลักษณะต่างๆ
  3. รัฐบาลต้องลงทุนเพิ่มขึ้น และให้เงินทุนสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาทั้งในวิสาหกิจของรัฐ และเอกชน รวมทั้งสถาบันการศึกษา
  4. รัฐบาลวางโรดแมปอย่างชัดเจนว่า ในแต่ละช่วงเวลารัฐบาลและเอกชนจีนที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ต้องบรรลุเป้าหมายเรื่องใดบ้าง และต้องสร้างระบบการประเมินผลและการถอดบทเรียน โดยเป้าหมายสำคัญๆ เช่น การกำหนดสัดส่วนเงินลงทุนด้าน R&D เมื่อเทียบกับตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาคอื่นๆ การวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต จำนวนห้องปฏิบัติการหลักที่ต้องสร้างในแต่ละพื้นที่

 

และรัฐบาลจีนมีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อรับการสนับสนุนส่งเสริม 10 อุตสาหกรรม ได้แก่

 

  1. เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) เน้นการสร้างนวัตกรรมการใช้ประโยชน์จาก AI ในอุตสาหกรรม, IoT, เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ
  2. อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) เน้นการสร้างนวัตกรรมทางวิชาการของ AI และ Machine Learning
  3. พลังงานสีเขียวและยานยนต์สีเขียว (Green Energy and Green Vehicles)
    4. อุปกรณ์การบินและอวกาศ (Aerospace Equipment)
  4. วิศวกรรมทางทะเลและเรือไฮเทค (Ocean Engineering and High Tech Ships)
    6. วิศวกรรมทางรางและอุปกรณ์รถไฟ (Railway Equipment)
  5. อุตสาหกรรมพลังงาน (Power Equipment)
  6. วัสดุศาสตร์ (New Materials)
  7. ยาและอุปกรณ์การแพทย์ (Medicine and Medical Devices)
  8. เครื่องจักรกลการเกษตร (Agriculture Machinery)

 

โดยทั้ง 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายจะมีการจับมือร่วมกับเอกชน เพื่อสร้างนวัตกรรม โดยเอกชนจีนที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น Alibaba (e-Commerce), Aviation Industry Corporation of China (Aerospace), BAIC (New Energy Vehicles), Baidu (AI, Autonomous Vehicles), BBK Electronics (Consumer Electronics), BYD (New Energy Vehicles), CRRC (Rail), DJI (AI, Drones), Fujian Jinhua Integrated Circuit (DRAM Manufacturing), Geely (New Energy Vehicles), HUAWEI (Semiconductors, Telecommunications, Consumer Electronics), Megvii (AI), NIO (New Energy Vehicles), Sinopharm (Medicine), SMIC (Semiconductors), Tencent (e-Commerce) และ Xiaomi (Consumer Electronics) ต่างก็เข้ามาเป็นพันธมิตร

 

นอกจากนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ นโยบายการต่างประเทศด้านเศรษฐกิจที่มีนโยบายการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานภูมิภาคยูเรเชียอย่าง Belt and Road Initiative (BRI) และการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่าง BRICS ก็เป็นพลังขับเคลื่อนภายนอกให้ Made in China 2025 สามารถเข้าถึงวัตถุดิบ ทรัพยากรมนุษย์ และตลาด

 

ภาคสถาบันการศึกษาในการพัฒนาบุคลากรคุณภาพเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมก็ได้รับการส่งเสริมเช่นกัน และผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะหากเราไปดูการจัดอันดับมหาวิทยาลัยด้านการทำวิจัยที่ดีที่สุดในโลกในปี 2024 โดย Nature Index ซึ่งเป็นการจัดอันดับของสำนักพิมพ์ Springer Nature ผู้ตีพิมพ์เผยแพร่วารสารวิชาการ และตำราสัญชาติเยอรมัน-อังกฤษ ที่เกิดจากการควบรวมกิจการของสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ อันได้แก่ Springer Science + Business Media, Nature Publishing Group ร่วมกับ Palgrave Macmillan และ Macmillan Education เราจะพบว่า 8 จาก 10 อันดับของมหาวิทยาลัยและสถาบันที่มีการทำวิจัยดีที่สุดในโลกตั้งอยู่ในประเทศจีน โดย 10 อันดับแรก ได้แก่

 

  1. Harvard University
  2. University of Chinese Academy of Sciences (UCAS)
  3. University of Science and Technology of China (USTC)
  4. Peking University (PKU)
  5. Nanjing University (NJU)
  6. Zhejiang University (ZJU)
  7. Tsinghua University
  8. Sun Yat-sen University (SYSU)
  9. Shanghai Jiao Tong University (SJTU)
  10. Massachusetts Institute of Technology (MIT)

 

เมื่อเราเห็นวิธีคิดและวิธีดำเนินยุทธศาสตร์เช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นการก่อกำเนิดของแอปที่เขย่าสหรัฐฯ อย่าง TikTok, ยอดขายยานยนต์ EV ของ BYD ที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก จีนกลายเป็นประเทศที่ใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานทางเลือกที่ปริมาณมากกว่า 300 กิกะวัตต์ ในขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นอันดับที่ 2 อยู่ที่ราว 40 กิกะวัตต์ หรือระบบรถไฟความเร็วสูงที่จีนมีรางยาวมากกว่า 25,000 กิโลเมตร และการสร้างชิปคอมพิวเตอร์ของ HUAWEI ที่แม้จะถูกกีดกันทางเทคโนโลยีจากโลกตะวันตกก็ตาม และล่าสุดการกำเนิดขึ้นของ Low-Cost AI ที่มีประสิทธิภาพสูงอย่าง DeepSeek ซึ่งทั้งหมดนี้คือการเฉลิมฉลองความสำเร็จของยุทธศาสตร์ Made in China 2025 และแผน 5 ปีฉบับที่ 14 อย่างสวยงาม

 

คำถามต่อไปคือ ในปีนี้ที่เป็นปีสุดท้ายของยุทธศาสตร์ Made in China 2025 หลังจากนี้จีนจะเดินหน้าอย่างไรต่อ คำหนึ่งซึ่งได้ยินกันมาตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในแวดวงจีนศึกษาคือคำว่า ‘中国标准 2035’ (จงกั๋วเปียวจุ่น 2035) หรือ China Standards 2035

 

China Standards 2035 คือหนึ่งในว่าที่ยุทธศาสตร์ใหม่ที่จะเปิดตัวพร้อมๆ กับแผน 5 ปีสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่ 15 (ปี 2026-2030) และฉบับที่ 16 (2031-2035)

 

จากการผลิตสินค้าและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในจีนในปี 2025 จีนจะมุ่งสู่การสร้างและกำหนดมาตรฐานจีนให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลในปี 2035 โดย China Standards 2035 มีโครงสร้างเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่เชื่อมโยงกันหลายประการ ได้แก่

 

  1. ความเป็นผู้นำระดับโลกด้านมาตรฐาน: จีนตั้งเป้าที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในธรรมาภิบาลระดับโลก ด้วยการกำหนดมาตรฐานสากลในภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง กลยุทธ์นี้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบโทรคมนาคม 6G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คอมพิวเตอร์ควอนตัมเทคโนโลยี และพลังงานหมุนเวียน
  2. การบูรณาการกับการพัฒนาในประเทศ: ยุทธศาสตร์นี้จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศที่สอดคล้องกับนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเน้นที่การพัฒนาอุตสาหกรรมคุณภาพสูงตามยุทธศาสตร์พลังการผลิตใหม่ (New Productive Forces), การฟื้นฟูชนบท (Rural Revitalization Strategy) และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
  3. การขยายการสร้างนวัตกรรมไปสู่สาขาใหม่: นอกเหนือจากภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูงในปัจจุบัน กลยุทธ์นี้ยังมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น Metaverse, Brain-Computer Interfaces, Bio-Manufacturing, Humanoid Robots, Generative AI, Artificial General Intelligence และ Future Energy Storage Solutions
  4. การพัฒนาสีเขียวและยั่งยืน: ยุทธศาสตร์ China Standards 2035 บูรณาการมาตรฐานเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-Neutral) และเป้าหมายการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านคาร์บอน 2 ประการของจีน (ระดับการปล่อยคาร์บอนสูงสุดภายในปี 2030 และความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060)
  5. ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ: บริษัทต่างๆ ของจีนตั้งเป้าที่จะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจผ่านการกำหนดมาตรฐาน โดยเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และอำนวยความสะดวกในการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี

 

และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ ยุทธศาสตร์ China Standards 2035 จะมีการตั้งกรอบระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายแต่ละขั้น ดังนี้

 

  • ภายในปี 2025: สร้างระบบมาตรฐานพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่ และเร่งสร้างมาตรฐานด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกันกับมาตรฐานที่มีใช้กันอยู่แล้วในระดับโลก
  • ภายในปี 2030: ปรับปรุงภาคการผลิตของจีนให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้
  • ภายในปี 2035: พัฒนาระบบมาตรฐานให้สมบูรณ์ เพื่อรองรับความเป็นผู้นำระดับโลก เพื่อสร้างความโดดเด่นและความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคการผลิตของจีนที่มีมาตรฐานสูงที่สุด

 

โดย 8 อุตสาหกรรมหลักที่จะต้องพัฒนามาตรฐานให้สูงที่สุดให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ได้แก่

 

  1. เทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่: จีนต้องการพัฒนาเทคโนโลยีโทรคมนาคม 5G และ 6G, ปัญญาประดิษฐ์ AI, Big Data, Blockchain, และ Cloud Computing ที่มีการกำหนดมาตรฐานสำหรับการทำงานร่วมกันในระดับโลก มีความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เพื่อขับเคลื่อนการนำไปใช้ทั่วโลก
  2. พลังงานใหม่: ครอบคลุมแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม, พลังงานน้ำ, พลังงานความร้อนใต้พิภพ, พลังงานคลื่น รวมถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ พลังงานไฮโดรเจน และระบบกักเก็บพลังงาน จีนมุ่งหวังที่จะกำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการบริหารจัดการประสิทธิภาพพลังงานและการบูรณาการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้า (Power Grid Integration)
  3. วัสดุศาสตร์: วัสดุขั้นสูงและวัสดุใหม่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โลหะผสมน้ำหนักเบา และนาโนวัสดุ จีนต้องการที่จะกำหนดมาตรฐานด้านความทนทานและความยั่งยืน ทั้งในมิติการผลิต ประสิทธิภาพในการใช้งานที่หลากหลาย และการทำลายเศษซากวัสดุหลังจากการใช้งาน
  4. อุปกรณ์ระดับไฮเอนด์: หุ่นยนต์ เทคโนโลยีอัตโนมัติ และระบบการผลิตอัจฉริยะ มุ่งเป้าไปที่เครื่องจักรที่มีความแม่นยำและเครื่องมืออุตสาหกรรมขั้นสูงที่ขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมในกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถเชื่อมโยงและบูรณาการเข้ากับโรงงานและกระบวนการผลิตทั่วโลก
  5. ยานยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle: NEV): เน้นการต่อยอดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีไฮบริด ไปสู่ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน สร้างมาตรฐานแบตเตอรี่ การจัดเก็บและการบริหารการใช้พลังงานให้เกิดความเข้ากันได้ของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ และสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยของยานยนต์พลังงานใหม่
  6. การปกป้องสิ่งแวดล้อมสีเขียว: พัฒนามาตรฐานสำหรับการจัดการขยะ การควบคุมมลพิษ และเทคโนโลยีที่เป็นกลางทางคาร์บอน ส่งเสริมการใช้วัสดุและกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภค
  7. การบินพลเรือน: กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีสำหรับการผลิตเครื่องบิน โลจิสติกส์ และการจัดการจราจรทางอากาศ สนับสนุนการพัฒนาเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนและการดำเนินงานสนามบินสีเขียว
  8. เรือและอุปกรณ์วิศวกรรมมหาสมุทร: มาตรฐานสำหรับการต่อเรือ แพลตฟอร์มพลังงานนอกชายฝั่ง และเทคโนโลยีการสำรวจทางทะเล เพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินงานทางทะเล

 

ลองนึกดูว่าแอปใหม่เพียง 1 ตัวที่เกิดขึ้นอย่าง DeepSeek ซึ่งกำหนดมาตรฐานใหม่อย่างน้อยที่สุดใน 3 ด้าน นั่นคือ การเปิดกว้างในการเข้าถึงรหัสข้อมูลต่างๆ แบบ Open Source, มาตรฐานด้านสถาปัตยกรรมที่ต้นทุนต่ำ ใช้อุปกรณ์ที่น้อยที่สุดภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัด และมาตรฐานใหม่ให้กับผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงบริการได้โดยราคาที่ต่ำที่สุดหรือให้บริการฟรี เพียง 3 มาตรฐานใหม่เหล่านี้ เมื่อรวมกับ Ecosystem อย่างที่กล่าวไปแล้วตอนต้น อย่างเช่น บริษัทเอกชนจำนวนมากที่จะใช้เทคโนโลยีนี้ จนตลาด AI ขยายตัวอย่างมหาศาล หรือห้องแล็บและมหาวิทยาลัยที่พร้อมจะดึงดูดนักเรียนและนักพัฒนา AI จากทั่วโลกให้มาเรียนรู้ ลองนึกดูว่านี่คือการประกาศชัยชนะ ณ​ จุดเริ่มต้นของการเดินหน้าไปสู่มาตรฐานใหม่ของโลกในปี 2035

 

แน่นอนว่าในมุมกลับ มาตรฐานเหล่านี้ของจีนจะกลายเป็นประเด็นใหม่ในมิติความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์อย่างแน่นอน

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราคนไทยและประชาชนอาเซียนจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ และเตรียมตัวให้พร้อมรับกับมาตรฐานใหม่ๆ เหล่านี้ หรือองค์ความรู้ใหม่ๆ อย่าง AI เหล่านี้ได้หรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร

 

ในฐานะผู้อำนวยการบริหารของมูลนิธิอาเซียน ซึ่งมีภารกิจในการติดองค์ความรู้ให้กับประชาชนอาเซียน ปี 2025-2026 พวกเราเตรียมโครงการชื่อ AI Ready ASEAN โดยการสนับสนุนของ Google ในกิจกรรม 6 ด้าน ได้แก่

 

  1. ทำวิจัยเพื่อให้ทราบถึง AI Landscape ใน 10 ประเทศอาเซียน
    2. พัฒนาหลักสูตรการแนะนำให้คนอาเซียนสามารถเริ่มต้นใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องเป็นหลักสูตรที่เข้ากับบริบทของอาเซียน ซึ่งเรียนรู้มาจากการทำวิจัย
    3. นำหลักสูตรที่ได้มาอบรมเพื่อสร้าง Master Trainer จำนวน 2,000+ คน
    4. ให้ปัจจัยสนับสนุน เพื่อให้ Master Trainer กลับไปจัดอบรมหลักสูตร AI ในท้องถิ่นของตน เพื่อให้มีผู้เข้าอบรม 800,000+ คน
    5. รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้คนอาเซียน 5.5 ล้านคน เริ่มมองเห็นประโยชน์ของการใช้ AI
    6. นำเอาองค์ประกอบทั้ง 5 มาพัฒนาเป็น Learning Platform ที่ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ตลอดไป

 

และนี่คือโครงการอบรมความรู้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดกันมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

หวังว่าพวกเราทุกคนจะเรียนรู้ พัฒนาตนเองให้เท่าทัน และสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและมาตรฐานใหม่ๆ เหล่านี้ได้

 

ภาพ: Kostyantyn Skuridin via Shutterstock

The post DeepSeek: ชัยชนะของ Made in China 2025 และจุดเริ่มต้นที่สดใสของ China Standards 2035 appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่านเกมสามก๊ก, Good Cop-Bad Cop กลยุทธ์สหรัฐฯ-จีน หลังทรัมป์รับตำแหน่ง https://thestandard.co/trump-china-russia-strategy-analysis/ Thu, 30 Jan 2025 01:07:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1035923 การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย

หลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด […]

The post อ่านเกมสามก๊ก, Good Cop-Bad Cop กลยุทธ์สหรัฐฯ-จีน หลังทรัมป์รับตำแหน่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย

หลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์ เราสามารถเริ่มประเมินเกมของทรัมป์และ สีจิ้นผิง ในยกแรก เรียกว่าต่างฝ่ายต่างมีลูกเล่นแพรวพราว

 

เริ่มจากทรัมป์ก่อน อาจสรุปกลยุทธ์ของทรัมป์ตอนนี้ได้ 3 ข้อ

 

  1. ในเกมสามก๊กสหรัฐฯ-จีน-รัสเซีย ทรัมป์พยายามหันมาเป็นมิตรกับจีน เพื่อแยกจีนกับรัสเซียออกจากกัน และให้จีนช่วยกดดันรัสเซียเพื่อยุติสงครามยูเครน

 

ข้อนี้แตกต่างจากเดิมที่นักยุทธศาสตร์หลายคนนึกว่าทรัมป์จะหันไปสนิทกับ วลาดิเมียร์ ปูติน คืนดีกับรัสเซีย เพื่อแยกรัสเซียออกจากจีน และทุ่มความสนใจและสรรพกำลังทั้งหมดของสหรัฐฯ มาจัดการจีน แต่ตรงกันข้าม เปิดฉากแรกทรัมป์กลับเลือกแสดงท่าทีที่เป็นมิตรต่อจีน และหยอดคำหวานว่า หากสหรัฐฯ และจีนร่วมมือกัน จะสามารถแก้ปัญหาทั้งโลกได้

 

  1. ทรัมป์เลือกเล่นเกม Good Cop-Bad Cop การตั้งคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ล้วนประกอบไปด้วยสายเหยี่ยวต่อจีน ไม่ว่าจะเป็น มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ที่ถูกจีนคว่ำบาตรไม่ให้เข้าประเทศ) หรือ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคง ซึ่งก็มองจีนเป็นภัยคุกคามร้ายกาจที่ต้องจัดการ

 

คนเหล่านี้ล้วนเป็น Bad Cop ที่ออกมาคอยโจมตีและแสดงท่าทีดุดันต่อจีน ส่วนทรัมป์กลับเลือกที่จะเล่นบท Good Cop โดยหลีกเลี่ยงที่จะโจมตีจีนในสุนทรพจน์และการแถลงข่าว ทั้งยังต่อสายตรงถึงสีก่อนเข้ารับตำแหน่ง ประกาศเชิญสีมาร่วมงานรับตำแหน่ง (สีส่งรองประธานาธิบดีมาเป็นตัวแทน) และยังประกาศว่าตั้งใจจะไปเยือนจีนภายใน 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง

 

  1. ดูเหมือนทรัมป์พยายามจุดประเด็นใหม่ๆ เพื่อเบนความสนใจออกจากเรื่องจีน จะเห็นได้จากการที่เขากลับมาซัดแคนาดาและเม็กซิโก เน้นเรื่องผู้อพยพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับลาตินอเมริกามากกว่า และหันมาเปิดประเด็นเรื่องคลองปานามา ส่วนเรื่องการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าต่างชาติ ทรัมป์ก็เน้นว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้า ‘ต่างชาติ’ ไม่ได้เน้นที่จีนอย่างเดียวเหมือนสงครามการค้ารอบแรก กระแสการเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนอ่อนลงมาก

 

ทั้งหมดนี้เพราะเรื่องสำคัญลำดับแรกของทรัมป์ในตอนนี้คือ ปัญหาผู้อพยพ และการยุติสงครามยูเครน โดยเฉพาะในเรื่องสงครามยูเครนนั้น ทรัมป์มองว่าจีนจะสามารถมีอิทธิพลต่อรัสเซียได้

 

ส่วนสงครามการค้าต่อจีนนั้นขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ทรัมป์คงจะเริ่มขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนและสินค้าต่างชาติภายหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศลดภาษีในประเทศเพิ่มเติมได้สำเร็จ และภายหลังจากที่สามารถกดราคาพลังงานลงจากการเพิ่มการขุดน้ำมัน ซึ่งจะช่วยคุมเงินเฟ้อสหรัฐฯ ทำให้ถึงเวลานั้นทรัมป์จึงจะค่อยมีช่องว่างมากขึ้นที่จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าต่างชาติโดยไม่กระทบผู้บริโภคสหรัฐฯ มากนัก

 

หากวิเคราะห์เกมโต้กลับของสีอาจสรุปเป็นกลยุทธ์ได้ 3 ข้อเช่นกัน

 

  1. จีนต้องจับมือรัสเซียไว้ให้มั่น เพราะตามประวัติสามก๊กของจีน ก๊กเล็กต้องจับมือกันให้แน่นแฟ้น ไม่เช่นนั้นย่อมจะถูกก๊กใหญ่เขมือบทีละก้อน สีจึงแสดงสัญลักษณ์ด้วยการต่อสายตรงถึงปูตินในวันที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง โดยสีได้เล่าให้ปูตินฟังว่าคุยอะไรกับทรัมป์บ้าง และปูตินเล่าให้สีฟังถึงการประเมินสถานการณ์สงครามยูเครนของรัสเซีย

 

  1. จีนเลือกเล่นเกมนิ่ง ดูไม่สนใจที่จะตอบสนองต่อท่าทีที่เป็นมิตรของสหรัฐฯ มากนัก ทรัมป์เชิญสีไปร่วมงานรับตำแหน่ง กว่าจีนจะตอบว่าจะส่งตัวแทนไปก็ใกล้วันงานมาก ทรัมป์บอกว่าอยากไปเยือนจีนในช่วง 100 วันหลังรับตำแหน่ง จีนก็ไม่ได้ตอบรับหรือแสดงท่าทีแข็งขันที่จะต้อนรับแต่อย่างใด ทรัมป์ส่งเสียงอะไรกลับเหมือนอีกฝ่ายสนองกลับด้วยความนิ่งเงียบ ไม่แสดงท่าทีเร่งร้อนหรือกระวนกระวายที่จะต้องคุยกับสหรัฐฯ

 

จีนเล่นเกมนิ่ง เพื่อกดดันให้สหรัฐฯ แสดงความจริงใจก่อนว่าท่าทีที่เป็นมิตรต่อจีนจะสะท้อนออกมาด้วยการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอย่างไรได้บ้าง นอกจากลมปากและการยังไม่ขึ้นกำแพงภาษีที่เคยขู่ไว้ ส่วนเกม Good Cop-Bad Cop ของทรัมป์นั้น จีนต้องการให้ทรัมป์ส่งสัญญาณให้ชัดว่าตกลงทรัมป์เป็นคนกำหนดนโยบายต่างประเทศแน่ใช่ไหม และหากจีนคุยกับทรัมป์จบ ลูกน้องทรัมป์จะอยู่ในแถว ไม่ออกนอกแถวมาซัดจีนใช่ไหม

 

สีและปูตินพูดชัดเจนว่าต้องการการทูตระหว่างผู้นำ ความหมายคือต้องการให้ผู้นำสูงสุดอย่างสี ปูติน และทรัมป์ นั่งลงตกลงเรื่องใหญ่ๆ กัน ไม่ใช่มาคุยกันผ่านลูกน้อง ดังที่รัสเซียปฏิเสธที่จะพบผู้แทนของทรัมป์ จีนและรัสเซียน่าจะมองว่าการเจรจากับทรัมป์ ซึ่งเป็นคนไม่มีมิติเชิงอุดมการณ์ แตกต่างจากทีมงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมักเต็มไปด้วยอุดมการณ์ ค่านิยมดั้งเดิม และจุดยืนฝังราก น่าจะทำให้คุยกับทรัมป์โดยตรงง่ายกว่า ซึ่งต้องรอดูต่อว่าทรัมป์จะรับลูกหรือไม่

 

  1. จีนและรัสเซียต้องการโลกที่มหาอำนาจต่างมีเขตอิทธิพลของตน (Zone of Influence) ที่คนนอกหลีกเลี่ยงที่จะมายุ่ง เอาให้ชัดคือจีนต้องการมีอิทธิพลในอินโด-แปซิฟิก โดยสหรัฐฯ ไม่เข้ามายุ่ง ส่วนรัสเซียก็ต้องการมีอิทธิพลในยูเครนและพื้นที่สหภาพโซเวียตเก่า โดยไม่ต้องปวดหัวกับการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ และ NATO เข้ามาประชิดรัสเซีย

 

ในมุมนี้สีย่อมมองทรัมป์ว่าเป็นโอกาสทองที่จะดีลได้ เพราะทรัมป์ดูมีแนวโน้มสนใจ America First ภาพการกลับมายิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ ในสุนทรพจน์การรับตำแหน่งของทรัมป์ก็ดูเป็นเรื่องการกลับมาฟื้นฟูอิทธิพลของสหรัฐฯ ในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้เป็นหลัก ดังที่ทรัมป์หันมาเล่นเรื่องจัดการกับแคนาดา, เม็กซิโก, ลาตินอเมริกา และคลองปานามา ขณะที่ดูเหมือนทรัมป์ต้องการยุติสงครามยูเครนให้เร็วที่สุด และไม่สนใจที่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องไต้หวันหรือทะเลจีนใต้

 

ถึงกับมีคนเปรียบเทียบว่าโลกในยุคทรัมป์ 2.0 นั้นอาจมีเพียง 3 คนนี้ ทรัมป์ ปูติน และสี ซึ่งมีที่นั่งที่โต๊ะอาหาร ส่วนชาติที่เหลือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยูเครน, ชาติในสหภาพยุโรป, ในลาตินอเมริกา และในอินโด-แปซิฟิก (เช่น ไต้หวัน และฟิลิปปินส์) ล้วนจะอยู่บนเมนู รอว่า 3 คนบนโต๊ะดีลกันได้ไหมและจะแบ่งเค้กกันอย่างไร

 

ภาพ: Lauren DeCicca / Getty Images, Kevin Lamarque / Reuters, Brunohitam via Shutterstock

The post อ่านเกมสามก๊ก, Good Cop-Bad Cop กลยุทธ์สหรัฐฯ-จีน หลังทรัมป์รับตำแหน่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/ https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/#respond Wed, 22 Jan 2025 04:00:17 +0000 https://thestandard.co/?p=192417 pollution-prevention

ความศิวิไลซ์ของมนุษย์มักต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางธรรมชาติอ […]

The post ‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
pollution-prevention

ความศิวิไลซ์ของมนุษย์มักต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางธรรมชาติอันประเมินค่าไม่ได้ จากอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน เราพบว่ามนุษย์ยังคงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่เรียนรู้บทเรียนจากผลเสียของการทำลายธรรมชาติ

 

ท่ามกลางปัญหาหมอกพิษที่กำลังรุมเร้าหลายภูมิภาคทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ หลายประเทศเพิ่งตระหนักกับปัญหามลพิษอย่างจริงจัง ขณะที่หลายประเทศเพิ่งเริ่มตระหนักและกดดันภาครัฐให้งัดมาตรการต่างๆ เพื่อทวงคืนอากาศบริสุทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรก ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น  

 

อาจถือได้ว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีที่ทั่วโลกพร้อมใจกันยกประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแก้ปัญหาโลกร้อนและมลพิษเป็นวาระสำคัญของประเทศ ซึ่งทำให้โลกนี้ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียวที่จะมีอากาศสะอาดให้คนรุ่นหลังได้สูดเข้าไปอย่างเต็มปอด

 

ไม่ไกลจากประเทศไทย จีนซึ่งเป็นชาติที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลกสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และครองแชมป์แหล่งต้นตอของมลพิษทางอากาศมานานหลายปี เวลานี้กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกในด้านการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้จีนยังรับบทหัวเรือใหญ่ในการผลักดันมาตรการแก้ปัญหาโลกร้อนบนเวทีโลก ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตสำหรับประเทศที่ทำลายธรรมชาติจนบอบช้ำ ถึงแม้ว่ากว่าที่จีนจะเริ่มตระหนักและแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง พวกเขาต้องแลกมาด้วยคุณภาพชีวิตของประชากรและต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่มากมายมหาศาล

 

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าจีนมีผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากปัญหามลพิษในอากาศมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี ขณะที่นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ได้วัดดัชนีความสุขโดยใช้อัลกอริทึมวิเคราะห์อารมณ์ของผู้ใช้เว่ยป๋อ (Weibo) แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนที่คล้ายทวิตเตอร์) ใน 144 เมือง นับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งพบว่าเมื่อระดับฝุ่น PM2.5 (ฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน) สูงขึ้น ข้อความที่สะท้อนความสุขของประชาชนจะลดลง ซึ่งถือเป็นสหสัมพันธ์เชิงลบระหว่างระดับมลพิษกับความสุข

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีการสอดส่องโซเชียลมีเดียเพื่อศึกษาความต้องการของประชาชนมาตลอด บ่อยครั้งนโยบายระดับชาติที่กำหนดออกมาบังคับใช้ก็มาจากเสียงโอดครวญในโลกออนไลน์ มาตรการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เช่นเดียวกัน และเมื่อรัฐตระหนักถึงปัญหานี้อย่างจริงจังก็เป็นตัวเร่งให้ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อวิจัยและพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือก จนกระทั่งจีนก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้นำโลกภายในช่วงเวลาไม่กี่ปี ขณะที่ค่ามลพิษก็ลดลงจนน่าพอใจ ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับไทย

 

เราไปดูกันว่ายุทธศาสตร์การทำสงครามกับมลพิษทางอากาศของจีนเป็นอย่างไร ได้ผลมากน้อยแค่ไหน เราสามารถยึดเป็นแบบอย่างได้เพียงใด

 

 

กรณีศึกษา: สงครามต่อสู้มลพิษของจีน

หลังจีนเปิดประเทศและเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมในทุกๆ ด้าน ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลายสวนทางกับความเจริญ เนื่องจากจีนพึ่งพาพลังงานจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษมหาศาล เช่นเดียวกับการขยายตัวของตัวเมืองก็เป็นอีกตัวเร่งให้ปัญหามลพิษเลวร้ายลง กระทั่งจีนกระโดดขึ้นมาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) รวมกัน

 

เมื่อปัญหามลพิษหนักขึ้นจนทำให้ประชาชนไม่มีความสุข รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเร่งด่วน และได้กำหนดยุทธศาสตร์แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นระบบตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทในการต่อสู้กับมลพิษที่ชัดเจนที่สุดของจีน

 

ในแผนปฏิบัติการลดมลพิษทางอากาศที่คลอดเมื่อเดือนกันยายน ปี 2013 ช่วยให้จีนปรับปรุงคุณภาพอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังกำหนดเป้าหมายลดค่าฝุ่น PM2.5 ในกรุงปักกิ่งและเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงลง 33% และ 15% ตามลำดับ ภายในช่วงระหว่างปี 2013-2017

 

ในช่วงเวลาดังกล่าว กรุงปักกิ่งต้องลดค่าฝุ่น PM2.5 จากระดับ 89.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรให้เหลือ 60 ไมโครกรัม ซึ่งมาตรการฉุกเฉินที่ทางการงัดมาใช้ในตอนนั้นมีตั้งแต่การสั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วกรุงปักกิ่ง และห้ามประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงและพื้นที่รอบข้างเผาถ่านหินเพื่อให้ความอบอุ่น ซึ่งแม้จะมีกระแสต่อต้านจากหลายๆ ฝ่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือปักกิ่งสามารถลดค่าฝุ่น PM2.5 ลงเหลือเฉลี่ย 58 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือลดลงถึง 35% ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้เสียอีก

 

สำหรับมหานครเทียนจินที่อยู่ติดกับปักกิ่ง รวมถึงมณฑลข้างเคียงอย่างเหอเป่ยต่างก็ดำเนินมาตรการต่อสู้กับมลพิษเช่นกัน โดยพื้นที่แถบนี้จัดอยู่ในกลุ่มเมืองขนาดใหญ่ (Clusters) เช่นเดียวกับกลุ่มเมืองในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและแยงซีที่ใช้มาตรการต่างๆ จนสามารถลดระดับมลพิษได้ตามเป้าเช่นกัน

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้หลายเมืองของประเทศจีนจะทำได้ตามเป้า แต่ก็ยังไม่มีเมืองไหนที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพอากาศตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรสำหรับฝุ่นละอองขนาด PM2.5 ขณะที่สิ้นปี 2017 มีเพียง 107 เมืองจากทั้งหมด 338 เมืองใหญ่ที่ทำได้ตามมาตรฐานระดับพอรับได้ขององค์การอนามัยโลกที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

 

หลังแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปีฉบับแรกของรัฐบาลจีนสิ้นสุดลง จีนมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำต่อคือปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ได้มาตรฐานโลก เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้นและยั่งยืน

 

ดังนั้นแผนปฏิบัติการฉบับใหม่ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ต่อสู้กับมลพิษทางอากาศเฟสที่ 2 จึงกำหนดขอบเขตควบคุมให้กว้างขวางขึ้นทั่วประเทศ และเพิ่มความท้าทายด้วยกรอบเวลาที่สั้นลงเหลือเพียง 3 ปี (2018-2020) โดยรัฐบาลเรียกมันว่า ‘แผนปฏิบัติการทำสงครามเพื่อท้องฟ้าที่สดใส’

 

แผนปฏิบัติการใหม่นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมระยะ 5 ปีฉบับที่ 13 ของจีน ซึ่งมีข้อบังคับสำหรับเมืองขนาดใหญ่หรือเขตพื้นที่ที่อากาศไม่ได้มาตรฐานคุณภาพให้ลดค่าฝุ่น PM2.5 ลงอย่างน้อย 18% เมื่อเทียบกับระดับมลพิษในปี 2015

 

ข้อมูลจาก หวงเหว่ย หัวหน้าแผนกภูมิอากาศและพลังงานแห่งองค์กรสิ่งแวดล้อม กรีนพีซ อีสต์เอเชีย ระบุว่าแผนปฏิบัติการใหม่มีการควบคุมการปล่อยมลพิษในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น ส่งผลให้หลายเมืองที่ไม่เคยถูกควบคุมเรื่องมลพิษมาก่อนถูกกดดันให้ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ จากเดิมที่เคยเป็นเป้าหมายเฉพาะสำหรับกลุ่มเมืองปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย รวมถึงเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและแยงซีเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางการระบุว่าในบรรดาเมืองขนาดใหญ่จำนวน 338 เมืองที่อยู่ในข่ายถูกควบคุม มีถึง 231 เมืองที่ไม่ได้มาตรฐานคุณภาพอากาศตามเกณฑ์ค่า PM2.5 ซึ่งอนุญาตให้มีปริมาณฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเทียบเท่ากับมาตรฐานที่พอรับได้ขององค์การอนามัยโลก

 

มีการตั้งข้อสังเกตว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การควบคุมมลพิษตามแผนปฏิบัติการฉบับ 3 ปีไม่ได้ผลมากนักเป็นเพราะส่วนกลางไม่ได้กำหนดเป้าหมายให้ลดฝุ่นละอองโดยเทียบจากระดับมลพิษในปี 2017 ทว่ากลับใช้ตัวเลขของปี 2015 เป็นเส้นฐานแทน ซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลนัก

 

มีเสียงวิจารณ์ว่าเป้าหมายลดค่าฝุ่น PM2.5 ลง 18% ภายในปี 2020 เป็นเรื่องที่ง่ายดายเกินไปสำหรับบางเมือง ส่งผลให้มาตรการควบคุมการปล่อยมลพิษในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนในหลายเมืองไม่เข้มข้นมากนัก

 

ก่อนหน้านี้มีกว่า 70 เมืองที่ลดมลพิษในอากาศได้เกินเป้าของแผนปฏิบัติการฉบับแรก ซึ่งเป็นฉบับที่มีการกำหนดเป้าหมายใหม่ แต่สำหรับเฟสที่ 2 กลับไม่จูงใจให้เมืองเหล่านี้ดำเนินมาตรการมากขึ้น เพราะเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนระยะ 3 ปีไม่ท้าทายเพียงพอ

 

และแม้ว่าทุกเมืองจะทำได้ตามเป้าโดยลดฝุ่น PM2.5 ลง 18% แต่ก็จะมีกว่า 200 เมืองที่ไม่ได้มาตรฐานคุณภาพอากาศที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในปี 2020

 

อย่างไรก็ตาม หวังจินหนาน ผู้อำนวยการสถาบันวางแผนด้านสิ่งแวดล้อมในสังกัดกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีน ชี้แจงว่าการกำหนดเป้าหมายโดยแยกจากแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมระยะ 5 ปี (2016-2020) ของรัฐบาลอาจสร้างความสับสนให้กับรัฐบาลท้องถิ่นผู้รับแผนไปปฏิบัติ เพราะตัวเลขต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่ประกาศไปในปี 2016 ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถกำหนดเป้าหมายด้านปริมาณใหม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือเพียงตอกย้ำถึงความจำเป็นในการบรรลุเป้าหมายใหญ่ของแผนแม่บทว่าด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมฉบับที่ 13 ของจีน

 

โฟกัสโอโซนระดับพื้นดินมากขึ้น

นอกเหนือจากฝุ่นละอองขนาดเล็กแล้ว โอโซนที่เป็นพิษซึ่งส่งผลเสียต่อระบบหายใจเมื่อสูดเข้าไปในร่างกายก็เป็นสิ่งที่ทางการจีนวิตกกังวลและถูกบรรจุลงในแผนปฏิบัติการฉบับใหม่ของรัฐบาลด้วย โอโซนที่ว่านี้อยู่ในระดับพื้นดิน ซึ่งเกิดจากสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds) หรือสาร VOCs ที่ทำปฏิกิริยากับไนโตรเจนออกไซด์ โดยทางการได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยสาร VOCs และไนโตรเจนออกไซด์ลง 10% และ 15% ตามลำดับ โดยใช้ตัวเลขปี 2015 เป็นฐาน

 

ปัจจุบันมีสัญญาณบ่งชี้ว่าปัญหามลพิษโอโซนในจีนเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนจะทำให้โอโซนในระดับพื้นดินเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ ขณะกรีนพีซเคยคำนวณไว้ว่าระดับโอโซนเฉลี่ยทั่วประเทศจีนในเดือนมิถุนายน ปี 2018 สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 11%

 

 

โมเดลระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้า

หนึ่งในกรณีศึกษาน่าสนใจเกี่ยวกับมาตรการต่อสู้กับปัญหามลพิษ นอกเหนือไปจากการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน ย้ายที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมออกนอกเขตเมือง และควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมแล้ว รัฐบาลจีนยังโดดเด่นในเรื่องการส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์ดีเซลและเบนซินที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญก็คือถึงแม้รัฐบาลจีนพบว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการปรับปรุงคุณภาพอากาศในกรุงปักกิ่ง แต่ความสำเร็จส่วนใหญ่มาจากการย้ายที่ตั้งอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษให้ไกลออกไปจากเมืองหลวง ซึ่งหากจีนต้องการบรรลุเป้าหมายคุณภาพอากาศทั่วประเทศภายในปี 2035 รัฐบาลจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบ

 

การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จึงต้องมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย

 

เพราะรถยนต์เป็นอีกหนึ่งต้นตอของมลพิษทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองใหญ่ของจีน

 

ในบทวิเคราะห์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของนิตยสาร Forbes เมื่อปี 2018 มีการคาดการณ์ว่าจีนจะกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่มีระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

 

เรื่องนี้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยสำหรับจีน เพราะภาครัฐได้กำหนดยุทธศาสตร์ถนนสีเขียวและสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังมานานแล้ว โดยเมื่อเร็วๆ นี้เราได้เห็นความเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญคือบริษัท Tesla ของ อีลอน มัสก์ ได้ทำพิธีลงเสาเข็มเพื่อเดินหน้าสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Tesla แห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จจะเป็นฐานผลิตรถ Model 3 ที่สำคัญของ Tesla

 

หากคุณยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนพอ ลองดูข้อมูลจาก Forbes ประกอบก่อน

 

Forbes ระบุว่าในปี 2017 จีนผลิตรถเก๋ง รถบัส และรถบรรทุกที่เป็นระบบไฟฟ้าจำนวน 680,000 คัน ซึ่งมากกว่าทั่วโลกผลิตรวมกันเสียอีก นอกจากนี้จีนยังมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่าประเทศที่เหลือทั่วโลกด้วย

 

ขณะที่เมืองใหญ่อย่างเซินเจิ้นก็ประสบความสำเร็จในการยกเครื่องรถบัสโดยสารให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEVs) ทั้งหมด ซึ่งเป็นต้นแบบให้เมืองอื่นๆ ดำเนินรอยตาม ขณะที่ยานยนต์ลูกผสมอย่างรถไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) ก็กำลังหายไปจากท้องถนนในจีนอย่างรวดเร็ว

 

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกตัวสะท้อนความนิยมที่มีต่อยานยนต์ทางเลือก โดยข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีนเผยว่า จีนมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทะลุ 800,000 คันในปี 2017 พุ่งขึ้นจากตัวเลขไม่ถึง 100,000 คันในปี 2014

 

แต่ปัญหาการใช้รถ BEVs ก็ยังมีอยู่ รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้นต่อการชาร์จแบตครั้งเดียว โดยเป้าหมายคือการทำให้รถ BEVs วิ่งได้ไกลเกิน 160 กิโลเมตร (100 ไมล์) ต่อการชาร์จแบต 1 ครั้ง

 

และเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ จีนตั้งเป้าเพิ่มสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะให้ได้ 500,000 จุดภายในปี 2020 จากที่มีอยู่ 214,000 จุดในปี 2017

 

เฉพาะบริษัทการไฟฟ้าแห่งชาติของจีน (State Grid) ก็มีแผนจะเพิ่มจุดชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า 120,000 จุด จากจำนวน 10,000 จุดในปัจจุบัน โดยจะมีการติดตั้งเพิ่มตามเมืองใหญ่ต่างๆ เช่น เซินเจิ้น ซึ่งทดลองติดตั้งอยู่ริมถนนในบริเวณที่จอดรถ ทั้งหมดนี้ถือเป็นโมเดลสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า BEVs เพราะยิ่งมีจุดชาร์จแบตกระจายไปทั่วมากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังชั่งใจว่าจะเลือกรถ BEVs หรือไม่ เพราะแทนที่พวกเขาจะขับรถไปเติมน้ำมันตามปั๊มแบบเดิม พวกเขาก็สามารถเสียบปลั๊กชาร์จแบตขณะจอดรถตามที่ต่างๆ ได้

 

ดังนั้นหากคุณเดินทางไปจีนในอีก 10 ปีข้างหน้า คุณอาจเห็นท้องฟ้าที่สดใสปลอดโปร่งขึ้นในเมืองใหญ่ๆ เพราะปัญหาแหล่งมลพิษจากรถเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจค่อยๆ หมดไปจากถนนในจีน

 

 

ความหวังใหม่

ความหวังใหม่สำหรับกรุงปักกิ่งที่เผชิญปัญหาหมอกพิษมานานหลายปี วันนี้ประชาชนได้เห็นท้องฟ้าที่สดใสขึ้น พร้อมกับความหวังใหม่ที่จะสามารถสูดอากาศได้เต็มปอดอย่างสบายใจในสักวันหนึ่ง

 

เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 ปักกิ่งวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในอากาศเฉลี่ยทั้งเดือนได้ 34 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งได้มาตรฐานคุณภาพอากาศระดับชาติที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเป็นครั้งแรก

 

สิ่งที่กรุงปักกิ่งโฟกัสเป็นพิเศษคือการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างเข้มงวด มีทั้งการสั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหลืออยู่ รวมถึงระงับโครงการก่อสร้างทั้งหมดในช่วงฤดูหนาว และยังออกกฎห้ามการเผาถ่านหินในเขตพื้นที่ต่างๆ รอบกรุงปักกิ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งทีมเจ้าหน้าที่ขจัดควันพิษ หรือ Smog Squad เพื่อตระเวนห้ามชาวเมืองทำกิจกรรมปิ้งย่างบาร์บีคิวกลางแจ้งและเผาขยะด้วย

 

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของกรุงปักกิ่งเปิดเผยว่า ตลอดเดือนมกราคม ปี 2018 คุณภาพอากาศอยู่ที่ระดับ ‘ดี’ และ ‘ดีเยี่ยม’ รวม 25 วันจากทั้งหมด 31 วัน และสามารถลดความหนาแน่นของอนุภาคฝุ่นละอองในอากาศถึง 70.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

 

นอกจากค่า PM2.5 แล้ว ค่าฝุ่นละออง PM10, ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนไดออกไซด์ของกรุงปักกิ่งยังลดลง 51.1%, 55.6% และ 35.4% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว

 

นอกจากเดือนมกราคมที่เป็นหมุดหมายแห่งความสำเร็จแล้ว ปักกิ่งยังทำได้ตามเป้าคุณภาพอากาศในเดือนสิงหาคมและกันยายนในปีที่แล้วอีกด้วย

 

 

สำหรับภาพรวมในปี 2018 ของปักกิ่ง หลังสามารถลดปริมาณฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอนอันเป็นต้นตอของหมอกพิษได้ถึง 12% ในปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลงานที่รัฐบาลค่อนข้างพอใจ แม้ตัวเลขเฉลี่ยตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 51 โมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานคุณภาพอากาศของจีนที่ระดับ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรก็ตาม

 

การบังคับใช้กฎหมายก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อไปสู่เป้าหมาย ทางการจีนเผยว่าเมื่อปีที่แล้วมีผู้ประกอบการที่ปล่อยมลพิษจำนวน 656 รายถูกสั่งให้ย้ายฐานที่ตั้ง ขณะที่บริษัทและบุคคลถูกปรับเงินรวมกว่า 230 ล้านหยวนฐานฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 22.5%

 

กรณีศึกษาของจีนถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศที่กำลังคิดใช้มาตรการต่างๆ เพื่อกอบกู้วิกฤต ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ เพราะกว่าที่จีนจะเห็นผลลัพธ์ที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ นั้น พวกเขาเริ่มตระหนักและแก้ปัญหามลพิษด้วยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบตั้งแต่เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน

 

เพราะการจะแก้ปัญหาฝุ่นพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและดำเนินมาตรการอย่างเคร่งครัดเท่านั้น จึงจะช่วยขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จได้

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

The post ‘ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสู่การพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า’ ส่องยุทธศาสตร์ต่อสู้มลพิษฝุ่น PM2.5 ของจีนที่อาจเป็นต้นแบบของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/pollution-prevention-strategy-pm-25-dust-china/feed/ 0
ชมคลิป: ถอดสุนทรพจน์ปีใหม่ สีจิ้นผิง ยังยืนยันการรวมชาติ ไต้หวันคือของจีน | NEWS DIGEST #86 https://thestandard.co/news-digest-03012024/ Fri, 03 Jan 2025 12:09:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1026899

“ไม่มีใครหยุดยั้งประวัติศาสตร์ได้ และการรวมชาติเป็นสิ่ง […]

The post ชมคลิป: ถอดสุนทรพจน์ปีใหม่ สีจิ้นผิง ยังยืนยันการรวมชาติ ไต้หวันคือของจีน | NEWS DIGEST #86 appeared first on THE STANDARD.

]]>

“ไม่มีใครหยุดยั้งประวัติศาสตร์ได้ และการรวมชาติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

 

สุนทรพจน์ปีใหม่ของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ต้อนรับต้นปีหมาดๆ สะท้อนถึงท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับไต้หวัน คำกล่าวนี้ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยแถลงเชิงอุดมการณ์ แต่เป็นการตอกย้ำถึงเจตนารมณ์ที่ลึกซึ้งในด้านยุทธศาสตร์ด้วย

 

คำถามคือ “ความพยายามนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของเอกภาพแห่งชาติ หรือจะเป็นเครื่องมือที่เข้ามาเขย่าภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก?”

The post ชมคลิป: ถอดสุนทรพจน์ปีใหม่ สีจิ้นผิง ยังยืนยันการรวมชาติ ไต้หวันคือของจีน | NEWS DIGEST #86 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเครื่องบินรบยุค 6 ของจีน https://thestandard.co/china-sixth-gen-fighter-jet-program/ Mon, 30 Dec 2024 00:51:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1025561 เครื่องบิน

ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของจีนเผยแพร่คลิปเครื่องบินทหารที่มีร […]

The post เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเครื่องบินรบยุค 6 ของจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครื่องบิน

ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของจีนเผยแพร่คลิปเครื่องบินทหารที่มีรูปร่างหน้าตาล้ำสมัยเหมือนหลุดมาจากภาพยนตร์บินคู่กับเครื่องบินขับไล่ J-20 แต่ไม่ใช่แค่ 1 ลำที่ปรากฏให้เห็นบนน่านฟ้าในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทว่ายังมีอีกลำที่หน้าตาต่างออกไปด้วย

 

หลายคนเชื่อว่านี่คือเครื่องบินต้นแบบในโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ของจีน

 

ในโลกของเรานั้นแบ่งเครื่องบินขับไล่ออกเป็นยุคๆ โดยเครื่องบินขับไล่ยุคที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันคือเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4 หรือ 4.5 อย่าง Gripen E/F, F-16E/F, Su-35, Eurofighter Typhoon และ Rafale ซึ่งเครื่องบินยุคนี้จะทำได้หลายภารกิจ มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย เรดาร์ที่ทรงพลัง และเครือข่ายการสื่อสาร

 

ถัดจากเครื่องบินยุคนี้ก็จะเป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ที่ถือว่าทันสมัยที่สุดในโลกในปัจจุบันคือ F-22, F-35, Su-57 และ J-20 โดยเครื่องบินขับไล่ยุคนี้จะมีคุณสมบัติในการตรวจจับได้ยาก หรือที่เรารู้จักจากคำว่า Stealth หรือเครื่องบินล่องหนนั่นเอง

 

เมื่อเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 เข้าประจำการแล้ว หลายประเทศก็เริ่มพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ทันที โดยนอกจากจะขยายขีดความสามารถทุกมิติของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 แล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติตรวจจับได้ยากแบบใหม่ เพื่อป้องกันการตรวจจับของเรดาร์ฝ่ายตรงข้าม ไปจนถึงการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูง สามารถทำภารกิจได้หลากหลาย รวมถึงการเป็นเครื่องบินแม่ที่ควบคุมโดรนลำอื่นๆ ให้ปฏิบัติภารกิจได้

 

ซึ่งโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 นั้นมีการดำเนินการอยู่ในหลายประเทศ เช่น โครงการ Next-Generation Air Dominance (NGAD) ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา, โครงการ F/A-XX ของกองทัพเรือสหรัฐฯ, โครงการ Future Combat Air System (FCAS) ของฝรั่งเศส เยอรมนี และสเปน รวมถึงโครงการ Global Combat Air Programme (GCAP) ของสหราชอาณาจักร อิตาลี และญี่ปุ่น

 

จีนเองก็เริ่มพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 แล้วเช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะมี 2 โครงการ คือ J-36 ของบริษัท Chengdu Aerospace Corporation (CAC) ในเมืองเฉิงตู และ J-XX ของบริษัท Shenyang Aircraft Corporation (SAC) ในเมืองเฉิ่นหยาง

 

ตอนนี้เรายังมีข้อมูลไม่มากนักเกี่ยวกับ 2 โครงการนี้ แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าเครื่องบินทั้ง 2 ลำคือเครื่องบินที่ออกมาจากทั้ง 2 โครงการนี้ โดยลำแรกของโครงการ J-36 นั้นเป็นเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ มีปีกแบบ Delta ที่แผ่เต็มลำตัวเหมือนรูปสามเหลี่ยมบินได้ นอกจากนั้น ท่อไอพ่นยังเป็นท่อที่มีขนาดเล็กมาก 3 ท่อ ซึ่งเป็นการซ่อนเครื่องยนต์เอาไว้ในลำตัว คาดว่าเพื่อลดการแผ่รังสีอินฟราเรดที่จะทำให้ถูกตรวจจับได้ ลำตัวโดยรวมมีลักษณะค่อนข้างแบนราบ ซึ่งช่วยลดการถูกตรวจจับจากเรดาร์ฝ่ายตรงข้ามจากด้านข้าง สิ่งที่ทำให้เราค่อนข้างแน่ใจว่าเครื่องบินลำนี้คือเครื่องบินของบริษัท CAC เนื่องจากภาพที่ปรากฏคล้ายกับเครื่องบินลักษณะปีกสามเหลี่ยมที่ดาวเทียมถ่ายภาพได้เมื่อหลายปีก่อน

 

สำหรับเครื่องบินอีกลำมีการออกแบบที่ต่างกันออกไป โดยปีกมีลักษณะคล้ายปีก Lambda ซึ่งเราน่าจะเคยเห็นบนเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-2 ของสหรัฐฯ ลำตัวค่อนข้างมีเหลี่ยมมุมมากกว่า โดยเฉพาะส่วนหัวที่มีมิติบางส่วนคล้ายกับเครื่องบิน FC-31 ซึ่งเป็นเครื่องบินยุคที่ 5 ของบริษัท SAC เอง ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินลำนี้น่าจะเป็นเครื่องบินจากโครงการ J-XX ที่น่าจะมีขนาดเล็กกว่า J-36 และน่าจะใช้ในบทบาทเครื่องบินขับไล่มากกว่า J-36 ที่น่าจะใช้ในบทบาทของเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด แต่เครื่องบินลำนี้มีภาพปรากฏน้อยกว่า J-36 อีก ทำให้เรายังไม่มีข้อมูลวิเคราะห์มากนัก

 

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 โครงการมีจุดร่วมเดียวกันคือการออกแบบแบบ Tailless เป็นการตัดแพนหางดิ่งหรือ Vertical Stabilizer ออกไป ซึ่งเครื่องบินลักษณะนี้มีชื่อเล่นที่เรียกกันก็คือ Flying Wings อย่างที่เราเห็นในเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 และ B-21 ของสหรัฐฯ การตัด Vertical Stabilizer แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการลดการถูกตรวจจับด้วยเรดาร์ เนื่องจาก Vertical Stabilizer เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่มักจะสะท้อนคลื่นเรดาร์กลับไปยังเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามและทำให้ถูกตรวจจับได้

 

แต่ในอดีตเทคโนโลยียังไม่สูงมากนัก ทำให้การตัด Vertical Stabilizer ส่งผลเสียค่อนข้างมากต่อความคล่องตัวและเสถียรภาพการบิน โดยเฉพาะบนเครื่องบินขับไล่ซึ่งต้องการความคล่องตัวสูง แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ทำให้เราเชื่อว่าตอนนี้ประเทศชั้นนำอย่างสหรัฐฯ พร้อมแล้วในการนำการออกแบบแบบ Tailless มาใช้ในเครื่องบินขับไล่

 

ทำให้การออกแบบแบบ Tailless เป็นแนวคิดการออกแบบหลักของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ของสหรัฐฯ อย่าง NGAD ที่มีการวิจัยมาหลายปีแล้ว ซึ่งจากภาพที่ปรากฏแปลว่าจีนเองก็จะมุ่งไปใช้การออกแบบแบบ Tailless เช่นเดียวกับฝั่งสหรัฐฯ นั่นเอง

 

นี่คือทั้งหมดที่เรารู้ในตอนนี้เกี่ยวกับเครื่องบินทั้ง 2 แบบของจีน ที่เรายังไม่รู้แม้แต่ชื่อของมัน แต่การเลือกวันทดสอบการบินเป็นวันที่ 26 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด เหมาเจ๋อตง ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็อาจแสดงให้เห็นว่าโครงการลับของจีนทั้ง 2 โครงการนี้มีความสำคัญสูงมาก และคาดว่าจะเป็นโครงการที่ผลิตเครื่องบินขับไล่หลักเข้าประจำการในกองทัพจีนภายในอีก 15 ปีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน

The post เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเครื่องบินรบยุค 6 ของจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สื่อนอกเผย ทรัมป์เชิญสีจิ้นผิง ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยสอง https://thestandard.co/trump-xi-jinping-second-inauguration-invitation/ Thu, 12 Dec 2024 04:10:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1018728 ทรัมป์ สีจิ้นผิง

สื่อต่างประเทศอย่าง CBS News รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว […]

The post สื่อนอกเผย ทรัมป์เชิญสีจิ้นผิง ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยสอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ สีจิ้นผิง

สื่อต่างประเทศอย่าง CBS News รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 47 ส่งคำเชิญ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ในวันที่ 20 มกราคม 2025 เบื้องต้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้นำจีนตอบรับคำเชิญดังกล่าวหรือไม่

 

ทรัมป์เผยขณะให้สัมภาษณ์ NBC News ว่า เขากับสีจิ้นผิงเข้ากันได้เป็นอย่างดี และพวกเขาพูดคุยกันเมื่อไม่นานมานี้ ท่ามกลางความตึงเครียดในการแข่งขันของทั้งสองมหาอำนาจ โดยเฉพาะในมิติของสงครามการค้า

 

ทรัมป์เสนอชื่อสมาชิกคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูง ‘สายเหยี่ยว’ ในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ส่วนหนึ่งเพื่อรับมือกับจีน โดยทรัมป์เพิ่งประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% จากภาษีเดิม หากจีนไม่ช่วยสหรัฐฯ ยุติปัญหาการลักลอบค้าสารเสพติดอย่างเฟนทานิล ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์ยังเคยขู่จะเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มสูงกว่า 60% ระหว่างช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

 

ด้านสื่อจีนเตือนว่า แนวทางของทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มเติมอาจดึงให้มหาอำนาจด้านเศรษฐกิจสองอันดับแรกของโลกเข้าสู่ ‘สงครามภาษี’ ที่จะสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองประเทศ

 

ขณะที่สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าจะไม่มีผู้ชนะในสงครามภาษี สงครามการค้าและเทคโนโลยี พร้อมเสนอให้ประสานความร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ของทุกฝ่าย

 

ภาพ: Jim Watson / AFP

อ้างอิง:

The post สื่อนอกเผย ทรัมป์เชิญสีจิ้นผิง ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยสอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมทรัมป์ 2.0 คือ ‘แรดเทา’ แล้วจีนจะสู้กลับอย่างไร? https://thestandard.co/trump-china-trade-tensions/ Wed, 27 Nov 2024 09:01:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1013523 ทรัมป์

โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ […]

The post ทำไมทรัมป์ 2.0 คือ ‘แรดเทา’ แล้วจีนจะสู้กลับอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์

โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือที่เรียกกันว่า Trump 2.0 จะส่งผลกระทบกับประเทศไทยอย่างไร เป็นหัวข้อที่พูดกันมากในสื่อต่างๆ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีของไทยมองการกลับมาของ Trump 2.0 ด้วยโลกสีชมพู และเคยให้สัมภาษณ์ว่า “เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย เพราะว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เน้นเรื่องของเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก และไทยมีการค้าขายกับสหรัฐฯ มากอยู่แล้ว” รัฐบาลไทยชุดนี้จึงค่อนข้างชะล่าใจและ (ยัง) ไร้แผนงานที่เป็นรูปธรรมในการเตรียมรับมือกับกระแสกีดกันการค้าที่จะหนักหน่วงขึ้นในยุค Trump 2.0

 

ในทางกลับกัน ผู้นำจีนที่มีประสบการณ์สูงอย่าง สีจิ้นผิง มองว่า การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามการค้าครั้งใหม่ที่เข้มข้นกว่าเดิม จึงนับว่าเป็น ‘แรดเทา’ (Gray Rhino) ในสายตาจีน เนื่องจากเป็นภัยคุกคามที่มีความเป็นไปได้สูงและจะมีผลกระทบสูง หากใครนิ่งนอนใจแล้วมองข้ามหรือประเมินต่ำไป ไม่ใส่ใจที่จะเตรียมรับมือกับปัญหาที่มองเห็นอยู่ ปล่อยปละละเลยจนปัญหาลุกลามใหญ่โต ก็ย่อมจะถูกกระทบอย่างหนักมาก

 

สำหรับจีน การกลับมาของ Trump 2.0 ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ แท้จริงแล้วฝ่ายจีนได้ซุ่มเตรียมการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่จะจัดการกับจีนมาโดยตลอด จีนพร้อมสู้กลับและเตรียมแก้เกมนี้อย่างไม่ประมาท

 

บทความนี้จะมาเรียงให้เห็นว่าจีนเตรียมที่จะรับมือกับ ‘แรดเทา’ ตัวนี้อย่างไร

 

เริ่มจากประเด็นแรก ความหมายของ ‘แรดเทา’ คืออะไร แล้วจีนมาเกี่ยวข้องอย่างไร

 

คำว่า ‘แรดเทา’ เปรียบเสมือนสถานการณ์ความเสี่ยงบางอย่างที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากและจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่มักจะถูกมองข้ามหรือมองไม่เห็นสัญญาณความเสี่ยงที่จะเกิดเพราะคิดว่าไม่สำคัญ ทั้งๆ ที่เป็นความเสี่ยงที่มองเห็นได้ แต่ไม่ได้เตรียมรับมือหรือจัดการมากพออย่างที่ควรจะเป็น ผู้ที่ริเริ่มคำเปรียบเปรยว่าแรดเทา หรือ Gray Rhino คือ มิเชล วัคเกอร์ (Michele Wucker) นักวิเคราะห์ชาวอเมริกัน และเป็นผู้เขียนหนังสือ The Gray Rhino ในปี 2016 โดยกล่าวว่า การเผชิญหน้ากับแรดเทาเปรียบเสมือนการที่เราพอจะมองเห็นอันตรายจากแรดที่วิ่งพุ่งเข้ามาหาตัวเราอย่างรวดเร็ว แต่เรากลับหาข้ออ้างหรือเหตุผลที่จะไม่ทำอะไรเลยกับสิ่งนี้ กว่าเราจะรู้ตัวก็ถูกแรดเทาพุ่งเข้าชนจนเจ็บสาหัส เกิดความเสียหายอย่างหนัก

 

ในกรณีของจีน ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้หยิบยกคำว่า ‘แรดเทา’ หรือ ‘ฮุยซีหนิว’ มากล่าวหลายครั้ง (มักจะกล่าวเปรียบเปรยคู่กับคำว่า ‘หงส์ดำ’) สีจิ้นผิงมักจะเตือนถึงความเสี่ยงอย่างมากจากปัญหาแรดเทา ดังนั้นจีนจะต้องพร้อมรับมือและจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นปี 2018 (ช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มทำสงครามการค้ากับจีนในรอบแรก) สีจิ้นผิงเคยกล่าวกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า “จีนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกหลายอย่างที่คาดไม่ถึง และมีปัจจัยภายนอกที่อ่อนไหวและซับซ้อน งานหนักของทุกคนคือการรักษาเสถียรภาพ การพัฒนา และการปฏิรูป เราจะต้องเฝ้าระวังอย่างสุดชีวิต เพื่อคอยจับตา ‘หงส์ดำ’ ภัยมืดที่มองไม่เห็น และมุ่งสกัด ‘แรดเทา’ ภัยคุกคามที่มีความเป็นไปได้สูง

 

สำหรับจีน สงครามการค้าในยุคทรัมป์จึงเปรียบเสมือนแรดเทา สีจิ้นผิงย้ำกับทุกฝ่ายว่า “อย่าชะล่าใจและต้องเร่งควบคุมความเสี่ยงอย่างเต็มที่ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ แนวคิดหลักทฤษฎี และเทคโนโลยี” หลังจากนั้นสีจิ้นผิงก็มีการหยิบยกคำว่าแรดเทามากล่าวถึงอีกหลายครั้งในหลายวาระ เช่น ในการประชุมสภาประชาชนปี 2019 การกล่าวสุนทรพจน์วันขึ้นปีใหม่ปี 2020 และช่วงต้นปี 2021 เป็นต้น

 

ในมุมมองของจีน แรดเทาน่าจะดุดันมากขึ้นในยุค Trump 2.0 เห็นได้จากนโยบายแข็งกร้าวของทรัมป์ และการตั้งทีมงานสายเหยี่ยวมารับตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในรัฐบาล Trump 2.0 จึงคาดว่าน่าจะเกิดสงครามการค้าที่ระอุขึ้นมาอีกครั้งหากทรัมป์ทำตามที่เคยหาเสียงไว้ ทั้งการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมากถึงร้อยละ 60 เพื่อลดการขาดดุลการค้ากับจีน และเร่งการแยกขั้ว/ตัดขาดห่วงโซ่การผลิตจากจีน รวมไปถึงการเพิ่มมาตรการกีดกันอื่นๆ เพื่อจำกัดจีนในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนส่งสัญญาณถึงภัยคุกคามของแรดเทาในสายตาจีน

 

ประเด็นที่สอง แล้วจีนจะสู้กลับหรือแก้เกม Trump 2.0 อย่างไร

 

แน่นอนว่าจีนจะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย จีนไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว แม้ว่าจีนอาจจะใช้ไม้อ่อนเริ่มจากการพูดคุยเจรจากับทรัมป์ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์และหาทางประนีประนอม ซึ่งย่อมจะดีกว่าการต่อสู้ห้ำหั่นกัน อย่างไรก็ดี หากสหรัฐฯ ยังยืนยันที่จะมีท่าทีแข็งกร้าวและจะขึ้นภาษีกับสินค้าจีนตามคำขู่ ฝ่ายจีนก็พร้อมจะสู้กลับ จุดแข็งของจีนคือการมีพลังซื้อมหาศาลเป็นอาวุธที่ทรงพลัง

 

หากรัฐบาลทรัมป์ทำสงครามการค้ากับจีนอีกครั้ง ฝ่ายจีนก็พร้อมที่จะปล่อยหมัดสวนกลับด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการตอบโต้ทางการค้า หรือที่เรียกว่า Trade Retaliation ด้วยการเพิ่มกำแพงภาษีหรือจำกัดโควตาสินค้าที่จีนเคยนำเข้าจำนวนมากจากสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาจีนที่เป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองมากที่สุดในโลก (สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 60-63 ของการนำเข้าถั่วเหลืองของโลก) จีนจึงเป็นตลาดส่งออกถั่วเหลืองที่สำคัญของสหรัฐฯ หากจีนประกาศตอบโต้ด้วยการไม่ซื้อหรือเพิ่มมาตรการกีดกันถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ส่งออกไปจีนได้น้อยลง ย่อมจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ผลิตถั่วเหลืองจำนวนมากในสหรัฐฯ ว่ากันว่าคนเหล่านี้เป็นกลุ่มฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ที่อาศัยอยู่ในมลรัฐตอนกลาง (Midwest) และเป็นแหล่งผลิตถั่วเหลืองสำคัญจนถูกเรียกกันว่า ‘Soybean Belt’

 

อีกประเด็นสำคัญคือ จีนแก้เกมเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ด้วยกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง (Diversification Strategy) เร่งกระจายส่งออกไปตลาดใหม่ๆ ในโลกขั้วใต้ (Global South) จนสำเร็จ

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจีนไม่ได้นิ่งนอนใจและใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการกับภัยคุกคาม ‘แรดเทา’ ที่จะเกิดขึ้นกับจีน สีจิ้นผิงจึงได้รุกคืบไปสร้างความสัมพันธ์กับหลายประเทศที่มีศักยภาพในโลกขั้วใต้ มีการกระจายตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าจีนและขยายการค้าการลงทุนกับประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในทวีปต่างๆ ทำให้จีนกลายเป็นคู่ค้าสำคัญของประเทศเหล่านั้น มีการรายงานว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าจีนไปยังตลาดโลกขั้วใต้มีมูลค่าขยายเพิ่มสูงกว่าการส่งออกของจีนไปตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ดังแสดงในภาพประกอบ

 

อ้างอิง: https://asiatimes.com/2024/05/2-words-explain-china-export-surge-global-south/

 

เส้นสีฟ้าคือตลาดส่งออกของจีนในแถบโลกขั้วใต้ (Global South) ได้แก่ อาเซียน เอเชียใต้ เอเชียกลาง ลาตินอเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาตอนเหนือ (Middle East and North Africa: MENA) รวมทั้งรัสเซีย

 

เส้นสีส้มคือตลาดส่งออกของจีนที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

 

จีนเล็งเห็นศักยภาพของตลาดโลกขั้วใต้มานานแล้ว ยิ่งชาติตะวันตกใช้วิธีการกดดันและกีดกันสินค้าจีน ก็ยิ่งจำเป็นสำหรับจีนที่ต้องเตรียมตลาดสำรองในโลกขั้วใต้ ล่าสุดกรณีรถยนต์ EV แม้ว่าสหรัฐฯ และยุโรปเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้ารถยนต์ EV จากจีน แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับจีนมากนัก เพราะนอกจากสหรัฐฯ จะไม่ใช่ตลาดหลักของรถยนต์ EV จีนแล้ว จีนยังเน้นทำตลาดและส่งออกรถยนต์ EV ไปยังประเทศในโลกขั้วใต้จนสำเร็จ เช่น บราซิล เป็นตลาดหลักอันดับต้นๆ ของรถยนต์ EV จีน รวมทั้งอีกหลายประเทศในตะวันออกกลางก็นิยมใช้รถยนต์ EV จีนมากขึ้น

 

โดยสรุป การกลับมาของทรัมป์และทีมงานสายเหยี่ยวที่มุ่งจัดการกับจีนคือแรดเทาสำหรับจีน ความเสี่ยงนั้นชัดเจน จึงมีการเตรียมความพร้อมที่จะสู้กลับและแก้เกมเช่นกัน อย่างไรก็ดี ความพยายามของจีนในการรับมือกับนโยบายแข็งกร้าวและหนักหน่วงในยุค Trump 2.0 อาจจะต้องใช้เวลา ดังนั้นในระยะสั้นจีนอาจจะยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่อยู่บ้าง จึงจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์เชิงรุกให้มากขึ้นและเร่งพัฒนาเศรษฐกิจจีนที่แข็งแกร่งจากภายในให้มากยิ่งขึ้น

 

ที่น่าสนใจคือกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ด้วยการกระจายตลาดและรุกคืบไปสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับหลายประเทศในโลกขั้วใต้จนกลายเป็นอีกตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสำหรับจีน แล้วประเทศไทยเรียนรู้อะไรในเรื่องนี้ ไทยจะยังคงฝากอนาคตตัวเองไว้กับตลาดเดิมๆ อีกต่อไปหรือไม่ ก็ขอฝากให้ไปลองคิดกันต่อนะคะ

The post ทำไมทรัมป์ 2.0 คือ ‘แรดเทา’ แล้วจีนจะสู้กลับอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน https://thestandard.co/opinion-trump-trade-war-strategy/ Mon, 25 Nov 2024 05:01:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1012416

สงครามการค้าสเกลมหึมาที่ทรัมป์หาเสียงไว้จะมาจริงไหม จะม […]

The post สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สงครามการค้าสเกลมหึมาที่ทรัมป์หาเสียงไว้จะมาจริงไหม จะมาเร็วแค่ไหน และจะมาแรงแค่ไหน

 

รอบนี้ทรัมป์มาแบบคนใจร้อน การตั้งทีม ครม. ก็ประกาศเกือบครบทุกตำแหน่งอย่างรวดเร็ว และทรัมป์ได้สั่งให้ทุกชุดนโยบายเตรียมแผนให้เรียบร้อยว่าจะทำอะไรตั้งแต่ Day One และ First One Hundred Days

 

แต่เรื่องนโยบายการค้าก็ยังคงไม่แน่นอนสูง คนที่หวังว่าสงครามการค้าคงไม่ทำจริงหรือไม่ทำเร็ว ก็จะชี้ว่าตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จเป็นต้นมา ทรัมป์แทบไม่พูดเรื่องนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีอีกเลย และตัวทรัมป์เองดูจะแคร์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาก ที่ปรึกษาทุกคนน่าจะบอกกับทรัมป์ว่าถ้าตั้งกำแพงภาษีกับจีนและทั่วโลกในสเกลแบบที่ทรัมป์หาเสียง ตลาดจะต้องช็อกและหุ้นจะต้องตกระเนระนาดแน่

 

ส่วนคนที่เชื่อว่าทรัมป์น่าจะทำจริง ทำแรง และทำเร็วนั้น มองว่ามาครั้งนี้ทรัมป์ต้องการจะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและความสัมพันธ์กับจีนในระดับพื้นฐานจริงๆ และชุดความคิดนี้เป็นสิ่งที่ทีมงานของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นว่าที่รัฐมนตรีพาณิชย์หรือว่าที่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ต่างประกาศแล้วว่าเชื่อมั่นในแนวทางนี้

 

ตัวผมเองพยายามประเมินข่าวแวดล้อม ทำให้มั่นใจว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีจีนทันทีตั้งแต่วันแรกหรือไม่นานหลังเข้ารับตำแหน่ง และเขาจะเร่งเครื่องออกมาตรการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากทั่วโลกด้วย ทรัมป์คงไม่ได้ขึ้นแบบรวดเดียวต่อจีนร้อยละ 60 และต่อทุกประเทศร้อยละ 10 ทันทีทันใดในคราวเดียว ในช่วงแรกสุดเขาน่าจะเลือกทำเป็นกลุ่มสินค้า (เพื่อให้กระทบผู้บริโภคน้อยหน่อย) และเน้นที่จีนให้หนักก่อน แต่ทิศทางคือจะทำจริง จะทำกับทุกประเทศ และจะมาแรงและเร็วกว่าสงครามการค้ารอบที่แล้ว

 

ในจีนเองยังมีนักวิเคราะห์ที่มองโลกในแง่ดีว่า กว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีต่อจีนได้น่าจะเป็นช่วงปลายปีหน้า โดยดูจากไทม์ไลน์ของการขึ้นกำแพงภาษีในรัฐบาลทรัมป์ 1 ซึ่งอาศัยอำนาจของประธานาธิบดีตามมาตรา 301 ของ Trade Act of 1974 และมาตรา 232 ของ Trade Expansion Act of 1962 โดยจำเป็นต้องมีกระบวนการสอบสวนพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม (ตามมาตรา 301) และผลกระทบต่อความมั่นคง (ตามมาตรา 232) เสียก่อน การสอบสวนจัดทำรายงานต้องใช้เวลาและจำเป็นต้องระบุกลุ่มสินค้าให้ชัดเจน ไม่สามารถขึ้นทุกสินค้าจากจีนแบบที่ทรัมป์หาเสียงได้ และกว่าจะสอบสวนทำรายงานเสร็จก็น่าจะใช้เวลาถึงปลายปีหน้า

 

แต่ในวงการกฎหมายสหรัฐฯ ขณะนี้มีการพูดกันมากว่าทรัมป์อาจเลือกใช้อำนาจตามกฎหมาย The International Emergency Economic Powers Act of 1977 โดยประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจและขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนที่อยากจะขึ้นได้ตั้งแต่วันแรก รอบนี้ทรัมป์อาจมาไม้ใหม่ ไม่ได้ใช้ไม้เดิมที่ต้องใช้เวลาสอบสวนนานแบบคราวที่แล้ว

 

ขณะเดียวกัน ตอนนี้มีรายงานข่าวว่าทีมงานของทรัมป์ได้ประสานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกรีพับลิกันในสภาคองเกรส โดยต้องการจะออกกฎหมายเรื่องการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้า นักกฎหมายหลายคนสงสัยว่าเหตุใดทรัมป์จึงต้องการออกเป็นกฎหมาย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วการขึ้นกำแพงภาษีเป็นอำนาจของประธานาธิบดีที่ทำได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปผ่านไปพึ่งคองเกรสให้ออกกฎหมายใหม่แม้แต่น้อย

 

คาดกันว่าทรัมป์มีสามเป้าหมายที่ในระยะยาวเขาต้องการเข็นเรื่องนี้ให้ผ่านเป็นกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่ใช้คำสั่งประธานาธิบดี

 

หนึ่ง ทรัมป์ต้องการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นการทั่วไปต่อทุกกลุ่มสินค้าและทุกประเทศ ดังที่ทรัมป์หาเสียงไว้ว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลกร้อยละ 10 ซึ่งมีนักกฎหมายหลายคนมองว่าหากอาศัยตามอำนาจกฎหมายการค้าปกติ ประธานาธิบดีน่าจะขึ้นกำแพงภาษีได้อย่างเฉพาะเจาะจงกลุ่มสินค้าหรือกลุ่มประเทศที่เอาเปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่เป็นประเด็นทางกฎหมายว่าจะสามารถขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดเป็นการทั่วไปได้หรือไม่โดยอาศัยอำนาจทางบริหารหรือต้องไปขอสภาผ่านเป็นกฎหมาย

 

สอง ทรัมป์ต้องการให้การขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าเป็นเรื่องระยะยาวที่ต่อไปไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางเรื่องนี้ได้ง่ายๆ หากเป็นเพียงการขึ้นกำแพงภาษีโดยอำนาจประธานาธิบดี ประธานาธิบดีคนใหม่มาถึงก็สามารถเปลี่ยนแปลงยกเลิกได้ทันที แต่หากเป็นกฎหมายที่ออกโดยสภาคองเกรส ก็จะอยู่ที่ว่าพรรคใดคุมคองเกรสและอาจต้องเสียต้นทุนทางการเมืองมากสำหรับประธานาธิบดีที่จะกลับลำนโยบายนี้ เรียกว่าทรัมป์คิดในระดับปฏิวัติทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลก ไม่ได้มองว่าการตั้งกำแพงภาษีจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเพื่อใช้บีบคู่ค้าให้มาเจรจาเท่านั้น

 

สาม มีข่าวว่าทรัมป์ต้องการขอให้สภาคองเกรสพิจารณาเรื่องการเก็บภาษีสินค้านำเข้าควบคู่ไปพร้อมกับแพ็กเกจการลดภาษีเงินได้ภายในประเทศ เพื่อให้เอารายได้จากการเก็บภาษีสินค้านำเข้ามาคิดทดแทนตัวเลขการลดภาษีภายในประเทศของทรัมป์ (ทรัมป์จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เลิกเก็บ Tax on Tips และ Tax on Overtime)

 

แต่เดิมมีหลายคนมองว่านโยบายลดภาษีของทรัมป์จะทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ดูไม่จืด แต่แนวคิดของทรัมป์คือจะเอารายได้จากภาษีนำเข้ามาเป็นรายได้สำคัญแทนรายได้จากภาษีเงินได้ภายในประเทศ ดังที่ทีมของทรัมป์ชอบคุยถึงยุคของ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ในช่วงเริ่มต้นตั้งประเทศสหรัฐฯ ซึ่งรายได้หลักทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ตอนเริ่มต้นมาจากการเก็บภาษีนำเข้าเป็นหลัก

 

สำหรับจีน ทรัมป์ยังต้องการให้คองเกรสออกกฎหมายยกเลิกสถานะการเป็นชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation Status) ของจีน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าจีนทั้งหมดต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าคู่ค้าประเทศอื่นของสหรัฐฯ ข้อนี้จะมีผลสำคัญมากในเชิงสัญลักษณ์ต่อการหย่าขาดกับจีนในทางเศรษฐกิจ และจะมีผลระยะยาวที่ประธานาธิบดีคนใหม่มาก็ยากที่จะเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ที่ดิ่งเหวลงในทางการค้านี้ได้

 

เมื่อดูการเตรียมการต่างๆ ที่ออกมาตามข่าวแล้ว ผมจึงเห็นว่าทรัมป์กำลังเดินไปในทิศทางที่แรงและเร็วในเรื่องสงครามการค้า แม้คงจะไม่ได้ทำสงครามการค้าทันทีทั้งหมดกับจีนและทุกประเทศ แต่จะค่อยๆ เดินไปตามแนวทางการขึ้นกำแพงภาษีต่อสินค้าทั่วโลก เพราะเป้าหมายของเขารอบนี้ต้องการปฏิวัติรากฐานระบบเศรษฐกิจการค้าโลกและปฏิวัติให้การเก็บภาษีสินค้านำเข้ากลายมาเป็นรายได้สำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ เลยทีเดียว

 

ภาพ: Brian Snyder / Reuters

The post สงครามการค้าของทรัมป์จะมาไม้ไหน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทูตจีนตอบเรื่องทุนจีน ทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี https://thestandard.co/chinese-ambassador-talks-thailand-china/ Sun, 24 Nov 2024 03:35:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1012177

นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธ […]

The post ทูตจีนตอบเรื่องทุนจีน ทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ได้รับโอกาสสัมภาษณ์ หานจื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผ่านรายการ The Secret Sauce เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2024 โดยท่านทูตตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน กระแสความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจจีน รวมถึงการไหลทะลักของสินค้าจีน และการแก้ปัญหาทุนสีเทา

 

Q: จีนมองประเทศไทยอย่างไร และในโอกาสเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี คิดว่าความสัมพันธ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

 

A: ยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาสัมภาษณ์กับคุณเคน ก็อย่างที่บอกครับ ปีหน้าเป็นปีที่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน เนื่องจากเป็นปีที่ความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปี

 

จากการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เรามองเห็นว่าทั้งสองชาติเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีมิตรไมตรี มีความเชื่อมั่น และเอื้อเฟื้อต่อกันมาอย่างยาวนาน หากย้อนมองไปไกลอีกหน่อย พบว่าประวัติศาสตร์การเจริญสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างจีนกับไทยมีมามากกว่า 1,000 ปี ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้ มิตรไมตรี ความเอื้อเฟื้อ และความร่วมมือ เป็นรากฐานความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติ ซึ่งในปัจจุบันความสัมพันธ์ของจีนและไทยอยู่ในสถานะที่ดีและดียิ่งๆ ขึ้น โดยเฉพาะในปี 2022 ที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงมาเยือนประเทศไทย ได้ร่วมกันแถลงกับผู้นำของไทยในเรื่องการก่อตั้งประชาคมไทย-จีนที่จะมีอนาคตร่วมกัน ซึ่งถือเป็นการชี้ทิศทางใหม่ให้กับสองประเทศ ทั้งยังนำพาจีนและไทยเข้าสู่ยุคใหม่

 

ในปัจจุบันเรามีความเชื่อมั่นทางด้านการเมือง สนับสนุนซึ่งกันและกัน ด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สองประเทศก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และได้ประโยชน์ร่วมกัน ในขณะเดียวกันด้านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็มีความแนบแน่น มิตรภาพของประชากรทั้งสองประเทศมีแต่จะเพิ่มพูน ทั้งสองฝ่ายกำลังหารือวางแผนในการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีนที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งการครบรอบ 50 ปีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ ผลักดันให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศก้าวไปสู่ขั้นใหม่ ดังนั้นพวกเรามั่นใจได้เลยว่าความสัมพันธ์ของจีนและไทยนับวันจะยิ่งแน่นแฟ้น นับวันจะยิ่งงดงาม สร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับคนของทั้งสองประเทศ ซึ่งถือเป็นการแสดงออกสำคัญถึงสันติภาพแก่ภูมิภาค โลก และเราทั้งสองประเทศ

 

เมื่อสักครู่เราคุยกันถึงว่าบรรพบุรุษของคุณเคนก็เป็นคนแต้จิ๋ว มาจากมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน แล้วที่เมื่อสักครู่ถามถึงมุมมองของจีนว่าความสัมพันธ์ไทยและจีนเป็นอย่างไรนั้น เราขอมอบ 3 ประโยคให้คุณ ประโยคแรก จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีดั่งน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ประโยคที่สอง เราเป็นญาติพี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกัน ประโยคสุดท้าย เป็นหุ้นส่วนที่ดีที่จะมีอนาคตร่วมกัน ผมคิดว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำบรรยายความสัมพันธ์จีนและไทยในมุมกว้างๆ แล้วยังเป็นตัวแทนเสียงในใจของคนทั้งสองประเทศ

 

Q: ปีนี้เราเห็นความพยายามมากมายของจีนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจจากความท้าทายในมิติต่างๆ เช่น ในด้านอสังหาริมทรัพย์ อยากให้ท่านทูตเล่าให้ฟังว่าปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจของจีนเป็นอย่างไร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้จะใหญ่แค่ไหน

 

A: ปัญหาที่คุณพูดมานี้สำคัญมาก พวกเรายินดีที่จะแชร์หัวข้อนี้กับเพื่อนๆ ชาวไทย เศรษฐกิจของจีนนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 40 ปี ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปฏิรูปเปิดประเทศเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว GDP ของจีนขยายตัวเกินกว่า 9% ต่อปีโดยเฉลี่ย ทำให้เศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งจากการเติบโตมาต่อเนื่องหลายปี เวลานี้เศรษฐกิจจีนก้าวเข้าสู่ระยะใหม่ของการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง

 

ถ้าให้พูดรายละเอียด เราดำเนินการตามแนวคิดของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งกำหนดไว้เกี่ยวกับการพัฒนาขั้นใหม่ หรือก็คือการมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง หรือการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงบนพื้นฐานใหม่ๆ กล่าวคือต้องมีนวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้คนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานนวัตกรรมใหม่จะต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงด้วย 

 

ช่วงหลายปีมานี้จีนมีนโยบายที่มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หนึ่งในเป้าหมายก็คือให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งจะสอดคล้องกับเทรนด์การพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก ในอีกทางหนึ่งก็สอดคล้องกับการพัฒนาของมนุษยชาติ ซึ่งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนี้มีความคืบหน้าอย่างเป็นที่ประจักษ์ อย่างจำนวนของสถานี 5G ของจีนมีจำนวนกว่า 5 ล้านจุด ซึ่งนับเป็นจำนวนมากกว่า 60% ของทั้งโลก หุ่นยนต์อุตสาหกรรมของจีนมี Rated Capacity ที่มีสัดส่วนเกินกว่า 50% ของโลก ในปี 2023 Rated Capacity ด้านพลังงานทดแทนในจีนก็มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของโลก กล่าวได้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนานของจีนนี้ก่อร่างสร้างตัวบนพื้นฐานใหม่ สิ่งนี้จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนอย่างยั่งยืนและมั่นคงให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจจีนในอนาคต หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นแนวคิด New Quality Productive Forces ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวของจีนจะอยู่บนพื้นฐานแนวคิดดังกล่าว

 

ภาวะโควิด-19 สร้างผลกระทบอันหนักหน่วงต่อเศรษฐกิจของนานาประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความมั่นคงทางการเมือง และสงครามในบางประเทศ รวมถึงปัจจัยวัฏจักร ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญแรงกดดันค่อนข้างสูง จีนก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในโลกนี้ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและรักษาอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง รัฐบาลกลางจีนออกชุดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีสาระสำคัญ 5 หัวข้อ ครอบคลุมนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงมาตรการด้านการเงินและมาตรการทางการคลัง มีการออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาการชะลอตัว ในส่วนของการสำรองเงินฝากธนาคารนั้น มีการปรับลดลง 0.5% ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.2% นอกจากนี้ยังมีมาตรการทางการคลังที่จะออกพันธบัตรระยะยาวและพันธบัตรรัฐบาลพิเศษ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นในการพัฒนาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินเอกชนที่ประสบปัญหา

 

นอกจากการปรับโครงสร้างและมาตรการทางเศรษฐกิจมหภาคแล้ว จีนยังมีมาตรการกระตุ้นดีมานด์ภายในประเทศ บรรเทาปัญหาให้กับภาคธุรกิจ ส่งเสริมตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมยกระดับตลาดทุน ซึ่งทั้งหมดนี้ควรใช้นโยบายและมาตรการที่มีประโยชน์ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ช่วงสองวันมานี้เพิ่งมีรายงานตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคมออกมา จะเห็นถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนของมาตรการทางเศรษฐกิจ เราจึงมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ได้ตามที่กำหนดไว้

 

การเติบโตของเศรษฐกิจจีน ไม่เพียงสำคัญต่อจีนเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของเรา แนวโน้มการเติบโตของจีนยังสดใส นอกจากนี้ยังมอบโอกาสการเติบโตที่มากขึ้นแก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ประโยชน์ร่วมกัน หรือวิน-วินทั้งสองฝ่าย 

 

จีนเป็นหุ้นส่วนการค้าที่มีความสำคัญกับคู่ค้ากว่า 150 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ทุกปีจีนรับการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก ปีที่แล้วมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันการลงทุนในต่างประเทศของจีนก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ปีที่แล้วมีมูลค่าสูงถึง 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตของเศรษฐกิจจีนมีความต่อเนื่องหลายปี มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก 

 

ในส่วนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและไทยนั้น มีความแนบแน่นใกล้ชิด นับได้ว่าจีนเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์การเกษตรของไทย และยังเป็นแหล่งเงินลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญแหล่งหนึ่งของไทย นักท่องเที่ยวจีนก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหลักของไทย ดังนั้นเราเชื่อว่าการเติบโตที่ดีของเศรษฐกิจจีนไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อคนจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อคนไทยด้วย

 

Q: คิดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดนี้เพียงพอหรือไม่ และคิดว่ากำลังซื้อจะกลับมามากน้อยแค่ไหน เป้าหมายการเติบโตของจีนที่ก่อนหน้านี้อาจจะอยู่ที่ระดับ 9% โดยเฉลี่ย ตอนนี้ลดลงมาเหลืออยู่ที่ราว 5% แสดงว่าหลังจากนี้เป้าหมายจะลดลงเหลือที่ 5%ใช่หรือไม่ นี่คือยุคใหม่ของจีนแล้วใช่ไหม

 

A: คงต้องกล่าวว่าอัตราการขยายตัวที่ 5-6% ถือว่าเหมาะกับสภาวการณ์ของจีนในปัจจุบันแล้ว มูลค่าเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันถ้าคิดเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะอยู่ที่ประมาณ 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตที่ 5-6% ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันจะมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือก็คือเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจปีละ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขนี้มีขนาดพอๆ กับการขยายตัวของ GDP 1 ปีของประเทศขนาดกลางหลายประเทศรวมกัน ลองคิดดูว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นมาในแต่ละปีนั้นมีนัยสำคัญต่อโอกาสทางธุรกิจแค่ไหน มีนัยสำคัญต่อ Market Growth มากน้อยแค่ไหน 

 

กล่าวได้อีกว่าเศรษฐกิจของจีนนั้นมีจุดเด่นที่เป็นพื้นฐานสำคัญหลายข้อ หนึ่งในนั้นก็คือการที่จีนมีตลาดขนาดใหญ่ เมื่อกล่าวถึงตลาดการบริโภค หากคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันจะมีมูลค่าประมาณ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบครัวชนชั้นกลาง ครอบครัวที่มีระดับรายได้ปานกลางมีจำนวนประมาณ 400 ล้านคน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรชนชั้นกลางมากที่สุดในโลก หากไม่นับรวมประเทศอินเดีย

 

Q: 3 อุตสาหกรรมหัวหอกของจีน ได้แก่ EV, แบตเตอรี่ลิเธียม และโซลาร์เซลล์ ใน 3 อุตสาหกรรมใหม่นี้คิดว่าจะนำทิศทางของเศรษฐกิจจีนต่อไปอย่างไร จีนจริงจังกับเรื่องเทคโนโลยีสะอาดเพื่อจะแข่งขันกับมหาอำนาจอื่นๆ มากน้อยแค่ไหน

 

A: ต้องตอบเลยว่าใช่ครับ เนื่องจากทั้ง 3 อุตสาหกรรมใหม่ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์ ล้วนสอดคล้องกับเทรนด์เศรษฐกิจโลกและการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต และยังสอดรับกับเทรนด์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษยชาติ ดังนั้นทั้ง 3 อุตสาหกรรมนี้จึงมีอนาคตที่สดใส และยังตอบสนองดีมานด์ตลาดขนาดใหญ่ ดังนั้นเราจึงมองในแง่บวกเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ทั้ง 3 นี้ว่าจะยังอยู่ในทิศทางที่ดีในอนาคต

 

การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษย์ จะเห็นว่าทั้ง 3 อุตสาหกรรมใหม่นี้ล้วนตอบโจทย์ ไม่เพียงแต่มอบสินค้าและเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมทั่วโลกให้มุ่งไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน ตรงนี้เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่า และความหมายของการมีอยู่ของนวัตกรรมใหม่เหล่านี้

 

Q: แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่จีนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น บางคนอาจใช้คำว่าสงครามเทคโนโลยี เราเห็นมาตรการกีดกันทางการค้าจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา จีนมองอย่างไรและจะรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างไร

 

A: สำหรับสินค้าส่งออกของจีนนั้น มีการพูดกันถึงภาวะการผลิตส่วนเกินที่เกิดจากรัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุน คำกล่าวโทษเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยแนวคิดกีดกันทางการค้า เป็นข้ออ้างของพวกลัทธิฝ่ายเดียว และมีลักษณะสองมาตรฐาน

 

หากจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน รัฐบาลประเทศต่างๆ กำลังพยายามปรับทิศทางการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของตนให้อยู่บนเส้นทางของเศรษฐกิจสีเขียว ทางจีนเองก็ลงแรงกายแรงใจและพยายามอย่างเต็มที่ในด้านนี้ และประสบความสำเร็จ ซึ่งเหตุนี้ทำให้สินค้าและเทคโนโลยีของจีนมีความสามารถทางการแข่งขันบนตลาดโลกอย่างเห็นได้ชัด ควรกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การสนับสนุน และเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากกว่าไม่ใช่หรือ?

 

มีบางประเทศในด้านหนึ่งก็ป่าวประกาศเสียงดังว่าต้องการหาทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ บรรลุการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กลับกีดกันผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีสีเขียวของจีน อันที่จริงเราทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาคิดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง โลกกำลังมุ่งสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน แต่พวกเขาให้ใช้แต่เทคโนโลยีของพวกเขา และใช้แต่สินค้าของพวกเขา ความคิดเช่นนี้นอกจากจะเห็นแก่ตัวแล้วยังเป็นความไร้วิสัยทัศน์ และเป็นความไม่รับผิดชอบขั้นสูงสุดต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษยชาติ

 

สหรัฐอเมริกากับยุโรปขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่างไม่มีเหตุผล ถือเป็นการละเมิดกฎเกณฑ์การค้าขององค์การการค้าโลก (WTO) สิ่งนี้ละเมิดระเบียบสากล ดังนั้นฝ่ายจีนเองก็จะขอคัดค้านต่อการกระทำเช่นนี้อย่างแข็งขัน และการกระทำเหล่านี้ย่อมเป็นผลเสียต่อตนเอง ซึ่งไม่น่าส่งผลลัพธ์ที่ดีอะไร รถยนต์ไฟฟ้าของจีนครองสัดส่วนในตลาดโลกค่อนข้างมาก พวกเขาจึงมากล่าวโทษว่าสาเหตุเป็นเพราะจีนผลิตสินค้าล้นตลาด ลองคิดดูครับว่าเครื่องบิน Boeing ของสหรัฐอเมริกา หรือ Airbus ของยุโรป ก็มีส่วนแบ่งการตลาดเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทำไมพวกเขาถึงไม่โทษว่าผลิตล้นตลาดบ้างล่ะ ความสองมาตรฐานของพวกเขาทำให้พวกเรารู้สึกว่าน่าขัน เป็นการกีดกันทางการค้าและเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง

 

พวกเราควรเคารพกฎระเบียบและกลไกตลาดที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากกว่า ขณะเดียวกันก็ควรร่วมกันดูแลและปกป้องแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของมนุษยชาติที่เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนจะได้ประโยชน์ร่วมกัน ร่วมมือกันทำให้ก้อนเค้กโตขึ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกันสำหรับทุกฝ่าย นโยบายแบบนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาควรนำมาใช้

 

Q: แล้วทางการจีนจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาได้ผู้นำใหม่ขึ้นมา แน่นอนว่าทิศทางที่เขาจะมีต่อประเทศจีนก็คงจะดำเนินไปในแนวทางเดียวกัน จะรุนแรงมากขึ้น หรือว่ารุนแรงประมาณเดิม จีนจะรับมืออย่างไร

 

A: นี่คือสิ่งที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง หรือก็คือทุกคนกำลังติดตามเรื่องนี้ด้วยความกังวลใจมากๆ สหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจแห่งเดียวในโลก ต่อไปจะมีนโยบายที่แสดงความรับผิดชอบหรือไม่ สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโลกใบนี้ พวกเราไม่ขอประเมินผู้สมัครรับเลือกตั้ง และไม่อยากแสดงความคิดเห็นต่อผลเลือกตั้งหรือไปคาดเดาอะไร เพราะว่านี่เป็นเรื่องภายในของสหรัฐอเมริกา พวกเราหวังว่าคนอเมริกันจะตัดสินใจอย่างชาญฉลาด เลือกผู้นำประเทศที่คู่ควรกับการรอคอยของพวกเขา ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมให้เกิดเสถียรภาพและสันติภาพบนโลกใบนี้

 

เมื่อสักครู่ที่บอกว่า ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกตั้ง นโยบายที่สหรัฐอเมริกาจะมีต่อจีนคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ยังคงเป็นนโยบายเชิงลบต่อจีนเช่นปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมมีความเห็นว่าเราไม่อาจคาดหวังให้นโยบายที่มีต่อจีนกลับอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องผ่านการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว เราหวังแต่เพียงว่าการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา จะทำให้สหรัฐอเมริกาตระหนักได้ว่าระหว่างเราจะมีเพียงการดำเนินนโยบายภายใต้หลักการที่เคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติและเอื้อประโยชน์ร่วมกัน เพื่อมาจัดการกับประเด็นความสัมพันธ์ของสองประเทศ จึงจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกาและต่อโลก

 

เราต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเพื่อจะทำให้ผู้นำของสหรัฐอเมริกาตระหนักถึงจุดนี้ ปรับแก้นโยบายที่มีต่อจีนซึ่งถือเป็นความผิดพลาดในขณะนี้ สหรัฐอเมริกาตัดสินใจผิดพลาด พวกเขาเชื่อว่าหากจีนแข็งแกร่งขึ้นมาก็จะมาแทนที่พวกเขา จะส่งผลเสียต่อฐานะมหาอำนาจโลกของเขา คิดว่าจีนจะมาช่วงชิงตำแหน่งนี้

 

แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นมุมมองต่อจีนที่ผิด ประเทศจีนจะพัฒนาและแข็งแกร่งขึ้นอย่างมิอาจขวางได้ แต่จีนจะไม่มีวันไปแก่งแย่งสถานะมหาอำนาจโลกอะไรนั่นกับเขา ในมุมมองของจีน คำว่ามหาอำนาจโลกเป็นคำเชิงลบมากๆ ไม่ใช่บทบาทที่ดี ประเทศจีนไม่มีเจตนาจะไปชิงสถานะความเป็นมหาอำนาจโลกกับพวกเขา เราต้องการโลกที่มีสันติภาพ ความร่วมมือ และมีผลประโยชน์ร่วมกัน ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของเรากล่าวว่า เราต้องสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน

 

เพื่อที่จะกีดกันจีน สหรัฐอเมริกาเปิดสงครามการค้า ปิดกั้นทางเทคโนโลยี พยายามแบ่งขั้วเศรษฐกิจออกจากกัน แม้แต่ก่อความไม่สงบและสร้างความขัดแย้งในภูมิภาคจนเกิดกลุ่มต่อต้าน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อก่อนไม่สำเร็จ จากนี้และต่อไปก็จะไม่สำเร็จ มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาค และนำหายนะมาสู่สหรัฐอเมริกาเอง

 

อันที่จริงช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายปิดกั้นทางเทคโนโลยี กลับเป็นช่วงที่จีนมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างที่เพิ่งบอกไปว่าเราประสบความสำเร็จในการคิดค้นนวัตกรรม สหรัฐอเมริกาพยายามจะแบ่งแยกเศรษฐกิจออกจากจีน แต่ว่าการค้าการส่งออกของจีนในปัจจุบันกำลังฟื้นตัวและเติบโตอย่างเข้มแข็ง

 

ตัวเลขการเติบโตด้านการค้าระหว่างประเทศของจีนในเดือนมกราคม-กันยายนปีนี้อยู่ที่ 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ และถือเป็นการขยายตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ลงทุนมาจีนเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ธุรกิจใหม่จากต่างประเทศเข้ามาตั้งสำนักงานมากกว่า 50,000 ราย ในเวลาเดียวกันจีนก็มีการใช้เงิน 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐไปลงทุนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เราไม่ได้ถูกปิดกั้นในเรื่องนี้และเรากำลังพัฒนาให้ดีขึ้น สหรัฐอเมริกากำลังพยายามที่จะแบ่งแยกเศรษฐกิจออกจากจีน แต่จีนจะใช้ความทุ่มเทที่มากขึ้นสร้างระบบที่ส่งเสริมการเปิดกว้างทางการค้าและมาตรฐานที่สูง เราจะมีโลกที่ดีขึ้น 

 

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา Bloomberg ในสหรัฐอเมริกาเผยแพร่บทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายปิดกั้นทางเทคโนโลยีต่อจีนของสหรัฐอเมริกาว่า แทนที่จะประสบความสำเร็จแต่กลับล้มเหลว พวกเขากล่าวถึง 5 ปัจจัยของโลกเทคโนโลยีขั้นสูง โดยกล่าวว่าเทคโนโลยีจีนนั้นอยู่ในตำแหน่งผู้นำของโลก นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างเรื่องเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ อีก 7 ด้านว่าจีนก็ประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นบทความของ Bloomberg จึงตอกย้ำถึงความล้มเหลวของสหรัฐอเมริกาในการปิดกั้นเทคโนโลยีต่อจีน เพราะจีนกลับพัฒนาล้ำขึ้นไปอีกขั้น

 

เพื่อสร้างปัญหาให้จีน สหรัฐอเมริกาเพิ่มความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี ใช้ประโยชน์จากข้อพิพาทระหว่างจีนกับประเทศที่เกี่ยวข้องในทะเลจีนใต้กระพือให้เป็นประเด็นร้อน พฤติกรรมเช่นนี้ยังมีอยู่ในบริเวณช่องแคบไต้หวัน เพื่อสร้างการเผชิญหน้า หรือแม้แต่ไปเพิ่มความขัดแย้งในสงครามภายในเมียนมาให้รุนแรงขึ้น 

 

พฤติกรรมเหล่านี้สหรัฐอเมริกาได้อะไร สิ่งที่พวกเขาจะได้รับก็คือทำให้ทุกประเทศในภูมิภาคเกิดความกังวลในเรื่องความมั่นคง ทำให้เกิดการต่อต้านพฤติกรรมเหล่านี้อย่างรุนแรง และเกิดความสงสัย สุดท้ายก็จะทำให้เกิดความไม่พอใจจากคนในภูมิภาค ดังนั้นสิ่งที่เราหวังก็คือ ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะทำให้ผู้นำของสหรัฐอเมริกาได้ตระหนัก เพื่อเข้าใจเหตุผล อย่าตัดสินแบบผิดๆ อย่าพยายามหาทางต่อต้านและเผชิญหน้ากับประเทศจีน แต่ควรทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกลับไปสู่จุดที่ดีและมั่นคง

 

Q: ในมุมหนึ่งคนไทยเริ่มมีความกังวลและอยากได้รับความเข้าใจคือเรื่องของสินค้าและบริการต่างๆ ของจีนที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่สินค้าไฮเทคอย่างเช่น EV จนถึงสินค้าระดับโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมภาคบริการ เช่น ร้านอาหารต่างๆ คนไทยรู้สึกมีความกังวลว่า สินค้าเหล่านี้ราคาค่อนข้างได้เปรียบ และทำให้ผู้ประกอบการไทยประสบความยากลำบาก อยากให้ท่านช่วยอธิบายและชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นนี้

 

A: เรามีการติดตามเรื่องนี้มาสักพักหนึ่ง มีการอภิปรายเรื่องนี้กันแพร่หลายทั้งบนสื่อไทยและบนอินเทอร์เน็ต ขอเริ่มคุยกันจากประเด็นการค้าระหว่างประเทศ ตัวเลขการค้าระหว่างจีนและไทย จากข้อมูลสถิติของฝั่งจีนปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขส่งออกจากจีนมาไทยอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเม็ดเงินจำนวนนี้สินค้าทุนและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปคิดเป็นกว่า 80% ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมพื้นฐานโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศของจีนนั้นเหมือนกัน หรือก็คือการค้าระหว่างประเทศของจีนในช่วงหลายปีมานี้ การส่งออกสินค้ากึ่งสำเร็จรูปเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคิดเป็น 60% ของการส่งออกไปยังต่างประเทศทั้งหมด ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทั้งสิ้น เป็นวิสาหกิจจากจีนออกไปตั้งโรงงานผลิตในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ธุรกิจเหล่านี้จะมีความต้องการนำเข้าชิ้นส่วนและอะไหล่จากประเทศจีนเพื่อนำมาผลิตสินค้าในโรงงานท้องถิ่น ซึ่งสัมพันธ์กับการนำเข้า ประเทศไทยก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นสินค้าส่วนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตในไทยแล้วจึงจำหน่ายหรือส่งออก พูดง่ายๆ ก็คือจีนช่วยตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการไทยในด้านการผลิตสินค้าที่ผู้ประกอบการต้องการหรือมีความจำเป็นในท้องตลาด

 

ยกตัวอย่างเช่น การนำเข้าแผ่นซิลิคอนที่เป็นวัตถุดิบ มูลค่าการนำเข้าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นไทยก็ส่งออกโซลาร์เซลล์มูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือพูดง่ายๆ ก็คือถ้าไม่มีการนำเข้าแผ่นซิลิคอน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนี้ ก็จะไม่มีการส่งออกโซลาร์เซลล์ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหนจะพวกผลิตภัณฑ์ชีวิตประจำวัน พวกเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง และอาหาร ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จีนส่งออกไปไทยยังไม่ถึง 10% ซึ่งในบรรดาผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปไม่ถึง 10% นี้มีบางอย่างที่ส่งออกไปไทยค่อนข้างมากหน่อย ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อการผลิตและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่ผลิตสินค้าคล้ายคลึงกัน นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่ง ยังมีสินค้าอื่นๆ บางจำพวกที่ประสบปัญหาไม่ผ่านมาตรฐานการนำเข้า และมีประเด็นการได้รับใบอนุญาตมาตรฐานอาหารและยาของประเทศไทย ผู้ส่งออกอาจจะยังมีการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องอยู่ ถ้ามองอย่างเป็นกลาง ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามหรือทำผิดกฎหมายจะต้องเพิ่มการกำกับดูแล และเราก็ยินดีให้ความร่วมมือที่จำเป็น เพราะนี่คือสิ่งที่จีนสนับสนุนหรือส่งเสริมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือผู้ประกอบการที่จะออกสู่ต่างประเทศก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศหรือท้องถิ่นนั้นๆ

 

วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมบางแห่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านการแข่งขัน ก็มีความจำเป็นที่ภาครัฐของจีนต้องช่วยเหลือพวกเขาเพื่อให้มีศักยภาพในการปรับตัวต่อแรงกดดันทางการค้าระหว่างประเทศได้ดีขึ้น ให้ความช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่เราทำได้อย่างสุดกำลัง ให้พวกเขามีโอกาสทางการค้าท่ามกลางความร่วมมือด้านการค้าระหว่างสองประเทศ

 

ยังมีอีกตัวอย่าง เช่น มีสินค้าจีนมากมายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ผู้ซื้อในไทยนำเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ไทยเองก็สามารถขายสินค้าให้ผู้ซื้อในจีนผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ของไทยมีวิธีการที่ดีมาก มีการนำอินฟลูเอ็นเซอร์ของจีนมาไลฟ์ ระหว่างไลฟ์ก็เอาสินค้าขึ้นมาประชาสัมพันธ์ เป็นการเชิญมาไทยเพื่อไลฟ์แล้วก็ขายสินค้าไปยังประเทศจีนบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งยอดขายสินค้าจากประเทศไทย 5 วัน ขายได้ 1,500 ล้านบาท เรื่องแบบนี้จีนก็มีบทบาทในการส่งเสริมเช่นกัน

 

เคยมีการเสนอว่าอยากเห็นการบุกเบิกการขนส่งสินค้าการเกษตรผ่านทางน้ำ ส่งออกผลไม้ไทยไปประเทศจีนผ่านแม่น้ำโขง ข้อเสนอแบบนี้เราใช้เวลาเพียง 10 เดือนเท่านั้นในการสร้างด่านตรวจสินค้านำเข้า ด่านตรวจสอบคุณภาพสินค้า และติดตั้งเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบและกักกัน เป็นการเปิดช่องทางใหม่ในการส่งออกผลไม้ไทยผ่านระบบขนส่งทางแม่น้ำโขงไปยังจีนอีกช่องทางหนึ่ง

 

เรื่องสถานการณ์การลงทุนจากประเทศจีนก็เช่นเดียวกัน มีบริษัทในประเทศไทยที่ลงทุนโดยผู้ประกอบการจีนมาจดทะเบียนกับสถานเอกอัครราชทูตจีนประมาณ 1,000 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่มาประกอบการและเติบโตในไทย อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างคุณประโยชน์ให้กับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในด้านต่างๆ มีการจ้างงาน สั่งซื้อชิ้นส่วนในท้องถิ่น ซื้อวัตถุดิบ จัดเก็บภาษี ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจไทย ยังเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของประชากรท้องถิ่นอีกด้วย

 

บริษัทจีนล้วนมีสโลแกนที่เรียกว่า ‘อยู่ไทยทำเพื่อไทย’ พวกเขาไม่เพียงตระหนักถึงการพัฒนาสถานประกอบการของตนเท่านั้น แต่ยังตระหนักถึงการพัฒนาเศรษฐกิจไทย และมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริง สินค้าของผู้ประกอบการเหล่านี้หากต้องการติดป้าย Made in Thailand ภายใต้เงื่อนไขว่าการผลิตในท้องถิ่นเช่นนี้ ตามกฎหมายของไทย 40% ของมูลค่าเพิ่มของสินค้าต้องมาจากประเทศไทย

 

สำหรับเรื่องการจ้างงานในท้องถิ่นในหลายสถานประกอบการ มีสัดส่วนของพนักงานในท้องถิ่นเกินกว่า 90% โดยรวมคือหลายแสนคน มีพลเมืองจีนบางส่วนที่ดำเนินธุรกิจที่นี่ และยังมีประเด็นบางอย่างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้ก็เช่นกัน เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการเสริมสร้างการกำกับตรวจสอบ การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศที่แน่นแฟ้นย่อมมีปัญหาบ้างเป็นธรรมดา แต่เราต้องมองปัญหาเหล่านี้ด้วยมุมมองว่าเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง เป็นประเด็นเฉพาะ ไม่สามารถใช้ประเด็นเหล่านี้เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ไม่อาจอ้างว่าเป็นเพราะปัญหาเฉพาะเหล่านี้จึงพากันออกมาคว่ำบาตรสินค้าจีน มาประกาศว่าเราจะต้องต่อสู้กับทุนจีน ทำแบบนี้จะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางการค้าของสองประเทศ อันที่จริงจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาประเทศ และยังส่งผลเสียต่อคนไทยด้วย

 

คุณคือผู้นำ THE STANDARD สื่อทรงอิทธิพลในไทย ผมอยากร้องขอให้คุณและทีมงานของคุณทำให้คนไทยเห็นถึงความสัมพันธ์ด้านการค้าไทย-จีนในภาพรวมทุกมิติผ่านแพลตฟอร์มหรือผลงานของพวกคุณ ส่งข้อความให้กับคนไทยอย่างทั่วถึง มาทำงานร่วมกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างทั้งสองประเทศกันนะครับ เราถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน รักษาความร่วมมืออันดีต่อกันไว้ เพราะว่าสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญที่จำเป็นต่อการพัฒนาชาติ และการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยร่วมกัน

 

Q: อยากขยายความเพิ่มเติม เมื่อสักครู่ท่านทูตพูดถึงทุนจีนในแบบที่อาจจะมีการทำผิดกฎหมายอยู่บ้างแล้ว ซึ่งก็ต้องจัดการกันไป ในประเทศไทยเองตอนนี้ก็มีความกังวลเกิดขึ้น ทั้งการใช้คนไทยเป็นนอมินี มาทำงานแบบผิดกฎหมาย หรือเรื่องของคาสิโน คอลเซ็นเตอร์ต่างๆ มีข่าวถึงขั้นบอกว่าที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยนั้นมีแหล่งที่ทำผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก คำถามก็คือทางการจีนจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร

 

A: สถานการณ์นี้คือในประเทศไทยมีคำนิยามเรียกว่าทุนจีนสีเทา ซึ่งเป็นคำที่ดูเทาๆ มีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน ผมอยากขอคำชี้แนะหน่อยครับ ทุนจีนที่ว่าหมายถึงธุรกิจสีเทาหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายโดยมีทุนจากจีน หรือว่าหมายถึงการลงทุนทุกรูปแบบที่มีประเด็นหรือข้อสงสัยว่าทำผิดกฎหมาย นับเป็นทุนจีนสีเทาทั้งหมดหรือไม่ครับ

 

Q: (อธิบายเสริม): ทั้งหมดเลยครับ ทั้งผิดกฎหมาย หรืออาจจะผิดกฎระเบียบในการแข่งขันเชิงธุรกิจ หลากหลายมุมรวมกัน

 

A: ผมคิดว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่สำคัญมาก คิดว่าควรปฏิบัติตามกฎหมาย ปฏิบัติตามระเบียบ ธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นไปตามข้อกำหนดเราก็ต้องเคารพและปกป้อง พวกละเมิดกฎหมาย ผิดกฎหมาย เราต้องยับยั้งและจัดการ

 

เมื่อสักครู่เราเพิ่งพูดถึงเรื่องพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างการพนัน ยาเสพติด มิจฉาชีพออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง สิ่งนี้จำเป็นต้องมีมาตรการปราบปรามอย่างรุนแรงจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย 

 

ซึ่งในแง่มุมนี้ทั้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของจีนและไทยต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จีนให้ความสำคัญกับการกวาดล้างการพนัน ยาเสพติด และการฉ้อโกงออนไลน์เป็นอันดับแรก เรายังให้ความร่วมมืออันดีในคดีต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมผ่านกิจกรรม โครงการช่วยเหลือ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก

 

นอกจากความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคีระหว่างจีนและไทยแล้ว ยังมุ่งเป้าไปที่อาชญากรรมข้ามพรมแดนด้วย จีน, สปป.ลาว, เมียนมา และไทย 4 ประเทศ มีการก่อตั้งกลไกความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างทุกฝ่ายในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ 

 

โดยสรุปยังมีประเด็นปัญหาเฉพาะกับทุนสีเทา อันนี้ต้องยอมรับ แต่ว่าเมื่อเทียบกับบริษัทจีนที่มาลงทุนทั้งหมดในประเทศไทย ถือเป็นปัญหาส่วนน้อยเท่านั้น พวกเรากำลังใส่ใจและกำลังแก้ไขปัญหา

 

ในเวลาเดียวกันจีนเองก็มีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เป็นมิตร เปรียบเทียบให้เห็นครับว่า ผืนป่าอันเขียวขจี อุดมสมบูรณ์ และเจริญเติบโตได้ดี แต่มีแมลงศัตรูพืชอยู่ในนั้นด้วย สิ่งที่เราควรทำคือจับแมลงพวกนี้ออกไป แต่ไม่ใช่การทำลายป่าทั้งผืนเพียงเพราะว่ามีศัตรูพืช

 

Q: ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอย่างที่บอกตั้งแต่ต้น ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาเรามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และผมคิดว่าหลังจากนี้เราก็อยากเห็นสถานการณ์ที่วิน-วินทั้งสองฝ่าย ท่านทูตมีคำแนะนำถึงทางการไทย รัฐบาลไทย หรือผู้ประกอบการไทยจำนวนมากที่เป็นผู้ฟังของ THE STANDARD อย่างไร

 

A: ผู้บริโภคจีนมีกำลังซื้อ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นกำลังซื้อขนาดใหญ่ในตลาดผู้บริโภค ซึ่งเรายินดีต้อนรับสินค้าดีๆ จากไทยอย่างจริงใจให้ส่งออกไปยังตลาดจีน นอกจากตลาดจีนจะมีความต้องการสินค้าไทยแล้ว การค้าขายจะช่วยส่งเสริมให้บรรลุนโยบายการพัฒนาร่วมกัน เกิดความเจริญรุ่งเรือง และสร้างประชาคมไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน 

 

ดังนั้นจากมุมมองของภาครัฐ เราจึงต้องดำเนินการต่อไปเพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับการค้าระหว่างสองประเทศ เช่น ผมเพิ่งพูดถึงการเปิดช่องทางการขนส่งทางน้ำในแม่น้ำโขง การบุกเบิกช่องทางส่งออกผลไม้ไทยไปยังจีน จากนั้นเราจะมีนโยบายระหว่างทั้งสองประเทศ เชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ สร้างเส้นทางการค้าขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันยังต้องการส่งเสริมการเชื่อมโยงในนโยบายต่างๆ เช่น ด่านศุลกากร นโยบายตรวจสินค้านำเข้า การตรวจสอบและกักกัน ขั้นตอนการเข้า-ออกต่างๆ สิ่งเหล่านี้ต้องพัฒนาร่วมกัน เช่นนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย 

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็คือ เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน และกรอบ RCEP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ซึ่งมีการอำนวยความสะดวกในแง่ของการลงทุนการค้า สร้างความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาคเดียวกัน ระบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ การเพิ่มจำนวนการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังจีน

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็คือ การก่อตั้งสมาคมหรือองค์กรต่างๆ ที่มีบทบาทในการส่งเสริมความร่วมมือหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างการเชื่อมโยงหรือการประสานงานระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์บางอย่างขึ้น การที่มีการเชื่อมโยงที่ดีกว่าจะทำให้เกิดผลบางอย่างที่สามารถสนับสนุนและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างสองฝ่ายให้มากขึ้น เสริมสร้างการทำธุรกิจร่วมกันหรือทำให้การติดต่อทางการค้าราบรื่นยิ่งขึ้น ผ่านข้อมูลที่จำเป็นต่อทั้งสองประเทศเกี่ยวกับตลาดและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น

 

สินค้าจากประเทศไทยได้รับความนิยมในตลาดจีนมาก แล้วยังมีสินค้าอีกหลายชนิดที่ยังไม่มีในตลาดจีน แต่หากเข้ามาได้แล้วจะได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ทุเรียน ไม่ใช่แค่มันสำปะหลัง และไม่ใช่แค่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก เรามักเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เวลากลับประเทศต้องนำสินค้าหรือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยติดตัวกลับไปด้วย แต่บ่อยครั้งที่คุณไปที่ร้านแล้วมีสินค้าที่คุณชอบ แต่เขาขายให้คุณได้เพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้นเพราะหมดสต็อก

 

สินค้าแบบหนึ่งหากไปถูกทางแล้วจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลจากตลาดขนาดใหญ่ของจีน ซึ่งน่าจะเกินกว่าที่ผู้คนจะคาดคิดได้ ทุเรียนเป็นเพียงผลไม้ชนิดหนึ่ง ทุเรียนไทยส่งออกไปจีนมีมูลค่ามากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี ตลาดของจีนใหญ่ เราเต็มใจมากที่จะร่วมมือกับนักธุรกิจไทยที่อยู่ในวงการทุเรียน เราน่าจะพบเจอจุดเติบโตใหม่ของการค้าระหว่างทั้งสองประเทศเฉกเช่นเดียวกับการค้าทุเรียน

 

อีกอย่างที่เป็นรูปธรรม ตอนนี้เพื่อนชาวไทยเริ่มสนใจแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสะดวกสบายมากขึ้นในการนำสินค้าจากจีนเข้ามาที่ไทย แต่ผมหวังว่าผู้ส่งออกชาวไทยจะสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ให้เกิดประโยชน์ได้เช่นเดียวกับความสำเร็จของกระทรวงพาณิชย์ไทยเมื่อไม่นานมานี้ ที่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการจับจ่ายออนไลน์ คงจะเป็นการดีหากผู้ประกอบการไทยจะมีรูปแบบการค้าใหม่ เครื่องมือทำมาหากินใหม่ ภายใต้เงื่อนไขของเทคโนโลยีเครือข่ายดิจิทัลที่ทันสมัย

 

สินค้าส่งออกของไทยโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคมาค้าขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซจีนแล้ว จะทำให้ไทยเสียดุลการค้าให้กับจีน นี่ไม่ใช่เป้าหมายของจีน และไม่ใช่นโยบายของจีนด้วย เราไม่มีความต้องการให้ไทยเสียดุลการค้าใดๆ แต่จริงๆ มันก็เป็นผลลัพธ์อย่างหนึ่งของเงื่อนไขกลไกตลาดที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานเท่านั้นเอง

 

อีกสิ่งหนึ่งก็คือสนับสนุน SMEs ไทย ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความกดดันของการแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบัน และยังมีเรื่องอื่นๆ นั่นคือธุรกิจจีนในไทย พวกเขาดำเนินธุรกิจได้ชาญฉลาดมาก นั่นคือพยายามใช้อะไหล่และวัสดุท้องถิ่นให้ดี เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุตสาหกรรม ก่อนหน้านี้ผมได้พบกับผู้ประกอบการจีนในไทย พวกเขามีซัพพลายเออร์ในท้องถิ่น 400-500 ราย หวังว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย กับผู้ประกอบการจีนจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากต้นน้ำไปถึงปลายน้ำในด้านอุปทาน และได้เจอโอกาสในการพัฒนาใหม่ๆ

 

การที่ผู้ประกอบการไปลงทุนในต่างประเทศ และจะสร้างความคุ้นเคยกับ Ecosystem จนสามารถหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่นอย่างสมบูรณ์ กระบวนการนี้จะต้องใช้เวลา ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจะช่วยส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมท้องถิ่นได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

The post ทูตจีนตอบเรื่องทุนจีน ทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมไทยอาจเจ็บหนักกว่าจีนจาก Trade War 2.0? https://thestandard.co/thailands-risks-under-trade-war-2-0/ Thu, 14 Nov 2024 01:01:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1008329 Trade War 2.0

หลายคนมองว่าสงครามการค้ารอบใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ จีนจะ […]

The post ทำไมไทยอาจเจ็บหนักกว่าจีนจาก Trade War 2.0? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Trade War 2.0

หลายคนมองว่าสงครามการค้ารอบใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ จีนจะเจ็บหนัก ส่วนไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย และจากที่ไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกาแทนสินค้าจีน แต่ผมเกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเลยครับ

 

จีนเจ็บแน่ แต่เกรงว่าที่จะเจ็บหนักยิ่งกว่าจีนคือประเทศกลุ่ม Middle Power ต่างๆ รวมทั้งไทยด้วย

 

เพราะ Trade War 2.0 จะไม่เหมือนกับสงครามการค้ารอบก่อนที่ประเทศกลุ่ม Middle Power เช่น เวียดนาม เม็กซิโก อินเดีย รวมถึงไทย ได้ประโยชน์ ส้มหล่นจากการย้ายฐานการลงทุนออกจากจีน และสหรัฐฯ เองซื้อสินค้าราคาถูกจากประเทศเหล่านี้แทนสินค้าจีน

 

แต่นโยบายการค้ารอบนี้ของทรัมป์ชัดมากว่าไม่เหมือนเดิม เพราะเขาประกาศ 3 ข้อ

 

ข้อแรก จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนที่อัตราร้อยละ 60 เท่ากับ 4 เท่าจากรอบที่แล้ว


ข้อ 2 จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าทั่วโลกที่อัตราร้อยละ 10

 

ข้อ 3 จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้ากับคู่ค้าแต่ละประเทศสูงขึ้นเรื่อยๆ (อัตราร้อยละ 10 นั้นแค่เริ่มต้น) จนกว่าจะถึงจุดสมดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ

 

ความเข้าใจผิดของเราคือ เราไปโฟกัสความสนใจกันที่ข้อ 1 เพราะถ้ามีแค่ข้อ 1 ผลก็จะคล้ายๆ สงครามการค้ารอบที่แล้วที่บริษัทจะย้ายออกจากจีนไปที่อื่น เพื่อขายไปยังตลาดสหรัฐฯ

 

แต่เป้าหมายของทรัมป์รอบนี้ชัดเจนว่ารอบก่อนยังแรงไม่พอ เพราะรอบก่อนทำให้สหรัฐฯ เพียงเปลี่ยนจากซื้อจากจีนเป็นซื้อจากเวียดนาม เม็กซิโก ไทย และประเทศอื่นๆ แทน แต่รอบนี้เขาต้องการให้เกิดผลให้โรงงานย้ายกลับไปผลิตที่สหรัฐฯ เพื่อให้เกิดมหกรรมการลงทุนครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และฟื้นอุตสาหกรรมการผลิตในสหรัฐฯ ให้เกิดการจ้างงานชนชั้นกลางคนขาวชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นฐานเสียงของเขา

 

ถ้าเพิ่มจากข้อแรกซัดจีน บวกแค่ข้อ 2 คือขึ้นภาษีทั่วโลกอัตราร้อยละ 10 ก็ยังพอเป็นไปได้ว่าจะย้ายฐานการผลิตจากจีนไปที่อื่นและปรับตัวกันไป ยอมเสียภาษีร้อยละ 10 (แต่ดีกว่าผลิตที่จีนเสียร้อยละ 60) แต่นี่เขายังมีข้อ 3 ด้วย คือจะค่อยๆ ขึ้นภาษีสูงขึ้นเรื่อยๆ หากสหรัฐฯ ยังขาดดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ อยู่ จนกว่าจะถึงจุดสมดุลทางการค้า

 

ถ้าเราเป็นบริษัทในจีนที่ผลิตสินค้าส่งไปสหรัฐฯ สัญญาณจากทรัมป์กำลังบอกว่า ถ้าอยากขายให้ตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดในโลก ทางเดียวคือต้องมาผลิตที่สหรัฐฯ เท่านั้น หากย้ายไปเวียดนาม เม็กซิโก ไทย หรือที่อื่น ต่อไปก็จะโดนภาษีอยู่ดี และจะค่อยๆ เก็บสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

 

ผมจึงมีข้อสรุปที่อาจแปลกกว่าที่พวกเราเคยได้ยินกันคือ คนที่จะเจ็บหนักที่สุดจาก Trade War 2.0 อาจไม่ใช่จีน แต่กลายเป็นประเทศกลุ่ม Middle Power เดิมที่เคยได้ประโยชน์จากสงครามการค้ารอบแรก รอบนี้จะไม่ได้ประโยชน์และจะเจ็บตัวหนัก

 

เพราะประเทศกลุ่ม Middle Power (รวมทั้งไทยด้วย) กำลังจะถูกแรงบีบทั้ง 3 ทางพร้อมกัน ตลาดใหญ่ที่สุดอันดับ 1 อย่างสหรัฐฯ ก็ส่งไปไม่ได้ เพราะสหรัฐฯ จะปิดตลาด เพื่อบีบให้บริษัทย้ายฐานกลับมาผลิตที่สหรัฐฯ

 

ตลาดอันดับ 2 อย่างจีนก็จะปิดตัวมากขึ้นเองโดยธรรมชาติ (ถึงแม้จีนคงจะประชาสัมพันธ์ว่าจะเปิดตลาด) เพราะสินค้าจีนส่งไปสหรัฐฯ ไม่ได้ ก็ต้องเน้นขายในตลาดจีน สินค้าต่างชาติยากจะเข้าไปแย่งส่วนแบ่ง แถมเศรษฐกิจจีนที่มีปัญหาภายในก่อนหน้านี้อยู่แล้ว และถูกซัดซ้ำจากสงครามการค้าของทรัมป์ ก็จะมีกำลังซื้อลดลงจากเดิมมาก

 

ส่วนตลาดที่เหลือทั่วโลกก็จะแย่ลง เพราะ 1. คลื่นสินค้าราคาถูกจากจีนเมื่อไปสหรัฐฯ ไม่ได้ และเมื่อกำลังซื้อภายในจีนเองก็ลด ก็ย่อมจะออกมาบุกตลาดเหล่านี้มากขึ้น 2. ทุกคนย่อมจะอ่อนแอลงหมด เพราะภาคส่งออกของแต่ละที่ไม่สามารถส่งสินค้าไป 2 ตลาดใหญ่ที่สุดของโลกได้อย่างเมื่อก่อน กำลังซื้อโลกก็จะหดตัวลงมาก ก้อนการค้าโลก ก้อนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ยังเหลืออยู่จะเล็กลงจากเดิมมาก

 

จีนนั้นเจ็บหนัก เจ็บแน่ ประเมินว่าการเติบโตของ GDP จีนอาจติดลบจากเดิมถึงร้อยละ 2 แต่จีนก็ยังพอมีความแข็งแกร่งภายในที่ยังอดทนฝ่ามรสุมไปได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดภายในที่ใหญ่ ความได้เปรียบเรื่องราคาสินค้าจีนที่จะส่งออกไปยังตลาดอื่นแทน คนจีนยังมีเงินเก็บมากและไม่มีหนี้ครัวเรือน ทำให้อดทนต่อความยากลำบากได้ และจีนยังมีภาคเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมา รวมทั้งภาคพลังงานสะอาดที่จีนจะสวมบทผู้นำแทนสหรัฐฯ ที่จะถอยจากวงการนี้

 

ส่วนสหรัฐฯ เองก็คงแย่ลง คนสหรัฐฯ จะต้องซื้อของราคาแพงขึ้น แต่ทีมมันสมองด้านเศรษฐกิจของทรัมป์อย่าง โรเบิร์ต ไลต์ไทเซอร์ ประกาศแล้วว่า ถ้าให้เลือกระหว่างคนสหรัฐฯ ตกงาน แต่ได้ซื้อของราคาถูกจากจีน เวียดนาม และเม็กซิโก กับให้คนสหรัฐฯ มีงานดีๆ ในโรงงานทำ แต่ซื้อของราคาแพงขึ้นหน่อย เขาเลือกแบบที่ 2 เขาต้องการให้อุตสาหกรรมการผลิตกลับมาเป็นฐานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (ไม่ต้องพึ่งสินค้าจากข้างนอก โดยเฉพาะจากศัตรูคู่แข่งอย่างจีน รวมทั้งจากที่อื่นที่ก็อาจเป็นจีนแปลงตัวไปผลิตที่นั่นหรือเชื่อมกับซัพพลายเชนจีนอยู่ดี) 

 

แต่ประเทศ Middle Power นี่สิครับจะแย่กันหมด ไม่ว่าจะเป็นยุโรปที่น่าจะเกิดภาวะ Recession ต่อเนื่องแน่ โดยเฉพาะเยอรมนีที่พึ่งพาทั้งตลาดสหรัฐฯ และจีน และแน่นอน เวียดนาม เม็กซิโก อินเดีย รวมทั้งไทย ก็จะเจ็บตัวกันหมด อย่าหวังว่าจะเป็นตาอยู่ได้คว้าพุงปลามากินเหมือนครั้งก่อน

 

ยิ่งหากเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง และพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และตลาดจีนสูงอย่างไทย และกำลังซื้อภายในเปราะบางด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือน ย่อมจะเผชิญความท้าทายจากโครงสร้างเศรษฐกิจมากเป็นพิเศษจากสงครามการค้ารอบใหม่ของทรัมป์ 

 

ส่วนหากใครยังแอบหวังลึกๆ ว่านโยบายการค้าของทรัมป์เป็นเพียงคำขู่เอาไว้ใช้เจรจาต่อรอง หรือคงไม่ทำถึงในระดับที่หาเสียงไว้ ผมคิดว่าท่านน่าจะผิด เพราะทรัมป์และทีมของทรัมป์ชัดเจนในทุกการสัมภาษณ์ว่าแผนการใหญ่ของเขาเป็นแผนในระดับ ‘ปฏิวัติ’ โครงสร้างเศรษฐกิจโลก เลิกโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ และมีทีมของเขาออกมาเตือนนักลงทุนแล้วว่าทำจริง และที่สำคัญจะทำเร็ว (เริ่มทันที) และทำแรงด้วย

 

ใครจึงอย่าคิดว่าสงครามการค้ารอบใหม่จะคล้ายรอบเก่า เรากำลังพูดถึง Trade War คนละสเกลและคนละเป้าหมาย ครั้งที่แล้วแค่เพียงว่าจะไม่ซื้อจากจีน ไปซื้อจากที่อื่นแทน แต่ครั้งนี้ต้องการถึงขั้นบีบให้บริษัทมาผลิตที่สหรัฐฯ หากยังต้องการเข้าถึงตลาดใหญ่ที่สุดในโลกต่อไป

 

ภาพ: Allison ROBBERT / POOL / AFP

The post ทำไมไทยอาจเจ็บหนักกว่าจีนจาก Trade War 2.0? appeared first on THE STANDARD.

]]>